Love Ten Points #รักตรงเป้า>>Up Epilogue : The Last Shoot
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love Ten Points #รักตรงเป้า>>Up Epilogue : The Last Shoot  (อ่าน 16068 ครั้ง)

ออฟไลน์ เจ้าโง่_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
18th Shoot


ก็บอกแล้วไงว่าจะปกป้อง





น้องปุณย์’s Part





   “โคตรตื่นเต้นเลย”


   เสียงหอบหายใจไม่เป็นจังหวะดังแข่งกับเสียงเต้นของหัวใจที่เหมือนจะหลุดออกมาให้ได้ ภายในห้องน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกจัดไว้สำหรับนักกีฬาที่จะลงแข่ง มีร่างของผู้ชายตัวเล็กเหมือนเด็กม.ปลายกำลังยืนตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูกอยู่หน้ากระจกใบใหญ่ตอนนี้ ซึ่งคนนั้นคือก็…ผมเอง


   วันนี้ผมจะต้องเข้าแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของประเภทกีฬากรีฑา จากวันนั้นที่พี่ศรบอกว่าจะรอมาเชียร์ผมในวันแข่งชิงชนะเลิศ จนกระทั่งวันนี้ใครจะไปคิดว่าผมจะผ่านเข้ามารอบนี้ได้จริงๆ ทั้งๆที่เคยและผ่านการแข่งขันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆผมก็ยังอดตื่นเต้นจนใจสั่นไม่ได้อยู่ดี ก็วันนี้ผมต้องวิ่งตั้งสองร้อยเมตรเลยนี่น่า มาตรฐานเอเชี่ยนเกมส์เลยนะ มันก็ต้องมีกังวลกันบ้างแหละ


   ปัง!


   เสียงเปิดประตูดังขึ้นจนผมต้องหันไปมอง คนที่เข้ามาใหม่และปิดประตูห้องน้ำเสียงดังผมจำได้ว่าเป็นคนที่อยู่คณะวิศวะฯ เคยเห็นหน้าตอนแข่งรอบก่อนๆแต่ไม่เคยได้คุยกันสักที


   ตอนนี้อีกคนก็อยู่ในชุดพร้อมแข่งขันเช่นเดียวกับผม ผมพอจะจำได้ว่าคนนี้ฝีเท้าการวิ่งไม่เลวเลย ออกจะน่ากลัวด้วยซ้ำ เขาตัวสูงและขายาวกว่าผมเยอะเลย


   “นายคือคนที่อยู่คณะวิทย์’กีฬาใช่ไหม” คนที่เข้ามาใหม่ถามผม


   “ชะ…ใช่ นายมีอะไรหรือเปล่า”


   “นายจะออกจากการแข่งขันไปได้ไหม”


   “หา! หมายความว่ายังไง”  ผมเงยหน้าขึ้นถามอย่างไม่เชื่อหู


   “จะพูดให้ฟังแบบง่ายๆเลยนะ คณะวิศวะของเราต้องการเหรียญทองเหรียญนี้ เพราะฉะนั้นฉันจะบอกนายด้วยความหวังดีว่าให้ถอนตัวซะ”


   หวังดีเหรอ มาพูดกับคนอื่นแบบนี้ยังกล้าใช้คำนั้นได้โดยไม่อายบ้างเลยหรือไง


   “ถ้าแบบนั้นนายก็ต้องชนะตามกติกาสิ จะมาให้คนอื่นยอมแพ้ตัวองทั้งที่ยังไม่ได้แข่งแบบนี้ได้ยังไง ไม่อายตัวเองบ้างหรือไง โอ้ย!...”


“มึงอย่ามาปากดี!” เหมือนผมจะพูดสะกิดโดนต่อมอารมณ์ของอีกคนเข้าให้ซะแล้ว ตอนนี้ใครอีกคนที่ยืนนิ่งในตอนแรกพุ่งเข้ามาจับไหล่ทั้งสองข้างของผมไว้ก่อนจะออกแรงบีบแน่น


“ปล่อยนะ” ผมพยายามจะปัดมือเขาออก ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอีกคนไม่ได้มาดีด้วยแน่ๆ


“คนแบบมึงจะไปรู้อะไร มึงไม่รู้หรอกว่ากูทุ่มเทแค่ไหนกับการแข่งในวันนี้ มึงไม่รู้หรอกว่าคณะกูเขาหวังกับตัวกูไว้มากแค่ไหน เพราะฉะนั้นกูจะแพ้ไม่ได้”


ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่กีฬาเฟรชชี่ มันเป็นแค่การแข่งกันเพื่อสร้างความสามัคคีในหมู่ปีหนึ่งไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงจะต้องจริงจังกันขนาดนั้นด้วย


“แต่นายทำแบบนี้มันก็ไม่ถูกต้องนะ กีฬาน่ะมันมีไว้เพื่อสร้างความสามัคคีไม่ได้เอาไว้ให้แค่เอาชนะกัน แพ้ชนะมันสำคัญตรงไหน…อ๊ะ!” แต่ผมพูดไม่ทันจบก็ต้องเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะอีกคนออกแรงบีบไหล่ผมมากขึ้นก่อนจะดันตัวผมจนติดกับอ่างล้างมือ


“กูบอกว่ามึงอย่ามาปากดี กูจะไม่ฟังไม่สนใจว่ามึงจะพูดอะไร กูจะพูดเขามึงดีๆเป็นครั้งสุดท้าย ถอนตัวออกจากการแข่งขันครั้งนี้ซะ!” อีกคนพูดเสียงดังอย่างเอาจริง


“ไม่!” ผมเถียงกลับเสียงดังเช่นกัน “นาย…นายน่ะมาบอกคนอื่นว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกีฬา แต่ความจริงคือนายนั้นแหละที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกีฬาเลย…”


“….”


“เราไม่รู้หรอกนะว่านายจะเจอหรือถูกกดดันอะไรมา แต่การที่นายต้องการจะเอาชนะจนลืมจุดประสงค์ของการแข่งกีฬา แบบนี้ถึงนายจะชนะไปมันก็ไม่น่าภูมิใจหรอก แต่นั้นมันก็ไม่ได้น่าอายเท่ากับการที่นายอยากจะชนะมากจนต้องมาทำเรื่องแย่ๆแบบที่นายกำลังทำอยู่ตอนนี้”


“มึง…”


“โอ้ย!” ผมถูกเหวี่ยงจนกระเด็นลงมานั่งกองอยู่กับพื้น รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวจากแรงกระแทกที่ได้รับ


“คนแบบมึงจะไปรู้อะไร”


“รู้สิ! ทำไมคนแบบเราจะไม่รู้ละ ก็ในเมื่อเราน่ะต้องพยายามทำอะไรตั้งเยอะกว่าจะได้มายืนอยู่ตรงนี้ เราต้องฝึกฝน เรียนรู้และทุ่มเทมากแค่ไหน ทำไมเราจะไม่รู้ละว่ากีฬาน่ะจริงๆแล้วมันเป็นยังไง นายนั้นแหละที่ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่ากีฬาเลย” ผมยืนขึ้นเถียงกับอีกคนอย่างไม่ยอมแพ้


ผลั่ก!


“อ๊ะ!”  ผมถูกอีกคนผลักจนล้มลงมานั่งกองอยู่กับพื้นเป็นรอบที่สอง อาการเจ็บปะปนกับความโกรธที่มีมากขึ้นเรื่อยๆจนผมต้องเงยหน้ามองอีกคนอย่างเอาเรื่อง


“ในเมื่อบอกกันดีๆแล้วมึงไม่ฟัง มึงก็อย่ามาหาว่ากูใจร้ายก็แล้วกัน”


ใครอีกคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ผมเบี่ยงตัวหลบก่อนจะก้มหน้าหลับตาปี๋ด้วยความกลัวเมื่อภาพที่เห็นคือท่าทางการวาดวงแขนขึ้นจะต่อยลงมาที่ผม


“…”


แต่สุดท้ายผมก็ต้องหันกลับไปเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่ามันเงียบเกินกว่าที่ควรจะเป็น ภาพที่ผมเห็นตอนนี้คือข้อมือของไอ้คนที่จะทำร้ายผมถูกจับรั้งไว้จากใครอีกคน


“พี่ศร…” ผมร้องเรียกออกมาด้วยความดีใจ พี่ศรมาช่วยผม


“มึงมาเสือกอะไรวะ” น้ำเสียงไม่พอใจอย่างมากของไอ้คนอันธพาลเอ่ยถาม


“รังแกคนตัวเล็กกว่าแบบนี้ไม่คิดว่าตัวเองเหมือนหมาไปหน่อยหรือไง”


“อั่ก!”


ไอ้คนอันธพาลถูกพี่ศรออกแรงแค่นิดเดียวก็เหวี่ยงตัวมันมากองอยู่กับพื้นถัดจากผมไปไม่ใกล้ ตอนนี้สายตาพี่ศรดูน่ากลัวมากๆเลย ผมเคยเห็นพี่ศรทำหน้านิ่งหรือแววตาดุมาก็มาก แต่ไม่มีครั้งไหนดูน่ากลัวและเย็นชาเท่าครั้งนี้เลย ตอนนี้พี่ศรดูโกรธมากๆ


“ไป” พี่ศรยืนมือมาช่วยดึงผมให้ลุกขึ้น ทันทีที่ผมลุกขึ้นยืนได้พี่ศรกระชับกุมมือผมไว้แน่นก่อนจะออกแรงรั้งให้ผมเดินตาม


“มึง!” แต่เหตุการณ์มันไม่ได้จบลงแค่นั้น เพราะตอนนี้ไอ้คนอันธพาลที่ถูกพี่ศรเหวี่ยงจนล้มไปมันหยิบเอาด้ามไม้ถูพื้นที่วางไว้ขึ้นมาก่อนจะออกแรงเหวียงฟาดมาทางพวกผมเต็มแรง


“พี่ศรระวัง!” ผมเผลอร้องเตือนเสียงดังด้วยความตกใจ แต่พี่ศรคนที่ควรจะตกใจในตอนนี้กลับดูนิ่งมากๆ พี่ศรใช้แขนข้างที่จับมือผมอยู่ดึงตัวผมให้หลบอยู่ด้านหลังของพี่เขา ด้ามไม้ถูพื้นที่พึ่งจะถูกไอ้คนอันธพาลคนนั้นฟาดลงมาเต็มแรงตอนนี้มันมาหยุดนิ่งอยู่โดยมีมือของพี่ศรที่จับเอาไว้ได้ทัน


“ปล่อย! ปล่อยสิวะ” พี่ศรที่น่ากลัวมากๆเวลาโกรธในตอนนี้เหมือนจะน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า ไอ้คนอันธพาลที่ตอนนี้มีสีหน้าถอดสีลงไปอย่างเห็นได้ชัดกำลังออกแรงพยายามดึงรั้งไม่ถูพื้นกลับ ส่วนอีกคนที่จับไม้ถูพื้นอยู่แน่นไม่ยอมปล่อยอย่างพี่ศรก็ออกแรงดึงรั้งไว้ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน


“อั่ก!” จนกระทั่งเป็นพี่ศรที่ออกแรงดึงจนร่างของไอ้อันธพาลนั้นเซเข้ามาใกล้ พี่ศรจัดการตีเข่าเข้าใส่อีกคนจนไอ้อันธพาลนั้นร้องเสียงหลงออกมา ไม่รอช้าพี่ศรคว้าหมับเข้าที่คอของไอ้คนนั้นจนมันต้องเบ้หน้า ขนาดผมที่ยืนดูอยู่ห่างๆยังต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ


พะ…พี่ศรโคตรดุเลย ผมสัญญา ไม่สิ! สาบาน ผมสาบานเลยว่าผมจะไม่ทำให้พี่ศรโกรธอีกเด็ดขาดเลย น่ากลัวชะมัด


“คนแบบมึงไม่ควรเป็นนักกีฬาหรอกวะ น้ำใจนักกีฬาคืออะไรมึงยังไม่รู้จัก แล้วแบบนี้มึงยังจะหน้าด้านเล่นกีฬาได้อีกเหรอวะ หะ!” พี่ศรตะวาดเสียงดังจนผมสะดุ้งไปด้วย


“คะ…ครับพี่ ผมขอโทษครับ พี่อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ ผะ…ผมกลัวแล้ว” น้ำเสียงสั่นเครือของไอ้อันธพาลคนนั้นที่ตอนนี้กลายเป็นหมาหงอยอยู่ในกำมือพี่ศรไปซะแล้ว


“ไป! แล้วอย่าให้กูเห็นหน้ามึงอีก”


“ครับๆ”


พี่ศรออกแรงเหวี่ยงหมาหงอยในมือออกไปนอกห้องน้ำอย่างแรงจนอีกคนเซถลาล้มหน้าคะมำ ทันทีที่ยืนขึ้นได้ใครอีกคนก็เอาแต่พร่ำขอโทษพี่ศรอย่างไม่กล้าสบตาก่อนจะวิ่งหนีหายไป


“เจ็บตรงไหนไหม” พอเหลือกันสองคนแล้วพี่ศรหันมาถามผม


หมับ!


ผมไม่ตอบอะไรกลับแต่เลือกที่จะเข้าไปออกแรงสวมกอดอีกคนไหว้ ซุกหน้าลงกับแผ่นกว้างของอีกคนอย่างหาที่พึ่งแล้วในที่สุดน้ำตาของผมมันก็เริ่มไหลออกมาเอง


“ฮึก…”


“ไม่มีอะไรแล้ว ไม่ต้องร้อง” พี่ศรยอมให้ผมกอดอย่างไม่อิดออด ผมรับรู้ได้ถึงแรงสัมผัสจากมือแสนอบอุ่นที่กำลังลูบหัวผมอย่างปลอบประโลม


“ขอบคุณพี่มากนะครับที่มาช่วยผม เมื่อกี้ผมกลัวมากๆเลย”


“รู้แล้วไอ้ลูกหมา กูเคยบอกแล้วไงว่ากูจะปกป้องมึงเอง แต่กูก็เคยบอกไปแล้วเหมือนกันว่าให้ช่วยมีเรื่องให้มันน้อยๆหน่อย ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย ไอ้ลูกหมาเอ้ย!” ผมเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ศร ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนักที่ถูกเรียกแบบนั้น


“พี่ว่าผมเหรอ”


“หึ! ก็มึงบอกว่ามึงกลัวไม่ใช่หรือไง กูก็บอกว่ากูเชื่อมึงแล้วนี่ไง”


“แต่พี่ว่าผมอ่ะ เมื่อกี้นี้ผมได้ยิน”


“ว่าที่ไหน” อีคนเถียงหน้าตาย


“ว่า พี่ว่าผม”


“กูว่าอะไร”


“ก็ว่าผมเป็นไอ้ลูกหมา”


“หรือไม่ใช่”


“ก็ไม่ใช่ไง”


“ไม่ใช่เหรอ แล้วลูกหมาที่ไหนกำลังกลัวจนตัวสั่นในอ้อมกอดกูตอนนี้นะ”


“…” พอพี่ศรพูดมาแบบนี้ผมพึ่งจะนึกขึ้นได้ พี่ศรบ้า คนกำลังจะเข้าโหมดซึ้งอยู่แท้ๆที่พี่ศรมาช่วยผมไว้จากเหตุการณ์น่ากลัวนั้น ถ้าจะมาทำหน้าตาทะเล้นแบบนี้นะผมจะไม่ขอบคุณพี่แล้ว


“อย่าดิ้นสิ”


“ผมไม่ได้ดิ้น พี่ปล่อยผมได้แล้ว” ผมพยายามทั้งดันตัว ทั้งแกะมือและพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดพี่ศร แต่ดูเหมือนใครอีกคนก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆเหมือนกัน พี่ศรใช้ความได้เปรียบทางสรีระที่เหนือกว่าผมออกแรงสวมกอดผมแน่นขึ้นจนผมต้องซบหน้าลงกับอกกว้างของเขาอีกครั้ง


“พี่ศรปล่อยผมนะ” ผมพยายามร้องบอก


“ไม่กลัวแล้วเหรอ” แต่พี่ศรก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแสนกวนเหมือนเดิม พี่ศรต้องไปตรวจไบโพล่าบ้างแล้วนะ เมื่อกี้ยังทำหน้าตาดุๆอยู่เลย มาตอนนี้มาทำหน้ากวนๆใส่ผมซะแล้ว


“ผมไม่กลัวแล้วพี่ปล่อยผมเลยนะ”


“ไม่ปล่อย”


“อือออ…พี่ศร”


“ขอกอดอีกนิดเดียว”


“…”


“ไม่เจ็บตรงไหนแน่นะ แล้ววันนี้จะวิ่งไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องวิ่ง กูห้าม”


“เป็นอะไรกับผมถึงมาห้าม”


“เป็นแฟน”


“บ้า! ไม่ใช่สักหน่อย ไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย”


“ไม่ใช่ก็เกือบๆ อย่างน้อยๆตอนนี้ก็เป็นคนที่มึงชอบ”


“…” ไปไม่ถูกเลยผม ไม่รู้ตอนนี้พี่ศรจะทำหน้าตายังไง แต่ผมน่ะไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหน้าคงจะแดงหมดแล้ว


“วันนี้ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องวิ่ง”


“ไม่ได้นะ ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยทำไมจะวิ่งไม่ได้ละ”


“ตามใจ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมากูไม่แบกไปเรียนอีกแล้วนะ” ใครอยากจะให้พี่แบกไปเรียนกันเล่า ผมไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย แต่ถึงจะเป็นผมก็ไม่มีทางให้พี่แบกผมไปเรียนหรอก ตอนนั้นที่ถูกพวกไอ้พี่ทอยทำร้ายผมยังจำได้ดีว่าตอนพี่ศรเอาผมขี่หลังไปส่งที่คณะมันทำให้ใจผมเต้นแรงแค่ไหน เพราะฉะนั้นผมจะไม่ยอมไปตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นอีกเด็ดขาด


ถึงมัน…จะรู้สึกดีมากๆก็เถอะ





พี่ศรอาสาจะไปส่งผมที่ประตูทางเข้าในส่วนของนักกีฬาที่จะเข้าแข่งขันวันนี้ ผมถูกพี่ศรล้อเรื่องตัวเล็กมั่งแหละ ขาสั้นมั่งแหละ รูปร่างแบบนี้จะไปสู้ใครเข้าได้บ้างแหละ พี่ศรน่ะไม่รู้อะไรซะแล้ว ถึงผมจะตัวเล็กแต่ก็เล็กพริกขี้หนูนะ ถ้าไม่แน่จริงผมคงไม่ได้โควตาเข้ามาเรียนที่นี่กับพี่หรอก


“ว่าแต่…พี่ศรหาผมเจอได้ยังไงเหรอครับ” นั้นสิ ห้องน้ำที่ผมเข้าก็อยู่ข้างในสนามตั้งลึกไม่ได้อยู่โซนด้านนอกที่คนทั่วไปสามารถเข้ามาได้สักหน่อย แล้วแบบนั้นพี่ศรหาผมเจอได้ยังไง


“ก็ถามทางมา” พี่ศรตอบเสียงเรียบ


“จริงเหรอครับ”


“ทำไมทำตัวขี้สงสัยจังวะ”


“ก็ห้องน้ำนั้นมันสำหรับนักกีฬานะครับ คนนอกไม่น่าจะเข้ามาได้ง่ายๆ”


“แต่กูก็เป็นนักกีฬาไหม”


“นั้นมันก็ใช่ครับ แต่ว่าพี่ไม่ได้เข้าแข่งขันวันนี้สักหน่อย”


“ขี้สงสัย” อือออ! พี่ศรบีบจมูกผมอีกแล้ว “กูมากับไอ้แทน แค่จะไปเข้าห้องน้ำแล้วไปเจอลูกหมากำลังโดนรังแกอยู่ ก็เลยช่วยมาแค่นั้น”


“อะไรเล่า! ผมไม่ใช่ลูกหมาสักหน่อย”


“กูบอกเหรอว่าเป็นมึง”


“ก็…”


พี่ศรนะพี่ศรยังจะมาทำหน้ากวนๆใส่อีก ก็คนที่ตัวเองพึ่งจะไปช่วยมาน่ะคือผมเองแท้ๆยังจะมาบอกว่าไม่ได้หมายความถึงผมอีก


แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ยอมรับหรือว่าพูดอะไรออกไปดีกว่า เดี๋ยวจะกลายเป็นว่ายอมรับว่าตัวเองเป็น…ลูกหมา


“ไอ้ศรๆ” เสียงเอะอะโวยวายปนอาการหอบของใครอีกคนที่กำลังวิ่งตรงมาหาพี่ศรทำให้พวกผมต้องหันไปมอง


“อะไรวะ” พี่ศรถามคนที่มาใหม่


“ไอ้แทนมันมากับมึงใช่ไหม”


“ใช่ ทำไมวะ”


“มันตีอยู่กับเด็กปีหนึ่งคณะไหนไม่รู้วะ มึงช่วยไปดูมันหน่อยสิวะ” พี่ศรหันมามองหน้าผมอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจ ผมเองก็ยิ้มแห้งๆตอบกลับไปอย่างไม่เข้าใจเช่นกัน สุดท้ายสิ่งที่เลือกทำก็คือการยอมที่จะเดินตามพี่อีกคนที่มาตามพี่ศรในตอนแรกไป พี่เขาดูท่าทางร้อนรนเอามากๆจนสุดท้ายจากการเดินก็เลยเปลี่ยนเป็นวิ่งแทน สงสัยคงจะเป็นเรื่องใหญ่มากๆแน่เลย


พี่แทนนะพี่แทนไปก่อเรื่องอะไรอีกแล้วนะ เป็นตัวป่วนทุกงานเลยจริงๆ





   “อั๊ก!”


   ตุบ!


พอมาถึงเราได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของพี่แทนดังมาก่อนเป็นอันดับแรกจากนั้นก็ตามมาติดๆด้วยเสียงของสิ่งของหรือใครบางคนโดนทุ่มลงพื้นอย่างจัง


“นั้นไงไอ้แทน” พี่คนที่มาตามพี่ศรกับผมหันมาบอก


ผมมองไปตามทางที่พี่คนนั้นชี้ ภาพที่เห็นเรียกให้ผมต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ


“นั้นมัน…” ไม่ใช่แค่เห็นพี่แทนที่ไม่เคยยอมใครกำลังโดนใครอีกคนจับทุ่มลงพื้นราวกับเป็นสิ่งของไม่มีน้ำหนัก แต่ตอนนี้ใครคนที่กำลังมีเรื่องกับพี่แทนอยู่นั่นคือไอ้ไพร์เพื่อนผมเอง แถมคนที่ยืนดูอยู่ไม่ห่างคือไอ้ปัญเพื่อนผมอีกคนด้วยเช่นกัน


แค่ได้เจอสองคนนั้นวันนี้มันก็แปลกใจพออยู่แล้วนะ นี่ยังมามีเรื่องกับพี่แทนอีกด้วย ผมงงไปหมดแล้ว


“นั้นเพื่อนมึงนี่” พี่ศรหันมาพูดกับผม ตายังคงจ้องมองไปยังกลุ่มคนตรงหน้า พี่ศรคงจะจำไอ้ไพร์ได้เพราะสองคนเคยเจอกันมาแล้ว


“เอ่อ…ใช่ครับ”


“แล้วเพื่อนมึงมามีเรื่องกับไอ้แทนได้ไง”


“ไม่รู้สิครับ”


“มึง!” แต่ความสงสัยของผมก็ถูกแทนที่ด้วยความตกใจอีกครั้ง เพราะพี่แทนที่พึ่งจะถูกไอ้ไพร์จับตัวทุ่มลงกับพื้นไปเมื่อกี้ ตอนนี้พี่แทนลุกขึ้นมากำหมัดจะต่อยไอ้ไพร์กลับอย่างไม่ยอมแพ้


แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็กลับเป็นแบบเดิม คือพี่แทนถูกไอ้ไพร์รวบแขนข้างที่ต่อยออกไปไว้ได้ ก่อนจะเหวี่ยงพี่แทนลงไปนอนกับพื้นอีกครั้ง


“ไอ้แทน” พี่ศรรีบวิ่งเข้าไปล็อกแขนห้ามพี่แทนไว้ ทั้งสองคนยื้อยุดฉุดกันไปมาเพราะพี่แทนที่ตอนนี้ดูท่าทางจะหัวเสียมากๆก็มีที่ท่าไม่ยอมเลย


“อะไรกันวะไอ้ไพร์ แล้วนี่พวกมึงมาได้ยังไง” ผมเองก็รีบวิ่งเข้าไปห้ามเพื่อนผมเองไว้เหมือนกัน ต้องห้ามสิครับไม่ห้ามพี่แทนได้ตายแน่ ไอ้ไพร์เห็นมันนิ่งๆเงียบๆแบบนี้มันเป็นเทควันโดนะครับ สายดำด้วย พี่แทนยังไงก็สู้ไม่ได้ ถ้าไม่รีบห้ามไว้มีหวังช้ำในตายแน่ๆ


“ไอ้ปุณย์” เสียงไอ้ปัญเพื่อนของผมอีกคนร้องทักด้วยความดีใจ แต่เชื่อเถอะครับสีหน้าของผมและสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้ชวนดีใจเลยสักนิด


“ตอบกูมาก่อนว่าพวกมึงมาได้ยังไง แล้วนี่…” ผมเหลือบมองไปทางพี่แทนที่กำลังพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนของพี่ศร “มึงมามีเรื่องอะไรกับรุ่นพี่กูวะเนี่ยไอ้ไพร์” แต่คนถูกถามอย่างไอ้ไพร์ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มีแค่ไอ้ปัญที่ยืนอยู่ข้างๆเป็นคนตอบแทน


“เอ่อ…ไอ้ปุณย์ นะ…นี่รุ่นพี่มึงเหรอ” ไอ้ปัญถาม


“ก็ใช่นะสิ ทีนี้จะบอกกูมาได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น”


“คือว่าวันนี้ไอ้ไพร์มันชวนกูมาหามึงอ่ะ มันบอกว่าวันนี้มึงมีแข่งวิ่งด้วยกูก็เลยว่าจะมาเชียร์มึงนี่แหละ ระหว่างทางพวกกูก็ถามหามึงมาเรื่อยๆจนมาเจอพี่คนนี้ ไม่รู้พี่แกโมโหอะไรอยู่ดีๆก็จะเข้ามาต่อยไอ้ไพร์มันเนี่ย”


“จริงเหรอพี่แทน”


“ก็ไอ้คนนี้มันบอกว่ามันเป็นแฟนมึงอ่ะ มันพูดแบบนั้นได้ยังไงมึงเสียหายนะโว้ย”


“…” คนถูกพาดพิงอย่างไอ้ไพร์ไม่ได้แสดงสีหน้าตกใจอะไร มิหนำซ้ำยังทำสีหน้ายียวนกวนประสาทให้พี่แทนอีก


เฮ้อ! พอๆกันเลยสองคนนี้


“นั้นไงมันกวนตีนกูอีกแล้ว ไอ้ศรปล่อยกู” พี่แทนโวยวายจะดิ้นให้หลุดจากวงแขนพี่ศรให้ได้


“เฮ้ย! มึงใจเย็นๆก่อนไอ้แทน”


สถานการณ์วุ่นวายอยู่สักพักกว่าจะสงบลงได้ พี่ศรพาพี่แทนแยกไปสงบสติอารมณ์อีกทางส่วนผมก็พาไอ้ไพร์กับไอ้ปัญแยกออกมาอีกทางเช่นกัน


“กูว่าไอ้พี่คนนั้นมันคิดอะไรเกินเลยกับมึงแน่ๆ” ไอ้ปัญว่า


“มึงหมายถึงพี่แทนน่ะเหรอ คิดอะไรวะ” ผมขมวดคิ้วถาม


“ก็ชอบมึงไง ไอ้หมาบ้านั้นมันชอบมึงแน่ๆ” คราวนี้เป็นไอ้ไพร์ที่พูดขึ้นมา ได้ยินแบบนั้นผมถอนหายใจเฮือกใหญ่


“บ้าไปใหญ่แล้ว พี่แทนกับกูเป็นแค่รุ่นพี่รุนน้องร่วมคณะกันแค่นั้น พี่เขาจะมาชอบกูได้ยังไง”


“เหรอออ” ไอ้ไพร์ลากเสียงยาวประชด “เหมือนมึงกับพี่ศรใช่ไหมวะ”


“ก็…”


“หึ! เถียงไม่ออกเลยสิมึง กูละหมั่นไส้พูดแค่นี้หน้าแดงเชียวนะมึง”


“จริงด้วยวะไอ้ไพร์ แหมๆไอ้ปุณย์ ไม่อัพเดทความคืบหน้าให้เพื่อนรู้บ้างเลยนะ คุยกันคราวก่อนมึงก็เงียบกริบไม่เห็นพูดถึงพี่นักกีฬายิงธนูคนนั้นเลย นี่ถ้าไอ้ไพร์ไม่บอกกูว่าวันนี้มึงมีแข่งวิ่งนะกูก็คงไม่ได้มาหรอก มึงเล่นไม่บอกอะไรเพื่อนเลยนี่หว่า” ไอ้ปัญเสริม จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว จริงๆแล้วจะต้องเป็นผมสิที่เป็นคนซักพวกมัน ไม่ใช่มาถูกรุมซักแบบนี้


“ว่าแต่พวกมึงรู้ได้ไงว่าวันนี้กูมีแข่ง” ผมถามเพราะผมนึกขึ้นได้ว่ายังไม่เคยบอกหรือชวนพวกมันเลยนะ


“โน้นต้องถามไอ้ไพร์เขา” ไอ้ปัญพยักพเยิดหน้าไปทางไอ้ไพร์ ทำให้ผมต้องให้ไปส่งสายตาถามคนที่ถูกพาดพิง


“ก็ไม่มีอะไร วันนี้กูแค่รู้มาว่าจะมีวิ่งแข่งรอบชิงฯ แต่เพื่อนกูที่เป็นนักวิ่งเบอร์หนึ่งไม่เห็นจะบอกกูสักคำกูก็เลยต้องสืบเอาเองแบบนี้แหละ” ไอ้ไพร์บอกหน้าตาย


“โทษทีวะ กูก็ลืมไปเลย”


“ลืมหรือเพราะมัวแต่ไปสนใจใครอยู่หรือเปล่าครับเพื่อนปุณย์”


“เชี่ยอะไรของมึงเล่าไอ้ปัญ”


“หน้าแดงไวอย่างที่ไอ้ไพร์พูดจริงๆด้วย”


“…” เอาเข้าไปไอ้พวกเพื่อนเวร


“เออ ว่าแต่ไอ้พี่คนเมื่อกี้เหอะ กูว่าพี่เขาชอบมึงอย่างที่ไอ้ไพร์มันว่าจริงๆนะไอ้ปุณย์ ตอนแรกที่พวกกูมาถามหามึงกับพี่เขาอ่ะ พอพี่มันถามว่าพวกกูเป็นอะไรกับมึงแล้วไอ้ไพร์มันบอกว่าเป็นแฟน พี่มันดูโกรธมากๆเลยนะ กูว่าเขาหึงมึงนั้นแหละ แต่ดีแล้วที่มึงชอบพี่นักกีฬายิงธนูคนนั้นนะ พี่เขาหล่อและโคตรเท่ห์เลยวะ มึงน่ะ…” ไอ้ปัญเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะออกแรงตบบ่าผมเบาๆ “…คิดถูกแล้วที่ไปคบกับพี่เขา”


“บะ…บ้า กูไม่ได้คบกับพี่เขาสักหน่อย”


“แม่เจ้าโว้ย! ไม่ได้คบกันแต่พูดติดอ่างเชียวนะ ไอ้ไพร์มันบอกกูแล้วว่ามึงกับพี่ศรคบกัน”


“…” ไอ้ไพร์ไอ้เพื่อนเวร เอาไปพูดมั่วๆแบบนั้นได้ยังไงเพื่อนเสียหายนะโว้ย


“กูรู้ว่าพี่ศรนั้นชอบมึง” ไอ้ไพร์พูด ว่าแต่…มันรู้ได้ยังไงหรือว่าที่ไอ้ไพร์กับพี่ศรซุบซิบกันวันนั้น


“มึงรู้….”


“อืม” ไอ้ไพร์พยักหน้ารับอย่างมั่นใจ “วันนั้นพี่ศรเขาบอกกูแล้ว”


“บอกเหรอ” ผมถามอย่างลังเลเพราะไม่มั่นใจว่า ‘บอก’ ที่ไอ้ไพร์กำลังหมายถึงคืออะไร ดูจากสีหน้าของทั้งไอ้ไพร์และไอ้ปัญตอนนี้ผมไม่ค่อยไว้ใจเลย


“วันนั้นที่กูมาหามึงคราวก่อน พี่ศรบอกกูเองว่าเขาชอบมึง”


“หะ…หา พะ…พี่ศรบอกมึงด้วยเหรอ”


“อืม” ไอ้ไพร์พยักหน้ารับ “มึงหมายความว่ายังไงที่ว่าบอกกูด้วยเหรอ แสดงว่าพี่ศรเขาบอกชอบมึงไปแล้วสิ”


“เอ่อ…คือ”


“เหอะ! อึ้งแดกแบบนี้สงสัยจะจริงวะไอ้ไพร์” ไอ้ปัญยิ้มร้ายก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วพาดวงแขนหนักๆลงบนคอผม “มึงนี่ร้ายไม่ใช่เล่นนะไอ้ปุณย์ มาไม่กี่เดือนก็มัดใจพี่ศรได้ซะแล้ว ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์แอบชอบเขามาตั้งเกือบสองปี”


“อะไรเล่า!”


“แหมๆ โดนจี้จุดเข้าให้หน้าแดงเชียวนะ จะให้กูเล่าไหมว่ามึงเพ้อถึงเขายังไงบ้างกูจำได้หมดเลยนะ อื้อ…”


“พูดมาก”


“อื้อๆ” ผมยกมือขึ้นปิดปากที่แสนจะพูดมากของไอ้ปัญให้หยุดพูดสักที


ผมไม่คิดเลยว่าพี่ศรจะบอกคนอื่นว่า เอ่อ…ชอบผมด้วย ยอมรับว่าตอนพี่ศรบอกชอบผมรู้สึกดีมากๆเลย ถึงมันจะเขินๆอยู่บ้าง ตอนนี้พี่ศรกล้าที่จะเปิดเผยกลับคนอื่นด้วยว่าชอบผม ตอนนี้ผมมีความสุขโคตรๆเลย


ไม่รู้และไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตหลังจากตัดสินใจมาเรียนที่เดียวกับพี่ศรมันจะเป็นยังไง คิดไว้แค่ว่าได้เห็นหน้าพี่ศรด้วยตาของตัวเองสักครั้ง ได้เห็นพี่เขายิงธนูกับตามันก็คงจะมีความสุขมากๆแล้ว


แต่นี่…สิ่งที่ผมได้กลับมามันมากซะยิ่งกว่ามากอีก ผมบอกใครต่อใครเสมอว่าการแอบรักไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร ดังนั้นขอแค่เรามีใจที่มั่นคงต่อความรักและไม่ยอมแพ้ ความรักน่ะถ้าลองได้เต็มที่กับมันแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็มันก็คุ้มที่จะสู้ทั้งนั้น


เชื่อผมสิ











____________________________


หายไปปั่นต้นฉบับมานะครับ เรื่องนี้จะตีพิมพ์กับ สนพ. Nananaris Ybook กำหนดการออกเล่มงานหนังสือมีนาคมนะครับ ฝาก #รักตรงเป้า ไว้ในลิสต์นิยายทุกคนด้วยนะครับ









ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ขอบคุณมาก เรารออ่านต่อนะ

ออฟไลน์ เจ้าโง่_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
19th Shoot



กำลังใจของกันและกัน











น้องปุณย์’s Part







เสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่มของผู้คนจำนวนมากรอบๆสนามทำให้หัวใจผมในตอนนี้เต้นแรงมากๆเลย ขนาดผมเป็นนักกีฬากรีฑาที่ผ่านสนามแข่งแบบนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้วนะ แต่มันก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี



   “ตื่นเต้นเหรอ” น้ำเสียงอบอุ่นของพี่ศรเอ่ยถาม ตอนนี้ผมกำลังยืนตัวสั่นหน่อยๆด้วยความตื่นเต้นอยู่ตรงประตูทางเข้าสนามแข่งของนักกีฬา พี่ศรอาสาเดินลงมาส่งผมโดยทิ้งให้พี่แทนกับไอ้ไพร์นั่งอยู่ด้วยกัน ตอนนี้ไม่ต้องบอกผมก็พอจะเดาออกว่าไอ้ปัญที่เป็นคนกลางกำลังทำตัวลำบากใจขนาดไหน



   “นิดหน่อยครับ” ผมตอบ



.   “ไม่นิดแล้วมั้งตัวสั่นเชียว”



   “…” ยอมรับก็ได้ว่าตื่นเต้นมาก พี่ศรชอบรู้ทันผมทุกที



   “นี่…” พี่ศรค่อยๆวางมือทาบลงบนหัวผมก่อนตะออกแรงลูบตรงท้ายทอยของผมอย่างแผ่วเบา “มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเรื่องอื่นมึงอาจจะไม่ได้เรื่องแต่เรื่องวิ่งแข่งให้ไว้ใจมึงได้”



   “ครับ” ผมค่อยๆพยักหน้ารับ



   “เพราะฉะนั้นไม่ต้องตื่นเต้นหรอก มันก็แค่กีฬาเฟรชชี่เอง”



“…”



“กูไม่ได้จะบอกว่าแค่กีฬาเฟรชชี่ไม่ต้องทำเต็มที่ก็ได้ ที่กูจะบอกก็คือให้มึงทำให้เต็มที่ไม่ต้องกังวลอะไร เรื่องแพ้ชนะมันเป็นเรื่องธรรมดาของการแข่งขันอยู่แล้ว ถ้ามึงทำมันเต็มที่ผลจะออกมายังไงกูก็ภูมิใจในตัวมึงนะ”



   “พี่ศร…”



   “แล้วมึงก็เป็นแฟนเด็กที่น่ารักของกูด้วย”



   “พี่ศร! ผมยังไม่ได้เป็นแฟนพี่สักหน่อย” ไอ้พี่ศรบ้า คนกำลังจะเข้าโหมดซึ้งอยู่แล้วเชียวดันมาเข้าโหมดนี้ซะได้



   “อ้าวเหรอ นึกว่าจะยอมเป็นแล้วซะอีก อุตส่าห์กะจะเนียนสักหน่อย” พี่ศรพูดหน้าตาย ยังจะมายิ้มอีก คนกำลังตื่นเต้นอยู่นะมาเข้าโหมดคุยเล่นไปได้



   “พี่กลับขึ้นไปอยู่กับพี่แทนเลยไป”



   “แค่นี้ต้องไล่ด้วยเหรอ น้อยใจนะเนี่ย”



   “ผมไม่ได้ไล่ แต่พี่ก็รู้ว่าพี่แทนกับไอ้ไพร์เพื่อนผมเป็นยังไงกัน พี่ออกมานานผมกลัวว่าไอ้ปัญจะห้ามศึกสองคนนั้นไม่อยู่”



   “ก็ได้ แต่ก่อนไปต้องทำอะไรอย่างนึงก่อน”



   “ทำอะไรครับ”



   “นี่ไง” ว่าจบพี่ศรก็ย่อตัวลงมาในระดับเดียวกับผม อีกคนหันหน้าเบี่ยงข้างเล็กน้อยก่อนที่จะทำแก้มป่องๆแล้วหันมาทางผม



   “พะ…พี่ศร” ผมหันซ้ายหันขวาเพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็น ก็ยอมรับแหละว่าพี่ศรตอนนี้ทำตัวน่ารักแล้วก็ดีกับผมมากขึ้นทุกวัน แต่ผมก็ไม่คิดว่าพี่ศรจะทำถึงขนาดนี้ ทำไมผมจะไม่รู้ละว่าที่พี่ศรทำแบบนี้คือต้องการจะให้ผมหอมแก้มใช่ไหม



   “เร็วๆ” เสียงพูดอู้อี้เพราะกำลังทำแก้มป่องอยู่ของพี่ศรเร่งเร้าผมอีกครั้ง พี่ศรค่อยๆขยับตัวยื่นหน้าเข้ามาประชิดผมมากขึ้นจนผมเองต้องก้าวเท้าถอยหนี



   “เอ่อคือ…ผมว่าพี่รีบไปดีกว่านะครับ” สุดท้ายสิ่งที่ผมเลือกทำคือการออกแรงดันตัวพี่ศรให้ออกห่าง



   “ไม่เอา ถ้าไม่ทำกูก็ไม่ไป” ไม่พูดเปล่า พี่ศรคว้าข้อมือผมไว้แน่นก่อนจะดึงตัวผมไปใกล้จนตัวเราติดกัน



   “พี่ศร นี่ไม่ใช่เวลางอแงนะครับ ผมจะต้องเข้าไปในสนามแล้วนะ”



   “งั้นก็รีบๆทำซะสิ”



   ผมชะงักนิ่งไปสักพัก จนสุดท้าย…ฟอด!



   พี่ศรยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง ผมเองทั้งกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า แถมยังได้ยินเสียงเขาประกาศตามตัวนักกีฬาแล้วด้วย สุดท้ายที่สิ่งผมเลือกทำก็คือการยอมที่จะค่อยๆหอมแก้มของพี่ศรอย่างที่พี่เขาต้องการ



   ฟอด!



   กดฝังปลายจมูกลงบนแก้มพี่ศรแล้ว ตอนนี้…รู้สึกร้อนๆที่หน้าขึ้นมาเลย มันร้อนมากๆ ร้อนเหมือนมีคนเอาสปอร์ตไลท์มาส่องตรงหน้าเลย



   “หึ!” พี่ศรกระตุกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ



   “พอใจก็ไปได้แล้วครับ” ผมพูดกับพี่ศรทั้งๆที่ตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาหรือเงยหน้ามองพี่เขาเลยด้วยซ้ำ



   ฟอด!



   แต่หนึ่งการกระทำของพี่ศรก็เรียกความตกใจและการเบิกตากว้าของผมได้



   “...” พะ…พี่ศรหอมแก้มผม เมื่อกี้พี่ศรหอมแก้มผม!



   “แกล้งเล่นนิดเดียวหน้าแดงหมดแล้ว”  พี่ศรพูดจบผมสัมผัสได้ถึงแรงมือที่ยีหัวผมเล่นอีกครั้ง ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าพี่ศรกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ สิ่งที่ผมทำได้คือการก้มหน้าหลุบตามองต่ำอย่างทำตัวไม่ถูกแบบนี้



   ไม่ใช่ครั้งแรกก็จริงที่ถูกพี่ศรทำแบบนี้ แต่ในตอนนี้ที่รู้แล้วว่าใครอีกคนกำลังจีบผมอยู่ มันก็…ทำให้เขินจนผมจะเป็นบ้าอยู่แล้วนะ



   “ปุณย์” พี่ศรสะกิดเรียกเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป พี่ศรพยายามจะให้ผมเงยหน้าขึ้นมองแต่ผมก็เบี่ยงหน้าหลบสายตาอย่างไม่ลดละ



   “ผมเข้าสนามก่อนนะครับ” จนกระทั่งผมออกแรงผลักหน้าอกพี่ศรให้ออกห่างแล้วรีบวิงหนีเข้าสนามมาเลย ตอนที่วิ่งออกมาสายตาเผลอไปเห็นพี่ศรกำลังยิ้มอยู่ด้วย



   คนบ้า มาทำให้ใจผมเต้นแรงจนจะหลุดออกมาขนาดนี้ยังยืนยิ้มอยู่ได้ ถ้าผมหัวใจวายตายไปก่อนพี่ต้องรับผิดชอบผมเลยนะ








ออฟไลน์ เจ้าโง่_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ผมคิดว่าความตื่นเต้นของผมจะหายไปหมดแล้วตั่งแต่ตอนที่โดนพี่ศร…หอมแก้ม แต่จริงๆคือผมคิดผิด ไม่เลย ความตื่นเต้นทั้งหมดมันไม่ได้หายไปไหนเลย ยิ่งตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ในลู่วิ่งของตัวเอง ยืนอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายที่อยู่รอบสนาม จนกระทั่งผมเหลือบไปเห็นสีหน้าวิตกกังวลกับอาการหลบสายตาของใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากผม



ไอ้อันธพาลที่มาทำร้ายผมที่ห้องน้ำคนนั้น



ตอนนี้ใครอีกคนก็คงจะรู้สึกผิดไม่มากก็น้อยแล้วละผมว่า ก็ในเมื่ออาการวิตกกังวลในความผิดของตัวเองมันชัดซะขนาดนั้น คนเรานี่ก็นะ ผมไม่รู้หรอกว่าสำหรับเขาแล้วการชนะครั้งนี้มันสำคัญมากแค่ไหน แต่ถึงจะสำคัญขนาดไหนก็ไม่ควรจะใช้วิธีสกปรกแบบนั้น ถ้าเกิดเขาทำร้ายผมได้จริงๆจนผมไม่สามารถลงแข่งขันได้ แบบนั้นแล้วเข้าจะภูมิใจกับชัยชนะของเขาจริงๆเหรอ



 แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้อีกคนก็คงจะได้รับผมกรรมของเขาไปแล้วไม่มากก็น้อย



“อ๊ะ!” จนกระทั้งผมเผลอยกมือขึ้นโบกไปมาเพราะสายตาหันไปเจอเข้ากับพี่ศรที่กำลังยืนยิ้มนิ่งๆอย่างที่พี่เขาชอบทำ ข้างๆกันมีพี่แทนที่กำลังโบกไม้โบกมือให้ผมอยู่ มองไปข้างๆก็เห็นไอ้ไพร์กำลังนั่งหัวเสียเพราะพี่ถูกพี่แทนยืนบังไว้โดยมีไอ้ปัญกำลังนั่งห้ามไว้อยู่ข้างๆ เห็นแบบนั้นผมได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าออกมา สำหรับสองคนนี้คงจะต้องกลายเป็นไม่ชอบขึ้นหน้าไปแล้วสิซะแล้วสินะ



“เตรียมตัว!” เสียงตะโกนดังของกรรมการเรียกให้ผมต้องละสายตาจากพวกพี่ศร ตอนนี้ทุกคนที่เขาแข่งขันอยู่ในท่าพร้อมวิ่งกันหมด จนกระทั่งเสียงปืนดังขึ้นเป็นสัญญาณปล่อยตัว ผมก้าวเท้าออกแรงวิ่งอัตโนมัติตามสัญชาตญาณ



 การแข่งวันนี้สำหรับผมแล้วค่อนข้างยากและท้าทายมากๆเลย เพราะว่าต้องวิ่งแข่งในระยะเดียวกันกับการแข่งโอลิมปิกเลยนะ ระยะทางไกลเอาเรื่องเลย แค่มองไปข้างหน้าก็อยากจะร้องไห้แล้ว นี่มันคือการแข่งกีฬาเฟรชชี่จริงไหมใช่ไหมเนี่ย



หลังจากออกตัว เวลาผมวิ่งเหมือนสิ่งรอบๆข้างละลายหายไปอย่างไงอย่างนั้น นึกถึงตัวเองสมัยก่อนแล้วก็ยังแอบขำไม่หาย ผมไม่เคยสนใจวิ่งแข่งหรืออะไรพวกนี้เลยนะ จะว่าไปก็ไม่ได้สนใจกีฬาอะไรเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งผมได้เห็นพี่ศรในหน้าจอที่วีในวันนั้น วันที่ผมเริ่มแอบชอบพี่เขา ผมถึงรู้ว่ากีฬามันเป็นอะไรที่วิเศษมากๆ มันทำให้คนเรามีความอดทน มีความพยายาม มีความหวังและความมุ่งมั่นได้อย่างน่าประหลาด



ผมสัมผัสมันได้จากพี่ศร เพราะพี่ศรรู้สึกแบบนั้นเขาถึงส่งต่อความรู้สึกแบบนั้นมาให้ผมด้วย หลังจากวันนั้นผมก็ตัดสินใจว่าจะต้องเล่นกีฬาอะไรสักอย่างให้ได้ และสุดท้ายกีฬาที่ผมเลือกก็คือวิ่งแข่งนี่แหละ มันง่ายแล้วก็เหมาะกับผมด้วย แต่ใครจะไปคิดละว่าคนตัวเล็กๆขาสั้นๆแบบผมจะกลายมาเป็นนักวิ่งระดับภาคเลยนะ แถมวันนี้ผมยังได้มาวิ่งแข่งให้พี่ศรดูเป็นครั้งแรกด้วย ยังไงผมก็ต้องสู้ให้เต็มที่ ผมจะต้องทำให้พี่ศรภูมิใจในตัวผมให้ได้เลย



พอเริ่มวิ่งไกลออกมาเรื่อยๆ นักกีฬาที่เข้าแข่งหลายคนก็เริ่มอ่อนแรงและผ่อนแรงวิ่งไปในที่สุด ต้องไม่ลืมว่านี่คือการแข่งขันกีฬาเฟรชชี่นะครับ นักกีฬาหลายๆคนก็มาจากหลายๆคณะที่ส่งเข้าแข่ง บางคนไม่ได้เป็นนักกีฬา บางคนไม่ได้เล่นกีฬามาก่อนด้วยซ้ำ เป็นแบบนี้ก็เลยไม่แปลกที่พวกรุ่นพี่จะบอกผมว่ายังไงก็ห้ามแพ้เพราะจะเสียชื่อคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาแบบเราเอาได้ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมรุ่นพี่ถึงบอกแบบนั้น ก็ในเมื่อมีแค่คณะเราที่ทุกคนล้วนเป็นนักกีฬากันซะส่วนใหญ่ ถ้าแพ้ขึ้นมามีหวังโดนไล่ออกจากคณะแน่



   จริงๆแล้วผมก็แอบเห็นใจคนอื่นๆอยู่เหมือนกันนะ นั้นเพราะระยะทางที่วิ่งแข่งกันวันนี้ขนาดผมที่เป็นนักกีฬายังแอบหวั่นเลย นับภาษาอะไรกับคนอื่นที่ไม่ได้เป็นนักกีฬาจะถอดใจ ตอนนี้ผมวิ่งอยู่นำหน้าใครทั้งหมดคิดว่าตัวเองคงลอยลำชนะแล้วแน่ๆ แต่ว่าบางอย่างทำให้ผมรู้ว่าผมคิดผิด



   บางอย่างที่ว่าคือตอนนี้ผมหันไปเห็นใครอีกคนกำลังวิ่งตามผมมาด้วยสีหน้ามุ่งมั่นและเอาจริงมากๆ จนกระทั่งอีกคนวิ่งมาอยู่ในระยะเดียวกับผมนั้นแหละผมถึงได้เห็นว่าเป็นคนเดียวกับคนที่จะทำร้ายผมในห้องน้ำ สีหน้าและแววตาของอีกคนดูเอาจริงมากๆ มากจนมันดูกดดันไปหมด ถึงแม้ตอนนี้ใครอีกคนจะไม่ได้สนใจอะไรผมแล้วก็ตามแต่ผมก็ไม่อยากจะอยู่ใกล้หรือข้องแวะอะไรกับเขาอยู่ดี



   ดังนั้นสิ่งที่ผมเลือกทำก็คือการเร่งฝีเท้าเพิ่มความเร็วเพื่อจะได้ทิ้งตัวออกห่าง



   “…” แต่สิ่งที่อีกคนเลือกทำคือพยายามเร่งฝีเท้าตามผมมาเหมือนกัน กลายเป็นว่าตอนนี้อีกคนไม่ได้สนใจที่จะทำร้ายหรือทำอะไรผมแล้วแต่กลับกลายเป็นว่าเขาเลือกที่จะกดดันตัวเองด้วยการเอาชนะผมแทน



   “โอ้ย!” จนสุดท้ายอีกคนก็สะดุดล้ม ผมหยุดวิ่งแล้วยืนมองกลับไปทางอีกคนด้วยความลังเล มองไปข้างหน้าที่เป็นเส้นชัยกับอีกคนที่นั่งอยู่กับพื้นสลับกันอย่างลำบากใจ ดูเหมือนอีกคนจะบาดเจ็บด้วยสิ สถานการณ์ตอนนี้โคตรจะกดดันเลย นี่ผมต้องเลือกระหว่างมนุษยธรรมกับชัยชนะใช่ไหม



   “มานี่” และนั้นแหละครับ สุดท้ายผมก็ต้องเลือกมนุษยธรรมจนได้ ผมเข้าไปช่วยประคองใครอีกคนให้ลุกขึ้นยืน ดูเหมือนจะเจ็บที่ข้อเท้าตอนล้มนิดหน่อยแต่คงไม่ถึงกับเป็นอะไรมากเพราะเขาก็ยังใช้ข้อเท้าพยุงตัวลุก ขึ้นยืนได้อยู่



   “ปล่อย!” แนะ! มีหยิ่งใส่อีก รู้งี้ไม่มาช่วยก็ดี



   “อย่าดื้อ นายขาเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือไง”



   “ไม่ใช่เรื่องที่นายจะมายุ่ง”



   “ก็ไม่อยากยุ่งหรอก แต่มันอดไม่ได้โว้ย!” ผมพูดออกไปอย่างเหลืออด คนอะไร เราอุตส่าห์มาช่วยแท้ๆยังมาทำหยิ่งใส่อีก



   “นายไม่รีบวิ่งไปเข้าเส้นชัยแล้วทิ้งเราไว้เหรอ”



   “ก็อยากทำแบบนั้นอยู่หรอก แต่ถ้าทำมันก็คงจะเลวเกินไป ยังไงเราก็ยังมีความเป็นคนอยู่นะ”



   “แต่เราพึ่งจะ…”



   “เรื่องก่อนหน้านั้นเราลืมไปแล้วละ



   “นี่นาย…”



   “ช่างมันเถอะ ตอนนั้นนายคงมีเหตุผลของนายนั้นแหละเราเข้าใจ แต่เอาเป็นว่าต่อไปก็อย่าทำอีกแล้วกัน เราไม่รู้ว่านายจะรู้สึกหรือเข้าใจความหมายของคำว่ากีฬามากแค่ไหน แต่เชื่อเราเถอะว่าถ้าเราชนะด้วยความสามารถ ความมุ่งมั่นและความพยายามของเราอ่ะ มันรู้สึกดีและภูมิใจกว่าเยอะเลย”



   “…อืม เราขอโทษนะ” คนที่ผมกำลังช่วยพยุงตัวอยู่ตอนนี้มีอาการเงียบไปสักพักก่อนจะตัดสินใจกล่าวคำขอโทษออกมา ผมเองที่ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนั้นก็มีนิ่งไปชั่วขณะเหมือนกัน ก่อนจะยิ้มและพยักหน้ารับบอกอีกคนว่าไม่เป็นไร ผมไม่ได้โกรธอะไรเขาแล้ว



   “แล้วนี่นายยังวิ่งไหวไหม”



   “พอได้”



   “งั้นเรามาวิ่งต่อกัน” อีกคนพยักหน้ารับ ตอนนี้ก็ปรากฏภาพคนสองคนกำลังประคองกันวิ่งอย่างทุลักทุเล ผมประคองตัวอีกคนให้พาดวงแขนไว้บนไหล่ผม มืออีกข้างที่ว่างสวมกอดประคองอีกคนให้วิ่งได้ถนัดขึ้น โชคดีที่อีกคนมาล้มตรงจุดที่ไกลจากคนอื่นพอสมควร ตอนนี้เลยทำให้ถึงแม้ผมจะต้องประคองอีกคนที่บาดเจ็บไปด้วยแต่ก็ยังวิ่งนำคนอื่นๆอยู่ดี



   เพราะมัวแต่สนใจกับการวิ่งและช่วยคนที่อยู่ข้างๆจนทำให้ผมลืมที่จะมองว่าตอนนี้เรามาใกล้เส้นชัยมากแค่ไหนแล้ว



   “อ๊ะ!”



   “ไหวไหม” ผมค่อยๆประคองคนที่ทำท่าจะล้มเพราะเจ็บขาให้ทรงตัวไว้ สีหน้าของอีกคนตอนนี้ดูไม่ค่อยดีเลย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้อีกนคคงจะเจ็บมาก



   “นายรีบไปเถอะ ถ้านายช้าคนอื่นอาจจะตามมาทันนะ”



   “ได้ยังไงละ เราช่วยนายแล้วก็ต้องช่วยให้สุด ถ้าจะไปเส้นชัยก็ต้องไปพร้อมกันนี่แหละ”



   “นาย…”



   “ไม่ต้องมาทำหน้างง เลย ไปอีกนิดเดียวก็ถึงเส้นชัยแล้ว ถ้าชักช้าอดได้ที่หนึ่งไม่รู้ด้วยนะหรือว่าเปลี่ยนใจจะยอมแพ้แล้ว” ผมพูดทีเล่นทีจริงกับอีกคนเพราะไม่อยากจะให้เครียด ทำไมผมจะไม่รู้ว่าอีกคนในตอนนี้กำลังกังวลมากแค่ไหน



   “ไม่ยอมอยู่แล้ว” รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีกคน



   ดูเหมือนผมจะไปปลุกเลือดนักสู้ของอีกคนให้ลุกโชนขึ้นมาซะแล้ว จากตอนแรกที่ผมทั้งต้องประคองทั้งต้องออกแรกพยุงให้อีกคนวิ่งไปได้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าอีกคนออกแรงวิ่งได้เองโดยที่ผมแค่คอยประคองไม่ให้เสียหลักแค่นั้นเอง ถึงมันจะทุกลักทุเลอยู่บ้างแต่ก็ถือว่าเร็วพอตัวสำหรับคนที่กำลังเจ็บขาละนะ



   “เหวอ!” จนกระทั้งพวกเราทั้งสองคนวิ่งมาจนจะถึงเส้นชัย ผมรู้สึกได้ถึงแรงผลักจากด้านหลักจนทำให้ผมต้องพุ่งตัวออกไปข้างหน้าอย่างไม่ทันระวัง โชคดีที่ตั้งหลักได้ทันไม่งั้นคงล้มซะแล้ว



   “วิทยาศาสตร์การกีฬาเข้าไปแล้วครับ!” เสียงพิธีกรประกาศใส่ไมโคโฟนจนดังไปทั่วทั้งสนามเรียกสติผมให้กลับมา



 วิทยาศาสตร์การกีฬางั้นเหรอ ก็หมายถึงผมละสิ งั้นตอนนี้ก็…



   “…” ผมมองซ้ายมองขวาอย่างไม่เข้าใจ ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ในจุดที่…เลยเส้นชัยมาแล้ว งั้นแสดงว่าเมื่อกี้คือหมอนั่นผลักผมในวินาทีสุดท้ายให้เข้าเส้นชัย ก่อนที่อีกคนจะเข้าตามผมมาทีหลัง นั้นหมายความว่าผมได้ที่หนึ่งและเขาจะต้องได้ที่สอง



    เขายอมเสียสละตัวเองเพื่อให้ผมชนะ



   “นาย…” คำพูดผมเหมือนจะขาดหายเพราะรู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออกกับสิ่งที่อีกคนทำ ภาพที่ผมเห็นคือใครอีกคนกำลังยกนิ้วโป้งให้ผมพร้อมสีหน้าราวกับจะกล่าวคำชื่นชม ไม่รอช้าผมรีบยกมือขึ้นทำท่าเดียวกันบ้างเพื่อเป็นการชื่นชมและขอบคุณกลับ ยิ้มให้กันสักพักจนคนอื่นๆเริ่มตามเข้าเส้นชัยมา แล้วภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือทีมปฐมพยาบาลรีบเข้ามาดูอาการเจ็บที่ข้อเท้าของอีกคน



   ผมบอกแล้วว่ากีฬามันเป็นอะไรที่ทั้งวิเศษและมหัศจรรย์ เพียงแต่ว่าคนเราน่ะชอบที่จะทำให้กีฬาเป็นอะไรที่ผิดวัตถุประสงค์ไป เราแข่งกีฬาก็เพื่อความสามัคคี เพื่อความเข้าใจและมีน้ำใจต่อกัน ไม่ใช่เพื่อการเอาชนะและทำร้ายกันสักหน่อย ถึงตอนนี้ผมว่าหมอนั่นก็คงจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการแข่งกีฬาแล้วละ







   หลังจากแข่งจบผมก็ต้องไปรับรางวัลและร่วมถ่ายรูป เหรียญทองที่ได้มาถึงแม้มันจะเป็นแค่การแข่งกีฬาเฟรชชี่ธรรมดาแต่มันก็ทำให้ผมภูมิใจมากๆเลย แถมผมยังพึ่งจะได้รู้ว่าเหรียญทองที่ผมพึ่งจะได้มาช่วยให้คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาของผมมีคะแนนนำทุกคณะในตอนนี้เลย ได้เห็นรอยยิ้มของพวกพี่ๆที่มาเชียร์ก็พลอยทำให้ผมยิ้มไม่หยุดไปด้วย



   จนกระทั้งมาสะดุดสายตาเขากับร่างของใครคนหนึ่งที่แสนคุณเคย



   พี่ศร ผู้ชายร่างสูง ผิวขาวกำลังดี คิ้วที่เข้มรับกับใบหน้าหล่อๆและสายตาคมๆนั้นผมจำได้ดี สิ่งที่ผมเลือกทำต่อไปคือการรีบวิ่งไปหาพี่ศรทันที



   “ผมชนะด้วยนะครับ เก่งไหม” ผมถาม มือก็ชูเหรียญทองที่ห้อยอยู่ที่คอให้พี่ศรดู



   “เก่ง แบบนี้ค่อยเหมาะกับการเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของกูหน่อย” ได้ยินแบบนั้นผมยิ้มรับอย่างภูมิใจ “แล้วก็เป็นว่าที่แฟนตัวจริงของกูด้วย”



   “อะไรเล่า!” แต่ประโยคต่อมาที่ได้ยินก็ทำให้รู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าอีกแล้ว



   “หึ! หน้าแดงอีกแล้ว”



“…” ไม่ต้องมาพูดเลย ก็เพราะพี่นั้นแหละผมถึงได้เป็นแบบนี้



“พึ่งเคยเห็นมึงวิ่งแข่งกับตาตัวเองนะเนี่ย เห็นตัวเล็กๆขาสั้นๆแบบนี้ไม่ใช่เล่นๆนี่หว่า ตอนแรกนึกว่ามึงแค่ราคาคุยซะอีก”



“เห็นไหมผมบอกพี่แล้ว ถึงเรื่องอื่นผมจะไม่ได้เรื่อง แต่เรื่องวิ่งแข่งนะผมไม่เป็นรองใครหรอกนะครับ”



“เก่งครับเก่ง ว่าแต่…อะไรนะ ที่กูเห็นในสมุดบันทึกของมึง มันเขียนว่ายังไงนะ ผมเริ่มวิ่งแข่งเพราะว่าพี่…”



“อือออ” ผมรีบยกมือขึ้นปิดปากพี่ศรไว้ไม่ให้พูดต่อ “อย่าพูดนะครับ” พอเห็นว่าพี่ศรเงียบไปแล้วผมถึงได้ยอมปล่อยมือ



“ทำไมไม่ให้กูพูด”



“ก็…ผมอายนี่” ผมเบี่ยงหน้าหลบสายตาก่อนจะพูดออกมาเสียงเบา



“หึ!” พี่ศรกระตุกยิ้ม “กูดีใจนะที่กูมีส่วนทำให้มึงค้นพบตัวเอง ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วกูจะไม่ได้ช่วยอะไรมึงเลยก็ตาม แต่กูก็ดีใจที่มึงยอมให้กูมีผลกับชีวิตของมึงขนาดนี้”



“ไม่จริงหรอกครับ ใครบอกว่าพี่ไม่มีส่วน สำหรับผมพี่มีส่วนมากๆเลยละครับ เพราะผมเห็นพี่มีความพยายามผมก็เลยพยายามตาม จริงๆผมไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าตัวผมเองจะมาชอบหรือทำอะไรแบบนี้ได้ จนผมได้มาเจอกับพี่ผมถึงได้รู้วาเส้นทางชีวิตของผมจริงๆแล้วคืออะไร เพราะฉะนั้นพี่น่ะเป็นกำลังใจที่สำคัญมากๆของผมเลยนะ”



“เหมือนกับมึงที่เป็นกำลังใจที่สำคัญของกูใช่ไหม”



“พี่ศร…” ถูกอีกคนพูดมาแบบนี้ผมถึงกับไปต่อไม่ถูก ผมก็ยังคงเป็นคนที่ลังเลและรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกครั้งเวลาที่พี่ศรพูดหรือแสดงให้ผมรู้ว่าผมเป็นคนสำคัญของเขา "ผมไม่รู้...” จนสุดท้ายเรื่องก็จบลงแบบเดิมคือผมที่เป็นฝ่ายหลบสายตาแล้วพูดออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับกลัวว่าพูดออกไปแล้วเสียงนั้นมันจะหล่นหายไป



หมับ!



แรงกอดจากพี่ศรกระชับสวมกอดผมไว้แน่น ผมตกใจและตื่นเต้นจนเผลอเบิกตากว้างออกมา



“พี่ศร พี่จะทำอะไรครับ”



“ก็กอดคนขี้อายไว้ไง”



“…”



“ขี้อายแล้วก็ยังปากแข็งอีก”



“ผมเปล่าสักหน่อย”



“เถียงเก่งด้วย”



“อะไรเล่าผมไม่ได้เถียงสักหน่อย”



“แบบนี้แหละเขาเรียกว่าเถียง ถ้าเถียงเก่งกูจะกอดไว้ให้แน่นกว่าเดิมนะ” ว่าจบพี่ศรก็ทำแบบนั้นจริงๆ พี่ศรกระชับแรงกอดผมจนแน่น หน้าผมซุกแนบชิดกับหน้าอกของพี่ศรจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นบนตัวพี่เขา



“…” ไม่เถียงแล้วก็ได้



   “ที่กูพูดเมื่อกี้น่ะ กูพูดจริงๆนะ ที่บอกว่ามึงเป็นกำลังใจที่สำคัญของกูแล้วกูก็ดีใจด้วยที่กูได้เป็นกำลังใจของมึง ดีใจที่เราต่างก็เป็นกำลังใจของกันและกัน”



   “…”



   “กูคงยังไม่เคยบอกมึงสินะ สำหรับกู…มึงก็ไม่ต่างอะไรกับนางฟ้า นางฟ้าที่ถูกส่งให้มาช่วยเหลือกู มาช่วยกูในช่วงเวลาที่กูท้อแท้ สิ้นหวัง มาช่วยกูในเวลาที่กูไม่มีใคร แล้วกูก็คงจะดีใจมากๆถ้ากูได้ดูแลนางฟ้าประจำตัวของกูไปตลอด จะให้กูดูแลมึงตลอดไปได้ไหม”



   “แต่…ผมไม่ใช่นางฟ้านี่ครับ”



   “หึ! นุ่มนิ่มแบบมึงเป็นเทวดาไม่ได้หรอกเป็นนางฟ้านั้นหละถูกแล้ว จะได้คู่กับเทวดาแบบกูไง”   



   “คนบ้า”



   “นอกจากเถียงเก่งตอนนี้ด่าเก่งแล้วด้วยเหรอ ปากเก่งแบบนี้กูจะทำยังไงเป็นการลงโทษดีนะ จูบอีกทีดีไหม”



   “ไม่เอานะครับ” ได้ยินแบบนั้นภาพความทรงจำที่ถูกพี่ศรจูบตอนนั้นผุดขึ้นมาย้ำเตือนความทรงจำของผมอีกครั้ง ผมพยายามดิ้นและขืนตัวให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดพี่ศรให้ได้



   ขืนถูกกอดอยู่แบบนี้มีหวังต้องโดนพี่ศร…ทำแบบที่พูดจริงๆแน่ๆ



   “พี่ศรปล่อยผมนะครับ” แต่ขืนตัวยังไงก็สู้แรงพี่ศรไม่ได้เลยสักที สุดท้ายวิธีอ้อนวอนก็เลยต้องถูกงัดเอามาใช้แทน



   “อยากให้ปล่อยเหรอ” แต่สิ่งที่พี่ศรทำคือการกระชับอ้อมกอดแน่นก่อนจะก้มลงมากระซิบถามผมใกล้ๆ



   “คะ…ครับ” ผมตอบเสียงสั่น



   “ถ้างั้นก็ตอบกูมาก่อนสิว่าจะยอมเป็นนางฟ้าให้กูป้องป้องไปตลอดไหม”



   “ผม…” เอาไงดี เอาไงดี ทำไมผมจะไม่รู้ว่านี่คือวิธีการขอให้ผมยอมรับเป็นแฟนพี่เขาชัดๆ ถ้าผมตอบตกลงก็เหมือนยอมคบกับพี่ศร แต่ผมยังโป้งพี่เขาอยู่นะที่มารู้ความลับผมแล้วยังมาทำเนียนทำเป็นไม่รู้อยู่ได้



   “ว่างไงละ ถ้าไม่ตอบกูก็ไม่ปล่อยนะ”



   “คือผม…”



   “เฮ้ยไอ้ศรมึงทำอะไรน่ะ”  ถึงตอนนี้พี่ศรเลิกคิ้วสงสัยกับเสียงที่ได้ยิน จนกระทั่งไม่นานวงแขนของพี่ศรก็ถูกเจ้าของเสียงอย่างพี่แทนดึงออกจนอ้อมกอดที่รวบตัวผมไว้คลายออกในที่สุด



   “มึงรังแกไอ้ปุณย์อีกแล้วเหรอ” เป็นน้ำเสียงโวยวายกับสีหน้าร้อนรนของพี่แทนที่ถามต่อ พอเห็นว่าพี่ศรไม่ได้สนใจอะไรนอกจากถอนหายใจแรงๆกับการชักสีหน้ารำคาญใส่พี่แทนเลยเปลี่ยนมาคะยั้นคะยอถามผมแทน “ว่าไงไอ้ปุณย์ เจ็บตรงไหนไหม ไอ้ศรมันทำอะไรมึงหรือเปล่า” พี่แทนถามผมไปก็เขย่าตัวผมไปด้วย



   “พี่แทนผมเจ็บ” ผมจับตัวพี่แทนให้หยุดนิ่งและสงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะค่อยๆแกะมือที่เกาะกุมต้นแขนผมทั้งสองข้างออก



   “ก็กูเป็นห่วงมึงนี่หว่า”



   “ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ”



   “แต่หน้ามึงแดงๆนะ เมื่อกี้ไอ้ศรมันทำอะไรมึงหรือเปล่า บอกกูมาได้นะเดี๋ยวกูจัดการมันให้” ว่าจบพี่แทนก็หันไปส่งสายตาอาฆาตให้พี่ศร



   พี่ศรทำอะไรผมที่ไหนเล่า มีแต่ผมนี่แหละที่ไปแพ้พี่เขาเอง แพ้พี่ศรทุกทางเลย ส่วนที่ผมหน้าแดงก็…เพราะเขินต่างห่างละ



   “อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมจากอีกคนดังขึ้นเรียกสายตาของผมให้คนมอง เป็นไอ้ไพร์กับไอ้ปัญที่เดินตามมา “เชื่อแล้วว่าคนเรานี่บางทีสมองกับตัวก็โตไม่เท่ากัน”   เป็นไอ้ไพร์ที่พูดขึ้น



   “มึงว่ากูเหรอ” แล้วคนที่ถูกว่าแบบพี่แทนก็ร้อนตัวขึ้นแทบจะในทันที



   “แล้วผมเอ่ยชื่อพี่แล้วเหรอ” คนเริ่มอย่างไอ้ไพร์ก็ตอบกลับแทบจะทันทีเช่นกัน ผมละปวดหัวกับสองคนนี้จริงๆ



   “ไอ้เด็กเชี่ยนี่แม่ง!”



   “พี่แทนอย่า!”



   “เฮ้ย!ไอ้ไพร์ใจเย็น” ทั้งผมและไอ้ปัญรีบเข้าไปรวบตัวทั้งสองคนห้ามไว้แทบไม่ทัน ไอ้ไพร์ก็ช่างกัดส่วนพี่แทนก็โดนยุง่ายซะเหลือเกิน คุยกันไม่กี่คำก็มีเรื่องกันอีกแล้ว ใจจริงผมก็อยากจะปล่อยให้สองคนนี้ตีกันให้ตายไปข้างนึงซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ดูท่าคนที่ตายน่าจะเป็นพี่แทนมากกว่าเพราะถึงพี่แทนจะมุทะลุไม่ยอมคนขนาดไหนแต่ยังไงก็สู้เทควันโดสายดำแบบไอ้ไพร์ไม่ได้แน่นอน



   “ก็ไอ้เด็กนี่มันว่ากูว่าสมองโตไม่เท่ากับตัวนี่หว่า” พี่แทนตะโกนเถียง



   “หรือว่าไม่จริงละครับ ก็เห็นอยู่ว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นยังไม่รู้ตัวอีก ดีแล้วละที่มึงชอบอีกคนอ่ะไอ้ปุณย์”



   “…” อ้าวไอ้ไพร์มาพาดพิงผมเฉย “มะ…มึงหมายความว่ายังไง” ผมแสร้งถามด้วยเสียงตะกุกตะกัก



พี่แทนเองก็นิ่งชะงักลงไปเมื่อได้ยินไอ้ไพร์พูดแบบนั้น  และสุดท้ายเกมส์ก็มาลงที่ผมเพราะเป้าหมายต่อไปที่พี่แทนสนใจคือผมเอง “ไอ้เด็กนั้นหมายความว่ายังไงที่มึงชอบอีกคน มึงมีคนที่ชอบอยู่แล้วเหรอ”   



   “เอ่อ…คือผม…” ตอบยังไงดีวะเนี่ยไอ้ปุณย์



   “ว่างไงมึงมีคนที่ชอบแล้วเหรอ”



   หมับ!



“ถ้ามันจะมีคนที่ชอบแล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึงวะไอ้แทน” ตอนนี้วงแขนหนักๆของพี่ศรพาดลงมาที่ไหล่ของผมอีกครั้ง ก่อนที่พี่ศรจะปัดมือพี่แทนที่จับต้นแขนผมไว้ให้ออกห่าง ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองพี่ศรอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่รู้ว่าพี่ศรตอนนี้จะทำหน้าตายังไง แต่พอเอาเข้าจริงๆพี่ศรกลับไม่ได้มองหน้าผมด้วยซ้ำ เอาแต่จ้องตากับพี่แทนอย่างไม่ยอมกัน



   “อ๊ะ…” แต่พอลองจะขยับตัวเอง พี่ศรก็เปลี่ยนจากการพาดวงแขนมาเป็นการโอบกอดผมไว้แทน ผมถูกพี่ศรออกแรงดึงจนตัวเราแทบจะติดกัน



   “ก็กูแค่เป็นห่วงไอ้ปุณย์มัน” พี่แทนตอบพี่ศร



   “มึงไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก มันอยู่ปีหนึ่งแล้วไม่ใช่เด็กอนุบาล ถ้ามันจะชอบใครก็เรื่องของมันกูเชื่อว่ามันดูแลตัวเองได้ ถ้ามันจะชอบใครกูคิดว่ามันเลือกก็คงจะชอบคนไม่ผิดหรอก จริงไหม” ประโยคสุดท้ายพี่ศรหันมาถามผมพร้อมสายตากดดัน



   คนเจ้าเล่ห์ ก็รู้อยู่แล้วว่าคนที่ผมชอบเป็นใครยังจะมาถามอีก คนแบบนี้น่าตีชะมัด



   แต่ว่า…สุดท้ายแล้วผมก็ได้แค่คิดนั้นแหละครับ คนแบบผมจะไปทำอะไรพี่ศรได้ สิ่งที่ทำได้ก็แค่พยักหน้าเบาๆรับคำพี่ศรไปแค่นั้นเอง



   “แต่ว่ามันก็ยังเด็กอยู่เลยนะ” พี่แทนยังไม่ยอมแพ้



   “มึงจะอะไรกับมันนักวะไอ้แทน หรือว่ามึงชอบไอ้ปุณย์”



   “อึก!...ฮึบ”  โดนพี่ศรถามกลับแบบนี้พี่แทนถึงกับหน้าถอดสีเลย จริงอยู่ว่าพี่ศรเคยบอกผมว่าพี่แทนชอบผม แต่ผมว่าคงไม่ใช่แบบนั้นหรอกพี่แทนก็แค่เป็นห่วงผมตามประสารุ่นพี่ร่นน้องเท่านั้น แถมพี่ศรน่ะพอพูดออกไปแบบนั้นก็ยังมายืนยิ้มมุมปากคนเดียว พวกไอ้ไพร์ไอ้ปัญที่รู้ทุกอย่างอยู่แล้วตอนนี้ก็กำลังยืนกลั่นหัวเราะจนหน้าแดงยิ่งกว่าผมซะอีก



   เอาเข้าไปเลยนะแต่ละคน ตอนนี้นอกจากจะโป้งพี่ศรผมจะโป้งทุกคนด้วยแล้วนะ



   “ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ผมอยากพักผ่อน” สุดท้ายข้ออ้างโง่ๆก็ถูกงัดออกมาใช้จนได้ พูดจบผมก็ทำหน้ามุ่ยเดินหนีออกมาจากกลุ่มเลย



   “เดี๋ยวสิไอ้ปุณย์ มึงไม่สบายเลย โอ้ย!”



   “ขอโทษครับผมไม่ได้ตั้งใจ”



   “มึงแกล้งกูชัดๆ มึงตั้งใจขัดขากูจนล้ม มึง!”



   “พี่ๆอย่า…ไอ้ไพร์พอแล้ว”



   เสียงเอะอะโวยวายไล่หลังมาให้รู้ว่าตอนนี้ทั้งพี่แทนกับไอ้ไพร์คงเปิดศึกใส่กันอีกแล้ว ส่วนคนห้ามก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้ปัญที่ต้องรับหน้าที่นี้ไป แต่ผมก็ไม่สนใจเพราะตั้งใจแล้วว่าจะโป้งทุกคนให้หมดเลย



   “ปุณย์เดี๋ยว” ผมเกือบจะหยุดตามเสียงเรียกที่ได้ยินไปแล้ว ถ้าสมองประมวลผลช้ากว่านี้หน่อยผมคงจะหยุดไปแล้ว



   “เตี้ยหยุดก่อน” นั้นไงชัดเลยพี่ศรแน่ๆ แต่เรื่องอะไรผมจะยอมละ ไม่หยุดแถมผมจะรีบก้าวเท้าหนีให้เร็วกว่าเดิมอีกด้วย



   “เตี้ยหยุด” พี่ศรร้องเรียกอีกครั้ง “เตี้ยแล้วยังดื้อเก่งอีกนะมึง”



   “ผมไม่ได้ดื้อ” ผมยอมที่จะตอบกลับแต่ก็ยังไม่ยอมลดระดับฝีเท้าลงเลย ได้ยินเสียงพี่ศรเดินตามผมมาติดๆเหมือนกัน



   “ไม่ได้ดื้อแล้วเดินหนีออกมาทำไม”



   “ผมไม้ได้หนี ผมบอกไปแล้วนะว่าผมเหนื่อยจะกลับไปพักผ่อน”



   “เหรอ จะเชื่อเด็กขี้น้อยใจดีไหมนะ”



   “ผมไม่ได้ขี้น้อยใจนะ”



   “ยอมหยุดเดินแล้วเหรอ”



   “…” ผมหยุดชะงักเพราะรู้ตัวว่าตอนนี้เผลอหยุดเดินและยอมหันไปพูดกับพี่ศรซะแล้ว ผมกำลังจะอ้าปากเถียงแต่เห็นสายตากับรอยยิ้มของพี่ศรแล้วก็รู้ตัวเลยว่าเถียงไปก็มีแต่จะทำให้พี่ศรชอบใจ แล้วเรื่องอะไรผมจะต้องไปทำแบบนั้นละ



   “เดี๋ยว!” กำลังจะเบี่ยงตัวหนีแต่ก็ถูกพี่ศรจับมือไว้ได้ก่อน



   “ปล่อยผมครับ” ผมพยายามสะบัดมืออกจากการเกาะกุมของพี่ศร



   “ดื้อ”



   “ผมไม่ได้ดื้อ”



   “ไม่ได้ดื้อแล้วเดินหนีกูทำไม”



   “ก็ผมโป้งพี่อยู่นะ พี่ปล่อยผมเลย”



   “โป้งคนที่แอบชอบได้ลงคอเหรอมึงนะ”



   “ผม…ผมจะไม่ชอบพี่แล้ว”



   “หือ จริงอ่ะ” ไม่ต้องมาทำหน้าไม่เชื่อเลย ผมพูดจริงๆ ผมโป้งพี่ศรแล้วก็จะเลิกชอบพี่ศรแล้วด้วย



   “จริงครับ” ผมยืนยันหนักแน่น



   “งั้นมาพิสูจน์”



   “…”  พี่ศรปล่อยมือผมออกก่อนที่อีกคนจะค่อยๆยกมือขึ้นประคองใบหน้าผมแผ่วเบา พี่ศรประคองให้ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตากับเขา ตอนนี้เราสองคนกำลังยืนสบตากัน พี่ศรยิ้มอย่างพอใจแบบที่เขาชอบทำ…จนสุดท้ายก็เป็นผมเองที่ต้องเบี่ยงหน้าหลบสายตา



   “เห็นไหมละ”



   พอพี่ศรว่าแบบนั้นผมรีบผละตัวออก



   “ก็พี่ขี้โกง”



   “ขี้โกงอะไร กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่จ้องตากัน”



   “นั้นแหละพี่ขี้โกง”  ขี้โกงมากๆด้วย ไม่รู้เหรอว่าผมน่ะแพ้สายตาพี่ศรทุกทีเลย ไม่กล้าสบตาอีกคนนานๆเลยสักครั้ง หัวใจมันเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาทุกที



   “หึ! น่ารัก”



   “พี่ว่าอะไรนะ” ผมเงยหน้าขึ้นถาม เพราะเมื่อกี้ได้ยินพี่ศรพูดไม่ชัด



   “กูบอกว่ามึงน่ารัก”



   “…” คราวนี้ได้ยินชัดๆเลย ไอ้พี่ศรบ้า มาชมแบบนี้มันก็…เขินนะ



   “ยิ้มแบบนี้หายโกรธกูแล้วสิ”



   “ก็…”  อยากจะบอกว่ายังอยากจะโป้งพี่ศรอยู่ แต่เหมือนเสียงผมจะหล่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้



   “หายโกรธนะ” พี่ศรวางมือทาบลงบนหัวผมอีกครั้งอย่างแผ่วเบา “กูเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าตอนมึงยิ้มน่ารักกว่าตั้งเยอะ”



   “…”



   “ถ้ายิ้มบ่อยๆจะพาไปกินของอร่อยๆ โอเคไหม”



   “เดี๋ยวพี่ก็หาว่าผมแก้มยืดอีก”



   “หึ! ไม่เป็นไรหรอก วันนี้เห็นกับที่มึงอุตส่าห์แข่งชนะยกผลประโยชน์ให้วันนึงแล้วกัน ไม่ล้อก็ได้ จะกินอะไรก็บอกเดี๋ยวกูเลี้ยง”



   “จริงๆนะครับ”



   “พอพูดถึงเรื่องกินนี่ตาลุกวาวเชียวนะมึง แก้มยืด” พูดจบพี่ศรก็ยื่นมือจะมาดึงแก้มผมเล่นอีกแล้ว



   “อืออ! ไหนพี่บอกว่าจะไม่ล้อไง”



   “ก็มันอดไม่ได้นี่หว่า ดูสิเนี่ยแก้มยืดเป็นหมูแล้ว”



   “…” ผมมุ่ยหน้า



   “แต่ช่างเหอะ ยังไงก็ชอบไปแล้วจะเลิกชอบก็คงไม่ทันแล้วละ”



   “…” ได้ยินแบบนี้ก็หน้าร้อนสิครับจะไปรออะไร จะผ่านมานานแค่ไหนพี่ศรก็ไม่เคยอ่อนโยนกับหัวใจผมเลยจริงๆ ขยันแอดแทคกันทุกทีสิน่า










ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ เจ้าโง่_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
20th Shoot

พี่ศร’s น้องปุณย์



น้องปุณย์’s Part



“เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ

“ขอบคุณมากนะครับ” ผมยกมือไหว้พี่ๆที่มาช่วยกันขนของวันนี้

วันนี้พี่แทนแจ้งเรามาล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าจะให้คนมาขนของในห้องของพวกผม ของที่พี่แทนว่าก็คือโต๊ะ เตียงนอนและตู้เสื้อผ้าอีกสองชุดที่ทิ้งว่างไว้นานแล้ว พี่แทนบอกผมว่าไหนๆก็ไม่มีคนใช้ก็ย้ายไปให้ห้องอื่นที่จำเป็นต้องใช้ดีกว่า พี่แทนยังพูดติดตลกไว้ด้วยว่ายังไงก็คงไม่มีใครอยู่กับพี่ศรได้อยู่แล้วนอกจากผม จะว่าไปก็จริงของพี่แทนนั้นแหละ สายตาดุๆกับใบหน้านิ่งๆที่เดาอารมณ์ไม่ได้ของพี่ศร ขนาดผมยังแอบกลัวแล้วคนอื่นจะไปอยู่ได้ยังไง

แต่ยังไงซะพอผ่านมาได้แล้วตอนนี้ถึงได้รู้ว่าพีศรน่ะจริงๆแล้วเป็นคนที่น่ารักมากๆเลยล่ะ

“พี่จะทำอะไรครับ” หลังจากไปส่งพี่ๆที่มาขนของเสร็จฟ้าก็เริ่มจะมืดแล้ว ขนกันตั้งแต่ช่วงกลางวันจนเย็น แอบเกรงใจพี่ๆเขาเหมือนกัน แต่พอกลับเข้ามาในห้องก็เห็นพี่ศรกำลังดันเตียงของผมที่จากเดิมตั้งอยู่ห่างจากเตียงของพี่เขาให้เขาไปชิดติดกัน

“ก็ย้ายเตียงไง”

“ผมรู้ แต่ผมหมายถึง…ทำไมพี่ต้องเลื่อนเตียงไปชิดกันขนาดนั้นด้วย” ถึงจะเหลือกันแค่สองเตียงแต่จริงๆไม่ต้องติดกันเป็นเตียงเดียวแบบนั้นก็ได้มั้ง

“เตียงติดกันน่ะดีแล้ว ห้องจะได้เหลือพื้นที่กว้างขึ้นไง”

“แต่…”

“มึงจะนอนตรงไหน” กำลังจะอ้าปากปฏิเสธแต่พี่ศรก็พูดตัดบทขึ้นมาก่อน

“ครับ?” ผมขมวดคิ้วสงสัย

“กูถามว่ามึงจะนอนฝั่งไหน ริมนั้นหรือริมนี้” พี่ศรชี้นิ้วไปที่เตียงสองเตรียงตรงหน้าที่ตอนนี้ถูกพี่ศรจัดมาชิดจนกลายเป็นเตียงเดียวกันไปแล้ว

“ผมไม่รู้ ผมอยากนอนแบบเดิม”

“ไม่ได้! เลือกมาเลยห้ามงอแง” อะไรเล่า อยู่ดีๆก็มาเสียงดุใส่อ่ะ ก็ผมไม่อยากนอนเตียงเดียวกับพี่ศรจริงๆนี่น่า

ก็….หัวใจผมมันยังไม่พร้อม

“ผมนอนฝั่งเดิมก็ได้ครับ” จนสุดท้ายผมยอมตอบออกไปเสียงอ่อยๆพี่ศรถึงได้ยอมกลับมายิ้มมุมปากอีกครั้ง

“มานั่งนี่มา” พี่ศรตบลงเบาๆที่เตียงนอนเป็นเชิงสั่งให้ผมเดินเขาไปหา 

ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะค่อยๆนั่งลงข้างๆอีกคน

“มะ…มีอะไรเหรอครับ”

หมับ!

จนแขนหนักๆของพี่ศรโอบมาที่เอวผมถึงได้เงยหน้าขึ้นมอง

“พี่จะทำอะไร”

“กอดไง”

“ผมรู้แล้ว แต่…”

“ช่วยพี่เขาขนของมาเหนื่อยๆ ขอกอดหน่อย ได้กอดมึงแล้วกูหายเหนื่อย”

“…” ได้ยินแบบนี้ผมได้แต่ก้มหน้าหลุบมองต่ำ ไม่เห็นจะเกี่ยวกันสักหน่อย ผมไม่ใช่เครื่องดื่มชูกำลังนะที่มากอดแล้วหายเหนื่อยนะ

“เขินอีกละ”

“อะไรเล่า! ก็พี่น่ะ…”

ฟอด!

“…”

“หายเหนื่อยแล้ว” 

พะ…พี่ศรหอมแก้มผมงั้นเหรอ ใช่! เมื่อกี้พี่ศรหอมแก้มผม

ไอ้พี่ศรบ้า มาพูดให้ผมไม่กล้าสบตาแล้วยังจะมาขโมยหอมแก้มผมอีก แบบนี้ไม่ได้แล้วนะผมไม่ยอมจริงๆด้วย

“พี่ศร” ผมเงยหน้าขึ้นมองค้อนอย่างไม่ยอม

“มีอะไร” แต่พี่ศรก็ทำหน้าตายียวนกลับ

“เมื่อกี้พี่หอมแก้มผมเหรอ”

“เปล่านี่”

“เปล่าที่ไหนก็พี่หอม”

“เหรอ จำไม่ได้แล้ววะ”

“ก็พี่หอม…”

ฟอด!

และในจังหวะที่ผมเผลอเพราะกำลังหน้ามุ่ยโกรธพี่ศรอยู่นั้น ใครอีกคนก็ฉวยโอกาสหอมเข้ามาที่แก้มของผมอีกแล้ว คราวนี้ผมตกใจและเบิกตากว้างเพราะพี่ศรฝังปลายจมูกไว้ที่แก้มผมนานกว่าครั้งแรกอีก

“เนี่ยพี่หอมแก้มผม” ผมรีบเบี่ยงหน้าหลบ ยกมือขึ้นปิดแก้มทั้งสองข้างไว้ไม่ให้พี่ศรรุ่มร่ามหรือจู่โจมผมอีก

“เออ หอมจริงๆด้วย” อีกคนยอมรับหน้าตาย

“พี่ศร พี่แกล้งผมเหรอ”

“หึ!”  สายตาและรอยยิ้มพี่ศรตอนนี้บ่งบอกชัดเลยว่าเขากำลังพอใจที่แกล้งผมได้ ผมทั้งพยายามขืนตัวและพยายามแกะมือพี่ศรที่โอบกอดเอวผมอยู่ แต่แรงมดอย่างผมจะไปสู้อะไรพี่ศรได้ นอกจากจะไม่ได้ช่วยอะไรยังถูกพี่ศรออกแรงดึงตัวผมให้โน้มลงไปซบอกพี่เขาอีก

“พี่แกล้งผมอ่ะ” ผมพูดเสียงเบาอย่างไม่พอใจ

“ไม่ได้แกล้งสักหน่อย กูบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอยู่ใกล้มึงแล้วกูหายเหนื่อย”

“ไม่ต้องเลย พี่ปล่อยผมเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“ขออีกนิดไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้” ว่าแล้วผมก็พยายามขืนตัวออกจากแรงกอดของพี่ศรอีกครั้ง แต่เรื่องมันก็วนมาแบบเดิม แบบที่ผมสู้แรงพี่เขาไม่ได้แถมพี่ศรยังยังทำหน้ายียวนใส่ผมอีก

“ได้…พี่ไม่ยอมปล่อยใช่ไหม  นี่แนะ!” และแล้วทางเลือกที่แสนจะปัญญาอ่อนที่สุดก็ถูกผมงัดออกมาใช้ ในเมื่อใช้กำลังก็ไม่ได้ ขมขู่ก็ไม่ได้ผมก็ต้องใช้วิธีเดียวที่ผมคิดได้ตอนนี้คือการยื่นมือพี่จี้เอวพี่ศรให้จั๊กกะจี้

แต่ทว่าใครอีกคนกับไม่ได้มีอาการหรือรู้สึกอะไรเลย พี่ศรเอาแต่ส่งสายตานิ่งๆมองมาทางผม

“พี่ไม่จั๊กกะจี้เหรอครับ” ผมถามเสียงอ่อย ค่อยๆชักมือตัวเองกลับ

“กูไม่ได้บ้าจี้ อีกอย่างแรงแค่นี้กูไม่รู้สึกหรอก ถ้าจะให้จั๊กกะจี้มันต้องแบบนี้”

“อ๊ะ! พี่ผมไม่เอา อ๊ะ! พี่ศรอย่า…” จากที่ผมควรจะเป็นคนทำให้พี่เขาจั๊กกะจี้ ตอนนี้กลายเป็นผมเองที่ดิ้นและหัวเราะอย่างกับคนบ้าเพราะโดนพี่ศรจี้ที่เอวไม่หยุด

“ยอมยัง”

“ยอมแล้วครับผมยอมแล้ว”

“ไอ้อ่อน”

“อะไรเล่า” ผมเงยหน้าขึ้นมองค้อนให้คนที่ยืนยิ้มอย่างได้ใจอยู่ตอนนี้ พี่ศรนะพี่ศรแรงก็เยอะกว่าผมตั้งเยอะ เล่นจี้มาที่เอวผมเต็มแรงไม่ออมมือบ้างเลย ทั้งจั๊กกะจี้ทั้งเจ็บ ถ้าไม่บอกยอมแพ้พี่ศรก็คงไม่หยุดหรอก แบบนั้นมีหวังตัวผมได้หักแน่

“ขนของจัดห้องมาทั้งวันไปอาบน้ำได้แล้วไปเจ้าเด็กมอมแมม”

“ชิ!” ผมยู่จมูกใส่ วันนี้พี่ศรขนของเยอะกว่าผมอีก ผมน่ะแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ จะจับนั้นที่ศรก็ห้ามที จะช่วยยกอะไรก็โดนดุไปหมดแบบนี้ยังจะมาบอกว่าผมมอมแมมอีก ตัวเองนั้นแหละเหงื่อออกแล้วยังไม่ยอมไปอาบน้ำอีก

จังหวะนั้นเองที่พี่ศรหันหลังให้ผมทำท่าเหมือนจะเอี้ยวตัวเดินไปอีกทาง ความคิดชั่วร้ายก็แล่นขึ้นมาในหัว ผมไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านพ้นไปง่ายๆหรอกคราวนี้ผมต้องแกล้งพี่ให้ได้เลย

“อ๊ะ!” แต่ไวกว่าความคิดผมก็คือพี่ศรนี่แหละ ผมพุ่งตัวออกไปยังไม่ได้ถึงสองก้าวเลยมั้ง จู่ๆพี่ศรก็หันมาคว้าจับมือผมไว้ อีกคนที่แข็งแรงกว่าผมมากก็ออกแรงรั้งตัวผมให้เข้าไปใกล้จนเราแนบชิดกัน

เอ่อ…แนบชิดในที่นี้คือแนบชิดมากๆจนมือผมคว้าจับไปทั่วอย่างหาที่พึ่ง จนกระทั้งไปคว้าโดน…ตรงนั้น

“…”

“…”

ต่างคนต่างเงียบ ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจรีบชะงักมือออกจากตรงนั้น ตอนนี้ผมมองไม่เห็นอะไรอีกแล้วนอกจากพื้นห้องสีขาวขุ่นที่ผมกำลังเอาแต่ก้มหน้ามองมันตอนนี้ สมองตื้อไปหมด เรี่ยวแรงก็ไม่รู้หายไปไหนจะดันตัวเองออกจากอ้อมกอดพี่ศรยังทำไม่ได้เลย

“เมื่อกี้ทำอะไร” เสียงทุ้มต่ำของพี่ศรเอ่ยถาม ผมสะดุ้งตัวโยนได้แต่ก้มหน้าไม่ยอมตอบ ใครจะไปตอบกันเล่าว่าเมื่อกี้พึ่งจะจับ…ตรงนั้นมาน่ะ

“ทำอะไรไว้รับผิดชอบด้วยนะ” เสียงกระซิบพูดดังขึ้นให้ได้ยินอีกครั้ง

“ระ…รับผิดชอบเหรอครับ”

“อืม ก็มึงจับจนมันตื่น” แค่พี่ศรพูดผมก็หน้าแดงอายจะอยากจะม้วนตัวหนีพออยู่แล้ว ยิ่งอีกคนมาจับมือผมไปวางสัมผัสตรงนั้นอีกทีผมยิ่งตกใจจนต้องรีบชะงักมือกลับ

ตรงนั้น…มันขายใหญ่ขึ้นมาจริงๆด้วย

“พี่ศรปล่อยผมนะครับ” ผมพยายามขืนตัวออก ออกแรงผลักหน้าอกพี่ศรให้ออกห่างแต่เหมือนจะดันเท่าไหร่พี่ศรก็ไม่ขยับเลย

“มาแกล้งกูแล้วจะชิ่งหนีนี่นะ”

“ผมไม่ได้แกล้ง…ผมหมายถึงไม่ได้จะแกล้งแบบนั้น”

“จะยังไงก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้มันตื่นขึ้นมาแล้วจะทำยังไง”

“ผะ…ผมไม่รู้ครับ” ผมปฏิเสธเสียงเบา

หลังจากนั้นไม่นานผมก็ถูกพี่ศรค่อยๆประคองแก้มทั้งสองข้างอย่างเบามือ เงยหน้าขึ้นสบสายตาอีกคนด้วยหัวใจที่เต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมา ลมหายใจอุ่นร้อนไม่ต่างจากอุณหภูมิรอบๆห้องตอนนี้ของพี่ศรรดลงบนต้นคอผมก่อนที่พี่ศรจะโน้มลงมาฝั่งปลายจมูกและกดจูบที่ต้นคอผม

“พี่…!” ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ “พี่จะทำอะไรครับ”

“ก็จะทำให้เจ้านี่มันสงบไง” ผมแทบจะเป็นบ้าเพราะพี่ศรไม่พูดเปล่า เขาก้มลงมองส่วนแข็งแกร่งของตัวเองที่ตอนนี้เหมือนมันจะเพิ่มขนาดขึ้นไม่หยุด

“ไม่เอาครับ” ผมจะหันหนีแต่ถูกพี่ศรรวบตัวไว้แล้วกอดแน่น

“ไม่รักกูแล้วเหรอ” พี่ศรจ้องตาผมนิ่ง แววตาที่เต็มไปด้วยความต้องการนั้นทำให้ผม…ใจอ่อน

“แต่ผมยังไม่เคยนี่ครับ” ผมบอกเสียงเบา

“ก็เดียวกูช่วยทำให้เคย”

“…”

“เดี๋ยวก็เก่ง”

“พี่อะ!” ผมทุบลงไปตรงแผงอกคนทะลึ่งแรงๆ พี่ศรเวอร์ชั่นนิ่งๆขรึมๆไม่รู้หายไปไหน ผมไม่คุ้นกับเวอร์ชั่นที่รุกผมหนักๆแบบนี้เลยสิน่า

“รักกูไหม”

“ระ…รักครับ”

“รังเกลียดกูไหม”

“มะ…ไม่ครับ”

“ถ้างั้นก็อย่าปฏิเสธนะ” น้ำเสียงอ้อนวอนอย่างที่ไม่เคยได้ยินจากปากพี่ศรมาก่อนเอ่ยมาให้ผมต้องหน้าแดงเล่น ตามมาด้วยการที่พี่ศรกดจูบลงบนกลีบปากผมอีกครั้ง

ผมยืนแข่งทื่อเป็นก้อนหินโดยอัตโนมัติ ไม่มีคำพูด ไม่มีการขัดขืนอะไร ยอมปล่อยไปตามการชักนำของอีกคนแต่โดยดี เสื้อตัวบางของผมถูกถอดออก ของพี่ศรก็เช่นกัน เพียงแต่ว่า…พี่ศรเขาถอดเสื้อผ้าของตัวเองหมดเลย อุณหภูมิที่แก้มผมคงจะพุ่งเกินค่ามาตรฐานไปหลายร้ององศา พี่ศรตอนนี้ดูเซ็กซี่จนผมแทบจะบ้าอยู่แล้ว เป็นนักกีฬายิงธนูนี่มันต้องหุ่นดีขนาดนี้เลยหรือไง

“มองอะไร” ผมสะดุ้งกับคำถาม

“ปะ…เปล่าสักหน่อย ผมหันหน้าหนี”

“หึ!” รับรู้ได้ถึงแรงกระตุกยิ้มของอีกคน

“เหวอ!” ผมถูกพี่ศรช้อนตัวขึ้นอุ้มไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว ผมซุกหน้าลงแนบออกอีกคนอย่างหมดทางหนี แขนทั้งสองข้างเอื้อมไปคล้องคอพี่ศรไว้โดยอัตโนมัติเพราะกลัวตก  พี่ศรอุ้มผมมาวางไว้ที่เตียงอย่างเบามือ ผมมองตามทุกการกระทำของเขาอย่างลืมตัวจนตอนนี้รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกอีกคนขึ้นคร่อมตัวไว้ซะแล้ว

“มึงน่ารักมากเลยรู้ไหม”

“…” จะไปรู้ได้ไงเล่า ผมรู้แต่ว่าตอนนี้พี่ศรเลิกจ้องผมด้วยสายตาแบบนั้นสักทีได้ไหม ผมอายไปหมดแล้วนะ 

เพียงไม่นานผมก็ต้องเม้มปากแน่นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือพี่ศรค่อยๆถอดกางเกงของผมออกทั้งชั้นนอกชั้นใน ปราการด่านสุดท้ายที่ปกปิดตัวผมไว้จากสายตาน่าอายของพี่ศรถูกปลดเปลื้องออกไปแล้ว

“ขนาดกำลังน่ารัก”

“อะไรเล่า” ผมงอแงเสียงเบา ไม่รู้ว่าพี่ศรหมายถึงอะไรที่ทะลึ่งหรือเปล่า “อืออ…พี่ศร” ผมเม้มปากแน่นพยายามกลั้นไม่ให้เผลอร้องเสียงดังเมื่อพี่ศรขบเม้มลงมาที่ยอดอกของผม มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

มันเย็นวาบแต่ร้อนลุ่ม

มันเปียกชื่นแต่นุ่มสบาย

   มัน…มัน…ผมอธิบายไม่ถูก ทั้งที่ใจและหัวสมองอยากจะขัดขืน อยากจะร้องห้าม แต่ร่างกายกลับไปให้ความร่วมมือพี่ศรด้วยการแอ่นช่วงอกรับกับรสสัมผัสจากเขาซะอย่างนั้น

   น่าอายชะมัดเลย

   พี่ศรไล่จูบและฝังปลายจมูกไปทั่วทั้งร่างกายของผม ไล่จากต้นขา จุดอ่อนไหวที่หน้าท้อง ช่วงอก ซอกคอ และตอนนี้มาถึงปากของผมที่ถูกพี่ศรครอบครองกดจูบไว้สักพักจนผมเริ่มชาไปหมดแล้ว ลิ้นร้อนของพี่ศรสอดแทรกเข้ามาแสดงความเป็นเจ้าของไม่หยุด ผมพยายามเม้มปากสู้ แต่ยิ่งสู้พี่ศรก็ยิ่งออกแรงดูดดึงและขบเม้มแรงขึ้นจนผมต้องยอมแพ้

   “อึก!” ผมสะดุ้งตัวโยน เบิกตากว้างอย่างตกใจ อยากจะร้องออกมาเสียงดังก็ทำไม่ได้เพราะยังถูกพี่ศรไล่ฉกจูบอยู่ไม่หยุด นิ้วมือเรียวของพี่ศรค่อยๆดันเข้ามาในช่องทางด้านล่างของผม จากหนึ่งนิ้ว เพิ่มขึ้นทีละนิ้วจนผมหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

   ตอนนี้ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงลมหายใจของตัวเองกับเสียงดูดดึงแสดงความเป็นเจ้าของจากปากของพี่ศร มือทั้งสองข้างยกขึ้นเกาะไหล่พี่ศรไว้แน่นอย่างหาที่พึ่ง พี่ศรผละจูบออกเปิดโอกาสให้ผมได้หอบหายใจ จ้องตากันสักพักก่อนที่พี่ศรจะเริ่มขยับนิ้วของเขาอีกครั้ง

   “อื้อออ…” ผมส่งเสียงประท้วง

   “ไหวไหม” พี่ศรจูบขมับผมหนักๆหนึ่งทีก่อนจะเอ่ยถาม

   ผมพยักหน้าตอบแม้จะลังเล ใจอยากปฏิเสธเพราะความกลัว แต่อีกใจก็ยอมรับว่าผมมีความสุขที่ถูกพี่ศรสัมผัสแบบนี้ และเหมือนจะได้คำตอบที่พึงพอใจเพราะพี่ศรยกยิ้มให้ผมทีนึงก่อนจะเริ่มรุกรานร่างกายผมด้วยการพรมจูบไปทั่วทั้งตัวอีกครั้ง

   “พี่ศร…” ผมตกใจผวาเข้ากอดอีกคนไว้แน่น พี่ศรเปลี่ยนจากนิ้วมือมาเป็นอะไรอีกอย่างที่แข็งแกร่งกว่า อุ่นร้อนกว่า ขนาดของมันทำให้ผมคับแน่นไปหมด ขยับตัวหนีก็ไม่ได้เพราะแค่ลองบิดตัวนิดเดียวก็มีอาการจุกแล้ว

   “อย่างเกร็ง”

   “ผะ…ผมอึดอัด อ๊ะ!” แล้วพี่ศรก็ดันความแข็งแกร่งนั้นเข้ามาทีเดียวจนหมด

   “ทนหน่อยนะ จะทำเบาๆแล้วกัน” ผมสบตาเข้ากับสายตาอบอุ่นของพี่ศรที่มองมา แรงสัมผัสจากฝ่ามืออุ่นที่แก้มกับการจูบขมับแรงๆทำให้ผมต้องยิ้มรับ

   “อื้อ!” แต่ถึงจะตอบตกลงไปแล้วก็เถอะ พอพี่ศรเริ่มขยับตัวผมก็ต้องกลั่นเสียงร้องเอาไว้อย่างอดทนอีกครั้ง ความคับแน่นส่งให้ผมต้องเชิดหน้าขึ้นเพื่อรับความเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้นตรงช่วงล่างนั้น “พะ…พี่ศร” แต่ถึงจะพยายามอดทนอย่างถึงที่สุดแล้ว พอถูกแรงกระแทกเข้าตรงจุดหนึ่งผมเหมือนถูกไฟช็อตไปทั้งตัว ผมสะดุ้งกระตุกตัวเกร็ง เรียกชื่อยังไงพี่ศรก็ไม่ยอมหยุดเลย ทั้งออกแรกทุบกำปั้นที่หน้าอกแกร่งของพี่ศรก็แล้วแต่พี่ศรก็ไม่ยอมหยุด สุดท้ายผมก็ต้องเกร็งตัวขึ้นซุกหน้ากับแผงอกแกร่งของพี่ศรอย่างหาที่พึ่ง

   “เจ็บเหรอ” สุดท้ายพี่ศรก็ยอมหยุดขยับ

   “ฮึก…” ถึงตอนนี้ผมก็พูดไม่ออก ไม่ใช่ไม่อยากพูดแต่ตอนนี้ผมพูดอะไรไม่ออก พอแรงขยับที่ช่วงล่างหยุดลงผมทำได้แค่หอบเอาอากาศหายใจเข้าไปเติมในปอดอย่างเหน็ดเหนื่อย

   “ไม่ร้องนะ”

   “…”

   “ไม่อยากเห็นน้ำตามึงเลย ขอโทษนะถ้าทำให้เจ็บ”

   “…”

   “ให้หยุดไหม”

   น้ำเสียงอ่อนโยนของพี่ศรที่ถามมามันทำให้ผมไม่อยากปฏิเสธ ผมส่ายหน้าแทบคำตอบออกไปทำให้พี่ศรยกยิ้ม

   “ถ้างั้นเจ็บตอนไหนก็บอกนะ”

   “ครับ” ผมพยักหน้ารับ
   แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างอ่อนโยน พี่ศรไม่รวดเร็วและรุนแรงกับผมเหมือนตอนแรก ทุกๆการสัมผัสมันดูอ่อนโยนไปหมดจนผมสบายใจ ช่วงล่างเริ่มขยับตามแรงของพี่ศรอีกครั้ง แต่ที่แปลกออกไปคือในครั้งนี้ผมไม่รู้สึกกลัวเลย นั้นก็เพราะพี่ศรคอยปลอบประโลมผมอย่างห่วงใยอยู่ตลอด

   จนสุดท้ายผมถูกจับให้มานั่งคร่อมตัวพี่ศรไว้ในท่าทางที่น่าอาย ทุกการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นโดยที่ช่วงล่างของเรายังคงเชื่อมต่อติดกันอยู่ พี่ศรรูดรั้งส่วนแข็งแกร่งของผมเพียงไม่กี่ครั้งผมก็ต้องเชิดหน้าแล้วปลดปล่อยสิ่งน่าอายออกมาจนเลอะหน้าท้องพี่ศรไปหมด

   “เป็นไง” พี่ศรกระซิบถาม

   “ผม…” จะให้ผมตอบยังไงเล่า

   “ตากูบ้างนะ”

   “อืออ…”

   พี่ศรจับสะโพกของผมให้ขยับตามความต้องการของเขาอีกครั้ง ผมเชิดหน้าขึ้นสูงอีกครั้งเมื่อจังหวะถูกเร่งให้เร็วขึ้น จนสุดท้ายก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนที่ถูกฉีดเข้ามาภายในตัว ทั่วทั้งห้องตอนนี้มีแค่เสียงหอบหายใจของเราสองคนกับสายตาร้อนแรงที่พี่ศรมองมาเท่านั้น

   “ปุณย์” เสียงมทุ้มต่ำของพี่ศรกระซิบเรียก

   “คะ…ครับ”

   “ขออีกรอบนะ”

   “อื้อออ…พี่ศร” 

   แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามความต้องการของพี่ศรโดยมีผมที่ปากอยากจะบอกปฏิเสธแต่ร่างกายกลับยินยอมและให้ความร่วมมือกับพี่ศรเป็นอย่างดีตลอดทั้งคืน



   กว่าจะผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนนี้มาได้เล่นเอาผมแทบจะฟุบหลับไปทันทีที่พี่ศรยอมวางมือ พี่ศรเหมือนเพลิงร้อนแรงที่ลุกโชนแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ ไม่ว่าผมจะร้องห้ามสักเท่าไหร่พี่ศรก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย แบบนั้นเลยไม่แปลกที่ผมจะตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกเวียนหัวและปวดระบมไปทั่วทั้งตัวแบบนี้

   พี่ศรนะพี่ศรไม่อ่อนโยนกับผมบ้างเลย

   “ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ่มต่ำดังขึ้นจากคนที่กำลังถือถังน้ำใบเล็กเดินเข้ามา พี่ศรวางถังน้ำลงที่โต๊ะตัวเล็กบนหัวเตียงก่อนจะบิดผ้าขนหนูผืนเล็กให้หมาด “เช็ดตัวหน่อยนะ ตัวมึงรุมๆเดี๋ยวจะไม่สบายเอา เมื่อคืนเช็ดให้ไปแล้วรอบนึง”

   “ก็พี่นั้นแหละ” 

   “อะไร” พี่ศรพูดกลั้วหัวเราะ

   “ก็พี่ศรไม่อ่อนโยนกับผมเลย ผมถึงเป็นแบบนี้ไง” ผมมุ่ยหน้าใส่

   “นี่กูก็พยายามถนอมมึงแล้วนะ ตัวก็บางจับทีกูก็กลัวว่าจะหัก”

   “ผมจะโป้งพี่แล้วนะ”

   “โกรธเหรอ” พี่ศรโผเข้ามากอด ช้อนตัวผมขึ้นนั่งก่อนจะรั้งตัวผมให้ซุกลงตรงอกหนาของเขา “อย่าโกรธนะ จะรับผิดชอบเอง โอเคไหม”

   “…” อีกคนกดจูบลงมาที่แก้มผมซ้ายทีขวาทีอย่างอ่อนโยน ค่อยๆยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมและท้ายทอยของผมอย่างเบามือ

   “เป็นแฟนกันนะ” ก่อนที่พี่ศรจะพูดคำนึงที่ทำให้ผมหัวใจพองโต “ขี้เกียจจีบแล้ว ขอเป็นแฟนเลยดีกว่า”

   “…”

   “ตกลงไหม”

   ผมเม้มปากแน่นอย่างลังเล มองไปบนใบหน้าหล่อของอีกคนอย่างใช้ความคิด ยอมรับว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่ผมคิดไม่ถึงเลย ที่จริงคือผมไม่เคยคิดถึงมันด้วยซ้ำ ผมต้องการแค่ได้แอบรักพี่ศรอยู่ห่างๆ แค่ต้องการมาอยู่ใกล้ๆมาเห็นพี่ศรยิงธนูด้วยตาตัวเองสักครั้งก็แค่นั้น

   แต่นี่…พี่ศรกำลังขอผมเป็นแฟน ที่จริงผมควรจะดีใจ ควรจะรีบตอบตกลงเป็นแฟนเขา แต่ทำไม…ปากผมถึงรู้สึกหนักอึ้งสมองรู้สึกตื้อตันไปหมด

   “ขมวดคิ้วแบบนี้จะปฏิเสธใช่ไหม”

   “ผม…”

   “ห้ามปฏิเสธนะ เป็นเมียกูแล้วห้ามปฏิเสธด้วย”

   “ผมเป็นเมียพี่ตอนไหน”

   “ก็เมื่อคืนไง จะให้ย้ำไหมละ”

   “อื้อ…” พูดจบพี่ศร ก็ทำท่าจะฉกจูบมาที่ผมอีกแล้ว ผมออกแรงดันตัวของพี่ศรออกอย่างสุดความสามารถ “พี่ศรไม่เอาแล้วครับ ผมยังเจ็บอยู่เลยนะ”

   “ตอบมาก่อนว่าจะยอมเป็นแฟนไหม ถ้าไม่ยอมเป็นแฟนกูจะจับกดจริงด้วย”

   “พี่อ่ะ!”

   “ตอบมาเร็ว”

   “ก็ได้ครับ เป็นก็ได้”

   ทุกอย่างหยุดนิ่งลง ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองพี่ศร อีกคนกระตุกยิ้มมุมปากอย่างพอใจกับสิ่งที่ผมพึ่งบอกไป

   “เมื่อกี้มึงพูดว่าไงนะ”

   “ผมยอมเป็นแฟนพี่แล้วครับ”

   “ว่าไงนะ”

   “ผมบอกว่าผมยอมเป็นแฟนพี่แล้วครับ”

   “ว่าไงนะ”

   เฮ้อ! ผมถอดหายใจเสียงดัง ยังไม่ทันแก่เลยหูตึงซะแล้วเหรอ

   “ผม…บอก…ว่า…ผม…เป็น…แฟน...พี่…แล้ว…ครับ  อื้อออ…!”  ผมแกล้งตะโกนเสียงดังใส่คนหูตึง แต่ยังพูดไม่ทันจบดีพี่ศรก็กดจูบลงมาที่ริมฝีปากผมแน่น รู้ตัวอีกทีก็ถูกคนตัวสูงขึ้นคร่อมร่างไว้แล้ว

   แล้วคนเอาแต่จัดก็จัดการผมซ้ำรอยเดิมที่เคยทำไว้เมื่อคืน

   ไหนบอกว่ายอมเป็นแฟนแล้วจะไม่ทำอะไรไงเล่า ไอ้พี่ศรบ้า!



ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :jul1:

ทำไมพี่ศรเก็บกด 55

ออฟไลน์ เจ้าโง่_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
21th Shoot


พี่ศรเป็นแฟนผม





น้องปุณย์’s Part





   “พี่ศร ผมเดินเองได้ครับ พี่…พี่ไม่ต้องโอบไหล่ผมก็ได้”


หลังจาก…เอ่อ…ผ่านเหตุการณ์นั้นมา สกิลความตีเนียนของพี่ศรก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า ตั้งแต่ที่ผมตกลงคบกับพี่ศรผมก็เตรียมใจไว้แล้วว่าต่อจากนี้ไปทั้งสถานะและความสัมพันธ์รวมไปถึงอะไรรอบๆตัวเรามันก็คงจะต้องเปลี่ยนไปด้วย  อย่างวันนี้การเดินไปเรียนของผมกับพี่ศร จากแต่ก่อนที่ถึงแม้จะเดินด้วยกันอยู่แล้วก็จริง แต่มันก็เป็นการที่ต่างคนต่างเดินไม่ใช่แบบที่ผมโดนพี่ศรโอบไหล่กอดตัวผมอย่างหลวมๆอยู่ตอนนี้ แถมอีกคนยังทำหน้าตาเนียนๆอย่างไม่รู้สึกราวกับว่าเราเป็นคู่รักที่คบกันมานานอย่างนั้นแหละ


   “ทำไมกูจะโอบไม่ได้ เป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่เหรอ”


   “มันก็ใช่ครับ แต่ว่าเราไม่ต้องเดินโอบไหล่กันแบบนี้ไม่ได้เหรอครับ ผมก็แค่…ยังไม่ค่อยชิน” พูดจบผมก็หลบตามองต่ำ รู้สึกร้อนๆขึ้นมาที่แก้มทั้งสองข้างอีกแล้ว


   “นี่” แต่พี่ศรก็ยังไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ อีกคนค่อยๆสัมผัสลงที่แขนทั้งสองข้างของผมอย่างแผ่วเบา ก่อนจะออกเสียงเป็นเชิงสั่งให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง


   “…” ผมสบตากับพี่ศรอย่างหวั่นๆ พี่ศรค่อยๆย่อตัวและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม เสี้ยวหน้าหล่อของพี่ศรเข้ามาอยู่ในสายตาของผมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ผมใจสั่นเป็นบ้าเลย ได้เห็นหน้าพี่ศรในระยะประชิดแบบนี้ทีไรผมเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นทุกทีเลย


   “มึงลืมไปแล้วเหรอว่ามึงมาที่นี่เพราะอะไร”


   “คือผม…ผมมาที่นี่ก็เพราะ…” ประโยคสุดท้ายผมไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด แต่เลือกที่จะค่อยๆยื่นมือชี้ออกไปทางอีกคนแทน


  อีกคนที่ว่านั้นคือ…พี่ศร


   “ในเมื่อมึงมาที่นี่เพราะกู มึงมาที่นี่เพราะความรักที่มึงมีให้กู ตอนนี้กูเองก็รักมึงเหมือนกันมึงรู้ใช่ไหม”


   “ระ…รู้ครับ”


   “แล้วรู้ใช่ไหมว่าชีวิตคนเรามันไม่ได้ยืนยาวอะไรขนาดนั้น  ในเมื่อเราต่างคนต่างก็รักกัน ต่อจากนี้มึงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้ากูจะแสดงความรักกับมึงอย่างที่ใจกูอยากทำ”


   “คือผม…”


   “ถามว่าได้ไหม”


   “ก็…ได้ครับ แต่ว่าผม…”


   “ยังเขินอยู่เหรอ”


   “ไม่ใช่สักหน่อย ผมก็แค่ยังไม่ชิน…ก็แค่นั้น”


   “หึ! เถียงยังไงก็เถียงไม่ขึ้นหรอก ไม่เขินอะไรหน้าแดงซะขนาดนี้ห๊ะ?”


   “อือ…พี่ศร” ไม่ว่าเปล่า พูดจบพี่ศรก็มาจับแก้มผมดึงเล่นอีกแล้ว


ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบจนพี่ศรยอมปล่อย พี่ศรดูเหมือนจะสนุกกับการดึงแก้มผมเล่นเอามากๆเพราะตอนนี้พี่ศรยิ้มกว้างไม่หยุดเลย จะมีก็แต่ผมที่ทำอะไรคืนไม่ได้นอกจากทำหน้ามุ่ยใส่


   “หน้ามุ่ยเป็นตูดลิง” แนะ! ยังจะมาว่าผมอีก


   “ก็พี่ชอบแกล้งผม”


   “ก็มึงอยากน่ารักเองช่วยไม่ได้ อยากมาทำตัวน่ารักให้กูเห็นเองทำไม ตอนนี้กูก็เลยรักมึงเข้าเต็มๆเลยเห็นไหม”


   “ผมไม่คุยกับพี่แล้ว”  ผมขมวดคิ้วมองค้อนพี่ศรไปทีนึงก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา พี่ศรน่ะชอบแกล้งผมอยู่เรื่อยเลย เดี๋ยวจับแก้มผมเล่นบ้างละ บีบจมูกผมบ้างละ เหลืออะไรในหน้าผมที่พี่ศรยังไม่ได้เล่นอีกไหม


   พอเลี่ยงออกมาได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆของพี่ศรเดินตามผมมาติดๆ ตอนแรกผมก็ทำใจแข็งไม่ยอมหันกลับไปมอง เลือกที่จะก้าวเท้าเดินให้เร็วขึ้นกว่าเดิมจนเสียงฝีเท้าที่เคยดังตามมาค่อยๆเงียบหายไป


   “…” ผมหันกลับไปมองข้างหลังไม่เห็นพี่ศรเดินตามมาแล้ว อะไรกันนี่ผมถูกพี่ศรทิ้งให้ไปเรียนคนเดียวจริงๆเหรอ ถึงแม้วันนี้พี่ศรจะไม่มีเรียนเพราะต้องไปซ้อมยิงธนูก็เถอะ แต่ยังไงก็ไม่ควรมาทิ้งกันกลางทางแบบนี้หรือเปล่า


   “เฮ้อ! ช่างเถอะ เราเป็นคนเดินหนีพี่เขามาเองนี่น่า” คิดได้แบบนั้นผมกถอนหายใจกับตัวเองอีกสองสามทีจนกระทั่งหันกลับมานั้นแหละถึงได้ชนเข้ากับอะไรบางอย่างเข้าอย่างจัง


   “เหวอ!”


   หมับ! ผมเกือบจะหงายหลังล้มลงไปอยู่แล้วเชียวถ้าไม่ติดว่ามีมือของใครบางคนฉุดรั้งไว้ได้ทัน เหตุการณ์มันเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนผมยังตกใจไม่หาย


   “ซื่อบื้อแล้วยังซุ่มซ่ามอีก” จนน้ำเสียงดุๆที่คุ้นหูดังขึ้นผมถึงรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังถูกใครอีกคนรวบตัวผมมากอดไว้ กอดแน่นจนหน้าจมลงกับแผ่นอกกว้างของเขา


   “พี่ศร” ผมเอ่ยเสียงเบา พยายามจะเงยหน้าขึ้นมองแต่ก็ถูกอีกคนออกแรงกอดไว้จนขยับแทบจะไม่ได้


   “ซุ่มซ่ามแล้วอย่าดื้อ”


   “ผมไม่ได้ดื้อสักหน่อยแล้วผมก็ไม่ได้ซุ่มซ่ามด้วย พี่นั้นแหละที่แกล้งผม”


   “กูแกล้งอะไรมึง”


   “พี่อ้อมมาดักหน้าผมทำไมละ”


   “ก็กูเห็นใครไม่รู้กำลังถอนหายใจซะดังเลย ทำไมกลัวกูทิ้งให้เดินคนเดียวเหรอ”


   “ไม่ใช่สักหน่อย”


   “ไม่ใช่อะไรเมื่อกี้กูแอบเห็นมึงหน้าเสียด้วย มึงเป็นคนเดินหนีกูมาเองไม่ใช่หรือไง”


   “ผมไม่ได้หนีนะครับ ก็วันนี้พี่ศรไม่มีเรียนไม่ใช่เหรอ ผมก็แค่คิดว่าพี่จะไปซ้อมยิงธนูแล้วต่างหาก”


   “แค่นั้น? ไม่ได้หน้าเสียเพราะคิดว่ากูทิ้งให้มึงไปเรียนคนเดียวจริงๆอ่ะ”


   “จริงครับ”


   “เด็กโกหกต้องโดนลงโทษ”


   “อื้อ…พี่ศร”


   ก็ยอมรับจริงๆนั้นแหละว่าผมโกหก ตอนแรกผมใจเสียเลยเพราะคิดว่าพี่ศรคงจะทิ้งผมให้เดินไปเรียนคนเดียวจริงๆซะแล้ว แต่ตอนนนี้ปัญหาใหม่ที่ผมต้องเจอก็คือพี่ศรเอาแต่กอดผมไว้ไม่ยอมปล่อยแถมอีกคนยังก้มหน้าลงมาหอมแก้มผมอย่างเอาเปรียบอีกต่างหาก ผมที่ถูกกอดไว้แน่นจนไม่สามารถทำอะไรได้แบบนี้ก็ทำได้แค่หลับตาปี๋พลางส่งเสียงร้องห้ามสลับกับเสียงตกใจเพราะถูกหอมแก้มอย่างแรง


   ฟอด!


   “เด็กโกหกต้องโดนลงโทษ”


   “ผมไม่ได้โกหกสักหน่อย อื้อ…” พูดไม่ทันจบเลยพี่ศรหอมแก้มผมอีกแล้ว


   “เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามึงน่ะเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่โกหกได้แย่ที่สุดในโลกเลย ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนโกหกเก่งอยู่อีกหรือไง”


   “ผม…อื้อออ…”  พี่ศรหอมแก้มผมอีกแล้ว  คราวนี้ดูเหมือนพี่ศรได้ใจกระหน่ำหอมแก้มผมไม่หยุดเลย ผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียงร้องอะไรออกมา ตอนนี้ชุดนิสิตผมยับไปหมดเพราะแรงกอดจากวงแขนแกร่งของอีกคน จะออกแรงขัดขืนก็ทำไม่ได้เพราะยังไงพี่ศรที่อยุ่ในชุดกีฬาก็ทะมัดทะแมงกว่าผมอยู่แล้ว


   จนสุดท้ายกลายเป็นผมเองที่เงียบสงบลง เหลือไว้แค่เสียงหอบหายใจแรงๆเพราะตอนนี้ใจผมเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว


   “หมดฤทธิ์แล้วใช่ไหม”


   “…” ผมไม่ได้ตอบคำถามของพี่ศร แต่ยอมที่จะเงยหน้าขึ้นส่งสายตาค้อนให้กับใบหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มมุมปากมองลงมาสบตาผม


   “สงสัยยังไม่หมดฤทธิ์” ว่าจบพี่ศรก็ทำท่าจะก้มลงมาจู่โจมผมอีก


   “หมดแล้วครับๆ” ผมรีบร้องห้าม ผมรับการจู่โจมของพี่ศรอีกไม่ไหวแล้ว ขืนปล่อยให้พี่ศรทำต่อมีหวังผมได้ตายคาอกพี่ศรแน่ๆ


   “ยอมแล้วใช่ไหม”


   “ครับ ผมยอมแล้ว” ผมตอบเสียงอ่อย


   “จะไม่ดื้อแล้วใช่ไหม”


   “ไม่ดื้อแล้วครับ”


   “รู้ใช่ไหมว่าถ้าดื้อจะต้องเจอกับอะไร ตอนนี้มึงเป็นแฟนกูแล้วถ้าดื้อก็ต้องเจอลงโทษเข้าใจไหม”


   “ครับ” ผมพยักหน้ารับ พี่ศรได้ยินแบบนั้นก็ยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจก่อนจะยื่นมือมาบีบจมูกผมเล่นอย่างเอ็นดู และสุดท้ายพี่ศรก็ผมปล่อยผมออกจากอ้อมกอดของเขา ผมรีบกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด รู้สึกชาๆตามลำตัวเพราะถูกพี่ศรกอดไว้เป็นเวลานาน


   พี่ศรนะพี่ศร ชอบใช้กำลังกับผมอยู่เรื่อยเลย ถึงมันจะเป็นการใช้กำลังที่ทำให้ผมใจเต้นแรงก็เถอะ


   “พี่ไปซ้อมยิงธนูเถอะครับ ผมเดินไปเรียนคนเดียวได้”


   “ได้ยังไงละ ก็กูบอกแล้วว่าวันนี้จะเดินไปส่งมึงก่อน”


   “แต่ผม…”


   “อย่าดื้อ” 


   “…” ผมมุ่ยหน้าเพราะโดนพี่ศรดุ ไม่ได้อยากดื้อสักหน่อย เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ยังทำผมใจเต้นไม่หาย


   ตอนที่รู้จักกันทีแรกสกิลการโจมตีของพี่ศรก็สูงมากแล้วนะสำหรับผม ตอนที่พี่ศรบอกว่าจะจีบผมตอนนั้นผมคิดว่าหนักสุดๆแล้ว ยิ่งมาตอนนี้ที่ตกลงเป็นแฟนกันสลิกการโจมตีพี่ศรยิ่งรุนแรงว่าเดิมอีก แถมยังมีผลต่ออัตราการเต้นของ


หัวใผมโดยตรงอีกด้วย


    ไม่ไหว ไม่ไหว ถ้าโดนพี่ศรโจมตีบ่อยๆแบบนี้สักวันผมคงได้หัวใจวายขึ้นมาจริงๆแน่ๆ


   “เลิกทำหน้ามุ่ยแล้วก็ยื่นมือมานี่” ว่าจบพี่ศรก็ยื่นมือมาให้ผมจับตอบ


   “….”


   “ยังอีก ยื่นมือมาเร็วๆ”


   หมับ!


   เมื่อเร่งเร้าแล้วผมก็ยังไม่ยอมยื่นมือไปจับตอบอยู่ดี อีกคนที่เหมือนจะหมดความอดทนก็เลยคว้าจับเข้าที่ขอมือของผมเองซะเลย


   “เดี๋ยวกูเดินไปส่งที่คณะเอง ซื่อบื้อแบบนี้จะไปคนเดียวได้ยังไง”


   “…” ผมเงยหน้าขึ้นมอง คิ้วเริ่มจะขมวดเข้าหากันอีกครั้งเพราะสัมผัสได้ว่ากำลังโดนอีกคนหลอกด่า


   “กูเป็นห่วง” จนพี่ศรพูดประโยคต่อมาผมถึงได้เม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองเผยรอยยิ้มออกมา พี่ศรเหมือนจะจับทางได้ก็เลยยื่นมือมายีหัวผมเบาๆก่อนจะจัดการเอากระเป๋าเป้ของผมไปสะพายไว้เอง


   “จะยิ้มก็ยิ้มจะเขินทำไม”


   “อะไรเล่า”


   “ไปได้แล้วเดี๋ยวสาย”


   “…”


   ทุกอย่างเหมือนจะจบลงแค่นั้น จบลงด้วยการที่พี่ศรหอมแก้มผมจนพอใจ จบลงด้วยการที่ผมรู้สึกทั้งร้อนทั้งปวดระบมที่แก้มทั้งสองครั้ง แต่ว่าภาพที่ผมเห็นต่อจากการที่ยอมจับมือพี่ศรคือ…พี่แทน


   พี่แทนกำลังยืนอ้าปากค้างทำอย่างกับว่าพึ่งจะเห็นสงครามหรือเหตุการณ์อะไรที่มันร้ายแรงมาอย่างนั้นแหละ แต่จะว่าไปมันก็คงจะเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงจริงๆ เพราะตั้งแต่ที่ผมยอมตกลงคบกับพี่ศรก็ยังไม่เคยมีใครรู้เรื่องของพวกเราเลย ขนาดพวกเจนกับเจสสิก้าที่เป็นเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดผมก็ยังไม่ได้บอก ส่วนพี่ศรน่ะเหรอ รายนั้นไม่ต้องห่วง ปกติก็ไม่ค่อยจะมีเพื่อนแล้วก็ไม่ยอมคุยกับใครอยู่แล้ว เรื่องที่จะบอกใครน่ะตัดทิ้งไปได้เลย


   จริงๆถึงคนอื่นจะรู้เรื่องของพวกผมมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรหรอก เพียงแต่ว่าสำหรับพี่แทนที่พี่ศรบอกผมตลอดว่าพี่แทนอาจจะ…ชอบผมอยู่ ถ้าเกิดว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ ถ้าพี่แทนชอบผมจริงๆ งั้นภาพที่เห็นเมื่อกี้พี่แทนจะรู้สึกยังไงนะ


   “พะ…พี่แทน…” ผมรวบรวมน้ำเสียงที่เหมือนจะขาดหายไปกลับมาก่อนจะเอ่ยเรียกใครอีกคนที่ยังยืนอ้าปากค้างอยู่เหมือนเดิม ผมลองที่จะเงยขึ้นมองหน้าพี่ศรว่าจะเอายังไงดีแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือแรงกระชับตรงฝ่ามือทีเราทั้งสองคนสอดประสานกันอยู่ แรงพยักหน้าเบาๆกับรอยยิ้มอย่างอบอุ่นของพี่ศรเป็นคำตอบให้ผมอย่างชัดเจน


   และสุดท้ายพี่ศรก็จับมือผมเดินเข้าไปหาคนที่มาใหม่อย่งพี่แทนช้าๆทีละก้าว


   “ไอ้แทน” เป็นพี่ศรที่เลือกที่จะเอ่ยทักขึ้นก่อน


   “นะ…นี่พวกมึงสองคน”


   “พวกกูสองคนคบกัน”


   “…”


   ถ้าโลกนี้จะมีอะไรที่เร็วกว่าแสงก็คือพี่ศรนั้นแหละครับ แทบจะทันทีที่พี่แทนเอ่ยถาม น้ำเสียงพี่แทนที่ถามมายังดูล่องๆลอยๆเหมือนคนที่ไม่มีสติต่างกับพี่ศรที่ตอบแบบฉะฉานชัดถ้อยชัดคำจนผมเองยังต้องชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมอง


   “คะ…คบเหรอ” พี่แทนทวนคำ


   “อืม” พี่ศรก็ยังคงพยักหน้ารับเสียงเรียบ


   “จริงเหรอไอ้ปุณย์”


   หมับ!


คราวนี้เป็นแรงจับและบีบของพี่แทนลงมาที่ต้นแขนผม อาการเจ็บจากแรงบีบทำให้ผมต้องแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาให้เห็น


   “ไอ้แทนน้องมันเจ็บ” ว่าจบพี่ศรก็ปัดมือพี่แทนออก


   “กูขอโทษ กูก็แค่จะถามไอ้ปุณย์ให้แน่ใจ”   


   “มึงจะถามมันทำไมก็ในเมื่อกูบอกมึงไปแล้ว”


   “มันก็ใช่ แต่กูแค่…แค่ไม่คิดว่ามึงจะชอบน้องมันได้”


   “ทำไมกูจะชอบมันไม่ได้ มึงยังชอบมันได้เลย”


   “กะ…กู” โดนพี่ศรพูดแบบนี้พี่แทนถึงกับออกอาการเลิกลัก ตอนนี้ผมว่าก็คงจะจริงอย่างที่พี่ศรพูดที่ว่าพี่แทนชอบผม ที่ผ่านมาผมไม่เคยมองออกเลยเพราะคิดว่าทุกอย่างที่พี่แทนทำมันเป็นความห่วงใยและความรักที่รุ่นพี่มีต่อรุ่นน้องเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาผมก็รัก เคารพและห่วงใยพี่แทนเป็นรุ่นพี่ที่ดีของผมอีกคนนึงเหมือนกัน


   แต่ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ผมเองก็คงต้องทำอะไรให้มันชัดเจน... ชัดเจนสำหรับผม พี่ศรแล้วก็พี่แทน


   “ผมชอบพี่ศรครับ”


   “…” พอผมตัดสินใจพูด ตอนนี้บรรยากาศรอบๆตัวก็เงียบลง สายตาของคนตัวสูงทั้งสองคนต่างมองมาทางผม สุดท้ายผมก็ตัดสินใจสูดลมหายใจลึกๆก่อนจะพูดต่อ


   “ผมชอบพี่ศรมานานแล้วครับ ตั้งแต่ผมยังไม่ได้มาเรียนที่นี่ด้วยซ้ำ ผมหลงรักพี่ศรจากหน้าจอทีวี ตอนที่ผมเห็นพี่ศรกำลังแข่งขัน ผมละสายตาจากพี่ศรไม่ได้เลย ตอนนั้นผมรู้ทันทีว่าผมคงหลงรักพี่ศรไปแล้ว เพราะพี่ศรทำให้ผมมีเป้าหมาย มีความหวังและมีกำลังใจในชีวิต เพราะพี่ศรผมเลยกล้า กล้าที่จะมาเรียนที่นี่ กล้าที่จะมาหาพี่ศร กล้า…ที่จะรักเขา”


   “งั้นก็แสดงว่าตอนแรกที่มึงเคยบอกกูว่ามึงสนใจเรื่องของไอ้ศรก็เพราะแบบนี้สินะ”


   “ใช่ครับ” ผมตอบพี่แทน “ตอนแรกผมคิดไว้แค่ได้มาหา มาอยู่ใกล้ๆหรืออย่างมากก็แค่ได้แอบมองพี่ศรอยู่ห่างๆ ผมหวังไว้แค่นั้นจริงๆ แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมามันทำให้ผมรู้ รู้และเข้าใจตัวเองว่าผมรักพี่ศรมากแค่ไหน”


   “มึงแน่ใจนะ” พี่แทนถามย้ำ


   “ครับ! ผมแน่ใจ ผมกับพี่ศร…ตอนนี้เราเป็นแฟนกันครับ” ผมยืนยันหนักแน่น


   “อืม เข้าใจแล้ว”


   “ครับ?” ผมทำหน้าสงสัย ตอนแรกคิดว่าพี่แทนจะแอบดื้อซะอีก


   “ไม่ต้องทำหน้างงเลย ก็บอกว่าเข้าใจแล้วไง” พี่แทนยื่นมือมาลูบหัวผม


   “พี่เข้าใจแล้วเหรอครับ”


   “อืม เข้าใจไม่ยากหรอก กูก็พอจะดูรู้ว่ามึงไม่ได้มองไอ้ศรเป็นแค่รุ่นพี่หรือพี่เมท ถ้ามึงมองไอ้ศรแบบนั้นมึงคงชิ่งหนีมันไปตั้งแต่แรกเหมือนเด็กคนอื่นๆ มึงก็รู้ว่าไอ้คนเถื่อนนี่มันเป็นยังไง” ประโยคสุดท้ายพี่แทนพูดเชิงหยอกล้อพร้อมเบนสายตาไปทางพี่ศร


   “ก็จริง…ครับ” ผมยิ้มรับเสียงเบาและเบนสายตาไปทางพี่ศรบ้างก่อนจะเจอเข้ากับสีหน้าหงุดหงิดของพี่ศรเข้าเต็มๆ


   “ปล่อยมือได้แล้ว” ว่าจบพี่ศรปัดมือพี่แทนที่ลูบหัวผมออก


   “ไม่ทันไรก็ขี้หึงแล้ววะ” พี่แทนพูดติดตลก


   “กูหวง” พี่ศรตอบเสียงเรียบ แต่สิ่งที่ได้ยินเรียกริ้วแดงให้ปรากฏขึ้นที่หน้าผมได้เหมือนกัน


   “กูขอถามอะไรมึงอย่างได้ไหมไอ้ศร”


   “มึงจะถามอะไร”


   “ไอ้ปุณย์เนี่ยกูไม่สงสัยอะไรแล้ว แต่มึงเนี่ยไปชอบเด็กมันตอนไหนวะ”


   “กูตอบไม่ได้หรอก รู้แค่ว่าตอนนี้กูชอบมัน”


   “ก็ยังขวางโลกเหมือนเดิมนะมึงน่ะ” โดนพี่แทนว่าแบบนี้พี่ศรไม่ได้ตอบอะไรนอกจากทำหน้านิ่งๆแบบที่พี่ศรชอบทำเหมือนเดิม ตอนนี้พี่แทนเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าพี่ศรในระยะประชิด มือข้างนึงค่อยๆยกขึ้นก่อนจะวางฝ่ามือแตะลงบนบ่าพี่ศร


   “มึงเจอคนที่รักมึงกูก็ดีใจด้วย แต่กูจะขอให้มึงดูแลน้องมันดีๆให้สมกับที่น้องมันเสียสละและทำเพื่อมึงขนาดนี้ กูไม่มีอะไรจะพูดมาก กูจะบอกแค่ว่าถ้าวันไหนมึงทำให้น้องมันเสียใจกูจะมาเล่นงานมึง”


   “เออ ไม่มีวันนั้นหรอก” พี่ศรปัดมือพี่แทนออกก่อนจะพูดยืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้กัน


   “กูจะคอยดู” แล้วบรรยากาศตึงเครียดก็หายไปเพราะตอนนี้ทั้งพี่แทนและพี่ศรต่างเผยรอยยิ้มออกมา “เฮ้อ! ยังไม่ทันได้เรื่มจีบก็แพ้ซะแล้วกู แต่เป็นแบบนี้ก็ดีกูจะได้มีเวลาทำใจ”


   “ผมขอโทษนะครับพี่แทน”


   “เฮ้ย! ไม่ต้องทำหน้าหงอยขนาดนั้นก็ได้ ดูสิทำหน้าเป็นหมาหงอยเลย”


   “พี่ไม่โกรธผมจริงนะครับ”


   “กูจะไปโกรธมึงเรื่องอะไร กูไปชอบมึงเองไหม อีกอย่างกูก็ยังไม่ได้จีบมึงเลยด้วยซ้ำ เพราะกูมัวแต่กลัวนี่แหละไอ้ศรถึงคาบไปแดก”


   “ไอ้สัดแทนกูไม่ใช่หมา”


   “เวลาทำหน้าดุก็เหมือนอ่ะ”


   “ไอ้เชี่ยนี่”


   “เฮ้ยๆอย่าๆ”  ภาพที่เห็นตอนนี้คือพี่แทนกำลังวิ่งหนีพี่ศรที่ตามไล่เตะก้นพี่แทนอยู่ พี่แทนก็ยังเป็นพี่แทนที่ผมรู้จักตั้งแต่วันแรก เป็นคนน่ารักและอารมณ์ดีอยู่เสมอ ผมไม่รู้ว่าลึกๆแล้วพี่แทนจะแอบโกรธหรือรู้สึกไม่ดีกับผมหรือเปล่า แต่ยังไงสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ก็คือผมรักพี่ศรและตอนนี้พี่ศรก็รักผมเหมือนกัน และผมเองก็หวังว่าสักวันพี่แทนจะเจอคนที่รักเขาด้วยเหมือนกัน





   ไล่แตะก้นกันอยู่พักใหญ่พี่แทนก็ขอแยกตัวไป ก่อนไปยังไม่วายที่จะมากอดผมเล่นจนพี่ศรออกอาการหึงยกใหญ่ ขนาดตอนนี้เดินแยกจากพี่แทนมาตั้งไกลแล้วพี่ศรยังไม่เลิกขมวดคิ้วเลย


   “ทำหน้าบึ้งหมดหล่อแล้วครับ” ผมเอ่ยแซว หวังจะให้อีกคนอารมณ์ดี


   “มันน่าทำหน้าบึ้งไหมละ”


   “ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย พี่แทนเขามากอดผมเองนี่ พี่ก็รู้ว่าพี่แทนเขาแค่แกล้งเล่นเฉยๆ”


   “แต่กูหวง”


   “โอ๋ๆ” ผมยกมือขึ้นลูบหลังนักกีฬายิงธนูตัวสูงที่กำลังทำหน้าตาแสนงอนอยู่ตอนนี้ “พี่จะหวงทำไมครับพี่แทนเขาก็รู้แล้วนี่ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน”


   “แต่กูก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี” พี่ศรตอบเสียงเรียบ


   ฟอด!


   ผมตัดสินใจพยายามเขย่งเท้าเพื่อจะได้ยืดตัวขึ้นไปหอมแก้มของคนตัวสูงที่ทำหน้าแสนงอนตอนนี้ได้ถนัด


   “แบบนี้ไว้ใจได้หรือยังครับ”


   “ยัง” ผมเห็นเลยนะว่าพี่ศรน่ะมีแอบยิ้มด้วย แต่เหมือนจะรู้ตัวว่าเผลอยิ้มออกมาถึงได้กลับมาทำหน้าบึ้งอีกแล้ว


   “ยังอีกเหรอครับ แล้วผมต้องทำยังไง…อื้อ!” ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ จังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นถามพี่ศรฉวยโอกาสวาดวงแขนโอบกอดผมจากด้านหลังจนตัวผมเข้าไปแนบชิดกับร่างกายของเขา ไม่รอช้ากว่านั้นพี่ศรก้มหน้าลงประกบริมฝีปากแนบชิดกับริมฝีปากผมอยู่นาน


   ผมถูกพี่ศรจูบ!


   “อื้อ…” ผ่านไปเนิ่นนานจนผมรู้สึกว่ากำลังจะขาดอากาศหายใจ สองมือพยายามทุบลงที่หน้าอกแกร่งของพี่ศรเป็นเชิงขอร้องให้เขายอมให้ผมได้หยุดพักหายใจบ้าง


   “ฮ๊ะ…แฮ่กๆ…” เมื่อเป็นอิสระสิ่งแรงที่ผมทำคือการหายใจเอาอากาศเข้าปอด พอเริ่มดีขึ้นผมถึงมองเงยหน้าขึ้นมองค้อนคนฉวยโอกาสอย่างเอาเรื่อง


   “มองหน้าทำไม จะเอาอีกเหรอ”


   “ไม่ใช่สักหน่อย” ผมเบี่ยงหน้าหลบเพราะพี่ศรจะก้มลงมาทำอีกครั้งอย่างที่เขาว่าจริงๆ แต่ถูกกอดไว้แบบนี้จะหันหน้าหลบไปทางไหนได้นอกจากซุกหน้าลงกับแผ่นอกของเขา


   “พี่ฉวยโอกาส”   


   “หึ! ฉวยโอกาสตรงไหน ก็มึงถามกุก็ตอบว่าต้องทำยังไงถึงจะไว้ใจ”


   “แต่พี่ตอบผมเป็นคำพูดก็ได้ไม่เห็นต้อง…จูบผมสักหน่อย”


   “เย็นนี้กูคงซ้อมถึงเย็นเพราะอีกไม่กี่วันต้องไปแข่งแล้ว มึงจะมาดูกูซ้อมไหม”


   “ผมไม่ไป”


   “ได้ยังไงละ เป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งก็ต้องไป ห้ามดื้อ!”


   “ผมไม่ได้ดื้อ แต่ผมโกรธพี่”


   “โกรธเรื่องอะไร”


   “…”


   “เอ้า! ถามก็ไม่ตอบ ถ้าให้กูเดาเรื่องที่กูจูบมึงเมื่อกี้ใช่ไหม”


   “รู้แล้วยังจะมาพูดอีก” ผมบอกเสียงเบา


   “อืม กูเคยได้ยินมาว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ถ้ามึงโกรธกูเพราะกูจูบ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องจูบอีกรอบสินะถึงจะได้หายโกรธ”


   “ใครบอกพี่เนี่ย ไม่ใช่สักหน่อย…อื้อ!”


   พี่ศร!


   เอาอีกแล้วนะ ฉวยโอกาสกับผมตลอดเลย มาหลอกให้ผมเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็มาทำแบบเนี่ย ผมจะโกรธพี่ จะโป้งพี่ จะไม่ไปเชียร์พี่อีกเลย คอยดูสิ














______________________________


ตอนหน้าจบแล้วครับ ^^









ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

หวาน หวาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-02-2019 23:25:45 โดย Billie »

ออฟไลน์ เจ้าโง่_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Love Ten Points #รักตรงเป้า>>Up Epilogue : The Last Shoot
«ตอบ #39 เมื่อ03-03-2019 21:09:57 »

Epilogue


The Last Shoot





   น้องปุณย์’s Part





   ถึงแม้จะเคยบอกพี่ศรไปแล้วว่าผมจะโป้ง จะไม่ไปเชียร์ ไม่ไปให้กำลังใจพี่ศรตอนซ้อมอีก แต่ก็นั้นแหละครับ ทุกคนก็น่าจะรู้ๆกันอยู่ว่าผมก็คงจะทำได้แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เพราะว่าพอเอาเข้าจริงๆก็กลายเป็นผมนี่แหละที่ไปคอยเชียร์พี่ศรที่สนามยิงธนูแทบทุกวันที่พี่เขาซ้อมเลย พวกคุณจะล้อผมก็ได้นะ ผมไม่โกรธหรอก เพราะยังไงทุกๆอย่างที่ผมทำมันก็เป็นหน้าที่ของแฟนคลับอันดับหนึ่งอย่างผมอยู่แล้ว


   แถมตอนนี้…ผมกับพี่ศรก็กลายมาเป็นแฟนกันจริงๆไปแล้วด้วย พูดแล้วก็…เขินขึ้นมาเลย


   หลายวันมานี้พี่ศรทุ่มเทกับการซ้อมมากๆเลย ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นพี่ศรจะพยายามและทุ่มเทกับการซ้อมแบบนี้หรือเปล่า ผมรู้แค่ว่านับตั้งแต่พี่ศรกลับมายิงธนูอีกครั้งพี่เขาก็ทุ่มเทและตั้งใจกับการซ้อมมากๆ พี่ศรซ้อมจนมืดค่ำทุกวันมีบางวันที่ผมขอตัวกลับมาก่อนเพราะมีการบ้านและงานต้องทำ  พี่ศรสัญญาว่าจะรีบตามกลับมาที่หอ แต่เอาเข้าจริงๆพี่ศรก็กลับมาดึกๆทุกครั้ง มีหลายครั้งที่ผมแอบเป็นห่วงเพราะผิวหน้าที่ดูโทรมและหมองคล้ำแสดงออกมาว่าพี่ศรน่ะเหนื่อยแค่ไหน


   “พี่ศร”


   “หืม”


   “พี่เหนื่อยไหมครับ”


   “ถามทำไม”


   “ก็ผมเห็นพี่ซ้อมหนักมากเลย ผมไม่คิดว่าเวลาจะแข่งยิงธนูจะต้องซ้อมกันหนักขนาดนี้” ที่ผมคิดแบบนั้นก็เพราะว่าเวลาที่ผมจะแข่งวิ่งผมเองยังไม่เห็นต้องซ้อมหนักขนาดพี่ศรเลย ผมคิดมาตลอดว่ากีฬายิงธนูเป็นกีฬาที่ไม่ต้องออกแรงอะไรมาก เวลาซ้อมคงสบายน่าดู แต่พอได้มาเห็นพี่ศรตอนนนี้ผมคงจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วละ


   “ทำไมเป็นห่วงกูเหรอ” พี่ศรวางมือลงบนหัวผมก่อนจะออกแรงยีเบาๆเป็นเชิงหยอกล้อ ผมหลับตาลงตามแรงสัมผัสก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองค้อน


   “ก็พี่น่าเป็นห่วงจริงๆนี่ครับ” ผมเอื้อมมือไปสัมผัสขอบตาที่ดำคล้ำของพี่ศร “ดูสิขอบตาดำหมดแล้ว ถ้าพี่ไม่ห่วงสุขภาพตัวเองแบบนี้ระวังจะหมดหล่อเอานะครับ”


   “แล้วรักไหมละ” พี่ศรคว้าจับเข้าที่ข้อมือผมก่อนจะส่งสายตากวนๆมาถาม


   “เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกันสักหน่อย” ผมก้มหน้าหลบสายตา พี่ศรแกล้งผมอีกแล้ว กำลังพูดถึงเรื่องสุขภาพอยู่แท้ๆวกมาเรื่องนี้อีกจนได้


 มันน่าจับตีก้นนัก!


   “แกล้งเล่นนิดเดียว ทำหน้าเป็นตูดลิง”   


   “อะไรเล่า” แกล้งผมแล้วยังจะมาแซวอีก


   “การแข่งวันนี้มันสำคัญกับกูมากจริงๆ มันเป็นการแข่งครั้งแรกของกูในรอบหลายปี  ถ้าชนะวันนี้กูก็จะได้เริ่มเก็บคะแนนเพื่อปูทางไปทีมชาติอย่างที่ตั้งใจไว้ อีกอย่าง…นี่เป็นครั้งแรกที่กูจะได้ลงสนามแข่งจริงๆให้มึงดูด้วย กูอยากทำมันออกมาให้เต็มที่ที่สุด”


   “ผมเข้าใจแล้วครับ” ผมสบตากับพี่ศรแล้วเข้าใจในทุกๆความหมายที่พี่ศรพูด


 ผมเข้าใจแล้ว ผมเข้าใจทุกอย่าง พี่ศรทำทุกอย่าง ทุ่มเททุกอย่างไม่ใช่แค่เพื่อตัวเขาอย่างเดียว แต่เขาทำเพื่อผม พี่ศรทำเพื่อผม


   “ถ้าอย่างนั้นวันนี้มึงจะเชียร์กูให้เต็มที่ใช่ไหม”


   “ครับ…ฮึก  ผม…ผมจะเชียร์พี่ให้เต็มที่เลย ก็ผมเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของพี่นี่ครับ” ว่าจบผมก็ทำท่าปล่อยแสงแบบอุลตร้าแมนเหมือนทุกครั้ง จะต่างออกไปก็แค่ครั้งนี้น้ำตาแห่งความตื้นตันมันไหลออกมาไม่หยุดเลย


   “เป็นแค่แฟนคลับอย่างเดียวเหรอ”


   “ฮึก…เป็นแฟนด้วยครับ”


   “เก่งมากเจ้าเด็กขี้แย” รอยยิ้มและท่าทางหยอกล้อของพี่ศรทำให้ผมยิ้มได้


   ไม่มีเหตุผลอะไรอยู่แล้วที่ผมจะไม่เชียร์พี่ วางใจเถอะครับ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง วันนี้ผมจะคอยเป็นกำลังใจให้พี่เอง





   ตอนนี้ผมกับพี่ศรกำลังนั่งอยู่เบาะหลังสุดของรถบัสที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้ วันนี้ชมรมยิงธนูมีแมตแข่งขันเก็บคะแนนเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันระดับชาติ รถบัสที่มีขนาดใหญ่แต่จำนวนนักกีฬาและผู้ดูแลที่มีเพียงไม่กี่คนจึงไม่ใช่เรื่องยากที่พี่ศรจะขอให้ผมได้ร่วมเดินทางไปด้วย


   มหาวิทยาลัยที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในครั้งนี้อยู่ชานเมืองที่ต้องเดินทางไกลพอสมควร ทุกคนบนรสบัสที่พูดคุยเสียงดังกันก่อนหน้าก็ค่อยๆเสียงเงียบลงและภาพที่เห็นคือทุกคนทยอยหลับไปทีละคนสองคนจนหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆผมอย่างพี่ศร


   “หลับไปแล้ว” ผมแอบมองเสี้ยวหน้าหล่อของพี่ศรที่กำลังหลับอยู่ตอนนี้ ขนาดนอนหลับยังต้องวางมาดอีกเหรอเนี่ย แค่นอนยังต้องกอดอกทำหน้าเข้มเลย


   “รู้แล้วครับว่าหล่อไม่ต้องวางมาดตลอดเวลาก็ได้ครับ” ผมแอบเอี้ยวตัวเข้าไปใกล้ๆ พูดกระซิบลงข้างๆหูของคนที่หลับไปแล้ว


   ฟอด! 


    หมั่นไส้นัก ตอนพี่ตื่นพี่ชอบแอบหอมแก้มผมบ่อยๆ ตอนนี้พี่หลับผมขอเอาคืนมั้งแล้วกัน


   แต่ว่า…พอได้ทำแบบนี้แล้วมันก็รู้สึกดีจังเลย แถมตอนนี้ยังรู้สึกร้อนๆขึ้นมาที่หน้าอีกแล้วด้วย แอบหอมแก้มไปขนาดนั้นพี่ศรยังไม่ตื่นเลย คงจะเหนื่อยและง่วงมากจริงๆ แต่ตอนนี้ความคิดด้านมืดในใจผมกำลังเกิดขึ้นอีกแล้ว ลองมองดีๆพี่ศรตอนหลับบางมุมก็เหมือนเด็กเลย ดูๆไปก็น่าเอ็นดูชะมัด


    ถ้าอย่างนั้น…ขอหอมแก้มอีกครั้งแล้วกัน


   “อ๊ะ…อื้อออ” ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ คนที่ผมคิดว่าจะแอบหอมแก้มเพราะหลับอยู่นั้นอยู่ๆก็ลืมตาขึ้นมาซะดื้อๆ ผมตกใจจะชะงักตัวกลับแต่ก็ถูกมือหนาจับที่ต้นคอไว้จนขยับหนีไม่ได้ ที่หนักกว่านั้นพี่ศรประกบริมฝีปากลงมาฉกจูบผมอย่างไม่ทันตั้งตัว


   ผมตกใจแต่ก็ร้องออกมาเป็นเสียงไม่ได้เพราะปากที่ถูกพี่ศรดูดดึงแสดงความเป็นเจ้าของอยู่ตอนนี้ ไหนจะต้องกลัวว่าคนอื่นๆจะตื่นมาเห็นเข้าอีก


   “อื้อออ…พี่ศร” ผมออกแรงผลักหน้าอกแกร่งของอีกคนออก พี่ศรยิ้มอย่างคนชนะส่วนผมได้แต่มองไปรอบๆว่ามีใครจะเห็นหรือเปล่า โชคดีที่ที่นั่งของพวกเราอยู่เบาะหลังสุดและตอนนี้ทุกคนยังหลับอยู่ตามเดิม


   “แต๊ะอั๋งกูเหรอ”


   “ผม…ผมแค่…” เหมือนคำพูดผมหายไป สมองผมประมวลคำพูดที่จะมาใช้แก้ตัวไม่ได้เลย สุดท้ายสิ่งที่เลือกทำก็คือการซุกหน้าเข้ากับหน้าอกของอีกคนเท่านั้น


   “อะไร อ้อนเหรอ?”


   “…” ผมไม่ตอบเลือกที่จะส่ายหน้าปฏิเสธแทน


   “อะไร” พี่ศรถามย้ำอีกครั้งกลั้วเสียงหัวเราะ


   “ผมอายนะ”  ผมเงยหน้าขึ้นตอบ ถึงจะยังอายๆแต่ก็ต้องฝืนตัวไว้ไม่ให้ตัวเองหลบสายตา


   “เอ้า! แล้วใครมาแอบหอมแก้มกูก่อนละ”


   “ก็พี่ศรไม่ได้หลับทำไมไม่บอกผมล่ะ ปล่อยให้ผมหอมตั้ง…”


   “2ครั้ง”


   “ก็รู้อยู่แล้วยังจะมาพูดอีก” ผมบอกเสียงเบา ตอนนี้หน้าผมร้อนจนจะไหม้แล้วนะ


   “ทีหน้าทีหลังขอกูดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องมาแอบทำตอนกูหลับ ทำตอนตื่นรู้สึกดีกว่าตั้งเยอะจริงไหม”


   “ผมไม่รู้ ผมจะย้ายไปนั่งอีกฝั่ง อ๊ะ!”


   “จะไปไหน” ยังไม่ทันจะได้ลุกผมก็ถูกพี่ศรโอบกอดรั้งเอวให้นั่งลงตามเดิม ก่อนที่จะถูกอีกคนรั่งตัวให้เอนลงไปแนบชิด สัมผัสได้ถึงคางหนักๆที่วางเกยบนไหล่


   “พี่ศรปล่อยผมนะ” ผมพูดเสียงเบาเพราะกลัวว่าคนอื่นๆจะได้ยิน


   “ไม่ปล่อย สัญญามาก่อนว่าจะไม่หนีไปไหน”


   “ผมไม่ได้หนีนะ ก็แค่จะย้ายไปนั่งอีกฝั่ง”


   “นั้นแหละ ไม่ให้ไป”


   “พี่เอาแต่ใจ”


   “ไม่ได้เอาแต่ใจแค่มีแฟนดื้อ”


   “ผมไม่ได้ดื้อ”


   “ไม่ได้ดื้อก็ห้ามไป นั่งด้วยกันนี่แหละ ไม่งั้นก็ไม่ปล่อย”   


   “เฮ้อ!” ผมถอนหายใจอย่างจำยอม “ก็ได้ครับ แต่พี่ต้องปล่อยผมแล้วต้องกลับไปนอนนะครับ คราวนี้ต้องหลับจริงๆนะ”


   “ทำไมมึงจะหอมแก้มกูอีกเหรอ”


   “ไม่ใช่ครับ ที่ผมอยากให้พี่นอนเพราะว่าพี่เหนื่อยซ้อมมาทุกวันต่างหากละครับ ผมแค่อยากให้พี่พักผ่อนให้มากๆ เวลาแข่งจริงพี่จะได้ทำให้เต็มที่ไงครับ”   


   “เอางั้นก็ได้”


   ฟอด!


   เสียงหอมแก้มดังขึ้นอีกครั้งเรียกให้ผมต้องเบิกตากว้าง แต่ไม่ทันจะได้พูดหรือโวยวายอะไรอีกคนก็ยอมปล่อยตัวผมก่อนจะหลับตาลงอย่างว่าง่าย ผมล่ะอยากจะแกล้งเอายาพิษมาทาที่แก้มตัวเองจริงๆเลย พี่ศรนะพี่ศรชอบหอมแก้มผมอยู่เรื่อย





   ทันทีที่รถแล่นเข้ามาในเขตของมหาวิทยาลัยที่จะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันยิงธนูวันนี้ ผมมองไปรอบๆด้านของรถด้วยความตื่นเต้น ยอมรับว่าจริงๆก็ตื่นเต้นกับทุกๆอย่างที่รถแล่นผ่านมานั้นแหละครับ ก็ผมน่ะตั้งแต่ย้ายลงมาเรียนที่กรุงเทพฯยังไม่เคยออกไปไหนเลยนอกจากตอนนั้นที่พี่ศรพาผมไปสยาม พอได้มาเห็นอะไรที่แปลกใหม่ทีผมก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา


   ผมนั่งรอพี่ศรที่กำลังประชุมถึงเรื่องการแข่งขันในวันนี้กับทีมและโค้ช กระจกใสที่กั้นระหว่างผมกับกลุ่มคนข้างในทำให้ผมไม่ได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง แต่ถึงจะได้ยินผมก็คงจะไม่รู้เรืองด้วยหรอกครับ พวกคำศัพท์เกี่ยวกับกีฬายิงธนูน่ะยากจะตาย ขนาดพี่ศรพูดให้ผมฟังบ่อยๆบางคำผมยังจำไม่ได้เลย


   “ไง” ผมเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงทัก


   “พี่เบส”


   “วันนี้มาเชียร์ไอ้ศรเหรอ”


   “ครับ” ผมพยักหน้ารับ


   “มึงสองคนคบกันเหรอ”


   “ครับ? เอ่อ…คือ”


   “ถ้าไม่บอกกูขอพิสูจน์อะไรบางอย่างเองแล้วกัน”


   “อ๊ะ!” พี่เบสปล่อยให้ผมสงสัยอยู่ได้ไม่นาน ทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู ผมยังไม่ได้หันไปดูด้วยซ้ำก็ถูกพี่เบสโอบกอดช่วงเอวแล้วออกแรงรั้งตัวผมให้แนบชิดกับเขา


   ฟอด! ก่อนที่อีกหนึ่งการกระทำจะเรียกให้ผมต้องพยายามขืนตัวออก แต่ก็สู้แรงของเขาไม่ได้เลย ไอ้พี่เบสมันก้มลงมาจูบเบาๆที่หัวผม


   “มึงทำอะไรวะ” เป็นน้ำเสียงหงุดหงิดของพี่ศรที่ดังขึ้นพร้อมกับการที่อีกคนถลาตัวเข้ามาผลักพี่เบสที่โอบกอดผมอยู่เต็มแรง ตอนนี้ผมถูกพี่ศรจัดการดึงรั้งตัวมาไว้ในอ้อมกอดเรียบร้อย


   “พี่ศร” ผมออกแรกเขย่าแขนพี่ศรเบาๆ ตอนนี้พี่ศรดูหงุดหงิดและอารมณ์ไม่ดีเอามากๆเลย


   “กูถามว่ามึงทำอะไร ห๊ะ!” พี่ศรยังคงตวาดพี่เบสเสียงดังลั่น


   “ศร” โค้ชเอกเห็นท่าไม่ดีจะเข้ามาห้าม แต่ก็ถูกพี่เบสห้ามไว้


   “ไม่เป็นไรครับโค้ช ผมขอคุยกับไอ้ศรแค่แปบเดียว”


   “เอางั้นเหรอเบส อย่านานนะ ใกล้จะถึงเวลาแข่งแล้ว”


   “ครับ”


   พอพี่เบสรับโค้ชเอกและคนอื่นๆก็เดินแยกออกไป ตอนนี้เหลือแค่ผมกับพี่เบสแล้วก็พี่ศรที่ยังคงส่งสายตาเอาเรื่องใส่กันไม่เลิก


   “ทีนี้มึงจะตอบกูมาได้หรือยัง” พี่ศรถามพี่เบสเสียงดัง


   “กูก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ ก็แค่จะพิสูจน์อะไรบางอย่างแค่นั้น”


   “พิสูจน์อะไรของมึง”


   “ก็พิสูจน์ว่า…”  พี่เบสเดินเข้ามาใกล้ ค่อยๆยกมือขึ้นลูบไล้ตามโครงหน้าผม


   “ไอ้สัด” ก่อนที่จะเป็นพี่ศรที่ปัดมือพี่เบสออก


   “มึงสองคนคบกันจริงๆด้วยสินะ”


   “…” ผมเงียบ จะมีก็แต่พี่ศรที่ตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว


   “เออ กูสองคนเป็นแฟนกัน แล้วมึงจะทำไม”


   “ก็ไม่ทำไม มึงสองคนคบกันกูแล้วทำไมกูต้องทำไมด้วย กูกับมึงแข่งกันแค่เรื่องยิงธนูก็พอ เรื่องอื่นๆมึงจะทำอะไรก็เรื่องของมึงกูไม่สนใจหรอก อีกอย่าง…เด็กนี่มันก็น่ารักจริงๆนั้นแหละ ไม่แปลกหรอกที่มึงจะชอบ”


   “…”


   “เอาเป็นว่ายังไงวันนี้หวังว่ากูจะไม่เห็นใครพาทีมแพ้นะ ที่กูอยากรู้และอยากจะบอกมึงมีแค่นี้” พูดจบไอ้พี่เบสก็ยิ้มกวนๆให้พี่ศรแล้วก็เดินเลี่ยงออกไป ทิ้งไว้แต่ผมกับพี่ศรสองคนที่ยืนคุยกันอยู่จุดเดิม


   “พี่ศร สีหน้าพี่ดูไม่ดีเลย”


   “งั้นเหรอ” พอผมถามพี่ศรก็พยายามทำสีหน้าให้ดูปกติ เขายิ้ม แต่ทำไมผมถึงรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่ยิ้มที่พี่ศรเคยยิ้มให้ผมเหมือนอย่างเคยก็ไม่รู้


   หรือว่า…จะโกรธผมจริงๆซะแล้ว





   การแข่งขันในวันนี้ดำเนินไปอย่างคึกคัก ผมพึ่งเคยเห็นบรรยากาศการแข่งขันยิงธนูด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรก ได้มาเห็นของจริงแบบนี้ตื่นเต้นกว่าตอนดูในทีวีเยอะเลย


   “เป็นไงบ้างปุณย์” โค้ชเอกเดินเข้ามาทักผมหลังจากที่ส่งนักกีฬาของทีมเข้าสู่สนามแข่งแล้ว


“ครับ”


“มาเชียร์ศรเหรอ”


“ชะ…ใช่ครับ”


“แอบตื่นเต้นเหมือนกันนะเนี่ย วันนี้ศรเขาลงแข่งสนามจริงครั้งแรกเลย โค้ชเองยังแอบมีห่วงเหมือนกัน แต่จะยังไงก็ตามโค้ชเชื่อนะว่าวันนี้ยังไงศรจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง” ผมมองตามทางที่โค้ชกำลังทอดสายตามอง เห็นพี่ศรกำลังยืนอยู่กับกลุ่มพวกพี่เบสและนักกีฬาคนอื่นๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นพี่ศรยืนอยู่ในสนามแข่งจริงๆ  หัวใจผมตอนนี้เต้นแรงขนาดเลย ตื่นเต้นยังกับว่าเป็นคนลงแข่งเองอย่างไงอย่างงั้น


ไม่ทันสังเกตว่าวันนี้ทุกคนในทีมใส่ชุดกีฬาแบบเดียวกันหมดเลย เสื้อโปโลใส่สบายกับกางเกงขาสั้นที่ผมเห็นพี่ศรชอบใส่บ่อยๆ จะต่างไปก็แค่ในวันนี้ทุกคนใส่เสื้อสีชมพูอ่อนเหมือนกันหมดทุกคนเลย อาจจะดูขัดๆกับหน้าตาของพวกพี่ๆเขาอยู่บ้างก็เถอะ แต่มันเป็นสีของหาวิทยาลัยนี่น่าถึงไม่อยากจะใส่แต่ก็จะทำยังไงได้


   แต่ว่าจริงๆแล้วดูไปดูมาพอพี่ศรใส่ชุดสีชมพูอ่อนแบบนี้ก็ดูน่ารักไปอีกแบบนะ  ไม่น่าเชื่อว่าน่านิ่งๆแบบนั้นก็มีมุมน่ารักเหมือนกัน  ว่าแต่…แล้วทำไมผมจะต้องยิ้มคนเดียวด้วยเนี่ย!


   


   เมื่อสัญญาณการแข่งขันเริ่มขึ้น สายตาผมจดจ้องอยู่ที่ทีมของพี่ศรอย่างเดียวเลย โค้ชเอกเล่าให้ผมฟังว่าการแข่งขันวันนี้ใช้ระยะแข่งแบบเดียวกับโอลิมปิกเลยนะ แข่งกันที่ระยะ70เมตร ประเภทการแข่งขันวันนี้เป็นประเภททีมชาย ทีมของพี่ศรมีด้วยกันสามคนตามกติกาคือพี่ศร พี่เบส และใครอีกคนที่ผมไม่รู้จัก


   ‘8 คะแนน’


   ‘9 คะแนน’


   ‘10 คะแนน’


   ‘7 คะแนน’


   เสียงของกรรมการประกาศผลคะแนนของทีมต่างๆที่เข้าแข่งขัน แต่ละคนวันนี้ดูเก่งกันมากๆเลย ทำคะแนนยังกับว่าเป้ายิงอยู่ตรงหน้านี่เองทั้งๆที่ระยะ70เมตรมันไกลจากเป้ามากๆเลยแท้ๆ


     “ร้อนไหม” พี่ศรถามผม ตอนนี้ผ่านช่วงการแข่งขันแบบแพ้คัดออกในช่วงแรกแล้ว แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบก็ได้ยินเสียงโค้ชเอกร้องตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจ


   “ผ่าน! ทำดีมากเลยทุกคน ทีมเราผ่านเข้ารอบชิงด้วยนะ นี่ไง” โค้ชเอกยื่นเอกสารที่ดูเหมือนจะเป็นใบประกาศผลคะแนนให้ทุกคนดู ตอนนี้ทุกๆคนดูดีใจและมีความสุขมากๆเลย ขนาดผมยังแอบดีใจไปด้วย


   “แต่…ทีมที่เราจะต้องไปชิงเป็นทีมจากมหาวิทยาลัย T นะ”


   “…”


ตอนนี้ทุกคนนิ่งเงียบไปหมดเลย ผมไม่รู้ว่าอีกทีมที่ว่านั้นจะเก่งหรือน่ากลัวแค่ไหน แต่ที่รู้ตอนนี้สีหน้าของทุกคนดูจริงจังมากๆเลย


“แต่ไม่ว่ายังไงเราก็จะสู้ใช่ไหม”


“ครับพวกเราจะสู้” พี่เบสตอบโค้ชเอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“Archery C สู้!” ทุกคนออกเสียงร่วมกันอย่างฮึกเหิม ละทิ้งความกังวลที่มีก่อนหน้านี้จนหมด  จะมีก็แต่พี่ศรที่ยังคงมีสีหน้าตึงเครียด


“พี่ไหวไหมครับ” ผมเดินเข้าไปถาม อยากจะเอื้อมมือขึ้นไปสัมผัสแก้มและใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้านั้น แต่ก็ติดที่ผมกลัวว่ามันจะดูไม่ดีถ้าทำแบบนั้นต่อหน้าคนอื่น


“ศร” พี่ศรไม่ทันได้ตอบผมโค้ชเอกก็เดินเข้ามาหาซะก่อน


“ครับ” พี่ศรตอบ


“เราไหวนะ” โค้ชเอกยกมือขึ้นแตะบ่าพี่ศร “ดูเรากังวล มีอะไรบอกโค้ชได้นะ”


“ไม่มีอะไรครับ ผมไหว”


“อืม เต็มที่แล้วกันนะ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น”


“ครับ”  พี่ศรพยักหน้ารับ


ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าที่พี่ศรมีท่าทีดูกังวลมันเป็นเพราะอะไร ที่พี่ศรเป็นแบบนี้คงเป็นเพราะความกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยก่อนหน้านี้ของเขา ถึงแม้ในทางร่างกายพี่ศรจะปกติทุกอย่างแล้ว แต่ผมรู้ว่าในทางจิตใจพี่ศรยังไม่เต็มร้อย เห็นพี่ศรทำหน้าเครียดแบบนี้ผมรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีขึ้นมาเลย





การแข่งขันกลับมาเริ่มขึ้นอีกครั้ง ในรอบชิงชนะเลิศยังคงแข่งกันแบบทีม ทีมละสามคนเหมือนเดิม คราวนี้แต่ละคนต้องยิงกันคนละสองครั้ง รวมเป็นทีมละหกครั้ง ถ้าคะแนนรวมใครเยอะกว่าก็ชนะไป


“พวกเราต้องชนะแน่ๆว่าไหม”


“คะ…ครับ” ผมหัวเราะเสียงแห้งก่อนจะพยักหน้ารับคำโค้ชเอกไป มีแอบอึดอัดบ้างที่ต้องมาเชียร์พร้อมกับผู้ใหญ่แบบนี้ แต่มันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวเพราะอย่างน้อยก็มีคนคอยอธิบายพวกกติกาต่างๆให้ผมเข้าใจง่ายขึ้น


‘10 คะแนน’


‘10 คะแนน’


‘9 คะแนน’


‘10 คะแนน’


การแข่งขันในรอบสุดท้ายนี้เข้มข้นและดุเดือดเอามากๆ เสียงประกาศคะแนนของกรรมการดังขึ้นทีนึงหัวใจผมก็แทบจะหยุดเต้น แต่ละคนยิงได้คะแนนโหดๆกันทั้งนั้นเลย


จนกระทั้ง….ตอนนี้เป็นตาของพี่ศรที่จะต้องยิงแล้ว


“…”


ผมเฝ้ามองทุกๆการกระทำของพี่ศรตรงหน้า พี่ศรกำลังใส่ลูกธนูในท่าพร้อมยิง การวางเท้าขนานกับเส้นและท่าทางการยกง้างคันธนูแบบนั้นผมจำได้ดี และไม่นานลูกธนูก็ถูกปล่อยออกไป   


“…” ทุกคนต่างนิ่งเงียบเพราะลูกดอกปักลงในจุดที่ก้ำกึ่งระหว่างเจ็ดและแปดคะแนน กรรมการที่เกี่ยวข้องวิ่งมาดูกล้องส่องทางไกลที่เตรียมไว้ก่อนจะประกาศคะแนนออกมา


‘8 คะแนน’


“เยส!” เสียงโค้ชเอกดีใจทำให้ผมต้องหันมอง “ลืมไปว่าเราคงจะไม่เข้าใจ คืออย่างนี้ ถ้าลูกธนูไปปักลงตรงจุดที่ก่ำกึ่งระหว่างสองคะแนนแบบนั้น เราจะวัดคะแนนจากจุดที่ลูกธนูปักลงมากที่สุด ศรถึงได้แปดคะแนนไง”


“อ๋อครับ” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แต่ก็ต้องหันกลับไปสนใจการแข่งขันต่อเพราะตอนนี้ดูเหมือนจะเริ่มแข่งกันอีกแล้ว


10 คะแนน


9 คะแนน


9 คะแนน


10 คะแนน


การแข่งขันดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เหลือพี่ศรเป็นคนสุดท้ายที่จะต้องยิง


“ตอนนี้พวกนั้นคะแนนนำเราอยู่เก้าคะแนน นั้นหมายความว่าศรจะต้องยิงให้ได้สิบเท่านั้นถึงจะชนะ” ได้ยินแบบนั้นผมรีบหันไปมองทางพี่ศรทันที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้พี่ศรจะกดดันมากแค่ไหน เป็นคนยิงคนสุดท้ายและเป็นคนตัดสินชัยชนะของทีมด้วย


พี่ศรเข้าประจำที่ในท่าพร้อมยิงอีกครั้ง คันธนูถูกยกขึ้นและง้างไว้ในท่าพร้อมยิง เวลาเริ่มนับถอยหลังเรื่อยๆ แต่สุดท้ายคนที่ง้างคันธนูในตอนแรกก็ลดคันธนูลง


“ทำไมศรถึงไม่ยิงละ” เสียงโค้ชเองพูดขึ้น


ผมมองพี่ศรสลับกับป้ายบอกเวลาที่ตัวเลขกำลังนับถอยหลังลงเรื่อย ถ้าเลขนับถึงศูนย์นั้นหมายความว่าพี่ศรจะหมดสิทธิ์ยิงและทีมจะแพ้


ท่าทางของพี่ศรตอนนี้เหมือนคนขาดความมั่นใจ ด้วยความที่พี่เขาต้องยิงเป็นคนสุดท้ายและจะต้องได้สิบเต็มเท่านั้นด้วย ไม่แปลกหรอกขนาดผมเองยังกดดันเลยแล้วพี่ศรจะเหลือเหรอ แต่จะยังไงก็ตามผมจะปล่อยให้มันจบลงแบบนี้ไม่ได้


“พี่ศรครับ!” ผมยกมือขึ้นป้องปาก ร้องตะโกนออกไปสุดเสียงจนใครอีกคนที่ผมพึ่งจะเรียกชื่อไปหันมามอง “สู้ๆนะครับ พี่ทำได้แน่นอน สำหรับผมน่ะไม่ว่ายังไงพี่ศรก็สุดยอดอยู่แล้ว ผมจะอยู่ข้างๆพี่ตลอดไปเพราะผมเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของพี่ไงครับ” พูดจบแล้วก็ขาดไม่ได้ที่จะทำท่าอุลตร้าแมนปล่อยแสงแบบที่ผมชอบทำ


พี่ศรยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนที่เขาจะหันกับไปสนใจเป้ายิงธนูตรงหน้า  เวลายังคงนับถอยหลังลงเรื่อยๆ บรรยากาศรอบๆข้างเงียบและกดดันมากๆ


แต่พี่ศรก็ยอมที่จะยกคันธนูขึ้นง้างในท่าพร้อมยิงอีกครั้ง ทุกๆอย่างรอบๆตัวหยุดนิ่งไปสักพักก่อนที่….


“10 คะแนน  Archery C ชนะ!”


ลูกธนูลูกนั้น…ลูกธนูของพี่ศร มันปักลงตรงกลางเป้า สิบคะแนน พี่ศรยิงได้สิบคะแนนและพี่เขาทำได้ พี่ศรชนะ พี่ศรทำให้ทีมชนะ


หมับ!


ผมรีบวิ่งเข้าไปกอดเอวของอีกคนไว้แน่น แนบชิดชุกหน้าลงบนอกกว้างของอีกคนอย่างลืมอาย


“พี่ทำได้ พี่ทำได้แล้ว พี่ยิงได้สิบคะแนนด้วย”


“กอดแน่นเกินไปแล้ว กูหายใจไม่ออก”


“ผมขอโทษครับ” ผมกล่าวคำขอโทษ ก่อนจะคลายแรงกอดเอวพี่เขาออก พี่ศรเชยข้างผมให้เงยหน้าขึ้นสบสายตา


“ขอบคุณมึงมากๆนะ ถ้าไม่มีมึงกูคงทำไม่ได้”


“…” ผมยิ้มรับ ไม่ได้ตอบอะไร


   “ขอบใจมาก เจ้าเด็กอุลตร้าแมน” ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจ พี่ศรเรียกแบบนี้รู้สึกอายจัง แต่ผมก็ชอบนะ


   “พี่เก่งอยู่แล้ว ถึงไม่มีผมยังไงพี่ก็ทำได้”


“ไม่หรอก ถ้าไม่มีมึง กูบอกตรงๆว่ากูก็อาจจะทำไม่ได้”


“…”


“มึงรู้ไหม สำหรับกูมึงเหมือนเป็นคนที่ฟ้าส่งมาให้กูเลยนะ มึงเป็นคนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตกูอีกครั้ง มึงทำให้กูรู้จักและเข้าใจความรัก ทั้งรักกีฬายิงธนูและรักมึงด้วย”


“พี่ศร…”


“จะเป็นอะไรไหมถ้ากูจะขออะไรมึงสักอย่าง”


“อะไรเหรอครับ”


“อยู่กับกู เป็นนางฟ้าประจำตัวของกูไปตลอด ตลอดในที่นี้คือชั่วขีวิตเลยได้ไหม”


“…ครับ” ผมนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะพยักหน้ารับ


พี่ศรโอบกอดตัวผมแน่น ผมโอบกอดเขาตอบ เราต่างคนต่างซุกหน้าลงแนบชิดบนไหล่ของกันและกัน ซึมซับความรู้สึกดีๆที่ไม่คาดฝันนี้ไว้อย่างแนบแน่น


พี่ต่างหากละครับที่เป็นคนเทวดาของผม พี่เป็นคนที่ฟ้าแนะนำให้ผมรู้จัก พี่ศรทำให้ผมรู้จักที่จะรักใครสักคน พี่ศรให้ผมมีความหวัง มีความฝันและมีความกล้า


กล้า…ที่จะทำตามหัวใจตัวเอง


กล้าที่…จะมาที่นี่


และความกล้านั้นทำให้ผมมีวันนี้วันที่ผมได้ยืนอยู่ข้างๆ ได้เป็นกำลังใจของกันและกัน


ถ้าจะมีใครสักคนที่ต้องขอบคุณท้องฟ้า ผมว่าคนคนนั้นคงจะต้องเป็นผมซะมากกว่า


ขอบคุณนะครับคุณท้องฟ้า ขอบคุณที่ทำให้ผมได้มาอยู่ที่นี่ ขอบคุณที่ยอมให้เราได้รักกัน ขอบคุณมากๆครับ


   


   


-The End-












__________________________





ในที่สุดก็เดินทางมาจนถึงตอนจบแล้วนะครับ ส่งพี่ศรกับน้องปุณย์ถึงปลายทางกันแล้ว ขอบคุณทุกคนมากๆเลย


ที่อ่านเรื่องนี้จนจบ นิยายเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไรมากมาย อาจจะมีอะไรห่วยๆเยอะแยะไปหมด แต่ยังไงก็ขอบคุณหลายๆคนที่อยู่ด้วยกันมาจนจบนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ


ส่วนรูปเล่มอาจจะเจอกันช่วงกลางๆปีเลย เพราะต้องรอหน้าปกใหม่วาดเสร็จก่อน ใครที่รออ่านตอนพิเศษหรือรอรูปเล่ม ยังไงรอกันอีกนิดนึงนะครับ


สุดท้ายนี้ก็เช่นเคย เจ้าโง่_เองก็ไม่มีอะไรจะพูด นากจากคำว่า …รักและขอบคุณมากๆครับ ^^






CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Love Ten Points #รักตรงเป้า>>Up Epilogue : The Last Shoot
« ตอบ #39 เมื่อ: 03-03-2019 21:09:57 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: Love Ten Points #รักตรงเป้า>>Up Epilogue : The Last Shoot
«ตอบ #40 เมื่อ06-03-2019 11:28:49 »

สนุกมากค่ะ  :mew2:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: Love Ten Points #รักตรงเป้า>>Up Epilogue : The Last Shoot
«ตอบ #41 เมื่อ06-03-2019 13:25:29 »

 :L2: :pig4:

น้องเปล่งแสง55
ขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารักๆ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: Love Ten Points #รักตรงเป้า>>Up Epilogue : The Last Shoot
«ตอบ #42 เมื่อ06-03-2019 16:07:07 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
Re: Love Ten Points #รักตรงเป้า>>Up Epilogue : The Last Shoot
«ตอบ #43 เมื่อ16-04-2020 22:05:01 »

 :pig4:

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
Re: Love Ten Points #รักตรงเป้า>>Up Epilogue : The Last Shoot
«ตอบ #44 เมื่อ25-04-2020 00:51:45 »

รักกันนานๆนะ

ออฟไลน์ BM_CBC

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love Ten Points #รักตรงเป้า>>Up Epilogue : The Last Shoot
«ตอบ #45 เมื่อ11-05-2020 00:01:10 »

 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด