LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 17 : รับผิดชอบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 17 : รับผิดชอบ  (อ่าน 5176 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 16 [คุณค่า Part 2]
«ตอบ #60 เมื่อ14-11-2018 21:27:33 »

ตอนที่ 16 : คุณค่า (Part 2)



ผมหันกลับมาซ้อมเต้นต่อไประหว่างรอการทำความสะอาดห้องของเด็กปีหนึ่งทั้งสอง



“อิชาาาาาาาาาา พวกกูมาแล้ว” คงทายไม่ยากนะว่าใครคือกลุ่มแขกรายใหม่ อิเพื่อนสามเกลอแก๊งนางฟ้าของผมนั่นเอง พวกมันเข้ามาหลังจากผมซ้อมได้ไม่นาน

“อุ๊ย ไปช่วยน้องอะตอมดีกว่า” “น้องแทนนี่นา น้องแทนนนน พี่ช่วยถูพื้นให้ไหมคะ” “อิชา โซนิคของกูล่ะ”

“นี่พวกมึงเป็นเพื่อนกูจริงๆใช่ไหม” ผมแขวะ “มาถึงก็ถามหาแต่ผู้ชาย ของขาดกันนักหรือไงห๊ะ”

“โอ๊ย ก็ถามหาบ้างไรบ้าง” อิช้างทำท่าชะอ้อนชะแอ้น “ว่าไง น้องโซนิคอยู่ไหนเหรอ”

“ข้างนอก เดี๋ยวก็มา” กูตอบให้แล้ว อย่ามาเซ้าซี่อีกนะ “วันนี้กูจะให้พวกมึงดูแลน้องๆนะ”

“ได้ค่ะนายท่าน” ถูกใจเชียวนะอิช้าง

“ทุกคนนะ ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง” ผมเตือน

“ค่า....”



“สวัสดีค่ะพี่น้ำชา”

มีแขกใหม่เข้ามา.... อ่อ นึกว่าใคร น้องครีมนั่นเอง

“หวัดดีครับน้องครีม”  ผมตอบรับ “เรื่องเมื่อวานนี้ต้องขอบใจมากนะ ลำบากหน่อยนะ”

“ไม่หรอกค่ะ แค่แกล้งเล่นละครนิดหน่อย” เรากำลังพูดถึงเรื่องที่ผมวานให้น้องครีมทำเป็นสนิทสนมกับพี่ท๊อป

“ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ผลแค่ไหน พี่ก็ไม่ได้ติดตามผลเลย ไม่รู้ว่าพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นเคลียร์กันหรือยัง”

“เคลียร์เรียบร้อยแล้วค่ะ”

“ห๊ะ ครีมรู้ได้ไง”

“ก็พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นไปรับหนูมาที่นี่ค่ะ”

“จริงอ่ะ!! หนูปลอดภัยดีใช่ไหม พี่บุ๋นไม่ได้ตำหนิหรือทำอะไรหนูใช่ไหม”

“เปล่าค่ะ พี่ท๊อปเขาคงอยากแสดงความบริสุทธิ์ใจละมั้ง ก็เลยพาพี่บุ๋นมาทำความรู้จักกับหนู เราจะได้ไม่เข้าใจผิดกัน”

“อ๋อ... โล่งอกไปที ว่าแต่ พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นอยู่ไหนล่ะ”

“เห็นคุยกันว่าจะไปเอารถยนต์พี่บุ๋นที่คอนโดฯอะไรสักอย่างนี่แหละค่ะ”

อ๋ออออ รถยนต์ของพี่บุ๋นที่ผมขับไปเก็บไว้ที่คอนโดฯ ของพี่ตองนั่นเอง

“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” ผมบอก “ไปช่วยแทนกับอะตอมทำความสะอาดห้องเถอะ”

“ค่ะ” แล้วเธอก็รีบไปทำตามที่บอก





“แค่สี่ทุ่มเท่านั้นนะ”

“ครับบบบบ”

หือ!!!!!!!

เดี๋ยวๆๆๆ

อะไร ยังไง ทำไมจู่ๆขนมปังถึงเดินกลับเข้ามาพร้อมไอ้น้องโซนิค ถึงแม้เจ้าเด็กเนิร์ดจัดฟันจะมีสีหน้าไม่เต็มใจนักแต่ก็เหมือนว่ายอมเดินเข้ามาในห้องซ้อมแต่โดยดี

ไม่ได้ๆ เรื่องนี้ริวต้องยุ่ง ถามซะหน่อยดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก ทำไมสองคนนี้กลับเข้ามาด้วยกันได้



“พี่น้ำชาครับ”

“ครับ?” ผมถูกอะตอมรั้งไว้เสียก่อน

“คือ.... ตอม...” อ้าว อ้ำอึ้งทำไหมหว่า

“มีอะไรก็ว่ามาเลย”

“ตอมขอบคุณนะครับ เรื่องที่พี่น้ำชาช่วยสืบหาเบาะแสแม่ของตอม ตอมไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลย” อะตอมยิ้มเขินๆ   

“อ๋อ นึกว่าเรื่องอะไร แค่นี้เอง พี่อยู่ในจุดที่ช่วยได้พี่ก็ช่วย ถ้าเป็นคนอื่น เขาก็คงช่วยเหมือนกันนั่นแหละ”

“ถ้าตอมมีกำลังทรัพย์มากพอ ตอมจะไม่รบกวนพี่น้ำชาเลย แต่....”

“พี่เข้าใจ อะตอมไม่อยากรบกวนพี่ แต่ก็อยากตามหาแม่ เอาเป็นว่าตอนนี้พี่มีศักยภาพพอที่จะช่วยได้ พี่จะช่วยอย่างเต็มที่ ส่วนอะตอมก็นึกถึงแค่เรื่องที่ต้องทำในตอนนี้”

“ครับ เดี๋ยวผมจะกลับไปทำความสะอาดครับ”

“เปล่า ไม่ใช่เรื่องนี้ พี่หมายถึง.... แทน มานี่ซิ” ผมเรียกไอ้คนที่ทำท่าเช็ดกระจกอยู่ คิดว่ากูดูไม่ออกหรือไงว่ามึงแอบฟังอยู่ ทันทีที่ถูกเรียก ไอ้น้องแทนก็รีบวิ่งมาทันที “พี่รู้สึกว่าทั้งสองคนจะลืมอะไรไปบางอย่างนะ”

“ลืม....?” อะตอมพยายามคิด

“ใช่ ลืม” ผมบอก “ทั้งอะตอมทั้งแทน มีจุดประสงค์ในการเป็นผู้นำเชียร์กันทั้งคู่ พี่ไม่ตำหนิที่อยากแสวงหาผลประโยชน์จากตรงนี้ เพราะแม้แต่ตัวพี่เองก็มีจุดประสงค์อื่นเหมือนกันก่อนที่จะมาเป็นผู้นำเชียร์ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราต้องไม่ลืมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ผู้นำเชียร์ของมหาวิทยามัณฑนา มีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ในตัวของมันเอง และพี่อยากให้ทั้งสองคนระลึกไว้เสมอว่าสิ่งที่ควรทำตอนนี้คืออะไร หยุดทำตัวล้อเล่น หยุดง้องแง้งเหมือนเด็กไม่รู้จักโต หรือแม้กระทั่งหยุดเอาใจใส่คนอื่นมากกว่าที่จะสนใจสิ่งที่ตัวเองควรทำเพื่อพัฒนาตนเองสู่การเป็นผู้นำเชียร์ที่ดี” ประโยคสุดท้ายผมหมายถึงพฤติกรรมขี้เอาใจของไอ้น้องแทน

“ค...ครับ” อะตอมและแทนก้มหน้าตอบพร้อมกัน

“นี่แค่ด่านแรกนะ ยังไม่ผ่านเข้าไปเป็นลีดคณะด้วยซ้ำ  ถ้ายังทำตัวแบบนี้อีก พี่จะไม่หนุนหลังให้อีกแล้วนะ.... ทั้งคู่เลย” แอบรู้สึกผิดนิดนึงที่ตำหนิน้องนะ(แค่นิดเดียว) แต่ผมต้องพูดอะไรบ้าง ไม่งั้นจะเป็นการให้ท้ายพวกเขาเกินไป



“โถๆ ดุจังนะไอ้รุ่นพี่ชาเย็น” ไอ้ต้อมนั่นเองที่เข้ามาสับสวิทอารมณ์กลางบทสนทนา “น้องมันก็แค่จีบกัน ไม่ได้ทำอะไรเสียหายซะหน่อย คนกำลังมีความรัก มึงก็เข้มงวดไปได้”

“ห๊ะ!!!” ผมร้อง

“อะไร มึงดูไม่ออกเหรอ” ไอ้ต้อมถามผมพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ปั๊ดโถ่เอ๊ย ไว้พี่จะสอนนะเด็กชายชาเย็น”

จริงเหรอวะ

เอ่อ.... ท่าจะจริงแล้วล่ะ ถึงอะตอมจะทำท่าอยากปฏิเสธ แต่ก็ไม่พูดต่อ ส่วนไอ้อีกคนนี่แล้วใหญ่ หน้าแดงเชียว เขินเป็นกับเขาด้วยเหรอนั่น

“พอๆๆๆ” ไม่พูดต่อแล้ว กูไม่อยากไปมีส่วนในเรื่องส่วนตัวของคนอื่นอีกแล้ว “ใครจะทำอะไรก็ทำ ตอนนี้ถึงเวลาซ้อมแล้ว รีบไปทำความสะอาดเลยนะ ให้เวลาอีกห้านาที....” ผมไล่ทุกคนออกไป ยกเว้นไอ้ต้อมนี่แหละที่ยังยืนอยู่ข้างๆ ทำหน้าเย๊าะเย้ยในความอ่อนเดียงสาของผม “โซนิค เกตุ เร่งมือเข้า เราไม่ได้มีเวลากันทั้งวันทั้งคืนนะ.... อิช้าง อิเล็ก อย่าไปเกาะแกะน้อง เธอด้วยวาวา ออกไปซื้อข้าวมาเลย เร็วๆ”



“ใครเอาตำแยชุบแป้งทอดให้อิชากินเข้าไปหรือเปล่าวะมึง”

“อิช้าง กูได้ยินนะ” ผมรีบท้วง “บอกให้ออกไปซื้อข้าวไง ไปกันทั้งสามคนนั่นแหละ เดี๋ยวพวกมึงจะโดนหวายลงหลัง”

“ค่า... ไปๆๆ พวกมึง เดี๋ยวนายหญิงจะพิโรธ”



“ถามจริง มึงดูไม่ออกจริงๆเหรอ” ดูความอยากเอาชนะของไอ้ต้อมดิ มันยังไม่หยุดพูดอีก “กูมองแค่แว๊บเดียวกูก็รู้แล้วเนีย”

“กูไม่สน” ผมตอบ “มึงว่างนักก็ไปช่วยน้องทำความสะอาดห้องโน่นไป”

“เรื่องไร กูเป็นถึงลีดมหาลัยที่หล่อที่สุดในปีสอง กูยืนหล่อๆอยู่แบบนี้แหละ”

“กล้าพูดนะ เดี๋ยวกูตบเกรียนแตกเลย”



“ชา”

“อ้าว ข้าว” มีแขกมาอีกแล้ว เอ๊ย ไม่ใช่ซิ นี่คณะสังคม คณะของไอ้ข้าว ต้องเรียกว่า เจ้าของบ้านต่างหากแล้วก็มีไอ้สุ่ยมาด้วย “มาทำไรกันอ่ะ”

“กูพาใครบางคนมาหามึง” ไอ้สุ่ยเปรย ก่อนจะมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา

“เกตุ!” ผมร้อง “มึงพาเกตุมาทำไมอ่ะ”

“ก็ข้าวเจ้าบอกว่ามึงมีน้องผู้หญิงคนนึงต้องสอน กูก็เลยคิดว่ามึงน่าจะต้องการรุ่นพี่ลีดที่เป็นผู้หญิงมาช่วยสอนสักคน ซึ่งเกตุคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว”

“นี่เรากลายเป็นตัวเลือกไปแล้วเหรอ” เกตุแซ็ว

“หมายถึงเก่งไง” ไอ้สุ่ยรีบแก้ตัว “ทั้งสวย ทั้งเก่ง แถมเป็นลีดมอด้วย”

“อะแฮ่ม” ไอ้ข้าวทำท่ากระแอ่ม เข้าใจนะว่ามึงกำลังหึง แต่ไอ้วิธีการกระแอ่มแบบนี้มันเอาไว้ใช้ในละคร 

“เปล่าๆ ไม่ใช่อย่างงั้น” ไอ้สุ่ยรีบโบกไม้โบกมือแก้ตัวอีกครั้งเป็นการใหญ่ “สุ่ยหมายถึงเผื่อไอ้ชาต้องแตะเนื้อต้องตัวน้องผู้หญิงไง”

อ๋อ อย่างงี้นี่เอง เข้าใจคิดนี่นา ก็จริงนั่นแหละ ให้สอนน้องผู้หญิง มันก็คงต้องมีโดนตัวกันบ้าง เพื่อป้องกันพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็ควรให้ผู้หญิงด้วยกันเขาเป็นคนสอน



“โอ้โห คนเยอะจัง” ผมควรจะหงุดหงิดนะที่มีคนเข้ามาอีกแล้ว แต่นี่คือพี่กอล์ฟ ซึ่งเป็นแฟนของเกตุ ถ้าไม่ให้เข้ามาก็คงใจร้ายไปหน่อย

“หวัดดีครับพี่กอล์ฟ” ผมกล่าวทัก

“เด็กในสังกัดเยอะน่าดูเลยนะน้ำชา” พี่กอล์ฟแซ็ว “แต่คงสอนง่ายกว่าเด็กวิศวะโง่ๆอย่างพวกพี่อยู่ละมั้ง”

“นั่นมันคนละอย่างกันครับพี่ สอนคณิตกับสอนลีดไม่เหมือนกันนะ”

“พอๆๆ” เกตุแทรก “สอนได้หรือยัง เกตุคันไม้คันมือจะแย่แล้ว”

“อ....โอเค” จริงจังไปไหนเกตุ อย่างกินหัวเด็กๆของเรานะ “ทุกคน วางมือได้แล้ว มารวมกันตรงนี้ครับ พี่จะเริ่มสอนแล้ว”



เอาล่ะ สอนได้ซะที

“ดูพี่ก่อนนะ”

ห้านาทีแรก ผมก็ทำการเต้นเต็มเพลงให้อะตอม แทน โซนิค และครีม ได้ดู จนคิดว่าพวกเขาเข้าใจจังหวะดีแล้ว จากนั้นก็ทำการเริ่มลงทีละท่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และทุกคนก็ดูตั้งใจอย่างที่ควรจะเป็น แต่.....



“น้ำชา เกิดเรื่องแล้ว!!” อุปสรรคก็มา นี่สอนได้ถึงครึ่งชั่วโมงหรือยังเนีย

“อะไรครับพี่ท๊อป” ผมไม่รู้ว่าควรตื่นเต้นดีหรือเปล่าที่จู่ๆ พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นวิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้องซ้อมแบบนี้

“ไอ้ตองถูกเรียกเก็บตัวด่วน” พี่บุ๋นพูดแบบน้ำไหลไฟดับ

“ห๊ะ” เก็บตัว เก็บตัวอะไรวะ

“เออ รีบไปก่อนเถอะ”

“เดี๋ยวดิพี่ ผมติดสอนอยู่ จะทิ้งน้องไปได้ไง” แถมยังไม่เข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่ด้วย

“คืองี้” พี่ท๊อปกำลังหาคำอธิบาย “ตองถูกมหาลัยเรียกให้ไปอบรมด่วนที่เชียงใหม่ก่อนเดินทางไปอังกฤษร่วมกับมหาลัยอื่นๆ”

“ครับ” แล้วไง มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ

“นี่มึงจะไม่ไปส่งแฟนมึงหรือไง” พี่บุ๋นโวยวาย “ไอ้ตองจะไม่ได้กลับมาแล้วนะ อบรมเสร็จก็ไปอังกฤษต่อเลย”

“อะไรนะ!”

“เออ เข้าใจหรือยัง ถ้าเข้าใจก็รีบไปได้แล้ว เร็ว เดี๋ยวกูไปส่ง” พี่บุ๋นไม่รอช้าที่จะมาจูงมือผม

“เดี๋ยวก่อนซิพี่ เดี๋ยวๆ” ผมชะงัก

“อะไรอีก”

“ก็...ผมต้องสอนเพลงมิ่งขวัญให้น้องๆ พวกนี้”

“ไปก่อนเถอะน่า”

“แต่ว่า...” ผมยังสองจิตสองใจ จะให้ผมทิ้งหน้าที่ของตัวเองได้ยังไง ก็รู้อยู่หรอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ผมควรไปส่งพี่ตอง แต่จะให้เอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นเหตุผลในการทิ้งงานเนี่ยนะ

“เดี๋ยวพี่อยู่สอนให้ก็ได้” พี่ท๊อปตัดสินใจ “พี่รู้จักเพลงนี้ แต่อาจจะต้องรื้อฟื้นกันหน่อย”

“เอ่อ...เอางั้นเหรอครับ” ผมไม่แน่ใจนัก

“จะอยู่จริงเหรอ” พี่บุ๋นดูท่าจะไม่อยากให้พี่ท๊อปอยู่เท่าไหร่ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้อยู่กับน้องครีมโดยที่ไม่มีตัวเองอยู่ด้วย

“เอาไงดีอ่ะ” ผมเริ่มร้อนใจแล้ว

“กูไปส่งมึงเอง” ไอ้ต้อมอาสาพร้อมเดินเข้ามาเอามือกอดคอผม “บอกมาเลยพี่ว่าผมต้องพามันไปที่ไหน”

“ที่คอนโดฯนั่นแหละ” พี่บุ๋นรีบตอบ

“โอเค ไปกัน ไอ้ชาเย็น” ไอ้ต้อมเร่ง

“แต่...” ผมยังลังเล ส่วนพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นเริ่มเข้าไปหาเด็กปีหนึ่งและเข้าสู่กระบวนการสอน “โอ๊ย! ไอ้สัดต้อม มึงกล้าตบเกรียนกูเหรอ”

“ก็เออดิ” มันเหมือนจะดุผมนิดหน่อย “มึงจะบ้าเหรอ นั่นพี่ตองนะเว้ย แฟนมึงทั้งคนนะ หน้าที่ของมึงเลยนะที่ต้องไปส่งพี่เขา ทีเมื่อกี๊ทำเป็นปากเก่งสอนน้องเรื่องคุณค่าการเป็นลีด ตอนนี้มึงควรจะต้องรู้จักคุณค่าของการเป็นคนรักบ้างนะ”

เอาซะกูเถียงไม่ออกเลย

“เออๆๆ งั้นก็รีบไป” ไม่อย่าเชื่อเลยว่าชีวิตนี้จะถูกไอ้ต้อมตบเกรียนและสั่งสอนในเวลาเดียวกัน



หลังจากขึ้นรถยนต์ของไอ้ต้อม ผมก็โทรหาพี่ตองทันที แต่ยังไม่ทันจะกดอะไรเลย คนทางโน้นก็โทรเข้ามาเสียก่อนแล้ว



“ฮัลโหลพี่ตอง” ผมรับ

“ชาครับ พี่มีเรื่องด่วนอ่ะ พอดีว่าทางมหาลัย...”

“ชารู้แล้ว” ผมตัดบท “พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นมาบอกชาแล้ว”

“อ้าว เหรอ ขอโทษนะครับที่พี่บอกช้าไปหน่อย มันค่อนข้างเร่งด่วน พี่ก็เลยต้องรีบเก็บของยัดใส่กระเป๋า”

“ไม่เป็นไร ตอนนี้ชากำลังจะไปหาพี่ตองที่คอนโดฯแล้ว”

“ไม่ต้องมาหรอก ไปหาพี่ที่สนามบินเลยดีกว่า”

“ทำไมอ่ะ จะออกไปแล้วเหรอ”

“อีกครึ่งชั่วโมง รถของมหาลัยก็จะมารับพี่ไปที่สนามบินแล้ว ถ้าชาไปที่โน่นเลย เราน่าจะเจอกันพอดี”

“เอางั้นเหรอ”

“ครับ ขืนมาเจอกันที่คอนโดฯเดี๋ยวก็คงได้คลาดกัน ไปเจอกันทีเดียวเลยดีกว่า”

“โอเค งั้นเดี๋ยวชาโทรหาอีกทีนะ”

“ครับ”

“ไอ้ต้อม ไปสนามบินเลย” ผมบอกไอ้ต้อมทันทีที่วางสาย “พี่ตองกำลังจะไปที่โน่นแล้ว”

“อือหือ” ไอ้ต้อมร้อง “อย่างกับผจญภัยตามรักแท้”

“ขับๆไปเหอะน่า”

“เออๆ”







“อยู่ด้านข้างครับ ใกล้ๆรูปปั้นยักษ์”

“ไหนอ่ะ ชาก็อยู่ตรงรูปปั้นแล้วนี่ไง” หลังจากที่มาถึงสนามบิน  ผมก็คุยโทรศัพท์ไปด้วยตามหาพี่ตองไปด้วย  โดยมีไอ้ต้อมช่วยมองหาอยู่ข้างๆ

“โน่นๆ” ไอ้ตองสะกิดผมให้มองไปด้านหลัง

“พี่ตอง” กรรม เผลอร้องดังไปหน่อย คนแถวนั้นหันมามองเต็มเลย

“รีบไปหาผัวมึงดิ” ไอ้ต้อมผลักผมให้เดินไปข้างหน้า เพราะผมมัวแต่อายอยู่

เอาวะ ถึงจะอายแต่ก็คงต้องเดินไปหา



ทั้งที่เห็นพี่ตองทุกวัน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเขินๆพิกล อาจจะเป็นเพราะยังไม่ได้เตรียมตัวที่จะบอกลาพี่เขาเลย พอทุกอย่างเกิดขึ้นแบบเร่งด่วนก็เลยทำให้เกิดความรู้สึกโหวงๆไปด้วย



“พี่ต้องไปแล้วนะ” พี่ตองเริ่มทันทีที่เราทั้งสองเดินมาใกล้กัน “เดี๋ยวอีกสักพักก็ต้องเข้าเกทแล้ว”

“ทำไมเร็วแบบนี้ล่ะ” ผมไม่รู้จะถามอะไร นี่ผมต้องรับมือกับความเหงาจริงๆเหรอ

“พี่ก็เกือบไม่ทันเหมือนกัน แต่ถ้าให้เดา พี่คิดว่าคงเป็นเพราะมีมหาลัยอื่นเข้าร่วมดูงานด้วย ทีมงานก็เลยอยากละลายพฤติกรรมของพวกนักศึกษา จะได้ไม่ไปมีปัญหาที่โน่น ก็เลยโดนเรียกเก็บตัวด่วนแบบนี้”

“แล้วของทุกอย่างเตรียมเสร็จแล้วเหรอ ไม่ลืมอะไรใช่ไหม”

“ไม่รู้ซิครับ ถ้าลืมก็คงต้องไปหาซื้อที่โน่น”

“ที่โน่นได้ข่าวว่าอากาศหนาวไม่ใช่เหรอ เตรียมเสื้อผ้าหนาๆแล้วหรือยัง”

“เตรียมแล้วครับ”

“เอกสารล่ะ อุปกรณ์ในห้องน้ำ แล้วไหนจะ...”

“ชาครับบบ” คนตรงหน้าหยุดความกังวลของผม “ขืนชาเป็นห่วงพี่มากขนาดนี้ พี่ก็ดูงานแบบไม่สบายใจซิ พี่ไม่ได้ไปเป็นปีซะหน่อย”

“ก็มัน....” อย่าร้องไห้นะกู “แล้วพี่ตองจะติดต่อชามาตอนไหนอ่ะ เดินทางนานไหม”

“พี่จะทำทุกวิถีทางเพื่อติดต่อแฟนของพี่ให้เร็วที่สุดครับ” ถึงจะได้ยินแบบนี้ แต่มันก็ไม่ทำให้สบายใจขึ้นมาสักเท่าไหร่หรอก “แต่ถ้าติดต่อมาช้า พี่ก็มีชาอยู่ข้างๆแล้วล่ะ”

“อะไร?”

คนตัวสูงหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม.....

“จ...จะเอาไปด้วยเหรอ มันเก่าแล้วนะ เอาของเก่าๆแบบนั้นไปใช้ไม่อายเพื่อนเหรอ” ก็นึกว่าอะไร หมวกคลุมศรีษะนั่นเอง มันเป็นหมวกผ้าไหมเก่าๆสีฟ้าเทาที่ผมซื้อให้พี่ตองตอนอยู่เกาหลีปีที่แล้ว สภาพของมันตอนนี้ไม่ใช่แค่ตกเทรนนะ แต่เริ่มมีรูขาดเล็กๆแล้วด้วยซ้ำ “ซื้ออันใหม่ไปดีกว่านะ อันนี้มันแทบจะกันอากาศหนาวไม่ได้แล้ว เดี๋ยวชารีบหาซื้อแถวๆนี้ รอแป๊บเดียว”

“ไม่ต้องครับไม่ต้อง" พี่ตองขว้าแขนผมไว้ "ของบางอย่างก็มีคุณค่าในแบบของมันนะครับ” พี่ตองสวมหมวกไหมพรมเก่าๆที่ศีรษะของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ “ที่สำคัญพี่ไม่ได้ใส่มันไว้เพื่อความอบอุ่นของร่างกายซะหน่อย.................









......................แต่เพื่อความอบอุ่นของหัวใจต่างหาก”

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
แพ้ความอบอุ่นของพี่ตองมากจริงๆ :-[

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 17 [รับผิดชอบ Part 1]
«ตอบ #63 เมื่อ18-11-2018 18:24:57 »

​ตอนที่ 17 : รับผิดชอบ (Part 1)









“เห้ยๆๆ ไอ้ชาเย็น น...นี่มึงร้องไห้เหรอ”

“ป....เปล่า”

“เปล่าห่าอะไร ร้องไห้อยู่ชัดๆ เมื่อกี๊ยังทำเก่งอยู่เลย สุดท้ายพอพี่ตองไปจริงๆมึงก็ร้องไห้ซะงั้น”

“..........” แล้วจะให้กูกระโดดดีใจหรือไงวะ คนเคยอยู่ด้วยกันทุกวัน จู่ๆก็หายไป.... เศร้าเลยกู

“กรรม ร้องไห้จริงจังเลยทีนี้ ไหวไหมมึง”

“ไหว” ก็ตอบไปงั้นแหละ

“แน่นะ”

“อืม กูแค่ใจหายนิดหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้น”

“เออๆ กูเข้าใจ ถ้าน้ำขิงไปไหนไกลๆนานๆกูก็คงเศร้าเหมือนกัน ไม่เป็นไรนะมึง ช่วงนี้เดี๋ยวกูกับน้ำขิงจะแวะไปหามึงบ่อยๆละกัน”

“ไม่ต้องหรอกน่า” ผมพยายามกลับมาประคองอารมณ์ของตัวเองอีกครั้งด้วยการหายใจเข้าออกช้าๆและปาดน้ำตาออกไป “ตั้งใจขับรถต่อไปเหอะ น้องๆรออยู่”

“ทำเป็นเก่งไปเหอะมึง ร้องไห้งอแงอีกทีกูไม่ปลอบใจนะ”

“เออ”

“เออ”



เห้ออออ ต้องหาเรื่องคุยอะไรมาเปลี่ยนความคิดในหัวซะแล้ว จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน



“เออใช่ มึงคุยไรกับโซนิควะ เกิดอะไรขึ้นนอกห้องซ้อมอ่ะ” ผมเปิดประเด็น “กูเห็นโซนิคกับขนมปังกลับเข้ามาด้วยกันเฉยเลย”

“เสือก!”

“ไอ้สัดต้อม” เพี้ยงงง!! ขาดรสมือกูนานเกินไปแล้วนะมึง ครั้งนี้ไม่มีพลาด เพราะมันขับรถอยู่นั่นเอง จึงไม่มีวิทยายุทธใดมาป้องกันการโจมตีของกูได้

“ไอ้เพื่อนเวร ตบซะแรงเลย เดี๋ยวความรู้ที่กูอุส่าสั่งสมมาก็หลุดออกหมดหรอก”

“ปากเสียแบบมึงก็ต้องโดนแบบนี้แหละ กูให้มึงเล่าก็เล่ามา”

“ขอร้องดีๆเป็นไหม  เทอมนี้ถ้าเกรดกูตกนะ จะฟ้องน้ำขิงว่ามึงทำให้กูสมองไม่ดี”

“เหรออออออ อยากฟังคำขอร้องจากกูเหรอ... ‘เล่ามาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นมึงเจ็บตัวอีกรอบแน่’ นี่แหละคำขอร้องฉบับของกู”

“กูไม่..... เดี๋ยวๆๆ เออๆ เล่าให้ฟังก็ได้ ไอ้เพื่อนชั่วเอ๊ย เดี๋ยวเหอะมึง สักวันหนึ่งกูจะแก้แค้นมึงให้สาสม”

“เล่ามาซะที”

“ก็กำลังจะเล่าอยู่นี่ไง ใจร้อนไปได้ เรื่องมันก็ไม่ได้มีอะไรหรอก ก็แค่.............. ”









(2 ชั่วโมงก่อน)



-ในมุมของโซนิค-



“อาทัศน์รู้เรื่องนี้หรือยัง”

“ค...ครับ!?” ชิบหายละไง พี่ต้อมไม่คิดจะถามไถ่หรืออ้อมค้อมเลยเหรอวะ ออกมาจากห้องซ้อมได้แป๊บเดียวก็ยิงคำถามเข้าประเด็นเลย

“จะต้องให้กูพูดตรงๆใช่ไหม” พี่เขาเอ่ยอีกครั้ง คราวนี้รู้สึกขนลุกไปทั้งตัวเลย

“พ...พี่พูดอะไรอ่ะพี่ ผ...ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ไม่ได้ๆ ยังไงพี่ต้อมก็ห้ามรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ไม่งั้นก็ไม่วายจะไปถึงหูพ่อ ซึ่งถ้าพ่อรู้เรื่องรสนิยมทางเพศที่เปลี่ยนไปของผม โลกของผมได้พังทลายลงมาแน่ๆ

“บั๊ดดี้คนนั้นชื่ออะไรนะ บั๊ดดี้ของข้าวเจ้าน่ะ” เอาแล้วไง “อ๋อ ใช่ ขนมปังใช่ไหม มึงกับบั๊ดดี้คนนั้น....”

“มันไม่มีอะไรนะครับ....”

“กูไม่โง่ขนาดนั้นหรอกนะโซนิค คิดจริงๆเหรอว่ากูดูไม่ออก มึงกับขนมปังกำลังมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกันใช่ไหม แล้วที่ผลักเขาล้มเมื่อกี๊ก็เพราะกลัวว่ากูจะรู้เรื่องนี้เข้า แล้วเอาไปบอกพ่อมึงใช่ไหม”

“คือ.....” นี่มัน ชาร์ล เซเวียร์ ชัดๆ (มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีความสามารถในการได้ยินความคิดผู้อื่น : X-MEN) อ่านใจกูออกทุกอย่างเลย

“รู้ใช่ไหมว่าอาทัศน์ไม่ชอบเรื่องแบบนี้เข้ากระดูกดำ  พ่อเอ็งคงเป็นประทับใจมากถ้ารู้เรื่องนี้เข้า”

“ผม.....” ไม่รู้จะพูดหรือเถียงอะไรเลยตอนนี้ บอกตามตรงว่าความกลัวเข้าครอบงำไปหมดเลย แค่คิดว่าถ้าพ่อรู้เรื่องเข้า งานนี้ศพไม่สวยแน่ๆ

“ขนาดตอนที่พ่อเอ็งรู้ว่าน้ำขิงเป็นแฟนกู อาทัศน์ยังเกือบจะโวยวายออกมา นี่ถ้ารู้ว่าลูกชายตัวเองก็.......เตรียมเจ็บตัวไว้ได้เลย”

“..............” ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ไม่งั้นจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้เหรอ

“แล้วจะเอายังไง จะเลิกยุ่งกับบั๊ดดี้คนนั้นหรือเปล่า ถ้าเอ็งเอ่ยปากมาว่าจะไม่ยุ่งกับเขาอีก กูก็จะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นและอาทัศน์ก็จะไม่รับรู้เรื่องนี้”

“ครับ? ต...แต่ผม...” ไหงขู่กันแบบนี้วะ แถมยังให้เลือกทันทีด้วย

“ทำไม จะไม่เลิกยุ่งกับเขาเหรอ งั้นกูบอกพ่อมึงก็ได้ใช่ไหม ถ้าไม่เอ่ยปากมาตอนนี้ กูโทรหาอาทัศน์จริงนะ”

“เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวก่อนพี่” จะบ้าเหรอ ให้ตัดสินใจเดี๋ยวนี้เลยเหรอ

“แล้วมึงจะเอาไง นั่นอาทัศน์นะ จะเลือกอะไรระหว่างเจ็บตัวกับเจ็บใจ”

“............................” เชี่ยเอ๊ยยยย ทำไมพี่ต้อมต้องมาเห็นด้วยวะ

“ถ้ายังเงียบอยู่ กูจะถือว่ามึงไม่อยากให้กูโทรนะ ซึ่งนั่นก็แปลว่ามึงงจะเลิกยุ่งกับบั๊ดดี้คนนั้น” เดี๋ยวดิ  “กูนับถึงสามนะ.... หนึ่ง....สอง................สาม”

“.....................” กูแม่งโคตรกากเลยว่ะ ทำได้แค่เงียบนิ่งแล้วก็ยอมรับชะตากรรม

“ดีแล้วล่ะ” จู่ๆพี่ต้อมก็เอามือมีตีไหล่ผมแรงๆ เสมือนว่าชื่นชมในการตัดสินใจของผม “มึงคงรู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร อาทัศน์น่ากลัว กูเองยังไม่อยากทำเรื่องให้แกโกรธเลย ถึงตอนนี้กูจะคบกับน้ำขิง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากให้มึงเอาเป็นแบบอย่าง....  ที่สำคัญ เท่าที่ดูแล้ว กูก็รู้ว่ามึงกับบั๊ดดี้ที่ชื่อขนมปังนั่นคงไม่ได้จริงจังอะไรกันเท่าไหร่หรอก อย่าเอาความรู้สึกครึ่งๆกลางๆไปแลกกับการต้องเจ็บตัวเลย ไม่คุ้มหรอก... เข้าไปซ้อมเถอะ”

“ไม่ใช่นะ!” จะบอกว่าผมเผลอตะโกนออกมาก็คงไม่ถูกซะทีเดียว แต่มันขัดใจจริงๆที่พี่ต้อมพูดออกมาแบบนั้น

“เห้ย! เป็นไรวะ ตะโกนทำไม”

“พี่เข้าใจผิดแล้ว ไม่จริงเลยที่พี่พูดว่าผมไม่จริงจัง”

“จริงจังเหรอ การผลักเขาแบบนั้น เรียกว่าจริงจังเหรอวะ”

“ผม...ผมก็แค่...”

“แค่กลัว...ใช่ไหม หรือ แค่กังวลว่ากูจะรู้ความจริงแล้วเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อมึง เพราะถ้าเป็นเหตุผลนี้กูก็กล้าพูดได้เลยว่ามึงไม่ได้จริงจังอะไรกับเขาหรอก ถ้าการแค่จะยอมรับความรู้สึกตัวเองต่อคนอื่นโดยยังมีความรู้สึกกลัวติดในใจแบบนี้ ใครที่ไหนก็พูดแบบกู คนที่กล้าผลักไสคนอื่นแบบนั้น มันไม่ใช่วิสัยของคนที่พูดว่าจริงจัง”

“.........................” พูดไม่ออกเลยกู ให้พี่ต้อมต่อยหน้าแรงๆซะยังจะดีกว่าให้พี่เขาพูดความจริงในเบื้องลึกของจิตใจแบบนี้

“เอาน่าๆ” พี่ต้อมกลับมาตีไหล่ผมอีกครั้ง “กูพูดแรงไปหน่อย ถึงยังไงซะมึงก็เป็นน้องของกู กูอยู่ข้างเอ็งเสมอแหละ ยังมีสาวๆสวยๆรอมึงอยู่อีกเยอะ อาทัศน์ก็จะได้ไม่ฟาดงวงฟาดงา มึงก็ได้เจอคนที่เหมาะสม อย่าลืมดิว่าผู้ชายตระกูล ‘อาจแผ่นดิน’ หล่อขั้นเทพทุกคน  ก็แค่คนๆนึง หน้าตาก็งั้นๆ ถือซะว่าเลิกยุ่งกับคนที่ไม่เหมาะสมกับมึงก็แล้วกัน.... ไปๆๆๆ ไปซ้อมได้แล้ว ไอ้ชารอนานแล้ว”

“ต้องคนนี้... ต้องคนนี้เท่านั้น” ไม่รู้ว่าทำไมปากของผมถึงลั่นออกมาอีก  ทั้งๆที่อีกนิดเดียวก็จะจบประเด็นกับพี่ต้อมอยู่แล้ว

“เมื่อกี๊พูดอะไรนะ” พี่ต้อมที่กำลังจะจากไปกลับมาให้ความสนใจผมอีกครั้ง

“ผมไม่สนว่าใครจะมองขนมปังยังไง” เอาวะ ไหนๆก็พูดแล้ว ต่อให้เกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ กูไม่สนใจแล้ว “พี่อาจจะมองว่าขนมปังไม่เหมาะกับผม แต่นั่นไม่จริงเลย ผมต่างหากที่ยังทำตัวไม่เหมาะสมกับเขา ทำตัวก็ไม่ดี ทำร้ายเขา แถมยังขี้ขลาด เอาแต่หลบอยู่หลังความกลัว ผมจะม....จะไม่หยุด ผมจะไม่เลิกยุ่งกับเขาหรอก!!!  ผมเลือกแล้ว ต่อให้พี่โทรบอกพ่อ ผมก็จะไม่ให้ใครมาห้ามผมยุ่งกับขนมปังอีกแล้ว”

“มึงแน่ใจนะ” คราวนี้พี่ต้อมยกมือถือขึ้นมาโชว์หมายเลขโทรศัพท์ของพ่อผม พร้อมนิ้วที่เตรียมสัมผัสปุ่มโทรออก อันเป็นการยื่นโอกาสครั้งสุดท้าย “จะไม่เปลี่ยนใจแน่ใช่ไหม คุ้มแล้วใช่ไหมที่จะเสี่ยงผิดใจกับที่บ้านเพราะคนๆนี้ อยากลืมนะพ่อเอ็งกับพ่อพี่ถึงจะเป็นพี่น้องกันแต่ทัศนคติต่างกันสุดขั้ว เอ็งอาจจะเจอสิ่งที่เลวร้ายกว่าที่คิดไว้ก็ได้”

“ผ...ผม... ผมแน่ใจ” เอาวะ ผมไม่รู้ว่าตัวเองพยักหน้าแรงแค่ไหนเพื่อยืนยันคำพูดตัวเอง แต่ก็รู้สึกปวดคอนิดๆเหมือนกัน

“ถ้างั้น.....” เอาเลย โทรเลย ตายเป็นตาย ต้องไม่พลาดอีก คนนี้แหละที่หัวใจบอกว่าต้องสู้ “.....ถ้างั้นก็หันไปบอกเขาโน่น”

“อ...อะไรนะ??”  พูดอะไรของเขาวะ

“โน่นไง” พี่ต้อมดันไหล่ผมเพื่อให้หันไปดูบางสิ่งที่อยู่ด้านหลัง



!!!!!!!!

“ข...ขนมปัง” มายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนีย



คนตัวเล็กเบื้องหน้าที่ยืนห่างจากผมเพียงไม่กี่ก้าว ยืนขมวดคิ้วและเหมือนจะอึ้งๆอะไรอยู่



“ไปบอกเขาด้วยปากของเอ็งเองไป” พี่ต้อมสะกิดบอก “ไปบอกเขาว่าเอ็งรู้สึกยังไง เขาคงอยากฟังความจริงใจจากปากเอ็งมากกว่า”

“น...นี่พี่รู้มาตลอดเลยเหรอว่าขนมปังยืนอยู่ตรงนี้” ผมสงสัย

“ก็ต้องเห็นดิ” พี่จะพูดหน้าตาเฉยเกินไปแล้ว นี่มันหลอกให้ผมพูดชัดๆ “กูไม่ได้ตาบอดนะ”

“แล้ว...ทำไมพี่ไม่บอกผม”

“บอกเอ็ง? แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาวะ กูจะบอกให้นะกูรอวันนี้มานานแล้ว วันที่มึงกล้าเป็นตัวของตัวเอง  คนอย่างมึงมันติดอยู่ใต้ปีกของพ่อตัวเองนานเกินไปแล้ว ก็ไม่รู้หรอกว่ามึงจะกล้าเสี่ยงมากแค่ไหน เพราะงั้นกูก็เลยอยากให้มึงพูดความต้องการที่อยู่ในใจของตัวเองออกมาจริงๆ อย่างจริงใจและกล้าหาญ เพียงแต่ไม่คิดว่าสิ่งที่ทำให้ความคิดของมึงปลดล็อคจะมีอิทธิพลมาจากคนนี้”

“แล้วเรื่องที่พี่จะบอกพ่อ....”

“จะบ้าเหรอ กูมีสิทธิ์อะไรไปยุ่งกับชีวิตของมึงขนาดนั้นวะ  กูก็ขู่ไปงั้นแหละ กูว่ามึงรีบ.... อ้าวๆ ขนมปังเดินไปโน่นแล้ว มัวแต่คุยกันอยู่นี่แหละ ตามเขาไปได้แล้ว”

กรรม จริงด้วย เดินจ้ำอ้าวไปแล้ว



รอไรล่ะ วิ่งซิครับ



“ขนมปัง ขนมปัง รอก่อน” ผมพยายามวิ่งตาม ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอกเพราะคนข้างหน้าผมไม่ได้ขายาวอะไรนัก ดักหน้าซะเลยละกัน “เดี๋ยวๆ หยุดก่อน หยุดก่อนได้ไหม ขอร้อง”

“ปล่อยนะ” คงเดาได้นะว่าผมคว้าแขนรุ่นพี่ตัวน้อยไว้

“ผมชอบขนมปังนะ” พูดแม่งดื้อๆแบบนี้แหละ และมันก็ได้ผลแบบฉับพลันทันที คนตรงหน้าหยุดการขัดขืน กลายเป็นเงยหน้ามองผมด้วยความประหลาดใจ อาศัยจังหวะนี้แหละ “ผมขอโทษที่ผมไปสารภาพรักกับพี่น้ำชา ทั้งๆที่ใจจริงแล้วผมชอบขนมปัง แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวจริงๆ ผมขอโทษที่ผมผลักขนมปังเมื่อกี๊ นั่นเพราะผมกลัวพี่ต้อมจะรู้เรื่องที่ผมชอบขนมปังแล้วเอาไปบอกพ่อ แต่ผมไม่กลัวแล้ว ไม่อีกแล้ว ผมจะไม่ลังเลอีกแล้ว ผมพูดจริงๆนะ ครั้งนี้จะไม่มีลูกไม้อะไรอีก...”

“ปล่อยนะ” ขนมปังตัดบทผม เหมือนเขาจะดึงสติตัวเองกลับมาได้ จึงสะบัดแขนตัวเองออกจากพันธนาการแบบสุดแรง แล้วนี่ไปแรงเยอะมาจากไหน หลุดจากมือผมเฉยเลย “ผมไม่สนใจคำขอโทษหรือเหตุผลอะไรของคุณทั้งนั้น”

ใจแข็งอะไรแบบนี้

เขาหันหลังควับอย่างไวเตรียมเดินจากไป

“อย่าไปได้ไหม!!” นี่คงไม่ใช่เวลาที่ผมจะยอมแพ้อีกแล้ว เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่ผมใช้แขนโอบกอดคนตัวเล็กไว้จากด้านหลังของเขา ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่ปล่อยเขาไปอีกแล้ว “อย่าทิ้งผมไปได้ไหม”

“ท...ทำอะไรน่ะ” คนตัวเล็กในอ้อมกอดโวยวาย “นี่มันในมหาลัยนะ”

“ก็ดี ทุกคนจะได้รู้ว่าผมชอบขนมปัง” เอาดิ กูจะดื้อแพ่งแบบนี้แหละ แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่มีใครอยู่แถวนี้หรอก ยังไงซะนี่ก็ยังเป็นวันปิดภาคเรียนอยู่ ก็เลยไม่มีใครเห็นบทตามง้อนางเอกของผม

“ไม่ได้ผลหรอก ไม่ว่าจะมาไม้ไหน ผมก็ไม่กลับไปเชื่อใจคุณอีกแล้ว ถ้าอยากจะกอดไว้นักก็เชิญ แต่คุณจะไม่ได้อะไรไปมากกว่า.....ความว่างเปล่า”

“.....................” พูดซะขนาดนี้ ผมก็ต้องปล่อยอะดิ ทำไมใจแข็งนักวะ นอกจากจะไม่ให้ความหวังแล้วยังตั้งใจทำลายความรู้สึกของผมทิ้งอีก

“เข้าใจก็ดีแล้ว งั้นผมขอตัว....”

“ไม่ไปได้ไหม” นี่จะเป็นความพยายามเฮือกสุดท้ายของผมแล้วจริงๆ หากความจริงใจที่ผมกำลังจะพูดนี้ยังไม่มีผลต่อความรู้สึกของเขาอีก ผมก็จะยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง “อยู่กับผมก่อนได้ไหม อยู่เป็นกำลังใจให้ไอ้คนขี้ขลาดอย่างผมก็ยังดี ผมรู้แล้วว่าผมผิด ผิดที่รู้ตัวช้าว่าจริงๆแล้วหัวใจของผมต้องการคนที่อยู่ข้างผมเสมอ ผมรู้แล้วว่าผมทำไม่ดีกับขนมปังไว้เยอะ ทั้งทำร้ายทั้งจิตใจ ทำร้ายทั้งร่างกาย ผมมันก็แค่.... แค่คนโง่ที่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่น่าให้อภัย ไม่สมควรได้รับโอกาสที่จะมีคนมายืนอยู่ข้างๆเลยด้วยซ้ำ .... ผมไม่ชอบเลยที่แสดงออกด้านนี้ของตัวเองออกมา ที่ทำเป็นเข้มแข็ง พูดจากวนๆ รักษาภาพลักษณ์อยู่ตลอดเวลา  แต่ทั้งหมดก็เพื่อซ่อนปมความอ่อนแอของตัวเองไว้ ไม่ให้ใครรู้ว่าผมมันขี้ขลาดแค่ไหน กลัวแม้กระทั่งพ่อตัวเอง พูดว่าชอบอะไรก็ไม่ได้ พูดว่าชอบคนที่ชอบก็ไม่ได้ เป็นในสิ่งที่อยากเป็นก็ไม่ได้ ถ้าเทียบกับคนทั่วไปที่มองว่าผมสมบูรณ์แบบแล้ว ผมยังไม่มีโอกาสมีชีวิตที่เป็นตัวเองเลยแม้แต่นาทีเดียว.... แต่พอมาเจอขนมปัง ผมก็อยากที่จะเป็นตัวเองมากขึ้น อยากรักคนที่รู้สึกรัก พูดว่าชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไรก็ได้ที่อยากพูด มีคนอยู่ข้างๆ มีคนคอยใส่ใจ ดูตารางเวลาให้ผม ไปนั่งเฝ้าผมซ้อมว่ายน้ำตั้งแต่เช้ามืด และผมก็คอยไปรับไปส่งเขา เทคแคร์เขากลับ พูดคุยกับครอบครัวของเขาได้ทุกเรื่อง ทดแทนคำพูดมากมายที่ผมพูดกับครอบครัวตัวเองไม่ได้ ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่พ่อพูดว่าผมต้องทำ................. ก็แค่นั้นเอง”

“.................................................................................”



บรรยากาศทั้งหมดเงียบสงบลงเหมือนไร้แม้แต่วิญญาณของทุกสรรพสิ่ง



ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ นี่คือครั้งแรกเลยที่ผมพูดความในใจที่เก็บซ่อนตลอดชีวิตออกมา เป็นความรู้สึกที่ทั้งอึดอัด ตื่นเต้น และโล่งอกไปพร้อมๆกัน



ทุกอย่างยังคงเงียบต่อไป จะบอกว่าดีใจที่ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนตรงหน้ากำลังเดินจากไปมันก็ใช่ จะบอกว่าเสียใจที่เขาไม่ตอบรับคำสารภาพของผมมันก็ถูก ผมทำได้แค่ก้มมองพื้นต่อไปเหมือนนักโทษที่รอคำพิพากษา



“มีพลาสเตอร์ยาอีกอันไหม” นั่นคือเสียงแรกจากคนตัวเล็กช้างหน้า

“ครับ?” ผมเงยหน้ามอง แต่ก็ค่อนข้างงงนิดหน่อย มันเกี่ยวอะไรกับสถานการณ์นี้หว่า

“ก็เมื่อกี๊คุณผลักผมล้ม ไม่เห็นเหรอว่ามีแผลถลอกที่ฝ่ามือ” คนตรงหน้าอธิบายพร้อมกับยื่นฝ่ามือที่มีแผลเล็กๆมาให้ดู “เห็นบอกว่าชอบพกพลาสเตอร์ยาติดตัวตลอดไม่ใช่เหรอ”

“อ...อ๋อ มีๆ” รีบเลยกู อยู่ไหนวะ ผมควานหาสิ่งที่คนตัวเล็กต้องการเป็นการใหญ่ ไม่รู้ตื่นเต้นอะไรถึงได้ลืมไปพักนึงว่าผมเอามันใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเป็นประจำอยู่แล้ว “น...นี่ครับ”

“ก็....ติดให้ด้วยซิ คุณเป็นคนทำไม่ใช่เหรอ งั้นก็....รับผิดชอบด้วยก็แล้วกัน”

“ครับ?”

“ปิดแผลไง” สมองผมว่างเปล่าไปชั่วขณะ “จะทำไม่ทำเนีย”

“ทำๆๆๆ ทำครับ มาครับ เดี๋ยวผมปิดให้” ผมรีบคว้ามือของขนมปังไว้

นี่เป็นสัมผัสทางกายครั้งแรกเลยที่ผมได้รับด้วยความเต็มใจจากคนตรงหน้า หลังจากการผิดใจกันอยู่นาน ผมรู้นะว่ารุ่นพี่ตัวน้อยคนนี้มีฝ่ามือที่นิ่มนวลแต่ครั้งนี้มันรู้สึกนุ่มละมุนจนผมกลัวว่ามือใหญ่กระด้างของผมจะจับแรงเกินไปแล้วทำให้มันบอบช้ำ

“จะสั่นทำไมเล่า” ผมถูกเตือน นี่กูสั่นเหรอวะ

“ข...ขอโทษครับ” ใจเย็นๆ แค่แปะพลาสเตอร์ยาเอง ทำมาเป็นร้อยๆครั้งแล้วจะมาประหม่าอะไรตอนนี้

เวรกรรม ควบคุมตัวเองไม่ได้เลยกู

“เลิกสั่นได้แล้ว” มืออีกข้างของขนมปังยื่นมาจับมือที่สั่นของผมไว้เพื่อให้มันสงบลง “แค่ปิดลงไปก็พอ”

การปิดแผลเล็กๆที่ยากลำบากจบลงในที่สุด ผมพ้นลมหายใจออกมา รู้สึกเหมือนกับว่ากลั้นไว้อยู่นาน

“ผมขอโทษเรื่องที่....”

“เข้าใจแล้ว” รุ่นพี่ตัวน้อยตัดบทของผม “ไม่ต้องขอโทษแล้ว”

“ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ” ใจชื่นขึ้นมาทันทีเลย “ต่อไปนี้ถ้าขืนผมยังทำไม่ดีกับ....”

“อย่าสัญญาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ซิ” นี่คือการตัดบทอีกครั้ง “คำสัญญาเป็นแค่ความตั้งใจ แต่สุดท้ายแล้วมนุษย์เราก็เป็นได้แค่คนปกติ ผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น แต่ถ้าทำผิดแล้วก็แค่รับผิดชอบเท่านั้นเอง”

“ค...ครับ” อือหือ ขนมปังไปกินหนังสือปรัชญามาจากไหนละเนีย ไม่เคยเห็นมุมนี้เลยแฮะ

“แล้วเรื่อง...พ่อของคุณ คือมัน... ร้ายแรงมากเลยเหรอ ถ้าเขารู้ว่า...”

“รู้ว่าผมชอบขนมปังอะเหรอ” รีบดึงมาดกวนของตัวเองกลับมาดีกว่า ให้คนตรงหน้าคุมเกมส์ไว้แบบนี้เสียเชิงหมด

“ผู้ชาย! ผมจะพูดว่าผู้ชายต่างหาก” กลับมาแล้วเหมือนกันซินะ หน้าแดงตอนเขินแบบนี้ค่อยสมกับเป็นรุ่นพี่ตัวน้อยของผมหน่อย

“ก็....คงเป็นเรื่องใหญ่น่าดู” ผมตอบ “พ่อชอบบ่นตลอดเวลาเห็นพวก...เอ่อ...ไม่รักษาค่านิยมดั่งเดิม ซีรีส์ การ์ตูน หรือนิยายแนวๆนี้ห้ามมีให้เห็นในบ้านเด็ดขาด เมื่อปีที่แล้วตอนที่พี่ต้อมเปิดตัวว่าคบกับพี่น้ำขิง บ่นให้ผมฟังเป็นเดือนๆจนหูชาเลย บอกว่าถ้าเป็นผมจะจับมาซ้อมแทนกระสอบทรายซะให้เข็ด”

“ซ...ซ้อมแทนกระสอบทราย!”

“ใช่ พ่อผมเป็นครูสอนมวย แล้วก็อย่าคิดว่าเป็นคำขู่นะ ตอนสิบขวบผมโดดซ้อมว่ายน้ำไปเล่นเกมส์กับเพื่อนแค่ครั้งแรกครั้งเดียว พ่อจับผมขึ้นชกกับพวกพี่นักมวยในสังกัดจนครบทุกคนเลย ปิดท้ายด้วยยืนคุมให้ผมวิ่งรอบค่ายมวยยันเช้า ถ้าไม่ได้แม่มาช่วยไว้ ผมนึกไม่ออกเลยว่าตอนนี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”

“น...น่ากลัว...จัง”

“ใช่ ผมกลัวฝังใจเลยแหละ แต่ตอนนี้ช่างมันเถอะ ถ้าเกิดหลังจากนี้พ่อจะรู้ว่าผมชอบขนมปัง ผมจะยอมเจ็บตัวก็ได้ ถ้าตายเพราะความรัก พระเจ้าคงรับขึ้นไปอยู่บนสวรรค์”

“จะบ้าเหรอ จะยอมเจ็บตัวทำไมเล่า ก็ไม่เห็นต้องบอกเลย”

“นี่แปลว่าผมชอบขนมปังได้แล้วใช่ป่ะ”

“ห๊ะ.... ม...ไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อย”  เจ้าตัวรีบโวยวายเป็นการใหญ่ น่ารักจริงๆ ช่างเป็นคนที่อ่านง่ายเหลือเกิน

“ก็ขนมปังแนะนำไม่ให้ผมบอกพ่อว่าผมชอบขนมปัง ก็แปลว่าขนมปังยอมรับแล้วอะดิ”

“หยุด ไม่ต้องพูดเลยนะ ไม่งั้นผมจะกลับจริงๆด้วย”

“โอเคครับโอเค ไม่พูดก็ได้ว่าผมชอบขนมปัง”

“เดี๋ยวเถอะ คุณนี่มัน....”

“เดี๋ยวดิ! แกล้งนิดเดียวเอง จะกลับจริงๆเหรอ ไหนบอกว่าเข้าใจกันแล้วไง ทำไมถึงยังจะหนีกลับอีกล่ะ”

“จะไปห้องซ้อม น้ำชานัดคุณมาซ้อมไม่ใช่หรือไง ทุกคนรอคุณนานแล้ว มัวพูดอะไรไร้สาระอยู่ได้”

“ห้องซ้อม?.... อ๋อ ไปครับ ไปๆๆ มาครับ ผมถือของให้นะ”

“ก็เอาไปซิ” ตกลงจะดุหรือจะเขินกันแน่ครับคุณขนมปัง แต่ก็ช่างเถอะ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว

ถึงขนมปังจะไม่ให้ผมสัญญา แต่จากนี้ไป...................







...................จะไม่พลาดอีกแล้ว

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 17 [รับผิดชอบ Part 2]
«ตอบ #64 เมื่อ18-11-2018 18:26:03 »

​ตอนที่ 17 : รับผิดชอบ (Part 1)



(ปัจจุบัน)



-ในมุมของอะตอม-



“กลับมาแล้วครับทุกคน” ประตูห้องซ้อมเปิดออก ในที่สุดพี่น้ำชาก็กลับมาแล้ว โดยมีเพื่อนสนิทที่ชื่อพี่ต้อมเข้ามาด้วย “โทษทีนะครับ รถติดมากเลย กว่าจะถึง เกือบจะสามทุ่มอยู่แล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก มีคนช่วยสอนเยอะ” พี่ท๊อปเป็นคนตอบ “เด็กๆก็ใช้ได้  เรียนรู้กันเร็วดี”

“ถึงไหนแล้วครับ”

“ก็จบเพลงแล้วแหละ ส่วนใหญ่ก็ฝึกให้จำท่าให้ได้ เอางี้ละกัน แยกสอนรายคนเลยดีกว่า.... เอาเป็น.... น้องเกตุสอนน้องครีมนะ ข้าวเจ้าสอนโซนิค สุ่ยกับชาสอนอะตอมกับแทนละกัน”

“ได้ครับ” เย้ๆ พี่น้ำชาจะมาสอนผมแล้ว “ไอ้สุ่ย มานี่ เราแยกไปสอนตรงท้ายห้องดีกว่า”



“เห้ยไอ้ข้าว เดี๋ยวกูช่วยสอนนะ” พี่ต้อมอาสา

“อะไรๆไอ้ต้อม” พี่สุ่ยรีบเอ่ยปาก “จะไปยุ่งกับข้าวเจ้าทำไม นั่นมันคนของกู มึงออกมาเลย”

หือออออ พี่สุ่ยพูดอะไรน่ะ อย่าบอกนะว่าพี่สุ่ยกับพี่ข้าวเจ้าเป็น.....

“กูไม่ทำไรแฟนมึงหรอกไอ้เวร” ไม่ทันไรพี่ต้อมก็ไขข้อสงสัยให้ แต่แปลกที่พี่ข้าวเจ้าไม่ยักแสดงท่าทีขัดเขินเลยแม้แต่น้อย จนผมแอบคิดว่านี่อาจเป็นเรื่องปกติที่ใครๆก็พูดกัน บ้าเหรอ ยังไงเรื่องแบบนี้ก็ไม่ปกติหรอก “กูจะไปสอนเพราะไอ้โซนิคเป็นน้องกู ”

“มึงอยู่สถาปัตย์ นั่นเด็กสังคม น้องมึงเชี่ยไร” ท่าทางพี่สุ่ยจะขี้หึงเอาเรื่องเลยนะเนีย

“ดูปากกูนะครับไอ้เพื่อนส้นตีน ลูก พี่ ลูก น้อง  เข้าใจนะเพื่อน มึงไปสอนน้องคณะมึงเหอะ กูไม่ทำอะไรแฟนมึงหรอก เพราะว่า..... อ้าว นั่นไง แฟนกูมาแล้ว” พี่ต้อมหมายถึงแขกคนใหม่ที่เข้ามายังห้องซ้อมคณะสังคมแห่งนี้

เดี๋ยวๆๆๆๆ อย่าบอกนะว่าผู้ชายที่หน้าหวานๆคนนี้เป็นแฟนของพี่ต้อม เห้ย! ไม่จริงอ่ะ พี่ต้อมออกจะผู้ช๊ายผู้ชายขนาดนี้เนี่ยนะ แถมหล่อ เท่ มีแฟนเป็นผู้ชายได้ไงวะ นี่ถ้าไม่ติดเรื่องมารยาทผมจะเอ่ยปากถามซะเดี๋ยวนี้เลย

“เออ แล้วไป” พี่สุ่ยวางใจ “แต่อย่าทำไรตุกติกนะมึง ไม่งั้นเจอกันที่สนามบอลคราวหน้ากูจะถล่มทีมมึงให้ยับเลย”

“ถุย ไอ้อ่อน กล้าพูดนะมึงอ่ะ ถล่มกูให้ดูหน่อยดิ อยากจะดูน้ำหน้าเหมือนกัน”

“เออ มึงค่อยดู.....”



“พอๆๆๆๆ” พี่น้ำชาคือผู้ยุติสงครามการทับถมกันของพี่หน้าหล่อทั้งสอง “จะไปสอนใครก็ไป เลิกไร้สาระกันซะที พวกมึงไม่ได้มีเวลาทั้งคืนนะ พรุ่งนี้ต้องเปิดห้องเชียร์อีก แยกย้ายไปสอนได้แล้ว”

“เพราะมึงนั่นแหละ” “มึงนั่นแหละ”



ผมแอบขำเล็กๆ พี่น้ำชาเหมือนเป็นแม่ของพวกพี่ลีดปีสองเลย สั่งทีเดียว ทุกคนทำตามทันที



“ไม่ต้องมายิ้มเลยอะตอม ไปซ้อม” กรรม ไหงผมถึงโดนไปด้วยล่ะเนี่ย “แทน.... แทน!”

“ครับ!” ไอ้บ้าแทนมัวยืนเม่ออะไรก็ไม่รู้

“ไปซ้อมซิ เร็วเข้า ไปทางโน่น” พี่น้ำชาสั่ง



การซ้อมจากพี่น้ำชาเริ่มขึ้น



ไอ้หนุ่มญี่ปุ่นถูกแยกไปสอนโดยพี่สุ่ย ส่วนผมได้รับการสอนเป็นพิเศษ ไม่ซิ ต้องเรียกว่า โคตรพิเศษ จากพี่น้ำชา

นี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่ดีใจตอนรู้ว่าพี่น้ำชาจะมาสอน พี่เขาดุมากกกกก ฝึกหนักสุดๆ ผมแทบไม่ได้เอาแขนลงเลย แค่ขยับแขนผิดองศานิดเดียวก็ให้เริ่มเต้นใหม่ทั้งเพลง ตอนนี้แม้กระทั้งโดนยุงกัดผมยังไม่กล้าขยับเลย

ผมแอบหันไปดูคนอื่น อาจจะมีซ้อมหนักบ้าง แต่อย่างน้อยคนอื่นก็ยังได้พักหรือคุยเล่นกับพวกพี่ๆบ้าง

พี่น้ำชาาาาาาาา ขอพักนิดนึงบ้างไม่ได้เหรอ เห้ออออ ได้แค่คิด พี่เขาทำหน้าจริงจังขนาดนี้ ผมจะกล้าพูดออกมาได้ยังไง………….





“คืนนี้กลับไปก็รีบพักผ่อนกันซะนะ”

ในที่สุด ในที่สุดดดด จบซะที

คืนนี้มันยาวนานจริงๆ เผลอแป๊บเดียวก็จะห้าทุ่มแล้ว

“ขอบคุณพี่ๆทุกคนที่เขามาช่วยสอนด้วยเด็กๆ” พี่น้ำชาสั่ง



“ขอบคุณครับ/ค่ะ” พวกผมรีบทำตาม แขนผมนี่แทบจะยกขึ้นไหว้ไม่ไหวกันเลยทีเดียว



“โอเค กลับได้ครับทุกคน..... เจสซี่ พรุ่งนี้ไปเอาชุดที่ร้านมาให้น้องๆด้วยนะ มีเบอร์โทรของน้องทุกคนแล้วใช่ไหม.....”

พี่น้ำชายังอยู่คุยธุระกับเพื่อนต่ออีกนิดหน่อย ส่วนคนอื่นๆก็เริ่มแยกย้ายแล้ว



“กลับกันเถอะ” ไอ้บ้าแทนก็เข้าประชิดตัวผมเร็วเหลือเกิน กูยังไม่ทันได้ขยับไปไหนเลย

“ก็ต้องกลับอยู่แล้วซิ” กูคงไม่อยู่หรอก ตาจะปิดอยู่แล้ว “จะเอาไปไหนเล่า เอามานี่”

ดูมัน ไอ้สุภาพบุรุษแทนพยายามจะถือของให้ผมอีกแล้ว ดีนะที่ผมไหวตัวทัน คว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองกลับมาได้ก่อน



“เดี๋ยวสุ่ยเก็บของให้ ข้าวเจ้าไปรอที่รถเถอะ”/“งั้นข้าวเจ้าไปสตาร์ทรถรอนะ หิวหรือเปล่า คืนนี้อยากกินอะไรไหม”     

 

“ต้อมไม่ต้องถือให้ขิงก็ได้นะ สอนน้องมาเหนื่อยๆ สัมภาระแค่นี้เอง ขิงถือได้ เรารีบกลับกันเถอะ”/“ไม่เป็นไร ต้อมถือให้อย่างเดิมแหละดีแล้ว ต้อมรู้นะว่าน้ำขิงง่วงจะแย่แล้ว อยู่ดึกๆทีไรเป็นแบบนี้ทุกทีเลย ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาหาก็ได้.... เห้ยๆ ไอ้ชาเย็น มึงจะรีบไปไหน เดี๋ยวกูกับน้ำขิงไปส่ง”



“พี่ท๊อปเหนื่อยไหม เหงื่อเต็มเลย มานี่ เช็ดเหงื่อหน่อยนะ”/“ขอบคุณครับ แต่พี่ไม่เหนื่อยเท่าไรหรอก บุ๋นล่ะเหนื่อยไหม ขอบใจนะที่มาช่วยพี่สอน เป็น ก.น.ช.แท้ๆ กลับยังต้องมาสอนลีดอีก”



“เกตุครับ อันนี้เอาวางไว้ไหนอ่ะ”/“เอาไว้เลยรถเลยก็ได้พี่กอล์ฟ เกตุขอยืมข้าวเจ้าแล้ว จะเอาไปสอนน้องที่คณะวิทย์”



“ผมนึกว่าขนมปังจะกลับตั้งแต่สี่ทุ่มอย่างที่พูดไว้ซะอีก”/“ก็ดึกขนาดนี้แล้วผมจะกลับยังไงล่ะ ยังไงคุณก็ต้องไปส่งผมอยู่ดี”



เดี๋ยวๆๆๆๆๆ คืออะไร เป็นอะไรกันไปหมด อะไรคือการเทคแคร์กันและกันเป็นอย่างดี อะไรคือการโชว์หวานแบบไม่สนคนรอบข้าง จะมาบิวท์ทำไม





“...............” นั่นไง ไอ้บ้าแทน มองคู่อื่นตาละห้อยเลย

โอ๊ยยยยย คือกูผิดใช่ไหมเนียที่ทำกับมันแบบนั้น

“อะนี่” ผมยื่นกระเป๋าของตัวเองไปให้ไอ้คนหน้าเศร้า

“ห๊ะ!!” ทีอย่างงี้ทำงงนะมึง

“ก็กระเป๋าไง อยากถือนักไม่ใช่หรือไง ก็ถือไปดิ เมื่อยแขนจะแย่อยู่แล้วเนีย พี่น้ำชาเล่นซะกูอ่วมเลย”

“ให้แทนถือให้เหรอ?”

“จะถือไม่ถือ”

“ถือครับๆ” มันรีบคว้ากระเป๋าของผมไปถือ แทบจะกอดไว้เลยด้วยซ้ำ ยิ้มกริ่มเชียวนะ

“ไปๆๆ ง่วงจะแย่อยู่แล้ว” นี่กูไม่ได้เปลี่ยนเรื่องเพราะเขินใช่ไหม



ห้องซ้อมถูกปิดไฟทันทีหลังจากผมและทุกๆคนออกมา

เพราะทุกคนมีรถยนต์ส่วนตัวกันมาเอง และมีผู้โดยสารประจำกันอยู่แล้ว จึงกระจัดกระจายกันออกไปอย่างเป็นอัตโนมัติภายในไม่กี่นาที



“น้องอะตอมค่ะ” เพื่อนพี่น้ำชาเรียกผม พี่คนนี้ชื่อ..... เล็ก ใช่ๆ ชื่อเล็ก

“ครับผม” ผมขานรับ

“กลับยังไงเหรอ ไปส่งพี่หน่อยซิ พี่ไม่ได้เอารถมา”

“เอ่อ....” ทำไมพี่เขาทำเสียงอ่อนเสียงหวานใส่ผมละเนีย “ผมไม่มีรถอะครับ”

“อ้าวเหรอ” พี่เขาดูผิดหวังนิดหน่อย “งั้นกลับกับพี่ไหม พี่มีรถ”

“อ้าว ไหนเมื่อกี๊พี่บอกว่าไม่ได้เอารถมานิครับ”

“ไม่ใช่ๆ หมายถึง รถของเพื่อนพี่อ่ะ เรามากันสามคน แต่รถยังว่างอยู่นะ นั่งได้”



“ว่างมากค่ะอิเล็ก” บั๊ดดี้ตัวใหญ่ของพี่น้ำชาแทรก “มาสามคน พร้อมของอีกครึ่งคัน มึงชวนน้องเขากลับ จะให้น้องเขานั่งหลังคาไปหรือไง”

“โอ๊ยมึง ก็เบียดๆกันไป อบอุ่นดี”

“ม....ไม่เป็นไรดีกว่าครับ” ผมรีบปฏิเสธ “ผมกลับกับเพื่อนดีกว่าครับ พวกพี่ๆกลับกันเถอะ”



“อุ๊ย! น้องแทนมีรถด้วยเหรอ” พี่ผู้หญิงคนนี้เป็นบั๊ดดี้พี่สุ่ย ผมจำได้ ชื่อวาวาซินะ “งั้นพี่กลับด้วยคนได้ไหมค่ะ”

“ผมก็ไม่มีเหมือนกันครับ” ไอ้แทนรีบออกตัว

“หว่า แย่จัง แบบนี้พี่ก็อดเป็นตุ๊กตาหน้ารถของน้องแทนละซิ”

“ตุ๊กตาหน้ารถ?” ผมรู้เลยว่าไอ้หน้าหล่อนี่ไม่เข้าใจความหมายนี้

“ก็คือคนที่นั่งรถไปกับเราไง คนที่เราคอยไปรับไปส่ง แบบว่า มีรถส่วนตัวก็จะได้คอยเทคแคร์พี่ เอ๊ย! หมายถึงคอยเทคแคร์สาวๆที่ถูกใจ ไปรับไปส่ง อะไรยังงี้ ใครๆก็อยากเป็นตุ๊กตาหน้ารถของน้องแทนทั้งนั้นแหละ” พี่เขาดูว่างเนาะ ยืนอธิบายให้ฟังเป็นเรื่องเป็นราวเชียว



“พวกมึงสองตัวจะกลับกันไหม” พี่บั๊ดดี้ตัวใหญ่เริ่มโวยวาย “อิพวกตุ๊กตาเสียกบาล หรือจะเกาะล้อไปกันคะ”

“โอ๊ยยยยย ไปๆๆๆ แหม อยู่แอ๊วผู้แป๊บนึงก็ไม่ได้” พี่เล็กฉุนเฉียว แต่ก็ยอมเดินไป พร้อมกับลากที่วาวาที่เอาแต่มองไอ้แทนไปด้วย “น้องโซนิคโดนสอยไปทานแล้วไม่คิดจะช่วยสนับสนุนเพื่อนบ้างเลยนะ.....”



นี่คือกูกลับได้แล้วใช่ไหม โอเค นึกว่าจะมีบทสนทนาต่ออีกยาวซะแล้ว



ผมเริ่มออกเดิน เพียงแต่....

“แทน” มันไม่ยักกะตามผมมา เอาแต่ยืนเม่อ “ไอ้แทน!”

“ห๊ะ! ครับ” เม่ออะไรของมันวะ เม่อเก่งนะวันนี้

“ไม่กลับหรือไง ง่วงจะแย่แล้ว”

“กลับครับกลับ” เจ้าตัวรีบวิ่งตามมา



แต่ยังเพิ่งเดินต่อได้ไม่กี่ก้าวก็มีรถยนต์คันหนึ่งมาจอดดักหน้าพวกผมไว้



“ไง ให้ไปส่งไหม” ครีมนั่นเอง เธอเปิดกระจกลงมาคุยกับพวกผม ว้าว มีรถเป็นของตัวเองด้วยแฮะ

“ไม่เป็นไรหรอก เราเกรงใจอ่ะ” ผมตอบ “หออยู่แค่ออกจากประตูมอนี่เอง”

“งั้นเราไปส่งที่ประตูก็ได้” เธอยังคงชักชวน

“แต่เรา....”

“ไปเถอะน่า ดีกว่าเดินไปนะ มืดแล้ว มีผีหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“เอ่อ....” พูดซะกูขนลุกเลย ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปได้ไง “งั้น...รบกวนหน่อยนะ”

“ขึ้นมาเลย”

“ขอบใจนะ” ผมรีบเปิดประตูแล้วยัดตัวเองเข้าไปเบาะหลังของรถเก๋งคันหรู แต่ก็เช่นเคย.... “แทน เข้ามาดิ เร็ว”

“อะตอมไปเถอะ” หึ!? เมื่อกี๊ไอ้แทนพูดว่าไงนะ “แทนไม่รบกวนดีกว่า”

“เป็นไรอ่ะ” ครีมหน้าเหวอไปเลยที่ถูกปฏิเธ “รถเราสะอาดนะ หรือว่ากลัวเราจะพาไปทำมิดีมิร้าย ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”

“ไม่ใช่อย่างนั้น เราชอบเดินมากกว่าอ่ะ” ห๊ะ เนี่ยนะเหตุผล แล้วไอ้บ้าหน้าหล่อมันก็ยื่นกระเป๋าสะพานคืนมาให้ผม “ฝากส่งอะตอมด้วยนะครีม ไปล่ะ”



เห้ย อะไรของมันวะ ปิดประตูรถเสร็จสับแล้วก็เดินไปเฉยเลย



“เพื่อนนายนี่แปลกๆนะ อินดี้น่าดูเลย” ครีมพูดกับผม “แต่ช่างเถอะ เรารีบกลับกันดีกว่านะ......”

“ด....เดี๋ยวๆๆๆๆ เดี๋ยวก่อนครีม” ผมรีบหยุดเธอไว้ก่อนที่จะออกรถ “เราว่า.... เรากลับกับแทนดีกว่า คือเราไม่อยากให้มัน.... เอ่อ.... เอาเป็นว่าขอบใจนะที่จะไปส่ง แล้วก็ขอโทษแทนไอ้แทนมันด้วยนะ เดินทางปลอดภัยนะ บ๊ายบาย”



ผมรีบเปิดประตูรถออกมาเพราะกลัวว่าครีมจะรั้งผมไว้



ไอ้บ้าแทน ไปไหนแล้ววะ..... โน่นไง



ผมรีบวิ่งตามหลังไอ้คนตัวโย่ง วินาทีต่อมารถยนต์ของครีมก็ขับเลยผ่านผมไป



“อะไรของมึงเนีย” นี่คือประโยคแรกที่ผมเอ่ยถามหลังวิ่งมาทันไอ้พระเอกเอ็มวีที่เดินอยู่ริมถนนมหาลัยคนเดียว

มันเหมือนจะตกใจนิดหน่อยที่เห็นผมตามมา  แต่ก็ชะงักแค่แป๊บเดียวแล้วก็เดินต่อไป

เอ๊า อะไรของมันวะ

“ไอ้แทนนนน” คราวนี้ผมดึงมือมันกลับมาเพื่อให้มันหยุดเดิน “กูถามว่าเป็นอะไร ทำไมไม่ขึ้นรถไปกับครีม”

“อะตอมอยากเป็นตุ๊กตาหน้ารถเหรอ”

“หึ?” ผมนี่งงเลย มันถามอะไรของมันวะ

“ก็อะตอมยอมขึ้นรถไปกับครีม”

อ๋อออออ ตุ๊กตาหน้ารถ ที่พี่วาวาพูดให้มันฟังเมื่อกี๊อะนะ “เห้ย! ไอ้บ้า คิดได้ไง นั่นมันเป็นคำเปรียบเทียบผู้ชายกับผู้หญิง”

“ก็ใช่ไง”

“ก็ใช่อะไร”

“ครีมเป็นผู้หญิง อะตอมก็เป็นผู้ชาย”

“ไม่ใช่... เอ้ย! ใช่ เออใช่ กูเป็นผู้ชาย แต่มันไม่ได้พูดถึงสถานการณ์แบบนี้ ตุ๊กตาหน้ารถเขาเอาไว้พูดถึงผู้หญิงที่นั่งรถไปกับผู้ชาย แบบเป็นแฟนหรือโดนจีบอะไรแบบนี้” นี่มันไม่เข้าใจความหมายจริงๆเหรอวะ ก็รู้นะว่าไปอยู่ญี่ปุ่นมานาน แต่นี่เป็นคำเปรียบเทียบพื้นๆเองนะ “ส่วนไอ้ที่ครีมชวนน่ะ เขาเรียกว่ามีน้ำใจ แล้วการที่มึงปฏิเสธเขาแบบนั้นมันเสียมารยาทรู้ไหม”   

ไอ้คนตรงหน้าไม่ตอบ แค่ยักไหล่

“ทำแบบนี้คิดว่าเท่นักหรือไง”  ต้องตำหนิหน่อยแล้ว

“เปล่า แค่ไม่เข้าใจ”

“ไม่เข้าใจอะไร”

“ไม่เข้าใจว่าทำไมอะตอมตอบตกลงครีมง่ายจัง เขาชวนแค่นิดหน่อย อะตอมก็ขึ้นรถไปง่ายๆ”

“แล้วมันยากตรงไหนวะ ก็พูดอยู่นี่ไงว่าเขาชวน”

“แล้วทีกับแทนอ่ะ แค่ขอถือกระเป๋าให้ก็ต้องขอเกือบทั้งวัน ทำนั่นก็ไม่ได้ พูดนี่ก็ไม่ได้ ที่ขอเลื่อนสถานะก็ยังไม่ยอมตอบรับเลย”

“พ...พูดบ้าอะไรเนีย” มันวกมาเรื่องนี้ทำไมกัน อุส่าว่าจะทำเป็นลืมๆไปแล้วเชียว

“เห็นไหม.... สุดท้ายคำพูดของคนอื่นก็สำคัญกว่า”

“ไม่ใช่อย่างนั้น... อ้าว จะรีบเดินไปไหนอีกล่ะเนีย ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย” ผมพยายามเดินตามไอ้คนพูดไม่รู้ความ แต่มันก็ไม่มีท่าทีสนใจผมเลย “นี่ถ้ามึงไม่คุยกันให้รู้เรื่อง กูก็จะไม่สนใจแล้วนะ”

“แล้วมันต่างจากเดิมตรงไหน ยังไงอะตอมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำพูดของแทนอยู่แล้ว” ดูความดึงดราม่าของมันดิ

โอ๊ยยยย กูจะบ้าตาย

“มึงนี่พูดไม่รู้เรื่องนะ แล้วก็คิดอะไรตื้นๆด้วย อยู่ดีๆจะให้กูตอบตกลงได้ไงวะ คบกันเป็นแฟนนะเว้ยไม่ใช่เล่นขายของ ถึงจะติ๊งต่างได้ในทันที” ตอนนี้ผมทั้งบ่นทั้งรีบเดินตาม จากที่เหนื่อยอยู่แล้วกลายเป็นเหนื่อยกว่าเดิมอีก

“แต่อย่างน้อย อะตอมก็ควรตอบอะไรมาก่อนซิ ไม่ใช่ปล่อยให้รอคำตอบไปเรื่อยๆ”

“บ้าหรือเปล่า” นี่กูต้องด่ามึงว่าบ้าอีกกี่รอบกันเนีย เข้าใจอะไรยากจัง “ของแบบนี้มันก็ต้องใช้เวลาดิ”

“ก็รู้ว่าต้องใช้เวลา แต่ก็ควรตอบมาก่อน ถ้าตกลงเราก็จะได้ศึกษากัน หรือถ้าไม่ตกลง ก็จะได้พยายามใหม่ อยู่ในสถานะครึ่งๆกลางๆแบบนี้มันทำตัวไม่ถูกนะรู้ไหม”

“อะไรของมึงวะ ที่มึงพูดเนีย หมายความว่ากูต้อง say yes ก่อน แล้วมึงถึงจะจีบกูทีหลังเนี่ยนะ คนสติดีๆเขาไม่ทำแบบนั้นกันหรอก”

“ใครๆเขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ”

“ไม่จริงอ่ะ ใครๆที่มึงบอก กูไม่เคยเห็นมาก่อน เขามีแต่ต้องจีบกันก่อนถึงจะตกลงเป็นแฟนกันได้...... เอ๊ะ! เดี๋ยวๆ” ผมว่าผมพอจะระลึกได้แล้วว่าทำไมมันมีความคิดแปลกๆแบบนี้ “นี่มึงอย่าบอกนะว่าคนญี่ปุ่นเขาตอบตกลงเป็นแฟนกันก่อนแล้วค่อยจีบกันทีหลัง”

“ไม่เกี่ยวหรอกว่าเป็นที่ญี่ปุ่น ที่ไหนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น”

“กูว่ามึงเข้าใจผิดแล้ว ที่นี่ประเทศอะไร ไม่ใช่ญี่ปุ่นบ้านมึง เราไม่มีวัฒนธรรมที่จะตอบตกลงเป็นแฟนก่อนแล้วค่อยจีบกันทีหลังหรอกนะ”

“พูดจริงเหรอ”

“โอ๊ะ! โอ๊ย! ไอ้บ้า หยุดกะทันหันก็ไม่บอก” ชนเต็มๆเลยกู “เออ จริง มึงไปถามใครก็ได้ ไม่มีใครเขาคิดแบบมึงหรอก”

“งั้นเหรอ คนที่นี่มีวิธีคิดที่แปลกจัง ถ้าไม่เป็นแฟนกันก่อนแล้วจะกล้าทำดีด้วยได้ไงล่ะ” มันพึมพำไปด้วยและทำท่าคิดไปด้วย นี่ถ้าไม่ติดว่ามึงเป็นคนฉลาด กูจะด่าว่าโง่ตอนนี้เลย “ไม่เอาอ่ะ แทนไม่ถนัด อะตอมตอบมาก่อนดีกว่าว่าจะเป็นแฟนกับแทนไหม แบบนี้จะได้รู้ว่าควรทำตัวยังไง”

“อะ??.....” ตอบตอนนี้เนี่ยนะ

“ว่าไง” จะเร่งทำไมเล่า “แทนชอบอะตอมนะ เรามาเป็นแฟนกันไหม”

“เอ่อ....” เอางี้เลยเหรอ ผมนี่หน้าร้อนผ่าวเลย จะให้ตอบยังไงล่ะ นี่มันเป็นคำถามปกติที่คนทั่วไปเขาถามกันเหรอ “คือกู....”

“คือ?”

“ก...กูตอบ.....ปฏิเสธได้ไหมอ่ะ คือมัน...ยังรู้สึกแปลกๆอยู่อ่ะ เป็นเพื่อนกันไปก่อนไม่ได้เหรอมึง มัน....” ก็จริงนิ มีคนมาขอเป็นแฟนโต้งๆก็ว่าแปลกแล้ว แต่นี่โดนผู้ชายสารภาพรักยิ่งแปลกไปใหญ่เลย จะให้ตอบตกลงมันก็เกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่ละครบุพเพสันนิวาสนะที่แค่ล้มใส่กันบ่อยๆแล้วจะหลงรักกันได้ ถึงผมกับมันจะเคยเผลอจูบกันไปทีนึงก็เหอะ ก็ยอมรับว่าหลังๆไอ้บ้านี่คอยทำดีและเอาใจผมตลอด ก็รู้ว่าใกล้ชิดกันกว่าคนทั่วไป.... เดี๋ยวนะ ทั้งหมดที่บรรยายมานี่คือผมโดนจีบหรือเปล่าหว่า หรือว่าจริงๆผมโดนมันจีบไปแล้ว แต่ไม่รู้ตัว แล้วแบบนี้มันจะเสียใจที่ผมปฏิเสธหรือเปล่าวะ

“ไม่ตกลงงั้นเหรอ....เห้ออออ” คนตรงหน้าถอนหายใจอย่างผิดหวังออกมา แต่มันก็ดูแปลกๆนะ คือถ้าเป็นอาการของคนทั่วไปที่โดนปฏิเสธตรงๆ คงเสียศูนย์กว่านี้ มันกลับแค่แสดงท่าทางเหมือนเด็กที่โดนพ่อแม่ปฏิเสธไม่ให้ไปนอนค้างบ้านเพื่อน

“ขอโทษนะมึง คือกูยัง...”

“งั้นเอาไว้ถามใหม่วันหลังก็แล้วกัน” แล้วไอ้บ้าก็หันหลังเดินต่อไปอีกครั้ง

หึ!? “ด...” ผมห้ามปากตัวเองไว้ ก็กะว่าจะสงสัยอยู่อะนะ แต่ผมว่ามันคงมีความคิดแปลกๆไม่เหมือนคนแถวนี้ สงสัยรับวัฒนธรรมแดนอาทิตย์อุทัยเข้าไปมาก

เอาไว้ถามใหม่วันหลัง...งั้นเหรอ  เฮ้อๆ แปลกดี

แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน นึกว่าผมจะทำร้ายจิตใจของมันซะแล้ว เพราะก็อย่างที่พูดไปนั่นแหละ ช่วงหลังๆก็ได้ไอ้บ้าแทนนี่แหละที่คอยเทคแคร์ตลอด ขืนผมเป็นคนทำให้มันเสียใจซะเอง คงจะรู้สึกผิดแย่เลย



“มหาลัยตอนกลางคืนก็สวยดีนะ”

“ส...สวย? อ๋อ ใช่ สวยดี” อะไรวะ กลับมาเป็นปกติได้เลยเหรอ บทสนทนาเมื่อกี๊ไม่มีผลทางด้านจิตใจเลยหรือไง เริ่มตามความคิดของมันไม่ทันแล้ว

“สถานที่สวยๆแบบนี้ ไม่ดูเหมือนว่าจะมีผีอย่างที่ครีมพูดตรงไหนเลย”

“พ...พูดบ้าอะไรของมึงเนีย” ผมนี่รีบใช้เทคนิคการสไลด์ตัวเข้าหาสิ่งมีชีวิตใกล้ตัวเลย ก็ไอ้แทนนั่นแหละ แถวนั้นก็มีแค่มันแล้วนิ

“ถึงแทนจะยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่คนที่ยังไม่เป็นแฟนกัน เขาไม่เกาะแขนกันแบบนี้หรอกนะ”

“ไม่เกี่ยวซะหน่อย” ปากก็ปฏิเสธนะ แต่ก็ไม่ปล่อยมือหรอก ผมไม่ยอมเดินในที่มืดๆโดยขาดที่พึ่งเด็ดขาด

“ถ้ากลัวขนาดนั้นแล้วลงมาจากรถของครีมทำไมอ่ะ”

“ก็...." กูต้องหาเหตุผลมาอธิบายด้วยเหรอเนีย "เดี๋ยวมึงก็หาว่ากูทิ้งให้มึงเดินกลับหอคนเดียว”

“พฤติกรรมคนไทยเดี๋ยวนี้แปลกจริงๆด้วย ไม่เป็นแฟนกันแต่ก็สามารถแคร์กันขนาดนี้ ไม่เห็นต้องห่วงเลยว่าแทนจะเดินกลับคนเดียวหรือเปล่า” อือหือ มึงพูดแบบนี้ก็เท่ากับกูไม่เนียนอะดิ

“อะนี่”

“อะไรเหรอ”

“กระเป๋าไง ก็บอกว่าจะถือให้ไม่ใช่เหรอ กูตามมาเพราะว่าจะเอากระเป๋ามาให้มึงถือนี่แหละ พูดอะไรไว้แล้วแล้วก็หัดรับผิดชอบด้วย เอาไปถือเลย” ผมยัดกระเป๋าใส่มือมัน

ไอ้หน้าหล่อรับกระเป๋าไปแบบงงๆ แต่ก็ยิ้มมุมปากออกมา

“ยิ้มอะไรวะ” ผมสงสัย

“อะตอมบอกว่าคนที่นี่ต้องจีบกันก่อนถึงจะเป็นแฟนกันได้ใช่ไหม”

“ใช่ กูพูด” แล้วไง

“ที่อะตอมทำแบบนี้คือกำลังเปิดโอกาสให้เราจีบอยู่หรือเปล่า”

“โอ๊ะ คิดได้เนาะ” ยอมกับความคิดของมันจริงๆ “แค่ถือกระเป๋าแค่นี้ มันไม่ใช่การจีบกันของเด็กวัยรุ่นที่นี่หรอกนะ คิดน้อยจริงๆ”

“แบบนี้นี่เอง” กระเป๋าของผมถูกสะพายเข้าไหล่ของคนข้างๆ โดยมีผมเกาะแขนอยู่ไม่ห่าง นี่ถ้าไม่น้ำเน่าเกินไป ผมคงคิดว่ากำลังอยู่ในฉากเอ็มวีเพลงรัก (คิดไรของกูวะ) “เอาเป็นว่าแทนจะลองศึกษาเรื่องของคนที่นี่ให้มากขึ้นก็แล้วกัน จะได้รู้ว่า.............









..................การจีบคนข้างๆ ควรจะต้องทำยังไง”

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ BBChin JungBB

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด