{ฉบับ Rewrite} ➤➤เขาว่ากันว่า....✿✿ ตอนที่10 17.11.61 อัพ!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {ฉบับ Rewrite} ➤➤เขาว่ากันว่า....✿✿ ตอนที่10 17.11.61 อัพ!  (อ่าน 2818 ครั้ง)

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






เขาว่ากันว่า....


*****เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราเคยลงจนจบแล้วแต่ด้วยภาษาและคำผิดเราเลยทำการรีไรท์ใหม่ค่ะและจะมาลงให้ทุกวันนะคะ*****






INTRO

          เขาว่ากันว่า....

          เป็นคำที่ผมได้ยินบ่อยที่สุดตั้งแต่เข้าปีหนึ่งจนตอนนี้เป็นเด็กปีหนึ่งไปสามอาทิตย์แล้วยังคงได้ยินไอ้คำว่าเขาว่ากันว่าอยู่เลย

 

          เขาว่ากันว่าพี่คนนั้นทั้งหล่อ ทั้งรวย

          เขาว่ากันว่าพี่คนนั้นโคตรหยิ่ง

          เขาว่ากันว่าพี่คนนั้นชอบฟันแล้วทิ้ง

          และอีกสารพัดที่เขาจะว่ากัน

 

          อืม...ชักจะอยากรู้เหมือนกันว่าไอ้เขาที่ว่านั่นมันเป็นใครทำไมรู้เรื่องชาวบ้านเยอะจัง






TBC...
 
ติดแท็ก #นิยายเขาว่ากันว่า ได้นะค้าา

ติดตามข่าวสารได้ที่
twitter
facebook

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2018 22:01:23 โดย ฟองดูว์ »

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3

ตอนที่1




เขาว่ากันว่า...



คำๆนี้เป็นคำที่ผมได้ยินบ่อยที่สุดตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาเป็นเด็กนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งและจนตอนนี้ผมก็กลายเป็นเด็กปีหนึ่งไปตั้งสามอาทิตย์แล้ว ผมก็ยังคงได้ยินไอ้คำว่า ‘เขาว่ากันว่า’ อยู่เลย



ถ้าทุกคนยังนึกไม่ออกว่า ‘เขา’ ว่าอะไรกันบ้าง ผมจะยกตัวอย่างให้ดูนะครับ



‘เขาว่ากันว่า...พี่คนนั้นทั้งหล่อและรวย’



‘เขาว่ากันว่า...พี่คนนั้นโคตรหยิ่ง’



‘เขาว่ากันว่า...พี่คนนั้นชอบฟันแล้วทิ้ง’




และอีกสารพัดที่เขาจะว่ากัน



อืม...ผมชักจะสงสัยและอยากรู้เหมือนกันว่าไอ้ ‘เขา’ ที่ว่านั่นน่ะเป็นใครกัน ทำไมถึงได้รู้เรื่องชาวบ้านมากมายขนาดนั้นวะ



นี่ผมไม่ได้จะด่าเขาว่าเสือกหรือชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอะไรเลยนะ ผมก็แค่อยากรู้จักว่าไอ้ ‘เขา’ นั่นน่ะเป็นใครก็เท่านั้น



แล้วอีกเรื่องที่ผมอยากรู้ก็คือ ‘พี่คนนั้น’ ที่เขาพูดถึงกันเยอะๆคือใคร ทำไมถึงมีอิทธิพลขนาดคนอื่นต้องอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเขาด้วยวะครับ เป็นดาราหรือลูกอธิการบดีหรืออะไรอ่ะ ทำไมถึงได้ดังขนาดที่คนเขาต้องพูดถึงกันด้วย อีกอย่างถ้า ‘พี่คนนั้น’ ดังขนาดนั้นแล้วทำไมผมถึงไม่รู้จักล่ะ?



อย่าด่าผมว่าเสือกหรืออยากรู้เรื่องชาวบ้านเลยครับ จริงๆผมไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกนะ เพียงแค่อยากรู้ความเป็นไปในแวดวงสังคมของมหาวิทยาลัยของตัวเองก็เท่านั้นเองครับ



โธ่ๆ เชื่อผมเถอะ ถึงแม้หน้าตาผมจะดูเหมือนคนชอบเผือกเรื่องชาวบ้านก็ตาม...



“มึงว่าไอ้เขาที่พูดๆกันเนี่ย มันใครวะ? มึงรู้จักป่ะ?” หันไปถามเพื่อนรักอย่างไอ้ทิมที่ยืนอยู่ข้างๆผมตอนนี้ ไอ้นี่มันเป็นทั้งเพื่อนรักและเป็นเสมือนกูเกิ้ลเคลื่อนที่ของผมเลยล่ะครับ อยากรู้อะไรก็แค่เพียงถามมัน แล้วข้อมูลทุกอย่างก็จะออกมาจากปากของทิมเกิ้ลทุกอย่างเลย



โคตรเจ๋ง!



มันยืนประมวลผลคำที่ผมต้องการอยากรู้ ไม่นานทิมเพื่อนรักก็เปล่งเสียงของมันออกมา “ก็คนทั้งมหา’ลัยนั่นแหละ มันก็แค่คำเกริ่นที่คนเขาเอาไปพูดต่อๆกันเพื่อเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น  เหมือนมึงตอนนี้ไง”



“อ๋อ” พยักหน้าเข้าใจและเคลียร์ไปแล้วหนึ่งประเด็นแต่ยังคงเหลืออีกประเด็นที่ผมยังคงอยากรู้ “แล้วพี่คนนั้นที่เขาพูดๆกันล่ะวะเป็นใคร กูได้ยินเขาพูดถึงกันเยอะฉิบหาย”



ไอ้ทิมมันมองหน้าผมและทำปากขมุบขมิบด่าผมว่าโง่ “มึงไปมุดในซอกขาหนีบใครมาวะห่าทาวน์ ทำไมถึงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาเลย”



“ซอกขาหนีบมึงมั้ง ดำฉิบหาย”



“เดี๋ยวนะๆ มึงไม่ควรเอาเรื่องจริงมาพูดในที่สาธารณะแบบนี้เพื่อนรัก” มันมองซ้ายแลขวาคงกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินความจริงที่ไอ้ทิมมันปิดบังมาสิบๆปี



“นี่ขาหนีบมึงดำจริงดิ?” ผมทำท่าป้องปากกระซิบแต่จริงๆเสียงดังไปถึงอีกคณะนู่นแหละ



“อ่ะๆ กูว่าเรากำลังเริ่มหลงประเด็น” มันปัดๆเรื่องมันทิ้งจะได้ไม่ต้องอายไปมากกว่านี้แล้วกลับเข้าเรื่องที่ผมอยากรู้ต่อ



“เออว่ะ โทษทีๆเรื่องขาหนีบมึงก็น่าสนใจนี่หว่า เออแล้วสรุปพี่คนนั้นเขาเป็นใครวะ?”



มันกวาดสายตาไปรอบๆตึกอาคารเรียนรวม ก่อนมันจะนิ่งค้างแล้วชี้ไปตรงทิศทางสามนาฬิกา “นั่นไง...พี่คนนั้นก็พี่คนนั้นไง”



อยากจะด่ามันว่าพูดเหี้ยอะไรวะแต่เมื่อมองตามนิ้วที่มันชี้ก็ต้องอ้าปากค้างแล้วอุทานออกมา




“เหี้ย! สาบานเหอะว่านั่นคน”



“ก็คนดิวะ มึงเห็นพี่เขาเป็นแมลงวันบินได้ไง๊!?”



“แต่แมลงวันมันก็บินได้นะมึง” ผมสงสัยว่าไอ้ทิมมันไม่รู้หรือไงวะว่าแมลงวันเนี่ยมันบินได้นะเว้ย



“กูว่ามึงกำลังเริ่มหลงประเด็นอีกละห่าทาวน์”



“เออเนอะ”



ผมมองตามจนพี่คนนั้นหายลับเข้าไปในตัวตึกของอาคารเรียนรวม ในใจก็กู่ร้องว่า โอ้โห! โคตรพ่อโคตรแม่หล่อเลยโว้ย ตอนแรกผมก็คิดว่าตัวเองหล่อที่สุดในมหา’ลัยแล้วนะแต่พอมาเจอพี่คนนั้นที่ใครๆเขาพูดถึงกันถึงกับต้องยกตำแหน่งหล่อฉิบหายให้เลยครับแล้วไอ้ผมนี่ก็เสือกมองตาม ‘พี่คนนั้น’ ไปจนคอแทบเคล็ดเลยอ่ะครับจริงๆ



“เป็นไงมึง? อึ้งเลยดิ” ไอ้ทิมมันยิ้มถามแล้วมองผม



“เออดิวะ ดึงหน้าขนาดนั้นเขาไม่เมื่อยบ้างหรอวะ”



ผัวะ!!



ไอ้ห่าเอ๊ยตบมาได้ เจ็บฉิบ!



“อย่าเสียงดังดิสัด เดี๋ยวแฟนคลับพี่เขาก็มารุมกระทืบมึงหรอก”



“กูก็แค่สงสัยนี่หว่า”



ผมพูดพลางลูบหัวตัวเองป้อยๆ ทำหน้าบูดหน้าเบี้ยวเหมือนนมเปรี้ยวค้างคืนใส่ไอ้ทิมแต่เอ๊ะ!? นมเปรี้ยวค้างคืนแต่แช่ตู้เย็นมันก็ไม่เห็นจะบูดเลยนี่หว่า



ไอ้ทิมมันมองหน้าผมแล้วถามขึ้น “ทำหน้าอะไรของมึง?”



“หน้าหล่อ” ผมตอบด้วยความมั่นใจ



“ที่บ้านมึงไม่มีกระจกหรอ?”



“ส่องทุกวัน”



“แล้วทำไมมึงยังไม่รู้ตัว”



“ก็กูหล่อ”



ไอ้ทิมเพื่อนรักมันเงียบไป ก่อนจะค่อยๆก้าวห่างออกจากผมแล้วจากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นวิ่งหนีขึ้นตึกเรียนไปทันที



อะไรอ่ะ? ทำท่าทางอย่างกับเห็นผี



✿✿



“วันนี้อย่าลืมเข้าเชียร์คณะกันด้วยนะครับ พี่นัดสี่โมงเย็นที่ใต้อาคารนะครับ” หลังสิ้นเสียงประธานคณะ พวกเราชาวปีหนึ่งก็ส่งเสียงโหยหวนเหมือนวิญญาณที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย



“กูต้องเดินเกร็งตูดอีกแล้วหรอวะ”



หันไปมองไอ้ทิมแล้วทำหน้างงใส่มัน “ทำไมมึงต้องเกร็งตูดวะไอ้ทิม?”



“อ้าว เวลากูกดดันกูชอบตดนี่หว่า แล้วมึงดูเข้าห้องเชียร์แม่งโคตรเกร็งเลยเหอะ”



“เออจริง เกร็งจนตีนหงิกตีนงออ่ะ”



“มึงก็พูดไป” ไอ้ทิมมันว่าบ้าง



ผมเลยถามมันกลับ “หรือว่าไม่จริง?”



“โคตรจริงเลยสาดดดด”



ผมกับไอ้ทิมเดินคอตกกลับหอ สภาพไม่ต่างจากเพื่อนๆเท่าไหร่แค่นึกถึงหน้าโหดๆกับเสียงดุๆของพี่ระเบียบแล้วก็แทบอยากจะร้องไห้ ฮือออออ



พอถึงสี่โมงเย็นตามเวลานัดของพี่มอร์หรือที่ย่อมาจากsophomoreซึ่งเป็นเหล่าพี่ๆปีสองที่ต้องมาดูแลพวกผม  เหล่าเด็กปีหนึ่งก็ทยอยกันมารอที่ใต้อาคาร ผมยืนรอทิมจนปวดขาก็ยังไม่เห็นมันโผล่หัวเน่าๆของมันมาให้เห็นสักที



“มาช้าขนาดนี้สงสัยตายแล้ว” ผมยืนบ่นอย่างเซ็งๆ ไอ้เพื่อนเวรมึงอย่าพึ่งหนีตายทิ้งกูนะเว้ย



“บ่นเหี้ยไรของมึง”



หันไปมองก็เห็นไอ้ทิมมันยืนหนาซีดอยู่ข้างหลัง “อ้าว? ยังไม่ตายหรอวะ”



“ตายอะไรมึงล่ะ กูท้องเสียเนี่ย” ไม่น่าล่ะถึงหน้าซีดๆ



“เอาไปซ่อมมาเหรอ”



“หาร้านยากนิดนึง ถุย!”



“ฮ่าๆๆๆ”



“กูหมายถึงขี้แตกไอ้ควาย”



“รู้แล้วน่า”



ผมตบบ่าเพื่อนเบาๆแต่ทำไมตบไปทีไอ้ทิมแทบทรุดอ่ะ เบาๆเองนะโว้ย



“ตบขนาดนี้มึงเกลียดกูใช่มั้ย ถามจริง”



“เฮ้ย! ทำไมรู้?” ผมทำท่าปิดปาก แอ็คติ้งว่าสิ่งที่ไอ้ทิมมันพูดคือเรื่องจริง



“จวยเหอะ” มันว่าแล้วชักตาใส่ผม ทำให้ผมต้องหัวเราะไปกับท่าทางแบบนั้นของมัน



ไม่นานนักก็หมดเวลาแห่งความสุขของผมเมื่อพี่มอร์พาเดินมาหน้าหอประชุมที่เราต้องเข้ากิจกรรมเชียร์



“สวัสดีครับนักศึกษาใหม่” เสียงของพี่ระเบียบดังไปทั่วบริเวณนั้นก่อนพวกเรานักศึกษาปีหนึ่งจะสวัสดีกลับ



“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”



เมื่อสิ้นสุดเสียงสวัสดีของพวกเราชาวปีหนึ่ง ทั้งบริเวณนั้นก็เงียบสงัด ขนนี่ลุกเกรียวเลยครับ หมายถึงไอ้ทิมน่ะดูท่าอาการท้องเสียมันจะกำเริบ



“ขออนุญาตครับ”ทิมยกมือขวาขึ้นตามระเบียบเชียร์พร้อมเปล่งเสียงที่ติดจะสั่นหน่อยๆ  หลังจากนั้นพี่ระเบียบก็พยักหน้าให้มันเป็นเชิงบอกให้พูดได้ พอเห็นอย่างนั้นไอ้ทิมเพื่อนรักที่เหงื่อแตกพลั่กๆพร้อมกับขนลุกเป็นระยะๆก็เอ่ยขึ้น “ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำครับ”



“เชิญครับ”



ทิมเดินออกจากแถวไปพร้อมพี่ระเบียบอีกหนึ่งคน ผมใช้หางตามองเพื่อนที่เดินเกร็งๆ สงสัยมันคงเดินเกร็งตูดตามที่มันเคยบอกไว้อยู่แน่ๆ



หลังจากนั้นพี่ระเบียบก็ตรวจเครื่องแต่งกาย ตรวจเล็บ ตรวจผม ตรวจทุกอย่างที่ผิดระเบียบ



ผมเหลือบมองเพื่อนผู้หญิงข้างๆที่โดนเรียกออกไปเพราะถุงเท้าสั้นผิดระเบียบ เหลือบมองดูถุงเท้าเพื่อนผู้หญิงคนนั้นก็แทบหลุดอุทาน สาบานเหอะว่าสั้น นี้มันจะถึงเข่าแล้วนะโว้ยพี่ ทำไมโหดจังวะ?



แล้วดูนั่นโดนเรื่องเล็บอีก คือเล็บแทบจะกินเนื้อแล้วพี่ แบบนี้บ้านพี่เขาเรียกยาวรึไง โว้ะ!



“คุณ”



ผมสะดุ้ง ก่อนจะเหลือบตาไปมองพี่ระเบียบที่ยืนอยู่ข้างๆ



“ค...ครับ”



“ผมอนุญาตให้เช็ดเหงื่อครับ”



“ข...ขอบคุณครับ”



ผมยกมือปาดเหงื่อบนหน้าตัวเอง สัมผัสได้ว่าเยอะกว่าน้ำที่หออีกเอาจริงๆ นี่ก็คิดว่าตัวเองไม่ได้กลัวหรือกดดันอะไรขนาดนั้นนะเว้ยแต่เสื้อผมเปียกไปหมดแล้วเนี่ย



เมื่อตรวจทุกอย่างหมดแล้ว พี่ระเบียบก็เดินนำพวกเราเด็กปีหนึ่งขึ้นไปยังห้องประชุมเพื่อเริ่มกิจกรรมเชียร์คณะ



✿✿



“อีเหี้ย โดนสูบพลังไปหมดแล้วกู” ผมพูดอย่างคนหมดแรง



ไอ้ทิมมันก็พูดสมทบขึ้นมาอีก “เออ แต่กูไม่เข้าใจทำไมพี่ต้องตะโกนเสียงดังอ่ะ เขาเจ็บคอกันบ้างป่ะวะ?”



“นั่นดิ แล้วคือพี่เกร็งหน้าจนกูต้องเกร็งตามอ่ะ”



“เกร็งกันทั้งห้องล่ะวะ”



ผมกับไอ้ทิมนั่งบ่นหลังจากกิจกรรมเชียร์คณะจบลงตอนหนึ่งทุ่มตรง นักศึกษาแยกย้ายกันกลับไปเติมพลังที่หอหมดแล้ว ส่วนผมสองคนยังคงเดินเตร็ดเตร่ในมหา’ลัยเพราะยังไม่อยากกลับหอถึงแม้จะโดนสูบพลังงานไปเกือบหมดก็เถอะแต่บรรยากาศในมหา’ลัยก็ช่วยเติมพลังได้ดีเหมือนกัน



“เออมึง!!”



ผมหันไปมองเพื่อนรักอย่างไอ้ทิมมันงงๆ อยู่ดีๆก็พูดขึ้นมาเสียงดังทำเอาหัวหดตดหายหมด “อะไรวะ”



“กูลืมบัตรเอทีเอ็มไว้ที่ตู้เมื่อกี้อ่ะ ฉิบหายมั้ยล่ะไอ้สัด” ไอ้ทิมมันสบถอย่างหัวเสีย



“ไม่หรอก มึงไม่มีเงินอยู่แล้ว” ผมว่าหน้าตาย



“จวยเหอะ กูไปเอาแป๊บนึง มึงรออยู่นี่แหละ”



“เออๆ”



“ถ้าเหงาก็หาไส้เดือนแถวนั้นเล่นไปก่อน”



“จับแดกให้หมดเลย ถุย!” ผมว่าอย่างประชดแต่ไอ้ทิมมันกลับหัวเราะลั่น



“ฮ่าๆๆๆ”



ผมขว้างใบไม้ใส่ไอ้ทิมที่ไม่วายหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผมก่อนมันจะวิ่งลิ่วหายไปใต้ตึกอาคาร



มหา’ลัยตอนนี้ก็ค่อนข้างวังเวงนิดหน่อย อ่า...คงไม่นิดอ่ะโคตรวังเวงเหอะไม่รู้จะประหยัดไฟไปถึงไหน สงสัยมหา’ลัยคงใช้นโยบายประหยัดไฟล่ะมั้งครับ



ผมลูบแขนตัวเองป้อยๆเมื่อจู่ๆลมก็พัดมาวูบหนึ่ง มองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กหวังว่าจะไม่มีอะไรโผล่มาตอนนี้หรอกนะ



ปัง!!



“เหี้ยๆๆๆๆ ตายแน่ๆกู”



ผมยกมือขึ้นไหว้เหนือหัวเมื่อได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้นเสียงดัง ในใจก็สวดมนตร์รวมกันไปหลายบทแต่ก็ไม่จบมันสักบท



“นี่”



ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงที่ดังขึ้นจากข้างหลัง หลับตาปี๋และยกมือไหว้ขึ้นท่วมหัว “อย่ามาหลอกหลอนกันเลยค้าบบบบบ”



“ไอ้เหี้ยทาวน์”



“โอ๊ยกลัวแล้วโว้ยยยยย” ไอ้ผีบ้านี่ทำไมตามรังควาญจังเลยวะ



“กลัวอะไรของมึง กูทิมเอง”



“ทิมพ่องสิ เป็นผีขี้โกหกไงวะ” ผมด่ามันกลับ



“โอ๊ยไอ้ควายเอ๊ย ลืมตามามองหน้ากูนี่ เร็ว!”



ผมหรี่ตามองไอ้ผีที่อ้างตัวเป็นไอ้ทิม อ่า...หน้าเหี้ยๆแบบนี้ไอ้ทิมเพื่อนรักแน่นอน



“มึงจริงดิ?” ผมมองมันอย่างสำรวจ เอามือไปจิ้มๆแตะๆมันเสมือนมันเป็นขี้ ไอ้ทิมมันคงรำคาญเลยเขกกบาลผมเข้าไปหนึ่งที นั่นล่ะผมถึงได้เชื่อมัน



“เออสิวะ”



ขวัญเอ๊ยขวัญมา กลับมาเร็วๆสิโว้ยไอ้ขวัญ



“ละ...แล้วเสียงเมื่อกี้ เหี้ยเมื่อกี้กูโดนผีหลอก”



“ผีที่ไหนของมึง ถ้าไอ้เสียงดังปังล่ะก็ คือเมื่อกี้กูเดินเตะถังขยะเฉยๆ”



“อ้าว?” ผมโคตรงง แล้วไอ้เมื่อกี้ที่กลัวจนหัวหดนี่คือผมกลัวเสียงเตะถังขยะของไอ้ทิมมันงี้?



“ไม่ต้องมาอ้าว ไปๆกินข้าวกัน”



“ไอ้ห่า”



จากนั้นมันก็ลากผมแถ่ดๆไม่สนใจเสียงก่นด่าที่เปล่งออกมาจากปากผมเลยสักนิด



✿✿



ผมเดินโวยวายใส่ไอ้ทิมเพื่อนรักจนมาถึงร้านขายสเต็กที่เป็นแบบคาเฟ่หลังมหา’ลัย พอมาถึงหน้าร้านเราก็หยุดมองสำรวจร้านกันพอสังเขป



“ทำไมร้านมันเงียบจังวะ” ไอ้ทิมมันหันมาถามผม



“นั่นดิ” ผมก็พยักหน้าเห็นด้วยไปกับมัน



“คนน้อยแบบนี้สงสัยไม่อร่อย”



เราสองคนบ่นพึมพำหลังจากเข้ามานั่งในร้านแล้วเรียบร้อย บรรยากาศทั้งร้านเงียบกริบแถมโต๊ะยังว่างทุกโต๊ะอีกถ้าเดินออกไปจากร้านตอนนี้จะทันมั้ยครับ



“พวกมึงสองคนว่าไงนะ?”



“ก็คนน้อยแบบนี้อาหารต้องไม่อร่อยน่ะสิ....วะ”



เราสองคนหันไปมองคนถามก่อนจะเบิกตากว้าง ห...เหี้ย นั่นมีด



“กูให้มึงพูดอีกที” คนมาใหม่ที่มาพร้อมมีดเอ่ยถามผมสองคนอีกครั้ง



ท่าทางแบบนี้  ใสผ้ากันเปื้อนมาพร้อมมีดแบบนี้...



“เจ้าของร้านเหรอวะ!”



“เออ” ฮืออ อย่าทำเสียงอย่างนั้นในขณะที่เฮียถือมีดอยู่ได้โปรดเถอะคร้าบบบ



ผมสองคนส่งยิ้มหวานแบบที่กลัวมีดสเต็กจะแทงตาย ก่อนจะรีบขอเมนูจากเฮียแกที่จ้องพวกผมสองคนเขม็ง



พอเฮียแกยื่นเมนูมาให้ พวกผมก็แทบกราบขอบคุณแนบอก



“น่าอร่อยทุกเมนูเลยเนอะ” ผมชี้เมนูให้ไอ้ทิมมันดู



“เนอะๆ เลือกไม่ถูกเลย”



 ผมกับไอ้ทิมเลือกเมนูไปชื่นชมร้านสเต็กเฮียไปด้วย โห...ยิ้มหน้าบานเลยครับเฮีย



“ผมเอาสเต็กซี่โครงหมูพริกไทยดำครับ” ผมสั่ง



“ของผมเอาเหมือนมันที่หนึ่งแล้วก็เอานักเก็ตชุดหนึ่งครับ”



“คิดเองไม่เป็นหรอ กินตามกูอ่ะ”



“เสือก”



“แค่นี้ใช่มั้ย? นั่งรอก่อนก็แล้วกัน” สงสัยเฮียแกคงเริ่มรำคาญพวกผมที่ตีกันอยู่เลยรีบๆตัดบท



“คร้าบบบบบบบ”



หลังจากดูจนแน่ใจว่าเฮียแกเข้าไปทำสเต็กแล้วพวกผมก็เปิดปากนินทาร้านเฮียและเฮียอีกครั้ง



“ทำไมเฮียแกหล่อจังวะ” ผมหันไปถามไอ้ทิม



“นี่มึงไม่รู้จักเฮียแกหรอวะ”



“จำเป็นหรอ”



“งั้นกูไม่บอก”



“กูว่าจำเป็นแหละ เนอะๆเพื่อนทิม”



ไอ้ทิมทำหน้าตาขี้เหร่ใส่ผม ก่อนจะเปิดปากพูด “ก็เนี่ยพี่เตอร์เพื่อนของพี่คนนั้นที่เขาพูดถึงกันนั่นแหละ”



“จริงดิ?”



“เออ หล่อทั้งกลุ่มอ่ะกูบอกเลย”



“ตอนเป็นเพื่อนกันเขาคัดหน้าตาป่ะวะ แบบประกวดกันงี้” ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่ากลุ่มที่มีแต่คนหล่อๆนี่มันมาเป็นเพื่อนกันได้ไงวะ



“ใช่ม้ะ แต่มึงกับกูนี่คือแบบไม่มีใครคบก็เลยต้องจำยอมมาคบกันเอง”



“ทำไมชีวิตเศร้าจังวะ”



“ถ้าเลือกได้กูก็ไม่เลือกมึงหรอกทาวน์”



“เหมือนกัน”



แล้วเราก็นั่งทำหน้าเศร้ากันจนเฮียเตอร์เอาสเต็กมาเสิร์ฟ คือแบบ...ต้องจริงจังเบอร์นั้นเลย?



“เป็นอะไรกันอีกน่ะพวกมึง เมื่อกี้ยังทะเลาะกันอยู่เลย ตอนนี้ชีวิตเริ่มเศร้าแล้วหรอ”เฮียเตอร์วางจานสเต็กตรงหน้าพวกผมแล้วเอ่ยถาม



ผมกับทิมมองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจใส่กันและเป็นไอ้ทิมที่เป็นคนตอบคำถามพี่เตอร์



“พวกผมแม่งเศร้าที่เราเป็นเพื่อนกัน”



“ห้ะ?” เฮียเตอร์ทำหน้างง อึกอักเหมือนอยากจะถามว่าเหี้ยอะไรของพวกมึงวะ ผมเลยต้องเป็นคนอธิบายต่อ



“ก็ผมกับมันนั่งนินทาเฮียเมื่อกี้ใช่ป่ะ แล้วพอคิดว่าเฮียมีเพื่อนหล่อทั้งกลุ่มอ่ะก็เลยมาคิดว่าคัดหน้าตาเข้ากลุ่มกันหรือเปล่า อีกเรื่องก็แบบทำไมผมกับมันต้องมาเป็นเพื่อนกันด้วยวะอะไรงี้แหละเฮีย”



“อ่ะ...พวกมึงนี่”



“แต่คือจะให้เลิกคบก็ไม่ได้แล้วอ่ะ หลวมตัวไปนานแล้ว ขี้เกียจหาเพื่อนใหม่แล้วด้วย” ไอ้ทิมก็เป็นคนพูดเสริมขึ้นมา



“ห้ะ?” เฮียทำหน้างงแรงมากจริงๆครับตอนนี้



ผมพยักหน้ายืนยันสิ่งที่ผมและไอ้ทิมพูดทั้งหมดว่านั่นน่ะคือเรื่องจริงครับเฮีย “ใช่ครับ พวกผมก็เลยมานั่งเศร้ากันอยู่นี่ไง”



“อ่า...พวกมึงก็ประหลาดเหมือนกันดี”



“ครับ”



ผมสองคนตอบรับหน้าตายก่อนจะจิ้มสเต็กเข้าปากพร้อมกัน เฮียเตอร์มองพวกผมซ้ายทีขวาทีก่อนจะถอนหายใจแล้วทำหน้าซังกะตาย



“พวกมึงเป็นเพื่อนกันนั่นแหละดีแล้ว กินให้อร่อยกูไปเตรียมครัวก่อนจะสองทุ่มแล้ว”



“อ้าว เฮียเปิดร้านสองทุ่มเหรอครับ?” ไอ้ทิมมันถามอย่างสงสัย



“เปล่าหรอก จริงๆเปิดตั้งแต่ห้าโมงเย็นแล้วล่ะแต่สองทุ่มร้านจะวุ่นวายนิดหน่อย”



เป็นคราวที่ผมต้องสงสัยขึ้นมาบ้าง “ทำไมอ่ะครับ?”



“คอยดูละกัน”



ผมกับไอ้ทิมมองหน้ากันก่อนจะหันไปมองหน้าเฮียเตอร์ที่เดินหัวเราะเข้าไปในครัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



สองทุ่มทำไมวะ?  อยากรู้เลยเนี่ย!



“กี่โมงแล้ววะ?” หันไปถามไอ้ทิมเพื่อนรักที่ยังคงหั่นสเต็กกินด้วยหน้าชื่นตาบาน



“ทุ่มครึ่ง”



“ตอนไหนจะสองทุ่มวะ”



“รีบหรอ”



“เอออยากรู้แล้ว”



“เดี๋ยวกูจะปรับนาฬิกาให้”



“จวย”



พวกผมนั่งละเลียดเนื้อสเต็กไปช้าๆพร้อมกับดูนาฬิกาเป็นระยะๆ ที่จริงสเต็กร้านเฮียเตอร์ก็อร่อยนะ อร่อยมากๆเลยแหละ



“มึงสองทุ่มแล้ว” ไอ้ทิมร้องบอกแต่ในร้านก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่หว่า



ผมเลยหันมองไปรอบๆก่อนสายตาจะไปหยุดตรงประตูหน้าร้าน  “เหี้ย ทำไมคนกรูเข้ามาเยอะงี้วะ”



“นั่นดิ”



ผมมองเหล่านักศึกษาที่เดินกรูเข้ามาจับจองพื้นที่ในร้านจนเต็มทุกโต๊ะแตกต่างจากตอนแรกที่ผมเข้ามาในร้านเลย



ผมหันไปมองผู้หญิงโต๊ะข้างๆก่อนจะถามเธอขึ้นเบาๆ “ทำไมคนถึงมาพร้อมกันตอนนี้อ่ะครับ มีงานอะไรรึป่าวครับ”



 “ไม่หรอกจ้าแต่เวลานี้พี่เขาจะเข้าร้านน่ะ”



พี่ไหนวะ? นั่นคือสิ่งที่ผมคิดหลังจากที่ได้ยินคำตอบของเธอ



ผมนั่งทำหน้ามึน บางคนอาจจะมองว่าหน้าโง่



“นั่นไงจ้ะ กรี๊ดดด”



เธอชี้ไปยังทิศทางหนึ่งก่อนจะหวีดร้องเบาๆ หันไปมองโต๊ะอื่นก็มีท่าทางเหมือนกันไปหมดเลย หวีดแบบเก็บเสียงหรอวะนั่น ทรมานน่าดู



“มึงพี่คนนั้น”



ผมหันไปมองไอ้ทิมเพื่อนรัก “พี่คนไหนวะ?”



“คนนั้นอ่ะ”



“คนไหนวะสัด”



“พี่คนนั้นที่มึงถามถึงเมื่อเช้าไง กรี๊ดด”



เดี๋ยวๆ ไอ้เสียงหวีดตอนจบประโยคนี้มันใช่หรอทิม ผมมองเพื่อนที่เอาส้อมมาแทะๆแล้วทำท่าหวีดเหมือนพวกสาวๆในร้านก็อยากจะเอาหน้ามุดดิน



นี่มันไม่ใช่เพื่อนกู!



ผมหันไปมองตามสายตาของคนทั้งร้านก่อนจะเจอต้นเหตุของเสียงหวีดร้องเบาๆของทุกคน ผู้ชายร่างสูง น่าจะสูงเท่าต้นไม้หน้ามหา’ลัย ผิวขาว ตาเข้ม ผมดำ ปากกระจับเว่อวัง หุ่นดี๊ดี  พอดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกินนนน



ไม่แปลกใจเลยทำไมคนถึงหวีดกันรวมถึงเพื่อนรักของผมที่นั่งกัดจาน กรอดๆแล้ว



หล่อฉิบหาย! แต่หน้าหยิ่งโคตรอ่ะ เกร็งหน้าตามเลยเนี่ย



“อ้าวมาแล้วเหรอไอ้คิน?” เสียงเฮียเตอร์ทักขึ้นตอนที่เดินออกมาแล้วเจอเพื่อนตัวเองที่เดินเข้ามาในร้าน



“อือ” เสียงก็โคตรเพราะเลยครับ



10 10 ไปเลยจ้าาาาาาา



ผมมองเขาแบบเคลิ้มๆ หล่อจังเลยโว้ย คนเหี้ยไรเนี่ย!?



“มองไรไอ้เตี้ย?”



เดี๋ยวนะ เดี๋ยวๆ คือคนก็มองพี่มึงกันทั้งร้านมั้ยอ่ะ ทำไมประเด็นมันตกมาอยู่ที่ผมล่ะครับ



เงยหน้ามองคนที่จู่ๆก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าผมงงๆ “คนเขาก็มองพี่ทั้งร้านอ่ะ”



เขากวาดตามองไปรอบร้านก่อนที่สายตานั้นจะมาหยุดลงตรงที่ผมอีกครั้ง “เหรอ?”



“เออดิ”



สาบานว่าพี่มันไม่รู้อ่ะ หล่อแล้วยังจะโง่อีก



“แล้วมึงมองกูทำไมไอ้เตี้ย?”



“อ้าว ก็มองตามคนอื่นไงครับ”



“เหรอ?” พูดไม่พอยังจะเลิกคิ้วทำหน้าหล่อใส่อีก โว๊ะ!



“เออดิครับ”



ทำไมผมกับเขาต้องมาพูดประโยคซ้ำๆกันแบบนี้ด้วยวะครับ



“ยังไม่เลิกมองกูอีกไอ้เตี้ย”



“ไม่มองก็ได้แม่ง” ว่าจบก็หันหน้าหนีไปทางอื่น



“หึ”



“แล้วผมก็ไม่ได้ไปเตี้ยบนหัวพี่ด้วย” ผมพูดทั้งที่ไม่ได้มองหน้าเขา



“อ้าวหรอ?”



ผมหันไปชักตาใส่เขา ตั้งการ์ดพร้อมต่อยแต่ดีนะที่ไอ้ทิมเพื่อนรักห้ามไว้ก่อนไม่งั้นมีคนได้แผลกลับไปแน่ๆ



“ใจเย็นโว้ยมึง”



“ก็มันกวนตีน”



“มึงไม่เห็นแฟนคลับพี่เขาหรอเต็มร้านเลยเนี่ย”



“ทำไม?”



“เดี๋ยวมึงก็โดนรุมกระทืบสิวะไอ้ฟาย”



ผมทำหน้าบึ้งใส่ไอ้ทิม มันส่ายหน้าหน่ายก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์กับเฮียเตอร์



ผมนั่งรอมันที่โต๊ะเซ็งๆ



หน้าหล่อแต่ปากหมากรี๊ดเข้าไปได้ไงก็ไม่รู้!



“ทำหน้าอะไรของมึง?”



อ้าว? นี่ยังไม่ไปอีกหรอวะ!?



หันไปมองคนที่หย่อนก้นลงนั่งข้างๆก่อนจะเชิดหน้าหนี เหมือนละครที่แม่ดูเวลาพระรองงอนพระเอกเลยเว้ย ไม่ใช่ละๆ



“เรื่องของหน้าผม”



“เหรอ?”



“ยุ่งจังวะ”



“หน้ามึงอ่ะนะ”



“พี่อ่ะยุ่งกับผมจังวะ ไปเลย ชิ้วๆ”



ผมโบกมือไล่ เขาหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นยืนไม่วายยังพูดทิ้งท้ายแบบที่ทำให้ผมอยากเอาเท้าไปประดับไว้บนหน้าเขาเลยล่ะ



“ทำหน้าอย่างกับควาย”



แต่ดีที่ไอ้ทิมห้ามไว้ ไม่งั้นล่ะมึงเอ๊ยยย!! ต้องขอบคุณไอ้ทิมจริงๆที่ช่วยห้ามผมไว้ทันตลอด ไม่งั้นพี่มันหน้าแหกไปแล้ว



เหอะ!



✿✿



TBC...
 
ติดแท็ก #นิยายเขาว่ากันว่า ได้นะค้าา

ติดตามข่าวสารได้ที่
twitter
facebook



ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่2





ผมสงสัยว่าทำไมเปิดเทอมต้องมาพร้อมกับฝนด้วยครับ  ผมไม่เข้าใจอ่ะ พอฝนตกผมก็ต้องเปียกใช่มั้ยล่ะ ทำไมฝนไม่ตกตอนปิดเทอมล่ะครับ เอ๊ะ?...แต่ตอนปิดเทอมฝนก็ตกเหมือนกันนี่หว่าแล้วตกลงว่าฤดูฝนมันมีถึงเดือนไหนกันแน่วะครับ



ตอนนี้ผมนี่งงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจมากๆเลยอ่ะ



“เชี่ยแม่ง!!  ฝนตกแบบไม่บอกไม่กล่าวกันเลย” ผมบ่นแล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้า



“จะบอกได้ไงวะ มึงมีญาติอยู่บนนั้นเหรอ” ไอ้ทิมชี้ขึ้นไปบนฟ้า  ผมที่ไม่อยากคุยกับคนโง่ก็ได้แต่หันหน้าหนี



“เออตอนเย็นกูโดดเข้าเชียร์นะ” ผมบอกไอ้ทิม



“งั้นกูโดดเป็นเพื่อนมึงละกัน”



“ซึ้งวะ เพื่อนไม่ทิ้งกันจริงๆ”



ผมตบบ่ามันปุๆดีใจที่เพื่อนรักอย่างไอ้ทิมมันรักผมขนาดยอมโดดเข้าห้องเชียร์ไปด้วยกัน ซึ้งใจจริงๆเลยครับ เพื่อนดีๆแบบนี้หาได้ยากจริงๆครับแต่สวรรค์ก็ยังประทานทิมเพื่อนรักมาให้ผมจนได้ คิดไม่ผิดเลยที่ยังคบกับมันต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้



“เปล่า  กูขี้เกียจ”



อ่า....ทุกคนช่วยลืมๆสิ่งที่ผมได้พรรณนาถึงมันก่อนหน้านั้นไปเลยนะครับ นี่ผมเตือนแล้วนะ!



“ฟวย” ยกนิ้วกลางสรรเสริญให้กับความเป็นเพื่อนรักของไอ้ทิมไปหนึ่งที



ผมยืนด่าไอ้ทิมจนเมื่อยปากก็หยุดด่าไป  วันนี้เราสองคนตกลงกันแล้วว่าจะไม่เข้าห้องเชียร์ ถามว่าไปตกลงกันตอนไหน อิโธ่...ก็ไอ้ที่ตกลงกันเมื่อกี้นั่นแหละครับ



“แล้วมึงจะไปไหน?”  ผมถามไอ้ทิมมันบ้างหลังจากคิดคำด่ามันไม่ออกแล้ว



“นอนแหละ  มึงล่ะ?” มันก็ถามกลับบ้างพร้อมกับอ้าปากหาวไม่เกรงใจคนที่เดินกางร่มผ่านไปผ่านมาเลยสักนิด มือมึงนี่ไม่คิดจะยกมาปิดปากเลยใช่มั้ยไอ้เพื่อนรัก



ผมทำหน้าเอือมๆใส่มันก่อนจะตอบ “ว่าจะไปสมัครงาน”



“ขยันจังโว้ย” มันตะโกนด้วยหน้าง่วงๆของมัน



“ก็นะ  กูไปละเดี๋ยวฝนจะตกหนักกว่านี้”



พอเห็นว่าฝนเริ่มซาแล้วก็โบกมือลาไอ้ทิมเพื่อนรักเพื่อจะได้ไปหางานทำหลังมหา’ลัยสักที อยู่ตรงนี้กับไอ้ทิมนานๆคือพูดแต่เรื่องที่ไม่มีสาระกันทั้งนั้น วันทั้งวันก็เป็นแบบนี้แหละครับ ให้ผมได้ไปพบไปเจอผู้คนที่พูดจารู้เรื่องและมีสาระเหมือนกับชาวบ้านชาวช่องเขาบ้างเถ้ออออ...



“เออ โชคดีเว้ย ขอให้ได้งาน” เป็นครั้งแรกเลยนะครับเนี่ยที่มันอวยพรผมดีขนาดนี้



“ใจโว้ย”



ผมบอกมันจากนั้นก็เดินกางร่มไปหลังมหา’ลัย  แถวนี้ร้านอาหารเยอะแยะเลยล่ะครับ ผมคิดว่าน่าจะมีสักร้านแหละที่กำลังรับสมัครพนักงานอยู่



นั่นไงครับ! พูดไม่ทันขาดคำผมก็เจอร้านนั้นที่ตามหาอยู่จริงๆ



ผมเดินไปทางร้านที่เขียนรับสมัครพนักงานอยู่จากนั้นก็เปิดประตูเข้าไปในร้านทั้งที่ป้ายเขียนว่าปิด อืม...ปิดแล้วทำไมถึงเปิดได้อ่ะครับ  งั้นผมโมเมเอาเองก็ได้ว่ามันเปิด



“ร้านยังไม่เปิดนะครับ”



เสียงหล่อๆของใครสักคนดังขึ้นมาก่อนตัว ผมมองเฮียเตอร์ที่เดินออกมาทั้งชุดนักศึกษาแต่มองๆดูแล้วจะเรียกว่าใส่เชิ้ตขาวกับกางเกงยีนส์คงจะถูกกว่า



“สวัสดีครับเฮีย”



ผมทักทายเจ้าของร้านอย่างเฮียเตอร์ที่ยังคงก้มหน้าก้มตามองพื้นเหมือนหาเศษเหรียญด้วยความสุภาพ พอดีพ่อสอนไว้ครับว่าถ้าจะไปสมัครงานให้พูดกับนายจ้างดีๆเขาจะได้รับเราเข้าทำงานเร็วๆ



“อ้าว?ไอ้เด็กเตี้ย” เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วทักผมด้วยรอยยิ้ม ซึ่งคำทักทายของเขานั้นน่ากระโดดถีบมากๆเลยล่ะครับผมบอกได้แค่นี้



ผมเบ้ปาก มองหน้าเฮียเตอร์เซ็งๆ “เดี๋ยวเฮีย ผมว่าผมก็เตี้ยของผมเองนะ เฮียอย่ายุ่งดิ”



“ฮ่าๆๆ แล้วมีอะไร  ติดใจสเต็กร้านกูเหรอ  ยังไม่เปิดหรอกนะเว้ย”



ใช่ครับ....ผมมาสมัครงานที่ร้านสเต็กของเฮียเตอร์เขาล่ะ



ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับที่เฮียกับผมดูคุยกันแบบสนิทสนมขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่าตั้งแต่วันนั้นที่ได้ลิ้มลองรสชาติของสเต็กร้านเฮียแล้วผมกับไอ้ทิมก็ติดใจ มากินกันบ่อยๆจนตอนนี้ก็กลายเป็นสนิทกับเฮียเขาแล้วเพราะพวกเราชอบนั่งกินตรงหน้าเคาท์เตอร์ ระหว่างรอก็ดูเฮียทำแล้วก็ชวนเฮียพูดไปด้วย พวกผมก็เลยเริ่มซี้กับเฮียเขานิดหน่อย ตอนแรกก็เรียกพี่เตอร์ๆนี่แหละครับแต่มันไม่ชินปากเท่าไหร่ สุดท้ายก็มาจบลงที่คำว่าเฮียเตอร์อย่างที่พูดอยู่ทุกวันนี้



“ไม่ๆ  ผมมาสมัครงานครับ” ผมว่าพลางชี้ไปที่ป้ายที่ติดรับสมัครงานอยู่หน้าร้านของเฮียเขา เฮียเตอร์ก็มองตามแล้วพยักหน้าเข้าใจ



“อ้าวเหรอ?” เขาทำหน้าแปลกใจซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอีแค่ผมมาสมัครงานร้านเขามันจะน่าแปลกใจตรงไหน แต่ไม่นานนักจากใบหน้าที่ดูแปลกใจของเขาก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ยิ้มหน้าบานต่อ “ งั้นกูรับเลยละกัน”



“เฮ้ย! เดี๋ยวดิ” ผมห้ามเฮียแทบไม่ทันตอนเฮียจะยื่นผ้ากันเปื้อนมาให้ อะไรมันจะรับเร็วขนาดนั้นวะ ผมชักจะตามเขาไม่ทันแล้วนะครับ



“อะไรอีก?”



โห! นี่เฮียยังจะกล้ามาทำหน้างงใส่ผมอีกหรอ?



“ทำไมรับง่ายงี้อ่ะเฮีย” ผมถามอย่างสงสัย มันมีด้วยหรอครับที่แค่เดินมาบอกว่าจะมาสมัครงานแค่นั้นแล้วก็รับเลยอ่ะ



“เอ้า!  แล้วทำไมต้องยากด้วยวะ!?”



เกลียดการแอ็คติ้งทำหน้าตกใจของเฮียฉิบหาย จริงๆก็ดูออกแหละว่าเฮียเตอร์รู้ว่าผมงงอ่ะแต่เขาก็คงอยากจะแกล้งเลยถามผมกลับแบบนั้น คือถามธรรมดาก็ไม่อะไรหรอกครับแต่นี่เฮียแม่งเล่นใหญ่ยิ่งกว่ารัชดาลัยอีกอ่ะเอาจริงๆ



“ไม่รู้ดิ คือเฮียต้องสัมภาษณ์อะไรผมก่อนแบบนี้ป่ะอ่ะ   นี่ผมแค่เดินมาบอกว่าจะสมัครงานเฮียก็รับผมแล้ว  ทำไมเฮียไม่เล่นตัวอ่ะงง”



“ก็มึงอยากทำงานกูก็ให้ทำ หน้าแบบมึงก็จำง่ายดี ถ้าเกิดขโมยของร้านกูขึ้นมาจะได้จับง่ายหน่อย”



กระโดดถีบคนตอนนี้จะเสียค่าปรับสักกี่บาทอ่ะครับ…!?



“เดี๋ยวๆเฮีย  ผมว่าเหตุผลเฮียมันไม่ใช่แล้วว่ะ”



“ฮ่าๆ เออกูล้อเล่น กูต้องการคนช่วยด่วนจริงๆอีกอย่างแค่เสิร์ฟออเดอร์ให้ลูกค้ากูคงไม่ต้องมานั่งสัมภาษณ์มึงขนาดนั้นหรอกมั้ง” เฮียเตอร์อธิบายเหตุผลยาวเหยียด ผมก็เลยเริ่มเข้าใจนิดหน่อย “กูรับแล้วก็ทำเหอะหรือมึงจะไม่ทำ?”



เฮียเลิกคิ้วถามยิ้มๆ ผมยิ้มกลับก่อนจะตอบด้วยความดีใจสุดไส้ติ่งกระดิ่งอยู่ที่หางงู อ่า...ไม่ฮาสินะ ขอโทษครับ



“ทำคร้าบๆๆงั้นเริ่มงานวันนี้เลยนะเฮีย”



“เออๆ ไปเอาผ้าหลังร้านมาเช็ดโต๊ะก่อนก็แล้วกัน” เฮียเตอร์ชี้ไปหลังร้านผมก็พยักหน้ารับอย่างแข็งขัน



“ครับผม”



ผมช่วยเฮียเตอร์เตรียมร้านไปจนถึงห้าโมงเย็น ซึ่งเวลานี้เป็นเวลาที่ร้านสเต็กของเฮียเตอร์เปิดให้บริการพอดี



“มึงนั่งรอลูกค้าตรงนี้แหละ เวลาแบบนี้ไม่ค่อยมีคนหรอก สองทุ่มนู่นคงจะวุ่นวาย”



ผมเงยหน้ามองเฮียที่เดินออกมาจากหลังร้านมาหยุดยืนตรงที่ผมนั่งเหงาอยู่คนเดียวตั้งแต่ไม่มีอะไรให้ทำ จะเรียกว่าโคตรๆว่างก็ได้ครับเลยมีเวลานั่งมองนู่นมองนี่ สำรวจร้านไปจนครบแล้วด้วย



“ครับ”



มองเฮียเตอร์ที่เข้ามาบอกเสร็จก็เดินหายลับไปหลังร้านต่อปล่อยให้ผมนั่งเฝ้าหน้าร้านอยู่คนเดียวด้วยความเดียวดาย



และผมก็ไม่สงสัยและไม่ได้ถามเฮียแล้วล่ะครับว่าสองทุ่มทำไมร้านถึงจะวุ่นวาย



แค่นึกว่าต้องเจอหน้าพี่มันอีกแล้วก็รู้สึกเบื่อๆเซ็งๆขึ้นมาทันที ไม่ได้เบื่อหรือเซ็งบรรยากาศหรือคนในร้านนะครับแต่ผมโคตรเบื่อโคตรเซ็งพี่มันฉิบหายเลย ไม่อยากจะเล่าว่าเวลาผมมาหาอะไรกินกับไอ้ทิมที่นี่ก็เจอพี่มันตลอดและผมก็จะโดนพี่มันถามตลอดว่าผมมองทำไม ไอ้ผมนี่แม่งก็งงเหมือนกันว่าทำไมพี่มันถึงได้โฟกัสผมคนเดียวทั้งที่คนก็มองพี่มันทั้งร้านเลยด้วยซ้ำ



เฮ้อ.....



✿✿



ผมนั่งรอจนถึงเวลาสองทุ่มระหว่างนั้นก็มีนักศึกษามากมายต่างก็กรูกันเข้ามาจับจองที่นั่งในร้านกันเต็มไปหมด  มีทั้งใหม่ทั้งเก่าที่จริงจำหน้าใครไม่ได้หรอกครับ แต่ก็เดานั่นแหละว่าคงจะเป็นแบบนั้น



ขนาดฝนตกยังอุตส่าห์มากันอ่ะเนอะคนเรา แข็งแกร่งเว่อ ผมล่ะนับถือใจพวกเขาเลยจริงๆครับ



ทุกคนในร้านต่างหันไปสนใจประตูร้านแทนที่จะเปิดดูเมนูอาหาร  ผมที่ยืนถือกระดาษเตรียมจดก็เกาหัวงงๆ  ไม่รู้จะเริ่มจากโต๊ะไหนก่อนดี ก็เล่นมาพร้อมกันทีเดียว ใครจะจำได้วะว่าโต๊ะไหนมาก่อนหรือมาหลัง



ผมยืนสุ่มโต๊ะ จิ้มๆเอาเหมือนข้อสอบก่อนจะจิ้มไปถูกกลุ่มที่คาดว่าน่าจะใหญ่ที่สุดในร้านเลยเลือกที่จะเดินไปยังโต๊ะนั้นโดยไม่ได้ชายตามองโต๊ะอื่นเลย นี่ถ้าเฮียรู้ว่าผมเลือกบริการลูกค้าด้วยวิธีอะไรผมว่าผมอาจจะโดนเฮียไล่ออกเลยก็ได้อ่ะครับ แหะๆ



“สวัสดีครับ” ผมเดินมาหยุดยืนข้างโต๊ะของลูกค้าที่ได้สุ่มเลือกจากการจิ้มๆเอาเรียบร้อยแล้วก็กล่าวคำทักทายอย่างสุภาพ



“จ้าๆๆ” ก็คือตอบรับแบบนี้กันทั้งโต๊ะเลยอ่ะครับ



แต่ถ้าพวกเขาจะตอบแล้วหันไปทางประตูขนาดนั้นผมว่าไม่ต้องตอบแล้วไล่ให้ผมไปโต๊ะอื่นก็ได้ครับ เห็นแบบนี้แล้วผมก็ทำอะไรไม่ถูกจริงๆนะครับ



นี่ผมทำงานวันแรกนะ  โอ้ยยยย!



“ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีครับ” ผมก็ทำใจดีสู้เจ๊ๆเขาเผื่อจะเห็นใจคนหล่อตาดำๆแบบผมอยู่บ้าง



“จ้า”



อ่า...ก็คือไม่สนใจผมยังไงก็ยังคงไม่สนใจผมอยู่แบบนั้นแหละครับ ผมก็เลยได้แต่ยืนเกาหัวงงๆคือเจ๊จะพูดแต่คำนี้ใช่ม้ะถามจริง ถามอะไรก็ตอบแต่คำนี้จนบางทีก็อยากเดินหนีแล้วไปโต๊ะอื่นจริงๆแต่ทำไม่ได้ไงครับ ก็นี่เขาเป็นลูกค้านี่นา



“เอ่อคือ...” กำลังจะถามต่อแต่ก็ต้องสะดุ้งตกใจกับเสียงหวีดของลูกค้าในร้าน



“กรี๊ดดดด”



อ่ะ....อาการหวีดเก็บเสียงเริ่มมาแล้วครับ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากผมนี่หันไปมองประตูร้านเป็นอันดับแรกเลย ก่อนจะเห็นคนที่ทุกคนรอคอยเดินเข้ามาข้างในร้าน  ผมยืนมองพี่มันเซ็งๆยืนมองอยู่แบบนั้นอ่ะ มองจนพี่มันรู้ตัว แล้วพอพี่มันเห็นผมก็ยักคิ้วซ้ายทีขวาทีส่งให้



แม่ง!



โคตรเทพเลยทำได้ไงวะผมยังทำไม่ได้อ่ะ!



เขาเดินเข้ามาตรงที่ผมยืนอยู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆแต่ทุกคนในร้านเงียบไงครับ  เบาแค่ไหนคนเขาก็ได้ยินกันหมดอ่ะคุณพี่



“ถึงกับมาสมัครงานเพื่อมามองกูโดยเฉพาะเลยหรอหืม?”



“อ่ะ...”



“ถ้าอยากมองกูก็บอกกันดีๆจะได้พาไปนั่งมองที่ห้อง”



“โว้ยพี่มึงทำไมเป็นงี้วะ เนี่ยพี่มึงมองดูคนเขาก็มองพี่มึงทั้งร้านอ่ะ ฮ่วย” !” ผมว่าอย่างมีน้ำโห มองหน้าอีกฝ่ายพร้อมสู้



ผมบอกแล้วไงครับว่าไอ้คนดังที่ทุกคนเขาลือกันไปต่างๆนาๆนี่แม่งโคตรกวนตีนฉิบหาย ไม่เข้าใจว่าตาพี่มันเป็นอะไรถึงได้มองไม่เห็นว่าคนอื่นๆก็มองอยู่เหมือนกัน บางคนมองจนตัวพี่มันจะพรุนแล้วพี่มันก็ไม่รับรู้อะไรเลย แล้วนี่คือจ้องจะมากวนตีนบอกว่าผมมองเขาคนเดียว อะไรของพี่มันวะ!? หลายครั้งแล้วด้วยเนี่ย!



“อ๋อหรอ อืมๆ” แล้วพี่มันก็เดินสะบัดตูดไปหลังร้านพร้อมผิวปากอย่างอารมณ์ดี



จ้า...มึงนี่กวนตีนมากเลยจ้า



ผมหันมามองที่โต๊ะของลูกค้าเพื่อจะรับออเดอร์เผื่อเจ๊ๆเขาหวีดเสร็จแล้วแต่สิ่งที่ผมหันมาเห็นคือเอ่อ...พวกเจ๊ไปโดนตัวไหนมาเนี่ย!?



เหี้ยตาโคตรลอยเลยแล้วอะไรคือนั่งเพ้อกันทั้งกลุ่ม แล้วเรื่องที่เพ้อก็คงไม่พ้นเรื่องไอ้คนที่ทุกคนพร้อมใจกันมานั่งรอนั่นแหละครับ



โอ๊ย!เจ๊สติสตังไปหมดแล้ววววว….



เป็นเวลาที่นานมากครับกว่าผมจะรับออเดอร์จากลูกค้าทั้งร้านเสร็จก็ทำเอาเหนื่อยเหมือนไปนั่งฟังอาจารย์บรรยายในห้องเรียน ผมไม่แปลกใจเลยทำไมเฮียเตอร์ถึงได้รับผมเร็วปุบปับขนาดนั้น ผมมาเข้าใจจริงๆก็ตอนได้ทำงานแล้วนี่ล่ะครับว่าแม่งโคตรเหนื่อยเลย



เวลาผมเดินไปโต๊ะไหนหรือเดินผ่านโต๊ะไหนก็จะมีแต่คนพูดถึงพี่มันเกือบทุกโต๊ะ อย่างเช่นพี่มันดีอย่างนู้นดีอย่างนี้ พี่มันทั้งหล่อทั้งหน้าตาดี พี่มันพกหวีมาเรียนด้วย



ผมที่ได้ยินข้อสุดท้ายแล้วแบบหันขวับไปมองคนพูดเลย คือพกหวีก็ยังเป็นประเด็นอ่ะครับ



เอ้อ เบิ่ดคำสิเว่าเลย…



✿✿



กว่าลูกค้าจะออกจากร้านก็ตอนสี่ทุ่มเกือบห้าทุ่มไปแล้ว ผมช่วยเฮียเตอร์เก็บกวาดเช็ดถูร้านเรียบร้อย เฮียเตอร์ก็กวักมือยิกๆเหมือนเรียกหมา ผมเห็นแล้วก็วิ่งหางกระดิกเข้าไปหาอย่างว่องไว



“มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ?”



“มาๆกินข้าวด้วยกันก่อน”



ผมตาเป็นประกายวิบวับระยิบระยับยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า มองอาหารที่อยู่บนโต๊ะแล้วกระเพาะก็ส่งเสียงร้องไชโยด้วยความดีใจ ก็ตั้งแต่เลิกเรียนจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่น่า



“ไม่ปฏิเสธครับ”



“รู้อยู่แล้วล่ะ งั้นก็ไปหยิบจานมาใส่ข้าวไปอยู่หลังร้านนั่นแหละ”



“ครับผม”



ผมตะเบ๊ะให้เฮียสวยๆทีหนึ่งก่อนจะวิ่งฉุยไปหลังร้านแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่ามีคนอยู่ในนั้นอีกคน



...คนที่คุณก็รู้ว่าใคร…



“ไงเตี้ย”



“.....” พอดีไม่นิยมคุยกับคนบ้าก็เลยต้องเงียบอ่ะครับโทษที



“เตี้ยแล้วยังหูตึงอีก”



“.....” ก็จะหูตึงเฉพาะกับเรื่องที่ไม่อยากฟังอ่ะ



“เป็นใบ้ด้วย”



“.....” ส่วนปากก็มีไว้พูดกับคนที่อยากพูดเท่านั้นแหละ



“พิการไปทุกส่วนเลยว่ะ”



“โว้ะ! ทำไมแซะเก่งอ่ะ”



“อ้าว ได้ยินด้วยแถมพูดได้อีกต่างหากแต่ก็....” ไอ้พี่คินเว้นจังหวะพร้อมยกยิ้มมุมปากใบหน้าดูชั่วร้ายมากกว่าทุกทีที่แกล้งผม



“แต่ก็อะไรครับ?” ผมขมวดคิ้วถามเขา จ้องหน้าพี่มันเขม็ง



“แต่ก็เตี้ยเหมือนเดิม หึ”



ผมกระโดดจะกัดหูอีกฝ่ายแต่พี่มันดันตั้งหลักได้ยกมือมาดันหน้าผากผมไว้ผมก็ได้แต่กัดฟันกรอดๆ



“ปากหมา” ผมพ่นคำด่าใส่เขา เขาเลิกคิ้วใส่ก่อนจะถามกลับ



“มึงหรอ?”



“มึงอ่ะ” พี่มันทำหน้าเหวอ แรงที่ดันหน้าผากผมไว้ผ่อนลง พอได้โอกาสผมก็กระโดดงับเข้าที่ไหล่พี่มันเพราะลองกระโดดจะกัดหูแล้วไม่ถึง



“โอ๊ยยๆๆๆๆ”



พี่มันร้องเสียงดังและพยายามดันผมให้ออกจากตัว ด้วยความที่กลัวจะกัดไม่สมใจอยากผมเลยกระโดดเอามือคล้องที่คอพี่มัน ขาก็เกี่ยวเอวพี่มันเอาไว้แน่นและงับไหล่สลับซ้ายขวาด้วยความสนุก



“ไอ้เตี้ยหยุดกัดกูได้แล้ว! ถ้ามึงไม่หยุดนะกูจะ....”



ผมเงยหน้าขึ้นมาจากไหล่พี่มันเหลือบมองมันด้วยหางตานิดนึงก่อนจะถามออกไป



“จะอะไร?”



ผมนิ่งฟังคำตอบโดยไม่รู้ว่าท่าทางของเราตอนนี้มันโคตรล่อแหลม พอรู้สึกตัวมือของอีกคนก็เอื้อมมาโอบรอบเอวผมพร้อมกับดันตัวผมให้ติดตรงกำแพง ผมตกใจดิ้นจะลงแต่พี่มันก็รัดตัวผมเอาไว้แน่น พอจะเอาขาออกก็โดนพี่มันเอามือจับไว้อีก ฮืออออ!!!



“จะกัดมึงกลับไง” พูดจบก็กัดเขาที่ไหล่ผมเหมือนตอนที่ผมกัดที่ไหล่เขา สลับซ้ายขวาสนุกอยู่คนเดียว ผมร้องโอดโอยแต่พี่มันกลับขำหึๆด้วยความพอใจ



ฟายเอ้ยย!!



“โอ้ยยยย!! พอแล้วๆผมขอโทษ ขอโทษครับ”



ร้องโวยวายเสียงดังขนาดนี้ไอ้เฮียเตอร์มันไม่ได้ยินบ้างหรือไงวะ หูหนวกหรือไงเนี่ย คนจะโดนฆ่าหมกศพหลังร้านมัวแต่ทำอะไรอยู่วะครับเฮี๊ยยยยยยยยยย



ผมดิ้นขลุกขลักโวยวายแต่พี่มันก็ไม่ยอมปล่อย ตอนนี้มันเริ่มลามปามจากกัดไหล่เริ่มมากัดคอแล้วครับ โว้ยยย !!เป็นหมาไงเนี่ย หรือคันฟัน ฟันพึ่งขึ้นรึไงวะ



“ไอ้ทาวน์มึงมาเอาจานหรือผลิตจาน....วะ”



ผมหันไปมองเจ้าของเสียงผู้ที่จะช่วยชีวิตผมออกจากสถานการณ์ลอบทำร้ายร่างกาย เฮียเตอร์ทำหน้าเหวอก่อนจะมองผมสองคนสลับกัน ผมมองเฮียด้วยหน้าตาที่คิดว่าน่าสงสารที่สุดส่วนพี่มันพอเงยหน้ามาเจอเพื่อนตัวเองก็ขำหึๆอยู่นั่นอ่ะ เปงบ้าหลอ?



“อ่ะ โทษทีตามสบายจ้า”



ไอ้เฮี๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!



ผมมองตามหลังเฮียเตอร์ตาปริบๆ ส่วนพี่มันพอเห็นเพื่อนออกไปแล้วก็ปล่อยผมลงจากตัว ผมนี่รีบเขยิบออกห่างทันทีเลย กลัวจะตายห่าแล้ว ไม่รู้สายพันธุ์ไหนเสร็จจากนี่คงต้องไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลแล้ว



หมาคินโว้ยยย!!



“ไง?”



“....” ไงพ่องอ่ะ



“เงียบเลย”



“....” ใครจะไปอยากคุยกับหมาอย่างมึงอ่ะ



“หึ”



พอเห็นว่าผมไม่คุยด้วยพี่มันก็เดินออกจากหลังร้าน ก่อนออกไม่วายยกมือมาผลักหัวจนผมเกือบตีลังกากลับหลัง ดีที่ยึดเคาน์เตอร์ไว้ได้ไม่งั้นได้ตีลังกากลับหลังสามตลบโชว์แล้ว



ผมทำหน้ายุ่ง ในใจก็ด่ามันวนไปสิครับรออะไร



ฮ่วย!



ผมเดินออกมาจากหลังร้านด้วยอารมณ์บ่จอย เฮียเตอร์มองหน้าผมยิ้มๆเหมือนอยากจะแซว อีกคนที่นั่งข้างกันก็แสยะยิ้มส่งให้ผมด้วยความสะใจ บักห่าหนิ!



“ผมกลับแล้วนะเฮีย” ผมบอกเฮียเตอร์ที่นั่งอยู่ ยังงอนอยู่ไม่กินข้าวด้วยแล้ว



“อ้าว ไม่กินข้าวด้วยกันแล้วเหรอวะ” เฮียเตอร์ถามยิ้มๆ



“ความหิวมันหมดไปนานละเฮีย ผมไปก่อนนะ” ผมก็ตอบไปด้วยหน้าบึ้งๆที่ติดจะเซ็งนิดหน่อย



“กูเข้าใจๆ กลับดีๆเว้ย”



เฮียยิ้มชั่วส่งมาให้ผมสลับกับหันไปมองเพื่อนตัวเอง พอเห็นแบบนั้นผมก็ได้แต่เบ้หน้าใส่เฮีย



จะโป้งๆให้หมดเลยแม่ง ไม่คุยด้วยแล้ว!



โกรธโว้ย!!!!!!!



✿✿

TBC...
 
ติดแท็ก #นิยายเขาว่ากันว่า ได้นะค้าา

ติดตามข่าวสารได้ที่
twitter
facebook







ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่3



“ผมอยากจะเห็นพวกคุณสามัคคีกันมากกว่านี้หรือว่าพวกคุณไม่อยากได้รุ่นกันแล้วครับ” เสียงพี่ระเบียบดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องประชุม



“อยากค่ะ/ครับ”



“ถ้าอยากแล้วทำไมพวกคุณถึงมากันแค่นี้”



“....”



“ผมถามก็ให้ตอบ ทุกคำถามย่อมมีคำตอบ”



“ไม่ทราบครับ/ค่ะ”



“ทำไมไม่ทราบครับ พวกเขาไม่ใช่เพื่อนของพวกคุณหรือไง”



“ใช่ครับ/ค่ะ”



“แต่พวกเขาคงไม่เห็นพวกคุณเป็นเพื่อนหรอกมั้งครับไม่งั้นพวกเขาคงมากันแล้ว”



ทุกคนในห้องเชียร์เงียบกริบ ขนลุกเกรียวพรึบพรับ ผมกับไอ้ทิมที่นั่งข้างกันเหงื่อไหลซกๆทั้งที่ในห้องประชุมก็เปิดแอร์



พวกเรานักศึกษาปีหนึ่งนั่งหลังตรงครึ่งเก้าอี้และวางมือไว้ที่หน้าขาทั้งสองข้าง รู้สึกอยากขยับตัวแต่พอขยับก็จะได้ยินเสียงพี่ระเบียบที่เฝ้าแต่ละแถวพูดขึ้นทันที



“จะทำอะไรก็หัดขออนุญาตบ้างนะครับ”



นั่นล่ะครับเหตุผลที่ทุกคนไม่กล้าจะขยับตัวแม้แต่นิดเดียว



“วันนี้ผมมีงานจะสั่งให้พวกคุณทุกคนทำเพื่อยืนยันความสามัคคีของพวกคุณ”



“....”



“ผมอยากเห็นสัญลักษณ์รุ่นที่แสดงถึงความสามัคคีของพวกคุณทุกคน งานชิ้นนี้พวกคุณต้องนำมาส่งผมในวันเชียร์คณะครั้งต่อไป ข้างในทราบไม่ทราบ!”



“ทราบครับ!/ค่ะ!”



“ดีครับ วันนี้ผมขอตัวแทนหนึ่งคนเพื่อมาสรุปว่าวันนี้พวกคุณได้อะไรบ้าง เชิญครับ!”



เงียบกริบ…



ทุกคนมองกันด้วยหางตา ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นไปสักคน จนพี่ระเบียบต้องส่งเสียงขึ้นอีกรอบ



“เชิญครับ!”



สะดุ้งกันเป็นแถบๆเลยเอาสิ



กว่าจะมีตัวแทนออกไปพวกผมก็เกือบจะหยุดหายใจไปพร้อมกัน เป็นช่วงเวลาที่กดดันมากอ่ะครับพูดเลย



หลังจากตัวแทนพูดเสร็จพี่ระเบียบก็ทยอยปล่อยพวกผมไปทีละแถว พวกเราทุกคนเดินสงบเสงี่ยมเจียมตัวให้ได้มากที่สุดส่วนมือก็ต้องแนบกับลำตัวตลอดและระหว่างเดินก็ห้ามมีเสียงคุยเด็ดขาดไม่งั้นจะได้กลับมาเดินใหม่แน่ๆครับ



พอพ้นเขตห้องประชุมเท่านั้นแหละครับจากที่นักศึกษาทุกคนเคยสงบเสงี่ยมเดินอย่างผู้ดีตอนนี้ก็แปลงร่างเป็นลิงเป็นค่างกันไปหมดแล้วไม่เว้นแม้กระทั่งผมกับไอ้ทิม



“ฮือออ พี่หล่อนะแต่พี่โหดอ่ะ”



“ใช่ม้ะ พี่ที่ยืนเฝ้าแถวกูนี่แบบหล่อฉิบหายแต่ก็ปากจัดฉิบหายเหมือนกัน”



“โฮ กูคิดถึงหน้าพ่อหน้าแม่ตลอดเวลาเลย”



ผมกับไอ้ทิมยืนฟังผู้หญิงกลุ่มข้างๆพุดคุยกันแล้วก็ต้องพยักหน้าตามคำพูดพวกสาวๆอย่างเห็นด้วย ที่พวกเธอพูดมาคือตรงใจพวกเราที่สุดแล้วครับ



“ไปหาอะไรมาเยียวยาจิตใจกันดีกว่า”



“เออไปๆนี่ก็ใกล้จะสองทุ่มแล้วด้วย”



“นั่นสิรีบเลยมึงเดี๋ยวโต๊ะเต็ม”



พอพวกเธอตกลงกันเสร็จสรรพก็รีบวิ่งติดสปีดแต่สงสัยลืมว่ามีรถมั้งถึงได้วิ่งกลับมาหน้าตาตื่นแล้วสตาร์ทรถออกไปอย่างเร็ว



มองพวกเธอไปจนลับสายตา ไอ้ทิมเพื่อนรักจึงหันมาถามผมบ้าง “เอาไงมึงไปไหนดี?”



“กูต้องไปทำงานต่อที่ร้านเฮียเตอร์ว่ะ ไปด้วยกันป่ะ?”



“มึงไปไหนกูก็ไปด้วยอ่ะ กูไม่มีเพื่อนอยู่ละ”



“ก็จริง น่าสงสารเขานะครับ” ผมว่าพร้อมกับส่งสายตาที่แสดงออกว่าสงสารมันอย่างชัดเจน



“เหมือนมึงมีคนคบนอกจากกูอ่ะ ทำเป็นพูด”



ได้ยินแบบนี้ทีไรรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจทุกทีและแน่นอนว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้เพราะข้างๆผมยังมีไอ้ทิมเพื่อนรักอีกคนที่คงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน



“ลืมว่ะ เฮ้อ..”



ก็คือเรื่องที่เราคบกันอยู่แค่สองคนยังคงเป็นประเด็นถกเถียงได้ตลอดเวลาและคงจะเถียงกันตลอดไปแน่นอนครับถ้าพวกผมไม่เลิกคบกันไปก่อนอ่ะนะ



“บางทีกูก็คิดว่ามึงเกลียดกูจริงๆ” ไอ้ทิมมันว่างั้น



“ไม่ต้องคิดมันเป็นเรื่องจริง” ผมก็เลยตอบมันไปตรงๆ



“ห่า!”



ผมหัวเราะใส่ไอ้ทิมที่ทำหน้าบึ้งแล้วเดินกระทืบเท้าปังๆจนคนที่อยู่ใกล้ๆหันมามอง แต่ไม่รู้ว่ากระทืบอีท่าไหนถึงได้ไปเหยียบหางหมาที่กำลังนอนเลียขนอยู่ใกล้ๆเข้า



นู่นครับไอ้เพื่อนรักของผมมันวิ่งหนีหมาไปนู่นแล้ว



โอ๊ย! เพื่อนกู



✿✿



“แฮ่กๆๆ”



เสียงหอบหายใจของไอ้ทิมดังขึ้นหลังจากมันวิ่งหนีหมามาเป็นเวลานาน คิดดูสิครับว่ามันวิ่งไกลแค่ไหนระยะทางจากคณะมาถึงหลังมหา’ลัยเนี่ยมันก็ไกลอยู่พอสมควรเลยนะครับสำหรับคนที่ไม่มียานพาหนะอย่างพวกผมอ่ะ ไอ้ผมกว่าจะตามมันมาทันก็แทบหอบแดกเหมือนกันนะครับพูดเลย



“เป็นไงวะเพื่อนรัก?” ผมที่พักหายใจหายคอจนเริ่มหายเหนื่อยแล้วก็ถามมันขึ้น



“เหนื่อยสิสัด อิหมาเหี้ยอย่าให้กูเจออีกนะโว้ย!” มันว่าด้วยใบหน้าที่เคียดแค้นพร้อมกับหยาดเหงื่อหยดติ๋งๆเป็นพร็อบประกอบ



“ถ้ามึงเจอมันมึงจะทำอะไร?”



“ซื้ออาหารไปให้มันสิครับรออะไร”



“โธ่”



ผมยืนมองไอ้ทิมด้วยความสะใจ นี่เพื่อนกันจริงๆนะก็แค่สะใจที่มันโดนหมาวิ่งไล่จนมายืนหอบแฮ่กๆเหมือนหมาอีกทีเท่านั้นเอง



พอเห็นสภาพมันแล้วก็ตลกอ่ะครับ



“เข้าร้านได้ละ” ผมชวนมันหลังจากมันยืนหอบหายใจเข้าปอดอยู่สักพัก



“เออ มึงนำไปเลย”



ผมทำงานร้านเฮียได้ประมาณสองอาทิตย์แล้วครับ เวลามีกิจกรรมก็บอกเฮียก่อน เฮียก็ใจดีมากถึงผมมีกิจกรรมแล้วต้องกลับมาทำงานช้าแต่เฮียก็ไม่ได้หักเงินค่าจ้างผมสักบาท ดังนั้นเวลาเฮียให้ช่วยอะไรหรือให้ทำอะไรผมก็ทำให้เฮียทุกอย่างแบบเต็มใจเลยอ่ะ



“หวัดดีครับเฮีย”



ผมกับไอ้ทิมเดินเข้าร้านมาได้ก็มาทักทายเฮียเตอร์ผู้เป็นเจ้าของร้านเป็นอันดับแรก ไอ้ทิมเพื่อนรักพอมันทักทายเสร็จก็ขอแยกตัวไปหาโต๊ะนั่งพักเหนื่อยต่อตอนนี้ก็เลยมีผมที่ยืนทำหน้าสลอนอยู่ตรงหน้าเฮียเตอร์เพียงลำพัง



“ไปล้างหน้าล้างตาก่อนไปแล้วค่อยมารับออเดอร์ลูกค้า”



“ครับ”



ผมเดินไปล้างหน้าล้างตาหลังร้านแล้วเดินออกมาเพื่อรับออเดอร์ของลูกค้าที่พึ่งเข้ามาในร้านพอดี ตอนนี้ยังไม่ถึงสองทุ่มซึ่งเป็นเวลาที่คุณก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ก็นะอีกประมาณสิบนาทีเท่านั้นล่ะเวลาที่ทุกคนรอคอยก็จะมาถึง อืม...เว้นผมไว้คนหนึ่งก็แล้วกันนะครับที่ไม่เคยคิดจะรอเวลานี้เลยสักนิดเดียว



“ตกลงเอาเป็นสเต็กปลาสามที่ เฟรนช์ฟรายด์ชุดใหญ่หนึ่งแล้วก็น้ำเปล่าสามนะครับ”



ผมทวนรายการอาหารให้ลูกค้าฟังอีกรอบเพื่อกันความผิดพลาด พอได้การตอบกลับเป็นการพยักหน้าด้วยรอยยิ้มผมก็เอาออเดอร์ไปส่งให้เฮียที่รออยู่ก่อนแล้ว



เมื่อไม่เห็นวี่แววว่าลูกค้าจะเข้าร้านและเฮียเตอร์ยังคงทำออเดอร์ให้ลูกค้าไม่เสร็จ ระหว่างรอผมก็เดินไปหาไอ้เพื่อนรักที่ตอนนี้กำลังนั่งดูดเส้นสปาเก็ตตี้อย่างเอร็ดอร่อยไม่มีความรักษาภาพลักษณ์อะไรทั้งสิ้น เห็นสภาพมันแล้วก็อืม...ขอไม่พูดถึงดีกว่านะครับ



“กินหรือเขมือบ” ผมมาหยุดยืนข้างๆมันก็ถามไอ้คนที่กำลังดูดกินเส้นอย่างเอาเป็นเอาตายตรงหน้า



“รับประทาน”



“ถุย! ทำมาเป็นผู้ดี ดูหน้ามึงด้วย”



“ดูทุกวันก็หล่อทุกวัน” โอ้โห! คำตอบมึงนี่สมกับเป็นเพื่อนกูจริงๆเลยเพื่อนรักถึงแม้สิ่งที่มันตอบจะไม่ใช่ความจริงก็เถอะ



“ที่พูดคือคิดแล้ว”



“ทำไมต้องคิดความจริงก็คือความจริงหรือมึงจะเถียง” ไอ้นี่มันขี้มโนครับ ชอบบอกว่าความคิดของตัวเองเป็นความจริงอยู่เรื่อยโดยเฉพาะความคิดที่มันบอกว่าตัวเองหล่อเนี่ยคือความคิดที่โคตรๆไม่จริงเลยล่ะครับ สังเกตุจากเบ้าหน้ามันก็ได้



“เถียง”



“ว่ามา”



“ไอ้หน้าจืด จืดกว่านมที่กูกินอีก จืดแบบจื๊ดจืด แกงจืดที่ว่าแน่ยังไม่เท่าหน้ามึงเลยเหอะ เอาอีกมั้ยอ่ะ”



“ยังมีต่อ?”



“อือเยอะเลย วันนี้คงไม่ทันด้วยขอเหมารอบทั้งอาทิตย์ละกัน”



“ไอ้เหี้ยขนาดนั้นเลย”



“ยิ่งกว่านั้นอีก”



“กูว่าพอเถอะสงสาร”



“สงสารกู?”



“สงสารตัวเองนี่แหละไอ้ห่า”



ผมหัวเราะสะใจที่ในที่สุดก็ชนะไอ้ทิมสักทีหลังจากปะทะฝีปากกันมานานแล้วไอ้เพื่อนรักมันชนะผมตลอด



ผมกับไอ้ทิมคุยเล่นงุ้งงิ้งกันอยู่สองคน ทุกเรื่องล้วนไร้สาระ พอถามถึงงานที่อาจารย์ให้ทำก็ไม่มีใครรู้สักคนเพราะรักเรียนกันทั้งคู่ รักแบบที่ว่าพอเห็นอาจารย์อ้าปากพูดก็ฟุบหลับไม่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นทันที



“ทาวน์มาเอาออเดอร์ไปเสิร์ฟให้ลูกค้า”



พอได้ยินเฮียเตอร์เรียกก็รีบล่ำลาเพื่อนรักแล้วหยิบออเดอร์ไปส่งให้ลูกค้าตามที่เฮียบอก ยังไม่ทันจะวางจานสุดท้ายลงบนโต๊ะของลูกค้า นักศึกษาทั้งหลายก็กรูกันเข้ามาจับจองที่นั่งในร้านจนเต็มทุกโต๊ะ



ไม่ต้องดูนาฬิกาว่าตอนนี้กี่โมงก็ยังรู้เลยครับว่าสองทุ่มแล้วและนั่นไงพระเอกของงานก็ปรากฏตัวแบบพอดิบพอดีหลังจากคนในร้านที่เข้ามานั่งลงบนเก้าอี้เป็นคนสุดท้าย



พี่มันเดินเข้ามาในร้านก็ยักคิ้วซ้ายทีขวาทีให้ผมเป็นปกติ ผมก็ทำหน้าเซ็งๆส่งให้พี่มันเป็นปกติเหมือนกัน พอมาทำงานที่นี่ได้สองอาทิตย์ก็เริ่มชินและชาเพราะต้องเจอพี่มันทุกวัน บางวันเฮียเตอร์ก็ใช้พี่มันนี่แหละไปส่งผมที่หอ อยากจะบอกว่าทะเลาะกันตลอดทาง ยังดีนะครับที่รถไม่ลงข้างทางหรือคว่ำตายกันไปก่อน



ผมกับพี่มันเหมือนจะไม่ตีกันแต่ก็ตีกันมันก้ำกึ่งอยู่แบบนั้นอ่ะครับ พี่มันเวลาเงียบหรือเวลาจริงจังก็โคตรคูลอย่างที่ทุกคนพูดกันแต่พอเวลาง้างปากพูดกับผมก็แบบอย่างจระเข้ฟาดหางใส่สักป้าบเหมือนกัน



เฮียเตอร์กับไอ้ทิมก็เลยชอบล้อพวกเราสองคนว่าเหมือนผัวเมียที่ชอบทะเลาะกันแต่ก็รักกันดี ให้ตายเหอะ! ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนกันนะ



“ไง?” อีกอย่างคือพี่มันต้องเดินเข้ามาทักทายผมทุกครั้งเวลาเดินเข้ามาในร้านเลยก็คือไม่เข้าใจอ่ะครับว่าจะทำไปทำไมแทนที่จะไปทักทายเพื่อนตัวเองที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าเคาท์เตอร์นู่น



“สวัสดีครับ” ผมพูดแค่นั้นแล้วรีบเดินไปหาไอ้ทิมที่ทำหน้าล้อเลียนใส่ผมอยู่ก่อนแล้ว



พี่มันพอเห็นแบบนั้นก็เดินแยกไปหาเพื่อนตัวเองที่ร้องแหมๆใส่พี่มันตลอดจนพี่มันเดินไปถึงแล้วตบหัวเฮียดังป้าบนั่นล่ะถึงได้หยุดแหม



รู้สึกสมน้ำหน้าจังเลยครับ



“ดูทำหน้าเข้า” ไอ้ทิมมันเอาหน้าของมันมามองหน้าผมที่ตอนนี้คงหงิกงอได้ที่แล้วเหมือนกัน



“กูล่ะหมั่นไส้พี่มันจริงๆ แล้วคือไม่เข้าใจทำไมถึงชอบกวนตีนกู”



“ก็พี่เขาจีบมึง”



“จีบที่หน้ามึงดิ”



“เออจีบต่อหน้าคนทั้งร้านด้วยซ้ำ”



“สัด”



มาบ่นกับไอ้ทิมแค่แป๊บเดียวก็ต้องกลับไปทำงานต่อเพราะลูกค้าเริ่มหิวโหยกันแล้วดูได้จากหน้าแต่ละคน ไม่รู้ว่าหิวอาหารหรือหิวไอ้พี่คินกันแน่ก็ไม่รู้



✿✿



 บรรยากาศในร้านก็ครึกครื้นเป็นปกติ ทั้งสาวๆหนุ่มๆก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เห็นที่พวกเขาคุยข้ามโต๊ะกันก็ดูตลกดี ไม่ได้ข้ามธรรมดานะครับคืออีกโต๊ะหนึ่งอยู่หน้าประตูแต่อีกโต๊ะอยู่นู่นเกือบในสุดของร้านเลยยังอุตส่าห์จะคุยกันอ่ะแต่ทุกคนในร้านก็ไม่ได้มีใครว่าอะไรนะครับเพราะก็ร่วมสนทนาไปด้วยกัน ส่วนใหญ่เรื่องที่คุยกันก็คงไม่พ้นเรื่องพี่คินนั่นแหละครับ



ตอนที่ผมเอาน้ำไปเติมให้ลูกค้าก็แอบได้ยินมาเหมือนกัน



“นี่ๆเขาว่ากันว่าพี่คินมีแฟนแล้วอ่ะ”



“จริงดิแต่วันก่อนเห็นเดินกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้โคตรสวยเลย”



“ใช่ๆเห็นเหมือนกัน ก็ดูเหมาะกันดีนะแต่ผู้หญิงหยิ่งมากเว่อ คอนี่เชิดแบบกูเมื่อยแทนเลย”



“อาจจะไม่ใช่แฟนก็ได้อ่ะกูว่า แค่คนควงงี้ พี่คินก็ไม่เห็นจะจริงจังกับใครสักคน”



“ใช่ม้ะ”



“เออพวกกูเห็นด้วยทุกประการ”



เนี่ยยืนฟังก็ได้ใจความประมาณนี้แหละ ไม่พ้นเรื่องผู้หญิงคนใหม่ของพี่มันอีก ได้ยินจนเบื่ออ่ะ สองอาทิตย์มานี่ได้ยินว่าเปลี่ยนผู้หญิงแทบทุกวันเลย คงคิดว่าหล่อมากมั้ง



เออ!...ก็หล่อจริงๆนั่นแหละ



และอีกประเด็นหนึ่งตอนผมย้ายตัวเองมาเติมน้ำให้อีกโต๊ะที่อยู่ห่างกันประมาณสองสามโต๊ะ



“มึงว่าผู้ชายในรูปที่เดินกับพี่คินใครวะ”



ได้ยินแบบนั้นก็แอบๆเหลือบดูโทรศัพท์ของเจ๊ที่อยู่ใกล้ๆ



“โหย! โคตรเมะโคตรเคะในตำนานมากเว่อ”



“จริง อีกคนเดินหน้านิ่งๆแต่อีกคนนี่แบบยิ้มทีโลกสดใสเลยอ่ะ”



“เด็กใหม่หรอวะ?”



“ไม่รู้ดิแต่ก็ดูน่ารักดีอ่ะ”



“ตกลงพี่คินเป็นเกย์จริงดิหรืออาจจะเป็นไบเพราะวันก่อนก็เห็นเดินกับผู้หญิง”



“พี่คินจะเป็นอะไรกูไม่รู้หรอกแต่ที่รู้ๆกูว่าตอนนี้เราควรถ่ายช็อตนั้นเก็บไว้ เหี้ยโคตรหล่อ!”



แล้วทุกคนก็หยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาคนละอัน เดี๋ยวนะคือพร้อมมาก ผมหันไปดูคนที่โดนแอบถ่ายรูปก็เห็นพี่มันทำหน้ายุ่งขมวดคิ้วกับกระดาษที่อยู่ในมือ



เออยอมรับว่าโคตรหล่อเลย



ผมบอกแล้วไงครับเวลาพี่มันไม่ง้างปากคุยกับผมอ่ะจะโคตรหล่อโคตรคูลเหมือนที่หลายๆคนได้พูดไว้ที่สุด



พอได้ว่างแล้วผมก็ปลีกตัวมานั่งเล่นกับไอ้ทิมเพื่อนรักที่ตอนนี้ที่กำลังนั่งกินนักเก็ตที่มันสั่งเพิ่มอยู่



“ไอ้ทิม” พอเห้นว่ามันเคี้ยวนักเก็ตหมดคำแล้วผมจึงตัดสินใจเรียกมันเพื่อถามถึงข้อสงสัยของตัวเอง



“ว่ามา”



“กูได้ยินพวกผู้หญิงในร้านคุยกันว่าพี่คินเป็นเกย์ใช่ป่ะ”



“กูจะไปรู้กับมึงหรอ”



“อีสัดกูไม่ได้ถามเออต่อเลยนะ แล้วทีนี้เขาบอกกันว่าแต่ก็ยังเห็นพี่คิดยังควงผู้หญิงอยู่”



“แล้ว?”



“พวกผู้หญิงก็เลยบอกว่าเขาเป็นใบ”



“อ่าห้ะ”



“กูเลยสงสัยว่าพี่มันเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวหรือใบเลี้ยงคู่วะ?”



“เลี้ยงคู่สิวะ พี่มันควงไม่ว่าจะผู้หญิงผู้ชายแต่ก็ควงวันละคนรวมพี่คินแล้วก็เป็นสองก็เลยเป็นใบเลี้ยงคู่ไง”



“ทำไมฉลาด?”



“ก็ไม่ได้โง่เหมือนมึง”



ทั้งที่รู้ว่าจะโดนมันด่าก็เสือกยังจะมาถามมันแต่ถ้าผมไม่ถามมันแล้วจะให้ไปถามใครล่ะครับ ก็ผมคบกับมันอยู่แค่สองคนเองนะ



งั้นผมสรุปให้เลยนะว่าพี่คินเป็นใบเลี้ยงคู่



✿✿



หลังจากช่วยเฮียเก็บร้านจนเสร็จ เฮียเตอร์ก็ชวนผมกับไอ้ทิมอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนจะกลับ ตอนที่ได้ยินเฮียชวน ผมคิดว่าไอ้ทิมมันจะปฏิเสธแต่เปล่าเลยครับมันกลับตอบรับแล้วลูบท้องตัวเองป้อยๆเหมือนยังไม่ได้กินอะไรทั้งที่มันสั่งเกือบทุกเมนูไปนั่งกินก่อนหน้านั้นแล้ว



ตอนนี้ในโต๊ะที่พวกผมใช้กินข้าวก็เลยมีผู้ร่วมโต๊ะทั้งหมดสี่คน ผมนั่งข้างไอ้ทิมตรงข้ามไอ้พี่คิน โคตรโชคร้ายเลยและผมก็รู้ด้วยว่าเฮียเตอร์กับไอ้ทิมมันรวมหัวกันแกล้งผม คงชอบสินะที่เห็นผมกับพี่คินทะเลาะกันน่ะ โธ่เอ๊ย!



“เหนื่อยมั้ยมึง อยากลาออกตอนนี้ไม่ทันแล้วนะเว้ย” เฮียเตอร์เป็นคนเปิดบทสนทนาหลังจากที่ทุกคนเอาแต่ก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปาก



“เหนื่อยมากอ่ะ โคตรเหนื่อยเลยเฮีย ยิ่งช่วงสองทุ่มเป็นต้นไปนะเหนื่อยฉิบหาย”



“ทนๆไปก่อนเดี๋ยวอีกอาทิตย์หนึ่งก็ไม่เหนื่อยละ”



“ทำไมอ่ะ เฮียจะไล่ผมออกเหรอ?”



“ไม่ใช่ก็อีกอาทิตย์หนึ่งก็จะครบเดือนที่ไอ้คินต้องเข้าร้านไง จากนั้นมันก็ไม่ต้องเข้าร้าน ก็อาจจะมาแต่คงไม่บ่อยอะไรแบบนั้นแหละ”



“จริงดิ” ผมยิ้มกว้างแบบไม่รู้ตัว รู้สึกดีใจมากๆที่ไม่ต้องเจอหน้าไอ้พี่คนมันแล้ว



“เกินหน้าเกินตาไปแล้วมึง” คนที่เป็นหัวข้อสนทนาเอ่ยปากขึ้นขำๆแล้วตักผัดเผ็ดหมูมาใส่จานผม ถ้าตักดีๆก็จะขอบคุณอยู่หรอกนี่อะไรอ่ะพริกล้วนๆเลย



“ตักพริกมาทำไมวะพี่ผมไม่กิน เอาไปกินเองเลยไป” ผมตักคืนใส่จานเขาแต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรแค่เขี่ยพริกไปไว้ที่ขอบจานเท่านั้น



“แล้วทำไมพี่คินถึงไม่ต้องเข้าร้านแล้วอ่ะเฮีย” คราวนี้ไอ้ทิมเป็นคนถามบ้างหลังจากตักข้าวเพิ่มเป็นจานที่สองทั้งที่คนอื่นยังกินข้าวจานแรกไม่หมดเลย



“ก็กูกับมันตกลงกันไว้นิดหน่อย”



“อะไรอ่ะเฮีย” หน้าไอ้ทิมพร้อมเสือกเต็มที่



“เรื่องผู้ใหญ่เด็กไม่ต้องรู้หรอก”



“ไรวะ นี่ก็โตแล้วนะจะยี่สิบแล้วด้วย”



“ยี่สิบก่อนแล้วค่อยว่ากัน โอเคนะเด็กๆ”



อยากจะตอบว่าไม่โอเคแต่ก็เซ้าซี้ไปเฮียมันก็ไม่บอกหรอก ก็เลยต้องยอมโอเคไปงั้นแหละ



เมื่อทุกคนกินอาหารเสร็จเรียบร้อยเฮียเตอร์กับไอ้ทิมก็รับหน้าที่ล้างจานเพราะเป่ายิงฉุบแพ้และครั้งหน้าผมกับไอ้พี่คินก็ต้องเป็นคนล้างจานต่อถ้าเราร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกันอีก



ตอนนี้ในร้านก็เลยมีผมนั่งฉลาดๆอยู่คนเดียวเพราะอีกสองคนไปล้างจานหลังร้านส่วนอีกคนหนึ่งก็หายหัวไปไหนก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือเขายังไม่กลับหรอกก็รถพี่คินยังจอดอยู่หน้าร้านนี่ไง



“ทาวน์มาเอาขยะไปทิ้งหน่อย”



“คร้าบบบบ”



ผมขานรับเฮียเตอร์ที่ตะโกนมาจากหลังร้าน หยิบถุงขยะที่มัดไว้เรียบร้อยมาถือไว้เต็มสองมือแล้วเอาไปทิ้งที่ถังขยะใกล้ๆร้าน



ทิ้งขยะเสร็จก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นคนที่หายไปจากในร้านมายืนสูบบุหรี่อยู่ใกล้ๆ



ผมมองเขานิดหน่อยแล้วก็ทำท่าจะเดินหนีเพราะไม่ค่อยชอบกลิ่นบุหรี่เท่าไหร่นักแต่อีกคนเหมือนอยากจะแกล้งผมเต็มที่เพราะเขาคว้าแขนผมไว้แล้วพ่นบุหรี่ใส่หน้าจนผมไอค่อกแค่กไม่หยุด



“ทำบ้าอะไรวะ!” ผมโวยวายหลังจากหยุดไอแล้ว



“หมั่นไส้”



ดูครับ ดูคำตอบของพี่มัน!



“ผมไปทำอะไรให้พี่”



“ไม่รู้เห็นหน้ามึงแล้วหมั่นไส้”



“อ้าวอะไรวะ” พี่คินนี่แม่งเป็นคนเข้าใจยากคนหนึ่งเลยนะครับ



“ไปได้ละ เป็นเด็กเป็นเล็กมายืนดมควันบุหรี่มันไม่ดี”



“ก็พี่นั่นแหละพ่นใส่หน้าผม”



เขายิ้มขำแล้วปล่อยแขนผมให้เป็นอิสระ ผมก็รีบเดินจ้ำๆกลับเข้าไปในร้านงงๆ เห็นไอ้ทิมนั่งรออยู่แล้วก็เลยล่ำลาเฮียเตอร์เพื่อจะได้กลับหอไปนอนพักสักที



เหนื่อยฉิบหายเลยครับ



“กลับดีๆล่ะ”



“คร้าบบบบบ”



พวกผมเดินออกมานอกร้านก็เป็นจังหวะเดียวกับพี่คินจะเดินเข้าร้านพอดี ไอ้ทิมเลยเรียกพี่มันไว้ก่อน



“พี่คินหวัดดีพี่ พวกผมกลับล่ะนะ”



“อือ กลับดีๆ”



เขาว่าแค่นั้นแล้วเดินเข้าร้านไปส่วนพวกผมพอล่ำลาผู้อาวุโสเสร็จก็เดินกอดคอร้องเพลงกลับหออย่างมีความสุข



ชีวิตมันก็มีแค่นี้แหละครับ….



✿✿



TBC...
 
ติดแท็ก #นิยายเขาว่ากันว่า ได้นะค้าา

ติดตามข่าวสารได้ที่
twitter
facebook


ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่4



วันนี้เป็นวันดีเพราะวันนี้เป็นวันที่ผมสอบควิซอังกฤษผ่านและไม่รู้ไปทำอีท่าไหนถึงได้คะแนนเยอะแบบไม่อยากจะเชื่อ ขนาดเพื่อนในคลาสนี่ยังมองผมแล้วมองผมอีก มองผมประมาณว่าเห็นหน้าโง่ๆไม่คิดว่าจะเก่งอะไรแบบนี้เลย



โหย...นี่ผมก็ไม่อยากจะโม้นะครับว่าก่อนสอบเข้ามหา’ลัยก็แอบไปเข้าคอร์สภาษาอังกฤษมาตั้งหนึ่งคอร์ส เสียไปสองหมื่นไม่ได้อะไรกลับมาก็ให้มันรู้ไปสิวะ



“ไม่อยากจะเชื่อ” เสียงไอ้ทิมดังขึ้นขัดผมที่กำลังอมยิ้มกับผลการสอบควิซครั้งแรก



“ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หันไปตอบมันและยักคิ้วแถมไปให้มันอีกสองจึก



“พรุ่งนี้จะซื้อน้ำแดงมาถวาย”



“ขอสองขวด” บอกสองแต่ก็ชูนิ้วขึ้นมาห้านิ้ว ไอ้ทิมมันเลยโบกผมไปที



“โลภ”



ไอ้ทิมยังคงทำหน้าเหลือเชื่อที่ผมสอบอังกฤษได้คะแนนดีไม่ต่างจากเพื่อนๆคนอื่นเลยสักนิด ส่วนอาจารย์ฝรั่งท่านก็ชมเวรี่กู้ดๆทั้งคาบทำเอาผมนั่งยิ้มจนเหงือกแห้งไปหมด



เนื่องจากได้คะแนนดีวันนี้เลยกะว่าจะพาไอ้ทิมมันไปเลี้ยงสักหน่อย สถานที่ก็ไม่ใช่ที่ไหนไกล ร้านสเต็กเฮียเตอร์เจ้าเก่าเจ้าเดิมนั่นแหละจะได้เลยไปทำงานด้วยแล้วก็อยากจะเอาเรื่องนี้ไปอวดเฮียเตอร์กับไอ้พี่คินจะแย่ จะได้รู้ซะบ้างว่าผมน่ะไม่ธรรมดา



วันนี้ประธานคณะของชั้นปีที่หนึ่งนัดทำสัญลักษณ์รุ่นตอนห้าโมงเย็น ผมก็เลยบอกเฮียไว้ว่าอาจจะเข้าร้านช้าสักหน่อยเพราะต้องทำให้เสร็จภายในวันนี้



“เจอกันห้าโมง”



ผมกับไอ้ทิมแยกย้ายเข้าห้องใครห้องมันหลังจากพากันมาถึงหอแล้ว ห้องของผมอยู่ชั้นสามส่วนห้องของมันอยู่ชั้นสี่



ผมพักกับเมทอีกคนที่เขาจับสุ่มๆให้อยู่ด้วยกัน เมทผมคนนี้มันเรียนประมงอยู่ปีหนึ่ง หน้าตาก็หล่อเหลา อวดทุกวันว่ามีแต่สาวมาจีบ มันก็ดีครับอยู่ด้วยแล้วสบายใจไม่อึดอัด ชวนไปนู่นไปนี่แต่ผมก็ไม่ว่างไปกับมันสักทีเพราะเวลาไม่ค่อยตรงกันสักเท่าไหร่ ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ห้องหรอก เดาว่าน่าจะเข้าเชียร์คณะของมันอยู่ เห็นมันบอกว่าโหดใช้ได้เลยแต่เอาจริงๆก็โหดมันทุกคณะนั่นแหละครับ



ปีหนึ่งก็แบบนี้แหละครับกิจกรรมก็จะเยอะเป็นธรรมดาแล้วยิ่งมหา’ลัยของผมที่ต้องเก็บหน่วยกิตให้ครบตามกำหนดแล้วด้วยยิ่งต้องเข้ากิจกรรมทุกกิจกรรมหรือจะไม่เข้าทุกกิจกรรมก็ได้แต่ผมว่าเข้าเถอะครับจะได้เป็นการเก็บหน่วยกิตไปด้วยถึงกิจกรรมมันจะน่าเบื่อแค่ไหนก็ทนๆเอาหน่อยเวลาอยู่ปีสูงๆจะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยกับการเก็บหน่วยกิตของกิจกรรมด้วย เวลาทั้งหมดก็จะได้ทุ่มให้กับการเรียนได้อย่างเต็มที่



ที่เห็นว่าพูดจามีสาระนี่ก็ไม่ได้คิดเองหรอก รุ่นพี่เขาบอกมาอีกทีอ่ะครับ



พอคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสักพักก็เริ่มง่วง ผมเลือกที่จะทิ้งตัวบนที่นอนและปิดเปลือกตาลงเพื่อพักผ่อนก่อนที่จะไปตามนัดของคณะในเวลาห้าโมงเย็น



ห้าโมงเย็นไวเหมือนโกหกเมื่อไอ้ทิมเพื่อนรักมาเคาะประตูห้องผมปังๆเหมือนคนหนีหนี้ ผมลุกขึ้นจากเตียงลูบหน้าลูบตาตัวเองให้สร่างก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้ไอ้ทิมที่มือค้างอยู่ตรงหน้าคงเตรียมท่าจะเคาะประตูอีกถ้าหากว่าผมยังไม่เปิดให้มันเข้ามา



“นึกว่าไหลตายไปแล้ว” มันเอ่ยทักผมด้วยคำมงคลและเบี่ยงตัวเดินเข้ามาในห้องผมอย่างมีมารยาท



ผมมองมันไม่ได้ว่าอะไรเพราะมันก็มาที่ห้องผมบ่อยๆตั้งแต่รู้จักกันมา ผมก็ไปห้องมันบ่อยเหมือนกันครับแต่พอได้ทำงานที่ร้านเฮียเตอร์แล้วช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้โผล่ไปที่ไหนสักเท่าไหร่



“อือ ล้างหน้าแป๊บนึง”



ผมเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำโดยปล่อยไอ้ทิมให้นั่งรอบนเตียงนอนของผม



“เอ้อไอ้เมทมึงนี่ไม่ค่อยอยู่ห้องหรอวะ กูมาทีไรไม่เคยเจอมันสักที”



ทิมถามขึ้นตอนที่ผมเดินออกมาเช็ดหน้าเช็ดตาตรงหน้ามัน



“อือ เห็นว่ายุ่งทั้งเรียนทั้งกิจกรรม”



“จริงดิ?”



“ไม่จริงมั้ง”



พอได้คำตอบแบบนั้นไอ้ทิมเพื่อนรักจึงยื่นขาที่เต็มไปด้วยขนถีบผมเบาๆ ผมก็ได้แต่หัวเราะกับหน้าตาบูดบึ้งของมัน



“ไปกันได้ละ” ผมชวนมันแล้วเดินเอาผ้าไปเก็บ



“กูก็รอมึงนี่แหละไอ้ลูกหมา”



“อ้าวหรอ?”



“เออ”



พวกผมสองคนเลือกใช้จักรยานฟรีที่ทางมหา’ลัยพึ่งเอามาลงเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากปลดล็อคด้วยแอปเสร็จสรรพก็พากันปั่นไปยังจุดนัดหมายที่ประธานชั้นปีที่หนึ่งเป็นคนนัดเอาไว้



หลังจากที่ทุกคนในคณะมาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วพี่มอร์หรือพี่ปีสองก็ช่วยแนะนำไอเดียต่างๆ ยกตัวอย่างให้ฟังว่าตอนปีของพวกพี่ๆทำกันยังไงบ้าง ลักษณะไหนและมีความหมายยังไง พวกเราก็นั่งฟังกันอย่างตั้งใจเพื่อจะได้นำไอเดียของพี่มาเป็นตัวอย่างหรือต่อยอดได้



พอพี่เล่าจบไอเดียของแต่ละคนก็เริ่มบรรเจิดขึ้น ทุกคนในคณะต่างก็ช่วยกันออกความคิดเห็นโดยมีเลขาที่เป็นกรรมการคณะของชั้นปีที่หนึ่งเป็นคนจดไอเดียต่างๆที่ทุกคนเสนอ เห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกปลื้มจิตปลื้มใจที่ทุกคนในคณะของเราให้ความร่วมมือต่องานชิ้นนี้เป็นอย่างดี นี่แค่กระบวนการคิดก็เริ่มได้ด้วยดีแล้วกระบวนการทำและอื่นๆก็คงไม่น่าเป็นห่วงแล้วล่ะครับ



“ตกลงเราจะเอาแบบเป็นซุ้มประตูเนอะ มีใครแย้งอะไรมั้ยครับ”



ประธานคณะชั้นปีที่หนึ่งเอ่ยถามทุกคนหลังจากสรุปไอเดียที่จะทำเสร็จเรียบร้อย เมื่อมองดูแล้วว่าไม่มีใครแย้งใดๆก็เริ่มวางแผนการทำงานทันที



“ผมขอให้ทุกคนเข้ากลุ่มที่จัดไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเลยนะครับ”



สิ้นเสียงของประธานชั้นปีที่หนึ่งทุกคนก็พากันลุกขึ้นเดินเข้ากลุ่มของตัวเองส่วนผมกับไอ้ทิมก็กำลังมองหากลุ่มของตัวเองที่จัดไว้ก่อนหน้านั้นก่อนจะเจอเพื่อนๆในกลุ่มโบกมือและส่งเสียงโวยวายเรียกพวกผมกันเสียงดัง



“ทิมทาวน์โว้ยยยย”



อยากจะบอกว่ากลุ่มที่เรียกผมนั้นผู้หญิงห้าบวกกระเทยอีกสามคนรวมผมอีกสองก็เป็นสิบพอดีเป๊ะแล้วเสียงที่ตะโกนเรียกผมก็เป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารักแต่ใจแมนเกินร้อย อิโถ่ เสียดายของ แมนกว่ากูไปอิ๊ก



“เสียงดังไปถึงหน้ามหา’ลัย เลย” ผมเอ่ยแซว



เธอหัวเราะแบบไม่มีจริตก่อนจะขยับให้ผมกับไอ้ทิมนั่งลงข้างๆ



พอทุกคนในคณะเข้ากลุ่มของตนเองเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วประธานชั้นปีจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งเพื่ออธิบายและแจกแจงสิ่งต่างๆให้คนในคณะได้รับรู้



“ของที่แต่ละกลุ่มเตรียมมาก็จะมีกระดาษสี กล่องลัง กรรไกร คัตเตอร์ แม็คเย็บกระดาษนะครับ ผมขอตัวแทนแต่ละกลุ่มมารับของเพื่อจะแบ่งหน้าที่ด้วยครับ”



กลุ่มผมมีฝ้ายหญิงสาวหน้าตาน่ารักแต่โคตรแมนเป็นตัวแทนกลุ่มเป็นคนอาสาออกไป รอฝ้ายรับของและคำสั่งเสร็จเธอก็เดินกลับมานั่งที่เดิมและอธิบายหน้าที่ที่พวกเราต้องทำให้ฟังทันที



“พวกเรารับหน้าที่ตัดกระดาษให้เป็นสี่เหลี่ยมนะ อ่ะแบ่งกันไปเลยคู่ละสีจะได้ไม่ต้องเสียเวลา อีกคนจับกระดาษอีกคนก็ตัด โอเคนะ?”



ทุกคนพยักหน้ารับและเป็นการบอกว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่ฝ้ายเสนอมา  ผมกับไอ้ทิมคู่กันอย่างไม่ต้องสงสัยและคนที่เหลือก็จับคู่ตามความสะดวกใจของแต่ละคน จากนั้นฝ้ายก็แบ่งกระดาษให้แต่ละคู่รับไว้



ผมกับไอ้ทิมได้กระดาษสีส้มเป็นกระดาษแผ่นขนาดใหญ่มีประมาณเกือบสามสิบแผ่น คงจะต้องตัดกันให้มือแหกไปข้างล่ะครับงานนี้



“แบ่งกันคนละสิบห้าละกัน เดี๋ยวกูตัดก่อน” ผมบอกไอ้ทิมมัน



“โอเคเพื่อรัก” ไอ้ทิมมันก็ตอบตกลงอย่างว่าง่าย



ผมกับไอ้ทิมเมื่อแบ่งหน้าที่กันเสร็จสรรพก็ลงมือตัดกระดาษท่ามกลางเสียงร้องเพลงเพื่อให้บรรยากาศครึกครื้นของพี่มอร์



เวลาสามทุ่มเป็นเวลาที่ทุกอย่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น กระดาษที่พวกเราช่วยกันตัดโดนพับเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเพื่อเอาไปแปะบนกล่องลังที่เตรียมมา



กลุ่มของผมเมื่อหมดหน้าที่ของพวกเราแล้วก็อาสาช่วยเพื่อนทำนู่นทำนี่เพื่อจะได้เสร็จเร็วๆ เข้าใจว่าทุกคนคงอยากกลับไปนอนหรือไปกินข้าวเต็มทีแต่ด้วยหน้าที่ที่อยู่ตรงหน้าจึงทำให้ไปไหนไม่ได้



ผมกับไอ้ทิมเดินเก็บเศษขยะที่เกลื่อนอยู่บนพื้นให้สะอาดเรียบร้อยจะได้ไม่ต้องมาเก็บทีหลังและไม่ต้องโดนคนอื่นด่าว่าทำสกปรกแล้วไม่มีความรับผิดชอบแล้วถ้ายิ่งเรื่องนี้ไปถึงหูพี่ระเบียบด้วยแล้วก็ไม่อยากจะคิดเลยครับว่าพวกผมจะโดนอะไรกันบ้าง



ส่งขยะชิ้นสุดท้ายลงไปในถุงก็ได้ยินเสียงเฮโลและเสียงปรบมือดังขึ้นเกรียวกราว ผมมองไปยังต้นเหตุที่ทำให้เกิดเสียงพวกนี้ก่อนจะต้องปรบมือและส่งเสียงตามคนอื่นๆไปด้วย



ประตูที่พวกเราต้องทำเพื่อแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของความสามัคคีเสร็จเป็นรูปเป็นร่างอย่างสวยงามจนแอบจะภาคภูมิใจในตัวเองไม่ได้ถึงแม้จะแค่ตัดกระดาษก็ตามแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมีส่วนร่วมที่ช่วยให้งานชิ้นนี้เสร็จไปได้ด้วยดี



ผมกับไอ้ทิมมองหน้ากันก่อนจะยกมือสองข้างขึ้นพร้อมกันแล้วตบแปะเหมือนเป็นการแสดงความยินดีให้แก่กันและกัน



ทุกคนในคณะยืนมองเพื่อจะได้ชื่นชมผลงานจากการร่วมแรงร่วมใจหรือที่เรียกว่าความสามัคคีที่ทุกคนตั้งใจจะแสดงให้รุ่นพี่ทุกคนได้เห็น ใบหน้าทุกคนเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ถึงแม้จะเหนื่อยแต่พอเห็นผลงานที่ช่วยกันทำก็ทำเอายิ้มกันไม่หุบ



ถ้าไม่มีความสามัคคีของทุกคน งานชิ้นนี้คงไม่เสร็จสมบูรณ์ขนาดนี้หรอกครับ



โอ๊ยยยยย! พูดแล้วน้ำตาจะไหล



ผมทำท่าปาดน้ำตาแสดงความดีใจอย่างสุดซึ้ง



“เช็ดขี้ตาหรอมึง”



แต่ก็มีมันคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจความซาบซึ้งของผม



ไอ้ห่าทิม!



“กูภูมิใจน้ำตาจะไหล” ผมไม่ละความพยายามทำซึ้งของตัวเองเพื่อให้ไอ้ทิมเพื่อนรักเข้าใจ ยกมือมาปาดน้ำตาไปอีกสองทีแสดงให้มันดูว่าผมซึ้งใจอย่างที่บอกจริงๆ



“ตอแหล”



อ่ะ...กูหยุดซึ้งก็ได้จ้า



ประธานชั้นปีทำหน้าที่อธิบายความหมายและเตี๊ยมทุกคนในคณะตอนที่พี่ระเบียบจะถามถึงความหมายและเหตุผลที่ทำสิ่งนี้ขึ้นมา หลังจากทุกคนเข้าใจกันหมดแล้ว พี่มอร์ก็ปล่อยให้พวกเราแยกย้ายกันกลับหอและพักผ่อนตามอัธยาศัยเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจเข้าเชียร์คณะในครั้งต่อไปก็คือวันพรุ่งนี้



✿✿



ผมกับไอ้ทิมเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในคณะแล้วก็พากันเดินไปร้านสเต็กของเฮียเตอร์ ทิ้งจักรยานที่เอามาด้วยตอนแรกไว้ที่หน้าตึกเพราะขี้เกียจยกโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อคอีกอย่างกว่าโทรศัพท์ไอ้ทิมจะปลดล็อคได้ก็ค้างแล้วค้างอีกสุดท้ายก็ต้องเป็นผมที่ต้องไปปลดล็อคให้มัน ฉะนั้นขากลับเราจึงตกลงกันไว้ว่าทิ้งจักรยานไว้ที่นี่คงจะดีกว่าเสียเวลาปลดล็อค



บรรยากาศในร้านตอนสามทุ่มเกือบจะครึ่งก็เต็มไปด้วยผู้คนเหมือนปกติ ที่จริงผมว่าคนน่าจะเต็มตั้งแต่สองทุ่มแล้วนั่นแหละครับ



ผมกับไอ้ทิมเดินเข้าไปในร้านทักทายเฮียเตอร์และมองหาใครอีกคนที่น่าจะอยู่กับเฮียแต่ก็ไม่เห็นวี่แวว ไอ้ทิมมันเดินแยกไปหาที่นั่ง เป็นโชคดีที่มีโต๊ะว่างที่อยู่ในหลืบให้มันได้นั่ง



“พี่คินอ่ะเฮีย” ผมถามเฮียเตอร์ที่ยังคงวุ่นวายกับออเดอร์ของลูกค้า



“อยู่หลังร้าน”



ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่ามีอะไรจะมาอวดเฮีย พอคิดได้แบบนั้นก็คลี่ยิ้มกว้างส่งไปให้เฮียเตอร์ที่ทำท่าขนลุกขนพองใส่



อะไรวะ!



“ผมมีอะไรจะมาอวดเฮียด้วยแหละ ตอนแรกว่าจะมาบอกพร้อมกันทั้งเฮียทั้งพี่คินแต่บอกเฮียก่อนดีกว่าขี้เกียจรอพี่คินละ”



“อวดอะไรอีกลูกหมา”



ผมหน้ามุ่ยเมื่อได้ยินสรรพนามที่เขาใช้เรียก แต่ก็ปัดๆไปจะเรียกอะไรก็ช่างเหอะเป็นลูกหมาก็น่ารักดี



“ผมสอบควิซอิ้งได้คะแนนเยอะสุดในคลาสแหละ” พอพูดจบผมก็รอดูปฏิกิริยาตอบกลับของเฮีย



บอกตรงๆว่าโคตรลุ้นเลยครับ



“จริงดิ เก่งเหมือนกันนะเนี่ยไอ้ลูกหมา” เฮียเตอร์ส่งยิ้มจริงใจมาให้ผม ยกมือขึ้นมาวางไว้บนหัวผมแล้วโยกไปมาเบาๆ



“แน่อยู่แล้ว ทาวน์ซะอย่าง” ผมว่าพร้อมตบอกตัวเองปุๆ



“ดีอยู่แล้วก็รักษามาตรฐานตัวเองเอาไว้ล่ะ ปีหนึ่งก็ตั้งใจเรียนเก็บเกรดไว้หน่อยจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากตอนปีสูงๆ”



“ครับเฮีย” ผมพยักหน้ารับสิ่งที่เฮียบอก จริงๆเรื่องนี้สายรหัสและรุ่นพี่คนอื่นๆก็บอกผมตลอดเลยล่ะครับ ไม่ได้มีแค่ผมหรอกนะครับที่รุ่นพี่บอกแบบนี้ เด็กปีหนึ่งทุกคนก็โดนบอกแบบนี้เหมือนกันหมดเลย



“งั้นวันนี้ไม่ต้องทำงานหรอก ถือซะว่าเป็นรางวัลอยากกินอะไรเดี๋ยวจะทำให้กิน บอกไอ้ทิมมันด้วยล่ะ”



ผมพยักหน้าเข้าใจคิดว่าถ้าคุยกับเฮียเตอร์เสร็จแล้วค่อยไปบอกเรื่องที่เฮียจะเลี้ยงกับไอ้ทิมมัน ผมเดาได้เลยว่าพอมันรู้มันจะทำหน้าดีใจขนาดไหน ขนาดตอนนี้ผมยังดีใจที่ได้เจ้านายดีๆอย่างเฮียเตอร์เขาเลยครับ



“อะไรก็ได้แล้วแต่เฮียเลย อร่อยทุกอย่างอยู่แล้ว”



“เอองั้นไปนั่งรอเลย ถ้าจะไปบอกไอ้คินมันก็อยู่หลังร้านนั่นแหละ”



“ครับ ขอบคุณนะเฮีย”



“อื้ม”



ผมเดินไปบอกไอ้ทิมมันเรื่องที่เฮียจะเลียงและปฏิกิริยาพอมันได้รู้ก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้เป๊ะๆก่อนผมจะเดินไปยังส่วนของหลังร้านเพื่อไปหาอีกคนที่ต้องการจะอวดเรื่องที่พึ่งอวดเฮียไปเมื่อตะกี้



ผู้ชายตัวสูงที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่ตรงพื้นสนามหญ้าหลังร้านทำให้ผมต้องส่องดูว่าเขากำลังทำอะไร ก่อนจะได้ยินเสียงมีชีวิตดังขึ้นมาอีกหนึ่งเสียง



“เมี้ยววว῀῀῀”



“จะกินก็กินยังจะมาอ้อนอีก”



“เมี้ยววว῀῀῀”



“ต้องให้ป้อนมั้ยเนี่ย”



“เมี้ยววว῀῀῀”



“รู้เรื่องอีก”



ผมฟังบทสนทนาของคนและแมวเพลินๆอมยิ้มขำๆให้กับผู้ชายที่ใครๆก็บอกว่าหยิ่งนักหยิ่งหนาเห็นแบบนี้ก็อยากจะเรียกแฟนคลับพี่คินที่อยู่ในร้านออกมาดูให้เห็นกับตาจริงๆว่าคนที่ทุกคนบอกว่าหยิ่งนักหยิ่งหนากำลังคุยกับแมวเป็นวรรคเป็นเวรเลย



คงจะหยิ่งเฉพาะกับคนส่วนแมวนั้นเป็นข้อยกเว้นล่ะมั้งครับ...



พอคิดได้ว่าใช้เวลากับการดูคนสนทนากับแมวนานเกินไปก็เลยส่งเสียงเรียกอีกคนให้หันมาสนใจผมที่ยืนหัวโด่มองเขาอยู่บ้าง



“พี่คิน”



เจ้าของชื่อหันขวับมาทางต้นเสียงก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ



“ผมมีอะไรจะมาอวดแหละ”



“อือ ว่ามาสิ”



ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆเขา มองเจ้าเหมียวตัวน้อยที่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยโดยมีฝ่ามือใหญ่ของพี่คินลูบขึ้นลงทั่วหัวทั่วตัว



“ผมสอบควิซอิ้งได้คะแนนเยอะที่สุดในคลาสแหละ”



ผมลุ้น ลุ้นว่าเขาจะชมผมแบบไหน จะชมว่าเก่งแบบเฮียเตอร์หรือเปล่านะแต่คำตอบที่ได้กลับทำให้ผมได้แต่ยิ้มแห้ง



“อือ”



ว่าจบเขาก็กลับไปสนใจเจ้าเหมียวตรงหน้าต่อ เจ้าเหมียวพอกินอิ่มแล้วก็เริ่มง่วงนอน มันเข้ามาคลอเคลียกับมือพี่คินที่ตอนนี้เปลี่ยนจากลูบหัวไปเกาคางเรียบร้อยแล้ว



“เมี้ยววว῀῀῀”



“พี่ไปเอามันมาจากไหนอ่ะ” ผมปัดเรื่องตัวเองทิ้งไปแล้วถามสิ่งที่สงสัยออกมาแทน



“บนต้นไม้”



“หือ?”



“เจออยู่บนต้นไม้เลยปีนเอาลงมาไว้บนพื้น พอจะเดินกลับมันก็เดินตามเลยเอามาด้วย”



ผมพยักหน้าเข้าใจ มองเจ้าเหมียวที่ตอนนี้ตาเริ่มจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่



 “มันน่ารักดี” ผมว่า ยื่นมือไปลูบหัวมันอย่างกล้าๆกลัวๆ พอเห็นว่ามันไม่ทำอะไรก็ลูบไปลูบมาจนเริ่มเพลินมือ



“อือ น่ารักเหมือนมึง”



ผมพยักหน้าเกือบจะเออออตามแต่พอคิดทบทวนสิ่งที่เขาพูดแล้วก็ต้องหันขวับไปมองเขาอีกรอบด้วยความไม่เข้าใจและไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ผมได้ยินมามันถูกหรือเปล่า



“พี่ว่าไงนะ?”



“มึงเก่ง”



“ไม่ใช่สิ”



“ไม่คิดว่าจะเก่งอังกฤษ”



“พี่คิน” ผมเรียกเขาเสียงอ่อน ไม่เข้าใจว่าจะเฉไฉไปเรื่องอื่นทำไม



“อืม ตั้งใจมากกว่านี้ล่ะ กูว่ามึงทำได้ดีกว่านี้แน่”



พูดจบเขาก็เดินไปจากตรงนี้ทันที ปล่อยผมกับเจ้าเหมียวที่นอนกรนเบาๆอยู่ด้วยกัน



สมองผมประมวลผลไม่ทัน รู้สึกสับสนไปหมด



 ไม่รู้จะโฟกัสคำไหนดีระหว่างคำว่า 'เก่ง' หรือคำว่า 'น่ารัก'......



...หรือควรโฟกัสไปที่เจ้าของคำพูดดี...



งงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจมากๆเลยครับ



✿✿


TBC...
ติดแท็ก #นิยายเขาว่ากันว่า ได้นะค้าา

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่5



“ทิม” ผมหันไปหาไอ้ทิมเพื่อนรักที่นั่งอยู่ข้างๆกัน กว่าจะตัดสินใจเรียกมันได้ผมก็ทำใจอยู่นาน ไม่รู้ว่าคำถามที่จะถามมันต่อจากนี้ควรจะถามมันดีหรือเปล่า



“อะไรซิ?” มันก็ตอบรับผมทันทีไม่ต้องให้รอนาน



“กูน่ารักป่าว?”



“เหี้ย!ทำไมถามกูงั้นอ่ะ ขนลุกนะเนี่ย” ว่าพลางก็ลูบแขนตัวเองทำหน้าขยาดหวาดกลัวใส่ผม ไอ้ห่า! นี่คนนะโว้ยไม่ใช่ขี้ไม่ต้องแสดงขนาดนั้นก็ได้!



ผมโบกหัวไอ้ทิมไปเบาๆหนึ่งทีแต่ก็ทำเอามันหัวทิ่มไปกับโต๊ะ มันร้องโอดโอยลูบหัวตัวเองป้อยๆก่อนจะหันมาชี้หน้าผมอย่างเอาเรื่อง



“เอาดีๆดิวะ” ผมมองค้อนมันแล้วบอกให้มันพูดก่อนคิดอีกที



มันทำท่าฮึดฮัด มองสำรวจใบหน้าของผมอยู่สักพักก่อนจะขมวดคิ้วเหมือนตอนทำโจทย์ฟิสิกส์ที่โคตรยาก นี่มึงจำเป็นต้องจริงจังอะไรเบอร์นั้นเลยหรอวะไอ้ทิม อืม...แต่มันจริงจังก็ดีแล้วล่ะครับ ผมจะได้รู้คำตอบจริงๆสักทีว่าตกลงจริงๆแล้วเนี่ยผมน่ารักอย่างที่ไอ้พี่คินมันว่าหรือเปล่า



“อืม...กูก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน หน้ามึงอาจจะดูจิ้มลิ้มมั้ง”



ผมขมวดคิ้วมองมันอย่างคนที่ไม่เข้าใจความหมายไอ้คำว่าจิ้มลิ้มที่ออกจากปากไอ้ทิม ผมเลยหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดกล้องหน้าสำรวจใบหน้าตัวเองสักพักก็ไม่เห็นตรงไหนที่เรียกว่าจิ้มลิ้มเลยอ่ะ



“ยังไงวะ?”



“ยังไง...โอ๊ยกูไม่รู้โว้ยยยย” มันจับหัวตัวเองแล้วร้องออกมาเหมือนคนบ้าประสาทแดกอะไรแบบนั้นเลยครับ



“อ้าว?” ผมก็เลยทำหน้างงใส่มันไป



มันถอนหายใจใส่ผมเฮือกโตเหมือนมันจนใจจนปัญญาที่จะพูดกับผมจริงๆแล้วอ่ะครับ “แล้วมึงจะมาถามกูทำไมเนี่ย มีใครมาชมมึงเหรอวะ?”



“ก็...เออประมาณนั้นแหละ”



คิดไปแล้วก็ยังงงอยู่เลย หรือเขาไม่ได้ชมผมแต่ชมแมววะ โว้ย! ไม่ใช่ดิ ผมได้ยินเต็มๆสองหูของตัวเองเลยนะว่าเขาชมผมอ่ะ นี่ถ้าเขาชมผมว่าหล่อผมจะไม่มานั่งสงสัยอะไรแบบนี้หรอกครับเพราะมันเป็นเรื่องจริง



“ถ้ามึงอยากรู้ว่ามึงน่ารักจริงๆมั้ยก็ไปถามเขาอีกรอบดิวะ ถามกูกูก็บอกไม่ได้อ่ะ”



ผมได้แต่ทำหน้าเซ็งๆใส่ไอ้ทิม ในใจก็คิดว่าถ้าพี่มันยอมตอบตอนที่ผมถามอีกรอบ ผมคงไม่เอาเรื่องนี้มาถามไอ้ทิมมันหรอก



ครืด ครืด



นั่งคิดอะไรเพลินๆโทรศัพท์ที่ตั้งไว้บนโต๊ะก็สั่นขึ้น ไอ้ทิมทำหน้าเลิ่กลั่กก่อนจะพูดออกมา



“กูนึกว่าแผ่นดินไหว สั่นจนโต๊ะสะเทือน” ไอ้ทิมนี่มันก็เว่อได้ทุกสถานการณ์จริงๆ



“เว่อ”



พอสนทนากับเอาทิมจบก็หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดูก่อนจะเห็นว่าเป็นเฮียเตอร์ที่โทรเข้ามาผมก็เลยกดรับสายด้วยใบหน้าที่ติดจะงงนิดหน่อย ก็จะไม่ให้งงได้ไงล่ะครับ ร้อยวันพันปีเฮียเนี่ยไม่เคยโทรหาผมเลยนะนอกจากจะส่งข้อความมาหาอย่างเดียว ถ้าถึงกับต้องโทรมาแบบนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆอ่ะ



“ครับเฮีย”



(ทาวน์ ตอนนี้ว่างหรือเปล่า?)



ผมว่าลางสังหรณ์ที่ผมคิดไว้ก่อนรับสายเฮียเตอร์ท่าจะจริงแล้วล่ะครับเพราะเขาถามคำถามอะไรแบบนี้กับผมเป็นอันดับแรก นี่เฮียลืมฮัลโหลหรือสวัสดีทักทายผมเลยด้วยซ้ำนะ สงสัยจะเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ



“ตอนนี้ก็ว่างครับ ผมไม่มีเรียนแล้ว”



(งั้นดีเลย กูรบกวนมึงหน่อยสิ)



“อะไรครับว่ามาเลย”



(คือกูฝากมึงเข้าไปดูไอ้คินมันหน่อย พอดีมันป่วยอ่ะแล้วไม่มีคนช่วยดูมัน พวกกูก็ติดเรียนด้วย)



“อ่า.....”



ผมนิ่งคิดไป มองไอ้ทิมที่นั่งกดโทรศัพท์ยิกๆก่อนเสียงเฮียจะดังออกมาจากโทรศัพท์



(ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะเว้ย กูแค่ลองโทรมาถามดู)



“ได้เฮียๆ เดี๋ยวผมไปดูพี่มันให้ครับ”



(ขอบใจมากมึง เดี๋ยวกูส่งที่อยู่มันให้ทางไลน์นะ)



“ครับ”



วางสายไปไม่ถึงสองนาที เสียงแจ้งเตือนของไลน์ก็ดังขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าใครส่งมา ผมกดเข้าไปดูแล้วจดจำที่อยู่สักพักก็กดปิดแล้วหันไปหาไอ้เพื่อนรักที่ยังคงนั่งกดโทรศัพท์อยู่เหมือนเดิม



“มึง”ผมเรียกมันไอ้ทิมมันเลยเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ของตัวเอง



“ว่ามา”



“กูกลับก่อนนะ ต้องไปทำธุระให้เฮียอ่ะ”



“อ้าวเออๆ กลับดีๆ” ไอ้ทิมมันก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้ว่าผมจะไปทำธุระอะไรมากมายหรอกครับ มันเป็นคนง่ายๆบอกแค่นี้มันก็เข้าใจ ถ้าจะบอกมันมากกว่านี้มันก็จะนั่งฟังจนจบนั่นแหละครับ



“อือ ไปนะ”



ผมขอติดรถเพื่อนในคณะออกมาเรียกแท็กซี่หน้ามหา’ลัย กว่าจะหาได้ก็กวักมือยิกๆเป็นนางแมวกันเลยทีเดียวครับ แท็กซี่ดีๆเดี๋ยวนี้ก็เริ่มหายากฉิบหายแล้วจริงๆ



✿✿



รถแท็กซี่จอดให้ผมลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ในหมู่บ้านจัดสรร จ่ายเงินเสร็จก็เปิดประตูลง ชะเง้อคอยาวมองว่ามีใครอยู่บ้านหรือเปล่าแต่ก็มองไม่เห็นเพราะรั้วมันสูง ผมเลือกจะกดออดและรออยู่ประมาณห้านาทีประตูรั้วก็ถูกเปิดออก



“สวัสดีครับ”ผมยกมือไหว้คนที่เดินออกมาเปิดประตูรั้วให้ สภาพพี่คินตอนนี้ก็ใส่ชุดเสื้อยืดกับกางเกงบอลสบายๆเหมือนผู้ชายทั่วๆไปนั่นแหละครับ ผมเผ้าก็ดูยุ่งเหยิงนิดหน่อยแต่ก็จัดว่ายังดูดีอยู่



“มาได้ไง?” เขาถามผมขึ้นด้วยความแปลกใจ



ผมไม่ตอบคำถามพี่คิน เลือกจะผลักเขาให้เดินนำเข้าไปในบ้านแล้วจัดการปิดประตูรั้วให้เรียบร้อย จะยืนคุยหน้าบ้านให้ได้อะไรล่ะครับร้อนฉิบหายเลย



พอเข้ามาถึงในตัวบ้านแล้ว คนเป็นเจ้าของบ้านก็หันมาหาผมแล้วถามขึ้นอีกรอบด้วยคำถามเดิมเป๊ะๆเลยเหมือนท่องสคริปมาอย่างไงอย่างงั้นเลยล่ะ



“มาได้ไง?”



“เฮียเตอร์บอกว่าพี่ไม่สบาย เฮียก็เลยให้ผมมาดูพี่”



“ไอ้เตอร์เนี่ยนะ?” เขาทำหน้าแปลกใจ คงจะคิดไม่ถึงว่าเฮียเตอร์จะส่งเด็กเสิร์ฟในร้านของตัวเองมาดูแลพี่คินเขา



“อื้อ แล้วพี่ไม่สบายเป็นอะไรอ่ะ? ”



ผมถาม สำรวจใบหน้าของเขาด้วยความถี่ถ้วน ทุกอย่างก็ดูเกือบปกติแต่พอเห็นปากซีดๆ ตาแดงๆแล้วก็เหงื่อที่ออกมาตามขมับก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นไข้



“กูไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก มึงกลับไปเถอะ” นี่มายังไม่คุ้มค่าแท็กซี่ก็โดนไล่กลับแล้วอ่ะครับ



“ได้ไงเล่า ดูจากอาการพี่น่าจะเป็นไข้ใช่มั้ยล่ะ”



“นิดหน่อย” เขาว่าอย่างไม่ใส่ใจกับอาการป่วยของตัวเองนัก



“นั่นไง มาๆนั่งก่อน พี่กินข้าวกินยาหรือยัง?”



“กินแล้วตอนเช้า” ยังจะมีหน้ามาตอบหน้าตายอีกนะไอ้พี่คินเนี่ย



“นี่มันสี่โมงแล้วนะเว้ยพี่ เดี๋ยวก็ไม่หายหรอก นั่งรออยู่นี่แหละเดี๋ยวผมหาอะไรมาให้กินจะได้กินยาแล้วพักผ่อน”



“มีข้าวต้มอยู่ในหม้อ เดี๋ยวกูไปอุ่นเองก็ได้”



ผมกอดอกมองเขานิ่งๆ ทำไมดื้อจังวะ ให้นั่งเฉยๆแล้วยังอยากจะทำนู่นทำนี่อยู่อีก มีคนดูแลตอนที่ป่วยไม่ชอบหรือไงกันนะ



“นั่งนี่แหละ เดี๋ยวผมไปอุ่นให้”



“มึงเป็นน้องหรือแม่กูกันแน่วะ”



พี่คินพึมพำ สงสัยคิดว่าผมไม่ได้ยินแต่ขอโทษเถอะบ้านเงียบขนาดนี้แล้วอยู่กันแค่สองคนไม่ได้ยินนี่ก็เรียกหูหนวกแล้วอ่ะ



“พี่อยากให้เป็นอะไรผมก็เป็นให้หมดอ่ะแต่ตอนนี้นั่งรอผมอยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผมไปอุ่นข้าวต้มมาให้”



ว่าจบก็เดินดุ่มๆไปห้องครัว เปิดดูนู่นดูนี่จนเจอหม้อข้าวต้มอยู่ในฝาชีที่ครอบไว้อย่างเรียบร้อย ผมหยิบมันออกมาวางที่เตา เปิดแก๊สแล้วรอประมาณห้าถึงสิบนาทีข้าวต้มหมูร้อนๆก็พร้อมเสิร์ฟ



“มาแล้วคร้าบบบบ”



ผมเดินประคองถ้วยข้าวต้มออกมาจากห้องครัว กลิ่นหอมฉุยลอยเข้าจมูกจนอยากเก็บไว้กินเอง ผมวางถ้วยข้าวต้มไว้บนโต๊ะตรงหน้าพี่คินที่กำลังนั่งดูทีวีนิ่งๆ



“ขอบใจ”



ผมพยักหน้ารับก่อนจะพาตัวเองไปนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับพี่คิน จ้องรายการวาไรตี้ในทีวีด้วยความสนอกสนใจ รายการตลกขนาดนั้นแล้วไอ้พี่คินมันยังนั่งหน้านิ่งได้ไงวะครับ ผมล่ะยอมใจพี่มันเลยจริงๆ



เราสองคนนั่งกันเงียบๆอยู่แบบนั้นจะมีบ้างที่ผมหัวเราะกับมุขตลกในทีวีแต่พี่คินน่ะรายนั้นเหมือนนั่งหลับในเลยครับ เงียบฉิบหาย….



ผมมองถ้วยข้าวต้มที่ว่างเปล่าถูกวางไว้บนโต๊ะก่อนเจ้าของบ้านจะหยิบแก้วน้ำและยาพาราที่วางไว้ใกล้ๆกันกรอกใส่ปาก



“ไปพักผ่อนเลยก็ได้พี่เดี๋ยวผมล้างให้”



“อืม ฝากด้วยแล้วกัน”



“ครับ”



ผมมองเขาเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้านจนเขาหายลับไปจากสายตาจึงหยิบถ้วยข้าวต้มกับแก้วน้ำไปทางห้องครัว ใช้เวลาล้างเพียงไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย เมื่อคิดได้ว่าคงหมดหน้าที่ของตัวเองแล้วก็น่าจะถึงเวลาที่ต้องกลับ ผมเดินออกมายังห้องรับแขกก็เห็นคนป่วยนุ่งผ้าขนหนูเดินโทงๆไปทั่วบ้าน



“เฮ้ยพี่ ป่วยอยู่ทำไมถอดเสื้อผ้างั้นอ่ะ เดี๋ยวก็ไม่หายหรอก” ผมเดินไปหาเขาที่หันมามองตอนผมร้องเรียก



“จะอาบน้ำ”



ผมมองขวดแชมพูที่เขาเดินไปหยิบในตู้เก็บของแล้วทำท่าจะเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้าน ผมที่เห็นแบบนั้นก็ต้องรีบร้องห้ามไว้ก่อน



“ป่วยอยู่จะอาบน้ำได้ไงเล่า แล้วนั่นพี่จะสระผมด้วยหรอเนี่ย”



พี่มันมองหน้าผมงงๆ คงอยากจะถามมากว่ามึงมายุ่งอะไรกับกู



“ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”



“เป็นดิวะ มาๆเดี๋ยวผมเช็ดตัวให้ ส่วนเรื่องสระผมรอให้หายดีก่อนก็แล้วกัน”



ผมเดินเข้าไปคว้าแขนพี่คินไว้ก่อนจะพาเขาเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของตัวบ้าน



“เดี๋ยวดิเตี้ย”



“ไม่ต้องเดี๋ยวแล้วครับ ห้องพี่อยู่ตรงไหน?” ผมมองซ้ายขวาหาห้องของเจ้าของบ้าน



“ทางซ้าย” พอได้ยินแบบนั้นก็พาเขาเดินไปหยุดที่ประตูบานสีน้ำตาล



“ขออนุญาตนะครับ” ผมหันไปบอกเขา พอเห็นเขาพยักหน้าให้ก็จับลูกบิดแล้วเปิดประตูเข้าไป จูงคนป่วยไปวางไว้บนเตียง



“พี่พอจะมีกะละมังกับผ้าผืนเล็กๆมั้ยครับ?”



“ไม่เป็นไรน่า กูอาบเองได้”



“ทำไมพี่ดื้อจังวะ บอกเร็วอยู่ไหนอ่ะของที่ผมต้องการ”



พอเขาเห็นว่าผมทำท่าจะไม่ยอมแน่ๆก็ผ่อนลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วบอกที่อยู่ของสิ่งที่ผมต้องการด้วยหน้าเซ็งๆ



“ในห้องน้ำ” เขาชี้ไปทางขวามือของตัวเอง



ผมมองตามทิศทางนั้นแล้วพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเดินไปเอากะละมังกับผ้าก็ไม่วายส่งเสียงกำชับคนที่นั่งอยู่บนที่นอนอีกครั้ง



“รออยู่ตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมมา” พี่มันมองหน้าผมเหมือนอยากจะด่า ผมเลยส่งยิ้มให้อย่างผู้ชนะก่อนจะโดนเขาไล่โดยการปัดๆมือให้ไปเอาเร็วๆ



“พี่จะนอนหรือจะนั่งอ่ะ” เมื่อเอาอุปกรณ์มาพร้อมแล้วผมก็ถามเขาต่อ



 “นั่ง เดี๋ยวที่นอนเปียก”



ผมพยักหน้าเข้าใจ หยิบผ้าลงไปชุบในน้ำแล้วบิดหมาดๆก่อนจะเอามาเช็ดตัวให้คนป่วย เริ่มตั้งแต่หน้าจรดเท้า ตอนแรกก็อยากจะเช็ดเท้าก่อนแล้วค่อยไปเช็ดหน้าแต่กลัวจะโดนตีนกลับมาเลยคิดว่าเช็ดแบบปกตินี่แหละปลอดภัยกับตัวเองมากกว่า



“โห นี่กล้ามวาดเองป่ะวะพี่ ทำไมเยอะ” เห็นแล้วก็อิจฉาเหมือนกันนะครับ ผมที่เป็นผู้ชายเหมือนกันยังไม่เห็นมีอะไรแบบนี้เหมือนเขาเลย



“พูดมาก รีบๆเช็ดกูอยากพักผ่อนแล้ว”



ผมย่นจมูกใส่ไอ้พี่คินแต่ถึงอย่างนั้นมือก็ทำหน้าที่เช็ดแบบไม่ขาดตรงบกพร่อง ดูๆแล้วก็เหมือนทาสในเรือนเบี้ยเหมือนกันแฮะ แบบผมเป็นอีเย็นแล้วพี่คินเป็นท่านเจ้าคุณ คิดภาพแล้วก็ตลกอ่ะ



“ทำหน้าชั่วทำไม”



ผมชะงักการคิดจินตนาการภาพมโนของตัวเองแล้วฟาดมือลงบนหน้าท้องของพี่มันอย่างหมั่นไส้



“หน้าชั่วที่ไหน นี่มันหน้าหล่อ”



“ไปเอาความเชื่อผิดๆนี้มาจากไหนวะ เคยส่องกระจกบ้างป่าวหรือว่าส่องแต่แบบส่องผ่านๆไม่กล้าจ้องนานกลัวตกใจตัวเองงี้หรอ?”



“โว้ะ พูดมากจัง คนหล่อเขาไม่พูดเยอะหรอก”



“ถ้ามึงหล่อแล้วอย่างกูนี่เขาเรียกว่าอะไร?”



“เรียกว่าโคตรหล่อไง หล่อดับเบิ้ลหล่อไปอีก”



“อ่ะเป็นคำตอบที่ดี งั้นกูจะคิดว่ามึงหล่อละกัน”



“ไม่ต้องคิดครับ หลักฐานบนหน้ามันฟ้องอยู่แล้ว” แวบหนึ่งผมเหลือบมองหน้าพี่มันแล้วเห็นพี่มันกรอกตาของตัวเองไปมาทำสีหน้าเอือมระอาอย่างสุดขีด



“อืมๆๆๆ หล่อๆ”



ผมฉีกยิ้มกว้าง ฮัมเพลงไปเช็ดตัวคนป่วยไปจนเสร็จ



“ผมต้องเช็ดตรงนั้นให้พี่ป่าวอ่ะ”



ผมชี้ไปตรงจุดกึ่งกลางลำตัวของพี่มัน สงสัยจริงๆไม่ได้จะเล่นมุกหรือทะลึ่งใดๆทั้งสิ้น



“ไม่ต้องเดี๋ยวกูจัดการเอง”



“โอเคครับ อ่ะนี่พี่เอาแปะหน้าผากไว้ด้วยมันช่วยให้หายเร็วขึ้น”



ผมยื่นเจลลดไข้ที่ไปเจอมาในตู้เย็นให้คนป่วย พี่คินยื่นหน้ามาให้เป็นสัญญาณว่าติดให้กูหน่อย ผมฉีกซองแล้วแปะลงไปบนหน้าผากเขาเรียบร้อย เป่ามนตร์ใส่เบาๆจนไอ้พี่คินมันยิ้มขำ



“ขอบคุณครับ”



ผมพยักหน้ายิ้มๆรับคำขอบคุณของเขาแล้วหยิบเอากะละมังและผ้าไปเก็บไว้ที่เดิมหลังจากใช้งานมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอจะเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นพี่คินยืนอยู่หน้าประตูทำท่าจะเดินสวนเข้าไปข้างใน



“เฮ้ยๆพี่อย่าอาบน้ำนะเว้ย”



เขามองผมก่อนจะถอนหายใจ ทำหน้าหนักใจสักพักก่อนจะยกมือขึ้นวางไว้บนหัวผมแล้วโยกไปมา



“ไม่ได้จะอาบแค่จะมาทำความสะอาดตรงนี้” เขาชี้ไปที่จุดกลางลำตัว ผมพยักหน้ารับคำอย่างเข้าใจ



“อย่าอาบน้ำเด็ดขาดนะเว้ยพี่ เดี๋ยวจะไม่หายเอา”



“เออรู้แล้วน่า  ออกไปได้แล้วกูจะได้ทำความสะอาดตรงนั้นสักที”



พอได้ยินเขาพูดว่าตรงนั้นก็อดจะเบนสายตาไปมองตามไม่ได้  ในใจก็ได้แต่คิดว่าตรงนั้นของเขาจะใหญ่กว่าของผมป่ะวะ? ผมเป็นผู้ชายนะครับถ้าขิงเรื่องนี้แล้วชนะก็โคตรจะเป็นความภูมิใจในชีวิตเลยนะ



“โอ๊ย!!”



ลืมตัวว่าจ้องตรงนั้นนานเกินไปก็เลยโดนเจ้าของมันดีดหน้าผาก โอย...ดีดแรงขนาดนี้หน้าผากสวยๆของผมต้องแดงแน่ๆเลย



“ทะลึ่ง”



พี่คินว่าให้ผมจบเขาก็ดันให้ผมออกจากห้องน้ำแล้วแทรกตัวเองเข้าไปแทนที่ของผม พี่มันปิดประตูดังปังเสียงดังจนผมสะดุ้งเบาๆ  ไอ้บ้าเอ๊ย! ปิดเบาๆไม่เป็นหรือไงวะถ้าประตูห้องน้ำเขาพังขึ้นมาผมจะสมน้ำหน้าให้



ผมออกมาจากห้องนอนพี่คินแล้วเลือกจะเดินลงมาที่ชั้นล่าง เดินเข้าครัวไปเก็บข้าวต้มที่ยังเหลือในหม้อไว้ในกล่องอย่างดีเผื่อพี่มันตื่นมาจะได้กินข้าวแล้วกินยา เดินออกมายังห้องรับแขกที่วางกระเป๋าไว้ หากระดาษโน้ตกับปากกาหยิบออกมาจากกระเป๋า จัดการเขียนข้อความลงไปเพื่อเอาไปติดไว้ที่กล่องข้าวต้ม



‘‘เอาใส่หม้อแล้วเปิดแก๊สอุ่นหรือใส่อุ่นในไมโครเวฟได้เลยนะครับ อย่าลืมกินยาด้วยนะ ผมวางไว้บนโต๊ะหน้าทีวี’



พอเขียนเสร็จก็เอาไปแปะไว้บนกล่องที่ใส่ข้าวต้มให้เขา



เดินออกมาหยิบกระเป๋าเตรียมตัวจะกลับก็นึกขึ้นได้ว่าต้องไปลาพี่มันก่อนเดี๋ยวตื่นมาจะตกใจตอนไม่เห็นหน้าหล่อๆของผม



ผมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้านแล้วเลี้ยวซ้ายหยุดยืนหน้าบานประตูห้องสีน้ำตาลก่อนจะเคาะเบาๆสองสามทีแล้วจับลูกบิดเปิดออก ภาพที่เห็นคือผู้ชายหน้าตาดีกำลังหลับตาพริ้ม คลุมผ้าห่มไว้จนถึงอกแล้วมีเจลลดไข้ที่ผมบังคับให้ติดไว้อยู่ตรงหน้าผาก



ผมเดินเข้าไปในห้องแล้วหยุดลงข้างเตียง หยิบกระดาษโน้ตกับปากกาออกมาเขียนข้อความให้เขา ก่อนจะเดินออกจากห้องเขาไป



‘ผมกลับแล้วนะครับ หายไวๆนะ’

                                 ทาวน์  :p



✿✿




TBC...
ติดแท็ก #นิยายเขาว่ากันว่า ได้นะค้าา

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่6



ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไรแต่ที่ผมรู้คือวันนี้ที่ร้านดูคนจะคึกคักเป็นพิเศษตั้งแต่เปิดร้านซึ่งไม่ใช่เวลาที่คนจะมานั่งแออัดหรืออัดแน่นอยู่ในร้านกันขนาดนี้ ซึ่งถ้าจะให้ผมเดาสาเหตุที่ร้านวุ่นวายตั้งแต่ห้าโมงเย็นก็คงจะเป็นเพราะ..



“พี่คินไหวนะ?”  ยื่นออเดอร์ให้แล้วถามคนที่วุ่นวายกับการทำอาหาร



“อืม” ตอบเสร็จก็ง่วนกับการทำออเดอร์ให้ลูกค้าต่อ



วันนี้เฮียเตอร์ติดธุระที่บ้าน พี่คินเลยอาสามาดูแลร้านและรับหน้าที่พ่อครัวแทนเฮียหนึ่งวันตอนเห็นพี่มันจะทำออเดอร์ให้ลูกค้าก็ร้องห้ามเสียงดัง พี่มันเห็นก็ส่ายหน้าแล้วโชว์ฝีมือให้ดูจนผมเชื่อว่าพี่คินมันทำได้จริงๆ



ว่าก็ว่าเถอะครับถ้าตอนนั้นใครเห็นพี่คินกำลังจะทำอาหารก็คงต้องรีบห้ามเขาขึ้นมาทันทีนั่นแหละครับ ใครมันจะไปคิดล่ะว่าคนอย่างพี่คินจะทำอาหารเป็นกับเขาด้วย ผมนี่กว่าจะเชื่อก็ตอนที่ต้องได้เห็นกับตาและต้องขอคำยืนยันจากเฮียเตอร์ด้วยอีกทีนะครับตอนนี้ก็เชื่อเขาสนิทใจแล้วล่ะว่าทำอาหารเป็นและคงจะอร่อยจริงๆไม่งั้นลูกค้าคงไม่เยอะขนาดนี้หรอก แต่ว่านะไม่รู้ว่าลูกค้าชอบอาหารหรือชอบคนทำอาหารกันแน่ครับ อันนี้ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่



ตอนที่พวกเราทำการเปิดร้านเหมือนทุกๆวันก็มีลูกค้าเข้ามานั่งกันอยู่โต๊ะสองโต๊ะปกติแต่พอลูกค้าโต๊ะสองโต๊ะได้เห็นหน้าพ่อครัวเท่านั้นแหละ คนในร้านก็เหมือนจะป่าวประกาศให้คนอื่นๆรู้ว่าวันนี้พี่คินมาเป็นพ่อครัวเฉพาะกิจหนึ่งวัน คนก็แห่กันมาเลยจ้า ผมนี่ได้แต่ยืนอึ้งในดงแฟนคลับพี่มันซะงั้น ก็นะได้กินอาหารฝีมือพี่คินทั้งทีพวกเขาจะพลาดกันได้ยังไงล่ะครับ



ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าวันนี้คนเยอะที่สุดในสถิติร้านตั้งแต่เปิดมา รับประกันสถิตินี้จากเฮียเตอร์เพราะผมแอบถ่ายรูปให้เฮียดูแล้วว่าผลงานพี่คินน่าจะทำเอาวันนี้ขายวันเดียวแล้วรวยไปตลอดชาติและก็ทำให้ผมเหนื่อยฉิบหายเหมือนกัน



พอคนเก่าออกคนใหม่ก็เข้ามาแทนที่ทันที นี่ผมยังไม่ได้นับรวมกับคนที่ยืนรอหน้าร้านนะครับ ตายๆวันนี้ผมคงได้ ทำงานยันสว่างแน่เลยครับ



“ถามแต่กูเถอะ มึงน่ะไหวมั้ย?”



สะดุ้งเบาๆเมื่อพ่อครัวจำเป็นมาสะกิดแล้วยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆ



บ้าเอ๊ย ใกล้ขนาดนี้กินหัวเลยมั้ยล่ะ



“เหนื่อยมากกกกกกกกกกกกก” ผมลากเสียงยาวไปถึงเชียงใหม่ พี่มันหัวเราะยกมือดันหน้าผากผมจนเกือบหงายหลัง นี่ก็ไม่รู้เป็นอะไรไม่เข้าใจว่าทำไมชอบผลักหัวผมอยู่เรื่อยเลย



“งั้นพักก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูเอาไปให้ลูกค้าเอง”



พูดเสร็จพี่คินก็ทำท่าจะเอาออเดอร์ไปเสิร์ฟให้ลูกค้าจริงๆ ผมเลยรีบขัดเขาขึ้นก่อนเพราะแค่ที่เขาทำก็คงจะเหนื่อยพอแล้ว อีกอย่างพี่คินเขาแค่มาช่วยไม่ได้เป็นลูกจ้างของร้านเฮียเหมือนผมด้วย จะให้เขาทำงานเยอะๆผมก็เกรงใจเขาเหมือนกัน



“ได้ไงเล่า เดี๋ยวผมเอาไปให้เอง พี่อยู่แค่ตรงนี้เถอะกราบล่ะ แค่นี้ร้านก็วุ่นวายแล้วเนี่ย”



ผมไม่ได้จะว่าเขานะครับ ผมแค่หมายถึงว่ายิ่งถ้าพี่คินเดินไปโต๊ะนู้นโต๊ะนี้แล้วคนในร้านอาจจะไม่นั่งติดโต๊ะน่ะสิ ผมเคยได้ยินเขาพูดกันด้วยว่าพี่คินเป็นคนที่เข้าถึงตัวหรือเข้าใกล้ยากมากๆ ฉะนั้นถ้ามีโอกาสทุกคนคงไม่อยากเสียโอกาสในการได้เข้าใกล้คนดังอย่างเขาหรอกนะครับ นี่ถ้าผมยอมปล่อยให้พี่มันเอาอาหารไปเสิร์ฟให้ลูกค้าจริงๆไม่อยากจะคิดถึงสภาพในร้านเลยล่ะ



เขาส่ายหัวก่อนจะยอมยื่นออเดอร์ที่พึ่งทำเสร็จให้ผมไปเสิร์ฟแต่โดยดี



“ไม่ไหวก็บอกล่ะ” ยังไม่วายย้ำเรื่องนี้กับผมอีกรอบ



“ห่วงตัวเองเถอะน่า” ผมตอบเขาไปก่อนจะนำอาหารที่พี่คินทำเสร็จไปเสิร์ฟให้ลูกค้าที่กำลังชะเง้อคอมอง ไม่รู้ว่าชะเง้อมองเพราะหิวสเต็กหรือชะเง้อเพราะอยากมองคนทำสเต็กมากกว่ากัน



✿✿



พอถึงเวลาสองทุ่มตรงตามเวลาที่ปกติร้านจะคนเยอะแต่วันนี้จากที่คนเยอะอยู่แล้วก็เป็นโคตรพ่อโคตรแม่เยอะเลยครับ คนที่พึ่งมาใหม่ก็ยังไม่ได้เข้าร้านหรอกนะครับเพราะต้องต่อคิวกัน บางคนก็ทำหน้าเสียดายที่รู้ข่าวช้าว่าวันนี้ที่ร้านมีพ่อครัวคนพิเศษมาทำสเต็กให้ทาน บางคนก็นั่งบ่นว่าเซ็งแล้วก็พากันกลับไปแล้วก็มี



ปาดเหงื่อแล้วปาดเหงื่ออีกลูกค้าก็ยังไม่หมดร้านอย่าว่าแต่ในร้านเลยข้างนอกร้านก็ยืนรอกันเยอะพอสมควรเลย ออเดอร์เต็มไม้เต็มมือไปหมด เขียนกันจนมือหงิกไปข้าง ไม่ต้องถามถึงพ่อครัวจำเป็นหรอกนะครับรายนั้นน่ะยังชิวๆหล่อสภาพเดิมเหมือนตอนมาเป๊ะ อาจจะเหงื่อตกบ้างแต่ก็ยังโคตรดูดี ไม่งั้นสาวๆไม่กรี๊ดแตกขนาดนี้หรอกแต่ก็เดาว่าเขาก็คงเหนื่อยไม่แพ้กันกับผมนั่นแหละ



“มึงๆๆๆๆ ดูดิคนบ้าไรวะเช็ดเหงื่อยังหล่อ”



ยกตัวอย่างโต๊ะที่ผมกำลังรับออเดอร์อยู่ตอนนี้ อยากให้ทุกคนมาเห็นภาพที่คนทั้งโต๊ะนั่งกัดเสื้อกันกรอดๆ



ขาดไปนี่ซื้อใหม่เลยจริงๆนะหรืออาจจะมาเห็นแล้วสงสัยอีกทีว่า เอ๊ะ! หนูตัวไหนมากัดเสื้อหรือป่าวอะไรทำนองนี้ ทั้งที่จริงแล้วพวกเจ๊ๆนั่นแหละกัดกันเอง



“รับอะไรดีครับ” ผมถามเสียงนุ่ม มือพร้อมเขียนออเดอร์



“เอาพี่คินกินนี่ที่นึง ไม่สิห่อกลับบ้านเลย”



“พี่คินห่อกลับบ้า...น”



เดี๋ยวนะ เอ๊ะ? พี่คินห่อกลับบ้านมันมีในเมนูด้วยหรอ



“เอ่อ...เกรงว่าเมนูนี้จะไม่มีนะครับ” ผมเกาหัวแกรกๆบอกคุณลูกค้าที่ยังคงนั่งหวีดพี่คินมันอยู่



“อุ้ย! ขอโทษจ้ะ ของพี่เอาเป็นสเต็กปลาแล้วกัน”พอพูดเสร็จแล้วเจ๊แกก็หันกลับไปหวีดต่อ



กว่าจะรับออเดอร์จากลูกค้าเสร็จก็ใช้เวลานานโขเลยทีเดียว



ผมเดินไปยื่นออเดอร์ให้พี่คินที่ยืนยิ้มขำผมอยู่ก่อนแล้ว



“กูว่ามึงเริ่มไม่ไหวแล้วนะ” เขาเอ่ยทักในมือก็ถือออเดอร์ที่ผมยื่นให้ไปดูด้วย



“โอ๊ย! สภาพนี้อย่าเรียกว่าไม่ไหวครับ เรียกว่าพร้อมตายอย่างสงบแล้วพี่”



“หึๆ นั่งพักก่อนคงไม่มีลูกค้ามาแล้วล่ะ”



ผมขมวดคิ้วงง เอาหน้าหล่อๆของตัวเองหันไปมองหน้าร้านก็ไม่เห็นลูกค้าที่รออยู่ข้างนอกแล้วจริงๆ



“อ้าว หายไปไหนกันหมดแล้ว?” ผมหันไปถามพี่คิน



“กูบอกให้กลับไปหมดแล้วล่ะ”



“เชรดดด คิดว่าหล่อแล้วจะไล่ลูกค้ายังไงก็ได้หรอ?”



“ไม่ได้ไล่แค่บอกว่าวันนี้ร้านปิดสามทุ่ม ตอนนี้ก็สองทุ่มครึ่งแล้ว กูคิดว่าคงทำออเดอร์ให้เขาไม่ทัน เลยบอกให้เขามาพรุ่งนี้แทน เนี่ยกูให้เขาเขียนชื่อจองโต๊ะไว้แล้วด้วย” พี่คินยื่นสมุดมาให้ผมดู รายชื่อจองโต๊ะและเวลาจองเต็มหน้ากระดาษ



“โห! หล่อแล้วยังฉลาดอีก”



“แน่น๊อน”



พี่มันยักไหล่แล้วยักคิ้วให้อีกสองจึกก่อนจะหยิบออเดอร์ที่ผมพึ่งรับมาไปทำต่อให้ลูกค้า



ดูพี่คินทำนู่นทำนี่อย่างคล่องแคล่วก็อดทึ่งไม่ได้ ผู้ชายอะไรมันจะเพอร์เฟ็คขนาดนี้วะ อ่ะๆ...ยกตัวอย่างมีผมคนหนึ่งแล้วที่เพอร์เฟ็คพอมาเจอคนเพอร์เฟ็คเหมือนกันก็เลยดีใจ เหมือนเจอพวกเดียวกันจริงๆ



ไม่ได้จะอวยตัวเองแต่ก็เพอร์เฟ็คในระดับนึงอ่ะนะ



✿✿



ทำงานตั้งแต่ห้าโมงเย็นลากยาวไปจนถึงสามทุ่มที่ผมยังไม่ได้นั่งพัก ลูกค้าในร้านก็เริ่มทยอยออกกันไปเรื่อยๆ ตอนแรกพี่คินจะปิดร้านตอนสามทุ่มแต่กว่าจะรอลูกค้าออกจนหมดร้านตอนนี้ก็ปาไปสามทุ่มครึ่งแล้ว



“โอยยยยยย เหนื่อยโว้ยยยยยยยย” ผมแหกปากลั่นร้าน โดยมีพี่คินยืนหัวเราะเป็นแบ็คกราวด์อยู่ข้างหลังตอนที่ลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกจากร้านไป



“อ่ะกินไปๆจะได้หายเหนื่อย” เดินมาหล่อๆพร้อมน้ำชาเขียวปั่นหน้าตาน่ากิน



พอผมเห็นก็ตาลุกวาวรีบยื่นมือไปรับมาดูดจนเย็นขึ้นสมองแต่โคตรสดชื่นเลย “ขอบคุณครับ”



“อืม หายเหนื่อยแล้วค่อยเก็บร้านแล้วกัน” พี่คินนั่งลงฝั่งตรงข้าม ดูดน้ำผลไม้ปั่นไปสองสามอึก พี่คินก็คงเหนื่อยไม่แพ้กันกับผม



“อร่อยมั้ยพี่?” ผมถามเขาด้วยความอยากรู้ เห็นน้ำสีของเขาสวยดีรสชาติก็คงจะดีเหมือนสีแน่ๆ



“ก็ดีไม่ได้แย่อะไร” พี่มันก็ตอบตามสไตล์คนคูลๆ ก็คือตอบว่าอร่อยก็ไม่ตอบหรือจะตอบว่าไม่อร่อยก็ไม่ตอบอีก แล้วดูสิ่งที่พี่คินตอบ ผมก็เลยไม่รู้ไงครับว่าจริงๆแล้วมันอร่อยหรือไม่อร่อยกันแน่



“ขอชิมหน่อยได้มั้ยครับ?” ผมยิ้มหวาน มองพี่คินตาปริบๆ ก็ในเมื่อไม่รู้คำตอบที่แท้จริงก็ต้องขอเชาชิมใช่มั้ยล่ะครับ



พิ่คนมองหน้าผมนิดหน่อยก่อนจะเลื่อนแก้วน้ำผลไม้ของเขามาทางผม “เอาไปสิ”



ผมยิ้มกว้างส่งให้พี่คิน “ขอบคุณคร้าบบบ”



ผมรับมาดูด โดยลืมคิดไปว่าดูดหลอดเดียวกับพี่มันไปซะแล้ว ผมเงยหน้ามองพี่คินที่มองผมยิ้มๆ ผมก็เลยเดาว่าเขาคงไม่ถือสาเหมือนผมล่ะมั้งเรื่องใช้หลอดเดียวกัน



“เป็นไง?”



ผมเงยหน้าขึ้นมาตอบ “อร่อยมากอ่ะ ไม่หวานเหมือนของผมเลย มันแบบเปรี้ยวๆหวานๆดีคือชอบอ่ะ” ว่าพลางก็เลื่อนแก้วคืนเจ้าของไป ผมชอบน้ำของเขานะครับแต่จะให้แย่งพี่คินดื่มก็ยังไงอยู่แค่เขามาช่วยงานที่ร้านแถมยังทำน้ำปั่นมาให้ผมดื่มหลังทำงานเสร็จอีก แค่นี้ผมก็เกรงใจเขาจะแย่แล้ว



“ชอบก็เอาไป” พูดจบก็เลื่อนแก้วน้ำผลไม้ของเขามาให้ทางผมอีกรอบ



“ได้ไง นี่มันของพี่” ผมก็เลื่อนคืนให้เขาไป



“ไม่เป็นไรกูอิ่มแล้ว” แล้วเขาก็เลื่อนมาตรงหน้าผมอีก



อ่า...ผมว่าถ้าเรายังเลื่อนแก้วไปเลื่อนแก้มมาแบบนี้ คืนนี้ก็คงไม่ได้ข้อสรุปกันสักทีหรอกนะครับว่าใครจะได้แก้วน้ำผลไม้แก้วนี้ไปครอบครองกันแน่ระหว่างผมกับพี่คิน ผมก็เลยคิดวิธีการที่จะทำให้เราเลิกเถียงกันโดยการเอาน้ำชาเขียวปั่นของผมให้พี่คินและเอาน้ำผลไม้ปั้นของพี่คินมาไว้กับผม แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วล่ะครับ



“โกหกน่า อ่ะๆงั้นเรามาแลกกันดีกว่า” ผมยกแก้วชาเขียวปั่นไปวางตรงหน้าพี่คิน ส่วนตัวเองก็ยึดน้ำผลไม้ปั่นของเขาไป



“มึงนี่นะ” เขาว่าแล้วก้มลงดูดชาเขียวปั่นของผมที่กลายเป็นของเขาไปแล้ว



“พี่ไม่ถือใช่ป่ะที่ใช้หลอดเดียวกันกับผมอ่ะ” ก็ไม่รู้ว่าถามตอนนี้จะทันหรือเปล่าแต่ก็ดีกว่าไม่ถามล่ะนะ เผื่อพี่คินมันถือเรื่องนี้คินมาก็แย่น่ะสิ



“ถามตอนนี้ไม่ทันแล้วมั้ง”



“อ้าว?” ผมทำหน้างง อยากรู้แล้วจริงๆพี่มันถือหรือไม่ถือเรื่องนี้กันแน่



“กูไม่ถือหรอก”



ผมได้ยินคำตอบของเขาแล้วก็โล่งใจ “ไม่กลัวผมเป็นโรคแล้วเอามาติดพี่บ้างหรอ?”



“แล้วมึงล่ะไม่กลัวติดโรคจากกูบ้างหรอ?” มีความย้อนอีก



“ไม่อ่ะ”



“กูก็เหมือนกัน”



เราสองคนนั่งดูดน้ำกันไปคุยกันไป จริงๆพี่คินมันก็เป็นคนพูดมากคนหนึ่งนั่นแหละครับถ้าได้สนิทกันจริงๆ ดูอย่างตอนนี้ดิ เล่าเรื่องตัวเองไม่หยุดปากเลย พอเจ็บคอก็ก้มลงดูดน้ำ พอดูดเสร็จก็กลับมาพูดต่อ ผมก็หัวเราะบ้างเวลาพี่มันเล่าเรื่องตลกๆให้ฟัง



“ถ้ามึงเจอเพื่อนกูอีกสี่คนนะคงสนุก”



ตอนนี้เขาก็กำลังนั่งอวดเพื่อนกลุ่มหล่อของเขาให้ผมฟังอยู่ ในบรรดากลลุ่มของเขาผมเคยเห็นแค่เฮียเตอร์กับพี่คินเท่านั้นแหละครับ ส่วนคนอื่นผมเคยเห็นผ่านๆหน้าโซเชียลแต่ก็จำหน้าใครไม่ได้หรอกเอาจริงๆ



“โห กลุ่มหล่อขนาดนั้นหาตัวยากจะตายไป”



“หืม นี่มึงกำลังพูดกับหนึ่งในกลุ่มหล่ออยู่นะอย่าลืมสิ” บางทีก็หมมั่นไส้พี่คินที่พูดคำว่าหล่อออกมาได้เต็มปากเต็มคำโดยที่ไม่มีความกระดากปากเลยสักนิดแต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกนะครับว่าเขาไม่หล่อ



“จริงด้วย ผมก็อยากเจอเพื่อนพี่คนอื่นๆเหมือนกันนะ อยากรู้อ่ะว่าจะหล่อเหมือนที่เขาพูดกันมั้ย”



“ก็ตามเขาพูดนั่นแหละแต่กูหล่อที่สุดไง เห็นพวกมันมึงก็คงไม่ตกใจหรอก” เขาพูดด้วยหน้าตาท่าทางนิ่งเหมือนเป็นเรื่องปกติที่ต้องชมตัวเองว่าหล่อ



“อวยตัวเองเก่ง” ขนาดผมหล่อผมยังไม่อวยตัวเองขนาดพี่มันเลยครับ



“หรือจะเถียงว่ากูไม่หล่อ”



“จ้าหล่อจ้าพ่อรูปหล่อ หล่อที่สุดในมหา’ลัยแล้ว” พูดพร้อมยื่นมือไปลูบแก้มพี่มันแบบประชดประชัน ตอนมือสัมผัสแก้มพี่คินก็รู้สึกว่าพี่มันชะงักไปจังหวะหนึ่งก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่มส่งมาให้ผม



“เนียนแต๊ะอั๋งกูเหรอ” ไม่พูดเปล่าแต่ยังยึดมือข้างที่ผมยื่นไปลูบแก้มพี่มันไว้แน่น



“เฮ้ย! ผมเปล่านะ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธพี่คิน นี่คิดได้ยังไงว่าผมอยากจะแต๊ะอั๋งเขาวะเนี่ย



“แล้วเมื่อกี้ใครลูบแก้มกูล่ะ”



พี่มันจับมือผมที่ยึดไว้เอาไปลูบแก้มตัวเองช้าๆ สายตาก็จ้องมาที่ผมที่นั่งกัดปากมองพี่มันแกล้งตัวเอง ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงชักมือออกสักที



“โงยยยยย ก็หยอกอ่ะ ฮือทำไมต้องแกล้งกลับ”



“ไม่ได้แกล้งนี่ก็กำลังหยอกเหมือนกัน”



หยอกบ้านพี่มึงซี้ โธ่ วันหลังจะไม่เอามือไปโดนตัวพี่มันแล้ว



“เอ้อ งั้นก็ลูบให้พอใจเลย”



ผมปล่อยพี่มันเอามือผมไปลูบๆที่แก้มตัวเอง พอนานไปพี่มันก็หยุดแล้วเอาหน้าซบไว้แทน ผมมองพี่มันงงๆ พี่คินเอาหน้าซบมือผมไว้สักพักก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา



“มือมึงแม่งสาก”



“อ่ะ...”



“แต่ไม่เป็นไรพอดีหน้ากูนิ่ม”



“พี่มึงนี่!” ผมโวยวาย เกือบจะดีแล้วเชียว



“เข้ากันดีเนอะมึงว่ามั้ย?”



โว้ยยยยยยย อารมณ์ไหนมึงเนี่ยอีพี่ แล้วยังจะมีหน้ามาถามความคิดเห็นผมอีก ไม่ด่ากลับนี่ก็เป็นบุญของพี่มันเท่าไหร่แล้วครับ อย่าให้ทาวน์ต้องด่านะบอกไว้ก่อน



“พอเลยๆ แกล้งคนอื่นแล้วยังจะมาหลอกด่าอีก” ผมชักมือกลับพี่คินก็ยอมปล่อยแต่โดยดีก่อนเขาจะยืนขึ้นบิดขี้เกียจ



“เก็บร้านกัน เสร็จแล้วเดี๋ยวกูไปส่ง”



“ครับผม” ผมไม่ปฏิเสธที่จะให้พี่คินไปส่ง ก็ดีเหมือนกันครับกลับคนเดียวมืดๆก็เสียวๆสันหลังอยู่เหมือนกัน ดีแล้วล่ะครับที่มีคนอาสาไปส่งขนาดนี้



อีกอย่างมันเป็นความเคยชินที่พี่คินต้องไปส่งผมทุกครั้งหลังเลิกงาน วันไหนที่ทิมเพื่อนรักไม่มาร้านด้วยพี่คินก็จะพาผมไปส่งเสมอผมจึงเคยตัวกับความสะดวกสบายโดยไม่ได้นึกถึงว่าวันที่พี่มันไม่อยู่จะเป็นยังไง



✿✿


TBC...
ติดแท็ก #นิยายเขาว่ากันว่า ได้นะค้าา

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3

ตอนที่ 7



สุดสัปดาห์นี้ไอ้พี่คินไม่เข้าร้าน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมวันนี้ร้านคนถึงไม่เต็มหรือแน่นอย่างทุกๆวันแต่ก็ไม่ได้เงียบเหงาอะไรขนาดนั้นนะครับ ถึงแม้ไม่มีพี่คินแต่คนก็เข้าร้านของเฮียเตอร์เป็นระยะๆเหมือนกัน ก็อย่างที่เคยบอกไปว่ากลุ่มของเขาคือกลุ่มหล่อ ฉะนั้นเฮียเตอร์ก็ต้องหล่อและมีแฟนคลับกับเขาเหมือนกัน



ผมมาทำงานร้านเฮียประมาณเกือบสองทุ่มเพราะพึ่งเลิกเชียร์คณะ มีไอ้ทิมติดสอยห้อยท้ายมาด้วย มันบ่นหิวตั้งแต่ในห้องเชียร์ ไม่โดนพี่ระเบียบทำโทษก็ดีเท่าไหร่แล้ว



“ตอนนี้นะเอาควายมาตั้งไว้ตรงหน้ากูก็จะแดก”



จนเข้ามานั่งในร้านแล้วมันก็ยังคงบ่นไม่หยุด บ่นได้บ่นดีจนอยากเอาไปแข่งบ่นกับแม่ผมที่บ้านอยู่เหมือนกัน ดูซิว่ามันจะบ่นชนะแม่ผมได้หรือเปล่าขนาดพ่อผมยังต้องยอมยกธงขาวให้แม่เลยนะครับเรื่องบ่นเนี่ย



“มึงจะแดกตัวเองไม่ได้นะเพื่อนรัก” ผมก็ตอบมันไปด้วยใบหน้าซื่อๆที่ชอบทำใส่มันเวลาอยากด่ามันแต่ไม่อยากให้มันรู้ว่ากำลังโดนด่าเลยเอาหน้าซื่อๆของตัวเป็นเกราะป้องกัน



“เอ๊ะ? เหมือนมึงด่าว่ากูเป็นควายเลย” มันก็สงสัยแต่ก็ดูไม่ออกว่าจริงๆแล้วผมด่ามันหรือเปล่า



“บ้า! ใครจะไปว่ามึงกันเล่า มึงอ่ะคิดมาก” ผมก็ยังคงตอบมันด้วยหน้าซื่อๆเช่นเคย



มันมองหน้าผมแล้วพยักหน้าหงึกหงักประมาณว่าเชื่อที่ผมพูดจริงๆ นี่ไงครับผมบอกแล้วว่าหน้าซื่อๆของผมเป็นเกราะป้องกันได้ดีทีเดียว



“เอองั้นกูสั่งเลยนะ เอาอะไรก็ได้อ่ะที่เร็วๆแล้วก็อิ่มไปยันชาติหน้า ขอด่วนเลย” มันพูดเร็วจนผมฟังแทบไม่ทันแต่ก็พอจะจับใจความได้



ผมนิ่งคิดสักพักก่อนจะถามมันออกไป “มึงยังคิดว่าชาติหน้าจะได้เกิดอีกหรอ?”



“นั่นดิ งั้นเอาอะไรก็ได้ที่ทำให้กูอิ่มอ่ะ” มันกำลังมึนๆเบลอๆเพราะความหิวอยู่ครับเลยไม่รู้ตัวว่าเมื่อกี้ผมหลอกด่ามันไป



“โอเคคร้าบบบ”



ผมรับออเดอร์ไอ้ทิมเพื่อนยากแล้วเดินหัวเราะเข้าไปหาเฮียเตอร์เพื่อเอาออเดอร์ไปให้ ไอ้ทิมเวลามันหิวสมองจะไม่ค่อยทำงานเท่าไหร่หรือบางทีอาจจะไม่เกี่ยวเพราะจะหิวหรือไม่หิวก็ไม่เคยเห็นสมองมันทำงานสักที



น่าสงสารเขานะครับ...



“แกล้งมัน มันยิ่งโง่อยู่” เฮียเตอร์ว่าพลางกลั้วหัวเราะ



“นิดหน่อยน่าเฮีย”



พอได้ยินคำตอบของผมเฮียเตอร์ก็ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มขำไปด้วย เฮียก็คงจะขำควมเบลอของไอ้ทิมมันนั่นแหละครับ จากนั้นเฮียก็หันกลับไปทำออเดอร์ที่ผมพึ่งให้เฮียต่อ



ผมนั่งมองบรรยากาศในร้านเพลินๆแต่เหมือนบรรยากาศในร้านมันดูยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่เหมือนขาดๆอะไรสักอย่าง ผมนั่งคิดอยู่คนเดียว พอนึกออกก็ดีดนิ้วดังเปาะแล้วหันไปหาเฮียเตอร์ที่กำลังจัดจาน



“เฮียๆผมว่าร้านเฮียน่าจะเปิดเพลงคลอไปด้วยอ่ะ”



เฮียเตอร์หันมามองผม ขมวดคิ้วคิดตามก่อนจะพูด “อืม...น่าสนใจ”



“งั้นเราเริ่มเปิดพรุ่งนี้ดีมั้ยเฮีย ผมว่าพอมีเพลงแล้วอาจจะทำให้บรรยากาศดูน่านั่งขึ้นอ่ะ”



“โอเค งั้นพรุ่งนี้กูจัดการให้แต่กูไม่ค่อยรู้จักพวกเพลงอะไรเท่าไหร่เลยว่ะ”



“ไม่ต้องห่วงครับเฮีย เรื่องนั้นผมจัดการเอง”



“งั้นก็...ดีล”



เฮียตอบตกลงพร้อมวางออเดอร์ที่ผมต้องเอาไปเสิร์ฟไว้ตรงหน้าผม ผมส่งยิ้มให้เฮียก่อนจะไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ



ไอ้ทิมเพื่อนรักพอได้อาหารก็จ้วงเอาๆจนหมูติดคอ ลำบากผมต้องช่วยทุบหลังแล้วยื่นน้ำให้มันเอาไปกรอกใส่ปากอีก



“เกือบตายแล้วมั้ยล่ะ”



ผมบ่นให้มันอีกยกใหญ่ กำชับให้มันค่อยๆกินเดี๋ยวตายแล้วจะไม่ได้ไปเกิดอีก ต้องใช้ชีวิตชาตินี้ให้คุ้มก่อน มันก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วค่อยๆหั่นกินแบบผู้ดีแต่ถ้ามึงจะกินช้าขนาดนี้ร้านปิดแล้วมึงก็คงกินไม่หมดอ่ะ บักห่าเอ๊ย!



“นี่มึงแข่งกินกับหอยทากหรอ?”



“เอ้า ก็มึงบอกให้กูกินช้าๆ” มันเถียงกลับ ยัดเนื้อเข้าปากแล้วเคี้ยวไปประมาณสามนาทีก็พูดต่อ “เอาใจยากจังวะ ไปๆจะไปไหนก็ไปเลยมึงอ่ะ”



ผมผลักหัวมันโดยใช้แรงที่มีทั้งหมดในชีวิต มันหน้าหงายเกือบตกเก้าอี้แต่ผมไม่สนใจเดินไปเก็บโต๊ะที่พึ่งออกไปแล้วไปนั่งกับเฮียเตอร์



“เออๆเดี๋ยวกูบอกให้ไอ้ทาวน์เอาไปให้” ผมได้ยินเฮียคุยโทรศัพท์ตรงหลังเคาน์เตอร์ ตอนแรกไม่ค่อยอยากเสือกเท่าไหร่แต่พอได้ยินชื่อตัวเองหลุดออกมาหูก็ผึ่งขึ้นมาทันที



“หน้าตามึงพร้อมเสือกมาก”



“แหะๆ ปกติของมนุษย์เราแหละเฮีย”



เฮียเตอร์มองผมขำๆก่อนจะพูดต่อ “พอดีไอ้คินมันลืมงานไว้ที่ร้านเลยจะให้กูเอาไปให้แต่กูติดลูกค้าอยู่”



ผมพยักหน้าหงึกหงักตั้งใจฟังเฮียพูด “กูเลยบอกว่าจะให้มึงเอาไปให้”



“อ้าวเฮีย ทำไมไม่ถามผมก่อน?”



“มึงจะไม่ไป?”



“ไปดิ ก็เฮียไม่ว่างจริงๆนี่หว่า”



“งั้นก็ดี อ่ะนี่เงินกูออกค่าแท็กซี่ให้ ถ้าเหลือก็ไม่ต้องทอน” ผมมองแบงค์สีน้ำตาลตาวาว เหมือนมีฟิลเตอร์คนรวยปรากฏอยู่รอบกาย



ผมย่อกราบเฮียด้วยความสวยงามก่อนจะตะเบ๊ะแล้วพูดรับปากเฮีย “ผมจะเอาไปส่งพี่คินถึงห้องเลยครับ ไม่ต้องห่วง”



“เห็นเงินไม่ได้เชียวนะมึง มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาเชียว”



ผมยิ้มกว้างส่งไปให้เฮีย หอมกลิ่นเงินจนอยากทำงานเร็วๆ “ไหนเอกสารอ่ะเฮีย?”



“เดี๋ยวไปหยิบมาให้”



ไม่นานเฮียก็เดินออกมาพร้อมแฟ้มสีเขียวเข้ม ในนั้นน่าจะมีเอกสารของพี่คินอยู่ ผมรับไว้แล้วทำท่าจะหมุนตัวไปหาไอ้ทิมจากนั้นจึงจะออกจากร้านแต่ติดที่เฮียพูดขึ้นมาก่อน



“มึงเอาของให้ไอ้คินแล้วจะกลับห้องไปเลยก็ได้ อีกครึ่งชั่วโมงกูน่าจะปิดร้านแล้วล่ะ”



“โอเคครับ งั้นผมให้ไอ้ทิมอยู่ช่วยเฮียเก็บร้านนะ”



“ไม่เป็นไรๆ กูทำคนเดียวได้”



“เหอะเฮีย ไม่ต้องเกรงใจ งั้นผมไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้เฮียเตอร์



เฮียเตอร์รับไหว้ “เออเจอกันๆ”



พอลาเฮียเตอร์เสร็จก็ได้คิวลาไอ้เพื่อนรักที่นั่งดูดน้ำเหมือนปลาสวายอยู่คนเดียวที่โต๊ะ



“มึง” ผมสะกิดไหล่มันยิกๆ



มันหันมาตอบสั้นๆ“ไร?”



“กูจะเอาของไปให้พี่คินแล้วจะกลับหอเลยนะ”



“งั้นกูกลับพร้อมมึงเลยแล้วกัน”



“ไม่ได้ๆ คือกูบอกเฮียไว้ว่าจะให้มึงช่วยเขาเก็บร้านอ่ะ”



“มึงนี่จะทำอะไรไม่เคยปรึกษากูเลย บักห่า!”



“ช่วยกูหน่อยน่า เฮียเก็บร้านคนเดียวคงเหนื่อยแย่” ไอ้ทิมเชิดหน้า ผมมองแล้วก็อยากเสยคางมันสักทีแต่ติดที่ขอให้มันช่วยอยู่ไง “งั้นมื้อนี้กูเลี้ยง”



“โอเคเดี๋ยวกูจะเก็บร้าน ทำความสะอาดให้ดีกว่ามึงเลย”



“ทีอย่างนี้ล่ะเร็ว”



“เพื่อนกันก็ต้องช่วยกันสิวะ” ได้ยินมันพูดแบบนั้นก็อยากจะกรอเทปกลับไปจริงๆ



“กูฝากด้วยละกัน อย่าลืมบอกเฮียให้ลงบิลมึงไว้ที่บัญชีกูล่ะ”



“ครับผม” มันตอบรับอย่างว่าง่าย “ไปได้ละไป ชิ้วๆๆ”



โห ไล่กูเร็วเชียว



มาถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่เข้าใจว่าผมคบมันไว้ทำไม



คบไว้ให้มันด่าผมหรือคบไว้ให้ผมด่ามัน



ใครรู้ก็วอนส่งคำตอบมาบอกผมด้วยนะครับ อยากรู้จนนอนไม่หลับแล้วเนี่ย


✿✿



ตอนที่ผมมาถึงบ้านพี่คิน ฝนก็พากันเทลงมาซะห่าใหญ่ ลำบากให้ผมต้องโทรให้ไอ้พี่คินมันกางร่มมารับหน้าบ้าน ดีหน่อยที่ลุงแท็กซี่แกสบายๆไม่เรื่องมากเหมือนหลายๆคันที่เคยเจอ



“เขยิบเข้ามาใกล้ๆกูนี่ เดี๋ยวก็เปียกหรอก” พอเจอหน้าผมพี่คินมันก็บ่นเลยครับ



“ใกล้จนจะสิงร่างอยู่แล้วโว้ยพี่” ผมเปล่งเสียงดังเพราะฝนก็ตกหนักมาก เม็ดโคตรใหญ่ด้วยเมื่อกี้ตอนออกจากรถก็โดนหลายเม็ดอยู่ เจ็บฉิบหายเลย



ผมเดินกอดแฟ้มพี่คินไว้แน่น ตัวก็เบียดๆพี่มันเพื่อเข้าบ้าน แล้วก็พึ่งมารู้ตัวตอนยืนหน้าบ้านตรงที่มีหลังคาแล้วว่าผมถูกพี่มันโอบมาตลอดทาง



โหย...โรแมนติกเหมือนละครในทีวีเลยจ้า



“เข้ามา ยืนเซ่ออะไรอยู่ตรงนั้น”



เปลี่ยนบทจากโรแมนติกเป็นบทฆาตกรรมในเวลาถัดมา มองจิกกูขนาดนั้นนี่ถ้าไม่เห็นว่าหล่อนะพ่อจะ...จะ เออช่างเถอะตอนนี้คิดอะไรไม่ออก เดี๋ยวคิดออกแล้วจะมาบอกอีกทีแล้วกันครับ



“ดุกว่าหมาบ้านผมก็พี่นี่แหละ” ผมบ่นพึมพำเมื่อเห็นไอ้พี่คินเดินหายขึ้นไปชั้นสองของบ้าน ก็ถ้าพี่มันอยู่ผมจะบ่นให้มันได้ยินแล้วทำให้ตัวเองเจ็บตัวทำไมกันเล่า



สักพักผ้าขนหนูก็ลอยมาโปะบนหัวผมอย่างแรงไม่ต้องเดาเลยว่าใครเป็นคนทำ ก็มีกันอยู่สองคนในบ้าน เอ๊ะ? หรืออาจะมีคนอื่นอยู่ด้วยวะ



ไม่มีหรอกครับผมก็มโนไปเรื่อยแหละ...



“ยังจะนั่งนิ่งอยู่อีก รีบเช็ดหัวเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”



คือบอกกันดีๆมันจะตายไง๊ โธ่เอ๊ย!



ได้แต่คิดในใจแล้วยกมือขึ้นจับผ้าแล้วเช็ดหัวตัวเองเบาๆ ผมไม่สู้คนครับ



“อ่ะนี่แฟ้มพี่” ผมหยิบแฟ้มที่วางไว้บนโต๊ะแล้วยื่นให้พี่คินที่ยื่นมือมารับไว้แล้วก็วางไว้ที่โต๊ะเหมือนเดิม



เอิ่มคือ...รู้งี้ชี้บอกเอาก็ได้ป่ะวะ



ตอนนี้ก็หมดหน้าที่ของผมแล้ว ก็คงต้องขอตัวกลับก่อน ง่วงนอนจะแย่ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน



“ผมกลับก่อนนะพี่” ผมหันไปบอกพี่คินที่นั่งกดเปลี่ยนช่องทีวีอยู่ข้างๆกัน



“ค่อยกลับ ฝนตกหนักอยู่”พี่มันพยักพเยิดให้ผมหันไปดูข้างนอก “อีกอย่างแท็กซี่ตอนนี้ก็หายาก จริงๆมึงนอนที่นี่เลยก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยกลับ”



“ได้หรอ?” ผมไม่ปฏิเสธเพราะคิดๆดูแล้วก็น่าจะกลับลำบากจริงๆนั่นแหละ



“อืม”



“งั้นก็โอเคครับ” ผมฉีกยิ้มกว้างแต่ไม่รู้จะยิ้มทำไม ก็พี่มันเอาแต่สนใจทีวีไม่หันหน้ามามองผมสักนิดเดียว ยิ้มค้างเลยสิกู “แต่คือตอนนี้ผมหิวข้าวมากอ่ะ พี่มีอะไรให้ผมกินมั้ย?”



พี่คินหันหน้ามามองผมตั้งแต่หัวจรดพุง “มึงยังไม่ได้กินข้าว?”



“ถ้ากินแล้วจะถามพี่ทำไมเล่า โอ๊ะ!!” พี่คินดีดหน้าผากผม ผมเอามือกุมหน้าผากตัวเองแล้วมองค้อนพี่มัน



“ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่กินข้าวอีก ไอ้เตอร์ไม่ให้มึงกินหรือไง?”



“ก็ให้แต่ลูกค้าเยอะอ่ะ อีกอย่างก็เกรงใจเฮียด้วยเลยไม่กิน แหะๆ” ผมยิ้มแหย เหมือนนั่งสารภาพผิดกับพ่อที่บ้านเลย “จริงๆกะว่าปิดร้านจะกินนี่นา ทำไมพี่ต้องดุผมด้วยเล่า”



ผมเสตามองซี่รี่ย์ดังที่ฉายอยู่ในทีวีเพื่อหลบเลี่ยงสายตาดุๆจากพี่คิน



“เออ งั้นนั่งรอตรงนี้แหละเดี๋ยวกูไปทำอะไรให้กิน”



“เฮ้ย!ไม่เป็นไรพี่ๆ ผมกินแค่มาม่าก็ได้” ผมรีบปฏิเสธ นอนบ้านเขาแล้วจะยังให้เขาทำอาหารให้กินอีก โคตรเกรงใจเลย



“ไม่ต้องเรื่องมาก นั่งรอกูอยู่ตรงนี้แหละ” พี่มันชี้นิ้วพร้อมส่งสายตากดดันจนทำให้ผมต้องพยักหน้าตกลงแล้วนั่งหงุมหงิมอยู่บนโซฟา



กลิ่นอาหารลอยออกมากจากห้องครัว เป็นเวลาเดียวกับท้องของผมร้องแข่งกับเสียงฝนดังโครกครากแล้วจากนั้นจานข้าวผัดหน้าตาน่ากินก็ถูกวางลงตรงหน้าผม



“ขอบคุณครับ” ผมหันไปบอกอีกคน พอเห็นพี่มันพยักหน้ารับแล้วกลับไปสนใจซี่รี่ย์ในทีวีต่อผมก็จัดการตักข้าวผัดเข้าปากคำโต “อื้อหือ อร่อยอ่ะพี่” พูดชมแล้วยกนิ้วโป้งขึ้นมายืนยัน



“ค่อยๆกิน อย่าให้เลอะ” ผมทำมือเป็นสัญลักษณ์โอเค



ผมยัดข้าวคำสุดท้ายเข้าปากแล้วชวนพี่คินคุย “ทำไมวันนี้พี่ไม่เข้าร้านอ่ะ”



พี่คินละสายตาจากทีวีตรงหน้าแล้วหันมามองผม เขาส่ายหัวเบาๆแล้วทำหน้าละอาใส่อีก“เคี้ยวข้าวให้หมดก่อนค่อยพูด” ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วก็ต้องชะงักเมื่อพี่มันยื่นมือมาแล้วหยิบข้าวที่ติดตรงมุมปากผมออกให้ “บอกแล้วไงว่าอย่ากินเลอะ มึงนี่นะ”



ผมส่งยิ้มแห้งไปให้พี่คิน หยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ขึ้นดื่มจนหมดแก้วแล้วก็คิดขึ้นได้ว่าพี่มันยังไม่ตอบคำถามผมเลย “ตกลงว่าไงครับ ทำไมวันนี้พี่ไม่เข้าร้านอ่ะ?”



“มึงจะอยากรู้ไปทำไม” พี่มันตอบหน้านิ่งๆแต่สักพักก็ยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ผม เป็นไบโพล่าหรือป่าววะพี่มึง “หรือมึงคิดถึงกูหืม?”



“พี่จะบ้าหรอ ผมจะไปคิดถึงพี่ทำไมล่ะโว้ะ ที่ถามนี่ก็ถามเผื่อแฟนคลับพี่นั่นแหละ เข้ามาถามกันตั้งกลายคน พี่แม่งโคตรฮอต”



“แล้วมึงไม่อยากเป็นแฟนคลับกูบ้างหรอ?”



“ไม่อ่ะ” ผมส่ายหน้ารัวๆ เอาให้รู้ไปเลยว่าไม่อยากเป็นจริงๆ



“หึ ถึงไม่อยากเป็นแฟนคลับแต่กูก็มีสถานะอื่นรอให้มึงเป็นอยู่ดี”



“สถานะอะไรอ่ะ ถ้าให้เป็นทาส เบ๊หรือคนใช้นี่เอาไม่เอานะเว้ย”



“ไม่หรอกน่า สถานะมึงดีกว่านั้นเยอะ”



“แล้วมันอะไรละวะพี่?”



“อยากรู้?” ผมพยักหน้าหงึกหงัก “กูไม่บอก”



ผมทำหน้าเซ็ง เบ้ปากใส่พี่มัน อยากจะด่าแต่คิดไม่ออก “อะไรของพี่ คุยไม่รู้เรื่องเลยว่ะ ผมเอาจานไปล้างก่อนแล้วกัน”



ผมหยิบจานข้าวผัดของตัวเองแล้วเดินดุ่มๆเข้าครัวโดยไม่รอพี่มันตอบอะไรกลับมา กลัวจะคุยกันไม่รู้เรื่องอีก แค่นี้ก็คิดจนปวดหัวแล้วมั้ง



สุดท้ายคำถามที่ผมถามพี่มันไปก็ไม่ได้คำตอบ



คำถามที่ถามว่า...ทำไมไม่มาร้านเนี่ยมันตอบยากมากหรอวะ ถามจริง?



✿✿

TBC.....

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่ 8



การเข้าเชียร์คณะของผมใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว เหลือแค่เพียงอีกสองอาทิตย์เท่านั้นผมคงไม่ได้ยินเสียงพี่ระเบียบอีกแต่ตอนนี้ก็ต้องนั่งหัวหดตดหายเพราะแม่งพี่ระเบียบดุกว่าปกติของทุกวันเลย



“ทำไมพวกคุณถึงร้องเพลงนี้ไม่ผ่านกันสักทีครับ!!” เสียงพี่ระเบียบที่เป็นประธานดังก้องไปทั่วห้องเมื่อทุกคนพร้อมใจนั่งเงียบ “ผมให้โอกาสพวกคุณกี่รอบแล้วครับ ทำไมยังร้องกันไม่ได้ครับ! หรือเพลงประจำมหา’ลัยมันไม่สำคัญกับพวกคุณ พวกคุณถึงร้องกันไม่ได้!!”



“สำคัญครับ!/ค่ะ!” พวกเราพร้อมใจกันตอบเสียงดัง พอฟังพี่ระเบียบพูดแบบนั้นแล้วก็รู้สึกไม่ชอบใจ ทุกคนในทีนี้พร้อมใจกันร้องเกือบตายแต่พี่แม่งไม่ให้ผ่านสักที



ประเพณีเข้าห้องเชียร์ของคณะผมคือพวกเราต้องร้องเพลงประจำมหา’ลัยและต้องบูมของมหา’ลัยได้ทุกเพลงโดยมีหลีดของคณะคอยให้จังหวะอยู่บนเวที



“ไหนครับใครช่วยอธิบายได้บ้างว่าสำคัญยังไง?” พี่ระเบียบอีกคนที่ยืนฝั่งซ้ายมือผมตะโกนถามอีก “ผมขอตัวแทนหนึ่งคนครับ!”



ทุกคนยังคงนั่งเงียบ สายตาล่อกแล่กมองเหล่เพื่อนข้างๆ ผมใช้หางตาดำเหล่มองไอ้ทิมที่เหงื่อไหลเต็มหน้าทั้งที่นั่งอยู่ในห้องแอร์



...โธ่เพื่อนกู....



“ที่พวกคุณไม่ตอบออกมากันสักคนแบบนี้ก็แสดงว่าเพลงมหา’ลัยไม่สำคัญแล้วจริงๆใช่มั้ยครับ!” พี่ระเบียบยังคงตะโกนถามทั่วทั้งห้องไม่หยุด ไม่มีใครกล้ายกมือตอบสักคน กลัวตอบไปแล้วไม่ถูกใจพี่เขานี่ครับ ผมนี่แหละคนนึงที่คิดแบบนี้ กลัวจนอยากหายตัวกลับบ้านแล้วโว้ยยย!



“ขออนุญาตครับ!” ผมหันขวับไปมองไอ้ทิมที่นั่งข้างๆ ถึงเสียงและตัวจะสั่นแต่มันยังใจกล้ายกมือแล้วยืนขึ้นเพื่อตอบคำถามที่พี่ถาม



โอ้โห! เพื่อนกูโคตรเท่ห์เลยครับ



เพื่อนโผมครับเพื่อนโผมมม



“เชิญครับ!”



“ที่พวกผมตอบว่าเพลงมหา’ลัยสำคัญเพราะเป็นเพลงประจำสถาบันของพวกเราครับ” มันตอบอย่างมั่นใจ



“แล้วยังไงอีกครับ สำคัญแค่นี้เหรอครับ!?” โว้ยยย พี่ก็อยากรู้เยอะจังวะ ตอบแค่นี้ก็โคตรหล่อแล้วสำหรับผมอ่ะ



ผมเหลือบมองไอ้ทิมที่ยืนกัดปากขมวดคิ้วคิดคำตอบแต่จนแล้วจนรอดมันก็คงคิดไม่ออกสักที พี่ระเบียบมองมันอย่างกดดันก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “คุณ! เชิญนั่งครับ” พี่พยักพเยิดให้มันนั่งลงตามเดิม



“ขอบคุณครับ!” มันนั่งลงตามคำสั่ง ผมเอาหางตาดำเหลือบมองมันก็เห็นมันถอนหายใจอย่างโล่งอก เหมือนผ่านสมรภูมิรบมาอย่างไรอย่างนั้นเลย



“เอาล่ะครับ ในเมื่อทุกคนร้องเพลงนี้ไม่ได้ ผมจะสรุปให้ก็แล้วกันว่าเพลงนี้.....ผมไม่ให้ผ่านครับ!” สิ้นเสียงพี่ระเบียบที่เป็นประธาน...เสียงแอร์ก็ดังหึ่งๆไปทั่วทั้งห้อง



ผมแอบถอนหายใจเบาๆไม่ให้พี่ระเบียบที่ยืนข้างๆแถวผมได้ยิน รู้สึกเหนื่อยและท้อแท้ใจอย่างบอกไม่ถูก นี่นะถ้าให้ไปทำงานร้านเฮียเตอร์ทั้งวันทั้งคืนยังไม่เหนื่อยเท่ามานั่งร้องเพลงเชียร์คณะอ่ะบอกเลย



“สำหรับเพลงต่อไป...บูมมหา’ลัยครับ” พี่เว้นจังหวะแล้วพูดต่อ “ผมหวังว่าเพลงนี้พวกคุณจะผ่านนะครับ”



“ครับ/ค่า” สิ้นเสียงพวกผมตอบ พี่ๆหลีดประจำคณะก็เดินขึ้นบันไดไปอย่างสง่างามแล้วแยกย้ายกันยืนตำแหน่งของตัวเอง



ผมมองสัญญาณมือที่พี่หลีดยกขึ้นวาดบนอากาศ พงกเรานักศึกษาปีหนึ่งยืนขึ้นและก้าวขาซ้ายเฉียงออกไปข้างหน้า มือสองข้างวางทับกันเหนือเข่าก่อนจังหวะบูมจะเริ่มขึ้น



พวกเราพร้อมใจบูมกันเสียงดังแต่สุดท้าย.... “บูมอะไรกัน ไหนความพร้อมเพรียง คิดว่าเล่นเวฟกันหรือไง”



พี่ที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นหัวหน้าหลีดพูดขึ้นเสียงดังทั้งๆที่ยังกางแขนอยู่ “เอาใหม่ ให้มันพร้อมกัน!”



ผมว่าพี่ระเบียบดุแล้วนะแต่พอมาเจอพี่หลีดเท่านั้นแหละ....



พวกเราบูมอีกครั้ง เกือบจะบูมจบแล้วแต่เสียงพี่หลีดคนเดิมก็แทรกขึ้นมากลางอากาศ “ไม่ผ่าน!”พวกผมเงยหน้าขึ้นมอง ปาดเหงื่อที่เริ่มไหล “เวลาบูมจะพากันก้มหน้าทำไม หาเหรียญกันหรือไง ห้ามก้มหน้าเดี๋ยวก็หน้ามืดกันหมด!”



ผมว่ามันเป็นประโยคที่ออกแนวห่วงใยพวกผมแบบแข็งทื่อๆอ่ะ ฮือออ พี่แม่งก็ใจดีนี่หว่าแต่ถ้าปากหวานกว่านี้อีกนิดเดียวจะชูป้ายเป็นแฟนคลับเลย



“ขออนุญาตครับ!” พี่เฮดระเบียบพูดขอพี่หลีด พอเห็นพี่หลีดพยักหน้ารับก็พูดต่อ “พวกคุณคิดว่าทำอะไรกันอยู่ครับ เล่นขายของเล่นกันหรือไงครับ!?”



“ไม่ครับ/ค่ะ”



“แล้วทำไมพวกคุณถึงบูมกันไม่ผ่านสักทีครับ!” พวกผมยังพากันเงียบ เหตุผลก็ตามพี่หลีดบอกไงเล่าพี่เฮด ทำไมไม่ฟังเองอ่ะครับ “ผมให้โอกาสพวกคุณรอบนี้เป็นรอบสุดท้าย หวังว่าพวกคุณจะไม่ทำให้ผมผิดหวังนะครับ!”



“ครับ/ค่ะ”



“เชิญครับ!”



“ขอบคุณครับ/ค่ะ”



พี่หลัดตั้งการ์ดอีกรอบ รอบนี้เป็นรอบสุดท้ายของพวกผม ผมสูดหายใจเข้าปอดพยายามจะทำให้ผ่านแต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับเพื่อนคนอื่นด้วย ในใจได้แต่ภาวนาให้ทุกคนสู้และเต็มที่เข้าไว้



“บูมมมมมมม!!!” เสียงบูมคำสุดท้ายของพวกเราดังสนั่นห้องประชุม ผมหอบหายใจรับออกซิเจนเข้าปอด บูม มหา’ลัยก็เหนื่อยใช่เล่นนะครับบอกเลย



“พวกคุณก็ทำได้นี่ครับ” เสียงพี่เฮดระเบียบดังขึ้นหลังจากพวกผมยืนตัวตรงเข้าระเบียบ “ถ้าสามัคคีกันแบบนี้ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว”



พวกเรายังคงนิ่งฟัง ไม่มีใครไหวติงใดๆ ทั้งเหนื่อยทั้งเกร็งผสมปนเปกันไปหมด



“รอบนี้ผมขอชื่นชมพวกคุณทุกคน แต่คุณอย่าคิดว่าผมจะให้ผ่านนะครับ” ผมว่าแล้ว



จริงๆเราต้องบูมกันสองรอบครับพี่ก็จะให้ผ่านและร้องเพลงอื่นต่อตามที่พี่จะสั่ง คือถ้าเพลงนี้ผ่านก็ไม่ต้องกลับมาร้องอีกและพวกผมต้องร้องเพลงให้ผ่านทั้งหมดสามเพลงจากเกือบสิบเพลง ยังดีที่พี่ยังคงเห็นใจไม่ให้พวกผมต้องร้องผ่านครบทุกเพลง



“ผมขออีกรอบ หวังว่าพวกคุณจะทำได้อีกครั้งนะครับ!”



“ครับ/ค่า”



“เชิญครับ!”



“ขอบคุณครับ/ค่า!”



สุดท้ายเพลงบูมมหา’ลัยก็เป็นเพลงแรกที่พวกผมทำให้ผ่านไปได้อย่างทุลักทุเล พี่เฮดจึงเอ่ยชื่นชมและพวกผมก็น้อมรับคำชมอย่างยินดี



“วันนี้พวกคุณผ่านกี่เพลงครับ!”



“หนึ่งเพลงครับ/ค่า”



“ดีครับ ผมหวังว่าพวกคุณจะทำให้ผ่านทุกเพลงนะครับ” พี่ว่า “ข้างในทราบไม่ทราบ!?”



“ทราบครับ/ค่า”



“ก่อนพวกคุณจะกลับผมก็มีการบ้านจะฝากไปให้พวกคุณทำเพื่อนำมาส่งในวันเชียร์คณะในครั้งถัดไปซึ่งก็คือวันพฤหัสนี้” พี่เงียบแล้วกวาดสายตามองทุกคนในห้อง “ผมจะให้คุณไปขอชื่อจริง ชื่อเล่น สาขาและลายเซ็นของเพื่อนในคณะของพวกคุณ สาขาละห้าสิบคนรวมทั้งสามสาขาแล้วก็เป็นหนึ่งร้อยห้าสิบคน”



โอย...ได้ยินแล้วเข่าแทบทรุด



คณะของผมมีทั้งหมดสามสาขาซึ่งสาขาผมมีทั้งหมดร้อยกว่าคน สาขาข้างบ้านก็ร้อยนิดๆ ส่วนอีกสาขามีประมาณห้าสิบหรือหกสิบคนน้อยที่สุดในสามสาขา จะยากก็เพราะสาขานี้แหละครับ



“ส่วนสมุดพวกคุณไปรับได้ที่ห้องถ่ายเอกสารตึกxx ข้างในทราบไม่ทราบ!?”



“ทราบครับ/ค่ะ”



“ดีครับ” พี่ชม...ก็น่าจะเรียกว่าชมได้ล่ะมั้งเนอะ “ก่อนผมจะปล่อยพวกคุณ ผมขอตัวแทนหนึ่งคนเพื่อมาสรุปว่าวันนี้พวกคุณได้อะไรบ้าง เชิญครับ!”



โอ้โห ได้ยินแบบนี้แล้วอยากจะออกไปเลย เห็นไอ้ทิมมันกล้าตอบคำถามก็อยากมีแรงฮึดเหมือนมันบ้าง



“ขออนุญาตครับ!” ผมยกมือขึ้นแล้วขออนุญาต ไอ้ทิมเพื่อนรักหันขวับมามองอย่างลืมตัวว่าต้องนั่งในระเบียบอยู่ พอมันคิดได้ก็หันกลับมองตรงแต่ผมแอบเห็นว่ามันยกนิ้วโป้งสั้นๆของมันขึ้นมาให้ผมอย่างเร็วแล้วเก็บเข้าที่อย่างไวกลัวพี่ระเบียบจะเห็น



“เชิญครับ!”



ผมยืนขึ้นแล้วเดินออกจากแถวเพื่อไปยืนตอบคำถามพี่ข้างหน้า ขนาดเดินก็ต้องอยู่ในระเบียบแขนแนบลำตัวเหมือนแพนกวิ้นเดินเล่นบนลานน้ำแข็งเลยให้ตายเถอะ ใครมันคิดท่านี้มาวะ?



ผมเดินไปหยุดข้างๆพี่เฮดระเบียบ หมุนตัวเผชิญหน้ากับเพื่อนที่นั่งทำหน้าสลอน แต่ละคนทำหน้าตาเหมือนอยากจะออกจากห้องนี้เต็มทน ผมเห็นแล้วสงสารก็เลยต้องรีบตอบสิ่งที่พี่ถาม



“วันนี้พี่ให้ร้องเพลงครับ พวกผมร้องผ่านหนึ่งเพลง พี่บอกว่าเป็นเพราะความสามัคคีของผมพวกผมครับ” ผมแอบเหลือบมองพี่เฮดที่ยืนอยู่ข้างๆ พอเห็นพี่เขาไม่ได้ว่าอะไรก็พูดต่อ “ส่วนการบ้านที่พี่ให้ไปทำคือให้ไปขอชื่อเพื่อนๆแต่ละสาขาให้ครบสาขาละห้าสิบคน รวมทั้งคณะก็จะเป็นหนึ่งร้อยห้าสิบคนครับ ให้นำมาส่งวันพฤหัสวันเชียร์ครั้งต่อไปครับ”



“ดี พวกคุณได้ยินที่เพื่อนพวกคุณพูดแล้วใช่มั้ยครับ”



“ครับ/ค่า”



“ถ้าเข้าใจแล้วก็อย่าลืมการบ้านที่ผมสั่ง อ้อ รายชื่อเพื่อนของพวกคุณถ้าจะเกินร้อยห้าสิบคนก็ได้นะครับผมไม่ว่า ผมขอแค่ให้ครบตามจำนวนที่ผมสั่งก็พอ ข้างในทราบไม่ทราบ”



“ทราบครับ/ค่า”



“คุณไปนั่งที่ได้ครับ” ผมเดินกลับไปนั่งที่ตัวเองตามเดิม ถอนหายใจตามไอ้ทิมไปติดๆ พอได้ออกไปพูดแล้วก็ เออ ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่หว่า จริงๆก็ไม่เห็นจะน่ากลัวอย่างที่คิดเลย พี่อาจจะพูดเสียงดังแต่ก็ยังสุภาพอ่ะ ผมโอเคนะ



หลังจากนั้นพี่ก็ปล่อยให้พวกผมเดินออกจากห้องเชียร์กันทีละแถวอย่างเป็นระเบียบ พอทุกคนพ้นออกมาจากห้องนั้นก็พากันแยกย้ายสลายตัวกันเต็มที่



โอ้โห เหมือนออกมาเจอสวรรค์ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกนี่แม่งโคตรสดชื่นเลย



“จะไปทำงานเลยเหรอวะ?” ไอ้ทิมเพื่อนรักถามผมพร้อมกับจูงจักรยานที่แม่มันพึ่งซื้อให้เดินต้อยๆตามตูดผม



“มึงซื้อจักรยานมาจูงหรอสัด ถ้าไม่ขี่ก็เอามาให้กูนี่” ผมหันไปว่ามัน เห็นแล้วขัดตาฉิบหาย คนบ้าอะไรเดินจูงจักรยานทั้งที่โซ่ก็ไม่หลุด



“เสือก”



“อ้าวสัด มึงพึ่งรู้หรอว่ากูขี้เสือกอ่ะ” ผมเบ้ปากก่อนจะพูดลอยหน้าลอยตา ไอ้ทิมมันเลยขึ้นคร่อมจักรยานแล้วปั่นหนีผมเฉย “ไอ้เหี้ยนี่กูเพื่อนมึงไง รอกูด้วยยยยยยยยย!”



ผมร้องตะโกนเสียงดัง ไม่สนใจห่าเหวอะไรทั้งสิ้น ร้องไปร้องมาก็ต้องมาสะดุดกึกตอนที่ไอ้ทิมเพื่อนรักอยู่ดีๆก็ขับรถไปชนถังขยะ



โอ้ยยยยย!!! โง่ซ้ำโง่ซากจริงเลยเพื่อนใครวะ



“ไอ้ห่าสุดท้ายก็มาตายหน้าถังขยะ” ผมวิ่งเข้ามาดูซากศพของไอ้ทิม มันพยุงตัวเองลุกขึ้นพลางปัดเศษขยะที่ติดตามตัวออก จะด่าว่าโง่ก็ไม่เหมาะกับมัน สรรหาคำมาด่าไม่ได้จริงๆ



“พูดมากไอ้สัด เพราะมึงนั่นแหละ” มันว่าหน้าบึ้งดึงจักรยานที่ล้มไปไม่ต่างจากซากของมันขึ้นมา



“อ้าวๆ เกี่ยวไรกับกูวะ” ผมทำหน้างง “กูก็อยู่ของกูดีๆ”



“มึงเสียงดังอ่ะ กูตกใจชนถังขยะแม่งเลย” มันยังบ่น ผมเห็นแล้วก็หัวเราะ สภาพโคตรน่าอนาถเลย ผมยื่นมือไปหยิบเศษซองลูกอมที่ติดบนหัวมันออก มันเห็นแล้วก็ทำหน้าเซ็ง ไอ้เหี้ยเอ๊ย สงสาร ฮ่าๆๆๆๆ



“ไปๆกูว่าสภาพนี้มึงคงไปไหนไม่ได้อ่ะนอกจากกลับหอ” ผมปัดไล่มันเหมือนรังเกียจ ไอ้ห่าทิมแยกเขี้ยวใส่โคตรเหมือนหมาหน้าห้องน้ำคณะเลยครับ



“เออกูจะแดกมาม่า มึงไปร้านเฮียคนเดียวเลยสัด ‘รมณ์เสีย!” ว้อยยย งอนเป็นตุ๊ดเลยไอ้บ้าเอ๊ย



“ทำงอนไอ้ควาย เดี๋ยวกูเลิกแล้วจะซื้อของกินไปฝากก็แล้วกัน” ผมว่า ไอ้ทิมพอได้ยินก็ยิ้มแฉ่งโชว์ฟันเหลืองเหมือนเม็ดข้าวโพดของมันเลย



“นี่สิเขาถึงเรียกว่าเพิ่ลตัย”



“เพื่อนตายมั้ยล่ะสัด”



“เพี้ยนเสียงเพื่อความอรรถรส”



“เออๆเพิ่ลตัยก็เพิ่ลตัยวะ” ผมยอมรับอย่างจำยอม ยืนอยู่ตรงนี้นานๆก็เริ่มเหม็นแล้ว จะไม่ให้เหม็นได้ไงล่ะครับไอ้ฉิบหาย นี่มันหน้าถังขยะนะโว้ยยย “มึงไปได้ละ กูเริ่มเหม็นมึงแล้วเนี่ย”



“ไอ้ห่า เออกูไปแล้ว” มันผลักหัวผม แยกเขี้ยวใส่อีก “ถ้าจะมาก็เคาะห้องกูละกันแต่ถ้ากูไม่เปิดก็แสดงว่า...”



“มึงหลับหรอ?”



“ป่าว...กูขี้อยู่”



“สัด!” เหม็นขนาดนี้ยังมีอารมณ์เล่นมุขอีก นับถือใจมันจริงๆ



“โดนไปหนึ่งดอก ฮ่าๆๆๆ กูไปละตอนนี้กลิ่นเริ่มตุๆมาแล้ว” มันขึ้นคร่อมจักรยาน โบกมือลาผมแล้วปั่นออกไป



“อย่าไปล้มชนถังขยะอีกนะไอ้สัด ขับดีๆกูขี้เกียจไปเก็บศพ” ผมตะโกนตามหลัง เดาว่ามันคงได้ยินเพราะมันชูนิ้วกลางเป็นสัญลักษณ์เพื่อตอบรับคำผม



น่ารักจริงๆไอ้ห่าหัวจวยเอ๊ย...



✿✿



ผมเดินเตะฝุ่นข้างทางเพื่อจะไปทำงานต่อที่ร้านเฮียเตอร์ ผมหยิบโทรศัพท์เพื่อดูเวลาก็พบว่าตอนนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว เฮียมันต้องวุ่นวายแน่ๆเลยว่ะทำงานคนเดียวทั้งร้านเลย ยิ่งสองทุ่มนี่คนยิ่งเยอะฉิบหาย ผมเร่งฝีเท้าเพื่อจะไปให้ถึงร้านเร็วๆแต่พอถึงหน้าร้านเท่านั้นแหละผมถึงกับยืนอึ้ง



โอ้โห คนมาจากไหนเยอะแยะวะนั่งกันเต็มร้านเลย ทางดงทางเดินนี่ก็ไม่คิดจะเหลือให้เดินเลยอ่ะ ผมยืนเกาหัวอยู่หน้าร้านไม่เกินสองวิก็เปิดประตูเข้าไป เห็นข้างนอกว่าอึ้งแล้วพอมาเจอข้างในจะเป็นลมเลยครับ แออัดโคตร เห็นแล้วก็อยากจะโดเนทเงินให้เฮียมันขยายร้านให้ใหญ่เท่าอิมแพ็คอ่ะ



ผมโคลงหัวให้กับความคิดตัวเอง เดินไปตรงเคาน์เตอร์ก็ไม่เห็นเฮียเตอร์เลย



“ไอ้เตี้ยทำไมมาช้า” เสียงนี้และสรรพนามที่ใช้เรียกผมนั้นหลับตาฟังก็ยังรู้เลยว่าเป็นใคร



ผมหันไปมองคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์งงๆ โผล่มาอย่างกะผี “ก็พึ่งเลิกอ่ะ พี่ถามอะไรโง่ๆ”



ผมตอบกวนๆ ไอ้พี่มันเลยยกมือมาเขกกบาลเข้าให้



“เดี๋ยวจะโดน” ว้อยยยย โดนไรอี๊กกกกูโดนมึงเขกกบาลแล้วไงอิพี่



ผมเบะปากเซ็งๆ ก่อนจะถามพี่มันต่อ “เฮียไปไหนอ่ะพี่ ขี้หรอ?”



“หลังร้าน” ผมมองตามสายตาพี่มัน



โอ้ยยย! คนจะคูลอ่ะเนอะทำเหี้ยอะไรก็คูลไปหมด ยิ่งพี่มันทำหน้านิ่งๆนี่โคตรได้ใจแฟนคลับเลย นั่งกรี๊ดงุดๆงิดๆกันทั้งร้านแล้วเนี่ย



“โอเคครับ” ผมเดินเอากระเป๋าของตัวเองไปไว้หลังเคาน์เตอร์แต่ดันติดไอ้ตัวใหญ่อย่างพี่คินที่ไม่ยอมถอยหลบทางให้ผม “ขอทางหน่อยพี่”



พี่มันยังคงนิ่ง ผมก็เลยเงยหน้าขึ้นมองพี่มันและจ้องพี่มันกลับอย่างไม่เกรงกลัว “กินข้าวยัง?”



ผมทำหน้างง อยู่ดีๆโดนถามแบบนี้ก็งงดิครับแต่ก็ตอบไปเผื่อพี่มันจะหลบทางให้ “ยังครับ”



“ทำไมไม่กินมาก่อนเดี๋ยวก็ปวดท้อง”  พี่คินย่นคิ้วทำหน้าเหมือนไม่พอใจ เอ้า!อะไรวะ ผิดอะไรอีกเนี่ย



“ก็ผมพึ่งเลิกอ่ะพี่ เดี๋ยวทำงานเสร็จผมค่อยกินก็ได้ตอนนี้ขอทางก่อนนะครับ” ผมอธิบายไม่ค่อยมีอารมณ์เถียงกับพี่มันเท่าไหร่เพราะใช้พลังงานหมดตั้งแต่เข้าเชียร์คณะแล้ว ตอนนี้อยากรีบทำงานให้เสร็จจะได้กลับหอสักที เหนื่อยสัดๆเลยครับ



พี่คินมองผมสักพักแล้วถอนหายใจพร้อมกับหลบทางให้ผมเอากระเป๋าไปเก็บที่หลังเคาน์เตอร์ ผมเดินไปหลังร้านเพื่อไปล้างมือล้างหน้าล้างตาให้สะอาดเรียบร้อย



“มาแล้วหรอมึง?” เฮียเตอร์ที่ปิดตู้เก็บของถามขึ้นเมื่อเห็นผมเดินออกมาจากห้องน้ำ



“หวัดดีเฮีย ผมพึ่งมาถึงเมื่อกี้เลย ขอโทษนะครับ”



“เออๆช่างเหอะแล้วนี่เจอไอ้คินแล้วใช่มั้ย?”



“ครับ มีอะไรหรือเปล่าเฮีย?”



เฮียเตอร์ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่พูด อะไรของเขาวะ “ไม่มีไรหรอก มึงรับออเดอร์ลูกค้าไปก่อนเดี๋ยวกูออกไป”



“คร้าบบบบ”



จากนั้นผมก็ออกมาดูหน้าร้านและพบว่าไอ้พี่คินหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ช่างเถอะผมทำงานดีกว่า



“น้องๆ” พี่ผู้หญิงโต๊ะตรงกลางกวักมือเรียกผมยิกๆ ผมเดินเข้าไปหา กำลังจะยื่นเมนูให้แต่ก็โดนเธอเบรกไว้ก่อน “คินเขากลับแล้วเหรอ ทำไมวันนี้เขากลับเร็วล่ะ”



อ่า.... คือจะตอบพี่เขาไงดีอ่ะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนี่สิว่าทำไมไอ้พี่คิดมันถึงหายหัวไปเร็วจัง



“คงติดธุระมั้งครับ” ผมยิ้มแห้งให้พี่เขา



“อ๋อ ขอบคุณนะจ้ะ”



“ครับ” ผมตอบรับแล้วกลับไปอยู่ที่เดิมของตัวเองคือหน้าเคาน์เตอร์



ทั้งยืนทั้งนั่งแต่ก็ไม่มีงานให้ทำสักที แปลกที่ยังไม่มีคนออกจากร้านไปเลยสักคนทั้งที่ไอ้พี่คินมันก็กลับไปแล้ว สงสัยสเต็กเฮียคงอร่อยโดยไม่ต้องพึ่งไอ้พี่คินเรียกลูกค้าล่ะมั้งครับ



อ้อ! ลืมบอกไปว่าตอนนี้ร้านเฮียเริ่มเปิดเพลงคลอตามแล้วนะครับ ส่วนเพลลิสต์เพลงที่ใช้เปิดก็เป็นผมที่เลือก โคตรภูมิใจเลยตอนที่ได้ยินคนในร้านพูดว่าเพลงเพราะดี



นั่งฟังเพลงในร้านเพลินๆพร้อมกับนั่งมองบรรยากาศไปด้วยนี่โคตรดีเลยแต่ก็ต้องมาสะดุ้งเอาตอนที่ไอ้คนที่ผมและคนในร้านคิดว่ากลับไปนอนอืดที่ห้องกลับมาพร้อมกับถุงเซเว่นถุงใหญ่ยัดผมเข้าไปได้คนนึงเลยนะนั่น



“เอาไป” พี่มันเดินมาหยุดตรงหน้าผมก่อนจะยื่นถุงเซเว่นใบโตมาตรงหน้าเกือบทิ่มลูกตาดำแน่ะ



ผมมองพี่มันอย่างแปลกใจ งงฉิบหายที่อยู่ดๆก็ยื่นถุงเซเว่นมาให้ อะไรของเขาวะ “ขยะหรอพี่? จะให้ผมเอาไปทิ้งให้หรอครับ?”



“ไอ้เตี้ยสมองตันเอ๊ยยย “



แรงอ่ะ!



“ว่าผมทำไมอ่ะ” ผมบึนปากใส่ มองพี่คินตาขวาง



“มึงมันโง่” ว่าแล้วก็จับถุงยัดใส่มือผม “เอาไปกูให้”



“โว๊ะ!” ผมส่งเสียงไม่พอใจ เปิดดูถุงที่พี่มันยัดใส่มือให้ก็ต้องตาโต อ้าปากค้างกันเลยทีเดียว ก็จะไม่ให้ตกใจได้ไงอ่ะครับในถุงมีทั้งนมทั้งขนมปังแซนวิชแล้วก็อะไรต่อมิอะไรที่สามารถทำให้ผมอิ่มท้องเต็มถุงไปหมด ถึงว่าล่ะถือมาซะถุงใหญ่เชียว “พี่ให้ผมหรอ?”



“ให้หมามั้ง” พี่มันมองผมอย่างเบื่อหน่าย ดวงตาฉายชัดว่ามองผมโง่แค่ไหน



“โอเคเดี๋ยวเอาไปให้หมาหน้าร้านก็แล้วกัน” ผมทำท่าจะลุกแต่โดนพี่มันดันหน้าผากจนผมต้องนั่งลงไปตามเดิม



“อย่ามาแกล้งโง่” พี่มันถอนหายใจใส่จนทำให้ผมหน้าม้าผมปลิวเลยอ่ะ “กูยัดใส่มือใครก็ให้คนนั้นแหละ ทำไมต้องให้กูพูดเยอะวะไอ้เด็กห่านี่”



เอ้า! ด่ากูเฉ้ยเลย



“โธ่...ก็ใครจะคิดว่าพี่จะซื้อมาให้ผมวะ”



“ก็หัดคิดซะบ้างสิไอ้เด็กโง่”



ว้อย!!คำก็โง่สองคำก็โง่ เดี๋ยวก็โง่เหมือนไอ้ทิมจริงๆหรอก



“ใครมันจะไปกล้า” ผมพึมพำเสียงเบา “แต่ก็...ขอบคุณนะครับ”



“เออ!”



โธ่พ่อคุณ ตอบครับให้มันดีเหมือนชาวบ้านเขาบ้างจะตายไง๊!?



“วันนี้กูเข้าร้านวันสุดท้ายมึงลืมหรือไง?” อยู่ดีๆพี่คินก็ถามขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมมองแล้วนิ่งคิด เออจริงด้วยว่ะ “ทำหน้าแบบนี้ลืมแน่ๆ”



“ไม่ได้ลืมสักหน่อย” ผมกรอกตาไปมา ก่อนจะยิ้มให้พี่มัน “ถึงพี่จะไม่มาที่นี่ทุกวันเหมือนแต่ก่อนแล้วแต่ยังไงพี่ก็ต้องเข้ามาบ้างใช่มั้ยล่ะ?”



“ไม่รู้สิ” พี่มันยักไหล่ มองไปรอบๆร้านก่อนสายตาจะมาหยุดที่ผม “มึงอยากให้กูมาหรือเปล่าล่ะ?”



“ถามผมทำไมเล่า ถ้าพี่อยากมาก็มาดิ เฮียเตอร์คงไม่ห้ามพี่หรอกมั้ง” ผมว่าแล้วคุ้ยหาของกินในถุงไปด้วยตอนนี้ก็เริ่มหิวแล้วจริงๆ



“มึงโง่หรือไงกูถามว่ามึงอยากให้กูมาหรือป่าว กูไม่ได้ถามว่าไอ้เตอร์มันอยากให้กูมามั้ย”



“อะไรของพี่วะ?” ผมพูดงงๆ ฉีกถุงแซนวิชออกก่อนจะก้มลงไปกัดคำโต โอยยย...น้ำตาจะไหลโคตรอร่อยเลย



“มึงนี่มันโง่เหมือนหน้าจริงๆด้วย” พี่มันผลักหน้าผากผมตอนที่ผมกำลังจะก้มลงไปกัดแซนวิชคำที่สอง



“ว้อยยย ด่าอยู่ได้เดี๋ยวก็โกรธซะหรอก” ไอ้พี่คินนิ่งไปตอนผมโวยวาย หงุดหงิดแล้วเนี่ยยืนด่าอยู่นั่นอ่ะ แล้วคนจะกินยังจะมาแกล้งอีก แม่ง!



“เออช่างเหอะ” พี่มันว่า เดินไปหยิบซองเอกสารตรงเคาน์เตอร์แล้วออกมายืนที่เดิม “กูไปล่ะ หวังว่าคงได้เจอกันอีก”



แล้วพี่มันก็เดินออกจากร้านไปเลย ไอ้เหี้ย! ทำไมมันหวิวๆจังเลยวะ มันหน่วงๆอ่ะ มันโอ๊ยยย!! บอกไม่ถูกแต่ก็แม่งความรู้สึกเหี้ยอะไรของกูเนี่ย!



ฮืออ!!!!!



✿✿



TBC...

ติดแท็ก #นิยายเขาว่ากันว่า ได้นะค้าา

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3

ตอนที่ 9



“ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นพี่คินมาร้านเลยว่ะ?” ผมหันไปมองไอ้ทิมที่กำลังนั่งแทะซี่โครงหมูอยู่ใกล้ๆ



“คงไม่มาแล้วมั้ง” ผมตอบแบบส่งๆ มือก็เช็ดโต๊ะที่อยู่ข้างโต๊ะมันไปด้วย



วันนี้ร้านคนเข้าค่อนข้างน้อยเพราะฝนที่ตกอยู่นอกร้านทำให้ไม่ค่อยมีคนออกมาหาอะไรทานกันข้างนอกสักเท่าไหร่



ส่วนบางคนที่ต้องหาที่หลบฝนก็เข้ามาหลบในร้านและเลือกจะสั่งเมนูอาหารมาทานเพื่อรอให้ฝนซาลงเพราะตอนนี้ฝนตกแบบมองไม่เห็นข้างนอกเลย นี่ผมก็ยังไม่รู้ว่าทำงานเสร็จจะกลับหอยังไงถ้าฝนยังตกหนักขนาดนี้แต่ดีที่มีไอ้ทิมเพื่อนรักมาด้วยทำให้ผมไม่ต้องกลับอย่างเดียวดาย



“อ้าวหรอวะ?”



“ไม่รู้ ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเฮียเตอร์เพื่อนเขาโน่น” ผมบุ้ยปากไปทางเจ้าของชื่อที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ตอนนี้กำลังคุยโทรศัพท์ยิ้มหน้าบานเชียว



อาการแบบนี้คุยกับสาวชัวร์ ทาวน์ฟันธง!



“กูก็คิดว่ามึงสนิทกับพี่คินแล้วซะอีก” มันพึมพำอะไรของมันคนเดียวก็ไม่รู้



ผมไม่ได้สนใจไอ้ทิมที่ยังคงตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับพี่คินว่าทำไมไม่มาร้าน เช็ดโต๊ะข้างๆมันเสร็จแล้วก็รีบเอาตัวเองออกมาห่างๆไอ้ทิม เดินไปรับออเดอร์ลูกค้าสาวสวยทั้งสองคนจากนั้นก็เดินเอาส่งไปให้เฮียเตอร์ที่ยืนยิ้มเป็นคนบ้าอยู่ก่อนแล้ว



“เฮียไปโดนตัวไหนมาอ่ะ?” พอได้ยินคำถามเฮียเตอร์ก็หัวเราะอารมณ์ดีต่างจากทุกทีที่ต้องโบกหัวผม



“โดนตัวมึงล่ะมั้ง” เฮียเตอร์แสยะยิ้มเหมือนตัวร้ายในละครทำเอาผมขนลุกไปหมดเลย



“โดนตอนไหนวะเฮีย ผมพึ่งเดินมาหาเฮียเนี่ย” ผมบ่นของผมเป็นปกติ



เฮียเตอร์ไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงแค่ยิ้มเป็นคนบ้าแล้วมองดูออเดอร์ของลูกค้าก่อนจะเดินไปจัดการทำอาหารไปเสิร์ฟก่อนลูกค้าจะงับทั้งหัวเจ้าของร้านกับลูกจ้างอย่างผม



ผมนั่งเหงาๆฟังเพลงที่เปิดในร้านด้วยตัวเองมาหลายอาทิตย์เพื่อรออาหารไปเสิร์ฟลูกค้า ตอนแรกว่าจะเดินไปหาไอ้ทิมแต่ไอ้เพื่อนบ้ามันดันไปเต๊าะสาวโต๊ะอื่นอยู่ทำให้ผมต้องมานั่งทำอารมณ์เป็นพระเอกเอวี เอ๊ย!พระเอกเอ็มวีอยู่คนเดียว



มองดูฝนตกข้างนอกแล้วความง่วงก็ตีตื้นขึ้นมาทันที ไอ้ผมมันก็เป็นพวกแพ้อากาศเย็นๆชื้นๆซะด้วยสิ ฝนตกทีไรแล้วเป็นต้องนอนตลอด ขนาดมีเรียนตอนฝนตกผมยังเลือกที่จะนอนแทนที่จะไปเรียนเลย จนไอ้ห่าทิมมันต้องมาอ้อนวอนให้ผมลุกออกจากเตียง เมื่อวานก็เกือบไม่ได้ไปเรียนแล้วแต่เพื่อนรักอย่างไอ้ทิมก็มาปลุกโดยการถีบจนผมตกเตียงนั่นแหละผมจึงได้เสนอหน้าไปเรียนเหมือนคนอื่นเขา



คิดๆแล้วก็ง่วงฉิบหายเลย



“ฮ้าวว....” ผมอ้าปากหาว พอจะยกมือขึ้นมาปิดปากตามมารยาทที่พ่อกับแม่สอนก็หาวเสร็จไปแล้วเลยเอามือมาท้าวคางมองฝนข้างนอกเหมือนเดิม



“มึงหาวหรือมึงจะงับหัวลูกค้ากูถามจริง?”   เสียงกวนๆของเฮียเตอร์ดังขึ้นเหนือหัว ผมยู่หน้าใส่เฮียมันแล้วหยิบอาหารตรงหน้าเพื่อจะไปเสิร์ฟลูกค้าโต๊ะที่ไอ้ทิมมันนั่งเต๊าะสาวอยู่นั่นแหละครับ



ไอ้ทิมเพื่อนรักพอเห็นผมเดิมไปทางโต๊ะมันก็ยักคิ้วทำหน้าที่มันคิดว่าหล่อที่สุดส่งให้ผมโดยการเสยผมที่มันบอกว่าไม่สระมาสี่วันไปข้างหลังจนอยู่ทรงโดยไม่ต้องพึ่งเจลเพราะหัวมันเหนียวฉิบหาย ผมขำไอ้ทิมตอนมันหันหลังให้สาวๆในโต๊ะเพื่อจัดการกับผมตัวเอง ไอ้บ้าเอ๊ยดีนะรังแคมึงไม่ร่วงไปบนโต๊ะโชว์สาวๆเขาด้วยอ่ะ



“อาหารได้แล้วคร้าบบบ” ผมส่งเสียงอย่างอารมณ์ดีทั้งจากขำค้างไอ้ทิมเพื่อนรักและทั้งสาวน่าตาจิ้มลิ้มที่มองมาทางผมด้วยรอยยิ้ม จริงๆเธออาจจะยิ้มให้อาหารแต่ผมก็มโนเอาก็แล้วกันว่าเขายิ้มให้ผมอ่ะเนอะ



ผมวางอาหารให้สาวๆบนโต๊ะ พวกเธอเอ่ยขอบคุณพร้อมรอยยิ้มน่ารักทำเอาผมไปไม่เป็นเลย นี่ถ้าไม่ได้มาทำงานที่ร้านเฮียก็ไม่มีหรอกครับรอยยิ้มจากสาวๆสวยๆหรือสาวน่ารักๆ มีแต่หมาหน้าคณะกับลุงยามแกยิ้มให้เวลาผมเดินผ่านเท่านั้นแหละ บางทีก็ไม่เข้าใจผมหล่อขนาดนี้ทำไมสาวๆถึงไม่ชายตามองกันสักคนอ่ะ โธ่...



“เสิร์ฟเสร็จแล้วก็ไปดิ  ชิ้วๆ” เพื่อนรักมันไล่ผมหน้าตาย พอไล่เสร็จก็หันไปพูดเสียงสิบใส่สองสาวต่อ



โว้ยยย!! สองมาตรฐานฉิบหายเลยไอ้หัวจวย



“รู้จักกันด้วยหรอคะ?” หญิงสาวที่ผมสะดุดตาเธอมาตั้งแต่เธอเดินเข้ามาในร้านเอ่ยถามทั้งผมและไอ้ทิม เธอยิ้มพร้อมทำหน้าตางงๆไปพร้อมกันโดยที่ภาพนั้นเป็นภาพที่แม่งโคตรน่ารักเลยครับ ฮือออ



“ก็...ไม่อยากรู้จักหรอกครับแต่จำเป็นอ่ะครับ” ไอ้ทิมยังคงใช้เสียงสิบคุยกับสาว เธอหันไปมองไอ้ทิมและยังคงทำหน้างงอยู่



“ครับ ผมก็เหมือนกัน จริงๆถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ค่อยอยากรู้จักมันหรอกครับ” ผมตอบกลับบ้าง เธอนิ่งคิดเหมือนกำลังประมวลผมสักพักก็หัวเราะออกมาพร้อมเพื่อนเธออีกคน



คนบ้าอะไรหัวเราะปากกว้างขนาดนั้นยังน่ารักเลย ว้อยย นี่มันแม่ของลูกชัดๆเลย!!



“ทิมกับเอ่อ...?” เธอหันมามองผมด้วยรอยยิ้ม



ผมมองเธอกลับ “ทาวน์ครับ”



“อ๋อค่ะ ทิมกับทาวน์นี่ตลกกันจังเลยนะคะ” เธอว่าพลางหันไปหัวเราะกับเพื่อน “ถ้าได้เป็นเพื่อนด้วยคงสนุกน่าดูเลย”



“งั้นเป็นเพื่อนกันเลยก็ได้ครับ” ผมกับไอ้ทิมตอบพร้อมกันแล้วแอบจับมือกันตอนสาวทั้งสองคนเธอหันมองหน้ากันเพื่อปรึกษาว่าจะเป็นเพื่อนกับพวกผมดีหรือเปล่า ถ้าได้เป็นเพื่อนแล้วจะไต่ระดับมากกว่าการเป็นเพื่อนคงไม่ยาก



ชีวิตนี้จีบหญิงมาเยอะติดบ้างไม่ติดบ้าง พอขึ้นมหา’ลัยก็ไม่ค่อยมีเวลาหาสาวๆที่ไหนให้จีบ พอมาเจอเธอคนนี้ผมบอกเลยว่าแม่งเหมือนเจอคนที่ใช่อ่ะ เห็นหน้าครั้งแรกแล้วคิดถึงหน้าลูกตัวเองออกเลย นี่พูดจริงๆนะครับ



เธอกับเพื่อนหันหน้ามาทางพวกผมสองคน เมื่อกี้แทบปล่อยมือกับไอ้ทิมไม่ทันแน่ะแม่คุณเอ๊ย!



“งั้น...พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วเนอะ” เธอถาม...พวกผมเลยพยักหน้าหงึกหงักไม่เสียเวลาคิดสักวินาที โอกาสดีๆแบบนี้ใช่ว่าจะหาง่ายที่ไหนกันเล่า! “เราชื่อขิมนะ ส่วนข้างๆชื่อพิมจ้า”



ผมแทบจะยกมือขึ้นไหว้แต่ลืมไปว่ารุ่นเดียวกันเลยโบกมือทักทายอีกรอบ “ยินดีที่ได้เป็นเพื่อนกันนะครับ”



ผมไม่ได้อยู่คุยกับคนอื่นๆต่อเพราะต้องทำงาน มีแต่ไอ้ทิมที่ยังนั่งพูดแจ้วๆกับสองสาวเพื่อนใหม่อย่างออกรสออกชาติ ไม่รู้ไปสรรหาเรื่องอะไรมากมายมาเล่าให้เขาฟัง ตอนเดินผ่านก็ได้ยินเล่าการ์ตูนโคนันให้เขาฟังแล้ว สองสาวแม่งก็ไม่ขัดอะไรเลย เอาแต่นั่งหัวเราะตบมือเป็นแมวน้ำชอบใจใหญ่



กว่าเฮียเตอร์จะบอกให้เก็บร้านก็ตอนที่ลูกค้าออกไปหมดแล้วเป็นเวลาเดียวกันกับฝนหยุดตกพอดีและตอนนี้เวลาก็ปาไปสี่ทุ่มเกือบห้าทุ่มแล้ว หันไปมองไอ้ทิมที่เคยคุยแจ้วๆเมื่อชั่วโมงก่อนตอนนี้เหมือนหมดแรงเพราะมันกำลังนั่งสัปหงกหัวโขกโต๊ะอยู่ หลังจากสาวๆกลับไปก็ไม่มีใครคุยด้วยไงครับต้องนั่งรอผมอีกเป็นชั่วโมงมันก็คงจะมีง่วงเป็นธรรมดา



เห็นแล้วก็อยากจะพามันไปเลี้ยงชาบูหมูกระทะสักมื้อ คงต้องรอตอนที่เงินเดือนออกนั่นแหละครับ



“ไอ้ทิมมันเป็นเพื่อนหรือผัวมึงกันแน่เนี่ย เห็นมานั่งรอมึงทุกวันเลย” เฮียถามพลางยกเก้าอี้ขึ้นโต๊ะไปด้วย



“เป็นเมียผมต่างหากเฮีย ถุ้ย!” ผมทำท่ากลอกตาใส่ไอ้เฮียเตอร์ พี่มันคิดได้ไงว่าผมสองคนเป็นผัวเมียกัน บ้าจริง “เพื่อนกันนี่แหละครับแต่ผมกลับหอคนเดียวก็กลัวไงเลยให้มันมาอยู่รอ นี่ก็ต้องเซ่นมันด้วยน้ำแดงทุกเช้าอ่ะ”



“นั่นคนหรือกุมารทองกันแน่วะ”



“ผมก็สงสัยเหมือนเฮียแหละ มันแม่งชอบกินน้ำแดงพอกินหมดก็ชอบแลบลิ้นให้ผมดู” นึกถึงแล้วก็ต้องส่ายหัว คนห่าอะไรชอบกินน้ำแดงเพราะจะได้ลิ้นแดง



“กูว่ามันคงไม่ได้เป็นทั้งคนทั้งกุมารทองว่ะ” เฮียหยุดพูด ถอนหายใจทำหน้าสงสารไอ้ทิมสุดขีด “กูว่ามันเป็นบ้า”



ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับเฮียโดยไม่ขัด ทุกวันนี้ก็คลุกคลีอยู่กับไอ้ทิมมันเยอะจนจะบ้าเหมือนมันแล้วเหมือนกัน



✿✿



วันนี้ผมมีเรียนไปจนถึงสี่โมงเย็น พอเรียนเสร็จไอ้ทิมก็บอกว่าเพื่อนใหม่ที่เราได้รู้จักเมื่อวานชวนผมกับมันไปทานไอศกรีมหลัง มอ. ด้วยกัน



ผมไม่ปฏิเสธเพราะวันนี้ไม่ต้องเข้าเชียร์คณะและระหว่างรอไปทำงานร้านเฮียเตอร์ก็ไปนั่งรอแก้เบื่อในร้านไอศกรีมแถมยังได้คุยกับสาวอีกเป็นใครจะปฏิเสธล่ะครับ ผมคนหนึ่งล่ะ ไม่สิ...มีไอ้ทิมเพื่อนรักอีกคนก็เป็นสองละครับ



“ขิมบอกว่ารออยู่ที่ร้านแล้ว”



“ไอ้สัดนี่มึงขอเบอร์เขามาด้วย?” ผมถามมันหลังจากมันคุยโทรศัพท์กับคนในสายเสร็จ



“ก็เพื่อนกัน...มึงอ่ะคิดมาก”



ผมเบ้ปากใส่มัน “ตอแหล!”



ไอ้ทิมหัวเราะชั่วร้ายแล้วตบท้ายจักรยานมันเพื่อเรียกให้ผมขึ้นไปนั่ง จะบอกว่านั่งทีไรเจ็บตูดฉิบหายเลยครับ วันหลังจะเอาอะไรนุ่มๆมารองตูดละเนี่ย ไม่ไหวจริงๆ ดีที่หลัง มอ.กับ คณะผมไม่ค่อยไกลกันเท่าไหร่ไม่งั้นนะมึงเอ๊ย!..ไม่อยากจะนึกถึงสภาพตูดตัวเองเลยจริงๆ



ไอ้ทิมพาผมฟันฝ่ากับแดดประเทศไทยมาจนถึงหน้าร้านที่พวกสาวๆนัดไว้ ลงมาได้แต่ละคนนี่เหงื่อแตกพลั่กๆ ไอ้ทิมไหลเป็นท่อน้ำรั่วเลย พวกผมเลยต้องรีบเข้าไปในร้านเพื่อจะให้เครื่องปรับอากาศสองเครื่องช่วยทำให้เย็นขึ้น



แดดร้อนอย่างกับไปทัวร์นรกมาเลยครับ



“ทิมทาวน์ทางนี้จ้า” เสียงใสเรียกพวกผมอย่างร่าเริง หันไปมองก็เจอขิมโบกมือเป็นตำรวจจราจรตรงโต๊ะเกือบในสุดโดยมีพิมนั่งยิ้มหวานๆส่งมาให้



“หวัดดี” พอมาถึงโต๊ะที่สาวๆนั่งพวกผมสองคนก็โบกมือทักทาย ผมก็เขินๆอ่ะมีเพื่อนเป็นผู้หญิงก็จะไม่ชินเท่าไหร่



“หวัดดีจ้า นั่งเลยๆ” ขิมผายมือให้พวกผมนั่งอย่างกระตือรือร้นซึ่งเป็นท่าทางที่จะดูยังไงก็บอกได้คำเดียวว่าโคตรน่ารัก



“มากันนานยัง?” ไอ้ทิมถามสองสาว



“มาก่อนหน้าทิมกับทาวน์ได้ไม่นานนี่แหละจ้า” ขิมว่าแล้วยิ้มหวานตาปิด เห็นแล้วใจสั่นเลย



“งั้นสั่งกันเลยเนอะ” พิมพูดแล้วยื่นเมนูให้พวกผมสองคน



“ครับ”



ผมกับไอ้ทิมผู้ที่ไม่ค่อยได้เดินเฉียดร้านไอศกรีมก็พากันจิ้มมั่วๆได้มาคนละรส ผมจิ้มได้รสมะนาวส่วนไอ้ทิมเพื่อนรักจิ้มได้รสเลมอน คือก็งงว่าต่างกันยังไง ตอนกินมันก็เปรี้ยวๆเหมือนกันป่ะวะ ส่วนสาวๆคงจะมาบ่อยเพราะพูดชื่อเมนูได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนเป็นเจ้าของร้านเอง



“ขิมกับพิมมาร้านนี้บ่อยเหรอ?” ผมถามตอนที่พนักงานเดินออกไปแล้ว



“อื้ม พิมชอบไอศกรีมเราเลยมาทานเป็นเพื่อนๆบ่อยๆจนตอนนี้ชอบไปตามพิมแล้ว” ขิมนี่เป็นผู้หญิงที่มองแล้วโลกสดใสมากเว่อ มองแล้วก็อยากจะมองแบบนี้ทั้งวันเลยพิมยิ้มตอบรับไปกับสิ่งที่ขิมเล่าจะว่าไปพิมก็ดูค่อนข้างเป็นคนพูดน้อยเหมือนกันนะต่างจากขิมลิบลับเลยที่ช่างพูดช่างเจรจา ตอนนี้ก็พูดเจื้อยแจ้วกับไอ้ทิมอยู่สองคน



ประมาณยี่สิบนาทีไอศกรีมที่พวกผมสั่งไปก็ถูกเอามาวางไว้ข้างหน้าตามที่ทุกคนสั่ง



ไอศกรีมมะนาวของผมเป็นสีเขียวส่วนไอศกรีมเลม่อนของไอ้ทิมเป็นสีเหลือง



“ดูทิมกับทาวน์จะชอบกินรสเปรี้ยวเหมือนกันเลยนะ” ขิมเอ่ยแซว



ผมกับไอ้ทิมพอได้ยินสิ่งที่ขิมพูดก็หันหน้ามองกันแล้วหันกลับไปยิ้มแห้งใส่ไอศกรีมตรงหน้า จริงๆไม่ได้ชอบแต่จิ้มได้รสนี้ก็เลยต้องสั่งไงครับ



ผมตักไอศกรีมเข้าปากคำแรกก็ต้องหลับตาปี๋ โอ้โห เปรี้ยวกว่ารักแร้ไอ้ทิมก็ไอศกรีมมะนาวอันนี้แหละครับ หันไปมองทางไอ้ทิมมันก็ทำหน้าไม่ต่างจากผมเช่นกัน เห็นสีอ่อนๆนี่แม่งรสชาติเข้มเหมือนเอามะนาวทั้งสวนมาใส่อ่ะ



“เป็นไงล่ะมึง จิ้มๆแดกของมึงเป็นไงล่ะ” ผมกระซิบกระซาบกับไอ้ทิมสองคน ไม่ต้องกลัวสาวๆเขาจะสนใจหรือได้ยินเลยครับเพราะเธอไม่สนใจพวกผมหรอกตอนนี้ เดินไปถ่ายรูปกับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่กลางร้านโน่น



“เออไอ้เหี้ยเปรี้ยวจนกูอยากขอพริกเกลือมาราดแทนคาราเมลเลยสัด”



“กูว่าพวกเราไม่เหมาะกับการกินไอศกรีมแบบนี้เลยว่ะ” ไอ้ทิมพยักหน้า รอฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อ “ไอติมกะทิที่คุณลุงเขาเข็นขายยังอร่อยกว่าเยอะเลย”



“จริง ถูกกว่ากันเป็นสิบเท่าเลยเถอะ”



พวกผมนั่งบ่นกับไอศกรีมจนสาวๆกลับมานั่งที่โต๊ะต่อ เดินยิ้มมาเชียว ไอศกรีมที่ตักเข้าปากเมื่อกี้หวานขึ้นมาทันทีทันใดเลยครับ



นั่งคุยนั่งกินไอศกรีมกันสักพักโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าผมก็สั้นขึ้น สั่นจนกระเป๋ากางเกงนักศึกษาจะขาดให้ได้อ่ะ



“ครับเฮีย”



(ทาวน์  มึงอยู่ไหน?)



“หลัง มอ.ครับเฮีย”



(มึงมาเอากุญแจร้านที่คณะกูหน่อย)



“ให้ผมไปเอาทำไมอ่ะเฮีย?”



(วันนี้กูติดงานกลุ่มว่ะ ว่าจะให้มึงไปเปิดร้านรอก่อน)



“แต่ผมทำอาหารไม่เป็นนะครับเฮีย”



(ไม่เป็นไร กูแค่ให้มึงไปจัดร้านเตรียมของไว้ก่อนแต่อย่าพึ่งให้ลูกค้าเข้ามา แขวนป้ายclose ไว้หน้าร้านก่อน)



“งั้นโอเคเฮีย สิบนาทีถึงครับ”



เฮียเตอร์วางสายไปแล้วผมก็เงยหน้าเพื่อจะบอกเพื่อนๆ



“กูต้องไปเอากุญแจกับเฮียก่อนว่ะ” ผมหันไปบอกไอ้ทิม



“ให้กูไปเป็นเพื่อนเปล่า?”



“ไม่เป็นไรๆ  กูไปแป๊บเดียวเดี๋ยวมา”



“เออๆ”



ผมหันไปหาสองสาวคิดว่าเธอคงได้ยินที่ผมพูดกับไอ้ทิมแล้วเลยขอตัวไปเอากุญแจกับเฮียมันที่คณะก่อน ไม่ลืมจะยืมจักรยานของไอ้ทิมไปด้วยเพื่อจะได้เร็วๆ เดินตากแดดเข้ามหา’ลัยนี่ไม่เป็นลมก็ตายสถานเดียวนะครับ



ผมใช้เส้นทางลัดเพื่อจะไปให้ถึงคณะเฮียมันเร็วๆซึ่งต้องผ่านห้องน้ำที่ไม่ค่อยมีคนมาใช้ถึงจะดูร้างๆหลอนๆแต่ข้างในยังสะอาดและใช้ได้ปรกติทุกอย่างเพราะผมเคยมาเข้าแล้ว



“มึงซ่านักหรอวะห้ะ!!”



จักรยานผมสะดุดกึกตอนที่ได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากหลังห้องน้ำ ด้วยความที่เป็นคนขี้เสือกในระดับหนึ่ง ผมเลยจอดจักรยานไว้แล้วเดินย่องๆไปดูตรงที่มาของเสียง เอาตัวเองแอบไว้ตรงหลังกำแพงห้องน้ำ ถ้าพวกนั้นเห็นผมขึ้นมานี่โดนกระทืบตายเลยนะครับ



ผมชะโงกหน้าไปดูก็เห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่งยืนล้อมวงกันประมาณสี่ห้าคน เหมือนกำลังรุมกันทำอะไรสักอย่าง ตอนที่พวกผู้ชายตัวถึกๆนั่นแยกกันแล้วออกมายืนอยู่ที่เดียวกันทำให้ผมเห็นร่างของคนที่นอนคุดคู้อยู่กับพื้น เป็นผู้ชายที่ทำไมแม่งดูคุ้นๆเหมือนรู้จักเลยวะ



ผู้ชายคนนั้นพยายามดันพื้นเพื่อพยุงตัวเองลุก เหมือนเขาสบถอะไรสักอย่างแล้วหันมาบ้วนน้ำลายที่น่าจะผสมไปด้วยเลือดลงพื้นซึ่งเขาก็หันมาทางที่ผมแอบอยู่  ผู้ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาเป็นเวลาที่ผมมองเขาอยู่ก่อนแล้วทำให้เราสบตากันพอดีและนั่นก็ทำให้ผมตกใจยิ่งกว่ารู้ว่ามีคนมากระทืบกันหลังห้องน้ำก็ไอ้คนที่มันโดนกระทืบเป็นคนที่ผมรู้จักเลยแหละ



“...พี่คิน”



✿✿
TBC....
ติดแท็ก #นิยายเขาว่ากันว่า ได้นะค้าา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3

ตอนที่10



ผมจ้องตากับพี่คินอย่างตกใจ พี่มันก็ทำหน้าตกใจไม่ต่างจากผมก่อนที่พี่มันจะหลับตาเหมือนพยายามตั้งสติจากนั้นก็ทำสัญญาณให้ผมออกไปจากตรงนี้...แต่ผมก็ไม่ยอมไปเอาแต่ส่ายหน้าส่งให้พี่มัน



ผมมองพี่คินหันหน้ากลับไปหาพวกที่รุมกระทืบเขา พี่คินพยุงตัวเองจนกระทั่งยืนประจันหน้ากับพวกมันได้ถึงแม้จะมีเซเล็กน้อยแต่ก็ไม่ถึงกับล้มลงกองกับพื้นเหมือนก่อนหน้านี้



ผมเอาหลังพิงกำแพง คิดหาวิธีจะช่วยพี่คิน คิดไปคิดมาก็คิดไปถึงเฮียเตอร์ผมเลยกดเบอร์โทรเพื่อจะให้เฮียมาช่วยพี่คินได้ทันก่อนที่พี่มันจะตายซะก่อน



“รับสิวะเฮีย” ผมลนลานไปหมด ตอนนี้ยอมรับว่ากลัวมาก ผมอยากเข้าไปช่วยพี่คินแต่ก็รู้ว่ากำลังตัวเองคงสู้พวกมันตัวใหญ่แบบนั้นไม่ไหว ผมจึงต้องโทรหาคนอื่นเพื่อมาช่วยแทน



(ฮัล...)



ปลายสายยังพูดไม่ทันจบผมก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน “เฮียๆช่วยพี่คินด้วยครับพี่คิน...”



“ทำอะไรไอ้หนู” ผู้ชายที่ไม่รู้มาจากไหนมายืนอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับมือของมันที่ยื่นมาจะแย่งโทรศัพท์ของผมไป



“ห้องน้ำเก่าครั.....” ผมตะโกนใส่โทรศัพท์ของตัวเองที่โดนไอ้ยักษ์ตรงหน้ามันแย่งไปแล้วมันก็ตัดสายจากเฮียเตอร์ไปต่อหน้าต่อตา 



ผมค่อนข้างโล่งในระดับหนึ่งเพราะบอกข้อมูลและขอความช่วยเหลือเฮียมันไปแล้ว หวังว่าเฮียมันจะตามมาช่วยผมกับพี่คินทันก่อนจะโดนฆ่าหมกห้องน้ำไปซะก่อนนะครับ



“มานี่เลยมึง” มันกระชากคอเสื้อผมแล้วลากผมไปทางที่พี่คินยืนอยู่ “สาระแนนัก”



มันโยนผมจนตัวผมไปกระแทกกับตัวพี่คิน ดีที่พี่คินรับผมไว้ได้ทันแต่เกือบพากันล้มไปทั้งสองคนเพราะตอนนี้สภาพพี่คินก็ดูไม่ค่อยจะไหวสักเท่าไหร่ ยืนได้โดยที่ไม่ล้มพับไปก่อนก็เก่งแค่ไหนแล้ว



“พวกมึงเอามันมาทำไม มันไม่เกี่ยว!” พี่คินว่าเสียงแข็งเป็นเสียงที่ผมไม่เคยได้ยินจากปากพี่มันมาก่อนเลย พอมาได้ยินอย่างนี้ก็คิดว่าพี่มันนี่ก็น่ากลัวเหมือนกันนี่หว่า...



“ใช่พี่ ผมก็เป็นแค่เด็กปีหนึ่งที่บังเอิญเดินผ่านมาแถวนี้พอดีเอง” ว่าพลางก็จับชายเสื้อพี่คินไปด้วย ไม่รู้ว่าจับไว้ทำไมแต่พอจับอย่างนี้แล้วรู้สึกปลอดภัยประมาณว่าถ้ากูจะตายกูก็มีเพื่อนตายเป็นไอ้พี่คินมันนี่แหละ



“พวกมึงหุบปาก!” ไอ้ตัวที่ผมแอบเรียกในใจว่าหัวโจกพูดขึ้นแล้วเดินกอดอกไว้มาดเหมือนพวกมาเฟียแต่ขอเถอะหน้ามึงนี่นักเลงคุมซอยตลาดก็พอละ



“โห่...คุยกันดีๆก็ได้ครับพี่ ไม่เห็นต้องขึ้นเสียงเลย” ผมบ่นเสียงอ่อย พูดจริงๆนะเสียงพี่มันนี่เอาไปตะโกนแข่งกับพี่ระเบียบในคณะผมได้เลยอ่ะ



ไอ้ตัวหัวโจกตวัดหางตาใส่ผมเป็นสัญญาณให้ผมหุบปากลง ผมปิดปากฉับโดยอัตโนมัติ ขยับเข้าไปใกล้พี่คินจนแทบจะเรียกว่าสิงได้เลยตอนที่ไอ้ตัวใหญ่นั่นเขยิบเข้ามาใกล้



“กูละเกลียดมึงจริงๆเลยไอ้คิน หึ! ” มันจับคางพี่คินแล้วพอพูดจบมันก็สะบัดหน้าพี่คินจนหันไปอีกทางเลย เหมือนฉากในหนังจีนที่พ่อชอบดูเลยอ่ะ



“หึ! มึงมันก็แค่คนขี้อิจฉาคนนึงล่ะวะ” พี่คินพูดด้วยใบหน้าที่เห็นแล้วก็ต้องนึกสมเพชตัวเองอ่ะ ทำหน้าตาได้เหยียดหยามที่สุดเท่าที่เคยเจอเลยเหอะ



“สัด!” มันสบถพร้อมกับที่เตะตรงข้อพับพี่คินให้ล้มลงในท่าคุกเข่า พอพี่คินล้มแล้วผมที่เกาะพี่คินอยู่ก็ล้มตามไปด้วย



“มึงมันก็ดีแต่หาพวกมารุมกู ไอ้สัด ทั้งขี้อิจฉาทั้งขี้ขลาด น่าสมเพชจริงๆเลยว่ะ” ผมนี่อยากจะลุกขึ้นปรบมือให้คำพูดพี่คินเลยถึงแม้จะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแต่คำพูดพี่แม่งถ้าใครโดนด่านี่หน้าชาไปจนตายเลยนะ



“มึงมันก็น่าสมเพชไม่ต่างจากกูหรอกไอ้เหี้ย!” ไม่ว่าเปล่ามันยังต่อยเข้าที่หน้าพี่คินไปอีกหมัด ผมที่นั่งข้างๆพี่คินก็สะดุ้งตกใจ



“พี่จะต่อยพี่คินมันทำไมวะ สภาพแบบนี้พี่ยังจะต่อยอีกหรอ อีกนิดเดียวพี่มันจะตายแล้วนะเว้ย” ผมพูดอย่างโมโห คนเหี้ยอะไรพาพวกมารุมไม่พอยังจะต่อยเอาๆเหมือนต่อยกระสอบทรายอีก



“มึงไม่ต้องเสร่อ หรือมึงอยากจะโดน..” ผมหลับตาปี๋เตรียมรับหมัดจากไอ้หน้าโหดนี่



“มึงอย่าแตะต้องมันเด็ดขาด!” เสียงเย็นๆของพี่คิดดังขึ้น ผมลืมตาขึ้นก็พบว่าหมัดของไอ้บ้านั่นยังค้างอยู่บนอากาศ



“หึ! ที่เขาว่ามึงชอบผู้ชายท่าจะจริงแต่กูไม่แปลกใจหรอกก็คนอย่างมึงนี่นะ...” มันมองพี่คิดด้วยสายตาเหยียดหยาม



“อย่ามาสะเออะเรื่องของกูเอาเวลาไปคิดเรื่องตัวเองเถอะ”



พี่คินกับไอ้ยักษ์นั่นยังคงตอบโต้กันไปมา ผมแลซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นไอ้เฮียเตอร์มันมาสักทีหรือจะมาตอนสุดท้ายเหมือนตำรวจในหนังไทยวะเนี่ยไอ้เฮียเอ๊ย!



“เฮ้ย! ไอ้พวกเหี้ยปล่อยเพื่อนกูนะเว้ย!!” ผมหันไปมองเสียงตะโกนจากข้างหลังก็เห็นเฮียเตอร์และเพื่อนๆเขาที่ขนกันมาเป็นโขยง ดูๆแล้วน่าจะขนกันมาทั้งคณะ



“ไอ้สัดกูฝากไว้ก่อนเถอะ” มันมองหน้าพี่คินก่อนจะมองหน้าผมแล้วแสยะยิ้มที่ทำเอาขนลุกไปเป็นปีจากนั้นมันและพวกของมันก็วิ่งติดสปีดออกไปอย่างไว



“พวกมึงเป็นไงบ้างวะ?” เฮียเตอร์เข้ามาหาผมกับพี่คินทันทีหลังจากไอ้พวกบ้านั่นมันวิ่งออกไปแล้ว ส่วนคนที่เหลือก็แยกย้ายกันกลับตอนที่เพื่อนๆพี่คินบอกขอบคุณ อ๋อ ที่ขนคนมาเยอะก็แค่เอามาขู่แหละนะ



“ผมไม่เป็นไรพี่แต่พี่คิน...” หันไปมองก็ต้องตกใจเพราะพี่คินมันสลบคอพับไปแล้ว “เฮ้ย!พี่คินๆ”



“กูว่าพาไอ้คินไปโรงพยาบาลก่อนเถอะว่ะ” พี่ที่อยู่กลุ่มพี่คินพูดกับเฮียเตอร์ เฮียมันก็พยักหน้าพวกเพื่อนพี่คินก็กรูกันมาช่วยพยุงทั้งผมทั้งพี่คินให้ลุกขึ้น



✿✿



มาถึงโรงพยาบาลพี่คินก็ได้นอนบนเตียงแล้วโดนเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ผมไม่ได้เป็นอะไรมากมีแค่แผลถลอกตอนนั่งคุกเข่ากับพี่คินนั่นแหละแต่ตอนพยาบาลทำแผลให้ก็แอบแสบๆเหมือนกัน



“ดีนะที่พวกกูมาช่วยทันไม่งั้นพวกมึงเละกว่านี้แน่ๆ” เฮียเตอร์พูดระหว่างรอหมออกมาบอกอาการพี่คิน



“อย่างพี่คินยังไม่เรียกเละอีกหรอวะเฮีย”



“มันเละได้ยิ่งกว่านี้อีก”



“โหดสัด..” ผมอุทานด้วยความตกตะลึงกับความโหดร้ายของไอ้บ้านั่นที่มีเรื่องกับพี่คิน



“แต่น้องกับไอ้คินไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว” พี่ที่หน้าตาดีและท่าทางดูสุภาพที่สุดในกลุ่มพูดแล้วยิ้มให้ “อ้อ...ขอแนะนำตัวก่อน พี่ชื่อหมอกครับ”



“หวัดดีครับพี่ ผมทาวน์ครับ”



“อ่ะๆพวกมึงไหนๆก็มาอยู่กันครบแล้วก็แนะนำตัวให้น้องมันรู้จักหน่อย” เฮียเตอร์กวักมือเรียกเพื่อนของเขาที่พึ่งเดินกลับมาจากการไปซื้อน้ำยิกๆ



“พี่ยีนส์”



“ไฟ”



“พี่เป๋าครับ”



“ครับ ผมทาวน์ครับผม” ผมแนะนำตัวเองกลับพวกพี่ก็พยักหน้ายิ้มๆให้ผมจากนั้นก็หันไปสนใจน้ำในมือตัวเองต่อ “เฮียเตอร์”



“ว่า?”



“ผมขอไปโทรหาไอ้ทิมก่อนนะครับ ป่านนี้รอผมจนเหงือกแห้งแล้วมั้ง”



“อืม” เฮียปัดมือเหมือนจะบอกประมาณว่ามึงจะไปไหนก็รีบๆไปเถอะ



ผมโทรหาไอ้ทิมอย่างที่บอกกับเฮียไว้ มันรับสายแล้วโวยวายว่าผมหนีทิ้งมันไว้นั่งหล่ออยู่กับสาวตั้งสองคน ผมปล่อยให้มันบ่นของมันไปจนพอใจก็บอกว่าตอนนี้ผมอยู่ที่โรงพยาบาลมันก็ตกใจใหญ่แอบได้ยินเสียงสองสาวดังลอดออกมาจากปลายสายด้วย ผมเลยบอกว่ากลับไปจะเล่าให้ฟังแต่คงเล่าให้ไอ้ทิมฟังแค่คนเดียวล่ะนะ ก็สองสาวเขาไม่รู้นี่นาว่าผมกับพวกกลุ่มพี่คินรู้จักกัน



พอวางสายจากไอ้ทิมมันเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับไปหน้าห้องฉุกเฉิน ไม่รู้ป่านนี้พี่คินมันจะเป็นยังไงบ้าง



มาถึงก็เห็นแค่เฮียเตอร์ยืนอยู่คนเดียว เขาหันมาทางผมแล้วรีบเดินเร็วเข้ามาพอประชิดตัวผมได้ก็พูดเร็วๆ



“ไอ้คินโดนย้ายไปห้องพักผู้ป่วยแล้วเนี่ย” เฮียมันว่าแล้วลากผมแถ่ดๆไปยังตึกที่เป็นห้องพักผู้ป่วย “กว่ามึงจะคุยโทรศัพท์เสร็จป่านนี้ไอ้คินมันฟื้นแล้วมั้ง”



“โหย..เฮียก็พูดเว่อไป”



เฮียมันก็บ่นของมันมาจนถึงห้องพักของผู้ป่วยซึ่งเป็นห้องพักเดี่ยว เฮียมันบอกว่าเวลามาเยี่ยมหรือมาเฝ้าจะได้สะดวกสบายหน่อย



“เป็นไงบ้างพวกมึง?” เฮียถามเหล่าเพื่อนๆของตัวเองที่นั่งเล่นโทรศัพท์กันอยู่ตรงโซฟา



“เมื่อกี้ฟื้นแล้ว มันบอกหิวน้ำ พอกินเสร็จก็พึ่งหลับเมื่อตะกี้นี่แหละ” พี่หมอกที่นั่งอ่านหนังสืออยู่เป็นคนเงยหน้าขึ้นมาตอบ



“สงสัยฤทธิ์ยาที่หมอฉีดให้มันยังไม่หมด” คนข้างๆที่น่าจะชื่อพี่เป๋าก็ตอบบ้างจากนั้นก็ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อ



“งั้นคืนนี้ใครจะอาสาเฝ้ามัน?”



ทุกคนทำหน้าเลิ่กลั่กดูจากสายตาของแต่ล่ะคนก็คงอยากพูดคำว่ากูไม่ว่างแต่ก็เกรงใจเพื่อนไงเลยไม่กล้าพูดกันส่วนผมที่เป็นคนนอกก็ได้แต่ยืนเงียบมองหลอดไฟมองประตูไปเรื่อย



เวลาผ่านไปราวๆเกือบห้านาทีเสียงถอนหายใจของเฮียเตอร์ก็ดังขึ้น ผมหันไปมองเฮียที่ยืนข้างๆผมก็เห็นเฮียมองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว



ทำไมรู้สึกว่าหวยมันจะมาตกอยู่ที่ผมวะ



“ทาวน์มึงอยู่...ได้มั้ย?” ทำเสียงอ่อยใส่ผมอีก



ผมหันไปมองหน้าเพื่อนพี่คินแต่ละคน...พี่หมอกยิ้มเป็นกำลังใจให้ พี่เป๋าชูนิ้วโป้งให้ พี่ยีนส์ส่งมินิฮาร์ทมาพร้อมขยิบตาให้หนึ่งที ส่วนพี่ไฟมองผมนิ่งแต่แม่งกดดันสุดเลยคนนี้



ผมอยากจะตอบว่าไม่แต่สิ่งที่ตอบไปจริงๆคือคำว่า “ได้ครับ”



ก็นะพวกพี่ๆคงไม่ว่างกันจริงๆแหละ น่าจะทำงานกลุ่มที่เฮียมันบอกผมไว้เมื่อตอนบ่ายล่ะมั้ง แล้วถ้าเป็นอย่างนี้วันนี้เฮียมันคงไม่เปิดร้านแล้วแหละครับ



“งั้นเสื้อผ้ากูจะไปเอามาให้ มึงโทรบอกไอ้ทิมไว้เลยแล้วกัน”พูดจบเฮียมันก็เดินไปนั่งกองกับเพื่อนอยู่ตรงโซฟาปล่อยให้ผมยืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้องคนเดียว ผมมองหาที่ที่ผมสามารถจะไปสิงสถิตได้และสุดท้ายก็ต้องพาตัวเองไปนั่งตรงเก้าอี้ข้างเตียงคนป่วยที่มีพี่คินนอนอยู่



ผมไม่ได้โทรหาไอ้ทิมอย่างที่เฮียมันบอกแต่เลือกที่จะส่งข้อความไปในช่องแชทเพื่อตัดปัญหาคำถามมากมายที่ผมอาจจะได้รับตอนที่โทรหาไอ้ทิมมันเป็นครั้งที่สอง



มันอ่านและตอบอย่างรวดเร็ว ผมส่งสติ๊กเกอร์หมีเหนื่อยไปให้มัน เงยหน้าบอกเฮียว่าไอ้ทิมมันจะเอาของมาให้ที่หน้าหอ



“หิวข้าวเปล่ามึง อยากกินอะไรเดี๋ยวซื้อมาให้” พี่เป๋าสะกิดผมที่นั่งมองสภาพพี่คินที่หลับสนิทอยู่บนเตียง



“อะไรก็ได้ครับ”



พวกพี่ๆพากันออกไปจากห้องเพื่อจะไปทำธุระของตัวเองซึ่งอาจจะเป็นงานกลุ่มของพวกเขา ภายในห้องตอนนี้จึงเหลือแค่เพียงผมและพี่คินสองคนแต่ถึงจะอยู่สองคนยังไงก็เหมือนอยู่คนเดียวเพราะอีกคนยังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่เลย



ผมถอนหายใจเบื่อๆ ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมาเจอเหตุการณ์ที่เหมือนในละครที่พ่อกับแม่ชอบดู ตอนได้นั่งดูกับท่านสองคนก็คิดนะว่าถ้าผมอยู่ในเหตุการณ์ผมอาจจะต่อสู้กับพวกคนร้ายเท่ห์ๆแต่แม่งชีวิตจริงไม่ใช่ไงครับ แค่ขยับตัวผมยังไม่กล้าจะทำเลย



หันไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อยากจะจิ้มรอยแผลช้ำๆนั่นอย่างหมั่นไส้ คนบ้าอะไรขนาดหมีแผลมีรอยช้ำเกือบเต็มหน้ายังดูดีอยู่เลย พี่คินที่ผมเห็นคือคนที่เท่ห์มากในสายตาผม ผมยังจำตอนที่เขาปกป้องผมได้อยู่เลย ตอนนั้นอยากหันไปกราบขอบคุณตรงอกพี่มันมากแต่ติดว่าจะโดนเสยคางเลยทำได้เพียงขอบคุณในใจ



ถอนหายใจอีกครั้งอย่างเหนื่อยล้า ผมเดินไปปิดผ้าม่านตรงระเบียงเพื่อไม่ให้แสงเข้ารบกวนคนป่วยที่นอนอยู่ พาสารร่างตัวเองล้มลงนอนบนโซฟาทั้งที่ยังไม่มืดค่ำ บอกตามตรงว่าเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมาทำเอาผมเหนื่อยล้ามากกว่าการใช้ชีวิตทั้งชีวิตซะอีก



✿✿


TBC...

ติดแท็ก #นิยายเขาว่ากันว่า ได้นะค้าา

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด