18th Shoot
ก็บอกแล้วไงว่าจะปกป้อง
น้องปุณย์’s Part
“โคตรตื่นเต้นเลย”
เสียงหอบหายใจไม่เป็นจังหวะดังแข่งกับเสียงเต้นของหัวใจที่เหมือนจะหลุดออกมาให้ได้ ภายในห้องน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกจัดไว้สำหรับนักกีฬาที่จะลงแข่ง มีร่างของผู้ชายตัวเล็กเหมือนเด็กม.ปลายกำลังยืนตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูกอยู่หน้ากระจกใบใหญ่ตอนนี้ ซึ่งคนนั้นคือก็…ผมเอง
วันนี้ผมจะต้องเข้าแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของประเภทกีฬากรีฑา จากวันนั้นที่พี่ศรบอกว่าจะรอมาเชียร์ผมในวันแข่งชิงชนะเลิศ จนกระทั่งวันนี้ใครจะไปคิดว่าผมจะผ่านเข้ามารอบนี้ได้จริงๆ ทั้งๆที่เคยและผ่านการแข่งขันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆผมก็ยังอดตื่นเต้นจนใจสั่นไม่ได้อยู่ดี ก็วันนี้ผมต้องวิ่งตั้งสองร้อยเมตรเลยนี่น่า มาตรฐานเอเชี่ยนเกมส์เลยนะ มันก็ต้องมีกังวลกันบ้างแหละ
ปัง!
เสียงเปิดประตูดังขึ้นจนผมต้องหันไปมอง คนที่เข้ามาใหม่และปิดประตูห้องน้ำเสียงดังผมจำได้ว่าเป็นคนที่อยู่คณะวิศวะฯ เคยเห็นหน้าตอนแข่งรอบก่อนๆแต่ไม่เคยได้คุยกันสักที
ตอนนี้อีกคนก็อยู่ในชุดพร้อมแข่งขันเช่นเดียวกับผม ผมพอจะจำได้ว่าคนนี้ฝีเท้าการวิ่งไม่เลวเลย ออกจะน่ากลัวด้วยซ้ำ เขาตัวสูงและขายาวกว่าผมเยอะเลย
“นายคือคนที่อยู่คณะวิทย์’กีฬาใช่ไหม” คนที่เข้ามาใหม่ถามผม
“ชะ…ใช่ นายมีอะไรหรือเปล่า”
“นายจะออกจากการแข่งขันไปได้ไหม”
“หา! หมายความว่ายังไง” ผมเงยหน้าขึ้นถามอย่างไม่เชื่อหู
“จะพูดให้ฟังแบบง่ายๆเลยนะ คณะวิศวะของเราต้องการเหรียญทองเหรียญนี้ เพราะฉะนั้นฉันจะบอกนายด้วยความหวังดีว่าให้ถอนตัวซะ”
หวังดีเหรอ มาพูดกับคนอื่นแบบนี้ยังกล้าใช้คำนั้นได้โดยไม่อายบ้างเลยหรือไง
“ถ้าแบบนั้นนายก็ต้องชนะตามกติกาสิ จะมาให้คนอื่นยอมแพ้ตัวองทั้งที่ยังไม่ได้แข่งแบบนี้ได้ยังไง ไม่อายตัวเองบ้างหรือไง โอ้ย!...”
“มึงอย่ามาปากดี!” เหมือนผมจะพูดสะกิดโดนต่อมอารมณ์ของอีกคนเข้าให้ซะแล้ว ตอนนี้ใครอีกคนที่ยืนนิ่งในตอนแรกพุ่งเข้ามาจับไหล่ทั้งสองข้างของผมไว้ก่อนจะออกแรงบีบแน่น
“ปล่อยนะ” ผมพยายามจะปัดมือเขาออก ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอีกคนไม่ได้มาดีด้วยแน่ๆ
“คนแบบมึงจะไปรู้อะไร มึงไม่รู้หรอกว่ากูทุ่มเทแค่ไหนกับการแข่งในวันนี้ มึงไม่รู้หรอกว่าคณะกูเขาหวังกับตัวกูไว้มากแค่ไหน เพราะฉะนั้นกูจะแพ้ไม่ได้”
ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่กีฬาเฟรชชี่ มันเป็นแค่การแข่งกันเพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่ปีหนึ่งไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงจะต้องจริงจังกันขนาดนั้นด้วย
“แต่นายทำแบบนี้มันก็ไม่ถูกต้องนะ กีฬาน่ะมันมีไว้เพื่อสร้างความสามัคคีไม่ได้เอาไว้ให้แค่เอาชนะกัน แพ้ชนะมันสำคัญตรงไหน…อ๊ะ!” แต่ผมพูดไม่ทันจบก็ต้องเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะอีกคนออกแรงบีบไหล่ผมมากขึ้นก่อนจะดันตัวผมจนติดกับอ่างล้างมือ
“กูบอกว่ามึงอย่ามาปากดี กูจะไม่ฟังไม่สนใจว่ามึงจะพูดอะไร กูจะพูดเขามึงดีๆเป็นครั้งสุดท้าย ถอนตัวออกจากการแข่งขันครั้งนี้ซะ!” อีกคนพูดเสียงดังอย่างเอาจริง
“ไม่!” ผมเถียงกลับเสียงดังเช่นกัน “นาย…นายน่ะมาบอกคนอื่นว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกีฬา แต่ความจริงคือนายนั้นแหละที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกีฬาเลย…”
“….”
“เราไม่รู้หรอกนะว่านายจะเจอหรือถูกกดดันอะไรมา แต่การที่นายต้องการจะเอาชนะจนลืมจุดประสงค์ของการแข่งกีฬา แบบนี้ถึงนายจะชนะไปมันก็ไม่น่าภูมิใจหรอก แต่นั้นมันก็ไม่ได้น่าอายเท่ากับการที่นายอยากจะชนะมากจนต้องมาทำเรื่องแย่ๆแบบที่นายกำลังทำอยู่ตอนนี้”
“มึง…”
“โอ้ย!” ผมถูกเหวี่ยงจนกระเด็นลงมานั่งกองอยู่กับพื้น รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวจากแรงกระแทกที่ได้รับ
“คนแบบมึงจะไปรู้อะไร”
“รู้สิ! ทำไมคนแบบเราจะไม่รู้ละ ก็ในเมื่อเราน่ะต้องพยายามทำอะไรตั้งเยอะกว่าจะได้มายืนอยู่ตรงนี้ เราต้องฝึกฝน เรียนรู้และทุ่มเทมากแค่ไหน ทำไมเราจะไม่รู้ละว่ากีฬาน่ะจริงๆแล้วมันเป็นยังไง นายนั้นแหละที่ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่ากีฬาเลย” ผมยืนขึ้นเถียงกับอีกคนอย่างไม่ยอมแพ้
ผลั่ก!
“อ๊ะ!” ผมถูกอีกคนผลักจนล้มลงมานั่งกองอยู่กับพื้นเป็นรอบที่สอง อาการเจ็บปะปนกับความโกรธที่มีมากขึ้นเรื่อยๆจนผมต้องเงยหน้ามองอีกคนอย่างเอาเรื่อง
“ในเมื่อบอกกันดีๆแล้วมึงไม่ฟัง มึงก็อย่ามาหาว่ากูใจร้ายก็แล้วกัน”
ใครอีกคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ผมเบี่ยงตัวหลบก่อนจะก้มหน้าหลับตาปี๋ด้วยความกลัวเมื่อภาพที่เห็นคือท่าทางการวาดวงแขนขึ้นจะต่อยลงมาที่ผม
“…”
แต่สุดท้ายผมก็ต้องหันกลับไปเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่ามันเงียบเกินกว่าที่ควรจะเป็น ภาพที่ผมเห็นตอนนี้คือข้อมือของไอ้คนที่จะทำร้ายผมถูกจับรั้งไว้จากใครอีกคน
“พี่ศร…” ผมร้องเรียกออกมาด้วยความดีใจ พี่ศรมาช่วยผม
“มึงมาเสือกอะไรวะ” น้ำเสียงไม่พอใจอย่างมากของไอ้คนอันธพาลเอ่ยถาม
“รังแกคนตัวเล็กกว่าแบบนี้ไม่คิดว่าตัวเองเหมือนหมาไปหน่อยหรือไง”
“อั่ก!”
ไอ้คนอันธพาลถูกพี่ศรออกแรงแค่นิดเดียวก็เหวี่ยงตัวมันมากองอยู่กับพื้นถัดจากผมไปไม่ใกล้ ตอนนี้สายตาพี่ศรดูน่ากลัวมากๆเลย ผมเคยเห็นพี่ศรทำหน้านิ่งหรือแววตาดุมาก็มาก แต่ไม่มีครั้งไหนดูน่ากลัวและเย็นชาเท่าครั้งนี้เลย ตอนนี้พี่ศรดูโกรธมากๆ
“ไป” พี่ศรยืนมือมาช่วยดึงผมให้ลุกขึ้น ทันทีที่ผมลุกขึ้นยืนได้พี่ศรกระชับกุมมือผมไว้แน่นก่อนจะออกแรงรั้งให้ผมเดินตาม
“มึง!” แต่เหตุการณ์มันไม่ได้จบลงแค่นั้น เพราะตอนนี้ไอ้คนอันธพาลที่ถูกพี่ศรเหวี่ยงจนล้มไปมันหยิบเอาด้ามไม้ถูพื้นที่วางไว้ขึ้นมาก่อนจะออกแรงเหวียงฟาดมาทางพวกผมเต็มแรง
“พี่ศรระวัง!” ผมเผลอร้องเตือนเสียงดังด้วยความตกใจ แต่พี่ศรคนที่ควรจะตกใจในตอนนี้กลับดูนิ่งมากๆ พี่ศรใช้แขนข้างที่จับมือผมอยู่ดึงตัวผมให้หลบอยู่ด้านหลังของพี่เขา ด้ามไม้ถูพื้นที่พึ่งจะถูกไอ้คนอันธพาลคนนั้นฟาดลงมาเต็มแรงตอนนี้มันมาหยุดนิ่งอยู่โดยมีมือของพี่ศรที่จับเอาไว้ได้ทัน
“ปล่อย! ปล่อยสิวะ” พี่ศรที่น่ากลัวมากๆเวลาโกรธในตอนนี้เหมือนจะน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า ไอ้คนอันธพาลที่ตอนนี้มีสีหน้าถอดสีลงไปอย่างเห็นได้ชัดกำลังออกแรงพยายามดึงรั้งไม่ถูพื้นกลับ ส่วนอีกคนที่จับไม้ถูพื้นอยู่แน่นไม่ยอมปล่อยอย่างพี่ศรก็ออกแรงดึงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน
“อั่ก!” จนกระทั่งเป็นพี่ศรที่ออกแรงดึงจนร่างของไอ้อันธพาลนั้นเซเข้ามาใกล้ พี่ศรจัดการตีเข่าเข้าใส่อีกคนจนไอ้อันธพาลนั้นร้องเสียงหลงออกมา ไม่รอช้าพี่ศรคว้าหมับเข้าที่คอของไอ้คนนั้นจนมันต้องเบ้หน้า ขนาดผมที่ยืนดูอยู่ห่างๆยังต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
พะ…พี่ศรโคตรดุเลย ผมสัญญา ไม่สิ! สาบาน ผมสาบานเลยว่าผมจะไม่ทำให้พี่ศรโกรธอีกเด็ดขาดเลย น่ากลัวชะมัด
“คนแบบมึงไม่ควรเป็นนักกีฬาหรอกวะ น้ำใจนักกีฬาคืออะไรมึงยังไม่รู้จัก แล้วแบบนี้มึงยังจะหน้าด้านเล่นกีฬาได้อีกเหรอวะ หะ!” พี่ศรตะวาดเสียงดังจนผมสะดุ้งไปด้วย
“คะ…ครับพี่ ผมขอโทษครับ พี่อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ ผะ…ผมกลัวแล้ว” น้ำเสียงสั่นเครือของไอ้อันธพาลคนนั้นที่ตอนนี้กลายเป็นหมาหงอยอยู่ในกำมือพี่ศรไปซะแล้ว
“ไป! แล้วอย่าให้กูเห็นหน้ามึงอีก”
“ครับๆ”
พี่ศรออกแรงเหวี่ยงหมาหงอยในมือออกไปนอกห้องน้ำอย่างแรงจนอีกคนเซถลาล้มหน้าคะมำ ทันทีที่ยืนขึ้นได้ใครอีกคนก็เอาแต่พร่ำขอโทษพี่ศรอย่างไม่กล้าสบตาก่อนจะวิ่งหนีหายไป
“เจ็บตรงไหนไหม” พอเหลือกันสองคนแล้วพี่ศรหันมาถามผม
หมับ!
ผมไม่ตอบอะไรกลับแต่เลือกที่จะเข้าไปออกแรงสวมกอดอีกคนไหว้ ซุกหน้าลงกับแผ่นกว้างของอีกคนอย่างหาที่พึ่งแล้วในที่สุดน้ำตาของผมมันก็เริ่มไหลออกมาเอง
“ฮึก…”
“ไม่มีอะไรแล้ว ไม่ต้องร้อง” พี่ศรยอมให้ผมกอดอย่างไม่อิดออด ผมรับรู้ได้ถึงแรงสัมผัสจากมือแสนอบอุ่นที่กำลังลูบหัวผมอย่างปลอบประโลม
“ขอบคุณพี่มากนะครับที่มาช่วยผม เมื่อกี้ผมกลัวมากๆเลย”
“รู้แล้วไอ้ลูกหมา กูเคยบอกแล้วไงว่ากูจะปกป้องมึงเอง แต่กูก็เคยบอกไปแล้วเหมือนกันว่าให้ช่วยมีเรื่องให้มันน้อยๆหน่อย ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย ไอ้ลูกหมาเอ้ย!” ผมเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ศร ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนักที่ถูกเรียกแบบนั้น
“พี่ว่าผมเหรอ”
“หึ! ก็มึงบอกว่ามึงกลัวไม่ใช่หรือไง กูก็บอกว่ากูเชื่อมึงแล้วนี่ไง”
“แต่พี่ว่าผมอ่ะ เมื่อกี้นี้ผมได้ยิน”
“ว่าที่ไหน” อีคนเถียงหน้าตาย
“ว่า พี่ว่าผม”
“กูว่าอะไร”
“ก็ว่าผมเป็นไอ้ลูกหมา”
“หรือไม่ใช่”
“ก็ไม่ใช่ไง”
“ไม่ใช่เหรอ แล้วลูกหมาที่ไหนกำลังกลัวจนตัวสั่นในอ้อมกอดกูตอนนี้นะ”
“…” พอพี่ศรพูดมาแบบนี้ผมพึ่งจะนึกขึ้นได้ พี่ศรบ้า คนกำลังจะเข้าโหมดซึ้งอยู่แท้ๆที่พี่ศรมาช่วยผมไว้จากเหตุการณ์น่ากลัวนั้น ถ้าจะมาทำหน้าตาทะเล้นแบบนี้นะผมจะไม่ขอบคุณพี่แล้ว
“อย่าดิ้นสิ”
“ผมไม่ได้ดิ้น พี่ปล่อยผมได้แล้ว” ผมพยายามทั้งดันตัว ทั้งแกะมือและพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดพี่ศร แต่ดูเหมือนใครอีกคนก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆเหมือนกัน พี่ศรใช้ความได้เปรียบทางสรีระที่เหนือกว่าผมออกแรงสวมกอดผมแน่นขึ้นจนผมต้องซบหน้าลงกับอกกว้างของเขาอีกครั้ง
“พี่ศรปล่อยผมนะ” ผมพยายามร้องบอก
“ไม่กลัวแล้วเหรอ” แต่พี่ศรก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแสนกวนเหมือนเดิม พี่ศรต้องไปตรวจไบโพล่าบ้างแล้วนะ เมื่อกี้ยังทำหน้าตาดุๆอยู่เลย มาตอนนี้มาทำหน้ากวนๆใส่ผมซะแล้ว
“ผมไม่กลัวแล้วพี่ปล่อยผมเลยนะ”
“ไม่ปล่อย”
“อือออ…พี่ศร”
“ขอกอดอีกนิดเดียว”
“…”
“ไม่เจ็บตรงไหนแน่นะ แล้ววันนี้จะวิ่งไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องวิ่ง กูห้าม”
“เป็นอะไรกับผมถึงมาห้าม”
“เป็นแฟน”
“บ้า! ไม่ใช่สักหน่อย ไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย”
“ไม่ใช่ก็เกือบๆ อย่างน้อยๆตอนนี้ก็เป็นคนที่มึงชอบ”
“…” ไปไม่ถูกเลยผม ไม่รู้ตอนนี้พี่ศรจะทำหน้าตายังไง แต่ผมน่ะไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหน้าคงจะแดงหมดแล้ว
“วันนี้ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องวิ่ง”
“ไม่ได้นะ ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยทำไมจะวิ่งไม่ได้ละ”
“ตามใจ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมากูไม่แบกไปเรียนอีกแล้วนะ” ใครอยากจะให้พี่แบกไปเรียนกันเล่า ผมไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย แต่ถึงจะเป็นผมก็ไม่มีทางให้พี่แบกผมไปเรียนหรอก ตอนนั้นที่ถูกพวกไอ้พี่ทอยทำร้ายผมยังจำได้ดีว่าตอนพี่ศรเอาผมขี่หลังไปส่งที่คณะมันทำให้ใจผมเต้นแรงแค่ไหน เพราะฉะนั้นผมจะไม่ยอมไปตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นอีกเด็ดขาด
ถึงมัน…จะรู้สึกดีมากๆก็เถอะ
พี่ศรอาสาจะไปส่งผมที่ประตูทางเข้าในส่วนของนักกีฬาที่จะเข้าแข่งขันวันนี้ ผมถูกพี่ศรล้อเรื่องตัวเล็กมั่งแหละ ขาสั้นมั่งแหละ รูปร่างแบบนี้จะไปสู้ใครเข้าได้บ้างแหละ พี่ศรน่ะไม่รู้อะไรซะแล้ว ถึงผมจะตัวเล็กแต่ก็เล็กพริกขี้หนูนะ ถ้าไม่แน่จริงผมคงไม่ได้โควตาเข้ามาเรียนที่นี่กับพี่หรอก
“ว่าแต่…พี่ศรหาผมเจอได้ยังไงเหรอครับ” นั้นสิ ห้องน้ำที่ผมเข้าก็อยู่ข้างในสนามตั้งลึกไม่ได้อยู่โซนด้านนอกที่คนทั่วไปสามารถเข้ามาได้สักหน่อย แล้วแบบนั้นพี่ศรหาผมเจอได้ยังไง
“ก็ถามทางมา” พี่ศรตอบเสียงเรียบ
“จริงเหรอครับ”
“ทำไมทำตัวขี้สงสัยจังวะ”
“ก็ห้องน้ำนั้นมันสำหรับนักกีฬานะครับ คนนอกไม่น่าจะเข้ามาได้ง่ายๆ”
“แต่กูก็เป็นนักกีฬาไหม”
“นั้นมันก็ใช่ครับ แต่ว่าพี่ไม่ได้เข้าแข่งขันวันนี้สักหน่อย”
“ขี้สงสัย” อือออ! พี่ศรบีบจมูกผมอีกแล้ว “กูมากับไอ้แทน แค่จะไปเข้าห้องน้ำแล้วไปเจอลูกหมากำลังโดนรังแกอยู่ ก็เลยช่วยมาแค่นั้น”
“อะไรเล่า! ผมไม่ใช่ลูกหมาสักหน่อย”
“กูบอกเหรอว่าเป็นมึง”
“ก็…”
พี่ศรนะพี่ศรยังจะมาทำหน้ากวนๆใส่อีก ก็คนที่ตัวเองพึ่งจะไปช่วยมาน่ะคือผมเองแท้ๆยังจะมาบอกว่าไม่ได้หมายความถึงผมอีก
แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ยอมรับหรือว่าพูดอะไรออกไปดีกว่า เดี๋ยวจะกลายเป็นว่ายอมรับว่าตัวเองเป็น…ลูกหมา
“ไอ้ศรๆ” เสียงเอะอะโวยวายปนอาการหอบของใครอีกคนที่กำลังวิ่งตรงมาหาพี่ศรทำให้พวกผมต้องหันไปมอง
“อะไรวะ” พี่ศรถามคนที่มาใหม่
“ไอ้แทนมันมากับมึงใช่ไหม”
“ใช่ ทำไมวะ”
“มันตีอยู่กับเด็กปีหนึ่งคณะไหนไม่รู้วะ มึงช่วยไปดูมันหน่อยสิวะ” พี่ศรหันมามองหน้าผมอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจ ผมเองก็ยิ้มแห้งๆตอบกลับไปอย่างไม่เข้าใจเช่นกัน สุดท้ายสิ่งที่เลือกทำก็คือการยอมที่จะเดินตามพี่อีกคนที่มาตามพี่ศรในตอนแรกไป พี่เขาดูท่าทางร้อนรนเอามากๆจนสุดท้ายจากการเดินก็เลยเปลี่ยนเป็นวิ่งแทน สงสัยคงจะเป็นเรื่องใหญ่มากๆแน่เลย
พี่แทนนะพี่แทนไปก่อเรื่องอะไรอีกแล้วนะ เป็นตัวป่วนทุกงานเลยจริงๆ
“อั๊ก!”
ตุบ!
พอมาถึงเราได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของพี่แทนดังมาก่อนเป็นอันดับแรกจากนั้นก็ตามมาติดๆด้วยเสียงของสิ่งของหรือใครบางคนโดนทุ่มลงพื้นอย่างจัง
“นั้นไงไอ้แทน” พี่คนที่มาตามพี่ศรกับผมหันมาบอก
ผมมองไปตามทางที่พี่คนนั้นชี้ ภาพที่เห็นเรียกให้ผมต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“นั้นมัน…” ไม่ใช่แค่เห็นพี่แทนที่ไม่เคยยอมใครกำลังโดนใครอีกคนจับทุ่มลงพื้นราวกับเป็นสิ่งของไม่มีน้ำหนัก แต่ตอนนี้ใครคนที่กำลังมีเรื่องกับพี่แทนอยู่นั่นคือไอ้ไพร์เพื่อนผมเอง แถมคนที่ยืนดูอยู่ไม่ห่างคือไอ้ปัญเพื่อนผมอีกคนด้วยเช่นกัน
แค่ได้เจอสองคนนั้นวันนี้มันก็แปลกใจพออยู่แล้วนะ นี่ยังมามีเรื่องกับพี่แทนอีกด้วย ผมงงไปหมดแล้ว
“นั้นเพื่อนมึงนี่” พี่ศรหันมาพูดกับผม ตายังคงจ้องมองไปยังกลุ่มคนตรงหน้า พี่ศรคงจะจำไอ้ไพร์ได้เพราะสองคนเคยเจอกันมาแล้ว
“เอ่อ…ใช่ครับ”
“แล้วเพื่อนมึงมามีเรื่องกับไอ้แทนได้ไง”
“ไม่รู้สิครับ”
“มึง!” แต่ความสงสัยของผมก็ถูกแทนที่ด้วยความตกใจอีกครั้ง เพราะพี่แทนที่พึ่งจะถูกไอ้ไพร์จับตัวทุ่มลงกับพื้นไปเมื่อกี้ ตอนนี้พี่แทนลุกขึ้นมากำหมัดจะต่อยไอ้ไพร์กลับอย่างไม่ยอมแพ้
แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็กลับเป็นแบบเดิม คือพี่แทนถูกไอ้ไพร์รวบแขนข้างที่ต่อยออกไปไว้ได้ ก่อนจะเหวี่ยงพี่แทนลงไปนอนกับพื้นอีกครั้ง
“ไอ้แทน” พี่ศรรีบวิ่งเข้าไปล็อกแขนห้ามพี่แทนไว้ ทั้งสองคนยื้อยุดฉุดกันไปมาเพราะพี่แทนที่ตอนนี้ดูท่าทางจะหัวเสียมากๆก็มีที่ท่าไม่ยอมเลย
“อะไรกันวะไอ้ไพร์ แล้วนี่พวกมึงมาได้ยังไง” ผมเองก็รีบวิ่งเข้าไปห้ามเพื่อนผมเองไว้เหมือนกัน ต้องห้ามสิครับไม่ห้ามพี่แทนได้ตายแน่ ไอ้ไพร์เห็นมันนิ่งๆเงียบๆแบบนี้มันเป็นเทควันโดนะครับ สายดำด้วย พี่แทนยังไงก็สู้ไม่ได้ ถ้าไม่รีบห้ามไว้มีหวังช้ำในตายแน่ๆ
“ไอ้ปุณย์” เสียงไอ้ปัญเพื่อนของผมอีกคนร้องทักด้วยความดีใจ แต่เชื่อเถอะครับสีหน้าของผมและสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้ชวนดีใจเลยสักนิด
“ตอบกูมาก่อนว่าพวกมึงมาได้ยังไง แล้วนี่…” ผมเหลือบมองไปทางพี่แทนที่กำลังพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนของพี่ศร “มึงมามีเรื่องอะไรกับรุ่นพี่กูวะเนี่ยไอ้ไพร์” แต่คนถูกถามอย่างไอ้ไพร์ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มีแค่ไอ้ปัญที่ยืนอยู่ข้างๆเป็นคนตอบแทน
“เอ่อ…ไอ้ปุณย์ นะ…นี่รุ่นพี่มึงเหรอ” ไอ้ปัญถาม
“ก็ใช่นะสิ ทีนี้จะบอกกูมาได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“คือว่าวันนี้ไอ้ไพร์มันชวนกูมาหามึงอ่ะ มันบอกว่าวันนี้มึงมีแข่งวิ่งด้วยกูก็เลยว่าจะมาเชียร์มึงนี่แหละ ระหว่างทางพวกกูก็ถามหามึงมาเรื่อยๆจนมาเจอพี่คนนี้ ไม่รู้พี่แกโมโหอะไรอยู่ดีๆก็จะเข้ามาต่อยไอ้ไพร์มันเนี่ย”
“จริงเหรอพี่แทน”
“ก็ไอ้คนนี้มันบอกว่ามันเป็นแฟนมึงอ่ะ มันพูดแบบนั้นได้ยังไงมึงเสียหายนะโว้ย”
“…” คนถูกพาดพิงอย่างไอ้ไพร์ไม่ได้แสดงสีหน้าตกใจอะไร มิหนำซ้ำยังทำสีหน้ายียวนกวนประสาทให้พี่แทนอีก
เฮ้อ! พอๆกันเลยสองคนนี้
“นั้นไงมันกวนตีนกูอีกแล้ว ไอ้ศรปล่อยกู” พี่แทนโวยวายจะดิ้นให้หลุดจากวงแขนพี่ศรให้ได้
“เฮ้ย! มึงใจเย็นๆก่อนไอ้แทน”
สถานการณ์วุ่นวายอยู่สักพักกว่าจะสงบลงได้ พี่ศรพาพี่แทนแยกไปสงบสติอารมณ์อีกทางส่วนผมก็พาไอ้ไพร์กับไอ้ปัญแยกออกมาอีกทางเช่นกัน
“กูว่าไอ้พี่คนนั้นมันคิดอะไรเกินเลยกับมึงแน่ๆ” ไอ้ปัญว่า
“มึงหมายถึงพี่แทนน่ะเหรอ คิดอะไรวะ” ผมขมวดคิ้วถาม
“ก็ชอบมึงไง ไอ้หมาบ้านั้นมันชอบมึงแน่ๆ” คราวนี้เป็นไอ้ไพร์ที่พูดขึ้นมา ได้ยินแบบนั้นผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“บ้าไปใหญ่แล้ว พี่แทนกับกูเป็นแค่รุ่นพี่รุนน้องร่วมคณะกันแค่นั้น พี่เขาจะมาชอบกูได้ยังไง”
“เหรอออ” ไอ้ไพร์ลากเสียงยาวประชด “เหมือนมึงกับพี่ศรใช่ไหมวะ”
“ก็…”
“หึ! เถียงไม่ออกเลยสิมึง กูละหมั่นไส้พูดแค่นี้หน้าแดงเชียวนะมึง”
“จริงด้วยวะไอ้ไพร์ แหมๆไอ้ปุณย์ ไม่อัพเดทความคืบหน้าให้เพื่อนรู้บ้างเลยนะ คุยกันคราวก่อนมึงก็เงียบกริบไม่เห็นพูดถึงพี่นักกีฬายิงธนูคนนั้นเลย นี่ถ้าไอ้ไพร์ไม่บอกกูว่าวันนี้มึงมีแข่งวิ่งนะกูก็คงไม่ได้มาหรอก มึงเล่นไม่บอกอะไรเพื่อนเลยนี่หว่า” ไอ้ปัญเสริม จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว จริงๆแล้วจะต้องเป็นผมสิที่เป็นคนซักพวกมัน ไม่ใช่มาถูกรุมซักแบบนี้
“ว่าแต่พวกมึงรู้ได้ไงว่าวันนี้กูมีแข่ง” ผมถามเพราะผมนึกขึ้นได้ว่ายังไม่เคยบอกหรือชวนพวกมันเลยนะ
“โน้นต้องถามไอ้ไพร์เขา” ไอ้ปัญพยักพเยิดหน้าไปทางไอ้ไพร์ ทำให้ผมต้องให้ไปส่งสายตาถามคนที่ถูกพาดพิง
“ก็ไม่มีอะไร วันนี้กูแค่รู้มาว่าจะมีวิ่งแข่งรอบชิงฯ แต่เพื่อนกูที่เป็นนักวิ่งเบอร์หนึ่งไม่เห็นจะบอกกูสักคำกูก็เลยต้องสืบเอาเองแบบนี้แหละ” ไอ้ไพร์บอกหน้าตาย
“โทษทีวะ กูก็ลืมไปเลย”
“ลืมหรือเพราะมัวแต่ไปสนใจใครอยู่หรือเปล่าครับเพื่อนปุณย์”
“เชี่ยอะไรของมึงเล่าไอ้ปัญ”
“หน้าแดงไวอย่างที่ไอ้ไพร์พูดจริงๆด้วย”
“…” เอาเข้าไปไอ้พวกเพื่อนเวร
“เออ ว่าแต่ไอ้พี่คนเมื่อกี้เหอะ กูว่าพี่เขาชอบมึงอย่างที่ไอ้ไพร์มันว่าจริงๆนะไอ้ปุณย์ ตอนแรกที่พวกกูมาถามหามึงกับพี่เขาอ่ะ พอพี่มันถามว่าพวกกูเป็นอะไรกับมึงแล้วไอ้ไพร์มันบอกว่าเป็นแฟน พี่มันดูโกรธมากๆเลยนะ กูว่าเขาหึงมึงนั้นแหละ แต่ดีแล้วที่มึงชอบพี่นักกีฬายิงธนูคนนั้นนะ พี่เขาหล่อและโคตรเท่ห์เลยวะ มึงน่ะ…” ไอ้ปัญเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะออกแรงตบบ่าผมเบาๆ “…คิดถูกแล้วที่ไปคบกับพี่เขา”
“บะ…บ้า กูไม่ได้คบกับพี่เขาสักหน่อย”
“แม่เจ้าโว้ย! ไม่ได้คบกันแต่พูดติดอ่างเชียวนะ ไอ้ไพร์มันบอกกูแล้วว่ามึงกับพี่ศรคบกัน”
“…” ไอ้ไพร์ไอ้เพื่อนเวร เอาไปพูดมั่วๆแบบนั้นได้ยังไงเพื่อนเสียหายนะโว้ย
“กูรู้ว่าพี่ศรนั้นชอบมึง” ไอ้ไพร์พูด ว่าแต่…มันรู้ได้ยังไงหรือว่าที่ไอ้ไพร์กับพี่ศรซุบซิบกันวันนั้น
“มึงรู้….”
“อืม” ไอ้ไพร์พยักหน้ารับอย่างมั่นใจ “วันนั้นพี่ศรเขาบอกกูแล้ว”
“บอกเหรอ” ผมถามอย่างลังเลเพราะไม่มั่นใจว่า ‘บอก’ ที่ไอ้ไพร์กำลังหมายถึงคืออะไร ดูจากสีหน้าของทั้งไอ้ไพร์และไอ้ปัญตอนนี้ผมไม่ค่อยไว้ใจเลย
“วันนั้นที่กูมาหามึงคราวก่อน พี่ศรบอกกูเองว่าเขาชอบมึง”
“หะ…หา พะ…พี่ศรบอกมึงด้วยเหรอ”
“อืม” ไอ้ไพร์พยักหน้ารับ “มึงหมายความว่ายังไงที่ว่าบอกกูด้วยเหรอ แสดงว่าพี่ศรเขาบอกชอบมึงไปแล้วสิ”
“เอ่อ…คือ”
“เหอะ! อึ้งแดกแบบนี้สงสัยจะจริงวะไอ้ไพร์” ไอ้ปัญยิ้มร้ายก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วพาดวงแขนหนักๆลงบนคอผม “มึงนี่ร้ายไม่ใช่เล่นนะไอ้ปุณย์ มาไม่กี่เดือนก็มัดใจพี่ศรได้ซะแล้ว ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์แอบชอบเขามาตั้งเกือบสองปี”
“อะไรเล่า!”
“แหมๆ โดนจี้จุดเข้าให้หน้าแดงเชียวนะ จะให้กูเล่าไหมว่ามึงเพ้อถึงเขายังไงบ้างกูจำได้หมดเลยนะ อื้อ…”
“พูดมาก”
“อื้อๆ” ผมยกมือขึ้นปิดปากที่แสนจะพูดมากของไอ้ปัญให้หยุดพูดสักที
ผมไม่คิดเลยว่าพี่ศรจะบอกคนอื่นว่า เอ่อ…ชอบผมด้วย ยอมรับว่าตอนพี่ศรบอกชอบผมรู้สึกดีมากๆเลย ถึงมันจะเขินๆอยู่บ้าง ตอนนี้พี่ศรกล้าที่จะเปิดเผยกลับคนอื่นด้วยว่าชอบผม ตอนนี้ผมมีความสุขโคตรๆเลย
ไม่รู้และไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตหลังจากตัดสินใจมาเรียนที่เดียวกับพี่ศรมันจะเป็นยังไง คิดไว้แค่ว่าได้เห็นหน้าพี่ศรด้วยตาของตัวเองสักครั้ง ได้เห็นพี่เขายิงธนูกับตามันก็คงจะมีความสุขมากๆแล้ว
แต่นี่…สิ่งที่ผมได้กลับมามันมากซะยิ่งกว่ามากอีก ผมบอกใครต่อใครเสมอว่าการแอบรักไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร ดังนั้นขอแค่เรามีใจที่มั่นคงต่อความรักและไม่ยอมแพ้ ความรักน่ะถ้าลองได้เต็มที่กับมันแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็มันก็คุ้มที่จะสู้ทั้งนั้น
เชื่อผมสิ
____________________________
หายไปปั่นต้นฉบับมานะครับ เรื่องนี้จะตีพิมพ์กับ สนพ. Nananaris Ybook กำหนดการออกเล่มงานหนังสือมีนาคมนะครับ ฝาก #รักตรงเป้า ไว้ในลิสต์นิยายทุกคนด้วยนะครับ