Chapter 19
Private Number“ให้เข้ามาเลยครับ ขอบคุณ”
เอลตัน มิลาโนกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ตั้งโต๊ะ หลังเลขาติดต่อเข้ามาว่ามีคนขอพบ เขาวางมือจากเอกสาร จัดสูทให้เรียบร้อยและนั่งหลังตรงเตรียมต้อนรับผู้มาเยือน
“สวัสดี”
“สวัสดีครับ” เขาพยักหน้ารับ ลุกยืนผายมือไปทางชุดโซฟารับแขกที่ตั้งอยู่มุมห้อง “เชิญนั่งก่อนครับ”
“เป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีไหม”
“แหม...คุณใจร้อนซะจริง รับกาแฟสักแก้วก่อนเถอะครับ”
“ไม่รบกวนคุณดีกว่า” อีกฝ่ายปฏิเสธ หรี่ตาจ้องหน้าเขาซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม เอลตันยิ้มรับ “ฉันแค่อยากรู้ความคืบหน้าว่าคุณดำเนินการไปถึงไหนแล้ว”
“ทุกอย่างราบรื่นดี” เอลตันยักไหล่ “ผมคุยกับเจ้าของโครงการแล้ว คาดว่าอีกไม่เกินอาทิตย์หน้าจะได้ข่าวดี”
“อย่าชะล่าใจไป ซีมอนไม่น่ายอมปล่อยให้คุณคว้าเนื้อชิ้นโตไปง่ายๆ”
“ผมเองก็คิดอย่างนั้น” เอลตันหน้าเครียดลง สีหน้าครุ่นคิด “ปัญหาที่เราสร้างขึ้นมามันไม่เล็ก แต่ก็ไม่ใหญ่เกินกว่ารอสซ์จะหาทางแก้ไข…”
“แต่เขากลับปล่อยปัญหานี้ไว้”
“ใช่ นี่เป็นจุดเดียวที่ผมไม่วางใจ”
“ฉันถึงบอกว่าอย่าประมาทเสือแก่” อีกฝ่ายถอนหายใจ “ฉันเองก็ประมาทไม่ได้เหมือนกัน”
“เห็นว่ามีคนเข้ามาวุ่นวาย?”
“ใช่ ทุกอย่างผิดแผนไปหมด”
“คุณจะทำยังไงต่อล่ะ” เอลตันถามยิ้มๆ “มันน่าลำบากใจ...ใช่ไหมล่ะ”
“คุณไม่จำเป็นต้องยุ่งเรื่องนี้ ฉันจะจัดการเอง”
“ผมช่วยคุณได้นะ ตอบแทนที่คุณ…”
“ฉันไม่ต้องการอะไรตอบแทนจากคุณ” เสียงปฏิเสธเรียบนิ่ง “คุณก็แค่ตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ความต้องการฉันบรรลุผล คุณเองก็ได้ประโยชน์ เราจบกันที่ตรงนี้ ไม่จำเป็นต้องมีอะไรอีก”
“โอ้ อันที่จริงผมก็ไม่เชิงได้ผลประโยชน์สักเท่าไหร่ ในเมื่อคุณเองก็ปล่อยข่าวทำให้ผมเป็นผู้ต้องสงสัย”
“ไม่มีหลักฐานสืบมาถึงตัวคุณ แค่ข้อสันนิษฐาน ไม่จำเป็นต้องเดือดร้อน”
“แต่ชื่อเสียงผมเสียน่าดู”
“ชื่อเสียงคุณไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์มาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ” อีกฝ่ายพูดกลั้วเสียงหัวเราะ เอลตันหรี่ตาลง รอยยิ้มหายไปจากมุมปาก “ทนกับข้อครหาเพิ่มอีกนิดแลกกับผลประโยชน์น่าจะเป็นสิ่งที่คุณคุ้นเคยนี่”
“ผมถามคุณตามตรงอีกครั้งนะ” เอลตันสบตาคนตรงหน้า “คุณเป็นคนทำใช่ไหม”
“หลักฐานล่ะ?”
เอลตันเงียบ เขาไม่มีหลักฐานอย่างที่อีกฝ่ายร้องขอ เมื่อเห็นเขาเงียบ ผู้มาเยือนก็ถอนใจ มุมปากยกขึ้น รอยยิ้มนั้นคาดเดาไม่ได้ สายตาที่มองมาเหนือกว่า
“รีบเอาโครงการนั้นมาเป็นของคุณซะ ฉันขอตัวก่อน”
ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็ลุกเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เอลตันนั่งอยู่ที่เดิม เขาจ้องบานประตูที่ปิดลง คิ้วขมวดเข้าหากัน วินาทีต่อมาจึงระบายลมหายใจ เขาไม่อยากตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แต่อีกฝ่ายมีอำนาจต่อรองเหนือกว่า แถมยังมีข้อเสนอน่าดึงดูดใจ วงการนี้มีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา และเอลตันคิดว่าเขาควรลองเสี่ยงให้สุดทาง
ไม่งั้นนอกจากจะโดนรอสซ์เอาคืนแล้ว เขาอาจโดนตระกูลใหญ่อีกตระกูลเล่นงานเอาได้
[Matthew]
ตั้งแต่เด็ก ผมค่อนข้างดื้อเงียบ...เงียบกริบชนิดไม่มีใครจับได้ กว่าจะรู้ผมก็ทำสิ่งนั้นสำเร็จแล้ว และนิสัยนั้นอยู่กับผมมาจนโต พ่อห้ามผมสืบต่อ โอเค ผมไม่หาหลักฐานเพิ่ม แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ศึกษาหลักฐานเก่าที่ได้มาก่อนหน้าให้ละเอียดกว่าเดิม
เช้านี้ผมเพิ่งได้ไฟล์จากกล้องวงจรปิดคอนโดฯ ของแพทริคมาจากเซบาสเตียน หลักฐานชิ้นนี้ไม่ถือว่าผมผิดสัญญากับพ่อ เรื่องมันเกิดก่อนที่พ่อจะขู่ให้ผมหยุด
ผมหมกมุ่นกับมันมากพอสมควร นั่นทำให้ผมพบเบาะแสดีๆ เข้าให้ เมื่อจัดการเทียบกับ ‘คลิปก่อนหน้านี้’ ผมรู้สึกเหมือนเดินมาถูกทาง อะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่มองผ่านกลับปรากฏให้เห็นรายละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม นี่ทำผมประหลาดใจมากทีเดียว พวกเราเกือบเดินผิดทางกันซะแล้ว
ก๊อกๆ
ผมละสายตาจากจอไอแพดในมือ จัดการปิดไฟล์ทั้งหมดและล็อกหน้าจอ
“เชิญครับ”
ประตูเปิดเข้ามา ผมยิ้มเมื่อเห็นร่างสูงเพรียวของใครบางคน
“แมท”
“ไงครับแม่” ผมทัก “อะไรทำให้แม่บุกมาถึงห้องทำงานผมกันเนี่ย?”
“ต้องให้แม่พูดอีกเหรอ” แม่หรี่ตา ริมฝีปากสีแดงสดเหยียดยิ้ม “ไปทำเรื่องอะไรเอาไว้ ทำไมไม่บอกแม่”
“พ่อฟ้องแม่หรือไง”
“แค่แจ้งว่าลูกกำลังยุ่งในเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง ให้คอยจับตาดูไว้” แม่แก้คำ แต่ผมฟังแล้วอยากให้แม่ด่าออกมาตรงๆ ดีกว่าหลอกด่า “เฮ้ แมท...แม่ว่าเรื่องนี้ลูกไม่ควรยุ่งจริงๆ”
“ก็เลิกยุ่งแล้วไงครับ” ผมว่ายิ้มๆ “นั่งก่อนไหม ยืนแบบนั้นเมื่อยแย่”
“แม่เชื่อได้เหรอ”
แม่ไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ เธอเดินมาหย่อนสะโพกพิงขอบโต๊ะทำงานผม สองมือกอดอก คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยยามทอดสายตามองมา
“แม่ไม่เชื่อผมแล้วจะเชื่อใครครับ” ผมสบตาแม่ ไร้พิรุธใดๆ ผมว่าตัวเองทำได้ดีทีเดียวในสถานการณ์ที่หลักฐานถูกล็อกหน้าจอวางนิ่งอยู่บนโต๊ะ “แต่แม่ครับ...แม่ไม่สงสัยเหรอว่าทำไมพ่อถึงไม่อยากให้ยุ่ง”
“แม่เคารพการตัดสินใจของเขา”
“เหมือนตอนที่แม่ยอมให้พ่อแต่งงานกับน้าเบล?”
“แมท เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก” แม่กระตุกยิ้มมุมปาก แววตาเรียบนิ่ง “เรื่องในอดีตปล่อยมันไปซะ ในเมื่อปัจจุบันทุกอย่างกำลังเข้าที่เข้าทาง”
“แม่เองก็ร้ายเหมือนกันนะครับ”
“แม่แค่มีความอดทน” แม่หัวเราะอย่างพอใจ แววตากลับมาเป็นประกาย “ต้องใช้เวลายี่สิบกว่าปีในการเปลี่ยนจาก ‘มาเรีย เมแกน’ เป็น ‘มาเรีย รอสซ์’ เชียวนะ”
“ถ้าเซ็บมาได้ยินคงไม่พอใจ”
“จะทำให้ทุกคนพอใจไม่ได้หรอก ในเมื่อความสัมพันธ์มันยุ่งเหยิงมาตั้งแต่ต้น” แม่ถอนใจ “เบลกับเซ็บใช้ช่วงเวลาที่ตัวเองพอใจมามากแล้ว มันควรถึงตาแม่บ้าง”
แต่ผมคิดว่าช่วงเวลาของน้าเบลกับเซบาสเตียนมันไม่น่าพอใจเท่าไหร่สำหรับพวกเขาหรอก
“เฮ้อ...ผมว่าเราเปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า” เพราะผมเองก็ลำบากใจเหมือนกัน “เรื่องพ่อน่ะ...ผมคิดว่าที่พ่อไม่ให้ยุ่ง อาจเพราะคนที่ลงมือเป็นคนใน…”
“แมท” แม่กดเสียง “ลูกไม่ควรคิดแบบนั้นนะ”
“เพราะผมไม่สามารถหาเหตุผลข้ออื่นมารองรับได้อีกแล้วไงครับ”
แม่มองหน้าผมนิ่งๆ ระหว่างพวกเรากลายเป็นความเงียบ ผมไม่รู้ว่าแม่คิดอะไรอยู่ อาจจะคิดตามที่ผมพูดและคล้อยตาม หรือไม่ก็คิดอย่างอื่น...
“อย่าพูดให้พ่อได้ยินเชียว” แม่เตือน “เรื่องจะวุ่นวายกว่านี้”
“ไม่พูดหรอกครับ ก็บอกแล้วว่าจะเลิกยุ่งกับเรื่องนี้”
“ให้จริงเถอะ”
ผมยิ้ม ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แม่ชวนผมคุยเรื่องอื่น ผมเพิ่งรู้ว่านอกจากเรื่องที่พ่อฝากแม่มากำชับ ก็มีเรื่องงานเลี้ยงการกุศลอีกงาน และแม่ต้องการให้ผมออกงานนี้ด้วย
ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ ผมค่อนข้างชอบงานเลี้ยงพวกนี้ โดยเฉพาะตอนบังคับ...หมายถึงตอนรบกวนให้แจสเปอร์ผู้ที่เกลียดงานสังสรรค์ไปด้วยในฐานะผู้ช่วย สีหน้าเหม็นเบื่อของเขาทำให้ผมมองเพลินเชียวล่ะ
“อ้อ แม่ครับ”
“อะไรของลูกอีกล่ะ”
“แม่ใช้รองเท้าแบรนด์ Claudia หรือเปล่าครับ”
“ใช่” แม่พยักหน้า ขยับตัวออกห่างแล้วพรีเซนส์บูธส้นสูงหุ้มข้อที่สวมอยู่ให้ผมดู “แม่ชอบดีไซน์น่ะ เป็นเอกลักษณ์ดี หนังที่ใช้ก็นุ่มสบายเท้า ถามทำไมเหรอ?”
“เปล่าครับ”
ผมยิ้ม เงยหน้าสบตาเธอ
“สวยดีครับ
”
[Patrick]
วันนี้เซบาสเตียนมีบรรยายงานวิชาการที่มหาวิทยาลัย ก่อนวันงานผมรู้สึกว่าเขายุ่งและจริงจังกับหัวข้อบรรยายมากจนไม่กล้าวุ่นวาย แม้จะย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้วก็ตาม พอวันงานผมก็ไม่ว่างมาให้กำลังใจเขาอย่างที่อยากทำ ถึงอย่างนั้นเซบาสเตียนก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาบอกว่าคนเราควรมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเองถูกแล้ว
แต่เหมือนเทพเจ้าแห่งความโชคดีจะเข้าข้างผม
คุณลูกค้าที่นัดเทรนกันช่วงบ่ายโทรมาแคนเซิลเพราะติดธุระด่วน นั่นหมายความว่าช่วงบ่ายผมว่าง...อันที่จริงไม่ว่างหรอกถ้านับพวกงานยิบย่อยในฟิตเนสอย่างการตรวจสอบดูแลเครื่องออกกำลังกายหรือพาลูกค้าวอล์กอินให้คำแนะนำต่างๆ ซึ่งให้คนอื่นรับหน้าที่แทนได้
ตอนนี้ผมเลยมาโผล่ที่มหาวิทยาลัยที่เซบาสเตียนทำงาน ผมโทรบอกเขา แต่อีกฝ่ายไม่รับ เดาว่าคงกำลังขึ้นเวทีบรรยายอยู่ในหอประชุม เลยเปลี่ยนเป็นส่งข้อความบอกแล้วเดินเล่นฆ่าเวลา มีบูธน่าสนใจเต็มไปหมด ส่วนมากเป็นของกิน ที่เหลือเป็นบูธกิจกรรมหารายได้เข้าชมรมและบริจาคมูลนิธิต่างๆ
ผมเดินผ่านลานดนตรี เสียงดนตรีบรรเลงสดทำให้ผมนึกถึงช่วงชีวิตสมัยเรียน มันสนุกสนานและเต็มไปด้วยความทรงจำ ผมไม่ได้นัดสังสรรค์กับเพื่อนนานแล้วตั้งแต่เริ่มชีวิตวัยทำงาน แรกๆ ก็มีบ้าง แต่หลังจากนั้นทุกอย่างมันหนักขึ้น ความรับผิดชอบต่างๆ สะสมทำให้เหนื่อยล้าและเลือกกลับห้องพักผ่อนมากกว่า
ผมถูกชีวิตวัยผู้ใหญ่กลืนกิน
ทุกคนถูกกลืนกินเมื่อก้าวพ้นคำว่าวัยรุ่น
“ยู้ฮู มีใครสนใจขึ้นเวทีไหมคะ” เสียงจากนักดนตรีเอ่ยถามผ่านไมค์ “มาสนุกกันเถอะค่ะ”
ผมกระตุกยิ้ม รู้ตัวอีกทีก็เดินไปข้างหน้า ผมสบตาเธอ
“ขอแจมด้วยได้ไหมครับ”
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ผมคืนไมค์ให้หลังรับหน้าที่เป็นนักร้องจำเป็นจนเสียงเกือบแหบ ลงจากเวทีได้ไม่นานเสียงโทรศัพท์ดัง ผมหยิบขึ้นมา ชื่อที่โชว์หน้าจอส่งผลให้ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“เสร็จแล้วเหรอครับ”
“โดดงานมาหรือเปล่า” เซบาสเตียนถามเสียงเข้ม ผมอดหัวเราะไม่ได้
“ไม่ได้โดดครับ โชคเข้าข้างทำให้ว่างพอดี”
“อย่าให้รู้ว่าโดดงาน”
“ไม่เชื่อถามลุงมาคัสเลย” ผมโยนไปที่ลุง รีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณอยู่ไหน ผมจะไปหา”
“มาถูกหรือไง”
“อา…” ผมกลอกตา “ไม่ถูกครับ ไม่คุ้นทาง”
“เจ้าแมวโง่” เสียงเข้มเอ็ดปนหัวเราะ “นายอยู่ตรงไหน ดูรอบๆ ตัวแล้วบอกมา เดี๋ยวฉันเดินไปหา”
ผมหันมองรอบตัว พบว่าตัวเองยืนอยู่หน้าตึกแห่งหนึ่ง ผมอ่านชื่อตึกให้เซบาสเตียนฟัง เขากำชับให้ผมยืนอยู่ตรงนี้นิ่งๆ อย่าวิ่งไปไหนเดี๋ยวจะหลง ผมเริ่มสงสัยว่าในสายตาของเซบาสเตียนตัวเองเป็นยังไง หวังว่าคงไม่ใช่หนูน้อยสี่ขวบใส่หมวกเหลืองสะพายกระเป๋าเตรียมไปโรงเรียนอนุบาลหรอกนะ?
ในระหว่างที่ผมยืนรอเซบาสเตียน โทรศัพท์ก็สั่นอีกครั้ง ผมหยิบขึ้นดู พบว่าเป็นข้อความภาพ เบอร์ที่ส่งมาเป็น Private Number ลางสังหรณ์เตือนว่านี่มันไม่น่าไว้ใจ ผมเลื่อนนิ้วกดเปิดภาพนั้น มันเป็นภาพพ่อกับแม่ที่สวนหลังบ้าน มีทิมมี่วิ่งอยู่ด้านข้าง
“อะไรกัน?”
Rrrrrrr
ผมสงสัยได้ไม่นานก็มีสายเรียกเข้ามาใหม่ มันเป็น Private Number ผมกดรับทันที
“ฮัลโหล”
“เห็นรูปแล้วใช่ไหม” เสียงนั้นแปลกประหลาด เหมือนพูดผ่านเครื่องแปลงเสียง
“นั่นใคร” ผมกดเสียงเข้ม “คุณต้องการอะไร มายุ่งกับครอบครัวผมทำไม!”
“ต้องการอะไร? ลองคิดดูก่อนไหมว่าใครยุ่งเรื่องใครก่อนกันแน่”
อีกฝ่ายทวนคำถาม เสียงหัวเราะในลำคอทำผมหงุดหงิด
“เฮ้แพท?” ผมหันขวับเมื่อได้ยินเสียงเรียก เซบาสเตียนมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ที่รู้คือเขาขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นหน้าผม “เป็นอะไรหรือเปล่า”
ผมเม้มริมฝีปาก เสียงคนในสายทำให้ผมเริ่มคุมสติตัวเองไม่อยู่
“หึ ถ้าคุณไม่รู้ผมจะบอกให้...”
“คุยกับใครแพท” เซบาสเตียนถาม เขาสังเกตสีหน้าผมแล้วยื่นมือมาข้างหน้า “เอามาให้ฉัน”
ผมส่งโทรศัพท์ให้เซบาสเตียนแต่โดยดี เขากดเปิดสปีกเกอร์โฟนพอดีกับคนปลายสายพูดขึ้นมา
“คุณเฮนเดอร์สัน ถ้าไม่อยากให้พ่อแม่และสัตว์เลี้ยงที่น่ารักของคุณเป็นอันตรายล่ะก็...อย่ายุ่งกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของคุณ ฉันว่าฉันเตือนคุณแล้วนะ”
“แล้วมีใครเตือนแกหรือยังว่าถ้ามายุ่งกับคนของฉันจะเป็นยังไง”
เซบาสเตียนกรอกเสียงตอบกลับ น้ำเสียงเขาเรียบนิ่งแต่เต็มไปด้วยแรงกดดันจนผมยังรู้สึกอึดอัดแทน ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณรอสซ์ ผมนึกแปลกใจว่าทำไมคุณกล้าพูดแบบนั้นทั้งที่ตัวคุณเป็นสาเหตุ”
“อย่ามายุ่งกับแพทริคและครอบครัวเขา”
“ฉันไม่ยุ่งแน่ ถ้าคุณไม่เข้ามาวุ่นวายเรื่องนี้” เซบาสเตียนหน้าเครียดจนผมต้องดึงโทรศัพท์กลับมาแต่โดนยื้อไว้ แถมยังทำตาดุใส่
“คิดว่าขู่แพทเพื่อให้ฉันกลัวจะได้ผลหรือไง”
“...”
“ใช่ มันได้ผล ฉันไม่ปฏิเสธ” เซบาสเตียนว่าเสียงเย็น เขากระตุกยิ้มมุมปาก “แต่อย่าลืมว่ารอสซ์ไม่เคยเป็นเหยื่อใคร ฉันมีกำลังและคนมากพอจะปกป้องคนที่ฉันรักมากกว่าที่แกคิด”
ติ๊ด
แล้วเขาก็ตัดสายไปอย่างไร้เยื่อใย
“เซ็บ ผม…”
“แป๊บนึงนะแพท” เขาคืนโทรศัพท์ให้ผม ก่อนหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมาโทรออก “ว่างคุยไหมแมท...ดี มีเรื่องอยากให้ช่วย ขอยืมคนของนายหน่อย มันโทรมาขู่แพท พุ่งเป้าไปที่พ่อแม่เขา ส่งคนไปคุ้มกันที เดี๋ยวนี้เลย ที่ G-Village บ้านเลขที่ 162 ถนนเบเวอลีน เขตชานเมือง ใช่ ฝากด้วยแล้วกัน ขอบใจมาก”
“เซ็บ…”
“ขอโทษนะ” เขาสบตาผม วางมือบนหัวผมก่อนลูบเบาๆ “นายเดือดร้อนเพราะฉันตลอด คราวนี้มันลามไปถึงครอบครัวนายด้วย”
“ผมเป็นห่วงพ่อกับแม่”
“ฉันรู้ ฉันส่งคนไปคุ้มกันแล้ว นายไม่ต้องห่วงนะ” เซบาสเตียนปลอบผม “เรื่องนี้ฉันมีส่วนรับผิดชอบ นายอย่าเกรงใจ”
“ผมขอโทรหาแม่แป๊บนึงนะครับ”
ผมต่อสายหาแม่ พูดคุยกันสักพักจนแน่ใจดีว่าสถานการณ์ที่บ้านตอนนี้เป็นปกติไม่มีอะไรผิดสังเกต ผมไม่อยากบอกให้แม่กังวล เลยได้แต่บอกว่าคิดถึงและเป็นห่วง กำชับให้ดูแลตัวเองดีๆ ก่อนวางสาย ผมหวังว่าคนของแมทธิวจะไปทันก่อนที่ฝ่ายนั้นจะลงมือทำอะไร มันอาจจะแค่ขู่เฉยๆ แต่ผมไม่วางใจอยู่ดี
“ขอบคุณนะเซ็บ ผมทำอะไรเพื่อคุณได้บ้างนะ”
“ไม่งอแงสิ เป็นหน้าที่ฉันอยู่แล้ว”
“ผมอยากให้คุณพึ่งพิงผมได้บ้าง” ผมสารภาพ มันเป็นความรู้สึกแย่ที่ซ่อนอยู่ลึกๆ “แต่ผมกลับเป็นฝ่ายพึ่งคุณตลอด เหมือนเป็นคนไม่ได้เรื่องเลย”
“เฮ้ มานี่มา” เซบาสเตียนเดินนำผมไปนั่งที่เก้าอี้ใต้ตึก ตรงนี้เงียบสงบเพราะส่วนใหญ่อยู่กันในงานด้านนอก “นายฟังฉันนะแพท นายไม่ได้พึ่งฉันตลอด มันก็มีเรื่องที่ฉันต้องพึ่งนาย แค่คนละเรื่องเท่านั้น คนเราสามารถเป็นที่พึ่งพาได้ทุกคนนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง บางเรื่องเราเข้มแข็ง เราให้คนอื่นพึ่งได้ บางเรื่องเราอ่อนแอ เราก็ต้องพึ่งคนอื่น ฉันที่กลายเป็นฉันในตอนนี้ก็เพราะนาย ดีขึ้นกว่าเดิมก็เพราะนาย เพราะฉะนั้นเลิกน้อยใจได้แล้วเข้าใจไหม”
ผมสบตาเขา ความรู้สึกถูกปลดล็อกจากคำพูดของเซบาสเตียน
“ขอบคุณนะครับ”
“ขอบคุณนายเหมือนกันที่อยู่ข้างๆ”
“วันนี้คุณหล่อจัง” ผมยิ้ม ลบความกังวลออกจากใจ ไล่สายตามองชุดสูทที่เขาสวม แถมยังเซ็ตผมด้วย เซบาสเตียนดูภูมิฐานและโดดเด่นมาก “สาวๆ มองเยอะแน่เลยใช่ไหม”
“พอตัว”
“เซ็บคะ” เสียงใสดังขึ้น ผมเงยหน้ามองแม้ไม่ได้ถูกเรียกเอง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินตรงมาทางพวกเรา เธอสวยมาก แต่คนสวยเอาแต่มองไปที่เซบาสเตียน “ฉันตามหาคุณตั้งนาน หลบมาอยู่นี่เอง”
“มีอะไรหรือเปล่าเมลิน่า”
อ้อ เมลิน่าคนนั้น…
ผมหรี่ตาลง
“บอกให้เรียกเมลไงคะ” เธอทำหน้ามุ่ย “ฉันจะมาถามว่าตกลงคุณจะไปปาร์ตี้ตอนเย็นกับพวกเราไหม อาจารย์ในภาควิชาเราไปกันเกือบหมดเลยนะ”
“ผมคงไม่ว่าง”
“เฮ้ ไม่เอาน่า คุณน่าจะสังสรรค์บ้างนะ ฉันอยากให้คุณไป”
“ผมมีนัดแล้วขอโทษที”
“กับใครคะ”
“คนนี้” เซบาสเตียนพาดแขนกับไหล่ผม “ลืมแนะนำให้รู้จัก นี่แพทริค เขาเป็นคนของผมเอง”
“คน...ของคุณ?”
“ครับ เขาเป็นโซลเมตผม”
“...”
“คนรักของผมเอง”
ผมหันมองเขาทันที เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำยืนยันสถานะจากปากของเซบาสเตียน เมลิน่าเงียบไป ผมไม่รู้ว่าเธอกำลังตกใจหรือเป็นอะไร รู้แค่ตอนนี้หัวใจผมเต้นแรง
มันเต้นแรงเกินไป
ถ้ามีอะไรที่ชัดเจนกว่าสถานะของพวกเรา
ก็คงเป็นเสียงหัวใจผมนี่แหละ
______________________________________
แจ็ค ทอล์ก
คุณเซ็บจะเป็นหลัวสำหรับเราตลอดกาลและตลอดไปค่ะ 555
มาอัปก่อนกำหนดเพราะวันเสาร์-อาทิตย์นี้ออกไปข้างนอกค่า กลับมาดึกเหมือนเคย เลยมาอัปไว้ก่อนดีกว่า ตอนนี้เขียนตุนไว้ถึงบทที่ 21 แล้ว จะทยอยอัปให้เรื่อยๆ นะคะ
จริงๆ ก็ใกล้จบแล้วค่ะ อีกประมาณ 5 บทจบ ฮือออ ใจหายมากค่ะ อยู่กันมาตั้งนาน ยังไงขอฝากทุกคนติดตามเรื่องนี้ไปจนจบด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
#คุณผู้มากับสายฝน