เรื่อง :
เปลี่ยนเพื่อนให้เป็นแฟน
#พระเพลิงมารีน
แพลนชีวิตที่มุ่งมั่นแค่แข่งขันวงดนตรีต้องพังพินาศเมื่อได้รับมอบหมายให้ดูแลอีกหนึ่งชีวิตสุดป่วน
โน่ นักเรียนใหม่ที่มาด้วยไลฟ์สไตล์โคตรนักเลง น้ำก็ตั้งใจจะเป็นแค่ ‘เพื่อนที่ดี’ ตามคำสั่งอาจารย์
แต่ไหงดูแลกันไปได้แค่ไม่ถึงวัน เจ้าโน่ก็ตั้งปณิธานจะเปลี่ยนสถานะจาก ‘เพื่อนให้กลายเป็นแฟน’ เสียได้
จากนักเลงที่เอาแต่ต่อยตี ก็หันมาเอาดีทางด้านวอแวหัวใจ
น้ำต้องสตรองแค่ไหน ถึงสามารถหลีกเลี่ยงไม่เปลี่ยนเพื่อนให้กลายเป็นแฟนได้
ทักทายกันได้ที่ Twitter @sweeterthansw ค่ะ ^^
_________________________
‘คุณมารีน ชั้น ม.5/3 ขอเชิญที่ห้องปกครองด้วยครับ’
ม.ปลาย ผมอยากหมกมุ่นแค่การแข่งขันวงดนตรีระดับประเทศ แต่ชีวิตสงบไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงสัปดาห์ที่สองของการเปิดเรียนชื่อผมก็ถูกเรียกไปห้องปกครอง
“ว่าไงนะครับครู!!!”
“ไปเป็นบัดดี้เด็กใหม่”
มันจะไม่หงุดหงิดเลยครับ ถ้าไอ้คนที่ครูปกครองและครูประจำชั้นกำลังยัดเยียดให้จะไม่ใช่โคตรอันธพาลในการ์ตูนญี่ปุ่น ย้ายจากโรงเรียนเก่ามาด้วยข้อหาซ้อมเพื่อนจนเข้าโรงพยาบาล อาการโคม่าปางตาย พ่อเป็นนักการเมืองต้องการปิดข่าว เลยจับโยนมาที่นี่
ตัวอันตรายขนาดนี้ใครจะอยากเป็นบั๊ดดี้ด้วยว่ะ
“ทำไมต้องเป็นเราอ่ะ” ผมหันไปถามเอากับหัวหน้าห้องที่ยืนอยู่ระหว่างอาจารย์ทั้งสอง
“ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดขบถอัปลักษณ์ ฤาอุบายมุ่งร้ายฉมังนัก มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรีและดวงใจย่อมดำสกปรกราวนรกชนเช่นกล่าวมานี้ ไม่ควรใครไว้ใจในโลกนี้ เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจ” หัวหน้าห้องร่ายพระราชนิพนธ์แปลของรัชกาลที่ 6 ออกมาคล่องปรื๋อ ผมก็ได้เเต่ขมวดคิ้วต่อไป เพราะยังปะติดปะต่ออะไรไม่ได้
“ขอสรุปง่ายๆ เลยได้มั้ยกีวี่”
“น้ำเป็นหัวหน้าชมรมดนตรีสากล ร้องเพลงเก่ง เล่นกีต้าร์เพราะ ตีกลองก็ได้ เปียโนก็ดี มีเมโลดี้ในหัวใจ เราคิดว่าดนตรีจากน้ำจะช่วยสะกดมารร้ายในตัวเพื่อนใหม่ไว้ได้ยังไงละ”
“กีวี่! เพื่อนเป็นคนนะไม่ใช่ผี” แล้วเก่งดนตรีก็ใช่ว่าจะสยบมารได้นะโว้ย ไม่ไปหาพระมาสวดละว่ะ!
“น้ำเเกต้องช่วยห้อง ต้องช่วยโรงเรียน เเกคงไม่อยากให้โรงเรียนบันเทิงศิลป์ของเราต้องขึ้นข่าวหน้าหนึ่งใช่มั้ยว่ามีเด็กตีกัน เป็นอันธพาลชกต่อย ฮึก...ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเรารับไม่ได้”
“กีวี่ อย่ามาบีบน้ำตา!!”
“ครูก็เห็นด้วยหรอฮะ” ผมหันไปถามผู้ใหญ่อีกสองคน สามัคคีกันพยักหน้าเชียว
“แกคือความหวังของโรงเรียน!!” กีวี่พูดราวกับจะมีไฟลุกเป็นแบ็คกราวด์ด้านหลัง “ไป จงไปสู้เพื่อเด็กนักเรียน 2,185 คน”
เบะปากตอนนี้ทันมั้ย หมดกันชีวิต ม.5 ที่แสนสงบสุขของผม ขอเครียดแค่เรื่องแข่งวงดนตรีอย่างเดียวได้มั้ย นี่ต้องมาแบกความหวังของคนทั้งโรงเรียนเลยหรือว่ะ
“ตอนเเรกครูก็ว่าจะให้กีวี่ดูเเล เเต่เป็นเด็กผู้ชายด้วยกันน่าจะคุยกันง่ายกว่านะ”
โห...จริงๆ กีวี่มันเถื่อนกว่าผมเยอะเหอะ ยกให้ไปก็ได้มั้ง
“นะมารีน เพื่อห้อง เพื่อโรงเรียน แล้วเธอคงไม่อยากให้เพื่อนใหม่ต้องย้ายออกไปเพราะเข้ากับใครไม่ได้หรอกใช่มั้ย” ครูไอยดาครูประจำชั้นผมทำตาปริบๆ
สาบานสิว่านั้นคือเหตุผลไม่ใช่กดดันกัน ผมถอนหายใจเบาๆ เพื่อให้รู้ว่าก็ไม่ได้เเฮปปี้นักหรอกที่ต้องมารับผิดชอบชีวิตใครอีกคน แต่...ผมก็ยังอยากให้นายคนใหม่มีความสุขกับการมาโรงเรียนเหมือนกันนะ
ยังไง ม.ปลายมันก็น่าจะเป็นช่วงชีวิตที่สนุกที่สุดอยู่แล้วไม่ใช่หรอ
“ครูให้จิตพิสัยเพิ่ม 10 คะแนนยาวไปถึงม.6 เลยลูก” โปรฯล่อใจก็มาหวะ
“ปีหน้าก็เอาเกียรติบัตรนักเรียนคุณธรรมดีเด่นไปเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงตระกูลได้เลย”
ผมพ่นลมจมูกบาน ถามว่าที่ล่อมานั้นอยากได้มั้ย
“เด็กใหม่มาเมื่อไหร่ครับ” ผมถามเพื่อจะได้เตรียมตัว
“เช้าวันนี้แหละน้ำ”
!!! ขอเครื่องหมายตกใจคูณแปดตัวเลย
หลังจากโน้มน้าวผมสำเร็จ กีวี่ก็กระโดดโหยงเหยง เอาเเขนพาดคอผมออกมาจากห้องปกครองทันที เธอเป็นผู้หญิงที่สูงกว่าปกติคือ 171 cm ส่วนผมเป็นผู้ชายสูงมาตรฐานคือ 175 cm เพราะฉะนั้นเราจึงกอดคอกันได้สบาย
“เราเลี้ยงข้าวน้ำเลย อยากกินไรเต็มที่”
“ควรอ่ะ โบ้ยตัวอันตรายมาให้เราสำเร็จแล้วหนิ” ผมตัดพ้ออย่างไม่จริงจังนัก ที่จริงผมก็ไม่ได้นึกกลัวเด็กใหม่อะไรนั่นมากหรอกครับ แต่กังวลมากกว่าว่าจะดูเเลเขาได้ดีสมกับที่ทุกคนกดดันไว้รึเปล่า
หลังเข้าเเถวเสร็จกีวี่ก็บงการให้เพื่อนผู้ชายตัวโตจัดโต๊ะคู่ใหม่ไว้แถวหลังสุดริมหน้าต่าง ที่นั่งว่างข้างๆ ผมเป็นของเด็กใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย ผมจัดของให้เข้าที่นิดหน่อยแล้วก็นั่งใจตุ๊บๆ ต่อมๆ รอ สวดภาวนาให้มารร้ายที่สิงร่างบั๊ดดี้หมาดๆ ยังไม่กำเริบเสิบสานมากนักเถอะ เพราะต่อให้ร้องเพลงเพราะแทบตาย ถ้าอีกฝ่ายไม่คิดจะฟัง ก็เป็นอันว่าหายนะอยู่ดี
ระหว่างรอผมก็เริ่มวางเเผนในใจไปด้วยว่าจะดูเเลเพื่อนใหม่ยังไงดีให้มีความสุขในรั้วโรงเรียนบันเทิงศิลป์ของเรา ที่ชื่อเเบบนี้ไม่ได้ตั้งกันเอาฮานะครับ เเต่เราเป็นโรงเรียนเอกชนที่เน้นการเรียนการสอนด้านศิลปะเเละงานแขนงบันเทิงต่างๆ มีสายวิทย์น้อยห้องไว้สำหรับการเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ต้องเรียนคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ห้องอื่นๆ เป็นสายศิลป์ภาษา กับศิลป์คำนวน แถมมีวิชาเลือกพวกดนตรีและศิลปะมากมายเพื่อใช้ทำ Portfolio ยื่นตรงกับคณะที่ต้องการ
เราเรียนกันเเบบเน้นกิจกรรมและสร้างประสบการณ์จริง ทำให้เป็นสายอาชีพที่มีคุณภาพ การันตีได้จากพี่ๆ ม.6 หลายคนมีมหาวิทยาลัยดนตรีมาจองตัวไว้แล้ว
คุณครูที่มาสอนหลายๆ ท่านเราเชิญมาจากสาขาอาชีพจริงๆ และมีอุปกรณ์การเรียน ห้องสตูดิโอมากมายให้เลือกใช้สอย
ผมคิดอะไรเพลินๆ ว่าควรจะแนะนำให้โน่เรียนวิชาเลือกอะไรบ้าง คุณครูไอยดาก็เดินเข้ามาในคาบโฮมรูม เสียงกีวี่บอกเพื่อนๆ ทำความเคารพดังขึ้น และไม่นานคุณครูก็เรียกเพื่อนใหม่เข้ามาเเนะนำ
ชื่อจริง ‘พระเพลิง’ ชื่อเล่นคือ ‘โน่’
ฟังแค่ชื่อก็เหมือนทั้งห้องที่ติดแอร์เย็นฉ่ำระอุขึ้นมาทันที
ผมมอง ‘โน่’ อย่างพิจารณาเขาตัวสูงมากอย่างกับไม่ใช่คนไทย ต่อเเถวกันคงอยู่หลังสุดของห้อง คิ้วเข้มเป็นเส้นตรงพาดเฉียง เบ้าตาลึกลงไปคมกริบ จมูกโด่งเป็นสันสวย และริมฝีปากบางกริบ โดยรวมคือหล่อ หล่อแบบนี้ทำไมไม่เอาเบ้าหน้าไปหากินกับอาชีพดารา ทำไมถึงชอบเอาโหนกคิ้วไปรับแรงกระแทกหมัด
ผมพูดแบบนี้เพราะเห็นผ้าก็อซที่ปิดอยู่ตรงหัวคิ้ว กับรอยช้ำที่มุมปากหน่อยๆ นี่คือคนต่อยเพื่อนจนนอนหยอดน้ำเข้าโรงพยาบาล แต่แผลตัวเองกลับมีแค่นี้อ่ะนะ
เทพเจ้าสงครามป่ะถามจริง
“ไปนั่งข้างคุณมารีนนะคะ” เสียงคุณครูไอยดาบอก
ผมสะดุ้งโหยง เพราะดวงตาคมกริบนั้นกวาดมาประสานกับสายตาผมที่มองเขาอยู่ก่อนแล้วพอดี
“มารีนจะเป็นบั๊ดดี้คุณพระเพลิง ตลอดช่วง ม.5 และ ม.6”
คราวนี้สะดุ้งกว่า สาธุบุญครูไอยดา ผมก็นึกว่าเเค่อาทิตย์สองอาทิตย์พอให้เข้ากับสภาพเเวดล้อมใหม่ได้ นี่ต้องตัวติดกันไปสองปีเลยหรอ!
เขายักคิ้วข้างเดียวทักทายผม แล้วก็พาร่างสูงๆ มานั่งลงข้างๆ มีเป้ย้วยๆ ติดมาใบนึง
“แขวนไว้ข้างโต๊ะสิ” เห็นเขากำลังจะโยนลงพื้นผมเลยชี้ให้ดูตะขอเกี่ยว และพยายามยิ้มด้วยสีหน้าพร้อมเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในโรงเรียนให้เขา
“เราชื่อมารีน...”
“รู้”
โดนไปดอกเเรก ที่ภาวนาว่าให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เริ่มจะไม่ได้ผลเเล้วครับ
“เราชื่อเล่นชื่อน้ำ”
“เราชื่อโน่”
“รู้” ผมยักคิ้วกลับ
คนตรงข้ามเลิกคิ้วนิดหน่อย คงไม่คิดว่าเด็กหน้าตาใจดีอย่างผมจะอ้อนตีนเป็นเช่นกัน
“มาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเถอะนะ”
โน่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่ดูเป็นยิ้มที่ไม่น่ามีเจตนาดี
“ไม่อยากมีเพื่อนเพิ่มแล้ว”
อยากจะสวนกลับไปว่า ‘ต่อยกันเลยมั้ย กวนตีนแลกหมัดหรอ’ แต่เดี๋ยวไอ้น้ำ คดีที่พ่วงมากับไอ้คุณเพื่อนใหม่นั่นไม่ธรรมดา ขืนไปท้าต่อยมัน ผมนี่แหละที่จะได้ไปนอนนับดาวบนฝ้าโรงพยาบาลเป็นรายถัดไป
ยังหาบทสนทนาต่อไปไม่เจอก็ดันเจอประโยควิบากกรรมมาต่อ
“ถ้าเป็นแฟนละก็...พอได้”
“วะ...ว่าไงนะ”
โน่ยักคิ้ว เขาจะทดสอบความอดทนของผมใช่รึเปล่า
ท่องไว้ในใจว่าผมต้องไม่โกรธ ผมจะไม่โกรธ ผมเป็นชนมีดนตรีกาลในใจ ผมต้องเอาความสุนทรีย์ของบทเพลงมาสยบมารร้าย
“อยากมีแฟนเป็นผู้ชายมานานแล้ว ถ้าได้ลองกับเธอคนแรกคง...สนุกดี”
เปรี้ยง!!
ขอโทษคุณครูไอยดา ครูฝ่ายปกครงและกี่วี่ด้วย ผมยั้งมือไม่ทันจริงๆ
แต่อย่าคิดว่าโน่จะได้แผลจากผู้ชายตัวกะเปี๊ยกอย่างผม หมัดผมไม่ทันได้สัมผัสใบหน้าเขา มันก็ถูกสะกัดด้วยฝ่ามืออรหันต์ เขากำรอบหมัดผมเสียแน่นแล้วออกแรงบีบจนต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บ
“ถ้าคราวหน้าต่อยมาอีก จะคิดว่าเธอชอบมีแฟนแบบซาดิสม์นะ”
“หนึ่งหมัด หนึ่งจูบ แลกมั้ยละ”
พ่องมึง!! ผมสกรีมอยู่ในอก สะบัดเอา ‘หมัดที่เกือบได้แลกจูบ’ ออกมาอย่างทุลักทุเล ผมหันกลับมามองกระดาน เลิกคิดจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่แล้ว โบราณว่าไว้รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง แต่นี่ครั้งแรกที่รบกันผมก็แพ้ราบคาบแล้ว เพราะฉะนั้นขออนุญาตนั่งเฉยๆ ตั้งหลักก่อนสักหนึ่งคาบเรียน
คาบโฮมรูมครูไอยดาไม่สอนอะไรพวกเรามากครับ นอกจากเอาพวก Portfolio ของรุ่นพี่ดีๆ มาเเจกๆ ให้ดูเป็นเเนวทาง สลับกับใครอยากนอนก็นอนได้ แน่นอนว่าบั๊ดดี้ไฟเย่อร์ของผมไหลตัวไปกับโต๊ะเรียบร้อย
และพอจบคาบคุณครูเดินออกไป โน่ก็เดินตามไปทันที ผมคิดว่าเขาจะไปคุยกับครูประจำชั้นเเต่เปล่า
คาบ 2 โน่ก็ยังไม่กลับมา
คาบ 3 ไม่เห็นเงาหัว
คาบ 4 โดดเเล้วชัวร์
พักเที่ยงผมเลยหัวร้อนทนไม่ไหวปลีกตัวจากเพื่อนๆ ที่กำลังไปทานมื้อเที่ยง วิ่งวนหาไอ้เพื่อนใหม่ที่ส่งตรงมาจากวงการอัธพาลโลกเขายังไม่น่าจะรู้จักโรงเรียนเรามาก ตอนแรกไปดูที่หลังโรงเรียนซึ่งเป็นสวนเกษตรมีนาข้าว แปลงผัก แล้วก็ควายไทยหนึ่งตัวก็ไม่เห็น ไปดูที่โรงยิมก็ไม่มี แต่เดี๋ยวนะที่สระว่ายน้ำมีห้องล็อกเกอร์ ตามตำราการ์ตูนญี่ปุ่นว่าไว้ แก๊งมั่วสุมมันต้องไปกระจุกรวมกันในซอกๆ อะไรแบบนั้นแหละ
เเล้วก็ไม่ผิดผมได้กลิ่นบุหรี่มาจากห้องล็อกเกอร์กลิ่นมิ้นต์แบบนี้ถูกคนชัวร์ เพราะเมื่อเช้าที่คุยกันผมก็ได้กลิ่นจางๆ ออกมาจากลมหายใจของโน่
สูบในนี้เดี๋ยวก็โดนทำทัณฑ์บนหรอก ผมยกมือขยี้หัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดที่ขนาดโมโหอยู่ ยังนึกเป็นห่วงไอ้เพื่อใหม่ตัวโต ที่แม่งไม่ยอมให้ความร่วมมือเป็นเพื่อนที่ดีกับผมเลย
ผมเดินมองหาโน่ตามซอกล็อคเกอร์ที่เรียงกันเป็นซอยๆ ก็ไม่เจอ เเต่พอกำลังจะหันหลังกลับเท่านั้น ก็เห็นร่างสูงใหญ่ ที่ดึงเนคไทด์ออกให้มันหลวม ปลดกระดุมคอหลุดลุ่ย กำลังยืนล้วงกางเกงนักเรียนอยู่ตรงหน้า
“ในนี้เงียบดีนะ ลองทำอะไรสนุกๆ กันมั้ย”
ถามเสียนึกถึงฉาก 18+ เลยมึง แต่เดี๋ยวก่อนเราต้องใช้ความดีปัดเป่าผีในตัวโน่ให้ได้
“ทำไมโดดเรียน”
โน่เดินช้าๆ เข้ามาหาผมพยายามเเข็งใจจ้องตาสู้เเล้ว แต่ดวงตาเขาก็ร้ายเกินไป เหมือนหมาป่ากำลังจะขย้ำเหยื่อเลย แล้วเหยื่อที่ว่าก็เป็นแค่กระต่ายน้อยตัวจ้อยด้วยดิ
ผมถอยเท้าหลบตามสัญชาตญาณ ความดิบเถื่อนที่เขาปล่อยออกมาทำให้ขาผมเริ่มจะสั่น เราก็เด็กม.ปลายเหมือนกันแต่ทำไมเขาถึงน่ากลัวได้มากขนาดนี้นะ
เขาผลักผมติดล็อกเกอร์ มือใหญ่ยึดไหล่ผมไว้ไม่ให้ขยับ ใบหน้าคมยื่นมาจนได้กลิ่นควันบุหรี่รสเดิมในลมหายใจ
“เป็นแค่เพื่อนไม่เสือกดิ!”
ผมโมโหจนอยากจะต่อยให้อีกสักเปรี้ยง แต่คำขู่ที่เขาให้ไว้ยังทรงพลัง ‘หนึ่งหมัด หนึ่งจูบ’ ใครมันจะกล้าว่ะ แถมไหล่ที่โดนอีกฝ่ายยึดไว้ก็เจ็บไปหมด ได้เเต่กัดฟันจองตาเขาไปอย่างไม่ยอมเเพ้
“ต้องทำยังไงถึงจะยอมพูดดีๆ กับเรา”
เขาจ้องหน้าผม สายตายังคงดุดันไม่เปลี่ยน
“เป็นแฟนดิ แล้วจะเป็นเด็กดีให้เลย”
ผมรู้นะครับว่าตัวเองหน้าตาดี แต่เบ้าหน้ามึงก็ไม่ควรชักนำภัยร้ายมาสู่ตัวสิ!!
โน่ก้มลงมาจนใกล้มาก ใกล้จนผมต้องหลับตาปี๋ แล้วทุกอย่างมันก็เงียบมีเพียงเสียงลมหายใจของเขาที่ดังอยู่ริมหู กับลมอุ่นๆ ที่ปะทะแก้ม
ถ้าแหกปากร้องเพลงออกไปตอนนี้ผมจะไล่มารร้ายออกไปได้มั้ยนะ
“น่ารัก...”
ฉ่า!
เขาต้องกำลังแกล้งผมอยู่แน่ๆ ไม่นะไอ้ผีร้ายออกไปเดี๋ยวนี้ ผมอึ้งจนเผลอลืมตาขึ้นมาดู
โน่ยังคงจ้องตาผม เขากัดมุมปากล่างเเล้วก็ยกยิ้มร้ายๆ ใส่
“เหมือนหมาตัวเล็กๆ เลย เห่าดัง แต่ก็สู้อะไรใครไม่ได้”
เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็เอนตัวกลับไป ทิ้งให้ผมยังใจเต้นเเรง เป็นการทำความรู้จักกันวันแรกที่ใจไม่ค่อยดีเลย