[END] ♥ ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ ♥ #รู้จักจนรัก (20/1/2019 Final Ch. up)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] ♥ ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ ♥ #รู้จักจนรัก (20/1/2019 Final Ch. up)  (อ่าน 24132 ครั้ง)

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 13

 

“...สรุปว่าพี่เข้าไปช่วยนักเรียนที่เป็นลูกหลงในกลุ่มนั้นจนโดนลูกหลงไปด้วย? ทำไมพี่ทำแบบนี้วะ ผมเป็นห่วงนะเว้ย” ผมดุพี่เดือนไปหลังจากที่พากันลากคนเก่งของโรงเรียนเข้าโรงพยาบาล ไอ้เลือดที่ว่านี่คือเลือดของนักเรียนรุ่นพี่ม.5 ที่ดันเป็นลูกหลง พี่เดือนก็ทำตัวห้าววิ่งเข้าไปช่วยไม่ดูตาม้าตาเรือจนคนจากโรงเรียนอื่นคิดว่าพี่เดือนแกก็เป็นพวกที่มารุมตีด้วยจนโดนฟาดเข้าที่หัวสลบไป

ตอนเห็นพี่เดือนหลับตาอยู่ท่ามกลางเพื่อนที่ทำสายตาเป็นห่วงผมก็แทบจะสติแตก กดโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลมารับทั้งเขาและรุ่นพี่อีกคนไม่ทัน พอรถพยาบาลมา รถตำรวจก็มาตามด้วยเพราะมีคนเรียนมาพร้อมกัน เรื่องเลยจบอยู่ที่นักเรียนกลุ่มนั้นถูกนำไปที่สน.พูดคุยกับผู้ปกครองและดำเนินการตามความเหมาะสม

“พี่ขอโทษ พี่เองก็ไม่ทันได้คิด”

“ไอ้ห่าเดือน มึงทำหัวใจกูแทบวายตาย” พี่ศึกที่นั่งอยู่ข้างๆกันบนเพื่อนตัวเอง ถัดไปอีกเป็นพี่เมย์ที่กำลังผสมน้ำแดงให้พี่เดือน

นอกจากนั้นยังมีนทีที่รีบขี่มอเตอร์ไซค์หนีจากที่เรียนพิเศษมาดูญาติตัวเองพร้อมกับน้ำหูน้ำตาไหลมายิ่งกว่าผมที่เป็นแฟนเขาเสียอีก ไอ้นี่จิตโคตรอ่อน แต่ผมก็ว่าอะไรไม่ได้ในเมื่อเป็นใครก็ใจเสียถ้าเห็นอย่างนี้

“ยังโชคดีนะที่สมองพี่ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรมาก แตกนิดเดียว” นทีพูดพร้อมกับสะอื้นไปด้วย “แม่งเอ๊ย ถ้าพี่เป็นอะไรไป ไอ้กุมภ์คงได้ร้องไห้เสียใจคนเดียวแน่ๆ”

“พี่ตายยากน่า...ขอโทษจริงๆนะที่ทำให้เป็นห่วง แล้วน้องม.5 คนนั้นล่ะเมย์?”

“น้องเขาดีแล้ว โดนแทงที่แขนแต่ไม่สาหัสมาก น้องเขายังฝากมาบอกเลยว่าขอโทษเดือน” พี่เมย์ว่าไปแล้วก็ยื่นแก้วน้ำแดงให้พี่เดือน...เอ่อ...เรียกว่าตอนนี้กลอกปากดีกว่า พี่เมย์กลอกน้ำแดงเข้าปากพี่เดือนจนพี่เขาเกือบสำลักน้ำ พี่ศึกเลยว่าเข้าไปใหญ่บอกหน้าที่นี้ให้แฟนอย่างผมทำ

ไอ้เราก็นึกว่าจะหวังดี...นี่มันแซวทางอ้อมชัดๆ

“แล้วนี่มึงจะขับรถกลับไหวรึเปล่านี่ ยังมึนอยู่มั๊ย?”

“นิดๆ เดี๋ยวโทรให้พ่อมารับ” พี่เดือนหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา แต่ไม่ทันได้กดออกก็มีเสียงคนเคาะประตูห้องทำแผลเข้ามาเสียก่อน

“เดือน..ไม่เป็นอะไรใช่มั๊ย?”

“พ่อ...”

ชายตรงหน้าที่พี่เดือนเรียกคือพ่อเลี้ยงของพี่เดือนยังงั้นเหรอ? เขาหันมาทางผมแล้วยกยิ้มให้ พวกผมทั้งกลุ่มจึงยกมือไหว้ตามมารยาท

“อ่า...ไม่เป็นอะไรมากนะ พอดีว่าที่โรงเรียนแจ้งมาว่าเดือนเข้าโรงพยาบาล”

“ไม่เป็นอะไรแล้วครับ เอ่อ...พ่อครับ นี่คือกุมภ์”

“แฟนเดือนที่พูดถึง หน้าตาน่ารักดีนี่นา” คือ...ผมไม่อยากให้คนเรียกผมว่าน่ารักเท่าไหร่นะครับ มันจั๊กจี้ “ขอโทษนะที่ทำให้ต้องมาลำบากเฝ้าให้”

“ไม่เป็นไรครับ ผมตกใจแทบตายตอนที่เห็นพี่เดือนเลือดอาบเสื้อ”

“แล้วแม่...”

“รตาไม่อยู่บ้าน ไม่รู้ว่าไปไหน” พ่อเลี้ยงพี่เดือนส่ายหัว “เดี๋ยวกลับมาก็จะถามอยู่ เดือนไปถามอะไรรตาเขาคงไม่ตอบ”

พี่เดือนหน้าเจื่อนลงไป ถ้าจำไม่ผิดถึงพี่เดือนจะเคลียร์กับพ่อตัวเองแล้ว แต่กับแม่สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นเลยสักนิด เขาบอกว่าเหมือนแม่พยายามหลบหน้าแล้วออกไปจากบ้านทุกครั้งที่พี่เดือนอยากจะคุยด้วย ส่วนฝ่ายพ่อก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อพูดถึงเรื่องที่พี่เดือนเป็นเกย์ไปก็ปฏิเสธไม่ยอมรับฟัง

ผมกลัวว่าปัญหาระหว่างพี่เดือนกับแม่ตัวเองจะใหญ่มากกว่านี้

“รถยังอยู่ที่โรงเรียนใช่มั๊ย? จอดไว้นั่นแหละ มียามเฝ้าให้ทั้งคืน เดี๋ยวพ่อจะพากลับ”

“ครับ”

“คนอื่นกลับกันยังไงเหรอ?”

“ผมขี่มอเตอร์ไซค์มาเองครับ ส่วนพี่ศึกบ้านอยู่ทางผ่านบ้านผมก็จะไปส่งด้วยเลย” นทีเป็นคนตอบ

“หนูมีพ่อแม่มารับค่ะ” พี่เมย์รับต่อด้วยสีหน้าแจ่มใส “แต่พอดีว่าแฟนเดือนยังไม่มีรถ จะกลับรถสายตอนนี้ก็หมดแล้ว”

“เดี๋ยวผมโทรเรียกให้ที่บ้านมารับก็ได้ครับพี่เมย์” ผมไลน์ไปบอกแล้วว่าจะกลับช้าหน่อยเพราะจะเฝ้าพี่เดือนไม่เกินสองทุ่ม ตอนแรกจะให้นทีมันไปส่ง แต่พอบอกว่าจะไปส่งพี่ศึกอยู่แล้วก็ไม่อยากซ้อนสามตอนกลางคืนสักเท่าไหร่ “ไม่อยากรบกวนคนอื่น”

“ให้พ่อไปส่งก็ได้” พ่อเลี้ยงพี่เดือนเสนอขึ้นมา “เดือนพูดบ่อยๆว่าแวะส่งน้องทุกครั้งที่มีวันเรียนพิเศษตรงกัน”

“จะดีเหรอครับ?”

“ไปเถอะ พ่อก็อยากได้ยินสิ่งที่ลูกคิดถ้าพูดถึงเดือนเหมือนกัน” เขาหัวเราะขึ้นมา “ตั้งแต่ได้มาพูดกันตรงๆก็ยอมรับนะว่าเสียใจที่ทำแบบนั้นกับลูกได้ลงคอ”

“พ่อ....” พี่เดือนทำเสียงอ่อย คงไม่อยากให้ผมเผาแน่ๆ

เสียใจด้วย เพราะผมจะเผาให้หมดเปลือกเลย

 

“พี่เดือนกลัวความมืดครับ กลัวถึงขั้นว่าถ้าไม่เปิดไฟหัวเตียงนอนก็จะจิตตก”

“พ่อไม่เคยรู้เลย มิน่าล่ะถึงซื้อไฟหัวเตียงเข้าบ้าน”

“แล้วก็พี่เดือนไม่ชอบกินปลาหมึกครับ สั่งอาหารทะเลไม่ใส่กุ้ง แต่ก็ลืมบอกว่าไม่ใส่หมึกทุกครั้งจนผมสงสัยว่าทำไมไม่สั่งผัดหอยกับปลาไปเลย”

“งั้นเหรอ พ่อจะเล่าให้ฟังว่าตอนที่เปิดใจกันใหม่ๆ เดือนเขาพูดถึงลูกไม่หยุดเลย...” พ่อเลี้ยงพี่เดือนเรียกผมว่าลูกจนผมคิดว่าผมเป็นลูกคนที่สามของครอบครัวนี้ไปเสียแล้ว เขาบอกว่าพี่เดือนมีน้องนอกสายเลือดอีกคนชื่อว่าหนึ่ง อยู่ชั้นม.1 ซึ่งเป็นลูกติดมาจากเขาก่อนที่จะหย่าและมาเจอกับแม่พี่เดือน ปัจจุบันหนึ่งก็พยายามเรียนเอาเป็นเอาตายเหมือนพี่เดือนคนที่สอง พอพ่อเลี้ยง---ไม่สิ เรียกพ่อเฉยๆดีกว่า พอพ่อพี่เดือนรู้ว่าลูกๆกำลังเหนื่อยมากแค่ไหน เขาก็พาไปยกเลิกที่เรียนหลายที่จนแม่ไม่พอใจ กลายเป็นว่าไม่ยอมคุยกับลูกคนไหนสักคน

พ่อพี่เดือนยังบอกเลยว่าแม่พี่เดือนเป็นคนที่ไม่เปิดใจรับอะไรง่ายๆ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางซึ่งเขาก็ยอมมาตลอดจนกระทั่งเวลานี้

แถมยังสารภาพว่าเคยชอบผู้ชายคนหนึ่ง แต่เพราะเกือบจะถูกกระทำชำเลา เขาจึงฝังใจไม่กล้ากลับไปชอบอีก และเขาก็กลัวว่าพี่เดือนจะเจอแบบนั้นด้วยเลยไม่อยากจะให้คบกับผู้ชาย...ความจริงคือสมัยนี้ผู้หญิงก็รุมโทรมเขาได้ครับพ่อ...

“จะว่าไปแล้วเดือนตัดสินใจได้รึยังว่าจะเข้ามหาลัยไหน?”

“ตัดสินใจแล้วครับ จะลองยื่นพอร์ตไปให้เขาดูก่อน ถ้าไม่ได้ผมค่อยไปสอบแข่งเอา”

“อย่างพี่คงไม่ต้องทำอะไรมากมายหรอกครับ แค่นั่งก็ชนะไปครึ่งแล้ว” ผมว่าพลางกลั้วหัวเราะ พี่เดือนทำแต่ยิ้มบางๆแล้วหลับตาลงนอน “พี่จะนอนก็นอนไป รู้ว่าปวดหัว”

“นอนไปเถอะ เดี๋ยวถึงบ้านน้องแล้วพ่อจะบอก” พ่อพูดแบบนั้น ผมก็ไม่เถียง “แล้วตอนนี้ลูกตั้งใจจะต่ออะไรเหรอ?”

“ผมจะต่อนิเทศครับ ศิลปถ่ายภาพ”

“ชอบถ่ายงั้นเหรอ? ช่วงนี้พ่อก็เห็นเดือนเขาหยิบกล้องออกมาถ่ายนู่นนี่ตรงสวนข้างบ้านบ่อยๆ”

“สงสัยติดเชื้อจากผมน่ะครับ เขาเคยบอกไว้ครั้งหนึ่งว่าไม่รู้ว่าชอบอะไรจนผมลองให้เขาจับกล้องดู ไม่คิดว่าจะเดินสายเดียวกันกับผม”

“ก็ดีแล้วล่ะ ยังดีกว่าไปเหลวในอนาคต มันไม่แน่ไม่นอนหรอก” พ่อพี่เดือนตบไฟเลี้ยวเข้าถนนหน้าบ้านผม “อีกสักสิบปี พ่อก็อาจจะกลายเป็นตาลุงนั่งเล่นหุ้นดูโทรทัศน์ไปวันๆหรือไปนั่งขายของชำหน้าบ้านตัวเองแทนที่จะมานั่งบริหารธุรกิจครอบครัวอย่างนี้”

“ขอเสียมารยาทนะครับ ที่บ้านนี่ทำธุรกิจอะไรครับ?”

“ฝั่งพ่อทำโรงแรมสี่ดาวสามที่ กรุงเทพที่หนึ่ง อุบลอีกสอง มีปั้มน้ำมันอีกหนึ่ง ส่วนทางรตาเป็นโรงพยาบาลเอกชน”

ผมพยักหน้าให้กับความรู้ใหม่ สรุปแล้วก็คือรวยทั้งฝั่งพ่อและแม่ ไม่แปลกที่แม่พี่เดือนอยากจะให้พี่เดือนเรียนหมอ

“ถึงเดือนจะเลือกเส้นทางไหน สุดท้ายก็ต้องกลับมาบริหารธุรกิจครอบครัวอยู่ดี พ่อตั้งใจจะให้เขาเรียนอะไรก็ได้ตอนปริญญาตรี แล้วไปเรียนบริหารเอาตอนจะต่อโท”

“แล้วพี่เดือนจะเลือกบริหารอะไรล่ะครับระหว่างของพ่อกับของแม่?”

“ตามใจเลยดีกว่า แต่ถ้าเดือนจะบริหารโรงพยาบาลต่อก็ลำบากหน่อยล่ะนะ” พ่อพี่เดือนจอดรถหน้าบ้านของผม “ช่วยๆดูให้หน่อย พ่อทำร้ายเขามาตั้งแต่เด็กๆกลัวว่าสภาพจิตใจจะยังรักษาไม่ดีพอ ยิ่งรตาไม่ฟังความคิดของเดือนแล้วพ่อก็กลัวเขาจะคิดมากจนเครียดไม่ทำอะไรเลย ลูกเป็นแฟนเขาก็ดูแลเขาให้ดีนะ อย่าให้พ่อผิดหวัง อย่าหลอกพ่อมาลูกมาเพื่อเอาผลประโยชน์แล้วจากไป”

“ผมไม่ใช่คนประเภทนั้นหรอกครับ และผมตั้งใจจะช่วยพี่เดือนแต่แรกอยู่แล้ว ...ไม่ต้องปลุกพี่เดือนเขาหรอก นานๆทีเขาถึงหลับสบายแบบนี้” พี่เดือนกำลังนอนซบไหล่ผมอยู่ ท่าทางจะหลับสบายมากเสียด้วย “ผมกับพี่เขาวิดีโอคอลคุยกันบ่อย พี่เดือนมีหลายรอบเหมือนกันที่หลับคาโต๊ะหนังสือเพราะเหนื่อยจัดไปเลย เขาพยายามมากที่จะทำให้ทั้งพ่อและแม่เห็นคุณค่าของเขานะครับ”

“ยิ่งลูกพูดแบบนี้พ่อยิ่งเสียใจ” พ่อพี่เดือนถอนหายใจแล้วปลดล็อกประตูให้ “พรุ่งนี้ไปโรงเรียนเองได้ใช่มั๊ย พ่อว่าจะให้เดือนพักอยู่บ้านก่อน”

“โอ๊ยยย สบายมากครับ ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” ผมยกมือไหว้พ่อพี่เดือนแล้วลงจากรถ รอให้เขาขับออกไปจนไม่เห็นก่อนค่อยเข้าบ้าน

 

“พี่เดือนไม่มาโรงเรียนเหรอวะ?”

“อื้อ พ่อพี่เขาบอกว่าจะให้พี่เดือนนอนพักไปก่อน ขืนมาทั้งๆที่ปวดหัวปวดตัวแบบนั้นจะน็อคกลางห้องเอา” ผมครางตอบรับดินกลางโรงอาหาร เพื่อนอีกสองคนกำลังไปซื้อน้ำส่วนพวกผมจะคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก “เมื่อวานมีโรงเรียนอื่นเข้ามาตีกันได้ยังไงเนี่ยแหละที่สงสัย”

“เห็นเขาพูดกันมาว่ากลุ่มที่ตีกันไปมีปัญหาอะไรกับโรงเรียนนั้น...อาจจะเป็นเรื่องเจ้าถิ่นแบบในละครก็ได้มั๊ง”

“โคตรนักเลง”

“ก็ในกลุ่มโรงเรียนที่เข้ามาบุกเราน่ะมีหัวหน้านักเลงอยู่ด้วยไง กูไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมถึงตีกันเก๊งงงเก่ง” ดินคีบหมูมาให้ผม “วันหลังมึงเตือนแฟนมึงด้วยว่าอย่าเข้าไปช่วยถ้าตัวเองไม่ใช่สายบวกชาวบ้าน เห็นมั๊ยว่าโดนลูกหลงเลย”

“เออๆ”

“ฮัลโหล พวกพี่นั่งด้วยได้มั๊ย?”

“อ้าว พี่ศึก พี่เมย์ หวัดดีครับ” นทีกับอุ้มเดินมาที่โต๊ะพอดีจึงทักทายรุ่นพี่ทั้งสองไป

“เดือนไม่มาโรงเรียนครั้งแรกในรอบสามปี พี่รู้สึกว่าโลกนี้ต้องถล่มอะ” พี่ศึกตักข้าวเข้าปาก “ตลอดสามปีมานี้ไม่ว่าน้ำจะท่วม พายุจะเข้า หรือเจ้าตัวจะไม่สบายอะไรยังไงก็ต้องกระเสือกกระสนมา กุมภ์ได้พูดอะไรให้เจ้าตัวนอนอยู่บ้านรึเปล่าเนี่ย?”

“ไม่นี่ครับ พ่อพี่เขาบอกว่าจะให้พี่เดือนนอนพัก”

“มีเชื่อฟังเว้ยเดี๋ยวนี้ ดีแล้วๆ มันสมควรจะพักบ้าง” พี่ศึกไม่ได้พูดอะไรต่อ พวกเรานั่งกินข้าวด้วยกันเงียบๆจนหมดเวลาพักแล้วค่อยแยกย้าย

“อ้อ ก่อนไปพี่มีเอกสารจะให้ เดี๋ยวจะมีเลือกคณะกรรมการนักเรียนชุดใหม่แล้วหลายคนอยากให้กุมภ์ลงน่ะ” พี่เมย์ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ มันเป็นเอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับการลงสมัครคณะประธานนักเรียนปีล่าสุดซึ่งผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่

“ผมไม่ลงได้มั๊ยพี่?”

“แล้วแต่เลย ไม่ได้บังคับ แต่หลายคนก็อยากเห็นว่าแฟนคนเก่งของโรงเรียนสามารถทำหน้าที่นี้ได้มั๊ยนี่แหละ” พี่เมย์หัวเราะ “พี่ว่าพวกเขาคงสบประมาทว่ากุมภ์เป็นคนที่ไม่คู่ควรพอที่จะยืนข้างๆเดือนเขา ก็เล่นมีแฟนเก่งขนาดนั้น คนที่อวยก็อยากให้เขามีแฟนเก่งๆเหมือนเจ้าตัวนั่นแหละ”

“ง่ายๆคือจะไม่ยอมรับถ้าไม่ใช่คนเก่งพอ?” พี่ศึกเลิกคิ้ว “ตรรกะป่วยๆ”

“เราก็ว่าอย่างนั้น ยังไงก็ลองคิดดูก่อนแล้วกันนะ เสียงนกเสียงกาก็อย่าไปฟังเลย”

“ขอบคุณครับ”

พี่ศึกกับพี่เมย์เดินจากไปส่วนพวกผมก็ลากสังขารเข้าห้องตัวเอง

“แล้วมึงจะลงมั๊ยวะ?”

คำถามนี้เป็นของอุ้ม

“ไม่ล่ะ ใครอยากจะเลือกเด็กม.4 มาเป็นประธานนักเรียนกัน อีกอย่างจะสบประมาทก็ทำไปเถอะ กูไม่สนใจอยู่แล้ว” ผมยัดกระดาษลงใต้โต๊ะ “ปีหน้าค่อยคิดอีกทีก็ได้”

“อืม”

หลังจากนั้นพวกผมก็ต้องโอดครวนกับการสอบกะทันหันของวิชาคณิตศาสตร์ ผมถามจริงเถอะว่าใครเป็นคนอัดวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติมเข้ามากัน โคตรงง

 

ตอนเย็นมาผมก็กลับบ้านทันทีเพื่อทำการบ้านที่ต้องส่งในวันถัดไป แต่คราวนี้ผมถามพี่เดือนไม่ได้เพราะผมไม่อยากไปรบกวนเขา

ผมเปิดเพลงฟังไปพลางกับค่อยๆแก้โจทย์ ถามว่าลำบากมั๊ย

โคตรๆ

คุณรู้รึเปล่าว่าการที่เราต้องมานั่งไขปริศนาโจทย์คณิตศาสตร์ที่คุณไม่เข้าใจเลยเป็นหลายสิบข้อเนี่ยคือความทรมานของชีวิตเด็กมัธยม ไอ้คนที่รู้ก็ดีไปแต่คนที่ยังมานั่งงงนี่สิลำบาก ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าเรียนคณิตมากๆไปทำได้ช่วยอะไรรึเปล่า ยิ่งไอ้พวกกราฟที่สร้างจากโจทย์สมการเนี่ย มีใครจะมาใช้ในชีวิตมั๊ย

อยากจะไปเรียนสายอาชีพก็ตอนนี้แหละ ว่าแล้วน้ำตาก็ซึม

ติ๊ง

 

พีรดล 18.46 pm

เป็นยังไงบ้าง

พีรดล 18.46 pm

ทำงานอยู่รึเปล่า?

 

พี่เดือนทักข้อความมาหาผม แสดงว่าหายปวดหัวแล้วสินะถึงมาแตะโทรศัพท์ได้

 

Koompa 18.47 pm

กำลังปวดหัวกับโจทย์คณิตอยู่ครับ

พีรดล 18.47 pm

ให้พี่ช่วยมั๊ย

พีรดล 18.48 pm

พี่อยู่ว่างๆ พี่เบื่อ

Koompa 18.49 pm

ถ้าพี่ยังปวดหัวอยู่ก็ไม่เป็นไรครับ

 

เขาไม่ฟังผม วิดีโอคอลมา ผมก็กดรับ

“พี่เดือน ผมบอกว่าอย่าฝืนตัวเองไง กินข้าวกินน้ำรึยังล่ะเนี่ย พรุ่งนี้จะมาได้รึเปล่า”

‘ใจเย็นๆเจ้าปลา พี่ตอบไม่ทัน’

พี่เดือนหัวเราะในลำคออัดกล้อง ตอนนี้เขากำลังอยู่ในเสื้อยืดแขนสั้นสบายๆ โทรศัพท์น่าจะถูกวางไว้บนขาตั้งขนโต๊ะข้างๆเตียงเพราะผมเห็นว่าพี่เขาเอาขาไปซุกไว้ใต้ผ้าห่มด้วย “โทรมานี่เหงามากรึยังไงกัน”

‘ครับ เหงามาก’

“....”

‘ไม่ต้องเขิน มา พี่สอนให้ว่าข้อไหนทำยังไง’ พี่เดือนขยับเข้าหากล้อง เขาเอื้อมตัวไปหยิบกระดาษมาจดโจทย์ตามที่ผมบอกแล้วค่อยๆอธิบายว่าตรงไหนควรทำอย่างไรนานเป็นชั่วโมง ซึ่งในท้ายที่สุดก็เสร็จเรียบร้อย

“ขอบคุณนะครับพี่เดือน เดี๋ยววันหลังผมจะเลี้ยงขนมพี่เอง”

‘เก็บเงินไปเลยเราน่ะ อนาคตยังต้องใช้อีกเยอะแยะ’

“ครับๆ ใครจะรวยแบบบ้านพี่กัน”

‘ในบัญชีพ่อพี่โอนมาให้สองหมื่นทุกเดือนแต่พี่ไม่ค่อยได้ใช้เลยตั้งแต่เด็ก...ห้าปีแล้วมั๊ง?’

“ห้าปี...หนึ่งปีมีสิบสองเดือน เดือนละสองหมื่น....ล้านสอง? บ้าไปแล้ว” ผมเบิกตาโตเมื่อได้ยินจำนวนเงินในบัญชีธนาคารของเขา ทำไมมันเยอะขนาดนั้นกัน

‘แต่พี่เอาเงินมาซื้อกล้องก็หมดไปแล้วหลายหมื่นนะ อย่าลืมสิว่าเลนส์มันไม่ได้ถูกๆ’ ก็จริง ‘อีกอย่างพี่ก็---เดี๋ยวนะ พี่ได้ยินเสียงอะไรข้างล่าง รอแป๊บ’

พี่เดือนออกจากห้องตัวเองไปเมื่อเขาได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังมาจากชั้นล่าง ต้องดังมากแค่ไหนที่ขนาดทำให้ผมที่อยู่ในกล้องได้ยินไปด้วย มันเป็นเหมือนเสียงของคนสองคนทะเลาะกัน มีเสียงข้าวของแตกด้วย

เกิดอะไรขึ้น?

‘ใจเย็นก่อนสิครับแม่! หนึ่งไม่ได้ทำอะไรผิด!’

‘ทั้งแกกับน้องแกเป็นเกย์ แถมพ่อแกก็เคยเป็นเกย์! ทำไมชีวิตฉันถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้! ออกไปนะ!’

‘รตา!’

ทันใดนั้นทุกอย่างก็เงียบลง พี่เดือนเปิดประตูเข้าห้องมาพร้อมกับคนอีกสองคน คนหนึ่งเป็นพ่อส่วนอีกคนน่าจะเป็นน้องชายที่อยู่ชั้นม.1 ของเขา

‘ขอโทษนะครับที่ผมทำให้วุ่นวายมากกว่าเดิม ถ้าผมไม่บอก...’

‘ไม่เป็นไร ไม่ช้าก็เร็วที่รตาเขาจะรู้...อ้าว เดือนคุยกับน้องอยู่เหรอ?’

‘อ่า..ครับ พี่ขอโทษนะที่ทำให้ได้ยินเรื่องวุ่นวาย คือพอดีว่า...’ พี่เดือนลังเลที่จะบอกผม แต่พ่อพี่เดือนรีบแทรกขึ้นมาทันที

‘พ่อบอกเอง เมื่อกี๊หนึ่งเขาไปสารภาพกับรตาว่าตัวเองก็เป็นเกย์ รตาคงไม่คิดว่าลูกตัวเองทั้งสองคนจะกลายมาเป็นเกย์ที่เธอทำใจไม่ได้ เธอเพิ่งออกจากบ้านไปเอง’ เขาถอนหายใจ ‘พูดอะไรก็ไม่ฟังแบบนี้พ่อควรจะทำยังไงดี กลายเป็นว่าไม่ยอมคุยทั้งสองฝั่ง’

“พอจะทราบรึเปล่าครับว่าแม่พี่เดือนเขาไปไหน?”

‘เท่าที่รู้ๆก็ไปอยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหละ พ่อว่าจะไปตามกลับมาอยู่’

“ถ้าตามกลับมาได้แล้วผมขอคุยด้วยได้รึเปล่าครับ?”

‘ทำไมล่ะกุมภ์ แม่พี่เขายังไม่ฟังพี่เลยนะ’

“พี่คิดว่าผมเป็นใครครับ? สาวน้อยที่รอให้เจ้าชายมาแก้ไขสถานการณ์ครอบครัวตัวเองรึยังไง?”

‘?’

“ผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีความคิดมากพอที่จะออกตัวปกป้องใครสักคนที่ผมรักนะครับ พี่เดือน”

ถ้าแม่พี่เดือนไม่ยอมคุยกับพี่เดือน ผมนี่แหละที่จะเป็นคนเข้าไปคุยเอง

 

“เอาจริงเหรอกุมภ์ พี่ว่า....”

“ถ้าพี่เดือนจะห้ามผมล่ะก็ หยุดเลย ผมตั้งใจมาอยู่แล้วและจะไม่กลับไปถ้าแม่พี่ยังไม่ยอมคุยด้วย”

ผมกับพี่เดือนพากันมาที่โรงพยาบาลเอกชนที่ทำงานของแม่เขา ตอนนี้กำลังยืนอยู่ที่ล็อบบี้ มีผู้คนมากมายเดินไปมาแต่ส่วนใหญ่ก็จะมาทำแผลเล็กๆเสียมากกว่าเข้าเพราะอุบัติเหตุ

โรงพยาบาลเอกชนมียาดีกว่าโรงพยาบาลรัฐก็จริง แต่นั่นหมายความว่าค่ารักษาก็มากแถมยังใช้สิทธิต่างๆจากรัฐบาลไม่ได้ด้วย นั่นคือสิ่งที่ทำให้บ้านพี่เดือนมีเงิน เขาบอกว่านอกจากพ่อจะโอนเข้าบัญชีเดือนละสองหมื่นแล้ว แม่ยังโอนให้เดือนละหนึ่งหมื่นอีก

ง่ายๆคือเงินเก็บพี่เดือนเยอะมากพอที่จะเรียนมหาลัยจบด้วยตัวเองด้วยซ้ำ

“แต่...”

“ขอโทษนะครับ คุณรตา นารีรัตน์อยู่รึเปล่าครับ?” ผมเดินเข้าไปพยาบาลที่เคาท์เตอร์โดยไม่ฟังคำพี่เดือน จะบอกว่าผมดื้อก็ไม่ผิด ในเมื่อมันเป็นเรื่องของพี่เดือนผมก็ต้องพยายามช่วยแก้ไข ผมไม่ชอบความสัมพันธ์คลุมเครือในบ้านหลังนี้เท่าไหร่นัก

ฝ่ายแม่ก็หลบหน้าไม่ยอมรับความจริง ฝ่ายลูกก็ไม่กล้าที่จะเผชิญพูดตรงๆ พอเขาหนีก็ไม่ตาม

กุมภ์บอกเลยว่าเบื่อว่ะ

“คุณรตาอยู่ที่ห้องรับรองชั้นสี่ค่ะ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรรึเปล่าคะ จะได้ติดต่อให้”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพวกผมขึ้นไปกันเอง พอดีว่ามากับลูกชายของคุณรตา” ผมตอบกลับไป “พี่เดือน ไปกันเถอะ แม่พี่อยู่ที่ห้องรับรองชั้นสี่”

“แต่...”

“พี่เดือน ไม่มีแต่ครับ ผมไม่ชอบที่พี่เดือนยังลังเลอยู่แบบนี้ ไหนพี่ว่าพี่ตัดสินใจแล้วยังไง ถ้าพี่ตัดสินใจแล้วพี่ต้องไปให้สุดสิ มาทำครึ่งๆกลางๆแบบนี้ผมไม่ชอบนะ”

“...”

“จริงๆแล้วผมเป็นคนเครียด ถ้ามีปัญหากวนใจผมจะไม่ยอมปล่อยให้ผมค้างคา เหมือนเรื่องของพี่ พี่จะสบายใจมั๊ยถ้ามันยังติ่งอยู่อย่างนี้?”

“ไม่สบายใจ...”

“นั่นแหละครับ ดังนั้นแล้วพวกเราต้องช่วยกันแก้ปัญหาจริงๆจังๆ แม่พี่ไม่ฟังพี่ก็ต้องไปพูดเหตุผลกลอกหูอธิบายให้ท่านฟัง” ผมดึงพี่เดือนที่มองผมอึ้งๆเข้ามาในลิฟต์ “ยิ่งพี่ไม่เคลียร์กับครอบครัวพี่ ผมก็จะห่วงพี่มากขึ้น ผมก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้น”

“...พี่ขอโทษที่พี่เป็นคนแบบนี้นะ” พี่เดือนหลบสายตาผม แต่ผมจับน้ำเสียงพี่เดือนได้ว่าเขาเสียใจที่ทำแบบนี้ลงไป

ผมยังไม่ได้ด่าเลยว่าพี่เดือนทำผิด

“พี่ยังไม่เคยแก้ไขสถานการณ์ครอบครัวเอง พี่ก็ไม่รู้หรอกว่าต้องทำยังไง บ่อยจะตายที่ผมกับพ่อแม่ทะเลาะกันเพราะความไม่เข้าใจ แต่ก็ปรับเข้าหากันด้วยคำว่าความรัก”

“...”

“ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนไม่รักลูกหรอก...ใช่มั๊ยครับ?” พี่เดือนพยักหน้า “ลึกๆแม่พี่ก็ยังรักพี่เหมือนเดิมไม่ว่าพี่จะเป็นอะไร เพียงแค่ว่าตอนนี้ความโกธรมันยังบังเอาไว้ ถ้าพี่สามารถเข้าไปกะเทาะความโกธรของท่านออกมาได้ ที่เหลือมันก็ง่ายแล้วล่ะ”

“นี่พี่โดนแฟนสอนเหรอเนี่ย” พี่เดือนหันกลับมามองผมอีกครั้งเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ชั้นสี่เป็นชั้นที่ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่นักเพราะเห็นว่าเป็นชั้นของแผนกเด็ก ซึ่งค่าใช้จ่ายแผนกนี้จะสูงกว่าแผนกอื่นมาก คนส่วนใหญ่จึงสะดวกที่จะไปที่โรงพยาบาลรัฐบาลมากเสียกว่า

“อ้าว น้องเดือน” พี่พยาบาลคนหนึ่งทักทายพี่เดือนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ไม่เจอกันนานเลยนะคะ มาหาคุณรตาเหรอ?”

“ครับ แม่อยู่ตรงไหนครับ?”

“ห้องซ้ายสุดเลยจ้า แล้วนี่ใครเอ่ย” พี่พยาบาลหันมาทางผมแล้วเอื้อมมือมาหยิกแก้มราวกับว่าผมเป็นเด็กน่าหยอก

“แฟนผมครับ พี่อย่าไปหยิกแก้มน้องสิ แดงหมดแล้ว”

“พี่ขออึ้งได้มั๊ย น้องเดือนมีแฟนแล้ว? พี่นึกว่าน้องเดือนจะแต่งกับหนังสือเรียนซะอีก แต่ก็ขอให้คบกันนานๆนะ ที่มาที่นี่จะพามาเปิดตัวรึเปล่า?”

“โหพี่ ผมไม่แต่งกับหนังสือหรอกน่า แต่จะแต่งกับคนนี้ ผมไปก่อนนะ”

“ต๊าย คำพูดคำจาไม่ใช่น้องเดือนคนเก่า ดูสิ หน้าแฟนน้องแดงหมดแล้ว”

แดงจริงครับ ยอมรับ

ใครให้พูดว่าจะแต่งกับผมวะ! ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับเลยเถอะ!

“ถ้าสงสัยว่าจะแต่งงานยังไงในเมื่อไม่มีกฎหมายให้คนเพศเดียวกันแต่งงานกันได้ในไทย พี่จะบอกว่าที่อเมริกามีนะครับ เอาไว้เรียนจบทั้งคู่แล้วพี่จะจองตั๋วพาบินไปแต่งที่นั่นเลย” พี่เดือนก้มลงกระซิบกับผมชวนให้ขนลุกกว่าเก่า แล้วเขาก็เดินไปที่ห้องสุดทางเดินด้านซ้าย

“น้องเดือนปกติแล้วมาที่นี่ทีไรก็ไม่ค่อยมีอารมณ์ขันอยากจะคุยด้วยเท่าไหร่น่ะค่ะ นี่ไม่เห็นมาสี่ห้าเดือนกลับมาอีกทีมีแฟนซะแล้ว แถมยังดูมีความสุขมากกว่าเดิมด้วย” พี่พยาบาลหัวเราะให้กับผม “ดีจริงๆที่ไม่ต้องเห็นน้องเดือนแต่งงานกับหนังสือ เป็นพี่พี่ทำแบบน้องเดือนไม่ได้หรอก”

“ครับ เป็นผมนี่แหละที่สั่งให้เขาเลิกจมตัวเองกับหนังสือสักที ไม่งั้นอีกไม่นานจะคนเข้าโรงพยาบาลนี้เพราะเส้นเลือดในสมองแตกจากความเครียดแน่ๆ”

“น้องมีอารมณ์ขันดีนะ พี่ชอบ ตามน้องเดือนไปได้แล้ว เดี๋ยวเขารอนาน” พี่พยาบาลผลักไหล่ผมเบาๆ “อ้อ น้องเดือนอาจจะยังไม่รู้ว่าช่วงนี้คุณรตาแอบร้องไห้ในห้องด้วยนะคะ อย่าบอกใครล่ะ”

“ครับ?”

“เหมือนเธอกำลังเสียใจอะไรอยู่ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ลองให้น้องเดือนถามแม่ตัวเองดูก็ได้จ้าว่าเป็นอะไร มีเรื่องเครียดอะไร จิตใจผู้หญิงมันเปราะบางกว่าผู้ชายมากนะ แต่หลายคนเหมือนกันที่ไม่ชอบบอกตรงๆว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะไม่อยากให้คนอื่นมาเครียดตาม”

“ขอบคุณนะครับ ผมไปก่อนนะ” ผมยกมือไหว้ลาพยาบาลหญิงซึ่งตอนนี้เดินไปเล่นกับเด็กที่กำลังรอรับยากับผู้ปกครอง พี่เดือนยืนรออยู่หน้าห้องแล้วขมวดคิ้วพลางอยากถามว่าผมคุยอะไรกับเธอ

ผมส่ายหน้าแล้วชี้ไปที่ประตูห้อง

“พี่พยาบาลเมื่อกี๊บอกว่าแม่พี่แอบร้องไห้คนเดียวอยู่ในห้องนั้น ผมคิดว่าน่าจะเสียใจเรื่องพี่”

“…”

“เข้าไปเถอะครับ ค่อยๆพูดจากัน รับฟังเหตุผลกันและกัน พี่อย่าลืมด้วยว่าผมอยู่ข้างๆพี่” ผมค่อยๆเลื่อนมือตัวเองไปกุมมือเรียวสวยของชายสูงกว่า “พี่เก่งอยู่แล้ว พี่ทำได้ทุกอย่างนี่นา...ยกเว้นเรื่องเข้าครัวนะ”

พี่เดือนหัวเราะในลำคอ เขายกมือขึ้นบิดลูกบิดประตู ทำให้ผมตีมือเขาว่าทำไมไม่เคาะประตูก่อน เขาก็หัวเราะอีกครั้งด้วยความเก้อ อาจจะตื่นเต้นจนลืมไปว่าต้องมีมารยาททุกครั้งก่อนจะเข้าห้องใคร

แต่มันก็น่ารักดีถ้าจะเห็นพี่เดือนมุมเป๋อๆอย่างนี้

พี่เดือนเคาะประตูสามรอบ แล้วก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากในห้องว่าให้เข้าไปได้ พี่เดือนจึงค่อยๆเปิดประตู ผมเห็นแม่พี่เดือนกำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน มีเอกสารกองเอาไว้มากมาย

“เดือน...นี่...”

“แม่...ผมมีเรื่องจะอธิบาย”

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:46:56 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 14

 

“จะมาทำไม ฉันไม่อยากเจอหน้าแก”

ผมรู้สึกว่าเสียงแม่พี่เดือนชวนดูห่างเหินเสียเหลือเกิน พี่เดือนหน้าเจื่อนลงไปนิดหน่อยแต่ก็อ้าปากพูดต่อ

“แม่ครับ นี่แฟนผม...กุมภ์” แม่พี่เดือนยังคงไม่หันมามองแม้ว่าเขาจะแนะนำตัวผมไปแล้ว “แม่....”

“ทำไมถึงพามากัน?”

“ผมเป็นคนพาพี่เดือนมาเองครับ”

“กุมภ์...”

“พี่เดือนอยากจะคุยกับคุณมาหลายครั้งแล้ว แต่คุณก็เอาแต่หลบหน้า ผมขอเสียมารยาทหน่อยนะครับ ถ้าคุณมัวแต่หลบหน้ากันแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจกัน ผมรู้ว่าคุณเองก็อยากฟังเหตุผลของพี่เดือนด้วย แต่คุณก็ไม่ควรที่จะหนีออกมาแบบนี้ พี่พยาบาลคนหนึ่งเขาเล่าให้ผมฟังว่าคุณร้องไห้ ผมเชื่อว่าคุณเองก็เสียใจไม่ต่างจากพี่เดือนสักเท่าไหร่หรอก” ผมไม่เว้นเวลาหายใจเพราะผมอยากได้เวลาพูดให้ได้มากที่สุด “พี่เดือนไม่กล้าที่จะบอกพวกคุณมาหลายปีแล้วว่าพี่เขาเป็นเกย์ แต่เขาไม่กล้าทำเพราะกลัวว่าจะถูกพวกคุณต่อต้าน ซึ่งพอคุณต่อต้านพี่เดือนก็ทำตัวไม่ถูก พี่เดือนไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับคุณ พอจะมาเจอก็หนีกัน นี่มันไม่ใช่หนังอินเดียนะครับที่จะมาหนีข้ามเขาแบบนี้”

“กุมภ์ ใจเย็นๆ”

“ขอโทษนะพี่เดือน แต่จังหวะนี้ให้ผมพูดแทนเถอะ”

“เธอจะมาอ้างอะไรอีก” แม่พี่เดือนหันกลับมาจ้องตาของผม สายตาของเธอมีทั้งความโกธร ความเสียใจ และความไม่เข้าใจปนกัน “ถ้าเธอจะมาขอให้ฉันเข้าใจก็ฝันไปเถอะ”

“ผมไม่ได้มาขอให้คุณเข้าใจ แต่ผมมาขอให้คุณยอมรับในตัวตนของพี่เดือนครับ”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เสียงเครื่องปรับอากาศที่ว่าเบาแล้วผมยังได้ยิน สักพักพี่เดือนก็ถอนหายเดินเข้าไปหามารดาตัวเองที่โต๊ะ

“แม่ครับ แม่ฟังนะ”

”ทำไมฉันต้องฟัง?”

“ผมรู้ว่าแม่ไม่ชอบใจ แม่ไม่เข้าใจ แต่ผมขออย่างหนึ่งได้มั๊ยครับ? แม่ยอมรับผมก็พอว่าผมเป็นลูกของแม่ ผมไม่ได้น่ารังเกียจ แค่แม่เห็นผมยังเป็นลูกก็พอ” พี่เดือนคุกเข่าลงกับพื้น เขาจ้องตาแม่ตัวเอง “นะครับ”

แม่พี่เดือนมีสีหน้าลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะหันมามองผมด้วยสายตาประหลาดใจ คงจะคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าลูกตัวเองจะมาคุกเข่าขอร้องขนาดนี้

พี่เดือนยังคงมองหน้าแม่ตัวเองแม้ว่าเธอจะไม่ได้มองมาที่ลูก

เขาร้องขอให้แม่มองว่าเขายังเป็นเดือนคนเดิม เป็นลูกของเธอคนเดิม

“เธอน่ะ”

“ครับ?”

แม่พี่เดือนเอ่ยปากพูดกับผม “เพราะอะไรกันที่ทำให้เดือนมาชอบเธอได้ ดูเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย”

“ผมยอมรับครับว่าผมมันธรรมดา แต่ผมเองก็เห็นว่าพี่เดือนเองก็เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน” ไหนๆก็จะมาอธิบายให้เธอยอมฟังแล้ว “พี่เดือนเป็นผู้ชายธรรมดาที่มีสิทธิที่จะรักจะชอบใครก็ได้ มีสิทธิที่จะเป็นเกย์หรือผู้ชายที่ชอบผู้หญิงได้ มีสิทธิที่จะเลือกทางเดินของตัวเองได้ คุณเองก็ย่อมเคยมีคิดบ้างเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกเดินมาเส้นทางนี้ หลายครั้งที่คุณอาจจะคิดว่าเส้นทางที่ถูกกำหนดมาอยู่แล้วดีที่สุดแต่ความจริงนั้นมันไม่ใช่เลย มันเป็นความสบายใจของคุณที่จะเดินเส้นทางนี้แล้วไม่ได้มองสิ่งใหม่ๆ”

“นี่เธอกำลังจะสอนฉัน?”

“ถ้าคุณพูดแบบนั้นนะ” ผมส่ายหัว “เป็นเพราะการที่คุณเดินบนเส้นทางที่คุณสบายใจ ทำให้คุณกลัวการยอมรับสิ่งใหม่ๆที่คุณไม่คุ้นเคย...อย่าหาว่าผมแก่แดดเลย พ่อกับแม่ผมเคยบอกเอาไว้อย่างนั้น”

“กุมภ์ ให้พี่พูดเถอะนะ”

“เงียบไปเลย” แม่พี่เดือนหันกลับทางพี่เดือนเพื่อดุ พี่เดือนมีสีหน้าตกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ยอมหยุดอย่างที่แม่เขาสั่ง ปากพยายามจะอธิบายอะไรสักอย่างซึ่งดูเหมือนว่าพี่เดือนเองก็ยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรให้แม่เขายอมฟังง่ายๆ

“พ่อของผมบอกว่าคุณเป็นคนที่ไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ แต่ถ้าได้เปิดใจแล้วก็จะสนับสนุนมัน” ผมยิ้มให้เธอ “และผมเชื่อนะครับว่าถ้าคุณยอมรับพี่เดือน คุณก็จะเห็นมุมใหม่ๆของเกย์ที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเขาไม่ได้เป็นคนไม่ดี พวกเขาเป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา”

“....”

“แม่ครับ กุมภ์พูดถูกนะครับ ทุกวันนี้ถ้าไม่ได้กุมภ์ผมก็ยังไม่กล้าเผยตัวเอง ไม่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ชีวิตผมมันไม่มีสีสันมานานแล้วและผมเองก็อยากจะให้แม่ได้ปล่อยให้ผมได้เดินด้วยตัวเองสักที ผมกำลังจะเข้ามหาลัย ผมกำลังจะพ้นช่วงมัธยมไป ผมอยากทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ”

“แต่ถ้าฉันปล่อยแกไปแล้วแกเดินผิดเส้นทางอย่างที่ป้าแกทำไปล่ะ?” ป้าของพี่เดือน? หมายถึงแม่ของนทีเหรอ? “ยัยนั่นเลือกไปกับผู้ชายสถาปนิก ถ้ายังอยู่กับฉันล่ะก็ป่านนี้ก็มีลูกเป็นว่าที่หมอไปแล้ว”

“หมายความว่ายังไงครับพี่เดือน?”

“...แม่นทีเขาแต่งงานกับสถาปนิกแทนที่จะแต่งกับว่าที่คู่หมั้นน่ะสิ ครอบครัวฝั่งนี้เลยพากันตัดหางปล่อยวัด....” พี่เดือนตีสีหน้าเศร้า ถ้าเป็นนทีจะเจ็บปวดรึเปล่านะที่รู้มาแบบนี้

“เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ฉันไม่อยากให้แกต้องมาเจออะไรเหมือนกันกับป้าแก เข้าใจมั๊ย?” แม่พี่เดือนสูดลมหายใจ “ฉันเองก็ใช่ว่าไม่อยากนับแกเป็นลูก”

“แม่หมายความว่า...”

“ฉันยังนับแกเป็นลูกเหมือนเดิม...ถึงจะทำใจเรื่องที่เป็นเกย์ไม่ได้ก็เถอะ”

ทั้งผมและพี่เดือนต่างยิ้มออก อ่า...อาการอย่างนี้เขาเรียกว่าซึนรึเปล่ากันนะ? ทั้งที่ทำเป็นไม่สนใจไม่อะไรเลย แต่จริงๆแล้วก็แคร์พี่เดือนมากแค่ไหน อีกทั้งไม่อยากให้เรื่องที่พี่เดือนเป็นเกย์มันลามไปถึงญาติคนอื่นฝั่งแม่พี่เดือนอีกเพราะเคยมีปัญหาขัดใจกับผู้ใหญ่มาแล้วด้วย

เธอเองก็เป็นแม่ที่ดีนี่...

“แล้วก็...”

“ครับ?”

“เธอน่ะ...กุมภ์ใช่มั๊ย? ถ้าเธอพิสูจน์ได้ว่าเธอคู่ควรกับเดือน เธอก็ต้องทำตัวดีๆให้ฉันยอมรับได้ว่าพวกเธอไม่ได้น่ารังเกียจอะไร หวังว่าจะทำได้” เธอไม่ได้ส่งยิ้มหวานหรือสายตาอ่อนโยนมาให้ผม มันเป็นสายตาของความท้าทายที่เธอต้องการให้ผมแสดงออกมาว่าผมนั้นสมควรที่จะยืนอยู่ข้างๆพี่เดือนรึเปล่า “เด็กวัยรุ่นมักใจร้อน พวกเธออาจจะรักกันชอบกันเพียงแค่ชั่ววูบก็ได้”

“ผมเป็นคนที่รักใครแล้วย่อมรักจริงครับ”

“กุมภ์...”

“ถ้าคุณต้องการให้ผมพิสูจน์ว่าผมเหมาะที่จะอยู่กับพี่เดือนผมก็สามารถทำได้ และผมเองก็เชื่อมั่นว่าผมไม่มีทางที่จะล้มลงง่ายๆ”

“แม่ครับ ผมเองก็พยายามที่จะเปลี่ยนตัวเองเหมือนกัน ผมพยายามที่จะรักตัวเองให้มากขึ้น ผมพยายามที่ใส่ใจกับความรู้สึกตัวเองมากขึ้น ที่ผมพยายามทั้งหมดก็เพราะเขาคนนี้ ถ้าผมไม่สามารถรักตัวเองได้ ผมก็ไม่สามารถรักใครได้” พี่เดือนหันมาทางผมแล้วส่งยิ้มอ่อนมา “ให้ผมพิสูจน์กับน้องเถอะนะครับว่าพวกผมควรที่จะอยู่ด้วยกัน”

“ทำเป็นเหมือนว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต รักแรกมันไม่สมหวังหรอกนะ”

“ใครว่ากุมภ์รักแรกของผมครับ? ผมเองก็เข้าใจดีว่าพวกผมยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจอะไรมากกว่านี้ แต่ทำยังไงได้ ถ้าพวกผมต้องการที่จะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นไปอีก พวกผมก็ต้องศึกษา ไม่มีใครเก่งมาแต่เกิด” พี่เดือนลุกขึ้นเหมือนเดิม “เดี๋ยวผมกับแม่ค่อยกลับไปคุยกันต่อที่บ้านนะครับ แล้วก็ผมขอร้องแทนหนึ่งด้วยว่าให้ยอมรับเขา หนึ่งเองก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ ไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนี้ แต่ในเมื่อเป็นไปแล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี”

เขายกมือไหว้แม่ตัวเองแล้วจูงมือผมให้เดินตามออกมา แม่พี่เดือนยังคงมองด้วยสายตาท้าทายกับผมแต่ผมก็ยิ้มสู้กลับไป

ถึงผมจะยังอายุไม่มาก มีประสบการณ์ชีวิตไม่เท่าเธอ แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่จะอยู่เฉยๆมาให้ใครตัดสินแต่ภายนอกขนาดนั้นหรอก

 

“เฮ้อ...พี่นึกว่าจะโดนตบอีกรอบเสียแล้ว”

พี่เดือนซุกหน้าลงกับพวงมาลัยรถช่วงที่รถติดใจกลางเมือง เขาบอกว่าเย็นนี้จะพามาเดินห้างเพื่อซื้อของใช้เข้าบ้าน ผมก็ไม่ได้ค้านเขาเพราะช่วงชั่วโมงที่แล้วเขาต้องฮึดพลังทั้งหมดของตัวเองมาพูดกับมารดา ถึงจะจบที่เธอยังไม่ยอมรับเกย์ แต่อย่างน้อยเธอก็ให้โอกาสพวกเราในการพิสูจน์ว่าสิ่งที่พวกเราเป็นนั้นมันไม่ได้มาจากความรู้สึกชั่ววูบ

“เอาน่าพี่เดือน เดี๋ยวเดินห้างปรับอารมณ์ดีกว่า เนอะๆ” ผมหยิกแก้มข้างซ้ายของนกน้อยจนเขาร้องตกใจจากความเจ็บ ก่อนที่จะขยับตัวมาฉกหอมแก้มผมไปหนึ่งฟอดเต็มๆ ผมไม่ทันได้ว่าอะไรสัญญาณไฟก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวอีกรอบ

“รอวันที่ได้ขโมยจูบจริงๆเลยน้า...เมื่อไหร่จะเกินสิบแปดล่ะเราน่ะ”

“พี่เดือน....”

ข้อดีพี่เดือนก็คือเขาจะไม่ล่วงเกินอะไรผมจนกว่าพวกเราจะเป็นผู้ใหญ่กันทั้งคู่ เขารู้ว่าถ้าเขาพลาดครั้งหนึ่งมันสามารถทำลายความสัมพันธ์ลงได้เลยทันที

“ใกล้ถึงแล้ว กุมภ์อยากกินอะไรรึเปล่า?”

“ไม่ครับ ซื้อของก่อนดีกว่า ผมจะกลับไปกินกับข้าวฝีมือน้องผมนี่แหละ”

“ยังนึกถึงวันที่เข้าครัวด้วยกันแล้วครัวเกือบระเบิดอยู่เลย เรื่องนั้นสอนให้รู้ว่าคนเก่งแบบพี่ก็มีจุดอ่อน” ผมกลอกตาให้กับคำว่าคนเก่งของพี่เดือน มั่นหน้าจัง “แต่ถ้าพี่ไปเรียนมหาลัยแล้วก็ต้องฝึกบ้าง....อีกไม่นานพี่ก็ต้องไปเรียนที่อื่นแล้ว กุมภ์จะเหงารึเปล่า?”

“เหงาน่ะเหงาครับ แต่ผมไม่อยากรั้งพี่เอาไว้หรอก มันจะไม่ดีเอา” ถ้าให้พี่เดือนมากังวลใจเรื่องกลัวผมจะงอแง ให้ตัดทิ้งไปเลย “แล้วพี่จะซื้ออะไรเป็นพิเศษรึเปล่าครับ เผื่อผมช่วยเลือกได้”

“พี่ว่าพี่จะมาซื้อแชมพูใหม่น่ะ พี่ใช้อันนี้แล้วรู้สึกว่าผมร่วง” นี่ขนาดผมร่วงยังดูดกดำเป็นเงาวับ “ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าทำไมมันดูไม่เหมือนคนผมร่วง ถ้าพี่ไม่ได้ครีมบำรุงอีกตัวป่านนี้ก็คงหัวล้าน”

“ยี่ห้อที่ผมใช้อยู่อ่อนโยนต่อหนังศีรษะมนุษย์นะครับ พี่จะลองใช้ดูก็ได้” แชมพูที่ผมใช้อยู่ล่าสุดเป็นแชมพูสมุนไพรที่มีกลิ่นของผลไม้ไม่แรงมาก แถมยังอ่อนโยนกับคนกระหม่อมบางด้วย

“ก็น่าลองนะ พี่จะได้มีกลิ่นเดียวกันกับกุมภ์”

“เล่นมุขอะไรขนลุก”

“ให้พี่เล่นเถอะน่า พี่อยากเล่นมานานแล้ว” จากนั้นก็หัวเราะกันดังลั่นรถ

 

พรุ่งนี้ก็งานโอเพ่นเฮาส์แล้ว...

ส่วนผมก็กำลังโทรติดต่อประสานงานกับทางร้านเพื่อขอซื้อถังลมสำหรับเป่าลูกโป่ง หัวหน้าห้องก็ไม่เคยคิดที่จะคุยเองเลยสักครั้ง เอาแต่วิ่งไปแต่งซุ้มกับคนอื่น ทิ้งงานช้างมาให้ตลอด ซึ่งผมก็ไม่อยากบ่นให้ทะเลาะกันอีกจึงปล่อยไป ยังดีที่ดินมันรู้จักร้านถังลมใกล้ๆบ้านตัวเองเลยให้เบอร์ติดต่อเอาไว้

พรุ่งนี้พี่เดือนก็จะมารับผมแต่เช้าเหมือนเดิม พี่เดือนบอกว่าต้องมาตั้งกล้องตั้งฉากช่วยเพื่อน เพราะถ้าตั้งทิ้งเอาไว้วันนี้กลัวว่าลมหนาวมันจะพัดหายไปเสียก่อน

“ครับ พรุ่งนี้สะดวกมาส่งช่วงเจ็ดโมงใช่มั๊ยครับ? ครับ ขอบคุณนะครับ”

ทางร้านวางสายไปก่อน หวังว่าสั่งมาสองถังจะพอนะ ถังหนึ่งก็ไม่ได้ใหญ่มากอะไร งานโอเพ่นเฮาส์ก็คงไม่ได้หวือหวามีคนเดินเยอะขนาดนั้น

“นที พรุ่งนี้มึงจะมากี่โมง?”

“ต้องมาสแตนบายตอนเจ็ดโมง ทำไม?”

“พอดีว่าจะฝากค่าถังลมไว้เพราะเขาจะมาส่งตอนช่วงนั้น” ผมยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้นที มันซื่อและคนดีมากพอที่จะไม่เอาเงินไปใช้ส่วนตัว “กว่ากูจะมาถึงก็เจ็ดโมงยี่สิบ”

“โอเค รับทราบ” มันตะเบะหนึ่งทีแล้วหันไปตัดกระดาษทำป้ายแขวนหน้าห้องต่อ เพื่อนคนอื่นก็เริ่มจัดชั้นเล็กๆสำหรับวางลูกโป่งกันบ้างแล้ว บรรยากาศของห้องก็ต่างไปจากเดิมนิดหน่อยที่ว่ามีสีสันมากขึ้น

เย็นวันนี้ผมกลับบ้านเองเพราะพี่เดือนมีเรียนต่อ ระหว่างนั่งรถผมก็มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งเบียดผมเข้ามาเรื่อยๆจนแทบจะสิงร่างกันทั้งที่บนรถพื้นที่ก็ไม่ได้มีน้อยเลยสักนิด ทำให้ผมเอะใจว่าเขาต้องการอะไรจนกระทั่งมือข้างหนึ่งของเขาโอบมาทางด้านหลังเพื่อจับเอวผม

พอจับเอว มือของเขาก็เริ่มลามมาถึงสะโพกกับบั้นท้าย..

เขากำลังลวนลามผม!

“ขอโทษนะครับ คุณมาลวนลามผมทำไมกัน” ผมรีบดึงมือของเขาออก เขาทำสีหน้าตกใจนิดนึงเพราะคนทั้งรถหันมามองเขา

ไม่พูดเบาให้โง่หรอก

“คุณก็น่าจะรู้ดีว่ามีกฎหมายคุ้มครองเยาวชนอยู่ และผมก็ถูกลวนลามในที่สาธารณะด้วยซึ่งมันคงไม่เป็นการดีแน่ในเมื่อผมสามารถฟ้องร้องได้”

“มือไปโดนนิดหน่อยก็ไม่ได้งั้นเหรอ? เด็กสมัยนี้ทำไมร้อนตัวจัง”

“คุณกำลังดูถูกผมด้วยนะครับ คิดว่าผมไม่รู้รึยังไงว่าคุณจับเอวผมลามไปถึงสะโพก ถึงจะทำแค่นั้นก็ใช่ว่ามันไม่ใช่การลวนลาม” มองจ้องตาของเขา “อ่า...ผมว่าเดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ไปที่สน.แจ้งว่ามีคนลวนลามผมบนรถดีกว่า แล้วบังเอิญว่าผมจำหน้าคนที่มีเรื่องกับผมเก่ง”

“ชิ” ชายคนนั้นกดออดรถแล้วลงไป หลายคนหันมาชื่นชมผมที่ผมสามารถจัดการกับสถานการณ์ได้ ความจริงเมื่อกี๊ผมก็เกร็งไปหลายเฮือกเหมือนกันว่าเขาจะทำอะไรผมต่อรึเปล่า แต่ในเมื่อเขาไม่ทำอะไรต่อแล้วผมก็สบายใจหน่อย

“เธอคนนั้นใช่แฟนของเดือนรึเปล่า?”

“ครับ?”

“พอดีว่าลุงเป็นพ่อเพื่อนเดือนเขาน่ะ ลูกลุงชอบมาเล่าให้ฟังว่าเดือนติดเธอมาก” ลุงท่าทางใจดีคนหนึ่งนั่งลงข้างๆผมแทนที่ชายโรคจิตคนนั้น “ตอนประชุมผู้ปกครองก็เห็นอยู่นะว่าเขาไม่ค่อยชอบพ่อกับแม่เขาเท่าไหร่ เธอเจอรึยัง?”

“ผมเจอแล้วครับ พ่อพี่เดือนเข้าใจแถมยังใจดีมากๆ เพราะเขาเปิดใจให้พี่เดือนแล้ว ส่วนแม่พี่เดือน...”

“คุณรตาเป็นเจ้าของไข้หลานของลุงน่ะ”

“ครับ?”

“คุณรตาเคยเล่าให้ฟังว่าเธอไม่อยากยอมรับสิ่งใหม่ๆเพราะกลัว ลุงเชื่อว่าถ้าเป็นเธอคงจะรู้ดี” ผมพยักหน้า “แต่เชื่อลุงนะว่าถ้าคุณรตาเปิดใจแล้วเธอก็เป็นคนที่ดีมากอีกคนหนึ่ง”

ผมพอจะรู้ว่าจริงๆแล้วบ้านพี่เดือนเองก็ไม่ได้น่าอึดอัดอะไรขนาดนั้น เพียงแค่ว่าการที่ไม่เปิดใจกันมันกำลังบังเอาไว้อยู่ ถ้าพี่เดือนพูดว่าไม่ชอบตั้งแต่แรกแล้วอธิบายดีๆกับพวกท่าน พี่เดือนก็ไม่ต้องมาทรมานอะไรแบบนี้มานานหรอก

“ลุงต้องลงแล้วล่ะ วันนี้ลุงจะเล่าให้ลูกลุงฟังแล้วกันว่าเจอเธอบนรถสาย”

“เดินทางดีๆนะครับ” ผมยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ เขายิ้มให้ผมแล้วเดินลงจากรถไป ส่วนผมก็นั่งมาเรื่อยๆจนถึงหน้าบ้านตัวเอง

 

“พี่ขอยืมตัวกุมภ์หน่อยนะ”

พี่เดือนลากผมออกมาท่ามกลางเสียงโห่แซวของเพื่อนผมจากในซุ้ม เขาจูงแขนผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงซุ้มของตัวเอง จากนั้นผมก็โดนเพื่อนร่วมห้องพี่เดือนแซวอีกรอบ

“พี่พาผมมาทำไมเนี่ย”

“เดี๋ยวพี่ถ่ายคนนี้เสร็จพี่ก็จะส่งต่อให้คนอื่นทำแล้วล่ะ จะได้มีเวลาเที่ยวกัน”

ผมนั่งรอพี่เดือนที่หลังซุ้ม มีพี่หลายคนเหมือนกันที่เดินเข้ามาประเคนน้ำประเคนขนมตามคำสั่งแฟนผม พอเสร็จธุระพี่เดือนก็เดินสะพายกล้องตัวเองมาแล้วจับมือเดินออกไปทันที

“แหมๆ พอมีแฟนแล้วเลิกเก๊กเลยนะ” พี่ศึกส่งเสียงตามหลังพวกทำให้มีคนโห่ร้องตามอีกจนคนหันมามอง ซึ่งพี่เดือนก็ไม่สนใจอะไร เดินนำผมไปยังซุ้มของกินทันที

ซุ้มของกินมีเยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็นพวกคุกกี้หรือน้ำอัดลม สายไหมยังมีด้วยซ้ำจนนึกว่านี่คืองานวัด บางร้านมีการทำผัดหมี่ใส่ถ้วยพลาสติกเล็กแจกให้ชิมก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ร้านข้างกันจะเป็นร้านข้าวปั้นโอนิกิริที่เป็นกลุ่มมือใหม่หัดทำ สามารถรีเควสไส้ได้ตามใจชอบ ถัดไปอีกก็เป็นร้านส้มตำที่มีคนต่อแถวรออุดหนุนกันเต็มไปหมด

“เด็กจากโรงเรียนอื่นเยอะใช่ย่อยนะเนี่ย” พี่เดือนยกกล้องตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปบรรยากาศงาน “ปกติแล้วช่วงโอเพ่นเฮาส์พี่จะขออยู่บ้านอ่านหนังสือ ไม่ได้มาช่วยเพื่อนหรอก”

“งั้นปีนี้ก็ปีแรกของพี่นะครับ” ผมชี้ไปที่ซุ้มข้าวผัดแหนม “เดี๋ยวผมมานะ พอดีว่าน่ากินแล้วอยาก”

ไม่ถึงสามนาทีผมก็ได้ข้าวผัดแหนมในจานกระดาษมาสองจาน แบ่งให้พี่เดือนที่กำลังถือกล้องถ่ายไปเรื่อยๆ เขาขอบคุณผมแล้วหาที่นั่งนั่งกินข้าวผัดที่ใต้ต้นไม้บริเวณนั้น คอยมองคนเดินผ่านไปมา

“ความจริงแล้วพี่เองก็คิดอยู่ว่าจะเป็นช่างภาพอิสระจนไปถึงอายุเกือบจะสี่สิบแล้วถอนตัวมาบริหารโรงแรมของพ่อ” เขามองไปที่ใบไม้แห้งตรงหน้า “กุมภ์คิดว่าพี่จะทำได้รึเปล่า?”

“ทำได้สิ ระดับพี่เดือนแล้ว ต่อให้จบไม่ตรงสายก็เก่งพอที่จะทำ”

“แล้วกุมภ์ล่ะ จะทำงานสายนี้ตลอดเลยรึเปล่า?”

“ก็จนกว่าผมจะลากสังขารตัวเองออกไปไหนไม่ได้น่ะนะ” ผมส่ายหัว ความจริงแล้วงานช่างภาพก็ไม่ได้มีรายได้ตลอดเหมือนอาชีพอื่นๆ แต่ผมยังมีสตูดิโอของพ่อที่สามารถนำมาเลี้ยงตัวต่อได้ถ้าเกิดว่าผมเบื่องานออกนอกสถานที่

“งั้นเหรอ...พอพูดถึงอนาคตแล้วถ้าเป็นเมื่อก่อนพี่คงไม่ตื่นเต้นเท่านี้หรอกเพราะพี่ใช้ชีวิตไปวันๆ แต่ตอนนี้พี่อยากรู้แล้วล่ะว่าจะเจอกับอะไรบ้าง....”

“....”

“แต่พี่เองก็อยากให้กุมภ์ยืนอยู่ข้างๆด้วยนะ”

พี่เดือนวางจานข้าวผัดแหนมลงแล้วเปิดกล้องให้ผมดูรูปที่เขาถ่าย ถ้านับจากครั้งแรกแล้วพี่เดือนถือว่าพัฒนาเร็วจนน่ากลัว

ภาพงานที่เขาถ่ายมาในวันนี้มันมีความหมายมากมาย ทั้งความหวังที่จะเข้าโรงเรียนนี้ให้ได้ ทั้งความสนุก ทั้งความตื่นเต้น ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะสามารถใช้ภาพอธิบายทุกอย่างได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

“พี่อยากให้ทุกรูปที่พี่ถ่ายมีความหมาย” พี่เดือนอมยิ้ม “และอยากให้ทุกรูปเตือนพี่ด้วยว่าพี่ยังไม่ได้เจอกับอย่างอื่นอีกมากมายในชีวิตนี้ เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้พี่ออกตามหา”

“ผมตกใจนะเนี่ยที่พี่พูดแบบนี้”

“นี่ไง มีรูปของกุมภ์ด้วย”

พี่เดือนแอบถ่ายผมเอาไว้ตอนไหนก็ไม่รู้ ในรูปเป็นผมที่กำลังยืนรอรับข้าวผัดแหนมจากซุ้มอยู่ด้วยสายตามีความหวัง (เคยทำด้วยเหรอ?)

“พอพี่หันไปมอง พี่เห็นเรากำลังยืนรอข้าวผัดแหนมด้วยความตื่นเต้นอยู่ อยากรู้รึเปล่าว่าตอนนั้นพี่คิดว่าอะไร?”

“อยากสิ ถ้าให้เดาก็คงคิดว่าผมเหมือนเด็กที่รอขนมจากพ่อแม่”

“พี่กำลังคิดว่านี่เป็นอีกมุมของคนที่พี่รัก เป็นมุมเด็กๆของคนที่มีจิตใจเข้มแข็งกว่าพี่ และพี่อยากจะถ่ายเก็บเอาไว้เพื่อเวลาไหนที่พี่ย้อนกลับมาดู พี่จะได้พยายามมากขึ้นในการทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อรักษารอยยิ้มนี้”

“....”

“รอพี่เข้มแข็งนะกุมภ์ กุมภ์จะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยกับพี่ที่ยังอ่อนแอยืนด้วยตัวเองแบบนี้อีก”

พี่เดือน

พี่เดือนรู้ตัวรึเปล่าว่าพี่เดินออกมาจากจุดที่เรียกว่าความอ่อนแอของตัวเองมานานแล้วนะ เพียงแค่ว่าพี่ยังเดินได้ไม่มั่นคงเท่านั้นเอง

และผมก็ไม่ใช่คนเข้มแข็งอะไรขนาดนั้น ผมเองก็มีตั้งหลายอย่างที่ผมยังต้องใช้คนช่วยประคองให้อยู่

อย่างเช่นเรื่องความสัมพันธ์นี้...ที่ผมคิดว่าถ้าต่างคนต่างเดินไม่มั่นคง มันก็จะพังลงมา และเราก็ไม่สามารถให้คนอื่นมาช่วยประคองได้ ดังนั้นแล้วพวกเราต้องช่วยประคองกันเอง พวกเราต้องก้าวไปด้วยกัน

“ยิ้มอะไรเหรอ?”

“เปล่าหรอกครับ แค่รู้สึกว่าพี่เดือนเองก็โตขึ้นจนน่าตกใจ พี่เดือนคนนิ่งไปไหนกันนะ?”

“ยังอยู่ เพียงแค่ว่าเป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่กับแฟน”

“เดี๋ยวเถอะ ไปได้แล้ว อยากจะถ่ายอะไรอีกล่ะ?” ผมผลักไหล่คนตัวสูงกว่าให้ลุกขึ้นยืน พี่เดือนหัวเราะแล้วรีบถ่ายรูปผมตอนสบกับกล้องพอดีเข้า

“หน้ากุมภ์ตอนที่เหวอนี่น่ารักนะ”

“พี่เดือน!”

และผมก็ไล่ทุบไหล่พี่เดือนไปทั่วงาน

 

หลังจากจบงานพวกผมก็ต้องมาเก็บซากลูกโป่ง...

“ทำไมทุกคนถึงแกล้งให้กูไปเป็นเป้านิ่งให้คนปาลูกดอกเฉียดกูด้วยอะ! น้ำตาเกือบจะไหลตอนเฉียดใบหูเนี่ย!” นทีนั่งคุกเข่าตรงมุมห้องงอแง มีอุ้มกับดินนั่งปลอบใจลูกชายตัวใหญ่ใจเล็กอยู่ไม่ห่าง ท่าทางจะเสียขวัญน่าดูเชียว

“โอ๋เอ๋นะ อีกอย่างคือคุณมึงไปเสร่อยืนตรงนั้นเอง เขาปาลูกดอกมาพอดีตังหาก”

ผมก้มๆเงยๆเก็บซากลูกโป่งต่อไปโดยมีผู้ช่วยเป็นผู้ชายตัวสูงที่ทำท่าว่าจะดันให้ผมไปนั่งพักทุกรอบ พี่เดือนเองก็กำลังกวาดเศษขยะให้ห้องผมจนเพื่อนหลายคนเดินเข้าไปถามว่าพี่เดือนโดนห้องตัวเองเนรเทศออกมารึยังไงกัน พี่เขาก็ทำแค่ยิ้มตามมารยาทเพราะกลัวว่าผมจะหึงหวง

แค่นี้ผมไม่หึงหรอกน่า คิดมากจริงๆ

พอกวาดล้างเศษก็ช่วยกันเก็บชั้นต่อ อุปกรณ์ต่างๆก็เอาไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บของของโรงเรียน ส่วนถังแก๊สที่เหลือก็ติดต่อให้เขามารับกลับไป จากยอดวันนี้มีคนล้มละลายมากกว่าได้ทุนคืนเสียอีกเพราะคู่มือสอบเข้าที่นี่ยังกองเต็ม ส่วนใหญ่พวกคนที่มาที่ซุ้มก็จะขอเปลี่ยนรางวัลเป็นการฟังนทีมันร้องเพลงแทน

ชื่อมันดังมาตั้งแต่เทอมที่แล้ว ทำไมจะมีคนไม่สนใจมันอีก ถึงมันจะไม่ได้เอาอะไรมามันก็ยังมีเสียงนุ่มๆมันช่วยเรียกลูกค้า

“กุมภ์เหลืออะไรอีกรึเปล่า?”

“ผมเหลือแค่เขียนเอกสารที่หัวหน้าห้องไม่ยอมทำเท่านั้นแหละครับ กลับไปทำที่บ้านได้...เดี๋ยวผมเก็บกระเป๋าแป๊บนะ”

“นี่เป็นหัวหน้าห้องแทนเพื่อนแล้วรึยังไงกัน พี่เห็นกุมภ์ทำทุกอย่างเองเกือบทั้งหมดเลยนะ” พี่เดือนประคองหน้าผมหันซ้ายขวา “โห...เพิ่งสังเกตว่าใต้ตาแอบมีคล้ำๆด้วย ช่วงนี้ทำงานหนักเกินไปแล้ว”

“ถ้าผมไม่ทำแล้วใครจะทำล่ะครับ อีกอย่างพี่เดือนสมัยก่อนก็อย่างนี้ไม่ใช่เหรอ นี่ไงโทษฐานที่เหนื่อยคนเดียวมาตลอด พี่ต้องได้รับการลงโทษในการดูผมเหนื่อย” ผมหัวเราะ “ล้อเล่นน่าพี่เดือน ดีใจนะที่พี่เป็นห่วงผม แต่จบงานนี้ก็ได้นอนเต็มที่แล้ว”

“อืม แต่อย่าลืมนะว่าหลังจากนี้เรายังมีงานกีฬาสีอยู่”

“ไม่ลืมแน่นอนครับ พี่ไปเอาสคริปมาได้เลย”

“สองคนนั้นจะไปจีบกันก็ไปที่อื่นครับ ตรงนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับคนมีคู่” เสียงของดินร้องขึ้นจากมุมห้องทำให้พวกผมสองคนรีบวิ่งออกไปไม่ให้คนแซวมากกว่าเก่า

พูดถึงงานกีฬาสี ถ้าจบงานกีฬาสีนี้ก็จะเป็นช่วงที่นักเรียนม.6 จะยื่นพอร์ตกับลงสอบนู่นนี่เยอะแยะ พี่เดือนก็จะไม่มีเวลาถ้าเขายื่นพอร์ตไม่ผ่าน และเวลาที่พวกเราเจอหน้ากันตรงๆจะน้อยลงตาม...

แต่ว่านั่นเป็นเรื่องของอนาคต ผมอยากให้ปัจจุบันของพวกเรามีความสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้ และแน่นอนว่างานกีฬาสีนี้ผมต้องได้รูปถ่ายแห่งความทรงจำช่วงมัธยมปลายปีสุดท้ายของพี่เดือนให้เป็นของขวัญเรียนจบจากที่นี่ ผมอยากให้เขารู้ว่ามัธยมปีสุดท้ายของเขานั้นมันไม่ได้เป็นโลกแคบๆที่มีแต่สีเทาเหมือนอย่างที่เคย

อยากให้เขาเห็นรูปของตัวเองที่สามารถกางปีกบินเป็นอิสระบนท้องฟ้าสีครามนี้ได้..

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:49:06 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
ยิ่งอ่านก็ยิ่งรักเดือนกับกุมภ์ เป็นรักที่ใช้เหตุผลนำใจจริงๆ

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 15

 

“ถามจริงเถอะว่าทำไมพี่ถึงใส่ชื่อผมลงไป”

ผมกับพี่เดือนนั่งมองนทีที่โดนช่างแต่งหน้าจับแต่งองค์ทรงเครื่อง แปลงโฉมให้กลายเป็นเจ้าชายรูปงามพร้อมกับพี่ศึกที่ตอนนี้ถ่ายรูปส่งให้เพจคิ้วท์บอยใหญ่ ดินกับอุ้มไปรอที่โรงเรียนแต่เช้าเพราะต้องซ้อมใหญ่ก่อนที่จะแข่งรอบคัดเลือกบ่ายนี้ ดังนั้นแล้วผมจึงชวนพี่เดือนตื่นตั้งแต่ตีสี่มาดูไอ้แม่น้ำที่เบะปากตลอดเวลา

“โอ๊ย ก็เอ็งหน้าตาดี ให้เดือนทำก็ไม่ได้เพราะมันเป็นพิธีกรร่วมกับแฟนมันไปแล้ว” พี่ศึกโบกมือไปมา “เอ้านี่ นมสตรอเบอร์รี่ที่สั่งเอาไว้”

“ตีห้าครึ่งแบบนี้ผมขอเป็นนมอุ่นเถอะ”

“เรื่องมากจริงโว้ย!”

และนทีมันก็เถียงกับพี่ศึกในขณะที่เจ๊ช่างทำผมหน้าบูดใส่...

“เดี๋ยวสักหกโมงครึ่งออกจากที่นี่กันนะ นทีน่าจะแต่งหน้าเสร็จพอดี” พี่เดือนซบไหล่ผมแล้วหลับตาลง “พี่ของีบหน่อยแล้วกัน”

“ตามสบายครับ แต่พี่มาซบไหล่ผมแบบนี้จะไม่เมื่อยเอาเหรอ?” พี่เดือนตัวสูงกว่าผมตั้งเยอะ กลัวว่าตื่นขึ้นมาจะปวดตามตัวมากกว่านอนหลับเต็มอิ่มนี่สิ

“ไม่เป็นไรหรอก”

“ดื้อ มานี่เลย” ผมผลักพี่เดือนให้ห่างออกจากตัวผมนิดหน่อยแล้วดึงให้ศีรษะของเขามานอนหนุนตักผมแทน “แบบนี้สบายกว่าเยอะ”

“เฮ้ยๆ เกรงใจคนในร้านด้วยนะน้องกุมภ์”

พี่ศึกชี้ไปทางที่นั่งอื่นที่มีคนมาแต่งหน้าทำผมเพื่องานกีฬาสีโรงเรียน มองตาเป็นมันวาวเชียว... แต่ผมก็ยักไหล่ไม่สนใจ เลือกระหว่างความอายกับความสบายของพี่เดือน ผมยอมที่จะโบกปูนหนาๆเข้าไว้ดีกว่า

“ถ่ายลงเพจคิ้วท์บอยเลยพี่ศึก” นทีแนะขึ้นมา พี่ศึกเลยรัวชัตเตอร์กล้องมือถือตัวเอง “ยังไม่ทันจะเข้างานก็มีโมเม้นท์แล้ว เมื่อไหร่กูจะมีอย่างนี้บ้างนะ”

“หุบปากไปเลยไอ้แม่น้ำ”

“พี่ศึก มันด่าผมอะ”

“ยอมโดนด่าไปเถอะ ถ้าเกิดเถียงขึ้นมาแล้วเดือนมันช่วยด้วยนี่จะเถียงไม่ออกแทน” พี่ศึกหัวเราะ “เก่งเรื่องเถียงเป็นที่หนึ่ง...ยกเว้นว่าตอนนี้ยอมฟังแฟนมันคนเดียว”

“เงียบทั้งคู่เลยครับ พี่เดือนจะนอน” ผมส่งสายตาจิกไปให้ผู้ชายสูงสองคนตรงหน้า ระหว่างที่พี่เดือนนอนหนุนตักผมก็เช็คโทรศัพท์ไปด้วย มีนาบอกไว้เมื่อวานว่าถ้าโรงเรียนเลิกไวจะแว๊บเข้ามาวันปิดงาน ส่วนพ่อกับแม่จะเข้ามาเป็นระยะเนื่องจากมีคนจ้างให้มาถ่ายงานด้วยเหมือนกัน

ฝั่งบ้านพี่เดือนก็จะมีแต่พ่อมาเพราะน้องชายติดเรียน ส่วนคนแม่นั้นยังคงยุ่งกับงานโรงพยาบาลและคงไม่อยากจะคุยด้วยสักเท่าไหร่ในตอนนี้

พี่เดือนบอกว่าได้คุยกับแม่บ้างนิดหน่อยแต่ท่านก็ยังคงเฉยๆ ไม่ค่อยหือไม่ค่อยอือด้วยมาก ซึ่งก็ยังดีกว่าไม่มองหน้ากันเลยแล้วกัน

 

เข็มเวลาวนมาถึงเลขหก ผมก็ปลุกพี่เดือนให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงอาทิตย์ฤดูหนาวที่ขึ้นช้ากว่าฤดูอื่น เขาทำหน้าง่วงๆบนตักผมชั่วครู่แล้วก็สะบัดหัวไปมาไล่ความงงของตัวเองแล้วยิ้มรับแสงอรุณเหมือนในละคร

“กี่โมงแล้ว?”

“หกโมงสิบห้าครับ นทีก็จะเสร็จแล้ว”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองพ่อหนุ่มตัวสูงที่ตอนนี้มีออร่าเปล่งปลั่งแข่งกับพระอาทิตย์ ทุกสัดส่วนมันดีไปหมด

จะว่าไปพี่เดือนเองก็เคยทำหน้าที่นี้นี่นา

“พี่เดือน ตอนที่พี่เป็นคฑากรนี่..พี่ก็ตื่นเช้าแบบนี้ใช่มั๊ย? ตอนนั้นพี่รู้สึกยังไงครับที่โดนจับแต่งหน้า”

“อืม...เอาจริงๆพี่ไม่ชอบ แต่พี่ก็ต้องยอมนะ ร้อนก็ร้อน วันนั้นเป็นวันที่แดดแรงมาก ผู้หญิงที่คู่กับพี่ก็เป็นลมแดดเพราะไม่ได้กินข้าว” พี่เดือนหัวเราะ ผมเหลือบเห็นสีหน้าซีดๆของนทีจากกระจกข้างหน้า “ถามว่าสนุกมั๊ย..พี่ไม่แน่ใจ พี่ไม่ค่อยมีความทรงจำดีๆกับเขาเลยไม่ค่อยจำ”

“พี่เดือนอย่าลากเข้าเรื่องดราม่าดิ ผมไม่ชอบ คุยกับผมต้องมีแต่เรื่องดีๆนะ”

“ยกเว้นแต่พี่เดือนอยากให้กุมภ์ดุอะ...พี่ศึก นมผมล่ะ?”

“นี่คร้าบบ ประเคนถึงมือครับท่านชาย” พี่ศึกกลอกตามองบนพลางยื่นขวดนมสตรอเบอร์รี่ พอเข้าปากนทีเท่านั้นแหละมันอารมณ์ดีทันที

“เราไปกันเถอะ ต้องไปแต่งตัวอีกนะ” พี่เดือนหมายถึงชุดที่ผมกับเขาเคยใส่ด้วยกันตอนงานเมื่อเทอมที่แล้ว ไอ้เสื้อนั่นทางสภานักเรียนบอกว่าให้ผมเก็บเอาไว้เลยเพราะไม่มีใครใส่ได้ ซึ่งเสื้อนี้ผมก็โยนลงเบาะหลังรถพี่เดือนเอาไว้เมื่อเช้าเพราะไม่อยากรีบแต่งให้มันยับจนดูไม่ดี

ผมยกมือไหว้ลาพี่ศึกที่เป็นพี่เลี้ยงนที เดินออกไปที่หน้าร้าน พี่เดือนสตาร์ทรถรอเอาไว้ เขาหันไปหยิบเสื้อคลุมสีเขียวของเขามาสวมลวกๆแล้วก็ยื่นผ้าห่มนาโนมาให้ผมห่มเพราะวันนี้อากาศเย็นแต่เช้า ท้องฟ้าก็ไม่ได้มีแดดจัดอย่างที่คิดไว้แต่แรก ผมว่าน่าจะเหมาะกับการถ่ายภาพกีฬากลางแจ้ง

ทั้งผมและพี่เดือนถือกระเป๋ากล้องมาด้วย และสัญญาว่าจะเดินไปถ่ายงานด้วยกันเมื่อเสร็จภารกิจ

อาจจะเป็นเพราะอภิสิทธิด้วยล่ะมั๊งที่ทำให้ผมไม่ต้องขึ้นทั้งสแตนด์เชียร์ ทั้งเข้าแข่งกีฬา เพราะผมถือว่าเป็นตัวแทนมากิจกรรมอย่างอื่นแล้ว กรณีเดียวกันกับนทีที่มันเป็นคฑากรซึ่งพอจบวันนี้มันก็ไม่ต้องทำอะไรอีกนอกจากไปเดินไปนั่งหล่อๆให้ผู้หญิงขอถ่ายรูปด้วย

“หลังจากงานกีฬาสีพี่ก็ไม่มีเวลาแล้วนะ....”

พี่เดือนพูดขึ้นมาตอนที่เลี้ยวเข้ารั้วโรงเรียน สีหน้าดูเศร้าๆ

“พี่ต้องเตรียมตัวยื่นพอร์ต เตรียมตัวสอบ พี่คงแวะมาหากุมภ์ไม่ได้ทุกวันเหมือนเมื่อก่อน”

“ปกติมันต้องเป็นผมไม่ใช่เหรอที่งอแงอยากเจอพี่ แต่นี่พี่งอแงซะอย่างนั้น?”

“ก็พี่รักกุมภ์นี่นา พี่ก็อยากเห็นหน้าทุกวัน” พี่เดือนปลดเข็มขัด เอื้อมตัวไปด้านหลังเพื่อหยิบถุงเสื้อกับกระเป๋ากล้องให้ “พี่ไปมหาลัยแล้วไม่เจอหน้ากุมภ์ พี่ต้องแห้งตายแน่เลย”

พี่เดือนเบะปากเหมือนเด็กน้อยที่ไม่ได้ของเล่น มันอดทำให้ผมยกมือไปบีบแก้มเขาไม่ได้ นับวันยิ่งทำตัวเป็นเด็กกับผมมากขึ้นทุกที

แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเด็ก เพราะตัวพี่เดือนเองก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ทางด้านจิตใจมากขึ้นเช่นเดียวกัน

“รีบลงรีบไปแต่งตัวเถอะครับ อย่างพี่เดือนต้องเซ็ทผมเพิ่มอีก นอนตักไปผมยุ่งหมดแล้ว” ผมยืนขวดเจลใส่ผมที่อยู่ตรงคอนโซลรถให้เขา ตั้งแต่คบกันมาพี่เดือนก็ชอบทิ้งพวกอุปกรณ์แต่งผมกับน้ำหอมขวดเล็กๆเอาไว้เสมอ อ้างว่าจะได้หล่อตลอดเวลาที่มาเจอผม (หมั่นไส้) แต่เอาจริงๆแล้วพี่เดือนชอบเดินใส่แว่นกับทรงผมยุ่งๆมากเสียกว่าเพราะไม่อยากเห็นผมหน้ามืดหึงบ่อยๆ (อันนี้ก็มั่นหน้า)

พี่เดือนอ้อยอิ่งอีกสักพัก ผมกับเขาก็พากันเดินมาที่จุดนัดหมายของโรงพละโรงเรียน พี่ๆกลุ่มสภานักเรียนยิ้มรับและยื่นเอกสารบทพูดมาให้พวกผมอ่านคร่าวๆ แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ไล่ให้ไปแต่งตัวพร้อมเพราะไม่คิดว่าจะมาช้ากันขนาดนี้

ผมใช้เวลาในการหวีผมไปไม่นานหลังจากแต่งตัวเสร็จ ก็ออกมาเห็นพี่เดือนกำลังยืนหันหลังให้ เขาคุยกับผู้ชายคนหนึ่งที่มีสีหน้ารีบร้อนเหมือนกำลังเกิดอะไรขึ้นสักอย่างข้างนอก

“ทำไมมันถึงเกิดขึ้นได้ล่ะ?”

“ไม่รู้เหมือนกันครับพี่เดือน แต่เหมือนมีคนไปสับคัทเอาท์ลง กำลังตามคนไปช่วยกันสับขึ้นเหมือนเดิมอยู่”

พี่เดือนถอนหายใจ เขามองซ้ายขวาจนกระทั่งเห็นผม “เสร็จแล้วเหรอ? นี่กำลังเกิดเรื่องเลย มีคนไปสับคัทเอาท์ลงตอนที่ทีมงานกำลังเปิดพวกอุปกรณ์ข้างนอก พี่กลัวว่าเปิดอีกทีเครื่องจะไม่ติด”

“มีคนไปดูแล้วใช่มั๊ยครับ?”

“อืม ใครมือบอนไปเล่นกันนะ” พี่เดือนเดินนำผมไปที่เต้นท์ที่กำลังมีคนเข้าไปจัดที่นั่งให้เหล่าครูนั่งช่วงเปิดพิธี เหล่าคนเหมือนกันที่หัวเสียเมื่อรู้ข่าวว่ามีคนไปยุ่งกับคัทเอาท์ บางคนก็หัวร้อนกลัวเครื่องเสียงจะเปิดไม่ได้เนื่องจากไฟถูกตัดกระทันหัน

ผมกับพี่เดือนเดินเข้าไปช่วยจัดเก้าอี้แต่ก็ถูกไล่ออกมาให้ไปช่วยอย่างอื่นแทน ดังนั้นพวกผมจึงมาก้มๆเงยๆเก็บเศษขยะแถวนั้นเอา ตามพุ่มไม้นี่เยอะอย่าบอกใคร เหล่าบรรดานักกีฬาอีสปอร์ตที่ซ้อมอยู่ใกล้กันก็เริ่มเดินออกจากห้องมาเจอแสงตะวัน อุ้มกับดินวิ่งร่าเข้ามาเจอผมกับพี่เดือนแล้วก็บ่นใหญ่ว่าทีมที่เจอรอบแรกมีแต่พวกตัวเก็ง กลัวจะไม่ไหวเอา

แต่ผมเชื่อฝีมือสองคนนี้มาก ตำแหน่งเมจที่หิวเลือดตลอดเวลาอย่างอุ้มกับแท็งค์สายจู๊กกวนประสาทชาวบ้านอย่างดินจะสามารถพาทีมรอดได้ ผมเคยเล่นกับพวกมันอยู่สองสามครั้งก็รู้ว่าเวลาที่สองคนนี้ไปด้วยกันทีไร ทีมตรงข้ามจะมีแต่หายนะ คุณคิดดูแล้วกัน ถึงสายเมจที่อุ้มเล่นจะบางก็จริง แต่เล่นออกของเวทแรงๆกับแอบไปฟาร์มให้ดินมันเป็นเหยื่อล่อไปก่อน มีใครกันให้เมจไปฟาร์ม มีแค่คู่นี้ ตอนแรกๆในทีมก็ด่ากันอยู่หรอก แต่พอแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นก็พากันเงียบไปหมด

จะว่าไปผมก็แอบเอาให้พี่เดือนเล่นเหมือนกัน พี่เดือนนั่งงอยู่ได้สามนาทีก็ขอวางมือเพราะลายตา

ไม่เหมาะกับเกมจริงๆนั่นแหละ

“อีกไม่ถึงชั่วโมงพวกที่เดินขบวนก็น่าจะเข้ามาแล้ว กุมภ์ มึงเอากล้องมึงมาฝากกูถ่ายไอ้แม่น้ำก็ได้” อุ้มอาสาที่จะถือกล้องถ่ายนทีแทนผม เจ้าตัวบอกว่าเห็นอย่างนี้ก็มีกล้องที่บ้านเหมือนกัน ถึงจะแอบแม่เอามาเล่นก็เถอะ “....รูปมึงกับพี่เดือนเต็มไปหมด ถามจริงเถอะ มึงไม่กลัวพวกกูเอารูปพวกนี้ไปปล่อยลงเฟสรึยังไง?”

“กลัวทำไม เป็นแฟนกันอยู่แล้ว”

“เชรด คนจริง”

“พวกมึงไปเลย ไปหามุมดีๆถ่ายให้ได้นะเว้ย แล้วก็ถ้าเลนส์แตกซื้อคืนด้วย”

ทั้งสองคนรีบเดินไปหาจุดร่มๆสำหรับถ่ายรูป ส่วนผมกับพี่เดือนก็เดินกลับมาที่บริเวณรวมตัวของสภานักเรียนอีกครั้งเพื่อหยิบกระดาษที่วางทิ้งเอาไว้ขึ้นมาอ่านทวน ไม่นานนักก็มีรถน้ำรถขนมเข็นเข้ามาตั้งไว้เป็นสวัสดิการจากทางโรงเรียน พี่เดือนเดินไปหยิบมาป้อนใส่ปากผมส่วนผมก็หยิบแก้วน้ำมาถือให้พี่เดือนดูด

“ขอร้องล่ะ สองคนนี้ช่วยหยุดเรื่องหวานๆต่อหน้าสื่อสักวันจะเป็นอะไรมั๊ย”

 

ขบวนกีฬาสีมาถึงในตัวโรงเรียนแล้ว

และไอ้นทีแม่งก็หล่อโคตรๆ....

มันเดินด้วยท่าทางสง่างามราวกับเจ้าชายในเทพนิยาย สายตาและใบหน้าถูกแต่งให้ดูมีเสน่ห์มากกว่าเก่า โดยเฉพาะชุดที่ผมไม่ทันได้เห็นว่าเป็นอย่างไรก็ทำให้ผู้หญิงในสนามมองตาค้างได้อย่างกินขาด มันมาในชุดอัศวินสีขาวมีผ้าคลุมสะบัดไปมา มือข้างขวามือไม้คฑาที่ดัดแปลงเป็นทรงดาบ ผมยาวๆของมันถูกมัดลงต่ำและใส่หมวกแฟดอร่าสีขาวติดขนนกสีชมพูสลับแดงเนื่องจากสีชมพูเป็นสีประจำห้องผม

ถ้าเทียบกับรูปที่พี่เดือนเคยถ่ายตอนเป็นคฑากร ผมขอพูดตรงๆเลยว่านทีดูดีกว่ามาก

พี่เดือนสะกิดให้ผมละสายตาจากเพื่อนของตัวเองมาสนใจกับการเปิดพิธีต่อ ผมไม่รู้ว่าผู้อำนวยการจะพูดยาวๆทำไมแต่สุดท้ายพิธีก็เปิดจนแล้วเสร็จ ผมกับพี่เดือนจึงเดินมาถอดเสื้อทั้งหมดแล้วแปลงร่างเป็นนักเรียนที่ใส่เสื้อพละประจำสีตัวเองพร้อมกับกล้องที่อุ้มกับดินเดินมาคืนให้แล้ว ไอ้นทีกว่าจะเดินมาหาพวกผมตามนัดได้ก็เล่นเอาลำบากเพราะมีแต่คนขอถ่ายรูป

นี่ขนาดวิ่งหนีมายังดูดี..สัด

“ขอเวลาไปล้างหน้าล้างตา ใส่แว่นเปลี่ยนเสื้อก่อนนะ”

มันทิ้งท้ายเอาไว้อย่างนั้น พวกผมจึงเปิดดูตารางการแข่งเล่นๆรอฆ่าเวลา ซึ่งกะกันไว้ว่าหลังจากที่นทีมันเปลี่ยนเสื้อเสร็จจะพากันไปดูผู้หญิงแข่งวอลเลย์บอล เมื่อจบแล้วก็ไปต่อที่บาสชายบนโรงยิม จากนั้นช่วงบ่ายก็จะเข้าไปเชียร์เพื่อนสองคนลงแข่งอีสปอร์ต

“มาแล้วๆ” นทีเดินออกมาอีกทีในคราวเด็กผู้ชายสูงๆ ใส่แว่นกรอบดำหนาจนหน้าจืด และเสื้อพละที่ใหญ่เกินตัวนิดหน่อย เสียดายเมื่อกี๊จริงๆ ถ้ามันยอมหล่อไปตลอดก็ดี “ไปกันเถอะ นี่เอาของจากกลุ่มผู้หญิงมาให้ด้วยนะ”

“ฮะ?”

“หลายคนเอาน้ำเอาขนมมาให้ ก็ใช่ว่าจะกินหมดสักหน่อย” มันยื่นถุงขนมหลากยี่ห้อให้ดู มือข้างหนึ่งของผมเปิดห่อลูกอมเข้าปาก ผมเลยหยิบช็อคโกแลตแบ่งพี่เดือนคนละครึ่ง เดินกินไปเรื่อยๆจนถึงสนามวอลเลย์ในโรงพละเล็กๆ

ผมกับพี่เดือนแยกกันคนละมุมเพื่อไปเก็บภาพ หลายจังหวะเหมือนกันที่ผมได้ภาพสวยๆช็อตเด็ด ส่วนนทีมันก็เดินตามผมเป็นลูกเป็ด มือทั้งสองข้างถือขนมอย่างละห่อ

“เสียดายสีผมแพ้ เอาไว้ปีหน้าแล้วกัน”

“ไปดูบาสต่อกันเถอะ”

พวกผมทั้งสามคนเดินมาที่โรงยิมชั้นบนเพื่อไปถ่ายเก็บรูปเหล่าผู้ชายตัวสูงๆกำลังพากันแย่งลูกบอลกลมๆเด้งไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมไม่แปลกใจว่าทำไมผู้หญิงถึงเยอะ แต่พอพี่เดือนปรากฏตัวก็พากันเรียกให้มาถ่ายใกล้ๆพวกเธอ นทีมันเลยแซวว่าผมไม่หึงอะไรรึยังไง

ไอ้หึงก็หึงอะ แต่มันคือการคืองาน มุมที่ผู้หญิงหลุ่มนั้นนั่งก็ใช่ว่าเป็นมุมไม่ดี

“อ้าว น้องกุมภ์?”

“พี่เมย์? สวัสดีครับ”

“ไหว้ทำไม ถือกล้องไปเลย มากับนทีสองคนเหรอ?”

“พี่จำผมได้ด้วย ขอร้องไห้ได้มั๊ย” นทีเบะปากทำท่าร้องไห้ดีใจ พี่เมย์ก็เลยหัวเราะใหญ่แล้วแย่งขนมในถุงไปกิน

“แล้วเดือนล่ะ?”

“นู้น ผู้หญิงกำลังประคบประงม นี่ขนาดมีแฟนเป็นตัวเป็นตนนะยังกล้าต่อหน้า”

“นั่นกลุ่มที่ไม่ชอบกุมภ์ไม่ใช่เหรอ? กุมภ์รีบไปแยกออกเลยนะ พี่เห็นอยู่ว่ากลุ่มนั้นชอบสร้างข่าวว่ามีผู้ชายมาจีบบ่อยๆ” พี่เมย์แนะให้ผมตามตัวพี่เดือนกลับมา ผมพยักหน้าให้แล้วก็เดินไปหาพี่เดือนถึงที่ พี่เดือนเงยหน้ามามองผมแล้วฉีกยิ้มให้ทันที

“ไปกันเถอะพี่ ผมเริ่มหิวข้าวแล้ว”

“พี่เดือนคะ รอดูให้จบก่อนไม่ดีเหรอคะ?” นั่นไง รั้งพี่เดือนเอาไว้แล้ว

“พี่เดือน พี่เมย์ก็จะไปด้วยนะ นี่เห็นว่าไปตามพี่ศึกมาด้วย” นทีช่วยเสริมทัพให้ พี่ผู้หญิงกลุ่มนั้นจึงเริ่มส่งสายตาจิกกัดมากขึ้นเรื่อยๆ “แฟนพี่ก็เพิ่งบอกว่าเริ่มหิวแล้วนี่ ใกล้จะเที่ยงแล้วด้วย”

มันช่วยพูดเสริมสถานะระหว่างผมกับพี่เดือนให้พวกเธอฟัง ซึ่งพวกเธอก็ยังลอยหน้าลอยตาเอาแขนไปคล้องพี่เดือนต่อหน้าผมจนเจ้าตัวเหวอไปทันที เขาค่อยๆสะบัดออกแต่ก็ไม่ได้ผลด้วย

แขนรึผ้าตีนตุ๊กแกวะนั่น

“เอ่อ...คือพี่จะไปแล้วล่ะ...”

“เฮ้ยมึง ดูนั่นดิ คนหน้าไม่อาย”

เสียงมาใหม่ของเพื่อนผมดังขึ้น อุ้มกับดินเดินถือข้าวกล่องถุงใหญ่มาทางพวกผมพร้อมกับพี่ศึกและพี่เมย์ หน้าของดินบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ชอบใจรุ่นพี่ผู้หญิงกลุ่มนี้เป็นพิเศษในขณะที่หน้าพี่ศึกเหมือนกำลังตื่นเต้นรอโชว์สดกลางสนามบาส

“เขามีเจ้าของอยู่แล้วยังกล้าควงต่อหน้าอีก ถ้าพ่อแม่รู้ว่ามีลูกแบบนี้คงเสียใจแย่” ไม่พอยังยักไหล่ให้อีก จังหวะนี้ใครจะด่าไอ้ดินว่าไอ้หน้าตัวเมียมันก็คงไม่สน

“ทำไม ก็เจ้าตัวไม่มีปัญญามาขอคืนเองต้องให้เพื่อนมาพูดให้นี่น—ว้าย!”

“ขอโทษนะครับที่ผมไม่มีปัญญามาขอคืนเอง” ผมหยิกเข้าไปที่แขนของรุ่นพี่จนน้ำตาเธอแทบไหล “แต่นี่แฟนผม พี่คงไม่อยากเป็นประเด็นดังหรอกนะว่าพี่ไปแย่งแฟนชาวบ้าน”

“...ปล่อยนะ เจ็บ”

“ก็ต่อเมื่อพี่ปล่อยแขนแฟนผมก่อน”

เธอรีบปล่อยแขนพี่เดือนแล้วลูบป้อยๆตรงบริเวณที่ผมหยิกจนแดง พลางแสร้งทำเป็นร้องไห้หาว่าผมรังแกผู้หญิงตัวเล็กๆเรียกความสนใจจากคนข้างๆ ผลที่ได้ก็คือมีผู้หญิงอีกกลุ่มร้องตะโกนมาว่า ‘ก็ไปเสือกกับเขาเอง สมน้ำหน้า’ แค่นั้นแหละทำให้คนหัวเราะกันทั้งบริเวณ

พี่เดือนและผมเดินตามเพื่อนที่เหลือออกมาหน้าโรงยิม อุ้มมันยอผมใหญ่ว่าผมเอาเรื่อง จัดการจนเสียสัตว์มีนอ ส่วนนทีมันไม่สนอะไรแล้วนอกจากข้าวกล่องที่อยู่ในมือเพื่อน

“พอดีว่าจะไปหาที่นั่งกินใหม่ โรงอาหารคนเต็มเลย นั่งแถวไหนดี?” พี่เมย์ถามขึ้นมา “แถวใต้ต้นไม้ตรงนั้นมั๊ย? คนไม่มีแถมยังร่มอีก”

“ถ้าเลือกโลเคชั่นให้ขนาดนี้แล้วจะถามทำไม—โอ๊ย!” พี่ศึกประธานสีโดนพี่เมย์ฟาดหลังเต็มๆจนผมเจ็บแทน แล้วก็เดินตามหลังกันต้อยๆเป็นขบวนรถไฟ

“หลังจากนี้ก็มีแข่งอีสปอร์ต พี่ศึกอย่าลืมมาดูเน้อ เวลาชนะจะได้มีพยานหาเรื่องคนมาเลี้ยงหมูกระทะ” ดินตักผัดปลาหมึกเข้าปากตัวเอง แต่ละกล่องแต่กับข้าวไม่ซ้ำหน้าอย่างของนทีมันได้เป็นผัดหมูกรอบคื่นช่าย ของพี่เดือนเป็นหมูผัดขิง ของคนอื่นๆก็เป็นเมนูทั่วๆไปอย่างกะเพราหรือไข่เจียวซึ่งสามารถแบ่งกันกินได้หมด

“เออ เมื่อเช้ามึงเห็นช็อตที่นทีมันโยนหมวกแฟดอร่าให้คนในสแตนด์ปะ จังหวะนั้นแม่งอย่างหล่อ มึงคิดอะไรถึงโยนให้วะ เรียกคะแนน?” อุ้มพูดถึงรูปที่เธอกดได้พอดีในช่วงที่นทีมันโยนหมวกให้กลุ่มผู้หญิงที่นั่งบนสแตนด์ ช็อตนั้นคือกรี๊ดดังลั่นโรงเรียนยิ่งกว่าถูกหวยยี่สิบล้าน

“กูร้อน”

“สัด ถ้าคนที่เก็บได้ได้ยินเข้าแม่งมีร้องไห้ว่ะ” ดินสบถขึ้นจนหัวเราะทั้งกลุ่ม “แล้วจะบอกว่าเพจคิ้วท์บอยมีแต่รูปโมเม้นท์มึงกับพี่เดือนเต็มไปหมดจนกูคิดว่านี่เพจเอฟซีพวกมึงไปแล้ว”

“อย่างรูปนี้เป็นรูปที่เดือนเช็ดหน้าให้น้องก่อนจะขึ้นไปพูดอีกรอบน่ะ ใช้กล้องของอะไรถึงซูมได้ขนาดนี้กัน” พี่เมย์ยื่นโทรศัพท์เปิดหน้าเพจคิ้วท์บอยให้พวกผมดู นอกจากนี้ยังมีรูปต่างอิริยาบถอีกมากมายเช่นรูปตอนถือแก้วน้ำไปให้ประธาน รูปตอนถือไมค์ด้วยกัน รูปตอนที่พี่เดือนก้มลงมากระซิบกับผม

ใครถ่ายวะ รับจ็อบเสริมเป็นปาปารัสซี่?

 

เมื่อพวกผมจัดการกับมื้อกลางวันเสร็จก็พากันไปนั่งจับจองที่ในห้องประชุมเล็กๆเพื่อรอดูไลฟ์แข่งอีสปอร์ตกัน โชคดีที่สามารถนำขนมเข้ามากินรอได้ ขอแค่ไม่ทำสกปรกก็พอ

ได้ข่าวว่าทีมตรงข้ามโหดใช่ย่อย รอดูดีกว่า อาจจะได้เห็นมวยถูกคู่แต่แรก

ไม่นานนักทุกคนก็เดินเข้าประจำเก้าอี้พลาสติกที่ตั้งเอาไว้ เชื่อมจอโทรศัพท์ของหัวหน้าทีมแต่ละทีมเพื่อสตรีมและตัดภาพตอนที่เลือกตัวละคร ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าใครเล่นเป็นอะไรและจะไม่มีการตะโกนบอกทั้งสิ้น คนที่นั่งอยู่บริเวณรอบๆก็พากันพูดว่าเลือกนู่นสิเลือกนี่สิ

ผมรู้ดีอยู่แล้วว่าอุ้มกับดินมันพากันเล่นตัวอะไร เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ตอนที่เปิดหน้าจอโชวให้ดูว่าแต่ละทีมส่งอะไรไปตายกันกลางสนามบ้าง

ครึ่งแรกมีแต่คนบ่นว่าอุ้มกับดินเล่นไม่เป็นรึยังไงถึงไม่เกาะชาวบ้านเอาไว้หรือไปรุมตีนตอนที่เขาเปิดกัน หลายคนที่อยากได้เฟิร์สบลัดเพราะแต้มมันสูงพอตัวเวลานับคะแนนรวม แต่ถึงอย่างนั้นคะแนนจากส่วนอื่นก็สามารถเป็นตัวชี้วัดได้ถ้าทำได้ดี

ช่วงกลางเกมทุกคนเริ่มขวัญผวากับความสตั้นเก่งของอุ้มและการจู๊กกวนตีนของดิน ไหนจะทั้งพลังเวทที่แรงโคตรๆเล่นทีเพนตร้าคิลไปได้ นั่นไม่ใช่ธรรมดาเลยสักนิด ยิ่งมาท้ายเกมทีมตั้งข้ามแทบจะยกธงขาวเพราะอุ้มกับดินจัดการเผาเรียบเป็นหน้ากลองปล่อยให้ที่เหลือไปพังป้อม

คะแนนแข่งรอบแรกออกมา ฝ่ายตรงข้ามนำนิดหน่อยเพราะมีเฟิร์สบลัดเสริม แต่ถือว่าตีตื้นมาก เกมนี้มาดูกันว่าจะแก้เกมยังไง

“พี่กลัวว่าทีมนั้นจะจับทางได้” พี่เดือนยืนขวดน้ำมาให้ผมดื่ม

“พวกมันมีวิธีแก้เกมอย่างเยอะ พี่ไม่ต้องกลัวหรอก”

เกมสองมาอุ้มกับดินไม่ได้ใช้แผนเดิม พวกมันพากันไปลุยป้อมทันทีแล้วพอมีคนมาพวกมันก็รีบจู๊กหนีไปฟาร์มแล้วก็วนกลับมาที่ป้อมอีกรอบ ทำแบบนี้วนไปจนไปตอดได้เฟิร์สบลัดมาอย่างงงๆ แต่ถือว่าเป็นเรื่องดี จากนั้นก็รุมประชาทัณฑ์จนนับแต้มออกมาชนะอย่างขาดลอย

อุ้มกับดินเดินเข้ามาแท็กทีมกับพวกผมเพราะได้ผ่านเข้ารอบ แถมพี่ศึกแลดูจะภูมิใจมากด้วยกับแผนการเล่นกวนๆแบบเดาไม่ออกของสองคนนี้ ไม่นานนักผมก็เห็นพ่อแม่ของผมวนๆอยู่ข้างถือถุงอะไรมาให้

“สวัสดีครับคุณแม่ คุณพ่อ” พี่เดือนเป็นฝ่ายยกมือไหว้พ่อแม่ผมก่อน พี่เมย์หันมาส่งสายตาถามผมว่าเรียกพ่อแม่อย่างนี้หมายความว่ายังไง ตอนนี้ก็ราวๆบ่ายสามแล้ว มีนายังไม่เลิกเรียนก็คงไม่มาให้เห็นหรอก

“แม่เอานี่มาให้นะ น้ำมะพร้าวหอมๆได้มาจากคนรู้จัก มีครบกันทุกคนเลย” แม่ใจดีมากจนถึงขั้นทำคะแนนกับเพื่อนผมเลยรึยังไงกัน “เมื่อเช้าออกไปแต่พระอาทิตย์ไม่ขึ้น งอแงง่วงนอนมั๊ยเนี่ย”

“ผมนี่แหละครับงอแงง่วง” พี่เดือนว่าพลางหัวเราะ “งานจะมีอีกสองวัน วันสุดท้ายจะมีแข่งสแตนด์เชียร์ ผมมีจุดถ่ายรูปดีๆแนะนำนะครับ”

“เอ้อ ดีๆ นี่แหละลูกเขยพ่อ”

“พ่อ...”

“รอแต่งอีกไม่กี่ปีเอง” คราวนี้ทั้งกลุ่มหัวเราะยกเว้นผมที่ทำหน้าบูด มาพูดเรื่องแต่งงงแต่งงานอะไรกลางโรงเรียนแบบนี้กัน...

“วันนี้ไม่มีอะไรแล้วก็กลับกันเลยดีกว่าเนอะ พักผ่อนให้เต็มที่เพราะจะไม่มา” นทีมันตบอกตัวเอง ใช่สิ มันไม่มีกล้อง ไม่มีภาระแข่งอะไรนอกจากมาหล่อวันแรกกับวันสุดท้าย “แข่งของพวกมึงก็วันสุดท้ายเลยนี่นา”

“เออ ก็ว่าจะไปนอนพักสายตา พวกพี่ๆบอกว่าพรุ่งนี้บ่ายๆค่อยนัดวางแผน พี่ศึกกับพี่เมย์ยังต้องมาคุม ส่วนคู่นี้ก็ต้องมาถ่ายเก็บงาน”

“ง่ายๆคือเดท” พี่ศึกปิดท้าย อุ้มรีบขอบคุณที่พี่ศึกมันรู้จักหวะตบมุข ผมล่ะเกลี๊ยดเกลียดความเข้ากันของสองคนนี้เหลือเกิน

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวกุมภ์กลับไปบ้านก่อนนะ พ่อกับแม่ยังต้องอยู่จนกว่าจะแข่งทุกอย่างเสร็จ” พ่อลูบเส้นผมของผมแล้วผละออก “เดือนไปส่งน้องให้ทีนะ”

“อ่า...ผมว่าจะขอค้างด้วยสักคืนน่ะครับ”

“ฮะ?” พี่เดือนพูดว่าอะไรนะ?

“คือพรุ่งนี้ยังไงก็ต้องออกแต่เช้าอยู่แล้ว พ่อผมไม่อยากให้ผมตื่นเร็วเกินจนหน้ามืดหลับในคารถ” พี่เดือนหัวเราะเสียงเบา แต่ทำไมน้ำเสียงดูเจ้าเล่ห์จังวะ รึว่า...”ผมเลยตัดสินใจขอพ่อมานอนกับน้องสักคืน...จะว่าอะไรผมรึเปล่าครับ?”

อย่านะพ่อ...”อืม.....”

“แม่ไม่ว่าหรอกนะ แต่อย่าเสียงดังมากไปก็พอ” แม่! ผมเพิ่งสิบหก!

“เอางั้นก็ได้ พ่อมีเรื่องอยากคุยเยอะแยะเลยกับเดือน ช่วยเผาน้องให้ฟังด้วยนะ”

ฟ้าคคคคคคคคคคคค

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:52:13 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 16

 

ตลอดทั้งคืนผมกับพี่เดือนพากันเปิดดูรูปที่อุ้มกับดินถ่ายมาให้ โชคดีที่สองคนนี้พอจะรู้มุมกล้องดีๆบ้างเลยไม่ได้ทำให้ดูแย่มาก แต่ที่ขัดลูกกะตาก็คือแทนที่พวกมันจะถ่ายบรรยากาศงาน มันดันถ่ายรูปผมกับพี่เดือนยืนเป็นพิธีกรร่วมกันกับนทีอีกนิดหน่อยเท่านั้น นี่สรุปว่าผมไว้ใจผิดคนใช่มั๊ย?

แล้วก็ถ้าทุกคนหวังว่าจะมีอะไรในกอไผ่ระหว่างผมกับพี่เดือน คิดผิดแล้วล่ะ เพราะเมื่อคืนผมลากผ้านวมออกมาปูให้พี่เขานอนกับพื้นเอาโดยมีเจ้าปลาตัวใหญ่สีน้ำทะเลเป็นหมอนข้าง

ตื่นเช้ามาพี่เดือนบิดขี้เกียจแล้วก็ขยี้ตาเหมือนเด็ก พร้อมกับทักทายรับรุ่งอรุณที่ดูไม่ค่อยสดใสนี้เท่าไหร่ด้วยรอยยิ้มกว้างๆ

“สักวันพี่จะตื่นขึ้นมาเห็นหน้ากุมภ์คนแรกแทนที่จะเห็นปลาตัวนี้นะ”

“รีบไปอาบน้ำหาข้าวหาปลากินเถอะครับ...”

นั่นแหละ ผมไล่พี่เดือนให้ลงมาอาบน้ำเปลี่ยนชุด วันที่สองเขาไม่ได้กำหนดว่าจะต้องใส่เสื้ออะไรดังนั้นแล้วพี่เดือนจึงหยิบเสื้อแขนยาวสีเทากับกางเกงยีนส์ออกมาจากกระเป๋า ส่วนผมก็เป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วนพร้อมเสื้อคลุมกันลม

ขอบคุณโรงเรียนที่ปล่อยให้แต่งยังไงก็ได้ เพราะผมยังไม่ได้ซักผ้าเลย

ทั้งเสื้อพละ เสื้อสูทของโรงเรียนยังไม่ได้เอาออกมา แม่ผมจึงอาสาซักให้ทั้งของผมและพี่เดือน ตอนแรกพี่เดือนก็เกรงใจอยู่ แต่พอแม่อ้างว่าเดี๋ยวก็แห้งไม่ทันถ้ากลับเอาไปซักเองเขาจึงยอม

พวกเราออกจากบ้านมาถึงโรงเรียนช่วงแปดโมง กีฬาบางอย่างก็เริ่มแข่งกันแล้ว แต่มันไม่ใช่กีฬาหลักที่น่าสนใจเท่าไหร่ ผมจึงเดินไปกับพี่เดือนเรื่อยๆ ถ่ายอะไรได้ก็ถ่าย มีหลายคนเหมือนกันที่เข้ามาทักทายพวกผม พอถ่ายไปได้สักพักก็มานั่งเล่นกันแถวๆข้างสนามฟุตบอล

“จะว่าไปแล้วพวกเราเจอกันครั้งแรกในโรงเรียนก็แถวนี้นี่นา” พี่เดือนมองไปแถวๆต้นไม้ที่เคยเกิดเหตุกับเขา เพิ่งผ่านมาไม่ถึงปีแต่ทำไมมันรู้สึกนานจัง

ผมไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้พี่เดือนมองนกมองฟ้าไป ส่วนผมก็มานึกถึงวันที่พวกเราเจอกัน แล้วก็นึกถึงหลังจากนั้นที่เจอกันตลอด ค่อนข้างตลกดีนะที่เหมือนโชคชะตามันกำหนดให้ผมต้องมาวนเวียนกับเขา ในขณะที่เขาเองก็เดินเข้ามาในชีวิตผม ผมมีส่วนดีส่วนเสีย ส่วนที่ผมไม่มีพี่เดือนก็มี ส่วนที่พี่เดือนไม่มีผมก็เติมเต็มให้ มันกลายเป็นตัวต่อที่ลงกับช่องพอดี ไม่มีขาดหรือเกิน

“พวกเราลองมาทำ vlog ด้วยกันมั๊ยครับ?”

“vlog?”

“มันคือการเขียนบล็อกประเภทหนึ่งที่แทนที่จะเขียนเป็นตัวอักษร เรากลับมาถ่ายเป็นวิดีโอแทนไง” ผมยกกล้องขึ้นมา “ไม่ได้ลงระยะหนึ่งแล้ว พวกเรามาทำด้วยกันเถอะนะ”

“ก็น่าสนุกดีนี่นา เผื่อตอนพี่ไปเรียนแล้วอยากอวดแฟน พี่จะได้เปิดให้เพื่อนดู”

“ไม่ขิงเลยนะ”

“ฮึฮึ”

ผมเปิดโหมดวิดีโอแล้วเริ่มกดถ่าย ส่วนไหนที่ไม่ต้องการก็เอาไปตัดต่อได้ ซึ่งอย่างแรกเลยที่ผมทำก็คือ...

“พี่เดือน หันมาทางนี้หน่อย ทักทายคนกดติดตามผมเร็ว”

“สวัสดีครับ ผมเดือน เป็นแฟนของน้องกุมภ์นะ วันนี้ขอมาแจมใน vlog ด้วยแล้วกัน ถ้าสงสัยว่านี่คืองานอะไร คำตอบคืองานกีฬาสีโรงเรียนพวกเรา น่าตื่นเต้นดีใช่มั๊ย? พรุ่งนี้วันสุดท้ายแล้ว ผมรับรองว่ามันจะสนุกกว่านี้อีก” พี่เดือนทักทายกล้องอย่างอารมณ์ดี โบกมือไปมาราวกับว่าเป็นเจ้าของ vlog นี้เสียเอง ส่วนผมก็ตั้งกล้องแล้วมายืนข้างๆกัน

“พี่เป็นเจ้าของช่องรึไง ไม่ต้องไปถือสาอะไรพี่เดือนหรอก ตื่นกล้อง”

“ไม่ได้ตื่น เขาเรียกว่าทักทายอย่างเป็นมิตร แล้วเราจะพาคนไปดูอะไรก่อนดีล่ะ?” พี่เดือนโอบเอวผมเอาไว้แล้วพยายามดึงเข้ามากอดท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่เดินผ่าน “วันนี้มีวอลเลย์รอบสี่ทีม ไปดูกันมั๊ย?”

“กว่าจะไปถึงเขาก็แข่งเสร็จแล้วเถอะ เอาเป็นว่าวันนี้ช่วงเช้าพวกเราจะพาดูกีฬา ช่วงตอนบ่ายพวกเราจะพาไปทัวร์ของกินกันนะ พี่เดือนใกล้จะเตรียมสอบเข้าแล้ว ต้องคลายเครียดสักหน่อย”

“แค่มีกุมภ์พี่ก็ไม่เครียดแล้ว กำลังใจน่ารักขนาดนี้”

“พี่เกรงใจผมที่ต้องไปตัดวิดีโอหน่อยเถอะ ไม่กล้าเอาลงเลย” ผมตีไปที่ต้นแขนคนสูง พี่เดือนยิ้มรับด้วยความกวน นี่พยายามปั่นประสาทให้ผมโวยวายใส่กล้องรึยังไง “ไปดูดีกว่านะว่ามีแข่งอะไรบ้าง พี่เดือนต้องแนะนำผมในฐานะที่แก่กว่า อยู่มานานกว่า ผมไม่รู้ว่าตรงไหนมีอะไรแข่งบ้าง”

“วันๆพี่ก็เอาแต่อ่านหนังสือ พี่ไม่ได้ออกมาดูเลยนะ เดินไปหลงไปด้วยกันนี่แหละ”

ว่าแล้วก็หัวเราะทั้งคู่

 

ตอนนี้พวกเราเดินมาที่สนามเปตองเพื่อมาดูสีของพวกผมแข่งกับสีอื่น คะแนนถือว่าค่อนข้างสูสีเพราะแม่นทั้งคู่ ระหว่างที่ผมอัดวิดีโอไปด้วยนั้นพี่เดือนก็คอยป้อนน้ำป้อนขนมตลอด หลายคนเหมือนกันที่หันมาองแล้วทำหน้าเบื่อใส่พี่เดือน พวกที่ทำหน้าเบื่อก็ไม่ใช่ใครเลยนอกจากเพื่อนร่วมชั้น

“นำแล้วๆ เริ่มนำห่างแล้ว”

“ฝั่งนั้นเริ่มหัวเสียแล้วสินะ โยนออกซะห่างลูกเล็กเลย” พี่เดือนใช้หลอดเดียวกันกับผมดูดน้ำในขวด นั่นถือว่าจูบทางอ้อมรึเปล่านะ? แต่ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกเพราะบางครั้งนทีมันยังใช้หลอดเดียวกันกับผมดูดน้ำเลย ในเมื่อเพื่อนมันไม่ได้เป็นโรคอะไรที่ติดต่อทาน้ำลายได้ผมก็ไม่มีปัญหากับการใช้ของร่วมกัน...ยกเว้นว่าจะถุยน้ำลายใส่น่ะนะ

ผมซูมกล้องไปที่ลูกเปตองและแพนไปที่ป้ายคะแนน สีของผมเป็นฝ่ายชนะไปอย่างสวยงามและทีมงานก็เริ่มเคลียร์สนามแข่งให้กับสีอื่นที่มีแข่งต่อ ดังนั้นแล้วผมกับพี่เดือนจึงเก็บของตามไปนั่งที่อื่นที่มีแข่ง

การแข่งต่อมาที่พวกผมไปนั่งดูก็คือเต้นลีลาศ ไม่คิดว่าจะมีแต่พี่เดือนเล่าให้ฟังว่าตอนอยู่ม.5 เขาเคยแอบมาดูพี่เมย์แข่ง แต่ละคนสเต็ปเท้าดีๆทั้งนั้น มีสะดุดบ้างแต่ถือว่ารักษาจังหวะได้ดีทีเดียว

“พี่ชวนกุมภ์มาเต้นดีมั๊ย ยังไงปีหน้ากุมภ์ต้องเรียนนะ”

“ฮะ? เฮ้ย! เต้นแบบนี้?! ผมว่าผมไม่รอดอะ”

“มาๆ พี่สอนให้”

“สอนที่อื่นไป!”

พี่เดือนยิ้มบางๆแล้วหันไปสนใจการแข่งต่อ การเต้นมันไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบเลยสักนิดนี่นา

แต่พี่เดือนบอกว่าปีหน้าผมต้องเรียน แสดงว่าพี่เดือนเองก็เคยเต้นมาแล้วสินะ

“แล้วเต้นลีลาศนี่มันสนุกมากมั๊ยครับพี่เดือน?” เขาหันมาเลิกคิ้วนิดหน่อยแล้วก็ถอนหายใจพร้อมกับบ่นออกมาให้ผมฟัง

“ไม่อยากจะบ่น พี่ว่ามันก็สนุกดีนะถ้าคู่ที่พี่ต้องอยู่ด้วยไม่ใช่คนที่คลั่งพี่จนแทบจะไม่ทำอะไรเลยนอกจากมาหมุนตัวตามแรงพี่แล้วพูดอวยไปมา พี่ขี้เกียจฟังเลยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่แทน” นี่สาบานว่าไม่อยากจะบ่น “โชคดีที่ยังฟังกันบ้างว่าให้ตั้งใจ...ถึงจะต้องดุบ้างนิดหน่อยก็เถอะ แต่ถ้าตัดเรื่องคู่ออกแล้วมันก็ดี ดีที่พี่รู้สึกว่าพี่ได้ผ่อนคลายชีวิตด้วยการฟังเสียงเพลงแล้วก้าวเท้าไปตามจังหวะนี่แหละ”

“งั้นเหรอ...”

“แต่วินาทีที่พี่กดชัดเตอร์กล้อง พี่กลับรู้สึกว่ามันสนุกมากกว่านะ สนุกเพราะพี่ได้เห็นโลกในจอสี่เหลี่ยมกับสนุกที่คนที่สอนให้พี่ใช้เป็นคนที่พี่รัก”

“พี่เดือน...อย่ามาทำให้ผมเขินจนเลิกเขินได้มั๊ย?” คือพี่เดือนชอบพูดอะไรเลี่ยนๆออกมาตลอด เมื่อคืนเขาก็นอนพูดอยู่อย่างนั้นแหละ จำไว้นะครับว่าพี่เดือนเป็นคนที่ขี้อวยแฟนตัวเองมาก มากจนชาวบ้านพากันบ่นว่าพี่เดือนชอบขิง ขิงแบบขิงเพียวๆไม่ผสมข่าตะไคร้ด้วย “จบแล้ว พี่เดือนจะอยู่รอดูประกาศผลหรือว่าไปเที่ยวเลยล่ะ?”

“ไปเลยดีกว่า เที่ยวเสร็จจะได้รีบกลับรีบเตรียมตัวงานวันพรุ่งนี้อีก” ผมพยักหน้าเห็นด้วย พรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายของงานกีฬาสี ผมกับพี่เดือนก็ต้องขึ้นเวทีอีกรอบ ส่วนอุ้มกับดินมีแข่งรอบสุดท้าย นทีก็ต้องแต่งหน้าทำผมเป็นหนุ่มหล่ออีกรอบเช่นกัน

บ่ายวันนั้นพวกผมก็ไม่มีอะไรมากนอกจากไปนั่งร้านไอติมเล็กๆแต่งโทนพาสเทลแถวนอกเมือง ถ่ายรูปอัพลงโซเชียลในคนมาหวีดเล่น ก่อนกลับก็แวะไปดูหนังสือด้วยกันที่ห้าง

 

และเช้าวันที่สามของงานกีฬาสีก็มาถึง

ซึ่งคุณเชื่อรึเปล่าว่าลมอย่างแรง แรงมากจนยืนแทบไม่อยู่ พวกนักกีฬาที่แข่งวิ่งก็ใกล้จะปลิวไปกับลมอยู่ทุกที ไม่ต้องพูดถึงทีมสแตนด์ที่นั่งอยู่โดยไม่มีเสื้อกันหนาวนั่นหรอก แข็งไปหมดทั้งร่างกายแล้ว

นทีมันนั่งหนาวอยู่ในห้องแต่งตัวช่วงบ่าย ส่วนอุ้มกับดินก็แข่งเสร็จแล้ว ผลสรุปก็คือได้ที่สองที่พวกมันภูมิใจมากพอและบอกว่าปีหน้าจะเอาใหม่ เมื่อทุกคนว่างก็มานั่งดูนทีที่โดนจับแต่งหน้าซ้ายขวาโดนเจ๊คนเดิม

ไม่นานนักพี่เมย์ก็ตามเข้ามาถ่ายรูปบรรยากาศไปลงเฟสบุ๊คโรงเรียน และบังเอิญว่าในรูปนั้นมันติดนทีที่ยังใส่แว่นอยู่ด้วย ทุกคนเลยพากันหวีดว่านี่หรือคือชายหนุ่มรูปงามที่พวกเธอตามหา แต่นทีมันก็เฉยๆ ไม่ได้สนใจอะไรบอกว่าแค่กระแส เดียวพวกเธอก็เลิกพูดถึงไปเองเหมือนพี่เดือน

พี่เดือนยังคงมีคนพูดถึงเรื่อยๆถ้ายังอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ แต่ถ้าพี่เดือนจบออกไปแล้ว คนก็จะพูดถึงพี่เดือนน้อยลงไปตามกาลเวลา และในที่สุดภายในโรงเรียนแห่งนี้ก็จะรู้จักพี่เดือนในฐานะศิษย์เก่าคนหนึ่งเท่านั้น

มันก็น่าใจหายเหมือนกันที่เวลาที่มีคนพูดถึงเรา เคยใส่ใจเรามากๆแต่สุดท้ายก็ลืมเราไป เหมือนกับเพื่อนสมัยอนุบาลหรือประถมของทุกคนนั่นแหละ ที่บอกว่าพวกเราจะไม่มีทางลืมกัน เมื่อคุณเข้าสู่วัยทำงานแล้ว พวกคุณอาจจะเดินสวนกันโดยที่ต่างฝ่ายต่างจำไม่ได้ หรือดีหน่อยก็คือจำหน้าได้แต่จำชื่อไม่ได้

ผมเองก็เป็น และเชื่อว่าหลายคนก็เป็น มีใครบ้างกันที่จะจำเพื่อนได้ทุกคนถ้าคนคนนั้นไม่ใช่คนสำคัญจริงๆ

“เดือนกับน้องเอาอะไรรึเปล่า? เดี๋ยวเราไปยกมาจากหน้าห้องให้” พี่เมย์ถามขึ้นมาในขณะที่ตัวเองกำลังนั่งเฝ้าเพจโรงเรียนคอยบล็อกข้อความไม่ดีออก “น้ำแดง ขนม ข้าวเกรียบ?”

“เดี๋ยวผมไปยกให้เองดีกว่าครับพี่เมย์ นที กูรู้ว่ามึงต้องการนม”

“เอามาให้ด้วยขวดหนึ่ง”

“รับทราบ รอนะ แป๊บเดียว”

ผมรอดินมันยกขนมมาให้ จนมันเดินกลับเข้ามาในสภาพที่เส้นผมกระเซิงบ่งบอกอย่างดีว่าข้างนอกนั้นเป็นลมพายุไปเรียบร้อย

“ลมแรงขนาดนี้จะได้ทำพิธีปิดรึเปล่าเนี่ย”

“ไม่รู้สิ แต่ถ้าไม่มีพิธีปิดเราก็ไม่ได้ดูดอกไม้ไฟสวยๆเลยนะ”

ผมได้ยินเสียงพี่ผู้หญิงสองคนพูดถึงดอกไม้ไฟ พี่ศึกเคยเล่าให้ฟังว่าแต่ละปีโรงเรียนนี้จะจุดดอกไม้ไฟปิดงานกีฬาแล้วร้องเพลงหน้ากองไฟกันเหมือนในค่ายลูกเสือเพื่อสร้างความสามัคคี แต่ถ้าลมแรงขนาดนี้อย่าหวังเลยว่าจะได้ยิงดอกไม้ไฟ ลมจะพัดกองไฟดับตอนไหนก็ได้แบบนี้ก็คงไม่ดี

ช่วงประมาณบ่ายสี่ ก็มีการแสดงเชียร์ลีดเดอร์แต่ละสี ผมไม่ได้ออกไปดูกับคนอื่นหรอกเพราะต้องมานั่งเป็นเพื่อนไอ้แม่น้ำนี่ พี่เดือนก็อาสาฝ่าลมไปถ่ายรูปมาให้ผม มีแฟนดีก็อย่างนี้แหละ

“กุมภ์”

“ว่า”

“พี่เดือนกับมึงนี่รักกันดีจังนะ”

“อิจฉาเหรอ?”

“อืม มันทำให้กูนึกถึงน้องตัวเองน่ะ กูรักน้องกูมาก แล้วน้องก็รักกูมากด้วย เคยพูดด้วยกันครั้งหนึ่งว่าจะเรียนที่เดียวกันตอนม.ปลาย” นทีไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร น้ำเสียงก็นิ่งแปลกๆด้วย

“น้องมึงอยู่ที่ไหนล่ะ”

“เสียไปได้สามปีแล้ว”

“....”

“แต่ทำใจได้นานแล้วล่ะ วันนั้นมันเป็นวันที่กูต้องขึ้นแสดงกีตาร์ น้องกูก็มาดูด้วย แต่ว่าไฟสปอร์ตไลท์มันตกลงมาตำแหน่งที่น้องกูยืนอยู่พอดี”

“...”

“คาที่” นทีสีหน้าเศร้าลงชัดเจน แต่ไม่นานมันก็ตีสีหน้ากลับมาเหมือนเดิม “ซึ่งกูเชื่อว่าน้องกูไม่ชอบแน่ๆที่พี่ชายตัวเองจะมานั่งเศร้าตลอด กูเลยต้องยิ้มเอาไว้เพราะถ้ากูมีความสุข น้องกูต้องมีความสุขตาม”

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึว่าเปล่าที่ผมรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่รอยยิ้มของนทีมันเสแสร้ง...

มันไม่ได้เสแสร้งแบบตอแหลในละครหลังข่าวนะ มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ให้ความรู้สึกว่านี่คือยิ้มออกจากใจ

“จริงสิ มึงรักพี่เดือนแล้ว งั้นกูขอน้องมึงมาเป็นน้องบุญธรรมกูนะ น้องมึงน่าแกล้งดี ฮึฮึ” นทีมันยิ้มร่างเริงสไตล์มันแล้วก็หัวเราะเมื่อพูดถึงน้องผม

ผมว่านทีที่ผมเห็นก่อนหน้านี้อาจจะไม่ใช่ตัวตนจริงๆของเขา แต่ถ้าเขาเลือกที่จะไม่แสดงออกมา ผมก็จะไม่ไปฝืนให้มันนึกถึงอดีตร้ายๆหรอก

“น้องกูน่าจะมาถึงแล้วนะ เดี๋ยวให้พี่เดือนไปรับก็ได้..อ้าว มีนา? รู้ได้ยังไงว่าพวกพี่อยู่นี่?” ผมทักทายน้องชายตัวเองที่เข้ามาพร้อมกับประธานสีของผม น่าจะเป็นพี่ศึกที่ไปเจอมีนาเข้าพอดีเลยมั๊ง แต่ไอ้สายตาของผู้ชายข้างนอกที่มองน้องผมนี่มันยังไงวะ มองเหมือนจะกลืนน้องกูยังไงยังงั้น?

แต่มีนามาในชุดนักเรียนกางเกงสีกากีโรงเรียนรัฐบาลนี่นา แถมขายังขาวมากด้วย..

เชี่ย! พวกนี้มันจ้องน้องผมจริงๆด้วย!

“พี่ศึก ไล่ไอ้พวกนักกีฬาของพี่ให้หน่อยดิ พวกมันมองน้องผมอะ หวง”

“พวกมึงน่ะไปไหนก็ไปเลย! หน้าหม้อไม่เลือกจริงๆ น้องอายุไม่ถึงมึงอยากติดคุกกันใช่มั๊ย?!”

ว่าแล้วก็ได้ผล พี่ศึกมีอำนาจมากพอที่จะสั่งการให้พวกเขาติดกิจกรรมโรงเรียนได้เลยถ้าไม่ส่งรายชื่อนักกีฬาให้ แต่ผมก็รู้ว่าพี่ศึกไม่ใช่พวกบ้าอำนาจทำตามใจชอบขนาดนั้นหรอก

“ก็ว่าอยู่ว่าทำไมมีคนมองผมตลอดเลย พี่นทีครับ สวัสดีครับ วันนี้พี่ดูดีมากอะ” มีนายิ้มร่าเริงให้ นทีพอเห็นปุ๊บก็รีบวิ่งถลาเข้ามากอดน้องผมน้วยไปมา เอามือทั้งสองข้างมาจับแก้มบีบไปมา เออ ผมเชื่อแล้วว่ามันอยากได้น้องผมไปเลี้ยงแก้เหงาจริงๆ “พี่นที พอเถอะ ผมเจ็บแล้วนะ”

“วันนี้รอรับหมวกจากพี่ได้เลย” นทีหยิบหมวกแฟดอร่าสีขาวของมันขึ้นมาใส่ แล้วยักคิ้วให้สองสามทีมาทางผมเชิงบอกว่า ‘กูจองน้องมึงนะ’

เบื่อว่ะ เบื่อไอ้แม่น้ำนี่

“ใกล้จะถึงพิธีปิดงานแล้วเรียกด้วย ของีบก่อนนะ เมื่อคืนก็ไปเล่นดนตรีมา”

“ตามสบาย”

ผมปล่อยให้นทีมันหลับตานอนพัก ส่วนตัวเองก็มานั่งกินขนมกับน้องรอพี่เดือนและคณะจนกระทั่งพวกเขาเดินเข้ามา พี่เดือนเปิดวิดีโอที่เขาถ่ายเอาไว้ให้ ผมไม่แน่ใจว่าพี่เขาไปถ่ายตรงไหนหรือขอแทรกเข้าไปดูได้ยังไงถึงได้ชัดแจ๋วขนาดนี้ พอเขาเล่าให้ฟังว่า...

“พี่ขอทางผู้หญิง พวกเธอก็แหวกให้เลยนะ? ไม่ยากนี่นา?”

“เบื่อพี่อะ มีแต่คนเกรงใจ เป็นผมนี่เขาคงเบียดผมออกมากกว่า” ผมบุ๋ยปากให้พี่เดือน เขาเลยเข้ามาโอ๋ปลอบใจผม ผมเป็นผู้ชายที่ถือว่าค่อนข้างจะตัวเล็กกว่ามาตรฐานหน่อย เลยไม่เป็นจุดสนใจมาก ดังนั้นแล้วเวลาจะเข้าไปดูหรือซื้ออะไรถ้าไม่สังเกตให้ดีผมก็โดนผลักออกได้เหมือนกัน แต่เรื่องนี้มันก็อยู่ที่คนอื่นด้วย ถ้าเขาใส่ใจหรือมีมารยาท เขาก็จะขอโทษยกเว้นแต่ไม่เห็นผมจริงๆ

พอเถอะ ยิ่งย้ำเตือนว่าตัวเองเตี้ย

“ใกล้จะถึงพิธีปิดแล้ว ลมก็เริ่มสงบลงหน่อย เราน่าจะออกไปรอได้แล้วล่ะ” พี่เดือนยื่นเสื้อสูทใส่คลุมมาให้ผม หลังจากที่แข่งลีดเสร็จ โรงเรียนนี้ก็จะเข้าสู่พิธีปิดทันทีโดยที่นักกีฬาและขบวนที่เดินเมื่อสองวันก่อนต้องมารวมตัวกัน ซึ่งเพื่อนทั้งหมดก็ขอตัวออกไปก่อน มีนาที่นั่งกินขนมอยู่ก็มีพี่เมย์พาออกไปหามุมดีๆยืนดู เมื่อคนอื่นออกไปกันหมดแล้วก็เหลือเพียงแค่ผมกับพี่เดือนเท่านั้น

พวกเราใช้เวลาไม่นานในการเตรียมตัวภายในห้อง จากนั้นพวกเราก็ออกมาที่บริเวณจัดงาน เหลือบมองเห็นนทีที่ตอนนี้มันพยายามทำหน้านิ่งสู้ลมหนาวเบาๆ ส่วนอุ้มกับดินก็กำลังยืนเกาหัวกัน ไม่นานนักพวกเขาก็เรียกให้พวกเราขึ้นไปประกาศรางวัลต่างๆที่ผู้ชนะเลิศจะได้รับถ้วยจากผู้อำนวยการ ถือว่ากินเวลาไปพอสมควร

และเวลาของพิธีปิดที่แท้จริงก็มาถึง พี่เดือนเป็นคนพูดเองทั้งหมดเพราะต้องการให้คนที่มีประสบการณ์มากกว่าพูด หลายคนที่แพนกล้องมาทางพวกเรา ถ่ายรูปส่วนสำคัญก่อนที่กองไฟกลางสนามจะถูกจุดและปล่อยดอกไม้ไฟให้บานกลางอากาศ

“ผมขอทำการปิดงานกีฬาสีประจำปี 256— ณ บัดนี้”

ทันทีที่เสียงผู้อำนวยการดังปิดท้าย พลุจำนวนนับสิบก็ถูกจุดขึ้นสู่ฟ้าพร้อมกับกองไฟที่สว่างขึ้น พวกเราช่วยกันร้องเพลงสามัคคีชุมนุมโดยที่พี่เดือนกุมมือของผมเอาไว้และเงยหน้ามองดอกไม้ไฟเหล่านั้น

“เป็นปีแรกเลยนะที่พี่ได้ดูดอกไม้ไฟของงานกีฬาสีโรงเรียน” เขายิ้ม “และปีแรกที่ดูก็ได้ดูกับคนที่พี่รักด้วย”

“สวยจังเลยนะ...เอาไว้ปีใหม่พวกเรามาดูด้วยกันมั๊ยล่ะครับ?” ตอนนี้ก็ช่วงปลายตุลาแล้ว อีกไม่นานก็ปีใหม่ พี่เดือนน่าจะมีเวลาเจียดมาเคาท์ดาวน์ด้วยกันสักวัน “แต่ถ้าพี่ไม่ว่างผมก็ไม่กวนนะ”

“พี่ว่างเสมอนั่นแหละถ้าเป็นกุมภ์ เสียดายที่กล้องอยู่กับมีนา แต่เดี๋ยวเอากล้องโทรศัพท์ถ่ายด้วยกันก็ได้”

พี่เดือนหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาเปิดกล้องหน้าและดึงตัวผมให้เข้ามาอยู่ในเฟรมด้วย ฉากหลังเป็นท้องฟ้าที่มีดอกไม้ไฟจุดไม่ขาดสายกับกองไฟที่มีคนเริ่มเต้นตามจังหวะเพลงเป็นการปล่อยผี

“3...2...1!”

 

พีรดล นารีรัตน์ with Koompa Sirikun

ปีแรกเลยนะที่ได้ดูดอกไม้ไฟของโรงเรียน และมันก็เป็นปีแรกเลยด้วยที่มีคนรักอยู่ข้างๆในเวลาดีๆ

*รูปถ่ายของเดือนและกุมภ์ที่มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้ไฟและพื้นที่มีกองไฟ ทั้งคู่ยิ้มแย้มแจ่มใส*

459 likes 30 comments

 

Koompa Sirikun with พีรดล นารีรัตน์

ไม่เคยเปลี่ยนวอลเปเปอร์มือถือเลยตั้งแต่ซื้อเครื่องใหม่ วันนี้ได้รูปดีๆมาตั้งใช้แล้วล่ะ (:

*รูปที่แคปมาจากหน้าจอโทรศัพท์ของกุมภ์ เป็นรูปเดียวกันกับที่เดือนโพส*

58 likes 9 comments

                นที ไมตรีจิตร : พี่เดือนเอารูปลงไม่นานก็มีคนขโมยไปตังหน้าจอละ แย่

            Smol Mety : ก็อย่างนี้แหละ ขิงคนมีแฟน กูต้องซดนมจืดไป

            ดินดิน ไม่ใช่ติณณ์ติณณ์ : สงสัยต้องไปหาเมียแล้ว แม่งอวดอยู่ได้ หมั่นไส้!!


 

คอมเม้นท์ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดในเชิงบวก ทั้งผมและพี่เดือนไม่ได้เปิดแชร์เอาไว้แต่ก็มีคนแคปไปลงเพจคิวท์บอยอยู่ดี พออ่านโพสหมดผมก็กดออกมาที่หน้าจอหลักที่ตั้งแต่รูปของตัวเองกับพี่เดือนแทนที่จะเป็นทะเลที่ใช้มาตลอดสองปี

ความจริงคือทั้งผมและพี่เดือนใช้วอลเปเปอร์เดียวกัน มันเป็นความคิดของเขาที่อยากจะใช้อะไรเป็นคู่ๆ แต่จะใช้เป็นคู่หมดก็เว่อร์วังไปอย่างเคสโทรศัพท์ที่ของผมมันเป็นแอนดรอยด์กับของพี่เดือนที่เป็นไอโอเอส ผมไม่อยากให้พี่เดือนสั่งทำให้โดยเสียเงินใช่เหตุ เพราะอนาคตพี่เดือนยังต้องใช้เงินอีกเยอะกับการเรียนมหาลัย

พี่เดือนบอกว่าที่กรุงเทพ พ่อพี่เดือนซื้อห้องพักคอนโดพร้อมเฟอร์นิเจอร์เอาไว้ห้องหนึ่งไว้ไปนอนตอนไปดูแลโรงแรมสาขากรุงเทพ แต่หลังๆไม่ได้ไปค้างเลยว่าจะให้พี่เดือนไปอยู่ที่นั่นตอนเรียนมหาลัย ขอแค่ว่าระยะทางมันไม่ไกลมากเกินก็พอเพราะคราวนี้จะกลายเป็นไม่สะดวกกว่าเดิม

พ่อพี่เดือนฝากบอกมากับพี่เดือนว่าถ้าได้เรียนที่เดียวกันจะอยู่ด้วยกันเลยก็ได้ เขาไม่ว่า

หลังจากจบกีฬาสี คราวนี้ก็จะเหลือแค่งานเดียวแล้วที่ผมกับพี่เดือนจะได้อยู่ด้วยกันในโรงเรียน

งานวันปัจฉิมนิเทศที่จะจัดในเดือนกุมภานี้

และปัจฉิมปีนี้จัดในวันเกิดของผมเสียด้วย

ผมยังไม่ได้บอกพี่เดือนว่าผมเกิดวันไหนนอกจากว่าผมเกิดเดือนกุมภาพันธ์ตามชื่อของผม แต่ถ้าพวกคุณคิดว่าผมจะเกิดวันวาเลนไทน์หรืออะไรที่พิเศษล่ะก็ ไม่ใช่ครับ วันเกิดผมมันเป็นวันที่ 20 กุมภาพันธ์ คลอดหลังกำหนดเดิมที่เป็นวันวาเลนไทน์นาน แต่ก็ดีแล้วเหมือนกันไม่งั้นผมถูกลืมแน่ๆ

กลับมาที่วันปัจฉิมนิเทศ ผมไม่รู้ว่าจะให้อะไรพี่เดือนดีเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่เดือนอยากได้อะไรก็สามารถซื้อเองได้ (คนมีเงิน) จะทำของแฮนด์เมดก็ไม่ใช่สิงที่ผมถนัดมากเท่าไหร่นัก ส่วนเรื่องจะซื้อให้ก็ตัดทิ้งไปได้เลย จะทำขนมให้ก็ไม่ได้อีก

ว่าแล้วผมก็มานั่งพับดาวโยนใส่ขวดโหลคุกกี้ที่พี่เดือนให้มาไปเรื่อยๆจนนึกอะไรออกมาอย่างงงๆ

ดาวกระดาษในมือของผมถ้าเปลี่ยนเป็นหัวใจพับใส่ขวดโหลจะเป็นยังไงนะ?

....

หวานไปว่ะ ผมไม่ใช่ผู้ชายหวานขนาดนั้น

ถ้าพับดาวแล้วดาวทุกดวงที่พับมีข้อความเขียนเอาไว้อยู่จะเป็นยังไงนะ?

....

ก็ดี แต่ผมคงไม่ทนเขียนสิ่งที่อยากบอกขนาดนั้น ถึงจะทนเขียนก็ไม่ได้มีมากมายด้วย

เอายังไงดีเนี่ย...นึกไม่ออกอะว่าจะทำยังไงดีพี่เดือนเขาถึงจะชอบ?

 

‘ไม่หึงเหรอ? มีคนให้ของขวัญพี่นะ?’

‘จะหึงทำไม เดี๋ยวผมถ่ายรูปพี่อัดเป็นอัลบั้มเป็นของขวัญเลย’


 

!!

ใช่แล้ว! รูปไง! มีครั้งหนึ่งที่ผมเคยพูดกับพี่เดือนว่าจะถ่ายรูปอัดอัลบั้มให้เป็นของขวัญ ถ้าผมแอบถ่ายแล้วเอามาทำเป็นสมุดรูปตกแต่งสไตล์เรียบง่ายพี่เดือนต้องชอบแน่ๆ

สงสัยผมต้องวางแผนการแอบถ่ายสักหน่อยแล้ว ถึงในกล้องของผมจะมีรูปแอบถ่ายพี่เดือนอยู่เยอะก็ตาม...เฮ้ ผมไม่ใช่คนโรคจิตของแอบถ่ายรูปเขาขนาดนั้นหรอกนะ พอเห็นมุมดีๆก็ยกกล้องมาถ่ายอัตโนมัติเท่านั้นเอง บางทีพี่เดือนรู้ตัวก็หันมายิ้มให้ผมถ่ายด้วยซ้ำ พอถ่ายเพลินๆก็กลายเป็นว่าผมโดนพี่เดือนลากไปถ่ายด้วยกันเฉย

“พี่ต้องชอบแน่ อัลบั้มรูปที่มีแค่ชิ้นเดียวบนโลก ความทรงจำของพี่ในรั้วโรงเรียนปีสุดท้าย”

ผมคุยกับผู้ชายในจอโทรศัพท์

“เป็นปีที่พี่ได้มีความสุขจริงๆเป็นปีแรก และเป็นปีที่ผมได้รู้จักกับผู้ชายน่าตีคนนี้ปีแรก”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:55:30 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 17


สวัสดีวันสอบไฟนอล

ผมอยากจะร้องตะโกนท่ามกลางสายลมฤดูหนาวเดือนกุมภาเหมือนชื่อผมเสียจริง แป๊บๆก็วาพ์บเวลามาเดือนนี้เสียแล้ว ได้ข่าวว่าบทที่แล้วเพิ่งจบกีฬาสีเองนะเฮ้ย ทำไมคนเขียนถึงทำแบบนี้กับผมวะ

แต่มันผ่านมาแล้วจะทำอะไรได้กัน ผมขอเล่าเหตุการณ์คร่าวๆที่ผ่านมาก่อนแล้วกัน

อย่างแรกเลยก็คือปีใหม่ พี่เดือนมาค้างที่บ้านผมพร้อมกับมิตรสหายชายอีกสามคนคือนที ดิน และพี่ศึก พวกเรานั่งซดนมขวดกับโค้กพร้อมกับขนมดูรายการโทรทัศน์ที่กำลังถ่ายทอดสดเคาท์ดาวน์ พอนับเวลาถอยหลังจนถึงเลขศูนย์ พวกเราก็หันมาพูดสวัสดีปีใหม่แล้วก็สลบคาฝูกที่นอนที่ปูไว้ห้องผมกันทั้งหมด

อย่างที่สองคือเดือนมกรา ข่าวดีของพี่เดือนคือสอบสัมภาษณ์ผ่านไปด้วยดี เขามีที่เรียนแล้วตามความตั้งใจ หลายคนที่เข้ามาแสดงความยินดีกับพี่เดือนก็พากันลากเจ้าพ่อเด็กเรียนเข้าร้านชาบูในห้างโดยที่มาชวนผมไปด้วย แต่ผมอยากให้เขาไปกับเพื่อนกับฝูงบ้างจึงปฏิเสธ

อย่างที่สามคือการสอบกลางภาคที่คราวนี้ผมเกือบเอาตัวไม่รอดจากวิชาคหกรรม ลาก่อนคะแนนสวยๆ เกรด 3 ขึ้น เราจะไม่ได้เจอหน้ากันอีก...

วันสอบไฟนอล พี่เดือนก็มาหาผมที่ห้องสมุดทุกเย็นเพื่อคอยสอนงานสอนวิชาที่ผมไม่ถนัด เขาบอกว่าให้ผมพยายามเข้าเอาไว้เพราะเชื่อมั่นในตัวผมว่าทำได้แน่นอน พอได้ยินอย่างนั้นผมก็มีแรงลุกเหิมขึ้นมาอ่านหนังสือเลยตีหนึ่งตีสองทุกวัน

มีแฟนเป็นคนฉลาด ผมก็ต้องฉลาดให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

แล้วผลเป็นยังไงน่ะเหรอ?

ใต้ตาคล้ำมาเรียนเกือบทุกวันจนเพื่อนทักว่าผมเป็นพี่เดือนคนที่สองไปเสียแล้ว

พอนทีมันเห็นใต้ตาผมคล้ำ มันก็รีบเอาครีมลดรอยใต้ตามาประเคนทันที บอกว่าเป็นแฟนคนหน้าตาดีจะมาโทรมไม่ได้ ยังไม่พอ อุ้มกับดินมันก็ยกครีมบำรุงผิวที่ขโมยมาจากแม่ตัวเองมาให้เป็นตับๆจนผมคิดว่าพ่อแม่พวกมันเปิดบริษัทิขายครีมบำรุงผิวรึยังไงกัน

“มึงจะไหวเหรอวะ เมื่อคืนนอนกี่ทุ่มเนี่ย”

“ตีสอง และกูยังไหวดี” ผมโบกมือให้อุ้มที่นั่งอยู่ข้างๆกัน อุ้มยกขวดน้ำขึ้นกระดกอย่างไม่แคร์ความเป็นหญิงพร้อมกับร้อง ‘ฮ่า’ เสียงดัง “กูควรถามมึงมากกว่านะว่ามึงได้อ่านหนังสือรึเปล่า?”

“ระดับนี้แล้วหนังสือไม่ต้องอ่านหรอก ทำไม่ได้เหมือนเดิม” ดู๊...ดู ยักไหล่ไม่ยี่ระด้วย อนาคตมันจะทำอะไรรอดมั๊ยวะ

“มาแล้วเว้ยยยยย” ดินวิ่งเข้ามาถลาตัวใส่ผมพร้อมกับยื่นถุงพลาสติกสีขาวแสนคุ้นเคยให้ เช้านี้ผมฝากมันซื้อขนมปังไส้สังขยามาเพราะยังไม่ได้กินอะไรเลย ส่วนพี่เดือนที่มาส่งผมแล้วกลับบ้านไปเพราะไม่มีสอบวันนี้ก็บอกว่าจะไปให้ทันอาหารเช้าบนโต๊ะ

“พี่เดือนอะ”

“ไม่มีสอบ วันนี้กลับบ้านไปกินข้าวกับครอบครัว”

“เออ แล้วเรื่องรูปที่มึงขอร้องให้ช่วยล่ะ พอรึยัง?”

รูปที่ผมขอร้องให้พวกมันช่วยก็คือรูปแอบถ่ายพี่เดือนทุกมุม คิดไปคิดมาผมคงทำไม่ไหวแน่ๆถ้าเป็นคนเดียว เลยขอร้องให้พวกมันช่วยไปแอบถ่ายพี่เดือนตามที่ต่างๆถ้าเห็นและผมไม่ได้อยู่ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผมติดสินบนพวกมันเป็นคุกกี้ของมีนาที่ทำทุกสัปดาห์ นทีที่ชอบขมอยู่แล้วมันเลยดี้ด้ารีบตามถ่ายให้ทุกที่เพื่อแลกกับขนมน้องรัก

ความจริงมันก็แค่เห็นแก่กินเท่านั้นแหละ

“นทีมันยังไม่มาอีกเหรอวะ?”

“มาแล้ว แต่วิ่งตามไอ้ฝุ่นไปไหนก็ไม่รู้ แม่งทำตัวเป็นเด็กจริงๆ”

สองคนนี้ไม่รู้หรอกว่านทีมันไม่ใช่เด็กอย่างที่คิด ผมเองก็เริ่มระวังคำพูดตัวเองมากขึ้นเพราะกลัวว่าจะมีคำใดคนนึงไปสะกิดให้มันนึกถึงวันที่มันต้องเสียน้องไปต่อหน้าต่อตา

คนเรามักจะมีหน้ากากเสมอ แต่หน้ากากที่จะแสดงให้เห็นนั้นมันจะออกมาเป็นไหนเราก็ไม่รู้ บางคนอาจจะตีหน้าซื่อ บางคนทำเป็นว่ามีความสุข บางคนก็แค่สวมหน้ากากทับหน้ากากอีกที ทุกคนไม่ใช่คนดีและสะอาดเหมือนผ้าขาว มีสองด้านเหมือนเหรียญ

“นั่นไง ตายยากจริงๆ วิ่งมาพร้อมกับหมาด้วย หอบลิ้นแล่บเสียคนหน้าตาดีไปหมด” ดินมันชี้ไปทางที่นทีวิ่งมาพร้อมกับหมาฝุ่นที่โตขึ้นอีกนิดหน่อย มันมาคลอเคลียผมแล้วนั่งลงจ้องรอขอขนมปังในมือ และผมเองก็แพ้สายตาอ้อนด้วยจึงบิแบ่งไปเสี้ยว

“ใกล้สอบแล้ว ขึ้นไปเลยปะ”

“ก็ดี ไปก่อนนะฝุ่น เดี๋ยวมาให้อาหารใหม่”


“วันนี้วันปัจฉิมนิเทศ มีอะไรจะให้รุ่นพี่กันบ้างล่ะ?”

“นี่เลย รูปหลุดทำมาเป็นมาลัย รักพี่สุดๆ”

“กูเอาแบงค์กาโม่มาทำเป็นมงกุฎว่ะ เท่ดี”

ผมนั่งเคาะกล่องกระดาษนั่งฟังพวกผู้หญิงในร้านน้ำพี่ดาวพูดถึงของที่จะให้รุ่นพี่ที่เรียนจบ วันนี้มันจะเป็นวันสุดท้ายที่นักเรียนชั้นม.6 จะอยู่ในรั้วโรงเรียน (ถ้าไม่มีปัญหาอะไร) ซึ่งหลายคนคงไม่พ้นจะให้ของกับพี่รหัสตัวเอง ส่วนพี่รหัสผมบอกว่าเขาไม่ได้มาเนื่องจากมีติดสอบสัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ ดังนั้นของที่ผมเตรียมมาจึงมีแค่ชิ้นเดียว

และมันเป็นของที่ผมตั้งใจจะให้พี่เดือน

ตลอดที่ผ่านมาที่คบกัน พวกเรายังคงปฏิบัติตัวเหมือนเดิมกับก่อนคบ แต่ก็มีเล่นนู่นนี่ตามประสาคนเป็นแฟนกันด้วย พวกเราไม่ข้ามเส้นที่ขีดเอาไว้ พวกเราไม่เดินนำใครไปก่อนเพราะผมกลัวว่าจะทำให้ต่างคนต่างเหลิง ความรักมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่งกว่าสิ่งใด และพวกผมก็ยังคงเด็กเกินไปที่จะเข้าใจความซับซ้อนที่มากกว่านี้ ดังนั้นและช่วงระยะเวลาสองปีที่พวกเราจะไม่ได้อยู่ในจังหวัดเดียวกัน ไม่ได้เจอหน้ากันทุกวัน มันจะเป็นบททดสอบและบทเรียนที่สามารถทำให้ทั้งผมและพี่เดือนเรียนรู้ทำความเข้าใจกับความรักมากขึ้น

“วันนี้มีดอกไม้มาขายด้วยนี่นา”

“ซื้อดอกไม้ให้พี่ดีกว่า”

ผมหันไปมองร้านช่อดอกไม้ที่ตั้งซุ้มริมฟุตบาทเต็มสองข้างทาง บางร้านก็เอาไม้แห้งมาทำเป็นมงกุฎมาขาย บางร้านเป็นช่อตุ๊กตา บางร้านก็เป็นลูกโป่งอัดแก๊ส ซึ่งส่วนใหญ่ราคาก็อัพเป็นเท่าตัวทั้งนั้น

ผมไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อช่อใหญ่ๆให้พี่เดือนหรอก อีกอย่างแป๊บเดียวก็เหี่ยวแล้ว

“ดอกลิลลี่....”

พอเห็นลิลลี่สีขาวก็นึกถึงวันที่พี่เดือนขอผมคบ...

รึว่าจะลองไปถามราคาดูก่อนดีนะ?

ผมลุกขึ้นพร้อมกับหยิบแก้วน้ำปั่นและกล่องกระดาษเดินไปที่ร้านดอกไม้เล็กๆที่ไม่ค่อยมีคนสนใจเพราะมันเป็นดอกไม้ที่ไม่นิยมเท่าดอกกุหลาบ คุณลุงยิ้มร่ารับลูกค้าอย่างผมและบอกราคาดอกลิลลี่สีขาวที่ผมยืนดู

“ลุงไปรับมาจากปากคลองตลาด คิดราคาบวกเพิ่มไม่มากเพราะว่ายังไงลูกหลานลุงก็เอาไปขายข้างประตูอีกส่วนหนึ่ง ลุงไม่รู้หรอกว่าจะเพิ่มราคาอีกกี่เท่า” เขาหัวเราะ แล้วก็หยิบดอกลิลลี่ออกมาสามสี่ดอก “เอาไปให้รุ่นพี่คนไหนล่ะพ่อหนุ่ม ลุงจะได้จัดช่อให้ตามความเหมาะสม”

“...เอ่อ....แฟนผมครับ”

“อย่าลืมไปบอกแฟนด้วยล่ะว่าขอให้ประสบความสำเร็จด้านการเรียน การงาน ความรัก แล้วก็ขอให้คบกันนานๆ มีอะไรก็ค่อยๆคุยกันนะ” คุณลุงพูดไปทำช่อดอกไม้ไป เขาใช้กระดาษสีน้ำตาลไม่มีลายห่อพร้อมกับพลาสติกใส ตกแต่งช่อให้ด้วยดอกไม้ที่ผมไม่รู้จักชื่อดอกเล็กๆพอสวยงาม “ราคาพิเศษ”

“ขอบคุณนะครับ” ผมยื่นเงินให้เขาแล้วเดินเข้าไปในรั้วโรงเรียนที่มีคนกำลังยืนรอรุ่นพี่ชั้นม.6 ลงมาจากหอประชุมที่ผู้อำนวยการกำลังประกาศ คนอื่นๆกำลังนั่งกับพื้นจับกลุ่มพูดถึงวีรกรรมต่างๆที่รุ่นพี่ตัวเองเคยทำต่อหน้า หรือบางคนก็เริ่มร้องไห้น้ำตาซึมเพราะจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีก

ผมเห็นว่าอีกนานเหมือนกันที่พี่เดือนจะลงมา ผมจึงหาที่นั่งแถวๆนั้นมานั่งนึกถึงวันแรกๆที่ผมรู้จักพี่เดือน

วันนั้นเป็นวันที่พี่เดือนทำปากกาหล่นเนื่องจากสะบัดกระเป๋าแรงเกินไป พวกเราต่างยังไม่ได้ให้ความสนใจกันและกัน ต่อมาก็เจอกันในรั้วโรงเรียน พวกเราเริ่มคุยกัน จากนั้นพี่เดือนก็มาเจอกับผมที่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่น นั่นเป็นครั้งแรกที่พี่เดือนควักเงินจ่ายเลี้ยงผม ผมจึงตอบแทนพี่เดือนด้วยการเข้าไปดูหนังและเล่นเกมเป็นเพื่อน

พอรู้ความจริงว่าพี่เดือนเป็นเกย์ ผมก็มีเอะใจแล้วว่าพี่เดือนเข้าหาผมมากขึ้นกว่าเดิม แต่ผมก็พยายามคิดไปในแง่กลางๆว่าพี่เดือนคงเหงาที่ไม่ค่อยมีเพื่อนคุยและเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น

ยามที่พี่เดือนสารภาพว่าชอบผม หัวใจของผมนั้นมันเต้นผิดจังหวะ ผมไม่เคยมีใครมาชอบผมในแบบที่พี่เดือนชอบมาก่อน ผมเป็นผู้ชายธรรมดาๆที่ไม่มีอะไรเลยแต่พี่เดือนกลับมาให้ความสนใจกับผม ผมก็อดดีใจไม่ได้ หลังจากนั้นพวกเราก็คุยด้วยกันตลอด ความรู้สึกดีๆมันค่อยๆก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จากคำว่าชอบเริ่มกลายเป็นคำว่ารัก ผมไม่รู้ว่ารักแท้จริงแล้วมันเป็นแบบไหน รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าผมกับพี่เดือนต่างคนต่างรักในตัวตนอีกฝั่งเสียแล้ว

ถึงพวกเราจะยังเด็ก จะยังไม่รู้เรื่องนี้เท่าผู้ใหญ่ แต่พวกเราก็พยายามเข้าใจให้ได้มากที่สุดเท่าที่วัยของพวกผมจะทำได้ หลายคนเชียร์ หลายคนก็ผิดหวังในตัวตน แต่พวกเราก็จะพยายามไม่มองสายตาของคนในสังคมเพราะพวกเขาไม่รู้จริงๆว่าพวกเราทำอะไรบ้างไปในวันๆ

หลายคนยังมองเกย์แบบผิดๆ พวกเขาคิดว่าจะเป็นแบบในซีรี่ย์ที่เน้นฉากวูบวาบ น่าหวาดเสียว ไม่เป็นมิตรต่อเยาวชน ซึ่งที่แท้จริงแล้วซีรี่ย์ก็ทำเรียกกระแส เรียกคนดูให้มากขึ้น (เฉพาะกลุ่ม) ถ้าพวกคุณมีเพื่อนหรือมีพี่น้องที่เป็นเกย์ พวกคุณก็ลองไปถามดูก็ได้ว่าวันๆพวกเขาเป็นเช่นไร พวกเขามีความสุขแบบไหน ไม่ต้องไปกลัวว่าพวกเขาจะกัดหัวคุณหรอกเว้นเสียแค่ว่าคุณจะเคยไปดูถูกดูแคลนหรือไม่ถูกกัน

บ่นมามากพอ ผมขอพูดถึงตัวเองบ้าง วันนี้มันเป็นวันปัจฉิมนิเทศแล้วก็เป็นวันเกิดตัวเอง ซึ่งผมค่อนข้างแน่ใจว่าเพื่อนผมมันคงโฟกัสไปที่วันปัจฉิมมากกว่าแน่ๆ ดังนั้นไม่ต้องหวังเซอร์ไพรสอะไรจากที่นี่หรอก ที่บ้านก็มีมีนาที่อบเค้กรอเอาไว้เหมือนเดิมทุกปี
แอบน้อยใจนิดๆที่ไม่มีใครให้ความสำคัญเหมือนกันนะ...

วันเกิดลูกคล้ายวันตายแม่ แต่แม่ผมก็บอกว่าผมเกิดมาได้ก็ควรจะมาฉลองพร้อมกันแทนที่จะให้ลูกถือพวงมาลัยมาไหว้ คือแม่ผมไม่ถือเรื่องที่ผมต้องมาไหว้แม่ทุกวันเกิดหรอกเพราะเจ้าตัวก็ติดงานถ่ายนอกสถานที่ บอกว่าไม่มีเวลาได้ดูแลสมกับแม่เท่าไหร่ ดังนั้นก็เจ๊าๆกัน แต่ผมก็เถียงกลับไปว่ายังไงแม่ก็คือแม่ ไม่มีมาลัยให้ผมก็ไหว้ขอบคุณพระคุณท่านอยู่ดี

“พวกพี่ๆเริ่มลงมากันแล้ว”

เสียงของกลุ่มผู้ชายดังขึ้นมาจากบริเวณใกล้ๆกัน พวกเขาเดินไปหยิบพวงมาลัยแบงค์กาโม่มาเต็มสองมือแล้วไปยืนเบียดกับคนอื่นที่ข้างถนนทางเดินเพื่อเอาให้พี่ตัวเอง รุ่นพี่บางคนไม่เป็นที่รู้จักของน้องๆก็จะไม่ค่อยได้อะไร ถึงจะได้ก็เพราะน้องสงสาร ส่วนคนที่ได้เยอะๆก็เป็นพวกลีดพวกนักกีฬาตัวเด่นๆ

ห้องของพี่เดือนยังไม่ลงมา ผมก็นั่งรอไปอีกสักพักแล้วกัน

เวลาผ่านไปอีกสิบนาที ผมก็เริ่มเห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งเดินลงมาจากบันไดหอประชุม เรียกเสียงเชียร์ดังสนั่นจากสองข้างทาง ทันทีที่พี่เดือนเท้าแตะพื้น ก็มีคนรุมเอาดอกไม้ไปแสดงความยินดีด้วยใหญ่ เขาแทบจะรับไม่ทันจนพี่ศึกกับพี่เมย์ต้องออกหน้ามารับให้แทน

จนกระทั่งพี่เดือนเดินมาท้ายๆ เขาเหมือนพยายามมองหาผมอยู่ ผมจึงหัวเราะให้ตัวเองแล้วเดินออกไปท้ายๆแถวที่คนบางมาก
“อ้าว นี่น้องกุมภ์นี่นา นึกว่าจะไปยืนอยู่หัวแถวอีก”

“คนเยอะเกินไปครับ เป็นลมก่อนแน่ๆ”

“นั่นไงพี่เดือนมาแล้ว”

ยังไม่ทันที่พี่เดือนจะเดินมาถึงท้ายแถวจุดที่ผมยืน พวกพี่ที่คุยกับผมเมื่อครู่ก็ดันหลังผมออกไปกลางแถวเรียกสายตาผู้คนทั้งหมด ประเด็นคือกะจังหวะได้พอดีมาชนิดที่เรียกได้ว่าฝึกมาสิบชาติ พี่เดือนยืนนิ่งอยู่หน้าผมพร้อมกับช่อดอกไม้และมงกุฎที่นับจำนวนไม่ได้ เขามองผมด้วยสายตาที่เป็นประกายราวกับว่าได้เห็นของเล่นที่ชอบ

“พี่เดือน...”

“ครับ?”

พี่เดือนยิ้มอ่อนให้ เขาไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองมา แต่เขากลับมองไปที่กล่องกระดาษและช่อดอกลิลลี่ ไล่มาเรื่อยๆจนจ้องกับตาของผม

“...”

“...”

“ยินดีด้วยนะครับ”

“กุมภ์...”

“รอผมอีกสองปีนะ เดี๋ยวผมจะตามไปเรียนที่เดียวกัน”

ฟุ่บ

“กรี๊ดดดดดดดดดด”

วินาทีนั้นผมไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นนอกเหนือจากความอบอุ่นจากอ้อมกอดของคนที่ผมรัก เขาซุกหน้ากับไหล่แล้วคลอเคลียไปมา ผมเพิ่งสังเกตว่าเขาทิ้งของที่รับมาจากคนอื่นลงพื้นหมด แต่มารับกล่องกระดาษและช่อดอกลิลลี่สีขาวนี้แทน

“พี่มองหากุมภ์ตั้งนาน นึกว่าจะไม่ให้เสียแล้ว”

“นี่ใคร ผมแฟนพี่นะ ไม่ให้ขายหน้าแย่” ผมลูบหัวคนสูงกว่า และเปลี่ยนเป็นเป็นลูบหลังแทน “ได้ที่เรียนแล้วก็ตั้งใจเรียน อย่ามัวแต่พะวงกับเรื่องของผมจนเสียสมาธิ ผมดูแลตัวเองได้ พี่เป็นฝ่ายที่ต้องดูแลตัวเองนะ”

“นี่แฟนรึแม่” เขาพูดบ่นพอให้ผมได้ยิน จากนั้นก็ผละตัวออก ฝากให้พี่ศึกกับพี่เมย์ไล่เก็บของที่ตกอยู่บนพื้นแล้วตัวเองก็ดึงผมมาพร้อมกับชูโทรศัพท์เหนือหัวตัวเอง เปิดกล้องเซลฟี่โดยที่หน้าของพวกเราทั้งสองแนบกัน ไม่แคร์สายตาของคนที่อยู่บริเวณนั้น “ความทรงจำดีๆอีกอย่างนึง...”

เขากดถ่ายแล้วก็เก็บลงกระเป๋าเหมือนเดิม ลูบหัวผม โอบเอวให้เดินตามโดยที่ไม่สนใจกับคำเรียกของเพื่อนตัวเองที่ปล่อยให้เก็บของต่อไป

พอเรียนจบก็แกล้งเพื่อนส่งท้ายเลยนะ


“ข้างในเป็นอะไรน้อ” พี่เดือนเขย่ากล่องกระดาษจนเกิดเสียงกุ่กกั่กข้างใน เขายังไม่ยอมเปิดจนกระทั่งพวกเรามานั่งที่ม้านั่งไม้หนึ่งกลางสวนพฤษศาสตร์ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสี “ลับตาคนแล้วเปิดได้ใช่มั๊ย?”

“ใครว่าล่ะ”

พี่เดือนค่อยๆเปิดกล่องกระดาษนั้นออกมา บรรจงหยิบสมุดทำมืออย่างเบามือที่สุด สายตาเขาเต็มไปด้วยความตื้นตันเมื่อเขาไล่เปิดไปทีละหน้าจนถึงหน้าสุดท้ายที่มีรูปหนึ่งพร้อมข้อความลายมือของผม


ถึง พี่เดือน

ถ้าวันนั้นพี่เดือนไม่ทำปากกาหล่น ผมกับพี่เดือนคงไม่ได้เจอกัน

ถ้าวันนั้นพี่เดือนไม่คุยกับผม พวกเราคงเป็นแค่คนรู้จักกัน

ถ้าวันนั้นพี่เดือนไม่เลี้ยงข้าวผม พวกเราคงไม่มานั่งด้วยกัน

ถ้าวันนั้นพี่เดือนไม่บอกมาตรงๆว่าชอบผม พวกเราคงไม่ได้มารักกัน

ผมอยากให้พี่เดือนเข็มแข็งขึ้นระหว่างที่พี่ไปเรียนที่อื่น ผมอยากให้พี่ได้กางปีกเป็นอิสระ ผมอยากเห็นพี่มีความสุขกับชีวิต แน่นอนว่าผมจะคอยอยู่ข้างๆ ถึงตัวจะไม่ได้อยู่แต่ใจก็อยู่นะ

ยิ่งรู้จัก...ผมยิ่งรักพี่ (:

กุมภา



“เขียนอะไรน่ารักๆก็เป็นนี่นา” พี่เดือนอมยิ้ม เขามองมาทางผมแล้วก็ก้มลงมากดริมฝีปากที่ข้างศีรษะ “ขอบคุณนะครับ เจ้าปลา”

“นกน้อยก็อย่าเพิ่งเหลิงกับเมืองใหญ่นะพอไปถึง”

“พี่ไม่เหลิงหรอก พี่ไม่ใช่คนที่หลงอะไรง่ายๆ แต่ถ้าหลงแล้วพี่รักนานเลยนะ โงหัวไม่ขึ้นด้วย” เดี๋ยวนี้มีสกิลต่อล้อต่อเถียง พัฒนาเร็วเกินไปแล้ว

“ขอให้จริงเถอะ จะว่าไปแล้วพี่เดือน” ผมเว้นประโยค “พี่เดือนจะไปตอนไหนเหรอ?”

“ก็จนกว่าเกรดทางนี้จะเคลียร์หมดทุกอย่าง ระหว่างรอก็ขนของไปที่คอนโดของพ่อ ส่วนศึกที่ยังรอผลประกาศก็คงช้าหน่อย แต่พี่ว่ายังไงก็คงได้มหาลัยระแวกเดียวกัน”

“แหงล่ะ พี่เล่นไปเข้ามหาลัยที่รับโปรไฟล์ดี คะแนนสูง เข้าได้นี่บุญมากเลยนะ” ผมถอนหายใจ เริ่มกลัวเหมือนกันแล้วว่าผมจะทำตามที่ตัวเองเคยโม้ไม่ได้ มหาลัยที่พี่เดือนไปมันใช่เล่นที่ไหนกัน หัวไม่ดี ประวัติไม่ดีจริงเข้าไม่ได้ ถึงผมจะมีผลงานเยอะพอตัวแต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้ดีโขขนาดนั้นซะหน่อย

“ฮึฮึ พี่รู้สึกโชคดีนิดๆแล้วล่ะที่เป็นเด็กเรียนมาตลอด”

“พี่ก็ยังเป็นเด็กเรียนมั๊ย? ไม่สิ เดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนพี่ก็กลายเป็นนักศึกษาแก่เรียนแล้ว พี่ต้องไม่ขาดกิจกรรม ไม่ขาดคาบเรียน สอบทีดึงมีนาชาวบ้าน ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง”

“นั่นก็มากไป คนเก่งกว่าพี่มีอีกเยอะ” พี่เดือนยกมือทำท่าปางห้ามญาติ ห้ามผมนี่แหละไม่ให้พูดมากกว่านี้ ระดับพี่เดือนคงดึงมีนชาวบ้านชาวช่องจนสูงลิ่วอยู่แล้ว

“แล้วดอกลิลลี่สีขาวนี่ล่ะ?”

“ความหมายเดียวกันกับที่พี่เดือนให้ตอนขอคบผมนั่นแหละ”

พี่เดือนหยิบออกมาเล่นดอกนึงก่อนที่จะหมุนไปมาในมือเหมือนกับคิดอะไร แต่สายตาที่มองมันไม่ใช่สายตาเศร้าหรือเฉยๆ มันเปี่ยมไปด้วยความสุขและความดีใจที่ทำให้คนมองอย่างผมพลางมีความสุขตาม

พวกเราไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้ลมเย็นๆพัดผ่าน มือสองข้างของพวกเราประสานกันบนม้านั่ง

การที่ไม่มีอะไรจะพูด..ก็ใช่ว่าไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกต่อกัน

“พี่มีเวลาพี่จะขับรถกลับมาหานะ”

“เอาไว้หยุดยาวนะพี่ หยุดสั้นๆสองสามวันพี่จะเหนื่อยเอาเปล่าๆ”

ผมไม่อยากให้พี่เดือนต้องมาเหนื่อยเพราะคอยมาดูผม

“พี่คอลหาทุกวันได้มั๊ย?”

“วันไหนพี่เหนื่อยก็ไม่ต้องโทรมาหรอก พักผ่อนให้เต็มที่ เดี๋ยวจะโทรมเอา”

ไม่จำเป็นต้องติดต่อกันตลอดเพราะต่างคนต่างก็ต้องมีเวลาส่วนตัวหรืออยากพัก

“ถ้าพี่ได้ไปถ่ายงานที่อื่น พี่จะส่งรูปมาให้กุมภ์ดูด้วย”

“ขอรูปทิวทัศน์สวยๆนะ ถ้าไม่สวยผมตีพี่แน่”

ถ้าพี่เดือนอยากแบ่งปันเรื่องราวที่เขาเจอ ผมก็ยินดีที่จะรับฟัง

“พี่นึกว่ากุมภ์จะงอแงมากกว่านี้ซะอีก แบบไม่เอา พี่ต้องมาหาผม พี่ต้องคุยกับพี่ พี่ต้องพาผมไปเที่ยว” เขาว่าพลางกลั้นหัวเราะกับเสียงสองที่เขาดัดให้ดูเด็กลง “ปกติคนเป็นแฟนกันต้องมีงอแงนี่นา”

“มันไม่ใช่เรื่องที่จะมางอแงกันนี่ ถึงผมจะอายุสิบเจ็ดแต่ผมก็ไม่งี่เง่ากับเรื่องแค่นี้หรอก” คนเรามันมีเวลาใช้ชีวิตประจำวันไม่ตรงกันอยู่แล้ว บางคนหลับ บางคนตื่น บางคนทำงาน บางคนอยู่บ้าน บางคนไปเดินเล่น บางคนกำลังนั่งคลุกกับหมาแมวในห้องนอน ผมไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับเวลาพักผ่อนเช่นเดียวกันกับพี่เดือนต้องการเวลาพักผ่อนแต่คนกลับมาวุ่นวายไม่ขาดสาย ผมอยากให้เขาได้หายใจหายคอได้หลับเหมือนมนุษย์อายุไม่ถึงยี่สิบคนอื่นบ้าง

หวังว่าพี่เดือนจะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติตอนเข้ามหาลัย

จะว่าไป...ผมลืมอะไรไปนะ?

“กุมภ์”

“ครับ?”

“มากับพี่หน่อยนะ”

ผมเดินตามพี่เดือนอย่างว่าง่ายไปที่รถ เขาวางของไว้ที่เบาะหลังแล้วก็คาดเข็มขัดให้ผมมุ่งตรงไปที่สถานที่ที่ผมคุ้นเคยเพราะมาตลอดเวลา

ที่เรียนพิเศษ...ที่แรกที่ผมเจอกับพี่เดือน

“พี่เดือน?”

“มาเถอะน่า” เขาจูงมือผมให้เดินตาม หันไปกระซิบอะไรกับพี่ที่เคาท์เตอร์ก่อนที่เธอจะพยักหน้าให้ เขาเดินมาเรื่อยๆจนหยุดที่ห้องหนึ่งที่เป็นสถานที่ต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมด

“เอ่อ...ผมงงไปหมดแล้วนะว่าพี่เดือนมาทำอะไรที่นี่? พี่เดือนอยากเรียนทบทวนก่อนจบเพื่อเป็นที่ระลึกเหรอ?” ก็อาจจะเป็นไปได้เพราะพี่เดือนคลุกอยู่ที่นี่ตลอด มาลาสักนิดก่อนจากไปก็คงไม่เสียหาย

“พร้อมนะ?”

“พร้อมอะไรอะพี่?”

“3...2...1!”

“สุขสันต์วันเกิด!”

เสียงของพลุจิ๋วดังขึ้นไปทั่วจนทำให้ผมเผลอร้องตกใจไปนิดๆ ตรงหน้าของผมมีชีสเค้กก้อนโตวางเอาไว้พร้อมกับเทียนตัวเลขสิบเจ็ด ข้างๆกันมีสารพัดขนมกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่างน้ำส้ม น้ำแตงโม หันไปรอบๆห้องเรียนพิเศษก็มีของประดับตกแต่งพอเป็นพิธีติด

ที่ผมตกใจที่สุดคือคนที่ผมรู้จักพากันมารวมตัวที่นี่ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนทั้งสามของผม มีนา พ่อแม่ พ่อพี่เดือน น้องพี่เดือนที่ชื่อว่าหนึ่ง รวมถึงพี่ศึกและพี่เมย์

“ตกใจมั๊ยครับเจ้าปลา? ลืมวันเกิดตัวเองเหรอ?”

เออ ลืมไปเลยว่าผมเพิ่งบ่นไปเมื่อเช้าถึงวันเกิดตัวเอง!

“แล้ว...”

“วันนี้ไม่ค่อยมีใครมาเรียนเพราะว่ามีงานปัจฉิมเกือบทุกโรงเรียน พี่เลยขอเจ้าของที่นี่เรื่องจัดงานเลี้ยง เขาจำหน้าพี่ได้ในฐานะเด็กแก่เรียนที่เข้าออกจนเป็นเจ้าถิ่นเลยบอกว่าให้ใช้ได้ฟรี จากนั้นพี่ก็เรียกคนที่สนิทด้วยมาพอประมาณเพราะไม่อยากให้คนมาให้ความสนใจมากเกินไป”

“ทีเรื่องอย่างนี้เก่งชะมัด”

“เอาน่า ไปบ่นเดือนเขา มาๆ ลูกมาเป่าเทียนก่อนที่น้ำตาเทียนมันจะหยดลงเค้กหมดก่อนเถอะ” พ่อของผมเป็นฝ่ายดึงผมมายืนตรงหน้าเค้ก ผมจึงขออธิฐานในใจแล้วเป่าออกไปทีเดียวดับ จากนั้นจึงเป็นพิธีของการตัดเค้กแบ่งแขกไม่กี่คน

“เอ่อ..พี่คงรู้จักผมอยู่แล้วว่าผมเป็นน้องพี่เดือนชื่อหนึ่ง พี่เดือนเล่าให้ฟังแล้วว่าพี่ช่วยกล่อมให้แม่ใจเย็นลงด้วย ขอบคุณนะครับ” หนึ่งก้มหน้าให้ผมก่อนที่จะยิ้มอ่อนมาให้

ไม่รู้เหมือนกันสิ...แต่ผมรู้สึกว่าโตมาต้องหน้าตาดีเหมือนพี่เดือนแน่ๆ

พูดถึงพี่เดือน ผมก็หันไปทางนที สลับกับหันมาทางพี่เดือน แล้วก็หันมามองหนึ่งที่เดินไปคุยกับพี่ศึกพี่เมย์

แม่ง...ทำไมญาติตระกูลนี้ถึงหน้าตาดีกันหมดวะ

“กุมภ์”

พี่เดือนมากระซิบของหูของผม เขายื่นส้อมที่มีชิ้นชีสเค้กมาให้ก่อนที่จะส่งมันเข้าปากของผม

“พี่ไม่มีของขวัญจะให้นะ พี่ขอโทษ”

“พี่มาขอโทษผมทำไม พี่เดือนให้ผมมาแล้วนี่นา”

“?”

“พี่ให้ความรักผมมา...เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ”


จากนี้อีกสองปี...พวกเราจะได้มาเจอกันอีกครั้งในสถานที่แห่งใหม่

และผมมั่นใจว่าครั้งนี้ ความรักของพวกเราสองคนมันจะไม่ได้เป็นความรักไร้เดียงสาอีกต่อไป พวกผมจะโตพอที่จะเรียนรู้ความหมายของคำว่ารักมากกว่านี้

ฉากจบมันไม่ได้หวือหวาเหมือนนิยายเรื่องอื่น มันยังคงน่าเบื่อกับความเรียบง่ายเกินไป แต่คุณรู้รึเปล่าว่าในความเรียบง่ายนี้น่ะ...ผมรักมันที่สุดเลยล่ะ

มันไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อเรื่องที่มีพล็อตแปลกแหวกโลก ขอแค่มันอบอุ่น...ก็พอแล้ว

เอาล่ะ...สำหรับนิยายเรื่องนี้มันก็จบลงสักที

..

....

......

ลาก่อนวัยมัธยม...ความทรงจำอันแสนหวาน ที่จะถูกความขมขื่นของชีวิตทำลายในเร็ววัน


--------------------


ในที่สุดพาร์ทมัธยมก็จบแล้ว จุดพลุ เย่

หลังจากนี้น้องจะหายไปบ้างเน้อเพราะมีซ้อมแข่งทุกวัน พล็อตเขียนสำรองไว้มีแค่บทเดียว ระหว่างซ้อมช่วงพักก็จะพยายามเขียนนะ ฮืออออ


จะว่าไปใครมีเทคนิควาดฉากสวยๆ เร็วๆบ้างคะ แงง

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 18


เดือน’ talk


พอเฉลยสายรหัส พี่รหัสของผมที่ชื่อว่าศิลป์ก็ลากผมไปร้านเหล้าทันที...

“ไม่เคยลองล่ะสิน้อง! เป็นเด็กเรียนมาตลอดเปิดหูเปิดตาบ้าง พี่ให้แก้วเดียวพอ ไม่ใช่สายคะนองให้น้องกลอกปากเอากลอกปากเอาหรอก”

นี่เป็นคำพูดของเขาตอนที่ยื่นแก้วของเหลวสีเหลืองอำพันมาให้ วินาทีแรกที่ลองผมก็รับรู้ถึงความขมที่ไม่น่าพิสมัยของเครื่องดื่มมาแอลกอฮอร์นี่เอาเสียเลย แต่เพราะตามมารยาทจึงอดทนยกแก้วดื่มให้หมดอย่างค่อยเป็นค่อยไป

“มาอยู่นี่คุ้นทางแล้วใช่มั๊ย จากที่นี่ไปคอนโดน้องก็ไม่นานหรอก เลี้ยวขวาแยกหน้าตรงไปเรื่อยๆก็ถึงนั่นแหละ ไอ้พี่รวีมันก็หาเรื่องพาน้องขับอ้อมโลกไปงั้นๆ” พี่ศิลป์ยักไหล่ให้ พี่รวีเป็นพี่รหัสปีสามที่มีหน้าตาดี แต่ข้อเสียก็คือชอบปั่นหัวคนอื่นเล่น หลายครั้งเหมือนกันที่เขาชอบมากวนผมตอนรับน้อง แถมยังเป็นคนที่เสนอชื่อผมไปเป็นเดือนคณะ สุดท้ายผมก็รอดมาได้เพราะเพื่อนใหม่ในรั้วมหาลัยของผมนามว่ามะยมรับหน้าที่ไปแทน

มะยมเป็นผู้ชายที่หน้าตาออกแนวหนุ่มญี่ปุ่น เขาเป็นคนอัธยาศัยติดลบ...ใช่ครับ นิสัยเขาไม่ค่อยไหวเท่าไหร่ถ้าจะเข้าสังคมกับคนอื่น แต่นั้นก็ทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนเรียนมัธยมว่าผมเองก็เคยเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่เข้ากับใครจนสุดท้ายไม่มีใครกล้าเข้าหา สุดท้ายก็เป็นผมที่ใจดีสู้เสือเข้าไปทักทายก่อน และนั่นก็ทำให้ผมรู้ความจริงว่ามะยมนั้นเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่แสดงออกทางสีหน้า หลายคนจึงไม่รู้ว่าเขาเดินจากไปด้วยใบหน้าเศร้าๆ

กลับมาที่ร้านเหล้า ผมลาพี่รหัสทั้งสอง ส่วนพี่รหัสปีสี่อีกคนตอนนี้กำลังติดธุระจึงไม่ได้มาด้วย ผมขับรถวีออสสีขาวคันเดิมที่ขับมาตั้งแต่อุบลออกจากลานจอดรถ ทุกครั้งที่ผมขับรถคันนี้ก็อดไม่ได้เหมือนกันที่จะเหลือบไปมองเบาะนั่งข้างๆที่ว่างเปล่า

มันทำให้ผมนึกถึงแฟนของผม...กุมภ์

กุมภ์บอกว่าถ้าผมเหนื่อยก็ไม่จำเป็นต้องติดต่อมาตลอด เขาอยากให้ผมพักผ่อนให้เต็มที่ ครั้งก่อนที่คุยกันผ่านวิดีโอคอล เขาเห็นผมกำลังทำหน้าง่วงๆเพราะวันนั้นกว่าจะเลิก ก็ปาไปเกือบจะสองทุ่มแล้ว แถมยังมาเสียเวลาโดนรุ่นพี่ในคณะไปใช้งานอีก กุมภ์จึงไล่ให้ผมไปอาบน้ำแล้วมานอน ส่วนตัวเขาก็นั่งอ่านหนังสือเงียบพร้อมกับเขียนอะไรลงไปในกระดาษด้วย

อยากให้ถึงวันที่กุมภ์จะมาเรียนที่เดียวกันไวๆ...เพราะผมกลัวว่าผมจะอดทนไม่ไหว

เมื่อผมขับมาถึงใต้ตึกและเปิดประตูห้องคอนโดของพ่อที่ตอนนี้ผมยึดเอาไว้ ผมก็วางกระเป๋าลงกับเก้าอี้พลางคลายเนคไทออกโยนลงข้างๆกัน หย่อนตัวลงนั่งกับเตียงผ้าปูสีขาวขนาดควีนไซส์ที่พ่อสั่งให้ยกมาจากโรงแรมด้วยเหตุผลว่า ‘ยังไงก็ต้องเอาไปทิ้ง สภาพยังดีจะซื้อใหม่ทำไม เอามาให้เดือนนี่แหละ’ แต่ผมก็รู้ดีว่าเตียงนี้มันยังใหม่มาก พ่อคงสั่งให้พนักงานตัวเองไปขนออกมาให้ผมนอนสบายๆกว่าเตียงเก่าของเขาที่เอากลับบ้านที่อุบลนั้นแหละ

คอนโดนี้ไม่ได้ใหญ่มากมายอะไร แต่พออยู่สำหรับสองคน มีเคาท์เตอร์ครัวอยู่ตรงห้องนั่งเล่น ห้องนอนเดี่ยวที่มีห้องน้ำในตัว ส่วนอีกห้องนั้นเป็นห้องเก็บของที่ผมดัดแปลงจัดการเอาตู้มาวางไว้สำหรับใส่หนังสือและของที่ผมตั้งใจจะสะสม หนึ่งในนั้นเป็นกรอบรูปที่มีรูปของผมกับกุมภ์เต็มไปหมด แต่ผมจะไม่เข้าไปในห้องนั้นเด็ดขาดถ้าคุยวิดีโอคอลกับกุมภ์ ไม่งั้นเจ้าตัวมีหน้าแดงใส่แน่ๆ

ชีวิตในวันหนึ่งในมหาลัยผมไม่มีอะไรมาก ที่นี่ไม่มีใครรู้จักผมเท่าไหร่ เขาไม่ได้มองผมว่าเป็นผู้ชายที่เรียนดีจากอุบล เขาเห็นเป็นแค่ผู้ชายที่หน้าตาดีคนหนึ่งเท่านั้น พอมีคนมาขอเบอร์ผมก็ประกาศกล่าวไปว่าผมมีแฟนแล้ว พอเล่าให้กุมภ์ฟัง เขาก็หัวเราะเสียงดังเพราะคิดว่าผมกลัวเขาหึงถ้าไปคุยกับผู้หญิง

นอกจากว่าจะมีคนมาขอเบอร์ หลายคนเหมือนกันที่มาทาบทามให้ผมไปเป็นลีดคณะบ้าง ไปเป็นคนถือธงบ้าง แต่ผมก็ปฏิเสธหมดโดยยื่นข้อเสนออื่นแทนถ้าอยากให้ช่วยก็คือจะเป็นตากล้องในงาน พอพวกพี่ๆได้ยินเขาก็พากันถอนหายใจเสียดายกันยกกลุ่ม

ผมไม่ได้อยากโดดเด่น ไม่ได้อยากจะมีหน้ามีตามากเหมือนตอนมัธยมเพื่อให้ครอบครัวหันมาสนใจกันบ้าง ซึ่งตอนนี้ครอบครัวของผมก็หันมาให้ความสนใจกับผมตลอด ไม่ว่าผมจะทำอะไรพ่อก็คอยโทรมาถามว่าขาดเหลืออะไรบ้าง ถ้าขาดก็ขอให้ช่วยได้ ส่วนหนึ่งก็มักจะโทรมาขอคำปรึกษาเรื่องชอบผู้ชายซึ่งผมก็บอกไปว่าค่อยๆเป็นค่อยๆไปเดี๋ยวก็รู้ ส่วนแม่ก็มีติดต่อมาบ้าง นานๆทีถึงพูดถึงเรื่องที่ผมเป็นเกย์ แน่นอนว่าเธอยังคงไม่อยากยอมรับ แต่ก็ดีขึ้นมากกว่าเก่าแล้ว


“เดือน เดี๋ยวช่วยถ่ายตรงนี้ใหม่หน่อยนะ” มะยมยื่นกล้องมาให้ผมอีกครั้ง วันนี้ผมกับเขามากันที่ตลาดน้ำเพื่อถ่ายงานส่งประกวด ส่วนใหญ่ตลาดน้ำคนจะมาถ่ายพวกเรือขายของจากบนบก แต่ผมมีความคิดว่าถ้าเกิดผมถ่ายร้านค้าบนบกจากเรือริมน้ำจะเป็นอย่างไร จึงจัดการติดต่อลุงคนหนึ่งขอเช่าเรือไม้พายมาทำงานด้วยกันซึ่งคุณลุงก็ใจดีมากๆ พร้อมกับบอกทำเลร้านค้าสวยๆ

“ลุงครับ ลุงจอดตรงนี้อีกแป๊บนะ ผมใช้เวลาไม่นาน”

“เอาเลยๆ ลุงไม่ว่าหรอกพ่อหนุ่มหล่อ” เขาหัวเราะโชว์ฟันที่เริ่มหลุดไปตามอายุไข พอเห็นรอยยิ้มของลุงก็อดไม่ได้เหมือนกันที่จะสะกิดให้มะยมรีบยกกล้องของตัวเองขึ้นมาถ่ายภาพความประทับใจ

เมื่อถ่ายงานเสร็จ พวกผมก็มาเดินเล่นต่อกันภายในตลาด ร้านค้ามากมายตั้งอยู่สองข้างทาง มีหลายร้านเหมือนกันที่ขายของที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“เดือน ดูนี่ดิ กระเทียม”

“กระเทียม?” สิ่งที่อยู่ในมือนั่นเป็นลูกกลมๆห่อด้วยกระดาษสีเล็กๆบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกวางขายเป็นกล่องๆ ข้างๆกันก็เป็นพวกขนมโบราณที่หาไม่ค่อยได้แล้วในปัจจุบันอย่างลูกอมรสส้มเม็ดเล็กๆกล่องละสองบาท ของเล่นพลาสติกจิ๋วแถมของเล่น กล่องของขวัญราคาห้าบาทที่ข้างในน่าจะเป็นรถคันน้อยกับสติ๊กเกอร์อีกนิดหน่อย และอีกหลายอย่างมากที่ถ้าคุณมาเห็นแล้วนึกออกมาคุณเคยเล่นอาจจะสำนึกในอายุได้

“อ้อ ลืมไปว่านี่เป็นประทัดจิ๋ว ปาลงพื้นแรงๆให้เกิดเสียงเปรี๊ยะน่ะ เคยเล่นตอนเด็กๆ ไม่เคยเล่นเหรอ?”

“ตอนเด็กๆอยู่กับหน้าหนังสือมาตลอด ไม่ได้เล่นพวกนี้หรอก”

“น่าเสียดาย ซื้อไปลองปาใส่พวกพี่ศิลป์ดีมั๊ยเนี่ย กำลังหมั่นไส้อยู่พอดี”

ผมหัวเราะ หยิบเจ้าลูกกวาดหลากสีที่อยู่ในกังหันลมมือขึ้นมาดูพลางนึกถึงกุมภ์ที่ก่อนที่ผมจะมาเรียนที่นี่เคยบ่นว่าหาของเล่นพวกนี้ยาก

เขาอยากจะเอาของเล่นพวกนี้มาประกอบฉากถ่ายงานแข่งในหัวข้อวันวาน

ถึงจะไม่ได้ของเล่นพวกนี้ แต่เขากลับได้พวกขนมไทยเก่าๆที่มีนาอุตส่าห์ไปรื้อหาข้อมูลมาทำให้

พูดถึงมีนาน้องชายของกุมภ์ มีนานี่เป็นเด็กที่น่ารักมาก และผมแอบเห็นด้วยว่านทีชอบน้องชายแฟนผมจริงๆ อาจจะเป็นเพราะตัวเองเหงามาเกือบสี่ปีได้

ผมเดินมาเรื่อยๆกับมะยมที่ตอนนี้มีถุงกระเทียม (ประทัดจิ๋ว) ติดมาด้วย ระหว่างทางกลับไปที่รถ ผมก็ซื้อผลไม้ดองกับของกินค่อนข้างเยอะ เรียนมหาลัยยอมรับว่าเหนื่อยกว่าตอนเรียนมัธยมมาก ดังนั้นผมจึงต้องใช้พลังงานมากกว่าเก่า อาหารเลยถูดยัดลงกระเพาะเกือบทุกห้าชั่วโมงได้ น้ำหนักผมขึ้นมาอีกเกือบจะสามโลด้วยซ้ำ แต่อย่างนั้นก็ไม่มีใครทักว่าผมดูอวบขึ้นรึเปล่าเลย
ส่วนเรื่องกลัวความมืด ผมค่อนข้างดีขึ้นมามาก จากไฟหัวเตียงผมก็ค่อยๆหรี่ความสว่างลงมาให้น้อยลงทุกวันจนกลายเป็นว่าผมสามารถปิดไฟนอนได้ถ้าไม่มีเสียงฟ้าผ่าหรือเสียงฝนตก

เรื่องเข้าครัว...ช่างมันเถอะ ครัวมันอยู่อย่างไหนก็ยังอยู่อย่างนั้น ใช้บ่อยสุดก็กาต้มน้ำร้อนที่เอามาชงกาแฟชงโจ๊ก

อยู่คนเดียวกลางเมืองหลวงก็ไม่ได้ยากลำบากมากนักเนื่องจากมีทุกอย่าง แต่ก็เหงาที่ไม่ได้สัมผัสกับเส้นผมของคนที่ผมรัก

อยากเจอ

อยากเร่งเวลาให้เร็วขึ้น

อยากจะกลับจากมหาลัยพร้อมกัน

อยากทำทุกอย่างกับกุมภ์ แต่ผมต้องอดทนเอาไว้ ผมไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นคนงี่เง่าในสายตาของแฟน ไม่อยากเป็นคนเห็นแก่ตัวในสายตาเขา ไม่อยากให้ตัวเองต้องมากลายเป็นคนน่ารำคาญ ผมกลัวว่ากุมภ์จะไม่รักผมถ้าผมกลายเป็นคนแบบนั้น


“เดือน!”

“ศึก? มายังไงเนี่ย” ผมเดินเข้าไปทักทายเพื่อนเก่าที่ตอนนี้อยู่คนละคณะ ครองศึก ผู้ชายที่เป็นเพื่อนสนิทของผมคนเดี่ยวตอนเรียนมัธยมกำลังจูงมือเมย์มาด้วย

อ้อ สองคนนี้เป็นแฟนกันแล้วนะ ผมเองก็เพิ่งรู้ไม่นานนี้

“เดินมาสิไอ้นี่ วันนี้จะมาถามว่าจะไปร้านเหล้าด้วยกันรึเปล่า พอดีว่านัดเพื่อนเก่าได้เกือบครบเลย”

“ผ่านดีกว่า ไม่ค่อยมีคนสนิทด้วย”

“ถ้าเดือนว่าอย่างนั้นก็อย่าไปบังคับเลยดีกว่าเนอะ” เมย์ยิ้มให้กับแฟนหนุ่มตัวเอง “แล้วน้องกุมภ์เป็นยังไงบ้างล่ะ สบายดีรึเปล่า?”

“อื้ม แต่สงสัยเชื้อเราจะแพร่ให้น้องไปแทนน่ะ”

“เอ้า เกิดอะไรขึ้น?” ศึกเลิกคิ้ว เขาปล่อยมือแฟนตัวเองแล้วใช้มือทั้งสองข้างจับไหล่ผมโยกไปมาจนเกือบมึน

“กุมภ์เริ่มแก่เรียนมากขึ้น เริ่มจริงจังมากขึ้น นี่เห็นว่ามีคนจะให้กุมภ์ลงสมัครตำแหน่งประธานนักเรียนปีหน้าด้วย”

“เออ ไม่แปลกใจ เชื้อมึงร้อยเปอร์เซ็นต์”

“อย่าลืมบอกน้องด้วยล่ะว่าอย่าฝืนร่างกายมากเกินไปเหมือนที่เดือนเคยทำ ล้มป่วยขึ้นมาจะแย่เอา” เมย์บอกปิดท้ายก่อนที่ศึกจะลาผมไปเก็บของที่หอก่อนจะตรงไปร้านเหล้า ส่วนผมก็เดินกลับมาที่รถแล้วขับกลับคอนโดทันที งานที่ได้มาผมก็รีบทำตามความเคยชินของนิสัยเดิมที่เป็นมาตลอด เมื่อทำเสร็จก็มากลิ้งเล่นบนเตียงเปิดเกมโทรศัพท์เล่นฆ่าเวลา แต่ก็มีข้อความหนึ่งทักเข้ามาในเกมที่ผมเล่น


KOOMPA

พี่เดือนล็อคอินเข้ามาเล่นด้วย? พี่ว่างขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย นึกว่าพี่จะเลิกดึกทุกวันซะอีก

February_moon

ก็พี่ทำงานเสร็จแล้วพี่เลยเข้ามาล็อคอินเอาของ

KOOMPA

เดี๋ยวนี้ติดเกมนะพี่

February_moon

ให้พี่เล่นเถอะ แล้วงานทางนั้นโอเคมั๊ย?

KOOMPA

สบายมาก พี่เดือนเคยเหนื่อยกว่าผมเยอะ ผมต้องทนได้เหมือนที่พี่ทนได้



ยูสเซอร์เนมของผมมีชื่อว่า February_moon มาจากชื่อของกุมภ์และชื่อของผมผสมกัน พอกุมภ์รู้ก็โวยวายผ่านช่องแชทมาใหญ่ว่าตั้งชื่ออะไรของผม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยบอกให้เปลี่ยนเลยสักครั้ง

ผมคุยกับน้องในเกมไปอีกหน่อยก่อนที่จะตัดสินใจออกจากเกมแล้ววิดีโอคอลไปหาแทน

‘นึกว่าหนีออกจากเกมเพราะขี้เกียจเล่น ที่ไหนได้ หนีมาคอลกับผม’

“ก็พี่อยากเห็นหน้านี่นา”

‘พี่รู้ตัวเองรึเปล่าว่านับวันพี่ยิ่งพูดตรงเข้าไปเรื่อยๆ’ กุมภ์ส่ายหน้าแล้ววางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะตัวเอง โชวตู้หนังสือที่ปีที่แล้วไม่มี ‘พรุ่งนี้พี่มีเรียนเช้านี่นา ใกล้จะสองทุ่มแล้ว พี่กินข้าวรึยัง?’

“ยังเลย ว่าจะลงไปหาอะไรกินใต้คอนโด” ใต้คอนโดมีเซเว่นแล้วข้างๆตึกก็มีร้านอาหารตามสั่งอยู่ สองที่นี้เป็นแหล่งที่จะไม่ทำให้ผมต้องอดตายตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะคุณป้าแจ่มเจ้าของร้านอาหารตามสั่งที่เหมือนจะชอบผมเอาเสียเหลือเกินในฐานะคนบ้านเดียวกัน ป้ามักจะพูดถึงลูกหลานที่ทำนาอยู่ที่บ้านเกิดตามคำสั่งของปู่ทวด ส่วนเจ้าตัวก็มาอยู่กับสามีที่นี่ นานๆทีถึงจะกลับ

‘นึกว่าพี่จะต้มแต่มาม่า คอลตอนกินข้าวทีไรพี่ถือชามไม่ก็ถ้วยมาตลอด’

“เดี๋ยวพี่จะพัฒนาตัวลองทำไข่เจียวดูบ้าง”

‘อย่าทำครัวคอนโดพ่อพี่ไหม้ละกัน’

จากนั้นพวกเราก็คุยกันเรื่องต่างๆนานระหว่างที่ผมคว้าคีย์การ์ดห้องกับกระเป๋าเงินลงมาที่ใต้คอนโด เดินเข้าร้านป้าแจ่มที่ไม่มีลูกค้า ป้าเข้ามาทักผมด้วยสีหน้าแจ่มใสสมชื่อแล้วก็ทักกุมภ์ที่อยู่ในกล้อง หลายครั้งเหมือนกันที่ป้าแจ่มจะเห็นผมคุยกับแฟน ป้าชมใหญ่ว่ามีแฟนน่ารัก เป็นคนขยัน

“เดี๋ยวถ้ามาอยู่กับแฟนแล้วป้าจะทำผัดเครื่องในสูตรป้าเองให้นะ” ป้าแจ่มพูดปิดก่อนที่จะเดินไปทำข้าวผัดปลาให้ ผมซึ่งเป็นคนที่กินกุ้งไม่ได้แถมยังไม่ชอบปลาหมึกเพราะเหนียวเกินไปก็นั่งรอ ส่วนกุมภ์ตอนนี้หันกลับไปแต่งรูปในโฟโต้ช็อปแล้วเรียบร้อย
ตอนผมเข้าคลาสที่เริ่มใช้โปรแกรมพวกนี้ ผมก็เอ๋อไปพักใหญ่เพราะไม่เคยแตะ จนต้องมาขอให้กุมภ์ช่วยสอนให้จนพอไถไปได้ ยอมรับว่าสมองผมตอนนี้มันไม่ได้ดีเท่าตอนเรียนมัธยมเนื่องจากการเจอสิ่งใหม่ๆที่ไม่ใช่ทางที่เคยสัมผัสมาก่อน

มีครั้งหนึ่งผมเคยเดินผ่านคณะแพทย์ ผมเล่นนักศึกษาแพทย์เดินผ่านไปมาเยอะแยะจนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าผมไม่ได้เจอกุมภ์ ผมจะเป็นหนึ่งในนั้นเหมือนเดิมมั๊ย จะยังไม่กล้าเปิดเผยตัวเองเหมือนเดิมรึเปล่า หรือว่าจะยังคงเป็นหุ่นยนต์เช่นเดิมใช่รึไม่

ลองนึกจินตนาการภาพตัวเองในเสื้อกาวน์กับตัวเองในชุดสบายๆถือกล้อง...ยังไงผมก็เห็นถึงอิสระของอย่างข้างหลังมากกว่า


และก็ผ่านไปอีกปี

ผมที่อยู่ปีสองก็เริ่มมีเพื่อนมากขึ้น นอกจากมะยมแล้วยังมีไนท์ ผู้ชายตัวเล็กหน้าตาน่ารักที่เป็นของสูงของเอกผม ใครๆก็พูดถึงกลุ่มผมว่าเป็นกลุ่มรวมคนหน้าตาดี ไม่ได้อวดนะครับ แต่แบบ...คนหนึ่งก็เป็นเดือนคณะ อีกคนก็เป็นคนน่ารัก ส่วนผมก็เป็นคนที่สูงโดดเด่น พวกเราคอยช่วยกันเรื่องงาน ไปไหนไปด้วยกัน แถมยังยอมรับผมด้วยว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชาย

“เราว่าแฟนเดือนนี่น่ารักมากๆเลยนะ ปีนี้ก็ม.6 แล้วนี่?” ไนท์ถามถึงกุมภ์ ผมเอารูปที่ถ่ายด้วยกันให้ดูตอนผมกลับบ้านช่วงปิดเทอม น้องกำลังยุ่งๆกับการรับตำแหน่งประธานนักเรียน ผมเองก็ไม่อยากไปกวนมากนัก แต่สุดท้ายน้องก็มาเดินเล่นในห้างเป็นเพื่อนเพราะไม่ได้เจอตัวเป็นๆนานเกือบปี

“อื้ม”

“ประธานนักเรียนด้วย” มะยมช่วยเสริมให้ “กูว่าคู่นี้เก่งทั้งพี่ทั้งน้อง”

“ไม่หรอก น้องเก่งและเข้มแข็งกว่ากูเยอะ” ผมยิ้ม “กุมภ์เป็นคนที่ทำให้กูได้เข้ามาเรียนในคณะนี้ ทำให้กูเจอสิ่งที่อยากทำ ทำให้กูกล้าเปิดเผยตัวเองว่าเป็นเกย์ เป็นคนที่พากูทำอะไรที่ไม่เคยทำหลายอย่าง เป็นคนที่คอยเติมพลังงานในการใช้ชีวิตให้

“กุมภ์เป็นคนที่น่ารัก อัธยาศัยดี ตอนแรกที่เห็นก็ยังไม่คิดอะไรมาก แต่พอยิ่งบังเอิญเจอกัน ยิ่งคุยกัน ก็ยิ่งรักมากขึ้นเรื่อยๆ มารู้ตัวอีกทีก็ให้ความสำคัญกับเขาเกือบทั้งหมดแล้ว

“กุมภ์ไม่ใช่คนงี่เง่า มีแฟนต้องคอยเอาใจ เขาเป็นคนมีเหตุผล มีความคิดเป็นผู้ใหญ่แม้ว่าจะอายุยังน้อย หลายอย่างในตัวเขาทำให้แปลกใจได้เสมอ แต่ก็มีมุมที่เด็กและอ่อนต่อโลกขัดแย้งกัน นั่นทำให้กูรักน้องมากจนยอมเสี่ยงชีวิตให้ได้”

“โคตรอวยแฟน อย่าให้มีบ้างนะ” มะยมชี้หน้าผม “แล้วไนท์ล่ะ?”

“เราว่าเราอาจจะไม่มีแฟนเลยนี่สิ ตัวเราก็เล็ก ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบหรอก” ไนท์โบกมือไปมา อยากจะบอกเพื่อนตัวจิ๋วเหลือเกินว่าเขาหน้าตาสเปคเกย์มาก แต่ผมเองก็ไม่พูดเพราะไนท์ชอบผู้หญิง ไม่อยากไปพูดยุให้ทะเลาะกันเสียมิตรภาพ

“แล้วน้องตั้งใจจะมาเรียนที่นี่ปะ?”

“มาสิ นี่แอบดูผลการเรียนมา ตกใจมากเลยนะนึกว่าเห็นตัวเองในอดีต แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่าฝืนเกินไปรึเปล่า บางวันคุยด้วยกันเสียงน้องเหนื่อยๆยังไงไม่รู้” ผมสังเกตมาหลายวันแล้วล่ะว่าเสียงกุมภ์ดูเหนื่อยๆ อาจจะมาจากการฝืนตัวเองและงานสภานักเรียน ไปตามดูในเพจก็เห็นว่าเป็นตัวของกุมภ์ที่ขึ้นเป็นพิธีกรงานโรงเรียนเองทุกครั้งโดยที่นานๆทีจะเห็นคนอื่นขึ้น นอกจากนี้ยังเห็นว่าเขากำลังทุ่มเทยื่นเรื่องของบประมาณจากโรงเรียนมาปรับปรุงห้องสมุด สวนพฤษศาสตร์ หรือแม้แต่ลานนั่งหลังโรงเรียนเองแม้ว่าจะไม่สำเร็จหลายครั้ง เขาอยากจะทำอะไรให้กับสถานที่แห่งความทรงจำของเขากับผมก่อนที่จะจบไป “ไม่อยากให้น้องฝืนนะ แต่พอบอกก็พูดว่าไม่เป็นไรๆ สงสัยคงเป็นบทลงโทษที่กูเคยฝืนตัวเองเหมือนกัน”

“ก็น้องเขาอยากจะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้โรงเรียนนี่นา เดือนก็คอยให้กำลังใจเถอะนะ เราเชื่อว่ากุมภ์ต้องทำได้” ไนท์พยายามเอื้อมมือมาตบบ่าผม แต่เท้านี่ก็แอบเขย่งนิดๆจนมะยมหัวเราะ ไนท์หันไปทำตาขวางใส่ใยมแล้วไล่ตีไปทั่วหน้าตึกคณะ

เดือนคณะกับของสูงคณะกำลังไล่กันเป็นเด็กเชียว

“เดือน”

ผมได้ยินเสียงเรียกของเพื่อนสนิทมัธยมดังขึ้นมาพร้อมกับแฟนคนเดิมที่กำลังหวานชื่น ศึกถือถุงขนมมานั่งกับผมแล้วก็หันไปเรียกให้เพื่อนร่วมคณะผมอีกสองที่สนิทกันแล้วมานั่งกินด้วยกัน เมย์บอกว่าเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่ชื่อว่าฝนกำลังจะตามมา ฝนเป็นผู้หญิงรูปร่างอวบ ใส่แว่นแต่งตัวเรียบร้อย เธอเป็นคนน่ารักถึงจะตามเพื่อนช้าไปหน่อย พวกเราเลยกลายเป็นกลุ่มเพื่อนหกคนที่ชอบออกไปนั่งร้านน้ำปั่นหน้ามหาลัยด้วยกันหลังเลิกเรียนวันพุธ

“ฝน ทางนี้ๆ”

“ขอโทษนะที่มาช้าพอดีอาจารย์เรียกไปช่วยงาน” เมย์กับฝนเรียนคณะอักษรศาสตร์เอกภาษาไทย ส่วนศึกเรียนวิศวกรรมภาคไฟฟ้า เป็นกลุ่มที่รวมตัวกันจากต่างคณะแต่ลงตัว

“นี่อะไรอะ?”

“เอแคร์”

“ไม่ใช่ที่เป็นลูกกลมๆมีครีมนุ่มๆนั่นเหรอ?”

“อันนั้นเขาเรียกว่าชูครีม คนไทยเรียกผิดมานานมาก” ฝนอธิบายถึงขนมในกล่อง “แต่เราชอบชูครีมนะ นุ่มปากดี”

“เหมือนกัน เรารู้จักร้านอร่อยนะฝน วันหลังไปด้วยกันมั๊ย?” ไนท์เอ่ยปากชวนฝนไปร้านขนมด้วยกัน ดูก็รู้ว่าไนท์พยายามจีบฝน ส่วนจะสมหวังมั๊ยก็อีกเรื่อง ท่าทางของฝนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธไนท์เหมือนกัน

“เอาสิ”

“ถ้าฝนเป็นแฟนไนท์นะ กูคงโสดคนเดียว แม่งเอ๊ย” พ่อเดือนคณะพูดกระซิบกับผม ถ้าฝนกับไนท์คบกันก็กลายเป็นว่ามะยมคนเดียวที่ยังไม่มีแฟน

เหงาแน่ๆ

“เอาน่า เชื่อว่าเดี๋ยวก็มีคนเข้าหาเอง”

ถ้ามะยมพูดเก่งกับคนอื่นมากกว่านี้ ก็คงมีผู้หญิงเข้ามาคุยด้วยเยอะขึ้น เพราะไอ้ความที่พูดไม่เก่งนี่แหละที่ทำให้ไม่ได้ตำแหน่งเดือนมหาลัย แถมยังไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลยนอกจากการร้องเพลงที่ก็ไม่ได้เด่นมาก (ไม่ต่างจากผมที่ขึ้นไปคงไปยืนเอ๋อ)

ถ้าเรื่องร้องเพลง ผมนึกถึงลูกพี่ลูกน้องนทีอีกรอบ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าต้องมีรุ่นพี่จับเขามาเป็นเดือนคณะแน่นอน เวลาจับไมค์ก็มีเสน่ห์แรงคงไม่พ้นตำแหน่งเดือนมหาลัย

“ว่าแต่แฟนมึงจะเข้าคณะอะไรอะ”

“นิเทศเอกเดียวกันนี่แหละ”

“ตามมาคุมรึเปล่าเนี่ย ถ้าไม่ติดว่าประกาศตัวเป็นเกย์นะก็มีผู้หญิงเข้าหาทุกวัน” มะยมตบบ่าผมแล้วหัวเราะเอิ้กอ้าก มือข้างหนึ่งถือขวดน้ำอัดลมแกว่งไปมาราวกับว่าเป็นน้ำเมา “ตอนเรียนมัธยมนี่มีคนเข้าหาเยอะมากมั๊ยล่ะ?”

“เล่าเองๆ ไอ้เดือนมันมีคนเข้ามาสารภาพรักทุกวันเลยนะเว้ย ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงปฏิเสธไปเพราะแต่ละคนที่เข้ามาหาก็สวยๆน่ารักๆทั้งนั้น ชีวิตมันอย่างกับดารา เดินไปไหนก็มีคนมองตลอด และเชื่อว่าถ้าไม่ติดเรียนพิเศษทุกวันนะ มันก็คงเข้ากิจกรรมทุกงานจนเป็นหน้าเป็นตามากกว่านี้อีก อ้อ แล้วก็มันเคยเป็นคฆากรด้วย โคตรหล่อ เสียดายที่หล่อสู้ลูกพี่ลูกน้องมันที่เป็นเพื่อนแฟนมันไม่ได้”

พูดซะหูดับตับไหม้เลยนะไอ้ศึก

“พูดซะอยากเห็นหน้า แล้วเพื่อนแฟนมึงจะมาเรียนที่นี่ปะ เผื่อมีสิทธิได้เป็นเดือน” มะยมร้องอู้หูอู้หาด้วย ส่วนฝนและไนท์เข้าโลกส่วนตัวไปเรียบร้อย เมย์ก็นั่งฟังพวกผมสามคนคุยโดยไม่ขัดจังหวะ

“น่าจะ นทีติดเพื่อนยิ่งกว่าตังเมอีก”

พวกผมอยู่คุยด้วยกันอีกสักพักและพูดถึงช่วงปิดเทอมยาวปีหน้าที่กุมภ์น่าจะได้ขนของมาเรียนที่นี่ ได้ข่าวว่านทีเตรียมจะยื่นพอร์ตและสอบสัมภาษณ์เข้าคณะดุริยางค์ของที่นี่ ส่วนอุ้มกับดินน่าจะเข้าดิจิตอลอาร์ทไม่ก็สถาปัตถ์

“กลับกันเถอะ พรุ่งนี้ก็มีงานรับน้องไม่ใช่เหรอ?”

“อืม แต่คงไม่มาหรอก”

“เดี๋ยวน้องมึงก็ไม่มีพี่รหัสปีสองไอ้เดือน ลากสังขารมาเลย”

ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะเข้าร่วมงานรับน้องนี้หรอกนะ แต่ผมไม่อยากจะไปเจอความวุ่นวายอย่างที่เคยเจอตอนปีหนึ่ง ดังนั้นงานไหนที่เลี่ยงได้ก็จะพยายามเลี่ยง

โชคดีที่คณะผมไม่ได้ไปรับน้องนอกมหาลัยเพราะพากันขี้เกียจยกคณะ ดังนั้นงานรับน้องของผมจึงเป็นงานที่ไม่วุ่นวายมาก เท่าที่จำได้ก็เป็นบายศรีกับเฉลยสายรหัสเท่านั้นเอง


น้องรหัสผมเป็นผู้หญิง หน้าตาสวยคมสไตล์สาวมั่น เธอชื่อว่าเขม มีหลายคนเล็งให้เธอเป็นดาวคณะ ส่วนพอเจ้าตัวรู้ว่าผมเป็นพี่รหัส เธอก็รีบเดินเข้ามาเกี่ยวแข้งขาผม ควงไม่สนสายชาวบ้านทันที

“เขมดีใจมากเลยนะคะที่ได้พี่เดือนเป็นพี่รหัสเขม”

“ครับๆ น้องช่วยปล่อยแขนพี่ได้รึเปล่า?” ผมไม่เรียกชื่อเธอเพราะผมรู้เจตนาเธอดีว่าเข้ามาเพราะหวังอะไรบางอย่าง “แล้วก็เพื่อนๆน้องเข้าไปรับขวัญกันแล้วนะ ไมไปล่ะ?”

“ไม่เอาค่ะ ไร้สาระ อยู่กับพี่ขอคำปรึกษาดีกว่า พี่เดือนมาจากอุบลคงไม่รู้ว่าฝั่งธนฯมีของกินอร่อยๆเยอะมาก วันหลังเขมจะพาไปนะคะ”

คิ้วผมกระตุกทันที ชักเริ่มจะไม่ชอบใจพฤติกรรมของเธอคนนี้เข้าเรื่อยๆเสียแล้วสิ

“คิดว่าพี่ไม่รู้เหรอครับว่าน้องตั้งใจเข้าหาพี่ด้วยจุดประสงค์อะไร?”

“รู้ก็ดีแล้วค่ะ จะได้ไม่ต้องมาเขินอาย เขมชอบพี่เดือนตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว”

“แต่พี่เป็นเกย์ครับ มีแฟนแล้วด้วย แถมแฟนก็ขี้หึงอีกตังหาก”

“เขมไม่เคยเห็นพี่ควงใครมาเลย อย่ามาโกหกดีกว่านะคะ”

“งั้นรอแป๊บนะ” ผมก้มลงหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาจากกระเป๋าที่วางเอาไว้ กดโทรออกหาคนที่อยู่ปลายสาย “ฮัลโหล? พอดีว่ามีคนมาจีบพี่น่ะ เป็นผู้หญิง จะคุยด้วยรึเปล่า? งั้นเหรอ?” พอจบประโยคผมก็ยื่นโทรศัพท์ให้น้องรหัสผม “แฟนพี่มีเรื่องจะคุยด้วยนะ”

“ฮัลโหล เธอเป็นแฟนพี่เดือนจริงๆใช่มั๊ย? ...เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน! ฉันบอกว่า...! อ๊าย! บอกว่าหยุดไง!” เขมรีบโยนโทรศัพท์คืนมาให้ผม “เขมเชื่อก็ได้ว่านี่แฟนพี่เดือน ด่าซะแสบเลย คอยดูเถอะ ถ้าได้เห็นหน้าเขมจะเอาคืนแน่!”

ผมยืนหัวเราะแล้วก็กลับไปคุยกับกุมภ์ต่อ กุมภ์เล่าให้ฟังคร่าวๆว่าเขายังไม่ได้ทันทำอะไรเลยนอกจากสอนให้รู้ว่าผู้หญิงควรทำตัวอย่างไรให้เหมาะสม

ไม่แปลกใจหรอกถ้าเขมจะขี้เกียจฟัง สอนทีเป็นแม่ขนาดนี้

ระหว่างที่ผมคุยไปด้วยนั้นก็มองท้องฟ้าที่ไม่มีดาวไปด้วย ทำไมกันนะถึงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดียังไงยังงั้น ราวกับว่ามันจะมีเรื่องที่เกินความคาดหมายเกิดขึ้นในอีกไม่นาน แต่ผมก็ขอให้มันเป็นเพียงแค่ลางสังหรณ์ที่ไม่เป็นจริงก็พอ


ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นตามที่ผมขอเลย


--------------------

กลับมาจากสงครามแล้วค่ะ...

น้องชนะสงครามรอบนี้ ได้ไปต่อระดับประเทศด้วย ปรบมือ!! จะหายไปอีกทีช่วงต้นกุมภาเน้อ เพราะต้องไปสุราษตามหาไข่เค็มในตำนาน ปีนี้วิลัยแผนกศิลป์ของน้องปังตู้มต้ามสุดๆเพราะได้ไปเกือบทุกรายการ พวกพี่ปวส.ไม่ได้ตามไปด้วย ไหนว่าจะไปซื้อไข่เค็มด้วยกันไงเพ่ ฮือออ

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 19

 

ตลอดสองปีที่ผ่านมา ผมพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้มีความรู้มากพอที่จะเรียนที่เดียวกันกับพี่เดือนได้ และผลก็เป็นที่น่าพอใจมากเพราะพวกผมสี่คนติดที่เดียวกันหมด

ผมได้เรียนนิเทศตามที่หวัง ส่วนนทีไปทางดุริยางค์เอกกีตาร์ อุ้มกับดินได้ต่อดิจิตอลอาร์ต ดังนั้นแล้วพวกเราจึงเตรียมตัวเข้ากรุงเทพพร้อมกัน เรื่องหอเรื่องที่พักก็จัดการหมดแล้ว

วินาทีที่พี่เดือนรู้ว่าผมได้เรียนที่เดียวกัน เขาแทบจะวิ่งไปจัดห้องรอเลยล่ะ

ดีใจอะไรขนาดนั้น

นทีบอกว่าจะไปอยู่หอใกล้ๆมหาลัยกับดิน ส่วนอุ้มก็แยกไปอยู่อีกหอหนึ่งในอาณาเขตใกล้ๆกัน มีแค่ผมคนเดียวที่อยู่ห่างจากเพื่อน แน่นอนว่าย่อมโดนแซวเป็นเรื่องปกติ

งานวันปัจฉิม มีรุ่นน้องหลายคนเข้ามาแสดงความยินดีด้วยมากมายเพราะใครๆก็รู้จักผมในฐานะประธานนักเรียนที่สามารถของบทำห้องสมุดใหม่ได้สำเร็จหลังจากที่ตื้อมานาน นอกจากนี้มีนายังทำขนมเลี้ยงพวกผมทั้งสี่คนก่อนที่ไปกรุงเทพเป็นการฉลองอีกด้วย นทีวิ่งเข้าไปกอดน้องผมใหญ่บอกว่าคงเหงาที่ไม่มีน้องชายให้กอด

มีนาย้ายเข้ามาเรียนโรงเรียนเดียวกันกับผมพร้อมรับตำแหน่งน้องชายอีกคนของนทีที่โอ๋ตามใจยิ่งกว่าที่เป็นพี่แท้ๆเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นมีนาเองก็มีคนเข้ามายุ่งด้วยบ่อยเพราะน่ารักน่าจีบ เพื่อนมีนาที่ชื่อว่าซันกับมูนก็มาเป็นไม้กั้นหมาให้ตลอดแลกกับให้ผมช่วยติวให้บางครั้ง

“เดี๋ยวจะถึงกรุงเทพแล้วนะ ตื่นดิเฮ้ย”

ผมสะดุ้งจากภวังค์ความคิดของผมเพราะเสียงของเพื่อนสนิทตัวสูงร้องใส่หู นทีกำลังพับผ้าห่มที่คลุมตัวมันมาตลอดทาง ไฟบนรถถูกเปิดขึ้นจากฝีมือของบัสโฮสเตส ขนมถุงที่แจกถูกกินไปนิดหน่อยวางเอาไว้ที่ถาดวางของข้างหน้าตัวที่มีจอ LCD กำลังเล่นหนังที่เปิดค้างเอาไว้

“เอ้า เหม่ออีก คิดถึงพี่เดือนขนาดนั้นเลยรึยังไง” นทีมันดีดหน้าผากผมจนเป็นรอย ลืมบอกไปว่าช่วงปีที่ผ่านมานทีมันดูเปลี่ยนไป ทั้งเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ไม่งอแงเหมือนเดิม แถมยังคอยดูแลเอาใจใส่ผมแทนที่จะเป็นผมคอยดูมัน ดังนั้นแล้วพวกผมสองคนจึงสนิทกันมากขึ้นไปอีก ยอมรับว่าถ้าไม่มีนที หลายครั้งเหมือนกันที่ผมอาจจะทำผิดพลาดไป

“มึงช่วยเลิกล้อสักวันได้มั๊ย แล้วนี่ใครมารับมึงอะ”

“ญาติ”

“ญาติมึงนี่มีทั่วประเทศเลยนะ” ผมเบ้ปากให้นทีที่ตอนนี้มันก้มลงไปเก็บถุงขนมที่ตกพื้น อุ้มกับดินที่นั่งเบาะถัดจากพวกผมก็บิดขี้เกียจพลางหาวอ้าปากกว้าง รถคันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักศึกษาใหม่ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพ พอรถจอดที่สถานีขนส่ง ก็พากันลงอย่างใจร้อน ส่วนพวกผมสี่คนไปลงที่บริษัทของรถ

“มึงว่าชีวิตมหาลัยของพวกเรายังจะเป็นเพื่อนสนิทเหมือนเดิมเปล่าวะ?” นทีถามผมขึ้นมา สายตาของมันจ้องไปที่กระเป๋าที่ถือขึ้นรถมาด้วย “สังคมมันเปิดกว้างมากขึ้น เราจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เราต้องรับภาระมากขึ้นจนไม่มีเวลามาสนุกเหมือนตอนเรียนมัธยมเหมือนเดิม ต่างคนต่างมีสังคมใหม่ แล้วกลุ่มพวกเรายังจะได้มาเที่ยวด้วยกัน ได้หัวเราะกับเรื่องไร้สาระเหมือนเมื่อก่อนรึเปล่า?”

“ได้สิ พวกเราสนิทกันที่สุดนะ กูเชื่อว่าต่อให้ทำงานไปแล้วพวกเราก็จะวนมาเจอกันได้ตลอด กูไม่เคยมีเพื่อนที่สามารถแชร์ความทุกข์ความสุขได้เท่านี้มาก่อน กูเคยอยู่กับการกลัวการเข้าสังคม...ทำหน้าไม่เชื่ออีก กูเคยจริงๆ” ผมหัวเราะให้กับหน้าของไอ้แม่น้ำที่มันทำเหมือนจะไม่เชื่อว่าผมเคยไร้ญาติในสังคมเพื่อนในอดีต “มหาลัยเดียวกัน เดี๋ยวทุกวันหยุดชวนกลับอุบลพร้อมกันก็ได้”

“สัญญานะ ถ้ามึงผิดสัญญามึงต้องเลี้ยงนมสตรอเบอร์รี่กูนะ”

“แน่นอน กูไม่มีทางผิดสัญญากับมึงที่กูสนิทด้วยที่สุดแล้ว ขอบคุณนะที่มึงห่วงกูในวันนั้น” วันที่ผมนั่งไม่สบายในห้องเรียนและมันลากผมไปห้องพยาบาล

“กูก็ขอบคุณมึงเหมือนกันที่มึงคอยช่วยเหลือกูมาตลอด ให้กูกล้าทำในสิ่งที่ไม่กล้า”

พวกผมไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลยจนกระทั่งรถมาถึงศูนย์ เราลงมานั่งที่ล็อบบี้รอคนมารับ อุ้มมีลุงที่อยู่ที่นี่มารับไปพักที่บ้านก่อน ส่วนดินรอไปกับนที ไม่นานนักก็มีคนมารับไป ทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว

อายุสิบเก้ากับการอยู่คนเดียวในเมืองใหญ่...มันไม่ใช่เรื่องตลก

ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงหกโมงเช้า คนเลยค่อนข้างบาง แทบจะไม่มีด้วยซ้ำ

เผื่อใครลืมนะครับ ผมกลัวการที่ต้องอยู่คนเดียวในที่โล่ง

ถึงจะมีพนักงานเดินเข้าออกเป็นระยะ แต่แค่เสียงประตูเลื่อนเปิดออกก็ยังทำให้ผมสะดุ้งเลย ยิ่งถ้ามีคนเสียงดังเดินมาผมยิ่งตกใจ ความกลัวที่โล่งของผมมันยิ่งทำให้ใจผมฟุ้งซ่าน

ผมตัดสินใจลากกระเป๋าตัวเองมานั่งที่ล็อบบี้ด้านหน้ารอดูรถของพี่เดือนที่จะมารับ ข้างๆกันมีเซเว่นอยู่ผมจึงเดินเข้าไปซื้อกาแฟร้อนมาดื่มแก้อาการง่วง ข้างนอกมีพวกญาติๆมานั่งรอรับคนกันเต็มไปหมด บางคนก็มากับเด็กตัวเล็กๆน่ารัก บางคนก็มารอแฟน บางคนก็รอกลับบ้านเกิดไปหาพ่อแม่ ภาพเหล่านี้มันทำให้จิตวิญญาณนักถ่ายภาพของผมมันสั่นไหวจนต้องรื้อเอากล้องออกมาจากกระเป๋าเพื่อมาถ่ายเก็บบรรยากาศ ตลอดที่ผ่านมาผมไม่เคยเปลี่ยนเมมการ์ดที่ใช้เพราะในนั้นมีรูปพี่เดือนเก็บไว้เต็มไปหมด ผมอยากให้เขาอยู่ในกล้องของผมตลอดเวลา สามารถไปไหนได้ด้วยกันทุกเมื่อ ผมยอมรับว่าตลอดที่ผ่านมามีแต่ผมที่ทำให้ความคิดถึงมันมากขึ้นจนแทบทนไม่ไหว พี่เดือนกลับมาบ้านบ้างแต่นั่นก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆที่ได้อยู่ด้วยกันก่อนที่เขาจะกลับไปเรียนต่อ

หลายครั้งที่ผมเห็นว่าพี่เดือนเหนื่อยแต่ก็พยายามฝืนมาคุยด้วยกันจนต้องออกตัวไปว่าถ้าไม่ไหวมากๆก็นอนพักผ่อนซะ

พอถ่ายเสร็จ ผมก็ตั้งใจว่าจะงีบสักหน่อย...นั่งรถมันเหนื่อยนี่นา

พองีบไปได้สักระยะ ผมก็รู้สึกถึงผ้านุ่มๆที่มาคลุมตัวของผมจนผมต้องรีบเงยหน้ามองขึ้นมาทันที

“ว่าไงครับ พี่ทำตื่นเหรอ?”

“พี่เดือน...”

“มารับแล้วนะ”

“...คิดถึง”

“ครับ?”

“คิดถึงนะ...” ผมรีบซุกเข้าไปหาพี่เดือนที่กำลังนั่งข้างๆผม ไม่สนใจสายตาชาวบ้านแล้วว่าเขาจะมองกันยังไง แต่ผมคิดถึงเขามากจนผมอยากจะร้องไห้ซะตรงนี้

พี่เดือนอยู่ข้างๆผม กลิ่นน้ำหอมทะเลยังเหมือนเดิม น้ำเสียงทุ้มนุ่มยังเหมือนเดิม ความอบอุ่นที่เขาส่งมอบให้ยังเหมือนเดิม...

“อื้ม พี่ก็คิดถึง ไปกันเถอะนะ ค่อยไปนอนต่อที่คอนโด” พี่เดือนค่อยๆดันผมออก เขาอาสาลากกระเป๋าให้ผมพร้อมกับใช้มือที่ว่างจับให้ผมเดินตามเขาไปที่เราคันเดิมที่เคยนั่งด้วยกัน

ทุกอย่างไม่เปลี่ยน น้ำหอมปรับอากาศกลิ่นเดิม เบาะรองหนุนอันเดิม แม้แต่กองเอกสารก็ยังอยู่เหมือนเดิม สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงแค่อายุของพวกเราเท่านั้น

ราวกับว่าเวลามันแช่แข็งไว้ตั้งแต่สองปีก่อนไม่มีผิด

“ง่วงก็นอนไปเถอะ” พี่เดือนคาดเข็มขัดให้ผม ลูบเส้นผมเบาๆก่อนที่จะละมือออก “นั่งรถมาเหนื่อยๆ”

“อืม...อยากคุยกับพี่”

“ก็คุยกันเกือบทุกวันไม่ใช่รึไง”

“คุยผ่านหน้าจอกับคุยต่อหน้ามันไม่เหมือนนี่นา” ผมพูดงึมงำ พี่เดือนหัวเราะแล้วค่อยๆขับรถออกจากลานจอดรถ สองข้างทางเป็นตึกสูงใหญ่ที่ผมเห็นได้จากในหน้าจอโทรทัศน์ พอมาเห็นของจริงแล้วก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมคนเราถึงจำได้ว่าตึกไหนเป็นตึกไหน สักพักก็พ้นเขตตึกใหญ่มาเป็นเขตตึกแถวที่มีร้านค้าเริ่มออกมาตั้งกันบ้างแล้ว

พี่เดือนแวะจอดข้างทางซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาสองชุดก่อนจะออกรถต่อ ไม่นานเขาก็เลี้ยวเข้าอาคารคอนโดแห่งหนึ่งที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นคอนโดที่พี่เดือนพักอยู่ตลอดสองปีนี้

“ถึงแล้วนะ เดี๋ยวยืนรอพี่เอากระเป๋าลงแป๊บ”

กระเป๋าสัมภาระของผมถือว่าไม่เยอะเท่าของคนอื่น ผมตั้งใจจะมาซื้อที่นี่เอาบางอย่างเช่นเครื่องใช้ทั่วไป แต่พวกเสื้อผ้าผมไม่ค่อยกล้าซื้อเท่าไหร่เพราะยังไม่เห็นราคาจริงๆจึงหยิบเสื้อที่มีอยู่โยนๆมาเยอะ ทีแรกพี่เดือนก็คงตกใจไม่น้อยที่กระเป๋าผมมันใหญ่เกินตัว

ผมเดินตามเขาเข้ามาภายในตัวคอนโด พี่เดือนทักทายลุงยามที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างล่างพร้อมกับยื่นถุงปาท่องโก๋ให้และบอกว่าผมจะมาอยู่ด้วย ถ้าเห็นก็ไม่ต้องกักตัวตรวจสอบ (ระบบป้องกันค่อนข้างหนาพอตัวเลย) เขาพาผมขึ้นลิฟต์ตรงไปยังชั้นสิบ ระหว่างที่รอให้ถึงจุดหมายผมก็เกือบยืนหลับเพราะความดื้อของตัวเองที่นั่งรถแล้วไม่ฟังพี่เดือนว่าให้พักผ่อน

“ถึงแล้ว พี่พากุมภ์ไปนอนดีกว่านะ”

พี่เดือนคงจะเห็นว่าผมโงนเงนเต็มที เลยลากผมไปที่ห้องนอน ผลักผมลงเตียงเบาๆแล้วห่มผ้าให้พร้อมเปิดไฟหัวเตียง

“ความจริงพี่นอนได้โดยไม่ต้องเปิดไฟแล้วนะ เก่งขึ้นใช่มั๊ยล่ะ?”

“...ทำเป็นพูด...พี่มานอนด้วยสิ ตื่นมารับผมแต่ดึกดื่น” ผมพลิกตัวมาตบที่นอนที่ยังว่างอยู่ พี่เดือนหัวเราะนิดหน่อย เขาถอดเสื้อคลุมออกแล้วยอมมานั่งที่เตียงเป็นเพื่อนผม “...ผมบอกว่าให้พี่นอนไง”

“ครับๆ นอนก็นอน”

พี่เดือนค่อยๆเอนตัวลงกับหมอนสีขาว ดึงผ้าห่มมาห่มด้วยกันกับผม นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้นอนบนเตียงเดียวกัน พอมาเห็นหน้ากันใกล้ๆแบบนี้ก็อดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้เหมือนกัน..

“ร้องไห้ทำไมครับเจ้าปลา?”

“ก็คิดถึงน่ะสิ...พี่รู้รึเปล่าว่าโรงเรียนที่ไม่มีพี่มันเหงาแค่ไหน เด็กที่เข้าใหม่พอพูดถึงชื่อพี่ก็พากันส่ายหน้าไม่รู้จักกันทั้งที่ก่อนหน้านี้พี่ออกจะดัง แถมยังมีคนบอกว่าผมต้องเก่งตามพี่แน่ๆ ผมไม่อยากให้พี่เดือนมีแฟนเป็นคนไร้ความสามารถผมเลยต้องพยายามมากขึ้นจนกลายเป็นว่าเพื่อนเรียกผมเป็นพี่เดือนหมายเลขสอง”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ? โอ๋ๆ เหนื่อยสินะ ไม่ต้องร้องไห้ มาให้พี่กอดเร็ว”

“ทำอย่างกับว่าผมเป็นเด็ก”

“กอดช่วยได้ทุกสิ่งนะกุมภ์ เชื่อพี่สิ พี่ฟังมาจากนที” นั่นไง ผมว่านทีมันต้องมีแอบคุยกับพี่เดือนมาบ้างแหละ ไม่งั้นพี่เดือนคงปลอบใครไม่เป็น

ถึงอย่างนั้นผมก็ยอมขยับตัวเข้าหาพี่เดือนอยู่ดี เขากำชับอ้อมกอดของเขาแน่นมากขึ้นแม้วาจะมีผ้าห่มคลุมให้ความอบอุ่นอยู่ ใบหน้าเข้าซุกกับกลุ่มเส้นผมของผมแล้วลูบหลังเบาๆ

“พี่เริ่มดูแลตัวเองได้แล้ว พี่จะพยายามดูแลกุมภ์บ้างนะ”

“อื้อ”

“กุมภ์ไม่ต้องแบกภาระเหมือนตอนมัธยมแล้วนะ สังคมมหาลัยตอนนี้กุมภ์คือน้องใหม่ เป็นน้องเล็กในกลุ่ม ทำอะไรผิดรุ่นพี่ให้อภัยได้ โดยเฉพาะพี่ที่จะไม่โกธรอะไรกุมภ์เลย”

“...อื้อ”

“นอนนะ ปล่อยวางทุกอย่างไป พี่จะอยู่ข้างๆเอง”

 

ผมจำไม่ได้ว่านอนไปนานเท่าไหร่ ตื่นมาอีกทีผมก็เห็นผู้ชายที่เป็นแฟนผมกำลังหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆผม

พี่เดือนดูเหนื่อย แต่ในความเหนื่อยนั้นกลับไม่เหมือนครั้งแรกที่เจอ มันเป็นความเหนื่อยที่แลกกับรอยยิ้มของตัวเอง ผมรู้สึกดีใจที่ในที่สุด ใบหน้าคนมีทุกข์ก็ได้รับการปลดล็อกเสียที กลับกันที่สองปีที่ผ่านมาผมกลับเหนื่อยจากการทุ่มเทสิ่งที่เกินตัว พยายามทำลายขีดจำกัดของร่างกายเพื่อสร้างสิ่งที่ดีที่สุดแก่ตนเอง เพื่อนยังบอกเลยว่าผมฝืนตัวซึ่งผมก็ไม่ได้ฟังเลยสักนิด

ถึงจะมีรุ่นน้องเคารพ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเห็นว่าที่ผมทำไปนั้นเพื่ออะไรสักเท่าไหร่..เช่นเดียวกับพี่เดือน

“อืม...”

พี่เดือนค่อยๆลืมตาขึ้น เมื่อเขาเห็นผมที่กำลังจ้องเขาอยู่ พี่เดือนก็ฉีกยิ้มออกมาจนดูเหมือนว่ามีออร่าอยู่รอบๆตัวเขา

“ความฝันพี่ที่จะเห็นกุมภ์นอนอยู่ข้างๆเป็นจริงแล้วนะ...”

ผมยังจำได้ว่าพี่เดือนเคยอยากตื่นขึ้นมาเจอหน้าผมแทนหมอนปลาตัวใหญ่ตัวนั้นที่ผมเอามาด้วย หันไปทางนาฬิกาอีกทีก็เป็นเวลาช่วงเกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว

“ตื่นสายที่สุดในชีวิตเลย...”

“นั่นสิ คงเหนื่อยทั้งคู่” พี่เดือนลุกขึ้นมาเช็คโทรศัพท์ตัวเองที่วางไว้ข้างหมอน “จริงสิ”

“ครับ?”

อ๊ะ...

ใบหน้าของพี่เดือนโน้มลงมาตรงหน้า ริมฝีปากของเขาค่อยๆเลื่อนเข้าหาอวัยวะเดียวกันของผม พี่เดือนประกบทั้งสองสิ่งเข้าหากันอย่างแผ่วเบา

ไม่ได้รุนแรง ไม่ได้เร่าร้อน

แต่มันเป็นจูบแรกของผมที่เบาบางและอ่อนโยน

“พี่คงทำแบบนี้ได้แล้วสินะ”

“พี่เดือน...อย่าทำให้ผมตกใจสิ’

“แหม มีจับด้วย นั่นก็จูบแรกพี่นะ” พี่เดือนหัวเราะ “ไม่นับพ่อแม่ ไม่นับพี่น้อง นี่จูบแรกจริงๆ”

“ของผมด้วยเถอะ” ผมหันควับไปทางพี่เดือนทันที “คอยดู วันหลังผมจะเอาคืน”

“ตอนนี้ไม่ได้เหรอ?”

“พี่เดือน!”

“ล้อเล่นๆ ไปอาบน้ำหาข้าวกินกันก่อนมาจัดของเข้าตู้ดีกว่านะ” พี่เดือนดึงผมออกจากเตียง ผมเดินตรงไปที่กระเป๋าเพื่อเปิดออกมาหยิบเสื้อผ้ามาใส่สุ่มๆ เมื่ออาบน้ำเสร็จ พี่เดือนก็โยนกระเป๋าเงินเล่นรอผมที่ประตู

“ป้าแจ่มคงรอดูตัวจริงกุมภ์อยู่มั๊ง”

ป้าแจ่มเป็นป้าที่อยู่ร้านขายอาหารตามสั่งใต้คอนโดแห่งนี้ เธอเป็นคนที่อัธยาศัยดีมาก แถมยังเอ็นดูพี่เดือนราวกับว่าเป็นลูกตัวเอง ไหนจะช่วยเหลือพี่เดือนหลายๆอย่างอีก ผมอยากจะไปขอบคุณป้าเขาที่ใจดีช่วยมาตลอดเหมือนกัน แถมพี่เดือนก็พูดโม้ไว้ด้วยว่าฝีมือป้าแจ่มอร่อยมาก

พวกเราเดินลงมาที่ร้านอาหารตามสั่งที่ไม่มีคนเหมือนเดิมกับหลายๆครั้ง ป้าแจ่มกำลังนั่งดูละครโทรทัศน์ที่ติดตรงผนัง พอเห็นว่าเป็นพี่เดือนที่เข้ามาก็ทักทายอย่างกันเอง

“วันนี้เอาอะไรดีจ้ะเดือน...อ้าว! นี่หนูกุมภ์ใช่มั๊ย?”

หนูกุมภ์?

“ครับ ผมกุมภา...เอ่อ..เรียกผมว่ากุมภ์เฉยๆก็ได้ครับ” ไม่ค่อยชินเลยกับการที่จะถูกเรียกแบบเด็กผู้หญิง เข้าใจว่ามันเป็นความเอ็นดูของผู้ใหญ่น่ะนะ แต่มันก็ยัง...

“หนูกุมภ์ตัวจริงน่ารักกว่าที่คิดเสียอีก มาๆ ป้าจะแถมเนื้อให้เป็นพิเศษ หนูกินกุ้งได้ใช่มั๊ย? ป้าจะทำต้มยำให้” ป้าครับ ผมไม่ได้ถูกเรียกว่า ’หนู’ กุมภ์นะครับ...

ป้าแจ่มไม่มีท่าทีจะสนใจอะไร เธอหันไปคุยกับพี่เดือนนิดหน่อยแล้วลงมือทำกับข้าวที่หน้าร้าน พี่เดือนชวนผมไปนั่งมุมในสุดที่มีโต๊ะติดกับหน้าต่าง ภายนอกมีกระถางดอกไม้สีสวยวางเต็มไปหมด

“หนูกุมภ์ ฮึฮึ”

“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะพี่เดือน แต่แบบ...เคยถูกเรียกชื่อเล่นเฉยๆว่าตลอดชีวิตแล้วมาโดนเรียกขึ้นต้นซะเหมือนผู้หญิงแบบนี้มันก็ไม่ชินนะพี่ ให้ผมลองเรียกพี่เดือนว่าหนูเดือนมั๊ยล่ะครับ?”

“เอาเถอะ ป้าแจ่มเขาชอบเรียกคนที่ป้านับเป็นลูกหลานเขาอย่างนั้น แล้วนี่กุมภ์มีวางแผนจะทำอะไรก่อนเปิดเทอมรึยัง?”

“ยังไม่มีเลยครับ แต่คิดว่าจะไปเดินห้างซื้อของใช้ก่อน อย่างพวกแปรงสีฟัน ครีมทาหน้า” ผมทิ้งไว้ที่บ้านเกือบหมด พ่อบอกว่าจะส่งมาให้ทีหลังก็เกรงใจ ผมหาใหม่เอาเองได้อยู่

.”ใช้สบู่ ยาสระผมเดียวกันได้อยู่นะ? ไม่แพ้ใช่มั๊ย?”

“ครับ”

“ดีแล้วล่ะ จะได้มีกลิ่นเดียวกัน เดี๋ยวน้ำหอมก็ใช้ตัวเดียวกันนี่แหละ” พี่เดือนยกยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ และอย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าพี่เดือนกำลังคิดอะไร อายุมากขึ้นผมก็อัพเลเวลตัวเองขึ้นเถอะ

“อย่าเล่นมุขว่าอยู่บ้านเดียวกันเหมือนคู่รักนะครับ ไม่งั้นมือพี่ได้พรุนเป็นรูจากส้อมแน่ๆ”

“รู้ทันตลอด แต่พี่ชอบคนทันคนดีนะ” เขายกมือขึ้นยอมแพ้ ในจังหวะเดียวกันป้าแจ่มก็ยกจานข้าวผัดปลามาพอดี “ขอบคุณครับป้า”

ป้าแจ่มยิ้มให้แล้วก็เดินไปจัดการอาหารจานอื่นต่อ พี่เดือนไม่ลงมือกินทันทีเหมือนที่เคยทำ เขารอให้จานของผมมาถึงด้วยถึงจะได้จัดการพร้อมกัน

“แล้วชีวิตมหาลัยพี่นอกจากที่ได้ยินผ่านคอลแล้วเป็นยังไงบ้างครับ? ผมกลัวว่ามันจะทำให้พี่เหนื่อยเกินไป”

“เหนื่อยกว่ามัธยมก็จริง แต่ก็สนุกกว่าเยอะมากนะที่ได้อยู่กับสิ่งที่ชอบ พี่ไม่อยากจะนึกสภาพพี่ตอนเรียนหมอเลย” พี่เดือนหัวเราะแห้ง “เห็นหลายคนเดินออกมายังกับซอมบี้”

“ผมคิดว่าพี่เดือนคงเรียนได้อยู่หรอก แต่ก่อนหน้านั้นพี่เดือนคงไร้ชีวิตไปแล้ว”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ”

“ก่อนที่พี่เดือนจะมาเจอผมก็แทบจะไร้วิญญาณอยู่แล้ว ห้ามเถียงนะ”

พี่เดือนยิ้มเจื่อน เขาเองก็รู้ว่าสมัยก่อนเป็นอย่างนั้นจริงๆ

“ข้าวมาแล้ว กินกันเถอะๆ”

พวกเราลงมือจัดการอาหารมื้อกลางวัน พอนึกได้ว่าพี่เดือนซื้อปาท่องโก๋มาอีกชุด เขาก็บอกว่าเก็บไว้ในตู้เย็น ผมล่ะอยากรู้ว่าปาท่องโก๋เอาไปเก็บไว้ในตู้เย็นทำไม

พอกินเสร็จ ผมกับพี่เดือนก็กลับไปที่ห้องเพื่อจัดข้าวของต่างๆให้เข้าที่ก่อนจะให้พี่เดือนเป็นสารถีพาผมไปห้างใกล้ๆซื้อของใช้ที่จำเป็น ระหว่างที่เดินดูอยู่พี่เดือนก็รีบพุ่งเข้าไปหลบที่หลังชั้นวางขนมเมื่อเห็นใครบางคนเดินผ่านมา

“มีอะไรเหรอครับ?”

“คือว่านั่นน้องรหัสพี่ที่กุมภ์เคยพูดย้ำสถานะในโทรศัพท์น่ะ ถึงจะบอกอย่างนั้นไปเธอก็ยังตามตื้อพี่อยู่ดี” พี่เดือนค่อยๆโผล่ขึ้นมา ถึงจะบอกว่าเป็นผู้หญิงที่ตามพี่เดือนก็เถอะ แต่ทำไมถึงควงผู้ชายมาด้วยกัน “เธอชอบหาคู่ควงและหวังอยากให้พี่พาเธอเข้าคอนโด...คิดว่านะ”

“โห โคตรละคร”

“พี่ก็บอกแล้วบอกอีกว่าตัวเองเป็นเกย์ เธอก็ดื้อจะตามพี่จนคนเขาลือไปทั่วคณะแล้วว่า..” พี่เดือนโน้มลงมากระซิบด้วยน้ำเสียงเบาๆ “เธอเกาะผู้ชายหวังเอาเงิน”

“ฮะ?” นั่นแรงพอตัวเลย “ทำไมครับ?”

“คนที่เธอควงแต่ละคนมีแต่คนรวยๆทั้งนั้น เดินมาแต่ละทีนี่กระเป๋าแบรนเนม น้ำหอมไม่ซ้ำขวด”

สุดยอดจริงๆ ไม่คิดว่าจะมีอยู่ในสังคมมหาลัยแห่งนี้ด้วย แต่ถ้าให้พูดแล้วล่ะก็ตามที่ดูมามหาลัยแห่งนี้คนหน้าตาระดับดาราก็มีเยอะพอตัว

“ช่างเถอะ กุมภ์มาเรียนที่นี่ พี่จะควงกุมภ์ตลอดเลย ย้ำว่าพี่มีเจ้าของหัวใจแล้ว” พี่เดือนไม่เพียงแค่พูด แต่เขาคว้าผมมากอดกลางห้างอีก ดีที่ไม่มีใครเห็น ผมพยายามดิ้นหนีสุดชีวิต พอหลุดออกได้ก็รีบเดินไปดูชั้นขนมต่อโดยไม่ฟังคำพี่เดือนพูด

พอเลือกของเสร็จ พี่เดือนก็ชิงออกค่าใช้จ่ายแทนผมเสียอย่างนั้น ผมพยายามรั้งว่าตัวเองจ่ายเอง แต่สุดท้ายก็แพ้คนอายุมากกว่า แล้วหันไปซื้อไอติมโคนมาตอบแทนให้เขา

“พี่ห้ามปฏิเสธเด็ดขาดเลยนะ ผมซื้อให้ ความพอใจของผมเหมือนที่พี่บอกกับผมเมื่อกี๊”

“โธ่..กุมภ์”ถึงจะโธ่แต่ปากก็ยังเลียไอติมเข้าปากไม่หยุดเลยนะ...

เลียไอติม?

“พี่เดือนไม่ชอบเลียไอติมนี่นา?”

“พี่ฝึกเอาไว้”

“ฮะ?” เลียไอติมมันฝึกอะไรวะ? ลิ้นเหรอ?

“...”

“...”

“หวังว่าจะเข้าใจนะ?” พี่เดือนอมยิ้มแล้วเดินจูงมือผมกลับไปที่รถ ระหว่างนั้นก็ให้เวลาผมคิดว่าพี่เดือนกำลังหมายถึงอะไรกันแน่

เอ๊ะ..?

รึว่า...

“ไอ้พี่เดือน! คิดอะไรลามก!”

“ฮึฮึ”

 

หลังจากที่ผมสวดยับพี่เดือนในรถ เขาก็มาง้อผมที่ยืนหันหลังให้อยู่นานเกือบชั่วโมงได้จนผมใจอ่อนยอมให้พี่เดือนนวดไหล่ พอนวดเสร็จพวกเราก็จัดการกับอาหารกล่องที่ซื้อมาไปคนละกล่องก่อนที่จะหันไปทำงานส่วนตัวแต่ละคนต่อ

ผมนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงในขณะที่พี่เดือนกำลังนั่งทำอะไรอยู่หน้าโน็ตบุ๊ค เสียงคลิ๊กของเมาส์รัวดังมาเรื่อยๆจนผมเริ่มขมวดคิ้วสงสัย จนพอเดินไปดูเท่านั้นถึงรู้ว่าพี่เดือนกำลังแต่งรูปงานถ่ายส่งให้ลูกค้าอยู่

“พี่เดือนรับงานด้วย? ไม่ธรรมดานะเนี่ย”

“สักวันพี่จะใช้เงินในบัญชีตัวเอง พี่ต้องเริ่มเก็บตั้งแต่วันนี้น่ะ” พี่เดือนหันมาหอมแก้มผม “รึว่าพี่คลิ๊กเสียงดังไปจนไม่มีสมาธิ?”

“ไม่หรอกครับ ผมแค่สงสัยเฉยๆว่าพี่เดือนทำอะไร” ยังไม่ถึงวันก็แตะเนื้อต้องตัวขนาดนี้ ไม่อยากจะนึกถึงวันข้างหน้าเลย... “เดี๋ยวอีกสักสองชั่วโมงพี่ก็มานอนเถอะ เดี๋ยวตื่นไม่ไหวนะ”

“พอมาอยู่ใกล้ๆกันแบบนี้แล้วดูแลดีจัง”

“แหงล่ะ ถ้าพี่ไม่ยอมดูแลตัวเองนะเดี๋ยวเจอดีแน่”

“เจอดีอะไรเหรอ?”

พี่เดือนลุกจากเก้าอี้ เขาค่อยๆเดินเข้ามาหาผม ย่างทีละก้าวสองก้าวแต่หนักแน่นจนผมรู้สึกกดดัน สีหน้าไม่บ่งบอกอะไรเลย มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาประคองเอวของผมเอาไว้ โน้มตัวลงมา...

ตุบ

“...ฮึ...ฮึ...ฮ่าฮ่า! โอ๊ย! อย..อย่านะพี่เดือน! มันจั๊กจี้! ฮ่าฮ่า!”

พี่เดือนใช้มือทั้งสองข้างนั้นจี้เอวของผมจนแทบร้องขอชีวิตไม่ทัน สุดท้ายก็ล้มลงไปบนเตียงกันทั้งคู่

“โอย...”

“ฮึฮึ”

“ความจริงต้องเป็นผมนะที่ต้องแกล้งพี่” แต่พี่เดือนมีฟังที่ไหน เขาดึงผ้าห่มมาคลุมตัวของผมพร้อมกับลูบศีรษะเหมือนกำลังจะกล่อมเด็ก

“นอนเถอะ เก็บแรงเยอะๆก็ได้โตเร็วๆ”

“ผมโตแล้วน่า!”

บางทีนี่อาจจะเป็นวันแรกที่ดีที่สุดของผม การที่ได้มาเจอกับคนรักที่ห่างมานานนั้นมันช่วยเติมเต็มหัวใจ และการที่เจอกันครั้งนี้ก็จะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ด้วยว่าพวกผมโตมากพอที่จะรู้จักความรักในอีกแง่หนึ่งแล้วหรือยัง

หรือจะรู้จักคำว่าความเสียใจในอีกแง่หรือยัง

 ----------


น้องจะไปสมุทรสาคร มีใครอยากได้ปลาดองน้ำเกลือบ้างก๊ะ? //ชูโหลปลาเค็ม

ครูบอกน้องว่าต้องนั่งรถตู้ไปสุราษ ค้างคืนที่หัวหินก่อนหนึ่งคืน แล้วคือแบบ...ปวดตูดตายเลยค่ะ ร้องไห้รอก่อนได้มั๊ยคะ แงงงงง

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 20

 

“ช้า ช้ามาก!”

เสียงของนทีดังเข้าสู่โสตประสาทหูของผมทันทีที่มันเห็นหน้า นทีกำลังยืนถือขวดนมสตรอเบอร์รี่พร้อมกับดูดเสียงดังจ๊วบไม่อายคน รอบๆกันมีกลุ่มของเพื่อนเก่าจากโรงเรียนอีกสองคนกำลังยืนกินขนม

“เข้ารับน้องสายอย่างนี้จะโดนรุ่นพี่ด่ามั๊ยเนี่ย” ดูดิ บ่นไม่เลิก

“ที่สายนี่ไม่ใช่ว่ากำลังนอนกกกับพี่เดือนอยู่เร้อออ” อุ้มส่งสายตาล้อเลียนมาให้ผม ใช่อยู่ว่าพวกเรานอนด้วยกันมาหลายคืนแล้ว แต่ผมขอยืนยันได้เลยว่านอกเหนือจากจูบเบาๆก็ไม่มีอะไรเกินเลยกว่านั้น

พี่เดือนให้เกียรติผม เขาจะไม่ทำอะไรจนกว่าจะรู้ตัวทั้งคู่ว่าพร้อมแล้วแน่นอน

ผมไม่ได้หวังอยากให้พี่เดือนป้ำปี้ผมสักหน่อยน่า!!

“มากันครบแล้วก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวก็แยกกันอีก”

 

หลังจากที่รับน้องเสร็จ ผมก็ได้เพื่อนผู้หญิงมาอีกคนชื่อว่าแนน เป็นสาวเท่ๆที่น่าจะเรียกได้ว่าเท่จนเกือบแมน แต่เธอก็สามารถคุยกับผมเรื่องกล้องได้สนุกไม่ขาดปากเนื่องจากเป็นเนิร์ดกล้องเหมือนกัน

“จริงสิ เห็นรุ่นพี่คนนั้นปะ ที่ยืนตรงใต้ต้นไม้ตรงนั้นน่ะ นั่นพี่เดือน ขวัญใจชาวกล้องของรุ่นน้องเกือบทุกคนเลย เห็นว่าพี่เขาเป็นเกย์นะ มีแฟนแล้วด้วย ไม่รู้ว่าแฟนพี่แกคนไหน” แนนชี้ไปทางต้นไม้ที่มีพี่เดือนกำลังยืนมองรุ่นน้องเดินออกจากห้อง ท่าทางกำลังมองหาผมเพื่อที่จะรับกลับคอนโด “มองหาแฟนอยู่มั๊ง?”

“จะเข้าไปทักมั๊ยล่ะ?”

“บ้าเหรอ ไม่เอาเว้ย” แนนส่ายหน้าปฏิเสธ “เดี๋ยวพี่เขาเข้าใจผิดคิดว่าจะเข้าไปจีบ”

ผมส่ายหน้าหัวเราะ เดินตรงไปหารุ่นพี่ที่แนนว่า ปล่อยให้ยืนงงจนผมต้องหันมากวั่กมือเรียกให้ไปด้วยกัน

“พี่เดือน”

“หาอยู่ตั้งนาน แล้วนี่เพื่อนใหม่เหรอ?” พี่เดือนยกยิ้มให้ผมพร้อมกับลูบเส้นผมสีน้ำตาลไปมา สายตาสังเกตเห็นการมีตัวตนของแนน

แนนยกมือไหว้คนที่เป็นรุ่นพี่ เธอทำหน้างงหน่อยๆที่เห็นว่าพี่เดือนเอ็นดูผมพิเศษ

“อ้อ ลืมบอกไปนะแนน นี่พี่เดือน แฟนเราเอง”

“ฮะ? เดี๋ยวนะ? เอาจริง?!” นั่นไง ตาถลนออกจากเบ้าแล้วมั๊ง “เฮ้ย! ไม่นึกว่าจะเป็นกุมภ์อะ ไม่มีพูดถึงเลยว่ามีแฟนรึรู้จักใครในมหาลัย”

“มันไม่มีความจำเป็นต้องบอกนี่นา ถ้าใครถามค่อยตอบไป” ผมยักไหล่ พี่เดือนหัวเราะในลำคอก่อนที่จะดึงให้ผมเดินตามเขาไปที่รถพร้อมกับบอกลาให้เพื่อนใหม่ของผมที่กำลังงงเป็นไก่ตาแตก

พี่เดือนลากผมไปจนเกือบถึงรถ ผมก็เห็นนทีกำลังนั่งหอบตรงบันไดด้วยสภาพที่ไม่จืด ไอ้ไม่จืดที่ว่านี่ไม่ได้หมายความว่าโดนรุ่นพี่ปะแป้งทาสีเลอะไปทั่วตัวนะ ผมหมายถึงว่าสภาพเสื้อมันหลุดลุ่ย ผมเผ้าอะไรกระเซิงหมด แถมแว่นที่มันใส่มายังไม่ได้อยู่บนหน้าด้วย

“เหี้ย...เกิดอะไรขึ้นกับมึงวะ?”

“มึงงงงง กูโดนรุ่นพี่จับตัวลงประกวดเดือนอะ กูไม่อยากเป็นนนนน” นทีมันงอแงโผเข้ากอดผม หน้าตามันตอนไม่ใส่แว่นแต่ร้องไห้น้ำตาไหลเป็นทางนี่ตลกโคตรๆ แต่ผมก็ทำได้แค่ลูบหลังคนโตใจเล็กปลอบเท่านั้น

การที่มันได้รับเอกให้เป็นเดือนเอกนี่ก็คงหมายความว่ามันหน้าตาดีที่สุดในเอก แต่ก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีใครหน้าตาไม่ดีไปกว่ามันนี่นา

“มึงยังมีสิทธิที่จะไม่ได้เป็นเดือนคณะนี่”

“กูนี่แหละเดือนคณะ”

ฉิบผาย...

ขอแสดงความยินดีด้วยกันนะเพื่อนรัก กูว่างานนี้มึงไม่พ้นตำแหน่งเดือนมหาลัยว่ะ...

“แล้วทำไมนทีถึงไม่ปฏิเสธรุ่นพี่ไปล่ะ?” คำถามนี้เป็นของพี่เดือน ความจริงนทีมันจะปฏิเสธไม่รับก็ได้ถ้าเกิดว่ามันไม่อยากทำไง แต่...

“รุ่นพี่อ้างว่าคณะนี้ไม่มีคนหน้าตาดีกว่านี้แล้ว พอผมบอกไม่เอาๆ พวกเขาก็วิ่งไล่ผมอย่างกับฝูงซอมบี้ว้อกกิ้งเดด ผมหนีมานั่งแถวๆต้นไม้ตรงนั้นอะพี่ แต่ไม่คิดว่าจะมีคนมาเจอ เอาไปเอามาพวกพี่เขาก็ถอดแว่นผมจนมองอะไรไม่ค่อยชัดแล้วบ่นว่าหน้าตาดีอย่างนี้ไปเป็นเดือนคณะเลยเถอะ”

“กูพอจะรู้ชะตามึงอยู่อะนะ”

“กูกลัวจริงๆนะเฮ้ยไอ้กุมภ์ กูไม่ชอบเป็นที่สนใจ กูอยากอยู่สงบๆแบบพี่เดือน”

“กว่าพี่จะปฏิเสธพวกนั้นได้ก็เล่นเอาแย่เหมือนกันนั่นแหละ ยังไงก็พยายามเข้าไว้นะ” พี่เดือนให้กำลังใจนทีที่ตอนนี้เริ่มมีน้ำตาคลอแล้ว ผมพอจะรู้เหตุผลมาบ้างว่าทำไมนทีมันถึงกลัวการเป็นที่จับตามอง แต่ผมก็จะไม่เค้นเอาคำตอบจากมันเพราะผมเชื่อว่ามันยังคงอึดอัดที่จะระบายให้ใครฟัง โดยหวังว่าสักวันมันจะได้พูดเรื่องนี้ให้กับคนที่มันไว้ใจมากที่สุดฟังได้

พี่เดือนขับรถตัวเองมาจนถึงคอนโด เขาเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกไปข้างนอกกับเพื่อนในคณะ ส่วนผมที่ไม่มีธุระอะไรก็ตั้งใจว่าจะไปเป็นเพื่อนเขา พี่เดือนไม่ว่าอะไรที่ผมจะตามเขาไปบาร์อันเป็นแหล่งที่นัดรวมเพื่อนฝูง อีกอย่างคือเป็นเรื่องโชคดีที่บาร์นั้นเป็นบาร์ที่ไม่มีประวัติเสีย จึงไว้ใจให้ไปได้

“ผมไม่ยักกะรู้ว่าพี่ดื่มเป็น”

“ก็นะ โตขึ้นการเข้าสังคมก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่พี่ก็ดื่มไม่เคยเกินสองแก้วตลอดเพราะพี่รู้ดีว่าต้องขับรถกลับ ไม่มีใครมาเก็บศพพี่หรอก” พี่เดือนว่าพลางหัวเราะ ชักอยากจะเห็นพี่เดือนเวลาเมาจริงๆว่าเป็นยังไง “มีครั้งนึงตอนเลี้ยงสายรหัส พวกพี่รหัสพากันมอมพี่ พอพี่เมาก็ถ่ายวิดีโอเอาไว้ วันต่อมาเปิดให้ดูแล้วพี่ก็รู้ว่าพอตัวเองเมาแล้วกลายเป็นตาแก่ขี้บ่นสุดๆ”

“ยี่สิบนี่ตาแก่เหรอเนี่ย”

“ก็ขึ้นหลักสองแล้วนี่นา แถมตอนพี่บ่นนะ อื้อหือ พี่อยากจะย้อนเวลากลับไปทุบหัวตัวเองบอกว่า ‘บ่นเชี่ยอะไรของมึง’ มาก” การที่พี่เดือนพูดหยาบก็ฟังดูน่ารักดีไปอีกแบบเพราะนานๆทีเขาถึงหลุดออกมากับผม วันหลังผมจะไปตะล่อมขอวิดีโอพี่เดือนจากพี่ๆมาดูบ้างดีกว่า

“ขอเดาว่าพี่บ่นเรื่องงาน”

“เปล่า”

“แล้วพี่จะบ่นเรื่องอะไรได้บ้างล่ะ?”

“การเมือง” พี่เดือนตอบสีหน้าเฉย แต่ผมนี่หน้าซีดเป็นปลานึ่งไปแล้ว เฮ้ย...การเมืองนี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอามาบ่นเลยนะ ถ้าเกิดมีนักการเมืองผ่านไปแถวนั้นป่านนี้พี่เดือนไม่รอดแล้วแน่ๆ “ล้อเล่น พี่บ่นเรื่องบ้านพี่ บ่นเรื่องแม่พี่ที่ยังไม่ยอมเข้าใจเสียที”

ผมถอนหายใจ ดีเท่าไหร่ที่ไม่ใช่เรื่องการเมืองจริงๆ “จะว่าไปแล้วผ่านมาสองปี พี่ไม่ได้พูดถึงแม่พี่เลยนี่นา”

“แม่พี่เขามัวแต่ยุ่งกับโรงพยาบาล เคยโทรไปถามเหมือนกันว่าแม่โอเครึยังแต่ท่านก็เปลี่ยนเรื่อง”

“งั้นเหรอครับ แต่ตอนนี้เรากลับมาที่เรื่องปัจจุบันดีกว่า เห็นว่าจะมีรับน้องนอกสถานที่ด้วยนี่นา ไปไหนล่ะครับ?”

“ปีนี้พวกเราจะไปที่อุบล”

“อ้าว กลับบ้านเกิด” ผมหัวเราะ อุบลก็อาจจะพาทัวร์ผาแต้ม ผาชนะได เข้าวัดพระธาตุหนองบัวไหว้พระ นี่ถ้าเป็นช่วงเดือนกรกฎาคมก็อาจจะได้ไปดูเทียนพรรษาตามวัดต่างๆ “ใครต้นคิดครับ?”

“พี่นี่แหละ”

“หัวเรือนะเราน่ะ” ผมใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่ต้นแขนพี่เดือน เขาสะดุ้งนิดหน่อยแต่ก็หัวเราะตามแล้วขับรถต่อเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาเลี้ยวเขาลานจอดรถของบาร์เป้าหมายและเดินเข้าไปพร้อมกับผมที่เพิ่งมาสถานที่แบบนี้ครั้งแรกในชีวิต

เขาเดินเข้าไปยังระเบียงชั้นสองของร้านที่เป็นแบบเปิด บรรยากาศเหมาะกับเป็นร้านอาหารมากกว่าบาร์เหล้าเบียร์เสียอีก ที่โต๊ะหนึ่งมีกลุ่มคนที่น่าจะเป็นนักศึกษากำลังถือแก้วของเหลวสีอำพันเข้าปากอย่างช้าๆ ปริมาณของน้ำเปล่าและโซดาน่าจะมากกว่าแอลกอฮอร์เกินครึ่งเสียอีก พี่เดือนลากผมเข้าไปนั่งตรงนั้นพร้อมกับแนะนำตัวผมให้

“นี่กุมภ์ แฟนกูเอง”

“มีพาแฟนมานั่ง เดี๋ยวเถอะ หมั่นไส้โว้ยยย”

พี่ใส่แว่นกรอบน้ำตาลที่นั่งตรงข้ามกับผมโวยวาย แต่ก็โดนพี่คนที่ตัวเล็กกว่าห้ามเอาไว้พร้อมกับผู้ชายอีกคนที่ทำหน้าตาเบื่อโลก

“คนหน้าเบื่อโลกชื่อมะยม ส่วนคนตัวเล็กที่สุดชื่อไนท์ แล้วคนที่เข้ามาในกลุ่มพี่แบบงงๆคนนี้ชื่อนกฮูก” พี่เดือนไล่ทีละคน ซึ่งแต่ละคนก็หน้าตาไม่เหมือนกันทำให้จำค่อนข้างจะง่าย พี่ไนท์ยกยิ้มสดใสให้ผม พี่มะยมยิ้มบางๆแต่ก็หันไปยกแก้วน้ำเปล่าซดต่อ ส่วนพี่นกฮูกที่แซวผมเมื่อครู่ก็ส่งสายตากวนมาให้พร้อมกับเทเหล้าลงแก้วชงให้พี่เดือน

“เอ้าๆ แดกซะ เอาให้น้องรู้ว่ามึงแม่งพูดมากฉิบหายเวลาเมา”

“ไม่เอา ต้องขับรถกลับ” พี่เดือนถอนหายใจ “แล้วก็จะมาคุยเรื่องงานไม่ใช่เหรอ ทำไมมาก๊งเหล้ากันอย่างนี้ล่ะ?”

“ก็นกฮูกเขาเรียกร้องน่ะสิ” พี่ไนท์ทำสีหน้ากระอั่กกระอวน “เมามาใครจะพากลับหอล่ะทีนี้”

“แท็กซี่มีไว้เพื่ออะไรครับน้องไนท์”

“คุยเรื่องงานเถอะ” พี่มะยมเป็นคนตัดบท ก่อนที่จะหยิบสมุดเล่มสีขาวขึ้นมาวางท่ามกลางแก้วเหล้า “คือว่าปีสามอาจารย์เริ่มโยนงานโปรเจ็คมาแล้ว เขาบอกว่าให้เวลาหนึ่งเทอมในการทำ ให้ถ่ายรูปแล้วไปจัดแกลอรี่ที่หอประชุมของคณะเราในหัวข้อ ‘ยิ่งรู้จัก ยิ่งหลงใหล’ ทีนี้พวกเราต้องเป็นคนวางผังหมดเองเลยว่าอะไรยังไง ทำไมหวยต้องมาลงกับพวกเราด้วยเนี่ย”

พี่เดือนกับเพื่อนของเขานั่งคุยต่อไป ส่วนผมก็นั่งมองซ้ายขวาแล้วยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มเป็นครั้งคราว ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินใส่ชุดเกาะอกตรงมาทางนี้พร้อมกับกระเป๋าแบรนเนมราคาสูง

“อ้าว พี่เดือนมาที่นี่ด้วยเหรอคะ? บังเอิญจังเลย”

ทันทีที่พี่เดือนได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนี้ เขาก็ทำหน้าซังกะตาย ไม่คิดว่าจะมาเจอผู้หญิงที่ชื่อว่าเขมในที่แบบนี้

“สวัสดีครับ น้องมาทำอะไรที่นี่เหรอ?”

“เขมมาดริ้งกับเพื่อนค่ะ แต่เขมมาผิดเวลาไปหน่อย” จ้า มาผิดเวลา “กำลังทำอะไรอยู่คะ?”

“น้องเขม พวกพี่กำลังคุยงานโปรเจคปีสามอยู่ ถ้ายังไงพวกพี่ก็ขอเวลาส่วนตัวด้วยนะ” พี่นกฮูกขัดบทพี่เดือนที่กำลังจะอ้าปากพูด พี่เขมทำหน้าบึ้งนิดๆก่อนที่จะหันมาเจอกับผม

“แล้วนี่...”

“น้องปีหนึ่ง” พี่ไนท์เป็นคนตอบแทน “แฟนเดือน” มาแล้วก็หันไปสะกิดให้พี่เดือนพยักหน้ายืนยันตาม คราวนี้แหละที่พี่เขมมีสีหน้าไม่พอใจชัดเจน แต่เธอก็ยังยิ้มสู้กับผม

ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ผมว่าเหมือนมีประกายไฟอะไรออกมาจากสายตาพี่เขมเขาอะ

“สวัสดีนะ พี่ชื่อเขม”

“ผมกุมภ์ครับ” ผมตอบเสียงเรียบตามปกติ ซึ่งอาจจะทำให้พี่เขมแกไม่พอใจก็ได้ที่ผมไม่มีปฏิกิริยาออกอาการใดๆเลย “พี่เขมเป็นน้องรหัสพี่เดือนสินะครับ?”

“ใช่ โชคดีจังเลยเนอะ” พี่เขมยิ้มตอบ “กุมภ์รู้รึยังว่าใครเป็นพี่รหัส?”

“ยังครับ เขาจะไปเฉลยสายที่งานรับน้องนอกสถานที่” ความจริงเรื่องนี้ต้องรู้กันหมดแล้ว แต่ผมว่าพี่เขมไม่ได้โผล่หน้ามาเลยไม่รู้เรื่องอะไร

“งั้นเหรอ พี่นั่งด้วยได้รึเปล่า?”

“ตามสบายครับ”

พี่เขมลากเก้าอี้มานั่งข้างๆพี่เดือนอีกฝั่ง พี่เดือนเริ่มไม่สะดวกใจเพราะกลัวผมจะอึดอัดตาม เขาจึงพยายามรีบคุยงานกับเพื่อนให้จบๆแล้วจะพาผมกลับคอนโด

คุยไปได้สิบนาที พี่เขมก็เริ่มสั่งเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์แอลกอฮอร์แรงขึ้น พี่ไนท์แอบสะกิดให้ผมเฝ้าพี่เดือนไม่ให้ดื่มหนักจนกลับไม่ได้ ซึ่งผมจะเป็นคนที่ทำหน้าที่ยื่นแก้วให้พี่เดือนตลอด ผมจึงผสมน้ำเปล่าเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ให้แทน พี่เดือนยิ้มให้ทุกครั้งต่างจากที่ไม่รับแก้วจากพี่เขม

รู้สึกเหมือนผู้ชนะนิดๆว่ะ

“พี่เดือนคะ อันนี้ดื่มแล้วไม่ค่อยมึนเท่าไหร่ค่ะ”

“พี่เดือนครับ คุยใกล้เสร็จรึยังครับ? เดี๋ยวจะดึกมากกว่านี้”

“เขมสั่งแบบไม่แรงมาก พี่เดือนลองมั๊ยคะ?”

“อีกสิบนาทีสามทุ่ม กลับกันเถอะครับ”

พี่เดือนพยักหน้าให้ผมก่อนที่เขาจะลาเพื่อนและพี่เขมที่นั่งหน้าเสีย แอบเห็นพี่นกฮูกทำหน้าสะใจอยู่แว๊บๆซึ่งผมก็ชูนิ้วโป้งให้เป็นการประกาศว่าศึกครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะอย่างงดงาม สักพักพี่เขมก็พูดขึ้นมาว่าจะกลับแล้วเหมือนกันแล้วเดินออกไป

“โห ไหนบอกว่านัดเพื่อนไว้ พอเดือนไปแม่งเดินหนีเลยว่ะ” พี่นกฮูกหัวเราะร่วน “น้องแม่งได้ใจพี่ วันหลังเดี๋ยวเลี้ยงขนมค่าหักหน้ายัยเขมนั่น”

“ว่าไปนั่นพี่นกฮูก”

“คนทั้งคณะไม่ค่อยชอบเขมตรงที่ชอบตื้อแล้วไม่จำนี่แหละ ก็รู้ว่าเดือนมีเจ้าของแต่ก็ยังตาม” พี่ไนท์เป็นคนพูดบ้าง “ตั้งแต่ปีสองแล้ว ตอนนั้นตามเดือนจนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน โปรเจ็คถ่ายงานนอกสถานที่บางครั้งเขมเขายังแอบตามไปด้วยเลยทั้งที่ไม่เกี่ยวกัน”

“อ้างว่าบังเอิญบ้างล่ะ อ้างว่าบ้านอยู่แถวนั้นบ้างล่ะ บ้านอยู่ทุกซอกซอยของกรุงเทพเลยรึยังไง” พี่นกฮูกปิดท้าย พี่มะยมยังคงนั่งขีดเขียนอะไรบนกระดาษ ผมลาพี่ทั้งสามคนก่อนที่จะตามพี่เดือนไปที่รถ เขากำลังยืนรอตรงประตูแล้วก็เปิดให้ผมขึ้นไปนั่ง

พี่เดือนไม่ได้พูดอะไรแต่เขายิ้มหน้าบานตลอดทาง น่าจะอารมณ์ดีถึงที่สุดรึไม่ก็ใกล้จะมึนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอร์ในร่างกายนั่นแหละ ต่างจากผมที่ไม่ได้แตะอะไรกับชาวบ้านเลย

“ได้กุมภ์เป็นแฟนนี่ดีจังน้า...แก้เผ็ดชาวบ้านก็เก่ง...อยากรีบกลับไปฟัดจังเลย...”

“พี่เดือน ผมว่าพี่เริ่มมึนแล้วล่ะ...”

โอเค ผมว่าเขามึนแล้วมากกว่า...

 

“ไอ้แม่กุมภ์ วันนี้จะไปดูเขาแข่งดาวเดือนปะ” อุ้มทักผมที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารคณะตัวเอง โชคดีที่คณะผมกับอุ้มใกล้กัน มันเลยมาหาได้ตลอด

“ไปดิ เพื่อนขึ้นเวทีนะเฮ้ย” วันนี้เป็นวันที่นทีมันต้องขึ้นเวที ผมไม่เห็นหน้ามันมาหลายวันแล้วเพราะมันเก็บตัวซ้อมดาวเดือน นานๆทีมันถึงออกมาเจอแสงอาทิตย์ พี่เดือนก็กำลังยุ่งๆกับงานตัวเอง เด็กปีหนึ่งอย่างผมจึงว่างพอที่จะมานั่งเสวนาเรื่องไร้สาระได้ “แนนล่ะ?”

“ดูๆ อยากเห็นหน้าเพื่อนมึงเหมือนกันว่าที่ได้เป็นเดือนคณะมันจะเด็ดแค่ไหน”

“เด็ดสุดๆ ยกเว้นแต่ตอนใส่แว่นแล้วปล่อยตัวเอง” อุ้มกลอกตาขึ้นฟ้า คนที่รู้จักมันมาตลอดสี่ปีอย่างพวกผมก็คงรู้ดีว่าวันๆมันชอบปล่อยตัวให้ดูเนิร์ดและไม่เป็นจุดสนใจมาก แต่วันนี้เพื่อนผมมันต้องประกายแสงให้ได้มากที่สุด แม้ว่ามันจะไม่เต็มใจเลยก็ตาม เดือนคณะอื่นผมพอจะเห็นบ้างว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ผมก็ไม่เห็นเลยว่ามีใครที่จะล้มมันลงได้

“สาบานด้วยไส้กรอกเลยว่าถ้าไอ้นทีมันไม่ได้เป็นเดือนมหาลัย กูจะเลี้ยงสตาร์บัคพวกมึงคนละแก้ว” ดินจิ้มไส้กรอกตัวเองขึ้นมาชูเหนือหัวกลางโรงอาหาร “กูไปดูมาหมดแล้ว ไม่มีใครสามารถสู้ลูกชายพวกเราได้หรอกแม้แต่เดือนคณะมึงไอ้กุมภ์”

เดือนคณะผมอยู่คนละภาคกับผม รู้สึกว่าจะเป็นหนุ่มตี๋ผิวขาว ผมว่าถ้าไม่มีนที ปีนี้ตำแหน่งเดือนมหาลัยก็น่าจะเป็นของเขานั่นแหละนะ

พวกเรานั่งกินข้าวด้วยกันสักพัก พี่เดือนและเพื่อนก็ปรากฏตัว เขาสั่งอาหารตามสั่งแล้วมานั่งข้างๆผม ใช้ส้อมจิ้มแย่งเนื้อหมูไปต่อหน้าต่อตา พอแย่งเสร็จก็ยังมีการหันหน้ามาป้อนน้ำในแก้วกับผมด้วย

นี่ขนาดว่าเป็นหวัดไม่ได้กลิ่นไม่รับรู้รสชาตินะ ยังมีแรงมามหาลัยแล้วก็แกล้งผมได้อะ

พี่เดือนชอบแกล้งผมในมหาลัย เป็นเหมือนการประกาศว่าผมเป็นแฟนเขายังไงยังงั้น พอทุกคนรู้ก็มีเข้ามาถามกันเต็มว่ารู้จักกันตอนไหน อะไรยังไง อันไหนที่ถามไม่ล้วงความเป็นส่วนตัวมากเกินไปผมก็สามารถตอบได้ แต่บางคนก็ชอบถามจังเลยนะว่าผมเสียตัวให้พี่เดือนไปรึยัง

คบกันปีที่สามยังไม่เสียตัวให้พี่เดือนมันผิดมากรึไงวะ...

“แกล้งกันเข้าไป หยอกกันเข้าไป พวกกูเฉาหมดแล้วครับเพื่อน” พี่นกฮูกร้องครางออกมา “เห็นใจคนไร้เมียบ้าง”

“อย่างนี้แหละพี่ ตอนอยู่มัธยมพวกหนูก็ทนมาตลอด เจ็บจี๊ด” อุ้มตบมุขกับพี่นกฮูก พอไม่มีพี่ศึกนี่ก็หันไปสนิทกับพี่นกฮูกที่กวนพอๆกันเลยนะ

“วันนี้ไปดูนทีขึ้นเวทีกันเถอะ แต่อย่าเล่นใหญ่นะ พี่กลัวเขาสติแตก”

“ไม่สติแตกน่ะสิที่จะแปลก” ผมหัวเราะ เมื่อวานมันก็ยิงไลน์กลุ่มมาบอกว่ามันไม่ไหวแล้ว กลัวนู่นนี่ทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำอะไร หลายคณะเหมือนกันที่เล่นกีตาร์ แต่ผมเชื่อว่ายังไงมันก็เด่นกว่าอยู่ดีนั่นแหละ

“จะว่าไปกูยังเสียดายมึงไม่หายที่มึงไม่ยอมลงเดือนคณะ” พี่นกฮูกบ่น “ดูสิ มะยมรับหน้าที่แทน สงสาร”

“ก็ใช่ว่าจะได้เป็นนี่นา อีกอย่างทุกคนไม่สนใจหรอกถ้าไม่ทำตัวเด่นเอง” ถูกครับพี่มะยม “บางครั้งคนเราก็เรียกร้องความสนใจเพราะคิดว่าไม่มีใครเห็นคุณค่า ทุกคนมีคุณค่าหมด เพียงแค่แสดงออกมาไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะแสดงออกมาตรงๆ บางคนก็แสดงออกแบบปิดทองหลังพระ”

“แต่เราก็ยังงงๆอยู่นะที่หลายคนเลือกที่จะแสดงออกแบบผิดๆ อย่าง...นู่น สามนาฬิกา”

ทางทิศสามนาฬิกา พี่เขมเจ้าเก่าเจ้าเดิมเดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนอีกสองสามคน ผมเข้าใจพี่เดือนแล้วล่ะว่าเขาเบื่อมากแค่ไหนกับการที่ต้องมาเจอพี่เขมอย่างนี้ ขนาดว่าพี่เดือนแสดงชัดเจนเรื่องที่มีคนคบแล้วนะ

“เชื่อเถอะว่าถ้าวันนี้เจ๊แกไปดูแข่งเดือน เจ๊แกจะเลิกยุ่งกับพี่เดือนแล้วไปกินนทีแทน” อุ้มพูดอย่างเบื่อหน่าย “แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นเจ๊แกต้องข้ามศพกู ลูกชายคนนี้กูหวง”

“ก็หวงกันหมดคณะนั่นแหละ”

“พี่เดือนมากินข้าวที่นี่เหรอคะ?” จะให้ไปกินที่ไหนล่ะครับ “เขมนั่งด้วยได้มั๊ย?”

ไม่รอคำตอบ พี่เขมแกก็เบียดเข้ามาเลยครับ นี่เกาะแกะพี่เดือนจนผมไม่อยากให้ความเคารพแล้วเนี่ย ช่วยเห็นผมหน่อยว่าผมเองก็นั่งหัวโด่ตรงนี้

“เจ๊ ทำไมเจ๊ไม่ไปนั่งโต๊ะนั้นอะ มีที่อีกเยอะเลย” ดินชี้ไปทางโต๊ะว่างข้างๆกัน แม่งโคตรโล่ง มีแค่หมาประจำโรงอาหารนี้นอนอยู่ใต้โต๊ะเท่านั้นแหละ

“พี่กลัวหมา พี่ไม่กล้านั่ง”

“กลัวตายล่ะ เมื่อวานยังเห็นว่านั่งเล่นกับหมาหน้าตึกแพทย์” อันนี้เป็นประโยคพึมพำจากพี่ไนท์

“พี่ไม่ชอบนั่งเบียดกันนะ เอาอย่างนี้ ถ้าน้องกลัวพี่จะไล่เจ้าขาวให้ไปนอนที่อื่นให้ น้องจะได้นั่งสบายๆ” พี่เดือนบอกปัดพี่เขม อุ้มยิ้มสะใจกับดิน แนนแอบยกมือปิดปากหัวเราะ พี่ไนท์และพี่นกฮูกเบี่ยงหน้าหนีเพราะเผลอหลุดหัวเราะไป ส่วนพี่มะยมก็ยังทำหน้าโมโนโทนแต่ผมคิดว่าพี่มะยมเองก็สะใจไม่น้อย

“...”

“...”

“ก็ได้ค่ะ...”

ว่าแล้วพี่เขมก็เดินไปนั่งกับเพื่อนตัวเอง พวกเธอพากันหัวเราะให้กับความ ‘นก’ ที่เพื่อนตัวเองปล่อย ถึงอย่างนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะดีใจที่พี่เดือนเริ่มบอกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่าเขารำคานพี่เขมมากแค่ไหน

หลังจากที่ผมเรียนครบทุกคาบแล้ว ผมกับเพื่อนก็พากันไปรวมตัวที่หน้าหอประชุมที่เป็นสถานที่แข่งดาวเดือน จับจองที่นั่งช่วงกลางๆเอาไว้แล้วให้คนออกไปซื้อน้ำซื้อขนมมาให้

ซ้ายขวาหน้าหลังของผมมีแต่คนเอากระดาษขนาดใหญ่มาเขียนชื่อเดือนดาวคณะตัวเอง ผมไม่แน่ใจว่าผมเห็นป้ายที่เขียนชื่อของนทีรึไม่ แต่ผมก็ไม่สนใจ ไม่นานนักพี่เดือนก็เข้ามานั่งข้างๆผมก่อนที่งานจะเริ่มไม่นาน

ตลอดเวลาพี่เดือนเขาจับมือผมเอาไว้ตลอด บรรยากาศรอบตัวมันมืดดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตว่าพวกผมสองคนกำลังนั่งหวานกันมากแค่ไหน พอถึงคิวนทีกับดาวคณะเดินออกมาก็มีเสียงกรีดร้องดังไปทั่วเพราะวันนี้นทีมันเด่นมาก

เสื้อนักศึกษาถูกระเบียบกับทรงผมที่มัดเป็นหางม้าสูงเล็กๆนั้นว่าขับให้ดูดีแล้ว พอได้แต่งหน้าเต็มที่ ถอดคอนเทคเลนส์ออกก็เด่น เด่นยิ่งกว่าสมัยมัธยมเสียอีกเนื่องจากความหล่อที่เพิ่มมากขึ้น เขามองซ้ายขวาแล้วแจกรอยยิ้มพิฆาตใจสาว พี่เดือนเห็นอย่างงนั้นเขาก็รีบหันหน้าของผมให้มองมาที่เขาทันที

“อย่าไปมองนะ เดี๋ยวหลงเสน่ห์เพื่อนตัวเอง”

อ๋อ หึง

“ผมจะหลงเพื่อนตัวเองทำไมครับถ้ารู้นิสัยจริงๆของมัน” ผมหัวเราะ “มีแฟนแล้วผมไม่มองคนอื่นหรอกน่า คิดมาก”

“ก็คิดมากไง กลัวไม่รักแล้ว”

“พ่อคนคิดมากเอ้ย” ผมบีบจมูกเขาเบาๆก่อนที่จะหันกลับมาดูงานประกวดต่อซึ่งตอนนี้เป็นคิวของเดือนคณะผมที่เรียกเสียงไปได้ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นจู่ๆพี่เดือนก็โน้มตัวลงมาหอมแก้มผมในจังหวะทุกคนสนใจแต่คนประกวด “เดี๋ยวเถอะ!”

“ทำไมล่ะ พี่หอมไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ใช่ที่นี่สิครับ!”

“ที่ห้องได้?” พี่เดือนยิ้มกรุ่มกริ่ม “งั้นกลับไปฟัดให้เต็มที่เลยดีกว่า”

“พี่อยากให้ผมติดหวัดจากพี่รึยังไง?”

พี่เดือนเอนหัวมาซบไหล่ผมแล้วก็ลูบต้นขาเบาๆ ซึ่งผมก็ปล่อยให้เขาทำไปเพราะยังไงผมก็สู้เขาไม่ได้ นับวันพี่เดือนยิ่งเจ้าเล่ห์มากขึ้นจนผมยังแปลกใจว่าพี่เดือนคนเก่าหายไปไหน

เอาเถอะ เขาสามารถสนุกกับชีวิตได้ผมก็ดีใจมากแล้ว

ผมนั่งดูมาเรื่อยๆจนเริ่มง่วงและเผลอหลับไป ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนไหนแต่ผมรู้ว่าพี่เดือนเป็นฝ่ายที่ดันให้ผมมานอนซบไหล่เขาพร้อมกับร้องไห้คลอดตามนทีที่แสดงความสามารถบนเวทีไปด้วย

มันเป็นเพลงเดียวกันกับที่พี่เดือนเคยร้องคลอดตามเมื่อสองปีที่แล้วและเป็นเพลงที่เปิดใจพวกเราทั้งสองคนได้สำเร็จ

เสียงพี่เดือนไม่ได้ดีเท่านที พี่เดือนไม่ได้เก่งอะไรเลยนอกจากการเรียน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยิ่งรักในความเรียบง่ายของเขา ไม่ต้องโดดเด่นอะไร ไม่ต้องมีความสามารถเกินมนุษย์ เขายอมลงมาเป็นผู้ชายธรรมดาๆเพื่อผม เขายอมสละความสำเร็จที่สูงกว่าเพื่อมายืนข้างๆผม และเขายอมเดินออกจากกรอบของเขาเพื่อมาเจอกับผม

ยิ่งรู้จัก...ก็ยิ่งรักเข้าไปอีก

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากปากกาแท่งนั้นที่หล่นลงมา

“พี่รักกุมภ์...และจะรักมากขึ้นอีกทุกวันนะ”

ในคืนนั้น นอกจากว่านทีจะได้ตำแหน่งเดือนมหาลัยแล้ว ผมยังได้รับความรักเพิ่มจากพี่เดือนมากขึ้นด้วยจนแทบจะล้นหัวใจ

..

...

“อึ่ก...”

หืม?

“ฮะ...ฮ่า.....”

เสียงพี่เดือนเหมือนติดๆขัดๆ ลมหายใจของเขาแรงขึ้นเรื่อยๆจนผมเริ่มใจไม่ดีต้องลืมตาขึ้นมา และผมก็เห็นว่าพี่เดือนกำลังมีสีหน้าทรมานมาก ผื่นแดงขึ้นเต็มร่างกายพร้อมกับมือทั้งสองข้างของเขาที่เริ่มจับไปที่คอ

“พี่เดือน!”

“อึ่ก...ฮ่า....”

ผมพยายามตั้งสติ อุ้มกับดินที่นั่งข้างผมเริ่มสังเกตว่ามีอะไรแปลกๆก็รีบมองพี่เดือนแล้วก็ต้องตกใจตามๆกัน ส่วนพี่มะยมและพี่ไนท์ที่นั่งข้างพี่เดือนอีกฝั่งก็รีบโทรเรียกรถพยาบาลให้เพราะอาการพี่เดือนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

“พี่เดือน! พี่เดือน!” ไม่รู้ว่าตอนไหนที่น้ำตาของผมเริ่มคลอเบ้า ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่เดือน เขาเริ่มไม่ได้ยินเสียงพวกผม แต่มือของเขาพยายามที่จะบีบมือของผมเอาไว้แน่นเหมือนอยากจะให้ผมอยู่ตรงนี้

พวกเรารีบพาพี่เดือนออกจากตรงนั้นท่ามกลางสายตาของผู้คนที่มองมาด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น รถพยาบาลมาทันเวลาพอดี ผมจึงรีบขึ้นไปพร้อมกับดินและพี่มะยมที่ตามมาด้วย พี่เดือนหมดสติ หน่วยพยาบาลฉุกเฉินนำหน้ากากออกซิเจนมาใส่ให้เขาเพราะพี่เดือนหายใจติดขัดมาก

เมื่อถึงโรงพยาบาล พวกเขารีบนำพี่เดือนขึ้นเตียงเข้าห้องฉุกเฉิน ส่วนผมที่น้ำตาไหลไม่หยุดก็มานั่งทรุดอยู่ตรงข้างเก้าอี้นั่งรอ ดินกับพี่มะยมเข้ามาปลอบผมว่าพี่เดือนจะต้องไม่เป็นอะไร พอผมค่อยๆตั้งสติได้อีกครั้งก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่าทำไมจู่ๆพี่เดือนถึงมีอาการชักแบบนี้มาได้

Rrrrr

‘กุมภ์...พี่เดือนเป็นไงบ้าง’

เสียงของอุ้มดังขึ้นมา ผมได้ยินเสียงแว่วๆของนทีอยู่ไม่ไกลนัก คิดว่าเขาน่าจะตกใจเหมือนกันที่พี่เดือนชักกะทันหัน

“เข้าไอซียู ยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น...”

‘พี่เดือนกินอะไรที่พี่เขาแพ้ไปรึเปล่า?’

“ไม่นะ พี่เดือนเขาแพ้กุ้งอย่างเดียว วันนี้ก็ไม่เห็นว่าเขา...” เดี๋ยวนะ “อุ้ม มึงไปดูข้าวกล่องที่ซื้อมาตอนเย็นให้หน่อยได้รึเปล่า?”

‘ได้ๆ’

ตอนเย็นพี่เดือนเดินถือข้าวกล่องเข้ามากินข้างใน แต่ก่อนหน้านั้นเขาแวะเข้าไปหาเดือนคณะตัวเองก่อนโดยที่วางข้าวกล่องไว้ตรงใต้ต้นไม้ที่มีม้านั่ง ผมเองก็ไม่ได้เฝ้าตลอด แต่จำได้ว่ามีคนเอาข้าวกล่องอีกกล่องมาวางไว้เหมือนกัน รึว่า...

‘กุมภ์...’

“ว่าไง เจออะไรรึเปล่า?”

‘พี่เดือนแพ้กุ้งใช่มั๊ย?’

“...อื้ม...”

‘มึง ฟังนะ’

“...”

‘ข้าวกล่องที่พี่เดือนกินเข้าไปน่าจะเป็นข้าวผัดผสมมันกุ้ง.....’

พี่เดือนเป็นหวัดอยู่...เขาน่าจะไม่ได้กลิ่นมันกุ้ง...

‘แถมพี่เดือนจะเป็นหวัดไม่รู้รสไม่ได้กลิ่นอะไรอีก...กูกลัวมากว่ะว่าพี่เขา...’

 

คุณรู้รึเปล่าว่าผมรู้สึกยังไง?

ผมว่าเหมือนโลกทั้งใบแม่งหยุดไปเลยว่ะ...

 

‘จะทนไม่ไหว’



--------------------

อยู่ในช่วงวาดรูปสคส.แลกกับคนอื่นค่ะ ย้ำค่ะว่าวาดเอง ฝีมือห่วยๆอย่างน้องเนี่ย ฮ่าาาา ใครอยากแลกกับน้องก็ dm มาในทวิตเตอร์ @SmolMety_2543 ได้เลยนะคะ //สุดท้ายไม่มีใครแลกด้วย...

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 21

 

พี่เดือนยังคงอยู่ในห้องฉุกเฉิน ส่วนผมก็นั่งอยู่ที่คาเฟ่ข้างล่างเพื่อมานั่งทำใจ

เมื่อประมาณสามสิบนาทีที่ผ่านมาผมโทรไปบอกทางบ้านพี่เดือนว่าพี่เดือนเข้าโรงพยาบาลจากอาการแพ้กุ้ง อุ้มบอกรายละเอียดเพิ่มเติมมาว่ามันกุ้งที่ผสมอยู่ในนั้นมีไม่เยอะมาก แต่ถือว่าถ้าแพ้รุนแรงก็ช็อกได้ แถมพี่เดือนก็กินเข้าไปจนหมดเกือบหมดกล่อง

พ่อพี่เดือนกับหนึ่งน้องชายของเขาเตรียมจะขึ้นเครื่องมาพรุ่งนี้เช้า ส่วนแม่ของเขาจะตามมาทีหลัง

“กุมภ์...”

นทีที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผมเลื่อนแก้วกาแฟมา แต่ผมส่ายหน้า ในตอนนี้ร่างกายผมมันไม่ยอมได้อะไรทั้งนั้น ถึงจะได้รับก็คงจะอาเจียนออกมาหมดอยู่ดี

นทีไม่พูดอะไรต่อ เขาปล่อยให้ผมนั่งจมไปกับความคิดงี่เง่าของตัวเอง ถ้าเกิดว่าพี่เดือนไม่สามารถทนต่อฤทธิ์ของกุ้งได้ ผมจะทำยังไงต่อไป แล้วถ้าเกิดว่าพวกเราพาพี่เดือนส่งโรงพยาบาลไม่ทัน ผมจะสามารถมีหน้าไปเจอใครได้อีกรึเปล่า

Rrrrrr

“ครับ...”

‘กุมภ์ อาการของเดือนปลอดภัยแล้วนะ’ เสียงของพี่มะยมดังขึ้นพร้อมกับเสียงเตียงเข็น ‘พี่จะพาเดือนไปนอนห้องพิเศษก่อน กุมภ์ไม่ต้องคิดมากแล้วนะ อีกสักพักหมอจะเข้าไปเล่าอาการให้ฟังว่าเดือนเป็นอะไร’

ผมไม่เคยรู้สึกถึงน้ำหนักที่เบาหวิวออกจากหัวใจเท่านี้มากก่อน แค่พี่เดือนปลอดภัยผมก็ดีใจมากแค่ไหนแล้ว “ขอบคุณพระเจ้า...”

 ‘ไปหาอะไรกินเถอะ ถ้าเดือนตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่ายังไม่ได้กินอะไรเดี๋ยวมันจะโวยวายให้พี่เอา ขวัญเอ๊ยขวัญมา’ พี่มะยมปลอบผมเหมือนเด็กเจอผี แต่นั่นก็สามารถทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาได้ ขอบคุณที่พี่เดือนเข้มแข็งมากพอที่จะทนกับความทรมานนี้ ขอบคุณพระเจ้าที่ยังเห็นใจคนบาปอย่างผม ขอบคุณทีมแพทย์ที่ช่วยเหลือพี่เดือนสุดความสามารถ ขอบคุณเพื่อนที่คอยวนเข้ามาปลอบผมไม่ให้ผมสติแตกไปมากกว่านี้

“พี่เดือนปลอดภัยแล้วก็กินเข้าไปซะ” นทีเลื่อนแก้วกาแฟเข้ามาให้ผมอีกครั้ง ซึ่งผมก็รับไปด้วยความยินดี “คราวนี้ก็เหลือประเด็นที่ว่าใครเป็นคนทำ”

“...”

“ข้าวผัดที่ซื้อตามร้านปกติเขาไม่มีมันกุ้งใส่ให้หรอกนอกเสียจากจะเป็นคนอื่นเอาเข้ามาแล้วก็รู้ดีว่าพี่เดือนแพ้กุ้งรุนแรง” นทีเขี่ยสลัดผักมื้อดึกในชามไปมา “พี่เดือนเคยเล่าหรือพูดอะไรว่าไปมีเรื่องกับใครให้ฟังรึเปล่า?”

“ไม่นะ แล้วก็ไม่มีด้วย” ผมตอบตามความเป็นจริงเท่าที่รู้ พี่เดือนไม่เคยไปมีปัญหากับใครเพราะตั้งใจเลี่ยงอยู่แล้ว แต่อาจจะมีก็ได้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

“ไม่มีใครน่าสงสัยเลยเหรอ?”

“ไม่มีๆ”

“อืม...ตามตัวยากอะ อีกอย่างเรื่องแพ้อาหารถ้าเอาไปแจ้งความข้อหาลอบทำร้ายนี่ก็คงไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานมากพอ”

“อย่าถึงขั้นตำรวจเลย ถ้าเกิดว่ามันเป็นจากความไม่ได้ตั้งใจจริงๆของคนเรานี่จะแย่เอานะ” ผมเถียงนทีที่เริ่มจริงจังเกินเหตุ “ตอนนี้รีบกินรีบขึ้นไปเฝ้าพี่เดือนดีกว่า”

“เอางั้นก็ได้”

หลายคนคงไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงไม่แจ้งเรื่องนี้กับตำรวจ หลักฐานของพวกผมมันไม่แน่นพอที่จะสรุปได้ว่านี่คือการลอบทำร้าย และผมปักใจเชื่อไปทางความไม่ตั้งใจของคนมากกว่าเยอะ แต่เรื่องข้าวผัดมันกุ้งนั้นก็ทำให้ผมเอะใจได้พอตัว กล่องเหมือนกันก็ไม่น่าจะเอามาวางข้างๆกันนี่นา แถมร้านอาหารที่พี่เดือนไปซื้อข้าวมานั้นก็ไม่ใช้มันกุ้งในการผัดข้าวเนื่องจากราคาเกินงบ

ผมสะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดผังผีเสื้อออกจากสมอง สิ่งที่ควรสนใจตอนนี้ก็คือพี่เดือน ผมใช้เวลาไม่นานในการจัดการกับอาหารมื้อดึกก่อนที่จะโทรหาพี่มะยมเพื่อถามหมายเลขห้องพี่เดือน เมื่อได้เลขแล้วผมกับนทีก็รีบขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นหกของโรงพยาบาลแห่งนี้

สีหน้านทีดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะเหมือนจะกลัวที่แคบนิดๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถอดทนมาได้ ผมไม่รู้ว่าทำไมคนรอบข้างผมมักจะมีอาการความกลัวแปลกๆ อย่างพี่เดือนกลัวความมืด (ซึ่งรักษาหายไปแล้ว) กลัวความผิดหวัง นทีก็กลัวที่แคบ กลัวเสียงดัง

ผมเดินตามระเบียงจนมาถึงห้องที่พี่เดือนพักอยู่ สีหน้าพี่เดือนยังดูไม่ค่อยดีมากนัก เขากำลังหลับอยู่บนเตียงพร้อมกับผื่นแดงจางๆ พี่มะยมกำลังคุยกับหมอคนหนึ่งอยู่ ผมจึงยังไม่เข้าไปกวนแต่เลือกที่จะมานั่งรอที่โซฟากับนที

“พี่คุยกับหมอแล้วนะ ต้องให้เดือนนอนอยู่ดูอาการสักสัปดาห์ก่อนเพราะอาการยังไม่คงที่เท่าไหร่ โชคดีที่พามาโรงพยาบาลทัน” พี่มะยมถอนหายใจ “เวรกรรมแต่ไหนกัน”

“อุ้มบอกว่าข้าวผัดของพี่เดือนมีมันกุ้งผสมอยู่ ถึงจะไม่ได้เยอะแต่ก็มากพอที่จะฆ่าพี่เดือนได้น่ะครับ อีกอย่างก็คือผมคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ คนที่อยู่แถวนั้นอาจจะเผลอหยิบข้าวกล่องสลับกับของพี่เดือนไปก็ได้ใครจะรู้ ผมไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นผมอยากให้พี่ช่วยปิดๆหน่อยแล้วกัน ตอบได้เท่าที่ตอบนะครับ”

“ได้สิ”

ผมลากเก้าอี้ไปนั่งข้างเตียงพี่เดือน ลมหายใจของเขาเข้าออกเป็นระยะแสดงถึงการยังมีชีวิตอยู่ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมวางใจลงไปมากเท่าที่ควรจะเป็น ถ้าเกิดจู่ๆพี่เดือนช็อกขึ้นมาอีกล่ะ? ถ้าจู่ๆพี่เดือนไม่ฟื้นขึ้นมาล่ะ?

ผมกลายเป็นคนคิดมากไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“คืนนี้กุมภ์จะเฝ้าพี่เดือนใช่มั๊ย? ให้อยู่เป็นเพื่อนรึเปล่า?” พี่มะยมถามผม เขาสะพายกระเป๋าที่ติดมาด้วย ถามผมด้วยความเป็นห่วง “อยากกินอะไรเพิ่มรึเปล่า? ให้พี่ไปช่วยลาอาจารย์ที่คณะให้เอามั๊ย?”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ผมส่ายหน้าพลางยิ้มอ่อน “พี่พานทีมันกลับไปด้วยเลยนะครับ ผมอยู่ได้”

“มึงแน่ใจนะว่าอยู่ได้?”

“อืม กูอยู่กับพี่เดือนนี่นา” ผมหันหน้าไปมองพี่เดือนที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง “ถ้ามีอะไรก็เรียกพยาบาล...ง่ายจะตาย”

“แล้วแต่นะ ถ้าไม่ไหวก็โทรเรียกเพื่อน ใครก็ได้” นทีลุกขึ้นแล้วเดินตามหลังพี่มะยมไป “มึงยังมีพวกกูคอยช่วยเหลือ ถ้ายืนคนเดียวไม่ไหวพวกกูก็จะช่วยพยุง กูรู้ว่ามันน่ากลัวสำหรับมึง”

นทีทิ้งท้ายไว้แค่นั้น เขาเดินออกจากห้องจนผมแน่ใจแล้วว่าจะไม่ย้อนกลับมา ผมจึงฟุบหน้าลงกับข้างเตียงของพี่เดือนแล้วร้องไห้เงียบๆ

ใช่ ผมยังกลัวอยู่

วินาทีที่พี่เดือนช็อกต่อหน้าผม ผมแทบจะทำอะไรไม่ถูก ที่ทำได้ก็เพราะเพื่อนช่วยประคองสติผมให้รอดตลอดฝั่ง ผมรู้ตัวเองดีว่าถ้าอะไรไม่เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ผมจะอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูกทันที พอมาเจอเรื่องกะทันหันที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ผมก็ยิ่งนิ่งเป็นหุ่นไล่กา

มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นที่พึ่งของใครไม่ได้

“ผมขอโทษ...ที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย...”

ถ้าพี่เดือนไม่ได้หลับ เขาก็คงจะลุกขึ้นมาใช้มือนุ่มๆของเขาลูบเส้นผมสีน้ำตาลแล้วกระซิบข้างหูของผมว่า ‘ไม่เป็นไร’ แน่ๆ

แต่นี่ไม่ใช่ พี่เดือนยังคงหลับและใช้ชีวิตในโลกแห่งความฝันอยู่ ผมอยากรู้เสียจริงว่าพี่เดือนกำลังฝันถึงอะไร ฝันว่าผมกับเขาใช้ชีวิตด้วยกันในวันธรรมดาที่แสนจะร้อน หรือฝันว่าเขาได้ไปอยู่โลกอีกฟากหนึ่งกัน

ถึงจะฝันยังไงผมก็ไม่มีทางรู้ได้ ผมรู้เพียงแค่ว่าในห้องนี้มีผมที่กำลังจะอ่อนแอลง จิตใจของผมมันเริ่มช้ำเพราะความกลัวที่มากขึ้น

โลกของผู้ใหญ่...โลกของชีวิตจริง...มันน่ากลัว

เราไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้น สมัยมัธยมผมคิดเพียงแค่ว่าผมสามารถรับมือกับมันได้แน่นอน แต่พอมาเจอจริงๆมันกลับเป็นคลื่นสึนามิที่มาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ซัดเข้ามากระหน่ำความรู้สึกของผมก่อนที่จะสงบลงราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าผู้ใหญ่สามารถทนกับความเจ็บปวดพวกนี้ได้ยังไงเมื่อพวกเขาเห็นคนที่รักต้องมาทรมาน หรือว่าเขาคิดกันง่ายๆเช่น ‘เดี๋ยวก็ผ่านไปได้ด้วยดี’ เหมือนในนิยายและละครน้ำเน่า?

“...พี่เดือนรีบตื่นขึ้นมานะ เดี๋ยวพี่ก็ไม่ทันได้ทำงานโปรเจ็คหรอก...”

น้ำเสียงของผมมันแหบพล่าจากการที่ร้องไห้สะอื้น หันดูนาฬิกาอีกทีนี่ก็ตีสี่แล้ว ผมไม่ได้หลับเลยตลอดเกือบแปดชั่วโมง นี่ผมนั่งคิดนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่รู้ตัวเลยสินะ? บ้าบอชะมัด...

อีกแค่สองชั่วโมง...แสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ก็จะปลุกพวกเรา เพียงแค่ที่นี่ไม่ใช่ห้องที่พวกเรานอนด้วยกันบนเตียงนุ่มๆ แต่เป็นห้องที่มีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ และผมไม่รู้ว่าพี่เดือนจะตื่นขึ้นมากี่โมง

 

“บุญรักษาจริงๆ...ขอบคุณที่พามาส่งโรงพยาบาลทันนะ”

พ่อพี่เดือนเข้ามาที่ห้องพี่เดือนช่วงประมาณเที่ยงได้พร้อมกับน้องชายของเขา หนึ่งเข้าไปยืนใกล้ๆเตียงของพี่ชายแล้วบีบมือด้วยความเป็นห่วง

“เดือนไม่เคยเข้าโรงพยาบาลอย่างนี้มานานแล้วล่ะถ้านับจากสมัยเด็กๆที่รู้ตัวว่าแพ้กุ้ง”

“ครับ...”

“เหนื่อยใช่มั๊ย? พักก่อนรึเปล่า? เหมือนไม่ได้นอนด้วยนี่นา” พ่อพี่เดือนยิ้มให้ผม เขาค่อยๆพยุงร่างที่เริ่มไม่มีแรงเดินของผมไปที่โซฟา แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

“ผมว่าจะไปหาอะไรกินก่อนครับ”

“จะเดินไหวเหรอ? ให้หนึ่งไปเป็นเพื่อนมั๊ย?”

“ลำบากน้องเขาเปล่าๆครับ อีกอย่างผมก็ไม่ถึงขั้นว่าจะไร้สตินี่นา” ผมพูดติดตลก ซึ่งผมคิดว่าทั้งพ่อและน้องชายคงไม่มองเป็นเรื่องตลก “ผมไปเองได้จริงๆครับ”

“ก็ได้ๆ ถ้าไม่ไหวก็เรียกพยาบาลนะ เมื่อคืนคงจะกลัวมากๆเลยล่ะสิ”

“...” เขารู้ได้ยังไงกัน?

“สายตามันบอกชัดเจนเลยว่าลูกกำลังกลัวสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น...ไม่เป็นไรนะ พ่อเชื่อว่ายังไงต้องผ่านพ้นไปได้ ตอนนี้เราอาจจะยังไม่เข้มแข็งพอ แต่ในสักวันเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ เราจะรู้ว่าต้องว่าต้องรับมือกับมันยังไง”

“...”

“พักผ่อนเถอะลูก เดี๋ยวจะล้มหมอนนอนเสื่อเอา”

“ครับ”

ผมเดินออกมาจากห้องด้วยสภาพที่จิตใจไม่ค่อยอยู่กับตัวเท่าไหร่ ผมเข้าใจดีว่าพ่อพี่เดือนอยากจะปลอบผม แต่ด้วยความที่สมองผมมันตื้อไปหมดทำให้รับฟังได้ไม่ดีเท่าที่ควร จับประเด็นได้แค่ว่าเมื่อเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ ผมจะรู้ว่าต้องรับมือยังไง

หลังจากที่เข้าไปหาเครื่องดื่มร้อนๆดื่มที่คาเฟ่ที่เดิม ผมก็ยังคงนั่งบนโต๊ะไม่ไปไหน ผมยังไม่อยากขึ้นไปกวนเวลาครอบครัว ถ้าพี่เดือนตื่นแล้วพ่อเขาก็คงจะโทรมาบอกเองนั่นแหละ

ชาร้อนยังคงส่งควันปุ๋ยตรงหน้าผม บางทีผมก็คิดนะว่าควันนี่คือชีวิตมนุษย์ ลอยขึ้นมาให้รู้ว่ามีตัวตนและจางหายไป เหมือนกับการที่คนเราเกิดมาเพื่อมีตัวตนและตายจากเมื่อหมดหน้าที่ พี่เดือนเพิ่งผ่านวินาทีชีวิตไปแต่นั่นก็ไม่ได้ยืนยันว่าพี่เดือนจะอยู่กับผมตลอดไปสักหน่อย

ความตาย...มันเป็นสิ่งที่ตามหลังพวกเราอยู่ทุกวัน

ผมเพิ่งนึกถึงความจริงนี้ขึ้นมาได้

ทำไมยิ่งอยู่คนเดียวผมถึงยิ่งคิดมากกัน ผมอาจจะได้ไปโรงพยาบาลจิตเวทสักวันเพราะความคิดบ้าๆของผมนี่แหละมั๊ง?

ผมใช้เวลาอยู่กับความคิดตัวเองชั่วโมงสองชั่วโมงและกลับขึ้นห้องไปโดยที่กระเพาะได้รับแค่ชาร้อนรสชาติขมๆเท่านั้น หนึ่งทักผมตามมารยาทก่อนที่จะนั่งลงกับโซฟาดูข่าวสารบนโทรทัศน์ต่อ

“เดี๋ยวพรุ่งนี้รตาเขาจะตามมานะ...ลูกจะอยู่ด้วยรึเปล่า?”

“ตอนบ่ายผมจะไปเรียนครับ ผมไม่อยากขาดเกินสองวัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้เจอกันตอนเช้าก่อน” พ่อพี่เดือนลูบหัวผมเบาๆ “ไม่ว่ารตาเขาจะพูดอะไรก็อย่านำไปคิดมากจนไม่มีสมาธิทำอะไรเลย บางครั้งรตาก็หลุดสติพูดอะไรกระทบจิตใจคน”

“ครับ”

“...ดูอ่อนแอลงชัดเจนเลยนะ”

ผมมองหน้าพ่อพี่เดือนอีกครั้งด้วยความแปลกใจในตัวของผู้ชายคนนี้ที่เหมือนจะจับทางผมได้ทุกอย่าง

“เดือนพูดว่าตัวลูกเป็นคนเข้มแข็ง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถผ่านไปได้ แต่พอเป็นเรื่องของเดือนกลับอ่อนแอลงชัดเจน”

“ถ้าเกี่ยวกับที่รอบตัว...โดยเฉพาะคนที่ผมรัก...ผมจะคิดมากทันทีครับถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา” ผมหลับตาลงช้าๆ “ถ้าเกิดว่าผมไม่สามารถช่วยเขาไว้ได้ทัน ถ้าเกิดว่าเขาเป็นอะไรไปแล้วผมทำได้แค่ยืนมอง...ผมจะกลายเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่นหรือเปล่า? ถ้าเกิดว่าคนมองผมว่าเป็นคนที่ไม่สามารถพึ่งพาได้จะยังมีใครที่รักผมหรือไม่...”

“แต่อย่างน้อยลูกก็อยู่กับเดือนตลอดเวลานะ ทำให้เขารู้ว่าในเวลาเป็นเวลาตาย ลูกยังอยู่ข้างเขา ถึงลูกจะทำอะไรไม่ได้ แต่ลูกก็เป็นกำลังใจของเขา”

“...”

“ที่เดือนสามารถผ่านมาได้ ก็เพราะเขาอยากจะอยู่กับลูกต่อไป เขาอยากจะได้กำลังใจในการใช้ชีวิตจากลูกต่อไป อยากจะเดินไปข้างกันอีกหลายสิบปี เข้าใจที่พ่อพูดใช่มั๊ย?” เขามองไปที่เตียง สายลมค่อยๆพัดผ่านเข้ามาทำให้ม่านสีขาวสะอาดตาค่อยๆพลิ้วไหว ใบหน้าพี่เดือนดูมีชีวิตขึ้นมาอีกหน่อย “โลกของผู้ใหญ่ยังมีอีกหลายอย่างที่แม้แต่ผู้ใหญ่เองก็ไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยความสุข มีชีวิตบนความทุกข์ให้ได้”

“ฟังดูเหมือนว่ามันจะตลกร้ายนะครับ”

“มันก็ตลกร้ายอยู่นะ เพียงแค่ว่าไม่มีหรอกที่เราจะอยู่แบบมีความสุขตลอดไปเช่นในนิทาน เราไม่รู้เรื่องราวหลังจากตัวอักษรบนหน้ากระดาษเขียนว่าจบ ถึงจะเขียนเอาไว้ในตอนท้ายประโยคว่า ‘และแล้วพวกเขาก็มีความสุขด้วยกันตลอดไป’ ก็เถอะ

“มันมีทั้งความขมขื่น มันมีทั้งความเสียใจ ซึ่งเรื่องพวกนี้มันสามารถบำบัดได้ถ้าเราได้เดินจับมือใครสักคนที่เข้าใจเรา ที่รักเรา ที่ยอมรับเรา

“สำหรับเดือนแล้ว ชีวิตที่ผ่านมาก็คงเหมือนนิทาน ที่แม้จะเขียนว่าจบสวย แต่ความจริงมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขากระอั่กกระอวน จนกระทั่งมาเจอกับกุมภ์ที่เป็นหน้าต่อไปหลังจากคำว่าจบนั้น จากเพียงแค่บรรทัดเดียวก็กลายเป็นหนึ่งหน้า จากหนึ่งหน้าก็กลายเป็นหนึ่งบท จากนั้นก็กลายเป็นเล่ม เป็นหนังสือที่มีเล่มต่อไป เป็นหนังสือที่เขียนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากคำว่าจบในชีวิตก่อนหน้านั้น”

“ครับ...”

“ชีวิตลูกก็เหมือนกันนะ ก่อนหน้านั้นลูกอาจจะมีคำว่าจบในหนังสือเล่มก่อนของตัวเอง แต่ตอนนี้ลูกกำลังเขียนหนังสือเล่มใหม่ เป็นเล่มที่เขียนด้วยกันกับเดือน”

“เล่มที่เขียนด้วยกัน...เหรอครับ?”

“อนาคตไม่ใช่สิ่งแน่นอน แต่ลูกก็คงไม่อยากให้หนังสือที่เขียนด้วยกันกับเดือนมันมีคำว่าจบเร็วขนาดนั้นหรอกใช่มั๊ย?”

ผมพยักหน้า

“ดังนั้นแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จงอย่าหยุดเขียน แม้ว่าจะมีสิ่งที่รุมเร้ามากแค่ไหนก็ตาม ถ้าพวกลูกจับมือด้วยกันเขียนหนังสือเล่มนี้ พวกลูกก็จะสามารถผ่านไปด้วยกันได้” พ่อพี่เดือนยิ้มอีกครั้ง “จงอย่าโทษตัวเองแล้ววางมือจากการเขียนหนังสือเล่มนี้”

...

แสดงว่าที่ผ่านมาผมกำลังโทษและลดคุณค่าตัวเองสินะ?

“ขอบคุณที่เตือนสติผมนะครับ” ผมยกมือไหว้เขา ก่อนที่จะเดินไปนั่งข้างๆพี่เดือน มองใบหน้าที่คลี่ยิ้มเล็กๆแล้วลูบข้างแก้มด้วยนิ้วเบาๆ

พี่เดือนน่าจะรับรู้ได้ว่ามีอะไรมาเกาะข้างแก้มเขา เขาถึงมีอาการขยับใบหน้านิดๆเหมือนจะหลบเพราะรำคาญ ทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาครั้งแรกนับจากที่พี่เดือนเข้าห้องไอซียู

“รีบตื่นนะครับ จะได้กลับไปที่ห้องนอนกอดกันไง”

 

วันต่อมาช่วงบ่ายๆหลังจากที่ผมเจอกับแม่พี่เดือนแล้วผมก็มาเรียนด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ ผมจำได้ว่าล่าสุดที่นอนไม่พอก็ช่วงม.5 ที่เผลอโหมร่างอ่านหนังสือหนักเกินไปหน่อย พอเพื่อนเห็นผมก็ถามกันใหญ่ว่าพี่เดือนเป็นอะไรไปถึงได้เข้าโรงพยาบาล ผมก็ตอบเพียงแค่ว่าเขาแพ้อาหาร

หลายคนเหมือนกันที่ถามว่าพี่เดือนอยู่โรงพยาบาลไหน จะได้แวะเข้าไปเยี่ยม ผมก็ยินดีที่จะตอบ อย่างน้อยก็ช่วยทำให้เขารู้ว่าก็ยังมีคนที่ห่วงเขามากกว่าที่คิด

กลับกันถ้าเป็นผมจะมีใครที่คิดแบบนี้รึเปล่านะ?

“แล้วพี่เดือนจะออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่เหรอ?”

“ก็จนกว่าจะอาการดีขึ้นเยอะนั่นแหละ”

แนนถามผมในขณะที่พวกเรากำลังจดเลคเชอร์ในจอโปรเจ็คเตอร์อยู่ เมื่อหมดคาบผมก็เดินไปที่โรงอาหารกลางคนเดียวเพราะจะไปหาพ่อเดือนมหาลัยคนใหม่ที่กลับมาอยู่ในสภาพเด็กแว่นเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่ผมรู้สึกว่าขาผมมันสั่นแปลกๆ

สงสัยนั่งนานเกินไปเลยกล้ามเนื้อล้า

ผมมาถึงโรงอาหารกลางที่มีนทีกำลังนั่งฟังเพลงอยู่คนเดียวท่ามกลางฝูงชน ไม่มีใครรับรู้ว่ามันคือเดือนมหาลัยเนื่องจากทรงผมที่เปลี่ยนไปจากคืนวันขึ้นเวทีและแว่นหนากว่าหน้านั้น เขาสั่งอาหารเอาไว้ให้ผมแล้ว

“ว่าไง”

“ว่าไง” ผมตอบกลับไปจากนั้นก็ลงมือจัดการอาหารที่นทีซื้อมาไว้ แต่ยิ่งกินผมก็ยิ่งรู้สึกว่าผมเบื่ออาหารยังไงยังงั้นจนผมหยุดในคำที่ห้า

“กินไม่ลงเหรอ?”

“อืม...”

“มึงไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้นะ ลองไปฟังเพลงทำใจให้สงบสักพักดูก็ได้” นทีแนะนำผม แต่มันก็อดทำให้ผมหยุดปากที่จะถามไม่ได้ว่าเขาผ่านเวลาแย่ๆไปง่ายๆได้ยังไงกัน ผมจึงเอ่ยปากถามไป

“เอาแบบจากใจหรือว่ารักษาหน้า?”

“จริงใจ”

“กูยังคงติดอยู่ในช่วงเวลานั้น” นทียิ้มบาง “กูทำใจไม่ได้หรอก กูทำได้เพียงแค่ยิ้มรับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเชื่อมั๊ยว่าบางทีมันดีกว่าที่เราต้องเผชิญกับความเป็นจริงอีก กูแนะนำอะไรมึงไม่ได้เพราะกูมันอ่อนแอกว่าที่มึงคิด”

เขากำลังสื่อว่าเขาหลอกตัวเองเพื่อให้สามารถเผชิญกับเรื่องเลวร้ายไปให้ได้ในวันๆ

“ทุกคนมีวิธีการที่แตกต่างกัน มึงจะมองว่ากูกำลังหลอกตัวเองอยู่ แต่เชื่อเถอะนะว่านั่นเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดกับกูแล้ว”

นทีเองก็มีเหตุผล พวกเราไม่สามารถบังคับใครได้ว่าจะคลายความเครียดแบบไหนหรือจะใช้วิธีไหนในการกำจัดปัญหาของตนเอง ผมพยายามฝืนตัวกินข้าวต่อไปและตอนเย็นจะได้ไปเฝ้าพี่เดือนอีกคืน

พอกินเสร็จผมก็ไปเรียนต่ออีกคาบแล้วนั่งแท็กซี่มาที่โรงพยาบาล ระหว่างเดินผมเริ่มรู้สึกว่าเท้าของผมมันหนักขึ้นเรื่อยๆ ความมึนเริ่มเข้ามาแทนสติของตนเอง จนกระทั่งผมพาตัวเองมาถึงห้องพี่เดือน ครอบครัวพี่เดือนกำลังนั่งอยู่ด้วย ผมจึงยกมือไหว้ทั้งสามคน มีเพียงแค่แม่พี่เดือนที่มองผมเฉยๆเหมือนกับว่าสแกนตัวผมยังไงยังงั้น

“วันนี้เหนื่อยหน่อยนะ เทียวไปเทียวมา” พ่อพี่เดือนทักทายผม ก่อนที่หนึ่งจะเดินเข้ามายื่นถุงผลไม้ให้

“พี่ดูเหนื่อยมากเลยนะครับ รับน้ำตาลจากผลไม้สักนิดหน่อยดีกว่า”

“ขอบคุณมากนะ” ผมตอบกลับแต่ไม่ได้รับถุงผลไม้มาถือเอาไว้ ลากเก้าอี้ตัวเดิมไปนั่งข้างพี่เดือน

“เดือนเขาตื่นขึ้นมารอบนึงแล้วนะ ถามใหญ่เลยว่าน้องไปไหนๆ” พ่อพี่เดือนหัวเราะ “แถมยังพยายามจะบังคับให้พ่อโทรหาอีก”

“เดี๋ยวก็คงตื่นขึ้นมาโวยวายอีกรอบนั่นแหละครับ” ผมหัวเราะกลับ แต่ผมกลับรู้สึกว่าไม่ได้ยินเสียงหัวเราะตัวเอง

“...เดี๋ยวนะ” แม่พี่เดือนพูดขึ้นมาแล้วก็เดินเข้ามาหาผม “อาการเธอแปลกๆตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วนี่นา”

“ผมฝืนตัวเองไปนิดแต่ก็ยังไหวครับ”

“อย่ามาดูถูกสายตาหมอนะ เธอดูเหนื่อยเกินไปจนจะไม่ไหวแล้วจริงๆ ไปตรวจก่อนดีกว่ามั๊ย?” แม่พี่เดือนพยายามจะให้ผมไปหาหมอ แต่ผมก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “ทำไมดื้ออย่างนี้กัน”

“ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะครับ แต่ผมยังไหวจริงๆ” ผมขอตัวลุกขึ้นเพื่อไปล้างหน้าในห้องน้ำเรียกสติ “ตบหน้าด้วยน้ำสักนิดก็คงจะดี...ขึ้น”

แต่ทำไมกันนะที่จู่ๆผมก็ล้มลงไปกับพื้น...

 

ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นว่ามีสายน้ำเกลือเจาะอยู่ที่แขนผม

“ผู้ป่วยมีความเครียดสะสมและได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ แต่โดยรวมไม่มีอาการที่ร้ายแรงมาก เดี๋ยวหมอจะให้น้ำเกลือพร้อมกับให้ค้างคืนสักคืนนะครับ”

“ขอบคุณมากนะครับ ตกใจหมดเลยที่จู่ๆก็ล้มลงไป”

“บางครั้งความเครียดก็สะสมมาเรื่อยๆจนถึงจุดที่อิ่มตัว ซึ่งมันส่งผลต่อสุขภาพเราได้ ถ้าเกิดว่าทำได้ก็พยายามให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายนะครับ”

“หมอครับ คือว่าผมมีเรื่องที่อยากจะทราบด้วยครับ”

“ครับ”

“พอดีว่าหลังจากที่แฟนเขา...ลูกผมช็อกต่อหน้าเขาแล้วนอนโรงพยาบาล เขาก็คิดมากจนบางครั้งผมใจไม่ดีเวลาที่เขานั่งเหม่อ ถึงผมจะช่วยพูดให้ดีขึ้นมาบ้างแต่ผมก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี หมอว่าผมควรพาเขาไปปรึกษาจิตแพทย์รึเปล่าครับ?”

“ในกรณีนี้ผมก็ไม่สามารถให้คำตอบได้นะครับ แต่ถ้าให้ผมพูดในฐานะผู้ชายคนหนึ่งล่ะก็ ต้องขึ้นอยู่กับว่าเขาจะยอมไปพบหรือไม่ ความเครียดมันมาจากหลายๆอย่างและบางครั้งก็สามารถทำให้คนเราพูดอะไรแปลกๆได้เช่นกัน การไปพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรทั้งสิ้นแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังมีบางส่วนที่เข้าใจผิดคิดว่าการไปพบจิตแพทย์คือการไปรักษาอาการทางสมอง”

“ขอบคุณครับ”

ผมยังคงหลับตาฟังพวกเขาพูดกัน เรื่องที่อยากให้ผมไปพบจิตแพทย์นั้นผมไม่เถียง บางครั้งใจลึกของผมอยากจะไปตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ บางสิ่งผมไม่สามารถพูดออกมาให้พี่เดือนฟังได้เพราะกลัวว่าเขาจะคิดมากแทนผมเสียอีก

“รตา...เอาจริงๆนะ คุณเองก็ห่วงเด็กคนนี้ใช่มั๊ย?”

“ไม่ห่วงสิบ้า เด็กคนนี้ทำให้เดือนยอมทิ้งสิ่งที่ฉันปูทางมาตลอดจนฉันเริ่มสงสัยว่ามีอะไรดีนักหนาจนมาเห็นกับตาตัวเอง”

“งั้นคุณบอกผมสิว่าเห็นอะไรในตัวเด็กคนนี้”

“ความธรรมดาที่ทำให้เดือนรู้จักรักตัวเองมากขึ้น ฉันคอยมองพวกเขาห่างๆและเคยดูถูกว่ายังไงก็ไปกันไม่รอดจนมาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นห่วงเดือนมากแค่ไหน มากถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับแทนคนเป็นแม่อย่างฉัน” แม่พี่เดือนถอนหายใจ “มันคงถึงเวลาที่ฉันต้องปล่อยวางจริงๆแล้วนั่นแหละนะ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เฝ้ากุมภ์ด้วยนะ ตื่นขึ้นมาจะได้คุยปรับความเข้าใจกัน” ผมไม่ได้หลับ...ผมกำลังฟังในสิ่งที่แม่พี่เดือนพูดอยู่ และผมอยากขอบคุณที่ในที่สุดแม่พี่เดือนก็ยอมที่จะปล่อยให้พี่เดือนเป็นอิสระจากกรงจริงๆเสียที

ผมค่อยๆปล่อยวางจากสิ่งที่ทำให้คิดมากมาตลอดและขอหลับให้เต็มตื่นสักครั้งโดยที่หวังว่าพี่เดือนจะไม่มาโวยวายงอแงที่ผมห่วงเขาจนป่วยเสียเอง ไม่งั้นแทนที่ผมจะบ่นพี่เดือนจะกลายเป็นที่พี่เดือนบ่นผมจนหูชาแทนเสียเอง

หนังสือที่ผมกับพี่เดือนเขียนด้วยกัน...ผมไม่อยากให้จบเร็วเกินไป

บางทีวิธีคลายเครียดของผมนั้นจะเป็นการที่ได้นอนปล่อยวางเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นๆ...แค่นี้เองก็ได้


--------------------

ช่วงดราม่าอิสคัมมิ่ง มันยังไม่จบ มันยังมีต่อ และมันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รักนะคะ จุ๊บ  :-[

ป.ล. ความจริงดราม่าไม่แรงขนาดนั้นหรอก ฮิฮิ

 o18 o18 o18


ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 22

 

“กุมภ์เครียดจนเกินไปเลยล้มเหรอครับ?”

“น้องเขาห่วงลูกมากเลยนะที่จู่ๆก็ช็อก แต่ไม่ต้องห่วงหรอก แค่ให้น้ำเกลือวันเดียว ส่วนเดือนต้องนอนโรงพยาบาลจนกว่าหมอจะให้ออกนะ”

เสียงของชายสองคนคุยกันดังเข้ามายังโสตประสารทของผม ผมจึงค่อยๆพยายามลืมตาขึ้นมาพบกับแสงสว่างจากหลอดไฟของโรงพยาบาล และพยุงตัวเองขึ้นมา คิดว่าพวกเขาทั้งสองคนน่าจะได้ยินเสียงเลยทำให้รีบพุ่งเข้ามาดูอาการของผม

“อ่า...กุมภ์”

“พี่เดือน...ดีขึ้นแล้วใช่มั๊ยครับ?”

“ห่วงตัวเองก่อนเถอะเจ้าปลา” พี่เดือนเขกหัวผมเบาๆไปหนึ่งรอบ “เครียดเรื่องพี่มากเกินไปจนตัวเองล้มลงตาม อย่าทำให้พี่ห่วงสิ”

“พี่นั่นแหละที่ทำให้ผมห่วง จู่ๆก็ช็อก...”

“พี่ขอโทษที่ไม่ทันระวังตัวเอง...” น้ำเสียงพี่เดือนเจื่อนลงไปอย่างชัดเจน เขายกมือตัวเองที่ยังคงมีสายน้ำเกลือขึ้นมาลูบหัวผมเพื่อให้รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ “พี่จะระวังตัวให้มากขึ้นนะ พี่ไม่อยากให้กุมภ์มาห่วงพี่จนเป็นแบบนี้อีก”

“อื้ม”

“อยู่คุยกันไปก่อนนะ พ่อไม่กวนล่ะ ไหนๆก็มากรุงเทพขอแว๊บไปดูโรงแรมหน่อยแล้วกัน” พ่อพี่เดือนบอกกับพวกผมก่อนที่จะเดินจากไป ทิ้งไว้ให้พี่เดือนมาเป็นฝ่ายนั่งเฝ้าผมเสียอย่างนั้น

พวกเราไม่ได้คุยอะไรกัน ทำเพียงแค่ลูบหลังมือปลอบใจ พี่เดือนคงอยากจะปลอบผมว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว เขาผ่านวินาทีเฉียดตายมาแล้ว

ราวกับว่าเขารับรู้ถึงความเสียขวัญของผม

“ถ้าได้กลับบ้านแล้วพี่จะไปนอนกอดปลอบกุมภ์ทุกวันทุกคืนเลย เอาให้คุ้มค่ากับที่นอนโรงพยาบาลหลายวัน” พี่เดือนพูดติดตลก น้ำเสียงเขาดูสดใสมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้นึกถึงวันที่จะอยู่ด้วยกัน ส่วนจิตใจผมก็ดีขึ้นมาเมื่อรู้ว่าพวกเราสองคนยังไม่ได้แยกจากกัน พวกเรายังนั่งข้างกัน ยังลูบมือกันอยู่แบบนี้ต่อไป

“ตอนที่พี่หลับอยู่พี่ฝันถึงอะไรบ้างครับ?”

“พี่จำไม่ค่อยได้หรอก แต่ถ้าลางๆก็คงจะเป็นช่วงที่พี่ยังเรียนมัธยม...ม.6”

“หืม?”

“พี่ฝันถึงวันแรกที่พวกเราได้เจอกัน ปากกาที่ตกลงมาจากกระเป๋าพี่...เด็กผู้ชายที่เดินเข้ามาคืนปากกาให้ ทุกอย่างมันมาในภาพสโลวโมชั่นที่ทำให้พี่ได้ยิ้มกับภาพที่เห็น ตัดมาตอนที่เด็กคนนั้นกำลังยืนอยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่น บ่นเป็นหมีกินรังแตนว่าเพื่อนเทแล้วพี่ก็เป็นฝ่ายอาสาจะเลี้ยง” ผมหัวเราะ ทุกอย่างที่เขาเล่ามามันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้วทั้งนั้น “จากนั้นพี่ก็จำได้ว่าพี่พาเด็กคนนั้นไปดูสัตว์น้ำ เป็นวันที่ฝนตกฟ้าผ่าหม้อแปลงจนไฟดับ พี่ยังกลัวความมืด พี่จับมือเด็กคนนั้น เด็กคนนั้นไม่ได้รังเกียจพี่ และพี่ก็สารภาพความในใจออกไป”

“และขอบคุณที่ใจของพี่กับเด็กคนนั้นตรงกัน” ผมเป็นคนปิดก่อนที่จะหัวเราะทั้งคู่ “ทำไมพี่ถึงไปฝันเหตุการณ์เก่าๆกันเนี่ยหืม?”

“ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะพี่รักช่วงเวลาที่ได้อยู่กับกุมภ์มากนี่นา รู้มั๊ยว่าทุกวันนี้ที่พี่เป็นพี่ได้ก็เพราะกุมภ์นะ”

“ดูพูดเข้า หมอสั่งอะไรพี่เอาไว้พี่ได้จำรึเปล่า?”

“กินยา พักผ่อนให้มากๆ...จากนั้นก็ไม่ได้จำอะไรอีกเพราะขี้เกียจฟัง”

น่าตีอีกแล้วผู้ชายคนนี้

“สุขภาพพี่ พี่ต้องรักษาให้ดีๆนะรู้ตัวรึเปล่า อีกอย่างก็เวลาจะกินอะไรก็ดูให้ดีๆ ไม่งั้นก็จะเป็นแบบนี้อีก” ผมสอนพี่เดือน เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“เมื่อไหร่พี่จะได้สอนกุมภ์บ้างกัน มีแต่กุมภ์สอนพี่”

“ก็ถ้าเรื่องไหนที่ผมไม่เข้าใจ พี่ก็คงได้สอนเองนั่นแหละ”

“กุมภ์เป็นผู้ใหญ่กว่าพี่เยอะเลยนะ...”

“ไม่หรอก พอพี่เดือนช็อกผมถึงได้รู้ตัวว่าผมอ่อนแอแค่ไหน...” ผมเบือนหน้าหนีไม่อยากให้เขาเห็นสีหน้าของผม “ผมทำอะไรไม่ถูก มัวแต่ยืนอ้ำอึ้งจนพวกเพื่อนต้องจัดการให้ ผมไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาให้ใครได้ ถ้าเกิดว่าผมไม่มีเพื่อนอยู่ตรงนั้นพี่เดือนอาจจะ...”

“กุมภ์...”

“ผมคิดไม่ออกว่าถ้าพี่เป็นอะไรไปผมจะทำยังไงดี คิดไม่ออกว่าถ้าพี่เดือนเป็นอะไรไปผมจะอยู่ต่อยังไงไม่ให้รู้สึกผิด ผม..ผม..”

“กุมภ์ พี่อยู่ตรงนี้”

พี่เดือนดึงผมเข้าไปกอดแล้วลูบหลังเบาๆ ผมซุกหน้ากับไหล่ของเขาแล้วค่อยๆปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา

“ผมกลัว...กลัวจริงๆนะ…”

“รู้แล้วครับ...เป็นพี่ พี่ก็กลัว...” น้ำเสียงพี่เดือนมันนุ่มลึกเหมือนสายน้ำที่คอยชโลมจิตใจของผมให้ดีขึ้น “ไม่มีใครไม่ตกใจหรอก กุมภ์อยู่กับพี่ตลอดเวลาเท่านี้ก็เป็นที่พึ่งแล้วล่ะ กุมภ์เป็นคนที่ทำให้พี่พยายามฮึดใจสู้เพราะพี่รู้ว่ากุมภ์ต้องเสียใจมากแน่ๆถ้าพี่ไม่สามารถอยู่ข้างๆได้อีก จากนี้พี่จะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นอะไรไปง่ายๆอีกแล้วนะ”

ผมยังคงปล่อยให้น้ำตาไหลไปเรื่อยๆ ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย ไม่ได้ร้องไห้เสียใจ

“ให้น้ำตาที่มีไหลออกมาจนรู้สึกดีขึ้น ไหลออกมาจนรู้สึกสบายใจเถอะนะคนดีของพี่”

 

ตลอดทั้งวันพี่เดือนชวนผมคุยเกี่ยวกับที่เที่ยวในเมืองไทยที่อยากไปเมื่อปิดเทอม แต่ก่อนหน้านี้พวกเราต้องไปรับน้องที่อุบลฯตามแผนเดิมที่วางเอาไว้ ถ้าไม่มีอะไรพวกเราก็สามารถไปได้ตามปกติเพียงแค่บอกว่าจะไม่เสี่ยงลงกิจกรรมใดๆที่ส่งผลต่อร่างกายของพวกเราทั้งคู่

“กลายเป็นคนร่างกายอ่อนแอทั้งสองคนนี้ก็ลำบากเหมือนกันเนอะ เกิดเขาพากันเดินดูผาแต้มนี่คงหอบก่อน”

“เอาไว้แข็งแรงแล้วค่อยไปดูกันสองคนก็ได้ครับ”

“นี่ก็ใกล้จะดึกแล้ว ป่านนี้พยาบาลคงโวยวายที่พี่หายไปนาน ไหนจะพ่อกับแม่อีก” พี่เดือนส่ายหน้า “แม่พี่บ่นสุดๆ”

“ก็แม่พี่เป็นหมอนี่นา ก็คงรู้ว่าอะไรดีต่อพี่มากที่สุด” ผมผลักตัวเขาเบาๆ “พี่ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ผมก็ออกจากโรงพยาบาล เดี๋ยวจะแวะไปดูบ่อยๆว่ากินข้าวกินปลาเยอะตามที่หมอสั่งรึเปล่า”

“ครับๆ ผมรู้แล้วครับ” พี่เดือนดัดเสียงสามเพื่องานงอแง ผมจึงทำได้แค่ไล่ให้เขายอมออกไปภายในสามสิบนาทีนี้เท่านั้น จนพอเขายอมออกไปผมถึงนอนหลับพักผ่อนเพิ่ม

ผมฝันถึงพี่เดือนที่กำลังหันหลังให้ผมอยู่ เขายืนดูดอกลิลลี่สีขาวที่ปลูกเอาไว้แม้ว่าสภาพอากาศประเทศไทยจะไม่ค่อยเต็มใจให้ปลูกเท่าไหร่ สักพักผมก็เดินเข้าไปหาแล้วกอดเขาจากข้างหลัง หัวเราะคิกคักกันสองคนก่อนที่ภาพจะตัดไปเป็นช่วงที่พวกเราแก่ตัวทั้งคู่ นั่งข้างเก้าอี้หวายจับมือกันอย่างมีความสุข

ผมหวังว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันจนถึงวันนั้น

เช้าวันต่อมาหมอก็อนุญาตให้ผมออกจากโรงพยาบาลมาได้ ร่างกายที่ได้รับการพักผ่อนเพียงพอนี้พอกลับมาเดินในรั้วมหาลัยอีกครั้งก็รู้สึกกระปรี่กระเปร่า คงมาจากที่ผมรู้ว่าพี่เดือนไม่เป็นอะไรแล้วแน่ๆที่ทำให้ผมสบายใจได้ขนาดนี้

รึไม่ก็คงเป็นฤทธิ์ยาที่ทำให้ผมดีด

ทั้งวันผมนั่งอยู่ตรงมุมห้อง ฟังอาจารย์สอนไปเงียบๆแล้วก็โทรให้นทีไปส่งผมที่คอนโดตอนเย็น กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปหาพี่เดือนต่อ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเตรียมอะไรเสร็จ จู่ๆก็มีสายเรียกเข้ามาจากใครบางคนที่ผมคุ้นเคยดีเข้ามาเสียก่อน

“เออ มีอะไรดิน?”

‘แย่แล้วแม่เอ๊ย…ไม่ดิ ต้องเหี้ยแล้วตังหาก” หมายความว่าอะไร ‘ฟังนะ ไอ้นทีมันไปส่งมึงเสร็จมันก็ขับกลับมาเตรียมเรียนต่อใช่ปะ ทีนี้เว้ยมีคนเข้ามาหาเรื่องมันคิดว่ามันคือพี่เดือนเพราะเห็นว่ามันไปกับมึงบ่อยๆ สนิทกันดี’

“แล้วเป็นไงบ้างวะ?!”

‘กูถึงต้องร้องเหี้ยเลยไง ไอ้แม่น้ำก็อธิบายว่าไม่ใช่ๆ แต่พวกนั้นก็ไม่เชื่อ พากันลากลูกชายพวกเราไปที่โรงยิมไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไงแล้วเนี่ย! กูก็ช่วยตามเพื่อนตามรุ่นพี่อยู่นะ!’

เมื่อดินพูดจบ ผมก็รีบกวาดข้าวของลงกระเป๋าทันที นทีไม่สู้คน และแน่นอนว่าถ้ามีคนมาหาเรื่องเยอะๆนทีสู้ไม่ได้ ผมจึงต้องลงจากคอนโดมาโบกรถกลับไปที่มหาลัยอีกครั้งเพื่อที่จะไปช่วยเพื่อนสนิทที่สุด

อย่าเพิ่งโดนต่อยจนเสียโฉมเดือนมหาลัยแล้วกัน

ผมรีบโดดลงจากวินมอเตอร์ไซค์ตรงไปที่หน้าโรงยิมที่ตอนนี้ผมได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังออกมา พี่มะยมกำลังวิ่งเข้าไปพร้อมกับเพื่อนร่วมคณะอีกสองสามคน ดินและอุ้มดูสถานการณ์ข้างนอกอย่างใจจดใจจ่อ ท่าทางอยากจะเข้าไปช่วยแต่ก็กลัวเป็นภาระ

“ลูกชายพวกเราอยู่ข้างใน มึงรออยู่นี่ให้พวกพี่ๆเขาจัดการให้เถอะ”

“ไม่ได้เว้ย นั่นเพื่อนสนิทพวกเรานะ จะยอมให้มันโดนซ้อมทั้งที่ไม่ผิดเหรอ?” ผมไม่ฟังคำใครทั้งนั้น เพื่อนใคร ใครก็รัก ยิ่งเป็นนทีผมยิ่งห่วง พอผมรั้งตัวเองออกจากมือของดินได้ก็วิ่งไม่คิดชีวิตเข้าไปหามันทันที

ข้างในมีรุ่นพี่ที่ผมไม่รู้จักสองสามคนกับนทีที่ยืนน้ำตาคลอเพราะกลัวอยู่ ส่วนพี่มะยมกับพี่คนอื่นๆก็พยายามเกลี่ยกล่อมให้อีกฝ่ายปล่อยตัวนทีออกมา อย่างกับฉากช่วยตัวประกันออกจากรังโจร

“ก็บอกให้ไอ้นี่เลิกยุ่งกับเขมแฟนกูก่อนสิ!”

“เขมคือใครผมไม่รู้จักนะพี่!”

“อย่ามาตอแหล! มีคนบอกพวกกูว่าเดือนที่หล่อๆหน่อยน่ะชอบไปไหนมาไหนกับเด็กกุมภ์!”

นทีพยายามวิ่งหนีออกมา แต่ก็ยังถูกรุ่นพี่จับแขนเอาไว้ พอมันหันหน้ามาก็เห็นผมที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังพวกพี่มะยม สีหน้ามันเลยดูดีใจมาก

“กุมภ์!! ช่วยกูด้วย!”

“พวกพี่ปล่อยเพื่อนผมเถอะครับ เพื่อนผมไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยสักนิด!”

พวกรุ่นพี่ยังคงไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งมีคนหนึ่งเดินมาตรงหน้าผม พี่มะยมพยายามกั้นผมออกแต่ผมกลับเป็นฝ่ายเดินเข้าหาด้วย กลายเป็นว่าตรงกลางมีคนสองคนประจันหน้ากัน

“เพื่อน? ไม่ใช่ผัวมึงรึยังไง?”

“จะให้ผมบอกละเอียดดีมั๊ยล่ะ นั่นนที เดือนมหาลัยปีนี้ เป็นเพื่อนสนิทกับผมที่เรียนด้วยกันตั้งแต่ม.ปลาย ส่วนเดือนที่พวกพี่เข้าใจคงจะหมายถึงพี่เดือนแฟนผมที่เรียนเอกเดียวกันกับผม อยู่ปีสาม และแน่นอนว่าพี่เดือนไม่มีทางไปยุ่งอะไรกับพี่เขมแฟนพี่แน่นอน ความจริงต้องบอกเพิ่มด้วยซ้ำว่าพี่เขมน่ะมายุ่งกับพี่เดือนเองตังหาก” ผมเท้าสะเอวบอกรุ่นพี่ที่อ้างตนว่าเป็นแฟนพี่เขม สายตาเขาแลดูไม่เชื่อ “พี่อาจจะฟังมาไม่หมดก็ได้เพราะคนรอบตัวผมมมีเดือนสองอย่าง เข้าใจผิดได้อยู่แล้ว พี่คงฟัง ‘เดือนมหาลัยที่ชอบไปไหนมาไหนกับกุมภ์’ เป็น ‘เดือนที่ชอบไปไหนมาไหนกับกุมภ์’ แทน

“แล้วก็ถ้าพี่เข้าใจแล้ว พี่ก็ควรจะปล่อยเพื่อนผมซะ มีแต่คนบอกว่าถ้าผมเอาจริงขึ้นมา พี่อยู่ไม่ได้แน่”

ผมส่งคำขู่สุดท้ายก่อนที่จะเดินตรงไปดึงนทีออกมาจากกลุ่มรุ่นพี่

“ขอบคุณที่มาช่วยกันนะ”

“เพื่อนกันต้องช่วยกันอยู่แล้วนี่นา” ผมยิ้มให้นที พาออกจากโรงยิมท่ามกลางความโล่งใจของใครหลายคนที่รออยู่ข้างหน้า โชคดีที่มันไม่ได้ร้ายแรงกว่าที่ผมคิดเท่าไหร่ จากนั้นผมก็ไปโรงพยาบาลต่อเพื่อไปเยี่ยมพี่เดือนพร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น

“กุมภ์…”

“ครับ?”

ผมขานรับเมื่อได้ยินน้ำเสียงเจื่อนๆของพี่เดือน เขาทำหน้าเหมือนไม่อยากให้ผมไปไหนในคืนนี้

“พี่กลัวว่าพวกนั้นจะตามมาหาเรื่องกุมภ์ต่อ กุมภ์อยู่ที่นี่เถอะนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่เดือน คงจะเลิกเข้าใจผิดกันแล้วล่ะ อย่าคิดมากสิ” ผมลูบหลังปลอบใจคนสูงกว่าที่จู่ๆก็เกิดกังวลแปลกๆ “ผมไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก”

“วันนี้พี่ยังมีคนตามมาหาเรื่องด้วยเลยนะ พี่กลัวว่าจะพ่วงกุมภ์ไปด้วย…อยู่นี่เถอะ”

“…”

“จริงๆนะ พี่ไม่สบายใจ”

“ครับๆ ไม่สบายใจเนอะ” ผมยอมนั่งลงเหมือนเดิมก่อนที่จะคุยถึงเรื่องรับน้องที่ใกล้จะมาถึง พี่เดือนบอกว่าทางมหาลัยไม่อนุมัติให้ไปไกลถึงอุบลฯดังนั้นพวกเราจึงต้องจัดเป็นการไปเที่ยวแทน ใครสะดวกใจไปก็ไป ส่วนสถานที่นั้นก็อาจจะเป็นที่ชะอำไม่ก็ดอนหอยหลอด เน้นการหาอะไรกินมากกว่าการลงน้ำเพราะช่วงนี้เป็นช่วงมรสุม อันตรายไปหน่อย

“สรุปว่าไม่จำเป็นต้องไปทุกคนก็ได้ใช่มั๊ยครับ?”

“อื้ม พี่ว่าจะไม่ไปแล้ว พี่ไม่สะดวกใจเรื่องเขม กุมภ์ล่ะ?”

“ผมก็แอบหวั่นเรื่องพี่เขมเหมือนกัน ผมก็คงไม่ไป”

“งั้นพวกเราก็ไปเที่ยวกันสองคนดีมั๊ยล่ะ?” พี่เดือนยิ้มออกมา “ไปบึงฉวากที่สุพรรณฯ ต่อที่ฟาร์มแกะเพชรบุรี”

“จะดีเหรอพี่? มันไม่เป็นอะไรเหรอ?”

“กุมภ์เป็นเด็กในการปกครองของพี่นะ” ว่าแล้วพี่เดือนก็โน้นตัวมาหาผมเพื่อฉกหอมแก้มดังฟอดใหญ่ “พี่รับผิดชอบได้”

“มั่นใจดีจัง ต้องไปบอกพวกพี่ที่เขารับผิดชอบเรื่องนี้มั๊ยครับ?”

“บอก และพี่จะใช้สิทธิพิเศษพากุมภ์ไปแค่คนเดียว เพราะกุมภ์เป็นแฟนพี่ ไม่มีใครปฏิเสธได้”

ผมเบะปากให้อำนาจในการตัดสินใจและการเอาแต่ใจของพี่เดือน ผมไม่รู้จะทำอะไรต่อจึงเปิดโทนทัศน์ในห้องดูข่าวสาร (เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา) เล่น

‘ข่าวด่วน เกิดเหตุนักศึกษาหนุ่มสาวทะเลาะวิวาดริมถนนหน้าโรงพยาบาล--- ล่าสุดมีคนแจ้งความและสอบปากคำเบื้องต้นแล้ว คาดว่ามาจากปัญหาหึงหวงแฟนสาว---’

“หน้าโรงพยาบาลเราไม่ใช่เหรอ?” พี่เดือนเลิกคิ้วขึ้น “เกิดอะไรขึ้นนะ แถมเป็นนักศึกษาด้วย”

หวังว่าไม่ใช่อย่างที่ผมคิดหรอกนะ ถ้าเกิดว่านั่นเป็นพี่เขมที่มาเยี่ยมพี่เดือนกับรุ่นพี่คนนั้นที่มีเรื่องกับนทีมาเจอกัน แสดงว่าต้องมีการเข้าใจผิดจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตถึงขั้นมีคนโทรแจ้งตำรวจเลยทีเดียว

พี่เดือนพูดถูก ผมยังไม่ควรลงไป เพราะขืนลงไปละก็จะกลายเป็นผมที่มีปัญหาแทนซะนี่

“แล้วเรื่องที่มีคนใส่มันกุ้งลงไปในข้าวกล่องพี่เรื่องเดินรึยัง?”

“ยังเลยครับ แถวนั้นผมไปเดินดูอีกรอบก็ไม่มีกล้องวงจรปิด ถึงจะมีผมก็ไม่ได้มีสิทธิอะไรที่จะขอเขาดูได้หรอก หนำซ้ำเขาอาจจะตีโพยตีพายว่าเป็นความประหมาดของพี่ด้วยก็ได้ที่ไม่ดูให้ดีๆก่อน...ความจริงมันก็ความผิดผมด้วยนั่นแหละที่ผมเองก็ไม่ได้มอง” ผมถอนหายใจ ถ้าผมให้ความสนใจมากกว่านี้ก็คงดี แต่เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว พี่เดือนก็ปลอดภัยดีแล้ว

“พี่ว่าเราไม่ต้องไปเอาเรื่องใครหรอกนะ”

“ทำไมครับ? ถ้าเกิดว่ามีคนจ้องทำร้ายพี่จริงๆเข้าล่ะ?” ผมค้านเสียงแข็ง พี่เดือนยังคงทำท่าทางสบายๆบนเตียงพยาบาล สายตาจ้องไปที่ดอกไม้ในแจกันบนโต๊ะตัวเล็กๆนั้น

“มันก็คงเป็นเวรกรรมพี่มาตั้งแต่ชาติก่อน ไม่รู้สิ พี่ไม่ได้ระลึกชาติได้เสียหน่อยนี่นา จำไม่ได้หนอกว่าไปทำอะไรใครไว้บ้าง”

“มันไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาล้อเล่นกันได้นะครับ...”

“เอาเถอะ ไม่ต้องไปตามหรอกว่าเป็นใคร ถือว่าพี่สะเดาะเคราะห์เนอะ” ผมไม่อยากเถียงพี่เดือน เขาพูดมาก็มีเหตุผล ขืนบานปลายไปอีกจะจัดการยาก อะไรที่แล้วก็ให้มันแล้วไป “มะรืนนี้พี่ก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วล่ะ เดี๋ยวพี่ไปถามเองดูก็ได้ว่ามีใครเผยหยิบข้าวกล่องผิดรึเปล่า”

“เกิดเจ้าตัวไม่ยอมรับล่ะครับ?”

“ก็ช่างเขาไป” ง่ายดี ส่วนผมนี่คิดมากแทนแทบตาย “กุมภ์...บางเรื่องก็ปล่อยวางมันไปบ้างเถอะนะ เชื่อพี่เถอะ”

“...”

“ตอนนี้พวกเราไม่ใช่เด็กอีกต่อไป พวกเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว บางเรื่องเราไม่สามารถให้ความสนใจมันได้ตลอดเวลาหรอก เราควรจะมองแต่ปัจจุบันกับอนาคตอันใกล้ๆ เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราไม่รู้ว่าจะรับมือยังไง พี่รู้ว่ากุมภ์อยากจะปกป้องพี่ แต่พี่ก็ไม่อยากให้กุมภ์ต้องมาเป็นเหยื่อแบบพี่ด้วย เข้าใจใช่มั๊ย?

“พี่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะกับกุมภ์ คนที่พี่ห่วงที่สุด คนที่พี่อยากอยู่ด้วยตลอดไป ถ้าเกิดว่าเป็นกุมภ์ที่เป็นอะไรขึ้นมาพี่ก็เป็นแบบกุมภ์นั่นแหละ กุมภ์อยากเห็นพี่เป็นแบบกุมภ์รึเปล่า?” ผมส่ายหน้า “ไม่อยากอยู่แล้วใช่มั๊ย? ดังนั้นแล้วให้กรณีพี่เป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ บางเรื่องเราก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเอามาเป็นคำเตือนชีวิตให้เฝ้าระวัง ไม่งั้นก็ใช้ชีวิตไม่สนุกพอดีเพราะมัวแต่กลัว”

พี่เดือนในวันนี้ต่างจากพี่เดือนในวันก่อน เขาเข้มแข็ง เขามีพลังมากพอที่จะปกป้องผมที่อ่อนแอลงกว่าเดิม เขาสามารถเป็นฝ่ายพูดให้กำลังใจผมได้

และผมรักเขาเหลือเกิน

ผู้ชายคนนี้

“พี่อยากกินเบนโตะเซ็ตนั้นอีก...เซ็ตที่เรากินด้วยกันครั้งแรกน่ะ ออกจากโรงพยาบาลแล้วไปกินด้วยกันดีกว่า แล้วก็ไปเที่ยวฟาร์มแกะด้วยกัน ซื้อนมกลับมาฝากเพื่อนๆด้วย” พี่เดือนกลับมายิ้มร่าให้ผมอีกครั้ง “ร้องไห้ทำไมครับคนดี? หืม?”

“พี่เดือนกลายเป็นฝ่ายปกป้องผมแบบนี้ ผมรู้สึกอดดีใจไม่ได้น่ะสิ พี่โตขึ้นเยอะ” ผมโผเข้าไปกอดพี่เดือน เขาร้องตกใจนิดหน่อย แต่ก็ยกมือกอดกลับด้วยความอบอุ่น “ทำไมพี่โตเร็วขนาดนี้กันวะเนี่ย”

“ก็เพราะพี่ได้เรียนรู้จากกุมภ์ และพี่ก็เรียนรู้ด้วยตัวเองหลายๆอย่างน่ะสิ”

“...”

“อีกอย่างจำที่พี่พูดเมื่อสองปีก่อนได้รึเปล่า?”

คำพูดของพี่เดือนเมื่อสองปีที่แล้ว...ที่งานโอเพ่นเฮาส์ของโรงเรียน ปีสุดท้ายที่พี่เดือนเรียนอยู่ที่นั่น

“รอพี่เข้มแข็งนะกุมภ์ กุมภ์จะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยกับพี่ที่ยังอ่อนแอยืนด้วยตัวเองแบบนี้อีก”

“…พี่...”

“วันนี้พี่เข้มแข็งแล้ว กุมภ์ไม่ต้องแบกรับอะไรคนเดียวอีกต่อไปนะ มีอะไรก็ระบายออกมาให้เต็มที่ ไม่ไหวก็มาคุยกับพี่”

 

สองวันต่อมา พี่เดือนก็ออกจากโรงพยาบาล ส่วนหมอก็ยังคงกำชับว่าให้ผมดูแลอาหารการกินของอดีตผู้ป่วยให้ดีๆ ไม่งั้นขืนไปกินกุ้งหรือมันกุ้งเข้าอีกจะเข้าห้องพยาบาลไม่ทันเหมือนรอบนี้

พอออกจากโรงพยาบาลมา พี่เดือนก็ทำตัวซ่าพาผมขี่รถไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านเดิมเพิ่มเติมคือคนละสาขาที่ห้างแห่งหนึ่งใกล้ๆกับคอนโดพวกผม พี่เดือนสั่งเมนูเดิม น้ำเดิม กับคนที่นั่งตรงข้ามกันคนเดิม แล้วก็ถ่ายรูปโพสลงเฟสโดยไม่ขอผมก่อนเสียอย่างนั้น

 

พีรดล นารีรัตน์ with Koompa Sirikun

จำได้มั๊ย? ครั้งแรกที่กินข้าวด้วยกันก็สั่งเมนูนี้นี่แหละ

*แนบรูปโต๊ะอาหารที่มีข้าวแกงกะหรี่ เบนโตะ และชาเขียวเย็นรีฟีล*

1420 likes 139 comments


 

กินข้าวเสร็จ พี่เดือนก็ชวนผมไปนั่งดูหนังในโรง ส่วนเรื่องหนังที่ดูพวกเราเลือกเป็นหนังนอกกระแสเพราะไม่ชอบคนอัดกันเนื่องจากวันนี้มีหนังใหม่เข้า แถมที่นั่งยังเป็นที่นั่งธรรมดาจุดเดิมที่เคยนั่งด้วยกันเมื่อสองปีก่อนในวันที่เที่ยวด้วยกันครั้งแรกอีกด้วย

พี่เดือนจะจำแม่นเกินไปแล้ว

“สนุกดีนะว่ามั๊ย?” พี่เดือนเดินออกจากโรงหนังพร้อมกับแก้วน้ำ ในมือของผมมีถังป๊อบคอร์นขนาดกลาง “เอาไว้มีหนังน่าสนุกเข้าค่อยมาดูด้วยกันอีกดีกว่า”

“ข้างล่างมีงานแสดงสัตว์เลี้ยงด้วย พวกเราไปดูกันมั๊ยครับ?” ผมชี้ไปทางโปสเตอร์งานแสดงสัตว์เลี้ยงนานาชนิด ขาเข้ามาพวกผมไม่ได้สนใจงานเท่าไหร่เพราะมัวแต่หิวหาร้านอาหาร บางทีไปเดินดูพวกนี้ฆ่าเวลาก่อนกลับก็ดี พี่เดือนอาจจะชอบก็ได้

“ไปสิ”

ผมกับพี่เดือนเดินลงมายังชั้นล่างสุดเพื่อมายังส่วนจัดแสดงสัตว์ สิ่งแรกที่ผมเห็นเลยก็คือปลาการ์ตูนในตู้กระจกที่เอามาเรียกเด็กๆให้เข้าไปดู ถัดไปหน่อยจะเป็นคอกล้อมกระต่ายตัวเล็กๆที่เด็กผู้หญิงชอบเป็นพิเศษ หมาแมวก็มีตามปกติ ผมแอบเหลือบเห็นว่ามีตระกูลนกสวยงามด้วย

“ปลาสวยดีนะ แต่พี่ว่าพี่คงไม่มีเวลาดูแลมันเท่าไหร่”

“ยิ่งโตยิ่งไม่มีเวลานั่นแหละครับ เลี้ยงพวกนี้มันเป็นเหมือนการรับผิดชอบชีวิต ถ้าเราจัดการบริหารชีวิตตัวเองยังไม่เข้าที่ก็อย่าเลี้ยงพวกนี้เลย ทรมานแทนเปล่าๆ”

“จริง แต่พี่เลี้ยงกุมภ์ไหวนะ”

“โว๊ะ” ผมตีแขนพี่เดือนที่หยอกผมไม่แคร์สายตาครอบครัวมีลูกเล็กเด็กแดง ความจริงก็ไม่ค่อยเห็นมีใครส่งสายตารังเกียจมาให้หรอก ออกไปทางว่าไม่ค่อยเห็นคู่ชายชายเสียมากกว่า “นกนี่ก็เหมือนพี่สุดๆ ดูดีแต่ดั้นอยู่ในกรงไม่ได้ไปไหน โชคดีที่พี่ฉลาดพอที่จะเปิดกรงเองได้”

“มาดูกระต่ายดีกว่า” พี่เดือนจูงผมไปดูกระต่ายสีน้ำตาลกับสีขาวตัวเล็กๆกำลังนั่งแทะแครอทอยู่ด้วยกัน “น่ารักดีนะ ตอนเด็กๆพี่ชอบกระต่ายมากเลยรู้รึเปล่า ช่วงเรียนมัธยมมันมีชมรมที่พี่ต้องไปดูแลสัตว์พวกนี้ พี่ได้ดูแลกระต่ายสองตัว วันๆไม่ได้ทำอะไรหรอกนอกจากกิน นอน ทำตัวน่ารักให้คนอื่นชม” เขายิ้ม มองกระต่ายสองตัวนั้นด้วยสายตาสงสาร “เสียดายที่พอพี่เรียนจบจากที่นั่น กระต่ายสองตัวนั้นก็ถูกหมาไล่ฟัดจนตกใจช็อกตาย”

“ซะงั้นไป แล้วพี่อยากเลี้ยงมั๊ยอะ?” ผมเห็นว่ามีวัยรุ่นหลายคนเหมือนกันที่ซื้อกลับไปเพราะทนความน่ารักไม่ไหว ยิ่งพี่เดือนชอบกระต่ายอยู่แล้วก็คงมีความเป็นไปได้สูงเหมือนกันที่เขาจะซื้อกลับไปเลี้ยงเล่นแก้เหงา

“ไม่เอาหรอก เวลาออกไปไหนข้างนอกนานๆก็ห่วงมันจะหลุดหายอีก ถ้าเลี้ยงแล้วติดหน้าติดหลังพี่ไม่เลี้ยงดีกว่า ไปกันเถอะ” พี่เดือนส่ายหัวปฏิเสธ เดินไปกับผมเพื่อดูส่วนของแมวที่พยายามทำสายตา ‘เลี้ยงฉันสิเจ้าทาส’ มาให้ ทั้งผมและพี่เดือนไม่มีใครคลั่งแมวเป็นพิเศษจึงรอดไปสบายๆ ส่วนหมานี่ก็ทำให้ผมอดนึกถึงเจ้าฝุ่นไม่ได้

“เจ้าฝุ่นตอนนี้มันตัวใหญ่มากเลยนะพี่เดือน ไม่รู้ใครขุนมันทุกวัน”

“ตัวใหญ่สมวัยก็ดีแล้วล่ะ งานมีแค่นี้เองเหรอ? งั้นกลับดีกว่าเนอะ” พี่เดือนชวนผมกลับ ในเมื่อมันไม่มีอะไรแล้วผมก็ทำตามง่ายๆ

บางทีการที่ใช้ชีวิตแบบปล่อยให้บางเรื่องมันผ่านหูผ่านตาไปบ้างก็ดี เพราะผมไม่ต้องมากังวลใจตลอดเวลา

ในวันต่อมา พวกเราจะเจอกับอะไรพวกเราก็ไม่รู้ แต่ผมรู้ว่าพี่เดือนเข้มแข็งมากพอแล้วที่จะให้ผมใช้เป็นเสาหลักยึดได้บ้าง


-------------------

ดราม่ายังไม่สุด พักก่อนนิดนึง ขอน้องไปกดสั่งตุ๊กตาก่อน..

ตุ๊กตา 780 + ฟิกเกอร์ 200 + ค่าการ์ดเกม 250 + ค่าหนังสือ 250 = 1480  :katai1: :katai1:

 

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 23

 

“ไอ้เดือน มึงจะไปไหวเหรอ? เพิ่งออกจากโรงพยาบาลไม่นานแถมยังไม่รู้ตัวด้วยว่าใครทำมึง?”

พี่มะยมนั่งข้างพี่เดือน กำลังถามถึงความน่าเป็นห่วงของแฟนผมด้วยน้ำเสียงดุๆ ผมรู้ว่าเขาเองก็ไม่อยากให้เพื่อนไปเที่ยวทั้งๆที่อาการยังค่อยดีมาก ฟื้นตัวไม่เต็มที่ แต่เชื่อผมเถอะว่าพี่เดือนดื้อจะตายไป ทำซ่าขับรถทั่วกรุงเทพแบบนี้น่ะ

“ใครทำก็ช่างเถอะ กูอยากพาน้องเที่ยว”

“กุมภ์ช่วยพูดอะไรกับเดือนหน่อยสิ” พี่ไนท์หันมากระซิบผม มันผิดจากที่พูดซะที่ไหนล่ะ

“พี่เดือนครับ เอาไว้คราวหลังค่อยไปด้วยกันก็ได้ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเที่ยวนะ แต่ผมอยากมั่นใจว่าพี่หายดีร้อยเปอร์เซ็น”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ครับพี่เดือน” ผมจิ้มไปที่หน้าผากพี่เดือนเพื่อให้เขาหยุดเถียง ซึ่งมันก็ได้ผลจริงๆ พี่เดือนหงอยลงไป ทำหน้าตาน่าสงสาร แต่นั่นก็ไม่ได้เรียกคะแนนสงสารผมหรอก

“คราวหลังจะระวังให้มากกว่าเก่านะเดือน เราห่วงมากจริงๆ” พี่ไนท์ถอนหายใจ “เราไปเยี่ยมทีไร เดือนก็หลับตลอด”

พี่เดือนยิ้มแห้งๆ ถ้าช่วงที่ผมไม่ได้แวะไปหาเขา เขาก็หลับตลอดอย่างนั้นเพราะเหมือนไม่อยากจะคุยกับใครเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะขี้เกียจตอบคำถามว่าเกิดอะไรยังไงขึ้นกับตัวเขา เป็นผม ผมก็ไม่อยากตอบ โดยเฉพาะพวกแฟนพันธ์ทางที่ถามตามมารยาทความอยากรู้แล้วเอาไปปรุงแต่งต่อให้เป็นเรื่องใหญ่

สักพักพี่เดือนกับกลุ่มเพื่อนก็ขอแยกตัวออกเพื่อไปเรียนต่อ ผมที่อยู่คนเดียวจึงเดินไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่ทำธุระอยู่ผมก็ได้ยินเสียงกลุ่มคนดังขึ้นมา

“แม่งเอ้ย ทำไมมันรอดมาได้วะ”

หือ?

“กูอุตส่าห์ตีสนิทเข้าใกล้เพื่องานนี้แท้ๆ ทำไมมันถึงยังรอดมาได้ ใจสู้ชะมัด” ผมได้ยินเสียงโทรศัพท์เข้าดังมาจากคนที่อยู่อีกฝั่งประตูห้องน้ำที่ผมเข้าอยู่ “เออ ว่าไง อย่ามาหัวเราะนะไอ้สัด กูหัวเสียเลยที่มันรอดมาได้ กูว่ากูรู้จังหวะจัดการมันเหมาะๆแล้วนะเว้ย ช่วงมันเป็นหวัดมันไม่ได้กลิ่นไม่ได้รสเหี้ยอะไรเลยแบบนี้หาได้ที่ไหนกัน”

เดี๋ยวนะ...

“มันเป็นตัวปัญหาทำให้เขมต้องทิ้งกูแบบนี้ คนอื่นยังไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้เดือนมันทำให้เขมติดงอมแงมไม่ยอมกลับมามองหมาอย่างกูเลยนี่แหละ มีดีอะไรนอกจากหน้าตากับความเรียนเก่งของมันกัน พอมันเข้ามหาลัยที่นี่ เขมก็ร้องจะเข้ามาดูผู้ชาย กูโดนบอกเลิกก็เพราะมัน”

ผมเบิกตากว้าง เจ้าของเสียงที่อยู่ข้างนอกนั้นคือคนเดียวกันกับที่ทำร้ายพี่เดือน แถมน่าจะมีคนคอยช่วยเหลือด้วยถึงพูดคุยทางโทรศัพท์กันแบบนี้

สองอย่างภายในร่างกายผมกำลังตีกัน หนึ่ง—ผมจะเปิดออกไปดูหน้าของคนร้ายที่กล้าดีมาลอบฆ่าพี่เดือน กับสอง—ผมควรจะอยู่ในนี้ต่อไป ทำตัวเงียบๆจนกว่าเขาจะออกไปแล้วเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่เดือน

แต่ใจของผมมันสั่งให้ทำอย่างแรก ถ้าเกิดผมพลาดโอกาสที่จะเห็นหน้าของเขาขึ้นมา มันจะกลายเป็นความสงสัยตลอดชีวิตของผมก็เป็นได้ ดังนั้นผมจึงรอฟังต่อจนกว่าจะสบโอกาสดีๆเปิดพรวดเพื่อจับคนร้าย

“ไอ้เดือนมันก็มีแฟนแล้วนะ แต่แม่งก็อ่อยเมียชาวบ้านอยู่นั่น ใช้ความสุภาพบุรุษจอมปลอมเข้าหาหวังผลประโยชน์”

พี่เดือนไม่ได้จอมปลอม เขาเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว

“แถมแฟนมันเป็นใคร? เด็กหน้าตาโง่ๆคนหนึ่งที่แม่งไม่มีอะไรพิเศษเลย นั่นยิ่งทำให้เขมได้ใจคิดว่าแย่งมาได้”

แต่ผมโกธรที่เขาหาว่าผมมันเป็นเด็กโง่ๆคนหนึ่ง

“ครั้งหน้ากูจะทำยังไงดี---เฮ้ย!”

ผมเปิดประตูออกไปแล้วจัดการตีเข่าเข้าไปที่หน้าท้องของเขา ระบายความโกธรแค้นที่ไม่สามารถควบคุมของผมได้ออกไป พอตั้งสติได้ผมจึงด่าใส่หน้าผู้ชายที่มาทำร้ายคนที่ผมรัก

“มันเป็นเรื่องของคุณกับพี่เขม พี่เดือนไม่เกี่ยวอะไรทั้งนั้นหรอก! ถ้าอยากเคลียร์ทำไมไม่ไปเคลียร์กับพี่เขมเอาเองวะ?! ทำไมต้องมาจงใจฆ่าพี่เดือนด้วยกัน! ผมไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น แต่เมื่อกี๊คุณบอกว่าพี่เดือนจอมปลอม บอกว่าผมมันเป็นเด็กโง่! ผมไม่ชอบให้ใครมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของผม!”

ผมสบตามองคนที่นั่งอยู่บนพื้น ก่อนที่จะตกใจกว่าเดิมที่ใครคนนั้นกลับเป็นหนึ่งในคนที่พี่เดือนแนะนำให้รู้จัก

พี่นกฮูก...

“ตกใจล่ะสิที่เป็นกู?” น้ำเสียงนั้นมันแข็ง ไม่ได้ร่าเริงเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน สายตาที่จ้องมามีแต่โทสะที่พร้อมจะระเบิดดั่งภูเขาไฟได้ทุกเมื่อ เขาค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินเข้าใกล้ผมเรื่อยๆ “ใครจะไปคิดว่าคนที่เป็นเพื่อนมัน คนที่มันไว้ใจจะกลายเป็นงูที่ย้อนกลับมาฉกตามันเข้าให้?”

“ทำไมพี่ทำแบบนี้? ทำไมพี่ต้องตีสนิทกับพี่เดือน พี่เดือนไม่ใช่ฝ่ายผิด”

“เสียงสั่นเชียวเจ้าหนู” พี่นกฮูกขยับเข้ามาใกล้อีก ยกมือข้างหนึ่งมาลูบใบหน้าของผม ผมจึงรีบปัดออกแล้วพยายามหนีออกจากตรงนั้น แต่ดันพลาดท่าเพราะไอ้พี่นกฮูกมันรั้งขาผมเอาไว้จนผมล้มลงกับพื้นที่เปื้อนโคลนจากฝนเมื่อเช้า “กูจะบอกบุญให้แล้วกัน”

“...”

“กูกับเขมคบกันตอนมัธยม ตอนที่กูเข้ามาเรียนที่มหาลัยนี้ เขมตามกูมาครั้งหนึ่งช่วงวันสอบสัมภาษณ์ จนทำให้ไปเจอกับไอ้คนที่ทำให้เขมต้องทิ้งกูไป”

“พี่อาจจะดูแลพี่เขมไม่ดีพอ” ผมทำเป็นใจดีสู้เสื้อ หรือว่าไอ้ข่าวที่ทะเลาะวิวาดนั้นจะเป็นพี่เขมกับพี่นกฮูกกัน? “รึว่าที่มีข่าวนักศึกษาทะเลาะกันหน้าโรงพยาบาลที่พี่เดือนพักอยู่จะเป็นพี่?”

“ความจริงก็ฉลาดดีนี่นา” พี่นกฮูกปรบมือให้ผมเป็นจังหวะช้าๆ “หลังจากนั้นเขมก็พูดเลิกกับกู อ้างว่าเวลาที่อยู่กับกูมันทำให้เขมดูไม่เด่น ไม่คู่ควรกัน เหอะ ผู้หญิงแม่งพอเห็นของที่ดีกว่าก็ตัดสินใจทิ้งของเก่าง่ายๆเลยนะว่ามั๊ย?”

“ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่เป็นแบบนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่คงทำให้พี่เขมไม่สบายใจมากก็ได้เพราะพี่แม่งก็นิสัยอย่างนี้—อุ่ก!”

พี่นกฮูกกระทืบเท้าตัวเองเข้าที่กลางลำตัวของผมจนรู้สึกชาแล้วตามมาด้วยความเจ็บปวด ไม่พอเขายังเขี่ยรองเท้าเปื้อนโคลนนั้นไปมาบริเวณใบหน้าของผมด้วยความเบาแต่แฝงไปด้วยความเหยียดหยาม ผมดิ้นหนีให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่กระนั้นก็ยังถูกคนตัวสูงกว่าต่อยเข้าที่ท้องซ้ำสองจนผมไม่สามารถขยับไปไหนได้อีก

“ไหนๆก็มารู้ตัวคนร้ายแล้ว เล่นเกมสนุกกันหน่อยมั๊ย?” พี่นกฮูกใช้นิ้วชี้เสยคางผมขึ้นมา พร้อมกับหยิบอะไรสักอย่างที่แข็งพอมาฟาดลงเข้าที่ข้างศีรษะของผม ถึงแม้ว่าจะโดนเข้าไปแรง แต่ผมพยายามประคองสติเอาไว้ให้ได้

“ต้องการ...อะไร?”

“กูอยากรู้เหลือเกินว่าเวลาที่ของรักของหวงของมันหายไป มันจะมีอาการยังไง?” เขายิ้มเย็น ค่อยๆลากผมไปที่ห้องเก็บของที่ไม่ได้ใช้แล้วข้างๆห้องน้ำ “ไม่สิ ถ้าของรักของหวงของมันถูกแย่งไปจะเป็นยังไง?”

“หมายความ..ว่ายังไ—อุ๊บ!”

พี่นกฮูกประกบปากตัวเองเข้ามา พยายามสอดลิ้นเกี่ยวพันกับลิ้นของผม ผมขืนสุดชีวิตเพื่อไม่ให้เขาฉกชิงสิ่งที่ผมรักษาเอาไว้ให้ผู้ชายที่ผมรักมากที่สุด มือของเขาเอื้อมมาบีบคางผมบังคับให้เปิดปากให้ได้

ไม่ได้เด็ดขาด...

ผมไม่ยอมให้ผู้ชายคนนี้ทำอะไรผมเด็ดขาด

“โอ๊ย!”

พี่นกฮูกร้องขึ้นมาเมื่อผมกัดเข้าที่ริมฝีปากเต็มแรง ทำให้กลิ่นคาวเลือดฟุ้ง เขามองผมด้วยสีหน้าเคียดแค้นก่อนที่จะลงมือต่อยผมเข้าที่ใบหน้าและร่างกายจนผมช้ำไปหมด

ความรู้สึกเจ็บปวดที่มากขึ้นนั้นมันทำให้ผมเริ่มขับน้ำตาออกมา แต่ผมไม่ได้ขอร้องให้เขาหยุดลงมือเพราะเชื่อว่ายังไงเขาก็ไม่มีความปราณีมนุษย์อยู่แล้ว และผมไม่มีวันที่จะทำให้ตัวเองต้องมาตกต่ำร้องขอชีวิตจากคนที่เป็นยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานนี้

เขาทำร้ายร่างกายผม จนเขาแน่ใจว่าผมนอนแน่นิ่งไม่สามารถเอ่ยปากโต้อะไรได้อีก เขาจึงไปคว้าเชือกที่อยู่ภายในห้องเก็บของนั้นมามัดมือมัดเท้าผม ปากถูกปิดด้วยผ้าขนาดยาวที่เต็มไปด้วยฝุ่นราวกับว่าเขารู้ดีว่าผมแพ้ฝุ่นขั้นรุนแรง

“เดือนเคยบอกว่ามึงแพ้ฝุ่น...”

ผมไม่มีแรงจะดิ้นรนต่อ ภายในห้องแห่งนี้ไม่มีหน้าต่าง มีแต่รูระบายอากาศเล็กๆและกล่องจำนวนมหาศาลที่เป็นขยะจากวันวาน พี่นกฮูกแสยะยิ้มออกมาก่อนที่จะชูกุญแจเก่าๆให้ผมเห็นด้วยสายตาที่พล่ามัว

“และบังเอิญว่ากูเจอกุญแจเก่าที่มีลูกเสียบอยู่ ทายสิว่ากูจะทำอะไรมึง?”

ผมรู้ชะตาตัวเองดี

“ขังมึง เอาให้ไอ้เดือนวิ่งวุ่น ระหว่างนั้นกูจะมาเล่นสนุกกับมึง”

แล้วสติของผมก็หมดลงยามที่เขาปิดประตูห้องเก็บของ หลงเหลือเพียงแค่ความมืดมิดและตัวของผมที่หลับใหลไป...

 

ผมจำไม่ได้ว่าผมตื่นขึ้นมาตีโมง หวังเพียงแค่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นความฝันที่น่ากลัว

ผมตื่นขึ้น พี่เดือนจะตกใจที่เห็นผมมีสีหน้าซีดเผือด เขาจะปลอบผม เขาจะดึงผมเข้าไปกอดแล้วบอกกับผมว่าไม่เป็นไรแล้วนะเด็กดี และผมจะขยับตัวเข้าไปซุกหน้าอกเขา รับความอบอุ่นที่ผมหลงใหล

แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่จินตนาการ

ผมไม่สามารถตื่นจากฝันร้ายนี่ได้ ทุกอย่างมันมืดสนิทราวกับว่ามีคนปิดตาผมเอาไว้ ผมร้องไห้ออกมาอย่างเงียบๆ โทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ตรงพื้นนั้นกำลังสั่นไหวจนเกิดเสียงสว่างเพียงชั่ววูบ ผมคาดว่าเป็นพี่เดือนที่โทรมาตามผมว่าผมอยู่ที่ไหน ผมพยายามขยับเข้าไปหวังจะใช้ส่วนที่น่าจะกดรับได้รับขอความช่วยเหลือ แต่ร่างกายของผมมันช้ำเกินกว่าจะขยับไปถึง

ผมกัดฟันตัวเองเพื่อให้ไปให้ถึงโทรศัพท์นั้น แต่จู่ๆแสงก็ดับลงและขึ้นเป็นหน้าจอปิดเครื่อง ทำให้ความหวังทั้งหมดที่ผมมีวันด่ำดิ่งลงเหวไปในชั่วพริบตา

เมื่อแบตหมด...ทุกอย่างจึงจบ

ผมล้มลงกับพื้นอีกครั้งแล้วปล่อยน้ำตาที่กลั้นใจเอาไว้ให้ได้มากที่สุดจากการโดนพี่นกฮูกทำร้ายออกมา แน่นอนว่าผมเจ็บใจที่ผมดันทำเป็นเก่งเข้าไปเคลียร์ เข้าไปปากเก่งคิดว่าตัวเองสามารถจัดการได้

ความรู้สึกแย่ๆยิ่งถาโถมเข้ามาในจิตใจ พี่เดือนจะเป็นยังไงถ้าผมไม่รับสาย พี่เดือนจะออกตามหาตัวผมที่ไหน พี่เดือนจะไปกับใคร เป็นไปได้ผมไม่อยากให้เขาไปขอความช่วยเหลือกับพี่นกฮูก แต่ถ้าเกิดว่าเขาไปขอความช่วยเหลือกับคนที่ตีสองหน้า พี่เดือนจะโดนทำร้ายซ้ำสองหรือเปล่า?

ความมืดมันกัดกินเข้ามาเรื่อยๆจนผมเริ่มระแวง มันไม่มีเสียงอะไรดังเข้ามาเลย มันเงียบเกินไป และถ้าทุกคนยังจำได้ ผมเคยบอกเอาไว้ครั้งหนึ่งว่าผมนั้น เกลียดที่กว้างๆที่ไร้ผู้คนที่สุด

สมองมันเริ่มมีภาพหลอนจินตนาการไปต่างๆนานา ความกลัวแทรกซึมเข้าเรื่อยๆจนกระทั่งผมได้ยินเสียงฝนฟ้าร้อง เป็นการย้ำเตือนว่าฝนกำลังจะตกลงมาไม่ช้านี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกลัว...กลัวกับเสียงที่ผมไม่เคยกลัว

เสียงฟ้าผ่าดังลงมาบริเวณใกล้ๆกับห้องที่ผมถูกขังทำให้ผมสะดุ้ง ถอยตัวหนีไปชนกับกล่องที่อยู่ด้านหลังจนกล่องเหล่านั้นหล่นลงมาทับร่างของผม มันสร้างความเจ็บช้ำมากกว่าเก่า และมันยังทำให้ฝุ่นที่อยู่ภายในห้องฟุ้งขึ้นมาจนผมไอทั้งน้ำตา ผมรู้สึกถึงความทรมานที่ก่อตัว มันหายใจไม่ออกเมื่อฝุ่นเหล่านี้มันเข้าไปยังโพรงจมูกของผม ผมอยากจะไอแต่ไอไม่ออกเพราะมีผ้าปิดปาก กว่าจะดีขึ้นก็เล่นทำผมเกือบตาย

ผมย้ำกับตัวเองว่าผมจะตายไม่ได้เด็ดขาด ผมต้องเข้มแข็ง ถ้าผมเอาชีวิตตัวเองมาตายที่ห้องเก็บของนี้มันคงน่าอนาถและสมเพชมาก

เสียงฟ้าผ่ายังดังขึ้นไม่หยุด ผมเริ่มสั่นจากความหนาว เริ่มหิวจากการที่ไม่ได้กินอะไรเลย แต่ผมก็ทำตัวนิ่งๆเข้าไว้ ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่เดือนจะเป็นยังไงบ้าง

ส่วนผมทำได้แต่ภาวนาขอให้มีคนมาเจอผม...ใครก็ได้มาเจอผมที่นี่

 

วันที่สอง...ผมคิดว่าน่าจะเป็นวันที่สองแล้วล่ะที่ผมอยู่ในห้องปิดตายนี้ ผมรู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายตัวเองมันร้อนผ่าวเนื่องจากคืนที่ผ่านมาผมหลับไปทั้งที่ไม่มีผ้าห่มคลุมกันสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ผมพยายามคลานไปถึงประตูให้ได้แล้วใช้ตัวกระแทกหวังให้มีคนได้ยินแล้วสงสัยว่ามีอะไรอยู่ข้างในนี้ แต่นั่นก็เป็นความพยายามที่ไร้ความหมายเสียเหลือเกิน

ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงของประตูดังขึ้น ในที่สุด...ก็มีคนมาช่วยผมแล้ว

“อ้าวๆ ดีใจที่ได้เห็นหน้ากูเหรอ?”

ไม่ใช่...นรกของผมมันยังไม่จบ

พี่นกฮูกเดินเข้ามาพร้อมกับโซ่ล่าม เขาผูกมันเอาไว้กับข้อเท้าของผม มันมีความยาวมากพอที่จะรั้งผมไม่ให้ไปถึงประตูได้ เขาวางแผนมาอย่างดีว่าจะทรมานผมอย่างไรให้ผมช้ำหัวใจมากที่สุด

“เมื่อวานเดือนมันวิ่งหามึงไปทั่วกรุงเทพเลยนะรู้รึเปล่า มาขอให้กูช่วยหาด้วย กูเลยสงเคราะห์ให้ แต่ไม่ได้บอกหรอกว่ามึงอยู่ที่นี่” พี่นกฮูกยิ้ม “วันนี้กูพาเพื่อนกูมาด้วย เข้ามาสิ”

พี่ผู้ชายคนหนึ่งที่คาดว่าให้ความร่วมมือกับพี่นกฮูกเดินเข้ามา เขาเป็นคนที่ตัวสูงใหญ่กว่าผมมาก และเหมือนว่าเขากำลังทำสีหน้าแปลกๆ

“วันนี้เราจะมาเล่นกัน ยังไม่ได้กินอะไรไม่ใช่รึยังไง?”

พี่นกฮูกประคองใบหน้าของผมให้เงยขึ้นมาชนกับเป้ากางเกงของเพื่อนเขา ความใหญ่โตที่กำลังก่อตัวขึ้นนั้นมันทำให้ผมรู้ตัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ผมทำทั้งดิ้นหนีทั้งพละตัวออกแต่ก็โดนพี่นกฮูกล็อกตัวเอาไว้ให้เผชิญกับท่อนเนื้อร้อนตรงหน้า

“อยากมีชีวิตต่อไปก็กินเข้าไปซะ!”

พี่นกฮูกดันใบหน้าของผมให้เข้าไปชนกับความเป็นชายของเพื่อนตัวเอง ผมเบี่ยงหนี ผมหลบ จนกระทั่งอีกฝ่ายเป็นคนอัดกระแทกเข้ามาในปากผมเสียเอง

ผมเกลียด...

ผมรังเกียจ

แต่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลยเพราะจังหวะที่เขาขยับนั้นมันแรงเกินไปที่จะทำให้ผมรักษาสติตัวเองได้ ผมไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่พวกเขาทำแบบนี้กับผม รู้อีกทีก็ตอนที่น้ำสีขาวขุ่นเหล่านั้นมันฉีดพ่นเข้ามาภายในโพรงปากเสียแล้ว

ในวันนั้น...หลังจากที่พวกเขาจากไป ผมก็ร้องไห้อีกครั้ง ร้องไห้ให้กับสิ่งที่พวกเขาทำกับผม และร้องไห้ให้กับพี่เดือนที่ไม่รับรู้ว่าผมนั้นไม่สามารถมีหน้าไปเจอเขาได้อีก...

 

วันต่อมาๆ พวกเขาก็เข้ามาทำกับผมเช่นเดิม ไม่มีการสอดใส่บริเวณอื่น ผมเริ่มไม่ขืนเพราะรู้ว่าผมไม่สามารถสู้แรงผู้ชายสองคนนี้ได้จากสภาพร่างกายและจิตใจที่บอบช้ำของตนเอง

ร่างกายที่ว่ามันแปดเปื้อนไปแล้ว...

ยังไม่เจ็บเท่าจิตใจของผมที่มันไม่เหลือชิ้นดี

ผมไม่มีความหวังแล้ว ไม่มีใครตามหาตัวผม ไม่มีใครถามหาถึงผม ผมกลายเป็นแค่ร่างที่ใกล้จะไร้วิญญาณ กลายเป็นร่างที่ยังมีชีวิตแต่ไร้หัวใจ

ผมไม่รู้ว่ามันผ่านไปกี่วันแล้วกับการที่ผมกลายเป็น ‘ของเล่น’ ให้พี่นกฮูกและเพื่อนของเขาอีกคน ผมรู้แค่ว่าตัวของผมมันไม่มีอีกต่อไป กุมภ์คนเก่าได้ตายไปเสียแล้ว ตอนนี้มีแค่กุมภ์ที่เป็นคนที่น่ารังเกียจ น่าสมเพช สกปรก และไม่สมควรอยู่ในสังคม ไม่มีหน้าไปเจอใครได้แม้กระทั่งเพื่อนฝูงและพ่อแม่ตัวเอง

พี่เดือน...ผมขอโทษนะที่ผมไม่เข้มแข็ง

ผมจะไม่มาปรากฏตัวให้พี่เห็นผมในสภาพที่ไม่น่าดูอย่างนี้ ผมจะค่อยๆหายไปจากชีวิตพี่ ผมไม่อยากให้พี่มีคนนินทากล่าวหาว่ามีแฟนเป็นคนน่ารังเกียจ ผมไม่อยากให้พี่มาปกป้องคนแบบผม ผมไม่อยากให้พี่ต้องมาหมกมุ่นคอยบำบัดจิตใจผม

พี่เดือน...ลาก่อนนะครับ...

ผมทิ้งสติและความทรงจำดีๆเอาไว้ตรงนั้น ปล่อยให้จิตใจของผมมันลอยไปในอากาศ ไปยังสถานที่ที่ผมอยากไปมากที่สุด

ผมเห็นบ้าน บ้านหลังเล็กๆริมทะเลที่มีผมกับพี่เดือนอยู่ด้วยกัน ก่อนที่ภาพนั้นจะเลือนกลายเป็นมีแค่พี่เดือน เขากำลังยิ้มมีความสุขกับใครสักคนที่ไม่ใช่ผม และนั่นก็เป็นสิ่งดีเพราะว่าพวกเขาดูเหมาะสมกันมาก พวกเขาค่อยๆเดินไปตามริมชายหาดสีขาดสะอาดตา พูดคุยเรื่องไร้สาระ หยอกล้อกันสนุกสนาน ผมยืนมองด้วยสายตาอาลัย

ผมไม่สามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้อีก ผมต้องไปใช้ชีวิตใหม่ที่ไม่มีพี่เดือน

ที่ผมทำแบบนี้ก็เพราะรักเขามาก มากเกินกว่าที่จะยืนข้างเขาได้...

ผมหลับตาลงอีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจเดินลงทะเลที่อยู่ตรงหน้า เมื่อน้ำท่วมสูงถึงระดับอกผม ผมก็กลั้นใจเอาไว้พลางบอกกับตัวเองว่าอีกไม่นานก็จะจบลง แต่เมื่อน้ำไต่ระดับถึงศีรษะของผม ทุกอย่างก็ถูกฉุดกระชากด้วยมืออุ่นๆของใครบางคนที่ผมยืนเฝ้ามองอยู่เมื่อครู่

ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมยังอยู่ในห้องมืดนั้นเหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นของใครบางคนที่ส่งผ่านผิวหนังมา น้ำหอมกลิ่นทะเลนั้นลอยออกมาจางๆทำให้ผมรู้สึกดี น้ำเสียงที่เหมือนใจจะสลายนั้นมันทำให้ผมเจ็บปวดตามไปด้วย แต่ผมไม่สามารถยกมือขึ้นมาเกลี่ยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้างนั้น ผมเหนื่อย ผมหมดแรง และกำลังจะหมดลมหายใจ

“กุมภ์! กุมภ์! ทำใจดีๆเอาไว้นะ! พี่ขอโทษ! พี่ขอโทษ!”

เขากำชับร่างของผมเข้าสู่อ้อมกอดมากกว่าเก่า ได้ยินเสียงคนมากมายดังขึ้นมาจากประตูที่สามารถนำผมไปสู่อิสรภาพได้ เสียงเหล่านั้นผมคุ้นเคยดี มันมีทั้งเสียงตกใจ เสียงสงสาร และเสียงโวยวายร้องขอความช่วยเหลือปนกันเต็มไปหมด แต่น่าแปลกที่ผมได้ยินเสียงของคนที่กอดผมดังมากที่สุด

“กุมภ์อย่าทิ้งพี่ไป...ไม่เอานะ...ฮึก”

น้ำตาหยดลงมาประทับกับแก้มของผมที่ชาไปหมด มันอุ่นแต่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

พี่เดือน...สภาพผมมันน่าอดสูใช่มั๊ย?

พี่เดือนรับไม่ได้ใช่มั๊ย? ที่ผมกลายเป็นแบบนี้?

“รถพยาบาลมาแล้ว เอาน้องขึ้นรถก่อนเร็ว!”

“ไอ้กุมภ์! มึงทำใจดีๆไว้นะเฮ้ย!”

“ไอ้นกฮูกแม่งสัตว์นรกมาเกิดชัดๆ!”

“กุมภ์ พี่จะอยู่ตรงนี้ พี่จะไม่ไปไหน กุมภ์ทำใจดีๆเอาไว้นะกุมภ์...”

น้ำเสียงเศร้ากำลังปลอบผมอยู่ เขาไม่ยอมปล่อยมือของผมแม้แต่วินาทีเดียวจนผมถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ผมไม่แน่ใจว่าทีมแพทย์ทำอะไรกับร่างกายผมบ้าง ออกมาอีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมงเหมือนกัน ได้ยินแว่วๆว่าร่างกายของผมถูกทำร้ายจนบอบช้ำไปหมด ถึงจะไม่ได้ถึงขั้นต้องเข้าผ่าตัด แต่ก็ยอมรับว่าเกือบจะมีเลือดคั่งภายในเหมือนกัน

เสียงพี่เดือนพูดกับหมดนั้นมันอู้อี้จนผมฟังไม่รู้เรื่อง ไม่นานนักเสียงร้องไห้ของเขาก็ดังโฮขึ้นมา ได้ยินแต่คำว่า ‘พี่ขอโทษ’ ซ้ำไปมาราวกับว่าเขาอัดคำพูดนั้นเอาไว้มาเปิดเป็นเทปบนวิทยุ คนที่มาด้วยก็คงปลอบใจไปตามประสา เสียงของพี่ไนท์ดังขึ้นมาด้วยความแค้นว่าเขาอยากฆ่าพี่นกฮูก นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ไนท์พูดหยาบ ส่วนเสียงนทีก็พูดเชิงประมาณว่าผมรอดแล้ว ต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เสียงมันก็สั่นมากเช่นกัน

ความจริงทุกคนก็เสียงสั่นเพราะกลัวและตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น

แม้แต่ผมยังกลัว...

ผมไม่อยากรับรู้อีกต่อไปว่าพวกเขาพูดอะไรบ้าง ผมจึงปล่อยให้ตัวเองจมไปกับความฝันอีกครั้ง ก่อนที่จะหลับลงไป ก็มีมือนุ่มยื่นเข้ามาสัมผัสเส้นผมของผมด้วยความถนอมราวกับว่าผมเป็นแก้วที่จะแตกได้ทุกเมื่อ

“รีบตื่นขึ้นมาเถอะนะคนดีของพี่...”



กลิ่นของน้ำยาแอร์และกลิ่นของดอกไม้มันทำให้ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา

ตรงหน้าของผมมันเป็นสีขาว...ของเพดานโรงพยาบาล ผมพยายามที่จะพยุงตัวขึ้นมาดูว่ารอบๆตัวผมมีใครอยู่บ้าง และผมก็เห็นว่าพี่เดือนกำลังนอนฟุ่บอยู่ข้างๆตัวผม

ผมอยากจะดันตัวเองออกให้ห่างจากเขามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมไม่ได้รังเกียจเขา แต่ผมอยากให้เขารังเกียจผม

จนแล้วจนรอด พี่เดือนก็ไม่ยอมปล่อยมือผมที่จับอยู่ ผมจึงปล่อยให้เขาทำไป

ทำไมกัน...ทั้งที่ผมไม่ใช่กุมภ์คนเดิมแล้ว...ทำไมเขายังใจดีกับผมแบบนี้

“...อืม...”

“...”

“...กุมภ์...ตื่นขึ้นมาเถอะนะ...ขอร้อง...”

พี่เดือนละเมอออกมาเบาๆก่อนที่จะเงียบไปอีกครั้ง ผมมองเขาด้วยสายตาเศร้า ผมอยากจะปลอบเขาว่าผมไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ผมก็ทำไม่ได้ มันมีสองอย่างตีกันปนมั่วไปหมด

ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นมา นทีที่กำลังถือถุงผลไม้อยู่กับพ่อแม่ของผมนั้นเดินเข้ามาแล้วก็เบิกตากว้างที่เห็นผมตื่นขึ้นมาแล้ว มันรีบวิ่งเข้ามาหาผมแล้วกอดเต็มแรง

“กุมภ์! มึงฟื้นแล้ว! มึงฟื้นแล้ว!”

เสียงของนทีทำให้พี่เดือนที่หลับอยู่สะดุ้งขึ้นมา เขามองซ้ายขวาแล้วก็มีน้ำตาระรื้นเมื่อเห็นว่าผมตื่นจากความฝันอันโหดร้ายนี่

“กุมภ์...”

พี่เดือนบีบมือของผมเอาไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นมากอดผม ผมจึงซึมซับอ้อมกอดของผู้ชายสองคนเอาไว้พร้อมๆกัน

แต่ทว่าจู่ๆภาพของพี่นกฮูกและพี่อีกคนที่กำลังข่มขืนผมทางปากนั่นมันแล่นเข้ามาในสมอง ซ้อนทับกับพี่เดือนและนที ทุกอย่างในห้องมันกลายเป็นความมืดอีกครั้ง เสียงหัวเราะและเสียงครางพึงพอใจมันดังเข้ามาในโสตประสาทจนทำให้ผมกลัวอีกครั้ง

ไม่นะ..

ไม่

ไม่! ไม่! ไม่! ไม่!

“ปล่อย! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ! อย่าเข้ามาใกล้! ไม่!”


 
----------

 หายไปไม่ใช่ไรค่ะ เขียนบทจบกับตรวจคำผิดก่อนส่งสำนักพิมพ์ ต้องรอลุ้นดูว่าจะผ่านมั๊ยค่ะ ฮืออออ

ออฟไลน์ tonnum18

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตัดจบได้ค้างมากเลยค่ะ อ่านแล้วสงสารน้องกุมค่ะ
น้องกุมจะต้องคิดภาพเหตุการณ์ที่เลวร้าย ที่นกฮูกทำ
ร้ายทางจิตใจน้องเขา หลงผู้หญิงจนหน้ามืดตามัว
รู้ทั้งรู้ว่าเดือนไม่สนใจเขม มีแต่ผู้หญิงมาตื้อ นกฮูก
ก็รู้อยู่เต็มอก แค้นเสียใจกับเขม ก็ไม่น่ามาทำร้าย
เดือนและกุมเลย. อยากให้นกฮูกได้รับผลการกระยำ
ร้ายคนอื่นให้สมกับการกระทำค่ะ คนแบบนี้คงไม่สำนึกหรอก
เอาบทลงโทษให้คนนี้หนักๆเลยค่ะ

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
SP วันปีใหม่ของสองเรา

 

วันนี้เป็นวันสิ้นปี

ในคอนโดห้องเดิม เตียงเดิม ผมกับพี่เดือนกำลังนอนนัวเนียด้วยกันอยู่ แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งคิดว่าผมกับพี่เดือนกำลังเล่นจ้ำจี้กันนะ พี่เดือนเขาเลื้อยมากอดผมทั้งวันโดยอ้างว่าวันนี้ไม่อยากทะไรเลย ไม่ได้อยากออกไปเที่ยวที่ไหน ไม่ได้อยากกลับบ้าน ไม่ได้อยากทำอะไรทั้งสิ้น จากนั้นก็แพร่เชื้อความขี้เกียจมาให้ผมนอนแอ้งแม้งไปด้วยกัน

ตอนเช้าพวกผมก็ลุกขึ้นมาหาข้าวหาน้ำกินตามปกตินั่นแหละ จากนั้นก็พากันไปนอนดูหนังหน้าโทรทัศน์ ขนมที่ซื้อมาก็ซื้อมาเพื่องานนี้ ปกติแม้ในวันปีใหม่พวกผมยังต้องบินไปถ่ายงานที่ต่างประเทศ ไม่มีสักปีที่จะได้ฉลองอยู่ประเทศเกิด แต่หลายสถานที่ก็มีการฉลองที่แตกต่างกัน

อย่างสองปีก่อนพวกผมไปที่นิวยอร์ก งานฉลองปีใหม่ของพวกเขาที่ไทม์สแควร์ก็เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก แต่อากาศก็เย็นมากเช่นกันจนผมกับพี่เดือนต้องใช้ผ้าพันคอผืนเดียวกันที่ยาวเป็นเมตรมาพันเอาไว้ อาจจะดูโรแมนติกนะ เอาจริงๆคือเดินลำบากมาก ทำไมในหนังมันดูเดินสบายจัง หรือเป็นที่ส่วนสูงของพวกเรามันไม่สมดุลกัน?

...ช่างเถอะ

ปีที่แล้วทางทีมงานขอให้พวกผมไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ปีใหม่ที่บ้านเกิดพวกผม พี่เดือนเลยต้องรีบหอบผ้าหอบผ่อนบางส่วนกลับไปที่บ้านเพราะคิดว่ามันเยอะเกินไปแล้ว (ส่วนใหญ่ก็เสื้อผ้าที่ซื้อมาจากต่างประเทศ) หลังจากที่แหกขี้ตาถ่ายภาพแสงแรกของปีแย่งกับชาวบ้านได้ ผมกับพี่เดือนก็มาหลับเป็นตายที่บ้านพ่อแม่ พวกท่านเองก็บ่นว่าทำแต่งานไม่กลับมาหาบ้างเลย

ก็แหม...ผมสนุกกับงานมากนี่นา

พี่เดือนเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะอยากกลับบ้านเพื่อมาบริหารงานโรงแรมต่อแม้ว่าอายุจะปาเข้าไปสามสิบเอ็ดแล้ว มาคิดๆดูนี่ก็นานแล้วนะที่คบกัน พวกเราใช้ชีวิตด้วยกันโดยสามารถลบคำสบประมาทของหลายคนที่บอกว่าพวกเราจะไปไม่รอดได้ เพื่อนสมัยมหาลัยหลายคนก็แต่งงานมีลูกกันบ้างแล้ว ดินเองก็แต่งงานกับสาวเหนือ ทำงานเป็นกราฟิกดีไซเนอร์กับอุ้มที่บริษัทแห่งหนึ่ง ปีใหม่บอกกันว่าจะกลับอุบลฯไปเยี่ยมพ่อแม่ ทางฝั่งนทีก็ดันมีงานเข้าจนต้องอยู่ที่บริษัททั้งคืน เชื่อผมเถอะว่าสายงานที่มันทำแทบไม่มีเวลาพักกว่าผมเสียอีก ส่วนมีนาเองก็กลับบ้าน แต่ก็ใช่ว่าเพื่อพักผ่อน งานเข้าเหมือนกันเพราะต้องเร่งส่งต้นฉบับนิยายสืบสวนภายในสองสัปดาห์

“กุมภ์ นี่ก็สี่ทุ่มแล้วนะ...”

พี่เดือนโผล่หัวยุ่งๆออกมาจากผ้าห่ม เขาเผลอหลับไปช่วงสองทุ่มหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ผมนั่งดูโทรทัศน์ไปอย่างไร้จุดหมาย พี่เดือนเหนื่อยกว่าผมมากตรงที่ว่าเขาแทบจะทำงานทุกอย่างตั้งแต่การถ่ายภาพ ตกแต่ง จัดหน้าคอลัมน์นิตยสารด้วยตัวเอง ไปถึงการขับรถไปบริษัทเพื่อทักท้วงว่าทำไมถึงไม่ตั้งค่าสีให้ตรงกับที่เขาส่งไป

พี่เดือนจริงจังกับงานมากเช่นเดียวกับการจริงจังกับผม และผมก็จริงจังกับทุกสิ่ง

“อ่า...พี่อยากดูพลุเหรอ?”

“เปล่า พี่อยากให้กุมภ์นอนได้แล้ว พวกเราไม่ได้นอนเร็วมานานกี่ปีแล้วกัน” พี่เดือนหัวเราะ เขาดึงลำตัวผมให้ลงมาพร้อมกับตบหมอนสีขาวใบเดิมปุๆ “พอเรียนจบ เวลานอนเลยกลายเป็นเที่ยงคืนไปเลย”

“แต่ร่างกายก็ชินแล้วนี่ครับ ความจริงจะนอนเลยก็ได้นะเพราะผมเองก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน” เหนื่อยมาทั้งปีผมเองก็อยากจะพักยาวบ้าง ด้วยร่างกายที่ไม่ใช่วัยรุ่นแล้วของผมนั้น อะไรๆก็ล้าง่ายไปหมด บางทีจะลุกจะนั่งก็แอบโอยบ้างแล้วเหมือนกันนะ

“งั้นนอนกันเถอะ” พี่เดือนขยับตัวเข้ามาซุกกับผม ถึงอายุจะเกินเลขสามไปแล้วแต่เขาก็ยังชอบทำตัวเด็ก แบบนี้ก็น่ารักเหมือนกัน

ปีใหม่ของพวกเรานั้นมันก็เรียบง่ายแบบนี้แหละ ไม่ได้ออกไปนั่งกินดื่มที่ไหน ไม่ได้ใช้เวลากับงานฉลองรื่นเริง พวกเราแค่อยู่ด้วยกัน นอนกอดกัน มีความสุขกับค่ำคืนที่จะผ่านไปด้วยกัน นาฬิกาบนผนังนั้นค่อยๆเคลื่อนไปข้างหน้าในขณะที่เวลาชีวิตของพวกเราเริ่มถอยหลังเข้าสู่วันที่ต้องแยกจาก แต่ผมก็ไม่คิดถึงวันนั้น ผมจะคิดถึงแต่ช่วงเวลาที่พวกเราได้ใช้ร่วมกันนี่ก็พอ มีความสุขให้มากเข้าไว้ มีความทุกข์ก็ระบายแบ่งปันความเจ็บปวดให้อีกครึ่งหนึ่งของหัวใจของผมได้รับฟัง พี่เดือนจะเป็นคนที่คอยหนุนหลังผม และผมจะเป็นคนที่คอยจับมือไม่ให้เขาหลงทาง

หวังว่าปีหน้าพวกเราจะรักกันมากกว่านี้อีกนะ

..

...

“อืม...พี่เดือน...”

“พี่เปลี่ยนใจดีกว่า ทำอะไรที่ตื่นเต้นข้ามปีดีมั๊ย?”

“เอ๊ะ? เดี๋ยวพี่เดือน...อึ่ก อื้อ!”

แต่ปีนี้ผมว่าผมได้เหนื่อยข้ามปีแทนแล้วล่ะ

“ไม่ได้ทำนานแล้วนี่นา ถ้าเสร็จพร้อมพลุจะเป็นยังไงนะ?”

“พี่เดือนแม่งลามก! อ๊า!”

...แล้วก็ผมลืมบอกไปอีกอย่าง พี่เดือนโคตรจะลามกเลยล่ะเวลามีเรื่องบนเตียง...แต่ก็นะ

ใช่ว่าผมจะไม่ชอบพี่เดือนในโหมดนี้สักหน่อย...สงสัยต้องตอบสนองให้เขาดีใจบางเสียแล้วสิ

งั้นผมขอสวัสดีปีใหม่ก่อนที่ผมจะไม่มีแรงพูดก่อนแล้วกัน (:

 
----------

มาสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้ากับ SP ที่เพิ่มมาคั่นเวลาค่า

พี่เดือนน้องกุมภ์แก่ขึ้นมากเลยในตอนพิเศษสั้นนี้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ สองคนนี้รักกันมากกว่าเดิมขึ้นทุกวันค่ะ แถมยังหื่นขึ้นเหมือนกันทั้งคู่ ศีลเสมอกัน ฮ่าาาา ใครที่หวัง nc น้องจะบอกว่า...

อด นะ จ๊ะ //วิ่งหนี
 

 

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 24

 

เดือน’ talk

 

กุมภ์หายตัวไป ผมไม่สามารถติดต่อเขาได้

มันทำให้ผมร้อนใจเป็นอย่างมาก ปกติแล้วถ้ากุมภ์กลับมาก่อนก็ต้องโทรมาบอกกันตลอด นี่กลับเงียบ ผมคิดว่าโทรศัพท์ของเขาน่าจะแบตหมด แต่พอผมโทรไปก็มีสัญญาณตามปกติจนกระทั่งถูกตัดไป

เขาอาจจะติดเกมอยู่เลยตัดสายไปก็ได้

ผมคิดในแง่ดีเอาไว้ก่อน หวังว่ากลับไปที่คอนโดจะเจอกับน้อง ซึ่งมันเป็นเพียงแค่ความคิดของผมเท่านั้น ที่คอนโดผมไม่เห็นร่องรอยการกลับมาของกุมภ์เลย จนผมต้องลงไปถามกับป้าแจ่ม คำตอบที่ได้ก็เหมือนเดิมคือป้าเขาไม่เห็นกุมภ์มา

ผมลองโทรไปหานที นทีก็บอกว่าไม่ได้อยู่กับเขา โทรไปหาใครก็มีแต่คนบอกว่าไม่เห็นกุมภ์ จนผมเริ่มมีอาการกลัว

กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา

เมื่อตอนกลางวันพวกเรายังนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่เลยจนพวกผมแยกตัวออกมา หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้ว่ากุมภ์ไปไหนมาไหนบ้างเนื่องจากเขาไม่ได้บอกเอาไว้ละเอียดนัก

“ฮัลโหล? นกฮูก วันนี้เห็นกุมภ์รึเปล่า?”

‘เปล่า ทำไมเหรอ?’

“น้องหายไป จู่ๆก็หายไป”

‘เฮ้ย อย่าคิดมากดิ บางทีน้องมันไปธุระด้านหน้าแล้วไม่อยากลำบากมึง อาจจะเตรียมเซอร์ไพรสอะไรบางอย่าง’

นกฮูกว่ามาอย่างนั้น ทำไมเขาถึงมองโลกในแง่ดีได้ขนาดนี้กัน แต่ผมก็พยายามข่มน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลของผมเอาไว้แล้วคิดว่าน้องคงไปธุระจำเป็นจริงๆนั่นแหละ

 

แต่ทว่าเวลาก็ผ่านมาสองสามวันแล้ว กุมภ์ก็ยังหายตัวไปจนผมแน่ใจว่ากุมภ์ไม่ได้ไปธุระ แต่มีเรื่องเกิดขึ้นกับเขาแน่นอน

ผมกับเพื่อนของกุมภ์ มะยม และไนท์นัดเจอกันที่โรงอาหาร ส่วนนกฮูกตามมาทีหลัง สีหน้าของเขาดูนิ่งๆแต่ก็รีบเหมือนไปทำอะไรที่น่าสงสัยมา ซึ่งนั่นมันไม่ใช่ธุระของผมที่จะไปเกี่ยวข้อง ถึงจะเกี่ยวข้องแต่ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจกับมัน

“กุมภ์หายตัวไปสามวันแล้วนะ...สามวันแล้ว!” นทีทุบโต๊ะเสียงดัง น้ำตาคลอเบ้า “เกิดอะไรขึ้นวะ!”

“ใจเย็นก่อนเฮ้ยนที พี่เดือน หนูว่าไปแจ้งความกันเถอะ คนหายไปทั้งคนนะ” อุ้มหันมาทางผม ดินกำลังลูบหลังให้นทีสงบลง ส่วนมะยมกับไนท์ก้มหน้าเหมือนคิดอะไรหรือกำลังพยายามหาทางออก มีเพียงแค่นกฮูกเท่านั้นที่คงสีหน้าเอาไว้เช่นเดิม

ทำไมเขาถึงไม่เดือดร้อนอะไร?

“เดี๋ยวพี่จะไปแจ้งความ ไนท์ไปกับเรานะ ส่วนอุ้ม ดิน นที มะยมแล้วก็นกฮูกแยกย้ายไปถามคนทั่วมหาลัยหน่อยว่ามีใครเห็นกุมภ์มั๊ย เห็นครั้งสุดท้ายที่ไหน” ทั้งหมดพยักหน้า ผมจึงเดินมาที่รถกับไนท์ เขาไม่ยอมนั่งข้างหน้ารถ ระหว่างทางเขาก็ชวนผมคุยด้วย

“เราไม่อยากไปนั่งข้างหน้าก็เพราะว่าตรงนั้นเป็นที่ของน้อง” ไนท์ยิ้มอ่อน “เรารู้ว่าเดือนรักกุมภ์แค่ไหน เราเชื่อว่าน้องต้องปลอดภัย เราเชื่อว่าน้องเข้มแข็งพอ ไม่ว่าน้องจะหายไปที่ไหนเราก็จะต้องเจอน้อง”

“ขอบคุณนะไนท์…” ถึงนั่นจะไม่ค่อยช่วยให้จิตใจผมมันดีขึ้นมามาก

ผมแจ้งความคนหายที่สถานีตำรวจ และโทรบอกครอบครัวของกุมภ์ให้รู้ว่าลูกชายคนโตของพวกเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาตกใจมากและรีบเตรียมตัวยกเลิกงานทั้งหมดบินมากรุงเทพเพื่อช่วยกันตามตัวกุมภ์ แต่ผมไม่แน่ใจว่าน้องชายของเขาจะตามมาด้วยรึเปล่า

ความจริงผมก็ไม่ได้ให้พวกท่านรับรู้มากนักเรื่องที่ลูกชายหายตัวไปเพราะไม่อยากให้สบายใจ แต่ผมจะไม่สบายใจกว่าถ้าไม่บอกอะไรเลยกับพวกท่าน

คืนนั้นทุกคนต่างบอกว่าไม่มีใครเห็นกุมภ์ นั่นยิ่งทำให้ผมเครียดหนักกว่าเดิม น้องหายไปไหน ไปอยู่ที่ไหน จะหนาวรึเปล่า? จะได้กินอะไรรึเปล่า? ทุกอย่างมันตีขึ้นมาจนผมรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก เป็นเหมือนวงวนน้ำที่ค่อยๆวนดูดร่างกายของผมให้จมลงสู่ผืนท้องทะเล อยู่ท่ามกลางความสิ้นหวัง แต่ผมจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด

ตื่นมาผมก็โทรบอกเพื่อนในเอกเดียวกันว่าผมขอลาเพื่อมานั่งคิดถึงสถานการณ์ภายในห้องนอนสี่เหลี่ยมที่ไร้ร่างของแฟน การที่จู่ๆกุมภ์หายตัวไปมันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และถ้านี่คือการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ ป่านนี้ต้องมีสายเรียกเข้าจากกลุ่มคนที่พาเขาไปแล้ว หรือว่านี่คือการลักพาตัวโดยมีเหตุผลส่วนตัวเป็นแกนหลัก? ผมคิดว่านี่เป็นประเด็นที่น่าจะเข้าข่ายสุด แต่กุมภ์เคยไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจรึไม่ก็ไม่เคยอีก ผมจึงขับรถตรงไปมหาลัยทั้งที่อยู่ในเสื้อเล่น ไปยังตึกคณะตัวเองที่ผมเห็นเหล่าบรรดาเด็กปีหนึ่งนั่งด้วยกัน ในนั้นผมเห็นเพื่อนของกุมภ์ที่ชื่อว่าแนนกำลังฟังเพลง

“อ้าว พี่เดือน กุมภ์ไม่สบายเหรอคะ ไม่เห็นมาหลายวันแล้ว”

“แนน ฟังพี่นะ อย่าเพิ่งตกใจจนร้องเสียงดังออกมา” แนนพยักหน้าตาม “กุมภ์ถูกลักพาตัวไป”

“เฮ้ย! พี่! ทำไม?! ใคร?!” แนนเบิกตากว้าง ทำโทรศัพท์ในมือหล่นบนโต๊ะม้าหินอ่อน “เกิดอะไรขึ้นกันพี่?!”

“ครั้งสุดท้ายที่พี่เห็นกุมภ์คือห้าวันก่อนช่วงเที่ยง พี่ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นกุมภ์ไปไหนบ้าง ช่วงบ่ายมีเรียนมั๊ย?”

“มีดิพี่ แต่หนูก็ไม่เห็นกุมภ์เข้าก็เลยคิดว่าไม่สบาย” แนนร้องออกมา “แม่งเอ๊ย...ทำไมกูไม่ถามพี่เดือนให้ไวๆวะจะได้รู้เร็วกว่านี้”

“พี่อยากรู้ว่ากุมภ์ไปมีปัญหากับใครรึเปล่านอกเหนือจากกับกลุ่มรุ่นพี่ที่เข้าใจผิดระหว่างพี่กับนที” ผมนั่งลงกับเก้าอี้ “พี่จนปัญญาแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงกับกุมภ์ ถ้าเกิดว่าเป็นอะไรขึ้นมาแล้วพี่จะเอาหน้าที่ไหนไปเจอพ่อกับแม่เขาเพราะพี่ไม่สามารถปกป้องเขาได้”

“พี่เดือนใจเย็นนะ กุมภ์มันไม่เคยมีปัญหากับใครเลย ออกแนวไม่สุงสิงกับใครด้วยซ้ำ...แต่ว่าช่วงนี้หนูสังเกตว่ามีคนหนึ่งแปลกๆนะพี่ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับรึเปล่า?”

“ใคร?”

“เอ่อ...เพื่อนพี่ที่ชื่อว่านกฮูกอะ บางวันหนูเห็นคนวนๆแถวห้องเก็บของร้างข้างๆห้องน้ำหลังตึกตรงนั้น มันเปลี่ยวๆไม่ค่อยมีคนผ่านด้วย หนูเลยว่ามันแปลกมากที่พี่นกฮูกเขาจะไปวนแถวนั้นนานพอตัว”

นกฮูก...จะว่าไปเขาก็แปลกจริงๆด้วย นอกจากว่าจะไม่ค่อยสนใจกับเรื่องที่กุมภ์หายตัวไปมากนัก เขายังชอบหายตัวไปดื้อๆอีกด้วย

รึว่า...

ผมเองก็ไม่อยากสงสัยเพื่อนมากนัก แต่เท่าที่อยู่มา จู่ๆนกฮูกก็เข้ามาในกลุ่มของผมมันก็น่าสงสัย ปกตินกฮูกจะไม่ยุ่งกับใคร...

ขอร้องล่ะว่าไม่ใช่เขา

ในคืนเดียวกันผมกลับไปนอน ทำยังไงก็นอนไม่หลับเพราะใจมัวแต่คิดถึงความเป็นไปได้ที่นกฮูกจะเป็นคนทำ เพราะอะไรที่ทำให้เขาต้องลักพาตัวกุมภ์ เพราะอะไรที่ทำให้เขาทำแบบนี้ ผมไม่อยากจะสงสัยเพื่อน ผมไม่อยากจะผิดใจกับเพื่อนถ้านี่เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิด

แต่ถ้าไม่ลองไปพิสูจน์ ผมก็จะไม่มีทางรู้

เมื่อรุ่งอรุณวันใหม่มาถึง ผมกับกลุ่มเพื่อนก็เริ่มเฝ้าสังเกตนกฮูก จนผมเริ่มจับทางได้ว่าเขาไปวนๆแถวห้องเก็บของข้างห้องน้ำเปลี่ยวนั้นจริง ผมจึงรอโอกาสเหมาะๆที่จะเข้าไปคุยด้วยโดยทำท่าว่ามาเข้าห้องน้ำ

“อ้าว มาทำอะไรที่นี่เหรอ?”

นกฮูกดูสะดุ้งไปนิดนึงเหมือนทำอะไรผิด เขาอยู่กับผู้ชายอีกคนที่ผมไม่รู้จัก แต่ที่ผมสนใจตอนนี้ก็คือผมเห็นว่าในมือของเขามีกุญแจเก่าๆอยู่

“มาเข้าห้องน้ำสิ ที่นี่ห้องน้ำไงเพื่อน” เขาแก้ตัว เพื่อนอีกคนของเขามองมาที่ผมแล้วก็ทำสีหน้าซีดๆ “ไปกันเถอะไอ้สมชาติ”

“เดี๋ยว”

ผมรั้งแขนของคนมีพิรุธเอาไว้ ในเมื่อมีหลักฐานคามืออย่างนั้นผมจะปล่อยให้หลุดไปได้ยังไงกัน “ไอ้นกฮูก กูรู้นะว่ามึงโกหกกูเรื่องที่มึงไม่เจอกุมภ์”

“กูจะโกหกมึงทำไมวะ?”

“แนน เพื่อนของกุมภ์บอกว่ามึงน่าสงสัย เพราะเห็นมึงวนไปมาระหว่างห้องน้ำนี้กับตึกเรียนตลอด แถมมึงดูไม่เดือดร้อนมากพอรู้ว่าน้องหายตัวไป” ผมกระชากกุญแจนั้นออกมาจากมือนกฮูก “กูไม่อยากผิดใจกับมึงถ้ามึงไม่ได้ทำ ดังนั้นมึงช่วยบอกความจริงกูมาว่าที่มึงวนมาแถวนี้เพราะอะไร ซ่อนอะไรไว้ในห้องเก็บของตรงนั้น”

“ไอ้เดือน กูไม่ได้ซ่อนอะไรไว้ เข้าใจนะ?” นกฮูกดึงกุญแจในมือผมกลับ “ไม่มีอะไรทั้งนั้น และมึงกำลังหาเรื่องทะเลาะกับกูด้วยเรื่องงี่เง่า”

“มันไม่ใช่เรื่องงี่เง่า! มันเป็นเรื่องเป็นเรื่องตายของกู!”

ผมโกธร...โกธรมากพอที่จะต่อยหน้าเขาให้ตายไปเสียตรงนี้ ชีวิตหนึ่งชีวิตมันไม่สำคัญเลยหรือยังไง รึว่าเพราะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองเลยสามารถพูดออกมาแบบนั้นได้

นกฮูกกับเพื่อนชื่อว่าสมชาติเดินจากไป ทิ้งไว้ให้ผมยืนตรงหน้าห้องน้ำ ผมไม่สามารถเปิดห้องเก็บของตรงนั้นได้ และผมก็ไม่สามารถขอให้ภารโรงมาตัดกุญแจได้เช่นกัน ผมจึงคิดหาวิธีใหม่ที่จะสามารถกระชากหน้ากากของนกฮูกออกมา

 

“นกฮูกเหรอ? เอาจริงดิ?” ไนท์เลิกคิ้วสงสัยกับคำพูดของผม “นี่เดือนสงสัยนกฮูกเหรอ?”

“ไม่ใช่แค่สงสัย แต่คิดว่าเป็นมันไปแล้ว”

“ทำไมนกฮูกต้องทำแบบนั้นล่ะ? จู่ๆก็แปลกนะที่จะจับคนแปลกหน้าที่เจอครั้งเดียวไป เดือนเองก็ไม่มีเรื่องหรือปัญหาอะไรกับเขานี่นา”

“ใช่ไง เลยไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำแบบนี้ ฟังจากคำพูดที่ได้ยินล่าสุดก็พูดประมาณว่าอย่าไปยุ่งกับเรื่องของเขา” ผมหันไปทางมะยม ศึกและเมย์ “กูแน่ใจว่าในห้องเก็บของตรงนั้นมันต้องมีอะไรแน่ๆล่ะ แต่ภารโรงไม่ยอมตัดกุญแจที่คล้องเอาไว้ให้เพราะไม่มีเหตุผลมากพอ”

ผมตั้งใจว่าจะแอบตามนกฮูก พาเพื่อนไปด้วยเพราะผมรู้ว่าถ้าไปคนเดียวมันเสี่ยงเกิน อีกฝ่ายยิ่งมีสองคน ทำให้ผมต้องการกำลังเสริมเพิ่มมากขึ้น

“งั้นหลังเลิกเรียนพวกเราตามนกฮูกกัน”

 

พอเลิกเรียน นกฮูกรีบออกจากห้อง ทำให้ผมกับมะยมและไนท์รีบย่างเท้าเร็วให้ทันตาม นกฮูกนัดกับเพื่อนสมชาติใกล้ๆกับห้องน้ำเดิม หยิบกุญแจดอกเดิมกับวันนั้นมาแล้วคุยอะไรกับสมชาติ พวกผมจึงค่อยๆย่องเข้าไปให้ได้ยินชัดกว่าเดิม ไนท์อัดเสียงเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานมัดตัว

“แม่งเอ๊ย ไอ้เดือนเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากูมีพิรุธ”

“เอาไงดีล่ะ จะเอาไอ้เด็กนี่ไปไว้ที่ไหน”

“มึงกับกูก็เล่นกับมันมากพอแล้ว เย็นพรุ่งนี้เอามันไปส่งซ่องเฮียขันขายราคาสูงดีกว่า หน้าตาน่ารักแบบนั้นน่ะ”

“ก็ดี เอาเงินมาแบ่งกันหารสอง”

“ดีลนะ วันนี้ระลึกถึงน้องกุมภ์เป็นวันสุดท้าย---”

ไม่ทันที่สองคนนั้นจะพูด ร่างของผมก็พลันเดินออกจากที่ลับไปอย่างไม่ต้องคิดอะไร ปล่อยหมัดแรกในชีวิตไปที่ใบหน้าของคนสารเลวที่สุดที่ผมเคยเจอมาในชีวิต ตามด้วยการยกเท้าถีบให้เขาล้มลงไปนอนกับพื้นพร้อมกับการกระแทกลงซ้ำให้เจ็บปวด

พวกมันพากันข่มขืนแฟนผม---กุมภา

ความสารเลวที่ยิ่งกว่าสัตว์นรกนี้ทำให้ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป ราวกับว่าปลุกความดิบเถื่อนในตัวออกมาสู่โลกภายนอก เท้าที่ย่ำยีความอมนุษย์นี้เป็นเหมือนการลงทัณฑ์ ผมอยากทำมากกว่านี้ อยากจะเอาปืนมายิงชีวิตสองคนนี้ทิ้งเพราะพวกมันไม่มีค่าพอที่จะอยู่บนดาวเคราะห์ชื่อว่าโลกด้วยซ้ำ

“ไอ้เดือน! มึงใจเย็นก่อน!”

เพื่อนทั้งสองคนวิ่งเข้ามารั้งผมเอาไว้ไม่ให้ลงมือฆ่าสองคนนี้จริงๆ แต่ก็พยายามดิ้นให้หลุดเพื่อจะกระชากร่างของมันที่นอนกบเลือดบนพื้นขึ้นมาคว้านความจริงว่าทำไมต้องทำแบบนี้กับชีวิตน้อง

“กูไม่ใจเย็นแล้ว! พวกมึงสองคนก็ได้ยินไม่ใช่เหรอว่ามันทำอะไรน้องลงไป! ปล่อยกู!”

“ไอ้เดือน! หยุดก่อน!” มะยมดึงแขนผมแรงกว่าเก่าเพื่อไม่ให้ดิ้น “กูก็อยากต่อยหน้าไอ้เหี้ยสองตัวนี้เหมือนกันกับมึงนั่นแหละ!”

“ใจเย็นก่อนนะเดือน เราจะไปเรียกรปภ.มาเคลียร์” ไนท์ลูบแขนผมพร้อมกับโทรเรียกเพื่อนที่ยังบริเวณอื่นเพื่อขอความช่วยเหลือ ส่วนผมก็ยังมองสองเลวนั้นด้วยสายตาแค้น แค้นที่สุดเท่าที่เคยทำมา

“มึงใช่มั๊ยที่เปลี่ยนข้าวกล่องของกู”

“...เออ แม่งเอ๊ย...กูรู้สึกดีว่ะที่ได้ย่ำยีศักดิ์ศรีน้องของมึง รู้มั๊ยว่าสีหน้าของแฟนมึงเวลาโดนของพวกกูยัดปากมันยั่วพวกกูแค่ไหน ป่านนี้คงกำลังนอนร้องไห้อยู่แล้วมั๊ง”

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย! กูหาคำด่าคนแบบพวกมึงไม่ได้จริงๆแม่ง!” ผมสบถออกไปอย่างหัวเสียที่ไม่สามารถหาคำบรรยายออกมาได้มากกว่านี้ ผมพยายามดิ้นออกจากตัวมะยมอีกครั้งจนหลุด ในจังหวะที่กลุ่มเพื่อนของกุมภ์และเพื่อนสมัยมัธยมของผมวิ่งมาที่นี่เพื่อพาตัวรปภ.มา ผมรีบคว้ากุญแจในมือโสโครกมาไขและเปิดเข้าไปในห้องเก็บของโดยมีคำทิ้งท้ายและเสียงหัวเราะจากไอ้เลวนกฮูก

“พวกมึงสองคนใช้ชีวิตโลกสวยมามากพอไปแล้ว...สมควรที่จะลืมตาขึ้นมาจากฝันหวานนั่นเสียที”

ภายในเต็มไปด้วยฝุ่นหนาและความมืดที่ไม่ว่ายังไงแสงสว่างก็ไม่สามารถเข้ามาได้ แถมยังเป็นห้องที่เก็บเสียงในความกว้างได้ดี กล่องหลายใบกองอยู่เต็มพื้นปูนใกล้แตก จนสายตาผมไปเห็นโซ่สีเงินเส้นเก่าที่กำลังผูกไว้กับเสา ไล่ไปเรื่อยๆจนผมพบกับภาพที่น่าตกใจ

เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มร่างเล็กกำลังนอนหายใจโรยรินบนพื้น ตามร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกทำร้ายอย่างชัดเจน สายตาที่กำลังเหม่อลอยไร้ชีวิตนั้นมันทำให้น้ำตาของผมร่วงลงมาราวน้ำตก

ยิ่งใกล้ๆกันนั้นผมเห็นคราบแห้งของน้ำขุ่น...ยิ่งทำให้ผมอยากจะโทษตัวเองเสียเหลือเกินที่ผมไม่สังเกตไอ้นกฮูกให้มากกว่านี้

“กุมภ์! กุมภ์! ทำใจดีๆเอาไว้นะ! พี่ขอโทษ! พี่ขอโทษ!”

ผมวิ่งเข้าไปสวมกอดร่างกายบางนั้น กุมภ์เหม่อลอยอย่างชัดเจนราวกับว่าจิตใจของเขานั้นไม่ได้อยู่ในร่างแล้ว ผมไม่อยากให้น้องต้องหายไป ผมเฝ้าย้ำกับตัวเองว่าจะปกป้องน้องให้ได้ แต่ผมกลับทำไม่ได้ ผมโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้ว่าเหล่าเพื่อนพากันโทรเรียกรถพยาบาลมาตอนไหน ผมไม่รู้ว่าผมจับมือน้องเอาไว้นานแค่ไหนจนถึงหน้าห้องฉุกเฉิน กว่าผมจะรู้ตัวอีกทีผมก็มานั่งร้องไห้ต่อหน้าเพื่อนที่เก้าอี้ข้างห้องฉุกเฉิน

 

“เดือน...”

“กูผิดเอง กูปกป้องน้องไม่ได้ กูผิดเอง...”

“คนที่ผิดไม่ใช่พี่หรอก ไอ้เหี้ยนกฮูกนั่นตังหากพี่” อุ้มพูดด้วยน้ำเสียงแค้น “คนอย่างมันต้องจับเข้าตารางให้หมด ไม่ก็ทำแบบเดียวกันกับที่มันทำกับกุมภ์”

“กุมภ์ไม่สมควรต้องมาเจออะไรแบบนี้เลยว่ะแม่ง...” นทีน้ำตาซึม ผมรู้ว่าลูกพี่ลูกน้องผมเขาสนิทและห่วงแฟนผมแค่ไหน

ทุกคนไม่พูดอะไรต่อ ราวกับว่าตอนนี้ผมไม่ต้องการคำพูดให้กำลังใจ จนกระทั่งไฟห้องฉุกเฉินดับลงเป็นสัญญาณบอกว่าการช่วยเหลือนั้นสิ้นสุดแล้ว

นายแพทย์ท่าทางมีประสบการณ์นานเดินออกมาพร้อมกับแผ่นชาร์ตเอกสาร เขาบอกว่ากุมภ์ปลอดภัยแล้ว ส่วนจะฟื้นตอนไหนก็ขึ้นอยู่กับเวลาซึ่งคาดว่าไม่นาน ไม่มีการถูกล่วงละเมิดทางเพศที่ช่องทางหลัง นั่นทำให้ผมโล่งใจขึ้นเปราะหนึ่ง

แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเมื่อรู้ว่ากุมภ์ก็ยังถูกข่มขืนอยู่ดี

“ส่วนของทางกายภาพ ร่างกายของผู้ป่วยมีส่วนบอบช้ำอยู่มาก หมอขอให้นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลจนกว่าร่างกายจะฟื้นเต็มที่นะครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสาร “มีอะไรอยากจะถามเพิ่มเติมมั๊ยครับ ผมยินดีตอบเต็มที่”

“เรื่องสภาพจิตใจของเขา...”

“ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยครับว่าจิตใจเขาสามารถทนรับได้มากแค่ไหน ซึ่งหมอก็อยากจะให้ทุกคนคิดในแง่ดีเอาไว้ก่อนว่าผู้ป่วยเข้มแข็งมากพอที่จะผ่านมาได้ แต่ถ้าพูดตามหลักความจริงที่พบส่วนใหญ่แล้ว การที่ถูกขังในที่มืดเวลานานกับโดนกระทำทางร่างกายนั้นกระทบกับจิตใจอย่างมาก บางรายถึงขั้นเสียสติ บางรายกลายเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับวิธีบำบัดสภาพจิตใจที่ต้องขอความร่วมมือกับทั้งคนรอบตัวและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไปนะครับ” เขาพูดและยิ้มให้กำลังใจผม มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาตบบ่า “หมอขอพูดในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่ห่วงคนรักมาก จงอยู่ข้างๆเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นคือยาที่สามารถรักษาบาดแผลทางจิตใจที่ดีที่สุด”

ร่างของกุมภ์ถูกพาขึ้นไปที่ห้องเดี่ยวที่ดีที่สุดตามคำพ่อผมบอก เขาไม่เกี่ยงว่าจะเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ขอแค่ให้ได้อยู่แบบดีที่สุดเท่านั้น ส่วนแม่ก็โทรหาเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์มาช่วยรักษาและตรวจสอบอาการทางจิตใจ พ่อกับแม่ของกุมภ์ที่รู้ข่าวพวกท่านก็แทบใจสลายเมื่อรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับลูกชายคนโต รีบมุ่งหน้ามาที่โรงพยาบาลแห่งนี้พลางบอกว่าจะช่วยออกค่ารักษาครึ่งหนึ่งให้ ยื้อกันไปมากับพ่อผมจนพวกท่านยอมแพ้กับความดื้อของเจ้าของโรงแรม

ผมยังคงไปเรียนตามปกติ แต่พอเลิกผมก็รีบขับรถมานั่งเฝ้าน้องที่กำลังหลับ หลายครั้งที่เขาจะดิ้นทรมานเหมือนว่ายังไม่หลุดออกจากฝันร้าย และผมจับมือเอาไว้ตลอด

 

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมมาเฝ้ากุมภ์ ผมเผลอหลับไปช่วงที่นทีกับพ่อแม่ของกุมภ์ออกไปซื้อของข้างล่าง ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องของลูกพี่ลูกน้องตัวเอง เขากำลังกอดร่างของคนที่ลุกขึ้นมาด้วยความมึนงง แต่ผมแทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่เมื่อเห็นว่าคนที่ผมเฝ้ารอให้ตื่นนั้นเขากำลังกระพริบตาตรงหน้า

ไม่รอให้สมองสั่งการ ใจของผมก็พาร่างตัวเองเข้าไปกอดน้องทันที แต่จู่ๆน้องก็ร้องขึ้นมาเสียงดังมากราวกับว่าไม่อยากให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัว สายตาของเขาดูว่างเปล่าแต่ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทายิ่งกว่าลูกนกตกน้ำ จากนั้นก็โวยวายไล่ปาหมอนปาแจกันดอกไม้ที่อยู่ข้างๆกันไปกลางห้อง

“ออกไป! อย่ามาแตะตัว! ออกไป! ฮึก..”


เสียงของกุมภ์ฟังดูปวดหัวใจ ที่ปวดกว่าคือแม้กระทั่งตัวของผมยังไม่สามารถเข้าไปช่วยทำให้เขาสงบสติลงได้ มีเพียงแค่ว่าทำให้มันแย่ลงไปมากกว่าเดิมเสียอีก

“ออกไปให้หมด! ออกไป! ตอนนี้ตัวผมไม่มีค่าพอให้พี่มาดูแลแล้ว!”

เขากำลังรังเกียจตัวเอง...

ชัดเจนว่ากุมภ์มีอาการกลัว ที่สำคัญคือเขากำลังคิดว่าตัวเองนั้นไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ จิตใจของเขามันโดนทำร้ายจนไม่เหลือชิ้นดี

ซึ่งนั่นมันทำให้ผมโทษตัวเองมากกว่าเก่าที่ผมไม่สามารถช่วยกุมภ์คนเก่าได้ทัน...

กุมภ์ที่อยู่ในห้องตอนนี้เป็นคนที่กำลังเกลียดตัวเอง เป็นคนที่กลัวผู้คน เป็นคนที่ไม่พูดกับใคร เป็นคนที่เก็บตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วร้องไห้อย่างเป็นบ้าเป็นหลังจนผมใจไม่ดี แน่นอนว่าพ่อแม่ของเขาเสียใจเป็นอย่างมาก ขนาดแพทย์ที่แม่พามาดูอาการยังบอกเลยว่าอาการของกุมภ์ตอนนี้มันหนักมากอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ทุกครั้งที่เข้าใกล้ตัวเขาจะเริ่มร้องโวยวายและดิ้นรนไปมา ต่างจากตอนหลับที่ร่างนั้นมันกลับนิ่งจนน่ากลัว

แต่ในขณะที่หลับนั้น เหมือนว่ากุมภ์คนเก่ายังคงอยู่ภายในร่างกาย เขาจะขยับเข้ามาใกล้กับมือผมอย่างไม่รู้ตัวและพยายามเก็บความอบอุ่นให้ได้มากที่สุด

“แม่ว่าจะทำเรื่องให้กุมภ์ดรอปเรียนไปหนึ่งปี” แม่ของกุมภ์พูดมาอย่างนั้น “ถึงร่างกายจะดีขึ้น แต่แม่ไม่อยากให้เขาต้องมาเผชิญกับความกลัว เดือนเข้าใจใช่มั๊ย?”

“ครับ ผมเข้าใจดี จะพาน้องกลับไปอยู่ที่อุบลฯใช่มั๊ยครับ?”

“อื้ม แม่ว่าจะดีกว่าถ้าเขาได้กลับไปอยู่ที่บ้านตัวเอง...เดือนโอเคมั๊ย?”

“เพื่อน้องผมทำได้ทุกอย่างครับ ถึงอยากอยู่ด้วยยังไงแต่ด้วยที่กุมภ์เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ผมก็ไม่อยากให้น้องเสี่ยงมาเจอกับผู้คนเยอะๆในเมืองใหญ่อย่างนี้” ผมมองกุมภ์ที่หายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ยามหลับเขาดูมีความสุข แต่ไม่ใช่กับยามตื่นที่กำลังจมไปอยู่ในฝันร้าย “ระหว่างนี้ผมจะพยายามไปเยี่ยมนะครับ”

“เทียวไปเทียวมาจะไม่เหนื่อยแย่เอาเหรอ?”

“ไม่หรอกครับ ผมเป็นห่วงน้องจริงๆ ผมแย่เองด้วยที่ผมช่วยน้องไม่ทัน...”

“อย่าโทษตัวเองเลยนะเดือน” คราวนี้เป็นพ่อของกุมภ์บ้างที่พูดขึ้นมา “พ่อเชื่อว่าลึกๆแล้วกุมภ์คนเดิมยังคงอยู่ นี่ไง ขนาดตอนหลับยังดิ้นเข้ามาหาเดือนเลย”

เขาหัวเราะเสียงเบา

“ชีวิตคนเรามันก็แบบนี้แหละนะ มีสุข มีทุกข์ แต่พ่อเชื่อว่าเดือนจะจับมือกุมภ์แน่นพอที่จะสามารถดึงกุมภ์ออกมาจากความลึกได้”

พวกท่านกำลังบอกให้ผมเชื่อมั่นในตัวเอง...

“ครับ ผมจะพยายาม”

และผมก็จะเชื่อมั่นว่าผมสามารถพากุมภ์ออกมาจากความกลัวได้

 

“เห็นว่าไอ้นกฮูกกับไอ้สมชาติชื่อโหลนั่นออกจากมหาลัยไปแล้ว” ศึกถือถ้วยก๋วยเตี๋ยวมาให้ผมกลางโรงอาหารท่ามกลางสายตาของผู้คนที่มองมาที่ผม ตั้งแต่เกิดเรื่องมันก็แดงไปทั้งมหาลัยว่าเดือนนิเทศทิ้งคราบพ่อพระเพื่อมาต่อยเพื่อนตัวเองที่จับแฟนไปขังหวังทรมาน หลายคนชื่นชมผมแต่ก็หลายคนเช่นกันที่บอกว่าผมไม่ควรทำแบบนี้ แน่นอนว่าผมเองก็ถูกเหล่าคณะบดีและอาจารย์เรียกไปสอบถามความจริง

ดีหน่อยที่เรื่องกุมภ์ถูกข่มขืนไปด้วยนั้นไม่ได้แดงตาม ไม่งั้นคงมีแต่คนตราบาปน้อง

“อืม กูตามไปคุ้ยถามสาเหตุจากปากมัน มันก็ตอบแค่ว่าเพราะเดือนไปแย่งเขมแฟนเก่ามาจากมัน ทำให้มันแค้น” มะยมตักข้าวเข้าปาก “แค่นั้น”

“เหตุผลน้ำขุ่นมากอะ” ไนท์ร้องขึ้นมา “ความจริงเขมก็ควงผู้ชายไปทั่วมหาลัย ทำไมต้องเล็งมาที่เดือนคนเดียวด้วย”

“เล็งแค่เราคนเดียวก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องไปเดือดร้อนคนอื่น” ผมบอกกับไนท์ที่หน้าเริ่มขึ้นเลือดอีกครั้ง “เรื่องนี้ต้องไปคุยกับเขมให้รู้แล้วรู้รอด...หรือว่าเพราะเขมมาวนกับเรามากเกินไปกัน”

“ก็อาจจะเป็นไปได้ ปกติเขมได้อะไรมาจากผู้ชายคนไหน เขมก็ไม่สนต่อเลยนี่นา ยกเว้นมึงที่ไม่เคยให้อะไรเขม เขมเลยตื้อจะเอาจะควง” ศึกแบ่งเนื้อหมูมาให้ผม “กินเข้าไป ตอนนี้ร่างมึงบางกว่าเก่า แถมตาก็คล้ำๆ ไม่ได้นอนกี่วันแล้วกัน”

“ได้นอนอยู่ แต่กินอะไรไม่ค่อยลงเท่าไหร่เพราะกูห่วงน้องมาก...ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ตัวเลยยกเว้นตอนนอน ต้องรอให้สภาพจิตใจฟื้นมากกว่านี้ถึงจะยอมคุยด้วยได้”

“ขอให้หายไวๆนะ เรื่องที่เกิดมันกระทบกับใจน้องมากแต่กูเชื่อมั่นว่าน้องยังเข้มแข็งที่ผ่านมาได้” มะยมตบบ่าผม “ไปเยี่ยมทีละหลายคนไม่ได้ใช่มั๊ย?”

“อื้ม ยิ่งทำให้น้องกลัว”

“งั้นจะผลัดเข้าไปหาวันละคนนะ”

บทสนทนาจบลงแค่นั้น

พระเจ้า...ถ้าเกิดได้ยินเสียงผม โปรดรับฟังคำอ้อนวอนและได้โปรดเมตตาสงสารคนบาปเช่นผมด้วยเถิด ผมไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้เลยนอกจากว่าขอให้กุมภ์กลับมาเป็นคนเดิม เป็นกุมภ์ที่ยิ้มสวย หัวเราะด้วยน้ำเสียงร่าเริง เป็นกุมภ์ที่คอยหนุนหลังให้ผมเข้มแข็ง เป็นกุมภ์ที่สามารถเดินข้างผมไปได้จนกว่าจะถึงวันที่พวกผมต้องแยกจากกัน

ผมขอแค่ให้กุมภ์กลับมา...ขอแค่นั้น

----------

ช่วงนี้น้องกำลังเขียนนิยายเรื่องใหม่ไปด้วย แต่กว่าจะเขียนจบคงอีกนานเพราะน้องอยากพักสมองสักนิดก่อนจะไปต่อเรื่องใหม่จริงๆ แถมตอนนี้ก็เข้าสู่โค้งการสอบ โค้งการเข้าเรียนต่อ โค้งของการแข่งทักษะ และโค้งชีวิตที่กำลังแย่ลงแต่ก็จะพยายามผ่านไปให้ได้นะ ฮือ

 

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 25

 

เดือน’s talk

 

ตอนนี้ผมมายืนอยู่หน้าบ้านของนกฮูก—คนเดียว

ผมตั้งใจว่าจะมาคุยถามหาสาเหตุที่แท้จริง ผมเชื่อว่านอกเหนือจากการที่เขมมาสนใจผมจนทิ้งเขาไปแล้วยังมีมากกว่านั้นอีก

กิ๊งก่อง

เสียงออกหน้าบ้านดังขึ้นด้วยแรงกดจากนิ้วมือของผม ที่นี่ไม่ใช่บ้านหลังใหญ่โตอะไร อยู่แถบชานเมืองมหานครแห่งนี้ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยตึกขนาดใกล้เคียงกันขึ้นเป็นหลังๆภายในหมู่บ้านเล็กๆ

“มาหาใครครับ?” ผู้ชายวัยประมาณยี่สิบห้าเป็นคนเปิดประตูออกมา ผมยกมือไหว้ทักทายตามมารยาทแล้วจึงเอ่ยออกไป

“ผมมาหานกฮูกครับ”

“งั้นรอแป๊บนะ—นกฮูก! เพื่อนมาหา!”

เขาปล่อยให้ผมเดินเข้าไปในบ้านนั่งรอที่ห้องรับแขก สักพักก็ขอตัวเข้าไปทำงานในห้องของตัวเองต่อ ไม่นานหลังจากที่เขาเข้าไปนกฮูกก็เดินตรงมา สีหน้ายามที่เขาเห็นผมดูท่าทางไม่ดีอย่างชัดเจน ก่อนที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นความบิดเบี้ยวที่ฝืนเสียเหลือเกิน

“มึงมาที่นี่ทำไม?”

“กูมีเรื่องต้องสะสางก่อนที่กุมภ์จะกลับไปอยู่ที่บ้าน”

“อายจนไม่มีหน้าเรียนที่นี่ต่อเลยรึยังไงกัน? สมควร กูรำคาญลูกตาฉิบหาย” นกฮูกยกไหล่ เดินเข้ามานั่งโซฟาตรงข้ามกับผม “ถ้าอยากจับกูเข้าตารางข้อหาทำร้ายร่างกาย พยายามฆ่า แล้วก็ข่มขืน ขอโทษนะ เพราะพ่อกูเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่มีอำนาจพอช่วยกูให้รอดพ้นได้”

ผมเกลียดที่พ่อของมันเป็นตำรวจ แถมยังเป็นตำรวจมียศ ทำให้มีอำนาจในการปกปิดคดีเหล่านี้ได้

“กูบอกแล้วว่ามึงแย่งเขมไปจากกู”

“กูไม่ได้แย่งเขม และมึงไม่มีสิทธิมานอกเรื่อง” พอเสียงแข็งใส่มัน มันก็สะดุ้งนิดๆก่อนที่จะหัวเราะออกมาด้วยความเย็นชา “มีอะไรน่าตลกรึยังไงกัน มึงทำลายจิตใจน้อง มึงทำลายตัวกุมภ์ มึงทำลายทุกๆอย่างในตัวกุมภ์จนเขากลัวแล้วหนีไป มึงคิดเหรอว่ากูสามารถให้อภัยมึงได้อย่างหล่อๆเหมือนในนิยาย?”

“กูไม่หวังให้มึงให้อภัยกูอยู่แล้วในเมื่อกูเองก็ไม่ให้อภัยมึง”

“มึงตอบมาให้หมดก่อนที่กูจะหมดความอดทน”

“ตลกดีนะที่คราวนี้มึงกลับเป็นคนหัวร้อนแทนกู ไหนล่ะเดือนที่แสนสุขุมที่เขมวิ่งตามมาตลอด ถ้าได้มาเห็นตอนที่ร้องไห้เอาเป็นเอาตาย เห็นตอนที่มึงกำลังโทรมอย่างนี้ก็คงร้องอี๋” นกฮูกจีบปากดัดเสียง “พี่เดือนตอนร้องไห้ขี้มูกโป่งนี่น่าเกลียดเกินไปแล้ว”

ผมกำหมัดแน่น มันกำลังจงใจปั่นผมให้โมโหแล้วไปต่อยมันเข้า ถ้าผมทำมันก็สามารถฟ้องผมกลับข้อหาทำร้ายร่างกายได้เช่นกัน

“มึง-เล่า-มา-ให้-หมด”

“...ก็ได้ๆ ถือว่าสงสารมนุษย์หน้าโง่คนหนึ่งที่จนปัญญาช่วยแฟนตัวเอง” นกฮูกยิ้มอีกครั้ง เขาเอามือเท้าคางกับโต๊ะ ค่อยๆคนชาในแก้วไปมา สายตาจ้องมาที่ผมที่พยายามนิ่งเอาไว้ให้ได้มากที่สุด “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

“กูผู้ซึ่งกำลังคบกับเขมอย่างมีความสุขนั้นก็เริ่มรู้สึกได้ว่าเขมแปลกไป เธอให้ความสนใจกับผู้ชายคนหนึ่งที่มาจากอุบลฯ เป็นผู้ชายดูดีมีการศึกษา เธอยอมทิ้งแฟนตัวเองเพื่อมาไล่ตามจีบผู้ชายคนนั้นซึ่งประกาศตัวชัดเจนว่าเป็นเกย์ แม้ว่าจะเป็นเกย์ เขมก็ยังคงตามตื้อโดยระหว่างนั้นก็ควงผู้ชายคนอื่นไปด้วย กูไม่เจ็บใจที่เขมควงคนอื่นเพื่อหวังผล แต่กูเจ็บใจที่เขมอยากคบกับมึง

“เขมบอกว่าเพราะกูมันโง่ ไม่ได้ฉลาดเหมือนมึง เพราะกูมันไม่ได้หน้าตาดีเท่ามึง เพราะกูเป็นคนพูดไม่รักษาน้ำใจเท่ามึง เพราะเวลาเดินไปไหนมาไหนกับกูทำให้เธอดูเหมือนคนแย่ๆ เธอไม่ชอบสายตาคนเวลามองมาที่เธอคล้ายว่าดูถูก ในขณะที่เดินกับมึงรู้สึกดีกว่า เป็นที่น่ามองกว่าเป็นไหนๆ และมึงเข้าใจใช่มั๊ยว่าเวลาคนถูกทิ้งมันเจ็บแค่ไหน! ใช่! แม่งโคตรเจ็บเวลาโดนตอกย้ำ! กูเลยต้องวางแผนใส่มันกุ้งที่มึงแพ้นักแพ้หนาลงไป อาศัยช่วงที่มึงโง่เป็นหวัดพอดี แต่มึงก็รอดมาได้เพราะไอ้เด็กนั่น!

“น้องกุมภ์...ที่มึงรักยิ่งกว่าไข่ในหิน พยายามจะเอาเรื่องผิดกับกูให้ได้ กูเลยเห็นโอกาสดีๆที่จะทำร้ายหัวใจของมึง กูอยากเห็นมึงทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็นเมื่อรู้ว่าน้องของมึงมันไม่ได้บริสุทธิ์เป็นผ้าขาว แต่กลับต้องมาเปื้อนเพราะคนเลวๆอย่างกูนี่แหละ! และตอนนี้กูก็สะใจมากด้วย!”

ผมไม่พูด ผมรู้ดีว่าผมเสียใจที่กุมภ์ไม่ได้เป็นผ้าขาวแต่นั่นไม่ใช่เพราะผมอยากเป็นคนลงมือทำน้องเปื้อนเป็นคนแรก

ผมโกธรที่คนตรงหน้าไม่ทำเพียงแค่ทำผ้าให้กลายเป็นสีดำ เขาฉีกกระชากไม่เหลือชิ้นดีซ้ำจนยากที่จะเย็บคืนได้

“เงียบ...เงียบเลยสิ!”

“กูจะบอกเอาไว้อย่างหนึ่งว่าถึงมึงจะทำลายน้องไปแค่ไหน แต่กูก็จะรักษาบาดแผลของน้องให้กลับมาดีมากกว่าเก่า”

“มึงคิดเหรอว่าจะรักษาได้? ไม่ใช่ป่านนี้น้องมันกลายเป็นบ้านอนดิ้นไปมากลางโรงพยาบาลให้หมอโรคจิตรักษาแล้วเหรอ? มึงอย่าฝันกลางวันอีกเลยไอ้เดือน มึงก็แค่โง่ มะโนไปวันๆว่ามึงกับน้องกำลังวิ่งเล่นอยู่กลางทุ่งหญ้าทั้งที่มันเป็นทุ่งหนามบ่ง ทุกการกระทำโลกสวยของมึงมันกำลังทำให้ใครอีกคนต้องเจ็บปวด ทุกคำพูดของมึงกำลังแทงหัวใจของใครอีกคน ซึ่งคนนั้นก็คือกู”

นี่ไม่ใช่นกฮูกที่ผมรู้จัก...เขาดูบิดเบี้ยวอย่างชัดเจน ชัดจนผมเริ่มกลัวว่าเขาสามารถหยิบมีดในครัวมาฆ่าผมได้

“กูสามารถดึงน้องกลับมาได้แน่นอน ถึงจะทำไม่ได้กูก็จะอยู่ข้างๆกุมภ์คนนั้นตลอดชีวิต เพราะกูรู้ว่ากุมภ์ตัวจริงยังคงอยู่ภายใน”

“คำพูดพระเอกชะมัด ขยะแขยง”

ผมลุกขึ้น สะพายกระเป๋าเตรียมจะกลับไปที่โรงพยาบาลที่กุมภ์กำลังรักษาตัว นกฮูกลุกขึ้นตามแล้วทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีเปิดประตูให้

“ที่นี่ยินดีต้อนรับคนจิตไม่ปกติอย่างมึงเสมอนะ...เดือน”

“คนที่จิตไม่ปกติคงจะเป็นมึงมากกว่านะนกฮูก ไม่มีใครเขายิ้มกับความทุกข์ของคนอื่นหรอก และกูจะบอกอีกอย่างกับมึงด้วย”

ผมตัดสินใจที่จะกระชากคอเสื้ออดีตคนที่ผมเรียกว่าเพื่อนให้เข้าใกล้หน้า กระซิบข้างๆหูของมันด้วยน้ำเสียงที่ผมไม่มีวันที่จะใช้กับกุมภ์เด็ดขาดว่า

“คำพูดของกูมันพระเอกเพราะมึงเป็นแค่ตัวร้ายที่สุดท้ายก็มีคนโจษจัณฑ์ว่าเป็นไอ้สารเลวแสนขี้ขลาดใช้อำนาจพ่อตัวเองหลบหนีเท่านั้นแหละ”

ผมผละตัวออก แต่ก่อนที่จะได้เดินกลับมาที่รถ ชายคนที่เปิดประตูรับผมในตอนแรกนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาหาผมพร้อมกับสีหน้าเศร้า

“...คือว่า ลืมพูดถึงเรื่องของนกฮูกไป”

“คุณไม่มีสิทธิที่จะพูดถึงเขาหรอกครับเพราะผมไม่อยากรับฟังหรือรับรู้ถึงเรื่องของคนแบบนั้นอีก”

“ฟังเถอะนะ จะโกธรจะอะไรก็ได้ แต่นกฮูกเขามีอาการทางจิต”

“...”

“เขาต้องได้รับการรักษา ที่พ่อช่วยเขาก็เพราะว่าจะพาเขาไปรักษาอาการ เรื่องอาศัยบารมีนั่นมันเป็นแค่ข่าวลือ หลังจากที่นกฮูกดีขึ้นจะพาไปดำเนินคดีตามกฎหมาย และจะพาไปขอขมาตอนที่เขาหายดี”

“แต่พวกคุณก็ไม่ควรปล่อยให้เขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก”

“พวกเราไม่คิดว่าอาการของเขามันจะหนักถึงขนาดนี้ ขอเถอะนะ ให้เขาได้กลับมาขอโทษในสิ่งที่ทำ ให้เวลาเขาได้สำนึกในสิ่งที่ทำ—ไม่ต้องให้อภัย ขอแค่นั้นนะ”

“...ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

“...”

“แต่สิ่งที่เขาทำมันร้ายแรงเกินไป มันได้ทำลายชีวิตคนคนหนึ่งไปแล้ว ผมไม่อยากให้โอกาสเขาในการมาสำนึกกับสิ่งที่ทำไปแม้ว่าจะมาจากอาการป่วยของเขาก็ตาม”

ผมไม่ใช่คนที่สามารถให้อภัยได้แม้กระทั่งคนป่วยอาการทางจิต ใครจะมองว่าผมมันร้าย ไม่มีความเป็นมนุษย์ผมก็ไม่สนใจ ผมไม่ใช่พ่อพระ และผมก็ไม่ใช่คนดีมากพอที่จะอโหสิกรรมให้กับคนที่ทำลายชีวิตของคนที่ผมรักได้

ต่อให้คนทั้งโลกมองว่าผมเลว...ผมก็ยอมเลวเพื่อกุมภ์

 

 ผมมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ได้เดือนกว่าๆแล้ว กุมภ์เริ่มพอที่จะคุมสติกลับมาได้บ้าง แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะให้พวกผมแตะเนื้อต้องตัวได้—ความจริงต้องบอกว่าไม่มากพอที่จะให้ผู้ชายมาแตะได้ เพราะแม่ของเขา อุ้ม และแนนเท่านั้นที่คอยเช็คไข้เช็คอะไรตลอด

“...ขอบคุณนะ...”

กุมภ์เอ่ยคำขอบคุณเมื่ออุ้มถือแก้วน้ำให้กุมภ์ดื่ม เขาไม่ได้ยิ้ม เขานิ่ง นิ่งเกินไป สายตาของเขามันเหม่อลอย ขนาดน้ำเสียงยังนิ่ง

พวกผมทุกคนเคยพูดถึงอาการของกุมภ์ที่เหม่อขนาดนี้กัน จนพวกเราได้ข้อสรุปจากจิตแพทย์ว่าเขากำลังพยายามปกป้องตัวเอง เปลี่ยนให้กลายเป็นคนที่ไม่รับรู้ความรู้สึกอะไร สิ่งใดก็ตามที่ไปกระทบถึงข้างในของเขาก็สามารถทำให้อาละวาดได้ ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการที่ค่อยๆทำให้เขาสามารถกลับมาเชื่อใจได้อีกครั้ง

“กุมภ์ อยากกินอะไรอีกมั๊ย?”

“ไม่ อยากนอนเฉยๆ พวกมึงกลับไปเถอะนะ” กุมภ์ส่ายหน้าปฏิเสธ พวกเธอจึงยิ้มอ่อนรับแล้วเดินมาทางผมพร้อมกับถอนหายใจ

“ถึงจะไม่อาละวาด แต่ก็เหม่อมากเหมือนกำลังจมกับอะไรอยู่ ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว”

“ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนกุมภ์นะ ไปพักผ่อนเถอะ พี่จะเฝ้าต่อเอง”

“มะรืนนี้กุมภ์ก็จะกลับบ้านตัวเองแล้ว พี่เดือนจะไปส่งมันมั๊ย?” อุ้มถามด้วยความเป็นห่วง “หนูรู้ว่าลึกๆมันอยากให้พี่ไปส่ง แต่หนูว่ามันจะไม่กล้าพูดออกมาเพราะความกลัว”

“ไปสิ ไปแน่นอน”

“งั้นพวกหนูกลับก่อนนะ พรุ่งนี้มีควิซ”

ผมโบกมือลาเพื่อนของกุมภ์ที่อยู่ในห้อง พอทุกอย่างเงียบลง ผมก็ได้ยินเสียงกุมภ์กำลังขยับตัวเตรียมนอน ผมอยากเข้าไปช่วยประคองแต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ น้องยังคงกลัวสัมผัสจากผู้ชายกันเองอยู่

“สะดวกมั๊ยกุมภ์”

“ครับ”

“มะรืนนี้กุมภ์จะได้กลับบ้านแล้วนะ ดีใจมั๊ย?”

“ครับ”

ตลอดที่ผ่านมากุมภ์หลบสายตาผม พร้อมกับถามคำตอบคำด้วย ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีผมขนาดนั้นกัน “กุมภ์ยังจำวันที่พี่บอกว่าจะพาไปเที่ยวได้รึเปล่า? เอาไว้หายดีแล้วพี่จะพาไปนะ”

“ครับ”

“กุมภ์ยังจำวันที่พี่ทำปากกาหล่นได้ดีใช่มั๊ย วันนั้นเป็นวันแรกที่เราได้เจอกัน ถึงจะไม่น่าประทับใจเท่าไหร่แต่วันนั้นก็เป็นวันที่ทำให้พี่เริ่มรู้จักกับคนที่พี่คิดว่าเป็นคนที่สามารถอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตได้” แต่ในตอนนี้กุมภ์พร้อมจะไปจากผมได้ทุกเวลา... “กุมภ์ยังจำวันที่มีคนเข้ามาจีบพี่ได้รึเปล่า แล้วพี่ก็ได้เจอกุมภ์อีกครั้ง พวกเราคุยกันนิดหน่อย พูดถึงเจ้าฝุ่นที่หลังโรงเรียนกัน”

“ครับ”

ยิ่งนับวัน หัวใจของผมมันก็เริ่มอ่อนแอกลับไปเหมือนเมื่ออดีต แต่ถ้าเทียบแล้วกุมภ์ร้ายแรงกว่าผมมากทีเดียว ผมไม่แปลกใจที่เขาจะไม่สามารถทนมันไหวจนต้องบิดเบือนตัวเองเช่นนี้

“กุมภ์...พี่ขอร้องล่ะ...กลับมายิ้มไวๆเหมือนที่ผ่านมาได้รึเปล่า...”

ทันใดนั้นน้ำตาผมก็ร่วงเผาะ

มันเจ็บปวด มันทรมาน พวกเราแบ่งปันห้องหัวใจให้กันทำให้สามารถรับรู้ความเจ็บปวดเหล่านั้นได้ดี แต่พวกผมเองก็ไม่สามารถช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ มันจึงกลายเป็นแผลที่ลึกยากจะสมาน

กุมภ์มองผมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปชั่วขณะ มือของเขาข้างหนึ่งพยายามยกขึ้นมาเหมือนจะมาเช็ดน้ำตาให้ผม แต่มือของเขาก็สั่นมาก

เขากำลังสู้กับตัวเอง

“กุมภ์...ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนเช็ดน้ำตาให้พี่เลย ค่อยเป็นค่อยไปเถอะนะ ไม่ต้องรีบ พี่รอวันที่กุมภ์จะกลับมายืนข้างๆพี่ได้อีกครั้งอยู่นะ”

“...ผม...ผม...”

“ใจเย็นไว้นะเจ้าปลา ต่อให้พี่ต้องรอทั้งชีวิต พี่ก็จะรอ” ผมยิ้มให้เขา สายตาของกุมภ์กลับมีประกายขึ้นมาอีกนิดเหมือนเขากำลังกลับเข้ามาสู่โลกที่ควรจะอยู่ ถึงกระนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะหลับตาลงนอน ผมไม่ได้ว่าอะไร ผมขอแค่น้องมีปฏิกิริยาเพิ่มเติมอีกสักนิดอย่างนี้ผมก็ดีใจมากพอแล้ว มันเป็นการย้ำเตือนว่ากุมภ์ยังคงอยู่ แค่รอเวลาให้เขากลับมาเข้มแข็งมากพออีกครั้งเท่านั้น

เมื่อกุมภ์หลับไป ผมก็เดินออกมาตรงระเบียงมองทิวทัศน์เมืองกรุงที่มีแสงไฟสว่าง สายลมค่อยๆพัดพาความหนักใจของงวันนี้ออกไปเพื่อเตรียมกับความทุกข์ในวันข้างหน้า ยามที่ความเย็นสัมผัสหน้านั้นมันช่วยทำให้ผมรู้สึกเบา

“เธอน่ะ”

ผมหันไปตามเสียง ข้างซ้ายมีชายอายุมากคนหนึ่งกำลังยืนถือกล้องถ่ายเมืองใหญ่นี้อยู่

“มีเรื่องทุกข์ใช่มั๊ย?”

“ครับ?”

“ฉันเองก็เคยมีเรื่องทุกข์แบบนี้ในอดีตเหมือนกัน แต่พวกเราทั้งคู่ก็สามารถผ่านมันไปได้ แถมยังมีความสุขในการใช้ชีวิตมากกว่าเก่าเมื่อเราเปิดใจยอมรับโลกแห่งความน่ากลัวนี้” เขาไม่ได้หันหน้ามา ตรงนั้นเป็นจุดมุมอับแสงที่ทำให้ผมมองไม่เห็นว่าเขามีหน้าตาอย่างไร แต่ด้วยส่วนสูงที่คาดว่าเท่ากับผม ก็คงจะเป็นชายหน้าตาดีพอควร

“คุณหมายความว่ายังไงครับ?”

“โลกแห่งความน่ากลัว...แค่ชื่อก็รู้สรรพคุณแล้ว แต่ว่าเอาจริงๆมันเป็นสิ่งที่เพิ่มเติมสีสันให้กับชีวิตมนุษย์ ถ้าพวกเรามีแต่ความสุขตลอดเวลามันคงเป็นโลกที่น่าเบื่อมาก และเชื่อเถอะว่าพวกเราได้บทเรียนล้ำค่ามาจากโลกใบนั้นกันทุกคน” เสียงชัตเตอร์ดังแข่งกับลม เขากดถ่ายรัวๆไม่ยั้งเหมือนว่าเขาใกล้จะถึงเวลาที่ต้องไปที่อื่นแล้ว “ฉันเองก็ไม่รู้จะพูดอธิบายยังไงให้เข้าใจนี่สิ อุตส่าห์มีชื่อเป็นนักเรียนดีเด่นที่โรงเรียนเก่าแล้วแท้ๆ”

“สิ่งที่คุณพูดทำให้ผมนึกถึงตัวเองเลยครับ”

ชายคนนั้นหัวเราะดังฮึเป็นเสียงนุ่มๆ

“เธออยากจะระบายอะไรให้ฟังมั๊ย?”

“ครับ?”

“ฉันก็แค่มาแล้วก็จากไป...บางทีการที่ได้พูดความในใจกับคนแปลกหน้าอาจจะดีกว่าเพราะว่าในอีกไม่นานคนแปลกหน้าคนนั้นก็จะลืม”

“…”

“ถ้าไม่สะดวกใจก็ไม่ต้องเล่าก็ได้”

“ผมเจอกับน้องครั้งแรกเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นผมเป็นเด็กม.6 ที่เอาแต่อ่านหนังสือ พยายามเรียนให้ได้ดีมาตลอด จนกระทั่งน้องเข้ามาในชีวิตผม เขาพาผมทำสิ่งต่างๆมากมายที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ผมรู้สึกสนุกกับมัน และเริ่มเข้าใจตัวเองว่าที่สนุกได้นั้นมันเป็นเพราะมีเขาอยู่ข้างๆด้วย ผมสารภาพความจริงกับเขาไปว่าผมชอบเขา จากนั้นพวกเราก็เริ่มคุยกันจนสามารถขยับความสัมพันธ์มาเป็นแฟนกันได้” ผมเหม่อมองไปที่แสงไฟหลายสี “ผมบอกกับน้องว่าผมจะเข้มแข็งมากพอ ผมจะปกป้องน้อง แต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถทำได้ ตอนนี้น้องกลายเป็นอีกคน กลายเป็นคนที่ไม่ยิ้ม เป็นคนนิ่งจนไม่สามารถนึกได้ว่าเขากำลังคิดอะไร เขากลัวสิ่งรอบตัว เขากลัวไปทุกอย่าง

“มันเป็นเพราะผมเองที่คิดว่าตัวเองสามารถรักษาน้องเอาไว้ในอ้อมกอดได้ แต่ก็เผลอปล่อยให้หลุดหายไป”

“เขาไม่ได้หายไปไหนหรอกนะ” ชายคนนั้นเอ่ยเสียงเบา “เขายังคงอยู่ภายใน เขารอวันที่พร้อมจะออกมา เขารอวันที่เขาแน่ใจแล้วว่าจะปลอดภัยพอที่เขาสามารถก้าวเดินได้อีกครั้ง ทุกคนล้วนมีอดีตเจ็บปวดมากน้อยแตกต่างกัน ถ้าเธออยากจะช่วยน้องจริงๆล่ะก็เธอต้องพยายามด้วยความสามารถของตนเอง ไม่ใช่หวังร้องขอจากพระเจ้าอย่างเดียว

“ผมรู้ว่าเขายังอยู่ข้างใน แต่ผมกลัวว่าเขาจะไม่ยอมออกมา ผมไม่อยากเสียเขาไปจริงๆ...”

“…”

“ผมรักเขา--รักยิ่งกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก”

“ถ้าเธอรักเขา เธอต้องรักตัวเองด้วยเข้าใจมั๊ย?”

“...”

“เขาคงไม่อยากให้เธอต้องมาโทษตัวเองซ้ำๆเหมือนตัวเองหรอกนะ”

“…”

ใช่ กุมภ์เคยโทษตัวเอง และผมก็เป็นฝ่ายที่บอกเขาว่าอย่าโทษตัวเองด้วย

ผมลืมไปสนิทเลยว่าผมนั้นก็กำลังกดตัวเองให้ต่ำลง

“ขอบคุณนะครับที่แนะนำผม”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันต้องไปแล้วล่ะ พยายามเข้าไว้นะ เพื่อตัวเองและกุมภ์

เดี๋ยวนะ?

“คุณครับ! คุณรู้ได้ยังไงว่าน้องชื่อกุมภ์และเขาเคยโทษตัวเอง?! เดี๋ยวครั---อ่ะ...” จู่ๆสายลมก็พัดแรงมากขึ้นจนผมไม่สามารถลืมตาได้ มารู้ตัวอีกทีผมก็สะดุ้งขึ้นมาแล้วเห็นว่าตัวเองกำลังนอนบนโซฟาภายในห้องพักกุมภ์เสียแล้ว

ฝันเหรอ?

มันสมจริงมาก อาจจะเพราะความเหนื่อยของผมที่ทำให้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้ แต่ยังไงซะผมก็รู้สึกขอบคุณชายคนนั้นในความฝันอยู่ดีที่ให้คำแนะนำและเตือนสติผมว่าอย่าโทษตัวเองให้มากกว่านี้ไม่งั้นกุมภ์จะผิดหวัง

ผมต้องพยายามช่วยน้องด้วยตัวเอง ไม่ควรไปนั่งอ้อนวอนพระเจ้าอย่างเดียว

ผมเดินตรงไปหากุมภ์ที่กำลังหลับสนิท สีหน้าไร้ซึ่งความหวาดกลัวแต่กลับกำลังยิ้มอย่างมีความสุข เส้นผมสีน้ำตาลเข้มนั้นยาวขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็ยิ่งทำให้หน้าตาดูดีขึ้น ผมจึงค่อยๆไล้เส้นผมนั้นไปมาแล้วหยุดที่การก้มลงใช้ริมฝีปากประกบจูบไปยังส่วนเดียวกันอย่างไม่นึกรังเกียจ

“กุมภ์---พี่จะช่วยเราออกมาเองนะ อย่ากลัวอีกต่อไปเลยคนดี พี่จะอยู่ข้างกุมภ์ไม่ว่ากุมภ์จะอยู่ส่วนไหนของจิตใจ กุมภ์จำเอาไว้ว่าพี่จะปกป้องจิตใจแสนอ่อนโยนของกุมภ์ พี่จะดูแลร่างกายอันแสนอบอุ่นของกุมภ์”

น้องขยับเข้าหาผมมากขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจของเรากลายเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง ปลายจมูกของสองเราแตะกัน ผมค่อยๆเกลี่ยหยอกล้อเพราะผมไม่เคยทำแบบนี้กับกุมภ์มาก่อน

“พี่จะรักและใส่ใจกุมภ์...ตลอดไป

 

สองวันต่อมาผมมาส่งกุมภ์ที่สนามบินพร้อมกับพ่อแม่ของเขาที่จะกลับพร้อมกัน ผมทำเรื่องดรอปเรียนให้น้องด้วยมือตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่น ส่วนเพื่อนๆของเขาก็ไม่อยากมาหลายคน จึงส่งนทีมาเป็นตัวแทนคนเดียว

“อีกหนึ่งปีค่อยกลับมาเรียนใหม่นะกุมภ์” นทียืนอยู่ห่างๆกุมภ์ เขาไม่กล้าเข้าใกล้เพราะกลัวว่าเพื่อนตัวเองจะร้องลั่นสนามบิน จิตแพทย์ก็นั่งเครื่องไปกับกุมภ์เพื่อไปทำเรื่องย้ายโอนสิทธิดูแลรักษาให้กับโรงพยาบาลทางนั้นด้วย

“อืม” กุมภ์ทำแค่พยักหน้า แม่ของเขาลูบบ่าลูกชายเบาๆด้วยความเป็นห่วง “ไม่ต้องห่วงหรอก จะพยายามหายนะ”

“งั้นกูไปก่อนนะ พี่เดือน ฝากส่งกุมภ์ด้วยนะพี่”

ผมพยักหน้าให้นทีที่เดินจากไป ส่วนผมก็ตามครอบครัวกุมภ์เรื่อยๆจนกระทั่งมานั่งที่สตาร์บัค พ่อกับแม่ของเขาพากันไปซื้อน้ำที่เคาท์เตอร์ ปล่อยให้กุมภ์อยู่กับผมตามลำพัง

“พี่เดือน”

“ครับ”

“พี่เดือน...รังเกียจผมมั๊ยที่ผมไม่ได้เป็นผ้าขาวอีกต่อไป”

ผมมองหน้ากุมภ์ เขาเริ่มแสดงความรู้สึกออกมาให้ผมเห็นอีกอย่างก็คือความเจ็บปวด ผมจึงไม่ลังเลที่จะยื่นมือออกไปสัมผัสกับใบหน้าของเขา

แน่นอนว่าเขารีบปัดมือผมทิ้ง

“อะ...ผมขอโทษ...”

“พี่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษเราตังหากที่ใจร้อนอยากจะช่วยปลอบทั้งที่รู้ดีกุมภ์ยังกลัวสัมผัสอยู่” ผมยิ้มบางให้ “กลับไป...พยายามคุยกับน้อง พยายามคุยวิดีโอกับพี่ได้มั๊ย? มีอะไรเล่าให้พี่ฟังให้หมด พี่ยอมรับกุมภ์ได้หมดไม่ว่าจะกลายเป็นคนแบบไหน แต่กุมภ์ก็ยังคือกุมภ์ เป็นกุมภ์ที่พี่รักและหวงที่สุด”

กุมภ์หลบสายตามองพื้น มือทั้งสองข้างกำแน่น สนามบินคนเยอะเกินไป เขากำลังรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ

“กุมภ์ ที่นี่ไม่มีใครรู้จักกุมภ์หรอกนะ”

“แต่ว่า...”

“กุมภ์ ฟังพี่ให้ดีๆ กุมภ์เคยดึงพี่ออกจากจุดที่ต่ำสุดในชีวิตมาแล้ว คราวนี้พี่จะเป็นคนดึงกุมภ์ออกมาจากจุดนั้นเอง ไม่ว่าจะใช้เวลามากแค่ไหน จะเหนื่อยแค่ไหน พี่ก็จะทำ” ผมโน้มน้าวให้น้องคล้อยตาม กุมภ์กัดริมฝีปากเหมือนกำลังคิดอะไรด้วยสีหน้านิ่งๆนั้น ทำให้ผมสบโอกาสที่จะเนียนจับมือโดยที่เขาไม่รู้สึก “ตัวของกุมภ์ไม่ได้หมดคุณค่า และตัวของกุมภ์มันไม่สามารถประเมินตีเป็นมูลค่าได้ เพราะว่าล้ำค่าเกินไป”

“แต่ผมก็ยังถูก...”

“คนอื่นจะมองยังไงก็ช่าง พี่ พ่อแม่กุมภ์ เพื่อนๆของกุมภ์ ทุกคนมองว่ากุมภ์เป็นคนที่สำคัญ เป็นคนที่ล้ำค่า เป็นคนที่ไม่สามารถตีราคาได้” มือของกุมภ์ยังคงนุ่มเช่นเคย เขาเริ่มมีน้ำตาซึมออกมานิดๆ ผมจึงลองใช้มืออีกข้างที่ว่างเกลี่ยน้ำตาเหล่านั้น

และรอบนี้กุมภ์ไม่ได้ปัดมือผมออก

“ผมกลัว กลัวมากว่าพี่จะทิ้งผมถ้าผมไม่ใช่กุมภ์คนที่เข้มแข็งเหมือนเดิม ผมกลัวว่าพี่จะมองผมเป็นคนสกปรก ไม่บริสุทธิ์ ผมกลัวว่าพี่จะไม่อยู่ข้างๆผม ในตอนที่ผมอยู่ในห้องนั้นความกลัวมันกินใจผมเรื่อยๆเลย” กุมภ์เอามือปิดหน้าตัวเอง พยายามกลั้นน้ำตา ผมปล่อยให้เขาทำไปเพราะไม่อยากฝืนใจ “ผมหมดความหวัง ผมไม่เหลืออะไร”

“ไม่เป็นไรนะคนดี นี่ไง พ่อกับแม่ซื้อกาแฟของชอบกุมภ์มาให้แล้วนะ ดื่มสักหน่อยสิ” พ่อกับแม่กุมภ์เดินเข้ามาวางแก้วกาแฟร้อนสองแก้วบนโต๊ะ ส่วนพวกท่านก็เดินไปนั่งโต๊ะบริเวณใกล้ๆกันเพราะไม่อยากกวนเวลาของพวกเรา กุมภ์เหลือบมองแก้วนั้นไม่นานก็ยื่นมือออกไปถือรับความอบอุ่นจากควันร้อนของความขมที่มนุษย์หลงใหล

“ผมเคยมองว่าชีวิตคือควัน ลอยมาทำหน้าที่แล้วก็จางหายไป เหมือนกับผมตอนนี้”

“กุมภ์ไม่ใช่ควันพวกนี้หรอกเชื่อพี่สิ” ผมค่อยๆยกแก้วตัวเองขึ้นมาพิจารณา มองซ้ายขวาทำท่าทางแปลกให้กุมภ์รู้สึกสงสัย “เพราะควันพวกนี้ไม่ได้มีชื่อว่ากุมภ์นี่”

“พี่เดือน...” กุมภ์ระบายฮึออกมาเล็กน้อย ปากจิบกาแฟ “...ผมจะพยายามแล้วกันนะ...”

“พยายามเรื่องอะไร? บอกพี่ได้มั๊ยครับ?” ผมแกล้งซื่อตีหน้าไม่รู้ความหมายที่น้องต้องการสื่อ การที่กุมภ์พูดว่าจะพยายามนั้นมันเป็นสัญญาณที่ดีว่าเขากำลังจะต่อสู้กับความกลัว ความหวาดระแวงภายในจิตใจของเขาเอง แต่คนที่เพิ่งพูดเมื่อกี๊ชักสีหน้าไม่พอใจนิดๆที่ผมแกล้งโง่

“พี่ก็คงรู้อยู่แก่ใจว่าผมหมายถึงอะไร”

“ไม่แกล้งแล้วครับ ไม่แกล้งแล้ว” ผมหัวเราะ “แล้วก็ไม่ใช่แค่กุมภ์หรอกที่ต้องพยายามคนเดียว พี่ก็จะพยายามด้วยเช่นกันที่จะรักษากุมภ์ให้อยู่ในอ้อมกอดพี่ตลอดไป...กุมภ์เองก็ช่วยพี่ด้วยนะครับ”

“ผมไม่สามารถยืนยันได้หรอกนะว่าผมจะช่วยพี่ได้รึเปล่าถ้าผมยังไม่ดีขึ้น ผมเองก็อยากหายกลัวแต่ผมคงทำไม่ได้ในเร็ววัน...”

“พี่ไม่ได้เร่งให้กุมภ์ต้องรีบหายเสียหน่อย ค่อยเป็นค่อยไปไง...เข้าใจนะ? กุมภ์เป็นเด็กฉลาดอยู่แล้ว กุมภ์เก่งอยู่แล้ว กุมภ์เข้าใจแน่นอน” ผมยกมือลูบศีรษะคนตัวเล็กกว่าไปมา กุมภ์ปล่อยให้ผมทำ ท่าทางเข้าดีขึ้นมาอีกนิด ผมจึงหันไปทางพ่อกับแม่ของเขาที่พยักหน้าให้กับความสำเร็จอีกขั้นที่ช่วยทำให้กุมภ์ลดความเกร็งลง “ปะ ถ้าดื่มเสร็จแล้วพี่จะไปส่งถึงเกทเลย”

“พี่เดือน”

“หืม?”

“อย่าทิ้งผมนะ”

“…”

“สัญญากับผม...ว่าจะไม่ทิ้งผม”

“แน่นอนอยู่แล้วเจ้าปลา พี่ไม่ทิ้งปลาตัวเดียวที่ทำให้พี่มีความสุขได้หรอก ไม่มีวันเด็ดขาด”

แล้วเขาก็ยิ้มออกมา มันไม่ใช่ยิ้มกว้าง แต่เป็นยิ้มที่บ่งบอกว่าเขาเชื่อมั่นในคำพูดของผม

ผมไม่มีวันทอดทิ้งกุมภ์แน่นอน เพราะกุมภ์คือคนที่ผมตั้งใจจะใช้ชีวิตไปด้วยกันจนแก่เฒ่า และผมไม่สามารถหาใครมาทดแทนกุมภ์ได้อีกแล้ว

----------

แม้แต่คนป่วยทางจิต แต่ถ้าทำลายใครคนหนึ่งไปแล้ว พี่เดือนก็ไม่สามารถให้อภัยได้ นี่แหละพี่เดือนที่เข้มแข็งขึ้นของเรา ไม่รับคำขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องแสนสาหัสกับน้องกุมภ์

แล้วคนที่คุยกับพี่เดือนคือใครหว่า--ฝันนั่นแหละ

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 26

 

ผมกลับมาอยู่ที่บ้านตัวเองได้ประมาณหกเดือนแล้ว

ทุกคนยังคงส่งข้อความเป็นห่วงผมมาถามไถกันตลอด ผมรู้สึกดีขึ้นมากเมื่อรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แต่ผมก็ยังกลัวอยู่ดีกับความมืดและความเดียวดาย ทุกๆวันมีนาก็เข้ามานอนเป็นเพื่อนผมโดยไม่บ่นสักคำ แถมยังบอกอีกว่าเหมือนตอนสมัยเด็กๆที่ต่างคนต่างไม่ยอมนอนเพราะอยากเล่นต่อจนแม่ต้องขึ้นมาดุ

แต่พอถึงช่วงที่พี่เดือนวิดีโอคอลมา มีนาก็จะออกจากห้องไปให้ผมได้ใช้เวลาร่วมกับแฟน

แฟนที่ไม่นึกรังเกียจในสิ่งที่ผมนั้นได้กลายเป็น

เขาปลอบโยนผม เขาให้กำลังใจผม บอกว่าไม่ได้เร่งให้ผมหายจากความหวาดกลัว ถามตลอดว่ากินข้าวครบทุกมื้อมั๊ย ได้ดูแลสุขภาพรึเปล่า การที่เขามาใส่ใจคนอย่างผมนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังมีคุณค่าในสายตาของเขา ผมยังมีตัวตน ผมยังมีความรู้สึกทุกครั้งที่เขาทำดีด้วย น้ำตามันเอ่อตลอดเวลาที่เขาโทรมา

ผมทั้งคิดถึงและโหยหายอ้อมกอดอบอุ่นนั้นเหลือเกิน

เมื่อไหร่กันที่ผมจะสามารถนำความเข้มแข็งของตัวเองกลับออกมาใช้ได้ดั่งเดิม

ผมพอจะเริ่มเข้าสังคมได้เหมือนเดิมบ้าง แต่ถ้าคนเริ่มแห่มากเยอะผมจะรู้สึกหน้ามืดคล้ายเป็นลม มีนาออกไปไหนมาไหนกับผมมาตลอดจึงรู้ว่าต้องรับมือยังไง น้องชายผมเป็นหน่วยงานที่รับคำสั่งจากพี่เดือนตรงๆว่าให้ดูแลยิ่งกว่าไข่ในหิน อย่าให้ผมต้องไปเจอกับโลกภายนอกที่ผมเคยอยู่เพียงลำพัง

ส่วนผมก็ถามเขาเสมอว่าได้นอนรึเปล่า โปรเจ็คงานของเขาผ่านไปได้ด้วยดีรึไม่ รับน้องปีนี้น้องรหัสของเขามีความสุขรึเปล่า ซึ่งพอถึงช่วงนี้พี่เดือนก็ทำสีหน้าจริงจังอธิบายว่าพี่เขมลาออกไปแล้ว เพราะคิดว่าสาเหตุของทุกเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันมาจากตัวของเธอ ถ้าเธอไม่เลิกกับพี่นกฮูกด้วยสาเหตุง่ายๆ ทั้งผมและพี่เดือนก็จะไม่ได้มาเจอกับเรื่องแสนสาหัสเช่นนี้

เขาเล่าให้ฟังคร่าวๆว่าพี่นกฮูกลาออกไปรักษาอาการทางจิต เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยจึงกังวลใจว่าผมจะรู้สึกแย่ แต่ผมบอกเขาไปว่านี่คงเป็นกรรมของผมแต่ชาติก่อนเหมือนอย่างที่เขาบอกไว้ก่อนหน้านั้น

ล่าสุดที่โทรมา พี่เดือนบอกว่าพี่นกฮูกเข้าโรงพยาบาลเพราะรถชน พอสแกนสมองว่ามีส่วนบาดเจ็บอะไรหรือไม่ก็พบว่าพี่นกฮูกมีเนื้องอกในสมองประกอบกับสุขภาพทางจิตของเขาตอนนี้ค่อนข้างแย่ อาจจะมาจากที่ตอนเด็กๆนั้นถูกกดดันจากครอบครัวมากเกินไป ความเก็บกดนั้นสะสมจนมาเป็นความเครียดและความน้อยใจ ถ้าได้รักหรือหวงอะไรก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆราวว่ายึดติด และอาการมันก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนสามารถทำร้ายสิ่งรอบข้างที่เขาห่วงได้อย่างไม่ใยดี ถ้าว่าง่ายๆหน่อยก็คือพี่นกฮูกกลบเกลื่อนเก่งมากเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถามว่าผมจะให้อภัยคนที่มีอาการทางจิตรึเปล่า?

ไม่ ไม่มีทาง ผมไม่ใช่นางเอกนิยายจิตใจดีงามที่สามารถให้อภัยได้ทุกอย่าง แต่ผมเป็นผม ผมคือกุมภ์ที่เจ็บปวดกับบาดแผลเหล่านั้น และมันก็จะติดตัวผมไปตลอดชีวิตเหมือนกับความโกธรแค้นในสิ่งที่เขาทำลงไป

วันนี้ผมลองขอพ่อกับแม่ออกมาเดินที่วัดแถวๆบ้านคนเดียว พวกท่านก็ทำท่ากังวลอยู่บ้าง แต่ผมยิ้มสู้บอกว่าผมจะพยายาม พอได้ยินอย่างนั้นก็พากันพูดใหญ่ว่าให้ระวังตัวให้ดีๆ

ผมเดินไปตามทางดินลูกรัง บรรยากาศเงียบสงบกับสายลมต้นมกราคมที่เอื่อยเฉื่อยทำให้จิตใจของผมโล่งขึ้น ผมพยายามที่จะเลี่ยงสายตาที่คนอื่นมองผมเพราะยังคงคิดมากเรื่องภาพที่คนมองเห็น ไม่ใช่ทุกคนที่รู้ว่าผมเคยโดนข่มขืนมาก่อน แต่ผมก็กังวลใจ ซึ่งพี่เดือนแนะว่าถ้าทนไม่ไหวให้มองพื้นซะ ซึ่งผมก็ทำมันอยู่ตอนนี้

แม่น้ำข้างๆวัดนี้มีจุดไว้สำหรับให้อาหารปลาอยู่ ผมจึงเดินไปซื้อขนมปังปลากับคุณป้าที่ผมคุ้นเคย ท่าทางป้าจะจำผมได้เสียด้วยจึงทักทายด้วยความเป็นมิตร

“ไม่เห็นนานเลยนะหนุ่ม ไปเรียนกรุงเทพไม่ใช่เหรอ?”

“ผมดรอปเรียนปีหนึ่งครับ มีเหตุผลส่วนตัว”

“จ้า ป้าไม่ถามหรอกนะว่าเรื่องอะไร ป้าแถมอาหารเม็ดให้อีกถุงเลย”

คุณป้ายื่นถุงอาหารเม็ดมาให้ผมพร้อมกับรอยยิ้ม ผมจึงรับด้วยความเต็มใจแล้วไปเดินลงไปริมแม่น้ำเพื่อโยนขนมปังให้ปลา

บริเวณเดียวกันมีนกพิราบกำลังจ้องผมด้วยสายตาประมาณว่า ‘แบ่งให้ฉันด้วยสิ’ อยู่ตัวหนึ่ง ผมจึงโยนเศษขนมปังไปให้ มันไม่บินหนี จิกกินเสร็จก็เดินดุ่มๆเข้ามาหาผมแบบไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น

“หิวเหรอ? เอ้านี่ อย่าแย่งกินกับปลาหมดนะ” ผมนั่งยองวางขนมปังแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆให้นกพิราบ มันมองแล้วก็ค่อยๆเล็มไปทีละนิด จากนั้นผมก็มาให้ความสนใจกับการให้อาหารปลาต่อ

ปลาในน้ำกำลังแย่งอาหารกันจากน้ำกระเด็นขึ้นมาโดนเสื้อผมเปียกนิดหน่อย แต่นั่นก็ทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมา นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้หัวเราะแบบนี้ ผมไม่กล้าเป็นตัวของตัวเอง ผมไม่กล้าเข้าสังคม ซึ่งจิตแพทย์ที่คุยด้วยบอกกับผมว่าอย่าฝืนที่จะเข้าไปร่วมสังคม ค่อยๆปรับเข้าหาจากหนึ่งคน เป็นสองคน ไปเรื่อยๆจนกว่าเราจะชิน

ผมเท้าแขนกับราวเหล็กกั้นอาณาเขตบกและอาณาเขตบาดาลเหม่อมองแม่น้ำที่ไหลเอื่อยไปเรื่อยๆจนผมได้ยินเสียงคนโยนขนมปังลงน้ำอยู่ข้างหลังผม ผมไม่ได้หันกลับไปมองว่าเป็นใครในเมื่อไม่ได้เกี่ยวกับผม แต่แล้วจู่ๆคนคนนั้นก็พูดขึ้นมา

“ชีวิต...มันน่าพิศวงนะ?”

ผมไม่รู้ว่าเขาพูดกับใคร อาจจะเป็นคนที่มาด้วยกันกับเขา

“ฉันคุยกับเธอนั่นแหละ” ซึ่งประโยคนี้ทำให้ผมหันหลังกลับไปมองทันที เขาสวมฮู้ดสีน้ำทะเลปิดเต็มตัว มือยังคงโปรยขนมปังลงไป เขามีกระเป๋ากล้องสะพายข้างๆเหมือนว่ามาท่องเที่ยวแถวๆนี้

“คุยกับผม?”

“อืม ฉันเห็นเธอเดินเหม่อๆเหมือนคิดอะไรอยู่ ก็เลยสงสัยว่าเรื่องที่เธอกำลังให้ความสนใจนั้นมันคือเรื่องอะไร ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร” เขาหัวเราะ เปลี่ยนถุงขนมปังแล้วโยนให้ปลาแย่งต่อ “ชีวิตน่ะ มันมักจะมีเรื่องให้แปลกใจได้เสมอทุกเวลา เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรต่อไปเหมือนอนาคต แต่ว่ามันก็สนุกเหมือนกันกับการเดาอนาคตนะ”

“ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่ต่างกันเลยเหรอครับ?”

“โอย...ไปทำงานต่างประเทศนานจนใช้ภาษาบ้านเกิดตัวเองไม่คล่องเลย งั้น...อะ Unexpected กับ Future ก็คงเข้าใจดีนะ

“Unexpected คือการที่เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับเรา เราไม่สามารถเดาได้เลยว่าจะเป็นอย่างไร แต่กับ Future นั้นก็คืออนาคต บางครั้งเราสามารถกำหนดมันได้ว่าต้องเกิดขึ้นตอนไหนเช่นเดดไลน์---พูดแล้วงานตัวเองก็ยังไม่เสร็จเลยนี่หว่า...”

“คุณเคยผ่านช่วงเวลาอะไรที่แย่เอามากๆมารึเปล่าครับ? ถ้าเคยแล้วคุณผ่านมาได้ยังไงกัน บางครั้งผมยังคิดเลยว่าผมไม่สามารถก้าวผ่านความกลัวเหล่านี้กลับเข้าสู่โลกเดิมได้”

“เคยสิ แย่เอามากๆด้วย ตอนนั้นอายุพอๆกับเราเลยมั๊ง แถมยังกลายเป็นคนกลัวความมืด กลัวสัมผัสไปเลยด้วย แต่ก็เพราะว่ามีคนคนหนึ่งที่คอยอยู่ข้างๆเราตลอดโดยไม่นึกรังเกียจในสิ่งที่เราเป็น คอยประคองฉันเดินตลอด ฉันเลยรอดมาได้ ได้บทเรียนสำคัญของชีวิตมาอีกตังหาก” เขาหัวเราะอีกครั้ง “มันยิ่งทำให้ฉันรักเขามากขึ้น มากขึ้นทุกวัน รักจนล้นหัวใจ รักจนสามารถสละชีวิตตัวเองแทนได้ซึ่งทุกวันนี้ฉันก็ยังเถียงกับเขาว่าใครจะตายเพราะสำลักความรักก่อนกัน”

คราวนี้เป็นผมบ้างที่หัวเราะ คำพูดของเขาช่วยให้จิตใจผมดีขึ้น

“หัวเราะอย่างนั้นบ่อยๆนะ”

“ครับ?”

“เขาคนนั้นชอบรอยยิ้ม ชอบเสียงหัวเราะของเธอมาก จงอย่าร้องไห้บ่อย เพราะนั่นจะทำให้เขารู้สึกเสียใจและโทษตัวเองว่าเขาดูแลเธอไม่เพียงพอ” เขาทิ้งถุงขนมปังลงถังขยะ เดินจากไปพร้อมกับโบกมือให้ผม “สักวันเธอจะรู้เองว่าจริงๆแล้วเรื่องราวที่ผ่านมามันก็เป็นเพียงแค่อักษรน้ำหมึกบนหนังสือของเธอ”

ผมมองตามเขาจนสุดสายตา ทำไมกันผมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเขาคนนี้ อาจจะเคยผ่านกันตอนที่ผมเดินที่ถนนก็ได้ แต่จากคำพูดของเขาก็ทำให้ผมย้อนกลับมาคิดอีกครั้งเหมือนกันว่าถ้าผมยังเป็นแบบนี้ต่อไป พี่เดือนจะต้องเศร้าเสียใจมากแค่ไหน พี่เดือนจะต้องโทษตัวเองไปถึงอีกแค่ไหน และผมจะต้องมากลัวหัวใจตัวเองไปจนถึงเมื่อไหร่

ผมตัดสินใจกลับบ้าน ขึ้นไปบนห้องเพื่อหยิบกระเป๋ากล้องที่ผมไม่ได้แตะมันมานานแล้วลงไปข้างล่างอีกครั้ง เตรียมตัวจะออกไปที่สวนสาธารณะที่ตอนนี้น่าจะมีคนมาวิ่งบ้างแล้ว พอพ่อกับแม่เห็นผมถือกล้องอย่างนั้น ก็ยังคงถามด้วยความเป็นห่วงอีกว่าผมฝืนเกินไปรึเปล่า

“ผมไม่ได้กำลังฝืนครับ บางทีถ้าผมได้กลับมาทำอะไรในสิ่งที่ชอบอาจจะช่วยให้ผมดีขึ้นก็ได้”

ผมตรงไปที่สวนสาธารณะ ค่อยๆเดินมาที่ม้านั่งเดิมที่ผมเคยดุพี่เดือนเรื่องใช้กล้อง ปีนี้ต้นไม้ยังคงสูงขึ้นอีก ผมจึงนั่งลงกับที่นั่งแล้วเปิดกล้องที่ไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย รูปภาพความทรงจำยังคงอยู่ในนี้ไม่หายไปไหน ผมกับพี่เดือนยิ้มด้วยกันทุกรูป มันเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความสุข แต่ถ้าถามว่าผมอยากย้อนเวลากลับไปยังจุดนั้นอีกหรือไม่?

ไม่แล้วล่ะ

ผมไม่อยากมาเจอกับความเจ็บปวดซ้ำสอง มันผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป ผมยังไม่หายดี แต่ผมก็จะต้องพยายามเพื่อทั้งตัวเอง คนรอบข้าง และคนสำคัญของผม

กุมภ์คนที่เข้มแข็ง...ผมจะต้องพาตัวเองกลับมาให้ได้

ผมใช้เวลาทั้งหมดไปกับการถ่ายรูป ตกกลางคืนก็มีถนนคนเดินมาตั้ง ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อเตรียมตัวเข้าไปถ่ายบรรยากาศข้างในที่ผมไม่ได้ทำมานาน

หวังว่าฝีมือจะไม่ตก

และหวังว่าผมจะทำสำเร็จ

เอาล่ะ สนามการต่อสู้กับตัวเองมันเริ่มขึ้นจริงๆแล้ว

 

‘กุมภ์ชักจะเก่งเกินไปแล้ว เข้าไปในที่เยอะๆคนเดียวแบบนั้นน่ะ’ พี่เดือนเบิกตากว้าง เขายกมือปิดปากเหมือนพยายามกลั้นน้ำตา กว่าผมจะรอดชีวิตจากถนนคนเดินได้นั้นก็ลำบากพอตัวเพราะคนนู้นคนนี้เดินชนผมตลอด ถ้าเป็นผู้ชายผมก็จะสะดุ้งแรงขึ้นมาหน่อย บางครั้งก็เผลอหยุดหายใจแล้วเกร็งตัวขึ้นมา

แต่โดยรวมถือว่าผมน่าจะรอด

“ผมเองก็ยังกลัวครับ แต่วันนี้ผมเจอกับคนคนหนึ่งที่ช่วยทำให้ผมลุกขึ้นมาพยายามให้มากกว่าเดิม”

‘ใครเหรอ?’

“ผมไม่รู้จักหรอก แต่เขาบอกผมว่าถ้าผมไม่ยอมยิ้มไม่ยอมหัวเราะสักที พี่เดือนมีหวังทำแต่หน้าเศร้าแน่” ผมส่ายหน้า “ผมไม่อยากให้พี่เดือนต้องมาเศร้าเพราะผมหรอกนะ”

‘ครับๆ แล้วนี่กินข้าวกินยารึยัง หมอนัดวันไหนอีกนะ?’

“พรุ่งนี้ครับ เห็นบอกว่าถ้าอาการโรคซึมเศร้าผมดีขึ้นมากแล้ว อาจจะไม่ต้องจ่ายยาให้อีก ผมเกรงใจครอบครัวพี่มากเลยนะที่ออกเงินให้ทั้งๆที่...”

‘ไม่เป็นไรหรอก เงินส่วนหนึ่งนั่นก็ของพี่ด้วย พี่เป็นออกค่ายาให้’ พี่เดือนยิ้ม เขากลับไปสนใจกับหน้าจอโน๊ตบุ๊คตัวเองเพื่อทำงาน ‘เอาไว้วันที่พวกเราทำงานแล้วทั้งคู่ กุมภ์ค่อยมาคืนค่ายาให้พี่แล้วกัน’

ใช่ เขาพยายามพูดติดตลก ซึ่งผมก็หัวเราะตามไปด้วยจริงๆ “รู้รึเปล่าว่าพี่เองก็เปลี่ยนไป”

‘?’

“พี่เดือนเอง...ก็กลายเป็นคนผ่อนคลายมากขึ้น กลับกันกับผมที่กลายเป็นคนเครียดง่ายกว่าเดิม สลับกัน”

‘เปลี่ยนไปยังไง ก็มีแต่กุมภ์กับเดือนนี่นา เป็นคนที่รู้จักตัวตนอีกคนดี เป็นคนที่ต่างคนต่างรู้ว่ามีข้อเสียอะไรกันดี’ พี่เดือนหัวเราะ ‘กุมภ์ลองบ่นมาสิว่าสมัยก่อนพี่เป็นคนแบบไหน’

“พี่เป็นคนที่แก่เรียน เอะอะก็เข้าแต่ที่เรียนพิเศษ เอะอะก็เอาแต่ใจ ชอบบังคับผมโดยไม่ถามก่อนว่าผมสมัครใจรึเปล่า ชอบมางอแงเหมือนเด็ก แถมยังดื้อด้านอีกด้วย” ผมบ่นตามที่พี่เดือนขอมา “แต่พี่เองก็เป็นคนที่มีความมุ่นมั่นสูง เมื่อต้องการอะไรก็ต้องได้ ทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เป็นคนใจเย็น ควบคุมสถานการณ์ได้เก่ง เป็นผู้นำได้ เป็นที่รักและที่นับถือของทุกคน”

‘ถึงคราวพี่บ่นกุมภ์บ้างแล้วนะ กุมภ์เป็นคนที่ไม่คิดอะไรมาก เป็นคนสบายๆ แต่เสียที่แรกๆก่อนที่จะสนิทกันจะปากแข็งมาก มากยิ่งกว่าหินอีก แถมยังชอบดุคนอื่นเหมือนแม่ไปทั่ว มีความมั่นใจและเชื่อมั่นตัวเอง เป็นคนจิตใจเข้มแข็ง เป็นคนที่หัวเราะง่ายยิ้มสวย แต่ดูตอนนี้สิ...’ พี่เดือนหันมาอีกครั้ง นิ้วโป้งของเขานำมาลูบหน้าจอโทรศัพท์อย่างช้าๆราวว่าเขาต้องการที่จะแตะใบหน้าของผมให้ได้ ‘กุมภ์ของพี่ตอนนี้มีแต่ความเศร้า ความหวาดกลัว ความไม่มั่นใจและความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ลดคุณค่าของตน หัวเราะยากแถมยังยิ้มเศร้าอีก’

“...ผมขอโทษนะครับที่ทำให้พี่ผิดหวัง...”

‘พี่ไม่ได้ว่าเรา พี่แค่จะบอกว่ากุมภ์อยากกลับไปเป็นคนเดิมรึเปล่า?’

“...”

‘อยาก...ใช่มั๊ย?’ ผมพยักหน้ารับช้าๆ ‘ไม่ต้องเร่งตัวเอง ค่อยๆพยายามไปด้วยกันกับพี่นะ รอพี่ปิดเทอมก่อน พี่จะไปรับมาเที่ยวด้วยกัน’

“เที่ยว?”

‘ก็ที่พี่บอกว่าจะพาไปฟาร์มแกะไง ทำเป็นลืมเหรอเจ้าปลา ฮึ?’ พี่เดือนทำท่าค้อนผม ตีสีหน้าบึ้งๆเหมือนเด็กถูกขัดใจ ‘ไปถ่ายรูปด้วยกัน ไปซื้อของฝากด้วยกัน นั่งรถพี่สองคนบนถนนที่รถติดก็คงสนุกไม่น้อย’

“ถนนรถติดมันน่าสนุกตรงไหนกันครับพี่”

‘แค่มีกุมภ์ก็สนุกแล้วล่ะ’

พี่เดือน...

‘เนอะ’

ทำไมยังอยู่ข้างๆผมทั้งที่ผมไม่ได้เป็นคนที่สะอาดแล้ว ทำไมยังคอยเอาใจใส่ขนาดนี้กัน ทำไมเขาถึงยิ้มบ่อยขนาดนี้กันแม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงมาก

มันเป็นเพราะคำว่า ‘รัก’ ใช่มั๊ย?

มันเป็นเพราะคำว่ารักที่พี่มีให้ผมใช่มั๊ย?

“พี่เดือน” ผมมองกล้อง “พี่รักผม...มากมั๊ย?”

เขาดูค้างๆไป จากนั้นก็หัวเราะร่วนเสียงดังจนผมคิดว่าสามารถดังทะลุห้องนอนได้ เขายกมือปิดตาหัวเราะ กำลังพยายามปิดกั้นความรู้สึกนั้นเอาไว้

พี่เดือนค่อยๆเคลื่อนมือออก เขายิ้มทั้งน้ำตา มันเป็นน้ำตกที่เต็มไปด้วยความสุขจนน้ำตาของผมก็จะเอ่อล้นออกมาด้วย

‘รักสิ รักมาก มากจนพี่ไม่สามารถเทใจไปให้ใครได้แล้ว กุมภ์เป็นคนที่ทำให้พี่รู้จักคำว่ารัก รู้จักคำว่าคนพิเศษ รู้จักทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่ไม่เคยรู้จัก’ เขาปาดน้ำตา ‘ไม่เอาสิ พี่จะร้องไห้ต่อหน้ากุมภ์อย่างนี้ไม่ได้นะ ฮึฮึ’

“พี่เดือน...ขอบคุณที่รักผม ขอบคุณที่ไม่รังเกียจผม ขอบคุณที่ยังคอยดูแลผม ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะครับ ถ้าพี่ไม่ได้อยู่ข้างๆผม ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ผมไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร”

‘กุมภ์...’

“ขอบคุณที่พวกเรารู้จักกัน”

 

หลังจากวันนั้น ผมก็พยายามมากขึ้นที่จะกลับไปสู่สังคม จิตแพทย์ที่ดูแลผมบอกว่าอาการของผมนั้นดีขึ้นมากจนน่าเหลือเชื่อ ต้องขอบคุณคนรอบข้างที่ให้กำลังใจดี และขอบคุณผมที่ลุกฮึดขึ้นมาด้วยตัวเอง จำนวนยาถูกลดลงทุกครั้งที่ผมไปพบ เปลี่ยนเป็นยาที่มีฤทธิ์อ่อนลง หลายสิบเม็ดกลายเป็นหนึ่งเม็ด จนช่วงเดือนกุมภาพันธ์นั้น พี่เดือนก็ขับรถมาที่อุบลฯ เขาแวะมาหาผมคนแรก ทักทายพ่อกับแม่ของผม แต่เขายังคงลังเลที่จะกอดผมเพราะกลัวว่ามันจะไปกระตุ้นผมให้ร้องขึ้นมาอีก

เพราะตั้งแต่เหตุการณ์ ไม่มีใครกล้ากอดผมเลย

ผมรู้ว่ามันทำใจยาก พยายามที่จะให้น้องชายผมกอดตั้งหลายรอบ แต่สุดท้ายผมก็ยังตัวสั่น บางคืนที่จู่ๆไฟดับผมก็ร้อง หลบซ่อนตัวในผ้าห่มจนมีนาต้องรีบเปิดไฟฉายให้ผม

แก้ปัญหาการกลัวสัมผัสได้ แต่แก้ปัญหาเรื่องกลัวที่มืดไม่ได้

“พี่เดือน แล้วนี่พี่...”

“พี่ตั้งใจว่าจะพากุมภ์ไปเที่ยวไง”

“แต่...” พี่เดือนไม่ฟังผม เขาเอาแต่ใจขออนุญาตพ่อแม่ขึ้นไปบนห้องนอนขนาดเล็กที่มีฟูกนอนของมีนาอยู่ เขาหยิบกระเป๋าเดินทางใบเดิมของผมออกมาแล้วจัดการยัดเสื้อผ้าของผมเข้าไปอย่างเชี่ยวชาญ จากนั้นก็หันตัวไปหยิบเป้มาอีกใบเพื่อเอาข้าวของเครื่องใช้ต่างโยนเข้าโดยไม่สนใจคำเถียงของผม

“พี่ว่างแค่ตอนนี้เท่านั้น หลังจากนี้พี่ก็ยิงยาวแล้ว ถ้าไม่พาไปตอนนี้แล้วจะพาไปตอนไหน” เขาพูดราวกับว่าตัวเองไม่มีงานการให้ทำ “พี่เคลียร์งานหมดแล้ว เหลือเวลาให้กระดิกเท้าเล่นอาทิตย์หนึ่ง พี่เลยมารับกุมภ์ไปนี่แหละ”

“แล้วพี่ถามพ่อแม่ผมรึยังว่าจะให้ผมไปด้วย”

“แอบถามตอนที่กุมภ์ออกไปข้างนอกคนเดียวแล้วล่ะ พวกเขาอนุญาต มีนาก็มีเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์อีก ไปด้วยกันไม่ได้” ไอ้คนแผนสูง! “ทริปนี้มีแค่เราสองคน...จริงๆนะ กุมภ์ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น มีพี่อยู่ด้วยตลอด กุมภ์ยังกลัว แต่พี่ก็จะปกป้องกุมภ์ กุมภ์ยังไม่กล้า พี่ก็จะกล้าแทนกุมภ์ กุมภ์ยังไม่เข้มแข็ง แต่พี่จะส่งมอบพลังนั้นไปให้กุมภ์เอง...ไว้ใจพี่นะ”

เขานั่งลงแล้วโบกมือให้ผมเข้ามานั่งใกล้ๆ ผมลังเลสักพักแล้วก็เลือกที่จะค่อยๆคลานเข้าไปนั่งหลังชนหลัง

“ทำไมนั่งแบบนี้ได้ล่ะ?”

“ก็เหมือนนั่งพิงกำแพงมั๊งพี่เดือน”

“ฮึ”

“พี่เดือนรู้มั๊ย?” ผมค่อยๆอธิบายสิ่งที่อัดอั้นมาในใจตลอด ตั้งใจจะเล่าให้เขาฟังเมื่อผมพร้อมที่จะเล่า “ก่อนที่พี่เดือนจะพาผมเข้าโรงพยาบาล ผมฝัน...ฝันเห็นว่าพี่เดือนกำลังมีความสุขกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ผมคิดว่าถ้าพี่เดือนสามารถปล่อยมือออกไปจากผมแล้วหาคนที่ดีกว่าผมได้ก็คงจะดีกว่า พี่จะสามารถยิ้มได้มากกว่า พี่จะมีความสุขมากกว่าการที่มาดูแลคนจิตป่วยคนหนึ่ง ผมตัดใจที่จะเดินลงทะเลแถวนั้น ปล่อยให้สติหลุดหายไปกับสายน้ำ ไปกับคลื่นกลิ่นเกลือเค็ม

“มาคิดอีกทีถ้าผมตัดสินใจทำแบบนั้นจริงๆ จะมีใครเสียใจเพื่อผมรึเปล่า? จะมีใครร้องไห้กับการหายไปตลอดกาลของผมรึเปล่า? หรือว่าจะมีคนนินทาว่าร้ายพูดเป็นเรื่องสนุกปากว่าผมถูกข่มขืน มีคนบอกว่าพี่น่าสงสารที่แฟนตัวเองถูกข่มขืนแล้วขาดอาหารขาดน้ำจนตาย

“ความสงสัยมันเต็มไปหมดนะพี่ แต่ในความสงสัยนั้นมันก็มีความปล่อยวางอยู่ด้วย ผมไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นภาระใครอีกแล้วบนโลกใบนี้ ผมจะไปใช้กรรมในนรกแล้วขึ้นมาเกิดใหม่เป็นปลาเหมือนที่พี่ชอบเรียกผมก็ได้”

“แต่กุมภ์ก็ยังอยู่ตรงนี้นะ” พี่เดือนขยับร่างกายนิดหน่อย “การที่กุมภ์ยังอยู่ตรงนี้ มันแปลว่าลึกๆแล้วกุมภ์ยังคงโหยหายในชีวิต”

“…”

“กุมภ์ยังอยากมีชีวิตต่อไป เพื่อไปเจอกับสิ่งใหม่ๆที่กุมภ์ไม่รู้จัก ไปเจอกับโลกกว้างที่เรายังไม่เคยไปสำรวจ มาอยู่กับสิ่งที่เรารัก อยู่กับสิ่งที่เราสบายใจเมื่ออยู่ด้วย อยากมีความสุขให้มากกว่านี้ อยากใช้ชีวิตให้คุ้มโดยที่ไม่เสียเปล่า

“พี่ขอบคุณที่กุมภ์ยังมีความปรารถนาในชีวิต”

พี่เดือนค่อยๆหันหลังกลับมา เขาดึงตัวผมไปซุกอ้อมอกของเขาอย่างอ่อนโยน มือสองข้างค่อยๆลูบหลังของผมเพื่อเป็นการปลอบ น่าแปลกที่รอบนี้ผมไม่เกร็ง ผมไม่นึกถึงวันเลวร้าย มีแต่กลิ่นน้ำหอมทะเลที่ผมไม่ได้รับรู้มานานลอยออกมา เป็นกลิ่นที่ทำให้ผมปล่อยวางความกังวลทั้งหมดแล้วเชื่อว่าอ้อมกอดจากชายคนนี้สามารถปกป้องผมได้

พวกเรากอดกันนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่พอได้ยินเสียงท้องร้องจากพี่เดือน เขาก็หัวเราะหน้าแดงขึ้นมา

“กินข้าวกันเถอะ กุมภ์อยากกินอะไรรึเปล่า?”

“ไม่รู้สิครับ...คือผมก็กินได้หมด ยกเว้นที่มีมะเขือเทศนะ” ผมมองพี่เดือน ผมจำได้ดีว่ามนุษย์คนนี้รักมะเขือเทศมาก บางวันก็กัดกินโชว์กล้องคอลจนผมสยอง

“งั้นไปกินข้าวที่ห้างกันนะ ไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานเท่าไหร่แล้วเชียว” เขาลุกขึ้น จูงมือผมให้ค่อยๆลุกขึ้นตามราวกับว่าผมเป็นเจ้าหญิง “พี่จะชวนพ่อกับแม่แล้วก็มีนาไปกินด้วยกันนะ”

“ครับ”

พี่เดือนรู้ว่าการที่ให้ผมใช้เวลากับครอบครัวนั้นเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผม เขาไม่เคยงอแงจะไปนู่นนี่แค่สองคนเหมือนคนอื่นๆ เขาให้ความเคารพ เขารู้จักการเข้าหาผู้ใหญ่ เขารู้จักวิธีการต่างๆเพื่อเอาใจคนรอบข้าง พี่เดือนพัฒนาขึ้นมามากจนผมอดทึ่งไม่ได้ว่าผู้ชายที่แสนดีนี้มีบนโลกที่แสนสกปรกด้วยได้ยังไงกัน

พี่เดือนลงไปชวนสมาชิกในครอบครัวของผม พวกเขาปฏิเสธ บอกว่าอยากให้พวกผมอยู่ด้วยกัน พวกเราจึงตรงไปที่ห้างเดิมที่เคยกินข้าวด้วยกันครั้งแรก และไม่รู้ว่าเขาติดใจอะไรกับร้านอาหารญี่ปุ่นนี่นักหนา สั่งก็สั่งแต่เมนูเดิมๆ บนโต๊ะไม่เคยมีกุ้ง มีแต่ข้าวแกงกะหรี่ เบนโต๊ะ และชาเขียวเย็นรีฟีลนี่ พี่เดือนเลือกโต๊ะตัวเดิมกับที่เคยนั่ง แล้วเขาก็ยิ้มจ้องหน้าผมไปคีบข้าวเข้าปากไป ส่วนผมก็ทำไม่ต่างกันจากเขา ผมยิ้มบางๆ ค่อยๆตักหมูในจานข้าวตัวเองให้เขา เขาก็ตักเนื้อปลาให้ผม จัดการอาหารเสร็จผมก็ต้องกินยาต่อ เขาคอยยื่นแก้วน้ำ คอยเช็ดปาก คอยทำนู่นทำนี่ให้แทน

พวกเราเดินเข้าร้านเครื่องเขียนแล้วเห็นสมุดเล่มหนึ่งที่ค่อนข้างหนาราคาสูง หน้าปกเป็นสีเขียวอ่อนกับสีน้ำทะเล เป็นสีที่ผมทั้งสองคนโปรดปราน ความจริงพวกเราอาจจะหลงใหลความเป็นอีกคนจนไม่สามารถถอนตัวขึ้นได้ จึงตัดสินใจหารครึ่งซื้อมา พี่เดือนอมยิ้มแล้วกระซิบข้างหูผมในขณะที่ผมกำลังลูบหน้าปกสมุดเล่มนี้ว่า

“หนังสือเล่มที่ผ่านมาจบแล้วนะ เล่มนี้จะเป็นเล่มที่เขียนถึงอนาคตของสองเรา”

เชื่อมั๊ยว่านั่นทำให้ผมยิ้มด้วยรอยยิ้มที่กว้างที่สุดหลังจากวันเลวร้ายนั้นเลยล่ะ

----------

ใกล้จะจบแล้วนะทุกคน กรี๊ดดด พี่นทีกำลังจะตามมาแล้วว

ขอบอกเอาไว้อย่างหนึ่งนะคะว่าเรื่องของพี่นทีตั้งใจจะในหน่วงไปทั้งเรื่อง ฉะนั้นแล้วใครสายอ่านแนวโหวงๆในใจ ไม่เข้าใจในพฤติกรรมตัวละครแต่มีเหตุผลในการทำ เชิญได้ค่ะ แต่ขอให้น้องเขียนไว้หลายๆบทสำรองก่อนนะ เพราะหลังจากนี้น้องไม่มีเวลาเขียนเท่าไหร่ แง

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
SP วันเด็กที่ไม่ไร้เด็ก

 

โอเค วันนี้วันเด็ก...

ดินฝากลูกตัวเองไว้กับพวกผมที่ไม่มีงานในวันนี้ วันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมเป็นหนึ่งในวันที่ผมไม่ชอบที่สุดเพราะด้วยที่วันนี้จะเป็นวันที่รถติดมากจนถึงมากที่สุด แถมยังมีเด็ก...ใช่! เด็กนี่แหละเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นห้าง ร้านอาหาร ที่เที่ยวต่างๆ หลายปีก่อนพี่เดือนกับผมไปถ่ายงานก็มีแต่เด็ก จะร้องบอกให้เด็กพวกนี้ไม่มารบกวนการถ่ายก็ไม่ได้อีก

ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบเด็กนะ แต่ผมไม่รู้จะรับมือยังไงนี่แหละ

ตอนนี้ลูกสาวของดินอายุได้ห้าขวบ พี่เดือนในวัยสามสิบสี่ที่เริ่มสันหลังไม่ดีแล้วก็วิ่งตามไม่ค่อยไหว เด็กนี่แรงเยอะกว่าที่คุณคิดเอาไว้เสียอีก แน่ล่ะ พลังงานเอามาจากขนมที่ทิ้งไว้ให้ อยากจะพาออกไปเที่ยวก็อยากนะแต่คนมันก็เยอะเกิน

น้องไอริน เป็นลูกสาวของดินกับภรรยาชาวเหนือ แต่วันนี้ดินไม่สามารถละมือจากงานพาลูกตัวเองเที่ยวได้ แถมคนแม่ก็ต้องเดินทางไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดบ้านเกิด พาน้องไปไม่ได้ ดังนั้นเลยมาขอร้องให้พวกผมช่วยดูแลให้หนึ่งวัน พี่เดือนก็รับปากไป

ไอรินก็เป็นเด็กน่ารักดีนะ เสียตรงที่ชอบวิ่งเล่น อาจจะเพราะติดมาจากอุ้มที่เป็นผู้หญิงทรงพลังชอบพาน้องเล่นไล่จับ รายนั้นดินฝากลูกไว้ด้วยบ่อยจะตาย แต่บังเอิญซ้ำซ้อนอีกว่าอุ้มก็โดนญาติตัวเองลากไปเฝ้าดูหลาน

“อากุมภ์ ไอรินอยากไปห้าง”

“ที่ห้างมีอะไรเหรอคะน้องไอริน?” อันนี้ผมไม่รู้จริงๆว่าที่ห้างเขามีงานอะไรอีก นอกจากจะแจกขนมกับลูกโป่งเด็ก

“เขาบอกว่ามีคุณหมีตัวใหญ่จะออกมาเดินด้วย ไอรินอยากถ่ายรูปกับคุณหมี” น้องไอรินส่งยิ้มหวานกับสายตาอ้อนๆมาให้ ผมหันไปหาพี่เดือนที่นั่งอ่านหนังสือตรงโซฟาไม่ไกลกัน เขาทำหน้าคิดนิดหน่อยแล้วก็พยักหน้าให้

“งั้นลุงเดือนจะพาเราไป เตรียมตัวนะคะเด็กดี”

น้องไอรินร้องดีใจก่อนที่จะวิ่งไปเก็บของเล่น พี่เดือนเดินเข้ามากอดเอวผมเอาไว้แล้วก็จัดการฟัดแก้มผมไปสองสามที “เหมือนเลี้ยงลูกเลยนะ”

“นี่ลูกเพื่อนครับพี่เดือน แล้วก็อย่าทำต่อหน้าเด็กด้วย” ผมผลักพี่เดือนออกไป สมัยนี้คู่ชายชายเยอะก็จริงแต่ด้วยความที่น้องไอรินยังเด็ก ผมก็ไม่อยากให้ต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้ไวเกินควร อย่างน้อยก็ต้องเจ็ดขวบขึ้นไปนั่นแหละ “น้องไอรินยังไม่ค่อยเข้าใจอะไร ถ้าเกิดเห็นเข้าแล้วเลียนแบบจะทำยังไงกัน”

“ก็อธิบายไปสิ พี่ก็เข้าใจนะที่ไม่อยากให้เด็กเรียนรู้ไวกว่าที่ควร แต่มันไม่จำเป็นว่าต้องจำกัดทุกเรื่อง” พี่เดือนหัวเราะ เขาหยิบกุญแจรถกับกระเป๋าเงินมา ยื่นกล้องถ่ายรูปให้ผมถือ “ไอรินอยากถ่ายรูปกับมาสคอตหมี เอากล้องไปด้วย จะได้ส่งรูปชัดๆให้ดินเขา”

“ครับๆคุณพ่อ”

“งั้นวันนี้กุมภ์ก็เป็นคุณแม่แล้วกันนะ”

“พี่เดือน!”

“ลุงเดือน อากุมภ์ ไอรินพร้อมแล้วค่า” น้องไอรินวิ่งเข้ามาแล้วคล้องแขนผมกับพี่เดือนคนละข้าง ยิ้มสดใสเต็มที่ “เดี๋ยวคุณหมีไม่รอนะคะ”

 

คุณเชื่อรึเปล่าว่าตั้งแต่รู้จักกันมา พี่เดือนไม่เคยซื้อรถคันใหม่เลย วีออสสีขาวคันเดิมขับมาถึงห้างใกล้คอนโดพวกผม โชคดีที่เส้นทางนี้ไม่ค่อยมีแหล่งเที่ยวทำให้การจราจรเป็นปกติ แต่ในห้างก็ถือว่าคนเยอะพอตัว นอกจากว่าจะมาซื้อของใช้ทั่วไปแล้วยังมีคนพาลูกตัวเองมาดูมาสคอตหมีเหมือนน้องไอรินอีกด้วย

“เดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วโมงคุณหมีจะออกมา น้องไอรินอยากกินอะไรก่อนมั๊ยคะ?” ผมนั่งยองกับพื้นเพื่อให้น้องไอรินสามารถจ้องหน้าผมได้พอดี มือข้างหนึ่งของพี่เดือนจูงน้องเอาไว้กันหลง

“ไอรินอยากกินไอติมค่ะ”

“งั้นอาจะเลี้ยงไอติมนะคะ ห้ามไปบอกคุณพ่อล่ะ” ดินไม่อยากให้ลูกตัวเองกินของเย็นเท่าไหร่ทั้งที่ตัวเองสมัยก่อนชอบกิน แต่พอมีปัญหาสุขภาพก็เริ่มห่วงนู่นห่วงนี่เกินเหตุแล้วลามมาที่คนอื่นซะงั้น “พี่เดือน เดี๋ยวเราไปที่ร้านไอติมกันเถอะนะครับ น้องไอรินอยากกิน”

“ไปสิ” คราวนี้พี่เดือนใช้มืออีกข้างที่ว่างจูงทั้งผมและน้องไอรินให้เดินไปด้วยกัน หลายคนหันมามองว่าทำไมผมถึงโวยวาย ก็นะ...ผู้ชายวัยกลางคนสองคนกับเด็กผู้หญิงร่าเริงเดินด้วยกันมันดูแล้วออกจะเป็น...ครอบครัว? นิดหน่อย

พี่เดือนลากผมมาถึงร้านไอติมป้ายแดงได้สำเร็จ โชคดีที่มีที่นั่งเหลืออยู่ในร้าน พวกเราจึงเดินเข้าไปแล้วปล่อยให้น้องไอรินเลือกไอติมที่อยากกินเอง พอเลือกเสร็จก็นั่งรอเล่นๆ

“อากุมภ์คะ พ่อบอกว่าอากุมภ์เป็นแฟนกับลุงเดือน”

ไอ้ดิน!

“ใช่จ้า ลุงเป็นแฟนอากุมภ์และลุงก็รักอากุมภ์มาก อย่ามาแย่งลุงเชียวนา” พี่เดือนก้มลงไปหยอกเด็กอายุห้าขวบเล่น “พ่อดินว่าอะไรมาอีกบ้างรึเปล่าคะ?”

“พ่อบอกว่าอานทีกับอามีนาก็เป็นแฟนกัน มีแต่อาอุ้มที่ยังไม่มีใครเลย” อ่า...รายนั้นน่าจะแต่งกับผู้ชายในเกมไปนานแล้วล่ะ “ไอรินเลยบอกกับพ่อว่าเมื่อไหร่ไอรินจะมีแฟน”

“นั่นสินะ ถ้าไอรินรักใครมากๆแล้วคนนั้นรักไอรินด้วยก็อาจจะได้เป็นแฟนกัน” พี่เดือนยกมือขึ้นมาลูบเส้นผมน้องไอรินไปมาด้วยความเอ็นดู “อ๊ะ แต่ลุงรู้นะว่าไอรินจะรักพ่อแม่ที่สุด เอาไว้ไอรินโตกว่านี้ไอรินจะรู้เองว่ารักในอีกแบบนั้นมันคืออะไร เข้าใจมั๊ยคะ?”

“ค่ะ!”

พนักงานร้านยกถ้วยซันเดย์ของน้องไอรินมาให้ตามด้วยถ้วยไอติมใหญ่ของผมกับพี่เดือน จนถึงตอนนี้ผมก็ยังนึกถึงวันที่พี่เดือนพาผมเข้าร้านไอติมป้ายแดงนี่ครั้งแรกอยู่เลย ผ่านมาสิบหกปีแล้วนะที่พวกเรารู้จักกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใจหายไม่น้อยที่วันเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“ระวังเลอะนะคะน้องไอริน” ผมหยิบทิชชู่มาเช็ดริมฝีปากน้องไอริน ท่าทางจะไม่ได้กินมานานเลยตักเอาๆ ต้องไปคุยกับดินมันสักหน่อยว่าให้ตามใจลูกบ้าง

หมับ

“กุมภ์เองก็เลอะนะ ว่าแต่น้องไอริน” พี่เดือนหยิบทิชชู่มาเช็ดริมฝีปากผมบ้าง แต่นิ้วเขานี่จงใจให้แตะชัดๆ จากนั้นเขาก็โยนทิชชู่ทิ้งแล้วก็เอานิ้วเกลี่ยครีมออกมาเลียซะเอง “ใช่มั๊ยคะน้องไอริน”

“ใช่ค่ะ!”

เข้ากันดีเหลือเกินนะลุงหลาน!

“อะแฮ่ม! รีบกินกันเถอะนะครับ เดี๋ยวจะไม่ทันดูคุณหมีเอานะ”

“เขินล่ะสิที่พี่ทำแบบนี้ อายุไม่ใช่น้อยๆแล้วนะ”

“พูดมากน่าตาแก่”

“เดี๋ยวคืนนี้จะพิสูจน์ให้ดูเลยว่าพี่ยังไม่แก่เท่าไหร่” โว้ยยย เอาพี่เดือนคนนี้ไปเก็บได้มั๊ย!

 

น้องไอรินวิ่งเข้าไปถ่ายรูปกับมาสคอตหมีตรงข้างเวทีใหญ่ที่จะมีการแสดงของนักร้อง สักพักพี่เดือนก็บอกให้พวกเรานั่งรอตรงหน้าเวทีเพราะเขาจะไปซื้อน้ำมาให้ พอได้น้ำการแสดงก็เริ่มขึ้นพอดี นักร้องหน้าใหม่ของยุคขึ้นมาทักทายแฟนเพลงนิดๆหน่อยแล้วก็ร้อง เมื่อร้องจบเขาก็เรียกให้มาสคอตหมีข้างเวทีนั้นขึ้นมาถอดหมวกออก

“ไอ้นที?”

นทีมันมาใส่ชุดมาสคอตตอนไหนฟะ มันหันหน้ามาแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่โบกมือให้ เขาถือตะกร้าขนมอันใหญ่โยนแจกให้เด็กๆแล้วนักร้องคนนั้นก็ยื่นไมค์จ่อปากให้พ่อหนุ่มอายุเท่าผมแต่เสือกยังมีความดูดีร้องเพลงเรียกลูกค้าเพิ่ม ลูกค้าสาวๆที่กำลังเลือกเครื่องสำอางกันนี่มองมาแทบจะร้อยแปดสิบองศา

“อานที!”

“ว่าไงคะน้องไอริน ตกใจใช่มั๊ยที่อาอยู่ข้างใน หืม?” นทีโน้มตัวลงมากอดเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเอาไว้ “ดินมันฝากลูกไว้เหรอ?”

“อืม เลยพามาเที่ยวที่นี่ แล้วมีนาอะ”

“เดี๋ยวก็มา ซื้ออุปกรณ์ทำขนมรออยู่”

“มาแล้วๆ อ้าว น้องไอริน” มีนาน้องชายแท้ๆของผมวิ่งเข้ามาพร้อมกับถุงหลายใบ น่าจะเป็นอุปกรณ์ทำขนมอย่างที่นทีมันว่ามานั่นแหละ “พี่เดือน พี่กุมภ์ ผมขอโทษนะที่ไม่ได้แวะไปหาบ้างเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก งานเยอะไม่ใช่เหรอ” ผมส่ายหน้า ตั้งแต่ทำงานกันหมดมีไม่กี่ครั้งที่มาเจอหน้ากัน ความจริงก็คงเป็นเพราะผมกับพี่เดือนบินไปมาหลายประเทศด้วย “แล้วทำไมมึงถึงมาใส่ชุดมาสคอตนี่ได้ครับคุณโปรดิวเซอร์ ไม่มีงานทำเหรอ?”

“ก็มันว่างนี่นา เลยมารับจ็อบพิเศษกับโฟล์ค” โฟล์คที่ว่าคือนักร้องที่อยู่บนเวทีเมื่อกี๊แหละครับ เขาเป็นเด็กที่นทีปั้นขึ้นมากับมือ แถมยังมีอนาคตดีการงานเพียบ เพลงที่เขาร้องทั้งหมดก็มาจากฝีมือนทีแต่งทั้งนั้น “โฟล์ครักเด็กเหมือนกัน นู่น ไปเล่นกับเด็กแล้ว จะว่าไปพี่เดือนกับมึงมาด้วยกันแล้วมีไอรินมาด้วยนี่เหมือนพ่อแม่ลูกเลยนะ”

ทั้งนทีและมีนาหัวเราะ ไอรินหันมามองพวกผมแล้วก็ยิ้มหวานให้

“งั้นลุงเดือนก็คือพ่อเดือน อากุมภ์ก็คือแม่กุมภ์สินะคะ”

“โอ๊ะ รู้จักตำแหน่งด้วย” มีนาหัวเราะไม่หยุดจนน้ำตาไหล ส่วนผมนี่หน้าแดงไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ พี่เดือนท่าทางจะชอบใจที่ผมโดนแกล้ง เลยใส่ฟืนเพิ่มหอมแก้มผมเข้าที่ข้างซ้าย

“งั้นน้องไอรินมาเป็นลูกให้ลุงกับอาสักวันได้มั๊ยคะ?”

“ค่ะ!”

จากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีก ผมตีไปที่แขนของพี่เดือนแล้วก็วิ่งหนีออกมาทำเป็นเหมือนว่าจะดูของในห้างต่อ “เขินใหญ่เลยนะแม่กุมภ์”

“เงียบไปเลยน่าพี่เดือน!”

 

บางทีก็คิดนะว่าถ้าพวกผมรับเด็กมาเลี้ยงดูสักคน ชีวิตของพวกเราจะแตกต่างไปจากเดิมมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ผมยังมีภาระหน้าที่การงานให้ทำ ก็คงไม่สามารถดูแลได้เต็มที่อย่างแน่นอน ผมเชื่อว่าถ้ามันถึงเวลาที่เราต้องการใครสักคนที่มาเชื่อมพวกเราให้มากกว่าเดิม พี่เดือนจะเอ่ยปากออกมาเองนั่นแหละ

ก็ใช่ว่าผมจะไม่อยากมีลูกสักหน่อย...

“แม่กุมภ์คะ!”

“น้องไอริน!”


แต่คงต้องแก้ปัญหาเรื่องความเขินง่ายของตัวเองให้ได้ก่อน...

--------

ทำไมใน SP ทุกคนสูงอายุกันหมดเลยคะ นี่มันวันเด็กยังไง //อย่าตีนู๋ววว

น้องไอรินเป็นลูกของดินนะคะ น่ารักมาก อยากหยิกแก้ม น้อวติดนิสัยอาอุ้มเรื่องความไฮเปอร์มา แต่น้องก็เชื่อฟัง ว่านอนสอนง่าย เด็กดีๆ เอ้ย! อย่าอวยลูกคนอื่นเยอะไปดิ

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 27

 

พวกเราอยู่ที่บึงฉวาก ตรงทางเข้ามีศูนย์อาหารเล็กๆ พวกเราจึงแวะกินอะไรก่อนที่จะเข้าไปดูปลาในอควาเรียม ถั่วทอดใส่กลอยนี่ของแปลกเพราะผมไม่เคยลองมันมาก่อน ซึ่งมันก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง บริเวณใกล้ๆกับจุดที่ผมนั่งอยู่มีร้านขายของฝากที่มีลูกแมวตัวสีดำกำลังนอนกลิ้งเรียกลูกค้า น่ารักน่าชัง

พี่เดือนนั่งกัดไอติมโมจิรสนม เขาแบ่งให้ผมกินด้วย—ลูกเดียวกันนี่แหละจนคนหันมามองพวกผมว่าจะหวานกันไปถึงไหน

“พี่เดือน พอเถอะ คนมองเต็มเลย ผมไม่สบายใจ”

“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วๆ” พี่เดือนหัวเราะ เขาสะพายกระเป๋ากล้องของตัวเองแล้วจูงผมไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปในส่วนของพิพิธภัณฑ์ ข้างในเรายังต้องเดินเข้าไปอีก ผมสะดุดตากับบ่อให้นมปลาคาร์พตัวเล็ก พี่เดือนดึงผมไปทันทีที่ผมมอง เหมือนกับว่าเขาอยากให้ผมทำทุกอย่างที่ผมสนใจ พวกเราหยอดเหรียญค่านม (ความจริงคือน้ำที่ละลายหัวอาหารผสมลงไป) ลงไปในกล่องพลาสติกขนาดเล็ก หยิบขวดนมขึ้นมาคนละขวดแล้วจัดการป้อนให้มัน ปลาคาร์พตัวเล็กรีบว่ายเข้ามาหาผมจนน้ำกระเด็นมาโดนนิดหน่อย พี่เดือนหัวเราะเมื่อเห็นว่าปลาของผมนั้นเริ่มว่ายมาทางเขา ผมจึงยอมไม่ได้แล้วเข้าไปใกล้ฝูงปลาให้มากกว่าเดิมจนสามารถเรียกมันให้ย้อนกลับมาทางผม ผมยกยิ้มชัยชนะขึ้นมาเย้ยพี่เดือนที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหยิบกล้องมาถ่ายรูปปลาหลากสีนี่แทน

เดินย้อนกลับมาจะมีส่วนของพิพิธภัณฑ์เล็กสองตึกที่ข้างในจะมีตู้ปลาโชว์ปลาหลากชนิด บางตัวก็ใหญ่เท่าแขน บางตัวก็เล็กเท่านิ้วก้อย พวกเราเดินถ่ายรูปมาเรื่อยๆจนคนเยอะมากขึ้นตรงอุโมงค์น้ำ พี่เดือนกระตุกชายเสื้อผมเพื่อเป็นการบอกว่าไม่ต้องกลัวเพราะเขาอยู่ข้างๆ สักพักก็กลายเป็นการผสานมือเข้าหากัน รับความอบอุ่นที่เป็นการแสดงความดูแลนี้ ปลาขนาดใหญ่ว่ายผ่านพวกเราไปพร้อมกับคนที่เริ่มเดินออกเพราะหมดช่วงเวลาที่นักประดาน้ำลงมาให้อาหารปลาในแท็งค์

พวกเราเดินออกมาจากประตูทางออกของตึกที่สอง แวะไปดูบ่อจระเข้ที่มันกำลังนอนแบะกับพื้นหญ้าอ้าปากตากแดดสบายใจ บางตัวก็วนๆอยู่ในน้ำคลายร้อน พวกผมมาก่อนเวลาแสดงจึงไม่ได้สนใจอะไรกับพื้นที่ตรงนี้มานัก ข้างๆทางเดินมาบ่อเล็กๆที่มีลูกจระเข้ตัวน้อยกำลังกินเนื้อจิ๋ว มันเงยหน้ามองผมแล้วอ้าปากเหมือนจะทักทาย ผมจึงโบกมือให้มัน คุยอะไรกับมันไปนิดหน่อยแล้วเดินออกมา

“เมื่อกี๊ถ่ายติดเด็กคุยกับจระเข้ด้วย น่ารัก” พี่เดือนหยิกแก้มผม เขาซื้อน้ำมาขวดหนึ่งดื่มด้วยกันก่อนที่จะซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปดูภายในอควาเรียม

ภายในอควาเรียมนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าใหญ่แค่ไหน ปลาหลายชนิดว่ายต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยความร่าเริง มีปลาตัวหนึ่งคอยว่ายตามผมตลอดจนสุดฝั่งตู้ พี่เดือนยกกล้องถ่ายไม่ยั้ง ชวนผมไปถ่ายรูปคู่กับปลาที่กำลังลอยนิ่งๆทำหน้าง่วง ลากผมไปมาทั้งทางซ้ายและขวาจนผมมึนไปหมด แต่ที่ผมเริ่มมึนกว่าก็คือจำนวนคนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พี่เดือนก็น่าจะรู้ว่าผมเริ่มไม่ไหวเขาจึงรีบจูงมือผมออกทั้งที่ยังดูไม่ทั่ว

“พี่รีบออกมาทำไม ตั๋วมันแพงนะ ดูไม่คุ้มเลย”

“พี่ห่วงกุมภ์มากกว่า ถ้าคนเยอะกว่านี้พี่กลัวกุมภ์จะไม่ไหว เราไปที่ริมบึงต่อดีกว่าเนอะ”

พี่เดือนพาผมเดินออกมาแล้วเปลี่ยนสถานที่ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศเป็นรอบๆบึง น้อยคนที่จะเดินเพราะว่าเหนื่อย ผมกับพี่เดือนเลือกที่จะนั่งลงกับม้านั่งดูน้ำในบึงไหลเอื่อยๆไป

เขาเปิดรูปที่ถ่ายเอาไว้ให้ผมดู ฝีมือพี่เดือนพัฒนาขึ้นอีกแล้ว คราวนี้มันสวยทุกรูปจนผมหาเรื่องเถียงไม่ได้ กลับกลายเป็นผมเองที่ฝีมือตกจนน่าใจหาย ถ้าไม่รีบเร่งพัฒนาฝีมือตัวเอง อีกหน่อยเขาต้องนำผมแน่ๆ

“ไปกันเถอะ วันนี้กลับเข้ากรุงเทพก่อนค่อยไปต่อ”

พี่เดือนขับรถเข้ากรุงเทพ ขามาระยะทางเหมือนจะไกลมากเพราะผมไม่เคยมาก่อน แต่ขากลับนี่มันเป็นเหมือนช่วงเวลาสั้นๆ พวกเรามาถึงคอนโดที่เคยอยู่ด้วยกันเมื่อหลายเดือนมาก่อนช่วงประมาณทุ่มครึ่งพร้อมกับกับข้าวจากตลาดที่แวะ ผมขนกระเป๋าเข้าห้องโดยที่มีพี่เดือนช่วย ภายในห้องยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ข้าวของอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเขารอให้ผมกลับมารึเปล่า?

“ยินดีต้อนรับกลับนะ”

เขาพูดแค่นั้น น้ำตาผมก็ไหลลงมา เหมือนกับว่าผมได้กลับมาอยู่กับความอบอุ่นนี้อีกครั้ง พี่เดือนลูบเส้นผมไปมาก่อนที่จะชวนผมกินข้าว ไปอาบน้ำ กลับมานอนข้างกันที่เตียงเดิม

ผ้าห่มมีกลิ่นทะเล หมอนมีกลิ่นทะเล พี่เดือนมีกลิ่นทะเล ผมรู้แค่นั้น ภายในห้องนอนมีโคมไฟดาววางเอาไว้ตรงโต๊ะข้างเตียงเป็นของเพิ่มเติม ผมมองมันจนพี่เดือนปิดไฟและผมกระโจนเข้าใส่หาเขาทันทีจากความกลัว เขาหัวเราะก่อนที่จะเอื้อมตัวไปเปิดเจ้าโคมไฟนั้นเพิ่มให้มีแสงสว่างออกมา

รอบๆห้องเต็มไปด้วยดวงดาวเทียม นั่นสวยเอามากๆ มากพอที่จะทำให้ผมลืมความกลัวไปได้ เขาดึงผมเข้ามากอดแล้วเกลี่ยเส้นผมเบาๆ ปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปกับความงองามตรงหน้าจนผล็อยหลับไปด้วยกันทั้งคู่

ในความฝันนั้น ผมฝันว่าผมกับพี่เดือนกำลังยืนดูดาวด้วยกันท่ามกลางพื้นที่เป็นท้องน้ำ สะท้อนสิ่งมหัศจรรย์ลงมาจนราวกับว่าร่างกายของสองเราถูกรายล้อมไปด้วยดาวนับล้านดวง ดาวตกได้ผ่านไป ผมอธิฐานกับดาวตกนั้นว่าหลังจากนี้ขอให้ชีวิตของพวกเรามีแต่เรื่องดีๆ ในขณะที่หมู่มวลปลาหลากสีได้ว่ายกลางอากาศผ่านมาเล่นกับพวกเรา หยอกล้อกับปลายนิ้วสนุกสนาน เป็นฝันที่ปลดปล่อยจินตนาการและผ่อนคลายที่สุดตั้งแต่ผมกลายเป็นโรคซึมเศร้า

สักพักปลาพวกนั้นก็กลายเป็นนก บินไปมาเกาะบนหัวพี่เดือน พวกเราหัวเราะมีความสุข นกหลากสีกำลังขับขานเพลงที่ช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง ร่างของพวกเราค่อยๆลอยขึ้นจากพื้นโดยที่มือทั้งสองข้างไม่ปล่อยจากกันไปไหน ลอบผ่อนหมู่เมฆบนฟ้าจนถึงชั้นบรรยากาศที่ทำให้พวกเราเห็นบริเวณที่เป็นน้ำที่กำลังสะท้อนแสงดวงดาวทั้งหมด ผมหันหน้ามาทางพี่เดือน ค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้าหากันเพื่อรับสัมผัสอันอบอุ่นจากริมฝีปากนั้น และความฝันของผมก็จบลงแค่นี้

ผมตื่นมาด้วยความสดใส พี่เดือนไล่ให้ผมไปอาบน้ำก่อนเพราะไม่อยากให้ผมต้องมาเห็นน้องชายของเขากำลังเคารพธงชาติ (ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ) แน่ล่ะว่าเขาไม่ได้สัมผัสกับร่างของผมมานานจนเป็นความคิดถึงที่ลามกไปหน่อย นั่นก็ช่วยไม่ได้

พวกเรากินข้าวที่เหลือเมื่อคืน ก่อนจะสะพายกระเป๋าเดินทางต่อไปที่ชะอำ แม้ว่านี่จะไม่ใช่ช่วงท่องเที่ยว แต่พี่เดือนก็อยากพาผมไปกินอาหารทะเลทั้งที่ตัวเองแพ้กุ้งอยู่อย่างนั้น

พวกเราใช้เวลาอยู่ที่ชะอำนานพอตัวเนื่องจากเผลอหลับคาเก้าอี้ชายหาดจากลมเย็นๆ ตื่นมาอีกทีก็เกือบบ่ายสองแล้ว อาหารที่สั่งมาผมไม่สั่งกุ้งเลยสักนิดเพราะไม่อยากให้เจือปนมาได้ พี่เดือนยิ้มให้กับความใส่ใจเล็กๆนี้ เขาแกะปูแกะหอยให้ ส่วนผมก็เป็นฝ่ายที่ป้อนไก่ย่างที่ซื้อจากข้างทาง

พวกเราผลัดกันดูแล

ขากลับ พี่เดือนพาผมแวะฟาร์มแกะที่อยู่ด้วยกันกับร้านขายของฝาก พวกเราซื้อขนมกลับไปกินด้วยกัน ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องหม้อแกงหลากหน้า ผมเลือกไม่ถูกเลยจริงๆว่าจะเอาหน้าไหน พี่เดือนเดินไปดูนมในตู้ ท่าทางจะลังเลว่ามันจะบูดเอารึไม่ถ้าซื้อกลับไป จากนั้นก็พากันจ่ายเงิน ได้หางบัตรมาเป็นบัตรเข้าฟาร์มแกะฟรีๆสองใบ พอสำหรับสองคน

ข้างในฟาร์มแกะเป็นแบบลานหญ้ากว้างๆ มีรั้วกั้นอาณาเขตระหว่างคนกับสัตว์ชัดเจน ผมเดินไปดูพวกแกะที่ถูกตัดขนออกอย่างแรก พวกมันค่อยเขี้ยวหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์จากมือนักท่องเที่ยวคนอื่นๆอย่างช้าๆ มีสองตัวที่จ้องมาทางพวกผมด้วยความหวังว่าจะได้กิน ผมจึงหยิบเงินออกมาจ่ายค่าหญ้าให้พี่เดือนที่ถือกล้องอยู่ด้วย แต่ไม่ทันจะเดินไปตรงริมรั้ว พวกมันสองตัวก็ดันกระโดดข้ามออกมาหาผมเสียแล้ว

แถมยังมาอ้อนคลอเคลียอีกด้วย

“เอ้าๆ อยากกินสินะ กินเลยๆ” ผมยื่นหญ้าให้สองตัวที่เห็นแก่กินนี้ พี่เดือนถ่ายช่วงจังหวะที่มันเดินตามผมไปล้างมือเอาไว้จนผู้ดูแลต้องตามมันกลับเข้ารั้วใหญ่

พวกเราเดินมาถ่ายรูปกับจักรยานล้อยักษ์ที่สามารถหมุนได้ ถ่ายกับสะพานข้ามบ่อน้ำเล็กๆแล้วก็มาอยู่ที่คอกม้าแคระ ผู้ดูแลบอกว่าพวกมันชอบแครอทที่เป็นหัวเล็กๆตามขนาดตัวของมัน ตอนที่พี่เดือนกลั้นใจยื่นหัวแครอทให้ม้านั้นเป็นช็อตที่ตลกมาก เพราะเขากลัวว่ามันจะงับมือแทนผักสีส้ม ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจโล่งใหญ่ที่มันไม่ได้งับมือเขาเหมือนอย่างที่คาด

เดินมาอีกหน่อยใกล้ถึงทางออก เป็นคอกกระต่ายหลายสายพันธุ์ที่พอเดินเข้าไปปุ๊บ มันก็พากันวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง พี่เดือนซื้อตะกร้าผักสำหรับกระต่ายมาสองตะกร้า แบ่งให้ผมเอามาล่อเจ้าพวกหูยาวแสนปุกปุย

มีอยู่ตัวหนึ่งที่ไม่กล้าออกมาจากมุมรั้ว ผมจึงเดินเข้าไปหามัน ยื่นแครอทให้ก่อนที่มันจะค่อยๆเล็มกัดกิน จากนั้นมันก็ยอมออกมาวนรอบๆผมขอแครอทเพิ่ม ผมชักจะติดใจกับกระต่ายขี้กลัวแต่น่ารักตัวนี้เข้าเสียแล้ว ผมเลยเล่นกับมันจนแทบจะลืมแฟนตัวเองที่มาขโมยแก้มผมไป

“พี่เดือนทำอะไร! คนตั้งเยอะแยะ!”

“ไม่มีใครมองสักหน่อย มีแค่เจ้าตัวเล็กนี่” พี่เดือนชี้มาทางกระต่ายตัวเดิมที่มองพวกเราตาแป๋วเหมือนอยากถามว่า ‘พวกคุณทำอะไรกัน?’ ผมหลุดหัวเราะ ตีไหล่ของเขา พี่เดือนแกล้งโอดอวนเจ็บทั้งที่แรงมือผมนั้นมันเบามาก “มีกระต่ายเป็นพยานรัก คู่เรานี่น่ารักชะมัด”

“พูดมาเถอะ” ผมลูบขนกระต่ายตัวนี้เบาๆ มันทำหน้าเคลิ้ม “ไม่มีใครเล่นกับมันนานเลยมั๊งนี่”

“เพราะคงหลบอยู่แต่มุม” พี่เดือนมองมุมรั้ว “พี่คงเป็นเหมือนกระต่ายตัวนี้ด้วย อยู่แต่มุม กลัวการที่จะบอกความจริงจนกุมภ์ยื่นมือมา” ว่าแล้วโจรคนนี้ก็ขโมยแก้มผมอีกข้าง

“อายกระต่ายบ้าง”

“อายสุดๆแล้ว นี่ถ้าไม่อายพี่คงจับเราจูบมันตรงนี้” พี่เดือนประคองใบหน้าของผมด้วยมือทั้งสองข้าง เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนถึงระยะอันตราย เป็นผมที่ผลักเขาออกไปก่อน

“ลามกว่ะพี่”

“ส่วนเราก็หน้าแดงมากเลยนะ”

“ไม่คุยแล้ว!” ผมลุกขึ้นเดินหนีคนขี้แกล้ง กระต่ายมันกระโดดไปมาราวกับว่าดีใจกับพี่เดือนที่สามารถยุน้ำโหผมได้สำเร็จ “ผมไปกินขนมในถุงนี่ดีกว่า”

“ในที่สุดก็เปลี่ยนสีหน้าได้สักที”

หืม?

“กุมภ์ไม่ค่อยร่าเริงเลยตั้งแต่วันนั้น พอพี่เห็นว่ากุมภ์กลับมาแสดงอารมณ์ได้เต็มที่แบบนี้แล้วพี่ก็รู้สึกดีมากเลยนะ บางทีความพยายามของพวกเราสองคนอาจจะสำเร็จแล้วก็ได้” พี่เดือนมาข้างๆผม “กุมภ์โกธร กุมภ์ยิ้ม กุมภ์หัวเราะได้เต็มที่...พี่รักกุมภ์ที่เป็นแบบนี้ เป็นกุมภ์ที่ไม่ติดอยู่ในวงวนความหวาดกลัวตลอดเวลา”

เขาจูงมือผมเดินออกจากฟาร์มตอนไหนผมไม่รู้ เราขึ้นรถตอนไหนผมไม่รู้ สมองผมมันกำลังประมวลคำว่ากลับมาร่าเริงได้ของเขาอย่างเต็มที่

ที่ผ่านมาพี่เดือนกังวลเรื่องที่ผมไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกมาสินะ

“พี่เดือน”

“หืม?”

“ผมจะถามพี่เป็นครั้งสุดท้าย เป็นการยืนยันกับตัวผมเอง ขอให้พี่ตอบตามความจริง ขอให้พี่ตอบตามที่พี่อยากตอบ อย่าโกหกผม อย่าหลอกผม...” ผมมองหน้าเขา “นะครับ”

เขาพยักหน้า

“พี่...รังเกียจผมมั๊ย?”

และคำตอบที่ผมได้ก็คือจูบ

จูบ...ที่ล้ำลึก

จูบ...ที่หวานหอมยิ่งกว่ากลิ่นของดอกไม้

ปลายลิ้นของเขาสอดเข้ามาหยอกล้อกับลิ้นของผม ค่อยๆปรับองศาหน้าเพื่อรับรสชาติหวานๆให้ได้มากที่สุด มันเป็นการแสดงความรู้สึกที่มันมากเกินไป...มากเกินที่หัวใจผมจะรับมันได้ จึงปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้าง สิ่งที่เป็นปมในใจของผมมันถูกคลายออกโดยสมบูรณ์

เขาไม่รังเกียจผมที่เคยถูกฝืนใจจากปากที่เขากำลังสัมผัสอยู่นี้เลยสักนิด

พวกเราผละออกจากกัน พี่เดือนเช็ดน้ำตาให้ผมด้วยปลายนิ้ว มองผมด้วยสายตาอ่อนโยน

“พี่ไม่เคยเลยที่จะรังเกียจกุมภ์ กุมภ์ พี่บอกแล้วว่าไม่ว่ายังไงพี่ก็ไม่มีทางที่จะรังเกียจตัวตนของกุมภ์”

“ฮึก...”

“เลิกร้องไห้เถอะนะที่รัก พี่บอกแล้วไงว่าต่อจากนี้เราจะเขียนหนังสือเล่มใหม่ด้วยกัน”

 

กว่าพวกเราจะกลับมาถึงคอนโดก็เกือบสองทุ่ม ล้าเกินกว่าที่จะทำอะไรต่อจากนี้ พวกเราลากสังขารไปอาบน้ำแล้วมานอนกอดกันอยู่ใต้แสงจากโคมไฟนั้นอีกครั้ง

จากเมื่อคืนที่ฝันว่าลอยอยู่กลางอากาศ ตอนนี้มันกลายเป็นจริง

พี่เดือนหลับตาลง เขาค่อยพึมพำเพลงออกมา ผมแนบหูตัวเองกับหน้าอกของเขาเพื่อฟังเสียงจังหวะหัวใจที่เต้นไปพร้อมๆกัน บทเพลงที่แสนคุ้นเคยนั้นพอยิ่งได้ฟัง ผมก็ยิ่งเข้าใจความหมายของมันมากขึ้น เหมือนกับชื่อเพลงที่มันเป็นเรื่องราวของพวกเรา

 

‘ตั้งแต่พบกันวันนั้น

ใจก็รู้ว่าเราจะมีกันวันนี้

เธอเติมเต็มสิ่งดีๆ ให้ทุกวันที่มี

กลายเป็นวันที่มีความหมาย

 

ไม่ใช่แค่วันพรุ่งนี้

แต่จากนี้แม้นานเท่านานสักเพียงไหน

จะมีเธอ เธอมีฉันมีกันตลอดไป

ยิ่งพบเจอยิ่งได้รู้จักยิ่งรักเธอหมดใจ’


 

“รู้มั๊ยว่าพี่ชอบเพลงนี้เพราะอะไร?”

“เพราะอะไรครับ?” ผมแกล้งถามไปทั้งที่รู้คำตอบดีแก่ใจ

“ครั้งแรกที่เห็นกุมภ์ มันมีความรู้สึกบางอย่างอยู่ในใจบอกว่าถ้าได้เจอเด็กคนนี้อีก มันจะมีเรื่องราวดีๆเกิดขึ้น และพวกเราก็ได้เจอกันจริงๆ กุมภ์ทำให้ทุกวันของพี่มีสีสันขึ้นมาทีละนิด...ทีละนิด รู้ตัวอีกที่โลกของพี่ทั้งใบก็มีแต่สีที่กุมภ์แต้มลงมาเสียแล้ว วินาทีที่พี่บอกไปว่าพี่ชอบกุมภ์ มันเป็นเหมือนระเบิดความรู้สึกที่สามารถฆ่าเราได้ทุกเมื่อ พี่กลัวความผิดหวัง พี่กลัวว่ากุมภ์จะเกลียดพี่ แต่กุมภ์กลับบอกว่าก็รู้สึกแบบเดียวกัน ผีเสื้อในท้องของผีมันเลยบินออกมาเป็นพันๆตัว

“พี่สัญญากับตัวเองว่าจะต้องเข้มแข็งขึ้นเพื่อปกป้องคนที่พี่ชอบให้ได้ อย่าทำให้เขาผิดหวัง อย่าทำให้เขาเสียใจ แต่ในทุกๆวันที่พี่คอยดูแลนั้น ความชอบมันก็กลายเป็นความรัก ความรักที่พี่ไม่คิดว่าจะมีให้ใครมาก่อนนอกจากคนในครอบครัว

“ถึงกุมภ์จะไม่ใช่คนแรกที่พี่ชอบ แต่กุมภ์เป็นคนแรกที่พี่รัก...และจะเป็นคนเดียวที่รัก

“ต่อให้นานแค่ไหน เวลาผ่านไปยังไง ขอแค่มีกุมภ์อยู่ข้างๆ ชีวิตพี่ก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว พี่กลัวมากตอนที่กุมภ์หายไป พี่กลัวว่าพี่จะไม่ได้เจอโลกทั้งใบของพี่อีก เมื่อพี่เจอกุมภ์ พี่ยอมรับว่าใจสลายเมื่อเห็นกุมภ์ในสภาพนั้น แต่พี่ก็ยังรัก อยากจะนำกุมภ์คนนี้กลับมารักษาให้คืนสู่แบบเดิม กลับมาเป็นคนเดิม กลับมาเป็นโลกของพี่เหมือนเดิม”

ผมยิ้มให้กับคำพูดของเขาที่น่าเอ็นดูเสียอย่างนี้

“กุมภ์...พี่รู้ว่านี่มันอาจจะฟังดูแก่แดดไปหน่อย แต่พี่อยากแต่งงานกับกุมภ์หลังเรียนจบเลยนะ” พี่เดือนหัวเราะ “การแต่งงานคือการยืนยันว่ายินยอมที่จะอยู่เป็นคู่ชีวิตไปด้วยกัน ถึงในไทยจะยังไม่มีกฎหมาย แต่พี่ก็จะพากุมภ์บินไปแต่งที่อเมริกา พวกเราจะสวมแหวนคู่เดียวกัน จะอยู่ด้วยกันไปจนกว่าจะแก่งำเหงือก”

“แก่งำเหงือกเลยเหรอครับ” ผมหัวเราะก๊าก “แก่เฒ่าก็พอมั๊ง?”

“งำเหงือกแหละดีแล้ว ยังไงฟันก็หลุดอยู่ดี”

พวกเราเงียบกันไป เสียงลมหายใจเข้าออกนั้นดังที่สุดในห้องนอนแห่งนี้ ก่อนที่พี่เดือนจะเอ่ยปากอีกครั้ง

“กุมภ์ วันพุธพี่มีจัดนิทรรศการภาพถ่ายที่เป็นโปรเจ็ค กุมภ์อยากอยู่รอดูรึเปล่า?”

เขารอคำตอบของผมอย่างใจจดใจจ่อ ขึ้นชื่อว่าเป็นนิทรรศการคนต้องเยอะมากแน่ๆ แต่ว่าตัวผมเองก็...

“เอาสิครับ จะได้ไปหาพวกนทีด้วย”

ผมยิ้มในความมืด พี่เดือนทำหน้าดีใจก่อนที่จะดึงผมไปซุกนอนด้วยกัน

 

“ไอ้แม่กุมภ์! กูดีใจที่เห็นมึงนะ” อุ้มวิ่งผลาเข้ามากอดผมตามด้วยดินและนที ส่วนแนนโบกไม้โบกมือทักทายผมก่อนที่จะตบไหล่ “มึงเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นมากมั๊ย มึงยัง...กลัวมั๊ย?”

“แน่นอนว่ากลัว...ยังกลัวอยู่ แต่ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ขอบคุณที่คอยโทรคอยคุยด้วยตลอดนะ”

“รู้รึยังว่าพี่เขมแกออกไปแล้ว” แนนยิ้ม “เหตุผลก็ไม่ใช่อะไรเลย พี่เขมแกกลัวว่าอาจจะเป็นเพราะตัวเองอีกที่ทำให้พี่เดือนกับมึงต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ คนชอบพี่เขมมีตั้งเยอะแยะ”

“คงจะสำนึกว่าทำตัวผิดมาตลอด แล้วก็ไม่สู้หน้าด้วยถ้ากุมภ์กลับมาเรียน ในเมื่อตอนนี้ทั่วมหาลัยพากันพูดว่าพี่เขมเป็นฝ่ายพยายามแย่งพี่เดือนจากมึง” ดินยักไหล่ ยื่นแก้วน้ำหวานมาให้ผม ทุกคนดูเปลี่ยนไปจากครั้งล่าสุดที่เห็นนิดหน่อย อย่างนทีตอนนี้ผมก็ยาวขึ้นจนมัดรวบเป็นหางม้ายาวประบ่าเพิ่มความเท่ไปอีกขั้น อุ้มที่หน้าเป็นรอยกระ ดินที่ผิวคล้ำจากกิจกรรมกลางแจ้ง ส่วนแนนก็ทำผมซอยสั้น

“พี่มะยม พี่ไนท์รออยู่ที่หน้าห้องที่จัดงานแล้ว ไปกันเถอะ” นทีเดินเข้ามากอดผม “ไม่อยากเชื่อว่าปีหน้ามึงจะต้องมากลายเป็นรุ่นน้องพวกกู”

“แต่แค่กลับมาเรียนได้ก็ดีใจมากแล้วล่ะ” อุ้มผลักหลังผมให้เดินตามแรงนั้น “พี่ศึก พี่เมย์กับพี่ฝนก็กำลังจะถึงแล้ว”

ผมเดินไปกับเพื่อนชุดนักศึกษาส่วนผมเป็นเสื้อฮู้ดกระต่ายสีน้ำทะเล เมื่อวันก่อนพี่เดือนกลับมาพร้อมกับเสื้อตัวนี้ที่บอกว่าได้มาเป็นคู่กัน ให้ใส่ไปในงานนิทรรศการ ฮู้ดนี้ยาวพอที่จะปิดไม่ให้ใครสังเกตผมได้ ผมถึงยอมใส่มา

แม้ว่า...

“เสื้อมึงน่ารักดีว่ะ”

ต้องยอมให้เพื่อนมันหยิกแก้มผมเป็นก้อนซาลาเปาก็เถอะนะ

 

พวกเราเดินเข้ามาในห้องที่จัดนิทรรศการภาพถ่าย มีรูปหลากหลายประเภท ผมคิดว่าของพี่เดือนน่าจะอยู่ช่วงท้ายๆ ระหว่างทางนั้นรูปต่างๆที่จัดแสดงนั้นมันแสดงออกถึงตัวตนของคนถ่าย แสดงถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อ เพื่อนผมพากันมองนู่นมองนี่จนเกือบจะหลงทาง ยังดีที่พี่มะยมกับพี่ไนท์มารับพวกผมแล้วพาไปดูงานพี่เดือนที่ตอนนี้น่าจะกำลังนำเสนอกับคณะอาจารย์

“ทำไมคุณถึงตั้งชื่อภาพเหล่านี้ว่า ‘ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ’ ครับ?”

“เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่ผมกำลังจะสื่อครับ”

เสียงพี่เดือนดังออกมาจากกลุ่มผู้คนที่กำลังรุมดูผลงาน

“ผมมาอยู่จุดๆนี้ได้ก็เพราะมีเขาผลักดันผม เขาทำให้ผมได้พบกับสิ่งที่ผมต้องการมาตลอด ฉะนั้นแล้วการที่ผมได้รู้จักกับเขานั้นคือของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตนี้”

ผมได้ยินเสียงเขาดังฟังชัดเจนมากแม้ว่าจะมีคนเยอะก็ตาม

“ผมอยากให้เขามีความสุข...อยากให้เขามีรอยยิ้มประดับใบหน้านี้ตลอดไป ผมจะทำความรู้จักกับเขาเพิ่ม จะใช้ช่วงเวลาที่มีกับเขา ศึกษากันและกันให้มากขึ้น และทุกๆวันนั้นผมอยากจะถ่ายเอาไว้เก็บเป็นภาพในความทรงจำอันสวยงามตลอดกาล”

เสียงปรบมือดังตามทันทีที่เขาพูดจบ เหล่าอาจารย์พยักหน้าให้จากนั้นก็ถามต่อ

“ถ้าเกิดว่าคุณได้รับหัวข้อให้ถ่ายอย่างอื่นที่ไม่ใช่บุคคล คุณจะเลือกถ่ายอะไร”

“ผมจะถ่ายทะเลครับ”

“ทำไมถึงเป็นทะเลครับ?”

“ทะเล...เป็นผืนน้ำที่กว้างใหญ่ มันเต็มไปด้วยอิสระ เป็นสิ่งที่ผมถวิลหามาตลอดเหมือนนกที่ต้องการจะออกจากกรงของโจรสลัด และเมื่อผมได้พบกับปลาที่อยู่ในน้ำ ก็ทำให้ผมพยายามที่จะเปิดกรงเพื่ออิสระของตนเอง

“และผมก็ทำมันสำเร็จ บินไปในท้องฟ้ากว้างนั้นกับปลาที่อยู่ในน้ำ ไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่อยู่ข้างหลัง แค่นั้น...ก็เป็นชีวิตที่ผมพอใจแล้ว”

เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง คณะอาจารย์เดินจากไป พวกเพื่อนผมก็พากันลากผมไปหาพี่เดือนทันที พี่เดือนยิ้มให้ผมแล้วก็จูงมือ

“อายจังเลยที่กุมภ์ได้ยินคำพูดพวกนั้น”

“อายอะไรครับ หน้ายิ้มขนาดนี้”

พรึ่บ

จู่ๆไฟที่เคยสว่างก็ดับลงไป ผมกระเด้งตัวเข้าหาพี่เดือนอัตโนมัติ ตัวเริ่มสั่นจากความมืดที่ผมไม่สามารถมองอะไรเห็นได้ น่าแปลกที่ไม่มีใครหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไฟฉายเลยสักคน

“กุมภ์”

พี่เดือนสะกิดผม เขาค่อยๆประคองใบหน้าให้ผมหันไปมองอะไรบางอย่างที่สว่างนิดๆ ก่อนที่มันจะเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนผมเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า

ให้ตายสิ ผมนี่มันหวั่นไหวง่ายเกินไปแล้ว

แถมยังโง่มากด้วย

“Happy birthday to You…Happy birthday to You…Happy birthday…Happy birthday…Happy birthday to You…

“สุขสันต์วันเกิดนะ!”

ไฟกลับมาสว่างอีกครั้งพร้อมกับเสียงพลุจิ๋ว พี่ศึกกับพี่เมย์ช่วยกันประคองเค้กก้อนใหญ่มาให้ผม ข้างหลังมีพ่อกับแม่แล้วก็มีนากำลังยืนยิ้มให้ เพื่อนผมก็พากันเดินเข้ามากอดจนรู้สึกร้อน พี่เดือนคงจะหึงเลยไล่ให้ออกไปเกิดเสียงหัวเราะคิกคักไปทั่ว ที่สำคัญคือคนบริเวณนั้นน่าจะรู้เห็นเป็นใจด้วยเลยพากับปรบมือใหญ่

“อะไร? อย่าบอกนะว่าปีนี้ก็ลืมวันเกิดตัวเองน่ะ?” พี่เดือนก้มลงกระซิบ เขาค่อยๆดันหลังผมให้ไปหาเค้กฝีมือน้องชายผม “เย็นนี้พ่อกับแม่พี่ก็จะพากุมภ์ไปโออิชิแกรนด์ด้วยนะ”

“แพงไปพี่เดือน! หยุดเลย” ผมตีแขนเขา ทุกคนหัวเราะพร้อมกับเชียร์ให้ผมเป่าเทียน

ผมหลับตาแล้วอธิฐานสิ่งที่ผมต้องการให้เกิดที่สุดในชีวิตไป

“กินเค้กๆ!” อุ้มกับดินรีบกรูเข้าหาเค้กอย่างแรก พี่เดือนรับลูกโป่งรูปหัวใจมาจากคนที่ยืนอยู่แถวนั้นมาแล้วก็ยื่นให้ผม คราวนี้เสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังขึ้นราวกับว่านี่เป็นวันสุดท้ายที่พวกเธอจะได้เห็น

“กุมภ์ ปีหน้าฉลองวันเกิดกันอีกนะครับ”

“พี่เดือน...”

“พี่ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกุมภ์อีกเยอะ แต่พี่สัญญาว่าพี่จะทะนุถนอมกุมภ์ พี่จะไม่ปล่อยมือกุมภ์ให้หลงทางในความมืดคนเดียว” เขาจับมือของผมแน่น “พี่ก็พูดไม่เป็นด้วยสิพอเจอสถานการณ์แบบนี้...เอาเป็นว่า...”

กรี๊ดดดดดดดด

“พี่ทำแบบนี้...กุมภ์น่าเข้าใจง่ายกว่ามั๊ง?” พี่เดือนละริมฝีปากออกจากผม ใบหน้าของพวกเราห่างกันแค่นิ้วเดียว เขาใช้ปลายจมูกคลอเคลียหยอกไปมาจนคนอื่นร้องโวยวายที่เขาทำหวานไม่แคร์ใคร

เขาคนนี้...

คนที่เป็นเด็กแก่เรียน เป็นคนชอบฝืนตัวเอง เป็นคนดื้อด้าน เป็นคนที่ทำอะไรชอบให้ต้องดุอยู่เสมอ แต่สามารถเป็นที่พึ่งพา เป็นคนรดน้ำให้พื้นดินที่แห้งแล้งนี้ได้ เป็นคนที่ใส่ใจดูแลทุกสิ่ง เป็นคนที่ทำอะไรก็ทุ่มสุดตัว

ผม...ผมรักเขาจนไม่รู้ว่าจะรักได้มากแค่ไหนแล้ว

“งั้นจากนี้ผมก็ฝากตัวกับหัวใจไว้กับพี่นะครับ”

พี่เดือนเบิกตาให้กับความตรงๆของผม เขาหัวเราะและขยี้ผมของผมด้วยความเอ็นดู

“แน่นอน ฝากทั้งชีวิตเลยย่อมได้”

 

ทุกช่วงเวลาของชีวิตมีทั้งดีและเลวร้าย แต่ผมก็ไม่เสียใจที่มีเรื่องราวเกิดขึ้น มันจะเป็นบทเรียนชีวิตที่ล้ำค่า

และแน่นอนเช่นกันว่าถ้าผมไม่ได้เจอกับพี่เดือน ผมคงไม่รู้จักคำว่า ‘รัก’

คำอธิฐานเพียงหนึ่งเดียวของผมนั้น...

คือการที่ผมจะได้รู้จักพี่เดือนให้มากกว่านี้ ใช้เวลาด้วยกันให้มากกว่านี้ ไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุข ผมก็อยากให้เขาจับมือผมเอาไว้เคียงข้างกันตลอดไป

--------

บทหน้าก็จบแล้วนะ เดี๋ยวจะลง SP แยกย่อยแก้เหงาให้นิดหน่อย ส่วนเรื่องต่อไปพี่นทีมาแน่นอน ตอนนี้กำลังเร่งงานอยู่ แงง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทส่งท้าย

 

ผมชื่อกุมภา สิริกุล หรือเรียกสั้นๆว่ากุมภ์ อายุยี่สิบหกปี จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง สูงร้อยเจ็ดสิบ น้ำหนักอย่ามาถาม ของที่ชอบคือข้าวขาหมู แต่ถ้าเป็นกระเทียมหรือมะเขือเทศขอให้เอามันออกไปไกลๆ งานอดิเรกคือการถือกล้องตัวโปรดออกเดินทางไปถ่ายสถานที่ต่างๆรวมถึงการทำ vlog ลงยูทูป คนดูไม่ค่อยมากแต่ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิต

ตอนเรียนผลการเรียนอยู่ในระดับต้นๆ ชอบดึงมีนชาวบ้าน แต่ไม่ชอบการเข้ากิจกรรมที่คนเยอะ อย่างอื่นค่อยไปรู้คราวหลังแล้วกัน

ถ้าให้พูดว่านอกจากส่วนสูงแล้วลักษณะของผมเป็นอย่างไร ..อืม...เอาเป็นว่าสีผมของผมนั้นเป็นสีน้ำตาลเข้มธรรมชาติ หน้าตาออกหวานนิดๆ กล้ามเนื้อไม่ค่อยมีเหมือนผู้ชายทั่วไปสักเท่าไหร่

และผมก็มีแฟนที่คบกันมาสิบปีแล้ว

เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดี จบปริญญาตรีเอกถ่ายภาพ จบปริญญาโทเอกบริหาร เป็นช่างภาพอิสระที่กำลังโด่งดังในวงการ แต่เขาไม่ยอมรับงานที่มีถ่ายนอกสถานที่เพราะไม่อยากห่างผม บางครั้งเขาก็จะสวมแว่นตากับทำผมยุ่งๆไม่ให้เด่น เวลาที่เขาอยู่คอนโดกับผมก็มักจะเลื้อยมาอ้อนนอนตักไม่ก็ชวนผมดูรูปถ่าย

ทุกๆวันนั้นมันเป็นวันธรรมดาที่ช่างแสนวิเศษของเรา

บาดแผลในอดีตที่เคยเจ็บปวดของผมมันถูกเขารักษาจนหายเกือบสนิท เขาดูแล เขาทะนุถนอม เขาทำทุกอย่างเพื่อให้ผมมีความสุข ส่วนผมก็จะยิ้ม ให้กำลังใจและคำปรึกษาแก่เขาในวันที่เขาเหนื่อยล้าจากงานที่ทำ

หลายคนเคยชวนเขาเข้าวงการบันเทิงเนื่องจากหน้าตาที่ดีเกินไป แต่เขาก็ปฏิเสธทันควัน เขาไม่ได้อยากมีชื่อ มีหน้ามีตาเหมือนสมัยเขายังเรียนมัธยม ข้อนั้นผมกับเขาต่างรู้แก่ใจดีว่าเพราะทำไมถึงทำแบบนั้น สำหรับคนนอกคงจะเห็นเป็นแค่ความไม่อยากดังจนไม่สงบจิต

“อืม...”

เขาค่อยๆขยับตัวลืมตาขึ้นมา ร่างกายเปลือยเปล่าของเขากำลังนอนกอดผมที่ไม่มีเสื้อผ้าเช่นกัน เมื่อคืนพวกเรา ‘เล่น’ จนเลยเถิดไปหน่อย แต่นั่นคือการเติมเต็มความต้องการของกันและกัน

“ตื่นนานแล้วเหรอกุมภ์...”

“เมื่อกี๊เองครับ เดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อนนะ ผมจะอุ่นอะไรให้กิน”

“ไม่เอาสปาเก็ตตี้แล้วนะ เลี่ยนสมชื่ออาหารอิตาเลี่ยน”

ผมหัวเราะแล้วลุกไปอาบน้ำอุ่นอาหารให้ สิบปีที่ผ่านมาก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปก็คือฝีมือในการทำอาหารของเราทั้งสองคนที่เหมือนจะคงเส้นคงวาตลอด…หมายถึงทำไม่เป็นนั่นแหละ

ผมได้ยินเสียงน้ำหยุดไหล เสียงเปิดตู้เสื้อผ้า เสียงปิดประตูเบาๆ และเสียงของลมหายใจที่มารดต้นคอของผม พี่เดือนทักทายยามเช้ากันแบบนี้อีกแล้วเหรอ...

“มันจั๊กจี้นะพี่”

“ก็ตัวกุมภ์หอมนี่นา”

“หยุดเลยๆ เดี๋ยวผมก็ทำกับข้าวตกหรอก”

ผมดันพี่เดือนให้ถอยไป เขาทำหน้าเสียดายนิดๆแล้วก็เอ่ยปากถามต่อ

“แล้วนี่คิดรึยังว่าจะสมัครงานใหม่ที่ไหน?”

“ผมว่าจะลองส่งรีซูเม่ให้กับบริษัทเนชั่นเนลก่อนครับ พี่เดือนจะส่งพร้อมกันเลยมั๊ย?”

“เล่นบริษัทใหญ่แบบนี้พี่จะรอดรึเปล่าเนี่ย” เขาหัวเราะ นั่งลงกับเก้าอี้คู่ตรงเคาท์เตอร์ครัวพร้อมกับรับจานอาหารอุ่นมา “แต่พี่ก็ไม่อยากทิ้งโอกาสนะ เสี่ยงดูจะเป็นอะไรไป”

“นั่นแหละที่ผมอยากบอก” ผมยื่นแก้วกาแฟรูปหัวใจสีขาวให้ แล้วเดินมานั่งข้างๆกับเขาโดยมีแก้วกาแฟรูปเดียวกันสีดำมาวางติดกัน “รู้ว่าตัวติดกันตลอดเวลาไม่ได้ แต่ถ้ามีโอกาสนี่ก็ควรจะคว้าเอาไว้นี่เนอะ”

“เจ้าปลาเอ๊ย” พี่เดือนตักข้าวเข้าปาก ใช้ช้อนเดียวกันตักให้ผมอ้ารับด้วย

“เอ้า ก็จริงมั๊ยล่ะ ถ้าเกิดเราติดนะ ได้เดินทางไปทั่วโลกถ่ายนู่นนี่เลยนา”

“อยากเที่ยวก็บอกมาเถอะน่า”

“ก็อยากเที่ยวแบบไปแค่สองคนนี่ อ้างงานได้ ถ้าเกิดไปแบบไม่มีงานเดี๋ยวนทีก็งอแงหนีงานตามไปด้วยอีก” ว่าแล้วก็นึกถึงเพื่อนสนิทตัวดีที่ตอนนี้กลายเป็นโปรดิวเซอร์เพลงหน้าตาหล่อเหลาเป็นที่จับจ้องของนักร้องในวงการหลายๆคน แต่เสียดายแทนพวกเธอด้วยที่เขามีเจ้าของเป็นตัวเป็นตนไปเสียแล้ว

“ท่าทางจะติดเพื่อนมากเลยนะ”

“ติดแฟนด้วย ถ้ามันไป มันก็ต้องลากเจ้าตัวเล็กไปด้วย”

ผมกับพี่เดือนหลุดหัวเราะด้วยกัน

“…พี่รักชีวิตแบบนี้จริงๆนั่นแหละ เรียบง่ายแต่มีความสุขทุกวัน”

“นั่นสินะ...”

“เอาไว้อีกสักสิบปีพี่ค่อยกลับไปทำธุรกิจที่บ้านต่อก็ได้” พี่เดือนเรียนต่อบริหารเพื่อที่จะนำมาใช้สานต่อธุรกิจโรงแรมของพ่อเขา ส่วนโรงพยาบาลนั้นจะกลายเป็นของหนึ่ง น้องชายนอกสายเลือด “ตอนนั้นพี่จะลงทุนซื้อสตูดิโอของบ้านกุมภ์มาขยาย...ว่างๆพี่จะแวะเข้าไปดู”

“โหพี่ ผมขยายเองก็ได้หรอก”

“ไม่เอา เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ” พี่เดือนยกมือข้างซ้าย ที่นิ้วนางมีแหวนสีเงินเรียบๆวงหนึ่งสวมเอาไว้ เช่นเดียวกับที่มือข้างเดียวกันของผมที่มีของอย่างเดียวกันอยู่

แหวนคู่...ที่ปีที่แล้วเขาสวมให้กับนิ้วผมด้วยตัวเองที่แคนาดา

“ครับๆ ไม่เถียงแล้วครับ”

“น่ารักแบบนี้มาให้รางวัลอีกสักฟอดหน่อย” เขาหอมแก้มผมเสียงดัง พวกเราหัวเราะคิกคัก

 

“เอ่อ ขอโทษนะครับ พอดีว่าพี่ทำปากกาหล่น”

“อะ...”

“เมื่อกี๊ปากกาหล่นจากกระเป๋าพี่ครับ”

“ขอบคุณนะ”


 

“ขอบคุณนะ...ที่รู้จักกัน”

ทั้งผมและเขาต่างพูดคำนี้ออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ยิ้มให้กันและกัน เตรียมพร้อมกับหนังสือหน้าใหม่ของวันนี้

 

ยิ่งรู้จัก...

ผมก็ยิ่งรักคุณมากขึ้นทุกวันจริงๆ ♥


 

- เรื่องราวของพวกเรามันยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น -


----------

ใจหายเหมือนกันแฮะที่พี่เดือนกับน้องกุมภ์จบลงแล้ว...แต่มันไม่ได้เขียนคำว่าจบสักหน่อยนี่นา

ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตาม (แม้ว่าจะน้อยนิด) นะคะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขียนเรื่องยาวจบ แม้ว่าช่วงงหลังๆมันจะดูกระชับไปหน่อยแต่ก็ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาค่ะ น้องมีเรื่องที่ตั้งใจจะลงต่อจากพี่เดือนน้องน้องกุมภ์แล้วก็คือพี่นที ที่ใครอ่านใน SP ด้วยนั้นก็คงจะรู้ว่าพี่เขาคู่กับมีนา น้องชายของกุมภ์ แต่ขอบอกเอาไว้เลยนะคะว่าโทนเรื่องของพี่นทีแกคนละอย่างกับเพื่อนสนิทตัวเองเลยค่ะ แง

สุดท้ายนี้เรื่องจะมีเล่มมั๊ยนั้นก็ต้องให้เบื้องบนช่วยให้คำตอบค่ะ (ยกมือไหว้) มันเป็นครั้งแรกที่น้องจริงจังขนาดนี้ ล้มลุกคลุกคลานมากเหมือนกันแต่น้องก็คิดถึงว่าในบรรดาผู้ติดตามอันน้อยนิดนั้นคือคนที่พร้อมจะเดินทางไปกับตัวละครของน้อง เติบโตและส่งพวกเขาให้มีความสุขไปด้วยกัน

ขอบคุณจริงๆนะคะ แล้วเจอกันเรื่องหน้าค่ะ   - SmolMety 01/2019

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ HappyYaoi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไม่คิดว่าจะมีดราม่าลูกใหญ่ซ่อนในเรื่องนี้ แงงงง สนุกมากค่ะ อินจนร้องไห้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด