รักร้าย30
[ Cing talk ]“จะตีมันจริงๆหรอพี่”
ผมหันไปมองไอ้คิงที่ทิ้งตัวหันหลังพิงราวระเบียงที่ผมยืนรับลมอยู่ ผมหันกลับไปมองบุคคลดื้อด้านที่โดนกล่าวถึง หึ นอนคุมโปงท่าประจำเวลางอนหรือไม่ได้ดั่งใจนั่นแหละ
ผมหันกลับมาทอดสายตาเอาหน้าโกรกลมเย็นที่มาปะทะใบหน้าพลางกระตุกยิ้ม
“คิดว่าไงล่ะ” ผมพูดหันไปมองมันที่ยักไหล่ตอบ
“ไม่รู้ดิเดาไม่ถูก ตอนนั้นพี่น่ากลัวจริงๆเหมือนจะฆ่ามันให้ตาย”
“หึ เมียทั้งคนใครจะฆ่า” ผมหันไปแสยะยิ้มใส่มันก่อนพูดต่อ “มึงก็รู้นิสัยเพื่อนมึงนิ ถ้าไม่แข็งบ้างก็จะทำตามใจไปเรื่อย”
“พี่ไม่เชื่อใจมัน??” มันกอดอกเลิกคิ้วถาม
“คนละเรื่องกัน กูเชื่อใจแต่กูไม่ชอบ ยิ่งเป็นผู้หญิงคนนี้นะกูโคตรไม่ชอบ!” พูดแล้วก็หงุดหงิด ไอ้คิงมันยิ้มแหยะๆเมื่อเห็นว่าหน้าผมดุขึ้นมาอีกรอบ
“อย่านะ ผมไม่เกี่ยว รู้แล้วว่าไม่ชอบหน้าโหดซะขนาดนั้น” มันทำท่าขนลุกใส่ผมก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง
คงได้คำตอบที่สมใจแล้ว
เฮ้อ...ก็อยากที่บอกผมเชื่อใจมัน ไอ้ดื้อจะเป็นคนตรงไปตรงมาเสมอ ในเมื่อมันบอกว่าจบกันไปแล้วเป็นแค่เพื่อนกันแล้วมันก็คือแบบนั้น แต่ โถ่เว้ย! เข้าใจผมป่ะ ผมไม่ชอบผู้หญิงคนนี้!!! ไม่ชอบเลยจริงๆไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนก็ตาม!!
ไม่อยากเห็นหน้า!!
ไม่ชอบให้เข้ามาใกล้!!
มาแตะเนื้อต้องตัว!!
ปกติผมก็เป็นคนขี้หึงขี้หวงมากอยู่แล้ว อันนี้ผมยอมรับ แต่ให้ตายเถอะ พอเป็นผู้หญิงคนนี้ความหึงความหวงผมกลับเพิ่มเป็นทวีคูณ
คงเป็นเพราะเธอเคยอยู่ในหัวใจของคนที่ผมรักมาก่อน
แต่ก็นั่นแหละ...ผมไม่ชอบ ไม่ชอบมากๆ ถ้าเป็นผู้ชายนะ ฮึ่ม!! โดนผมซัดหน้าคว่ำไปแล้ว
แต่พออารมณ์เริ่มสงบลงก็รู้สึกไม่ค่อยดีแฮะ...ก็ทำให้ดื้อมันร้องไห้นี่หว่า
แถมเมื่อกี้ก็ทำเหมือนรังเกียจที่จะจูบมันอีก
เฮ้อ...ไม่ได้รังเกียจก็แค่...หมั่นไส้
อยากให้มันสำเหนียกบ้างว่าผมไม่พอใจมาก คราวหลังจะได้ระวังตัว มันน่ามั้ยล่ะ ใครคนอื่นมาโดนตัวสุ่มสี่สุ่มห้า
ชอบพูดว่าผู้ชายไม่เสียหาย ไม่เสียห่าไรล่ะ มีเจ้าของแล้วนะโว้ยยยยยยย (พูดว่ามีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วจะถูกกว่า)
“มึง คุณลุงจะคุยด้วย” ไอ้ส้มมันเปิดระเบียงมาบอกแล้วก็เดินกลับเข้าไป
อะไรของมันวะ
“ครับพ่อ” ผมเดินออกมานั่งคุยกับพ่อตรงส่วนของที่รับรองแขก แต่ก็อยู่ในห้องผู้ป่วยนั่นแหละ
“น้องออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว จะให้อยู่ต่อหรือเอากลับบ้าน”
ผมนิ่งคิด อืม เอาไงหว่า กลับคอนโดตอนผมไปเรียนใครจะดูแล
แต่ถ้าอยู่ต่อมันคงไม่ยอมแน่
“แม่แกอยากให้เอาน้องกลับไปบ้าน”
“หืม??”
“คงห่วงลูกสะใภ้ไม่มีคนดูแล หัวแก้วหัวแหวนเลยคนนี้” พ่อผมพูดยิ้มๆเวลาพูดถึงแม่ทีไรตามีประกายสุขตลอด
“ยังไม่รู้อิทธิฤทธิ์ล่ะสิ แสบจะตาย”ผมพึมพำ แม่ชอบบอกว่าน้องน่ารักบ้างล่ะ ยิ้มสวยบ้างล่ะ
อยากจะให้เจอด้านมืดของมันจริงๆ
“หึ แต่มึงก็ชอบ หึงจนโรงพยาบาลแทบแตกนิได้ข่าว”
“เหมือนใครล่ะ” ผมยักคิ้วกวนๆให้พ่อที่ตบหัวผมฉาดใหญ่
“อย่ามาๆเดี๋ยวแม่มึงหาว่ากูเสี้ยมอีก ไปคุยกับเมียให้รู้เรื่องว่าจะพักที่ไหน แต่เมียกูเตรียมห้องไว้แล้ว” พ่อพูดพลางลุกขึ้นจัดเสื้อกาวน์ให้เข้าที่เข้าทาง
มาดหมอใหญ่มาอีกละ
“พูดขนาดนี้ บังคับทางอ้อมป่ะเนี่ย”
“แล้วแต่จะตีความ ทำยังไงก็ได้ให้เมียกูพอใจที่สุดก็พอ” พี่แกเล่นยิ้มหล่อแล้วเดินออกนอกห้องไป คร๊าบบบบ คุณสามีดีเด่นแห่งปี มาบอกว่าให้พามันไปพักฟื้นที่บ้านเลยง่ายกว่ามั้ย
ทำเป็นมามีทางให้เลือก
บังคับกันชัดๆ
แต่นี่แหละข้อดีอีกข้อที่ผมได้จากพ่อมาเต็มๆ
...รักเดียวใจเดียว...
“กลับแล้วหรอ กูอยู่คนเดียวผีหลอกแน่เลยว่ะ” ไอ้ดื้อที่ติดกระดุมเสื้อเชิร์ตที่ผมเตรียมมาให้หันไปมองคนพูดตาขวาง
ผมรู้ละว่าทำไมเมื่อก่อนมันถึงเป็นเพื่อนสนิทกันได้
กวนตีนเหมือนกันเป๊ะ
ผมว่าตอนนี้มันก็ไม่ได้เกลียดขี้หน้าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเหมือนที่ผมเจอมันตีกันในห้างเมื่อครั้งที่แล้วแล้วล่ะ
ผมว่า..มันไม่รู้จะเริ่มต้นคุยกันดีๆยังไงมากกว่า
ก็นะ นิสัยเหมือนกัน ทิฐิเยอะเหมือนกัน ไม่มีใครยอมใครก่อน
“เออ ไอ้สัด ให้ผีหักคอมึงตาย” ไอ้คนของผมก็ปากดีซะด้วยสิ
ระวังเหอะ ไปแช่งไอ้น้ององุ่นของพี่ส้ม ระวังจะโดนไอ้หน้านิ่งมันหักคอซะก่อน
ถ้าเป็นไอ้ส้ม พี่ก็ช่วยน้องไม่ได้นะจ๊ะบอกไว้ก่อน
ความร้อนแรงของผมสู้ความเย็นยะเยือกของมันไม่ได้จริงๆ
“กูมีขา เดินเองได้” ไอ้ดื้อที่ผันตัวไปเป็นไอ้ขี้งอน เดินผ่านเมินรถเข็นที่ผมเข็นมาใกล้
ไม่คุยกับผมตั้งแต่เมื่อกี้ละ ตอนส่งชุดลำลองไปให้เปลี่ยนก็กระชากไปจนแทบขาด
ผมขับรถพาคนป่วยกลับบ้าน ระหว่างเดินมาที่รถจอดรออยู่ผมเห็นมันเบ้หน้าด้วยแหละ คงยังเจ็บอยู่ แต่ผมทำเป็นไม่เห็นไม่สนใจอวดเก่งดีนักให้เดินเองซะให้เข็ด
หึ ระหว่างทางกลับบ้านนั่งเมินหน้าออกทางหน้าต่างเม้มปากแน่นเชียว ท่าทางจะแค้นจัด
พอมาถึงบ้านแม่ผมโคตรโอ๋อ่ะ หมั่นไส้ โซ่ถึงขั้นแซวว่าว่าที่ลูกเขยอย่างไอ้แคนคงตกกระป๋อง
แน่ล่ะ ลูกสะใภ้น่ารักกว่าไอ้หน้าแคนหนองอีเหลาตั้งเยอะ
แต่เรื่องมันเกิดที่ตรงนี้ครับ
“ปล่อย! กูเดินเอง” มันสะบัดผมที่เข้าไปประคองมันออก กำลังจะพามันขึ้นไปพักผ่อนด้านบนตามคำสั่งของคุณแม่สุดที่รัก ตอนนี้แม่กับโซ่ออกไปทำธุระกันข้างนอกเห็นว่านัดแม่ไอ้แคนไว้ว่าจะร่วมหุ้นทำร้านอาหารกันสักอย่างนี่แหละ
ไอ้ดื้อมันเลยเริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์อีกรอบ =_=
“อย่ามาสะดีดสะดิ้ง ไม่งั้นจะได้นอนใต้บันได” ผมชี้หน้ามันแค่นั้นล่ะตาแข็งคอตั้งขึ้นมาทันที
ปุ
คิดว่าเสียงอะไร
ไอ้เกรียน!! มันนั่งเลย นั่งขัดสมาธิตรงบันไดขั้นแรกนั่นแหละ!! บ้าเอ๊ย!! ตัวอะไรทำไมถึงได้แสบขนาดนี้วะ
ผมมองไอ้คนนั่งขัดสมาธิกอดอกอย่างหน่ายใจ ดูก็รู้ว่านั่งท่านี้แล้วเจ็บแผลแต่เพราะความดื้อของมันนั่นแหละ แต่ที่ทำเอาผมใจอ่อนถอนหายใจออกมาคือไอ้น้ำใสๆที่คลออยู่ในตานั่นต่างหาก
ถึงมันแสดงออกว่ากำลังหัวแข็งต่อต้านผมอยู่ แต่ไอ้ดวงตาสั่นไหวฟ้องได้ว่ามันกำลังน้อยใจ
ส่วนกูที่เก๊กทำตัวโหดเหี้ยมไม่สนใจ แต่พอเห็นน้ำตาเมียเท่านั้นล่ะ...
“เฮ้อ...อึบ!”
“อ๊ะ ปล่อยนะโว้ย” มันดิ้นมองเลิ่กลั่กว่าใครเห็นที่ผมอุ้มมันหรือเปล่า
ท่าเจ้าสาวเลยนะ แอบหนักด้วยแฮะ
“ไม่เอามึงดื้อ เฮ้!! อย่าดิ้นสิเดี๋ยวก็ตกหรอก กูเดินขึ้นบันไดอยู่นะ!” มันคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงร่างเล็กนักหรือไงวะ
“ก็ปล่อยสิ”
“ไม่ปล่อย คล้องคอกูไว้สิ เดี๋ยวตกนะ คราวนี้รับรองเลยกูไม่ตามเก็บแน่”
“ฮึก ไอ้ควาย”
อ้าว เฮ้ย ร้องทำไมวะ กูแค่ให้เอามือคล้องคอกูไว้กันตกนะ แล้วมันก็ไม่ได้ฟังเลยวางมือทาบอกผมไว้เฉยๆ
“เฮ้อ...เป็นห่วงหรอกกลัวจะตกบันได ขอโทษที่พูดจาไม่ดี”
“ฮึก” มันไม่ได้ตอบหรือว่าอะไร แค่มุดหน้าเข้าอกแล้วค่อยๆเลื่อนมือมาโอบรอบคอผม
หึ
ต้องพูดจาดีๆสินะถึงจะว่าง่าย
ฟุ่บ
ผมวางร่างไอ้ดื้อลงบนเตียง โอย ปวดแขนไปหมด คราวหน้าต้องเปลี่ยนเป็นให้ขี่คอแล้วล่ะ
แต่พอผมจะผละตัวขึ้นแขนที่โอบคอผมอยู่ก็รัดแน่นจนร่างผมล้มลงตาม ต้องเอาแขนท้าวไว้กับเตียงกันล้มลงไปทับมันรอยช้ำยิ่งเต็มตัวไปหมด
“เป็นไรของมึงวะครับ หืม” ผมถามเสียงเบาพลางก้มลงจุ๊บแก้มมันซ้ำๆ
“เจ็บ” มันว่าเสียงอู้อี้เพราะบี้หน้าลงบนไหล่ผม
“เจ็บ?? เจ็บแผลหรอ ตรงไหน” ผมถามลนลาน ไอ้ห่ากูเผลอเล่นแรงไปหรอวะ พยายามดึงมือที่รัดคอออกจะได้สำรวจได้อย่างถนัดแต่มันไม่ยอม
“...” หน้าที่วางบนไหล่ส่ายหน้า
“หือ อะไรตกลงเจ็บหรือไม่เจ็บ”
“เจ็บ...”
“เจ็บก็ปล่อยสิ กูจะได้...”
“เจ็บที่มึงระแวงกู” มันว่าเสียงเบามากก่อนจะเพิ่มแรงบี้หน้าลงไปอีก แต่ก็นะ...ถึงจะเบามากเหมือนเป่าลมออกจากปากผมก็ได้ยินประโยคนั้นชัดเจนเลยล่ะ
จะหาว่าผมเลวก็ได้...แต่ผมดีใจที่มันเป็นกังวลเรื่องความรู้สึกผม
แต่อีกใจก็รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่แฮะ
คราวนี้ผมเลยเพิ่มแรงดึงแขนที่โอบรอบคอผมจนหลุดออก แล้วมือนั้นก็คว้าหมับที่ชายเสื้อผมแทน
เหมือนกลัวว่าผมจะหนีไปไหน
การกระทำน่ารักที่ผมอดไม่ได้จะรวบมันขึ้นนั่งบนตัก ส่วนผมก็นั่งหลังพิงหัวเตียงอยู่
“กู...กับนิ่มไม่มีอะไรกันจริงๆนะ” ประโยคที่ผมอดไม่ได้จะยิ้มออกมา
ความจริงผมคิดว่ามันโกรธผมนะออกจะต่อต้านผมขนาดนั้น เหลือเชื่อมากที่มันง้อทั้งที่ผมกำลังจะง้อเหมือนกัน
โดนตัดหน้าซะได้
“อืม”
“นิ่มกำลังเสียใจเรื่องไอ้ไวน์ กูก็แค่ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น” มันพูดต่อคว้าข้อมือผมไปจับพร้อมจิกแน่น เอิ่ม...กูเจ็บ
“อืม”
“เรื่องเค้กน่ะ...” มันเงียบไปพักเหมือนรวบรวมกำลังใจที่จะพูด ซึ่งประโยคนั้นก็ทำเอาใจผมพองฟู
“...กูชอบช็อกโกแลตมากกว่านะ”
ผมหลุดยิ้ม
กูชอบช็อกโกแลตมากกว่านะ
คำนี้มันน่ารักน้อยซะเมื่อไหร่ล่ะ
แต่มันไม่เห็นหรอกว่าผมยิ้มอยู่ ก็นั่งหันหลังไม่พอยังเอาแต่ก้มหน้ามองมือผมที่มันจิกอยู่นั่นแหละ
“อืม” แต่ยังไงผมก็ยังทำเข้มอยู่ล่ะนะ
แล้วดูเหมือนไอ้การวางมาดนิ่งของผมนี่แหละไปกระตุ้นต่อมมันเข้า พลิกตัวมามองผมตาวาวเลยเว้ยเฮ้ย
“ไอ้ควาย!! เอาแต่ อืมๆ อยู่ได้หลอดลมพันคอมึงอยู่หรือไง กูพูดไปตั้งเยอะเข้าใจมั้ยห๊ะ!! ”
“โมโหไรเนี่ย” ผมแกล้งตีหน้ามึน
“ก็มึง...ฮึ่ย!!”
มันสะบัดตัวออกอย่างรู้ว่าเริ่มจะฟิวขาดจริงๆ จนผมต้องรีบคว้าตัวเอาไว้
“ความอดทนต่ำจริงนะ”
“ก็มึงทำเหมือนไม่สนใจ” มันตวัดเสียงพูด
“ใครบอก กูฟังทุกคำนั่นแหละ”
“งั้นก็ฟังแต่ไม่ใส่ใจ” คิ้วมันเริ่มคลายลงบ้างก็น้ำเสียงยังฉุนอยู่
เลิกเล่นตัวแล้วดีกว่ากู ไม่งั้นคราวนี้ได้เป็นฝ่ายง้อเองยาวแน่ๆ
“ถ้าเป็นมึงกูใส่ใจตลอดแหละ ทั้งใส่ใจสนใจแคร์ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับมึงเลย” อ่ะแน่ะ สีหน้าเริ่มดีขึ้นมาหน่อยละ หูแดงด้วยน่ารักเว้ย
“แต่มึงก็ไม่เชื่อใจกู” มันจ้องหน้ากัดปากอย่างน้อยใจจนผมอดไม่ได้ก้มลงจูบต้นคอมันไปที
“ไม่ใช่ไม่เชื่อใจกูแค่หวง”
“หวงจวกอะไรก็บอกแล้วไม่มีอะไร” ถึงจะด่าอย่างนั้นแต่มันก็เอียงคอเปิดพื้นที่ให้ผมพรมจูบคอขาวๆของมันได้ถนัดขึ้น
“อืม แฟนเก่ากูชวนไปกินข้าวนะ” ผมพึมพำชิดซอกคอมัน แล้วก็ต้องร้องโอ๊ยเหมือนหนังหัวจะหลุดเมื่อมันจิกผมกระชากให้เงยหน้ามาจ้องหน้ากับมัน
อื้อหือ!! กะฆ่ากูให้ตายด้วยสายตาเลยมั้งน่ะ
“อะไร ตอนนี้เป็นแค่เพื่อนกันแล้ว”
“...” มันไม่พูดอะไรแค่กัดฟันเพิ่มแรงจิกผมที่มือมากขึ้น โอ๊ย...หนังหัวกู
“พรุ่งนี้ตอนเที่ยงไม่ต้องรอกูนะ กินข้าวไปเลย” ผมพูดต่อเหมือนที่โดนจิกอยู่เป็นแค่ขี้เล็บไม่ได้เจ็บอะไร มันจ้องเหมือนจะกินหัวผมสักพักก่อนจะปล่อยมือที่จิกหนังหัว แต่แม่งปล่อยหรือผลักวะหัวกูชนขอบเตียงดังโป๊กเลย กะโหลกกูร้าวแน่ๆ
อารมณ์รุนแรงจริงให้ตายเถอะ
“เออ!! อยากไปไหนก็ไป!!”
มันตะคอกก่อนลงจากตักลงไปนอนที่ว่างบนเตียงและตามสเตปเดิม...คลุมโปง
“อย่ามายุ่งกูจะนอน!!!” มันสะบัดตัวหนีเมื่อผมโน้มลงไปกอดมัน
กูเลวเนอะ เมียกำลังงอนแต่กูยิ้มปากจะฉีกถึงหู
“กูล้อเล่น” ผมพูดแค่นั่นตัวมันใต้ผ้านวมก็นิ่งไปทันทีและวินาทีต่อมาผมก็รู้สึกเหมือนค้อนทุบมาที่กกหู เล่นเอามึนเลยล่ะ
แต่ไม่ใช่ค้อนที่ไหนหรอกกำปั้นเมียกูเอง =_=
“ไปตายซะ!!”
คราวนี้ดูเหมือนมันจะโกรธจริงๆเพราะใบหน้าที่โผล่ออกมาจากผ้านวมแดงก่ำอย่างโมโหจัด แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเล่นแรงไปคงเป็นตาแดงๆที่มองก็รู้ว่าไม่ได้กำลังโกรธอย่างเดียว
ไอ้ห่า อย่าร้องนะ...
“กูขอโทษ” ผมรีบปรี่เข้าไปกอดมันแต่โดนสะบัดออกแต่ผมก็พยายามกอดตัวมันให้ได้แม้จะโดนทุบหน้าทุบไหล่
“เห็นป่ะ แค่กูบอกจะไปเจอแฟนเก่าแถมกูยังแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการบอกมึงก่อนด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ชอบใช่มั้ยล่ะ”
มันนิ่งไป ผมกระชับกอดขึ้น
“กูรู้ว่ามึงก็เชื่อใจอยู่ถูกต้องมั้ย แต่มึงก็ไม่อยากให้กูไป ”
“ไม่ใช่ซะหน่อย” ยัง ยังไม่ยอมรับ
“จริงอ่ะ เมื่อกี้ไม่ได้หึงสักนิด แค่ทักทายปกติว่างั้น” ผมถามเสียงสูงจี้ใจดำ
“เออ!!!” แต่คนปากแข็งให้เอาอะไรมาง้างมันก็ยังแข็งล่ะนะ
“เออ กูเป็นคนเดียวก็ได้ งั้นก็รู้ไว้ซะว่ากูขี้หวง”
“ที่สุดอ่ะมึง”
แหมะ!! ไอ้จวกไส้ มึงก็ไม่ได้ขี้หวงน้อยไปกว่ากูเลย!!
แต่ที่ไม่ค่อยเห็นมันแสดงอาการเพราะว่าผมไม่เคยไปวอแวใครแล้วก็ระวังตัวไม่ให้ใครมาวอแวน่ะสิ
ดูอย่างเมื่อกี้ดิ กูแค่พูดเล่นเอากูเกือบตาย
“อย่า ไม่ต้องมากอดเรื่องเมื่อกี้กูยังไม่ลืมนะ” มันเอี้ยวตัวมามองตาเขียวเมื่อผมโน้มตัวไปกอดมัน ชิ ว่าจะนอนกอดหลับพักผ่อนสักตื่น ผมเลยจัดไปหนึ่งดอกเบา
“อยากกอดตายล่ะ น้ำก็ไม่อาบไอ้เน่าเอ้ย!”
ว่าแล้วก็เอาตีนเขี่ยแม่งเลย
แน่นอน โดนซัดกลับมาหนึ่งปึ้ก
โอ๊ยยยยยยยยยยย
End talk
ในที่สุดผมก็หายไม่มีแม้แต่รอยแผลเป็นเพราะมันขึ้นไปอยู่บนตัวไอ้ซิ่งแทนสามารถกลับไปเรียนได้อย่างปกติสุข ไม่ใช่ว่าไปเล่นของใช้คาถาแบบเสกแผลกูไปอยู่บนตัวมันหรอกนะแต่เพราะมันงี่เง่าอ่ะดิ
จำไอ้โน่ได้มั้ยที่มันชอบผมน่ะ หยึย!! พูดคำนี้แล้วกูขนลุก คิดว่ามันจะตายไปตั้งแต่วันที่แข่งรถแพ้ผมวันนั้น (ถึงไอ้ซิ่งเป็นคนแข่งแต่ก็ลงแข่งในนามผมล่ะวะ) ผมก็ไม่รู้ว่ามันโผล่มาที่มหา’ลัยได้ไงแต่พอมันเห็นผมเท่านั้นแหละก็กระโจนมากอดเลย ผมนี่ตาเหลือกโคตรตกใจกำลังจะถีบมันออกแต่ก็ช้ากว่าไอ้หมอสมองหมาที่มันมารับผมที่คณะจัดการงัดแถมโยนให้เรียบร้อย
แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้นสิ
แม่งมาโมโหผมหาว่ายืนให้มันกอดอยู่ได้ชอบรึไงบ้าบอคอแตก กูตกใจน่ะเข้าใจมั้ยว่ากูตกใจโว้ย!!
นอกจากมึงที่กูคิดสั้นหลงกลไปแล้ว กูก็ไม่มีจิตใจเสน่หาเพศผู้ตัวไหนอีกหรอก เฮอะ! ปัญญาอ่อน!!
แต่มันไม่ฟังถึงคอนโดก็จัดการผม...เอ่อ...แบบนั้นแหละ
แต่ไอ้ควาย!! มันจับผมกดลงพื้นแล้วก็ทำอย่างว่าห้ารอบ
คิดดู!! ห้ารอบนะ!! ยังไม่นับความแรงและความถี่ และพื้นแข็งจะตาย!!
ถ้าเป็นเตียงกูจะไม่ว่าเลย!!
เพิ่งหายจากแผลที่โดนตีมาโดนเรื่องจัญไรแบบนี้!! ระบมสิครับ!! หลังนี่ปวดเหมือนกระดูกแตก ร้าวไปทั้งตัว
พอทำเสร็จคงสำเหนียกได้ทำมาอุ้มไปอาบน้ำวางบนเตียงห่มผ้าอย่างดี ไอ้สัด! ช่วยได้นักนี่
ผมนอนเอาแรงถึงเช้าเท่านั้นแหละจัดการสำเร็จโทษฟาดด้วยไม้เบสบอล หัวแตกเลยเย็บตั้งหลายเข็ม
แผลเป็นเห็นโคตรชัดอย่างว่ามันตัดผมทรงสกินเฮดด้วยอ่ะนะ
พอเห็นเลือดก็ตกใจนิดหน่อยแต่ไม่รู้สึกผิดหรอกนะ เหอะ สมน้ำหน้า
แต่ก็นั่นแหละเรื่องมันผ่านมาตั้งอาทิตย์กว่าๆแล้วมันก็ขอโทษและโดนลงโทษในความขี้หวงทะลุโลกของมันไปแล้ว
แค่หวังว่าครั้งต่อไปมันจะไม่บ้าดีเดือดอีก
เพราะมันจะโดนกูที่บ้าดีเดือดระเหยกว่ามันเป็นสิบเท่าจัดการ เฮอะ
ตอนนี้เลยกลับมาแฮปปี้ ที่ว่าแฮปปี้นี่ก็ไม่ได้สวีทไรกันนะ หมายถึงสามวันดีสี่วันทะเลาะเหมือนเดิม =_=
“อ่ะ”
“ไร”
ผมที่นอนเหยียดดูการ์ตูนอยู่บนโซฟาหน้าทีวีเหล่ตาไปมองหนังสือที่มันส่งมาให้
“หนังสือ เห็นว่าจะสอบวิชานี้” มันพูดพลางยกหัวผมขึ้นแล้วนั่งแทรกตัวบนโซฟาแล้ววางหัวผมลงบนตักมัน กลายเป็นว่าตอนนี้ผมนอนหนุนตักมันอยู่
“นี่มันหนังสือการ์ตูนนี่” ผมดูหนังสือในมือที่หยิบมา หน้าปกมันเป็นการ์ตูนแบบเด็กๆมีสีสันน่ารักดี ลองเปิดดูด้านในก็แบ่งเป็นช่องๆมีข้อความ รูปภาพเหมือนพวกหนังสือการ์ตูนทั่วไป
“มันเป็นเนื้อหาชีวเคมีฉบับการ์ตูน เห็นไอ้แคนมาบอกว่าคะแนนมึงวิชานี้ครั้งที่ผ่านมาตกต่ำเรี่ยดินมากนิ”
“ก็เว่อร์ไป กูผ่านเหอะ” ผมเบะปาก
“คะแนนเท่ามีนไม่ได้หมายความว่าผ่านนะ” ไอ้ห่า เสียงเข้มใส่กูอีกละ
“ชิ ก็เนื้อหามันเยอะหนังสือเป็นเล่มใครจะไปจำหมดเล่า” ผมเถียง มันเลยจัดการดีดหน้าผากผมหนึ่งที ไอ้ควาย กูเจ็บ
“กูถึงหาหนังสือที่อ่านง่ายๆมาให้นี่ไง”
“การ์ตูนแบบนี้เนื้อหาจะครอบคลุมหรอ ที่กูเรียนมันก็ลงลึกเหมือนกันนะ”
ลึกซะจนกูขุดหาไม่เจอ แล้วนี่จันทร์หน้าก็จะสอบเก็บคะแนนอีก กูล่ะเพลีย
“ครอบคลุมสิ ไม่ใช่เรื่องพื้นฐานตามร้านหนังสือที่เขาทำไว้ให้เด็กอ่านหรอก เพื่อนที่คณะสหเวชฯทำส่งอาจารย์ กูว่ามันเก๋ดีเหมะกับคนโง่แต่ขี้เกียจอ่านหนังสืออย่างมึงเลยให้มันทำเผื่อเล่มนึง”
กูก็อยากจะขอบคุณหรอกนะ แต่ไอ้ประโยคหลังกูมิปลื้ม เหมือนโดนหลอกด่า
ไอ้ฝัด!!
อย่างนั้นก็เถอะ ผมดีใจนะที่มันเอาใจใส่ ถึงมันจะไม่ค่อยได้พูดอะไรหวานเลี่ยน (ผมด้วยล่ะ) แต่มันก็ดูแลและเอาใจใส่ผมเสมอ
ผมเลยจุ๊บปากให้รางวัลมันหนึ่งที ทำเอายิ้มหน้าบานจนเห็นเขี้ยว
“อืม ขอบใจแต่เอาไว้ก่อน ทไวไลท์กำลังสนุก สอบมันเป็นเรื่องของจันทร์หน้า” ว่าแล้วก็จัดการวางไว้บนโต๊ะกระจก ถือนานๆรู้สึกคันมือมีอาการแพ้เบาๆ
“ไม่ต้องเลย ดูแผ่นนี้จบก็มาอ่านซะแล้วอย่างนี้จะได้คะแนนดีได้ไง”
“ไม่โว้ยยยยยยยยย”
“ไอ้ดื้อ!!!”
“ทำไมคร้าบบบบบบบ คุณผู้ปกครอง อื้อ...”
อ๊ากกกกกกกกกกก ฉกลิ้นเข้ามาในปากกูอีกแล้วววววววววววว
“ซิ่ง...”
“หะ หืม”
“รักกูป่ะ”
“ถามทำไมรู้อยู่แล้วนี่”
“ตอบมาเหอะน่า”
“รักดิ”
“อืม เหมือนกัน”
ไม่ใช่อะไรหรอก อยู่ๆก็อยากบอกรักมันขึ้นมา ด้วยวิธีของผมเท่านั้นเอง...
ถ้าจะให้พูดคำว่า ‘รัก’ ตรงๆเหมือนมันก็คงยาก
ก็หวังว่าคนฉลาดอย่างมันจะเข้าใจคำว่า ‘เหมือนกัน’ ของผมล่ะนะ
THE END