[END] ♥ ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ ♥ #รู้จักจนรัก (20/1/2019 Final Ch. up)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] ♥ ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ ♥ #รู้จักจนรัก (20/1/2019 Final Ch. up)  (อ่าน 24071 ครั้ง)

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

----------

♥ ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักคุณ ♥

ผมเป็นรุ่นน้อง ส่วนเขาเป็นรุ่นพี่
ผมเป็นคนธรรมดาๆ ส่วนเขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ
แต่การที่พวกเราสนิทมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ต่างคนต่างล้ำเส้นที่ขีดกั้นคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้องมา
เพราะว่ายิ่งรู้จัก...ก็ยิ่งรักมากขึ้นไปอีก

----------

รีไรท์จาก 'ยามที่ได้รู้จัก' โดยที่เราเปลี่ยนชื่อเรื่องให้เข้ากับทีมของเนื้อหามากขึ้นค่ะ
จะทำการอัพทุกวันเสาร์เนื่องจากช่วงนี้ติดภารกิจส่วนตัว+ปัญหาที่โรงเรียนรุมเร้า

คำเตือน : เพราะนักเขียนยังมือใหม่ ทำให้ยังมีข้อผิดพลาดเยอะ แต่ก็พยายามจะโยนอ้อยลงนิยายตัวเองให้มากที่สุดเพื่อทำให้เรื่องนี้ฟีลกู้ดค่ะ!!

----------

จิ้มเพื่อโดดไปยังบทต่างๆ

*
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2019 20:19:41 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 1

 

สิบหกปีที่เกิดมา ความรักที่ผมรู้จักก็คงจะเป็นความรักแบบครอบครัวหรือความรักแบบเพื่อนที่มีให้กัน

ถามว่าอยากรู้รึเปล่าว่าความรักแบบหนุ่มสาวนั้นมันเป็นอย่างไร ผมก็อยากรู้นะ อยากรู้มากๆเลยว่ามันจะเหมือนในละครหลังข่าวหรือไม่

จริงสิ

ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย

ผมชื่อกุมภา สิริกุล หรือเรียกสั้นๆว่ากุมภ์ อายุสิบหกปี เพิ่งสอบย้ายเข้าโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลได้ สูงร้อยหกสิบห้า น้ำหนักอย่ามาถาม ของที่ชอบคือข้าวขาหมู แต่ถ้าเป็นกระเทียมหรือมะเขือเทศขอให้เอามันออกไปไกลๆ งานอดิเรกคือการถือกล้องตัวโปรดออกเดินทางไปถ่ายสถานที่ต่างๆรวมถึงการทำ vlog ลงยูทูป คนดูไม่ค่อยมากแต่ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิต

ผลการเรียนอยู่ในระดับกลางๆ ถนัดวิชาชีววิทยา วิชาที่สมควรตกคือคหกรรม อย่างอื่นค่อยไปรู้คราวหลังแล้วกัน

ถ้าให้พูดว่านอกจากส่วนสูงแล้วลักษณะของผมเป็นอย่างไร ..อืม...เอาเป็นว่าสีผมของผมนั้นเป็นสีน้ำตาลเข้มธรรมชาติ หน้าตาออกหวานนิดๆ กล้ามเนื้อไม่ค่อยมีเหมือนผู้ชายทั่วไปสักเท่าไหร่

กลับเข้าประเด็นกันดีกว่า ตอนนี้ก็ผ่านไปแล้วเดือนกว่าๆกับการเปิดเทอม เพื่อนที่เริ่มสนิทก็มีสองสามคน ซึ่งรวมถึงคนที่กำลังตั้งใจเรียนอยู่ข้างๆผมคนนี้

นที

ด้วยส่วนสูงที่เกือบจะแตะร้อยแปดสิบอยู่แล้ว ยิ่งทำทรงผมรวบหางม้ากลางหัวแบบนั้นยิ่งทำให้เด่นเข้าไปใหญ่ โชคดีที่โรงเรียนนี้ไม่ได้บังคับว่าจะต้องไว้ทรงไหนหรือบังคับให้เรียนรด.เพราะว่าที่นี่คือโรงเรียนเอกชน ไม่งั้นทรงผมที่เจ้าตัวเคยเล่าว่าเลี้ยงมานานคงจะเหลือแค่ผมเกรียนๆเท่านั้น แต่คุณอย่าเพิ่งคิดนะครับว่ามันจะหล่อแบบวัวควายตายล้ม สาวเห็นแล้วกรี๊ดสลบเป็นแถบ ไอ้หล่อน่ะหล่ออยู่ เสียที่มันใส่แว่นตากรอบดำหนาเฉิ่มมาเรียนทุกวันนี่แหละที่ทำให้ไม่มีสาวที่ไหนมามองเท่าไหร่

ผมรู้จักเขาตอนเปิดเทอมวันแรก วันนั้นผมนั่งไม่สบายปวดหัวอยู่คนเดียวตอนเที่ยง ไม่รู้ว่านทีโผล่มาจากไหน มันลากผมไปที่ห้องพยาบาลโดยไม่บอกกล่าว หนำซ้ำยังโดดเรียนมานั่งเฝ้าผมถึงเย็น หลังจากนั้นนทีก็ตัวติดกับผมอย่างกับปลิง ไปที่ไหนก็เดินตาม จะไปห้องน้ำมันก็ยังเฝ้ารอหน้าประตูเลยคิดดู

แต่เอาจริงๆแล้วนทีเป็นคนที่ดีมากๆคนหนึ่ง ถ้าไม่ติดว่ามันชอบสกินชิพชาวบ้านกับเป็นคนขี้งอนขี้งอแง...

ส่วนเพื่อนอีกสองคน อันนี้มาแพ็คคู่

อุ้มกับดิน

คู่หูนักเผือกที่ช่วงกลางเดือนที่แล้วถูกจับพลัดจับพลูมาอยู่กลุ่มทำงานด้วยกันโดยที่ผมโดนสองคนนี้ถามตลอดว่าผมกับนทีเป็นอะไรกันถึงได้ตัวติดเป็นแม่ลูกตลอดเวลา (ย้ำนะครับว่าแม่ลูก) เอาไปเอามาสองคนนี้ก็เข้ามาสนิทด้วยกันตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวตอนที่ไปนั่งกินข้าวด้วยกันสี่คนทุกวันเสียแล้ว

อุ้มเป็นคนที่เดาอารมณ์ค่อนข้างยาก บางครั้งก็ร่าเริง บางครั้งก็ง่วงทั้งวัน แต่รวมๆแล้วไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น

ส่วนดินเป็นคนง่ายๆสบายๆ อะไรก็ได้แต่สมองช้าเรื่องข่าวสารชาวบ้านไปนิด

 

“เย็นนี้ไปเที่ยวห้างด้วยกันปะ มีร้านมาเปิดใหม่ด้วย”

อุ้มเดินตรงมาที่โต๊ะคู่ของผมกับนที สีหน้าเหมือนรอคำว่า ‘ไป’ นทีพยักหัวรัวๆพร้อมกับสะพายกระเป๋ากีตาร์สารพัดประโยชน์ขึ้นหลัง ดินกำลังยืนถือถุงขนมกินสบายใจอยู่ข้างๆกัน “แล้วมึงอะกุมภ์?”

“มีเรียนพิเศษ วันหลังแล้วกัน” ผมโบกมือ สะพายกระเป๋าบ้าง “ก็น่าจะรู้ๆกันดีว่าทุกวันพุธพฤหัสกูมีเรียน”

“ตลอดดดด ไม่ไปกับเพื่อนกับฝูงบ้างเลย งอน” นั่นไง ผมว่าแล้วว่านทีมันต้องงอนเพื่อน ได้ข่าวว่าก็ไปด้วยกันทุกวันจันทร์มั๊ย

“เออๆ ไปเถอะ วันหลังก็วันหลัง” อุ้มจูงแขนนทีที่ตีหน้าบูดบึ้ง “นที ถ้ามึงยังไม่เลิกงอนง่ายเหมือนผู้หญิง กูจะเอากีตาร์ลูกมึงไปขายทอดตลาด!”

“อย่าเอาไปขายนะเจ๊!”

นั่นแหละครับ ผมปล่อยให้สองคนนี้ตีกันต่อไปโดยที่สะพายกระเป๋าหนีออกมาเลย ขี้เกียจทนฟัง

 

โชคดีที่ผมสามารถทนกลิ่นเหงื่อกลิ่นเหม็นเปรี้ยวบนรถสายสีฟ้าผ่านหน้าโรงเรียนมายังที่เรียนพิเศษได้ ในเวลาเร่งรีบของที่นี่ นักเรียนและคนทั่วไปก็จะทยอยขึ้นรถจนเบียดแน่นเต็มพื้นที่ ถ้าคุณนึกไม่ออกนะครับ ค่อยๆฟังผม คือรถสายเนี่ยเป็นรถที่ดัดแปลงมาจากรถกระบะสองที่นั่ง เอาคันกั้นท้ายรถออกแล้วเพิ่มหลังคากันลมกันฝนแทน สูงประมาณสองเมตร สองข้างทำเบาะยาว ถ้าคนนั่งเต็มก็จะมีราวจับบนเพดานหลังคาให้ยืนตรงกลาง ส่วนทางขึ้นจะเป็นขั้นแผ่นเหล็กเล็กๆที่เวลาส่วนท้ายเต็มแล้วหลายคนชอบไปยืนจับราวตรงนั้นเพื่อไม่อยากเสียเวลารอคันต่อไป

แล้วประเด็นก็คือโรงเรียนนี้คนเยอะไม่พอ ก่อนหน้าที่รถสายจะถึงหน้าโรงเรียนผมก็จอดที่ห้างดังก่อน ฉะนั้นแล้วจึงมีพนักงานที่เลิกกะงานแล้วมาขึ้นรถอยู่พอควร เมื่อมาถึงโรงเรียนผมปุ๊บ นักเรียนก็จะแย่งกันขึ้นราวว่าหนีตายฝูงซอมบี้ บางคนก็วิ่งมาจากหลังโรงเรียนทำไมมีกลิ่นเหงื่อกลิ่นไคลติด ถ้าโชคร้ายหน่อยเขาก็จะยืนจับราวอยู่หน้าคุณและสัมผัสกลิ่นไอธรรมชาติจนต้องยกยาดมขึ้นมา

พอผมลงจากรถสาย ผมก็ตรงเข้าไปในเซเว่นแถวๆนั้นเพื่อซื้อน้ำซื้อขนมเข้าไปกินในที่เรียน โดนพนักงานล่อซื้อโปรฯสเลอปี้ไปได้หนึ่งแก้วก็เดินเข้าที่เรียนพิเศษที่อยู่ใกล้ๆกัน ย่างเท้าไปกินไปอย่างมีความสุข ยื่นบัตรนักเรียนให้พนักงานที่เคาท์เตอร์ดูเพื่อที่จะเอารหัสเข้าห้อง ผมมาเรียนที่นี่วันแรกแต่ก็พอรู้บ้างว่าจะต้องทำอะไร

“ชั้นสามห้องสามนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

ผมหยิบคีย์การ์ดเข้าห้องมาถือแกว่งไปมาจนขึ้นบันไดมาถึงชั้นสาม สองข้างทางมีแต่ผนังสีขาวและต้นไม้สีเขียวตรงสุดทางเดิน ประตูแต่ละบานจะมีป้ายเขียนติดเอาไว้ว่าห้องไหนคือห้องไหน ผมเดินไปถึงบานที่เขียนไว้ว่าห้องเรียนที่สามแล้วแตะคีย์การ์ดเข้าไป เจอกับพาติชั่นกั้นความเป็นส่วนตัวของนักเรียน

ในเมื่อพนักงานไม่ได้บอกว่าบังคับให้นั่งโต๊ะไหน ก็เอาตรงมุมห้องแล้วกัน

ผมเดินมาถึงมุมห้องก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาจดอะไรเป็นระวิงอยู่โต๊ะสุดท้าย ผมจึงเลือกที่จะนั่งห่างจากเขาออกมาอีกหนึ่งช่วง วางของไปสังเกตไปว่าสีหน้าเขาเครียดมากเหมือนกำลังหัวเสียอะไรสักอย่าง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจต่อในเมื่อผมไม่รู้จักเขาและไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับเรื่องชาวบ้าน

นั่งเรียนไปได้สามสิบนาทีผมก็ได้ยินเสียงเก้าอี้ข้างๆดังขึ้น ผู้ชายคนนั้นลุกออกจากโต๊ะเก็บข้าวของลงกระเป๋าด้วยความเร่งรีบ ก่อนที่จะสะบัดตัวออกไปอย่างรวดเร็ว แต่คงเร็วไปหน่อยที่ทำให้ปากกาที่เสียบอยู่ข้างกระเป๋าถูกเหวี่ยงออกมาด้วยตามแรง ผมจึงก้มลงเก็บแล้ววิ่งตามไปสะกิดไหล่เขาให้ทันก่อนที่เขาจะออกจากห้องไป

“เอ่อ ขอโทษนะครับ พอดีว่าพี่ทำปากกาหล่น”

“อะ...”

เขาหันมาตรงๆ ทำให้ผมเห็นใบหน้าของชายคนนี้เต็มๆ

ใบหน้าที่เรียวได้รูป ผมสีดำถูกหวีเรียงสวยงาม ปากและจมูกที่เข้ากับใบหน้าราวกับว่าตั้งใจปั้น อีกทั้งส่วนสูงที่เกินมาตรฐานชายไทย หลายอย่างบนใบหน้าของเขามันขับทำให้ชายคนนี้ดูดี

 “เมื่อกี๊ปากกาหล่นจากกระเป๋าพี่ครับ”

“ขอบคุณนะ” เขาว่าสั้นๆก่อนที่จะหยิบปากกาจากมือผมไปแล้วเดินออกจากห้องไปเลย

ผมเดินกลับมานั่งที่ของผม เสื้อนักเรียนที่เขาใส่มันปักด้ายสีน้ำเงินสื่อว่าเป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับผม จะว่าไปก็คุ้นๆหน้าด้วยเหมือนกันว่าเคยเห็นจากไหน คงจะเคยเดินผ่านล่ะมั๊ง?

สายตาที่ผมเห็นเมื่อกี๊นั้น..ถึงคนอื่นจะดูไม่ออก แต่ผมดูออกว่าเขาเหนื่อยแค่ไหน

อาจจะเรียนทั้งวันจนเหนื่อยเหมือนคนอื่นก็ได้ ใครจะรู้

 

กุมภ์ 20.15 pm

พรุ่งนี้มีงานอะไรต้องส่งบ้างนะ

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 20.17 pm

คณิตครูเจนกับชีวะครูมยุรี

Smol 20.18 pm

ฉิบหายแล้ว กูยังไม่ได้ทำเลย

Smol 20.18 pm

เอามาลอกหน่อย

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 20.19 pm

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนโว้ย

Smol 20.19 pm

ฟ้าคคคคคคคค

 

ผมหัวเราะกับแชทกลุ่มที่ตอนนี้นทีกับอุ้มเถียงกันเรื่องลอกงานส่งครู ผมถามไปงั้นแหละเพื่อเตือนเพื่อนว่ามีงานต้องส่ง ซึ่งก็มีคนลืมจริงๆเสียด้วย

 

Din not Tin 20.21 pm

ลอกด้วยดิ กูก็ยังไม่ได้แตะ

Smol 20.21 pm

โฮฮฮฮ ดินเพื่อนรัก

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 20.21 pm

มึงไม่พูดไรวะกุมภ์ สองตัวนี้งานไม่ทำเนี่ย

กุมภ์ 20.22 pm

จะให้พูดอะไรล่ะ เอ้ออ

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 20.22 pm

สัด

 

เอ้า ก็คนมันไม่มีอะไรจะพูดจริงๆนี่หว่า

 

Din not Tin 20.23 pm

กุมภ์ มึงคือความหวังสุดท้ายของพวกกู

Smol 20.23 pm

^

 

ไม่มีอะไรจะพูดเพราะเดี๋ยวสองคนนี้จะหันมาพึ่งผมแทนเนี่ยแหละ

 

กุมภ์ 20.23 pm

เออๆ แป๊บ

กุมภ์ 20.25 pm

*ส่งรูปภาพ*

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 20.25 pm

มึงนี่ก็ตามใจเพื่อนตลอด พากันสอบตกกูไม่โทษใครเลยนอกจากมึงเนี่ย

กุมภ์ 20.26 pm

เรื่องของกูน่า ช่วยเพื่อนบ้างจะเป็นไร

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 20.26 pm

….

 

ผมรู้ว่านทีไม่อยากให้เพื่อนลอกเท่าไหร่เพราะกลัวจะสอบตกกัน แต่ช่วยบ้างก็จะอะไรล่ะ หลายครั้งเหมือนกันที่ผมกับนทีเถียงเพราะเรื่องนี้ สุดท้ายจบที่มิตรภาพด้วยนมสตรอเบอร์รี่และกาแฟนมร้านพี่ดาวหน้าโรงเรียน

 

กุมภ์ 20.27 pm

จะว่าไปวันนี้ก็เจอคนที่น่าจะเป็นรุ่นพี่คนหนึ่งด้วยว่ะ

กุมภ์ 20.27 pm

หน้าตาอย่างดี เสียตรงที่สายตาดูเหนื่อยกับชีวิต

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 20.27 pm

รุ่นพี่?

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 20.28 pm

แล้ว...?

Smol 20.28 pm

อย่าบอกนะว่ามึงชอบเขา?

กุมภ์ 20.28 pm

ไม่ใช่โว้ยยยยย

กุมภ์ 20.30 pm

คือหน้าตาเขาดีมากนะ กูคุ้นๆหน้าเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน ตัวสูงๆหน่อย ผมสีดำสนิท หวีจัดทรงเรียบร้อยมาก ดูเป็นคนสมบูรณ์แบบสุดๆ

Din not Tin 20.31 pm

จำได้แบบนี้ กูว่าชอบเขาชัวร์

Smol 20.32 pm

...พี่เดือนปะ?

 

พี่เดือน? ใครวะ

 

Smol 20.35 pm

พี่เดือนชื่อจริงชื่อพีรดล เป็นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนเราอะ ตอนนี้อยู่ม.6 แล้ว พี่เขามีผลงานเยอะมากเลยนะเว้ยตั้งแต่ทำคะแนนสอบได้สูงสุดติดกันสองปีซ้อน เป็นตัวท็อปสอบวัดผลระดับชาติ ไหนจะทำหน้าที่เป็นคฑากรชายงานกีฬาสีของโรงเรียนปีที่แล้วอีก ล่าสุดพี่เขาก็ได้โควตาเข้าเรียนคณะแพทย์ที่กรุงเทพที่ไม่เคยมีมาก่อน

Smol 20.35 pm

กูไล่สรรพคุณความเก่งพี่เขาไม่หมดอ่ะ

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 20.36 pm

อ๋อ กูจะบอกว่าพี่เดือนเป็นลูกพี่ลูกน้องกูด้วยนะ

Smol 20.36 pm

ว้อท?! เอาจริง? จริงจัง?

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 20.36 pm

ให้กูเอาแผนผังญาติให้มึงดูมั๊ย...

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 20.37 pm

พี่เดือนเป็นลูกของน้ากู แม่กูออกจากบ้านนี้ไปได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว ได้ยินมาว่าเลิกกับพ่อแท้ๆแล้วแต่งกับผู้ชายลูกติดหนึ่ง ไม่ค่อยได้คุยกับบ้านนั้นมากหรอก

Din not Tin 20.37 pm

โหยย แม่งเป็นญาติกับคนดังของโรงเรียน ให้ตายเถอะ ทำไมมึงไม่เคยอวดว่ามึงมีพี่เป็นคนเก่งวะ

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 20.38 pm

จำเป็นเหรอวะ กูไม่ใช่เขา จะไปป่าวประกาศทำซากหอยปูปลาอะไร

 

ก๊อก ก๊อก

“พี่ครับ ผมเอง”

เสียงเล็กๆดังมาจากหน้าห้องผม นั่นเป็นเสียงของมีนา น้องชายแท้ๆของผมเอง

มีนาเป็นผู้ชายที่ตัวเล็กเหมือนแม่ หน้าเด็กยิ่งกว่าเด็กเพราะเจ้าตัวดูแลดูประกอบกับสีผมเหมือนผม ยิ่งทำให้ดูเหมือนเด็กเข้าไปใหญ่ หลายคนชอบเข้ามาลูบๆคลำมีนาเพราะว่าตัวเล็กน่ารักนี่แหละ แต่บอกไว้ก่อนเลยว่ามีนาเล็กพริกขี้หนู แถมยังเข้าใจยาก สิ่งที่เขาแสดงออกมานั้นบ่อยครั้งก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดจริงๆ ผมอยู่ด้วยกันมาตลอดยังไม่เคยเห็นทุกด้านของน้องเลย

“เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อก”

“ผมเอาเค้กมาแบ่งให้ครับ พอดีว่าวันนี้ผมทำไปที่โรงเรียนแล้วกินไม่หมดกัน ผมก็กินจนไม่ไหวแล้ว”

มีนาชอบทำอาหารชอบทำขนม งานบ้านก็เชี่ยว นับได้ว่าผู้ชายแบบนี้หาได้ยากในสังคมไทย แต่สิ่งที่ผมจะให้โฟกัสก็คือ

“กินเก่งแบบเราเนี่ยนะเหลือ?”

“โถ่พี่ครับ ผมทำไปเยอะเกินกำลังจริงๆอะ”

นอกจากว่าจะชอบทำอาหาร ยังชอบกินอีกด้วย สงสัยรอบนี้ทำเยอะเกินจริงๆถึงเหลือมาให้ผม

“ก็ได้ๆ”

“เย้ ขอบคุณครับ” มีนาเดินเข้ามากอดแล้วซุกหัวกับหน้าอกผมก่อนที่จะผละตัวออกแล้วเดินอารมณ์ดีออกไป เค้กที่มีนาเอามาให้เป็นเค้กแยมผลไม้เคี่ยวเอง รสชาติก็จะเปรี้ยวๆหวานๆหน่อย เนื้อแป้งฟูนุ่มหอมกลิ่นวนิลาอ่อนๆ ครีมที่ตีแล้วใส่เนยนิดหน่อยช่วยดึงรสให้เข้มขึ้น อีกทั้งผลไม้ที่วางไว้ประดับสวยงามแต่กินได้จริงที่ให้ความรู้สึกสดชื่น ทุกอย่างมันลงตัวมาก

..จะว่าไปมากินขนมช่วงกลางคืนแบบนี้ จะไม่อ้วนเอาเหรอวะ

 

เช้าวันต่อมาผมนั่งรถสายไปโรงเรียนเพราะไม่อยากรบกวนพ่อให้ขับรถวนส่งพี่น้องที่เรียนโรงเรียนห่างกันเป็นโยชน์ จนเมื่อก้าวเท้าลงจากรถสาย ผมก็เพิ่งสังเกตเห็นป้ายไวนิลที่เอามาติดใหม่โดยฝีมือลุงภารโรงสองคน

ขอแสดงความยินดีกับนายพีรดลที่ได้รับรางวัลนักเรียนตัวอย่างประจำภาค 256x…..งั้นเหรอ?

แสดงว่าปีนี้ตำแหน่งนักเรียนตัวอย่างก็เป็นของเขาสินะ เก่งจริงๆนั่นแหละ

ผมซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งหน้าโรงเรียนเดินเข้าไป บริเวณฝั่งซ้ายมือของเกาะกลางถนนนั้นเป็นทางเดินมุงหลังคาไว้ให้เดินตอนช่วงฝนตก มีต้นไม้ปลูกประปราย ส่วนฝั่งขวาจะเป็นสนามฟุตบอลที่นำมาใช้เป็นที่เข้าแถวทุกเช้าซึ่งตอนนี้ก็มีกลุ่มนักเรียนชายกำลังไล่ลูกกลมๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

อืม เข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมกลิ่นตัวของพวกเด็กกีฬามันถึงแรงมากตอนขึ้นรถสาย

ทันใดนั้นสายตาของผมก็เห็นกลุ่มคนสามสี่คนกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ที่ผมกำลังจะผ่าน โดยมีคนตัวสูงกว่าที่เป็นผู้ชายกำลังทำหน้าที่ผมเดาอารมณ์ไม่ถูก ที่เหลือเป็นผู้หญิง

“พี่คะ คือว่าหนูชอบพี่มากเลยนะคะ”

“หนูก็ชอบพี่นะคะ”

“พี่เดือนคะ คบกับหนูได้มั๊ยคะ”

…ผู้หญิงสมัยนี้ออกตัวแรงขนาดนี้เลยเหรอวะ

คนที่พวกเธอกำลังรายล้อมอยู่ก็คือรุ่นพี่คนดังที่ผมเจอเมื่อวาน นายพีรดลกำลังหันซ้ายขวาไม่รู้จะจัดการยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่แล้วเขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาโบกวนซ้ำๆ

“ขอโทษนะ พี่รับได้แค่ความชอบของน้องเท่านั้นแหละ”

“ทำไมคะ..”

“พวกเราไม่ได้รู้จักกันเลยนะ อีกอย่างก็พี่ไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้น้องมาชอบพี่ได้ ชอบแบบไหนก็ยังไม่รู้” พี่เดือนจุดยิ้มน้อยๆขึ้นมา แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่ายิ้มนี้มันเหมือนฝืนธรรมชาติแปลกๆ “ถ้าจะชอบพี่ตามคนอื่น อย่าเลยดีกว่านะครับ”

ว่าแล้วผู้หญิงกลุ่มนั้นก็หน้าถอดสียกมือไหว้พี่เดือนแล้วเดินจากไป ผมมองตามสักพักก็รู้สึกถึงแรงสะกิดที่ไหล่ข้างขวา

“...น้องที่เก็บปากกาให้พี่เมื่อวานรึเปล่า?”

“อะ..ครับ สวัสดีครับพี่เดือน”

“รู้จักพี่ด้วยเหรอเนี่ย?”

เพิ่งรู้เมื่อวานครับ แล้วก็ที่หน้าโรงเรียนขึ้นไวนิลรูปพี่ด้วย “ครับ นทีบอกผมว่าพี่เป็นญาติเขา”

“อ้าว เพื่อนนทีเหรอ? ชื่ออะไรเหรอน้อง?”

“ผมชื่อกุมภาครับ ชื่อเล่นชื่อกุมภ์” ผมยิ้มตอบกลับไป ดูเหมือนพี่เดือนคนนี้จะคุยง่ายกว่าที่คิด “แล้วเมื่อกี๊มันเกิดอะไรขึ้นครับ?”

“เรื่องเดิมๆ ผู้หญิงมาจีบพี่แล้วขอคบน่ะ”

แสดงว่าเรื่องมีคนมาจีบนี้เป็นประจำเลยสินะ ผมพอจะเชื่ออยู่หรอกเพราะทั้งเก่งทั้งหน้าตาดีแบบนี้น่ะ

“อ๋อ ลำบากแย่เลยนะครับ ยังไงก็ผมขอตัวก่อนนะ พอดีต้องเอาหมูปิ้งไปให้เจ้าฝุ่นที่หลังโรงเรียนกิน”

“ฝุ่นหมาปอมตัวเล็กๆที่หลงมาจากไหนก็ไม่รู้น่ะเหรอ? ถ้าจำไม่ผิดฝุ่นมันชอบหมูปิ้งมากนี่นา”

“ครับ หลายวันก่อนผมนั่งกินหมูปิ้งอยู่หน้าตึกแล้วมันก็เดินมาจากไหนไม่รู้มามองกดดันผม” ว่าแล้วก็หัวเราะ คือเมื่อช่วงสี่ห้าวันก่อนผมนั่งกินข้าวเหนียวหมูปิ้งรอเพื่อนหน้าตึกเรียน เจ้าฝุ่นมันเดินเตาะแตะมาจากไหนไม่รู้แล้วนั่งมองไม้หมูปิ้งของผมจนใจอ่อนแบ่งให้กิน หลังจากนั้นมันก็ตามผมจนถึงคาบเรียนเลย

“ฝุ่นมันน่ารักดีนะ ตอนพี่เรียนม.5 พี่เคยเห็นมันไปนั่งมองเพื่อนพี่คนหนึ่งกินข้าวจนต้องยกหมูให้” พี่เดือนหัวเราะ และนั่นทำให้ผมได้เห็นรอยยิ้มที่ไม่ฝืนธรรมชาติของเขาเป็นครั้งแรก มันเป็นยิ้มที่สดใสที่เปล่งออร่าของเขาออกมาเต็มที่

เป็นรอยยิ้มที่สามารถสะกดให้ผมตกอยู่ในภวังค์

“...กุมภ์?”

“อะ ครับๆ เอ่อ..ผมไปก่อนนะครับ” ผมยกมือไหว้ลาคนอายุมากกว่าแล้วจากมาทันที ให้ตายเถอะ นี่ผมหลงรอยยิ้มผู้ชายกันเองไปตั้งแต่ตอนไหน

แต่ผมก็ยอมรับจริงๆนั่นแหละว่ายิ้มนั้นมันสวยมาก

 

วันนี้ผมแยกกับเพื่อนที่หน้าโรงเรียน นทีต้องไปที่ร้านอาหารที่พ่อเขาเปิดเอาไว้เพื่อไปเล่นดนตรีให้ทุกวันพฤหัส ส่วนคู่หูอุ้มดินนั้นไปต่อที่ร้านเกมแถวๆนี้ ผมจึงต้องยืนรอรถสายไปที่เรียนพิเศษคนเดียว แถมฟ้าฝนยังดูเหมือนว่าจะตั้งเค้าตกเร็วๆนี้เสียด้วย

ขอให้ตกหลังจากไปถึงที่เรียนแล้วเถอะ

ซ่า

สัด พูดไม่ทันขาดคำ

ผมวิ่งมาหลบฝนตรงลานจอดรถที่ใกล้ๆกันของโรงเรียน พอดีมีรางน้ำฝนยื่นออกมายาวพอสมควรทำให้ผมได้อาศัยที่นี่เป็นที่กำบังชั่วคราว แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือหลังจากนี้ผมจะไปเรียนยังไงนี่สิ..

ปรี๊ด

“หืม?”

ผมหันไปตามเสียงแตรรถของใครสักคน เป็นรถวีออสสีขาวรุ่นใหม่ล่าสุดที่กำลังฝ่าฝนตรงเข้ามาทางจุดที่ผมยืนอยู่ ก่อนที่จะหยุดแล้วคนขับปรับกระจกรถต่ำลง

“พี่เดือน?”

“ทำไมมาหลบอยู่ตรงนี้ล่ะ จะโดนละอองฝนเอานะ”

“อ่า พอดีว่าหลบตรงนี้มันใกล้กับจุดรอรถสายที่สุดแล้วครับ เดี๋ยวฝนหยุดผมก็จะไปยืนรอใหม่”

“วันนี้ก็มีเรียนเหรอ? ที่เดิมรึเปล่า?” ผมพยักหน้า “พี่ก็จะไปเหมือนกัน ไปด้วยกันเลยมั๊ย?”

“จะดีเหรอครับ?”

“พี่ไม่ได้หวงรถเหมือนคุณชายในนิยายสักหน่อย” พี่เดือนว่าพลางส่ายหัว “ขึ้นมาเถอะ”

“ขอบคุณครับพี่เดือน” ผมรีบวิ่งไปเปิดประตูรถเพื่อนั่งข้างหลังทันที ไม่กล้านั่งหน้าหรอกครับ

ภายในรถพี่เดือนเต็มไปด้วยกลิ่นของน้ำหอมปรับอากาศคล้ายๆกลิ่นทะเล แต่สิ่งที่ขัดตาก็คือกองเอกสารที่วางไว้หลังรถจนแทบไม่มีที่นั่งตังหากล่ะที่ทำให้ผมต้องค่อยใช้มือเลื่อนออกไปอีกฝั่งจนสามารถหย่อนก้นลงได้

ระหว่างทางที่ไปที่เรียน ทั้งผมและพี่เดือนไม่ได้พูดอะไรมากมาย ฝนยังคงตกมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงที่เรียนพิเศษ พี่เดือนชวนผมเข้าไปพร้อมกันและเรียนคนละห้อง หวังว่าพี่เดือนจะไม่ทำปากกาหล่นอีกนะ

เมื่อเลิกเรียน ผมเห็นพี่เดือนออกมาจากห้องพร้อมๆกัน ต่างคนต่างยิ้มให้แล้วเดินไปชั้นล่างจนถึงหน้าประตู

“ฝนหยุดตกแล้ว กุมภ์กลับเองได้ใช่มั๊ย?”

“สบายมากครับ ทำไมเหรอครับพี่เดือน?”

“พอดีพี่มีเรียนต่ออีกสองที่น่ะ ไปก่อนนะ” พี่เดือนเดินไปที่รถของตัวเองแล้วขับบึ่งออกไปโดยที่ผมกำลังยืนงงอยู่

เขายังมีเรียนพิเศษต่ออีกสองที่เหรอ? ที่เมื่อวานรีบก็เพราะแบบนี้สินะ?

มิน่าถึงดูเหนื่อยๆ เรียนหนักนี่เอง แต่ถ้าเขาพยายามแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีก็แล้วไป ไม่เกี่ยวกับผม

 

แต่ถึงจะบอกว่าไม่เกี่ยวก็เถอะ ยังไงก็อยากรู้อยู่ดีว่าทำไมตอนที่เดินไป ผมถึงเห็นสีหน้าของความไม่ชอบในสิ่งที่กำลังทำอยู่ด้วยกัน

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:02:35 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 2

 

วันนี้วันเสาร์..

วันเสาร์ที่ผมจะต้องมาห้องสมุดเพื่อมาหาข้อมูลทำหนังสือ ถ้าใครจะมาถามว่ามีอินเทอร์เน็ตเพื่ออะไรล่ะก็ ผมขอดักคอไว้แล้วกัน ครูวิชาสังคมของผมเขาต้องการให้ใช้หนังสือที่ไม่มีวางขายเป็นอีบุ๊ค ไม่มีสแกนลงให้อ่านดังนั้นแล้วผมจึงต้องมานั่งก้มๆเงยๆตามชั้นหนังสือเก่าๆที่ห้องสมุดแห่งนี้เพื่อหาเป้าหมายที่ต้องการ

ส่วนเพื่อนสามคนที่เหลือแยกย้ายกันไปหาที่อื่น

ห้องสมุดที่ผมมานั้นเป็นห้องสมุดที่อยู่ในโรงพยาบาล หนังสือหนังหาเยอะมากพอสมควร บางทีเยอะกว่าห้องสมุดประจำจังหวัดด้วยซ้ำ คนที่มาส่วนใหญ่ก็เป็นเหล่าบรรดาคนที่มาเยี่ยมผู้ป่วยแล้วเดินผ่านมาหาอะไรอ่านฆ่าเวลา บางคนก็มาด้วยจุดประสงค์เดียวกันกับผม

ปัญหาอย่างเดียวตอนนี้ก็คือจุดที่ผมอยู่มันมีแต่ฝุ่น ซึ่งผมก็แพ้ฝุ่นรุนแรงมาก

“แค่ก”

นั่งไออยู่คนเดียวแบบนี้แย่ชะมัด รู้งี้เอาผ้าปิดปากมาด้วยดีกว่า ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ด้วยว่าโซนนี้ฝุ่นลงเยอะมาก จะถอยก็ไม่ได้เพราะต้องหาหนังสือต่อไป

“แค่ก แค่ก”

น้ำหูน้ำตาเริ่มไหลลงแล้ว แต่ก็ไม่หยุดหาต่อไป

“แค่ก แค่ก”

“เอ่อ..น้องครับ ช่วยเงียบหน่อยได้รึเปล่า?”

“อะ ขอโทษครับ” ผมหันไปก้มหัวนิดๆให้กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งยืนเลือกหนังสืออยู่ใกล้ๆกัน อิจฉาคนไม่แพ้ฝุ่นชะมัด อย่างมากก็แค่คัดจมูกหน่อยๆเวลาฝุ่นเข้าจมูก ส่วนผมนี่แทบจะมีผื่นแดงขึ้นเต็ม

อดทนไปอีกสักพักจนเจอคนร้ายที่ต้องการ ผมหยิบขึ้นมาแล้วอยากจะร้องไชโยดังๆ พอจะหันตัวเดินออกจากบริเวณนั้นผมก็ชนกับใครเข้าเสียก่อน

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ แค่ก”

“กุมภ์?”

“พี่เดือน? สวัสดีครับ” ผมเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่าที่กำลังสะพายกระเป๋าสีครีม พี่เดือนเลิกคิ้วขึ้นนิดๆราวกับว่าแปลกใจที่เจอผมที่นี่ “บังเอิญเจออีกแล้วนะครับเนี่ย”

“อืม ว่าแต่มาทำอะไรเหรอ? หาหนังสือไปทำรายงาน?”

“ครับ พอดีว่าครูสั่งให้หาเล่มนี้แล้วมันไม่มีเป็นอีบุ๊ค เลยต้องมาทนฝุ่นหาเนี่ยแหละ แค่ก”

“แพ้ฝุ่นเหรอ? จมูกหน้าตาแดงหมดแล้ว” พี่เดือนหยิบผ้าเช็ดหน้าของเขาออกมาแล้วยื่นให้ผม ผมจึงมองสลับไปมาระหว่างเขากับผ้าสีเขียวผืนเล็กๆนั่น “เอาไปใช้ก่อนแล้วค่อยซักคืนพี่ก็ได้”

“ขอบคุณครับ” ผมรับมาแล้วรีบเอาปิดจมูกตัวเอง “พี่เดือนมาหาหนังสือเหมือนกันเหรอครับ?”

“เปล่า พี่มานั่งอ่านหนังสือรอเรียนตอนเย็นน่ะ”

“พี่มีเรียนตอนเย็นด้วยเหรอครับ? ไม่เหนื่อยแย่เหรอ?” ผมมองคนขยันเรียนตรงหน้า ผมฟังมาจากนทีว่าพี่เดือนเรียนพิเศษทุกเย็น แต่ไม่คิดว่าจะลากยาวมาจนถึงเสาร์อาทิตย์ด้วย

“ไม่หรอกพี่ชินแล้ว...”

น่าแปลกที่ผมจับน้ำเสียงเหนื่อยจากเขาได้แม้ว่าปากจะบอกไม่เหนื่อย ทำไมเขาต้องโกหกตัวเองด้วยกัน

“ชินแล้วแต่พี่จะเรียนเยอะไปรึเปล่าครับ...เฮ้อ พักผ่อนบ้างก็ดี” ผมถอนหายใจเมื่อพี่เดือนทำท่าจะหยิบหนังสือสุ่มๆออกมาจากชั้น “นั่นหนังสือระดับมหาลัยเลยนะครับ พี่จะอ่านเหรอ?”

“พี่อ่านล่วงหน้าจนไปถึงของปีสองแล้วล่ะ”

“หา? จริงจังรึเปล่าครับ?!” ตาผมเบิกขึ้นเพราะความตกใจ

“ศึกษาไว้แต่เนิ่นๆก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ?” พี่เดือนหันมาทำท่าแปลกใจแต่มือก็ยังคงหยิบหนังสือออกมาเรื่อยๆจนแทบจะล้น อย่าบอกนะว่าเขาจะอ่านนั่นทั้งหมด? เกินความสามารถมนุษย์ไปแล้ว

“พี่เดือนครับ ผมรู้ว่าพี่อยากจะทำความเข้าใจกับเนื้อหาล่วงหน้า แต่ไม่ใช่ว่าพี่ต้องบ้าอ่านขนาดนั้น วันละเล่มก็พอครับ”

“พี่ชินแล้ว”

คำก็ชิน สองคำก็ชิน ให้ตายสิ คนดังของโรงเรียนทำไมถึงมีนิสัยแปลกๆแบบนี้กันได้ “งั้นผมจะสอนให้พี่ชินกับชีวิตคนปกติดีมั๊ยครับ พี่ใช้ชีวิตแบบหุ่นยนต์มาก”

เขาชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะทำเป็นหูทวนลมเดินออกไปหาที่นั่ง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เดือนต้องชะงักตอนที่ผมบอกว่าชีวิตพี่เดือนเหมือนหุ่นยนต์ รู้ตัวอีกทีผมก็เดินมานั่งตรงข้ามกับพี่เดือนที่วางปากกากับกระดาษเต็มโต๊ะแล้ว

“เอ่อ...เมื่อกี๊ผมขอโทษนะครับที่พูดอะไรผิดไป..”

“กุมภ์ไม่ได้พูดอะไรผิดหรอก พี่แค่นึกได้ว่ากุมภ์คนแรกเลยนะที่บอกกับพี่แบบนี้”

“ครับ?”

“เพื่อนพี่ไม่เคยพูดเลยว่าชีวิตพี่เหมือนหุ่นยนต์ มีแต่บอกว่าเป็นเหมือนคุณชายสมบูรณ์แบบ ทำอะไรก็เป๊ะอยู่ในกรอบ ใครๆก็ยกย่องในความสามารถ...” พี่เดือนพูดไปจดไป “จนวันนี้รุ่นน้องที่รู้จักไม่กี่วันก็มาพูดให้พี่”

“...” ผมตีหน้ามุ่ยไปเพราะเหมือนพี่เดือนกำลังหลอกด่ากลายๆว่าผมยุ่งกับเขามากเกินไปทั้งที่พี่เดือนคงไม่ได้คิดอะไรเท่าไหร่

พี่เดือนนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ส่วนผมก็กางหนังสือเปิดทำรายงานที่ต้องพิมพ์ส่งวันอังคารนี้ อิงหน้าหนังสือไปหลายหน้าพอตัว จนกระทั่งผมดูเวลาจากโทรศัพท์ตัวเองแล้วเห็นว่าเกือบจะเที่ยงวันแล้ว

 

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 11.48 pm

ฮัลโหล มีใครหาหนังสือที่ครูว่าเจอมั๊ย

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 11.48 pm

กูเจอเล่มนึง

กุมภ์ 11.48 pm

เจอเล่มนึงที่นี่อะ แต่ฝุ่นเยอะมาก เกือบตาย

 

ผมวางโทรศัพท์ลง มองหน้าคนที่กำลังมีสมาธิกับหนังสือ ท้องผมเริ่มจะร้องเตือนว่าถึงเวลาที่ต้องเอาอะไรลงท้องแล้วก็มองคนข้างหน้าอีกครั้ง

พี่เดือนจะหิวรึยังนะ

ผมเรียกพี่เดือนสองสามครั้ง แต่พี่เดือนก็ยังคงนิ่งมีสมาธิกับหนังสือ จนผมต้องเปลี่ยนวิธีมาเป็นการสะกิดเขาที่มือ เท่านั้นแหละพี่เขาสะดุ้งราวกับว่าถูกน้ำร้อนลวก

“อ๊ะ! ...มีอะไรเหรอ?”

“พี่เดือนครับ ใกล้จะเที่ยงแล้ว พี่หิวรึยัง ผมว่าจะชวนพี่ไปกินข้าวที่โรงอาหารที่นี่อยู่”

“..เหมือนเพิ่งอ่านไปแค่สิบนาทีเอง จะเที่ยงแล้วเหรอ...” พี่เดือนหยิบไอโฟนตัวเองออกมาดูเวลาบ้างแล้วเก็บข้าวของลงกระเป๋า “ไปด้วยกันเลยดีกว่า”

ผมกับพี่เดือนเดินออกจากห้องสมุดด้วยกันแล้วตรงไปที่โรงอาหารของโรงพยาบาล ถึงรสชาติจะจืดไปนิดแต่ก็ทำยังไงได้ในเมื่อร้านข้างนอกราคามันแพงเกินไปหน่อย

“ป้าครับ ผมเอาข้าวขาหมูจานนึงนะครับ”

“ผมเอาข้าวมันไก่เอาแต่เนื้อนะครับ”

“พี่เดือนเอาน้ำอะไรครับ? เดี๋ยวผมไปสั่งให้”

“พี่เอาน้ำมะนาวปั่นแก้วนึงนะ ไม่ใส่น้ำตาล”

คนบ้าอะไรกินน้ำมะนาวไม่ใส่น้ำตาลวะ

ผมอยากจะถามแบบนั้นกับเขาแต่ก็เงียบเอาไว้ไปสั่งที่ร้านเครื่องดื่ม หันมาอีกทีพี่เดือนก็ถือจานข้าวหาโต๊ะนั่งเสียแล้ว และถ้ามองดีๆพี่เดือนถือจานข้าวขาหมูมาให้ผมด้วย

“น้ำมะนาวครับ”

“กุมภ์กินกาแฟ? พี่เพิ่งรู้นะเนี่ย” รู้นานแล้วสิน่าแปลก “ที่บ้านพี่มีแต่พ่อชงทุกเช้า”

“ผมชินตั้งแต่ช่วงม.ต้นแล้วครับ ตอนนั้นผมมีงานแข่งถ่ายภาพที่ต้องส่ง แล้วทีนี้ผมต้องอยู่ดึกเพื่อแต่งรูป จะพึ่งเครื่องดื่มชูกำลังก็กลัวแรงเกินไปอีก”

“งั้นเหรอ” พี่เดือนไม่พูดอะไรต่อ เขาตักน้ำจิ้มข้าวมันไก่ราดลงไปนิดหน่อย ยกช้อนตักอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวราวกับผู้ดี ผมก็ไม่กวนเขาเพราะต่างคนต่างกิน

หลังจากที่จัดการอาหารกลางวันของตัวเองเสร็จ ผมกับพี่เดือนก็กลับเข้ามาในห้องสมุดจนกระทั่งถึงช่วงเย็นที่พี่เดือนต้องไปเรียนพิเศษต่อ ผมไม่ได้ตามไปส่งเขาที่รถเพราะตัวเองก็ต้องรอรถกลับบ้านเช่นกัน ทันใดนั้นผมก็พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีกำลังนั่งอยู่บนรถขากลับ

“นที? มึงมาไงเนี่ย”

“กูก็นั่งรถมามั๊ย..”

“มึงมีมอเตอร์ไซค์นี่นา” ผมเขยิบไปนั่งข้างๆคนตัวสูงใส่แว่นที่วันนี้แต่งตัวสบายๆเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ปกติมันจะขี่ฟีโน่สีชมพูติดสติ๊กเกอร์รูปหมีขาวตัวเล็กๆมาโรงเรียน แต่วันนี้ดันมานั่งรถสายได้

“รถกูเสีย กำลังเข้าศูนย์ซ่อม นู่นแหละวันอังคารถึงได้” นทีมันเบะปากให้แล้วถลาตัวเขามาเกาะแกะไหล่ไม่แคร์สายตาชาวบ้านที่นั่งรถด้วย “ไอ้กุมภ์ ตัวมึงทำไมมีกลิ่นน้ำหอมอะ?”

“หืม? กูไม่เคยฉีดนะ?”

“เนี่ยๆ มือมึงก็มีกลิ่นน้ำหอมทะเลอะ หอมมากด้วย รึว่ามึงไปนั่งนัวเนียกับสาวที่ไหน?!”

เพี๊ยะ!

“โอ๊ย! ดีดหน้าผากกูทำไมเนี่ย?!”

“เพ้อเจ้อไอ้นี่ สงสัยเป็นตอนที่พี่เดือนประคองกูตอนกูเกือบหงายหลังจากบันไดหยิบหนังสือมั๊ง?”

“มึงเจอพี่เดือนด้วย?”

ผมพยักหน้าให้มัน ช่วงบ่ายที่พวกเรากลับเข้ามาในห้องสมุด ผมพิมพ์งานเสร็จหมดแล้วจึงเดินไปที่ชั้นหนังสืออ่านเล่น แต่บังเอิญว่าที่อยู่ต่ำกว่าระดับความสูงผมนั้นมีแต่หนังสือแนวปรัชญาที่เข้าใจยากยิ่งกว่าสูตรเลขคณิตเพิ่มเติม ทำให้ผมต้องลากบันไดเล็กๆที่อยู่ตรงตู้หนังสือข้างๆมาปีนหาหนังสืออื่นอ่าน พอหยิบได้ผมก็ทรงตัวไม่อยู่จะร่วงลงจากบันได โชคดีที่พี่เดือนเดินมาเก็บหนังสือแล้วเขามารับตัวผมทัน หลังผมแทนที่จะได้กระแทกพื้นก็กระแทกกับหน้าอกแน่นๆของเขา มือพี่เดือนข้างหนึ่งประคองมือที่ผมถือหนังสือเอาไว้ไม่ให้หนังสือหล่น

ผมจำได้ว่าผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆมาจากตัวพี่เดือน แต่หลังจากนั้นก็โดนเขาดุเรื่องไม่ระวังตัวจนหงอย

“มึงนี่ท่าทางจะได้เจอกับพี่เขามากกว่ากูที่เป็นญาติแท้ๆอีก” นทียักไหล่ตัวเอง แล้วเขาก็ถามถึงงานที่ผมดั้นด้นคลุกฝุ่นหาที่ชั้นหนังสือ เขาบอกว่าเขายืมกลับบ้านเพราะยังทำไม่เสร็จ ส่วนผมที่จัดการเรียบร้อยแล้วก็ยิ้มเย้ย

พอถึงหน้าบ้านผม ผมก็โบกมือลานทีคนขี้แงที่มันขออะไรบ้าๆกับผมว่า ช่วยนั่งรถสายไปถึงบ้านเขาแล้ววนกลับมาได้มั๊ย คือ...มันจะขี้เหงาอะไรขนาดนั้นครับเพื่อน

 

สองวันต่อมาหรือวันจันทร์ ผมก็นั่งรถไปโรงเรียนตามปกติ แวะซื้อหมูปิ้งให้เจ้าฝุ่นหลังโรงเรียน แต่พอเดินมาเรื่อยๆก็เห็นเงาของเพื่อนสนิทกำลังหันหลังเล่นกีตาร์อยู่คนเดียว ผมจึงค่อยๆย่องเข้าไปแล้วตะโกนใส่หูมัน

“ว่าไงไอ้แม่น้ำ!”

“พ่อจ๋า!!”

นทีมันสะดุ้งจนดีดกีตาร์หลุดจังหวะ หนำซ้ำมือมันยังปัดมาโดนแว่นตัวเองตกพื้นเผยหน้าหล่อๆของมันที่ตอนนี้มีน้ำตาซึมจากความตกใจ

“ไอ้เชี่ยกุมภ์! ถ้ากูหัวใจวายตายมึงไปหาเมียมาปั้มลูกคืนพ่อกับแม่กูเลยนะ!” มันว่าพลางใช้นิ้วเช็ดน้ำตา จากนั้นก็ก้มลงไปเก็บแว่นตาที่ตกพื้น “เลนส์จะแตกมั๊ยเนี่ย”

“ไม่หรอกน่า”

นทีใส่แว่นกลับไปเหมือนเดิม ก่อนที่มันจะหันมาเห็นถุงหมูปิ้งในมือของผม “จะเอาไปให้ฝุ่นเหรอ? กูอยากเล่นกับมันอะ เดี๋ยวกูเอาไปให้เอง”

“ตามใจ” ผมยื่นให้นทีที่รีบวางกีตาร์ลงแล้ววิ่งไปทางเกาะกลางถนนเล็กๆที่เป็นที่ตั้งศาลพระภูมิเล็กๆ ยืนเรียกชื่อเจ้าหมาปอมอยู่พักนึงก่อนที่จะมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆวิ่งเข้าไปหา จากนั้นไอ้เพื่อนแม่น้ำมันก็อยู่ในโลกส่วนตัวไปทันที

ผมนั่งลงกับม้านั่งแถวๆนั้นเพื่อเฝ้าของให้นที กีตาร์เป็นลูกรักของมันที่ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแตะทั้งนั้น จนกระทั่งผมได้ยินเสียงใครมานั่งข้างๆผม

“พี่นั่งด้วยนะ พอดีที่มันเต็ม”

พี่เดือนโผล่เข้ามาในชุดนักเรียนพร้อมกับถุงพลาสติกห่ออาหาร เขาหยิบแซนด์วิชที่มีมะเขือเทศทะลักออกมาอย่างน่ากลัว ผมเกลียดมะเขือเทศอยู่แล้วแต่ยิ่งเห็นสภาพที่ถูกหั่นเละๆอย่างนั้นยิ่งเสียวไส้

“...พี่มีอีกชิ้นนะ เอารึเปล่า?”

“เอ่อ..ไม่หรอกครับ ผมไม่ชอบมะเขือเทศเท่าไหร่”

“พี่ว่ารสเปรี้ยวๆมันอร่อยดีนะ?” พี่เดือนเคี้ยวแซนด์วิชในปากอย่างเอาเรื่อง แค่เสียงผมก็สัมผัสได้ถึงความชุ่มช่ำที่ผมไม่ค่อยปรารถนามันเสียเท่าไหร่ ผมเหลือบไปมองในถุงพลาสติกผมก็เห็นว่ามีน้ำมะนาวอีกขวดกับลูกอมรสเปรี้ยวจี๊ดขึ้นสมองอีกห่อนึง

พี่เดือนเป็นคนกินรสเปรี้ยวจัดสินะ

“พี่เดือนครับ กินรสเปรี้ยวจัดไม่ดีนะครับ เดี๋ยวจะแสบกระเพาะเอา” ผมว่าพลางใช้มือหยิบน้ำมะนาวขวดออกมา “กรดเยอะเกินจำเป็นด้วย ส่วนนี่ก็มีดีแต่จะทำให้กระเพาะพี่เป็นรู ทำไมพี่ไม่ดูแลตัวเองเลย”

พี่เดือนมองผมตาค้างก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมา

...ฉิบ ลืมตัวว่าพี่เดือนไม่ใช่เพื่อนหรือน้องผม

“อ่า..ถ้าผมพูดมากเกินไปผมก็ขอโทษด้วยแล้วกันนะครับ” ผมวางขวดน้ำมะนาวลงแล้วปล่อยให้คนอายุมากกว่าหัวเราะปิดปากตายิ้ม เขาวางแซนด์วิชลงแล้วหยิบขวดน้ำเปล่าออกมาแทน

“พี่จะลองทำดูก็ได้” เขาว่าแล้วจิบน้ำ “เพื่อนพี่ก็บอกว่าพี่กินรสเปรี้ยว แต่ไม่เคยบอกให้พี่ลดเลย”

“เหมือนพี่กำลังบอกกลายๆว่าผมเสือ--” ผมหยุดคำพูดเอาไว้ให้เขาต่อเอาเอง แต่นั่นยิ่งทำให้พี่เดือนหัวเราะใหญ่

“คิดไปเองรึเปล่า พี่ไม่ได้พูดอะไรเลยนะ” พี่เดือนใช้มือข้างที่ไม่ได้จับแซนด์วิชผลักผมเบาๆ “นานๆทีมีคนมาห่วงพี่แบบนี้ก็รู้สึกดีเหมือนกันแหะ”

“กุมภ์! ไปเข้าแถวกันเถอะ” นทีวิ่งกลับมากับถุงเปล่า พอเห็นพี่เดือนก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมแล้วเก็บกีตาร์ตัวเองลงกระเป๋า “สบายดีมั๊ยครับพี่”

“อืม แล้วน้องล่ะ? เข้าเรียนที่นี่โอเครึเปล่า?”

“ครับ ตอนแรกๆก็ปรับตัวไม่ค่อยได้ แต่ตอนนี้ได้เพื่อนดีๆตั้งสามคน” นทีแจกรอยยิ้มให้พี่เดือนแล้วจูงแขนผมให้วิ่งตามไป “ว่างๆเจอกันนะครับพี่เดือน!”

หลังจากที่ผมโดนนทีลากออกมา ผมก็ด่ามันไปหนึ่งรอบเรื่องที่มันดึงข้อมือผมแรงเกินไปจนเจ็บ มันก็งอแงรอขอโทษจนคนหันมามองกันทั้งโรงเรียน เออดี มองว่าผมเป็นคนรังแกคนตัวสูงให้หมดเลย

 

เมื่อพวกผมรอดพ้นจนมาถึงคาบพักเที่ยงได้ กลุ่มผมสี่คนก็เดินลงมาจากตึกเพื่อมาหาอะไรกินที่โรงอาหาร รสชาติไม่อร่อยก็จริงแต่ก็ต้องทนเพื่อความอยู่รอด ยังดีที่มีขนมนมเนยขายไม่งั้นข้าวที่ให้มาพอเด็กสามขวบกินคงไม่ช่วยอะไรในการยืดอายุนักเรียนอย่างเราๆนัก

ผมแยกตัวไปยืนต่อแถวซื้อข้าวราดแกงร้านประจำ เมื่อถึงคิวผม ผมก็ยืนมองกับข้าวตรงหน้าด้วยอารมณ์เบื่อหน่าย

กินหมดแล้วนี่นา

ผัดไข่ก็โอเคนะ แต่ว่าก็อยากกินผัดพริกแกงด้วย วันนี้มีไข่ตุ๋นด้วยเหรอ? นั่นมันแกงเทโพหมูสามชั้นเน้นๆนี่นา

“...เอาแกงเทโพกับผัดไข่ครับ”

“ผมเอาผัดเปรี้ยวหวานขอมะเขือเทศเยอะๆนะครับ”

อ๊ะ

“ว่าไง เจอรอบที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย” พี่เดือนมองผมในขณะที่เขารับจานอาหารของเขามา มือหยิบถ้วยเล็กๆมาใส่น้ำส้มสายชูลงไป

“ผมบอกว่าอย่ากินเปรี้ยวให้มากไงครับ”

“นี่พี่กินน้อยกว่าที่ผ่านมาเกินครึ่งเลยนะ” พี่เดือนยื่นถ้วยน้ำส้มสายชูให้ผมเห็น นี่ขนาดเกินครึ่ง น้ำสีใสมีพริกยังเกือบจะถึงครึ่งถ้วยนั่นเลย “...ก็ได้ๆ พี่จะงดเปรี้ยวหนึ่งวันเพื่อกุมภ์”

“พี่ประชดผมแน่ๆ” ผมเบะปากให้พี่เดือนก่อนที่จะเดินออกมา แต่ไม่รู้ว่าทำไมพี่เดือนถึงได้เดินตามมาด้วย “พี่ตามผมมาทำไม?”

“โต๊ะพี่อยู่แถวๆนี้”

ผมไม่สนใจต่อ ตรงไปที่โต๊ะที่เพื่อนพากันจองเอาไว้ พี่เดือนเดินแยกไปอีกทาง ผมเห็นว่ามีเพื่อนคู่ชายหญิงกำลังโบกมือเรียกเขาอยู่ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือบริเวณรอบๆโต๊ะที่พี่เดือนนั่งเริ่มมีผู้หญิงมานั่งจับจอง

“โห เพิ่งเคยเห็นพี่เดือนแบบใกล้ๆ แป๊บเดียวสาวล้อมโต๊ะเลย” ดินยกแก้วน้ำชาเย็นขึ้นมาดูด สายตาก็มองรุ่นพี่ผู้หญิงที่นั่งแถวโต๊ะพี่เดือนไปด้วย “แต่ละคนนี่ไม่จ้องพี่เดือนเล้ยย”

“ก็พี่เดือนทั้งเก่งทั้งหล่อ ใครไม่จ้องงาบก็น่าเสียดายสิ” คราวนี้เป็นอุ้มที่แทรกขึ้นมา “แต่ขอโทษที กูรู้ว่ากูไม่มีดีพอสำหรับพี่เขา และกูก็ไม่ได้สนใจผู้ชายตัวสูงด้วย ตัวเล็กๆสิน่าปกป้อง”

“ดักคอไว้เลยนะ กำลังจะพูดเชียวว่ามึงตายด้านเหรอ” นทีแทรกขึ้นพร้อมกับจิ้มแครอทชี้หน้าอุ้ม

“จะว่าไปแล้วพี่เดือนนี่ก็น่าสงสารอยู่นิดๆนะ” ผมเป็นคนพูดขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เพื่อนทั้งกลุ่มเลิกคิ้ว “เมื่อวันเสาร์กูไปทำงานที่ห้องสมุดแล้วเจอพี่เดือนพอดี พี่เขาบอกว่ามาอ่านหนังสือรอเวลาเรียนตอนเย็น แล้วพวกมึงเชื่อปะว่าหนังสือที่พี่เดือนอ่านน่ะมีแต่เนื้อหาของพวกเรียนมหาลัยแล้วทั้งนั้น อีกอย่างคือกูสัมผัสได้ถึงสายตาเหนื่อยๆของพี่เขาอะ”

“นี่มึงสโตรกเขารึไงวะเนี่ย” อุ้มมองหน้าผมแล้วเบิกตาขึ้น “ตายแล้ว คุณแม่จะบ้าผู้ชายไม่ได้นะคะ”

“สัด กูเป็นผู้ชาย” ผมชูนิ้วกางให้อุ้มไป ไม่มีหรอกครับสำหรับการให้เกียรติผู้หญิงในกลุ่มนี้ เอาจริงๆอุ้มแม่งแมนกว่านทีด้วยซ้ำไป “กูบังเอิญเจอพี่เดือนบ่อยเฉยๆ”

“แต่เขาว่าถ้าบังเอิญเจอเกินสามครั้งมันคือ…” อุ้มยิ้มเย้ยผม “มึงเจอพี่เขากี่รอบแล้วล่ะ”

“ครั้งแรกก็ที่เรียนพิเศษ ครั้งที่สองที่สนามฟุตบอลเมื่อวันพฤหัสที่แล้ว ครั้งที่สามที่ห้องสมุด---”

“โป๊ะเช้ะ!” ดินตบเข่าฉาดแล้วหัวเราะกับอุ้ม นทีที่กำลังดูงงๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็หันมามองหน้าผมด้วยสายตาแบบเดียวกัน

พวกมันพูดถึงอะไรวะ?

“คือ..กูไม่เข้าใจ”

“มึงเคยเชื่อในเรื่องพรหมลิขิตปะ” ดินดึงให้ผมโน้มตัวลงมาใกล้หน้าเขาเพื่อพูดเป่าหู “ถ้ามึงเชื่อ ยินดีด้วย”

“ฮะ?”

“เขาว่ากันว่าถ้าบังเอิญเจอกันสามครั้ง มันคือพรหมลิขิต” อุ้มยกแก้วนมสดขึ้นมาชูขึ้นกลางโรงอาหาร “แด่เพื่อนของกูที่กำลังจะมีเนื้อคู่”

“แด่เพื่อน” ดินหยิบแก้วชาเย็นขึ้นตาม แล้วมันก็ส่งสายตาไปดุนทีที่หันหน้าหันหลังงงไปคนเดียว “รอไรวะไอ้นที มึงก็ทำด้วยดิ”

“ฮะ? อะ...แด่เพื่อน?” นทีชูแก้วน้ำสตรอเบอร์รี่ขึ้นมางงๆ น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยคำถาม “...เรื่องไรวะ?”

“พอดีว่าคุณแม่ของพวกเราทั้งสามกำลังจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาน่ะสิ มึงควรจะแสดงความยินดีกับแม่มึงด้วยนะ” อุ้มยกมือลูบหัวชายสูงกว่าด้วยความไม่ถือเรื่องเล่นหัวผู้ชาย นทีนั่งนิ่งชั่วครู่แล้วมันก็ยิ้มกว้าง

“อ๋อออออ หึหึ”

จะบอกว่าเสียงหัวเราะนทีแม่งอย่างเหี้ยม น่ากลัวมากราวกับว่ามีเรื่องสนุกได้แกล้งผมแล้ว

“พอเลยๆ อย่างมากก็รุ่นพี่รุ่นน้องนั่นแหละ” ผมลุกขึ้นออกจากที่นั่งแล้วเดินไปเก็บจานอาหารโดยทิ้งให้สามคนที่เหลือวิ่งตามกันไม่ทัน

พรหมลิขิตเหรอ...ถ้าให้พูดว่าเชื่อมั๊ยก็เชื่อนั่นแหละ แต่ทำไมพวกนี้ต้องตีโพยตีพายว่าผมกับพี่เดือนต้องเป็นเนื้อคู่กัน ผมกับเขาก็เป็นผู้ชายทั้งคู่ อีกอย่างก็คือผมไม่ใช่เกย์ ถึงจะเคยมองว่าคนนั่นคนนี้หล่อแต่ก็ใช่ว่าผมจะชอบผู้ชายด้วยกันสักหน่อย...

ถึงจะไม่เคยมองผู้หญิงก็เถอะ ผมอาจจะเป็นไบก็ได้

 

“นักเรียน ภายในจันทร์หน้าต้องส่งใบงานที่ครูให้ไปนะครับ เลิกชั้นได้”

เสียงของหัวหน้าห้องดังขึ้นหลังจากที่ครูบอกเลิกชั้น นี่ยังไม่ทันบ่ายสามก็เลิกแล้วเพราะว่าครูมีประชุม กลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรทำ เอายังไงดีวะ

“ไปห้องสมุดกันปะกุมภ์” ดินชวนผมไปนั่งเล่นที่ห้องสมุด มันไม่ได้ไปอ่านหนังสือหรอก มันจะไปนั่งเล่นเกมเพราะเน็ทตึกห้องสมุดแรงสุดในโรงเรียนแล้ว

“ก็ได้ จะได้ทำงานด้วย”

“ขยันฉิบ”

“แน่นอน นี่ใคร กุมภ์เอง” ผมทุบอกไปหนึ่งรอบ “แล้วก็อย่ามาขอลอกนะ รอบนี้ไม่อนุมัติ”

“ครับแม่” ดินตอบเสียงหน่ายเมื่อผมรู้ทันมัน “ไปกันเถอะ”

ผมสองคนเดินมาที่ห้องสมุดที่อยู่ใกล้ๆกับโรงอาหาร นักเรียนส่วนใหญ่เลือกที่จะกลับบ้านกันไปแล้วทำให้มีเพียงไม่กี่คนที่นั่งอยู่ข้างใน ดินมันหันมาสะกิดผมขอไปนั่งใกล้ๆกับชั้นหนังสือการ์ตูน ส่วนผมเดินมาตรงชั้นหนังสือสำหรับทำรายงาน

ถ้าจำไม่ผิดครูน่าจะให้ทำเรื่องเกี่ยวกับพืชและเห็ดมีพืชนี่นา..

หนังสือเกี่ยวกับพวกนี้อยู่ตรงไหนกัน?

ผมเดินวนจนเกือบหลงอยู่ในเขาวงกตชั้นหนังสือ ทำไมผมถึงหาหนังสือที่ต้องการไม่เคยเจอเลยสักครั้ง ถ้าจะเจอก็คง...

จุดอับที่สุดของห้องสมุดที่มีหนังสือเก่าๆกองเอาไว้เป็นพะเนินสูงพร้อมกับฝุ่นจำนวนมหาศาลนั่น

เดอะฟัค

ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าตัวเองขึ้นมาปิดจมูกไว้แล้วเดินเข้าไปยังส่วนที่มีฝุ่นเกาะหนาเตอะ รื้อๆไปสักพักก็เจอกับหนังสือพืชมีพิษ แต่ไม่ทันที่จะเดินออกไปก็เหลือบไปเห็นเงาอะไรสักอย่างอยู่ตรงพื้นเสียก่อน

คน?

ผมค่อยๆขยับร่างตัวเองเพื่อไปมองเงาสีดำของสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่ามนุษย์ ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะผ่อนคลาย เสียงหน้ากระดาษหนังสือพัดไปตามแรงลมของพัดลมเพดานอันเก่า ถึงจะเป็นมุมอับก็เถอะ แต่ผมก็ได้กลิ่นหอมจางๆออกมาจากร่างที่กำลังพิงผนังตรงพื้น

พี่เดือนกำลังนั่งหลับโดยที่ในมือมีหนังสือเปิดกางทิ้งเอาไว้ สองข้างตัวของเขามีปากกาดินสอวางเต็มพื้น สีหน้าดูอิดโรยอย่างชัดเจนแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาดูหลับอย่างไม่สบาย

ผมค่อยๆย่องเข้าไปมองหน้าพี่เดือนที่กำลังหลับชัดๆ พี่เดือนไม่ได้กรนหรือหายใจดังขนาดที่ว่าผมจะได้ยินทุกรอบ แต่มานอนตรงที่มีฝุ่นเยอะขนาดนี้จะดีเหรอ

“..ฮะ...ฮัดชิ่ว!”

เหี้ย..จะมาจามทำไมตอนนี้วะ?!

เสียงจามของผมทำให้คนที่กำลังหลับอยู่ค่อยๆลืมตาขึ้นมา เขาสะบัดหัวนิดหน่อยพร้อมกับขยี้ตาตัวเองราวกับเด็กน้อยเพิ่งตื่นจากความฝันอันสวยงาม

ทำไมแลดูน่าเอ็นดู..

 “...กุมภ์?”

“..ครับ”

แล้วทำไมบรรยากาศมันถึงแปลกๆแบบนี้กัน...

“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้?”

“พี่นั่นแหละมานอนอะไรตรงนี้ ฝุ่นเยอะก็เยอะ นอนลงไปได้ยังไง”

ผมย้อนคนอายุมากกว่าตรงหน้า พี่เดือนก้มมองหนังสือนิดนึงแล้วยกขึ้นมาให้ผมดูด้วยสีหน้างงๆ ยังไม่ตื่นเต็มตาสินะ..

“พี่มานั่งอ่านหนังสือแถวนี้เพราะมันเงียบดี..ไปมาพี่คงเผลอหลับ” พี่เดือนยิ้มอ่อน “เมื่อคืนอ่านถึงตีสี่”

“ตีสี่?! บ้าไปแล้ว พี่นอนแค่สองชั่วโมงเพื่อตื่นมาโรงเรียนเนี่ยนะครับ?!” ผมร้องใส่หน้าพี่เดือนจนเขาเหวอไปนิดหน่อย แต่ก็ตั้งสติมาได้...สติผมเนี่ยแหละ “เฮ้อ...ใจเย็นสิวะไอ้กุมภ์...พี่เดือนจะฝืนตัวเองไปทำไมกัน เวลาพักผ่อนก็ให้เป็นเวลาพักผ่อนไม่ใช่อ่านเป็นบ้าเป็นหลังครับ”

“...อืม” พี่เดือนพยักหน้าให้เล็กน้อย “…ถ้าจำไม่ผิดตรงนี้เป็นโซนหนังสือเกี่ยวกับพืชพิษ ทำงานใช่มั๊ย?”

“ครับ”

“เล่มที่ถืออยู่น่ะมันเก่ามากแล้ว พี่จำได้ว่ามีเล่นหนึ่งค่อนข้างใหม่อยู่แถวๆนี้แหละ เดี๋ยวพี่หาให้” พี่เดือนไม่พูดเปล่าพยุงตัวเองขึ้นมาแล้วเดินไปที่ชั้นหนังสือสูงมากๆซึ่งอยู่อีกฝั่งของตัวผม พอเขาเดินไปที่ด้านหลังเพื่อหาหนังสือที่ว่า ผมก็เดินมาดูหนังสือที่ชั้นเดียวกันเพื่อฆ่าเวลารอ

พอผมดึงหนังสือหนาออกมาเล่มหนึ่ง ผมก็เห็นอีกฝั่งของชั้นหนังสือที่ตอนนี้พี่เดือนกำลังยืนอยู่ตรงกันข้ามกันพอดี ใบหน้าของเขาโผล่ออกมานิดเดียวเพราะว่าพี่เขาสูงกว่า ถ้าให้เดาก็คงกำลังเงยหน้าเพื่อหาหนังสือให้ผมอยู่

จะมีสักกี่คนที่ทำให้ขนาดนี้กัน

พอผมจ้องนานๆจนพี่เขาหยิบหนังสือลงมาเล่มหนึ่ง สายตาของพวกเราก็สบกันพอดี

พี่เดือนค่อยๆยิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่ผมไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน และไม่ใช่ยิ้มที่เป็นยิ้มบนแผ่นไวนิลหน้าโรงเรียน

มันดูนุ่มนวล ดูอ่อนโยนออกมาจากใจจริง สายตาส่งความรู้สึกน่าเข้าหาให้อย่างไม่น่าเชื่อ มันเริ่มทำให้ผมรู้สึกหลงรักรอยยิ้มแบบนี้ขึ้น แต่ไม่นานนักพี่เดือนก็ใช้นิ้วตัวเองชี้ที่ปากเหมือนกับกำลังจะบอกอะไรสักอย่างแล้วพูดเสียงเบาๆว่า

“รู้ตัวรึเปล่าว่ายิ้มน่ะ”

ผมเลิกคิ้ว แต่ก็ตอบเขากลับไปเหมือนกัน

“แล้วพี่รู้ตัวรึเปล่าครับว่าพี่ก็กำลังยิ้ม?”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:06:10 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
[Another 100%]

เมื่อพวกผมรอดพ้นจนมาถึงคาบพักเที่ยงได้ กลุ่มผมสี่คนก็เดินลงมาจากตึกเพื่อมาหาอะไรกินที่โรงอาหาร รสชาติไม่อร่อยก็จริงแต่ก็ต้องทนเพื่อความอยู่รอด ยังดีที่มีขนมนมเนยขายไม่งั้นข้าวที่ให้มาพอเด็กสามขวบกินคงไม่ช่วยอะไรในการยืดอายุเด็กนักเรียนอย่างเราๆนัก

ผมแยกตัวไปยืนต่อแถวซื้อข้าวราดแกงร้านประจำ เมื่อถึงคิวผม ผมก็ยืนมองกับข้าวตรงหน้าด้วยอารมณ์เบื่อหน่าย
กินหมดแล้วนี่นา

ผัดไข่ก็โอเคนะ แต่ว่าก็อยากกินผัดพริกแกงด้วย วันนี้มีไข่ตุ๋นด้วยเหรอ? นั่นมันแกงเทโพหมูสามชั้นเน้นๆนี่นา

“...เอาแกงเทโพกับผัดไข่ครับ”

“ผมเอาผัดเปรี้ยวหวานขอมะเขือเทศเยอะๆนะครับ”

อ๊ะ

“ว่าไง เจอรอบที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย” พี่เดือนมองผมในขณะที่เขารับจานอาหารของเขามา มือหยิบถ้วยเล็กๆมาใส่น้ำส้มสายชูลงไป
“ผมบอกว่าอย่ากินเปรี้ยวให้มากไงครับ”

“นี่พี่กินน้อยกว่าที่ผ่านมาเกินครึ่งเลยนะ” พี่เดือนยื่นถ้วยน้ำส้มสายชูให้ผมเห็น นี่ขนาดเกินครึ่ง น้ำสีใสมีพริกยังเกือบจะถึงครึ่งถ้วยนั่นเลย “...ก็ได้ๆ พี่จะงดเปรี้ยวหนึ่งวันเพื่อกุมภ์”

“พี่ประชดผมแน่ๆ” ผมเบะปากให้พี่เดือนก่อนที่จะเดินออกมา แต่ไม่รู้ว่าทำไมพี่เดือนถึงได้เดินตามมาด้วย “พี่ตามผมมาทำไม?”

“โต๊ะพี่อยู่แถวๆนี้”

ผมไม่สนใจต่อ ตรงไปที่โต๊ะที่เพื่อนพากันจองเอาไว้ พี่เดือนเดินแยกไปอีกทาง ผมเห็นว่ามีเพื่อนคู่ชายหญิงกำลังโบกมือเรียกเขาอยู่ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือบริเวณรอบๆโต๊ะที่พี่เดือนนั่งเริ่มมีผู้หญิงมานั่งจับจอง

“โห เพิ่งเคยเห็นพี่เดือนแบบใกล้ๆ แป๊บเดียวสาวล้อมโต๊ะเลย” ดินยกแก้วน้ำชาเย็นขึ้นมาดูด สายตาก็มองรุ่นพี่ผู้หญิงที่นั่งแถวโต๊ะพี่เดือนไปด้วย “แต่ละคนนี่ไม่จ้องพี่เดือนเล้ยย”

“ก็พี่เดือนทั้งเก่งทั้งหล่อ ใครไม่จ้องงาบก็น่าเสียดายสิ” คราวนี้เป็นอุ้มที่แทรกขึ้นมา “แต่ขอโทษที กูรู้ว่ากูไม่มีดีพอสำหรับพี่เขา และกูก็ไม่ได้สนใจผู้ชายตัวสูงด้วย ตัวเล็กๆสิน่าปกป้อง”

“ดักคอไว้เลยนะ กำลังจะพูดเชียวว่ามึงตายด้านเหรอ” นทีแทรกขึ้นพร้อมกับจิ้มแครอทชี้หน้าอุ้ม

“จะว่าไปแล้วพี่เดือนนี่ก็น่าสงสารอยู่นิดๆนะ” ผมเป็นคนพูดขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เพื่อนทั้งกลุ่มเลิกคิ้ว “เมื่อวันเสาร์กูไปทำงานที่ห้องสมุดแล้วเจอพี่เดือนพอดี พี่เขาบอกว่ามาอ่านหนังสือรอเวลาเรียนตอนเย็น แล้วพวกมึงเชื่อปะว่าหนังสือที่พี่เดือนอ่านน่ะมีแต่เนื้อหาของพวกเรียนมหาลัยแล้วทั้งนั้น อีกอย่างคือกูสัมผัสได้ยินสายตาเหนื่อยๆของพี่เขาอะ”

“นี่มึงสโตรกเขารึไงวะเนี่ย” อุ้มมองหน้าผมแล้วเบิกตาขึ้น “ตายแล้ว คุณแม่จะบ้าผู้ชายไม่ได้นะคะ”

“สัด กูเป็นผู้ชาย” ผมชูนิ้วกางให้อุ้มไป ไม่มีหรอกครับสำหรับการให้เกียรติ์ผู้หญิงในกลุ่มนี้ เอาจริงๆอุ้มแม่งแมนกว่านทีด้วยซ้ำไป “กูบังเอิญเจอพี่เดือนบ่อยเฉยๆ”

“แต่เขาว่าถ้าบังเอิญเจอเกินสามครั้งมันคือ…” อุ้มยิ้มเย้ยผม “มึงเจอพี่เขากี่รอบแล้วล่ะ”

“ครั้งแรกก็ที่เรียนพิเศษ ครั้งที่สองที่สนามฟุตบอลเมื่อวันพฤหัสที่แล้ว ครั้งที่สามที่ห้องสมุด---”

“โป๊ะเช้ะ!” ดินตบเข่าฉาดแล้วหัวเราะกับอุ้ม นทีที่กำลังดูงงๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็หันมามองหน้าผมด้วยสายตาแบบเดียวกัน

พวกมันพูดถึงอะไรวะ?

“คือ..กูไม่เข้าใจ”

“มึงเคยเชื่อในเรื่องพรหมลิขิตปะ” ดินดึงให้ผมโน้มตัวลงมาใกล้หน้าเขาเพื่อพูดเป่าหู “ถ้ามึงเชื่อ ยินดีด้วย”

“ฮะ?”

“เขาว่ากันว่าถ้าบังเอิญเจอกันสามครั้ง มันคือพรหมลิขิต” อุ้มยกแก้วนมสดขึ้นมาชูขึ้นกลางโรงอาหาร “แด่เพื่อนของกูที่กำลังจะมีเนื้อคู่”

“แด่เพื่อน” ดินหยิบแก้วชาเย็นขึ้นตาม แล้วมันก็ส่งสายตาไปดุนทีที่หันหน้าหันหลังงงไปคนเดียว “รอไรวะไอ้นที มึงก็ทำด้วยดิ”

“ฮะ? อะ...แด่เพื่อน?” นทีชูแก้วน้ำสตรอเบอร์รี่ขึ้นมางง น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยคำถาม “...เรื่องไรวะ?”

“พอดีว่าคุณแม่ของพวกเราทั้งสามกำลังจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาน่ะสิ มึงควรจะแสดงความยินดีกับแม่มึงด้วยนะ” อุ้มยกมือลูบหัวชายสูงกว่าด้วยความไม่ถือเรื่องเล่นหัวผู้ชาย นทีนั่งนิ่งชั่วครู่แล้วมันก็ยิ้มกว้าง

“อ๋อออออ หึหึ”

จะบอกว่าเสียงหัวเราะนทีแม่งอย่างเหี้ยม น่ากลัวมากราวกับว่ามีเรื่องสนุกได้แกล้งผมแล้ว

“พอเลยๆ อย่างมากก็รุ่นพี่รุ่นน้องนั่นแหละ” ผมลุกขึ้นออกจากที่นั่งแล้วเดินไปเก็บจานอาหารโดยทิ้งให้สามคนที่เหลือวิ่งตามกันไม่ทัน

พรหมลิขิตเหรอ...ถ้าให้พูดว่าเชื่อมั๊ยก็เชื่อนั่นแหละ แต่ทำไมพวกนี้ต้องตีโพยตีพายว่าผมกับพี่เดือนต้องเป็นเนื้อคู่กัน ผมกับเขาก็เป็นผู้ชายทั้งคู่ อีกอย่างก็คือผมไม่ใช่เกย์ ถึงจะเคยมองว่าคนนั่นคนนี้หล่อแต่ก็ใช่ว่าผมจะชอบผู้ชายด้วยกันสักหน่อย...

ถึงจะไม่เคยมองผู้หญิงก็เถอะ ผมอาจจะเป็นไบก็ได้


“นักเรียน ภายในจันทร์หน้าต้องส่งใบงานที่ครูให้ไปนะครับ เลิกชั้นได้”

เสียงของหัวหน้าห้องดังขึ้นหลังจากที่ครูบอกเลิกชั้น นี่ยังไม่ทันบ่ายสามก็เลิกแล้วเพราะว่าครูมีประชุม กลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรทำ เอายังไงดีวะ

“ไปห้องสมุดกันปะกุมภ์” ดินชวนผมไปนั่งเล่นที่ห้องสมุด มันไม่ได้ไปอ่านหนังสือหรอก มันจะไปนั่งเล่นเกมเพราะเน็ทตึกห้องสมุดแรงสุดในโรงเรียนแล้ว

“ก็ได้ จะได้ทำงานด้วย”

“ขยันฉิบ”

“แน่นอน นี่ใคร กุมภ์เอง” ผมทุบอกไปหนึ่งรอบ “แล้วก็อย่ามาขอลอกนะ รอบนี้มาอนุมัติ”

“ครับแม่” ดินตอบเสียงหน่ายเมื่อผมรู้ทันมัน “ไปกันเถอะ”

ผมสองคนเดินมาที่ห้องสมุดที่อยู่ใกล้ๆกับโรงอาหาร นักเรียนส่วนใหญ่เลือกที่จะกลับบ้านกันไปแล้วทำให้มีเพียงไม่กี่คนที่นั่งอยู่ข้างใน ดินมันหันมาสะกิดผมขอไปนั่งใกล้ๆกับชั้นหนังสือการ์ตูน ส่วนผมเดินมาตรงชั้นหนังสือสำหรับทำรายงาน

ถ้าจำไม่ผิดครูน่าจะให้ทำเรื่องเกี่ยวกับพืชและเห็ดมีพืชนี่นา..

หนังสือเกี่ยวกับพวกนี้อยู่ตรงไหนกัน?

ผมเดินวนจนเกือบหลงอยู่ในเขาวงกตชั้นหนังสือ ทำไมผมถึงหาหนังสือที่ต้องการไม่เคยเจอเลยสักครั้ง ถ้าจะเจอก็คง...

จุดอับที่สุดของห้องสมุดที่มีหนังสือเก่าๆกองเอาไว้เป็นพะเนินสูงพร้อมกับฝุ่นจำนวนมหาศาลนั่น

เดอะฟัค

ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าตัวเองขึ้นมาปิดจมูกไว้แล้วเดินเข้าไปยังส่วนที่มีฝุ่นเกาะหนาเตอะ รื้อๆไปสักพักก็เจอกับหนังสือพืชมีพิษ แต่ไม่ทันที่จะเดินออกไปก็เหลือบไปเห็นเงาอะไรสักอย่างอยู่ตรงพื้นเสียก่อน

คน?

ผมค่อยๆขยับร่างตัวเองเพื่อไปมองเงาสีดำของสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่ามนุษย์ ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะผ่อนคลาย เสียงหน้ากระดาษหนังสือพัดไปตามแรงลมของพัดลมเพดานอันเก่า ถึงจะเป็นมุมอับก็เถอะ แต่ผมก็ได้กลิ่นหอมจางๆออกมาจากร่างที่กำลังพิงผนังตรงพื้น

พี่เดือนกำลังนั่งหลับโดยที่ในมือมีหนังสือเปิดกางทิ้งเอาไว้ สองข้างตัวของเขามีปากกาดินสอวางเต็มพื้น สีหน้าดูอิดโรยอย่างชัดเจนแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาดูหลับอย่างไม่สบาย

ผมค่อยๆย่องเข้าไปมองหน้าพี่เดือนที่กำลังหลับชัดๆ พี่เดือนไม่ได้กรนหรือหายใจดังขนาดที่ว่าผมจะได้ยินทุกรอบ แต่มานอนตรงที่มีฝุ่นเยอะขนาดนี้จะดีเหรอ

“..ฮะ...ฮัดชิ่ว!”

เหี้ย..จะมาจามทำไมตอนนี้วะ?!

เสียงจามของผมทำให้คนที่กำลังหลับอยู่ค่อยๆลืมตาขึ้นมา เขาสะบัดหัวนิดหน่อยพร้อมกับขยีตาตัวเองราวกับเด็กน้อยเพิ่งตื่นจากความฝันอันสวยงาม

ทำไมแลดูน่าเอ็นดู..

 “...กุมภ์?”

“..ครับ”

แล้วทำไมบรรยากาศมันถึงแปลกๆแบบนี้กัน...

“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้?”

“พี่นั่นแหละมานอนอะไรตรงนี้ ฝุ่นเยอะก็เยอะ นอนลงไปได้ยังไง”

ผมย้อนคนอายุมากกว่าตรงหน้า พี่เดือนก้มมองหนังสือนิดนึงแล้วยกขึ้นมาให้ผมดูด้วยสีหน้างงๆ ยังไม่ตื่นเต็มตาสินะ..

“พี่มานั่งอ่านหนังสือแถวนี้เพราะมันเงียบดี..ไปมาพี่คงเผลอหลับ” พี่เดือนยิ้มอ่อน “เมื่อคืนอ่านถึงตีสี่”

“ตีสี่?! บ้าไปแล้ว พี่นอนแค่สองชั่วโมงเพื่อตื่นมาโรงเรียนเนี่ยนะครับ?!” ผมร้องใส่หน้าพี่เดือนจนเขาเหวอไปนิดหน่อย แต่ก็ตั้งสติมาได้...สติผมเนี่ยแหละ “เฮ้อ...ใจเย็นสิวะไอ้กุมภ์...พี่เดือนจะฝืนตัวเองไปทำไมกัน เวลาพักผ่อนก็ให้เป็นเวลาพักผ่อนไม่ใช่อ่านเป็นบ้าเป็นหลังครับ”

“...อืม” พี่เดือนพยักหน้าให้เล็กน้อย “ถ้าจำไม่ผิดตรงนี้เป็นโซนหนังสือเกี่ยวกับพืชพิษ ทำงานใช่มั๊ย?”

“ครับ”

“เล่มที่ถืออยู่น่ะมันเก่ามากแล้ว พี่จำได้ว่ามีเล่นนึงค่อนข้างใหม่อยู่แถวๆนี้แหละ เดี๋ยวพี่หาให้” พี่เดือนไม่พูดเปล่าพยุงตัวเองขึ้นมาแล้วเดินไปที่ชั้นหนังสือสูงมากๆซึ่งอยู่อีกฝั่งของตัวผม พอเขาเดินไปที่ด้านหลังเพื่อหาหนังสือที่ว่า ผมก็เดินมาดูหนังสือที่ชั้นเดียวกันเพื่อฆ่าเวลารอ

พอผมดึงหนังสือหนาออกมาเล่มหนึ่ง ผมก็เห็นอีกฝั่งของชั้นหนังสือที่ตอนนี้พี่เดือนกำลังยืนอยู่ตรงกันข้ามกันพอดี ใบหน้าของเขาโผล่ออกมานิดเดียวเพราะว่าพี่เขาสูงกว่า ถ้าให้เดาก็คงกำลังเงยหน้าเพื่อหาหนังสือให้ผมอยู่

จะมีสักกี่คนที่ทำให้ขนาดนี้กัน

พอผมจ้องนานๆจนพี่เขาหยิบหนังสือลงมาเล่มหนึ่ง สายตาของพวกเราก็สบกันพอดี

พี่เดือนค่อยๆยิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่ผมไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน และไม่ใช่ยิ้มที่เป็นยิ้มบนแผ่นไวนิลหน้าโรงเรียน

มันดูนุ่มนวล ดูอ่อนโยนออกมาจากใจจริง สายตาส่งความรู้สึกน่าเข้าหาให้อย่างไม่น่าเชื่อ มันเริ่มทำให้ผมรู้สึกหลงรักรอยยิ้มแบบนี้ขึ้น แต่ไม่นานนักพี่เดือนก็ใช้นิ้วตัวเองชี้ที่ปากเหมือนกับกำลังจะบอกอะไรสักอย่างแล้วพูดเสียงเบาๆว่า

“รู้ตัวรึเปล่าว่ายิ้มน่ะ”

ผมเลิกคิ้ว แต่ก็ตอบเขากลับไปเหมือนกัน

“แล้วพี่รู้ตัวรึเปล่าครับว่าพี่ก็กำลังยิ้ม?”


--------------------

อีก 50% เอามาอัพให้ก่อนนะคะ ไม่มีเวลาจะอัพเพราะงานหนักมากค่ะ TT

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 3

 

ผมบอกเลยว่าจังหวะนี้ผมเกลียดเพื่อนมาก

มัน เท ผม

ย้ำนะครับว่าเพื่อนทั้งสามมันเทผมให้ยืนอยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นในห้างคนเดียว คนหนึ่งอ้างว่าแม่ใช้งาน คนหนึ่งอ้างว่าพ่อให้เฝ้าบ้าน ส่วนอีกคนอ้างว่ามีซ้อมดนตรี

ขณะนี้ผมยืนมองป้ายร้านอาหารญี่ปุ่นอย่างหงอยๆ สงสัยวันนี้ได้กลับบ้านโดยที่ท้องว่างแน่ๆ ผมไม่มีเลเวลสูงพอที่จะนั่งกินข้าวในห้างคนเดียวได้หรอก แถมยิ่งในร้านก็มีแต่ครอบครัวกับคู่หนุ่มสาวมาหาข้าวกิน

ผมเดินหันตัวกลับมาแล้วตรงไปที่โซนตู้เกม ระบายอารมณ์ยิงหัวซอมบี้แม่งเลย นัดดิบดีดันมาเทไม่บอกกล่าวแบบนี้พ่อจะด่าเรียงหัวเข้าให้วันจันทร์

สัปดาห์ที่แล้วผมกับพี่เดือนมาเจอกันอีกทีก็ที่เรียนพิเศษซึ่งก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย ถ้าใครจะถามว่าผมสนิทกับพี่เดือนขนาดไหนแล้ว ผมตอบนะครับว่าพวกเราก็ยังอยู่ในฐานะคนรู้จักกันเท่านั้น เรียกหรูขึ้นมาอีกนิดก็รุ่นพี่รุ่นน้องโรงเรียนเดียวกัน

สิ่งที่ผมรู้จากพี่เดือนก็คือ พี่เดือนชอบรสเปรี้ยวๆ ชอบมะเขือเทศ (ที่ผมโคตรจะเกลียด) งานอดิเรกคือการอ่านหนังสือความรู้ทั่วไปกับการฟังเพลงคลาสสิก ทุกวันช่วงเย็นเขาก็ต้องไปเรียนพิเศษจนถึงสองทุ่ม เวลาว่างมักจะทบทวนเนื้อหาอยู่เสมอ ...จะบอกว่าผมตามสโตรกพี่เดือนรึยังไงถึงได้รู้มากขนาดนี้? เปล่าครับ ผมได้ยินมาจากพี่รหัสของผมที่อยู่ห้องเดียวกันกับพี่เดือน

‘เดือนน่ะไม่ค่อยคุยกับใครหรอก ขนาดพี่ที่เคยอยู่กลุ่มทำงานเดียวกันเดือนยังไม่ค่อยเปิดปากคุยด้วยเลย คุยบ่อยสุดก็คงกับศึก

‘อีกอย่างก็คือพวกพี่รู้ว่าเดือนชอบฝืนร่างกายตัวเอง ทำเป็นเหมือนว่าไหวแต่ความจริงแล้วจะล้มตอนไหนก็ไม่รู้ มีบางช่วงที่ดูดีขึ้นมาหน่อยเพราะว่าได้พัก แต่สุดท้ายเขาก็ดิ้นรนตัวเองไปเรียนพิเศษทั้งวัน

‘ถ้าน้องจะพูดว่าเขาเป็นเหมือนหุ่นยนต์ก็คงถูก ทำแบบเดิมซ้ำๆไปเรื่อยๆไร้จุดหมาย เก่งแต่กลับไม่มีสิ่งที่อยากจะทำจริงๆอยู่เลย’

พี่รหัสผมเขาว่ามาแบบนี้ ไม่ใช่แค่ผมที่จับสังเกตได้ แต่เพื่อนร่วมชั้นก็จับได้เหมือนกันว่าพี่เดือนเหนื่อยมากแค่ไหน

‘แต่น้องก็เก่งนะที่จับได้ว่าเดือนมันเหนื่อยมากแค่ไหนทั้งที่เจอกันไม่กี่ครั้ง พวกพี่กว่าจะรู้ก็ผ่านไปเกือบสองปีได้’

ผมไล่ยิงหัวซอมบี้ที่โผล่มาจากลิฟต์บนจอโทรทัศน์ เริ่มมีเด็กมารุมดูผมเล่นระบายน้ำโหเพื่อนบ้างแต่เชื่อสิว่าถ้าให้น้องผมมาเล่นต้องมาคนมารุมเยอะกว่านี้อีก ถึงน้องผมจะตัวเล็กดูบอบบาง แต่ความจริงแล้วนั่นเซียนเกม FPS ตัวพ่อ มีอะไรผ่านหน้ามายิงหมดแถมยังแม่นราวกับจับวาง ดวงสุ่มกาชาก็ดีจนนึกว่าเป็น GM มาเล่นเซิฟส่วนตัว

พอผมระบายอารมณ์จนเกมโอเวอร์ ผมก็เดินมาตรงตู้คีบตุ๊กตาแกะสีขาว นึกแล้วก็อยากคีบไปให้มีนาเหมือนกันเพราะทุกคนต่างมองน้องผมเหมือนลูกแกะตัวเล็กๆน่ารักแต่ก็ไม่อยากเสี่ยงดวงกับขาคีบที่อ่อนยิ่งกว่าอะไร ซื้อเอาน่าจะถูกกว่าด้วยซ้ำ

ผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นร้านเดิม คืออยากมันก็อยากนะ แต่ว่ามาคนเดียวแบบนี้มัน...

“ไม่เข้าไปเหรอกุมภ์?”

ความบังเอิญของความบังเอิญที่เหนือกว่าความบังเอิญคือการที่พี่เดือนเดินมาในเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวเข้ารูป สะพายกระเป๋าหนังสีน้ำตาลราวกับว่าจะมางานแฟชั่นที่ไหนตรงมาหาผม น้ำหอมกลิ่นทะเลยังคงโชยมาอ่อนๆจนทำให้รู้สึกสบายจมูก ผมยกมือไหว้พี่เดือนแล้วก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ

ปกติพี่เดือนต้องอยู่ที่ห้องสมุดไม่ใช้รึไง?

“พี่เดือนไม่ไปห้องสมุดเหรอครับ?”

“พอดีพี่มาดูหนังสือออกใหม่เลยแวะเดินบ้างแก้เครียด” พี่เดือนมองป้ายหน้าร้านกับหน้าผมสลับไปมา “อย่าบอกนะว่าอยากเข้าไปแต่มาคนเดียว?”

“เพื่อนมันเทนัดผมกันหมดเลยน่ะครับ อยากกินข้าวแกงกะหรี่ก็อยาก แต่ถ้าให้ผมไปนั่งคนเดียวท่ามกลางโต๊ะคู่ก็ไม่ไหวหรอก”

“พี่ก็ว่าจะหาข้าวกินพอดี เข้าไปนั่งด้วยกันเลยมั๊ยล่ะ? พี่เลี้ยงเอง” พี่เดือนชูบัตรเดบิตในมือขึ้นมา นี่บ้านต้องรวยแค่ไหนถึงมีบัตรเดบิตตั้งสามสี่ใบแบบนี้

“พี่เดือนไม่ใช่พี่รหัสผมสักหน่อย ไม่ต้องหรอกครับ เกรงใจเปล่าๆ”

“เอาน่า พี่เป็นผู้ใหญ่กว่าก็ให้พี่เลี้ยงเถอะ” พี่เดือนดันหลังของผมให้เดินเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นตรงหน้า พนักงานมองพวกเราด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสพลางหัวเราะ เขาพามานั่งที่โต๊ะมุมในสุดของร้าน ยื่นเมนูให้คนละเล่ม

พี่เดือนย้ำผมว่าไม่ต้องเกรงใจ แต่ผมก็ไม่กล้าสั่งอะไรมาเยอะในเมื่อยังไม่สนิทกันขนาดนั้น ผมจึงเลือกเป็นข้าวแกงกะหรี่หมูทอดกับชาเขียวเย็นรีฟีล ได้ยินพี่เดือนสั่งเป็นชุดเบนโตะกับน้ำเปล่า พนักงานยืนทวนเมนูแล้วเดินจากไป

ในที่สุดอาการเดดแอร์ก็เกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าผมควรจะเป็นคนเปิดบทสนทนาหรือไม่ พี่เดือนก็นั่งแต่เปิดหน้าหนังสือที่ตัวเองซื้อมาเงียบๆ

ทนความอึดอัดแบบนี้ไม่ไหวแหะ

“พี่เดือนครับ ปกติแล้วพี่เรียนพิเศษวิชาอะไรเป็นหลักเหรอครับ?” เป็นการเริ่มต้นด้วยหัวข้อที่แย่มาก แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องอะไรดีเพราะท่าทางพี่เดือนไม่น่าจะเล่นเกม จะชวนคุยเรื่องหนังสือผมก็ไม่ได้ชอบอ่านขนาดที่ว่าจะจำเนื้อเรื่องได้หมด

พี่เดือนเงยหน้าขึ้นมาในจังหวะที่พนักงานเดินมาเสิร์ฟชาเขียวเย็นกับน้ำเปล่า เขารอให้พนักงานวางแก้วบนโต๊ะให้เสร็จก่อนจึงเปิดปากพูด “ปกติพี่เน้นวิชาชีวะกับเคมี ตอนนี้พี่เรียนฟิสิกส์เพิ่มด้วย ส่วนหลักๆที่เรียนทุกวันจันทร์กับศุกร์พี่เรียนคณิต...เอาอย่างนี้ดีกว่า พี่จะไล่ให้ฟังแล้วกัน” เขาสูดลมหายใจนิดหน่อย “วิชาคณิตเรียนวันจันทร์กับวันศุกร์ เคมีกับฟิสิกส์เรียนวันอังคาร ชีวะพี่เรียนวันพุธกับวันพฤหัส เสาร์อาทิตย์ก็เรียนวิชาเสริมอย่างวิทยาศาสตร์ทั่วไปกับคณิตเพิ่มเติม”

อะไรจะขนาดนั้น..

“พี่เรียนมากๆไม่เอียนรึยังไงครับเนี่ย...” ผมยกแก้วชาเขียวขึ้นมาดูดน้ำลงคอ “อีกอย่างพี่มีเวลาพักรึเปล่าครับ?”

“มีสิ ก็ตอนนอน ก่อนพี่นอนพี่ต้องอ่านหนังสือให้ได้อย่างน้อยสิบหน้าทุกคืนเพื่อทบทวนเนื้อหาที่เรียนมา บางวันพี่ก็อ่านเพลินไปหน่อยจนถึงช่วงตีสามตีสี่เลย” พี่เดือนก้มหน้าลงมองหนังสือตัวเองอีกครั้ง “แต่พี่ก็อยากลองทำอะไรใหม่ๆดูบ้าง เสียที่ไม่มีเวลา”

ผมอยากจะกระชากคอเสื้อพี่เดือนแล้วตะโกนใส่หน้าว่าพี่ทำตัวไม่มีเวลาเองตังหาก

“ว่างๆพี่สนใจมาถ่ายรูปกับผมมั๊ยล่ะครับ? ผมชอบถ่ายรูปส่งแข่งเลยมีกล้องประจำตัวไว้ กว่าจะอ้อนขอเลนส์จากแม่ได้ก็แทบแย่”

“เลนส์?”

“แม่ผมเป็นช่างภาพอิสระครับ ส่วนพ่อของผมเป็นเจ้าของสตูดิโอถ่ายงาน พวกท่านเล่าให้ผมฟังว่าตอนเจอกันก็เจอกันที่สตูดิโอของพ่อนั่นแหละ ดูใจได้สองสามปีก็แต่งงานผลิตผมออกมา” ผมยิ้ม ถึงบ้านผมจะไม่ได้รวยอะไรมาก แต่พวกท่านก็ขยันขันแข็งมีเงินส่งผมกับน้องเรียนจบได้ อีกทั้งยังรักกันชื่นมื่น มีปัญหาอะไรพวกท่านก็จะรับฟังเสมอ ค่อนข้างจะทันกับยุคสมัย บางวันผมแอบเห็นแม่กำลังนั่งดูซีรี่ย์วายกับพ่ออยู่เลย แล้วพวกคุณเชื่อมั๊ยว่าพวกท่านคุยกันว่าอะไร? พวกท่านคุยกันว่ามนุษย์ไม่ผิดหรอกที่จะรักเพศเดียวกัน ถ้าโชคชะตานำพามาให้พบกัน ยังไงมันก็เป็นพรหมลิขิต

“...งั้นเหรอ...” พี่เดือนมองพนักงานที่เดินเข้ามาเสิร์ฟอาหาร วางจานข้าวแกงกะหรี่หน้าผม ส่วนชุดเบนโตะแซลมอนของเขาก็ถูกประเคนตามมา ทันใดนั้นพี่เดือนก็ยกตะเกียบขึ้นมาคีบแซลมอนเข้าปากไม่ยั้ง ไหนจะคีบมะเขือเทศจิ๋วเข้าปากทั้งลูกแล้วเคี้ยวจนผมรับรู้ถึงความฉ่ำน้ำแทน ผมพยายามเลี่ยงภาพพี่เดือนกินมะเขือเทศด้วยการก้มลงกินข้าวแกงกะหรี่ที่ผมอยากกิน เนื้อหมูชุบแป้งทอดแน่นๆนั่นมันเข้ากันดีกับน้ำแกงกะหรี่เหลือเกิน มันฝรั่งที่กำลังนิ่มได้ที่ทำให้ไม่เป็นอุปสรรค์ในการเคี้ยวสักนิด ซุปมิโสะร้อนๆช่วยทำให้ผมอยากอาหารมากเป็นเท่าตัว สรุปว่าชาเขียวเย็นที่ผมวางเอาไว้ข้างๆกลายเป็นง่อยไปในที่สุด

ผมรอพี่เดือนจัดการกับผักสลัดตัวเองไม่นานก็พากันไปจ่ายเงิน ผมย้ำเขาหลายรอบว่าจะจ่ายค่าอาหารผมเองแต่พี่เดือนก็ชิงเดินตัดหน้าไปที่เคาท์เตอร์ยื่นบัตรเสียก่อน รู้สึกอิจฉาคนขายาวก็ตอนนี้นี่แหละ

“นี่เพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง กุมภ์จะกลับเลยรึเปล่า?”

“ทำไมครับ?”

“..จะว่ายังไงดีล่ะ พี่ไม่ค่อยได้มาผ่อนคลายอะไรเท่าไหร่” พี่เดือนเกาแก้มตัวเอง มองไปที่บันไดเลื่อนขึ้นไปยังชั้นสี่ซึ่งเป็นโซนโรงหนัง “ไหนๆพี่ก็มาแล้ว พี่ว่าจะดูหนัง”

“แล้ว...”

“ดูเป็นเพื่อนพี่ได้มั๊ย? พี่มีบัตรลดครึ่งราคาสำหรับสองที่นั่ง แล้วก็มีบัตรลดราคาป๊อบคอร์นกับน้ำ” พี่เดือนเปิดกระเป๋าสตางค์ตัวเองเพื่อหยิบกระดาษที่พิมพ์คำว่าคูปองส่วนลดมาให้ผมดู “จะหมดอายุสิ้นเดือนนี้ ซึ่งพี่ก็คงไม่ได้มาอีก”

“...งั้นผมออกค่าหนังแล้วกันนะครับ ห้ามเถียงด้วยว่าพี่โตกว่าถึงมีสิทธิเลี้ยง ผลัดกันเลี้ยงยุติธรรมสุด พี่เลี้ยงข้าว ผมเลี้ยงหนัง แฟร์ๆ” ผมมองหน้าพี่เดือนที่เตรียมจะอ้าปากพูดว่าเขาจะเลี้ยง ทันใดนั้นผมตัดสินใจฉกบัตรส่วนลดในมือเขาแล้วขึ้นบันไดเลื่อนไปก่อน พี่เดือนวิ่งตามมาทีหลังจนกระทั่งถึงหน้าโรง

เอาไงดีละ ไม่ค่อยได้มาดูเท่าไหร่ ล่าสุดก็ปีที่แล้วตอนเรียนจบม.ต้น

“เรามาหาประสบการณ์ตื่นเต้นดีมั๊ย? หนังผีเรื่องนี้น่าดูดี” พี่เดือนชี้นิ้วไปที่โปสเตอร์หนังผีเรื่องหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าห่วยแตก ผมส่ายหน้าๆรัว สงสัยพี่เดือนคิดว่าผมกลัวผีเลยหัวเราะออกมาก่อนที่จะชี้ไปที่หนังชีวิตสุดน่าเบื่อที่ผมอ่านรีวิวแล้วบอกว่าเข้าใจยาก ผมก็ส่ายหน้าอีกจนกระทั่งผมต้องเป็นฝ่ายชี้เอง

“เรื่องนี้ผมเห็นรีวิวแล้วบอกว่าดี”

“หนังรัก?” พี่เดือนจ้องโปสเตอร์บนผนัง บนนั้นเป็นรูปของชายหญิงคู่หนึ่งกำลังจ้องมองกันด้วยสายตารักใคร่ เบื้องหลังเป็นฉากแม่น้ำกลางเมืองเก่าที่มีคนหลายคนกำลังยืนมองฝั่งตรงข้าม

“ครับ เขารีวิวบอกมาว่าเป็นหนังที่สะท้อนรูปแบบความรักของคนในสังคม ไม่ว่าจะรักของหนุ่มสาว รักเพื่อน รักพ่อแม่ หรือแม้กระทั่งรักของคนเพศเดียวกัน”

พี่เดือนจ้องโปสเตอร์หนังนั่นนานจนผมคิดว่าสติเขาลอยไปสิงอยู่ในนั้น จึงต้องสะกิดเรียกเขาเพื่อให้เขาเดินไปซื้อป๊อบคอร์นกับน้ำทั้งๆที่พวกผมเพิ่งกินข้าวมากันอิ่มๆ พอผมกดตั๋วหนังเสร็จก็เดินไปหาพี่เดือนที่ยืนรออยู่ตรงทางเข้าโซนโรงหนัง

“โรงสามครับ”

พี่เดือนพยักหน้าแล้วเดินไปทางป้ายที่บอกว่าโรงสามอยู่ใน บรรยากาศข้างในไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่เพราะส่วนมากคนจะดูหนังอนิเมชั่นที่เข้ามาในช่วงเดียวกันเสียมากกว่า ที่นั่งที่ผมเลือกนั้นเป็นจุดตรงกลางที่เห็นหน้าจอพอดีโดยไม่ต้องเงยหน้าหรือก้มลงไป ลำบากแค่ตอนเดินเข้าออกเท่านั้น แต่จะว่าโชคดีหรือไม่กันที่แถวนี้ไม่มีใครจองมานั่งด้วยเลย

“นี่น้ำ” พี่เดือนยื่นแก้วมาให้ผม พวกเราแยกแก้วกันเพราะมันสะดวกใจมากกว่า ส่วนป๊อบคอร์นกินถังเดียวกันได้ กินสองคนยังไม่รู้ว่าจะหมดรึเปล่าด้วยซ้ำไป

หนังเริ่มฉายขึ้นบนหน้าจอ เป็นเรื่องราวของชายหญิงทางแถบยุโรปคู่หนึ่งกำลังยืนมองกันจากอีกฝั่งของแม่น้ำที่กั้นเอาไว้ ชีวิตของชายหนุ่มเป็นชีวิตที่ค่อนข้างเดินดิน เป็นคนธรรมดาในขณะที่ฝ่ายผู้หญิงนั้นมีฐานะร่ำรวย วันหนึ่งทั้งสองคนได้เดินชนกันที่ถนนแล้วคุยกันถูกคอ จากความสนิทสนมกลายมาเป็นความชอบ ทั้งคู่แอบติดต่อกันแต่สุดท้ายทางฝั่งผู้หญิงก็ถูกจับได้ว่าติดต่อกับชายคนนั้น

ครอบครัวของเธอได้พากันย้ายออกจากเมืองโดยที่ชายหนุ่มคนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น เขาเฝ้ารอเธอจนกระทั่งเพื่อนสนิทของเขาเดินเข้ามาบอกว่าเธอกำลังจะหมั้นกับชายมีฐานะ ชายคนนั้นเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย กินเหล้าเมาเสเพลจนเสียคน

“ไหนกุมภ์บอกว่าดีไง พี่ว่ามันเริ่มหน่วงแล้วนะ” พี่เดือนหันมากระซิบกับผม ผมอ่านรีวิวมาไม่หมดหรอก อ่านตอนแรกๆว่ามันเป็นยังไงเฉยๆเพราะว่าจะไปดูออนไลน์เอาทีหลัง

ระยะเวลาผ่านไปสามปี ชายเสียคนได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่อ้างว่าเป็นคู่หมั้นของหญิงสาวอันเป็นที่รักของเขา ซึ่งเขาก็บอกว่าหญิงคนนั้นตั้งครรภ์กับเขาได้สามเดือนแล้ว เธอคิดว่าไม่มีทางได้พบกับชายหนุ่มที่รักได้อีก นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นคนโง่ที่หลงคุณหนูผู้สูงส่งจนคิดจะโดดแม่น้ำตาย โชคดีที่เพื่อนของเขาวิ่งมาห้ามเอาไว้ทันพร้อมกับต่อยเตือนสติ แล้วพูดว่าถ้าเขาตายไป จะไม่นึกถึงเพื่อนอย่างเขาที่ต้องมาเสียคนดีๆ จะไม่นึกถึงพ่อกับแม่ที่เลี้ยงดูมาแต่เกิดเลยหรือ ทำให้เขาคิดได้แล้วกลับไปทำงานขยันขันแข็งเช่นก่อน

เรื่องดำเนินมาถึงท้ายๆ เป็นการบอกกลายๆว่าชายคนนั้นไม่ได้หลงรักใครอีกเลย แต่ว่าเขามีเพื่อนที่คอยมาแวะเยี่ยม มีครอบครัวที่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ จนกระทั่งเขามารับรู้ความจริงในช่วงย่างเข้าวัยสี่สิบว่าเพื่อนสนิทของเขานั้นรักเขามานานมาก แต่ก็เก็บความรู้สึกเอาไว้เพราะคำว่าเพื่อนมันค้ำคอ เขาจึงมาพิจารณาว่าแล้วเขาละรู้สึกอย่างไรกับเพื่อน

เขาได้คำตอบว่าไม่ว่าเวลาไหนก็ตามที่เขาเป็นทุกข์ เพื่อนคนนั้นก็มักจะมาคอยอยู่ข้างๆปลอบใจเสมอ เขามีความสุขขึ้นเมื่อเพื่อนคนนี้คอยเล่นมุขตลกให้ตัวเองยิ้ม คอยนั่งกินเหล้าเป็นเพื่อนเวลาที่ร้องไห้ฟูมฟาย

เขารักเพื่อนคนนี้มากกว่าเพื่อน

เป็นตอนจบที่พีคมาก โปสเตอร์หน้าโรงหนังหลอกผมได้สนิท สุดท้ายแล้วหนังเรื่องนี้มันเป็นหนังแอบรักเพื่อนสนิท แถมยังเป็นผู้ชายเหมือนกันอีก

พอผมกับพี่เดือนออกมาจากโรง ก็เห็นผู้หญิงวัยกลางคนสองคนกำลังยืนคุยกันด้วยท่าทางออกรส

‘ฉันละนึกว่าเรื่องนี้จะเป็นหนังรักหวานๆซะอีก แต่ดันมาเป็นหนังเกย์ไปได้ เพศเดียวกันรักกันได้ยังไง ขยะแขยง’

‘สาธุว่าขอให้ฟ้าผ่า’

ผมส่ายหัวกับความคิดของคนวัยกลางคนที่ยังอยู่ในกรอบ ข้างๆป้าสองคนนั้นมีกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิงสามสี่คนยืนคุยอยู่ด้วยเช่นกัน

‘ฉันชอบฉากที่เพื่อนดึงให้ตัวเอกกลับเข้ามาแล้วต่อยอะ โคตรเหมือน เป็นฉันฉันก็ทำ’

‘แต่ฉันชอบฉากจูบสุดท้ายสุดแล้ว พวกเขาได้กันค่ะ กรี๊ดดดด’

ผมหัวเราะให้กับเหล่าสาววายที่คุยข้างๆป้าหัวโบราณ ป้าสองคนนั้นหันมาส่งสายตามองว่ามันน่าดูรึยังไงกับการที่ผู้ชายสองคนคบกัน ว่าแล้วผมก็หันไปถามพี่เดือนดีกว่าว่าเขาคิดยังไงกับหนังเรื่องนี้

“พี่เดือนครับ พี่ว่าหนังเรื่องนี้...”

ผมหยุดคำพูดไป พี่เดือนกำลังยืนเหม่อมองป้าสองคนที่ตอนนี้เถียงกับกลุ่มสาววายหน้าโรง เขาคิดเรื่องอะไรสักอย่าง ที่สำคัญคือสายตานั้นมันไม่น่าดูเอาเสียเลยราวกับว่ามันพร้อมที่จะแตกสลายได้ทุกเมื่อ

“พี่เดือนครับ...พี่เดือน!” ผมตะโกนใส่หูคนที่อยู่ข้างๆจนเขาสะดุ้งแล้วกระพริบตารัวๆเป็นลูกกระสุน หันซ้ายหันขวามึนงงอยู่ชั่วครู่แล้วเขาก็รู้สึกตัว

“หืม..อือ...มีอะไรเหรอกุมภ์?” พี่เดือนพยายามปรับน้ำเสียงตัวเองให้เป็นปกติ แต่ผมรู้ว่าพี่เดือนต้องกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆที่ทำให้ถึงขั้นเหม่อจนแทบไม่ได้ยินอะไรแล้วสะดุ้งแรงแบบนั้น

“จะบ่ายสามแล้วนะครับ เราไปกันเถอะ”

“อืม” พี่เดือนเดินตามผมอย่างงงๆ ผมไม่อยากถามเท่าไหร่ว่าเขากำลังนึกถึงเรื่องอะไรอยู่ “เมื่อกี๊พี่แค่นึกถึงเรื่องสมัยก่อนของพี่ขึ้นมาน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

เขาอ่านใจผมได้รึยังไงกัน “ครับ?”

“ตอนพี่อยู่ประถม พี่เคยแอบออกไปเล่นเกมกับเพื่อน พอพ่อแม่จับได้ก็โดนดุใหญ่เลย หลังจากนั้นพี่ก็ไม่ได้แตะอีกเพราะไม่มีเวลาว่าง” พี่เดือนหัวเราะ ซึ่งฟังยังไงมันก็เป็นน้ำเสียงแห้งๆไม่ได้ออกมาจากใจจริง “ช่วงม.ต้นพี่ก็เคยดูเพื่อนเล่นเกมเหมือนกันว่ามันสนุกยังไง พี่ไม่ค่อยเข้าใจหลักการออกของอะไรที่เพื่อนว่ามาเท่าไหร่ ทำได้แต่พยักหน้าไป”

“พี่เดือนเรียนพิเศษกี่โมงครับ?”

“ห้าโมงเย็น ทำไมเหรอ?”

“ผมจะพาพี่เล่นเกมเอง”

 

ผมกลับมาที่โซนเครื่องเกมอีกครั้งโดยที่รอบนี้มีรุ่นพี่หน้าตาดีตามมาด้วย สาวๆพากันมองโดยไม่ละสายตา เก็บอาการหน่อยก็ได้นะสาวๆ พี่เดือนแลดูให้ความสนใจกับเจ้าเกมต่อสู้ของถนัดผมตรงหน้ามาก ผมขยับตัวเข้าไปนั่งบนเก้าอี้แล้วตบปุๆที่ว่างให้พี่เดือนมานั่งดูผมเล่น

“พี่เดือนดูวิธีเล่นเอาไว้นะ คันโยกตัวนี้เป็นควบคุมทิศทางตัวละครของเรา ส่วนปุ่มสี่ปุ่มตรงนี้เป็นปุ่มไว้กดใช้ท่าต่อสู้ ถ้าพี่จำคอมโบท่าที่ติดเอาไว้ตรงข้างหน้านี่ได้พี่ก็เอามาใช้ในเกมได้” ผมชี้ไปที่แผ่นพลาสติกที่ติดอยู่ตรงข้างๆหน้าจอ มันเป็นลิสต์รายชื่อกระบวนท่าไม้ตายของตัวละครต่างๆ “ผมจะเล่นให้ดูก่อนหนึ่งรอบ แล้วรอบต่อไปพี่ก็ลองดูนะ”

หยอดเหรียญลงตู้แล้วเลือกตัวละครที่ผมชอบขึ้นมา พี่เดือนเลิกคิ้วแล้วถามว่าทำไมถึงเลือกเป็นตัวละครหญิง คำตอบก็คือไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากเพราะความสวยล้วนๆ

ด้วยความชินมือ ผมก็เล่นรอบแรกจบไปอย่างง่ายดาย และถึงคราวของคนไม่เคยเล่นเกมบ้างที่ต้องมาแตะคันโยกทั้งหลายแหล่แล้วใช้สัญชาตญาณในการควบคุม พี่เดือนดูเงอะงะช่วงแรกจนกระทั่งเขาโดนบอทสวนคอมโบใส่เท่านั้น ผมก็ได้เห็นพี่เดือนร่างใหม่ทันที

ร่างคนหัวร้อน

พี่เดือนขยับคันโยกแรงและรัวขึ้น มือเริ่มกดปุ่มเพื่อทำคอมโบ แต่กระนั้นปากของพี่เดือนก็เริ่มหลุดคำสบถออกมาเบาๆอย่าง ‘เชี่ย’ หรือ ‘ฉิบหาย’

ยอมรับว่าผมไม่คิดถึงการที่พี่เดือนจะพูดหยาบ แต่พี่เดือนเองก็เป็นมนุษย์ไทยคนหนึ่งที่สามารถตะโกนด่าพระอาทิตย์ข้อหาร้อนเกินไปได้ ผมจึงไม่เอะใจนาน สักพักผมก็เห็นว่าพี่เดือนเล่นผ่านมาได้ในสภาพเกือบปางตาย

“ยาก...”

“พี่เล่นรอบแรกแล้วชนะมาได้ก็เก่งมากแล้วครับ” ผมหัวเราะ พี่เดือนถอยให้ผมเล่นต่อ ผมจึงจัดเต็มแพ้รอบที่สี่ ซึ่งถือว่ามาไกลมากพอสมควร หลังจากนั้นก็ชวนพี่เดือนไปดูกลุ่มผู้หญิงเล่นเกมเต้นกันแถวหน้าทางเข้า ผมไม่เคยเล่นเกมเครื่องนี้เพราะผมไม่ใช่สายเต้นพลิ้วหรือเต้นโคฟเวอร์ ดังนั้นมันก็คงยากเกินไปที่ผมจะพาเขาเล่นได้ จนสายตาผมเหลือบแทนเครื่องเกมตีกลองที่วางอยู่ตรงมุมเสาต้นหนึ่ง ผมจึงลากพี่เดือนที่กำลังมองผู้หญิงเต้นให้ออกมา

“สมัยเด็กๆผมชอบเจ้าเครื่องนี้นะ ตีทีกลองแทบพัง” ผมยื่นไม้ให้พี่เดือนไป “เล่นสองคนในครั้งเดียวได้ ผมให้พี่เลือกเพลงเลย”

พี่เดือนยืนมองผมเลือกเพลงจนเขาบอกให้หยุดตรงเพลงโดราเอมอนเวอร์เก่า  พลางอธิบายไปด้วยว่าถ้าตีตรงกลางมันจะเป็นการตีสีแดง ถ้าตรงขอบจะเป็นสีฟ้า พี่เดือนก็พยักหน้าเข้าใจอีกครั้งก่อนที่ผมจะตีตรงกลางเพื่อเริ่มเกม

ช่วงแรกๆผมทำได้ค่อนข้างดีแต่พี่เดือนแย่หน่อยเพราะไม่คุ้น ผ่านไปถึงกลางเกมพี่เดือนจึงเริ่มรู้จังหวะแล้วตีเป็นจังหวะมากขึ้น สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายชนะ รอบต่อมาผมเลือกเพลงอนิเมะที่กำลังดังช่วงนี้ ผมเกือบตาลายเพราะโน๊ตที่วิ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ ส่วนรุ่นพี่ข้างๆผมมองหน้าจอค้างเพราะไม่ทัน

“กุมภ์เลือกเพลงยากมาให้พี่แล้ว..” จบเกมพี่เดือนก็สะพายกระเป๋าตัวเองแล้วเดินดูรอบๆ เขามองไปที่ตู้คีบตุ๊กตาที่มีตุ๊กตาปลาตัวเล็กๆอยู่ข้างใน “เดี๋ยวพี่มานะ”

ว่าแล้วพี่เดือนก็ตรงไปที่ตู้คีบ เขาใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็กลับมาพร้อมกับปลาสีเขียวขนาดเท่าแขน

ไม่ยักกะรู้ว่าพี่เขาชอบตุ๊กตา

“พี่ให้นะ” พี่เดือนยืนเจ้าปลาเขียวมาตรงหน้าผมพร้อมกับยิ้มบางๆ

“ทำไมครับ? ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้พี่เลย”

“กุมภ์นั่งดูหนังเป็นเพื่อนพี่ แถมยังพาพี่มาเล่นเกมที่ไม่ได้แตะมานานมากแล้วอีก พี่ไม่รู้จะตอบแทนยังไงดีน่ะสิ”

“แค่ข้าวที่พี่เลี้ยงก็เพียงพอแล้วครับ” ผมดันมือพี่เดือนที่ถือปลาให้ออกไป “พี่เก็บเอาไว้เถอะ”

“กุมภ์เอาไปเถอะ ถือว่าเป็นของขวัญจากรุ่นพี่คนนึงแล้วกัน” พี่เดือนยัดเจ้าปลาใส่มือผมโดยไม่ฟังผมสักคำ “พี่ไปก่อนนะ แล้วเจอกัน”

ว่าแล้วเขาก็รีบวิ่งหนีไปทันที ผมที่ตามเขาไม่ทันก็ได้แต่หอบหายใจตรงหน้าร้านหนังสือชั้นสอง พอเริ่มหายใจทั่วท้องผมก็พลิกตุ๊กตาไปมา มันเป็นตุ๊กตาธรรมดาๆที่ขายเป็นโหลสำหรับเอามาใส่ตู้คีบ แต่ทำไมผมถึงได้กลิ่นน้ำหอมพี่เดือนติดเต็มไปหมดกัน..พี่เดือนไม่ได้ใส่น้ำหอมกลิ่นแรงขนาดถึงขั้นฉุน

เอาเถอะ..ถือว่าเป็นของขวัญอย่างที่พี่เดือนว่ามาก็ได้

 

คืนวันนั้นผมวางปลาข้างๆหมอนตัวเองแล้วหลับเป็นตาย..

ผมฝันว่าผมกำลังยืนอยู่ที่ไหนสักแห่งที่เหมือนจะไม่ใช่ในประเทศไทย มันเป็นทิวเขายาว มีแม่น้ำสายใหญ่ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ผมที่ใส่เสื้อหนากำลังถือกล้องถ่ายรูปอยู่ สักพักก็มีคนเดินเข้ามากอดผมจากด้านหลังแล้วชี้ไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง บอกว่าพวกเราจะนั่งกินข้าวด้วยกัน ผมหัวเราะแล้วหันหน้าไปเพื่อจะมองหน้าคนนั้นให้ชัดๆ

ซึ่งเขาคนนั้นก็คือ---

“โอ๊ย!”

ผมสะดุ้งตัวขึ้นมากลางดึกเพราะอะไรสักอย่างตกมาใส่หัวผม มองหาสักพักก็รู้ว่าไอ้หนังสือวิชาสังคมที่วางไว้ตรงชั้นวางของบนหัวเตียงมันร่วงลงมา

กำลังเข้าได้เข้าเข็มอยู่แล้วเชียว!

ผมระบายอารมณ์กับปลาโง่ๆที่อยู่ข้างหมอนตำแหน่งเดิมด้วยการเอามันทุบกับหนังสือไปมา พอจำได้ว่านี่เป็นของพี่เดือนผมก็หยุดมือทันที เขาให้มาเป็นของขวัญไม่ใช่ที่ระบายน้ำโหนะเฮ้ย

...

จะว่ายังไงดี พอเห็นปลาตัวนี้แล้วก็อดนึกถึงหน้ารุ่นพี่ไม่ได้สักนิด เจอกันไม่กี่ครั้ง ส่วนใหญ่ผมก็เป็นฝ่ายชวนคุยก่อนด้วย แต่ท่าทีพี่เดือนก็ไม่ได้รำคาญอะไรผมอีก เอาไปเอามาวันนี้ผมกับพี่เดือนก็มานั่งดูหนังด้วยกัน เล่นเกมด้วยกันเสียแล้ว

ให้ตายสิ ผมกำลังคิดถึงพี่เดือน

“โอย...เป็นบ้าอะไรของเราเนี่ย...” ผมโน้มตัวลงกับหมอนอีกครั้ง เหลือบมองปลาที่ยังอยู่ในตำแหน่งเดิมแล้วก็คว้ามันมากอดเอาไว้

ไม่ได้คิดถึงพี่เดือนสักหน่อย ก็แค่อยากเจอหน้าเท่านั้นเอง...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:10:40 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ค่อยๆไกล้ชิดกันไป กว่าจะรู้ตัว ถอนใจไม่ออกกันซะแล้ว อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 4

 

เดือน’s talk

 

รุ่นน้องที่ชื่อว่ากุมภ์นั้นทำให้ผมแปลกใจได้เสมอ

วันแรกที่พวกเราเจอกัน น้องวิ่งเข้ามาคืนปากกาที่ผมทำตกให้ ตอนนั้นผมคิดว่าเป็นเพียงแค่คนที่เข้ามาแล้วก็จากไปอย่างคนอื่นๆ

แต่หลังๆมันไม่ใช่

ผมเจอกับน้องบ่อยขึ้น ล่าสุดก็ที่ห้าง ผมเห็นเขากำลังยืนทำหน้าคิดหนักอยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่น ผมที่กำลังจะลงบันไดเลื่อนเลยทักไปก่อน พอเห็นสีหน้าน้องบ่งบอกว่าเขาอยากกินอาหารญี่ปุ่นก็อดไม่ได้ที่จะเลี้ยง กระนั้นน้องก็ยังคงตั้งใจปฏิเสธจะจ่ายเอง ผมจึงอ้างว่าเพราะผมเป็นผู้ใหญ่กว่า ให้ผู้ใหญ่เลี้ยงไป

ระหว่างที่รออาหาร กุมภ์เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเสียก่อนว่าปกติแล้วผมเรียนพิเศษวิชาอะไรบ้าง ผมตอบตามความจริงไป จนน้องเริ่มดูหงุดหงิดแล้วบ่นผมไม่หยุดเรื่องเรียนหนัก แต่เขาก็บอกว่าให้ผมลองไปทำกิจกรรมอย่างอื่นเช่นการถ่ายภาพ แถมยังเล่าด้วยว่าพ่อกับแม่ของเขามีสตูดิโอถ่ายภาพอยู่ในเมือง

พออาหารมา ผมก็ก้มหน้ากินอย่างเดียว ถึงอย่างนั้นก็เหลือบมองรุ่นน้องเป็นระยะ กุมภ์เวลาที่ตักน้ำแกงกะหรี่ราดข้าวแล้วมองด้วยสายตาเป็นประกายด้วยความถูกใจนั้นมันช่างดึงดูด ถ้าให้ผมอธิบายตามที่ผมเห็น กุมภ์เป็นเด็กผู้ชายผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าออกหวานนิดๆ จมูกไม่ได้โด่งเด่นแต่ริมฝีปากสีชมพูเนื้อกับตากลมสวยช่วยขับให้บุคลิกดูน่าสนใจ

ออกมาจากร้านอาหาร ผมที่ยังไม่อยากจะกลับไปบ้านก็ได้เอ่ยปากชวนกุมภ์ไปดูหนังแล้วก็ปล่อยให้รุ่นน้องออกค่าหนังให้ หนังที่พวกผมนั่งดูนั้นไม่เชิงว่าเป็นหนังรักอย่างที่กุมภ์บอก มันออกจะดราม่าและสะท้อนสังคม เนื้อเรื่องเกี่ยวกับชายหญิงคู่หนึ่งที่รักกันแต่สุดท้ายก็ต้องแยกจาก มารู้อีกทีฝ่ายหญิงก็แต่งงานมีลูกไปเสียแล้ว เพื่อนสนิทของพระเอกก็เข้ามาเตือนสติห้ามไม่ให้ฆ่าตัวตายจนกระทั่งมาเปิดเผยความจริงว่าเพื่อนสนิทคนนั้นชอบพระเอกอยู่ ทำให้เรื่องนี้จบหักมุมแบบที่ไม่มีใครคาดถึง

หนังจบผมก็เดินตามกุมภ์ออกมาอย่างงงๆและเมื่อได้ยินสิ่งที่หญิงวัยกลางคนสองคนพูดกันหน้าโรง ก็ทำให้ผมหน้าชาไปทันที

‘ฉันละนึกว่าเรื่องนี้จะเป็นหนังรักหวานๆซะอีก แต่ดันมาเป็นหนังเกย์ไปได้ เพศเดียวกันรักกันได้ยังไง ขยะแขยง’

‘สาธุว่าขอให้ฟ้าผ่า’

เหมือนโดนตบหน้าด้วยคำพูด เพศเดียวกันแล้วทำไมถึงรักกันไม่ได้ ทำไมเพศเดียวกันจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ทำไมเพศเดียวกันคบกันแล้วมันต้องผิดผี

ผมมีความลับที่ไม่เคยบอกใครแม้แต่ครอบครัวตัวเองว่าผมเป็นเกย์

ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหนหรืออย่างไร มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ผมชอบรุ่นพี่คนหนึ่งตอนอยู่ชั้นม.2 พี่คนนั้นอายุสิบเจ็ด เป็นพี่ที่มาแนะนำโรงเรียนนี้ให้กับผม หน้าตาดี มีเสน่ห์ ถึงเขาจะไม่ได้โดดเด่นมากแต่ความใจดีกับลักษณะคำพูดที่เขาพูดลงท้ายครับตลอดทำให้ผมเริ่มชอบเขาขึ้นมา สุดท้ายผมก็ได้เบอร์ติดต่อของเขาและคุยกันเรื่องเรียนมาตลอดจนกระทั่งผมรู้ว่าพี่เขามีแฟนแล้ว ทันใดนั้นโลกของผมก็เหมือนกับว่ามันสลายลง

มันเจ็บปวดที่รู้ว่าชอบคนมีเจ้าของ แต่ต่อมาผมก็ดีขึ้นเพราะผมไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกเนื่องจากผมต้องเรียนพิเศษให้มากกว่าเดิม พยายามไม่ทำตัวให้ฟุ้งซ่าน และผมกลัวว่าแม่จะรู้เรื่องผมเป็นเกย์ ท่านย้ำเสมอเรื่องนี้เพราะท่านมองว่ามันผิดปกติ มันเป็นอาการทางจิต ทุกครั้งที่ออกไปนอกบ้านด้วยกันแล้วท่านเห็นคู่รักเพศเดียวกันก็จะหันมาย้ำกับผมและน้องนอกสายเลือดเสมอว่าอย่าเป็นแบบนั้น

แต่ผมเป็นไปแล้ว..

ผมไม่กล้าพอที่จะบอก ตัวของผมในอดีตหวาดกลัวพวกท่านมากกว่าที่คนอื่นจะคิดถึง ถึงจะไม่ใช่การทรมานทางร่างกายแต่สำหรับจิตใจของผมในวัยเด็กนั้นมันบอบช้ำยิ่งกว่าผลไม้นิ่มตกพื้นจนเละ ผมไม่ได้โตมาในสังคมที่ควรจะอยู่ ผมไม่ได้เล่นกับเพื่อนเหมือนคนอื่น ชีวิตผมมันอยู่ในกรอบมาโดยตลอด

ผมกำลังนึกถึงคำพูดของแม่ที่ไม่อยากมีลูกบ่ายเบี่ยงทางเพศจนกุมภ์ร้องใส่หูผมเรียกสติให้กลับสู่ร่าง ผมจึงแสร้งทำเป็นพูดถึงช่วงประถมที่ผมหนีออกมาเล่นเกมกับเพื่อนจนทางบ้านจับได้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้เล่นอีก กุมภ์จึงเป็นฝ่ายชวนผมไปเล่นเกมที่ชั้นสาม เขาพาผมเล่นเกมต่อสู้ที่ผมเคยเห็นตามห้างอื่นๆ ฝีมือไม่เลว และเขาก็โยนมาให้ผมเล่น ด้วยความที่ผมไม่เคยทำให้เงอะงะอยู่บ้าง

แต่พอโดนโจมตีเข้าเยอะๆ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจขึ้นมา

อาการอย่างนี้เรียกว่าหัวร้อนรึเปล่า?

ผมไม่ใช่คนใจร้อน กลับอยากจะอยู่คนเดียวเงียบๆจนคนอื่นคิดว่าผมสันโดษ ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบสังคมที่คนพลุ่กพล่าน ไม่ชอบไปเป็นกลุ่มใหญ่เกินห้าคน ถ้าทำได้ก็อยากจะอยู่คนเดียวตลอดชีวิตเพราะผมอึดอัดกับการที่ต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นนานๆ

ซึ่งมันไม่ใช่กับรุ่นน้องคนนี้

ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับกุมภ์ ราวกับว่าเขามีพลังดึงดูดพิเศษบางอย่างที่ทำให้เป็นคนน่าคบหาด้วย เขามักจะยิ้มให้คนอื่นเสมอไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหน แต่บางส่วนของเขาก็ยังคงมีความเป็นเด็ก คำพูดคำจาสั่งสอนที่ทำให้ผมตกใจได้หลายรอบ มันไม่ได้น่ารำคาญ ผมชอบด้วยซ้ำเวลาที่มีใครมาใส่ใจในส่วนที่ไม่เคยมีใครพูดถึงของผม

กุมภ์จับได้ตั้งแต่แรกๆว่าผมเหนื่อยกับชีวิตการเรียน กุมภ์รู้ว่าผมเป็นคนกินเปรี้ยวจัดจนต้องสั่งให้ลดเปรี้ยว กุมภ์รู้ว่าผมมักจะไม่สบายใจถ้าเกิดพูดถึงเรื่องที่ไม่ควรพูดถึงและเงียบเปลี่ยนประเด็น เขารู้จังหวะว่าตอนไหนควรจะทำอะไรและควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร

หลังจากที่เขาพาผมเล่นเกมเสร็จ ผมเห็นตู้คีบตุ๊กตาที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ผมอยากจะให้ของขวัญตอบแทนที่วันนี้เขาพาผมเปิดโลกที่แคบขึ้นมาอีกนิดให้ผม จึงเดินไปหยอดเหรียญคีบปลาสีเขียวให้เพราะผมเห็นว่าเหมือนเจ้าตัวดี

ปลาที่มีอิสระในการว่ายไปที่ไหนก็ได้ ได้เจอกับโลกทะเลที่กว้างใหญ่ไม่เหมือนผมที่อยู่ในกรงเหมือนนก

สีหน้าตอนกุมภ์(ถูกบังคับ)รับตุ๊กตาปลาจากผมผมดูไม่ออกหรอกจนผมต้องรีบหนีมาหลบอยู่ในร้านหนังสือ เขาหอบเหนื่อยอยู่พักหนึ่งแล้วเขาก็ยิ้มให้ตุ๊กตาปลาของผม

รอยยิ้มของกุมภ์นั้นเป็นยิ้มที่สว่างไสวที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา มันเป็นยิ้มที่ละมุน บรรยากาศรอบๆตัวเขาดูเหมือนจะอบอุ่นตามขึ้นไปด้วย

และมันทำให้ผมเผลอยกยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว

 

เช้าวันจันทร์ ผมตื่นขึ้นมาตอนตีห้าเพื่อมาออกกำลังกายตามตารางชีวิตประจำวัน จากนั้นก็ลงมาหาอะไรกิน ท่าทางวันนี้ผมต้องกินแต่มะเขือเทศลูกไปเสียแล้วเพราะในตู้มันไม่มีอะไรเลย

เห็นมะเขือเทศก็นึกถึงกุมภ์ที่เคยบอกว่าเกลียดมะเขือเทศเข้าไส้

ผมหัวเราะและส่ายหัวกัดผลสีแดงฉ่ำน้ำเข้าปาก ผมติดรสเปรี้ยวมาแต่เด็ก อะไรที่สามารถกระตุ้นร่างกายให้สดชื่นได้ก็คงเป็นผลไม้ที่รสเปรี้ยวจัดหรือลูกอมรสมะนาวเท่านั้น

ผมขับรถที่ครอบครัวซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดออกจากบ้านประมาณหกโมงครึ่ง ที่ออกจากบ้านแต่เช้าก็เพราะว่าผมมักจะแวะไปที่สวนสาธารณะเพื่อนั่งฟังเสียงธรรมชาติก่อนเสมอ

บางทีนี่คงเป็นงานอดิเรกอย่างเดียวที่ผมมี

ผมไม่มีสิ่งที่ชอบทำเป็นพิเศษ วาดรูป ดูหนัง หรือฟังเพลงก็ไม่ค่อยทำ สิ่งที่ผมทำในแต่ละวันคือการอ่านหนังสือ เรียน และการกลับมาบ้านเพื่อทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้ ผมไม่รู้ว่ามันวนเวียนอยู่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผมก็ทำมันจนชิน คนอื่นว่ามันจะฝืนร่างกายผมแต่ผมก็ชินกับขีดจำกัดที่ถูกทะลุไปแล้ว

“หืม?”

ผมเห็นร่างคนตัวเล็กกำลังเดินถือกล้องถ่ายอะไรอยู่แถวพุ่มไม้ เขายกยิ้มให้กับรูปในกล้องแล้วเดินต่อมาเรื่อยๆจนเห็นผมเข้า

“พี่เดือน?” เขาดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมนั่งอยู่ตรงม้านั่งเก่าๆกลางสวนสาธารณะ “สวัสดีครับ ผมไม่นึกว่าจะมาเจอพี่ที่นี่เลย”

ผมเองก็ไม่นึกว่าจะเจอคนอายุน้อยกว่าที่นี่เหมือนกันโดยเฉพาะเช้าๆแบบนี้ เขาอยู่ในชุดนักเรียนถูกระเบียบ สายกล้องคล้องอยู่ตรงคอ ใบหน้ามีเหงื่อนิดหน่อย “มาทำอะไรที่นี่เหรอ?”

“ผมมาถ่ายรูปบรรยากาศสวนสาธารณะตอนเช้าครับ พอดีว่าผมไปเห็นหัวข้อแข่งถ่ายภาพใหม่ เลยจะลองลงแข่งดู” กุมภ์หันจอกล้องมาให้ผม “พี่ว่ามันดูโอเครึเปล่าครับ?”

“พี่ก็ดูไม่ค่อยออกหรอกว่าแสงอะไรมันเป็นยังไง แต่ถ้าเป็นตามความรู้สึกก็คงสวยดีนะ มันดูมีความหมาย”

“ผมตั้งใจจะสื่อว่าภายในเมืองใหญ่มันก็ยังมีความสงบอยู่” เขาหันไปมองเหล่าบรรดาตายายสูงอายุยืนออกกำลังกายที่ใต้ต้นไม้อีกต้น “ทุกครั้งที่ผมเห็นบรรยากาศแบบนี้ มันทำให้จิตใจผมไม่ฟุ้งซ่าน ได้ปลดปล่อยความกดดันจากชีวิตประจำวัน ยิ่งถ้าได้หลับตาแล้วมีลมเย็นๆพัดมานะ มันยิ่งทำให้ผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้นจริงๆ”

ผมมองตามคนผมสีน้ำตาลที่ตอนนี้ใจลอยไปกับต้นไม้ใหญ่

ได้ปลดปล่อยความกดดัน..

ทำให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน..

“จริงสิพี่เดือน” กุมภ์เหมือนรู้สึกตัวเองอีกครั้ง “ไหนๆก็อยู่นี่กันแล้ว พี่ลองมาจับกล้องถ่ายรูปของผมดูมั๊ยครับ?”

“จะดีเหรอ ถึงพี่จะไม่เคยใช้กล้องแต่ก็พอรู้ว่าเลนส์มันแพงแค่ไหน..”

“โธ่พี่ ไม่ลองไม่รู้นะครับ” กุมภ์ถอดสายคล้องคอออกแล้วเดินเข้ามาคล้องคอให้ผมแทน แต่ระยะที่พวกผมยืนนั้นมันใกล้ชิดเกินไปจนผมรู้สึกอันตรายขึ้นมา

ใจตัวเองที่อันตราย

ผมของกุมภ์นั้นมีกลิ่นเย็นๆสบายจมูกติดออกมาเพราะอาจจะมาจากยาสระผม จนทำให้อยากจะก้มลงไปสูดดมให้เต็มปอด

“ตรงนี้เรียกว่าปุ่มปรับค่า iso ถ้าเรา...” กุมภ์อธิบายอะไรสักอย่างเข้าหัวผม จำได้บ้างจำไม่ได้บ้างเพราะสิ่งที่ผมสนใจก็คือเด็กผู้ชายที่เปลี่ยนมายืนเบียดอธิบายการใช้กล้องกับผม ยิ่งใกล้กันเท่าไหร่ผมก็ยิ่งได้กลิ่นหอมมาจากตัวเขามากเท่านั้น “ส่วนตรงนี้ปรับรูรับแสง...พี่เดือนฟังผมอยู่รึเปล่าครับ?”

“อะ..ฟังๆ” ก็แค่นิดหน่อย “พี่ไม่รู้ว่าพี่ควรถ่ายอะไรดีก่อน..”

“พี่ลองถ่ายใบไม้แห้งบนโต๊ะนี่ก่อนก็ได้ครับ ค่อยๆเรียนเรื่องการปรับโฟกัสแบบ manual ไปก่อน ความจริงแล้วพี่จะใช้โหมดออโต้ได้นะ แต่ผมว่ามันไม่ค่อยมีมิติมากเท่าเราต้องมาปรับเอง ไม่ต้องรีบนะครับ ค่อยๆหมุนจนเราคิดว่าสิ่งที่เราเล็งมันชัดที่สุด” กุมภ์วางใบไม้แห้งใบหนึ่งบนโต๊ะไม้ “ค่อยๆหมุนแบบนั้นแหละครับ ดี..ดี”

ผมค่อยๆหมุนโฟกัสตามที่กุมภ์ว่าจนคิดว่ามันน่าจะชัดที่สุดแล้ว จึงกดปุ่มถ่าย กุมภ์ขอดูและยิ้มพอใจก่อนที่จะบอกว่า “แสงไม่ได้ครับ ถ่ายใหม่”

ผมถ่ายใหม่ตามที่กุมภ์ว่าซ้ำแล้วซ้ำอีก จากเด็กผู้ชายที่ดูไม่ค่อยเครียดกับเรื่องนี้กลายเป็นครูที่จริงจังในการถ่ายภาพของผมไปเสียแล้ว น้ำเสียงดุปนไม่พอใจนิดๆของเขาย้ำให้ผมต้องกดชัดเตอร์จนเกร็งไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สนุกมากที่ได้ลองถ่ายรูปใบไม้แห้งนี่จนถึงเวลาเจ็ดโมง

“ถึงเวลาต้องไปแล้วนี่นา งั้นเดี๋ยวผมขอกล้องคืนนะครับ จะต่อรถสายไปที่โรงเรียน”

“เดี๋ยว”

หมับ

ผมรั้งแขนน้องเอาไว้โดยที่ผมไม่ทันคิด พวกเราสองคนจ้องหน้ากัน ต่างคนต่างเงียบไม่ได้พูดอะไร

ทำไมผมต้องรั้งกุมภ์เอาไว้ด้วย...ผมไม่เข้าใจตัวเอง แต่มือมันไวกว่าความคิดของผมเสียอีก

“..เอ่อ..ไหนๆพี่ก็จะไปโรงเรียนแล้วด้วย นั่งรถพี่ไปด้วยกันเลยเถอะ” ผมชวนกุมภ์นั่งรถที่ผมขับมา ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะชวนอยู่แล้ว แต่ในเมื่อสถานการณ์มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็คงต้องแถไปก่อน “พี่จอดเอาไว้ข้างๆนี่ ไปกับพี่นะจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอรถ”

“แต่--”

“นะครับ”

 

ตลอดทางที่ผมขับมา ก็ไม่ได้เปิดปากพูดกับกุมภ์อีกเลย

กุมภ์นั่งก้มหน้าเล่นโทรศัพท์แล้วเบี่ยงตัวไปทางซ้ายที่หลังรถ ส่วนผมก็นั่งขับไปโดยที่นึกถึงสิ่งที่ผมพูดเอาไว้ก่อนที่จะมาโรงเรียน

ให้ตายสิ ผมพูดคำว่านะครับออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

ว่าแล้วก็อยากจะกระโดดแม่น้ำซะให้สิ้นเรื่อง

อาย

อายมากๆที่จู่ๆก็หลุดคำอ้อนกับเด็กอายุน้อยกว่าแบบนี้

“พี่เดือนครับ ถึงโรงเรียนแล้วนะ..” กุมภ์พูดเสียงเบามาจากเบาะหลังให้ผมสะดุ้งตกใจนิดๆแต่ไม่หลุดมากเกินที่เขาจะจับได้ “พี่ให้ผมลงหน้าโรงเรียนก็ได้ ผมจะซื้อหมูปิ้งไปให้เจ้าฝุ่นก่อน”

“เดี๋ยวพี่รอกุมภ์ก็ได้ ไม่นานหรอก เข้าไปพร้อมกันเลย”

“จะดีเหรอครับ”

“ไม่ใช่เส้นขาวแดง จอดแป๊บเดียวไม่เป็นไรหรอก”

“ก็ได้ครับ” กุมภ์เปิดประตูรถออกไปซื้อหมูปิ้งไม้ละห้าบาทประมาณสามสี่ไม้แล้วกลับเข้ามาในรถอีกครั้ง “เจ็ดโมงสิบ..พี่มาเช้าแบบนี้ตลอดเลยเหรอครับ?”

“อืม”

“ปกติผมจะมาถึงประมาณเจ็ดโมงยี่สิบกว่าๆได้ ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” กุมภ์ยกมือไหว้ผมทำให้ผมแทบจะยกมือปฏิเสธไม่ทัน

“ไหว้พี่ทำไม ไม่ต้องไหว้หรอก”

“พี่อายุมากกว่าผมนะ” กุมภ์ชักสีหน้าให้ผม มันเป็นสีหน้าดุๆที่ไม่ได้ดูดุเลยสักนิด กลับน่าเอ็นดูเสียอีก “จะให้ผมไม่ไหว้คนที่มีบุญคุณได้ไง”

“กุมภ์สอนพี่ใช้กล้องก็เจ๊ากันแล้ว” ผมจ้องตาเขาแล้วกุมภ์ก็เป็นฝ่ายหันหนีก่อน พอเขาเปิดประตูรถลงผมก็ลงเดินตามเขา ยิ่งเขาเดินเร็ว ผมก็เร็วตาม

“พี่เดือนจะเดินตามผมทำไมครับ” นั่นไง เขาหันมาชักสีหน้าไม่พอใจใส่อีกแล้ว

“ก็กุมภ์บอกว่าจะเอาหมูปิ้งไปให้เจ้าฝุ่น พี่ไปด้วยไม่ได้เหรอ?”

“....” กุมภ์ไม่ได้พูดอะไรนอกจากถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ “บอกแต่แรกก็จบมั๊ยครับ”

“หึหึ” ผมส่ายหัวกับกุมภ์แล้วเดินตามหลังเขาต่อ พอถึงหลังโรงเรียนกุมภ์ก็เรียกหมาปอมตัวเล็กให้เข้ามากินหมูปิ้ง

“นี่ของพี่เดือน พี่ต้องค่อยๆฉีกให้มันเป็นชิ้นเล็กๆนะครับ กลัวจะติดคอ” กุมภ์ยื่นไม้หมูปิ้งมาให้ผม “ผมมีทิชชู่อยู่ ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องไปล้างไกลถึงห้องน้ำตรงนู้น”

ผมนั่งยองกับพื้น ค่อยๆฉีกเนื้อหมูหมักนมสดนุ่มๆให้หมาฝุ่นกิน ท่าทางเวลาได้อาหารของมันดูดีใจราวกับว่าได้รับของมีค่าที่สุดในชีวิต จนกระทั่งหมูในไม้ผมหมด ก็เปลี่ยนมาดูรุ่นน้องให้อาหารแทน

กุมภ์ยิ้มเป็นธรรมชาติอีกแล้ว ไหนจะทั้งยังนั่งเล่นกับเจ้าฝุ่นต่ออีก อดทำให้ผมยกโทรศัพท์มาแอบถ่ายเด็กร่าเริงคนนี้ไม่ได้ ถ่ายไปได้สองสามรูปก็เก็บลงแล้วแกล้งทำเป็นมองเขาเล่นกับหมาต่อไปจนได้ยินเสียงของใครเดินเข้ามา

“พี่เดือนใช่มั๊ยคะ?”

“..ครับ?”

“คือว่า..หนูอยู่ชั้นม.5ค่ะ หนูมีเรื่องอยากจะบอกพี่”

คงจะเป็นเรื่องสารภาพรักอีกล่ะสิ..

“พอดีว่าเพื่อนหนูเขาฝากจดหมายมาให้ค่ะ...” ว่าแล้วเธอก็ยัดซองจดหมายสีชมพูอ่อนใส่มือผมแล้วเดินหนีไปทันที ทิ้งให้ผมงงเรียงประโยคที่ได้ยินเมื่อสักครู่

ผมค่อยๆเปิดซองจดหมายในมือแล้วก็พบกับคำสารภาพรักที่เขียนมา ส่วนใหญ่เป็นการยกย่องผมเสียมากกว่า บอกว่าผมดีอย่างนู้นอย่างนี้ น่านับถือ น่าค้นหา มีเสน่ห์ อยากเป็นคนรู้ใจ ซึ่งผมก็พับเก็บลงใส่กระเป๋ากางเกงไม่สนใจ ถ้าเด็กพวกนั้นมองมาจากที่ไหนสักที่ก็คงจะรู้กลายๆแล้วว่าผมปฏิเสธ

นักเรียนผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เคยสารภาพรักกับผมจะบอกว่าผมหยิ่ง แต่ความจริงแล้วผมไม่ได้ชอบผู้หญิงถึงไม่สนใจ ส่วนผู้ชายคงไม่มีใครกล้าพอที่จะเดินเข้ามาแล้วบอกว่าชอบผมหรอกในเมื่อหลายคนยังคงมองว่าการชอบเพศเดียวกันมันผิดมนุษย์และเป็นเรื่องน่าอาย

“..พี่เดือนเหม่ออีกแล้ว” กุมภ์เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับเอาขวดน้ำเย็นๆมาจากไหนไม่รู้ว่าแตะแก้ม “เหม่อบ่อยๆไม่ดีนะครับ”

คงจะมีแค่เพื่อนสนิทกับกุมภ์เท่านั้นที่คอยดุผม คอยดูแลผม โดยเฉพาะกุมภ์ที่เห็นผมเกือบจะครบทุกด้านแล้ว ระยะเวลาสั้นๆที่เจอกันแต่ถ้าได้พบกันตลอดก็คงพอจะรู้นิสัยจริงๆผมบ้าง

ผมไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ ผมไม่ใช่คนมีเสน่ห์ ผมเป็นน่าเบื่อคนหนึ่งที่ชีวิตมีแต่การเรียนเท่านั้น

คงไม่มีทางที่จะมีใครมาสนใจตัวตนจริงๆกันหรอก

“...รู้มั๊ยครับว่าเวลาที่พี่เหม่อมันทำให้ผมใจไม่ดีเอาเลย” กุมภ์ทิ้งตัวลงข้างๆผม มองเจ้าฝุ่นที่นอนกลิ้งกลางแดดอ่อนๆ "อย่าหาว่าผมอย่างนู้นอย่างนี้นะครับ ทุกครั้งที่พี่เหม่อ สายตาพี่มันดูเลื่อนลอย พี่กำลังคิดเรื่องอะไรสักอย่างที่มันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพี่และพี่ไม่กล้าบอกหรือปรึกษาใครเพราะพี่ไม่มั่นใจว่าเขาจะยอมรับได้รึเปล่า"

“...”

“ถ้าพี่มีอะไรพี่ก็บอกผมมาเถอะครับ สากกะเบือยันเรือรบ ร้อยแปดเจ็ดย่านน้ำก็บอกมา ไร้สาระแค่ไหนก็บอกมา ยังไงผมก็คงลืมไปอยู่ดี ให้พี่ได้บ่นให้ผมฟังเถอะ” กุมภ์เท้าคางโดยใช้ข้อศอกตัวเองวางบนหน้าขา หันมาทางผมแล้วยิ้มให้

ใจของผมมันเต้นไม่เป็นจังหวะทุกรอบที่เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนี้

ถามจริงเถอะว่านี่คิดจะฆ่าคนด้วยรอยยิ้มรึยังไง

“ไม่มีอะไรหรอก จริงๆนะ...” ผมยิ้มแห้งๆให้เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ กุมภ์ทำหน้าไม่เชื่อให้ผม แต่เขาก็ไม่ได้ขยั้นขยอกจะเอาคำตอบ “...เอ่อ...พี่ไปก่อนดีกว่า”

“ครับ..พี่เดือน! ระวังป้ายตรงนั้--”

โครม!

“อุ...” ผมลูบหน้าผากตัวเอง ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นมายังส่วนที่กระแทกกับป้ายข้างทาง ผมหันซ้ายขวาก็ไม่เห็นใครเลยนอกจากกุมภ์ที่ยืนอยู่ที่เดิม แต่พยายามกลั้นขำเอาไว้

“อุบ...หึหึ...” กุมภ์น้ำตากำลังจะไหล จนกระทั่ง....”ไม่คิดว่าพี่เดือนจะมีมุมเป๋อๆนะครับ ฮ่าฮ่า”

เขาระเบิดหัวเราะออกมา เสียงไม่ได้ดังมาก แต่ก็คงเพียงพอทำให้ผมหน้าแดงจากความอายขึ้นมาได้

ดันมาหัวโขกกับป้ายต่อหน้ารุ่นน้อง!

หมดกัน

“...อึ่ก...” ผมรีบวิ่งหนีจากจุดนั้น แต่ก็โดนคนเด็กกว่าคว้าแขนเอาไว้จนเกือบจะเซไปด้านหลังตามแรง โชคดีที่ผมตั้งตัวทันเลยไม่ล้มไปทับน้อง

“พี่เดือน ไปห้องพยาบาลเถอะครับ โขกแรงใช่ย่อยเดี๋ยวจะบวมเอา”

ว่าแล้วเขาก็ไม่ฟังคำปฏิเสธผมลากไปหาครูห้องพยาบาลที่อึ้งๆว่าผมมาทำอะไรที่นี่ กุมภ์บอกไปว่าผมเหม่อเดินชนป้ายข้างทางจนครูกลั้นขำไม่อยู่เหมือนกุมภ์เมื่อครู่เป๊ะ ก่อนที่จะลงมือทายาดูอาการให้

“วันหลังพี่ต้องพกยาทาแก้บวมนะครับ” กุมภ์ยัดหลอดยาแก้บวมที่ได้มาจากครูห้องพยาบาลมายัดใส่มือของผม พลางพูดด้วยน้ำเสียงดุๆ “ถ้าพี่ใจลอยเดินเหม่อไปเรื่อยๆ วันไหนที่ผมไม่อยู่พี่ต้องเดินตกท่อแน่ๆ”

“...อืม” ผมไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้เพราะเขาจ้องตาผมไม่ห่าง สักพักก็เห็นญาติของผมเดินมาทางนี้

“เฮลโลคุณแม่ ทำไมถึงอยู่กับพี่เดือนได้ล่ะ?”

“ก็พี่เดือนดันเหม่อเดินชนป้ายเข้าให้ หน้าผากเกือบจะโน” นทีอ้าปากค้างแล้วมองมาที่ผม

“โหพี่เดือน ไอ้กุมภ์มันดุอะไรพี่ไปบ้างล่ะ?” นทีหัวเราะร่วน “เห็นอย่างนี้กุมภ์มันดุเก่งจนเป็นแม่อีกคนไปแล้ว ผมโดนมันดีดหน้าผากไปไม่รู้กี่รอบ”

ไม่นานหลังจากนทีพูดจบ เสียงออดเรียกเข้าแถวก็ดังขึ้นดึงความสนใจทุกคนไปหมด รุ่นน้องสองคนโบกมือลาผมไปเข้าแถวก่อน ส่วนผมก็ต้องตรงไปที่หลังเสาธงรอเตรียมเอกสารสำหรับพูดเรื่องของเช้าวันนี้ให้กับนักเรียนทุกคน

ผมไม่ได้เป็นประธานนักเรียนเพราะไม่ได้ลงสมัคร แต่มีคนเลือกให้ผมมาเป็นประชาสัมพันธ์ของประธานนักเรียนชุดนี้แทนด้วยเหตุผลที่ว่าผมพูดเก่ง นำเสนอดี ผมไม่ได้อยากทำเลยสักนิดแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ในเมื่อพวกเขาใส่ชื่อผมลงไปโดยไม่ขอก่อน จะโวยวายก็กลัวว่าเพื่อนจะไม่ชอบใจอีก จึงปล่อยเลยตามเลยไป

เมื่อเลิกแถว เพื่อนสนิทผมก็เดินสะพายกระเป๋าเข้ามากอดคอพร้อมกับถุงลูกอมรสเปรี้ยวยื่นให้

“เอามั๊ยวะ ปกติมึงกินนี่เป็นของเปรี้ยวไม่ใช่เหรอ?”

นี่คือศึก เพื่อนสนิทชายคนเดียวของผมที่ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนก็คอยอยู่เคียงข้าง ถึงผมจะเป็นเกย์แต่การที่เพื่อนคนนี้มาแตะต้องตัวผมก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอะไรนอกจากความร้อนที่มากขึ้นจนต้องผลักออกเบาๆ

“ร้อน”

“โธ่ ทำไมหวงเนื้อหวงตัวจัง เย็นนี้มีเรียนเหมือนเดิมไม่ได้ยกเลิกใช่มั๊ย?”

“ทำไม?”

“ว่าจะชวนมึงไปเตะบอลแมนๆกลางสนามตอนเย็น สาวๆนี่มามุงดูเต็ม วันหนึ่งมีผู้หญิงเดินมาถามกูด้วยว่ามึงเคยมาเล่นด้วยรึเปล่า?” ศึกยักคิ้วให้ผม “ใครๆก็ถามถึงมึงนะพ่อหนุ่มเนื้อหอม”

“มึงก็รู้ว่ากูไม่มีเวลาว่าง...” ผมอยากจะกลอกตาขึ้นฟ้า ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นทางเดินที่มีคนพลุ่กพล่าน “แล้วก็วันนี้กูไม่เอาลูกอมรสเปรี้ยวหรอก”

“ทำไมวะ?”

“พอดีมีคนสั่งให้ลดเปรี้ยว”ผมพูดขึ้นตอนที่ศึกยกขวดน้ำขึ้นมาดื่ม พอมันได้ยินอย่างนั้นมันก็สำลึกน้ำออกมาทันที

“ฮะ? มีคนสั่งให้มึงลดเปรี้ยว?!”

 “ทำไมอีกล่ะ?” ผมชักหน้าไม่พอใจให้ศึกที่ตอนนี้ทำหน้าอึ้งๆ ตาเบิกโผลงจนหมดความดูดี

“สาวที่ไหนสั่งให้มึงลด?! นี่มึงอุบอิบเรื่องมีคนคุยกับกูใช่มั๊ย?!”

“รุ่นน้องที่รู้จักบอกมา..”

“รุ่นน้องด้วย?! ระวังคุกด้วยนะเฮ้ย กูไม่เอาโอเลี้ยงไปให้นะ”

“มึงช่วยเลิกตื่นเต้นเกินเหตุก่อนได้มั๊ยสัด!”

ศึกรู้ว่าถ้าผมหลุดด่าคำหยาบออกมาเมื่อไหร่แสดงว่าผมรำคาญหรือว่าหงุดหงิด แต่สายตามันไม่ได้เงียบตามเพราะมันมีประกายของคำว่าอยากรู้อยากเห็นส่อออกมา

อยากเสือกนั่นแหละ...

“รุ่นน้องผู้ชายที่บังเอิญเจอกันบ่อยๆเขาเห็นกูกินรสเปรี้ยวจัดเลยแนะว่าอย่ากินเยอะมันจะปวดกระเพาะ”

“โห สั่งมึงได้ด้วย สุดยอด”

“วันนี้ก็ดุกูเรื่องเดินชนป้า--” เชี่ย เผลอหลุดปากเรื่องเดินชนป้ายที่หลังโรงเรียนจนได้ ไอ้ศึกมันมองที่หน้าผากผมแล้วจัดการแตะลงมาแรงๆ

“โอ๊ย!”

“เดินยังไงให้ชนวะ ไม่สิ ทำไมช่วงนี้มึงไม่ค่อยคีพลุคคุณชายเลยวะไอ้เดือน” ศึกหัวเราะ “ทายาแล้วรึยังล่ะพ่อคนซุ่มซ่าม”

“ทาแล้ว น้องพาไปห้องพยาบาล”

“มึงกับรุ่นน้องคนนั้นนี่ยังไงกันวะ มีการพาไปห้องพยาบาล มีการดุ”

“ก็ไม่อะไร”

“คำตอบดาราไอ้ห่า สนิทขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ไม่เท่าไหร่หรอก เจอกันเมื่อเสาร์ที่แล้วที่ห้างด้วยตอนจะซื้อหนังสือ” ศึกพยักหน้า “แปลกดีนะที่พอเจอน้อง ก็รู้สึกว่าอะไรๆในชีวิตมันเริ่มมีสีสันขึ้น..”

“หือ? ว่าไงนะ? ไม่ได้ฟัง?”

“ไม่มีอะไรๆ แค่บ่นเฉยๆ” หรือจะให้ตอบตามความจริงก็คือผมไม่รู้ตัวว่าผมพูดอะไรออกไปด้วยซ้ำ

ผมรู้เพียงแค่ว่ากุมภ์เหมือนกับแสงสว่างที่ส่องให้ผมเห็นสิ่งที่สดใสบนโลกนี้มากขึ้น

ไม่มีใครดุผมด้วยความเป็นห่วงแบบนี้มาก่อน

ไม่เคยมีใครสั่งให้ผมลดของเปรี้ยวมาก่อน

ไม่มีใครชวนผมเล่นเกมมาก่อน

ไม่มีใครชวนผมถ่ายรูปมาก่อน

กุมภ์ทำทุกอย่างที่ไม่มีใครให้ผมทำมาก่อน และเมื่อผมได้ลองทำ ผมก็รู้สึกสนุกไปกับมันด้วย

โดยเฉพาะรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจผมสั่นแรงเมื่อเห็น

หรือว่าผมจะเริ่มหวั่นไหวกับเด็กคนนี้เข้าเสียแล้ว?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:13:26 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
นั่นไงๆ หวั่นไหวแล้วซินะ
ก็น้องน่ารักใช่ไหมล่ะพี่เดือรฝน

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตรงนี้น่าจะเป็นเดือนรึเปล่าครับ เพราะนทีมาทักทีหลัง

“พี่นทีใช่มั๊ยคะ?”

“..ครับ?”

“คือว่า..หนูอยู่ชั้นม.5ค่ะ หนูมีเรื่องอยากจะบอกพี่”

คงจะเป็นเรื่องสารภาพรักอีกล่ะสิ..

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
ตรงนี้น่าจะเป็นเดือนรึเปล่าครับ เพราะนทีมาทักทีหลัง

“พี่นทีใช่มั๊ยคะ?”

“..ครับ?”

“คือว่า..หนูอยู่ชั้นม.5ค่ะ หนูมีเรื่องอยากจะบอกพี่”

คงจะเป็นเรื่องสารภาพรักอีกล่ะสิ..


โอ้ว ขอบคุณค่าที่บอก //กราบงามๆพร้อมกับกลับไปแก้

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 5

 

พี่เดือนเดินชนป้ายข้างทาง...

ผมจะจำวีรกรรมเป๋อๆของพี่คนดังคนนี้ไปตลอดชีวิต เหม่อมองอะไรอยู่ก็ไม่รู้ถึงทำให้ไปชนป้ายที่มันตั้งอยู่เฉยๆของมันอย่างนั้น แต่ที่สำคัญก็คือหน้าผากพี่เดือนเกือบจะโนจนต้องพาไปห้องพยาบาล ไม่รู้ป่านนี้จะบวมรึยัง

นทีเดินผ่านมาทางห้องพยาบาลและเมื่อเห็นญาติตัวเองกำลังโดนผมดุก็หันไปบอกว่าผมเป็นแม่

กูผู้ชายนะเฮ้ย!

“กูเพิ่งเคยเห็นพี่เดือนแบบเอ๋อๆก็วันนี้นี่แหละ” นทีมันหัวเราะในแถวขณะที่ฟังพี่เดือนกำลังพูดประกาศหน้าเสาธง ไม่มีใครสังเกตว่าหน้าผากพี่แกแดงๆเพราะแดดมันแรงมากจนต้องก้มหน้าลงไป “ปกติพี่เดือนคีพลุคเป็นผู้ดีจะตาย”

“กูก็เพิ่งเคยเห็นเนี่ยแหละ”

‘สำหรับกิจกรรมในสัปดาห์หน้านั้นจะเป็นกิจกรรมบูรณาการเรียนการสอนทุกสายชั้นทุกห้อง ขอให้ส่งรายชื่อและกิจกรรมที่จะจัดภายในวันพุธนี้ และขอให้หัวหน้าห้องทุกห้องรับเอกสาร...’

ผมฟังสิ่งที่พี่เดือนประกาศออกมา ผมพอจะรู้มาจากหัวหน้าห้องของผมแล้วบ้างว่าสัปดาห์หน้านั้นจะมีกิจกรรมในวันศุกร์ ทุกห้องจะต้องจัดซุ้มหรือโซนต่างๆตามที่วางแผนเอาไว้ ซึ่งพวกเราก็คุยกันแล้วก็ตัดสินใจได้ว่าจะเปิดซุ้มขายขนมและเครื่องดื่มที่รับมาจากศูนย์อบรมผู้พิการที่ครอบครัวเพื่อนของผมทำงานอยู่

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า..

“แม่เอ๊ยยย ทำไมทุกคนต้องลงความเห็นว่าให้กูใส่ชุดพ่อบ้านไปขายของด้วยวะ”

นทีกับเพื่อนอีกคนหนึ่งถูกโยนหน้าที่เรียกลูกค้าเข้าซุ้มให้ ตอนแรกเพื่อนมันก็จะไม่เลือกนทีไปยืนขายหรอก แต่ด้วยความที่มันตัวสูงเลยโดนเพ่งเล็งจากครู แล้วครูก็สั่งให้มันลองถอดแว่นออกมา ผลก็คือผู้หญิงในห้องพากันหวงนทีไม่ให้ถอดแว่นเพราะหน้าตาดีเกินไปกลัวผู้หญิงห้องอื่นมาทำมิดีมิร้ายด้วยก่อนวันจัดกิจกรรม โดยเฉพาะอุ้มที่เป็นแกนนำบอกว่า ‘อย่าให้ชะนีตัวไหนมาแตะต้องลูกชายผู้ใสซื่อบริสุทธิ์คนนี้เด็ดขาด’

“เออ แล้วมึงได้ทำอะไรเหรอ?” นทีถามผม

“กูได้ไปเดินแจกใบปลิวเชิญเข้าซุ้มห้องเรา ไปกับไอ้ดินมัน”

หน้าที่ของผมกับดินก็คือการเดินไปทั่วโรงเรียนเพื่อแจกเอกสารเชิญบุคคลและกรรมการที่มาประเมินโรงเรียนเข้าชมซุ้มของห้องตัวเอง ส่วนอุ้มนั้นมีหน้าที่เบื้องหลังคือการทำป้ายนิเทศศิลป์มาติดบอร์ดโรงเรียน เห็นอย่างนั้นฝีมือเรื่องงานศิลป์ดีใช่ย่อย

“อะไรวะ กูอยากทำหน้าที่นั้นอะ..”

“รึมึงจะเดินในชุดพ่อบ้านทั่วโรงเรียน?”

“ไม่เอา!”

ผมเลิกคุยกับนทีที่ตอนนี้มันไปงุ้งงิ้งกับใบไม้แทน ท่าทางจะน้อยใจที่ไม่ได้ทำงานที่อยากทำ

 

“กุมภ์ ไหนๆก็จะผ่านตึกวิชาการแล้ว ฝากเอานี้ไปส่งให้ที่ห้องประธานนักเรียนหน่อยสิ”

ดูหัวหน้าห้องมันใช้ผมสิครับ เพราะเห็นว่าผมจะเดินกลับตรงถนนที่ผ่านห้องประธานนักเรียนสักหน่อยแม่งจิกหัวใช้เลย “อืม”

ก็ว่าไปนั่น เป็นรองหัวหน้าก็อย่างนี้แหละ วันไหนที่หัวหน้าขี้เกียจก็โยนงานมาให้ผม

มองเอกสารในมือแล้วเดินไปที่ห้องประธานนักเรียน เคาะพอเป็นพิธีสองสามรอบก็ได้ยินเสียงให้เข้าไปได้ ข้างในมีรุ่นพี่กลุ่มสภานักเรียนประมาณสามสี่คนนั่งกันอยู่ คนแรกที่นั่งตรงโต๊ะในสุดผมรู้จักเพราะเป็นพี่รหัสผมเอง เขารับตำแหน่งเหรัญยิก ส่วนพี่คนที่เหลือก็คือประธาน รองประธาน และเลขาตามลำดับ

ผมยื่นเอกสารในประธานนักเรียนหน้าสดใสราวกับว่าไม่มีงานยุ่งทั้งๆที่เอกสารมันกองเต็มโต๊ะ ไม่อยู่รบกวนนานนอกจากให้พี่เขาตรวจว่าเอกสารครบหรือไม่ก็เดินออกมา

“เดี๋ยวก่อน!”

“ครับ?”

“น้องรู้จักกับเดือนใช่มั๊ย? กุมภ์รึเปล่า?”

“ใช่ครับ ทำไมเหรอครับพี่?”

“คือว่าเดือนเขาฝากนี่ไว้ให้น่ะ” ว่าแล้วพี่รองประธานนักเรียนก็ยื่นซองอะไรให้ผม “น่ารักดีนะ คุยกันทางจดหมาย”

“เอ่อ...ผมว่ามันคงเป็นจดหมายท้วงหนี้มากกว่ามั๊ง”

“ไม่เปิดดูไม่รู้หรอก บางทีเขามีเรื่องอะไรที่จะพูดด้วยแต่ไม่ว่างก็จะเขียนทิ้งเอาไว้แบบนี้แหละ” พี่รองประธานหัวเราะ “กลับดีๆนะน้อง พวกพี่รอดูซุ้มของพวกน้องอยู่นะ”

“ขอบคุณครับ”

ผมออกจากห้องแล้วหาที่นั่งเพื่ออ่านจดหมายในซองสีขาว เนื้อหาภายในทำให้ผมค่อนข้างแปลกใจ มันไม่ใช่ข้อความยาวๆเหมือนจดหมายที่สมัยตอนม.ต้นต้องเขียนตามในหนังสือเพื่อฝึกตามหลักภาษาไทย มันเป็นข้อความสั้นๆที่ผมเดาความหมายไม่ออกสักเท่าไหร่

‘สัปดาห์หน้าเตรียมตัวด้วยนะ’

เพราะเขียนมาแค่นี้ที่ทำให้ผมงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ สัปดาห์หน้ามีอะไรอีกนอกจากงานของโรงเรียน รึว่าพี่เดือนมีอะไรที่จะบอกสัปดาห์หน้าแล้วให้ผมไปเตรียมตัวทำใจเอาไว้?

ช่างเถอะ เดี๋ยวก็รู้เอง

 

หลังจากนั้นทุกอย่างก็ปกติดียกเว้นที่ผมไม่เจอพี่เดือนอีกเลย ซึ่งไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะว่าเขามีเรียนตลอด แต่ที่น่าสงสัยก็คือขนาดอยู่ที่เรียนพิเศษผมก็ยังไม่เห็นราวกับว่าเขาพยายามหลบหน้าหลบตาผมยังไงยังงั้น

บอกตัวเองว่าไม่คิดมาก แต่ก็คิดมากเรื่องผมไปทำอะไรให้พี่เดือนโกธรรึเปล่า

หรือว่าเป็นเรื่องที่ผมเห็นพี่เดือนเดินชนป้ายนั่นกัน..

ไร้สาระ..

อย่างมากก็แค่อาย ไม่ถึงขั้นโกธรหรอก คิดในแง่ดีหน่อยสิกุมภ์ว่าพี่เดือนเขาก็มีธุระของตัวเอง ไม่ได้ว่างทั้งวันเหมือนตัวเองสักหน่อย อีกอย่างเขาก็อยู่ม.6แล้ว เตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย...พี่เดือนได้โควตารับตรงแล้วนี่หว่า?

จนกระทั่งเวลาผ่านมาถึงวันจันทร์ถัดไป จู่ๆหัวหน้าห้องก็เดินเข้ามาบอกกับผมเรื่องใหญ่

“กุมภ์ มึงได้ไปทำหน้าที่พิธีกรกับพี่เดือนวันงานนะ”

“ฮะ?” ผมชี้ที่ตัวเอง “กู?”

“อืม พอดีว่ามีคนส่งชื่อมึงไปเป็นพิธีกรอีกคนช่วยงาน ให้เดาสิว่าใคร?”

“...” พอจะรู้

“ตัวพี่เดือนเองนั่นแหละ นี่สนิทกันกับรุ่นพี่คนดังรึไง?”

ถ้าเจอตัวก็อยากจะลากมาดุเรื่องทำอะไรไม่ถามผมอยู่ สนิทก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น

แกมโกงชัดๆ!

ที่บอกว่าสัปดาห์หน้าหมายถึงอย่างนี้สินะ ได้พี่เดือน ด้ายยยยยยย เดี๋ยวเจอดีแน่!

 

“ว่าไงกุมภ์ รู้แล้วใช่มั๊ยว่ากุมภ์ต้องขึ้นเวทีเป็นพิธีกรกับพี่” พี่เดือนเดินเข้ามาทักทายผมกลางที่เรียนพิเศษในวันพุธ ท่าทางดูอารมณ์ดีๆ ในมือมีถุงมะม่วงกับสัปปะรดอยู่

“พี่เดือน ผมบอกว่าให้ลดของเปรี้ยวเพราะกรดมันกัดกระเพาะ แล้วนี่อะไรครับ?...ไม่สิ เรื่องที่พี่ส่งชื่อให้ผมไปเป็นพิธีกรกับพี่นี่หมายความว่ายังไงครับ?!”

“ใจเย็นๆ ฟังพี่ก่อนนะ” พี่เดือนดึงให้ผมนั่งลงกับเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน “คือว่าปกติแล้วพิธีกรจะมีคนเดียวซึ่งเขาก็ให้พี่ทำประจำอยู่แล้ว แต่ในปีนี้งานมันใหญ่กว่าครั้งที่แล้วมาก คนก็เยอะขึ้นมาก เขาก็เลยอยากได้คนมาเอนเตอร์เทรนเพิ่มอีกคน

“แล้วทีนี้เขาก็บอกว่าให้พี่หาคนมาช่วยเพิ่มเอาเองเลย พี่ก็ไม่รู้ว่าจะเลือกใครเพราะต่างคนต่างปฏิเสธแถมยังคุยไม่เก่งไม่กล้าขึ้นเวทีกัน เอาไปเอามาพี่ก็นึกถึงกุมภ์”

“โห โยนภาระมาให้ผมโดยไม่ปรึกษาเลย ไม่กลัวผมปฏิเสธรึยังไง?”

“จะปฏิเสธได้ยังไง? กุมภ์ไม่มีทางปฏิเสธพี่อยู่แล้วนี่นา

ผมสำลักน้ำลายกับคำว่าไม่มีทางปฏิเสธพี่เดือนอยู่แล้ว มันหมายความว่ายังไงกัน

“พี่เดือน...”

เขาหัวเราะชอบใจเสียงดัง ก่อนที่จะยื่นถุงผลไม้มาให้ผม “พี่รู้ว่าถึงกุมภ์จะดุ แต่ก็ดุเพราะเป็นห่วง แถมยังใจดีช่วยเหลือทุกคนอีก เสียดายที่ปากแข็งไปนิด”

“พี่เดือน!”

ใครปากแข็งกัน!

“จะทำยังไงได้ในเมื่อพี่ส่งรายชื่อเรียบร้อยแล้ว วันศุกร์นี้ก็ขึ้นเวทีช่วงแปดโมงถึงสิบโมง แล้วก็พาคณะกรรมการที่มาตรวจเดินดูงานเท่านั้นเอง” พี่เดือนเคี้ยวมะม่วงรสเปรี้ยวจัด ยักไหล่ไม่ยี่หระ แต่ผมที่ไม่เคยทำหน้าที่นี่ก็กำลังจะแย่ไงครับ! “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลหรอก พี่จะอยู่กับกุมภ์เอง

“...ครับๆ อย่างนั้นก็ได้ ส่วนรายละเอียด..”

พี่ขอไลน์กับเฟสหน่อยนะ พอดีเอกสารอยู่ที่บ้าน”

“อ่า..ครับ” สงสัยจะได้ถ่ายส่งให้ “นี่ครับ”

“ขอบคุณนะ” พี่เดือนยิ้มให้ผม “ไปกันเถอะ เข้าพร้อมกันจะได้อยู่ห้องเดียวกัน”

 

หลังจากวันพุธ วันพฤหัสผมก็ได้แอบมาซ้อมพูดกับพี่เดือนอยู่ที่เรียนพิเศษ นักเรียนหลายคนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันกับผมก็พากันมองว่าผมเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่กับพี่เดือนแล้วพากันซ้อมอะไร น่าแปลกที่ไม่มีใครเข้ามาถามหรือสงสัยจนต้องขอเสือกเหมือนเพื่อนผมในห้อง ยิ่งอุ้มกับดินนี่ตัวดีเลย

 

Smol 17.40 pm

แหมๆ ซ้อมอะไรกับพี่เดือนสองคนจ๊ะ

กุมภ์ 17.40 pm

งานพรุ่งนี้นั่นแหละ ต้องไปยืนคู่กับพี่เดือน

Din not Tin 17.40 pm

 ยืนคู่ด้วย กรี๊ดดดดด

 

แหม่...คุณมึงคิดว่ากูต้องไปยืนคู่กับลำโพงรึยังไง

พอหมดวันพฤหัส เช้าวันศุกร์ผมก็ต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อแต่งตัวไปให้ถึงโรงเรียนก่อนเจ็ดโมง โดยที่ผมได้รับข้อความจากรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกันว่าเขาจะมารับ ให้แชร์โลเคชั่นบ้าน ผมนั่งกินขนมปังทาน้ำผึ้งที่น้องผมวางเอาไว้ให้ไปได้สามสี่แผ่นก็ได้ยินเสียงดังมาจากหน้าบ้าน

กิ๊งก่อง

น่าจะเป็นพี่เดือนที่มาแล้ว

 

พีรดล 06.30 pm

กุมภ์ พี่มาถึงแล้วนะ

 

ผมลุกออกจากเก้าอี้แล้วเดินไปเปิดประตูบ้าน ก็เห็นรุ่นพี่หนุ่มยืนในชุดเสื้อสูทของทีมสภานักเรียน เสื้อสูทที่ว่ามันเป็นเสื้อสีดำที่มีเข็มกลัดตราโรงเรียนติดอยู่ อีกทั้งยังมีเนคไทสีแดง ทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากโข “สวัสดีครับพี่เดือน พี่กินอะไรมารึยังครับ?”

“กินแล้วล่ะ เอ้านี่” พี่เดือนยื่นถุงกระดาษมาให้ผม ด้วยความสงสัยทำให้ผมต้องเปิดถุงมาดูแล้วมันเป็นชุดเดียวกันกับพี่เดือน เพียงแค่ขนาดเล็กกว่า “เขาบังคับให้ใส่ชุดนี้ เดี๋ยวกุมภ์ไปแต่งตัวใหม่นะ แต่งเสร็จจะได้ออกไปเลย”

ผมมองเสื้อในมือ เอาจริงดิ? จะให้ผมใส่เสื้อสูทโรงเรียนทั้งที่ผมไม่ใช่กลุ่มประธานนักเรียนเนี่ยนะ?

ผมถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แล้วเชิญแขกเข้าบ้านมานั่งรอที่ห้องนั่งเล่นก่อนที่จะไปแต่งตัว เนคไทที่ให้มาโชคดีว่ามันเป็นแบบสำเร็จรูป ไม่ต้องมาผูกอะไรให้วุ่นวาย เสื้อข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวสีดำที่ทำให้ผมค่อนข้างจะแปลกใจว่าทำไมมันถึงพอดีกับตัวผมเหลือเกิน

ผมเดินออกมาในขณะที่กำลังจะสวมเสื้อคลุมสีดำทับ พี่เดือนหันมาแล้วก็ส่งยิ้มให้

“ดูเป็นผู้ใหญ่มากเลยนะ”

“ขอบคุณครับ” ทำไมหน้าร้อนๆกัน..

ผมใช้เวลาจัดการกับนมในแก้วตัวเองอีกหน่อย พ่อกับแม่ที่เดินลงมาพอดีเห็นผมใส่เสื้อนี้ก็ถ่ายรูปกันใหญ่บอกว่าดูเป็นผู้ใหญ่กว่าปกติโข พอเห็นพี่เดือนก็ยิ้มรับด้วยอัธยาศัยดีตามวิถีบ้านของผม ส่วนมีนาก็งอแงว่าอยากโดดเรียนไปดูผมเป็นพิธีกร

พี่เดือนขับรถมาถึงโรงเรียนตอนหกโมงห้าสิบ นักเรียนเริ่มทยอยมากันบ้างแล้วเนื่องจากต้องเตรียมงาน ผมกับพี่เดือนไปสแตนด์บายกันที่หลังเวทีในอาคารแห่งหนึ่งซึ่งก็มีพี่ๆทีมประธานนักเรียนเดินวนไปวนมาจนปวดหัวกันเต็มไปหมด บางคนก็ไม่แปลกใจที่เห็นผมใส่เสื้อนี้ แต่บางคนก็เข้ามาถามว่าผมทำหน้าที่อะไรทั้งที่ไม่ได้อยู่ในทีม ตอบตามตรงไปก็ร้องอ๋อ

“นั่นนทีรึเปล่า?” พี่เดือนสะกิดให้ผมมองไปที่ประตูกระจกข้างนอก ผมกำลังเห็นนทีที่อยู่ในชุดนักเรียนร้องไห้งอแงโดยที่มีดินและอุ้มกำลังดันให้มันไปที่ไหนสักที่กับถุงพลาสติก ถ้าจำไม่ผิดทางนั้นมันเป็นทางไปห้องน้ำ

“สงสัยเพื่อนจะจับมันแต่งหล่อ” ผมส่ายหน้าหัวเราะ พยายามนึกภาพนทีในชุดพ่อบ้านเรียกลูกค้าอยู่ในใจ หวังว่ามันจะไม่ไปร้องไห้สติแตกตอนที่มีคนรุมนะ

“ใกล้ถึงเวลาเราต้องขึ้นเวทีแล้วนี่นา กุมภ์พร้อมรึเปล่า?”

“ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแล้วล่ะครับพี่เดือน..”

“เอามือมานี่สิ”

“ครับ?”

“เอามา”

ผมยื่นมือไปให้พี่เดือนอย่างงงๆ จู่ๆพี่เดือนก็จับมือผมแล้วบีบเบาๆ

“กุมภ์ทำได้อยู่แล้ว เพราะพี่เชื่อใจกุมภ์ให้ทำหน้าที่นี้กับพี่ คนที่พี่เชื่อใจไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน”

“...”

“ลืมทุกอย่างไปซะ แสดงออกมาว่ากุมภ์เป็นคนที่สมควรแก่การขึ้นเวที”

“ครับ” ผมพยักหน้าแล้วบีบมือพี่เดือนกลับ จังหวะนั้นผมก็ได้ยินเสียงของประธานนักเรียนเรียกพวกผมให้ขึ้นไป พี่เดือนนำไปก่อน ผมเดินตามแต่ก็ถูกประธานรั้งเอาไว้

“ปกติเดือนไม่วางใจใครง่ายๆนะน้อง”

“...”

“เดือนจะวางใจคนที่เขาเชื่อใจได้ และน้องก็เป็นไม่กี่คนที่เขาเชื่อใจ”

 

“เรียนท่านผู้อำนวยการ ท่านรองผู้อำนวยการ และคณะครูทุกท่าน ผมนายพีรดล นารีรัตน์”

“และผมนายกุมภา สิริกุล”

“วันนี้พวกเราสองคนเป็นพิธีกรในงานต้อนรับคณะกรรมการประเมินโรงเรียนประจำปีที่ 256--”


ผมกับพี่เดือนสลับกันพูด เมื่อประธานมาถึง พวกเราก็ต้องเปลี่ยนเป็นพูดภาษาอังกฤษแทน

นับว่าเป็นบุญสูงมากที่ผมสามารถพูดภาษาอังกฤษได้เพราะแม่สอนมาตั้งแต่เด็ก ครอบครัวทางฝั่งแม่ผมคุณยายเป็นคนอังกฤษ ทำให้ผมเป็นลูกเสี้ยวที่มีสกิลภาษาติดมาด้วย ส่วนพี่เดือนน่าจะเรียนมาแต่แรกทำให้พูดคล่องปากไม่มีติดขัด

เมื่อเสร็จพิธีเปิด พวกผมสองคนก็พาประธานของงานไปเดินชมซุ้มต่างๆจนถึงเที่ยง นั่นเป็นช่วงเวลาที่พวกเราจะได้พักจนถึงช่วงห้าโมงเย็นก่อนพิธีปิด

“กุมภ์ทำได้ดีมากเลยนะ พี่ไม่คิดว่ากุมภ์จะพูดอังกฤษคล่องขนาดนั้น”

“นี่ผมลูกเสี้ยวนะครับ แม่สอนมาดี” ผมหัวเราะแล้วยื่นขวดน้ำให้พี่เดือนที่ปลดกระดุมเสื้อนอกออกสองเม็ด “เราจะไปกินข้าวที่ไหนครับ?”

“โรงอาหารสองที่เป็นของพวกห้องเรียนพิเศษน่ะ ทางทีมประธานนักเรียนเขารอรับข้าวกล่องที่นั่นกัน” ผมพยักหน้าแล้วเดินตามพี่เดือนไปจนถึงโรงอาหารสองที่มีคนใส่เสื้อสูทดำเต็มไปหมด มีกลุ่มคนชุดนักเรียนขาวไม่กี่คน

“นั่นกุมภ์นี่หว่า? เฮ้ยกุมภ์!” เสียงที่ผมคุ้นเคยดังขึ้น เสียงของดินนั่นเอง “แต่งแบบนี้แล้วโคตรดูดี..สวัสดีครับพี่เดือน ผมชื่อดินเป็นเพื่อนกุมภ์มัน ส่วนนี่อุ้ม”

“แล้วนทีมันไปไหนอะ?”

“ต่อแถวซื้อข้าวอยู่ ซึ่งกูคิดว่ามันคงไม่จบที่แค่ซื้อข้าว” ดินชี้ไปทางหน้าร้านข้าวราดแกงร้านหนึ่งที่มีคนตัวสูงยืนอยู่ ข้างหลังมีแต่ผู้หญิงยืนต่อคิวยาว มองดูดีๆนั่นมัน..

“โห เมื่อเช้าแอบเห็นมันงอแง ตอนนี้โคตรดูดี..”

“ใช่ปะ? ที่ซุ้มคนรุมเต็มเลย แทบจะเอาของใส่ถุงไม่ทัน” อุ้มดูดชานมในแก้ว “มาๆกินข้าว พี่เดือนนั่งด้วยสิคะ”

“ขอบคุณนะ งั้นเดี๋ยวพี่ไปเอาข้าวกล่องมาให้ก่อนนะกุมภ์”

“ครับ”

พี่เดือนหันหลังไปหากลุ่มประธานนักเรียน จังหวะนั้นอุ้มก็สะกิดด้วยสีหน้าตื่นเต้นแปลกๆ

“แหมๆ เดี๋ยวนี้มีการหยิบข้าวมาให้ มีความสัมพันธ์อะไรแล้วงุบงิบเหรอคะคุณแม่”

“งุบงิบอะไร”

“กูไม่ได้โง่ถึงขั้นดูไม่ออกหรอกว่าสายตาพี่เดือนเวลามองมึงมันเยิ้มแค่ไหน” ดินยักไหล่ “เหมือนกับว่าเห็นมึงเป็นของมีค่า”

“คิดมาก พี่เขาก็ห่วงกูแค่ฐานะรุ่นน้องเท่านั้นแหละ”

“ถ้าห่วงในฐานะรุ่นน้องจริงๆคงไม่มีโมเม้นท์แบบนี้หรอกมั๊งคะ” อุ้มยื่นโทรศัพท์มาให้ผมดู มันเป็นเพจที่ผมไม่รู้จักเพราะคงจะเปิดไม่นานมานี้ แต่ยอดไลค์นี่พุ่งทะลุเพดาน

 

BM Cuteboi

อะไรกันคะคู่นี้?! พี่เดือนสุดหล่อของโรงเรียนกำลังเช็ดหน้าให้รุ่นน้องหลังเวที ที่สำคัญคือมีคนกระซิบมาว่าพิธีกรคู่พี่เดือนคนนี้ พี่เลือกเองกับมือด้วยนะจ้ะ เรื่องนี้มีเงื่อนงำแน่นอนค่า

ยาหม่อง ทาถู : คันปากอยากพูด เราเห็นสองคนนี้นั่งรถมาด้วยกันตอนเช้าด้วย แถมวันก่อนๆเราก็เห็นว่าเรียนพิเศษที่เดียวกันอีก โอย ตายค่ะจังหวะนี้ กำไม้พายรอแล้ว

ไอไอ เสือดำ : แหล่งบอกมาอีกว่าน้องคนนี้อยู่ม.4 ชื่อกุมภา น้องเป็นคนน่ารักมากค่ะ นิสัยดี เพื่อนน้องก็งานดี


 

“คอมเมนต์นี้กูได้อานิสงค์ว่ะ” ดินยิ้ม “แต่ที่สำคัญคือยินดีด้วย มึงได้คู่จิ้น แถมยังเป็นพี่เดือนคนดัง”

“...” ผมมองรูปนี้อยู่ได้พักใหญ่

น่าจะเป็นตอนที่มีการแสดงเปิดงานแล้วพวกผมมานั่งพักกันหลังเวที ตอนนั้นผมเริ่มมีเหงื่อออกเพราะคนเต็มหอประชุม แอร์ไม่ทั่วถึง พี่เดือนเลยหยิบผ้าเช็ดหน้าตัวเองมาเช็ดหน้าผากให้ผมเพราะมือของผมถือขวดน้ำกับเอกสารสำหรับงาน

ไม่คิดว่าจะมีคนถ่ายได้..คงเป็นพวกทีมประธานนักเรียนนั่นแหละ

“รูปนี้สวยดีนะ พี่ชอบ”


“ตกใจหมดเลยพี่เดือน!” ผมหันไปตีแขนคนมาใหม่ที่ถือข้าวกล่องมาสองมือ พี่เดือนหัวเราะเบาๆก่อนจะนั่งลงข้างๆผม ส่วนนทีที่หลุดออกมาจากกลุ่มผู้หญิงได้ก็เดินตรงเข้ามานั่งฝั่งตรงกันข้าม พอมันแต่งหน้าทำผมถอดแว่นแล้วโคตรของโคตรดูดี

“ขอโทษๆ กุมภ์กินข้าวผัดกุ้งได้อยู่ใช่มั๊ย?” ผมพยักหน้า พี่เดือนจึงเลื่อนกล่องข้าวมาให้ผม “พี่แพ้กุ้ง พี่เลยไม่รู้ว่าแพ้ด้วยเหมือนกันรึเปล่า”

“พี่เดือนแพ้กุ้งเหรอคะ? ความรู้ใหม่” อุ้มแย่งกุ้งในกล่องข้าวผมแล้วเคี้ยวเข้าปาก “จะว่าไปแล้วใครๆก็บอกว่าพี่คุยยากนี่นา ไม่เห็นเหมือนอย่างที่โม้ไว้”

“เพราะพี่ไม่ค่อยมีเวลาคุยด้วยละมั๊งเลยไม่ได้สร้างปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น” พี่เดือนยิ้มให้อุ้ม อุ้มพยักหน้าและก้มลงไปกินข้าวต่อ แอบเหลือบเห็นสายตาของผู้หญิงแถวนี้ที่อิจฉาอุ้มเพราะได้นั่งโต๊ะเดียวกันกับพี่เดือน ทำปากขมุบขมิบว่าอ่อย แต่หารู้ไม่ว่าอุ้มมันไม่ได้บ้าผู้ชายสามมิติ ฉะนั้นอ่อยไปก็สู้สองมิติไม่ได้ เลือกเดินสายนั้นจนกว่าจะเรียนจบ

“จะว่าไปมึงใส่เสื้อแบบนี้แล้วโคตรดูดี” นทีแกว่งแก้วนมสตรอเบอร์รี่ในมือมองผมตั้งแต่เอวยันหัว “ออร่าประธานรุ่นต่อไปมาชัดมาก”

“พูดไปนั่น กูขี้เกียจ”

“ฮ่าฮ่า”

“แล้วที่ซุ้มเป็นไง มีสาวมารุมจีบมั๊ย?”

“...ไม่อยากพูดถึงว่ะ...” นทีทำหน้าเอื่อม อาจจะเพราะไม่ชอบหรือไม่เคยเจออะไรแบบนี้

“มันไม่พูด กูพูดเอง” ดินยัดช้อนข้าวเข้าปากนทีจนมันร้องอู้อี้โวยวายหมดเค้าโครงความหล่อ ก็หาไปแกล้งเพื่อน “ตอนที่มึงเปิดงาน พวกกูก็ตั้งซุ้มตามปกติ รอมันแต่งตัวกับไอ้ปิ๊กที่ห้องน้ำ คนก็ยังไม่ค่อยสนใจซุ้ม แต่พอพวกมันสองคนเดินมาเท่านั้นแหละ ผู้หญิงมองกันเป็นแถวปานจะกลืนกิน ไม่เคยเห็นงานดีก็งี้”

ผมหัวเราะตามคำพูดของดิน พอจะนึกออกแล้วว่าวุ่นวายขนาดไหน ขนาดแค่มันนั่งกินข้าวปกติแบบนี้ยังมีคนเหลือบมามองเป็นระยะเลย

รึว่าจะมองพี่เดือนด้วย?

ก็แหงละ คนดูดีสองคนนั่งโต๊ะเดียวกัน กลายเป็นจุดรวมสายตาได้ง่ายอยู่แล้ว

“ตอนบ่ายว่างใช่ปะ? มาช่วยที่ซุ้มหน่อยดิ”

“เรื่องอะไร ให้พักบ้างเถอะ แค่นี้ก็จะตายแล้ว”

“ไหนๆวันนี้มึงก็เป็นคนของสังคมไปแล้ว ทำไมจะไม่มาทำ?” ดูมันพูดมา ไอ้นี่ “แค่วันเดียวเองน่ากุมภ์”

“ไม่โว้ยย”

“ใจร้าย กระซิก” กระซิกได้ตอแหลมากไอ้ดิน

“กุมภ์ไม่ได้ใจร้าย”

พี่เดือนเงยหน้าขึ้นจากกล่องข้าวผัดหมูของตัวเอง มองมาที่ผมด้วยสายตาแปลกก่อนจะเอ่ยคำที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากเขาออกมา

“น่ารักแบบนี้ใจร้ายไม่เป็นหรอก”

 

“กุมภ์ไม่ได้ใจร้าย”

“….”

“น่ารักแบบนี้ใจร้ายไม่เป็นหรอ---เชี่ย! เจ็บนะ!” นทียกมือขึ้นมาป้องหน้าผากตัวเองเอาไว้หลังจากโดนผมดีดเข้าไปสองรอบติด ช่วงบ่ายผมแยกกับพี่เดือนมาดูเพื่อนทำงานกันที่ซุ้มก่อนที่จะกลับไปรวมตัวช่วงเย็นๆ ดังนั้นแล้วก็เลยโดนเพื่อนสามคนนี้หันมาแซวอยู่เรื่อยไปโดยเฉพาะไอ้แม่น้ำนี่

“พูดมาก ไปทำงานเลยไป” ผมปัดมือไล่คนหน้าตาดีให้ไปทำหน้าที่ต่อหลังจากอู้มานั่งนับเงินกับผมอยู่หลังซุ้ม อุ้มกำลังเดินแจกเอกสารอยู่กับดิน ทำให้ผมต้องมาเป็นผู้ปกครองนทีแทน

ตอนเที่ยงพอพี่เดือนพูดประโยคนั้นออกมา ผมก็สำลักน้ำจนไอไม่หยุด เพื่อนสามคนก็อ้าปากพะงาบต่ออะไรไม่ถูก จนกระทั่งเป็นอุ้มที่หัวเราะชอบใจขึ้นมาก่อนตามด้วยนที

ไม่อยากจะเชื่อว่าพูดออกมาได้หน้าตาเฉยมาก แถมยังมีการใช้ช้อนตัวเองตักหมูแบ่งมาใส่กล่องข้าวผมจนเพื่อนมันต้องแซวอีกรอบด้วย

พอพวกมันแซว หน้าผมก็พลันร้อนขึ้นทั้งที่มันไม่ใช่ความจริง

“อยากมุดดินหนีจังเลย...”

“มุดดินหนีไปไหนเหรอ?”

“พี่เดือน!” พี่เดือนโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ในชุดเดิมที่เขาใส่อยู่ มือสองข้างถือแก้วน้ำหวานมาด้วย เขายื่นมาให้ผมแล้วบอกว่าเอามาให้ หลังจากนั้นก็เลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆกัน

“พี่โดนเพื่อนไล่ออกมาบอกว่าไม่ต้องช่วยเดี๋ยวซุ้มแตก” เขาว่าพลางหัวเราะ “นทีก็ทำได้นี่ เห็นบ่นแต่สุดท้ายก็ออกมาดี”

“มันก็อย่างนี้แหละครับ บ่นอย่างนู้นว่าไม่อยากทำ บ่นอย่างนี้ว่าขี้เกียจ พอได้ทำมันก็ทำเต็มที่”

“แล้วกุมภ์ล่ะ?”

“ครับ?”

“กุมภ์เป็นแบบนทีรึเปล่า?”

กุมภ์อยากกลอกตาขึ้นฟ้า ให้ตายก็ตีสองหน้าไม่ได้เท่าไอ้นทีมันหรอก “ไม่มีทาง”

“ดีแล้วล่ะ” พี่เดือนมองไปทางญาติของตัวเองที่หันหลังให้ “รู้รึเปล่าว่าบางครั้งพี่ก็อยากเป็นนทีตรงที่ว่าสามารถสื่ออารมณ์ตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ ไม่เต็มใจจะทำก็งอแง ไม่ชอบก็บ่น”

“ทุกวันนี้พี่ไม่แสดงอารมณ์เลยรึยังไงครับ”

“พี่แสดงกับกุมภ์มากที่สุดแล้วมั๊งตั้งแต่เกิดมา” ผมอ้าปากค้าง พี่เดือนหันกลับมาทางผมแล้วใช้ผ้าเย็นมาเช็ดหน้าผมให้อีกรอบ “แมลงบินเข้าปากหมดแล้ว”

“พี่เดือน...”

“ก็กุมภ์เล่นดุพี่ซะขนาดนี้ จะให้พี่ยืนนิ่งเป็นหุ่นฟังก็ยังไงอยู่ เนี่ย ตอนนี้คิ้วกุมภ์ก็ขมวดเข้านะ” เขาใช้นิ้วโป้งมาคลึงแถวหัวคิ้วผม

“พี่เดือนมีอะไรรึเปล่าครับเนี่ยวันนี้ ทำให้ถึงดูร่าเริงแปลกๆ”

“ไม่มีอะไรหรอก อารมณ์ดีไม่ได้?”

“กวน...ด้วย” อันนี้ผมบ่นเบาๆ แต่ท่าทางพี่เดือนน่าจะได้ยินเลยขยับมือมาจี้เอวผมจนร้องลั่นเพราะตกใจ “พี่เดือน! เล่นบ้าอะไรของพี่วะเนี่ย?!”

“กล้าขึ้นเสียงใส่พี่?”

“...จิ๊ ขอโทษครับ แต่ถ้าพี่ทำอีก...”

“ทำอะไรอีก?” ดู ดูพี่เดือนมันตีหน้าใสซื่อมา เมื่อกี๊ผมเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของเขานะ!

“....ฮึ้ย!” ผมเลือกที่จะเดินหนีมาก่อนที่พี่เดือนจะยั่วประสาทให้ผมหงุดหงิดมากกว่านี้ นี่พี่เขาเปิดโหมดกวนเท้ามาโรงเรียนรึยังไงกัน หรือว่าโดนดินมันยัดโหมดประสาทแดกมาให้ พี่เดือนหัวเราะเสียงดังจนกลายเป็นที่สนใจของใครหลายคน พอคนรู้ว่าพี่เดือนอยู่ตรงนี้ก็พากันยกมือไหว้ใหญ่

“พี่เดือนมาทำอะไรที่ซุ้มของพวกผมครับเนี่ย” ดินเป็นฝ่ายเดินเข้าไปถามเมื่อผมออกมาช่วยอุ้มหน้าซุ้ม พอจะได้ยินเสียงอยู่เพราะมันไม่ได้ห่างกันมาก แต่พอได้ยินคำตอบพี่เดือนเท่านั้นแหละ

“มาเฝ้าคนน่ารักน่ะ”

หน้าผมก็แดงขึ้นทันทีโดยไม่รู้สาเหตุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:19:20 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 6

 

เขาบอกต่อๆกันว่ามนุษย์ทุกคนมีเสน่ห์เป็นของตัวเอง ดังนั้นแล้วผมว่าเสน่ห์ของผมคงไม่พ้นใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับตลอดเวลาแน่ๆ

ประชดหรอก

เพราะตอนนี้พี่เดือนแกเล่นคอยตามมากวนผมทุกที่หลังจากจบงานต้อนรับกรรมการประเมิน ไม่ว่าจะไปนั่งกินข้าวที่ปกติพี่เดือนจะนั่งกับเพื่อน พี่แกก็ลากเพื่อนมานั่งโต๊ะเดียวกันกับพวกผม หรือตอนที่ผมแอบไปหลับที่ห้องสมุด พี่เดือนก็ตามมานั่งตรงข้ามกับผมเอาปากกามาเขี่ยแก้ม ยังไม่รวมกับตอนที่ไปเรียนพิเศษทุกพุธและพฤหัสที่พี่เดือนแกจะบังคับให้ผมนั่งรถไปกับเขาทุกครั้ง

ผมชักจะตงิดว่าพี่เดือนแปลกไป

แต่นั่นมันไม่ใช่ปัญหาของผมหรอก ปัญหาจริงๆมันอยู่ที่มีคนเข้ามารุมถามผมมากขึ้นว่าผมเป็นอะไรกับพี่เดือนตั้งแต่เห็นรูปผมกับพี่เดือนลงเพจคิ้วท์บอยด้วยกัน ผมก็ปฏิเสธตลอดว่าเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่ค่อนข้างจะสนิท ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะยิ่งตอบยิ่งมีคนมาถามความสัมพันธ์กันมากขึ้นไปอีก

ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ...

วันนี้พี่เดือนก็ยังคงจับผมยัดลงรถวีออสสีขาวเช่นเดิม หลายคนเริ่มชินตาแล้วกับการที่รุ่นพี่คนเก่งมาบังคับให้ผมนั่งรถไปเรียนพร้อมกับเขา ช่วงนี้หลังรถพี่เดือนสะอาดขึ้นมาก ไม่มีกองกระดาษจำนวนมหาศาลเช่นวันแรกที่ติดรถ

“จะว่าไปแล้วทำไมจู่ๆผมกับพี่เดือนถึงมาสนิทกันได้ล่ะครับเนี่ย” ผมว่าพลางอ่านแชทในโทรศัพท์ไปด้วย เป็นแชทมาจากน้องชายของผมที่ส่งมาว่าวันนี้เขาจะทำทาร์ตเลม่อนมาให้ลองกิน

“ไม่รู้สิ แต่พี่คิดว่าพี่ถูกชะตากับกุมภ์นะ ปกติพี่ไม่ได้สนิทใครกันไวถึงขนาดขึ้นรถมาด้วยกันได้ภายในสามเดือน” พี่เดือนหัวเราะ “จริงสิ วันหลังพี่พาเพื่อนมาให้รู้จักดีกว่า มันชื่อศึก”

“ศึก? คุ้นๆเหมือนเคยได้ยิน”

“ชื่อจริงชื่อครองศึก” ผมอ้าปากค้าง ไอ้ชื่อที่แปลกๆนี่ผมจำได้ มันคือชื่อของรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นประธานสีในปีนี้ที่ประกาศเมื่อสองวันก่อนหน้าเสาธง “ตกใจที่ชื่อแปลกสินะ”

“ตกใจที่พี่ไปเป็นเพื่อนกับเขาได้นี่แหละ พี่ศึกเขาดูเป็นคนร่าเริงเข้ากับคนง่ายมากเลยนะ ต่างจากพี่”

“เพราะพี่ดูเป็นคนเข้าถึงยากใช่รึเปล่า?” พี่เดือนตบไฟเลี้ยวเข้าที่จอดรถข้างๆที่เรียนพิเศษ เขาหันหน้ามาข้างหลังมองผมด้วยสายตาที่ไม่สามารถจะอ่านได้

สงสัยไปเหยียบกับระเบิด

ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อ้อมค้อมที่จะพูดออกไปตรงๆ “ครับ พี่เดือนดูเข้าถึงยาก ทุกคนต่างยกให้พี่สูงเพราะพี่เก่ง แต่ความจริงแล้วพี่ไม่ได้อยากจะอยู่สูงกว่าคนอื่น ถ้าอยากสูงป่านนี้พี่คงไม่มารับผมมาเรียนพิเศษด้วยกันหรอก” มันคือความจริง “อีกอย่างคือพี่เดือนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนอื่นยังไงทำให้ไม่กล้าที่จะทักทาย จะคุยก็คุยเรื่องงาน ขอเดานะครับว่าพี่ศึกมาเป็นเพื่อนพี่เดือนได้เพราะพี่ศึกเข้าหาก่อน”

“ถูกอย่างที่กุมภ์ว่านั่นแหละ” พี่เดือนทำสีหน้าโล่งใจ ยกมือขึ้นมาขยี้ทรงผมที่เพิ่งไปแอบหวีในห้องน้ำของผมให้ยุ่งเหมือนเดิม “พี่กำลังคิดอยู่ว่ากุมภ์จะตอบแบบคนอื่นรึเปล่า”

“คนอื่นเขาตอบว่าอะไรล่ะครับ?”

“บอกว่าเพราะศึกมาเกาะพี่”

“…”

“แปลกนะกับการที่คนอื่นชอบตัดสินใจคนจากภาพนอก...” พี่เดือนพิงกับเบาะคนขับ “และพี่...ก็ไม่ใช่คนที่เก่งพอที่จะบอกครอบครัวตัวเองด้วย...”

“บอกครอบครัวพี่?”

“กุมภ์” พี่เดือนไม่ได้หันกลับมา “ถ้าพี่บอกว่าพี่เป็นเกย์ กุมภ์จะยังอยากอยู่ใกล้ๆพี่รึเปล่า?”

..ฮะ?

พี่เดือน...เป็นเกย์?

“พี่กลัวว่าถ้าพี่บอกว่าพี่เป็นเกย์ คนรอบข้างจะถอยหนี ครอบครัวก็ไม่ชอบเกย์เพราะบอกว่ามันเบี่ยงเบนทางเพศ พอเบี่ยงเบนทางเพศพี่ก็ไม่อยากจะให้คนไม่กล้าเข้าใกล้เพราะรังเกียจพี่...” เสียงถอนหายใจดังขึ้นหนึ่งรอบก่อนที่เขาจะพูดต่อ “ถึงสังคมมันจะเปิดกว้างแล้วก็จริง แต่พี่ก็ยังกลัว”

“พี่ไม่ต้องกลัวหรอกว่าผมจะไม่ชอบพี่ ไม่กล้าเข้าใกล้พี่”

“...”

“ถึงบ้านผมจะมีแต่ผู้ใหญ่ แต่ก็เป็นผู้ใหญ่ที่ปลูกฝังผมกับน้องมาว่าจะชอบเพศสถานะไหนมันไม่สำคัญเท่าเราได้รักเขามากขนาดไหนตังหาก” ผมหยิบกระเป๋าเตรียมลงจากรถ แต่พี่เดือนเอื้อมตัวเข้ามาจับแขนผมเอาไว้ก่อน

“แล้วพี่จับแขนแบบนี้รังเกียจพี่รึเปล่า?”

“คิดมากน่าพี่เดือน ถ้าผมรังเกียจผมก็วิ่งลงจากรถตั้งแต่พี่บอกว่าพี่เป็นเกย์แล้ว”

“งั้นค่อยยังชั่วหน่อย...” พี่เดือนยิ้มสบายใจออกมา “อย่างน้อยพี่ก็คงมีกุมภ์ที่อยู่ข้างๆ”

“พี่เดือนมีคนคอยอยู่ข้างๆอยู่แล้วครับ แค่พวกเขาไม่ได้แสดงตน”

“งั้นเราไปเรียนกันดีกว่านะ”

 

ตั้งแต่วันนั้นมาพี่เดือนก็เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเวลาอยู่กับผม เขาเล่าให้ฟังว่าเขาเคยแอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่งแต่ดันมาอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้ไปสารภาพว่าชอบ ทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมา ไม่เคยคิดว่าพี่เดือนจะมีมุมแอบชอบชาวบ้านด้วย

วันนี้พี่เดือนไม่รู้ผีเข้าหรือยังไง เขาถึงได้ชวนผมมานั่งร้านขนมนอกเมืองร้านหนึ่งซึ่งมีคะแนนรีวิวว่าอร่อยมาก และนั่นไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังคุ้มค่ากับการที่พี่เดือนพามา

“นี่ก็ใกล้กับตัวศรีสะเกษด้วย ไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำด้วยกันมั๊ย?”

“จะดีเหรอครับ ผมทำให้พี่ลำบากนะ” ผมหัวเราะเมื่อเห็นพี่เดือนเขี่ยเนื้อปลาหมึกออกจากข้าวผัดทะเลไม่ใส่กุ้ง ในร้านนี้นอกจากจะมีขนมแล้ว เมนูข้าวก็สารพัด “แต่ถ้าพี่อยากไปก็โอเค”

“กุมภ์ไม่คิดมากอะไรเลยรึยังไงเนี่ย...”

“หืม?” เมื่อกี๊พี่เดือนว่าอะไรนะ? คิดมากอะไร?

“เปล่าหรอกๆ รีบกินรีบไปดีกว่า”

พอพวกเราจัดการอาหารเสร็จก็เรียกให้พนักงานมาเก็บเงินส่วนใครส่วนมัน พนักงานหญิงคนนี้มองผมสลับกับพี่เดือนไปมาก่อนที่จะอมยิ้มยื่นบิลมาให้ “แฟนน่ารักดีนะคะ”

“ผมเป็นรุ่นน้องเขาครับ!”

 

จากนั้นผมก็ไม่พูดอะไรกับพี่เดือนตลอดทางนั่งรถไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเล็กๆ พี่เดือนแค่ยิ้มกรุ่มกริ่ม พอมาถึงบรรยากาศก็ครึ้มๆราวกับว่าพายุใหญ่กำลังจะเข้า พี่เดือนเดินเข้าตรงไปที่เคาท์เตอร์เพื่อซื้อตั๋วสำหรับผู้ใหญ่สองใบแล้วดึงให้ผมเดินตาม ข้างในผมเห็นกลุ่มครอบครัวกับกลุ่มคู่รักเดินดูปลาตามตู้ต่างๆไม่ค่อยเยอะเพราะคิดว่าช่วงนี้เป็นหน้ามรสุม ทำให้คนไม่กล้าออกจากบ้านสักเท่าไหร่

ตู้แรกเป็นปลาเบสิกที่เห็นได้ตามพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทั่วๆไปอย่างปลาการ์ตูนที่ทำยังไงมันก็ยังเป็นที่รักของเด็กอยู่อย่างนั้น ต่อมาเป็นตู้ปลาแม่น้ำอื่นๆที่อยู่ตามลุ่มแม่น้ำมูล พี่เดือนไม่ได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ เขาแค่เดินอ่านป้ายแล้วเรียกให้ผมมาดูปลาตัวหนึ่งที่ทำท่าเหมือนจะหมดอาลัยในตู้

“ความจริงแล้วปลามันก็เหมือนกับนกดีนะครับ” ผมพูดกับพี่เดือนที่ตอนนี้มายืนจ้องปลาตัวจิ๋วในตู้ด้วยกัน “มีอิสระ...ได้ว่ายวน ได้บินไปในที่ๆต้องการ”

“ไม่หรอก นกอย่างพี่ถูกขังในกรงมาเท่าไหร่แล้ว ต่างจากปลาอย่างกุมภ์ที่ยังได้แหวกว่าย...”

“ฮะ? พี่หมายถึงอะไรครับ?”

“เคยได้ยินคำว่านกในกรงขังใช่มั๊ย?” ผมพยักหน้า “พี่ก็เหมือนนกที่ถูกขังในกรง พี่ไม่มีสิทธิที่จะออกนอกกรอบเพราะว่าพี่ถูกขังเอาไว้ อีกอย่างคือพี่ไม่กล้าลองทำอะไรใหม่ๆนอกเหนือจากที่มีคนสั่ง จะกางปีกบินในกรงยังทำไม่ได้เลย ส่วนปลาถึงจะอยู่ในตู้ แต่ก็ยังว่ายไปมาได้อย่างเสรี ไม่ต้องคอยมาร้องเพลงให้เจ้านายฟังเหมือนนก ไม่ต้องคอยมาทำตัวสง่ามากเพื่อเอาใจเจ้าของเหมือนนก”

ประโยคที่พี่เดือนพูดออกมาเล่นเอาผมจุกในลำคอ เขาเจออะไรมาถึงทำให้มีความคิดแบบนี้กัน ครอบครัวพี่เดือนไม่ยอมรับเรื่องรสนิยมความชอบของพี่เดือนแล้วยังมีอะไรที่ทำให้พี่เดือนฝังใจอีก

อยากจะถามว่าเขาต้องการระบายอะไรออกมารึไม่

แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าเพราะพวกเราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นต้องพูดถึงเรื่องปัญหาครอบครัว

“ถ้าพี่เดือนเป็นนกในกรง ส่วนผมเป็นปลาในตู้ ปลาที่ชื่อว่ากุมภ์ตัวนี้ก็เคยผ่านเรื่องเลวร้ายมานั่นแหละ”

พี่เดือนละสายตาออกจากปลาในตู้ สีหน้าไม่สามารถบอกได้ว่ากำลังสื่ออะไร แต่ผมก็อยากจะพูดเรื่องของผมในอดีตที่ไม่ใช่ความลับอะไรมากมายให้เขาฟัง

“ตอนผมอยู่ประถม ผมเคยโดนเพื่อนเกลียดทั้งห้องเพียงเพราะผมหน้าตาไม่ดี” ว่าแล้วก็หัวเราะ “ใครจะชอบเด็กผู้ชายตัวเล็กผิวคล้ำๆ ผลการเรียนก็ไม่ดีคนนี้กันล่ะ บางวันก็โดนขโมยรองเท้าไปทิ้งถังขยะ บางวันสมุดงานผมก็ถูกฉีกขาด หนักสุดก็พาเพื่อนมารุมตีผมจนครูต้องเรียกผู้ปกครองมาเคลียร์”

“….”

“วันที่ผมรู้สึกท้อที่สุดในชีวิตเด็กอายุสิบสอง มันเป็นวันที่มีนาน้องผมเดินเข้ามาบอกว่าถึงคนทั้งโลกจะไม่ยอมรับผม น้องกับครอบครัวจะเป็นคนที่ยอมรับเอง วินาทีนั้นมันทำให้ผมรู้ตัวว่าถึงจะมีคนเกลียด ก็ยังมีคนรักเรามากแค่ไหน หลังจากนั้นมาผมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มหัดซื้อครีมมาบำรุงผิว เริ่มออกกำลังกายให้ดูดีขึ้น ปรับปรุงนิสัยตัวเองให้ดีขึ้น จนพอเพื่อนสมัยประถมมาเจอกันยังไม่เชื่อว่าผมคือคนเดียวกันกับกุมภ์คนอ่อนแอ แต่ถึงข้างนอกจะเปลี่ยนยังไง ข้างในของผมก็ยังเป็นคนเดิม เป็นกุมภ์ที่เคยผ่านเรื่องแย่ๆมาก เป็นกุมภ์ที่นำเรื่องแย่ๆเหล่านั้นมาผลักดันให้ตัวเองพัฒนา แต่เอาจริงๆแล้ว...ผมเองก็ยังกลัวการที่จะต้องออกไปเผชิญโลกกว้างคนเดียว”

“...”

“สิ่งที่ผมจะบอกก็คือต่อให้เรามีอิสระแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีคนคอยช่วยประคอง เราก็อาจจะไปไม่รอด แล้วก็ถึงโลกจะไม่ยอมรับพี่ แต่พี่ก็ยังมีผมที่คอยรับฟังปัญหานะ”

“กุมภ์..”

“พี่พร้อมที่จะบอกปัญหาผมเมื่อไหร่ พี่ก็ค่อยบอก ผมไม่ได้ฝืนใจให้พี่บอกเพราะพวกเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น”   ผมตบบ่าพี่เดือนแล้วเดินนำไปทางโซนอุโมงค์น้ำที่ไม่มีคนอยู่ พี่เดือนทำหน้างงนิดหน่อยแล้วค่อยส่งยิ้มที่กว้างที่สุดที่ผมเคยเห็นมาให้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่หัวใจของผมมันเต้นแรงผิดปกติพอเห็นสีหน้าที่ดีขึ้นของเขา ทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ ผมรื้นตันที่สามารถดึงอารมณ์ขุ่นมัวของเขาออกมาได้

ผมยืนดูปลาบึกตัวยักษ์ค่อยๆว่ายผ่านเหนือหัวผมไปอย่างช้าๆ น้ำสีขุ่นไม่ได้ทำให้น่ามองนักแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากจนพวกเราเดินมาถึงโซนที่นั่ง มีคู่รักนั่งด้วยกันอยู่สองสามคู่ ยืนดูปลามานานก็เลยนั่งตามชาวบ้านบ้าง สักพักก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังมาจากบริเวณใกล้ๆตามด้วยเสียงระเบิดจนทำให้ไฟดับทั้งพิพิธภัณฑ์

“...สงสัยฟ้าผ่าลงหม้อแปลง แต่ที่นี่น่าจะมีเครื่องปั่นไฟอยู่” ผมได้ยินเสียงคู่รักคู่ที่ใกล้ผมสุดพูดขึ้นมา ก็เป็นไปได้เพราะเมื่อกี๊เสียงก็ดังมาก

ผมกำลังจะเปิดโทรศัพท์เพื่อใช้ไฟฉาย จู่ๆก็รู้สึกถึงมือที่ชุ่มเหงื่อของคนที่นั่งข้างๆกำลังจับบริเวณข้อมือของผมอยู่  ท่ามกลางความมืดผมเห็นแค่เงาใบหน้าพี่เดือนที่ดูจะซีดผิดปกติ เหงื่อไหลลงเต็มหน้า ดูหอบสั่นอย่างที่ไม่เคยเห็นราวกับว่า...

“พี่เดือนกลัวความมืด?”

เขาสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินผมพูดอย่างนั้น แต่อย่างไรก็พยักหน้ารัวๆแล้วจับข้อมือผมแน่นมากกว่าเดิม

ไม่คิดว่าพี่เดือนจะกลัวความมืด...น่าจะกลัวมากด้วย

ไม่นานนักไฟฟ้าก็กลับมาใช้งานได้ตามปกติ พี่เดือนปล่อยข้อมือผมพร้อมกับถอนหายใจปาดเหงื่อตัวเอง ผมไม่พูดอะไรเพราะอยากให้พี่เขาได้หายใจจากอาการเกร็งเมื่อครู่

“ผมไม่คิดว่าพี่จะกลัวความมืด”

“อืม พี่ฝังใจน่ะ คือ...”

“พอพี่ ถ้ามันไม่น่าพูดถึงก็ไม่ต้องเล่าให้ผมฟัง”

“แต่พี่ไว้ใจกุมภ์ พี่สบายใจถ้าพี่จะเล่าให้กุมภ์ฟังนะ” ผมนิ่งกับคำตอบของเขา

พี่เดือนไว้ใจผม...

“ตอนเด็กๆพี่เคยถูกขังเอาไว้ในห้องมืดๆทั้งคืน วันนั้นเป็นวันที่พายุเข้าแบบนี้นี่แหละ พ่อกับแม่พี่มารับไม่ได้เพราะอยู่ต่างประเทศ พี่เลยจำใจต้องกลับเอง” พี่เดือนหลับตาลงพร้อมกับพิงพนัก “เพื่อนร่วมชั้นพี่เป็นคนเกเร แล้วด้วยความที่เป็นลูกผู้อำนวยการทำให้ดูมีอำนาจกว่าคนอื่น บังเอิญว่าพวกเราเจอกันพอดี..”

“..แล้วยังไงต่อครับ?”

“เขาไม่ชอบพี่เพราะพี่เรียนได้ดีกว่า เลยหลอกให้พี่ไปที่ห้องหนึ่งที่โรงพละบอกว่ามีหนังสือดีๆ พี่ชอบอ่านหนังสือล่วงหน้าอยู่แล้วเลยติดกับเต็มๆ พี่ต้องทนกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า แล้วห้องก็มืดมากจนพี่มองอะไรไม่เห็น กว่าจะได้ออกมาก็ช่วงแปดโมงเช้าวันต่อมาตอนที่คนมาตรวจห้อง” ผมมองพี่เดือนค้าง ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องที่ร้ายแรงมาเหมือนกับผม “ถึงจะออกมาได้ แต่พี่ก็กลัวที่มืดไปเสียแล้วล่ะ ฟ้าร้องฟ้าผ่าไม่ได้ทำให้พี่กลัวมากเท่านั้นมาก่อน การที่เรามองไม่เห็นอะไรเลยมันทรมานมากนะ...”

“ขอบคุณที่พี่เดือนผ่านมันมาได้นะครับ เพื่อนผมตอนมัธยมต้นคนหนึ่งก็กลัวความมืดเหมือนกัน ถึงขั้นประสาทหลอนถ้าเกิดไฟตก”

“แล้วเขา..”

“เขากลัวมากตอนที่ไฟดับตอนกลางคืนวันที่พวกผมไปเข้าค่ายต่างจังหวัด ซึ่งปัจจุบันเขานอนอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวทรักษาอาการประสาทหลอนรุนแรงมาปีกว่าๆ”

“...เสียใจด้วยนะ ขอให้เขาหายไวๆด้วยแล้วกัน”

“ผมถึงบอกว่าขอบคุณที่พี่ผ่านมันมาได้ ถึงพี่จะยังกลัวแต่พี่ไม่ได้อาการหนักเท่าเพื่อนผมคนนั้น” ผมลุกขึ้นเป็นฝ่ายเดินนำเขาอีกครั้ง “ใกล้ทางออกมีบ่อเต่าอยู่ ดูเสร็จแล้วหวังว่าฝนจะหยุดพอดีนะครับ”

พวกผมเดินมาที่บ่อเต่าขนาดกลาง มีเต่าสองตัวกำลังกินอาหารด้วยความเอื่อยชา ข้างๆกันมีบ่อปลาอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้จักว่ายไปมาส่องพวกผม

“คิก..ปลาพวกนี้น่ารักดีแหะ ถ้ารู้ว่าพี่เดือนจะพามาที่นี่ผมติดกล้องมาด้วยดีกว่า” ผมจ้องตาแข่งกับปลา ถึงจะรู้ว่าแพ้แต่มันก็สนุกดี ปลาพวกนี้มนุษย์สัมพันธ์ดีมากไม่ก็คุ้นกับการถูกมนุษย์จ้องมอง พอรู้ว่าไม่ได้กลายเป็นอาหารก็เลยเฉยๆ “พี่เดือนครับ นี่ก็เกือบจะบ่ายสามแล้ว พี่ไม่ไปเรียนเหรอ?”

“วันนี้พี่ขอโดดดีกว่า”

ไม่อยากจะเชื่อว่าคนเก่งของโรงเรียนจะโดดเรียนพิเศษเพื่อมาเที่ยวแบบนี้ “ทำไมล่ะครับ? มันจะดีเหรอ?”

“พี่ไม่เคยโดดสักครั้งในชีวิต” พี่เดือนเว้นประโยค “แต่วันนี้พี่ยอมโดดเพื่อกุมภ์ดีกว่า พาพี่เที่ยวได้มั๊ยครับ?”

บึ้ม!

ผมแพ้คำว่าครับของพี่เดือนเต็มๆ..

 

พวกเราติดอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ได้ชั่วโมงเต็มๆ จากนั้นพี่เดือนก็ขับรถกลับเข้ามาในตัวเมืองอุบลอีกครั้ง แต่เขาบอกว่าอยากลองถ่ายรูปดู ผมก็เลยบอกให้เขามาบ้านผมแทน

จะหาว่าผมพาผู้ชายเข้าห้องไม่ได้นะ ห้องรับแขกข้างล่างมีแขกคนอื่นอยู่ ผมเลยไม่รบกวน อีกทั้งผมก็ไม่ได้คิดมากกับผู้ชายเข้าห้องผู้ชายด้วย

“กุมภ์พาพี่เข้าห้องกุมภ์แบบนี้จะดีเหรอ พี่...”

“เป็นเกย์ แต่พี่ก็เป็นผู้ชายด้วย ดังนั้นเข้าได้ เชิญครับ”

อย่างว่านั่นแหละ พี่เดือนท่าทางจะคิดมากเสียเหลือเกินเพราะว่าเขาเป็นเกย์..

พี่เดือนลองจับกล้องตัวเก่าของผม แต่ก็ไม่กล้ารุนแรงมากเพราะเห็นว่าเป็นของผม สักพักก็ลองขอถ่ายพวกต้นกระบองจิ๋วบนโต๊ะเขียนหนังสืออ้างว่าแก้มือจากการถ่ายใบไม้รอบที่แล้ว

“ดีขึ้นนี่นา ฝึกแป๊บเดียวพี่ก็คงเก่ง..ไม่สิ ผมว่าพี่เก่งทุกอย่างอยู่แล้ว”

“ชมพี่แบบนี้พี่เขินนะ”

“เขินเป็นด้วยเหรอครับ?”

“เขินเป็นสิ แต่พี่ว่าเด็กแถวนี้เขินเก่งกว่าเวลาที่พี่หยอก...” ชัดเจนว่าพี่เดือนพูดถึงผม ผมจึงทำได้แต่เบือนหน้าหนีคำแซวของพี่เดือน

ตกเย็นพ่อกับแม่ชวนพี่เดือนร่วมโต๊ะข้าวด้วย พี่เดือนเกรงใจพวกท่านจนโดนพ่อของผมดันให้มานั่งโต๊ะด้วยกันอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นพวกท่านก็ชวนพี่เดือนคุยถึงเรื่องการเรียน ผมกับมีนาที่เป็นลูกแท้ๆจึงโดนเมินไป

“พี่กุมภ์ ผมว่ามันแปลกๆนะ”

“แปลกยังไง?” ผมหันไปถามน้องช่วงที่พี่เดือนกำลังตอบพ่อกับแม่ผมเรื่องมหาลัยที่ตัวเองได้โควตาส่งตรงจากที่มาเอง

“ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าเหมือนพี่เดือนเขา...” มีนามองไปทางพี่เดือน “กำลังจีบพี่อะ”

พรวด!

“อ้าวกุมภ์ ค่อยๆกินสิ สำลักจนได้” แม่ทำเสียงดุขึ้นมา พี่เดือนจึงลูบหลังให้ผมแล้วกลับไปฟังพ่อกับแม่ผมพูดต่อ

“จะบ้าเหรอ?! เอาอะไรมาพูด”

“นี่ขนาดผมเจอพี่เดือนไม่กี่ครั้งผมยังดูออกเลยว่าพี่เดือนชอบพี่” มีนากระซิบบอก “ถามจริงเถอะนะว่าพี่ซื่อหรือบื้อที่ไม่รู้ว่าเขาจีบ” ฟังสิครับ น้องผมมันด่า “ถึงจะไม่ได้ออกตัวแรงเหมือนในนิยาย แต่พี่เดือนแทรกซึมเข้ามาเนียนมาก”

ผมมองพี่เดือน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่คิดถึงกรณีที่พี่เดือนเข้ามาสนิทกับผมเพราะจีบ ความจริงผมค่อนข้างจะแปลกใจด้วยซ้ำที่เขาจะมาชอบผม ผมพยายามทำตัวปกติคิดอย่างไม่หวังผลว่าพี่เดือนไม่ได้นึกอะไรเกินเลยคำว่าพี่น้อง

แต่ที่น่าแปลกใจกว่าก็คือผมไม่ได้รังเกียจพี่เดือน...

กลับชอบด้วยซ้ำกับการที่ได้อยู่ด้วยกันกับเขา


เหมือนผมได้ดูแลผู้ใหญ่ที่โตแต่ตัว เหมือนได้อยู่กับคนที่มีวุฒิภาวะ ได้อยู่กับเพื่อน ได้อยู่กับคนที่ผมสามารถเล่าอดีตให้ฟังได้ และเป็นคนที่ผมสามารถไว้ใจได้

“เงียบอย่างนี้พี่ก็คิดใช่มั๊ย?” ถึงจะโกหกไป มีนาก็ดูออก ผมจึงพยักหน้า “นั่นไง แล้วพี่รู้สึกยังไงอะ?”

“ก็ไม่ได้ไม่ชอบ อยู่ด้วยกันก็สนุก แต่พี่ไม่แน่ใจว่าไอ้คำว่าชอบของพี่มันอยู่ในแง่ไหน”

“เอาเถอะ พี่เดือนก็ดูเป็นคนดีนะ ขอให้พี่ตกหลุมพี่เดือนไวๆ” มีนาหัวเราะในลำคอแล้วค่อยหันไปกินข้าวต่อ ผมไม่เคยเข้าใจสิ่งที่น้องคิดจริงๆเลยด้วยซ้ำว่ากำลังรู้สึกอย่างไร ถ้าจะบอกตรงๆก็คือผมตามคำคิดที่เป็นผู้ใหญ่กว่าผมของเขาไม่ทัน มีนาเข้าใจในสิ่งที่ซับซ้อนมากกว่าผม แต่อย่างนั้นมีนาก็ไม่ค่อยอธิบายอะไรยากๆออกมาให้ผมงง กลับกันเขาจะพูดแค่สิ่งที่จำเป็นจริงๆ

ซึ่งเมื่อกี๊มีนาก็อวยพรให้ผมหลงพี่เดือนไวๆ

เป็นน้องที่ดีจริงๆ..

 

เมื่อกินข้าวเสร็จ พี่เดือนก็โดนพ่อกับแม่ลากไปคุยเรื่องอะไรไม่รู้ซึ่งผมก็ไม่กล้าไปกวนเพราะพวกเขาบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ส่วนตัวแค่ไหนก็ทำให้ผมหยุดอยากเสือกได้หรอก ผมจึงย่องๆไปนั่งข้างประตูห้องรับแขก แอบแย้มๆประตูเพื่อให้เสียงเล็ดลอดออกมาได้

“อืม ได้ยินมาว่าเธอเป็นลูกของคุณรตาใช่มั๊ย?”

“ครับ”

“รตาเคยเป็นเพื่อนตอนสมัยเรียนมัธยมด้วยกัน รตาเป็นลูกคุณหนูที่ไม่ยอมรับเรื่องรักเพศเดียวกันเธอรู้ใช่มั๊ย?”

“..มีอะไรเหรอครับ?”

“โธ่ พ่อดูสายตาเธอแล้วก็รู้ว่ากำลังจีบไอ้กุมภ์มัน”

ว๊อท?! พ่อกับแม่รู้?!

“...”

“ไม่ต้องกลัวไปไอ้หนุ่ม พ่อกับแม่ไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องนี้ ชอบน้องก็พุ่งเข้าไปจีบเลย อย่างพ่อชอบแม่ พ่อก็จีบจนได้ลูกสอง ความจริงอยากได้ลูกสามนะแต่ก็กลัวว่าจะเป็นลูกชายอีก ฮ่าฮ่า” พ่อหัวเราะอย่างอารมณ์ แต่หน้าของผมนี่แดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว “เหลือแค่ต้องปรับความเข้าใจกับแม่เธอนั่นแหละ”

“ไม่ใช่แค่แม่ครับ พ่อเลี้ยงของผมก็ด้วย” พ่อเลี้ยง? พ่อพี่เดือนไม่ใช่พ่อแท้ๆ? “ผมไม่กล้าที่จะบอกว่าผมชอบผู้ชาย อีกอย่างคือไม่กล้าที่จะเดินหน้ากับกุมภ์ต่อด้วย...”

“สิ่งที่เธอกลัวคือการไม่ได้รับการยอมรับสินะ..”

“..ครับ?”

“เธอกลัวว่าสังคมจะมองเธอในทางไม่ดีจึงพยายามทำทุกอย่างในกรอบ แต่เชื่อพ่อเถอะ การได้ทำอะไรนอกกรอบมันทำให้โลกของเธอกว้างขึ้นเยอะ มีสีสันขึ้นเยอะ เธอจะรู้สิ่งต่างๆภายนอกหัวใจจำเจ เธอจะค้นพบกับสิ่งที่เธอตามหา เธอจะเจอกับสิ่งที่เธออยากจะอยู่ด้วยกันกับมันตลอดชีวิต”

“...”

“เกิดมาทั้งที เราจะอยู่เป็นหุ่นยนต์แบบนี้ไม่ได้หรอก เธอมีชีวิต เธอมีหัวใจ ไม่ต้องไปกลัวอะไรทั้งนั้นในเมื่อเธอรู้ตัวว่าอยากจะทำอะไร”

“แต่ว่า...ถ้าเกิดพวกท่านรู้ว่าผม...”

“พ่อถึงบอกไงว่าต้องพิสูจน์ให้พวกเขารู้ว่าคิดผิดมาตลอด มีกฎที่ไหนกันที่ไม่มีคนแหก เธอเองก็ไปแหกกฎของพ่อแม่เธอว่ามีสิทธิทุกอย่างในตัวเธอแม้กระทั่งอนาคตและสิ่งที่เราเป็น” ผมเห็นพ่อเดินเข้าไปตบบ่าพี่เดือน “พ่อดีใจนะที่เธอชอบกุมภ์ กุมภ์มันเป็นเด็กธรรมดาๆคนหนึ่งที่เคยมีคนเกลียดชังมาก่อน กว่าจะมาเป็นกุมภ์ทุกวันนี้เขาก็ต้องพยายามมากแค่ไหน”

“...กุมภ์เป็นเด็กดีได้เพราะพวกคุณ ขอบคุณนะครับที่เลี้ยงเขามาอย่างดี...”

“ถ้าวันไหนพ่อแม่เธอรับไม่ได้ก็มาขอเป็นลูกเขยบ้านนี้อยู่ด้วยกันนะไอ้หนุ่ม” พ่อหัวเราะร่าก่อนที่จะเดินมาเปิดประตูในจังหวะที่ผมกำลังจะเดินออกมาอย่างเงียบๆ พ่อทำหน้ายิ้มชื่น ส่วนพี่เดือนเบิกตากว้าง “เข้าใจนะกุมภ์ เดือนกำลังจีบลูกอยู่”

“นั่นไง!” มีนาที่อยู่ในครัวร้องขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงพ่อ “ผิดจากที่พูดซะที่ไหน!”

“...พ่อ...”

“เอ่อ...คือผมขอตัวกลับก่อนดีกว่าครับ...” พี่เดือนหลบสายตาผมก่อนที่จะเดินออกไปเงียบๆ ด้วยความที่ผมเป็นเจ้าบ้านที่ดีจึงเดินตามไปส่งเขาที่หน้าบ้าน พี่เดือนพยายามไม่มองหน้าผม แต่ด้วยความที่ผมเห็นด้านข้างทำให้ผมสังเกตใบหูที่กำลังเปลี่ยนสีเป็นสีแดงนั่นพอดี

“พี่เดือนเขินใช่มั๊ยที่พ่อผมพูดแบบนั้น”

“....”

“พี่เดือน...”

“อืม...แล้วก็...โดนจับได้แล้วสินะ ทีนี้กุมภ์คงไม่ชอบพี่แล้วสิที่พี่เข้าใกล้เพราะ...”

“จีบ เอาจริงๆนะพี่ ผมเองก็แอบคิดเหมือนกันว่าพี่จีบผมรึเปล่า แต่ผมก็พยายามไม่เข้าข้างตัวเองเพราะไม่อยากหวัง..” ผมถอนหายใจ

“หมายความว่า...”

“จะว่ายังไงดี ผมเองก็เขินเป็นนะ ผมสบายใจที่ได้อยู่กับพี่ ผมสนุกที่ได้อยู่กับ เหมือนได้ดูแลเด็กในร่างผู้ใหญ่อย่างพี่ที่ต้องคอยดุ”

“อ่า...พี่เองก็รู้สึกอย่างนั้น...”

“แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่กันแน่...ผมไม่รู้ว่าผม...คิดยังไงกับพี่”

“ไม่ต้องคิดก็ได้”

“พี่เดือน...”

“อยู่กับพี่บ่อยๆก็อาจจะได้คำตอบ”

“…”

“เพราะว่าพี่อยู่กับกุมภ์บ่อยๆจนได้คำตอบเหมือนกัน...ว่าคนนี้น่ะ” พี่เดือนชี้นิ้วมาที่ผม “พี่ชอบ”

 

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:22:55 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 7

 

สถานะความสัมพันธ์ในตอนนี้ของผมกับพี่เดือนไม่เหมือนเดิม...

พวกเราไม่ใช่พี่น้อง แต่พวกเราก็ไม่ใช่แฟน อารมณ์เหมือนกับว่าพวกเรากำลังคุยดูใจกันอยู่ ความจริงมีแค่ผมนี่แหละที่กำลังดูใจตัวเอง เพราะพี่เดือนรู้ตัวนานแล้ว

ถามว่ามีอะไรเปลี่ยนไปมากหรือไม่...ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยยกเว้นแต่พี่เดือนทักจะติดต่อผมมาทางไลน์บ่อยมากขึ้นเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าพี่เดือนกับผมติดต่อกันอยู่อย่างนี้ ไม่มีใครตามแอบสืบว่าพี่เดือนกำลังคุยกับใคร เราทั้งสองคนไม่เปิดเรื่องนี้กับใคร

 

พีรดล 20.21 pm

กุมภ์ ทำอะไรอยู่เหรอ?

กุมภ์ 20.21 pm

อ่านหนังสือเตรียมสอบครับ

 

ยิ่งโดยเฉพาะช่วงนี้ที่ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบกลางภาค ยิ่งไม่มีใครมีจิตใจมายุ่งกับเรื่องชาวบ้านนัก

 

พีรดล 20.22 pm

พี่คอลไปได้รึเปล่า?

กุมภ์ 20.22 pm

แล้วแต่ครับ

 

ไม่ถึงนาทีก็มีสายวิดีโอคอลมาจากคนที่ผมเพิ่งคุยด้วย พี่เดือนนั่งอยู่ในห้องนอนของตัวเองที่แต่งทีมสีเขียวอ่อนสบายตา ข้างหลังผมเห็นว่ามีตู้หนังสือเรียงกันเป็นแถวๆ ส่วนข้างๆกันผมแอบเหลือบเห็นจอคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ ซึ่งวันนี้ผมแปลกใจที่เห็นพี่เดือนใส่แว่นตา

“พี่เดือนใส่แว่น?”

‘อืม พี่ไม่อยากใส่คอนแทคเลนส์ทั้งวันหรอก มันเคืองตา’ พี่เดือนหัวเราะ ‘แปลกเหรอ?’

“ไม่ครับ ก็ดูดีไปอีกแบบ”

พวกเราต่างคนต่างไม่ใช่คนพูดเยอะ ทุกครั้งที่เขาคอลมาก็จะเป็นตอนที่อ่านหนังสือกัน บางวันผมก็นั่งดูเขาอ่านหนังสือเฉยๆ มือพี่เดือนมีปากกาแค่แท่งเดียวโดยผมเคยถามเขาว่าทำไมถึงไม่ใช่ไฮน์ไลท์หลายสีเหมือนคนอื่น เขาก็ตอบมาว่ามันเสียเวลาแถมยังคิดว่าสีมันลายตากว่าแค่ปากกาน้ำเงินกับปากกาแดง ตรงไหนที่สำคัญค่อยใช้ปากกาแดงเขียน

บางวันพี่เดือนก็จะสอนงานผมว่าทำอย่างไร แต่ก็มีบ้างที่พวกเราต่างหลับคากล้องกันไปทั้งคู่

ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อ...มันอบอุ่นใจแปลกๆ

ผมไม่ใช่คนไม่ยอมรับอะไรยาก รู้ว่าชอบก็คือชอบ แต่สำหรับกรณีพี่เดือนนั้นเล่นเอาผมสับสนเป็นครั้งแรกในชีวิต ยิ่งมากวัน รอยยิ้มพี่เดือนก็มากขึ้นตาม แต่พอเห็นเขาที่โรงเรียนก็ไม่เห็นว่าจะยิ้มให้ใครบ่อยเท่าผม มันน่าดีใจนิดๆที่ผมเป็นคนเดียวที่เห็นด้านนี้ของพี่เดือน ตอนที่ผมอยู่กับพี่เดือนสองคน เขาก็จะไม่ปิดอาการที่เขาอยากแสดงเลยเช่น หาวง่วงนอน งอแงเป็นเด็ก

“วันนี้จะอ่านหนังสือถึงกี่โมงครับ?”

‘จนกว่ากุมภ์จะไปนอนนั่นแหละ’

“งั้นผมนอนตอนนี้เลยแล้วกัน พี่เดือนไม่ค่อยได้นอนเท่าไหร่ผมเป็นห่วงนะ” พูดเองก็เขินเอง ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองมีฟีลเตอร์สาวน้อยหัดรักอย่างนี้กัน “พรุ่งนี้ต้องสอบแล้ว อ่านไม่เยอะหรอกครับ ยิ่งอ่านยิ่งไม่รู้เรื่อง ความรู้มันจะตีกัน”

‘ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือคนที่เคยเรียนไม่ดีมาก่อน’

ว่าแล้วก็หัวเราะทั้งคู่ ผมมาไกลจากจุดนั้นโข แต่ก็ไม่ได้เด่นโดดกับชาวบ้าน ผมสามารถดึงตัวเองออกมาจากจุดตกต่ำได้ก็ดีเท่าไหนแล้ว

‘อ่านสักสองชั่วโมงแล้วนอนกันเถอะ’

“ครับ”

จากนั้นทั้งผมและพี่เดือนก็เงียบ มีสมาธิกับหนังสือตัวเอง เสียงที่ดังที่สุดก็คงเป็นเสียงลมหายใจของผมกับพี่เดือนสลับกับเสียงขีดปากกา

พวกนทีก็บอกว่าช่วงนี้ผมขยันขึ้นแปลกๆ...สงสัยติดเชื้อมาจากพี่เดือนนี่แหละ

‘ครบสองชั่วโมงแล้วนะ’ พี่เดือนเป็นคนทักขึ้นมา ‘พรุ่งนี้กุมภ์สอบตารางเช้าเหมือนพี่ ไปด้วยกันเลยมั๊ย?’

“ก็ได้ครับ ประหยัดเงินค่ารถสาย” ไม่ได้ขี้งก...จริงๆนะ

‘พรุ่งนี้พี่จะไปหากุมภ์ตอนหกโมงสี่สิบนะ’ พี่เดือนปิดหน้าหนังสือตัวเอง ถอดแว่นตาออกวางข้างๆกันจากนั้นก็เดินไปที่เตียงตัวเอง ทุกครั้งก่อนที่พี่เดือนจะนอน เขาจะเปิดไฟตรงโต๊ะเขียนหนังสือเอาไว้เป็นแสงสว่างให้โล่งใจ ‘ฝันดีนะครับ’

“ฝันดีเหมือนกันครับพี่เดือน”

 

เช้าวันต่อมา พี่เดือนมารับผมไปโรงเรียนพร้อมกับเสียงแซวจากพ่อแท้ๆของผม ต่างคนต่างหน้าแดงเพราะเขิน...

“พี่เดือนครับ พรุ่งนี้พี่สอบเช้ารึเปล่าครับ?”

“อืม กุมภ์สอบบ่ายใช่มั๊ย จะให้พี่วนรถมารับรึเปล่า?”

“ไม่ครับๆ เดี๋ยวผมมากับนทีมันก็ได้” พี่เดือนเลิกคิ้ว บรรยากาศรอบๆเริ่มเปลี่ยนเป็นชวนอึดอัด “...พี่เดือน?”

“ไม่มีอะไรหรอก มากับนทีงั้นเหรอ...”

รึว่า...“พี่หึง?”

“...”

นั่นไง

“พี่พยายามอดทนอยู่ใช่มั๊ยครับ? เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันดังนั้นพี่ไม่มีสิทธิหึงหวงอะไรให้ตัวผม แต่ผมดีใจนะที่พี่หึง ความจริงก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเวลาที่พี่เดือนหึงจะเป็นยังไง” ผมหัวเราะให้พี่เดือนจนเขาจอดรถข้างทางเพื่อบีบแก้มผมจนยืดเป็นรอยแดงๆ

“ขี้หยอกนะเราน่ะ มานี่เลย มาให้บีบแก้มเลยเจ้าปลา”

เจ้าปลา เป็นชื่อเล่นของผมเวลาที่พี่เดือนหมั่นไส้อยากแกล้ง ส่วนผมก็จะเรียกพี่เดือนว่านกน้อย....ใช่ครับนกน้อย พี่เดือนขำไปหลายวันเพราะชื่อเล่นของเขา ถ้าถามว่าทำไมผมถึงเรียกเขาว่านกน้อย ฟังนะครับ พี่เดือนเปรียบตัวเองเป็นนกในกรง ไม่มีอิสระในการกางปีกบิน ทำให้ผมเรียกว่านก แต่นกในสมัยนี้มันหมายถึง...อืม อย่างที่คุณรู้ดีนั่นแหละ แล้วทีนี้บางทีพี่เดือนก็งอแงเหมือนเด็กตัวเล็ก ผมจึงเติมคำว่าน้อยลงไปด้วยเลยกลายเป็นนกน้อย

“ขับต่อเลย ตรงนี้จอดนานไม่ได้นะ”

“ครับๆ” พี่เหยียบคันเร่งเพื่อออกรถต่อจนไปถึงโรงเรียนประมาณเจ็ดโมงสิบกว่าๆ บรรยากาศวันนี้เงียบกว่าปกติเพราะส่วนใหญ่ตารางสอบจะจัดให้สอบบ่ายกัน ผมเดินไปพร้อมกับพี่เดือนเนื่องจากตารางสอบมันดันจัดให้ผมกับพี่เดือนสอบตึกเดียวกันพอดี

“นั่งตรงนี้ดีกว่า” พี่เดือนชี้ไปที่เก้าอี้ไม้ใต้ต้นแคนา ผมจึงวางกระเป๋าลงบนโต๊ะพร้อมกับหยิบหนังสือคณิตศาสตร์ออกมาด้วย พอพี่นกน้อยของผมเห็นก็ขยับเข้ามาใกล้แล้วสอนผมอย่างใกล้ชิด ไม่แคร์สายตาคนที่เดินผ่านไปมา

‘แก นั่นพี่เดือนไม่ใช่เหรอ? ส่วนนั่นก็น้องกุมภ์ที่ว่าเป็นพิธีกรร่วมกันคราวนั้น’

‘จริงด้วย อยู่ด้วยกันแล้วน่ารักอะ ดูเหมาะกันมาก คนหนึ่งก็หัวดีเรียนเก่ง หน้าตาหล่อ อีกคนก็ดูนุ่มๆน่าปกป้อง มีความเป็นแม่’

ผมไม่ได้สนใจกลุ่มผู้หญิงสองคนที่นั่งคุยตรงเก้าอี้ใกล้ๆกัน พี่เดือนก็ยังคงสอนผมเรื่อยๆจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกของเพื่อนดังมาใกล้ๆ

“นึกว่าหายไปไหน ที่แท้ก็มากกเด็กอยู่ตรงนี้”

“ศึก” อ่า..ผมจำพี่ศึกได้ขึ้นใจ หน้าตาแบบนี้มีคนเดียว พี่ศึกเป็นคนรูปร่างใหญ่มาตรฐานชายไทยสมัยก่อนซึ่งตรงข้ามกับพี่เดือนที่ออกทางหุ่นหนุ่มเกาหลี แต่ด้วยความที่พี่แกเล่นยิ้มตลอดเวลาทำให้ดูเหมือนคนบ้ายังไงยังงั้น “นี่กุมภ์ รุ่นน้อง--”

“ที่มึงอ่อยอยู่เหมือนในเพจบอก”

“หืม?”

“นี่ไม่ได้เข้าไปอ่านรึยังไง...ไม่สิ มึงไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านอะไรแบบนี้อยู่แล้ว น้องกุมภ์ ดูนี่นะ”พี่ศึกถือตัวเข้ามาใกล้ชิดผม ก่อนที่จะเข้าเฟสบุ๊คในโทรศัพท์ตัวเองเพื่อเปิดโพสหนึ่งในผมเห็น

“....”



BM Cuteboi

แอดมินชักไม่แน่ใจว่านี่แค่จิ้นหรือว่าเรียลกันแน่นะคะ เมื่อเช้าก็มีคนถ่ายมาได้ว่าน้องกุมภ์ลงมาจากรถพี่เดือน อีกทั้งมีการมานั่งด้วยกันที่ใต้ต้นแคนาหลังโรงเรียน แอดมินอยากได้คำตอบค่า แงงง

 

“ไม่ต้องไปสนเพจหรอกน่า” พี่เดือนดึงโทรศัพท์ออกจากมือเพื่อนสนิท พี่ศึกไม่ยอมทำให้เขาต้องลุกเข้าไปแย่งกับพี่เดือน จนสุดท้ายเลยกลายดูเหมือนว่ามีเด็กสองคนกำลังแย่งของเล่นกันอยู่ “ศึก มึงเลิกเล่นเป็นเด็กเดี๋ยวนี้เลย”

“มึงนั่นแหละ เขินก็บอก”

“ไอ้ศึก!! ไอ้เชี่ย!!” ไม่เคยเห็นพี่เดือนหยาบตรงๆเลยสักครั้ง รู้สึกตื้นตันยังไงไม่รู้ถึงแม้ว่าจะเป็นฝ่ายพี่เดือนที่ไปด่าเพื่อนก็เถอะ ผมปล่อยให้พวกเขาเถียงกันต่อไปจนกระทั่งได้ยินเสียงออดดังขึ้นเพื่อนเรียกให้เตรียมตัวเข้าสอบ พวกเขาละตัวออกจากกันแล้วชวนขึ้นตึกเรียน

“งั้นกูขึ้นไปก่อนนะ” พี่ศึกเป็นฝ่ายบอก “มึงไปส่งน้อง ’รัก’ มึงเถอะ”



พอพี่ศึกเดินจากไป ทั้งผมและพี่เดือนต่างมองหน้ากันด้วยความร้อนผ่าว แก้มทั้งสองข้างเป็นสีแดงเข้มจนเหตุผลคำว่าร้อนใช้ไม่ได้ เขาย้ำคำว่ารักเสียงดังจนคนบริเวณนั้นหันมามองเป็นทางเดียว

พี่ศึกนะพี่ศึก

ทิ้งระเบิดไว้ให้เก็บอีก

“...งั้นพี่ไปส่งหน้าห้องนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไปเองได้ พี่เดือนรีบไปเถอะเดี๋ยวจะสายเอา”

“..โอเค เที่ยงเจอกันนะ”

“โชคดีนะครับ”

ผมโบกมือลาพี่เดือนตรงบันไดแล้วแยกไปทางห้องที่ต้องสอบ ระหว่างนั้นก็เจอกับอุ้มที่กำลังยืนท่องอะไรสักอย่างในกระดาษด้วยสีหน้าเครียดๆ

“ว่าไง”

“มาพอดี มึงมาจำไม่ได้เป็นเพื่อนกูหน่อย”

“ขอโทษที มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่มึงขอกูไม่ได้” ผมส่ายหัวปฏิเสธ อุ้มเลยโวยวายผมแต่ก็หยุดเพราะรู้ดีว่าก็ไม่ได้ช่วยให้ความรู้มันเข้าสมองเพิ่ม “คนอื่นล่ะ?”

“นั่งในห้องกันแล้ว ไปเถอะ”

และชั่วโมงนรกของหลายคนก็เริ่มต้นขึ้น ปลายปากกาของพวกผมมันเป็นจุดชี้คะแนนปลายภาคได้สบายถ้าเกิดทำได้ไม่ดีช่วงกลางภาค โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่โจทย์จะซับซ้อนยิ่งกว่าตอนม.ต้น ต้องขอบคุณพี่เดือนที่คอยช่วยเหลือผมผ่านทางแชทมาโดยตลอดทำให้ผมไม่ลำบากกว่าเดิม

ผ่านวิชาคณิตศาสตร์มาได้ เกือบค่อนห้องก็ร้องโอดโอยกับวิชาวิทยาศาสตร์ต่อ ใครเป็นคนจัดตารางอันนี้ผมไม่รู้ รู้แค่ว่าถ้ามีคำนวณหนักๆสมองผมก็คงไม่ไหวเหมือนกัน ผมเหลือบเห็นอุ้มสลบคากระดาษไปแล้วในขณะที่ดินกำลังหมุนดินสอเลือกคำตอบ หันไปอีกทางที่เป็นฝั่งนทีผมเห็นมันทำหน้าจริงจังฝนคำตอบพลางขีดอะไรลงกระดาษไม่รู้เยอะแยะ

วิชาต่อมาคือวิชาเบาๆอย่างภาษาไทยที่คาดว่าทุกคนน่าจะทำได้ พอหมดวิชานี้ก็จะหมดการสอบสำหรับวันนี้

ระบบการสอบของโรงเรียนผมสอบกันเป็นผลัด เช้าบ่ายสลับกันไป และมีการสอบกลางภาคกับปลายภาคเพื่อนำไปรวมเกรด ถ้าเกิดใครทำคะแนนช่วงกลางภาคไม่ดีก็ยังมีสิทธิที่จะแก้ได้ตามความเหมาะสม แต่มันก็เป็นตัวที่สามารถชี้วัดเกรดได้เช่นกัน ดังนั้นแล้วถ้าอยากได้เกรดดีก็ต้องทำให้ดีเสมอต้นเสมอปลาย

เมื่อเวลาสอบหมดผมก็เก็บของออกจากห้องโดยที่ผมเห็นพี่เดือนกำลังยืนรออยู่กับพี่ศึก ท่าทางพี่เดือนจะรำคาญพี่ศึกพอตัวถึงมีสีหน้าเบื่อโลก ส่วนพี่ศึกก็คุยจ้อโดยไม่สนว่าพี่เดือนจะฟังรึเปล่า

“พี่เดือนสวัสดีครับ” นทีที่ตามผมออกมายกมือไหว้ญาติตัวเอง “พี่ศึก หวัดดี”

“ทำไมความสุภาพมันต่างกันเนี่ย?” พี่ศึกไล่ไปทุบไหล่นทีพลางหัวเราะ “ทีกับเดือนแม่งอย่างนุ่มนวล กับพี่ประจำสีไม่เคยอ่อนโยนด้วย เศร้า”

“ถ้าพี่ทำตัวน่าเคารพกว่านี้กับพี่เป็นญาติผมน่ะนะ” นทียักไหล่อย่างไม่ใส่ใจทำให้พี่ศึกงอแงออกหน้าแล้ววิ่งไล่จับนทีทันทีโดยปล่อยให้ผมยืนกับพี่เดือนสองคน

“พี่เดือนครับ สวัสดีครับ” ดินสะกิดพี่เดือนเพื่อทักทายพร้อมกับอุ้ม “มาหากุมภ์ถึงหน้าห้องเลย มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“เปล่าหรอก พอดีว่าจะไปส่งที่บ้าน พ่อกุมภ์ฝากเอาไ--”

“แหนะกุมภ์ นี่มึงพาพี่เดือนไปรู้จักพ่อแม่ตอนไหนกันฮะ ใจแตกนะแม่” อุ้มใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากของผม กดลงจนเกือบแดง หนำซ้ำยังสั่งให้ดินล็อคแขนผมเอาไว้ “บอกมาเดี๋ยวนี้”

“บ้านทางผ่านเดียวกันไง แล้วพี่เดือนเคยมารับครั้งหนึ่ง พ่อเลยรบกวนพี่เขา”

“ไม่ใช่งอแงให้มารับเองไม่ใช่เหรอ?”

“พี่เดือน!!”

“ว้ายยย โป๊ะแตก” อุ้มยกมือปิดปากระเบิดหัวเราะอัดใส่จนน้ำหูน้ำตาไหล

“อยากเห็นกุมภ์งอแงจัง” ดินบีบเสียงเลียนแบบผู้หญิง โคตรน่าเกลียด “อารมณ์แบบ ‘พี่เดือนครับ กุมภ์ไม่มีรถนั่งไปโรงเรียน ผมขอติดไปด้วยได้รึเปล่า?’ แน่”

“ดัดจริตนะมึง”

“เพื่ออรรถรสไงแม่”

“ไม่เถียงแม่ง ขี้เกียจ” ผมถอนหายใจ “ไปเถอะพี่เดือน อยู่กับสองคนนี้ผมปวดประสาท”

“คืนนี้ไม่รอดแน่ไอ้กุมภ์เอ๋ย ไม่ได้คำตอบพวกกูไม่หยุดส่งแชทแน่”

“กูจะปิดการแจ้งเตือน!”

“โทรแม่ง!”

“สัด!”

 

หลังจากจบสงครามประสาทจากสองคนนั้น ผมกับพี่เดือนก็นั่งรถมาที่ร้านขนมแถวๆที่เรียนพิเศษ ว่าจะมาหลายรอบแล้วก็ไม่ได้มาสักทีเพราะต่างคนต่างมีธุระไม่ก็เรียนทั้งคู่ ดังนั้นวันนี้จึงวันดีที่พวกเราจะได้ลองเมนูประจำร้าน

ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องฮันนี่โทรสขนาดยักษ์ชนิดที่เรียกได้ว่ากินทีเบาหวานถามหา และตอนนี้ผมก็ได้คนผลาญเบาหวานช่วย ไม่ต้องห่วงเรื่องจะกินไม่หมด อีกทั้งผมยังตามใจให้เจ้ามือสั่งเท่าที่ต้องการ บนโต๊ะเลยมีฮันนี่โทรสจานใหญ่ น้ำส้มสองแก้ว กับเครปเค้กอีกจานไว้แบ่งกันกิน

“ขยันสั่งจังเลยนะพี่ รู้ว่ามีเงินแต่จะกินหมดเหรอครับเนี่ย”

“ก็พี่อยากกินอะไรแบบนี้บ้างนี่นา” พี่เดือนว่าอย่างไม่ใส่ใจแล้วตัดแผ่นขนมปังเข้าปาก “อื้ม น้ำผึ้งหอมดี กุมภ์กินสิ”

พี่เดือนตัดขนมปังแล้วยื่นมาให้ผม...อ่า ป้อนนั่นแหละ ผมหันซ้ายขวาเพื่อมองดูว่าในร้านนี้มีคนในโรงเรียนผมอยู่ด้วยรึเปล่าเพื่อความแน่ใจก่อนที่จะงับเข้าปาก กลิ่นน้ำผึ้งหอมมาก ขนมปังก็กำลังนุ่มไม่แข็งเหมือนร้านอื่น คุ้มค่าสมราคาจริงๆ

“เป็นไง  อร่อยใช่มั๊ยล่ะ?”

“อื้ม”

“…”

“…”

และก็เกิดเดดแอร์ระหว่างพวกผมสองคน พี่เดือนเหมือนกำลังรออะไรอยู่ในขณะที่ผมไม่รู้ว่าพี่เดือนรออะไร แต่พอเหลือบไปมองฮันนี่โทรสบนโต๊ะกับส้อมในมือแล้ว ผมก็เข้าใจว่าพี่เดือนต้องการอะไร

“ถ้าพี่เดือนอยากให้ผมป้อนก็บอกก็ได้นี่ครับ เขิน?”

“ให้พี่เป็นฝ่ายงอแงขอร้องมันน่าอายนี่นา พี่แก่กว่านะ”

“สองปีเอง” ผมหัวเราะแต่ก็จิ้มขนมปังให้พี่เดือนงับ “จะว่าไปแล้วถ้าพี่เกิดปีเดียวกันกับผมจะเป็นยังไงนะ”

“ก็คงได้อยู่ด้วยกันตลอดเพราะอายุเท่ากัน ไปไหนมาไหนพร้อมกัน...ถ้าได้เรียนที่เดียวกันนะ”

พี่เดือนกับผมนั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ผู้คนก็เข้าออกร้านไปมา มีผู้หญิงบางคนก็ทำท่าจะเข้ามาขอเบอร์พี่เดือนเพราะเห็นว่าหน้าตาดี บางคนมาจากโรงเรียนผมก็เข้ามาจีบเลยโดยไม่สนหัวผม

กริ๊ง

“พี่เดือนอยู่นี่เอง”

นั่นคงเป็นเสียงของผู้หญิงที่อยากเข้ามาสารภาพรักกับพี่เดือนสินะ

“พี่เดือนคะ คือว่าแอนมีเรื่องอยากจะบอก...”

“ถ้าจะสารภาพรักก็อย่าเลยนะ ตอนนี้พี่มีคนที่ชอบแล้ว เสียเวลาเปล่าๆ--”

“พี่เดือนช่วยฟังให้จบก่อนได้มั๊ยคะ เรื่องที่หนูอยากจะบอกก็คือพี่ศึกเขาฝากนี่มาค่ะ คนทั่วโรงเรียนวิ่งวุ่นกันเพราะหาพี่ไม่เจอ นึกว่าหายไปไหน ที่แท้ก็มาจีบรุ่นน้องอยู่ที่นี่”

ผมหัวเราะอัดจานฮันนี่โทรสตรงกลางทันทีที่รู้ว่าพี่เดือนหน้าแตก พี่เดือนแก้มแดงหน่อยๆก่อนที่จะหันไปขอบคุณผู้หญิงคนนั้นที่บอกว่าเป็นคนจากสภานักเรียน

“พี่เดือน โอย..ผมขำ ฮ่าฮ่า”

“อย่าขำพี่ได้มั๊ยเนี่ย ครั้งแรกที่พี่เป๋อก็เพราะกุมภ์ ครั้งนี้ก็เพราะกุมภ์นะ”

“โทษผมอีก”

“ก็พี่มัวแต่สนใจกุมภ์นี่นา”

“ครับๆ ไม่หัวเราะแล้ว พี่ศึกเขาฝากอะไรมาให้เหรอครับ?”

พี่เดือนเปิดกล่องที่พี่ศึกฝากให้ผู้หญิงคนนั้นเอามาให้ ข้างในเป็นกระดาษเอสี่จำนวนมากซ้อนกันอยู่ ลึกลงไปอีกมีกล่องเล็กๆวางเอาไว้อีกชั้น “ศึกบอกว่ามีคนฝากมาอีกที”

“สงสัยจากแฟนคลับพี่”

“ไม่หึงเหรอ?” พี่เดือนยกกล่องใบเล็กออกมาเขย่า “มีคนให้ของขวัญพี่นะ?”

“จะหึงทำไม เดี๋ยวผมถ่ายรูปพี่อัดเป็นอัลบั้มเป็นของขวัญเลย”

“เกทับว่างั้น โหดดีนะ” พี่เดือนแกะกล่องออกมาแล้วเขาก็นิ่งไปเมื่อเปิดฝาออก ทำให้ผมต้องยื่นหน้าเข้าไปดูกับตาตัวเอง

ข้างในเป็นตุ๊กตาหมีสีขาวตัวเล็กหน้าตาน่ารักพร้อมกับข้อความ ‘ชอบพี่เดือน’ แต่ที่ไม่ปกติก็คือมีเข็มจำนวนกว่าสิบอันปักอยู่ที่หมีอีกตัวข้างๆกันที่มีกระดาษแปะเอาไว้ว่า ‘แกมันเลว แย่งพี่เดือนมาจากฉัน’

“กุมภ์...พี่ว่า..”

“อ่า..ผมพอจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น บางทีแฟนคลับคนนี้ของพี่อาจจะคลั่งพี่มากจนไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้” ผมนั่งลงกับเก้าอี้เหมือนเดิม “พอเห็นผมอยู่พี่เดือนบ่อยๆเลยส่งสารมาเตือนทำสงคราม”

“น่ากลัวนะ กุมภ์ระวังตัวด้วย”

“ผมไม่กลัวเรื่องนี้หรอกครับ บางครั้งการกระทำของคนเรามันสื่อว่าก้าวร้าว แต่ความจริงก็มีไม่กี่คนที่จะกล้าทำออกมาจริงๆ” ผมตักเครปเค้กเข้าปาก “ถ้าเขาไม่ชอบผม ป่านนี้ก็คงเอาน้ำกรดมาสาดเหมือนในละครไปแล้ว ผู้หญิงไม่มีมาขู่ก่อนหรอกถ้าอิจฉากันแบบนี้”

“ก็จริงอย่างที่กุมภ์ว่า”

“อีกอย่าง”

“?”

“ผมเป็นปลา ไม่ใช่หมี”

“...ฮึฮึ”

“ถ้าไม่ใช่หมี ผมจะไปเดือดร้อนทำไม?”

 

“กุมภ์ มึงรู้สึกว่าเหมือนมีใครตามพวกเรามาปะ?”

“รู้สิ”

“แล้วทำไมไม่เดือดร้อน ไม่กลัวอะไรเลยบ้างวะ กูหลอนนะเฮ้ย...” นทีเบะปากจะร้องไห้หลังจากที่พวกเรามานั่งกันตรงม้านั่งใต้ตึกช่วงสอบเสร็จ อุ้มกับดินหนีไปเล่นเกมเรียบร้อย ส่วนนทีมันรอให้พี่เดือนมารับผมไปก่อนแล้วมันค่อยกลับเพราะห่วงผม “แบบ..มึงไปทำอะไรมาวะถึงมีคนมาตามอาฆาตมึงเนี่ย”

“เมื่อวานมีคนฝากของมาให้พี่เดือน ข้างในเป็นตุ๊กตาหมีสองตัว ตัวหนึ่งถูกปักเข็มเอาไว้เต็มแล้วเขียนข้อความประมาณว่ากูไปแย่งพี่เดือนมาจากเขา”

“แอนตี้แฟน?”

“ไม่ใช่แอนตี้แฟน พวกคนที่ชอบพี่เดือนนั่นแหละ แต่คงหวงพี่เขามากจนหน้ามืดไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก กูระวังตัวตลอด”

“ขอให้รู้ไวๆแล้วกันว่าเป็นใครที่ทำ”

“อืม”

ผมนั่งไปอีกสักพักก็เห็นพี่เดือนเดินลงมาจากตึกพร้อมกับถุงอะไรก็ไม่รู้มาสองมือ

“พี่เดือนครับ นั่น...”

“มีคนฝากพี่มา..คนเดิมเลย มีแต่ของเปรี้ยวเต็มไปหมด”

พี่เดือนหยิบของในถุงออกมาวางบนโต๊ะให้ผมกับนทีเห็น มีแต่ตระกูลของเปรี้ยวแสบยันกระเพาะ แสดงว่าคนที่ให้ก็รู้ดีว่าพี่เดือนชอบของเปรี้ยวๆ “ถ้าเป็นสมัยก่อนพี่ก็ดีใจนะ แต่พี่เริ่มแปลกๆแล้วล่ะว่ามันน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้”

“เมื่อกี๊กุมภ์ก็เพิ่งเล่าให้ผมฟังว่ามีคนส่งตุ๊กตาหมีปักเข็มมาให้...มึงว่าน่าจะคนเดียวกันมั๊ย?” นทีหันมาถามผม แต่มือมันคว้าถุงมันฝรั่งรสเปรี้ยวมายัดเข้าปากโดยไม่ถามเจ้าของ

“เป็นไปได้ พี่เดือน ผมรู้สึกว่ามีคนตามพวกผมด้วยล่ะ จนถึงเมื่อกี๊นี้ที่พี่ลงมา”

“พี่เดือนมีสโตรกเกอร์? น่ากลัว” นทีเปลี่ยนมาหยิบขวดน้ำมะนาวขึ้นมาดื่มแทน “อึ๋ย เปรี้ยว!”

“พี่เดือนแจ้งทางโรงเรียนไว้ดีกว่านะครับ ผมว่ามันเริ่มไม่ดีแล้วถ้าเขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพี่” ผมดึงขวดน้ำมะนาวออกจากมือนที “ผมจริงจังนะ”

“พี่ทำอยู่แล้วล่ะ ความจริงพี่ก็บอกครูที่คุมสอบแล้วเหมือนกันว่าถ้าเห็นใครมาด้อมๆมองๆก็บอกพี่ที พรุ่งนี้สอบวันสุดท้ายกุมภ์ก็อย่าลืมบอกด้วยนะ”

“ครับ”

“งั้นกลับกันดีกว่า อยู่ที่นี่นานไม่ดี”

“พี่เดือนครับ”เสียงของนทีดังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเขายอมเงียบไม่หยิบขนมบนโต๊ะที่พี่เดือนทำท่าจะเอาไปทิ้ง “ผมขอขนมพวกนั้นนะ เสียดาย”

“เอาไปสิ พี่ว่าจะเลิกกินเปรี้ยวจัดพอดี” พี่เดือนยื่นถุงให้นทีจนมันดีใจเบิกตาพูดขอบคุณไม่หยุด หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

 

เช้าวันต่อมา คือเช้าวันสุดท้ายของการสอบ พี่เดือนยังคงรักษามาตรฐานในการมารับผมได้ดีเช่นเคย ต่างกันตรงที่ว่าวันนี้เขาพกแซนด์วิชมาให้ผมกินด้วย

“พี่ซื้อมาเผื่อ กินเอาไว้เยอะๆ สมองจะได้แล่น วันนี้ยิ่งมีสอบคหกรรมนี่นา”

“ครับ ผมกลัวอยู่ว่าผมจะไม่ผ่าน สอบปฏิบัติให้เย็บผ้า ผมทำได้ก็คงเทพแล้ว”

“สมัยพี่เรียนม.สี่พี่ก็เกือบตกม้าตายเพราะวิชานี้นี่แหละ”

“ฮะ?”

“พี่เย็บผ้าลูกไม้แล้วเข็มตำนิ้วพี่เลือดออกซึมทั่วผ้าเลย คนทั้งห้องตกใจจนลากพี่ไปห้องพยาบาล พี่ไม่ได้ทำมีดบาดมือสักหน่อยทำเป็นเรื่องคอขาดบาดตายไปได้” เขาหัวเราะในลำคอ “อีกอย่างคือพี่ไม่ถนัดทำอาหาร เทอมสองที่เน้นเรื่องนี้พี่ก็แย่จนคะแนนไม่ได้ตามที่หวังหลายรอบเหมือนกัน”

“โห ถ้าพี่เดือนทำอาหารแย่แล้วผมนี่คงอาวุธชีวภาพแล้วล่ะ ผมจำไม่ได้สักทีว่าต้องใส่อะไรก่อนหลัง หรือเคี่ยวอะไรนานแค่ไหน แม่สอนทั้งผมกับมีนาให้ทำอาหารนะแต่สุดท้ายก็มีแค่น้องผมที่ทำต่อจนลามไปถึงขนม” ว่าแล้วก็เจ็บใจ ผมไม่มีฝีมือในการทำอาหารเอาเสียเลย ขนาดแค่ไข่ดาวยังทำไหม้ ต้มมาม่าได้ก็บุญสุดชีวิตแล้ว

“ต่างคนต่างทำอาหารไม่เป็น สงสัยอนาคตอยู่ด้วยกันต้องพึ่งอาหารสำเร็จรูปแล้วมั๊ง?”

“นี่พี่คิดไปถึงอนาคตเลยรึยังไงครับ?” ผมพูดพลางยิ้ม ความจริงคำว่าอนาคตมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่หลายคนคิดหรอก กลับคิดว่ามันน่าตื่นเต้นด้วยซ้ำที่เราจะได้เจอสิ่งใหม่ๆที่เราไม่เคยได้สัมผัส

“ความจริงพี่ก็ฝันถึงว่าเรานอนเตียงเดียวกัน..เรานั่งกินข้าวด้วยกัน..เรามีเวลาร่วมกันเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ” เขาตบไฟเลี้ยวเข้าไปจอดรถในโรงเรียน “ชีวิตที่เรียบง่ายแต่มีสีสัน..คือสิ่งที่พี่ต้องการ”

“งั้นพี่ก็ลำบากหน่อยนะเพราะพี่เป็นว่าที่นายแพทย์”

“พี่ไม่ได้อยากเรียนหมอหรอก แม่พี่เขาอยากเพราะเห็นว่ามีหน้ามีตา” ผมมองสายตาพี่เดือนที่หลบต่ำลงเหมือนลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ “พี่อยากเป็นสจ๊วดนะตอนเด็กๆ คิดดูว่าเวลาที่เราได้บินไปบนท้องฟ้าไปต่างประเทศมันจะน่าสนุกแค่ไหน พอโตขึ้นมาหน่อยพี่ก็อยากเป็นพวกนักบำบัดจิตเวทเพราะอยากรู้พฤติกรรมของคนเหล่านี้ แต่ตอนนี้พี่ต้องเดินเส้นทางการแพทย์ตามที่ครอบครัวหวัง พี่ไม่อยากให้เขาผิดหวัง”

“แล้วพี่จะทิ้งความฝันพี่ไว้แบบนี้เนี่ยนะ?”

“พี่ไม่ได้ทิ้งความฝันสักหน่อย”

“หมายความว่ายังไงครับ?”

“ตอนนี้พี่มีความฝันใหม่แล้ว พี่เจอแล้ว เหลือเพียงแค่รอวันที่เป็นจริง”

“...”

“ความฝันของพี่ก็คือกุมภ์ พี่รอวันที่พวกเราได้ตั้งสถานะด้วยกันบนเฟสอยู่นะ”

 

โอเค จังหวะที่ผมกำลังเย็บผ้าอยู่นั้นผมยอมรับว่าผมปักผิดไปเยอะโข

ถ้าผมจะตกวิชานี้ก็ไม่ต้องไปโทษใครเลยนอกจากพี่เดือนที่ทิ้งระเบิดเอาไว้เต็มๆแล้วปล่อยให้ผมนั่งบื้อนานเกือบสิบนาทีได้

เขินเป็นนะเฮ้ย!

ในขณะเดียวกันผมที่วางผ้าลงแล้วก็เหลือบไปเห็นเงาอะไรแว๊บๆตรงประตูห้อง แต่ก็คิดว่าเป็นแค่หมาที่เดินผ่านเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าหมาตัวเดิมมันก็วนเวียนซ้ำไปมาจนน่าสงสัย พอครูบอกว่าหมดเวลาสอบผมจึงเป็นคนลุกขึ้นมาแล้วเดินจากห้องคนแรก

เมื่อย่างเท้าออกจากประตูห้อง ผมก็ส่องซ้ายขวาดูลาดเลา ผมไม่เห็นมีใครเลยนอกจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนคุยกับครูที่ห้องข้างๆกัน ผมจึงสบายใจแล้วออกมาใส่รองเท้าที่ชั้นวางข้างๆ

ซ่า

“นี่ทำอะไรของเธอ!”

เสียงร้องดังเอะอะโวยวายมาจากครูที่ยืนคุยกับนักเรียนผู้หญิงคนเมื่อครู่  ผู้หญิงคนนั้นถือแก้วน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแดงสาดมาที่ผมจนเปียกไปหมด ยังไม่พอเธอยังเอาอีกแก้วที่วางไว้ใกล้ๆกันมาสาดใส่หัวของผมจนเหนียวไปหมด

“แกแย่งพี่เดือน! ฉันมีสิทธินั้นคนเดียว! คนเดียว!”

“ผมไม่เข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร..”

“แกอ่อยพี่เดือนจนพี่เดือนติดกับ! เกย์อย่างแกมันนี่...น่ารังเกียจจริงๆ!

“ขอโทษนะครับที่พวกเราทำตัวน่ารังเกียจ”

ผมหันไปมองตามเสียงที่มาใหม่ท่ามกลางความวุ่นวาย พี่เดือนเดินมาพร้อมกับสีหน้าที่แสดงออกชัดเจนว่าเขากำลังหงุดหงิด ไม่มีใครกล้าขวางพี่เดือนเลยแม้สักคน จนกระทั่งเขาเดินมากั้นผมกับผู้หญิงคู่กรณีเอาไว้ให้

“แต่ผมก็จะไม่ยกโทษให้คุณ..ที่ทำตัวน่ารังเกียจให้คนสำคัญของผม”

 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:26:52 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ฉากสาดน้ำนี่คลาสสิคดีจริงๆ 555
พี่เดือนจัดการโลด!

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 8

 

“พี่เดือนใจเย็นก่อนสิครับ” ผมรีบปรามพี่เดือนก่อนที่เรื่องมันจะใหญ่ไปมากกว่านี้ ทุกคนต่างหันมาให้ความสนใจที่กลุ่มคนสามคนที่ยืนกันหน้าห้องสอบ นทีทำท่าจะวิ่งเข้ามาตามแต่ถูกอุ้มกับดินรั้งเอาไว้เสียก่อน

“แต่เธอทำกุมภ์นะ พี่ยอมไม่ได้ ดูสิ เหนียวไปหมดแล้ว” พี่เดือนหยิบผ้าเช็ดหน้าตัวเองมาเช็ดตามหน้าผากและไรผมของผมให้ ก่อนที่จะหันไปทางผู้หญิงที่เป็นคู่กรณี “ผมไม่รู้หรอกว่าคุณไม่พอใจอะไรในตัวกุมภ์ ถ้าไม่มีเหตุผลก็อย่าทำครับ”

“พี่เดือน! หนู..หนูมีเหตุผลนะ ก็ไอ้เด็กนี่มัน--”

“กรุณาเรียกดีๆ..” พี่เดือนส่งน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ให้เธออีกครั้งจนเธอพูดไม่ออก แต่เขาก็ไม่ได้ขย้ำขยอกอะไรจากเธอ “ผมจะไม่นับคุณเป็นรุ่นน้องหรือใครถ้าคุณยังทำตัวแบบนี้ คุณแอบตามติดผมไม่พอยังสร้างเดือดร้อนให้คนอื่นอีก โดยเฉพาะกับเขาคนนี้”

“...”

“พี่เดือน ใจเย็นครับ ผมไม่เป็นอะไรมากแค่กลับไปอาบน้ำก็พอแล้ว” ผมรีบใช้มือที่ไม่ได้เปียกน้ำหวานผลักให้พี่เดือนเดินตามผมไป เขาพยักหน้าแต่โดยดีแต่ก็ยังกำชับกับครูที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันว่าให้ช่วยลงโทษหรือทำอะไรสักอย่างให้

“กุมภ์เอาผ้าเช็ดตัวในรถพี่ไปเช็ดก่อนนะ” เขายื่นผ้าเช็ดตัวขนาดเล็กมาให้ผม ทำไมในรถพี่เดือนถึงมีผ้าได้กัน? “ไม่ต้องสงสัยหรอก พี่เอาติดรถไว้เผื่อฝนตกแล้วพี่วิ่งกลับรถไม่ทัน”

“ขอบคุณครับ”

พี่เดือนไม่พูดอะไรต่อ เขาปล่อยให้ผมเช็ดตัวเองบนรถและก็ขับกลับไปส่งที่บ้าน พอพ่อแม่ผมเห็นเข้าก็โวยวายถึงคนที่ทำกันใหญ่ พี่เดือนเองขอโทษที่มาช่วยผมไม่ทัน เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดใครทั้งสิ้นแม้กระทั่งคนที่สาดน้ำใส่ผม เธอก็แค่อิจฉาที่ผมสนิทกับคนที่เธอปลื้ม

“แล้วจะเอายังไงต่อดีละครับ? กับผู้หญิงคนนั้นน่ะ”

“ก็คงต้องเข้าห้องปกครองนั่นแหละ...แต่พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นพี่หรือเขาที่ต้องเข้า”

“พี่เดือนไม่ผิดสักหน่อยนะครับ”

“แต่พี่ก็สบประมาทเขาไป แล้วฝ่ายนั้นก็เป็นผู้หญิง ครูก็จะเห็นว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายถูกก่อนเสมอนั่นแหละ” พี่เดือนถอนหายใจ “พี่จะกลับแล้ว กุมภ์ไปอาบน้ำเถอะ เปียกแบบนี้เดี๋ยวไม่สบายเอา”

“กลับบ้านดีๆนะครับ ผมเป็นห่วง”

“ครับผมเจ้าปลา” ผมเดือนยิ้มให้ผมก่อนจะลาพ่อกับแม่ขับรถกลับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าพี่เดือนจะกลับไปที่โรงเรียนหรือว่าที่บ้านเลยนี่แหละ ทำให้อดเป็นห่วงนิดๆไม่ได้ ถ้าเกิดกลับไปที่โรงเรียนอีกพี่เดือนก็ต้องโดนหนักแน่ๆ

เขายอมออกตัวเพื่อให้ผมไม่โดนแกล้ง..

 

ผมใช้เวลาในห้องน้ำนานโขเพราะต้องล้างน้ำหวานเหนียวๆออกให้หมดตั้งแต่หัวยันเท้า จากนั้นก็เปลี่ยนมาใส่เสื้อเล่นนั่งอ่านแชทที่เพื่อนส่งมาให้บนห้องตัวเอง

 

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 14.36 pm

สรุปว่าเขาเข้าห้องปกครองเพราะมีหลักฐานว่าเริ่มก่อนว่ะ

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 14.36 pm

พี่เดือนรอด

Din not Tin 14.36 pm

โชคดีไป

Din not Tin 14.37 pm

แต่กลับมีประเด็นใหม่แทน

Din not Tin 14.37 pm

มีคนสงสัยว่าพี่เดือนเป็นเกย์หลังจากออกมาป้องมึงอะกุมภ์ จากคำพูด น้ำเสียงแล้ว พี่เขาน่าจะหวงมึงน่าดู

นทีที่แปลว่าแม่น้ำ 14.38 pm

จริง กุมภ์ ช่วงนี้มึงก็มากับพี่เดือนบ่อยด้วย มีอะไรกันรึเปล่าเนี่ย

 

ประเด็นใหม่ถูกจุดขึ้นมาเมื่อมีคนถ่ายวิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งให้เพจคิ้วท์บอย กลายเป็นเรื่องจับตามองของคนหลายคน โดยเฉพาะเหล่าแฟนคลับพี่เดือนที่ออกตัวมาบอกว่าพี่เดือนไม่ใช่เกย์ แต่บางคนก็บอกว่าไม่ว่าพี่เดือนจะเป็นอะไรก็ยังคงนับถือเป็นรุ่นพี่ที่เก่งคนหนึ่ง

จนกระทั่งผมเลื่อนมาอ่านเจอคอมเม้นท์ที่โจมตีผมในทางเสียหาย ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าผู้คนที่ไม่ชอบผมเขารู้รึยังไงว่าผมเป็นใคร มีนิสัยอย่างไร บางคนก็บอกว่าผมมันร่านทั้งที่ผมยังไม่ได้ทำอะไร บางคนก็ปกป้องผมแต่ก็มีคนโจมตีกลับมาบอกว่ารู้จักผมไม่ดีพอ

ถ้ารู้จักดีพอคงไม่บอกว่าผมมันแรดเถอะ...

อยากจะตอบคอมเม้นท์แต่ก็กลัวเขาหาว่าผมออกมาดิ้นเลยทำเป็นเงียบ

 

พีรดล 15.23 pm

กุมภ์ พี่อ่านคอมเม้นท์ว่าเราเสียหายในเพจแล้ว

พีรดล 15.23 pm

พี่จะไปบอกแอดมินให้ลบโพสนะ

กุมภ์ 15.24 pm

ครับๆ ผมไม่ได้คิดมากหรอก คิดแค่ว่าคนที่มาคอมเม้นท์เขารู้จักผมดีกันแค่ไหนเชียวถึงมาว่าผมเสียๆหายๆได้

พีรดล 15.24 pm

ข้อหาหมิ่นประมาทๆ

 

ผมหัวเราะกับแชทของพี่เดือน เจ้าตัวดูหงุดหงิดมากกว่าผมเสียอีกที่มีคนมาว่าผมเสียหาย

 

พีรดล 15.25 pm

...พี่จะประกาศตัวว่าพี่เป็นเกย์ดีรึเปล่า มันจะได้จบๆ...

กุมภ์ 15.25 pm

แล้วแต่พี่เลยครับ

 

ผมเคารพการตัดสินใจของพี่เดือน

ไม่ว่าพี่เดือนจะทำทางไหนก็ย่อมมีผลกระทบอยู่แล้ว และถึงพี่เดือนจะปิดเอาไว้ยังไง สุดท้ายก็ย่อมมีคนมารู้อยู่ดีนั่นแหละ สู้บอกไปเลยยังดีกว่า ดีไม่ดีบอกทีหลังมีคนไม่ชอบเยอะกว่าด้วยซ้ำไป

 

พีรดล 15.28 pm

พี่กลัวว่าถ้าพี่ประกาศ จะมีคนเข้ามารังควานกุมภ์มากกว่าเดิมนี่สิ

พีรดล 15.28 pm

พี่เป็นห่วงนะ

 

สั้นๆได้ใจความว่าพี่เดือนใส่ใจผม ถึงยังลังเลว่าจะประกาศไปดีหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นผม..

 

กุมภ์ 15.29 pm

พี่เดือนครับ ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมไม่ได้หวั่นไหวกับเรื่องอย่างนี้ง่ายเหมือนคนอื่นสักหน่อย

กุมภ์ 15.30 pm

ลมปากคนมันไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ

กุมภ์ 15.31 pm

ผมไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่คนว่า ทำไมผมต้องเดือดร้อน

พีรดล 15.32 pm

ถ้ากุมภ์ว่าอย่างนั้น...

พีรดล 15.33 pm

พี่จะบอกทุกคนสัปดาห์หน้า พี่ขอเวลาบอกครอบครัวพี่ก่อน

พีรดล 15.33 pm

กุมภ์อดทนไหวนะ?

 

ผมตอบไปว่าไหว

ผมไม่ใช่สาวน้อย ผมไม่ใช่คนจิตใจหวั่นไหวกับเรื่องพรรณนี้ง่าย ผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่กล้ายอมรับกับสิ่งที่เกิด เช่นเดียวกับกรณีนี้ ใจจริงผมก็ไม่อยากให้พี่เดือนปิดบังตัวตนของตัวเอง ผมอยากให้พี่เดือนกล้าที่จะยอมรับ กล้าที่จะเปิดเผย การที่เราแสดงตัวตนแท้จริงนั้นมันไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือเรื่องน่าขายหน้า สังคมในปัจจุบันเปิดกว้างมากขึ้น หลายคนที่ไม่กล้าเปิดเผยก็มีความคิดเช่นพี่เดือนคือความกลัว กลัวต่อความคิดของผู้คน ซึ่งถ้าเราไม่สนใจกับคำนินทาว่าร้าย เราก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

ตกค่ำมาผมนั่งนอนเล่นกลิ้งไปมาบนเตียง ตอนมีนากลับมาบ้านก็เข้ามาโวยวายใหญ่ว่าทำไมไม่รีบหลบก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะสาดน้ำหวานใส่ แต่สุดท้ายก็บอกให้ระวังตัวมากกว่าเดิม

“ผู้หญิง...ไม่สิ คนหลายคนเขาอิจฉาพี่ที่ได้เป็นคนใกล้ชิดพี่เดือน แต่เชื่อผมเถอะว่าถ้าพี่เดือนประกาศว่าพี่เป็นตัวจริงเมื่อไหร่ พวกเขาก็จะเลิกเอง”

มีนาบอกอย่างนี้กับผมก่อนที่จะกลับห้องตัวเอง ปล่อยให้ผมนั่งจมกับความคิด

ถ้าเกิดว่าผมกับพี่เดือนคบกันแล้ว...พี่เดือนจะมีคนเกลียดเพิ่มขึ้น?

หรือว่าผมจะถูกบูลลี่จากกลุ่มแฟนคลับพี่เดือน?

พี่เดือนไม่ใช่ของตาย ยังไงสักวันก็ต้องมีครอบครัวของตัวเอง พวกเขาก็ต้องทำใจอยู่แล้ว แต่ก็ยังยอมรับไม่ได้สินะ...

ไม่นานนักพี่เดือนก็โทรมาคุยกับผมถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เขาบอกว่าเขาไปเคลียร์กับทางนั้นเรียบร้อยแล้ว ผลสรุปก็คือเธอเป็นคนที่ส่งตุ๊กตานั่นมา เป็นคนส่งจดหมายสารภาพรักที่ถูกพี่เดือนปฏิเสธ เธอจึงโดนหักคะแนนประพฤติไปมากโข ส่วนผมจัดว่าเป็นผู้เสียหายไม่มีความผิดใดๆ ถึงอย่างนั้นผมก็อดที่จะถามถึงเจ้าตัวไม่ได้ว่าหลังจากนั้นมีอะไรเกิดขึ้นกับพี่เขารึเปล่า เขาตอบมาเพียงแค่ว่ามีคนมาถามเฉยๆว่าพี่เดือนเป็นเหมือนอย่างที่หลายคนสงสัยมั๊ย พี่เดือนเพียงแค่ไม่ได้ตอบอะไรไป

สุดท้ายแล้วก็เป็นผมที่หลับคาสายโทรศัพท์ไปก่อน

วันต่อๆมา เป็นวันหยุดของพวกผมก่อนที่จะต้องไปเรียนในอีกสัปดาห์หน้า ดังนั้นแล้วช่วงนี้จึงเป็นช่วงพักหย่อนใจที่ดีที่สุด กลุ่มเพื่อนผมสี่คนก็ยังคุยถึงสถานที่นัดที่จะไปหาอะไรกินกันจนตกลงได้ว่าจะนั่งร้านอาหารญี่ปุ่นร้านเดียวกันกับที่พวกมันเคยเทผมเพื่อเป็นการขอโทษ

มาขอโทษตอนนี้ เออ ดี

เมื่อได้เวลาที่นัด ผมก็ให้ไอ้นทีมันขี่มอเตอร์ไซค์มารับผมถึงหน้าบ้าน ไม่พ้นที่มันจะถามตรงๆว่าระหว่างผมกับพี่เดือนมีอะไรกัน ก็เลยบอกมันว่าจะไปบอกที่ร้านเอา

พอถึงร้านอาหารญี่ปุ่น อุ้มกับดินที่นั่งโต๊ะรออยู่แล้วก็รีบกวั่กมือให้พวกผมไปนั่งด้วย จากนั้นก็ถึงช่วงของการสั่งอาหารอย่างไรมาง้อคน

“กุมภ์ สรุปว่ามึงกับพี่เดือนนี่ยังไง?”

นทีเป็นคนเปิดประเด็น ทำให้เพื่อนอีกสองคนที่นั่งตรงข้ามหันมามองพร้อมๆกัน สายตาแต่ละคนจะเค้นเอาคำตอบเหลือเกินนะ..

“ก็ไม่ยังไง คุยๆกันอยู่”

พี่เดือนกำลังจะประกาศตัวแล้วด้วย บอกเพื่อนตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน...

“คุยกันที่ว่า...ใช่อย่างที่กูคิดรึเปล่าวะ?”

คำถามนี้เป็นของแม่หญิงคนเดียวในกลุ่ม พอบอกว่าคุยๆกันนี่เลือดวายมันพุ่งเลยรึยังไงครับ “...ก็อย่างที่มึงคิดอะ”

“เชี่ยยยยยย” ทั้งกลุ่มร้องขึ้นมาเสียงดังจนผมต้องปรามเอาไว้ก่อนผู้จัดการร้านจะมาไล่ออกเสียก่อน

“สรุปว่าพี่เดือนเป็นจริงเหรอวะเนี่ย? คือแบบ..เห็นเงียบๆแบบนั้นกูไม่คิดว่าจะเป็นว่ะ”

“อีเห้ กูว่าแล้วว่าพี่เดือนต้องมีซัมติง มีจริงๆ หวยลงกับเพื่อนด้วย ฮืออออ”

“ไม่รู้โชคดีรึโชคร้ายที่พี่เดือนมาหลงมึงว่ะ”

“ไอ้ดิน!”

“โวยวายไปได้แม่ กูแค่พูดเล่นมั๊ย แต่คุยกันนานเท่าไหร่แล้วละ ยังไม่ได้คบกัน? เจอหน้าพ่อแม่ยัง? อัพเดทหน่อยครับ” ดินยื่นตะเกียบใช้แล้วทิ้งมาแทนไมค์ ทำท่าเป็นเหมือนนักข่าวมือสมัครเล่น

“มึงอย่าเพิ่งไปบอกใครแล้วกันนะ พวกมึงรู้กลุ่มแรกเนี่ย” ผมถอนหายใจ ในเมื่อจะบอกก็ต้องบอกให้ถึงที่สุด “คือกูพอจะสังเกตได้ระยะแล้วว่าพี่เดือนชอบชวนกูไปที่นู่นที่นี่ด้วย แต่กูก็พยายามไม่คิดไปเองว่าพี่เดือนกำลังจีบกูจนกระทั่งมีวันหนึ่งพี่เดือนเขาอยากลองเล่นกล้องของกู เลยพาไปที่ห้อ--”

“มึงพาผู้ชายเข้าห้องเหรอวะ?! ทำไมไม่รักนวลสงวนตัว” นทีใช้มือข้างหนึ่งมาตีไหล่ผม ผมจึงแยกเขี้ยวใส่มันไป

“แล้วที่นี่พี่เดือนก็อยู่กินข้าวที่บ้านด้วย พอกูขึ้นไปทำธุระข้างบนแป๊บนึง ลงมาก็ได้ยินพ่อกูคุยกับพี่เดือนประมาณว่าพ่อจับสายตาที่พี่เดือนมองกูได้ว่าไม่ใช่แค่พี่น้อง...จะว่ายังไงดีวะ

“เอาเป็นว่าพ่อรู้นั่นแหละว่าพี่เดือนกำลังพยายามจีบกู พอออกมาแล้วเห็นกูแอบฟังอยู่ก็เลยถามว่าไม่ชอบรึเปล่า”

“มึงก็ตอบว่าไม่ได้ไม่ชอบ?”

“....อือ”

“แม่กูใจแตกตั้งแต่สิบหกเลยเว้ย โธ่” อุ้มตบหน้าผากตัวเอง ก่อนที่พี่พนักงานคนหนึ่งจะยกอาหารมาเสิร์ฟ “หลังจากนั้นมามึงกับพี่เดือนก็คุยกันโดยที่ไม่บอกหรือมีข่าวหลุดเลยสักอย่าง? ทำได้ไงวะ โคตรเนียน”

“บ้านพี่เดือนไม่สนับสนุนเรื่องนี้น่ะสิ พี่เดือนเลยยังไม่กล้าบอก แต่เขาบอกว่าจะบอกภายในสัปดาห์นี้แล้ว”

“ก่อนเปิดครึ่งหลังเทอมนี้สินะ...” ดินตักข้าวแกงกะหรี่เข้าปาก “บ้านพี่เดือนไม่ชอบเกย์...แต่ได้ลูกเป็นเกย์ บ้านจะแตกมั๊ยเนี่ย”

“กูก็ลุ้นอยู่ ถ้าเกิดผิดคอกันขึ้นมาเรื่องมันไม่จบง่ายแน่ นี่ชีวิตจริงนะไม่ใช่ในนิยายที่แบบ อ้อ ลูกเป็นเกย์เหรอ? แม่รับได้..อะไรอย่างนี้”

“แต่นี่มันก็นิยายนะเฮ้ย...” นทีพูดเสียงเบาจนคนอื่นแทบจะไม่ได้ยินยกเว้นผม มันหมายความว่ายังไงของมันวะ?

“กินเถอะๆ เครียดไปก็ไร้ประโยชน์ตอนนี้” ดินรีบปิดบทสนทนาแล้วตักข้าวเข้าปาก พวกผมจึงเปลี่ยนประเด็นเรื่องไปอย่างผลการสอบแทน พอกินข้าวเสร็จก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน

ผมยังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้เลยเดินดูตู้เกมพลางนึกถึงวันที่ผมพาพี่เดือนเล่นเกม จะว่าไปแล้วตอนนี้พี่เดือนทำอะไรอยู่นะ...

ฟึ่บ

“ทายสิ ใครเอ่ย”

ผมอมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงของคนที่ผมเพิ่งนึกถึงไปดังขึ้นมาจากด้านหลัง มือทั้งสองข้างของเขายกขึ้นมาปิดตาผมเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ทายยากเลย

“พี่เดือนมาทำอะไรที่นี่ครับเนี่ย?”

“พี่ก็ออกมาเที่ยวไม่ได้บ้างรึยังไง?”

“อย่ากวนน่าพี่เดือน” เมื่อเขาคลายมือออก ผมก็หันกลับไปดูเจ้าตัวที่วันนี้ใส่เสื้อยืดสีฟ้าอ่อนกับกางเกงขาสามส่วนดูสบายๆและปล่อยตัวมากกว่าวันอื่น เพิ่มเติมคือพี่เดือนไม่ได้เซ็ทผมมาด้วยทำให้ผมหน้าม้าตกลงมาแยงตาเขา ไหนจะแว่นตานั่นอีก

ถ้าไม่สังเกตดีๆคนก็ไม่รู้ว่านี่คือเพอร์เฟ็คแมนทื่ชื่อว่าเดือน

“วันนี้ทำไมมาในสภาพนี้ได้ครับ?”

“ก็พี่ขี้เกียจแต่งตัวเลยออกมาแบบนี้นี่แหละ”

“โห พี่ขี้เกียจเป็นด้วย?”

“ทำไมไม่ได้ล่ะ นี่แหนะ” เขาดึงแก้มผมเบาๆแล้วโยกไปมา ทั้งผมและพี่เดือนต้องหลุดหัวเราะเบาๆก่อนที่จะหันไปมองร้านไอศกรีมชื่อดังที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณนี้ “อยากกินมั๊ย? พี่เลี้ยงเอง”

“ป๋ามาจากไหนกัน”

“พี่ไม่ใช่ป๋า พี่เป็นแด๊ดดี้” พี่เดือนโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูของผมด้วยน้ำเสียงแปลกๆราวกับว่าจะกลั้นขำไม่อยู่

“...”

“แด๊ดดี้ที่ไม่ได้แปลว่าพ่อ”

 

โอ…

เค

ผมจะจำเอาไว้ว่าอย่าให้พี่เดือนเล่นมุขพรรณนั้นอีกเพราะว่าเป็นพี่เดือน มาแด๊ดดงแด๊ดดี้จนผมขนลุกไปทั้งร่างกายแถมยังไม่รับผิดชอบปล่อยให้ผมยืนเอ๋ออยู่คนเดียวอีก

พี่เดือนลากผมเข้าร้านไอศกรีมแล้วสั่งเป็นถ้วยใหญ่มากินด้วยกัน ถึงพี่เดือนจะไม่ได้แต่งตัวมาก็จริงแต่ผู้หญิงในร้านก็ยังคงหันมามองเป็นแถวไม่เว้นพี่พนักงานสาวขาขาวตรงเคาท์เตอร์ด้านหน้า

“เมื่อกี๊ผมเพิ่งแยกกับเพื่อนมาเอง พวกมันพากันเลี้ยงใช้คืนตอนที่นัดล่ม” ผมเขี่ยไอติมมะนาวเข้าปาก อันนี้พี่เดือนรีเควสมาเอง “...พี่เดือน ผมบอกเพื่อนแล้วนะว่าผมคุยกับพี่อยู่”

“แล้วเพื่อนว่ายังไงล่ะ?”

“เพื่อนผมไม่ได้รังเกียจอะไรเลย กลับพากันคิดว่าพี่เดือนชอบผมได้ยังไงด้วยซ้ำ” ผมส่ายหัว ยิ่งไอ้นทีมันยิ่งจะไม่เชื่อ

“ดีแล้วล่ะ พี่ยังไม่ได้บอกศึกมันเลย พี่กลัวว่ามัน...”

“พี่นี่ขี้กลัวเนอะ บอกไปเลยพี่ ไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังหรอก ถ้าพี่ศึกไม่คบพี่เป็นเพื่อน พี่ก็ยังมีเพื่อนผม”

“พี่ไม่ได้กลัวว่ามันจะตัดเพื่อนเพราะพี่เป็นเกย์ พี่กลัวว่ามันจะโกธรที่ตลอดสามปีมานี้พี่ไม่ได้พูดถึงรสนิยมพี่เลยตังหาก” พี่เดือนหยิบเชอร์รี่ออกจากถ้วย ทั้งผมและพี่เดือนไม่ชอบมัน “แต่ถ้ายังไม่พูดพี่ก็อาจจะโดนหนักกว่านี้ก็ได้”

“บอกไปเถอะครับ โกธรยังไงพี่ศึกเขาจะคงให้อภัยในเมื่อพวกพี่เป็นเพื่อนกัน”

“อืม”

“ไหนๆก็อยู่ด้วยกันแล้ว ถ่ายรูปด้วยกันดีกว่า” ผมหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมา “ไม่ประกาศวันนี้ก็วันหน้าว่าพี่เดือนกำลังคุยกับผม ถ้าไม่อยากจะเปิดแบบตูมเดียวพี่ก็ถ่ายรูปถ้วยไอติมวางช้อนสองอันแล้วโพสแคปชั่นอะไรลงไปก็ได้”

“ช่างคิดนะเจ้าปลา” พี่เดือนยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมก่อนที่จะหยิบไอโฟนของตัวเองมาถ่ายรูปถ้วยไอติมตรงหน้า พวกเรานั่งกินไปได้อีกสักพักผมก็ได้การแจ้งเตือนจากเพื่อนที่แยกกันไป

 

Smol 13.21 pm

ไอ้เชี่ยกุมภ์! ไอ้เชี่ยยยยยยย

Smol 13.21 pm

มาทิ้งกับระเบิดอะไรกันคะแม่!

Smol 13.21 pm

*แนบลิงค์*

 

ผมกดเข้าไปดูตามที่อุ้มมันโวยวายมา ลิงค์นั้นเด้งเข้าไปยังเฟสบุ๊คโชว์ชื่อเพจของโรงเรียนที่ตอนนี้มียอดไลค์ถล่มทลาย สาเหตุคงมาจาก...

 

BM Cuteboi

แอดว่านี่คือเรือจริงค่ะ พี่เดือนลงรูปครั้งแรกในรอบศตวรรษ แต่ประเด็นก็คือรูปที่ลงไม่ใช่รูปอาหารหรือรูปงานกิจกรรมอย่างครั้งก่อน แต่เป็นรูปถ้วยไอติมร้านแดง แถมยังมีคนนั่งตรงข้ามด้วย! ถึงจะเห็นไม่ชัดก็เถอะแต่แอดมั่นใจว่านี่คือน้องกุมภ์ และดูแคปชั่นนั่นสิคะ แคปชั่นมันสื่อชัดเจนมากว่างานนี้ชะนีอดค่ะ

ป.ล. วันก่อนที่น้องกุมภ์โดนสาดน้ำใส่ เคลียร์แล้วนะคะ พี่เดือนเท่มาก ออกตัวให้แทน สู้ๆค่ะ


 

“....” ผมมองไปที่รูปที่แอดมินเพจนี้แนบลงมาด้วย เป็นรูปที่แคปหน้าจอมาจากเฟสบุ๊คพี่เดือน รูปที่พี่เดือนเอาลงคือรูปไอติมที่เหลือครึ่งถ้วย ตรงกันข้ามมีตัวผมโผล่ออกมาครึ่งตัวโดยไม่เห็นหน้า ส่วนแคปชั่นที่พี่เดือนโพสลงก็คือ..

หวงมาก หวงทั้งไอติม หวงทั้งคน

“หวงอะไรกันเล่า....”

“หืม?”

“พี่เดือนจะใช้คำไหนก็ได้ที่ไม่ใช่คำว่าหวงได้มั๊ย..เขินเป็นนะ ฮืออออ” ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะโดยไม่สนใจเสียงหัวเราะจากคนตรงข้าม พี่เดือนไม่ได้พูดอะไรต่อเลยหลังจากทิ้งระเบิดอย่างที่อุ้มบอก

“แต่พี่หวงกุมภ์จริงๆนะ”

“...รู้แล้ว”

“ทั้งหวงทั้งห่วง พี่อยากดูแลกุมภ์ พี่อยากจะปกป้องกุมภ์”

“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ” ผมเงยหน้าขึ้นมาพูดประชดให้เขา พี่เดือนไม่ได้โต้แต่เปลี่ยนเป็นอมยิ้มส่ายหน้า

“นั่นสินะ ...เมื่อไหร่ที่พี่สามารถยืนได้ด้วยตัวเองจริงๆ...” พี่เดือนเงยหน้าจากถ้วยไอติม แล้วใช้มือข้างหนึ่งหยิบทิชชู่มาเช็ดปากให้ผม “พี่จะไม่ปล่อยให้กุมภ์ไปไหน...นะครับ”

บอกแล้ว...

ว่าผมแพ้คำว่า ‘นะครับ’ ของพี่เดือน

“อื้ม”

 

พี่เดือนมาส่งผมถึงบ้าน พ่อกับแม่ไถ่ว่าเรื่องเป็นอย่างไรบ้างนิดหน่อยก่อนที่จะยอมปล่อยให้พี่เดือนกลับบ้านของตัวเอง มีนากำลังนั่งเล่นเกมอยู่กลางห้องนั่งเล่นพลางกินขนมไปด้วยทำให้ผมต้องไปนั่งแย่งขนมกับน้อง

“แหม ออกไปกับเพื่อนกลับมากับว่าที่พี่เขย---พี่! อย่าบังจอสิ!”

“พูดอะไรออกมาเป็นเด็กเป็นเล็ก หืม”

“ผมสิบห้าแล้วนะ ไม่ได้อ่อนต่อโลกขนาดนั้นสักหน่อย” มีนาทำหน้ามุ่ยให้ผมก่อนที่จะขยับจานขนมหนี “พี่นั่นแหละ ชัดขนาดนี้ไม่คบกันไปเลย”

“ก็ทั้งพี่กับพี่เดือนยังไม่โตพอที่จะรู้จักคำว่ารักน่ะสิ”

“อ๋อ...นั่นสิ รักนี่มันเข้าใจยากนะ บางคนแค่ครั้งสองครั้งก็ตีว่าเป็นรักได้ในขณะที่บางคนใช้เวลาเป็นชาติ” มีนาจ้องจอโทรทัศน์ไม่ละตา แต่เขาก็โต้ผมกลับ “ถ้าเป็นผมเมื่อก่อนก็คงไม่เข้าใจจนกระทั่งพ่อกับแม่เราอธิบายนี่แหละ”

ผมพยักหน้าตาม

พ่อกับแม่เคยเล่าและสอนให้ฟังว่าการที่เราจะรักใครสักคน มันไม่ได้เกิดจากความชอบพอเท่านั้น มันเกิดจากความรู้สึกผูกพัน ความเข้ากันได้ ความเข้าใจกัน การอดทน และระยะเวลาในการพิสูจน์ บางคนใช้เวลาแรมปีในการพิสูจน์ว่าสิ่งที่มีให้มันคือความรักไม่ใช่ความลุ่มหลงชั่วคราว

หลายคนที่ความรักจบลงเพราะเพียงแค่ความลุ่มหลง

หลายคนที่ไปกันไม่รอดเพราะไม่เข้าใจกัน

หลายคนที่เกลียดกันเพราะการนอกใจและไม่เชื่อใจ

ผมว่าทั้งตัวของผมและพี่เดือนยังไม่แน่ใจว่านี่คือความรักหรือไม่ ดังนั้นแล้วจึงต้องใช้เวลาพิสูจน์ ก็จริงที่ว่ามันดูชัดเจนแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากจะรีบร้อนคบ ส่วนพี่เดือนก็ไม่รีบร้อนที่จะขอผมคบเพราะเขารู้ตัวเองดีว่าเขายังจัดการกับชีวิตตัวเองไม่เก่ง

ดูภายนอกพี่เดือนเป็นคนที่มีความสามารถ เป็นคนที่สามารถจัดการระบบให้เข้าที่ได้ แต่เรื่องของตัวเองนั้นกลับไม่เก่งเอาเสียเลย

“พี่เดือนบอกว่าจนกว่าพี่เขาจะสามารถยืนด้วยตัวเองได้ เขาถึงจะขอพี่คบ” ผมพูดลอยๆขึ้นมา “มีนาว่าดีมั๊ยถ้าพี่เดือนคิดแบบนี้”

“ดีนี่

“ถ้าเรายังดูแลตัวเองไม่ได้ แล้วจะไปดูแลใครได้?”

“…"

“ถ้าพี่เดือนพูดขนาดนั้นแสดงว่าเขาจริงจังกับพี่มากนะ” มีนาวางจอยเกมลงแล้วหันมายิ้มให้ “จะมีสักกี่คนกันที่คิดแบบนี้ เอะอะก็บอกว่าสามารถปกป้องได้ทั้งๆที่พอถึงเวลาก็เอาตัวรอดก่อนตลอด”

“ก็จริง”

“ระหว่างคนที่เลือกหนีจากปัญหาโดยไม่คิดที่จะแก้ไข สุดท้ายก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลังกับคนเลือกที่จะแก้ไขปัญหา...เป็นพี่ พี่เลือกคนหลังแน่ๆ”

“รู้ดี”

“อืม พี่เดือนก็คงเป็นอย่างแรกมาก่อนจนเจอกับพี่นะ”

“งั้นเหรอ...แล้วทำไมพี่ถึงไปมีอิทธิพลกับพี่เดือนได้ขนาดนั้นกันล่ะ?” ผมเท้าคางมองน้องหยิบขนมเข้าปากเมื่อใช้ความคิด น้องผมถ้าสมองประมวลผลอยู่ก็จะทำแบบนี้ตลอด

“พี่เดือนเคยแอบคุยกับผมเรื่องพี่” มีนายักคิ้วให้ “คุยตอนไหนไม่บอก แต่ผมจะเล่าให้ฟัง นี่เป็นความลับระดับชาติเลยนะ”

“จ้าๆ เล่ามาเถอะ”

“พี่เดือนบอกว่าเขาชอบรอยยิ้มของพี่ มันทำให้โลกของเขากลับมาสว่างอีกครั้ง....”

 

‘...ทุกครั้งที่กุมภ์ยิ้มมันทำให้พี่นึกถึงตอนพี่ยังเด็กมากๆที่เคยมีความสุขกับชีวิตมากกว่าปัจจุบัน พี่อยากจะรู้ว่าอะไรที่ทำให้กุมภ์เป็นคนน่ารักแบบนั้น อะไรทำให้กุมภ์กลายเป็นคนที่มีคุณค่าในตัวเองขนาดนี้ เชื่อมั๊ยว่ากุมภ์เล่าถึงอดีตตัวเองให้พี่ฟัง เขาผ่านอะไรที่มันเลวร้ายมาก่อน แต่เขาลุกขึ้นมาที่จะสู้และเปลี่ยนแปลงตัวเอง

‘กุมภ์บอกว่าขอบคุณมีนาที่อยู่เคียงข้างเขา พอพี่มามองครอบครัวของน้องแล้ว พี่ก็คิดได้ว่าไม่ใช่แค่มีนาคนเดียวที่ผลักให้กุมภ์เป็นคนที่ดี แต่เป็นคนในครอบครัวที่ปั้นให้เขาบานสะพรั่ง

‘สิ่งที่พี่ชอบในตัวของกุมภ์น่ะ..มันมากจนพูดไม่ออกเลยล่ะ กุมภ์เป็นคนแรกที่ดุพี่ เป็นคนแรกที่เตือนพี่ เป็นคนแรกที่ทำให้พี่สนุกกับชีวิตวุ่นวายได้’

 

“พี่เดือนเขาว่ามาอย่างนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าพี่เดือนตั้งใจจะพูดอะไรมากกว่านี้รึเปล่า”

“ขอบคุณนะที่บอก...ถ้าได้ยินต่อหน้าเจ้าตัวพี่คงเขินแย่”

“ไม่ใช่เขินอยู่แล้วเหรอ หน้าแดงก็แดง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีก” มีนากลับเข้าสู่โหมดขี้แซะ “ความจริงแล้วผมว่าพวกเราอาจจะมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่เกินไปรึเปล่านะ...อย่างนี้เรียกว่าแก่แดดใช่ปะ?”

“ช่วยไม่ได้ พ่อแม่สอนมาแบบนี้นี่นา” ผมหัวเราะกับน้องแล้วสนใจกับเกมที่น้องเล่นต่อ “เอ้อนี่มีนา”

“ครับ?”

“ถ้าเกิดมีนาชอบผู้ชายเหมือนพี่..มีนาจะทำยังไง?”

“ผมคงปล่อยให้มันเป็นไปตามความรู้สึกของตัวเองนะ ชอบใครรักใครมันไม่เกี่ยวกับเพศสักหน่อยนี่นา ดีนะที่พ่อแม่เราหัวคนรุ่นใหม่ สนับสนุน ถ้ามีพ่อแม่ที่เคร่งเรื่องนี้ สงสัยพี่เดือนคงไม่ได้เหยียบเข้าบ้านหลังนี้หรอก”

“งั้นเหรอ...”

“เชื่อผมเถอะ บางสิ่งมันไม่ต้องใช้หลักการใดๆทั้งสิ้นในการคิดหรอก”

บางสิ่งมันไม่จำเป็นต้องใช้หลักการใดๆงั้นเหรอ...

ถ้างั้นในการที่ผมกับพี่เดือนต่างดึงดูดเข้าหากัน...มันก็ไม่มีหลักการมาอธิบายสินะ?

 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:30:20 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 9

 

ในที่สุดวันเปิดเรียนก็มาถึง

และแน่นอนว่าต้องมีคนจ้องมาที่ผมกับพี่เดือนที่มาด้วยกัน แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มีคนกล้าเข้ามาถามว่าพวกผมเป็นอะไรกัน

ช่างเถอะ ไม่ถามก็ไม่ตอบ

แต่ที่น่าผิดหวังนิดๆก็คือพี่เดือนยังไม่ได้บอกครอบครัวตัวเอง  ไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่เขากลับไม่มีเวลาที่จะบอกเนื่องจากหมดไปวันๆกับที่เรียนพิเศษ นี่ขนาดบอกว่าให้ไปดรอปก็ไม่ฟัง มันน่าตีมั๊ยเนี่ย

“ตั้งใจเรียนล่ะ พี่ไปก่อนนะ”

“ครับ”

พี่เดือนเดินมาส่งถึงหน้าห้องแล้วก็จากไป เมื่อผมย่างเท้าเข้าไปก็เห็นสายตาของคนนับสิบกำลังจ้องผมราวกับว่าเป็นตัวประหลาดก่อนที่จะพุ่งเข้ามาเหมือนฝูงซอมบี้ในหนัง

“ไอ้กุมภ์ นี่มันยังไงกันแน่วะ! มีข่าวกับพี่เดือนโคตรบ่อย!”

“บอกมาให้หมด ไม่หมดกูจะเอางานมึงไปเผา!”

“ใจเย็นเฮ้ย! ใจเย็นนนน!!” ผมรีบร้องให้เพื่อนที่รุมผมหยุดการกระทำแปลกๆอย่างการดึงเสื้อดึงกระเป๋าล้วงความจริง “ให้กูมีเวลาฟังคำถามก่อนได้มั๊ย?”

“พี่เดือนเป็นเกย์จริงเหรอวะ?”

“ไปถามเจ้าตัวดิ”

“มีแค่มึงคนเดียวอะที่เข้าใกล้พี่เดือนได้ขนาดนั้น” ผมอยากจะตบกะบาลตัวเองจริงๆ พี่เดือนไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิดที่จะเข้าไปถาม “แล้วมึงเป็นปะ?”

“ไม่ได้เป็น”

“เอ้า เห็นใกล้ชิดกันซะขนาดนั้น” เพื่อนอีกคนร้องเสียดายขึ้นมา

“ไม่ได้เป็นก็ใช่ว่ากูไม่ได้ไม่ชอบ”

 

หลังจากทิ้งบอมไว้ เพื่อนผมมันก็ตื่นเต้นใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนตัวเองที่ตอนนี้ปฏิบัติกับผมราวว่าผมเป็นซ้อใหญ่ของห้อง

ทางฝั่งพี่เดือนจะเป็นยังไงบ้างนะ...จะโดนถามแล้วตอบเหมือนผมรึเปล่า?

ถ้าตอบไม่เหมือนกันมีหวังผมหน้าแตกแน่ๆ

“เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอ—กุมภ์ พ่อมึงมาอะ” ดินสะกิดให้ผมที่กำลังจัดหนังสือเข้าชั้นใต้โต๊ะ พี่เดือนเดินเข้ามาในห้องแบบไม่แคร์สายตาของคนรอบข้างเลยสักนิด เขาเดินเข้ามาจนถึงโต๊ะผมพร้อมกับพี่ศึกที่ตามมาด้วย

“สวัสดีครับพี่เดือน ดีพี่ศึก” ตามที่นทีมันเคารพ พี่ศึกเป็นพี่ที่สนิทง่ายกว่า “มารับแม่ไปกินข้าวด้วยกันเหรอครับ? เชิญเลยๆ”

“มึงไม่หวงแม่มึงสักนิดเลยเนอะ” อุ้มพูดประชดเสียงสูง “มารับกุมภ์เหรอคะ?”

“เปล่าๆ ไปกินข้าวด้วยกันทั้งกลุ่มนี่แหละ” พี่เดือนโบกมือปฏิเสธ

“จะดีเหรอ กูกลัวว่ามึงกับน้องจะทำน้ำตาลหกเต็มโต๊ะว่ะ” อันนี้พี่ศึกเอ่ยขึ้นมาทำให้ทั้งกลุ่มยกเว้นผมกับพี่เดือนหัวเราะเสียงดัง

“พี่ศึก ผมให้ห้าบาทค่าน้ำ”

“ขอบใจไอ้น้อง”

ว่าแล้วผมก็เดินลงมากับคนที่เหลือ กลุ่มชายห้าหญิงหนึ่งดูแปลกๆไปหน่อยแต่คงไม่มีใครมาโฟกัสอุ้มเนื่องจากมีพี่เดือนร่วมกลุ่มด้วย พอสั่งข้าวเสร็จก็ย้ายสำมะโนครัวมานั่งด้วยกัน

“เดือนมันสารภาพบาปกับพี่แล้ว พวกน้องรู้รึยัง?”

“แจ่มแจ้งวัฒนะแล้วค่ะพี่ศึก ตอนแรกไม่คิดนะว่าพี่เดือนจะเป็นเกย์จริงๆ แต่ไม่ต้องห่วง แฟนคลับพี่โกธรยังไงพวกหนูก็จะยืนข้างๆพี่เอง”

“...แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็รู้สึกผิดอยู่ดีที่ไม่บอกใครเลยตลอดสามปีที่ผ่านมาแบบนี้...”

“คิดมากน่าไอ้เดือน มึงเพื่อนกูนะเว้ย เพื่อนกันให้อภัยได้ อีกอย่างกูก็เข้าใจดีว่าทำไมมึงถึงไม่อยากบอกใคร” พี่ศึกตบบ่าพี่เดือนเบาๆ “หลังจากนี้ก็เรื่องของมึงแล้วนะที่จะบอกกับชาวบ้านชาวช่องตอนไหน”

“หลังเลิกเรียนก็ว่าจะบอกแล้วล่ะ” พี่เดือนยกแก้วน้ำขึ้นมาดูด แต่สีหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าเขาอร่อยหรือว่าใดๆเลย..ผมว่าเขาอาจจะเครียด

“พี่เดือนดูเครียดมากเลยนะ”

“โหไอ้กุมภ์ เอาตามตรงนะ เป็นกู กูก็เครียด เพราะว่าถ้าบอกไปไม่ใช่แค่พี่เดือนที่ต้องรับกระแสต่อต้าน มึงก็ต้องรับด้วยไง” นทีใช้ตะเกียบมาเคาะหัวผม “พี่เดือนไม่อยากให้มึงโดนพ่วงหางเลขไปด้วย เข้าใจมั๊ย?”

ผมมองพี่เดือนที่ยิ้มห่วงๆมาให้ “..จริงเหรอครับ?”

“นทีพูดถูกแล้วล่ะ พี่ไม่อยากให้กุมภ์โดนมองว่าไม่ดีไปด้วย”

“ทำสิ่งที่พี่อยากทำเถอะครับ ผมหน้าหนาพอที่จะใช้ชีวิตต่อได้” ผมตักเนื้อหมูเข้าปากพร้อมกับเสียงหูวของเพื่อนบนโต๊ะ “ผมคนจริงพอ”

“เชี่ย...พี่เดือนอย่าไปยอมกุมภ์มันนะคะ มันพูดคำไหนคำนั้น” อุ้มพูด

“...เฮ้อ...ไม่แปลกหรอกว่าทำไมพี่ถึงชอบเด็กคนนี้เข้า”

“อู้วววววววว”

“ขนาดนี้มึงโพสลงเถอะว่ามึงจีบน้อง กูจะได้ตายตาหลับ” พี่ศึกยกมือขึ้นมาไหว้หลอกๆพี่เดือนและได้คำตอบเป็นการเอาน้ำแข็งในแก้วยัดใส่หลังเสื้อแทน “เย็น!”

“จะให้ร้อนรึยังไง....ถ้ากุมภ์รับไหว พี่ก็จะโพสนะ”

“อื้ม”

“กูหมั่นไส้ว่าที่ผัวเมียคู่นี้ว่ะ” อันนี้ดินพูดกับนที

“ทำไมวะ” นทีตอบ

“เอ้า ก็แม่มึงอะไม่มีอะไรเหมือนพี่เดือนเลย แต่ดั้นนนมาลงล็อคเข้ากันพอดิบพอดี” อุ้มกระซิบเสียงดัง

“พวกมึงจะนินทาก็กรุณาเบาเสียงก็ได้นะ”

“อุ่ย แม่พวกน้องดุ แต่อนาคตพี่ว่าพ่อดุกว่า”

“ดุยังไงครับ?” ดินถามพี่ศึกที่ตอนนี้ร่วมวงด้วย

“ดุแบบ...” แล้ว(ไอ้)พี่ศึกก็ทำสีหน้าชั่วร้ายขึ้นมา “...หึหึ เขาบอกว่าคนนิ่งๆนี่ดุ”

“....อ๋อ....” ทั้งกลุ่มร้องแล้วนทีก็ตบบ่าผมราวกับว่าให้ทำใจ “กุมภ์ ถ้ามึงมาโรงเรียนไม่ไหวให้บอกนะ”

“นที! / ไอ้แม่น้ำ!”


“หน้าแดงทั้งคู่เลย แหมๆ ยังไม่ได้บอกเลยนะว่าพวกเราหมายถึงอะไร เนอะ” พี่ศึกถามความเห็นจากกลุ่มเพื่อนของผม “..โอ๋ๆ ล้อเล่นๆ ไม่เอาดิเดือน มึงอย่าทำหน้าแบบนั้น คนอื่นเขากลัวกันไปหมด”

“อย่าพูดแบบนี้อีกสิ น้องยังไม่ถึงสิบแปด”

“....”

“เลยสิบแปดแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที”


 

 

หลังพักเที่ยงผมเรียนอะไรไม่รู้เรื่องเลยสักอย่าง แม้กระทั่งเลิกเรียนผมก็ยังนั่งเหม่อออกนอกหน้าต่างจนนทีมันต้องตีผมเพื่อเรียกสติ ในขณะที่มันก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมดูอะไรบ้างอย่างด้วยความใจลอย

“พี่เดือนโพสลงเฟสตัวเองแล้วนะ”

“อืม...”

“ห่า! มึงช่วยเลิกใจลอยแล้วสนใจกูหน่อยสิ! พี่เดือนโพสลงเฟสตัวเองเรื่องที่พี่เขาเป็นเกย์แล้วโว้ยยย”

นทีแทบจะยัดโทรศัพท์ตัวเองเข้าเบ้าตาผม ทำให้ผมยอมฟังตามที่มันขอให้ดู

 

พีรดล นารีรัตน์

หลายๆคนคงสงสัยกันนะครับว่าจากคำพูดของผมเมื่อหลายวันก่อนมันหมายถึงอะไรกันแน่ ทำไมผมถึงออกตัวปกป้องรุ่นน้องขนาดนั้น ไหนจะลักษณะคำที่ใช้อีก ทำให้มีประเด็นพูดถึงต่างๆนานามากมายอย่างที่เด่นๆเลยนี่ก็คือ ผมเป็นเกย์รึเปล่า และวันนี้ผมก็จะบอกทุกคนในนี้เลยนะครับ

ใช่ครับ ผมเป็นเกย์

ผมขอโทษที่ทำให้หลายคนผิดหวัง แต่ก็ขอให้ทุกคนเข้าใจผม ช่วยเคารพพื้นที่ส่วนตัวของผมกับรุ่นน้องคนนั้นด้วยนะครับ เราทั้งสองคนไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย และไม่อยากให้ใครเข้ามาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมากเกินความจำเป็น


 

ผมเลื่อนอ่านคอมเม้นท์ต่างๆที่ส่วนใหญ่จะพูดว่าเข้าใจพี่เดือนและจะยังคงนับถือเป็นรุ่นพี่ที่เคารพต่อไป แต่บางส่วนก็แอนตี้ไปเรียบร้อย ซึ่งอ่านไปอ่านมาผมก็เห็นคอมเม้นท์หนึ่งที่ลักษณะมาในเชิงลบ ลบจนมันน่าเกลียดเกินไป

 

Unknown User

ผู้ชายกินกันเองน่าขยะแขยง ทำไมมีแต่คนให้กำลังใจ


 

จากนั้นสงครามคอมเม้นท์ก็ปะทุดุเดือดจนกระทั่งพี่เดือนต้องปิดไม่ให้คนมาเม้นท์ต่อกัน เป็นผมก็คงทำเหมือนกันนั่นแหละ

วุ่นวายกว่าที่คิด

“คอมเม้นท์แย่ๆมึงก็มองข้ามไปเถอะ คนพวกนี้ทำเป็นรู้จักคนอื่นดีทั้งที่ยังไม่รู้จักตัวเองเลย” นทีปลอบใจผมแล้วชี้ไปทางประตูห้องที่พี่เดือนกำลังยืนรอ “สงสัยมีเรื่องจะคุยด้วย กูไม่กวนนะ ไปแล้ว”

“กลับดีๆล่ะ”

นทีเดินผ่านพี่เดือนออกไป ในห้องนี้ไม่มีใครอีกนอกจากผมและเขา

พี่เดือนเลื่อนเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงกันข้าม เขาถอนหายใจหนึ่งรอบก่อนจะเอ่ยปาก

“พี่ไม่นึกว่าจะมีคนเข้าใจพี่เยอะขนาดนี้...ศึกบอกว่าให้พี่มองข้ามคอมเม้นท์แย่ๆไป” เขาอมยิ้ม “รู้สึกดีนิดๆที่บอกความจริงไปนะเนี่ย”

“ผมบอกแล้วไงว่ามีคนเข้าใจพี่แน่นอน”

“พี่เห็นมีเม้นท์นึงบอกเชียร์ให้พี่จีบกุมภ์ติดไวๆด้วยนะ ฮึฮึ”

“เดี๋ยวเถอะ พอได้ทำตามใจแล้วเอาใหญ่ แล้ววันนี้พี่เดือนไม่ไปเรียนเหรอครับ?” ผมสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องพร้อมกับพี่เดือน แม้ว่าจะมีคนมองมาตลอดผมก็ไม่สนใจสักเท่าไหร่

“ขี้เกียจ อยากอยู่ขายขนมจีบมากกว่า”

“ช่วงนี้พี่เดือนจะติดผมเกินไปแล้วนะ ไปเรียนให้คุ้มค่าเรียนหน่อยเถอะน่า”

“พี่เรียนมาทั้งชีวิตจนไม่รู้จนคุ้มยังไงแล้ว อีกอย่างพี่ก็อ่านล่วงหน้าจนจำได้ทุกประโยค ไม่มีความจำเป็นต้องไปเรียนแล้วล่ะ” พี่เดือนหันมายิ้มให้ผม ก่อนที่จะเดินตรงไปยังร้านขายขนมข้างทาง คุยอะไรกับพ่อค้าสักอย่างแล้วเดินกลับมาพร้อมกับถุงคุกกี้โหลขนาดจิ๋ว

“มีขายด้วยเหรอครับ? ผมไม่เคยเห็นเลย”

“อันนี้ต้องสั่งพิเศษ พี่ก็เพิ่งรู้ไม่นานมานี้แหละ พี่ให้นะ ลองชิมดู” เขายื่นโหลคุกกี้รูปหัวใจสีพาสเทลมาให้ หลายคนก็หันมาสนใจพวกผมอีกครั้ง สายตาพากันตั้งคำถามว่าจะมาจีบกันข้างทางให้อิจฉาทำไม “พี่ยังมีอีกโหลเก็บไว้ที่บ้าน”

“พี่หลอกให้ผมชิมก่อนรึเปล่าเนี่ย” แต่อย่างนั้นผมก็รับมาด้วยความยินดี “อร่อยสู้ฝีมือน้องผมไม่ได้ผมคืนนะ”

“กินหัวใจพี่ไปแล้วก็อย่าคืนสิ”

“เล่นมุกอะไร ผมขนลุกนะ” ผมตีไหล่คนสูงกว่าเบาๆก่อนที่จะได้ยินเสียงหัวเราะของเขา “ไปๆ ไปเรียนได้แล้ว”

“ไล่พี่ใหญ่เลยนะ”

“อารมณ์ดีเหรอพอหมดเรื่องคาใจ?”

“ครับผม”

….

ผมตายกับคำว่าครับของพี่เดือนจริงๆนั่นแหละ....

“ไปเลย! เดี๋ยวนี้! อย่าให้ผมต้องบอกหลายรอบ” ผมดันหลังพี่เดือนให้ตรงไปที่รถตัวเอง พี่เดือนยอมขึ้นดีๆแล้วลาผมไปเรียนต่อ ทันทีที่เขาขับรถออกไป ผมก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหา

“..เอ่อ..น้องกุมภ์ใช่มั๊ย?”

“ครับ พี่มีอะไรกับผมรึเปล่าครับ?”

พี่ผู้หญิงทำท่าเลิ่กลั่กก่อนที่จะยื่นอะไรสักอย่างมาให้ผม มันเป็นซองจดหมายสีขาวที่มีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจติดอยู่

อย่าบอกนะว่า...

“คือพี่ชอบน้องกุมภ์มากค่ะ พี่เห็นน้องกุมภ์บนเวทีเมื่องานครั้งล่าสุดแล้วน้องมีเสน่ห์มาก”

“...อ่า...”

“น้องถือว่าเป็นประโยคบอกเล่าก็ได้นะคะ พี่ไม่ได้หวังอะไรมากอยู่แล้ว พี่แค่อยากบอกว่าพี่ชอบน้อง” พี่คนนั้นเงยหน้ามองผมด้วยสายตารอคำตอบ

ไหนบอกว่ามันเป็นประโยคบอกเล่าไง...

“...เอ่อ...คือว่าผมมีคนคุยด้วยแล้วนะครับ”

“กรี๊ดดดด”

ฮะ?

“น้องกุมภ์คนจริงพอๆกับเดือนเลย!” พี่ผู้หญิงคนที่สารภาพรักกับผมเมื่อครู่คุยกับผมด้วยน้ำเสียงคนละโทน “พี่ขอโทษนะที่ทำให้น้องงง คือว่าพี่เนี่ยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเดือน แล้วทีนี้พี่เห็นโพสของเดือนที่อัพลงพี่เลยไปถามเจ้าตัวว่ามีคนชอบรึยัง เดือนก็บอกว่ามีคนคุยด้วยแล้ว เป็นรุ่นน้อง”

“...”

“ที่พี่สารภาพรักเมื่อกี๊พี่ก็แค่ทดสอบว่าคนที่คุยด้วยนี่ใช่น้องกุมภ์รึเปล่าเพราะเห็นคนจิ้นกันจัง สรุปมันเป็นความจริง โห่ นิพพานแล้ว พี่ได้รู้พี่ก็นิพพานแล้ว” พี่เขาอธิบายเพิ่ม

“ทำไมผมรู้สึกพลาดเนี่ย...” ตบหน้าผากดังแป๊ะสักรอบ..ไม่สิ ต้องโขกหัวกับผนังเพราะความเอ๋อของตัวเอง ก็ว่าอยู่ว่าทำไมถึงดูมีพิรุธ ผมจับพิรุธได้ผิดประเด็น!

“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณน้อง แฟนคลับหลายคนไม่ชอบแต่พี่ชอบน้องนะ พี่ชอบที่น้องตรงไปตรงมาดี” พี่สาวยิ้มให้ “เดือนเขาเป็นคนไม่ค่อยยิ้ม แต่หลังๆมานี้ยิ้มบ่อยมาก ไหนจะเช็คโทรศัพท์ในห้องเรียนอีกเหมือนรอแชทใคร คนที่ทำให้เดือนเปิดโหมดคนมีความรักได้ก็คือน้อง เห็นเดือนมีความสุข พวกพี่ก็ไม่ต้องการอะไรแล้วล่ะ”

“หมายความว่ายังไงครับ?”

“อ้าว นี่ไม่รู้เหรอว่าปกติแล้วเดือนชอบทำหน้าตายเบื่อโลกมาโรงเรียน? เออนี่” ว่าแล้วก็ขยับเข้ามาหา “พี่พอจะรู้ข่าวมาลับๆจากพ่อแม่พี่ตอนประชุมผู้ปกครองเมื่อปีที่แล้วมาเหมือนกันเกี่ยวกับเดือน น้องกุมภ์ห้ามบอกใครเด็ดขาดเลยนะ”

“จะดีเหรอครับ?”

“ความจริงมันก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรขนาดนั้นหรอก คือว่าปีที่แล้วทางฝั่งพ่อแม่เดือนเขาพูดประมาณว่าตั้งใจจะให้เรียนเพิ่มอีกเพราะกลัวว่าจะตามคนอื่นไม่ทัน เดือนที่นั่งอยู่ข้างหลังพวกเขาทำสีหน้าไม่ดีขึ้นมาเลย แล้วพอพูดเรื่องสมัยเด็กขึ้นมาว่าทำอะไรบ้าง เดือนก็ยิ่งดูซีดๆทั้งที่พ่อแม่บอกว่าเดือนทำผลงานต่างๆไว้มาก” เธออธิบายมา “พออย่างนั้น พ่อแม่พี่เลยสงสัยว่าสิ่งที่พ่อแม่เดือนพูดกับสิ่งที่ทำมันสวนทางกันรึเปล่า”

“อย่างไงครับ?” อย่าหาว่าผมเสือก แต่ผมอยากรู้จริงๆว่าเพราะอะไร

“เคยได้ยินพ่อแม่รังแกฉันรึเปล่า?” ผมพยักหน้า “ทางครั้งการที่พ่อแม่หวังดีกับลูกจนเกินพอดีก็สร้างความเครียดให้ลูกได้อย่างไม่รู้ตัว เดือนก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็คงไม่อยากพูดอะไรกับพ่อแม่เขาด้วยแหละเลยทำเป็นเฉยๆ”

ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นพี่เดือนทำหน้านิ่ง บ่อยครั้งที่พี่เดือนมักจะคิดอะไรเพลินๆจนใจลอย แต่เป็นใจลอยแบบน่ากลัว สายตาที่ไม่มีอะไรเลยนั่นมันทำให้ผมค่อนข้างจะห่วงว่าในอดีตเคยมีเรื่องไปกระทบจิตใจรึเปล่า

“ถ้าผมสนิทกันมากกว่านี้ผมจะถามให้นะครับ”

“ทุกวันนี้ก็สนิทยิ่งกว่าอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ อย่าลืมนะว่าเดือนเขาปากแข็งเรื่องส่วนตัว พี่เคยถามแต่เขาก็ไม่ยอมตอบ พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าเป็นกุมภ์ เดือนจะยอมตอบมั๊ย?”

“...ผมเคยบอกกับพี่เดือนครั้งหนึ่งว่าถ้าพี่เขาสบายใจที่จะบอกผมเมื่อไหร่ก็ค่อยบอก ผมไม่เซ้าซี้จะถาม”

“ดีแล้วล่ะ เพราะเพื่อนพี่คนหนึ่งเคยไปงี่เง่าจะถามให้ได้ สรุปก็ไม่รู้ว่าไปทำกันท่าไหนเดือนถึงไม่คุยกับเขาอีก แถมฝ่ายนั้นก็ไปกล้าเข้าไปยุ่งอีก พี่ว่าเวลาเดือนระเบิดลงก็คงจะน่ากลัวมาก คนที่ไม่เคยโกธร ไม่เคยโวยวาย ถ้าอารมณ์เกินขีดจำกัดแล้วหลบยากนะ”

“งั้นเหรอครับ” ผมยกมือไหว้พี่ “ผมขอตัวก่อนนะครับ พี่...”

“พี่ชื่อเมย์ พี่รหัสน้องอุ้มเพื่อนน้องนั่นแหละ” พี่เมย์โบกมือไปมา “วันหลังถ้าได้เจอกันค่อยคุยต่อก็ได้ แต่พี่หวังลึกนะว่าน้องกับเดือนจะได้คบกัน ฮึฮึ”

“พี่ครับ!”

“เดือนต้องการใครสักคนที่สามารถแสดงทุกด้านของเขาให้เห็นได้ และเขาก็เลือกน้องนะ”

 

สัปดาห์ต่อมาผมกับพี่เดือนก็ยังทำตัวตามปกติ เขารับผมไปเรียนพิเศษทุกวันพุธและพฤหัสเหมือนเดิม เขามานั่งกินข้าวด้วยกันกับก๊วนผม เขาชวนผมไปนั่งเล่นที่ห้องสมุดโรงเรียนก่อนกลับจนเป็นกิจวัตร ส่วนคุกกี้ที่พี่เดือนซื้อมาผมก็กินหมดจนไม่เหลือตั้งแต่วันแรกและผมก็มานั่งพับดาวกระดาษใส่ลงไปในโหลว่างๆแทน

วันนี้พี่เดือนชวนผมมานั่งห้องสมุดสองคนเช่นเคย ปกติแล้วเขาต้องหยิบหนังสืออะไรมานั่งอ่านแต่หลังๆมาเขากลับมองหน้าผมอย่างเดียวจนผมแทบจะไม่มีสมาธิอ่านแล้วเปลี่ยนมาคุยกับพี่เขาแทน ถามจริงว่าหน้าผมมันน่ามองขนาดนั้นเชียวเลยรึยัง หล่อก็ไม่ แถมยังแอบแก้มมีเนื้อเพิ่มอีกตังหาก

“พี่เดือนเลิกจ้องผมเถอะครับ..”

“จ้องทั้งวันยังได้เลย ดูเพลินตา”

ดู๊ ดูพี่เดือนพูด ทำไมถึงหน้าหนาขึ้นกว่าเก่ากัน “ผมไม่ได้ดูดีเลยเนี่ย แก้มก็เพิ่ม ช่วงนี้อุดมสมบูรณ์ไปหน่อยเพราะใครบางคนแถวนี้”

“มีน้ำมีนวลน่ารักจะตาย กอดแล้วอบอุ่น”

“ถามจริงเถอะว่าพี่ใช่อะไรมองผมน่ารักเนี่ย ถ้าเห็นรูปผมตอนเด็กๆแล้วร้องยี๋แน่”

“ไม่ร้องหรอกน่า” พี่เดือนเอื้อมตัวมาใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมของผมเบาๆ “พี่ใช้ใจมอง ไม่ได้ใช้ตามอง”

“....”

“เขินใช่มั๊ยล่ะ?”

“เขินบ้าอะไรล่ะครับ?!”

“ชู่วว ที่นี่ห้องสมุดนะครับน้องกุมภ์” พี่เดือนใช้มือข้างเดิมมาปิดปากผม ผมจึงหมั่นไส้งับเข้าเบาๆ “โอ๊ย!”

“เล่นอะไรก็ไม่รู้ ผมอ่านหนังสือต่อแล้ว”

“โอ๋ๆ อย่างอนพี่นะ พี่ขอโทษ” พี่เดือนลากปลายนิ้วมาเขี่ยมือผมที่วางอยู่บนโต๊ะ

“..ถ้ายอมเล่าเรื่องตอนพี่เด็กๆให้ผมฟังก็จะหายงอน” สบโอกาสที่จะถามแล้ว “ผมอยากรู้ว่าตอนเด็กๆพี่เรียนอะไร เล่นอะไร...แค่นั้นก็พอ”

“....เฮ้อ....”

พี่เดือนถอนหายใจแล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นสีหน้าที่จริงจัง “ผมไม่ได้บังคับพี่หรอกว่าต้องเล่าทั้งหมด”

“ไปคุยที่รถได้มั๊ย พี่ไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน”

“ครับ ได้สิ” ก็พอเข้าใจว่าเรื่องส่วนตัวมักจะไม่อยากให้คนอื่นที่เราไม่รู้จักรับฟัง พี่เดือนเลยลากผมไปที่รถแล้วนั่งที่เบาะหลังด้วยกัน

ฝนตั้งเค้าจะตกอีกรอบ พายุเพิ่งเข้าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาแล้วไม่มีท่าทีว่าจะพ้นไปตอนไหน บรรยากาศเริ่มดูครึ้มเข้ากับอารมณ์พี่เดือนที่จับได้ว่าขุ่นมัวกว่าเดิม

“ถ้าพี่บอกว่าตอนเด็กๆพี่ไม่ได้เล่นกับใครเลยเพราะนั่งเรียนพิเศษ กุมภ์จะเชื่อรึเปล่า?” ผมพยักหน้า พี่เดือนไม่เคยโกหกผมอยู่แล้ว “อย่างนั้นแหละ พี่ไม่ได้เล่นกับเด็กรุ่นเดียวกันเลยเพราะพี่ต้องเรียน เรียนตลอดเวลา พ่อกับแม่ปลูกฝังพี่เสมอว่าถ้าเรียนดีจะมีแต่คนรัก และพี่ก็อยากให้มีคนมาชื่นชม พี่ไม่อยากถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง”

“..”

“มีวันหนึ่ง ผลสอบออกมาแล้วพี่ก็ไม่ได้ที่หนึ่งตามที่ตกลงกับที่บ้านเอาไว้ พวกท่านโกธรมาก บอกว่าพี่ไม่ได้เรื่อง พี่ไม่มีสมอง...”

“พี่เดือน...”

“รู้มั๊ยว่าตอนนั้นพี่คิดจะฆ่าตัวตายเพราะคำพูดของพวกเขาแล้ว พี่เครียด พี่ไม่รู้ว่าพี่ทำอะไรผิด คะแนนพี่ไม่ได้แย่อะไรแต่ทำไมพวกท่านถึงมองไม่เห็นความพยายามของพี่เลย ทำไมพวกท่านถึงมองแค่อันดับเลขบนกระดาษ ทำไมพวกท่านถึงอยากให้พี่แข่งกับคนอื่นทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะแข่ง พี่อยากจะระบาย พอพี่ไปเล่าให้ครูฟัง ครูก็บอกมาแค่ว่าเพราะพวกท่านรักพี่เลยอยากให้พี่ได้สิ่งที่ดีที่สุด” เขาก้มหน้าลง สายตาเริ่มว่างเปล่าราวกับว่าเขากำลังย้อนกลับไปในอดีตที่ขืนขม “สิ่งที่ดีที่สุด...หึ อยากจะอ้วก ดีตรงไหนกัน การที่ไม่มีอิสระในความคิดเหรอคือสิ่งที่ดี การที่อยู่สูงเหรอคือสิ่งที่ดี พี่อยากเข้าใกล้คนอื่นให้มากกว่านี้ พี่อยากจะมีเพื่อนมากกว่านี้ พี่อยากเป็นผู้ชายธรรมดาที่อยู่เที่ยวกับเพื่อนในวันหยุด อยากทำในสิ่งที่ไร้สาระ แต่มาดูในตอนนี้สิ พี่เป็นใคร..”

“ใจเย็นก่อนพี่เดือน...” ผมขยับตัวเข้าใกล้พี่เดือนให้มากกว่าเก่า ร่างกายของเขากำลังสั่นเทาจนเหมือนลูกนกที่เปียกฝนจนน่าสงสาร เสียงน้ำฝนกระทบกับหน้าต่างจนเกิดเสียง “พี่ระบายมาเลย...”

“กุมภ์...”

“ให้ผมเห็นพี่ในด้านนี้เถอะนะ”

ทันใดนั้นเขาก็ผลาตัวเข้ามากอดผมเอาไว้พร้อมกับร้องไห้เสียงสะอื้น ผมค่อนข้างตกใจกับพี่เดือนที่บ่อน้ำตาแตกต่อหน้า แต่ก็พยายามลูบหลังปลอบเพื่อให้อาการสั่นของเขาบรรเทาลง

พี่เดือนไม่ได้เป็นคนที่สมบูรณ์แบบอะไรเลย ภายใต้ความเก่งนั้นเป็นเพียงแค่แก้วบางๆที่เมื่อตกพื้นครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่สามารถนำประกอบให้เหมือนเดิมได้ เขาพยายามนำส่วนที่ดีต่างๆออกมาให้คนอื่นเห็นในขณะที่จริงๆแล้วมันไม่ใช่อย่างที่คิด

“พี่...พี่แค่อยากทำในสิ่งที่พี่อยากทำ แต่พี่ไม่รู้ว่าพี่อยากทำอะไรเพราะพี่ไม่เคยได้ลอง...ฮึก”

“ผมจะพาพี่ไปทำทุกอย่างเลย”

“สัญญานะ...สัญญากับพี่ได้มั๊ยว่ากุมภ์จะอยู่กับพี่ กุมภ์เป็นคนเดียวที่พี่ไว้ใจเล่าให้ฟัง”

“สัญญาครับ เพราะอย่างนั้นพี่ร้องไห้ออกมาเถอะ ไม่มีใครได้เห็นน้ำตาพี่นอกจากผมหรอก” ผมลูบหลังเขาต่อไป พี่เดือนปล่อยโฮอย่างกลั้นไม่อยู่ ความเครียดของเขามันสะสมมาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าผมยังบังคับให้เขากลั้นไว้อีกมันไม่ดีแน่ๆ “พี่เล่าเรื่องที่พี่อัดอั้นมาให้ผมฟังอีกก็ได้ ผมไม่ไปไหนหรอกนอกจากพี่จะไล่ พี่อยากด่าใคร อยากโทษใคร พี่ก็พูดออกมา”

“...”

“เพราะผมเป็นห่วงพี่นะ”

“...กอด”

“ครับ?”

“กอดพี่ให้แน่นกว่านี้ได้มั๊ย...” พี่เดือนขยับตัวเพื่อให้สบายขึ้นพร้อมกับกำชับร่างผมให้แน่นมากกว่าเดิม “กอดให้พี่รู้สึกว่าพี่ไม่ได้อยู่คนเดียวจริงๆ”

“ครับ” ผมกอดพี่เดือนแน่นกว่าเก่า ท่ามกลางเสียงสายฝนข้างนอก ภายในรถก็มีเพียงแค่เสียงลมหายใจของผู้ชายสองคน ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่นาที ผมไม่รู้ว่าถึงเวลาที่พี่เดือนต้องไปเรียนแล้วหรือยัง ผมทำเพียงแค่กอดเขาให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เขามั่นใจว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

เขายังมีผมอยู่

 

พี่เดือนขับรถมาส่งผมที่บ้านพร้อมกับคำชวนของพ่อแม่ผมที่ให้ร่วมโต๊ะอาหารเช่นเคย แต่รอบนี้พี่เดือนขอปฏิเสธแล้วกลับบ้านไปก่อน ตาพี่เดือนมันแดงอย่างชัดเจน ผมไม่แน่ใจว่าจะหายทันพรุ่งนี้รึไม่ ไม่งั้นมีคนตั้งคำถามแน่ๆ

“แม่ว่าเดือนดูเหนื่อยๆนะ” แม่ของผมทักขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร “มีอะไรกันรึเปล่าลูก?”

“เรื่องส่วนตัวของพี่เขาน่ะครับ แต่ผมสัญญากับพี่เดือนว่าจะไม่เล่าให้ใครฟัง”

“หัดมีความลับนะ” มีนาหันมาแยกเขี้ยวให้ผมก่อนที่จะสนใจกับอาหารบนโต๊ะต่อ ผมอมยิ้มแล้วก็ตักข้าวเข้าปากโดยหวังว่าพรุ่งนี้พี่เดือนจะอาการดีขึ้นหลังจากได้ระบาย…
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:34:19 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ขนาดไม่ให้เล่นกับเพื่อนเลยก็เกินไป กลัวใจที่บ้านพี่เดือนแฮะ  :katai1:

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter

 

เดือน’s talk

 

“...ผมเป็นเกย์”

ทันทีที่ผมพูดประโยคนี้ออกไป ใบหน้าของผมก็ชาไปครึ่งหนึ่งเพราะจากแรงตบของแม่แท้ๆ ส่วนพ่อเลี้ยงที่นั่งตรงข้ามข้างน้องชายบุญธรรมมองผมด้วยสายตาที่ไม่สามารถเดาออกได้

“ไอ้ลูกไม่รักดี! ที่เลี้ยงมานี่ไม่มีสำนึกเลยใช่มั๊ย!”

“….”

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเป็นแบบพวกมัน มันน่ารังเกียจ!”

“....”

“ได้ยินมั๊ยที่พูด!”

“ผมได้ยินชัดเจนดีครับแม่ แต่ผมเป็นไปแล้ว และผมไม่มีวันที่จะกลับมาเป็นแบบเดิมได้” ผมหันหน้ากลับมาทางผู้ให้กำเนิด สีหน้าของแม่ไม่ดีนัก กำลังแดงจัดจากความโกธร “ผมไม่อยากที่จะอยู่ในกรอบของบ้านหลังนี้แล้ว ผมไม่อยากที่จะเดินตามสิ่งที่พ่อแม่วางไว้แล้ว ผมมีชีวิตเป็นของตัวเอง”

“แต่ฉันหาสิ่งที่ดีที่สุดให้แกนะ” แม่ยังคงพูดด้วยแรงโทสะ “ผู้ชายกับผู้ชายคบกันไม่ได้ มันผิดผี แกกลับมายังทัน”

“ผมกำลังคุยกับคนคนนึงอยู่”

“แกว่ายังไงนะ?!”

“เขาเป็นคนน่ารัก ยิ้มสวย เป็นคนที่ทำให้โลกของผมมีสีสันมากขึ้น เขาพาผมทำในสิ่งใหม่ๆที่ผมไม่เคยลอง เขาพาผมเล่นเกม เขาพาผมถ่ายรูป เขาสอนผมหลายๆอย่างที่ผมไม่เคยรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้” ผมลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร “ผมมีความสุขมากเพราะเขา พ่อกับแม่อยากเห็นผมมีความสุขไม่ใช่รึยังไง อยากเห็นผมได้สิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่รึยังไง”

“ก็ฉันกำลังสอนสิ่งที่ดีที่สุดในแก ไม่ใช่ให้แกมาดื้อด้านแบบนี้!” แม่เดินตามผมแล้วใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าอกกดลงมาจนผมเจ็บ ”เชื่อพ่อกับแม่แกสิว่าแกไม่มีทางมีความสุขกับการคบกับผู้ชายกันเองหรอก! ไม่มีทาง!”

“มันเป็นทางที่ผมเลือกเอง ถ้าพลาดผมถึงกลับมา พ่อกับแม่เอาอะไรมาตัดสินว่าการเป็นเกย์มันไม่ดี?”

“ก็เพราะมันน่ารังเกียจยังไงล่ะ! ไม่มีใครยอมรับพวกผิดเพศในสังคมหรอก!”

“นี่มันยุคไหนแล้วครับคุณแม่...” ผมชูโทรศัพท์ตัวเองเข้าหน้าเฟสบุ๊คที่ผมโพสข้อความประกาศตัว “ก็จริงที่มีคนไม่ยอมรับ แต่คนที่เปิดใจให้กับเรื่องนี้ก็มีมากกว่าที่คิด”

“นี่แก...” แม่กัดฟันกรอด หนึ่งค่อยๆลุกขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วเดินหนีขึ้นห้องไป ผมรู้ตัวดีว่าผมกำลังทำให้พวกท่านโกธร และผมก็รู้ตัวว่าผมกลัวมาก กลัวว่าจะทำให้พวกท่านผิดหวัง กลัวว่าจะทำให้พวกท่านอับอาย

แต่นี่มันเป็นเส้นทางของผม เป็นชีวิตของผมตามที่กุมภ์บอกตอนขับรถกลับบ้าน

‘ถ้าพี่เดือนไม่เดินออกมาจากกระดานที่พวกท่านวางให้พี่เดิน พี่ก็จะอยู่เป็นหมากของพวกท่านแบบนั้นนั่นแหละครับ’

ผมต้องเดินด้วยตัวเองแล้ว ผมไม่ยอมที่จะอยู่ในเงาของพวกท่านอีกต่อไป อย่างน้อยก็เรื่องหัวใจของตัวเอง

“ผมไม่สนว่าคนทั้งโลกจะมองผมยังไงแล้ว ผมขอทำตามใจตัวเอง ให้ผมเดินในทางที่ผมเลือกเถอะครับ”

“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดกับแกยังไงดีเลย แกนี่มัน...” แม่เดินเข้ามากระชากคอเสื้อของผม แต่ด้วยส่วนสูงที่แตกต่างทำให้ลำบากพอควร “แกนี่มันน่ารังเกียจ เข้าใจมั๊ย?!”

“…”

“เกย์มันดีตรงไหน ผู้ชายรักกันมันดียังไง มีแต่จะแตกหักอยู่ทุกวัน ไหนจะมีลูกด้วยกันไม่ได้แถมยังมีคนมองแปลกๆอีก แกไม่รู้สึกระเคืองตาเหรอเวลาเห็นผู้ชายสองคนจับมือด้วยกัน! แกไม่รู้สึกอะไรรึยังไง!”

“ผมขอถามเหตุผลได้รึเปล่าครับว่าทำไมถึงพากันเกลียดเกย์ขนาดนั้น?”

“....”

“แม่จะเกลียดเพราะพวกเขาไม่เหมือนคนทั่วไปแค่นี้ไม่ได้ ดังนั้นแล้วผมจะถือว่าพวกคุณเองก็ไม่มีเหตุผลพอๆกับที่ผมจะชอบผู้ชายกันเอง บางอย่างมันไม่ต้องใช้เหตุผลหรอกครับ” ว่าแล้วผมก็ขอตัวเดินขึ้นห้องไปโดยที่ปิดประตูล็อคกลอนเอาไว้

ทันใดนั้นผมก็ทรุดตัวลงกับประตูกอดเข่า

นึกว่าจะโดนไล่ออกจากบ้านเสียแล้ว...

ผมกดโทรศัพท์โทรออกหาคนที่ผมนึกถึงประมาณสามทุ่มกว่าๆ สักพักเจ้าตัวก็รับสายด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี ผมชั่งใจว่าจะพูดถึงเรื่องที่ทะเลาะกับครอบครัวให้น้องฟังดีหรือไม่ ผมไม่อยากให้กุมภ์ต้องหาเครียดกับผมเรื่องนี้ด้วย

แต่ก็เป็นกุมภ์อีกที่บอกว่ามีอะไรให้เล่าให้เขาฟังให้หมด

‘มีอะไรรึเปล่าครับพี่เดือน?’

“...พี่เพิ่งทะเลาะกับครอบครัวมา พี่บอกความจริงไปว่าพี่ไม่ได้ชอบผู้หญิง”

‘แล้วพวกเขา...’

“แน่นอนสิว่าต้องดุด่าพี่ใหญ่เลย แต่สบายใจได้นะ เขาไม่ได้ไล่พี่ออกจากบ้านอย่างที่พี่คิด” ผมหัวเราะเสียงแห้ง ความรู้สึกเหมือนมันจุกอยู่ที่คอ

ผมไม่ได้อยากทำให้พวกท่านผิดหวัง...แต่ก็ทำไปเสียแล้ว

“พี่ว่าพี่จะรอให้พวกท่านใจเย็นลงก่อน แล้วค่อยคุยอีกรอบ”

‘นั่นแหละพี่ ถ้าพี่ฝืนไปดื้อกับพวกเขาตอนนี้มีแต่จะแย่ลง พยายามเข้านะครับ’

กุมภ์เป็นคนประเภทไม่พูดคำว่าสู้เข้าไว้เพราะมันเป็นการให้กำลังใจผิวเผิน แต่จะใช้คำว่าพยายามเข้าเพื่อสื่อว่าผมต้องทำให้ได้

ผมต้องทำให้พวกเขายอมรับให้ได้

“พรุ่งนี้พี่ไปรับที่บ้านนะ” ผมคุยกับน้องอีกนิดหน่อยก่อนที่จะวางสายลงไป ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันของคนสองคนข้างล่างมาแว่วๆ หน้าต่างห้องนอนผมมันอยู่เหนือหน้าต่างห้องนั่งเล่นพอดี คาดว่าน่าจะเปิดทิ้งเอาไว้นั่นแหละ

 

‘เพราะคุณนั่นแหละที่ทำให้ลูกกลายเป็นแบบนี้!’

‘คุณเองก็สอนลูกไม่ดีพอเอง!’

‘เดือนต้องมาผิดเพศเพราะเชื้อคุณแน่ๆ!’

‘มันหมายความว่ายังไง!’

 

ผมไม่ได้ยินว่าหลังจากนั้นพวกเขาทะเลาะอะไรกัน แต่ใจผมมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่..

 

ผมเผลอหลับไปตอนไหนผมก็ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็จากเสียงนาฬิกาโทรศัพท์ผมปลุก

ผมจำได้ลางๆในฝันว่าผมเข้าไปกอดกุมภ์จากด้านหลัง..แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน ชวนน้องไปกินข้าวด้วยกัน

มันเป็นฝันที่ดีที่สุดตั้งแต่ผมฝันมา และมันอาจจะเป็นความเพ้อของผมที่ผมคิดถึงเขามากเกินไป...

ผมลงมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ผมยังไม่อยากเจอหน้าครอบครัวในตอนนี้ มันอาจจะเป็นความขี้ขลาดส่วนตัวของผมด้วยก็ได้ แต่การที่ไปเผชิญหน้าตรงกันอีกรอบก็คงไม่ได้ทำให้สถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นสักเท่าไหร่ ผมกลัวว่าจะยิ่งแย่ลงไปอีก ดังนั้นแล้วก็หลีกเลี่ยงที่จะเจอหน้าคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ในตู้เย็นมีเพียงแค่มะเขือเทศเช่นเคย แต่ข้างๆกันผมเห็นขวดนมวางเอาไว้อยู่พร้อมกับโน้ตที่แปะเอาไว้ว่าให้ผมเอาไปดื่มด้วย ลายมือที่เขียนนั้นเป็นลายมือของหนึ่ง น้องชายนอกสายเลือดที่เป็นคนเดียวในบ้านที่ยังคุยกันได้ตามปกติ ภายนอกทุกคนอาจจะเห็นว่าผมกับน้องเขาไม่ถูกกัน แต่จริงๆแล้วพวกผมค่อนข้างจะสนิทกันในระดับที่คุยเรื่องไม่สบายใจกันได้

หนึ่งเองก็ไม่ชอบที่พ่อแม่บังคับ แต่ก็เงียบเหมือนผม ไม่อยากให้มันวุ่นวาย

ผมขับรถออกจากบ้านช่วงหกโมงกว่าๆเพื่อไปรอรับกุมภ์ ถึงจะเช้าไปแต่ผมก็ไม่อยากอยู่บ้านอย่างนี้ เมื่อมาถึงหน้าบ้านผมก็เห็นกุมภ์กำลังคาบขนมปังในปากพร้อมกับถ่ายรูปหอยทากที่เกาะใบไม้คลานอย่างช้าๆอยู่

“กุมภ์”

“อือ? อะอัดอีอับอีเอือน”

“กินให้เสร็จก่อนค่อยพูดก็ได้” ผมเดินเข้าไปใกล้น้อง กุมภ์ค่อยๆเคี้ยวขนมปังกลืนลงคอ “ถ่ายรูปหอยทาก?”

“ผมเห็นว่ามันน่ารักดี แถมอากาศกำลังโอเคเต็มใจที่จะให้ถ่ายรูปได้ อารมณ์ติสต์มันเลยมา” กุมภ์พูดพร้อมกับยื่นกล้องมาให้ผมเปิดดูภาพที่น้องถ่าย “อันนี้ดอกไม้ที่ผมไม่รู้จักมันขึ้นตรงสวน ส่วนนี้ก็กล้วยไม้ของพ่อที่ปลูกไว้ตรงระเบียง”

“กุมภ์ มากินข้าวต่อได้แล้ว อ้าว เดือน? มาเช้าจังนะ กินข้าวกินปลายังลูก” แม่ของกุมภ์เปิดหน้าต่างออกมาเรียกกุมภ์เข้าบ้าน แต่เห็นผมด้วย ผมจึงยกมือไหว้คนอายุมากกว่าตามมารยาท “มาๆ แม่ทำแพนเค้กเอาไว้”

“มื้อเช้ากินอะไรที่มันดูฝรั่งดีนะ?”

“ปกติบ้านผมก็กินข้าวสวยนั่นแหละครับ แต่วันนี้ก็พากันอยากพวกขนมปังทั้งบ้าน” กุมภ์หัวเราะแล้วผลักหลังผมไปทางประตูบ้าน “แล้วเมื่อวาน...เป็นยังไงบ้างครับ?”

“ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่ายังไม่บ้านแตก พี่ได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกันด้วยแต่จับไม่ได้ว่าเรื่องอะไร คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับพี่” ผมเป็นฝ่ายเปิดประตูให้น้องเดินเข้าไปก่อน ถอดรองเท้าวางไว้ข้างๆกัน “เย็นนี้พวกท่านน่าจะใจเย็นลงแล้ว พี่จะไปคุยดีๆอีกรอบ”

“ครับ...หืม? ทำไมแก้มพี่ข้างนี้ถึงดูช้ำๆ?”

“เอ่อ...”

“อย่าบอกนะว่าพี่โดนพ่อแม่ตบหน้ามา?!”

“...อืม”

“ทำไมไม่บอกผมครับ มานี่เลย” กุมภ์จูงมือผมให้ไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นแล้วหยิบกล่องพยาบาลออกมาหายาแก้ฟกช้ำแต้มให้ผม “ผมบอกแล้วใช่มั๊ยว่ามีอะไรให้บอกผมน่ะ”

“ขอโทษนะ พี่ไม่อยากให้กุมภ์เป็นห่วงพี่มากกว่านี้”

“เพราะพี่ไม่บอกนี่แหละผมยิ่งห่วง ไปกินข้าวได้แล้ว ผมเดาว่าพี่คงกินมาแค่มะเขือเทศ”

ผมยิ้มให้น้องแล้วทำตัวเป็นเด็กดีเดินตามคนตัวเล็กกว่าไปทางครัว ครอบครัวนี้ไม่ว่าเวลาไหนก็จะนั่งโต๊ะอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันเสมอ ผมไม่เคยเห็นพวกเขาเถียงกันตอนกินข้าวด้วยซ้ำ

บางที...ผมคงชอบบรรยากาศอบอุ่นของครอบครัวนี้มากกว่าที่บ้าน

“แพนเค้กฝีมือแม่อร่อยมากเลยนะ เดือนลองราดน้ำผึ้งนี่ลงไปดูสิ” พ่อของกุมภ์ดันโหลน้ำผึ้งมาทางผม “เป็นยังไงบ้างล่ะเรื่องเรียน ถ้าไม่ไหวก็ไปยกเลิกที่เรียนพิเศษบ้างที่ก็ได้ ไม่ต้องไปบอกพ่อแม่ให้รู้หรอก ถ้าให้เดาพ่อว่าเพิ่งทะเลาะกันมาใช่มั๊ยล่ะ?”

“รู้ได้ยังไงครับ?”

“โธ่ ก็รอยตบมันชัดขนาดนั้น กุมภ์คงตบหน้าเดือนไม่ถึงหรอก ตัวเตี้ยกว่าตั้งหลายเซ็นต์”

“พ่อ!” กุมภ์โวยวายขึ้นมาทันทีที่พ่อของเขาว่าลูกชายตัวเองตัวเล็ก ผมหัวเราะตามอารมณ์ที่ดีขึ้น

“พวกท่านยอมรับไม่ได้จริงๆนั่นแหละครับ แต่ผมจะคุยอีกทีเย็นนี้ รอให้อารมณ์เย็นลงก่อน” ราดน้ำผึ้งสีทองลงไปบนแผ่นแป้งหนานุ่ม ผมไม่ได้กินขนมฝีมือที่บ้านนานเท่าไหร่แล้วกัน “....”

“....แม่เข้าใจว่าเดือนเองก็ไม่ได้อยากทะเลาะกับพวกท่านหรอก แต่เดือนไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้พวกท่านเข้าใจมากขึ้นมากกว่า” แม่ของกุมภ์เลื่อนแก้วน้ำมาให้ “ไม่ต้องรีบร้อน พวกท่านจะค่อยๆเข้าใจไปเอง”

“รตา...แม่ของเธอเป็นคนไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ แต่เชื่อพ่อสิว่าถ้าเดือนสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ รตาจะไม่ขัดขวาง เข้าใจคนที่ไม่เคยเจออะไรมาก่อนแล้วต้องมาเจอรึเปล่า? แบบนั้นแหละ มันก็คือความกลัวอย่างหนึ่งของพวกเขา กลัวว่าเธอจะหลงผิด กลัวว่าจะกลับตัวไม่ทัน”

“ครับ”

หลังจากที่ร่วมโต๊ะมื้อเช้าด้วยกันกับบ้านสิริกุลแล้ว ผมก็ขับรถมาโรงเรียนโดยที่มีลูกชายคนโตของบ้านนั่งมาด้วยตามปกติ กุมภ์ห่อขนมปังมาให้ผมเอาไว้กินเล่นด้วยในกระเป๋า ไหนจะจู้จี้เรื่องกองกระดาษหลังรถที่เริ่มกลับมามีมากเหมือนเดิม

พอแยกกันผมก็นั่งเหม่อในห้องเรียนจนศึกสังเกตได้แล้วสะกิดชวนคุย

“เดือน เป็นอะไรมาเนี่ย เหม่อแปลกๆนะ”

“...ทะเลาะกับที่บ้านมา”

“เรื่องที่มึงเป็นเกย์? ไทยแลนด์สี่จุดศูนย์แล้วยังมีคนยังอยู่ในกะลาอีกเหรอเนี่ย แล้วพวกเขาว่าไงบ้างล่ะ?”

“ก็พวกเขาไม่ยอมรับเรื่องที่กูเป็นเกย์นี่แหละ พอลองถามว่าทำไมไม่ชอบก็ไม่ตอบ” ผมถอนหายใจอัดหน้าหนังสือที่ผมอ่านไปไม่รู้กี่รอบแล้ว “เป็นมึง มึงจะอธิบายพ่อแม่ยังไงให้เขารับฟัง?”

“กูคงบอกไปว่าเพราะเขาคนนั้นทำให้ชีวิตกูมีความสุขมากกว่ากับการที่ต้องมาเดินตามทางที่วางเอาไว้ว่ะ”

“กูก็บอกแบบนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ฟัง”

“ถ้าอย่างนั้นก็หัวรั้นแล้ว มึงขอน้องคบแล้วเอาไปอ้างหน้าไป”

“ไม่ได้ ถ้ากูจะคบน้องเพื่อเอาหน้าน้องไปเจอพ่อแม่แล้วอ้างว่ากูรักน้องจริงๆกูทำไม่ได้ กูไม่อยากให้กุมภ์มาเป็นเครื่องมือของกู”

“ใส่ใจน้องมากเลยนะเนี่ย...” ศึกยิ้มให้ผม “เพราะมึงใส่ใจน้อง มึงแคร์ความรู้สึกน้องแบบนี้นี่แหละที่ทำให้มีคนเชียร์มึงกับน้อง”

“....ยังไง?”

“ก็ตั้งแต่ที่มึงประกาศตัวแล้วอยู่กับน้องกุมภ์บ่อยขึ้น ก็มีคนเห็นว่ามึงเทคแคร์น้องดีมาก ส่วนน้องก็คอยห่วงมึงทุกฝีก้าว เกิดมาเพื่อคู่กันชัดๆ แถมยังเข้าใจกันและกันอีก” ศึกมันเริ่มร่ายกลอกหู “แต่กูก็เข้าใจอยู่หรอกว่าต้องการเวลา ถ้ารีบเร่งมันก็พังลงได้”

“ศึก...”

“พยายามเข้าไว้ เพื่อทั้งตัวมึงกับตัวน้อง”

 

ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ผมขับรถไปยกเลิกเรียนพิเศษหลายที่ได้เพราะผมอยากทำตามที่กุมภ์บอก ผมไม่จำเป็นต้องเรียนมากกว่านี้ ผมจึงเหลือเอาไว้แค่เรียนตอนเย็นวันธรรมดา ส่วนเสาร์อาทิตย์ผมจะเว้นไว้เป็นวันหยุดพักผ่อนบ้าง

และเป็นวันที่ผมจะชวนน้องไปเที่ยวด้วย

เมื่อผมยกเลิกที่เรียนครบแล้ว ก็มานั่งที่ร้านกาแฟร้านหนึ่งใกล้ๆกับบ้าน สั่งน้ำเสาวรสปั่นกับขนมมานั่งกินนิดหน่อย ใจของผมมันไม่ได้อยากกลับบ้านเลยสักนิดถึงจะรู้ว่าไม่มีที่ไป

เกิดมาผมยังไม่เคยได้ลองทำอะไรบ้าๆแบบนี้มาก่อน...และมันก็สนุกดีที่ได้ลองถ้าไม่มากเกินไป

“...เมื่อไหร่จะมีชีวิตแบบปกติสุขนะ...”

ผมบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะฟุ่บหน้าลงกับโต๊ะจนเผลอหลับไป ไม่มีใครมาปลุกผมกระทั่งได้ยินเสียงฝนกระทบหน้าต่าง ผมถึงเงยหน้าขึ้นมามองหยดน้ำที่เกาะตามกระจกพวกนั้น

เสียงของฝน...ฟังดีๆแล้วก็เพราะดีเหมือนกัน

ผมเปลี่ยนมาเอนพนักพิงเก้าอี้แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คข่าวสารต่างๆแทน ผมไม่เจอวันสบายๆแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วกัน หรือว่าผมไม่เคยมีมาก่อนผมก็จำไม่ได้ นิ้วของผมค่อยๆเลื่อนหน้าจอไปมาและอ่านโพสบนโปรไฟล์ของกุมภ์อย่างนึกขำ ช่วงสามสี่ปีก่อนเขามีลงรูปเอาไว้ซึ่งถ้าไม่บอกกำกับนี่คือเขา ผมก็คงคิดไปเองว่าเป็นญาติ

กุมภ์ในรูปนั้นเป็นผู้ชายร่างอวบหน่อยๆ ผิวคล้ำ ผมยุ่งเหยิงไม่ได้หวี ตัดภาพมาที่ตอนนี้คือเด็กผู้ชายหน้าตาดี สมสัดส่วน ผิวขาวธรรมชาติจากการขัด ทรงผมเรียบเนียนเข้าที่ เขาต่างไปมากเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นกุมภ์คนเก่าก็มีเค้าโครงของคนน่ารักอยู่ไม่น้อย ผมก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่นักว่าทำไมถึงมีแต่คนแกล้งเขาสมัยเรียนประถม

มาเห็นตอนนี้คงนึกเสียใจ

โพสต่ำๆลงมาเป็นโพสที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องเรียนนัก ส่วนใหญ่มีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจที่โพสลงเอาไว้ประมาณว่าเพราะอะไรที่ทำให้เพื่อนไม่ชอบ หรือเขาไม่กล้าจะทำอะไรเพราะกลัวคนไม่ยอมรับ

...กุมภ์เคยเป็นแบบผมมาก่อน แต่เด็กกว่ามาก

ยิ่งอ่านก็ยิ่งทำให้ผมสำนึกได้ว่าถ้ากุมภ์ผ่านมันมาแล้ว ผมก็ต้องผ่านมันให้ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นผมจึงไม่รอช้าเก็บกระเป๋าแล้วขับรถกลับบ้านเพื่ออธิบายให้พ่อกับแม่เข้าใจให้ได้

ต้องพยายาม พยายามให้มากกว่านี้

ผมจะไม่เอากุมภ์มาอ้างหน้าเด็ดขาด เรื่องนี้เป็นเรื่องของผม เรื่องที่ผมต้องจัดการด้วยตัวเอง

 

“กลับมาแล้วเหรอ”

เมื่อผมเปิดประตูบ้านเข้ามา เสียงของแม่ก็ดังขึ้นมาจากในครัว ส่วนพ่อเลี้ยงกำลังนั่งดูข่าวที่โทรทัศน์ภายในห้องนั่งเล่น ไม่มีวี่แววของน้องชายในบ้านชั้นหนึ่งนี้

“ครับ”

“กล้าดีนะที่ยังกลับมา” แม่ผมยังคงน้ำเสียงไม่พอใจเอาไว้ “นึกว่าแกจะตามไปอยู่บ้านคนที่แกรักมากกว่าพวกฉันเสียแล้ว”

“ถึงผมจะรักจะชอบ ผมก็ยังคิดถึงครอบครัวอยู่”

“หึ....”

“เดือน แกมานี่” พ่อเลี้ยงเรียกให้ผมเดินเข้าไปหา “ฉันมีเรื่องจะพูดเป็นการส่วนตัว”

“ครับ”

ผมเดินตามพ่อเลี้ยงเข้าไปในห้องทำงานของท่าน เขาปิดประตูและนั่งลงบนเก้าอี้เบาะหนังตรงข้ามกับจุดที่ผมยืน “นั่งสิ ฉันมีเรื่องจะพูดยาว”

“...” ผมทำตามคำสั่งของเขา ซึ่งพอนั่งลงแล้วเขาก็เอ่ยปากพูดกับผม

“ฉันมีเรื่องจะบอก”

“ครับ?”

“เมื่อสามสิบปีก่อน ฉันเคยชอบผู้ชายคนหนึ่ง...” ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ หมายความว่ายังไงกันที่เคยชอบผู้ชาย? “อย่าเพิ่งตกใจไป ฟังฉันเล่าให้จบก่อน

“ฉันชอบผู้ชายคนหนึ่ง เป็นผู้ชายที่แสนดีเอามากๆ เป็นคนที่เอาใจใส่ตลอด เขาคอยอยู่เป็นเพื่อนฉัน ใจดีกับฉันจนฉันรู้สึกเกินเลยมากกว่าคำว่าเพื่อน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้รักกลายเป็นเกลียดเข้าไส้ ให้เดาว่ามันคืออะไร

“ความใจดีของเขามันเป็นเพียงหน้ากากที่ปิดบังความน่ารังเกียจ ความเน่าเฟ๊ะ มันเกือบจะลากฉันไปรุมโทรม มันเกือบจะทำสำเร็จ และนั่นทำให้มุมมองของฉันเปลี่ยน มันน่าขยะแขยง น่าสยดสยอง ”

“แต่ผมไม่ใช่คนประเภทนั้น”

“ฉันรู้ ฉันแค่ไม่อยากให้แกหลงไปเดินผิดเส้นทาง ฉันเองก็รักแก ถึงไม่อยากให้ไปเจออะไรแบบนั้น” พ่อเลี้ยงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง “ฉันเองก็อยากจะห้ามรตา แต่แกก็น่าจะเข้าใจว่ารตาไม่ค่อยฟังใครแม้แต่ฉันด้วย”

“....”

“ฉันลองมานั่งคิดๆดูแล้ว...ฉันเองก็ผิดที่ไว้ใจคนง่ายเกินไปตอนเด็กๆ เลยไม่ได้เปิดใจให้อีกแล้วคล้อยตามรตา”

“พ่อครับ ผมพอจะเข้าใจว่าพ่อยังฝังใจกับเหตุการณ์นั้น มันทำให้พ่อกลัว...ใช่มั๊ยครับ?”

“....”

ทั้งผมและเขาต่างเงียบเพื่อนั่งทบทวน ที่พ่อเลี้ยงเขาไม่ชอบเกย์ก็เพราะเขากลัว...กลัวว่าผมจะเป็นแบบเขาในอดีตที่เกือบจะโดนกระทำชำเราเลยใจร้อนที่จะห้ามจนทำให้ผมแทบจะเสียความรู้สึก ในขณะที่ผมเองก็ไม่ยอมฟังเหตุผลดีๆแล้วเดินหนีออกมาเลย..

“พ่อ/ผมขอโทษ”

ผมเอ่ยปากพร้อมกับพ่อเลี้ยงที่นานๆทีจะพูดแทนตัวเองว่าพ่อ สายตาของท่านดูผ่อนคลายลงชัดเจน

“พ่อก็คิดอยู่เหมือนกันว่ายัดเยียดให้เดือนมากเกินไปรึเปล่า...แต่บางครั้งพ่อก็ทะเลาะกับรตาเรื่องนี้”

“หมายความว่ายังไงครับ?” อย่าว่าแต่คนอ่านเลย ผมยังงงเองด้วยซ้ำว่าความจริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันกลับตาลปัตรกันแบบนี้

“รตาเขาไม่ชอบเกย์เป็นทุนเดิม ตอนพ่อแต่งกับเธอ เธอก็ยังไม่รู้หรอก จนช่วงที่เดือนไปเรียนไม่กี่วันก่อนนี่แหละที่เธอจับได้ รู้มั๊ยว่าเธอโกธรใหญ่เลย แต่พ่อก็บอกไปว่าเลิกชอบแล้ว เธอเลยใจเย็นลง มาโมโหอีกทีก็ตอนที่เดือนบอกว่าเป็นเกย์...” พ่อเลี้ยงเดินเข้ามาตบบ่าผมเบาๆ “พ่อไม่ได้อยากให้เดือนเป็นเกย์เพราะพ่อกลัว...พ่อยอมรับ แต่พ่อเองก็อยากให้เดือนได้ทำตามใจตัวเองสักที ถือซะว่าเป็นการไถ่โทษที่พ่อบังคับมาตลอดสิบแปดปี”

“....”

“สิบแปดปีที่เดือนไม่มีความสุข พ่อลองย้อนมานึกถึงช่วงที่ตัวเองยังเรียนอยู่ ยังมีความรักกับผู้ชายอยู่ มันสนุกมากเลยนะ แต่จู่ๆภาระหน้าที่การก็ผลักดันให้พ่อต้องเดินตามเส้นทางที่ปู่วางไว้ให้ พ่อเลยคิดว่าถ้าวางให้เดือนเดินแต่แรกมันจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาลำบากปรับเปลี่ยนเหมือนพ่อ” เขายิ้มให้ผม “แต่พ่อก็คิดผิดมหันต์ พ่อไม่เคยหันมามองหรือสนใจคำพูดเดือนเลยจนเมื่อคืนที่พ่อได้มานั่งคิด พอคิดได้ความโมโหมันก็เปลี่ยนมาเป็นความเข้าใจ พ่อเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรที่ทำให้เดือนอยากจะเดินออกจากกรอบ”

“...”

“ไหน เล่าให้พ่อฟังสิว่าเด็กคนที่เดือนชอบเป็นคนแบบไหน แล้วพ่อจะตัดสินใจว่าควรจะปล่อยให้เดือนทำตามที่ใจต้องการรีไม่”

“เขาเป็นคนที่เคยไม่มีใครเข้าข้างมาก่อนที่โรงเรียนจนกระทั่งครอบครัวเป็นฝ่ายยืนอยู่ข้างๆ ผลักดันให้เขากลายมาเป็นคนอีกคนหนึ่งที่ร่าเริง นิสัยดี เขาเป็นห่วงผมตลอดเวลา คอยเตือนตลอดเวลาว่าผมไม่ควรกินรสเปรี้ยว คอยเตือนไม่ให้ผมฝืนร่างกายตัวเอง เขาเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่หลายคนคิด อีกทั้งยังเป็นคนช่างสังเกต เขารู้จักผมได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็จับได้แล้วว่าผมเหนื่อย” ว่าไปก็ยิ้ม สีหน้าของพ่อเลี้ยงดูอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ

ผมรู้สึกดีใจที่ในที่สุดก็มีคนในครอบครัวที่รับฟังผม ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นผมจะปิดกั้นมานานและคิดไปเองว่าพ่อเลี้ยงก็เหมือนกับแม่ ยิ่งผมพูดถึงกุมภ์มากขึ้นเท่าไหร่ สีหน้าท่านก็ดูพอใจมากขึ้นตามจนกระทั่งท่านบอกให้พอ

“เล่ามาราธอนมาแบบนี้พ่อฟังไม่ทันนะ” เขาว่าพลางหัวเราะอารมณ์ดี “...ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดีที่พ่อปล่อยให้รตาทำตามใจตัวเองมาตลอดสิบแปดปี..”

“หมายความว่ายังไงครับ?”

“ถึงพ่อจะวางเส้นชีวิตให้เดือน แต่พ่อก็ตั้งใจจะปล่อยเดือนตั้งแต่สิบห้าแล้วล่ะว่าจะให้ไปทำตามที่ตัวเองต้องการ ผิดกับที่รตาบอกว่าจะให้เดือนสานธุรกิจครอบครัวเราแล้วบังคับให้เรียนหมอเพื่อใช้เส้นธุรกิจ”

พ่อเลี้ยงนวดขมับตัวเอง “ผมนึกว่าพ่อจะเป็นฝ่ายบังคับผมเสียอีก?”

“ตอนแรกก็เห็นด้วยว่าจะให้เดือนเรียนหมอ แต่ไม่ใช่เพื่อเส้นธุรกิจแบบที่รตาต้องการ”

“...ความจริงตอนนี้ผมก็แอบๆสนใจงานประเภทนึงเหมือนกัน...แต่ว่ามันเรียนคนละสายกับที่พ่อแม่ต้องการเลยนะครับ”

“เดือนอยากทำอะไรเหรอ?”

“ผมอยากเป็นช่างภาพ” คำตอบของผมทำให้พ่อเลี้ยงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจากความแปลกใจ “กุมภ์ชอบถือกล้องมาถ่ายนู่นนี่ตลอดจนผมต้องขอลอง มันยากก็จริงแต่ว่าทุกครั้งที่ผมกดชัดเตอร์ มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของผมลงไปในภาพเหล่านั้นเหมือนเขาได้

“ผมอยากเดินทางไปที่ใหม่ๆเพื่อค้นหาสิ่งที่ตัวเองไม่เคยเจอ ค้นหาสถานที่ที่ทำให้ผมตื่นเต้นได้ อยากจะถือกล้องไปถ่ายรูปกับคนที่ผม..

“รัก”

“อายุเท่านี้ริอาจใช้คำว่ารัก เดี๋ยวเถอะ”

“ก็ผมรักน้องเข้าไปแล้วนี่นา เวลาไม่กี่เดือนแต่ทำให้ผมตกหลุมลงมาได้ขนาดนี้น่ะ” ผมก้มหน้าลง “...พ่อไม่โกธรใช่มั๊ยครับที่ผมเป็นเกย์”

“ตอนแรกก็โกธรแต่ตอนนี้ไม่แล้ว ทำตามใจเถอะ ยังไงพ่อก็ห้ามไม่ได้หรอก แต่ปัญหาอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือรตานะ”

“...ผมจะทำยังไงดีให้แม่เขายอมรับผมได้”

“เอ้า ก็พิสูจน์สิว่าเดือนรักน้องมากแค่ไหน และมีความสุขมากเท่าไหร่เวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน ถ้ารตาเห็นก็อาจจะคิดได้ พ่อเองก็อยากให้รตาเปิดใจรับสิ่งอื่นบ้าง เถียงกันทุกวันทะเลาะกันทุกวันก็เพราะความไม่ยอมคนกับความใจแคบนี่แหละไม่อยากจะบ่น” พอได้เปิดใจก็บ่นใส่ผมใหญ่ “ยังไงก็ขอโทษอีกทีนะที่ไม่เคยมานั่งคุยกันจริงจังแบบนี้เลย...พ่อขอโทษที่ทำให้เดือนไม่มีความสุข”

“แค่พ่อเข้าใจผมตอนนี้ผมก็มีความสุขมากขึ้นแล้วล่ะ ขอบคุณนะครับ” ผมโผตัวเข้ากอดพ่อเลี้ยงของตัวเอง เขาลูบหัวผมเบาๆไปมา นี่คงเป็นครั้งแรกเลยที่ผมสบายใจที่ได้อยู่กับเขา และหวังว่ามันจะเป็นแบบนี้ตลอด

กุมภ์พูดถูก และผมก็ไม่เคยมองอีกด้านของครอบครัว พวกท่านไม่ได้ทิ้งผม เพียงแค่ผมคิดไปเองว่าพวกท่านไม่สนใจ มันเกิดจากความน้อยใจและการประชดของตัวผมทั้งนั้น

...ขอบคุณกุมภ์จริงๆที่ช่วยให้ผมมองโลกในอีกแง่ได้

และทำให้ผมรักกุมภ์มากขึ้นทุกครั้งที่ได้เจอกัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:37:55 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 11

 

“สรุปว่าผิดคาด พ่อพี่เข้าใจว่าอย่างนั้น?” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าหนังสือวิทยาศาสตร์ที่พี่เดือนหิ้วมาให้ถึงบ้านพร้อมกับติวล่วงหน้า “แต่ก็ดีแล้วล่ะครับที่เข้าใจ ผมบอกแล้วว่าถ้าใจเย็นๆก็ต้องฟังกันแน่นอน”

“ปัญหาตอนนี้อยู่ที่แม่พี่แล้วล่ะ สัปดาห์ก่อนพี่พยายามเข้าไปอธิบายให้ท่านฟังตามคำแนะนำของพ่อ สุดท้ายท่านก็เบือนหน้าหนีอยู่ดี บนโต๊ะอาหารก็ไม่ก็ไม่คุยกับใครเลย” พี่เดือนโน้มตัวลงกับโต๊ะญี่ปุ่นที่ผมเอาออกมากางเอาไว้ “แม้แต่พ่อก็ไม่ฟัง...จะทำยังไงดี”

“ก็ต้องพยายามนั่นแหละครับ แล้วตอนนี้พี่โอเคกับครอบครัวขึ้นใช่มั๊ย?”

“ถ้ากับพ่อก็ดีขึ้นมากจนพี่เองยังแปลกใจเลย ท่านไม่ได้บังคับพี่แล้ว กลับบอกด้วยซ้ำว่าอยากเรียนอะไรก็เรียน ทิ้งโควตาหมอไปก็ได้ พี่ว่าพี่จะทิ้งอยู่”

“ทิ้งทำไมครับ นั่นโควตาที่ไม่ได้มาเล่นๆเลยนะ มีแค่ที่เดียวที่รับแถมยังรับไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำ ไม่เก่งจริงเข้าไม่ได้” ถ้าเกิดเขาทิ้งไป...

“พี่เจอสิ่งที่พี่อยากทำมากกว่าแล้วล่ะ”

“ฮะ?”

พี่เดือนคลาน (ย้ำนะครับว่าคลาน) ไปหากระเป๋าตัวเองตรงมุมห้อง หยิบเอากระเป๋ากล้องออกมาแล้วเปิดให้ผมดู มันเป็นกล้องรุ่นเดียวกันกับของผมแต่เพียงแค่ว่ามีเลนส์สุดยอดซูมด้วย เขาอมยิ้มนิดๆ เดาแก้มด้วยความเขินอาย

“พี่อยากจะเรียนถ่ายภาพ...พี่อยากไปเจอกับโลกภายนอกแล้วเก็บภาพเอาไว้ในภาพสี่เหลี่ยมเล็กๆ”

“พี่เดือน...” แอบภูมิใจเล็กๆไม่ไหว ในที่สุดเขาก็เจอสิ่งที่เขาชอบ แต่ผมก็ยัง.. “ความชอบกับสิ่งที่พี่ต้องอยู่มันไม่เหมือนกันนะ”

“พี่ตัดสินใจดีแล้วล่ะ พี่ไม่ได้อยากเรียนหมอเลยสักนิด พ่อบอกว่าจะเรียนอะไรก็เรียนไปเลย พี่จะไปเรียนนิเทศ”

“...”

“พี่ขอเดินตามทางที่พี่เขียนเอาไว้บ้าง..มันเป็นการเริ่มต้นได้ใช่มั๊ย?”

“อื้ม ผมขอบคุณที่พี่เดือนทำตามที่ตัวเองต้องการนะ แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าทำไมพี่ถึงหันมาชอบถ่ายภาพได้นี่สิ” ผมมองไปที่กล้องของพี่เดือน เขาวางมันเอาไว้ข้างๆกับกระเป๋ากล้องของผม

“ก็เพราะใครล่ะที่ชวนพี่ถ่ายนู่นนี่จนพี่ชอบตาม”

“แหนะ มาแซะผม ชอบผมก็ใช่ว่าจะต้องชอบอะไรตามสักหน่อย”

“พี่ไม่ได้ชอบกุมภ์”

“...”

“พี่รักกุมภ์”



…..

“…ฮะ? เดี๋ยวนะ คือ... เมื่อกี๊พี่พูดว่าพี่รักผม?”

“อื้ม” พี่เดือนเคลื่อนตัวเองมากอดผมจากด้านหลัง “พี่มั่นใจแล้วล่ะว่าพี่รัก ไม่ใช่แค่ชอบ”

“ข้ามขั้น แล้วมากอดผมทำไม ร้อน” ผมพยายามขยับตัวหนี แต่พี่เดือนเปลี่ยนตัวเองจากนกมาเป็นตุ๊กแกเกาะผมแม้ว่าผมจะเดินไปทางไหนก็ตาม “พี่เดือน...”

“ครับ...” เขาช้อนสายตาขึ้นมาทำท่าอ้อนผมเหมือนเด็กร้องอยากได้ของเล่น แล้วประเด็นคือผมแพ้พี่เดือนตอนอ้อนมากๆไง!

“ไม่ต้องมาอ้อนเลย! กลับมาติวให้ได้แล้ว!”

“พี่ขี้เกียจ...” ให้ตายสิ

“ความจริงควรจะเป็นผมมากกว่าที่ขี้เกียจ” ผมดันตัวพี่เดือนให้มาเกาะกับหมอนกลมๆข้างเตียงแทน “พี่เดือนงอแงจังช่วงนี้”

“ใกล้สอบปลายภาคแล้ว พี่ต้องการกำลังใจ”

“กำลังใจจากผู้หญิงที่ให้ของขวัญพี่ก็เยอะแยะไปหมด”

“หึง?”

“ไม่ใช่สักหน่อย”

“พัฒนาขึ้นนะเราน่ะ มีหึงด้วย ขนาดยังไม่ได้คบกัน” พี่เดือนหัวเราะแล้วพลิกตัวกลับไปนั่งที่เดิม กางสมุดเล่มเล็กออกแล้วใช้ปากกาเขียนเนื้อหาเรียนให้ผม “กลับเข้าเรื่องดีกว่า ก่อนที่จะมีเด็กโวยวาย”

“พี่เดือน!”

ผมไม่ได้หึงสักหน่อย มาโมเมไปเองอีกแล้ว

แต่ก็แอบมีเคืองนิดๆที่ยังรับขนมนมเนยมาจากแฟนคลับที่ยังคงหวังว่าจะให้พี่เดือนหันกลับมาชอบผู้หญิง...

เข้าใจมั๊ยว่าผมหวงน่ะ

 

“เย็นนี้ไปไหนปะกุมภ์?” อุ้มสะกิดถามผมตอนกลางวัน วันนี้แทบจะไม่มีเรียนเลยนอกจากทำงานค้างส่งครู ดังนั้นแล้วผมที่จัดการเสร็จตั้งแต่ต้นๆเทอมจึงสบายมานั่งแกว่งเท้าเล่นในห้อง “พอดีว่าจะชวนไปดูนทีเล่นดนตรีสดโครงการของโรงเรียนที่คนเดิน มันอาสาทำเพราะว่าเอาเงินที่ได้ไปสมทบทุนช่วยเด็กที่ไอซียู”

“เฮ้ย ทำไมมันถึงอาสาไปเองได้กัน ปกติงอแงจะตาย”

“ไม่รู้สิ แต่กูรู้สึกว่านทีมันรักเด็ก ถ้าทำอะไรเพื่อเด็กก็จะอาสาไปเองโดยที่ไม่ต้องบังคับ” ความรู้ใหม่เลยที่ว่านทีมันรักเด็ก

“ไปสิ เดี๋ยวชวนพี่เดือนด้วยนะ”

“มีชงมีชวน กูถามจริง คุยกันมานานจนจะสอบอีกรอบแล้วทำไมยังไม่คบกันอีก?”

“..ไม่รู้สิ กูยังไม่แน่ใจ บางทีอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” ยังไม่ทันได้เอ่ยปากต่อ อุ้มมันก็เอากระดาษบนโต๊ะมาฟาดหัวผมเข้าเต็มๆ “เจ็บนะเฮ้ย!”

“ห่านจิก ห่านราก ทุกวันนี้ทำตัวยิ่งกว่าคนเป็นแฟนกันแล้วอีก ยังมาไม่แน่ใจ จะรอให้แก่กันเลยรึยังไงถึงจะมาคบกัน”

“มึงไม่เข้าใจหรอกว่ากูกำลังคิดอะไรอยู่ ใจร้อนตลอด”

“เอ้า! ก็ในนิยายมันคบกันเร็วจะตายไป แป๊บๆก็รักกันเองแบบมึงกับพี่เดือนเนี่ย”

“นิยายก็ส่วนนิยายสิวะ กูยังรอดูใจตัวเองไปเรื่อยๆก่อน...” จบด้วยการที่อุ้มมันเอากระดาษฟาดหัวผมอีกรอบ “ถ้ายังทำอีก กูเผางานมึงทิ้งแน่”

“เผาก็เผาดิ กูก็ไม่ได้เร่งให้คบกันสักหน่อย จะว่าไปแล้วพี่เดือนไม่มีพูดถึงเรื่องคบกันบ้างเลยเหรอวะ รึว่าก็เป็นแบบมึง”

พออุ้มพูดจบ สมองผมก็นึกถึงคำพูดพี่เดือนเมื่อหลายวันก่อนทันที

‘พี่รักกุมภ์’

“อ่าวเฮ้ย หน้าแดงๆ รึว่า...”

“อย่ามายุ่งน่า...”

“พี่เดือนบอกรักมึงแล้วใช่ปะ อย่าให้กูคิดไปเองคนเดียว”

“….” ผมไม่อยากตอบอะไรแต่ก็ไม่อยากจะโกหกเพื่อนที่จับผิดผมทุกอย่างได้หรอก เพราะแม่งถ้ารู้ขึ้นมาโดนล้อหนักกว่าบอกเองอีก ผมจึงทำแต่พยักหน้าไป

“เชี่ยยยย คนจริง พี่เดือนคนจริง! น้ำตากูจะไหล”

ผมปล่อยให้สาววายคนนี้พูดวนไปมากลอกหู ส่วนประสาทสัมผัสทุกอย่างปิดกั้นไปหมดแล้ว

ถามว่าผมรักพี่เดือนรึเปล่า..

ผมตอบไม่ได้จริงๆ เพราะผมยังไม่รู้จักมันดีพอ ผมต้องการเวลาในการเรียนรู้

ผมยังเด็กเกินที่จะเข้าใจอะไรจริงๆ

“เอาเถอะ อย่างน้อยแบบนี้ก็ดี”

เกิดมาสิบหกปี ความรักที่รู้จักก็มีแต่แบบเพื่อนและครอบครัว ผมหวังว่าสักวันผมจะได้รู้จักความรักในรูปแบบอื่น ในรูปแบบที่สามารถเห็นได้ตามหน้านิยาย ละคร เรื่องเล่า หรือในแบบที่พ่อแสดงกับแม่

“มึงว่าอะไรนะ?”

“ไม่มีอะไรหรอก”

 

“อุ้มบอกว่าวันนี้มาไม่ได้แล้ว...พี่เดือนดูดิ เพื่อนเทผม!”

“ใจเย็นน่า ยังมีพี่มาเป็นเพื่อน” พี่เดือนเดินข้างๆผมที่กำลังหัวร้อนตักผัดหมี่เข้าปากไม่หยุด จำเอาไว้นะครับทุกคนว่าถ้าผมโมโหก็คือผมจะจ้วงอาหารเข้าปากราวกับสูบ เลวร้ายหน่อยคือโวยวายหิวดังลั่นร้าน “นั่นไงนที กำลังตั้งเก้าอี้กับกลุ่มอาสาอยู่”

“อื้อ แต่กว่าจะเสร็จ ที่สำคัญคือมันไม่เกี่ยวว่าอุ้มจะไม่มาสักหน่อย”

“เอาเถอะน่า” พี่เดือนพูดเสียงอ่อน “เดี๋ยวพี่เลี้ยงขนมชดเชยให้เลย”

“แล้วแต่นะ”

ผมยืนตรงมุมที่ไม่ค่อยมีคนมองดูนทีมันกำลังวางเก้าอี้กับปรับสายกีตาร์อยู่ข้างๆรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งที่ถือกีตาร์มาอีกตัว ข้างหน้าทั้งสองคนมีไมค์กับกล่องรับบริจาคขนาดเล็ก ข้างหลังมีทีมงานประมาณสามสี่คนได้กำลังยืนตั้งโต๊ะขายของเพื่อนำรายได้ไปบริจาค

สักพักเสียงของรุ่นพี่ก็ดังขึ้นเพื่อแนะนำโครงการคร่าวๆและส่งต่อให้นทีทำหน้าที่ร้องนำ นทีในวันนี้ไม่ใช่นทีที่ผมรู้จัก สีหน้าของเขาดูมีความสุขกับการที่ได้ร้องเพลงและเล่นกีตาร์ ถึงจะใส่แว่นแต่พอได้จับเครื่องดนตรีแล้วกลับมีเสน่ห์ที่ดึงดูดคนให้หันมามองได้ไม่เว้นผมและพี่เดือนที่เห็นอีกมุมของเขามาก่อน

‘เฮ้ยแก ผู้ชายคนนั้นเสียงนุ่มมาก แถมดูดีอีก’

‘ใส่แว่นหนาๆก็จริงแต่ถ้าถอดก็คงหน้าตาดีมากเลยนะ’

เสียงผู้หญิงสองคนที่เดินผ่านพวกผมไปพูดขึ้นพลางเข้าไปหย่อนเงินบริจาคและช่วยซื้อของที่ซุ้มเล็กๆเพิ่มเติม หลังจากนั้นก็มีคนเดินเข้าหาเรื่อยๆไม่ขาดสาย

“...พี่ไม่เหมือนนทีที่เล่นดนตรีได้”

จู่ๆพี่เดือนก็พูดขึ้นมา เขายังคงมองลูกพี่ลูกน้องตัวเองอยู่

“พี่ไม่มีงานอดิเรกจริงๆจังๆ พี่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความสามารถพิเศษ พี่มีแต่ความรู้ที่ต้องใส่สมองมาตั้งแต่เด็ก พี่ไม่มีอะไรพิเศษเลยถ้ามองข้ามสิ่งนี้ไป...กุมภ์รับได้รึเปล่า?”

“มันไม่เกี่ยวกับว่าพี่มีอะไรไม่มีอะไรหรอกครับ ต้นทุนชีวิตคนเกิดมามีไม่เท่ากัน พี่เล่นดนตรีไม่ได้ พี่ทำอาหารไม่เป็นก็ใช่ว่าพี่จะไม่มีคุณค่า คุณค่าของคนมันอยู่ที่ใจตังหาก”

“กุมภ์...”

“พี่ไม่ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมือนคนอื่น พี่เป็นตัวของตัวเองและพี่จะมีความสุขกับมัน เชื่อผมสิ” ผมหันไปยิ้มให้พี่เดือน เลื่อนมือข้างขวาตัวเองไปจับที่มือซ้าย กุมเอาไว้ให้แน่นแต่อ่อนโยน “พี่เดือนเป็นคนที่พิเศษนะ”

“ฮึฮึ” เขาหัวเราะแล้วกำชับมือข้างที่สัมผัสกันให้มากขึ้นกว่าเดิม ยืนฟังนทีร้องเพลงไปเรื่อยๆจนผมไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนเพลงเป็นอีกเพลงตอนไหน

‘เพลงนี้ผมจะขอมอบให้เพื่อนของผมกับรุ่นพี่ของเขาที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อกลางปีนี้ แต่ระยะความใกล้ชิดมันมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งได้อยู่ใกล้กัน ความรู้สึกมันก็ยิ่งมีมากขึ้น

‘ผมเชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแล้วล่ะเพราะมันเป็นเพลงที่ใช้ประกอบโฆษณาด้วย มาฟังไปพร้อมกัน และคนไหนที่ร้องได้ก็ร้องช่วยกันนะครับ’

นทีตั้งไมค์ไว้กับขาตั้งแล้วปรับให้พอดีกับปาก สูดลมหายใจแล้วดีดจังหวะเพลงที่ผมคุ้นเคยจากโฆษณา

 

‘บอกฉันสักคำว่าเธอทำได้อย่างไร

เพราะฉันรู้สึกดีทุกครั้งที่อยู่กับเธอ

ที่จริงนับตั้งแต่ที่เรานั้นแรกเจอ

ไม่คิดว่าจะรักได้มากมาย’


 

พี่เดือนขยับตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น จนไหล่แทบจะติดกัน

 

‘เธอรู้วิธีดูแลคนที่ห่วงใย

จนฉันแปลกใจความรู้สึกที่ฉันมี

เคยรักมากเท่าไหร่ก็ยังรักได้อีก

ไม่รู้ว่าเป็นได้อย่างไร’


 

พี่เดือนโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูผม ร้องเพลงตามนที

แต่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงของนที ผมได้ยินแต่เสียงของพี่เดือนและเสียงของหัวใจผมเท่านั้น

 

‘ตั้งแต่พบกันวันนั้น

ใจก็รู้ว่าเราจะมีกันวันนี้

เธอเติมเต็มสิ่งดีๆ ให้ทุกวันที่มี

กลายเป็นวันที่มีความหมาย

 

ไม่ใช่แค่วันพรุ่งนี้

แต่จากนี้แม้นานเท่านานสักเพียงไหน

จะมีเธอ เธอมีฉันมีกันตลอดไป

ยิ่งพบเจอยิ่งได้รู้จักยิ่งรักเธอหมดใจ’


 

ทันทีที่จบประโยค พี่เดือนก็ประกบริมฝีปากของตัวเองเข้าหาแก้มของผมอย่างรวดเร็วแล้วผละตัวออก ผมมองเขาค้าง ไม่ได้ยินอะไรอีกต่อไปแล้ว เสียงดนตรี เสียงร้อง เสียงคนที่เดินผ่านไปมา เสียงแม่ค้าเชียร์ขายของ

ใจของผมมันเต้นแรงมากขึ้นทุกวันที่ได้อยู่กับเขา

ใจของผมมันเรียกร้องชื่อเขามากขึ้นที่ได้เห็นหน้า

ใจของผม...มันรู้ดีอยู่แล้วว่าผมต้องการเขามากแค่ไหน

 

‘ตั้งแต่พบกันวันนั้น

ใจก็รู้ว่าเราจะมีกันวันนี้

เธอเติมเต็มสิ่งดีๆ ให้ทุกวันที่มี

กลายเป็นวันที่มีความหมาย

 

ไม่ใช่แค่วันพรุ่งนี้

แต่จากนี้แม้นานเท่านานสักเพียงไหน

จะมีเธอ เธอมีฉันมีกันตลอดไป

ยิ่งพบเจอยิ่งได้รู้จักยิ่งรักเธอหมดใจ’


 

เนื้อเพลงที่วนกลับมาอีกครั้งมันยิ่งย้ำเตือนผมว่าจริงๆแล้วผมอาจจะรู้ความหมายของคำว่ารักตั้งแต่แรก

คำว่ารัก..

มันไม่มีความหมาย

ผมหาความหมายไม่ได้เพราะมันไม่มีแต่แรก มันไม่สามารถอธิบายออกมาได้ว่ามันเป็นรูปร่างอย่างไร มันไม่มีตัวตน มีแค่ชื่อ

แต่มันมีอิทธิพลกับคนคนหนึ่งได้มากมาย

“พี่เดือน”

“ครับ?”

“พี่เคยบอกว่าพี่รักผมใช่มั๊ย?”

“อื้ม”

“ผมเอง..

“ก็รักพี่นะ”

 

หลายวันผ่านไป สอบปลายภาคก็มาถึง พี่เดือนที่ว่างจากการเรียนพิเศษเสาร์อาทิตย์ก็มาบ้านผมเพื่อติวให้ตลอด บางวันก็ใจดีให้เพื่อนผมมานั่งรับส่วนบุญด้วย โดยเฉพาะดินและอุ้มที่ต้องการเป็นพิเศษ

และแน่นอนว่าผมก็ถูกสองตัว..ไม่สิสามตัวรวมนทีด้วยแซวตลอดเวลาว่างุ้งงิ้งทั้งวัน

เออ ยอมรับว่างุ้งงิ้งกันมากขึ้น

บางทีติวๆอยู่พี่เดือนก็จะหยิบคุกกี้บนโต๊ะมาป้อนผม บางทีผมก็เป็นฝ่ายป้อนคืนบ้างโดยทั้งหมดมันอยู่ในสายตาของเพื่อนทั้งสาม

 

‘มึง เมื่อไหร่กูจะมีแบบนี้บ้างวะ’

‘อย่าเสียใจไปไอ้น้อง พี่เชื่อว่าสักวันจะมีคนที่รักน้องเข้ามาหา’

‘แต่ก็ยังอิจฉาอยู่ดีอะพี่’

‘พวกมึงช่วยเลิกเล่นพ่อแม่ลูกสักทีเถอะโว้ยยยยยยยย’

 

นั่นแหละครับ วันๆของการติวสอบ

กลับเข้ามาปัจจุบันกันบ้าง พี่เดือนกำลังนั่งรออยู่หน้าห้องสอบของผม วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วของเทอมแรก ซึ่งกลุ่มเพื่อนของผมบอกว่าจะไปฉลองกันที่ร้านหมูกระทะแถวๆนี้ ส่วนผมจะกลับบ้านไปนั่งกินเค้กของน้องที่ทำเอาไว้ให้กับพี่เดือน ...อย่าเพิ่งแซะครับ น้องผมเป็นฝ่ายชวนก่อน

พอสอบเสร็จก็เก็บกระเป๋าออกจากห้องโดยที่พี่เดือนเดินเข้ามาหาท่ามกลางเสียงเชียร์ของเพื่อน แต่เขาก็ไม่สนใจลากผมออกไปที่สวนพฤกษศาสตร์ของโรงเรียนเป็นที่แรก จะถามว่ามาที่นี่ทำไมก็ลืมไปว่าลานจอดรถมันก็อยู่ใกล้ๆกัน บางทีพี่เดือนอาจจะอยากมานั่งเล่นดูนกชมไม้ก่อนก็ได้

“วันนี้พี่เอากล้องมาด้วย ถ่ายรูปกันนะ”

“คิดยังไงจะถ่ายรูป” พี่เดือนไม่พูดอะไร เอาแต่อมยิ้มหยิบกล้องออกมาจากกระเป๋าสะพายตัวเอง เขาดึงตัวผมให้เข้ามาชิดไหล่ของเขาแล้วหมุนจอกล้องให้หันมาตรงกับด้านหน้าของพวกเรา ตั้งโหมดไว้ที่ออโต้และกดถ่าย “ใช้กล้องโปรถ่ายเซลฟี่ คิดได้ไง”

“ภาพจะได้ชัดกว่าไง” เขาพูดแล้วก็กดถ่ายเพิ่มเรื่อยๆจนผมไม่แน่ใจว่าเมมโมรี่การ์ดของกล้องพี่เดือนมีกี่กิ๊กถึงได้กดเอาขนาดนั้น

“ถ่ายอย่างอื่นบ้างก็ได้เถอะ”

“ไม่เอา จะถ่ายว่าที่แฟนคนเดียว”

“ดูคำพูด มันน่าตีมั๊ย”

อ่า..และพวกผมก็ยังไม่ได้คบกันด้วยนะ

ถึงจะบอกว่ารักทั้งคู่ก็เถอะ แต่พี่เดือนก็ไม่เอ่ยปากจะคบกันสักที ส่วนผมก็ไม่ได้หนาขนาดถึงขั้นขอเขาคบหรอกนะในเมื่อพี่เขาเป็นฝ่ายเดินเข้ามาเองอะ

“วันนี้อยากไปที่ไหนรึเปล่า?”

“ไม่ครับ อยากกลับบ้านเลย”

“งั้นกลับเลยนะ รอกินเค้กฝีมือมีนาอยู่”

“ถ้าผมทำอาหารเป็นนะ พี่ได้ชิมฝีมือผมไปแล้ว”

“กุมภ์เองก็คงได้ชิมฝีมือพี่เหมือนกันถ้าวันไหนที่พี่ไม่ทำครัวระเบิด” พวกเราระเบิดหัวเราะออกมา ต่างคนต่างทำอาหารไม่เป็นทั้งคู่ มากสุดก็คงเป็นการต้มมาม่าโดยใช้หม้อนั่นแหละ “ไปกันเถอะ”

พี่เดือนกับผมเดินออกมาที่รถด้วยกัน ตลอดทางก็มีคนมองมาบ้างเพราะผมกับพี่เดือนเดินชิดกันมาก ถึงจะไม่ได้จับมือแต่ไอ้แขนที่กำลังโอบเอวผมไว้มันก็เป็นสื่ออย่างดีว่าพี่เดือนคิดกับผมมากกว่าพี่น้องแน่นอน

ผมก็ด้วยเช่นกัน เดินจับชายเสื้อกันหนาวตัวบางของเขาอยู่แบบนี้น่ะ

“กุมภ์รอพี่ตรงนี้แป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่วนรถก่อน”

พี่เดือนทิ้งให้ผมยืนรอเขาอยู่ตรงใต้ต้นไม้หน้าโรงเรียนที่มีคนพลุ่กพล่าน หลายคนพอกันมองมาที่ผมแต่ก็ยิ้มๆให้ บางคนก็ยกกล้องโทรศัพท์ขึ้นมารอถ่ายส่งรูปไปให้เพจคิ้วท์บอยโรงเรียน

จ้า...แล้วแต่เถอะจ้า

รถวีออสสีขาวคันเดิมทะเบียนเดิมมาจอดที่ข้างๆตัวผม พี่เดือนปลดล็อกประตูให้ผมเข้าไปนั่งด้านหน้า ยังไม่ทันได้ปิดประตูรถ ช่อดอกกุหลาบแดงก็ถูกยื่นมาตรงหน้าผมเสียก่อน

ย้ำนะครับ

ช่อ

กุหลาบ

แดง


“รับนะครับน้องกุมภ์”

“....”

‘กรี๊ดดดดดดด พี่เดือน! พี่เดือนให้ดอกกุหลาบกับน้องอ่า’

‘ถ่ายไว้สิอีสัด ถ่ายไว้! โมเม้นท์!’

‘คนจริงว่ะ คนจริง!’

และสารพัดประโยชน์ตื่นเต้นแทนความรู้สึกผมตอนนี้ ส่วนผมก็นั่งหน้าบึ้งอยู่ในรถพลางชักสีหน้าใส่เขาบอกว่าทำไมต้องมาให้อวดชาวบ้านชาวเรือน

“ไปเถอะครับพี่”

“เขินเหรอ?”

“อึดอัดที่มีคนมาถ่ายรูปพวกเราเยอะแบบนี้” ผมปิดประตูรถทันทีที่เริ่มมีคนเดินเข้ามาถ่ายใกล้ๆ “ผมอยากให้ทุกคนเคารพพื้นที่ส่วนตัวบ้าง”

“ช่วยไม่ได้ นี่ประเทศไทย” เขาว่าแล้วหัวเราะ เหยียบคันเร่งขับรถไปที่บ้านของผม เมื่อผมเปิดประตูให้ก็สงสัยว่าทำไมไฟถึงไม่ได้เปิดทั้งบ้านแบบนี้กัน

ผมเดินเข้าไปในครัวเผื่อจะเห็นมีนา แต่ก็เห็นเพียงแค่โน้ตสีฟ้าแปะข้างตู้เย็นเท่านั้น

 

พ่อกับแม่พาผมออกไปทำธุระด้วย กลับบ้านตอนดึกๆนะ ส่วนเค้กขอย้ายไปวันอื่นแล้วกัน

 

“...พี่เดือน ผมว่าเราต้องออกไปหาอะไรกินกันเองแล้วล่ะ” พี่เดือนทำหน้าไม่เข้าใจ แต่พอผมยื่นโน้ตให้ดู พี่เดือนก็พยักหน้า “ในบ้านก็ไม่มีอะไรให้กินเลย”

“งั้นไปร้านไหนดีล่ะ?”

“ตรงสี่แยกก็ได้ครับ เดินไป ง่ายดี” เดินไปวางกระเป๋าเอาไว้ที่ห้องนั่งเล่นพร้อมช่อดอกกุหลาบ แต่ดันเหลือบไปเห็นหนังสือทำอาหารเสียก่อนจนผมเกิดไอเดียขึ้นมา “...ไม่มีอะไรที่สำเร็จรูป แต่เรามีของสดนี่นา...”

“หืม?”

ผมหยิบหนังสือทำอาหารขึ้นมาให้พี่เดือนเห็น

“ถ้าทำคนเดียวไม่รอด บางทีช่วยกันสองคนอาจจะออกมาดีก็ได้นะครับ?”

 

“พี่เดือน! นั่นมันซีอิ๊ว!”

“ตายแล้ว! เผลอใส่ไปเยอะด้วย ทำยังไงดี”

“ใส่น้ำเพิ่มรสอาจจะบางลงก็ได้นะครับ”

“งั้นพี่ใส่ลงไปนะ เท่านี้พอรึเปล่า?”

“ผมว่าน้อยไป ครึ่งแก้วเลยดีกว่า”

“โอเค..กุมภ์! ไข่ไหม้แล้วนั่น!”

“เฮ้ย! ไม่ๆๆๆ”

“กะหล่ำอยู่ไหนนะ”

“ตรงเคาท์เตอร์นั่นไงครับ เฮ้ยพี่! นั่นมันดอกกะหล่ำ ไม่ใช่กะหล่ำ---ใส่ไปแล้ว...”

“พี่ขอโทษ แต่กุมภ์ โรยพริกไทยลงบนไข่เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ขวดรั่ว! โอ๊ยยยยย”

….

……..

“หน้าตา...ก็ดูไม่เลวนะครับ...”

“นั่นสิ...”

ผมกับพี่เดือนนั่งมองสิ่งที่เรียกว่าอาหารในจานบนโต๊ะ ตามที่ผมอ่านเมนูมา คาดว่าครั้งก่อนเจ้าอาวุธชีวภาพเหล่านี้เคยเป็นไข่เจียว ผัดผัก แกงจืดมาก่อน แต่สิ่งที่ได้มาก็คือตอตะโกสีดำๆ ผัดดอกกะหล่ำล้นจาน กับแกงจืดที่จืดสมชื่อ

“..ข้าวสุกแล้ว เดี๋ยวผมตักให้นะ”

ผมหวังว่าข้าวจะเป็นหนึ่งเดียวที่รอดจากฝีมือนรกครัวแตกของผมกับพี่เดือนมาได้ แต่พอเปิดฝาหม้อเท่านั้นแหละ..

ข้าวแฉะ!

ฮือออออ ชาตินี้ผมต้องคำสาปให้ทำอาหารไม่ได้รึยังไงกัน

“ข้าวแฉะมากเลยครับพี่เดือน...”

“...กินเถอะ เสียดาย”

พวกผมเริ่มตักกับข้าวเข้าปาก วินาทีแรกที่ซดน้ำซุปแกงจืดนั้น ผมรู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลังกินน้ำเปล่าต้มเดือดใส่หมูใส่ผักเฉยๆ ต่อมาก็เป็นผัดผักของพี่เดือนที่ควรจะเรียกผัดดอกกะหล่ำมากกว่า แค่รูปร่างดอกกะหล่ำที่พี่เดือนหั่นมาก็ชวนสยดสยองแล้ว (อันนี้ผมพูดจริงตามสิ่งที่เห็นเลยนะ) แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือพี่เดือนทำซอสน้ำมันหอยหกลงไปด้วย เลยต้องทนรสชาติเค็มๆมันๆอมไปในตัวผัก สุดท้ายคืออดีตไข่เจียวที่ผมทำไหม้ไม่พอ แต่ดันโรยพริกไทยที่ขวดรั่วหกไปมาก

“..แค่ก” พี่เดือนไอออกมาเมื่อตักไข่เจียวผมเข้าปาก สีหน้านี่แดงขึ้นชัดเจนมาก

“ผมไปเอาน้ำมาให้นะ” ผมเปิดประตูตู้เย็นเพื่อที่จะหยิบน้ำมารินใส่แก้ว แต่พี่เดือนกว่าเดินตามมากอดผมจากด้านหลังแทน “พี่เดือน ไปนั่งรอครับ”

“ทำไข่เจียวไหม้ไม่พอยังใส่พริกไทยจนกลิ่นแรงแสบจมูกแบบนี้ต้องทำโทษ”

“พี่...อุ๊บ!”

ไอ้พี่เดือนมันยัดไข่เจียวชิ้นโตเข้าปากผม!

“แค่ก!” โหย นี่ฝีมือกูเหรอวะเนี่ย “พี่เดือน!”

“ฮึฮึ กินน้ำเถอะ หน้าแดงหมดแล้ว” กลายเป็นพี่เดือนที่รินน้ำใส่แก้วให้ผมเสียอย่างนั้น

“ฮื่อ แกล้งผม”

“โอ๋ๆ ก็อยากแกล้งบ้างนี่นา นี่มื้อแรกที่พวกเราทำอาหารกินด้วยกันเลยนะ” พี่เดือนหันไปมองอาหารบนโต๊ะ

ความจริง..มันก็เป็นมื้อแรกอย่างที่พี่เดือนว่ามาที่พวกเราทำอาหารด้วยกัน ถึงจะทุลักทุเล พังไม่เป็นท่า แต่มันก็เป็นความทรงจำที่จำได้ไม่ลืมเลย รอยยิ้มที่เกิดขึ้นตอนอ่านหนังสือแล้วจะทำอะไรด้วยกัน ตอนที่หยิบวัตถุดิบออกมาด้วยกัน ตอนที่เตือนบอกอีกคนว่านั่นไม่ใช่วิธีทำตามที่หนังสือบอกเอาไว้...

ความทรงจำที่เตือนเราว่า ทั้งผมและพี่เดือนไม่ควรเข้าครัวน่ะนะ

“พังไม่เป็นท่าก็ช่างมัน สิ่งที่เราได้ทำร่วมกันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งนี่” พี่เดือนลูบหัวผมเบาๆแล้วดันให้ไปนั่งที่เก้าอี้เหมือนเดิม “รีบทำลายหลักฐานเถอะ เดี๋ยวมีนากับพ่อแม่มาเจอซากเข้ามีโดนบ่นแน่ๆ”

“ก็ช่วยกันรับผิดชอบสิ”

จากนั้นก็หลุดหัวเราะทั้งคู่

 

ตอนนี้สองทุ่มแล้ว ครอบครัวผมก็ยังไม่กลับมา....

พี่เดือนกลับบ้านไปเมื่อช่วงหนึ่งทุ่ม และตอนนี้ผมก็กำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่าการอยู่เฝ้าบ้านคนเดียว ความจริงผมก็ไม่ได้กลัวอะไรหรอก แต่มันโหวงๆมากกว่า

อยู่บ้านหลังใหญ่คนเดียวมันก็แอบหวั่นนะ...

นั่งหน้าคอมดูหนังไป หันหลังไปที่ประตูเป็นระยะเพราะกลัวว่าจะเป็นแบบในหนังฆาตกรรมที่เปิดเหลือเกิน ที่ว่ากำลังทำอะไรเพลินๆ จู่ๆก็มีคนเดินเข้ามาฟาดหัวเลือดไหลแล้วผมต้องทิ้งไดอิ้งเมสเสจไว้อะ หลังจากนั้นก็จะมีคนเข้ามาทำคดีสืบสวนต่างๆ ตามจับคนร้ายบลาๆ

...คงไม่มีอะไรหรอก คิดมากไปเอง

ผมเดินลงไปชั้นล่างเพื่อหยิบถุงขนมที่วางทิ้งเอาไว้ตั้งแต่กลางวันขึ้นมากิน แต่ผมได้ยินเสียงกุ่กกั่กมาจากบริเวณสวนหน้าบ้านก่อน ทำให้ผมต้องเดินไปดู

มีชายคนหนึ่งกำลังก้มๆเงยๆทำอะไรสักอย่างท่ามกลางความมืด แต่ผมรู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร สิ่งที่ผมแปลกใจก็คือเขาจะวนกลับมาทำไมกับพร้อมกับกล่องอะไรสักอย่างขนาดกลาง

เขาเริ่มเปิดกล่องนั้นออกมา ผูกเชือกกับต้นไม้สองต้นแล้วเอารูปอะไรมาหนีบกับไม้หนีบ เดินไปทางอื่นเหมือนจะไปเสียบอะไรสักอย่างที่ปลั๊กข้างๆบ้าน

ติ๊ง!

เสียงไลน์ดังขึ้นอย่างเบาๆ ดึงจุดสนใจให้ผมหยิบขึ้นมาอ่าน

 

พีรดล 20.35 pm

กุมภ์

พีรดล 20.36 pm

ลงมาชั้นล่างได้มั๊ยครับ?

 

ผมส่ายหัวให้กับความไม่เนียนของพี่เดือน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ออกจะน่าเอ็นดูดี

 

กุมภ์ 20.38 pm

ทำไมครับ?

พีรดล 20.38 pm

นะครับ

 

ผมแอบย่องไปที่ประตูหลังบ้านเพื่อที่จะเดินไปอีกทาง ไม่ยอมตกหลุมที่เขาวางเอาไว้หรอก เห็นทุกอย่างแล้วว่าจะเซอร์ไพรสผมน่ะ ดังนั้นผมต้องทำให้เขาเซอร์ไพรสกว่าเป็นเท่าตัวให้ได้

 

กุมภ์ 20.39 pm

ขอผมปิดคอมแป๊บ

 

ตอบกลับไปอย่างนั้น ที่จริงคือผมกำลังแอบมองพี่เดือนที่ยืนอ่านแชทผมอยู่ตังหาก พี่เดือนเสียบปลั๊กไฟประดับแล้ววางเอาไว้ตรงพื้นให้เกิดแสงนวลตา ส่วนเชือกที่ผูกไว้กับต้นไม้บริเวณรอบๆนั้นมีรูปผมถูกหนีบเอาไว้ ไม่สิ..เป็นรูปที่ผมเพิ่งถ่ายกับพี่เดือนเมื่อตอนกลางวันนี่นา

...ตรงพื้นที่ด้านหนึ่งมีดอกไม้ที่ผมชอบประดับไว้

ดอกลิลลี่สีขาว

หรือความหมายอีกอย่างที่ผมรู้แก่ใจอยู่แล้วก็คือ รู้สึกดีที่ได้รู้จักและอยู่ใกล้คุณ

อีกทั้งไหนจะตุ๊กตาปลาตัวใหญ่สีน้ำทะเลตัวนั้นอีก จะเอามาเข้าคู่กับตุ๊กตาที่พี่ให้มาเมื่อหลายเดือนก่อนรึยังไงกัน

ผมค่อยๆย่องไปข้างหลังพี่เดือนไม่ให้เขารู้ตัว แล้วถลาเข้ากอดให้จนเขาร้องตกใจเสียงดังลั่น

“....กุมภ์?”

“ที่ทำเนี่ยเพื่อผมรึยังไง?”

“....อืม พี่รีบไปอัดรูปให้เลยนะเนี่ย ไหนจะวนไปเอาไฟประดับมาอีก ดอกไม้ที่รีบไปเอาก่อนร้านปิดอีก” พี่เดือนหันกลับมาแล้วกอดผมเอาไว้ “เห็นแก่ความพยายามพี่รึยัง?”

“ยังเลย”

“ทำไมจะไม่เห็นหืม? ขี้ตู่นะเราน่ะ” พี่เดือนหัวเราะแล้วโยกหัวผมเบาๆ “เทอมหน้าพี่ก็ต้องไปสอบนู่นนี่เยอะแยะแล้ว เวลาที่เราอยู่ด้วยกันคงไม่ค่อยมี”

“อื้ม” ผมรู้ดี เพราะปีหน้าพี่เดือนก็ต้องเข้ามหาลัย และที่ผมมั่นใจก็คือพี่เดือนจะเข้าไปเรียนที่กรุงเทพ

“พี่เลยอยากขออย่างหนึ่งก่อนที่พี่จะลืม”

“ว่ามาสิครับ” ผมเอื้อมมือไปจับมือเขาแล้วลูบเบาๆ รู้ดีว่าเขาจะขออะไร ถ้าไม่ใช่...

“เป็นแฟนกับพี่นะครับ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:42:23 โดย SmolMety »

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ ต้นเกลือ

  • No one can escape time; it delivers us all to the same end. ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
บทที่ 12

 

พีรดล นารีรัตน์ with Koompa Sirikun

In relationship…อยากโพสอย่างนี้นานแล้วล่ะ (:


 

“ไอ้แม่กุมภ์! มึงไปคบกับพี่เดือนตอนไหน! อะไร! ยังไง!”

อุ้มร้องโวยวายขึ้นท่ามกลางเตาเนื้อย่างหน้าบ้านผมซึ่งมีสมาชิกที่ร่วมวงเยอะพอควรได้แก่ตัวผมเอง นที ดิน อุ้ม น้องผม พี่เดือน และพี่ศึกที่มาได้ยังไงก็ไม่รู้ พอมันร้องอย่างนั้นออกมาคนอื่นที่อยู่ในวงก็หันมาทางผมกับพี่เดือนอย่างไม่ได้นัดหมาย ส่วนเจ้าตัวคนที่ออกปากขอคบก็ทำลายหน้าลอยตาคีบเนื้อลงจานผมราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อย่าเงียบดิเฮ้ยไอ้เดือน! กูเพื่อนมึงนะ!” พี่ศึกรีบพุ่งเข้าไปหาพี่เดือนแล้วล้มลงไปฟัดกันบนพื้นอย่างเอาเป็นเอาตาย เล่นเสื่อที่ปูเผื่อพื้นที่เอาไว้ยับตาม “บอกมาว่ามึงไปพรากน้องมาจากอ้อมอกพ่อแม่เขาตอนไหน!”

“เอ่อ....พี่นที เอาไงดีอะ...” อันนี้มีนาหันไปถามความเห็นจากหนุ่มแว่นเอ๋อๆ รู้จักกันแค่วันเดียวแต่ถูกชะตาตั้งแต่แรก

“ปล่อยไปเถอะ มีนากินหมูนี่ดีกว่า จะได้โตไวๆ”

“ผมโตแล้วนะ!” และนทีก็ชอบแหย่น้องผมด้วย

“มึงไม่ห้ามผัวมึงอะกุมภ์” ดินคีบหมูเข้าปากตัวเอง แล้วดูคำที่มันพูดมันจาสิครับ น่าตบปากให้ตะเกียบทิ่มดีมั๊ยเนี่ย

ผมยังไม่ได้เป็นเมียเขาสักหน่อย!

“ระวังปากมึงหน่อยไอ้ดิน เดี๋ยวโดน” ว่าจบก็สนใจรุ่นพี่สองคนที่ทะเลาะกันเป็นเด็ก “พี่เดือน พี่ศึกครับ เลิกทะเลาะกันแล้วมากินได้แล้วครับ”

“คร้าบบบบ” พี่ศึกเป็นฝ่ายละตัวออกมาจากพี่เดือนก่อน เขานั่งลงข้างๆดินแล้วกระซิบอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้ยิน

“กุมภ์...ป้อนหน่อย”

นั่นไง ผมว่าแล้วว่าพี่เดือนต้องเข้ามานัวเนียผม มีการเอาแก้มมาถูๆกับไหล่ผม อ้อนเป็นแมวเชียวนะ

“เดชะบุญตามากที่เห็นพ่อคนเก่งของโรงเรียนอ้อนเป็นลูกขนาดนี้ กูถ่ายไปส่งเพจคิ้วท์บอยดีมั๊ย?” พี่ศึกยกมือทาบอก สีหน้าตกใจแบบหลอกๆจนทั้งกลุ่มหัวเราะ

“คบกันได้สัปดาห์นึงแล้ว แต่เพิ่งโพสลงเฟส” อันนี้พี่เดือนเป็นฝ่ายพูดเอง ผมจึงทำแค่พยักหน้าไป “ตอนนี้โปรโมชั่นความหวาน”

“ผมจำได้ว่าพี่เดือนไม่ใช่คนแบบนี้นะ” นทีเลิกคิ้วขึ้นเรียกเสียงหัวเราะอีกครั้ง

“ลูกเอ๊ย คนมันมีความรัก อะไรๆก็เปลี่ยนไป”

“อ่อ...” มันดันไปเล่นกับอุ้มอีกนะ

“แล้วเป็นไงบ้างล่ะคบกัน” คำถามของพี่ศึกดังขึ้นท่ามกลางเสียงฉู่ฉ่าของหมูกระทะ

“ผมเล่าเองๆ” มีนายกมือขึ้นมา “ตอนพี่เดือนวางแผนขอพี่คบ เขาแอบเข้ามาคุยกับบ้านผมนะว่าจะทำยังไงดี ทีนี้พ่อผมเลยเสนอว่าให้ไปถ่ายรูปด้วยกันแล้วไปแอบอัดเอาไว้มาแขวน จัดพล็อบไฟสวยๆ เอาดอกไม้ที่พี่ชอบมาประดับตอนกลางคืน ที่ไม่อยู่บ้านวันนั้นก็เพราะเฝ้าสตูดิโอรอพี่เดือนเอารูปมาเนี่ยแหละ”

ผมรีบส่งสายตาค้อนให้พี่เดือนทันที ไปเกี๊ยมกันตอนไหนทำไมไม่รู้เรื่องอะไรเลย แถมยังเนียนอีก ยกเว้นตอนที่พี่เขาแอบจัดไฟนะ "พี่เดือน..."

“แฮะๆ...” เสียงเจื่อนลงทันทีเลยนะ “ก็ต้องขอความร่วมมือหน่อยสิ พี่ไม่เคยขอใครเป็นแฟนนะ”

“รู้สึกไม่ประทับใจเลย”

“ใครกันที่ตอนรับคำขอกลับร้องไห้”

“เขาเรียกว่าน้ำตาซึมหรอก!” ผมไล่ให้พี่เดือนกลับไปสนใจกับเนื้อบนเตาต่อ เพื่อนที่เหลือก็พากันนินทาเสียงดังว่าทำไมกลายเป็นผมที่สละโสดไปคนแรกซะงั้น

ผิดด้วยเหรอวะ

“จะว่าไปพี่เดือนจะเข้าคณะแพทย์ใช่ปะ? เรียนหนักหน่อยนะนั่น” ดินคีบหมูไหม้ๆลงจานอุ้ม ส่วนตัวเองก็นั่งเคี้ยวสามชั้นเกรียมกำลังพอดี “ไม่ค่อยมีเวลาด้วย”

“พี่คุยกับพ่อพี่แล้วว่าพี่จะสละสิทธินั่นไป”

“ทำไมอะพี่ เสียดายแทน”

“พี่เจอสิ่งที่พี่อยากเรียนแล้วน่ะสิ ต้องขอบคุณกุมภ์ที่คอยบ่นว่าพี่จับกล้องท่าประหลาดจนพี่หลงเสน่ห์ในการถ่ายรูป”

“หวานแปลกๆแหะ” พี่ศึกขมวดคิ้ว “แล้วคนที่บ่นอ่ะ หลงเสน่ห์ตอนไหน”

“ตั้งแต่แรกเห็น”

“เลี่ยนว่ะ / พี่นที ผมขอน้ำหน่อย หวานเกินไป / ทำไมผัวกุมภ์งานดีจังวะ / มึงป้ายยาพี่เขาแน่ๆ” เสียงโอดครวนดังมาพร้อมๆกัน ผมจับไม่ได้หรอกว่าใครพูดอะไรบ้าง แต่ที่รู้คือพี่เดือนคนข้างๆผมคนนี้อัพเกรดความหน้าหนาขึ้นมาอีกระดับแล้ว

พวกผมนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระไปอีกจนกระทั่งปาร์ตี้หมูกระทะกลางวันจบลง ก็ช่วยกันเก็บข้าวของไปล้างตามหน้าที่ที่แบ่งเอาไว้ นอกจากว่าวันนี้จะมาตั้งตี้หมูกระทะแล้ว พวกเรายังจะไปเที่ยวที่ห้างเพื่อช่วยเลือกซื้อของขวัญให้ครูที่นักเรียนเคารพเกษียณด้วย

ครูที่ว่าก็คือ ป๋าโป้ง เป็นครูฝ่ายปกครองที่ทำตัวเหมือนนักเลงคอยตามไล่นักเรียนที่หลบเรียนไปสูบบุหรี่หรือข้ามรั้วไปเล่นเกมทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา แกมีรถคู่ใจเป็นมอเตอร์ไซค์รุ่นพิเศษที่สามารถวาพ์บไปจับนักเรียนได้ทุกที่ทุกเวลาราวกับว่ามีนิมิตรู้ถึงแหล่งที่นักเรียนจะไปสุมหัวกัน

ป๋าโป้งเป็นครูที่เอ็นดูพี่เดือนมากกว่าคนอื่นเนื่องจากพี่เดือนมักจะอยู่ช่วยแกทำงานก่อนที่จะไปเรียนพิเศษตอนเรียนม.4 แล้วพอรุ่นผมมา ป๋าโป้งเมื่อรู้ว่าผมสนิทกับพี่เดือน ก็เอ็นดูผมราวกับว่าผมเป็นลูกอีกคน นี่เห็นว่าจะให้ผมไปลงชื่อสมัครประธานนักเรียนเพราะคิดว่าผมเป็นทาญาติอสูรพี่เดือนด้วย

ใจเย็นครับป๋า

 

“คิดว่าป๋าแกจะชอบอะไรอะ” อุ้มหยิบตุ๊กตาหมูคาวบอยขึ้นมา “ป๋าแกเหมือนคาวบอยดีนะ แต่กูไม่อยากให้เป็นหมูเพราะกลัวจะเป็นด่าทางอ้อม”

“ไม่รู้ว่าป๋าแกชอบอะไรแน่นอนที่สิคือเรื่องลำบาก”

“ของกินดีปะ แบบพวกอยู่ได้นานๆ”

“โห ของดองว่างั้น?”

“พวกที่อยู่ได้นานๆก็ไม่ได้มีแต่ของดองมั๊ย?”

ผม พี่เดือน อุ้มและดินมายืนเถียงกันตรงโซนตุ๊กตาผ้า ส่วนที่เหลือคือพี่ศึก นที และมีนาก็ไปดูพวกน้ำหอมสำหรับผู้ชายให้ป๋าโป้งโดยที่มีนาเป็นคนแนะนำ

ทางนั้นเลือกของผู้ใหญ่มากในขณะที่พวกผมเลือกของกระจุ๊กกระจิ๊ก...

“พี่ว่าซื้อเป็นผ้านวมหนาๆดีกว่านะ อากาศเริ่มเย็นแล้ว คนอายุเยอะไม่สบายบ่อย”

“ผมก็ว่างั้น เดี๋ยวแยกกันไปดูนะ ตัดสินใจได้ค่อยมาบอกกันอีกที”

“ไปกับผัวมึงเลยไป ชิ้วๆ”

“ดิน...”

 

ผมเดินหนีจากสองตัวนั้นกับพี่เดือนซึ่งตอนนี้กำลังเลือกดูผ้านวมราคาหลักเกือบพันอย่างพิถีพิถัน แต่ละผืนมีคุณสมบัติไม่เหมือนกันยังไง อะไรยังไง เนื้อผ้าแบบไหนพี่เดือนบอกได้หมด ผมที่เวลาซื้อจะเลือกแค่ราคาถูกกับสีที่ชอบถึงขั้นยืนเหวอ

“ไม่ยักกะรู้ว่าจะซื้อผ้านวมต้องใช้ความรู้ด้วย”

พี่เดือนหัวเราะเบาแล้วหยิบผ้าสองผืนขึ้นมาให้ผมจับ “ผ้าแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน เนื้อสัมผัสไม่เหมือน อย่างผืนนี้เหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่า ส่วนอีกผืนก็เหมาะสำหรับคนที่นอนยาก ลองจับดูสิ” เนื้อต่างกันจริงๆด้วย “เรื่องพวกนี้มันละเอียดอ่อน ต้องค่อยๆศึกษา ตอนแรกๆพี่ก็งงเหมือนกุมภ์นั่นแหละ”

“แล้วตอนนี้พี่ใช้ผ้านวมแบบไหนอยู่ครับ?” อย่างพี่เดือนก็น่าจะเป็นแบบรักสุขภาพ

“พี่ใช้ผืนร้อยเก้าเก้าตลาดนัด”

คำตอบเล่นเอาผมอึ้งไปเลยเว้ย คือบอกคนอื่นดิบดีว่าผ้าแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน ใช้ตามคนนอน แต่พี่แกกลับใช้ผืนร้อยเก้าเก้าไม่มีออฟชั่นพิเศษ “แล้วแนะนำคนอื่นซะดี”

“ก็แหม..พี่ก็ไม่อยากใช้เงินฟุ่มเฟือยขนาดนั้นนี่นา อีกอย่างพี่ก็ไม่ค่อยได้นอนด้วย จะเอาแบบแพงมาให้ทิ้งเงินเล่นทำไมกัน”

“ที่เลี้ยงผมเลี้ยงปานว่าจะไม่ได้เลี้ยง”

 “เพื่อกุมภ์ พี่พร้อมเปย์”

“เชอะ ถ้าพี่ทิ้งผมล่ะก็จะเสียใจ ผมมีแค่คนเดียวบนโลกนะ”

“ไม่ทิ้งหรอกน่า” พี่เดือนยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมอย่างที่ชอบทำ “พี่ไปเรียนมหาลัยแล้วก็อย่างอแงแล้วกัน”

“ผมไม่งอแงหรอกน่า ผมโตพอที่จะเข้าใจอะไรหลายอย่างนะ แล้วพี่ตั้งใจจะไปเข้าที่ไหนอะ?”

“ก็มอ----นั่นแหละ นิเทศมหาลัยนั้นดังนี่”

“พี่เดือนเลือกแค่ว่ามันเป็นมอดังไม่ได้นะครับ แต่ความจริงผมตั้งใจจะไปที่นั่นนะถ้าหัวผมถึง” มหาลัยที่ติดอันดับประเทศแบบนั้นการแข่งขันย่อมสูงเป็นธรรมดา “ยังไงก็พยายามไว้นะ”

“พี่รักกุมภ์ที่กุมภ์ใช้คำว่าพยายามแทนคำว่าสู้นี่แหละ” พี่เดือนก้มลงมากระซิบกับผม “แสดงว่าจะเข้าตามมากันให้ได้ใช่มั๊ย?”

“พูดอย่างนี้ท้าเหรอครับ? ได้เลย พี่คอยดูไว้นะ ถ้าผมไม่ได้เรียนมหาลัยเดียวกันกับพี่ ผมจะให้พี่ทำโทษอะไรก็ได้”

“อีกสองปีเลยนะ” ดูทำหน้าเสียใจ “พี่รอไม่ไหวหรอก”

“หวังอะไรแปลกๆแน่อย่างนี้” ผมเบะปากให้พี่เดือนแล้วหันไปมองผ้านวมต่อ “สีน้ำตาลอ่อนก็ดีนะครับ”

“พี่ก็คิดแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าจะเอาแบบเพื่อสุขภาพหรือแบบสำหรับผู้ใหญ่นี่สิ”

“เป็นพี่ พี่เลือกแบบไหนครับ”

“ก็คงแบบเพื่อสุขภาพ”

“งั้นก็เอาแบบเพื่อสุขภาพ บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องซื้อตามความเหมาะสมขนาดนั้นก็ได้นะครับพี่เดือน ราคาก็ต่างกันไม่ถึงสามสิบ” ผมยกถุงผ้านวลสีน้ำตาลลายสก็อตไปที่เคาท์เตอร์ให้พนักงานคิดเงินโดยเงินที่หักนั้นมาจากบัตรพี่เดือนล้วนๆ “เดี๋ยวกลับบ้านไปผมหารนะ”

“อื้ม”

พี่เดือนไปเคยว่าผมเรื่องที่จะหารเงินซื้ออะไรร่วมกัน หนำซ้ำยังบอกว่าช่วยกันประหยัดก็ดี ผมยอมรับว่าตั้งแต่คบกันมาสัปดาห์หนึ่ง พี่เดือนก็เปลี่ยนไปจากวันแรกที่เจอกันอย่างมาก เขาดูสดใสขึ้น ดูอารมณ์ดีตลอดเวลา และดูมีออร่ามากขึ้นกว่าเก่าอย่างชัดเจน ไม่ทำหน้าตายอีกต่อไป แต่เพราะไม่ทำหน้าตายนี่แหละที่เป็นปัญหา

‘แก คนนั้นหล่ออะ มากับน้องชายเหรอ?’

‘น่าจะใช่’

มีคนมองพี่เดือนมากขึ้น

เออออออออ ผมยอมรับแล้วก็ได้ว่าผมหึง ทั้งหึงทั้งหวงนั่นแหละ!

ผมไม่รอช้ารีบคว้าแขนพี่เดือนมาคล้องไว้ทันทีเมื่อเขารับถุงผ้านวมมาถือเอาไว้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้าผู้หญิงสองคนนั้น พวกเธอบ่นออกมาประมาณว่าเสียดายที่เป็นเกย์ แต่ก็แอบยิ้มให้กับพวกผม

ทางเจ้าตัวดูท่าทางจะไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำว่าไปโปรยเสน่ห์เรี่ยราดน่ะ

“คิดยังไงถึงมาเดินคล้องแขน”

“มีผู้หญิงมองพี่?”

“อืม”

“หวงสินะ” ผมไม่เถียง พยักหน้าไปตรงๆ “ครับๆ หลังจากนี้พี่จะใส่แว่นตา จะทำผมยุ่งๆให้กลายเป็นไอ้เนิร์ดไปเลย”

“ทำสิครับ คนอื่นจะได้ไม่มอง” กล้าพูดแล้วกล้าทำมั๊ยล่ะ ผมอยากรู้แค่นั้น

แต่สิ่งที่พี่เดือนทำคือการเข้าห้องน้ำเพื่อไปถอดคอนเทคเลนส์แล้วเปลี่ยนเป็นแว่นตากรอบเหลี่ยม ขยี้ผมตัวเองที่แต่งมาอย่างดีให้ยุ่งหน่อยๆจนไม่ค่อยเด่นอย่างที่เคย

“พี่ดูเป็นเด็กแก่เรียนรึยัง?”

“ไม่ใช่เมื่อก่อนพี่ก็เป็นเหรอครับ?”

“แล้วใครกันที่บอกให้พี่ไปยกเลิกคลาสให้เกือบหมดน่ะ” พี่เดือนเก็บกล่องแว่นลงกระเป๋าตัวเอง เดินออกมาจากห้องน้ำกับผมแล้วเดินไปที่โซนน้ำหอมที่พี่ศึก นทีและมีนาอยู่ สามคนนั้นกำลังยืนดูน้ำหอมกลิ่นต่างๆจนกระทั่งหยิบขึ้นมาขวดนึงแล้วให้พี่ศึกไปจ่ายที่เคาท์เตอร์

นทีกับมีนายืนหัวเราะคิกคักอะไรไม่รู้อยู่สามนาทีได้ถึงค่อยรู้ตัวว่าพวกผมยืนอยู่ข้างหลัง

“อ้าว พี่เดือนทำไมไปเปลี่ยนลุค?” นทีถามขึ้นมา “อย่าบอกนะว่ามีคนหึงเรื่องพี่หน้าตาดีเลยบอกให้ไปแปลงโฉมเป็นเด็กเนิร์ด?”

“ถูก มีคนหวงพี่ไม่อยากให้คนอื่นมอง”

“มีแฟนแล้วขี้หึงนะเราน่ะ” นทีหยิบแก้มผมอย่างหยอกล้อ แต่พี่เดือนรีบเข้ามาปัดมือลูกพี่ลูกน้องตัวเองออกไป “พี่เดือนเองก็ไม่รู้ตัวใช่ปะว่าขี้หึงเหมือนกัน?”

“แก้มกุมภ์พี่หยิกได้แค่คนเดียวแล้ว”

“น่ารักกันจังเลยนะครับคู่นี้” มีนาหัวเราะกับนที ทำไมสองคนนี้ถึงเข้ากันจังวะ!

“เดี๋ยวมีนามีแฟนแล้วจะรู้เองว่าคนมีความรักมันเป็นยังไง”

“พูดเหมือนมึงมีแฟน”

“ถ้ามีก็ดี อยากได้คนที่ห่วงใยอยู่ข้างๆ ใครจะเอาเด็กเนิร์ดอย่างกูกัน”

“ถ้ามึงถอดแว่นแล้วแต่งหน้าแต่งผมให้ดีๆล่ะก็ มึงต้องมีผู้หญิงมาขอเบอร์อะ”

“คุยอะไรกันอยู่เหรอ อ่าวเดือน มึงแปลงร่างเป็นเด็กเรียนเหรอวะ เข้าดีว่ะ” พี่ศึกถือถุงน้ำหอมมา ท่าทางประคบประงมน่าดูเชียว (ก็ของแพง) “แล้วน้องอีกสองคนล่ะ?”

“ยืนเถียงกันเรื่องซื้อตุ๊กตาอยู่ครับ...นั่นไง มาแล้ว” ผมชี้ไปทางตรงข้าม อุ้มกับดินเดินถือถุงตุ๊กตามากันคนละตัว หน้านี่บูดมาเชียว “ทะเลาะอะไรกันมาอีก?”

“ก็เรื่องตุ๊กตานี่แหละ สรุปว่าให้คนละตัวไปเลย ซื้อโปรหนึ่งแถมหนึ่งเอา” ดินยักไหล่ “แล้วตัวที่หนึ่งแถมหนึ่งคือตุ๊กตาควาย”

“สัด นี่มันวัว มึงแยกไม่ออกรึยังไง?” อุ้มดึงตุ๊กตาผ้านิ่มออกมาจากถุง

เอ่อ..เพื่อนครับ นั่นมันกระทิง

“จะไปไหนกันต่อรึเปล่า หรือจะกลับเลย ไม่มีอะไรแล้วนี่” นทีพูดขึ้นมา อุ้มกับดินบอกว่าจะกลับด้วยกัน ส่วนพี่ศึกจะนั่งรถสายไปที่อื่นต่อ นทีไม่รู้จะไปไหนเลยจะอยู่กับพวกผมที่นี่อีกสักพัก

หลังจากที่แยกย้ายแล้ว พวกผมสี่คนก็มาเดินวนๆแถวโรงหนังหาหนังเรื่องที่อยากจะดูกัน แผ่นโปสเตอร์หนังที่ติดอยู่มีแต่น่าดูทั้งนั้น

“พี่จะไม่ยอมโดนกุมภ์หลอกเป็นครั้งที่สองหรอกว่าหนังเรื่องไหนเป็นยังไง”

“ชิ ผมอ่านรีวิวไม่ครบตังหาก”

“สองคนนั้นคุยอะไรกันงุ้งงิ้งครับ? มีนาเดินไปซื้อป็อบคอร์นแล้ว” นทีผายมือไปทางน้องผมที่วิ่งไปซื้อป๊อบคอร์นถังยักษ์มา...บอกไว้อย่างนึงนะว่าน้องผมกินเก่งมาก ถังนั้นกินคนเดียวยังหมดเลย “ดูเรื่องอะไรดี? จะได้ใช้บัตรลดให้”

“เลือกมาเถอะ ไม่รู้ว่าจะดูอะไรเหมือนกัน”

ผมตอบพอแล้วๆ ดึงพี่เดือนมานั่งรอ จำได้ว่าครั้งก่อนพี่เดือนก็มาดูหนังแล้วโรงมันก็มืดๆ พี่เดือนที่กลัวความมืดทำไมไม่มีเกรงอะไร

“ครั้งก่อนที่มาโรงหนังกับผมไม่ยักกะเห็นว่าพี่กลัวความมืด?”

“ถ้ามืดไม่สนิทก็อยู่ได้อยู่นะแบบในโรงหนัง แต่เอาจริงๆใจพี่มันก็หวิวไปบ้าง” พี่เดือนเลื่อนมือมาจับมือผมเอาไว้ “แต่ตอนนั้นพี่รู้สึกอบอุ่นพอรู้ว่ามีคนอยู่ด้วย...ยิ่งเป็นกุมภ์พี่ยิ่งรู้สึกดี”

“พูดเลี่ยนๆ เอาพี่เดือนคนเก่าคืนมานะ”

“โอ๊ย! อย่าหยิกท้องพี่สิ!”

“ไม่ได้หยิกท้อง กำลังเช็คอยู่ว่ามีพุงรึเปล่า ถ้ามีรีบลดเลย ไขมันสะสม”

“โลกนี้ไม่ได้มีสองคนนะครับ พี่เดือน พี่กุมภ์”

มีนายิ้มหน้าแป้นถือถังป๊อบคอร์นกับแก้วน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วเดินกลับไปเอาป๊อบคอร์นมาให้อีกเซ็ต “อันนี้ของพวกพี่โดยเฉพาะ ถังนี้ผมแบ่งกับพี่นทีได้”

“พี่กลัวว่ามีนาจะแย่งนทีมันกินหมด”

“ไม่หรอก พี่นทีเองก็บอกว่ากินไม่เยอะ”

“อะ นี่บัตร” นทีวิ่งมายื่นบัตรให้ผมกับพี่เดือน ทำไมยื่นมาสองใบหว่า? “เข้าไปกันก่อน เดี๋ยวจะลงไปซื้อน้ำเปล่า ข้างบนแพงเกิน มีนาไปกันเถอะ”

ผมพยักหน้าให้สองคนนั้น พอพวกเขาเดินลงไปชั้นล่าง ผมกับพี่เดือนก็เดินเข้าโรงไปโดยที่ไม่ทันได้ดูบัตรแต่แรกว่ามันไม่ใช่ที่ธรรมดา

มันคือฮันนีมูนซีท...

แล้วป๊อบคอร์นก็เพิ่งมาสังเกตว่าเป็นเซ็ตคู่รัก...

“สองคนนั้นรวมหัวกันชัดๆ...” ผมพูดพลางกวาดป๊อบคอร์นเข้าปากอย่างหัวเสีย หนังที่เลือกมาก็เป็นหนังผี เหมือนหวังว่าจะให้ผมตกใจกระโดดเกาะพี่เดือนแน่ๆ

และขอโทษที่คิดผิด ทั้งผมและพี่เดือนเฉยๆมาก หนังเรื่องนี้เด็ดแค่ที่โผล่มาตุ้งแช่เท่านั้น

“เฉยๆมาก...”

“เอาเถอะน่า ช่วยไม่ได้นี่นา พวกเราโดนสองคนนั้นหลอกเอง” พี่เดือนปลอบใจผมทั้งๆที่พี่กัดปากสั่นเลยนะ

“พี่หนาวเหรอ?”

“พี่ไม่ชอบอากาศเย็นๆ...” เขาว่าพลางยกแขนขึ้นมากอดตัวเองเอาไว้ “แล้วตรงนี้ก็ใต้แอร์พอดี”

“พี่เอาเสื้อผมไปสิ” ผมถอดเสื้อคลุมให้พี่เดือน แต่เขากลับส่ายหัวไม่รับ

“ใส่ไปเถอะ พี่พอทนได้อยู่”

“ดื้อจังเลยนะครับ เอาไปเถอะ”

“งั้นพี่ขอกอดกุมภ์แล้วกัน”

“ฮะ...เดี๋ยว!”

พี่เดือนดึงผมให้มานั่งตรงกลางระหว่างขา เอาคางมาซุกไหล่ผม แขนกอดรอบเอวแล้วกำชับให้แน่น “...อุ่มขึ้นเยอะเลย”

“พี่จงใจใช่รึเปล่าเนี่ย”

“ไม่ครับ พี่ขอกอดหน่อยนะเจ้าปลา..”

พี่เดือนไม่พูดอะไรต่ออีก สายตาจ้องไปที่จอหนัง ผมในตอนแรกที่เกรงตัวเพราะเขาก็เริ่มผ่อนคลายแล้วกลายเป็นเอนตัวพิงกับแผ่นอกไปในที่สุด

ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผมรู้สึกอบอุ่นใจเหลือเกิน

อ้อมกอดของคนที่รัก..ผมเชื่อแล้วล่ะว่ามันพิเศษขนาดไหน

มันเป็นเหมือนทั้งการปกป้อง การดูแล การปลอบโยนไปในครั้งเดียวกัน ผมได้กลิ่นน้ำหอมทะเลมาจากตัวของเขา มันเป็นกลิ่นเดิมเช่นทุกครั้ง แต่หลังจากนี้มันจะพิเศษขึ้น และผมก็อยากจะรับรู้ถึงสัมผัสของกลิ่นนี้ไปอีกนาน

ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตผมกับพี่เดือนจะเลิกกันตอนไหน ดังนั้นแล้วผมต้องเก็บรักษาความทรงจำดีๆเอาไว้ให้เยอะที่สุด แม้จะต้องเตรียมใจไว้บ้างส่วนว่าความทรงจำพวกนี้สามารถทำให้เราเจ็บปวดได้เมื่อไม่มีเขาอยู่ข้างๆก็ตาม

 

“นที มึงหลอกกู”

“แค่ช่วยรึเปล่า โอ๋ๆ แม่ไม่โกธรนะ” นทียิ้มแห้งๆให้หลังจากที่ผมกับพี่เดือนเดินออกมาจากโรง นทีกับมีนาก็เดินออกมาจากโรงหนังที่ฉายการ์ตูนพอดี

แม่งพากันไปดูการ์ตูน ส่วนกูดูหนังผี เอาสมองส่วนไหนคิด

“แล้วเป็นยังไงบ้าง มีกุ๊กกิ๊กอะไรรึเปล่า..อย่างมึงตกใจผีแม่ชีแล้วกระโดดไปกอดพี่เดือนอะ” นทีกระซิบกับผม ผมจึงต้องดีดหน้าผากของตัวสูงให้ร้องโอ๊ยเสียงดังลั่นล็อบบี้โรงหนัง เรียกสายตาคนมามอง

“ไม่มีหรอก ไร้สาระ มึงกลับบ้านกลับช่องได้แล้ว กูก็จะกลับแล้วเนี่ย”

ไม่ใช่ไม่มีอะไร แต่ผมไม่อยากบอกเฉยๆเท่านั้น

ขอเก็บเป็นแค่ความลับของผมกับพี่เดือนสองคนเถอะนะ (:

 

และผมขอไทม์สคิปหน่อยนะครับ

ตอนนี้เปิดเทอมสองแล้ว...

ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เพียงแค่ว่างานกีฬาสีถูกเลื่อนมาเร็วกว่าที่คิด เดือนหน้าต้องจัดแล้ว พี่ศึกแกเลยคึกรีบซ้อมเชียร์ตั้งแต่แรก แถมยังใส่ชื่อคฑากรชายเป็นไอ้แม่น้ำจนมันร้องโวยวายไล่ตีพี่ศึกไปทั่วห้อง นอกจากว่านทีจะได้เป็นคฑากรชายแล้ว อุ้มกับดินยังลงแข่งอีสปอร์ตด้วย ผมว่าคนดูต้องเยอะมากพอตัว

ส่วนผมกับพี่เดือนก็โดนจับไปเป็นพิธีกรเปิดงานกับปิดงานเช่นเคย...

ผมไม่เข้าใจเอาคนอื่นไม่ได้เลยรึยังไงวะ?!

 

BM Cuteboi

ยืนยันแล้วค่าว่างานกีฬาสีโรงเรียนปีนี้เป็นพี่เดือนน้องกุมภ์ที่ขึ้นเป็นพิธีกร งานนี้จะมีโมเม้นท์อะไรหวานๆรึเปล่านะหลังจากประกาศตัวคบกัน ตื่นเต้นๆ

กาลาเมต้า หรือเมต้ากาลา : แงงง คู่นี้เขารักกันดีมากค่ะ แจกโปรหวานไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง สู้นะคะ เป็นกำลังใจให้

ทิพธัญญา โพธิ์เงิน : รอดูโมเม้นท์บนเวทีค่ะ ฮือออออออ


 

อย่างว่า ทุกคนเริ่มมีทัศนะที่ดีขึ้นกับพี่เดือนแล้วก็ให้กำลังใจกัน แม้ว่าบางคนจะต่อต้านไปแล้วก็ตาม ทุกคนก็จะช่วยกันออกตัวปกป้องพี่เดือนบอกว่าพี่เดือนไม่ได้ผิดที่เขาเป็นแบบนี้

นอกจากว่าจะมีงานกีฬาสีที่เข้ามาใกล้แล้ว งานโอเพ่นเฮาส์ก็จะขยับเข้ามาเช่นกัน ซึ่งงานนี้แตกต่างจากงานที่จัดขึ้นจากเทอมหนึ่งอย่างชัดเจน พวกเราสามารถตั้งซุ้มอะไร ที่ไหนก็ได้ สามารถตั้งเวทีเล็กๆร้องเพลงทำกิจกรรมได้ถ้ามันสามารถเรียกนักเรียนชั้นมัธยมต้นเข้ามาที่นี่ ห้องผมจึงตกลงกันว่าจะจัดซุ้มปาลูกโป่งแลกของรางวัลสำหรับการเรียนเช่นหนังสือเตรียมสอบ หรือเอกสารการเรียนข้อสอบเก่าๆที่ไปขออนุญาตเผยแพร่จากทางครูมาแล้ว

ฟังดูน่าสนุกดีนะ แต่ตอนนี้กำลังมีปัญหาเรื่องสถานที่ที่จะจัดนี่แหละ ที่กว้างๆก็ไม่มีคนเดิน ส่วนที่ที่มีคนเดินก็มีคนจองไปหมดเสียแล้ว

จองที่เร็วกันไปไหน

แต่ในที่สุดพวกเราก็สามารถสรุปกันได้ว่าจะจัดกันที่ห้องตัวเอง เวลาเก็บเศษลูกโป่งจะได้ง่ายๆหน่อย

ห้องพี่เดือนปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน ดังนั้นจะทำเป็นซุ้มถ่ายภาพ โดยตากล้องไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพี่เดือนที่ตลอดปิดเทอมมาฝึกฝีมือถ่ายกับผมนี่แหละ ผมก็นึกว่าพี่เดือนจะเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบเข้าที่นู่นที่นี่เหมือนคนอื่น แต่พอไปถามพี่ศึก พี่ศึกก็บอกว่า..

‘ไอ้เดือนมันไม่ต้องไปอ่านอะไรแล้ว เก่งพอ แค่ยื่นใบเกรดเขาก็รับมันเข้าแล้วมั๊ง’

...ก็จริงอย่างที่พี่ศึกว่า ก่อนเปิดเทอมได้สองวันยังส่งรูปใบเกรดมาให้ดูอยู่เลย

คนบ้าอะไรได้เกรดสี่ทุกวิชา อมนุษย์ชัดๆ

เพิ่งจะเห็นความเทพของแฟนตัวเองก็วันนี้ แต่ผมเองก็ทำได้ไม่เลวยกเว้นวิชาคหกรรมที่ห่วยยิ่งกว่าห่วย พี่เดือนเองก็ปลอบใจอยู่ว่าขึ้นม.5ก็ไม่เจอแล้ว

แต่ถ้าขึ้นม.5 ผมก็จะไม่เจอกับพี่เดือนเช่นกัน..

พอมาคิดจริงๆแล้วก็แอบเหงาๆ ซึ่งยังไงผมก็ต้องทนให้ได้ พี่เขาไปเรียน สมัยนี้ไม่ได้ติดต่อยากอะไร อยากจะคอลตอนไหนก็ได้ยกเว้นตอนเรียนกับตอนนอน ผมแอบเป็นกังวลเหมือนกันว่าพี่เดือนจะงอแงรึเปล่าเพราะรายนั้นตั้งแต่คบกันก็งอแงเสียเหลือเกิน

“ไอ้กุมภ์! แย่แล้วว่ะ!”

“เกิดอะไรขึ้น?” เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นมาหาผมช่วงเย็นขณะที่รอรถสายกลับบ้าน พี่เดือนยังคงมีเรียนพิเศษเหมือนเดิมจึงไม่ว่าอะไรและไม่โกธรที่เขาไปส่งไม่ได้ ผมไม่ใช่คนงี่เง่าเอาแต่ใจ

“มีคนจากโรงเรียนอื่นบุกเข้ามาตีกันที่สนามฟุตบอล แล้วทีนี้พี่เดือนกำลังเดินผ่านแถวนั้นพอดีเลยโดนลูกหลงไปด้วย! มึงรีบไปดูพี่เขาดิเฮ้ย!”

ผมไม่รอให้เพื่อนพูดจบขาผมก็ก้าวไปอัตโนมัติ ขึ้นชื่อว่ามีคนมาตีกันย่อมมีคนเจ็บ และพอเพื่อนบอกว่าพี่เดือนเป็นคนเจ็บด้วยแล้วใจผมก็หล่นไปอยู่ตาตุ่มพอดี

เมื่อผมวิ่งมาถึงสนาม ผมก็เห็นกลุ่มเด็กเกเรกำลังต่อยกับกลุ่มเด็กจากอีกโรงเรียนหนึ่งอย่างเอาตาย บริเวณรอบๆมีนักเรียนรุมดูคอยห้ามแต่ไม่กล้าทำอะไร ป๋าโป้งพยายามจับพวกเขาแยกกันแต่ด้วยความที่แกมีคนเดียวก็ทำอะไรไม่ได้

พี่เดือนล่ะ

พี่เดือนอยู่ไหน?

“นั่นน้องกุมภ์นี่นา! น้องกุมภ์ เดือนอยู่นี่!”

เสียงผู้หญิงที่ผมพอจะคุ้นๆดังขึ้น ผมหันไปทางขวาแล้วเจอกับพี่เมย์กับคนอื่นที่คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนร่วมห้องยืนรุมกันอยู่ พี่เมย์กวั่กมือเรียกให้ผมเข้าไปดูคนที่กำลังนั่งอยู่กับพื้น

อย่างแรกที่ผมเห็นก็คือเลือด..

เลือดเต็มเสื้อนักเรียนสีขาวของพี่เดือน...

 

 

 

 

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 20:44:53 โดย SmolMety »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด