15
นั่งรถประมาณสองชั่วโมงครึ่งก็ถึงที่หมาย ทะเลสีฟ้าครามทอดยาว เกลียวคลื่นสะท้อนแสงแดดส่องประกายระยิบระยับ ปุ่นยืนมองจนตาพร่า
หลังจากคนขับหาที่จอดรถได้แล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปหาที่พักค้างแรม โดยก่อนแยกย้าย อิฐซึ่งเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเรื่องยานพาหนะการเดินทางครั้งนี้ก็ได้บอกนัดทุกคนให้มารวมตัวกันที่หน้าโรงแรมแพรวพราวในวันพรุ่งนี้เวลา 08.00 นาฬิกาเพื่อเดินทางกลับ ส่วนวันนี้ใครใคร่ทำอะไรหรืออยากไปไหนก็เชิญตามอัธยาศัย
ปุ่นและกฤษณ์เข้าพักที่โรงแรมดาวดาษซึ่งอยู่ข้างๆ โรงแรมแพรวพราว เนื่องด้วยกฤษณ์บอกว่าไม่อยากพักโรงแรมเดียวกับพี่ชาย ปุ่นไม่ได้สนใจอะไรในส่วนนั้น แค่คิดว่ากฤษณ์นี่หึงเขากับพี่ชายตัวเองน่าดูเลย ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำเรื่องอะไรให้น่าหึงเลยแท้ๆ
“จะเล่นน้ำหรือไปหาอะไรกินกันก่อนดีครับ” กฤษณ์ถาม
“ไปกินก่อนดีกว่า” ปุ่นตอบพลางลูบท้องป้อยๆ “เมื่อเช้ายังไม่ได้กินอะไรเลยด้วย”
กฤษณ์จึงพาปุ่นเดินมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนชายหาดไม่ไกลจากที่พักมากนัก พวกเขาเลือกโต๊ะริมสุดที่สามารถมองออกไปแล้วเห็นทิวทัศน์สีฟ้าครามได้ชัดเจน
“ที่นี่จะอร่อยไหมอะ” ปุ่นกระซิบถามคนตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนมองไปรอบๆ ร้านด้วยสายตาเคลือบแคลง ร้านค่อนข้างใหญ่ การจัดร้านธรรมดาเหมือนร้านทั่วๆ ไป แต่ที่สำคัญคือแทบไม่มีคนเลย นอกจากโต๊ะของเขาแล้วก็มีลูกค้าอีกแค่สามโต๊ะเท่านั้น
“มองรอบร้านเชียวนะครับ ก็ต้องอร่อยสิครับพี่ถึงได้พามา” กฤษณ์ว่าพลางใช้สองนิ้วคีบจมูกของปุ่นส่ายไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว “ร้านนี้พี่มากับครอบครัวทุกครั้งที่มาเที่ยวที่นี่เลยนะครับ ช่วงกลางคืนโน่นคนถึงจะเยอะกว่านี้”
“ไม่รู้ละ จะกินให้พุงกางเลยคอยดู” ปุ่นแยกเขี้ยวใส่ เมื่อเห็นพนักงานถือสมุดเล่มเล็กกับปากกาเตรียมจดออร์เดอร์เดินเข้ามาถามว่า ‘รับอะไรดีคะ’ ปุ่นก็หยิบสมุดเมนูอาหารเก่าๆ ที่เคลือบมันด้วยแผ่นพลาสติกใสขึ้นมากวาดสายตามองแล้วเจื้อยแจ้วรายการอาหารออกมาราวกับท่องสูตรคูณ
“เอากุ้งเผา ปูเผา หมึกย่าง หอยนางรมสด น้ำจิ้มหอยนางรมขอแซ่บๆ นะครับ …แล้วก็หอยเชลล์อบชีส ต้มจืดสาหร่ายรวมมิตรทะเล …ปลาหมึกผัดไข่เค็ม ปลาหมึกนึ่งมะนาว แล้วก็…ปูผัดผงกะหรี่ …ลาบปลาแค้ …ปูนิ่มทอดกระเทียมพริกไทย” ทุกครั้งที่หยุดพูดคือกำลังพลิกหน้ากระดาษหาเมนูที่สนใจ
หลังจากพนักงานเดินไปแล้วกฤษณ์จึงได้ถาม
“น้องปุ่น สั่งไปเยอะขนาดนั้นจะกินหมดเหรอครับ นี่ไม่ใช่ว่าคิดจะแกล้งพี่หรอกนะ”
“ผมเปล่านะ นี่หิวจริงๆ พี่กฤษณ์ไม่เชื่อกันเหรอ น้อยใจจัง…” ปุ่นทำหน้าหงอย หันมากะพริบตากลมโตปริบๆ ให้กฤษณ์อย่างคนถูกกล่าวหา กฤษณ์เห็นเข้าก็รีบกล่าวเอาใจ
“เชื่อครับพี่เชื่อ น้องปุ่นอยากกินอะไรสั่งได้เต็มที่เลยครับ พี่กดเงินมาเยอะ” คนพูดตบกระเป๋ากางเกงปุๆ ได้ยินดังนั้นมุมปากของปุ่นก็พลันยกโค้งขึ้น
ฮึ… มีเมียรวยก็ดียังงี้แหละ
หอยนางรมสดแช่น้ำแข็งคืออย่างแรกที่ถูกเอามาเสิร์ฟ จากนั้นก็ตามด้วยกุ้งเผา ปูผัดผงกะหรี่ ปูนิ่มทอดกระเทียมพริกไทย และอื่นๆ ตามมาอีกเรื่อยๆ ด้วยเวลาอันรวดเร็ว คงเพราะมีลูกค้าน้อยด้วยอาหารถึงได้ทำเสร็จไวเช่นนี้
ปุ่นมองบรรดาอาหารตรงหน้าแล้วก็เหงื่อตก สีหน้าฉายความกังวลออกมาชัดเจน
สั่งไปเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย กินไม่หมดละเสียดายแย่
“อาหารมาแล้วนะครับ” กฤษณ์เอ่ยขึ้นมา ปุ่นที่อึ้งงันชั่วขณะจึงได้สติ หยิบช้อนขึ้นมาตักหอยนางรมใส่จาน
“น่ากินทุกอย่างเนอะ” ปุ่นยิ้มแห้ง ตักน้ำจิ้ม หอมแดงเจียว และเด็ดยอดกระถินมากินเคียงกับหอยนางรมสดๆ พลันเมื่อได้ลิ้มรส ตาก็โตขึ้นมาทันที “อื้ม! อร่อยอะ” ปุ่นโพล่งออกมา รีบเคี้ยวๆ แล้วกลืนลงคอเพื่อพูดต่อ “น้ำจิ้มอร่อยมาก แซ่บมาก หอยนางรมก็อวบอ้วน สดสุดๆ หวานฉ่ำ”
ปุ่นชอบกินหอยนางรมตัวอ้วนๆ แบบนี้ที่สุดเลย!
เห็นทำท่าอร่อยขนาดนั้นกฤษณ์ก็อยากลองชิมขึ้นมาบ้าง เขาตักหอยนางรมขึ้นมา ใส่น้ำจิ้ม หอมแดงเจียว และใบกระถินเลียนแบบที่ปุ่นเคยทำ และทันทีที่เข้าปาก
“เผ็ดจังครับ” กฤษณ์รีบยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ แก้มสองข้างอมชมพูนิดๆ ปุ่น
มองแล้วก็อดรู้สึกว่า น่ารักจริงๆ นะเมียคนนี้ ไม่ได้
“น้ำจิ้มเผ็ดมากเลยครับ” กฤษณ์พูดต่อ
“กินน้ำจิ้มกุ้งเผาปูเผาแทนก็ได้ น่าจะเผ็ดน้อยกว่า” ปุ่นบอกพลางตักน้ำจิ้มซีฟู้ดขึ้นมาชิม “อื้ม ถ้วยนี้ไม่ค่อยเผ็ด” แล้วหยิบน้ำจิ้มถ้วยนั้นมาวางตรงหน้ากฤษณ์
“พี่กินหอยนางรมไม่คอยเป็น พี่แกะกุ้งกินดีกว่า เดี๋ยวพี่แกะเปลือกกุ้งให้นะครับ” กฤษณ์บอกพลางหยิบกุ้งเผาสีส้มขึ้นมาแกะเปลือก “พี่ชอบกินมันตรงหัวกุ้งมากเลยละครับ”
ปุ่นพยักหน้าหงึกหงัก
“ผมก็ชอบ พี่กฤษณ์แกะปูด้วยน้า ปูตัวใหญ่น่ากินมากเลย”
“ได้ครับ” กฤษณ์ตอบรับ เทียวแกะกุ้งแกะปูใส่จานปุ่นสลับกับจานตัวไปเป็นระยะๆ จนกุ้งกับปูหมดถาด
บรรดาอาหารบนโต๊ะถูกคนตัวเล็กจัดการไปมากกว่าครึ่ง กฤษณ์เห็นแล้วยังอดทึ่งไม่ได้ เขามองปุ่นที่นั่งมองอาหารที่เหลืออยู่พลางทำปากยื่น ถือช้อนกับส้อมค้าง ทำท่าจะตักจานนู้นทีจานนี้ทีแต่ก็ไม่ได้ตัก
“ถ้าอิ่มก็ไม่ต้องฝืนครับ” กฤษณ์บอก
“ก็มันเสียดายนี่นา ห่อกลับบ้านได้ไหมอะ” ว่าแล้วก็ถอนหายใจดัง ‘เฮ้อ’ อย่างเสียดายเป็นที่สุด
“กินมากเดี๋ยวจุก เล่นน้ำทะเลไม่ได้นะครับ”
“ก็ได้” ปุ่นยอมตัดใจ มองอาหารที่เหลืออยู่ตาละห้อย
ขอโทษนะ เจ้าอาหารที่แสนอร่อยทั้งหลาย มาคราวหน้าฉันสัญญาว่าจะสั่งแต่พอประมาณ ไม่กินทิ้งกินขว้างแบบนี้
“ป้าครับ เช่าห่วงยางราคาเท่าไรครับ” ปุ่นถามแม่ค้าที่นั่งเฝ้าห่วงยางอยู่ใต้ร่มสนามคันใหญ่ พลางชี้ไปที่ห่วงยางขนาดใหญ่
“อันนี้หกสิบบาทจ้ะ” คนขายตอบ
“พี่กฤษณ์เอาไหม หรือจะเล่นด้วยกันดี” ปุ่นหันไปถามฤษณ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ สงสัยวันนี้แฟนของเขาจะเท่จัด สาวๆ ที่เดินผ่านถึงได้เหลียวหลังมองกันนัก
“เอาห่วงเดียวครับ พี่ไม่เล่นหรอก” กฤษณ์ตอบ
“เอาห่วงเดียวครับ” ปุ่นบอกคนขาย หยิบห่วงยางมากลิ้ง แล้ววิ่งตามห่วงยางที่กลิ้งไป กฤษณ์ควักกระเป๋าเงินออกจากกระเป๋ากางเกงมาจ่ายเงินให้แม่ค้า เพราะจ่ายแบงก์ร้อยไปจึงต้องรอเงินทอนอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อได้เงินทอนแล้วก็รีบวิ่งตามปุ่นไปทันที
“รอด้วยครับ” เขาตะโกนเรียกคนตัวเล็กที่กำลังลากห่วงยางลงน้ำ “อย่าไปเล่นไกลนักนะครับ พี่จะรออยู่ตรงนี้”
“รู้แล้วน่า” ปุ่นว่าพลางลากห่วงยางให้ออกห่างจากหาดทราย กฤษณ์นี่พูดเหมือนเขาเป็นเด็กเล็กๆ ไปได้ เรื่องแค่นี้เขารู้หรอกน่า
ปุ่นเดินไปจนระดับของน้ำสูงถึงอกแล้วจึงเกาะห่วงยาง ปล่อยตัวให้ไหลไปตามกระแสคลื่นอย่างสบายอารมณ์
โธ่… เผลอนึกถึงครั้งสุดท้ายที่มาเที่ยวทะเลจนได้
ครั้งสุดท้ายที่มาทะเลคือเมื่อตอนอายุหกขวบ วันนั้นแดดก็แรงเหมือนอย่างวันนี้ ปุ่นที่ใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวกำลังเกาะห่วงยางโต้คลื่นทะเลตรงน้ำตื้นๆ
อยู่ดีๆ จีนก็เอาถุงพลาสติกใส่น้ำมายัดใส่ในกางเกงในของเขา
‘แมงกะพรุน! ไอ้ปุ่น แมงกะพรุนมุดเข้าไปใน กกน. แล้ว!’ จีนตะโกนลั่น
ปุ่นตกอกตกใจ รีบถอดกางเกงพร้อมกับกางเกงใน วิ่งแก้ผ้าร้องไห้จ้าหมายจะไปหาแม่ที่นั่งกินส้มตำกับพ่ออยู่บนหาดทราย รู้ตัวอีกทีก็ชนเข้ากับเด็กฝรั่งคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหาดจนล้มคะมำไปแล้ว ตอนนั้นได้แต่บอก ‘ซอร์รี่’ แล้ววิ่งจากไป ไม่รู้เหมือนกันว่าคนคนนั้นได้รับบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า
น่าอายชะมัด คิดถึงตอนนั้นขึ้นมาทีไรเป็นต้องรู้สึกอับอายขึ้นมาทุกที ปุ่นหน้าร้อนฉ่า เกาะห่วงยางโต้คลื่นทะเลเงียบๆ
“เฮ้! ปุ่น!”
ได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นหู ปุ่นหันไปมองที่หาดทรายหาตัวคนเรียก เห็นเอเชียยืนโบกมือหย็อยๆ อยู่ข้างๆ อิฐที่กำลังยกขวดน้ำแร่ขึ้นดื่ม และข้างๆ ตัวของอิฐนั้นมีตาน้อยยืนอยู่ด้วย
ปุ่นเบนสายตาไปมองกฤษณ์ที่นั่งทับรองเท้าแตะ เฝ้ารอเขาไม่ไกลจากที่พวกเอเชียยืนอยู่นัก
“มาทำไมตอนนี้” ปุ่นพึมพำ รีบพาตัวเองและห่วงยางที่เกาะอยู่ขึ้นบกโดยมีคลื่นลมทะเลเป็นตัวช่วยส่งให้ถึงที่หมายเร็วขึ้น
คนกำลังเล่นน้ำเพลินๆ เลย
เขาทิ้งห่วงยาง รีบเดินไปหากฤษณ์ที่นั่งยิ้มแฉ่ง มองที่พี่ชายตัวเองที่กำลังคุยกะหนุงกะหนิงกับเอเชีย ตอนที่อิฐก้มไปหอมแก้มเอเชียดัง ‘ฟอด’ ก็หัวเราะ ‘แหะๆ’ ออกมาราวกับคนปัญญาอ่อน คงจะเบาใจที่เห็นว่าเอเชียไม่เป็นศัตรูหัวใจอีกต่อไป
“ขำอะไรอยู่คนเดียว” ปุ่นถามพลางเดินเข้าใกล้ เขาเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเพื่อนสนิทไปรู้จักกับอิฐได้อย่างไร แต่ตอนนี้ยังไม่สบโอกาสจะถามเพราะต้องคอยระวังแมวขโมยมาคาบปลาย่างตัวใหญ่ไปกิน
แถมไอ้แมวตัวนั้นก็อยู่ใกล้ๆ นี่เอง… ปุ่นหันไปมองตาขวางใส่ตาน้อยปราดหนึ่งก่อนโบกมือให้กับเอเชียที่ยืนกุมแก้ม หน้าแดงอย่างน่าเอ็นดู แหม… เพิ่งรู้ว่ามันก็มีมุมน่ารักๆ แบบนี้ด้วยเหมือนกัน
“พอแล้วเหรอครับ” กฤษณ์ถามพลางยืนขึ้นเมื่อเห็นปุ่นมายืนอยู่ตรงหน้า
“พอแล้วก็ได้” ปุ่นตอบ กอดแขนแข็งแรงของคนรักไว้แน่น ตราบใดที่เขายังอยู่ ตาน้อยนั่นไม่มีโอกาสได้มาแสดงบทบาทตัวอิจฉาหรอก
ผัวคนนี้จะทำหน้าที่พิทักษ์เมียแสนทึ่มทื่อเอง
“กฤษณ์…” ตาน้อยเรียกเสียงหวานจ๋อย เดินบิดร่างอันอ้อนแอ้นของตนเองมาหา ยื่นมือทำท่าจะจับแขนอีกข้างที่ว่างอยู่ของกฤษณ์ แต่ก็ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นทรายเสียก่อน
“โอ๊ย… เจ็บ อะไรมันทิ่มเท้าตาน้อยก็ไม่รู้ กฤษณ์ช่วยที” ตาน้อยพูดเสียงเครือ มองมาที่กฤษณ์ด้วยสายตาเว้าวอน น้ำตาปริ่มขึ้นมาที่ขอบตาอย่างน่าสงสาร
“…” ปุ่นมอง เผลอคลายมือออกจากแขนแกร่ง ตาน้อยสวยจริงๆ ถึงจะไม่ใช่แบบที่เขาชอบก็เถอะ แล้วไอ้น้ำตานั่นอีก มันเรียกมาได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเชียวเหรอ ทำไมเขาถึงทำแบบนั้นไม่ได้นะ อิจฉาว้อย!
“ไหน ขอเราดูหน่อยว่าถูกตำตรงไหน” กฤษณ์รีบนั่งลงอย่างเป็นห่วงปนตกใจ เอื้อมไปจับเท้าเปลือยขาวที่เปื้อนทรายมาปัดเพื่อตรวจดูบาดแผล อิฐกับเอเชียรีบเดินเข้ามาใกล้ๆ เพื่อดูเหตุการณ์
“อ้า! ซี๊ด… กฤษณ์เบาๆ หน่อย…” ตาน้อยสะดุ้ง ครางเสียงกระเส่าเบาๆ ปุ่นที่ยืนกอดอกด้วยอารมณ์ขุ่นมัวสังเกตเห็นใบหูของคนรักแดงระเรื่อขึ้นมาก็เดือดปุดๆ ในใจ
หน็อยแน่! ไอ้พี่กฤษณ์!
“ขอโทษ เจ็บเหรอ เราว่าไปล้างขาดีกว่านะ” กฤษณ์บอกอย่างเป็นห่วง
“ทำไมกฤษณ์ถึงแทนตัวเองว่าเราล่ะ ไม่แทนตัวเองว่ากฤษณ์เหมือนเมื่อก่อนแล้วเหรอ เพราะคุยกับเราแล้วกฤษณ์ไม่สบายใจใช่ไหม” ตาน้อยตีหน้าเศร้า น้ำใสๆ ไหลเผาะๆ ออกจากดวงตาราวกับสั่งได้
“เปล่านะ เรากับตาน้อยก็ยังเป็นเพื่อนร่วมสถาบันกันอยู่ไง”
“ช่างเถอะ เราเข้าใจ แต่กฤษณ์กลับมาพูดหมือนเดิมก็ได้นะ” ตาน้อยยกแขนขึ้นเช็ดน้ำตา “กฤษณ์พาเราไปล้างแผลหน่อยนะ”
“โน้น” ปุ่นพูดแทรกขึ้นมาพลางหันหน้าโบ้ยไปที่ทะเล “น้ำทะเลเยอะแยะ ลงไปสิ ลงไปทั้งตัวเลยนะ” เขาพูดประชดประชัน
“แก!” ตาน้อยโพล่งออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ถลึงตาใส่ปุ่นจนลูกตาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า แต่เพียงแวบเดียวก็รีบเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นเศร้าหมอง “น้ำทะเลมันสกปรก ถ้าแผลติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง เราไม่…”
“เอ้านี่น้ำแร่” ปุ่นฉวยขวดน้ำมาจากมือของอิฐแล้วโยนไปที่ข้างๆ ตัวตาน้อยอย่างไร้มารยาท เสียงขวดน้ำที่ตกกระทบกับผืนทรายทำให้อีกฝ่ายตกใจจนหวีดร้อง ‘ว้าย!’ ออกมาเบาๆ พลางผวาตัวเข้ากอดกฤษณ์เอาไว้
“น้องปุ่นครับ” กฤษณ์หันไปปรามคนตัวเล็ก สายตาที่แฝงแววตำหนินั่นทำให้ปุ่นเกิดอาการไม่พอใจ ทำเอาเส้นเลือดแถวขมับเต้นตุบๆ ขึ้นมา
“ก็เวทนา เห็นว่าต้องล้างแผลด้วยน้ำสะอาดก็เลยรีบหามาให้ไง ได้ยินบ่นว่าอะไรนะ เดี๋ยวแผลติดเชื้อแล้วจะกลายเป็นซอมบี้ไล่กินผู้ชายใช่ไหม น่ากลัวจังเนอะ”
“ปุ่น…” กฤษณ์พยายามปรามอีกครั้ง
“รู้น่าว่าชื่อปุ่น เรียกอะไรนักหนา” ปุ่นตอบกลับไปเสียงขุ่น กฤษณ์อ้าปากค้างไปทันใด และถ้าหากไม่ได้คิดไปเองแล้วละก็ เขาเห็นตาน้อยกำลังอมยิ้มอยู่ด้วย
คิดเหรอว่าตัวเองจะชนะน่ะ อ่อนหัด!
“พี่กฤษณ์…” ปุ่นเรียกเสียงหวานเลียนแบบตาน้อย นัยน์ตาใสกระจ่างชม้ายมองไปที่กฤษณ์แล้วกล่าวต่อว่า “ขึ้นห้องกันเถอะ เหนียวตัวอยากอาบน้ำจะแย่แล้ว” พูดจบก็เดินจากไปช้าๆ หูพยายามฟังเสียงฝีเท้าที่จะตามหลังมาในไม่กี่อึดใจนี้
“น้องปุ่น รอพี่ด้วยครับ”
เป็นดังคาด เมื่อฝากฝังตาน้อยไว้ให้อิฐดูแลแล้วกฤษณ์ก็วิ่งเหยาะๆ ตามหลังปุ่นมาจริงๆ
“ไม่ไปดูคนเจ็บแล้วเหรอ” ปุ่นถามอย่างแง่งอน
“ให้พี่อิฐดูแล้วครับ อีกอย่าง กุญแจห้องอยู่ที่พี่นะครับ”
เรื่องนั้นน่ะรู้อยู่แล้วน่า
“ถ้ากุญแจอยู่ที่ผม พี่ก็คงจะไม่ตามมาสินะ”
“ใครว่าล่ะครับ โธ่… ทำไมแฟนพี่ขี้หึงจังเลย” กฤษณ์ยิ้ม พูดพลางกางแขนซ้ายขึ้นมากอดคอปุ่นเอาไว้
“มันเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย พี่รับได้ไหมล่ะ”
“พี่ชอบที่สุดเลยละครับ”
ปุ่นแหงนหน้ามองคนรักยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวที่เรียงตัวสวยแล้วก็พลอยสุขใจ คนของเขา อย่างไรเสียก็เป็นคนของเขา ไม่คิดให้ใครมาแย่งไปได้ง่ายๆ หรอก
ปุ่นเข้าไปในห้องน้ำที่ถูกกั้นไว้อย่างเป็นสัดส่วน ถอดเสื้อผ้าที่ยังเปียกหมาดๆ กองไว้กับพื้นแล้วเปิดฝักบัว ตอนยื่นศีรษะหาน้ำที่ยังไม่อุ่นดีก็ได้ยินเสียงดัง ‘ปัง’ เขาเหลียวไปมองด้วยความตกใจ เห็นร่างอันใหญ่โตของกฤษณ์ยืนเปลือยท่อนบน ท่อนล่างนุ่งผ้าขนหนูยาวประมาณหัวเข่าอยู่ตรงประตูห้องน้ำ
ลืมล็อกประตูห้องน้ำนั่นเอง…
เพราะที่ห้องนอนมีห้องน้ำส่วนตัว จึงติดนิสัยไม่ชอบล็อกประตูเวลาเข้าห้องน้ำ
ปุ่นกลั้นหายใจ จ้องมองกฤษณ์ปลดผ้าขนหนูที่นุ่งอยู่แขวนไว้บนราวที่ติดกับแผ่นกระเบื้อง
ร่างสูงใหญ่เปลือยเปล่าย่างสามขุมเข้ามา ปุ่นก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวจนแผ่นหลังชนเข้ากับผนังแผ่นกระเบื้องเย็นเฉียบ น้ำอุ่นวาดเส้นโค้งลงมาจากหัวฝักบัว ร่างของกฤษณ์ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าดูใหญ่ล่ำสันกว่าเดิมเมื่ออยู่ในห้องน้ำแคบๆ
“พี่อาบด้วยคนนะครับ” นัยน์ตาสีอ่อนจางจ้องมองมา เรียกอาการสั่นสะท้านจากแผ่นหลังบาง ปุ่นคว้าฝักบัวด้วยมือข้างหนึ่งแล้วฉีดละอองน้ำใส่ไปที่ช่วงล่างของอีกฝ่าย
“นี่แน่ะ ทำไข่ลวกกันพี่กฤษณ์” ปุ่นหัวเราะชอบใจ
“ทะลึ่งน่า” กฤษณ์พูดพลางคว้าฝักบัวมาเสียบไว้ที่เดิม ก่อนหยิบขวดครีมอาบน้ำสีฟ้าขวดเล็กๆ ที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้มาเปิดฝาแล้วเทลงฝ่ามือจนหมดขวด ฝ่ามือเต็มไปด้วยของเหลวลูบไล้บนแผ่นอกของร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้า เฉียดผ่านตุ่มไตนุ่มหยุ่นไปมา สบู่เหลวถูกตีเป็นฟอง อีกมือหนึ่งก็โอบเอวบางไว้ ดึงเข้ามาใกล้ไม่ยอมให้ถอยหนี
“อ๊ะ…” ปุ่นส่งเสียงในลำคอ กฤษณ์ลูบไล้ฟองสบู่ไปทั่วคล้ายต้องการทำความสะอาดให้ แต่สัมผัสนั้นออกเชิงลามก ปลุกเร้าให้ส่วนอ่อนไหวกลางลำตัวสั่นระริก
“พี่กฤษณ์… ยังไม่ได้สระผมเลย” ปุ่นทักท้วง กฤษณ์หยิบขวดแชมพูสีเหลืองมาเปิดฝา เทใส่ศีรษะของคนตัวเล็กพรวดเดียวหมดขวด บนศีรษะและเส้นผมของ
ปุ่นมีทรายติดอยู่ กฤษณ์ต้องใช้แชมพูอีกขวดของตัวเองมาสระผมให้อีกรอบจึงจะหมด
“น้องปุ่นทำเสียบรรยากาศหมด” คนตัวโตบ่นอุบขณะใช้ฝักบัวล้างฟองออก นิ้วยาวที่กำลังสางเส้นผมเลื่อนลงลูบไล้ท้ายทอย เรื่อยไปตามแนวกระดูกสันหลัง เนินสะโพก แล้วหยุดหยอกเหย้าตรงรอบจีบ บดขยี้แผ่วเบา ส่งปลายนิ้วผลุบเข้าไปอย่างง่ายดาย เขาก้มหน้าพลางส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ข้างหู
“ตรงนี้นุ่มเชียวนะครับ” พูดจบก็เชยปลายคางเล็กให้ขึ้นมาประกบจูบ นิ้ว
ของกฤษณ์คืบเข้ามาบดขยี้จุดไวสัมผัสภายใน ความหฤหรรษ์แล่นซ่านไปตามไขสันหลังถึงเส้นประสาท วาบวับเข้าในหัวใจ มือเล็กเกาะไหล่ตรงหน้าแน่น เขย่งปลายเท้าหนีนิ้วยาวที่รุกเข้ามา
“ไป… อ้า…ที่เตียง” ปุ่นผละจากจูบ ร้องบอกเสียงกระเส่า
“แต่ตรงนี้เริ่มแข็งขึ้นมาแล้วนะครับ” กฤษณ์บอก มือเกาส่วนอ่อนไหวที่เกือบแข็งตัวเต็มที่แล้วของปุ่นเบาๆ อย่างหยอกเย้า “เอาออกสักครั้งจะสบายตัวกว่านะครับ”
“อื้อ…” ปุ่นครางเมื่อส่วนนั้นถูกหยอกเย้า ตัวสั่นสะท้าน ก้มมองเบื้องล่างอย่างพยายามอดกลั้น เห็นส่วนอ่อนไหวอันแสนซื่อตรงของตัวเองกำลังชูชันเต็มที่ หากส่วนนั้นของกฤษณ์ก็เช่นกัน ตื่นตัวชูชันทั้งที่ไม่ทันได้ทำอะไรทั้งนั้น เห็นแล้วก็ชวนให้ส่วนลึกในร่างกายเต้นตุบๆ ร่ำร้องว่าต้องการสิ่งนั้นเข้ามาเติมเต็ม
นิ้วที่งองุ้มเป็นตะขอควานไปทั่ว ปุ่นเริ่มส่งเสียงครวญครางดังขึ้น เล็บที่ตัดสั้นมนจิกบนเนื้อบ่ากว้าง แค่นิ้วอย่างเดียวยังไม่พอ… อยากได้อันที่ใหญ่ๆ กว่านี้…
“ขอเข้าไปได้ไหมครับ” กฤษณ์ถามเสียงแหบพร่า ลมหายใจอุ่นๆ อุณหภูมิเท่าๆ กับน้ำจากฝักบัวกระทบที่ใบหู ชวนให้ปุ่นปั่นป่วนใจ อยากให้อีกฝ่ายใส่เข้ามาในตัวไวๆ
“ได้…” ปุ่นตอบ นัยน์ตาดำขลับฉ่ำเยิ้มช้อนขึ้นมองใบหน้าคมสัน นิ้วถูกถอนออก ร่างเล็กถูกจับให้หันหน้าไปทางผนังกระเบื้อง มือเล็กเท้ากระเบื้องเพื่อทรงตัวเมื่อขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้น ช่วงอกถูกวงแขนแกร่งโอบกอด กฤษณ์ย่อตัวลง ขยับสะโพกช้าๆ แก่นกายอันใหญ่โตบดเบียดไปมาที่ปากทางเข้า
ได้ยินเสียง ‘ผลุบ’ เบาๆ เมื่อชิ้นส่วนอันใหญ่โตนั้นเสียดแทงเข้ามาในช่องทางที่คุ้นชิน รอยจีบที่ขยายออกอย่างไม่น่าเชื่อกำลังเต้นระริก โอบรัดสิ่งนั้นด้วยความยินดี ที่ยอดอกข้างขวากำลังถูกปลายนิ้วโป้งที่หยาบนิดๆ ทั้งคลึงทั้งเขี่ยจนแข็งเป็นไต
“เจ็บไหม” กฤษณ์ถาม เมื่อปุ่นตอบว่า ‘ไม่เจ็บ’ ก็เริ่มขยับสะโพกเข้าออก ส่วนนูนที่แสนอ่อนไหวภายในถูกเสียดสีไปมา ปุ่นกรีดร้อง ช่วงขาสั่นสะท้านจนแทบหมดแรงยืน เหลือไว้เพียงการพยุงของคนตัวใหญ่ที่ซ้อนหลังอยู่จึงยังทรงตัวไว้ได้
“อะ อ้า… ดี…อื้ม…”
“อา… ยังพอยืนไหวอยู่ไหมครับ”
“อื้อ… ไหว… ไม่เป็นไร”
“จะขยับแรงขึ้นนะครับ”
“อือ…” ปุ่นพยักหน้าจากนั้นก็… “อ้า! พี่กฤษณ์ เบาหน่อย… อือ… ดะ… เดี๋ยวไอ้ที่กินไปเมื่อเพลก็ออกมาหรอก”
ได้ยินเช่นนั้นกฤษณ์ก็หยุดขยับอย่างฉับพลันทันใด เขาถามอย่างเป็นห่วงว่า
“น้องปุ่นปวดเหรอครับ ปวดมากไหม จะต้องกินยารึเปล่า พี่ไม่พกยามาด้วยสิ”
“เปล่า ไม่ได้ปวด แต่เผื่อไว้ก่อน ก็พี่เล่นกระแทกมาซะขนาดนี้นี่”
“ฮึ่ม พี่ก็ตกใจ แต่… ถึงน้องปุ่นจะปวด พี่ก็ไม่รังเกียจหรอกนะครับ” พูดจบก็เริ่มขยับสะโพกอีกครั้ง กระแทกแรงๆ เน้นๆ เพื่อเป็นการลงโทษคนตัวเล็กที่ทำเสียบรรยากาศ
เสียงร้องไม่เป็นภาษาสะท้อนก้องในห้องน้ำ ปะปนกับเสียงเนื้อที่กระทบกันเป็นจังหวะและเสียงเปียกแฉะ ปุ่นกรีดร้อง ครวญครางกับความเสียวซ่านถึงขีดสุด แก่นกายสั่นระริกมีหยาดใสไหลเยิ้มไม่หยุด
“ฮ่า… ปุ่น…. พี่ปล่อยข้างในได้ไหมครับ” กฤษณ์ถามเสียงพร่า ปุ่นพยักหน้าหงึกหงัก การขยับจากข้างหลังจึงเร็วและแรงขึ้น ไม่นานหยาดหยดขาวขุ่นก็พุ่งทะลักออกจากปลายแก่นกายของร่างเล็ก สาดรดบนกระเบื้องลายโลมา
“อา…” กฤษณ์ครางเสียงต่ำ ร่างของปุ่นกระตุกเฮือกเมื่อรู้สึกถึงของเหลวร้อนลวกหลั่งรินอยู่ภายใน กฤษณ์ค่อยๆ ถอนแก่นกายที่ยังขึงขังออกช้าๆ หยาดหยดความปรารถนาไหลเยิ้มออกมาจากช่องทางที่เปิดเผยอน้อยๆ
กฤษณ์ใช้นิ้วล้วงเข้าไปในช่องทางที่ยังไม่คืนรูปเดิมในทันที งอนิ้วควักเอาน้ำเชื้อที่เหลือออกมา ปุ่นครางเสียงเบาเหมือนแมวน้อยขี้อ้อน ข้างในกระตุกตอดราวกับต้องการอีกครั้ง
“อีกครั้งนะครับ” กฤษณ์กระซิบที่ข้างหู
ปุ่นถูกกอดอีกครั้งในห้องน้ำ จากนั้นจึงถูกอุ้มไปที่เตียง
แสงไฟโทนสีเหลืองอมส้มที่เปิดไว้ในห้องสะท้อนผิวพรรณให้ดูนวลตา บรรยากาศที่เปลี่ยนไปสร้างอารมณ์ให้ตื่นตัวได้ไม่น้อย ถึงจะไม่ใช่โรงแรมหรูหราอะไรแต่ห้องหับก็สะอาดสะอ้านเรียบร้อยดี
ขณะกำลังแลกจูบดื่มด่ำกัน โทรศัพท์ของกฤษณ์ที่วางไว้ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งก็ดังขึ้น แต่เจ้าของเครื่องคร้านจะเดินไปรับ จึงปล่อยให้มันดังต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเงียบไปเองในที่สุด