ตอนที่1
เขาว่ากันว่า...คำๆนี้เป็นคำที่ผมได้ยินบ่อยที่สุดตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาเป็นเด็กนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งและจนตอนนี้ผมก็กลายเป็นเด็กปีหนึ่งไปตั้งสามอาทิตย์แล้ว ผมก็ยังคงได้ยินไอ้คำว่า
‘เขาว่ากันว่า’ อยู่เลย
ถ้าทุกคนยังนึกไม่ออกว่า
‘เขา’ ว่าอะไรกันบ้าง ผมจะยกตัวอย่างให้ดูนะครับ
‘เขาว่ากันว่า...พี่คนนั้นทั้งหล่อและรวย’
‘เขาว่ากันว่า...พี่คนนั้นโคตรหยิ่ง’
‘เขาว่ากันว่า...พี่คนนั้นชอบฟันแล้วทิ้ง’และอีกสารพัดที่เขาจะว่ากัน
อืม...ผมชักจะสงสัยและอยากรู้เหมือนกันว่าไอ้
‘เขา’ ที่ว่านั่นน่ะเป็นใครกัน ทำไมถึงได้รู้เรื่องชาวบ้านมากมายขนาดนั้นวะ
นี่ผมไม่ได้จะด่าเขาว่าเสือกหรือชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอะไรเลยนะ ผมก็แค่อยากรู้จักว่าไอ้
‘เขา’ นั่นน่ะเป็นใครก็เท่านั้น
แล้วอีกเรื่องที่ผมอยากรู้ก็คือ
‘พี่คนนั้น’ ที่เขาพูดถึงกันเยอะๆคือใคร ทำไมถึงมีอิทธิพลขนาดคนอื่นต้องอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเขาด้วยวะครับ เป็นดาราหรือลูกอธิการบดีหรืออะไรอ่ะ ทำไมถึงได้ดังขนาดที่คนเขาต้องพูดถึงกันด้วย อีกอย่างถ้า
‘พี่คนนั้น’ ดังขนาดนั้นแล้วทำไมผมถึงไม่รู้จักล่ะ?
อย่าด่าผมว่าเสือกหรืออยากรู้เรื่องชาวบ้านเลยครับ จริงๆผมไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกนะ เพียงแค่อยากรู้ความเป็นไปในแวดวงสังคมของมหาวิทยาลัยของตัวเองก็เท่านั้นเองครับ
โธ่ๆ เชื่อผมเถอะ ถึงแม้หน้าตาผมจะดูเหมือนคนชอบเผือกเรื่องชาวบ้านก็ตาม...
“มึงว่าไอ้เขาที่พูดๆกันเนี่ย มันใครวะ? มึงรู้จักป่ะ?” หันไปถามเพื่อนรักอย่างไอ้ทิมที่ยืนอยู่ข้างๆผมตอนนี้ ไอ้นี่มันเป็นทั้งเพื่อนรักและเป็นเสมือนกูเกิ้ลเคลื่อนที่ของผมเลยล่ะครับ อยากรู้อะไรก็แค่เพียงถามมัน แล้วข้อมูลทุกอย่างก็จะออกมาจากปากของทิมเกิ้ลทุกอย่างเลย
โคตรเจ๋ง!
มันยืนประมวลผลคำที่ผมต้องการอยากรู้ ไม่นานทิมเพื่อนรักก็เปล่งเสียงของมันออกมา “ก็คนทั้งมหา’ลัยนั่นแหละ มันก็แค่คำเกริ่นที่คนเขาเอาไปพูดต่อๆกันเพื่อเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น เหมือนมึงตอนนี้ไง”
“อ๋อ” พยักหน้าเข้าใจและเคลียร์ไปแล้วหนึ่งประเด็นแต่ยังคงเหลืออีกประเด็นที่ผมยังคงอยากรู้ “แล้วพี่คนนั้นที่เขาพูดๆกันล่ะวะเป็นใคร กูได้ยินเขาพูดถึงกันเยอะฉิบหาย”
ไอ้ทิมมันมองหน้าผมและทำปากขมุบขมิบด่าผมว่าโง่ “มึงไปมุดในซอกขาหนีบใครมาวะห่าทาวน์ ทำไมถึงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาเลย”
“ซอกขาหนีบมึงมั้ง ดำฉิบหาย”
“เดี๋ยวนะๆ มึงไม่ควรเอาเรื่องจริงมาพูดในที่สาธารณะแบบนี้เพื่อนรัก” มันมองซ้ายแลขวาคงกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินความจริงที่ไอ้ทิมมันปิดบังมาสิบๆปี
“นี่ขาหนีบมึงดำจริงดิ?” ผมทำท่าป้องปากกระซิบแต่จริงๆเสียงดังไปถึงอีกคณะนู่นแหละ
“อ่ะๆ กูว่าเรากำลังเริ่มหลงประเด็น” มันปัดๆเรื่องมันทิ้งจะได้ไม่ต้องอายไปมากกว่านี้แล้วกลับเข้าเรื่องที่ผมอยากรู้ต่อ
“เออว่ะ โทษทีๆเรื่องขาหนีบมึงก็น่าสนใจนี่หว่า เออแล้วสรุปพี่คนนั้นเขาเป็นใครวะ?”
มันกวาดสายตาไปรอบๆตึกอาคารเรียนรวม ก่อนมันจะนิ่งค้างแล้วชี้ไปตรงทิศทางสามนาฬิกา “นั่นไง...พี่คนนั้นก็พี่คนนั้นไง”
อยากจะด่ามันว่าพูดเหี้ยอะไรวะแต่เมื่อมองตามนิ้วที่มันชี้ก็ต้องอ้าปากค้างแล้วอุทานออกมา
“เหี้ย! สาบานเหอะว่านั่นคน”
“ก็คนดิวะ มึงเห็นพี่เขาเป็นแมลงวันบินได้ไง๊!?”
“แต่แมลงวันมันก็บินได้นะมึง” ผมสงสัยว่าไอ้ทิมมันไม่รู้หรือไงวะว่าแมลงวันเนี่ยมันบินได้นะเว้ย
“กูว่ามึงกำลังเริ่มหลงประเด็นอีกละห่าทาวน์”
“เออเนอะ”
ผมมองตามจนพี่คนนั้นหายลับเข้าไปในตัวตึกของอาคารเรียนรวม ในใจก็กู่ร้องว่า โอ้โห! โคตรพ่อโคตรแม่หล่อเลยโว้ย ตอนแรกผมก็คิดว่าตัวเองหล่อที่สุดในมหา’ลัยแล้วนะแต่พอมาเจอพี่คนนั้นที่ใครๆเขาพูดถึงกันถึงกับต้องยกตำแหน่งหล่อฉิบหายให้เลยครับแล้วไอ้ผมนี่ก็เสือกมองตาม ‘พี่คนนั้น’ ไปจนคอแทบเคล็ดเลยอ่ะครับจริงๆ
“เป็นไงมึง? อึ้งเลยดิ” ไอ้ทิมมันยิ้มถามแล้วมองผม
“เออดิวะ ดึงหน้าขนาดนั้นเขาไม่เมื่อยบ้างหรอวะ”
ผัวะ!!
ไอ้ห่าเอ๊ยตบมาได้ เจ็บฉิบ!
“อย่าเสียงดังดิสัด เดี๋ยวแฟนคลับพี่เขาก็มารุมกระทืบมึงหรอก”
“กูก็แค่สงสัยนี่หว่า”
ผมพูดพลางลูบหัวตัวเองป้อยๆ ทำหน้าบูดหน้าเบี้ยวเหมือนนมเปรี้ยวค้างคืนใส่ไอ้ทิมแต่เอ๊ะ!? นมเปรี้ยวค้างคืนแต่แช่ตู้เย็นมันก็ไม่เห็นจะบูดเลยนี่หว่า
ไอ้ทิมมันมองหน้าผมแล้วถามขึ้น “ทำหน้าอะไรของมึง?”
“หน้าหล่อ” ผมตอบด้วยความมั่นใจ
“ที่บ้านมึงไม่มีกระจกหรอ?”
“ส่องทุกวัน”
“แล้วทำไมมึงยังไม่รู้ตัว”
“ก็กูหล่อ”
ไอ้ทิมเพื่อนรักมันเงียบไป ก่อนจะค่อยๆก้าวห่างออกจากผมแล้วจากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นวิ่งหนีขึ้นตึกเรียนไปทันที
อะไรอ่ะ? ทำท่าทางอย่างกับเห็นผี
✿✿
“วันนี้อย่าลืมเข้าเชียร์คณะกันด้วยนะครับ พี่นัดสี่โมงเย็นที่ใต้อาคารนะครับ” หลังสิ้นเสียงประธานคณะ พวกเราชาวปีหนึ่งก็ส่งเสียงโหยหวนเหมือนวิญญาณที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย
“กูต้องเดินเกร็งตูดอีกแล้วหรอวะ”
หันไปมองไอ้ทิมแล้วทำหน้างงใส่มัน “ทำไมมึงต้องเกร็งตูดวะไอ้ทิม?”
“อ้าว เวลากูกดดันกูชอบตดนี่หว่า แล้วมึงดูเข้าห้องเชียร์แม่งโคตรเกร็งเลยเหอะ”
“เออจริง เกร็งจนตีนหงิกตีนงออ่ะ”
“มึงก็พูดไป” ไอ้ทิมมันว่าบ้าง
ผมเลยถามมันกลับ “หรือว่าไม่จริง?”
“โคตรจริงเลยสาดดดด”
ผมกับไอ้ทิมเดินคอตกกลับหอ สภาพไม่ต่างจากเพื่อนๆเท่าไหร่แค่นึกถึงหน้าโหดๆกับเสียงดุๆของพี่ระเบียบแล้วก็แทบอยากจะร้องไห้ ฮือออออ
พอถึงสี่โมงเย็นตามเวลานัดของพี่มอร์หรือที่ย่อมาจากsophomoreซึ่งเป็นเหล่าพี่ๆปีสองที่ต้องมาดูแลพวกผม เหล่าเด็กปีหนึ่งก็ทยอยกันมารอที่ใต้อาคาร ผมยืนรอทิมจนปวดขาก็ยังไม่เห็นมันโผล่หัวเน่าๆของมันมาให้เห็นสักที
“มาช้าขนาดนี้สงสัยตายแล้ว” ผมยืนบ่นอย่างเซ็งๆ ไอ้เพื่อนเวรมึงอย่าพึ่งหนีตายทิ้งกูนะเว้ย
“บ่นเหี้ยไรของมึง”
หันไปมองก็เห็นไอ้ทิมมันยืนหนาซีดอยู่ข้างหลัง “อ้าว? ยังไม่ตายหรอวะ”
“ตายอะไรมึงล่ะ กูท้องเสียเนี่ย” ไม่น่าล่ะถึงหน้าซีดๆ
“เอาไปซ่อมมาเหรอ”
“หาร้านยากนิดนึง ถุย!”
“ฮ่าๆๆๆ”
“กูหมายถึงขี้แตกไอ้ควาย”
“รู้แล้วน่า”
ผมตบบ่าเพื่อนเบาๆแต่ทำไมตบไปทีไอ้ทิมแทบทรุดอ่ะ เบาๆเองนะโว้ย
“ตบขนาดนี้มึงเกลียดกูใช่มั้ย ถามจริง”
“เฮ้ย! ทำไมรู้?” ผมทำท่าปิดปาก แอ็คติ้งว่าสิ่งที่ไอ้ทิมมันพูดคือเรื่องจริง
“จวยเหอะ” มันว่าแล้วชักตาใส่ผม ทำให้ผมต้องหัวเราะไปกับท่าทางแบบนั้นของมัน
ไม่นานนักก็หมดเวลาแห่งความสุขของผมเมื่อพี่มอร์พาเดินมาหน้าหอประชุมที่เราต้องเข้ากิจกรรมเชียร์
“สวัสดีครับนักศึกษาใหม่” เสียงของพี่ระเบียบดังไปทั่วบริเวณนั้นก่อนพวกเรานักศึกษาปีหนึ่งจะสวัสดีกลับ
“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”
เมื่อสิ้นสุดเสียงสวัสดีของพวกเราชาวปีหนึ่ง ทั้งบริเวณนั้นก็เงียบสงัด ขนนี่ลุกเกรียวเลยครับ หมายถึงไอ้ทิมน่ะดูท่าอาการท้องเสียมันจะกำเริบ
“ขออนุญาตครับ”ทิมยกมือขวาขึ้นตามระเบียบเชียร์พร้อมเปล่งเสียงที่ติดจะสั่นหน่อยๆ หลังจากนั้นพี่ระเบียบก็พยักหน้าให้มันเป็นเชิงบอกให้พูดได้ พอเห็นอย่างนั้นไอ้ทิมเพื่อนรักที่เหงื่อแตกพลั่กๆพร้อมกับขนลุกเป็นระยะๆก็เอ่ยขึ้น “ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำครับ”
“เชิญครับ”
ทิมเดินออกจากแถวไปพร้อมพี่ระเบียบอีกหนึ่งคน ผมใช้หางตามองเพื่อนที่เดินเกร็งๆ สงสัยมันคงเดินเกร็งตูดตามที่มันเคยบอกไว้อยู่แน่ๆ
หลังจากนั้นพี่ระเบียบก็ตรวจเครื่องแต่งกาย ตรวจเล็บ ตรวจผม ตรวจทุกอย่างที่ผิดระเบียบ
ผมเหลือบมองเพื่อนผู้หญิงข้างๆที่โดนเรียกออกไปเพราะถุงเท้าสั้นผิดระเบียบ เหลือบมองดูถุงเท้าเพื่อนผู้หญิงคนนั้นก็แทบหลุดอุทาน สาบานเหอะว่าสั้น นี้มันจะถึงเข่าแล้วนะโว้ยพี่ ทำไมโหดจังวะ?
แล้วดูนั่นโดนเรื่องเล็บอีก คือเล็บแทบจะกินเนื้อแล้วพี่ แบบนี้บ้านพี่เขาเรียกยาวรึไง โว้ะ!
“คุณ”
ผมสะดุ้ง ก่อนจะเหลือบตาไปมองพี่ระเบียบที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ค...ครับ”
“ผมอนุญาตให้เช็ดเหงื่อครับ”
“ข...ขอบคุณครับ”
ผมยกมือปาดเหงื่อบนหน้าตัวเอง สัมผัสได้ว่าเยอะกว่าน้ำที่หออีกเอาจริงๆ นี่ก็คิดว่าตัวเองไม่ได้กลัวหรือกดดันอะไรขนาดนั้นนะเว้ยแต่เสื้อผมเปียกไปหมดแล้วเนี่ย
เมื่อตรวจทุกอย่างหมดแล้ว พี่ระเบียบก็เดินนำพวกเราเด็กปีหนึ่งขึ้นไปยังห้องประชุมเพื่อเริ่มกิจกรรมเชียร์คณะ
✿✿
“อีเหี้ย โดนสูบพลังไปหมดแล้วกู” ผมพูดอย่างคนหมดแรง
ไอ้ทิมมันก็พูดสมทบขึ้นมาอีก “เออ แต่กูไม่เข้าใจทำไมพี่ต้องตะโกนเสียงดังอ่ะ เขาเจ็บคอกันบ้างป่ะวะ?”
“นั่นดิ แล้วคือพี่เกร็งหน้าจนกูต้องเกร็งตามอ่ะ”
“เกร็งกันทั้งห้องล่ะวะ”
ผมกับไอ้ทิมนั่งบ่นหลังจากกิจกรรมเชียร์คณะจบลงตอนหนึ่งทุ่มตรง นักศึกษาแยกย้ายกันกลับไปเติมพลังที่หอหมดแล้ว ส่วนผมสองคนยังคงเดินเตร็ดเตร่ในมหา’ลัยเพราะยังไม่อยากกลับหอถึงแม้จะโดนสูบพลังงานไปเกือบหมดก็เถอะแต่บรรยากาศในมหา’ลัยก็ช่วยเติมพลังได้ดีเหมือนกัน
“เออมึง!!”
ผมหันไปมองเพื่อนรักอย่างไอ้ทิมมันงงๆ อยู่ดีๆก็พูดขึ้นมาเสียงดังทำเอาหัวหดตดหายหมด “อะไรวะ”
“กูลืมบัตรเอทีเอ็มไว้ที่ตู้เมื่อกี้อ่ะ ฉิบหายมั้ยล่ะไอ้สัด” ไอ้ทิมมันสบถอย่างหัวเสีย
“ไม่หรอก มึงไม่มีเงินอยู่แล้ว” ผมว่าหน้าตาย
“จวยเหอะ กูไปเอาแป๊บนึง มึงรออยู่นี่แหละ”
“เออๆ”
“ถ้าเหงาก็หาไส้เดือนแถวนั้นเล่นไปก่อน”
“จับแดกให้หมดเลย ถุย!” ผมว่าอย่างประชดแต่ไอ้ทิมมันกลับหัวเราะลั่น
“ฮ่าๆๆๆ”
ผมขว้างใบไม้ใส่ไอ้ทิมที่ไม่วายหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผมก่อนมันจะวิ่งลิ่วหายไปใต้ตึกอาคาร
มหา’ลัยตอนนี้ก็ค่อนข้างวังเวงนิดหน่อย อ่า...คงไม่นิดอ่ะโคตรวังเวงเหอะไม่รู้จะประหยัดไฟไปถึงไหน สงสัยมหา’ลัยคงใช้นโยบายประหยัดไฟล่ะมั้งครับ
ผมลูบแขนตัวเองป้อยๆเมื่อจู่ๆลมก็พัดมาวูบหนึ่ง มองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กหวังว่าจะไม่มีอะไรโผล่มาตอนนี้หรอกนะ
ปัง!!
“เหี้ยๆๆๆๆ ตายแน่ๆกู”
ผมยกมือขึ้นไหว้เหนือหัวเมื่อได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้นเสียงดัง ในใจก็สวดมนตร์รวมกันไปหลายบทแต่ก็ไม่จบมันสักบท
“นี่”
ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงที่ดังขึ้นจากข้างหลัง หลับตาปี๋และยกมือไหว้ขึ้นท่วมหัว “อย่ามาหลอกหลอนกันเลยค้าบบบบบ”
“ไอ้เหี้ยทาวน์”
“โอ๊ยกลัวแล้วโว้ยยยยย” ไอ้ผีบ้านี่ทำไมตามรังควาญจังเลยวะ
“กลัวอะไรของมึง กูทิมเอง”
“ทิมพ่องสิ เป็นผีขี้โกหกไงวะ” ผมด่ามันกลับ
“โอ๊ยไอ้ควายเอ๊ย ลืมตามามองหน้ากูนี่ เร็ว!”
ผมหรี่ตามองไอ้ผีที่อ้างตัวเป็นไอ้ทิม อ่า...หน้าเหี้ยๆแบบนี้ไอ้ทิมเพื่อนรักแน่นอน
“มึงจริงดิ?” ผมมองมันอย่างสำรวจ เอามือไปจิ้มๆแตะๆมันเสมือนมันเป็นขี้ ไอ้ทิมมันคงรำคาญเลยเขกกบาลผมเข้าไปหนึ่งที นั่นล่ะผมถึงได้เชื่อมัน
“เออสิวะ”
ขวัญเอ๊ยขวัญมา กลับมาเร็วๆสิโว้ยไอ้ขวัญ
“ละ...แล้วเสียงเมื่อกี้ เหี้ยเมื่อกี้กูโดนผีหลอก”
“ผีที่ไหนของมึง ถ้าไอ้เสียงดังปังล่ะก็ คือเมื่อกี้กูเดินเตะถังขยะเฉยๆ”
“อ้าว?” ผมโคตรงง แล้วไอ้เมื่อกี้ที่กลัวจนหัวหดนี่คือผมกลัวเสียงเตะถังขยะของไอ้ทิมมันงี้?
“ไม่ต้องมาอ้าว ไปๆกินข้าวกัน”
“ไอ้ห่า”
จากนั้นมันก็ลากผมแถ่ดๆไม่สนใจเสียงก่นด่าที่เปล่งออกมาจากปากผมเลยสักนิด
✿✿
ผมเดินโวยวายใส่ไอ้ทิมเพื่อนรักจนมาถึงร้านขายสเต็กที่เป็นแบบคาเฟ่หลังมหา’ลัย พอมาถึงหน้าร้านเราก็หยุดมองสำรวจร้านกันพอสังเขป
“ทำไมร้านมันเงียบจังวะ” ไอ้ทิมมันหันมาถามผม
“นั่นดิ” ผมก็พยักหน้าเห็นด้วยไปกับมัน
“คนน้อยแบบนี้สงสัยไม่อร่อย”
เราสองคนบ่นพึมพำหลังจากเข้ามานั่งในร้านแล้วเรียบร้อย บรรยากาศทั้งร้านเงียบกริบแถมโต๊ะยังว่างทุกโต๊ะอีกถ้าเดินออกไปจากร้านตอนนี้จะทันมั้ยครับ
“พวกมึงสองคนว่าไงนะ?”
“ก็คนน้อยแบบนี้อาหารต้องไม่อร่อยน่ะสิ....วะ”
เราสองคนหันไปมองคนถามก่อนจะเบิกตากว้าง ห...เหี้ย นั่นมีด
“กูให้มึงพูดอีกที” คนมาใหม่ที่มาพร้อมมีดเอ่ยถามผมสองคนอีกครั้ง
ท่าทางแบบนี้ ใสผ้ากันเปื้อนมาพร้อมมีดแบบนี้...
“เจ้าของร้านเหรอวะ!”
“เออ” ฮืออ อย่าทำเสียงอย่างนั้นในขณะที่เฮียถือมีดอยู่ได้โปรดเถอะคร้าบบบ
ผมสองคนส่งยิ้มหวานแบบที่กลัวมีดสเต็กจะแทงตาย ก่อนจะรีบขอเมนูจากเฮียแกที่จ้องพวกผมสองคนเขม็ง
พอเฮียแกยื่นเมนูมาให้ พวกผมก็แทบกราบขอบคุณแนบอก
“น่าอร่อยทุกเมนูเลยเนอะ” ผมชี้เมนูให้ไอ้ทิมมันดู
“เนอะๆ เลือกไม่ถูกเลย”
ผมกับไอ้ทิมเลือกเมนูไปชื่นชมร้านสเต็กเฮียไปด้วย โห...ยิ้มหน้าบานเลยครับเฮีย
“ผมเอาสเต็กซี่โครงหมูพริกไทยดำครับ” ผมสั่ง
“ของผมเอาเหมือนมันที่หนึ่งแล้วก็เอานักเก็ตชุดหนึ่งครับ”
“คิดเองไม่เป็นหรอ กินตามกูอ่ะ”
“เสือก”
“แค่นี้ใช่มั้ย? นั่งรอก่อนก็แล้วกัน” สงสัยเฮียแกคงเริ่มรำคาญพวกผมที่ตีกันอยู่เลยรีบๆตัดบท
“คร้าบบบบบบบ”
หลังจากดูจนแน่ใจว่าเฮียแกเข้าไปทำสเต็กแล้วพวกผมก็เปิดปากนินทาร้านเฮียและเฮียอีกครั้ง
“ทำไมเฮียแกหล่อจังวะ” ผมหันไปถามไอ้ทิม
“นี่มึงไม่รู้จักเฮียแกหรอวะ”
“จำเป็นหรอ”
“งั้นกูไม่บอก”
“กูว่าจำเป็นแหละ เนอะๆเพื่อนทิม”
ไอ้ทิมทำหน้าตาขี้เหร่ใส่ผม ก่อนจะเปิดปากพูด “ก็เนี่ยพี่เตอร์เพื่อนของพี่คนนั้นที่เขาพูดถึงกันนั่นแหละ”
“จริงดิ?”
“เออ หล่อทั้งกลุ่มอ่ะกูบอกเลย”
“ตอนเป็นเพื่อนกันเขาคัดหน้าตาป่ะวะ แบบประกวดกันงี้” ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่ากลุ่มที่มีแต่คนหล่อๆนี่มันมาเป็นเพื่อนกันได้ไงวะ
“ใช่ม้ะ แต่มึงกับกูนี่คือแบบไม่มีใครคบก็เลยต้องจำยอมมาคบกันเอง”
“ทำไมชีวิตเศร้าจังวะ”
“ถ้าเลือกได้กูก็ไม่เลือกมึงหรอกทาวน์”
“เหมือนกัน”
แล้วเราก็นั่งทำหน้าเศร้ากันจนเฮียเตอร์เอาสเต็กมาเสิร์ฟ คือแบบ...ต้องจริงจังเบอร์นั้นเลย?
“เป็นอะไรกันอีกน่ะพวกมึง เมื่อกี้ยังทะเลาะกันอยู่เลย ตอนนี้ชีวิตเริ่มเศร้าแล้วหรอ”เฮียเตอร์วางจานสเต็กตรงหน้าพวกผมแล้วเอ่ยถาม
ผมกับทิมมองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจใส่กันและเป็นไอ้ทิมที่เป็นคนตอบคำถามพี่เตอร์
“พวกผมแม่งเศร้าที่เราเป็นเพื่อนกัน”
“ห้ะ?” เฮียเตอร์ทำหน้างง อึกอักเหมือนอยากจะถามว่าเหี้ยอะไรของพวกมึงวะ ผมเลยต้องเป็นคนอธิบายต่อ
“ก็ผมกับมันนั่งนินทาเฮียเมื่อกี้ใช่ป่ะ แล้วพอคิดว่าเฮียมีเพื่อนหล่อทั้งกลุ่มอ่ะก็เลยมาคิดว่าคัดหน้าตาเข้ากลุ่มกันหรือเปล่า อีกเรื่องก็แบบทำไมผมกับมันต้องมาเป็นเพื่อนกันด้วยวะอะไรงี้แหละเฮีย”
“อ่ะ...พวกมึงนี่”
“แต่คือจะให้เลิกคบก็ไม่ได้แล้วอ่ะ หลวมตัวไปนานแล้ว ขี้เกียจหาเพื่อนใหม่แล้วด้วย” ไอ้ทิมก็เป็นคนพูดเสริมขึ้นมา
“ห้ะ?” เฮียทำหน้างงแรงมากจริงๆครับตอนนี้
ผมพยักหน้ายืนยันสิ่งที่ผมและไอ้ทิมพูดทั้งหมดว่านั่นน่ะคือเรื่องจริงครับเฮีย “ใช่ครับ พวกผมก็เลยมานั่งเศร้ากันอยู่นี่ไง”
“อ่า...พวกมึงก็ประหลาดเหมือนกันดี”
“ครับ”
ผมสองคนตอบรับหน้าตายก่อนจะจิ้มสเต็กเข้าปากพร้อมกัน เฮียเตอร์มองพวกผมซ้ายทีขวาทีก่อนจะถอนหายใจแล้วทำหน้าซังกะตาย
“พวกมึงเป็นเพื่อนกันนั่นแหละดีแล้ว กินให้อร่อยกูไปเตรียมครัวก่อนจะสองทุ่มแล้ว”
“อ้าว เฮียเปิดร้านสองทุ่มเหรอครับ?” ไอ้ทิมมันถามอย่างสงสัย
“เปล่าหรอก จริงๆเปิดตั้งแต่ห้าโมงเย็นแล้วล่ะแต่สองทุ่มร้านจะวุ่นวายนิดหน่อย”
เป็นคราวที่ผมต้องสงสัยขึ้นมาบ้าง “ทำไมอ่ะครับ?”
“คอยดูละกัน”
ผมกับไอ้ทิมมองหน้ากันก่อนจะหันไปมองหน้าเฮียเตอร์ที่เดินหัวเราะเข้าไปในครัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สองทุ่มทำไมวะ? อยากรู้เลยเนี่ย!
“กี่โมงแล้ววะ?” หันไปถามไอ้ทิมเพื่อนรักที่ยังคงหั่นสเต็กกินด้วยหน้าชื่นตาบาน
“ทุ่มครึ่ง”
“ตอนไหนจะสองทุ่มวะ”
“รีบหรอ”
“เอออยากรู้แล้ว”
“เดี๋ยวกูจะปรับนาฬิกาให้”
“จวย”
พวกผมนั่งละเลียดเนื้อสเต็กไปช้าๆพร้อมกับดูนาฬิกาเป็นระยะๆ ที่จริงสเต็กร้านเฮียเตอร์ก็อร่อยนะ อร่อยมากๆเลยแหละ
“มึงสองทุ่มแล้ว” ไอ้ทิมร้องบอกแต่ในร้านก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่หว่า
ผมเลยหันมองไปรอบๆก่อนสายตาจะไปหยุดตรงประตูหน้าร้าน “เหี้ย ทำไมคนกรูเข้ามาเยอะงี้วะ”
“นั่นดิ”
ผมมองเหล่านักศึกษาที่เดินกรูเข้ามาจับจองพื้นที่ในร้านจนเต็มทุกโต๊ะแตกต่างจากตอนแรกที่ผมเข้ามาในร้านเลย
ผมหันไปมองผู้หญิงโต๊ะข้างๆก่อนจะถามเธอขึ้นเบาๆ “ทำไมคนถึงมาพร้อมกันตอนนี้อ่ะครับ มีงานอะไรรึป่าวครับ”
“ไม่หรอกจ้าแต่เวลานี้พี่เขาจะเข้าร้านน่ะ”
พี่ไหนวะ? นั่นคือสิ่งที่ผมคิดหลังจากที่ได้ยินคำตอบของเธอ
ผมนั่งทำหน้ามึน บางคนอาจจะมองว่าหน้าโง่
“นั่นไงจ้ะ กรี๊ดดด”
เธอชี้ไปยังทิศทางหนึ่งก่อนจะหวีดร้องเบาๆ หันไปมองโต๊ะอื่นก็มีท่าทางเหมือนกันไปหมดเลย หวีดแบบเก็บเสียงหรอวะนั่น ทรมานน่าดู
“มึงพี่คนนั้น”
ผมหันไปมองไอ้ทิมเพื่อนรัก “พี่คนไหนวะ?”
“คนนั้นอ่ะ”
“คนไหนวะสัด”
“พี่คนนั้นที่มึงถามถึงเมื่อเช้าไง กรี๊ดด”
เดี๋ยวๆ ไอ้เสียงหวีดตอนจบประโยคนี้มันใช่หรอทิม ผมมองเพื่อนที่เอาส้อมมาแทะๆแล้วทำท่าหวีดเหมือนพวกสาวๆในร้านก็อยากจะเอาหน้ามุดดิน
นี่มันไม่ใช่เพื่อนกู!
ผมหันไปมองตามสายตาของคนทั้งร้านก่อนจะเจอต้นเหตุของเสียงหวีดร้องเบาๆของทุกคน ผู้ชายร่างสูง น่าจะสูงเท่าต้นไม้หน้ามหา’ลัย ผิวขาว ตาเข้ม ผมดำ ปากกระจับเว่อวัง หุ่นดี๊ดี พอดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกินนนน
ไม่แปลกใจเลยทำไมคนถึงหวีดกันรวมถึงเพื่อนรักของผมที่นั่งกัดจาน กรอดๆแล้ว
หล่อฉิบหาย! แต่หน้าหยิ่งโคตรอ่ะ เกร็งหน้าตามเลยเนี่ย
“อ้าวมาแล้วเหรอไอ้คิน?” เสียงเฮียเตอร์ทักขึ้นตอนที่เดินออกมาแล้วเจอเพื่อนตัวเองที่เดินเข้ามาในร้าน
“อือ” เสียงก็โคตรเพราะเลยครับ
10 10 ไปเลยจ้าาาาาาา
ผมมองเขาแบบเคลิ้มๆ หล่อจังเลยโว้ย คนเหี้ยไรเนี่ย!?
“มองไรไอ้เตี้ย?”
เดี๋ยวนะ เดี๋ยวๆ คือคนก็มองพี่มึงกันทั้งร้านมั้ยอ่ะ ทำไมประเด็นมันตกมาอยู่ที่ผมล่ะครับ
เงยหน้ามองคนที่จู่ๆก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าผมงงๆ “คนเขาก็มองพี่ทั้งร้านอ่ะ”
เขากวาดตามองไปรอบร้านก่อนที่สายตานั้นจะมาหยุดลงตรงที่ผมอีกครั้ง “เหรอ?”
“เออดิ”
สาบานว่าพี่มันไม่รู้อ่ะ หล่อแล้วยังจะโง่อีก
“แล้วมึงมองกูทำไมไอ้เตี้ย?”
“อ้าว ก็มองตามคนอื่นไงครับ”
“เหรอ?” พูดไม่พอยังจะเลิกคิ้วทำหน้าหล่อใส่อีก โว๊ะ!
“เออดิครับ”
ทำไมผมกับเขาต้องมาพูดประโยคซ้ำๆกันแบบนี้ด้วยวะครับ
“ยังไม่เลิกมองกูอีกไอ้เตี้ย”
“ไม่มองก็ได้แม่ง” ว่าจบก็หันหน้าหนีไปทางอื่น
“หึ”
“แล้วผมก็ไม่ได้ไปเตี้ยบนหัวพี่ด้วย” ผมพูดทั้งที่ไม่ได้มองหน้าเขา
“อ้าวหรอ?”
ผมหันไปชักตาใส่เขา ตั้งการ์ดพร้อมต่อยแต่ดีนะที่ไอ้ทิมเพื่อนรักห้ามไว้ก่อนไม่งั้นมีคนได้แผลกลับไปแน่ๆ
“ใจเย็นโว้ยมึง”
“ก็มันกวนตีน”
“มึงไม่เห็นแฟนคลับพี่เขาหรอเต็มร้านเลยเนี่ย”
“ทำไม?”
“เดี๋ยวมึงก็โดนรุมกระทืบสิวะไอ้ฟาย”
ผมทำหน้าบึ้งใส่ไอ้ทิม มันส่ายหน้าหน่ายก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์กับเฮียเตอร์
ผมนั่งรอมันที่โต๊ะเซ็งๆ
หน้าหล่อแต่ปากหมากรี๊ดเข้าไปได้ไงก็ไม่รู้!
“ทำหน้าอะไรของมึง?”
อ้าว? นี่ยังไม่ไปอีกหรอวะ!?
หันไปมองคนที่หย่อนก้นลงนั่งข้างๆก่อนจะเชิดหน้าหนี เหมือนละครที่แม่ดูเวลาพระรองงอนพระเอกเลยเว้ย ไม่ใช่ละๆ
“เรื่องของหน้าผม”
“เหรอ?”
“ยุ่งจังวะ”
“หน้ามึงอ่ะนะ”
“พี่อ่ะยุ่งกับผมจังวะ ไปเลย ชิ้วๆ”
ผมโบกมือไล่ เขาหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นยืนไม่วายยังพูดทิ้งท้ายแบบที่ทำให้ผมอยากเอาเท้าไปประดับไว้บนหน้าเขาเลยล่ะ
“ทำหน้าอย่างกับควาย”
แต่ดีที่ไอ้ทิมห้ามไว้ ไม่งั้นล่ะมึงเอ๊ยยย!! ต้องขอบคุณไอ้ทิมจริงๆที่ช่วยห้ามผมไว้ทันตลอด ไม่งั้นพี่มันหน้าแหกไปแล้ว
เหอะ!
✿✿
TBC...
ติดแท็ก #นิยายเขาว่ากันว่า ได้นะค้าา
ติดตามข่าวสารได้ที่
twitterfacebook