ขอบคุณครับสำหรับคอมเมนท์ ยินดีรับคำติชมนะครับ
บทที่สาม
ปรกติวันจันทร์เป็นวันที่ยุ่งมากอยู่แล้ว แต่วันนี้ยุ่งที่สุด และซวยที่สุดด้วย อนุภาพนั่งไตร่ตรองว่าวันนี้ควรจะขับรถกลับบ้านดีหรือไม่ เขากลัวรถเสียกลางทาง และเขาเองก็ไม่รู้เรื่องรถเท่าใดนัก
ตำรวจคนนั้นยังไม่โทรมาอีก
เขาอยากจะเอารถเข้าอู่ให้เร็วที่สุด เพราะถ้าไม่มีรถ - ลำบากแน่
ชายหนุ่มยกหูโทรศัพท์
สายไม่ว่าง ..
ชายหนุ่มลองอีกครั้ง - ไม่ว่างอีก ลองจนเหนื่อย สายก็ยังไม่ว่าง
ยิ่งคิด อนุภาพยิ่งโกรธ นี่ถ้าไม่เกิดเรื่องเมื่อเช้า ก็ไม่ต้องมานั่งวุ่นวายแบบนี้
"พี่นุครับ เรื่องรถว่าไงครับ? เห็นพี่บั๊ดบอกว่ารถเหมือนจะเสีย" อาทิตย์ หนุ่มรุ่นน้องผู้ช่วยใหม่ของเขาเข้ามาถาม
อนุภาพส่ายหน้า "ยังไม่รู้จะเอายังไง นายคนนั้นยังไม่ยอมติดต่อมาอีก" เขาเบ้ปาก
"รถเขาไม่มีประกันเลยหรือครับ"
"ไม่มี" อนุภาพส่ายหน้าเนือยๆ
"พี่อย่าเสี่ยงขับรถกลับบ้านเลยนะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง" อาทิตย์อาสา ยิ้มกว้าง
ปากยิ้ม นัยน์ตาก็ยิ้มด้วย...
อาทิตย์เป็นที่ชอบของทุกคนที่ทำงาน เขาเป็นคนร่าเริงและอัธยาศัยดี ช่วยเหลือทุกคนทั้งเรื่องงานและส่วนตัว
เด็กหนุ่มเพิ่งเรียนจบปีกลายและทำงานเป็นผู้ช่วยส่วนตัวอนุภาพ เรียกได้ว่าช่วยจิปาถะ ชายหนุ่มพยายามฝึกให้อาทิตย์เรียนรู้งานโฆษณาแทนที่จะมาทำงานแบบธุรการ อนุภาพไม่มีเลขานุการแต่ก็ไม่ลำบากเพราะบริษัทมีกลุ่มเลขานุการส่วนกลางที่ทำงานให้กับหัวหน้าแผนกต่างๆ อยู่แล้ว
อาทิตย์เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวขาวสะอาด ตาเรียวเล็ก คิ้วหนาเข้ม จมูกโด่ง ปากแดงจัดจนสาวๆ อิจฉา ผมทรงรากไทรดำขลับ รูปร่างสูงปานกลาง กล้ามแน่นกำยำเพราะเล่นกีฬาเป็นประจำ เขาชอบเล่นฟุตบอล ตีเทนนิส กอล์ฟ สควอช และว่ายน้ำ จนทุกคนแต่งตั้งให้เป็นแผนกกีฬาประจำบริษัท ฐานะทางบ้านของอาทิตย์นั้นมีอันจะกิน มีธุรกิจเพชรพลอยของครอบครัว แต่ชายหนุ่มอยากทำงานหาเลี้ยงตัวเอง
"ขอบใจนะอาทิตย์ แต่อย่าเลย เหนื่อยเปล่าๆ พี่นั่งแท๊กซี่ได้” อนุภาพยิ้ม
"ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ พี่นุทำงานเหนื่อย ผมขับรถไปส่ง ดีกว่าเลิกงานแล้วผมไปตะลอนๆ เที่ยว ไร้สาระเป็นไหนๆ ผมจะได้รู้จักบ้านด้วยไงครับ"
อนุภาพไม่เคยให้ใครรู้จักบ้านตัวเอง นอกจาก เพื่อนซี้รุ่นพี่ สมบั๊ดของน้องๆ
อาทิตย์ชอบมาคลุกคลีอยู่กับเขามากกว่าคนอื่น ซึ่งอาจดูไม่แปลกเพราะอาทิตย์เป็นผู้ช่วยของอนุภาพ แต่ชายหนุ่มเองนึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าอาทิตย์ช่วยเขามากกว่าที่ควรจะทำ
"พี่กลับแท็กซี่ได้ สะดวกกว่าตั้งเยอะ" อนุภาพปฏิเสธ
อาทิตย์หยุดเซ้าซี้เพราะสมบัติเดินเข้ามา
อนุภาพคิดว่าเห็นแววตาผิดหวังของเด็กหนุ่ม
อาทิตย์เป็นคนน่ารัก เป็นคนดี...แต่เขาก็เด็กเกินไปสำหรับอนุภาพ
เขาต้องการคนที่แข็งแกร่ง อย่างน้อยก็แกร่งกว่าเขา - นั่นเป็นความปรารถนาลึกๆ ในหัวใจ
อนุภาพเป็นคนแกร่ง - เขายืนหยัดและฝ่าฟันแทบทุกอย่างในชีวิตมาด้วยตัวของเขาเอง แม้แต่ตอนที่เขามีธนาภพ...
ธนาภพเป็นคนที่อบอุ่น อ่อนโยน สนุกสนาน ร่าเริง บางส่วนของเขาคล้ายกับอาทิตย์
แต่เขาเป็นคนไม่เข้มแข็ง ไม่เป็นผู้ใหญ่พอ ไม่ ’สู้’ มากพอเท่ากับอนุภาพ ไม่หนักแน่นพอที่จะฝ่าฟันปัญหาไปพร้อมกับเขา
จริงอยู่ ธนาภพเลือกที่จะทำตามความต้องการของพ่อที่ยื่นคำขาดให้เขากลับมาประเทศไทยเพื่อรับหน้าที่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ เขาต้องการสร้างความฝันของตนให้เป็นจริง ฝันนั้นที่อนุภาพเข้าไปอยู่ด้วยไม่ได้...ฝันที่ไม่ใช่ฝันอันเดิมของทั้งสองที่เคยร่วมสร้างมาด้วยกันตลอดเวลาที่ศึกษาอยู่ต่างประเทศ
ในที่สุดทุกอย่างก็จบลง…
ธนาภพเลือกทางเดินอื่นให้กับชีวิตของตนเอง
จบปริญญาตรี อนุภาพเปลี่ยนสาขาไปเรียนปริญญาโททางการโฆษณา เขาเปลี่ยนแปลงทางเดินชีวิตอย่างสิ้นเชิง เขาต้องการหนีจากความทรงจำเดิมที่คอยกัดกร่อนความรู้สึก
ถ้าให้ต้องอยู่กับสภาพเดิมโดยไม่มีธนาภพ เขาคงทนไม่ได้ อุตส่าห์ร่ำเรียนด้วยกันมาเพื่อที่จะสร้างฝันนั้นให้เป็นจริง แต่ท้ายที่สุด ถ้าเขาต้องสร้างความฝันนั้นให้เป็นจริงเพียงคนเดียว...เขาก็ไม่อยากทำ
ความใฝ่ฝันร่วมกันที่เขาต้องทำให้เป็นจริงเพียงลำพัง...ความใฝ่ฝันนั้นอนุภาพไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น
คุณพ่อและคุณแม่ของอนุภาพเสียชีวิตเมื่อเขาเรียนจบชั้นมัธยมต้น อาโนลด์ เอเวอริจช์รับเขาเป็นลูกบุญธรรมและพาไปอยู่แคนาดา พอเรียนจบปริญญาโทได้ไม่นานคุณพ่อบุญธรรมของเขาก็เสียชีวิต ชายหนุ่มกลับเมืองไทยอย่างเงียบๆ เพื่อเริ่มต้นชีวิตช่วงใหม่ด้วยตัวคนเดียว ไม่คิดจะอาศัยอยู่ที่แคนาดาต่อไปแม้ญาติของพ่อจะดีกับเขา ชีวิตในต่างประเทศนั้นว่างเปล่าเหลือเกิน รู้สึกเหมือนคนนอกท่ามกลางผู้คนต่างชาติพันธ์ ถึงจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่อย่างซีแอตเติ้ลเกินครึ่งชีวิตแต่เมืองไทยก็ยังเป็นบ้านของเขาอยู่ดี
คุณแม่ของอนุภาพมีบ้านอยู่ที่อยุธยา แม้เป็นบ้านไม้หลังเก่าๆ แต่ก็เป็นสมบัติชิ้นเดียวของแม่ที่ตกทอดถึงเขาผู้เป็นทายาท ส่วนพ่อบุญธรรมก็ไม่ได้เป็นคนร่ำรวย ด้วยฐานะปานกลางท่านทิ้งมรดกให้เขาเพียงพอที่จะดำรงชีวิตอย่างสุขสบายไปพร้อมๆ กับการทำงานกินเงินเดือนบริษัทเหมือนคนวัยทำงานทั่วไป
แต่อนุภาพต้องการการเปลี่ยนแปลงในชีวิต... เขาต้องการไปจากที่ที่เขามีความทรงจำร่วมกับธนาภพ
เขาพบสมบัติในกองถ่ายทำโฆษณาที่น้ำตกไนแองการ่า จากการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และอัธยาศัยใจคอที่ถูกชะตา ความเป็นเพื่อนก่อตัวขึ้น แม้จะอยู่ข้ามทวีป ทั้งสองก็ติดต่อกันไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ สมบัติใช้ประสบการณ์จริงแนะนำอนุภาพจนเรียนจบการโฆษณาแล้วจึงชวนให้มาทำงานร่วมกัน
อนุภาพเป็นคนเก่ง เรียนรู้ได้เร็ว เวลาเพียงไม่กี่ปีทำให้อนุภาพกลายมาเป็น ‘มือวางอันดับหนึ่ง’ ของบริษัท สมบัติยังเคยยกย่องว่า “ยูนี่หัวเร็ว ลิงยังอาย ทำงานไม่กี่ปีข้ามหัวพี่ไปซะแล้ว”
.................
ร้อยตำรวจเอก อธิคม วางหูโทรศัพท์ หมุนคออย่างเหนื่อยล้า เขาเพลียมากเพราะนอนดึกติดต่อกันหลายวัน คดีที่กำลังสืบสวนอยู่เข้มข้นขึ้นทุกขณะ นายตำรวมหนุ่มกำลังสาวเข้าถึงปมของคดี ความจริงใกล้กระจ่าง ถ้าคดีนี้สำเร็จก็จะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาเลยทีเดียว
อธิคมกำลังใกล้จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพันตำรวจตรี...วิ่งไล่ตามเพื่อนคนอื่นทันเสียที เพื่อนเขาส่วนมากได้ยศพันตำรวจตรีกันแทบหมดทุกคนแล้ว
ชายหนุ่มเป็นตำรวจเพราะใจรัก การเป็นตำรวจมือปราบเป็นความฝันของเขามาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นตำรวจมือดี ตรงไปตรงมา ฉลาดและเก่ง ใครๆ ก็ยอมรับ แต่ไม่คุ้นเคยกับการเข้าหาผู้ใหญ่
ที่จริงเขาเองก็ไม่ต้องการที่จะเป็นตำรวจเพื่อใต่เต้าให้ได้ตำแหน่งสูง แต่ข้อดีของการมีตำแหน่งสูงคือเขาสามารถทำงานได้สะดวกกว่า นั่นหมายความว่าสามารถทำประโยชน์ให้สังคมได้มากขึ้น
แม้เงินเดือนตำรวจนั้นน้อยนิด แต่อธิคมก็มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ชายหนุ่มเก็บเกี่ยวส่วนแบ่งจากเงินปันผลที่เป็นรายได้จากธุรกิจที่เขา ‘แทบไม่เคยไปดูแล’ อย่างที่คชานนท์น้องชายของเขาเคยค่อนขอด
อธิคมบอก ‘ยอดน้องชาย’ ว่า เขามีคนเก่งที่สุดบริหารงานอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเข้าไปช่วยบริหารงาน ‘ให้ล่มจม’ ก็ได้ เพราะคนอย่างเขาไม่มีหัวทางด้านธุรกิจเอาเสียเลย
“พี่ยิงปืนเป็นอย่างเดียว อ้อ จับผิดคนเป็นอีกอย่าง” เขาพูดเล่นๆ กับน้องชาย
ยอดน้องชายบอกว่า มรดกที่คุณตาทิ้งไว้ให้หลานรักอย่างอธิคมนั้น กินจนตายก็ไม่หมด แต่ถ้านำไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และมีผู้บริหารสินทรัพย์ดีๆ ยิ่งกินไม่หมดไปอีกหลายชาติ
อธิคมบอกน้องชายว่าเขาคงไม่อยากเกิดอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่ามากินมรดกของคุณตาให้หมดหรอก ขอเพียงแต่มันไม่สูญเสียไปอย่างไร้ค่าก็พอแล้ว
น้องชายของเขาเพียรพยายามอธิบายการลงทุนให้พี่ชายเข้าใจ แต่ก็ต้องยอมแพ้ ในที่สุดคชานนท์ก็รับหน้าที่บริหารสินทรัพย์ให้พี่ชายผู้ไม่ประสีประสาเรื่องธุรกิจ
ผู้กองหนุ่มมองไปข้างโทรศัพท์ นามบัตรของชายหนุ่มเจ้าของรถสปอร์ตสีแดงยังวางอยู่ เขาเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาพลางนึกถึงใบหน้าใสสะอาดท่าทางเจ้าอารมณ์นิดๆ
เพียงพบครั้งแรกเขาก็รู้สึกชอบ ความจริงเขาเองไม่จัดเจนถึงขนาดเมื่อพบใครแล้วจะสามารถบอกได้ว่า ‘เป็น’ เหมือนที่เขาเป็นหรือเปล่าอย่างที่เพื่อนคู่หูของเขาร้อยตำรวจเอกธงรบ เคยบอกว่า “คนอย่างเราๆ นี่มันต้องมีเรด้าพิเศษ คอยตรวจจับว่า ผู้ชายคนไหน ‘เป็น’ หรือ ‘ไม่เป็น’
แต่มีอะไรบางอย่างในแววตาของชายหนุ่มที่ดึงดูดเขาเหมือนมีแม่เหล็ก สัญชาติญาณลึกๆ ในตัวเขาบอกว่า ‘คนอารมณ์ร้อน’ คนนั้นน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
ที่จริงแล้วผู้กองหนุ่มรูปงามอย่างเขาก็เหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดคนรอบข้างได้ไม่ยาก เวลาออกไปเที่ยวกลางคืนตามผับกับธงรบ หรือไปยกน้ำหนักที่ยิม ทุกครั้งจะมีคนเข้ามาจีบทั้งหญิงและชาย
'โทรไปซะหน่อยดีหรือปล่าวน๊า' ผู้กองหนุ่มนึก
แล้วเขาก็ทำตามใจตัวเอง ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา ‘ลองดูซะหน่อย ลองจีบเล่นๆ เผื่อฟลุ๊ก’
คนรับเป็นหญิงสาวเสียงใสเหมือนวัยรุ่น บอกให้เขารอสาย
ร้อยตำรวจเอกอธิคมเอานิ้วเคาะโต๊ะคอยสาย
'นานจัง' เขาได้ยินเสียงคนพูดกันวุ่นวายในสาย 'ออฟฟิสนั้นคงยุ่งน่าดู'
เขากำลังจะวางสายแล้ว พลันมีเสียงนุ่มๆ ตอบกลับมา
"สวัสดีครับ อนุภาพพูดสายครับ"
"ผมร้อยตำรวจเอกอธิคม จำได้รึเปล่าครับ"
"อ๋อจำได้สิ ลืมได้ไง คุณขับรถชนท้ายผม" น้ำเสียงตำหนินิดๆ
ชายหนุ่มนึกภาพหน้าใสๆ คิ้วเข้มขมวด ปากเรียวแดงเม้มอย่างไม่พอใจเหมือนเมื่อเช้านี้
ชายหนุ่มกลับนึกว่าดูน่ารักดี
เขาชอบคนที่รั้นๆ มีอะไรท้าทาย อาจเป็นเพราะเขาเจอแต่คนที่ง่ายๆ กับเขา
ก็แน่ล่ะ ตำรวจหนุ่มหน้าตาดี และรวยอย่างเขา ได้ใครง่ายๆ เสมอ
"แหมคุณครับ อย่าเพิ่ง’รมณ์เสียสิครับ ผมโทรมาเนี่ยน่าจะดีใจนะ ที่แสดงออกว่าผมพร้อมรับผิดชอบ ไม่หายหน้าไปไหน"
"คุณจะโทรมาบอกเรื่องอู่ซ่อมรถ?"
"เอ่อเรื่องนั้น เดี๋ยวผมบอก"
"แล้วทำไมไม่บอกตอนนี้ล่ะ"
"ตอนนี้ผมยังหาเบอร์ไม่เจอเลย แต่ว่าที่โทรมาเนี่ยมีข่าวดีมากกว่านั้นนะครับ ผมว่าจะมาพาคุณไปที่อู่เลยนะ"
ผู้กองหนุ่มเริ่มรุก
"ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณ บอกเบอร์โทรมาแล้วผมไปเองก็ได้"
ผู้กองหนุ่มไม่ยอม
"แต่ว่าโต๊ะทำงานผมมันรกจัง นี่ผมไม่แน่ใจว่าจะหาเบอร์อู่เจอรึเปล่า แต่ผมจำทางได้ พาไปเลยสะดวกกว่า"
ปลายสายถอนหายใจ "นี่คุณตำรวจครับ อย่าทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากเลย"
"เปล่าทำนะครับ ผมว่าทำให้เป็นเรื่องสะดวกต่างหาก นี่อาสาพาไปที่อู่นะครับ ผมกะจะคุยกับอู่ให้ด้วยว่าทำรถให้คุณดีๆ อีกอย่าง ต้องไปเซ็นเอกสารอะไรสารพัด"
ผู้กองหนุ่มอมยิ้ม กำลังสนุกกับเกมส์ ‘จีบเล่นๆ’
ปลายสายเงียบไปซักครู่เหมือนกำลังตัดสินใจ
"ถ้างั้นเดี๋ยวผมเช็คตารางงานของผมก่อน"
ชายหนุ่มนึกถึงรูปร่างหน้าตาของคนพูด ใบหน้าสะอาด ตาดูเศร้าๆ แต่ก็ดูเจ้าอารมณ์อยู่ในที รูปร่างมีกล้ามเนื้อพอประมาณอย่างคนดูแลตนเอง
...อืม นี่ถ้าได้เอามือลูบไล้เนี่ย ผิวเนื้อจะเนียนขนาดไหนนะ... ความคิดเขาเริ่มเตลิด
"วันพฤหัสบ่ายโมง แล้วเจอกันยังไงครับ"
ชายหนุ่มพลันตื่นจากภวังค์
"เอ่อ เที่ยงดีกว่าครับ พอดีผมต้องไปธุระแถวนั้นตอนสิบเอ็ดโมง เสร็จแล้วจะได้เจอกันเลย ผมจะได้ไม่ต้องรอถึงบ่ายโมงไง"
"แต่ว่าผมต้องทานกลางวันก่อน"
"งั้นก็ทานกลางวันด้วยกันซะเลยสิครับ" ชายหนุ่มได้ที
"ไม่ได้หรอก ผมต้องทานข้าวกับเพื่อน เราทานด้วยกันทุกวัน"
"แหมวันเดียวเองครับ น่า นะ งั้นผมก็ต้องแกร่วอยู่ตั้งชั่วโมง"
"อ้าว ผู้หมวดก็.."
"ผู้กองครับ" ร้อยตำรวจเอกหนุ่มแทรก
"อ้อ ผู้กอง...เอ่อ..ก็ทานข้าวก่อนแล้วค่อยมาเจอกันสิครับ"
...ปล่อยไปก่อน ...ชายหนุ่มคิด...เป็นธรรมดาก็คงต้องเล่นตัวหน่อยล่ะน่า…
"เอางั้นก็ได้ งั้นผมเจอคุณตอนบ่ายโมงที่หน้าบริษัทคุณนะครับ"
"รู้จักเหรอครับ"
"ผมเป็นตำรวจนะครับ มีนามบัตรคุณแล้ว ผมหาเจอก็แล้วกัน โจรผู้ร้ายหนีคดีฆ่าคนตายผมยังหาเจอเลย"
ผู้กองหนุ่มวางหูโทรศัพท์หลังจากนัดหมายกัน
เขายิ้ม วันนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกหน่อย เหมือนได้กินยาชูกำลัง
อนุภาพกระแทกหูโทรศัพท์เบาๆ นึกในใจว่า 'โจรผู้ร้าย...ฮึ...มาเปรียบเขากับโจรผู้ร้าย'
ส่วนอีกฝ่ายก็นึกว่า 'คอยดูเถอะ...เล่นตัวดีนัก...ตำรวจคนนี้จะตามจับให้อยู่หมัด...หนีไปไหนไม่พ้นหรอกน่า'
************