ตอนที่ 5
ตำนานหรือเรื่องจริง
ตั้งแต่กลับมาจากเมืองหลวงเมื่อหลายวันที่แล้ว ท่านประมุขสั่งงานคนในพรรคให้ไปสืบข่าวเกี่ยวกับสัตว์อสูรและหมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานช่างดูแปลกตาสำหรับชาวพรรคพยัคฆ์ทมิฬนัก
ภายในห้องทำงานของท่านประมุข
ร่างสูงนั่งอ่านข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ตนให้สมาชิกในพรรคไปสืบมา ตั้งแต่คืนหยวนเซียวนั้นฟู่ฟู่ก็ไม่กลายร่างเป็นคนอีกเลย มันยังมีท่าทีคล้ายนกเหมือนเดิมซึ่งตอนนี้เขาปล่อยให้มันไปบินเล่นข้างนอกได้ แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตป้องกันของเขา เพราะในป่าห้วงมิตินี้เป็นที่รู้กันดีว่ามันสามารถสร้างภาพมายาให้คนหลงทางมานักต่อนัก จึงไม่สามารถปล่อยให้มันบินไปไกลกว่ารอบๆพรรคได้
เรื่องที่ให้ไปเสาะหามาบ้างก็เป็นเรื่องที่ถูกบันทึกในหน้าหนังสือ บ้างก็เป็นนิทาน บ้างก็เป็นคำบอกเล่า ใจความสำคัญโดยรวมคือ เมื่อห้าร้อยปีก่อนโลกยุทธภพนี้มีมนุษย์และสัตว์อสูรอาศัยอยู่ร่วมกัน จนมนุษย์เริ่มรุกรานพื้นที่ของสัตว์อสูร พวกมันจึงต้องเริ่มออกมาต่อต้านและโจมตีมนุษย์ แรกๆเหตุการณ์ไม่ร้ายแรงนัก แต่เหล่าสัตว์อสูรเริ่มเหิมเกริมจับมนุษย์ฆ่าทิ้งมากมาย แต่มีบุรุษผู้หนึ่งได้นำเหล่าชาวยุทธผู้มีฝีมือในขณะนั้น ขับไล่สัตว์อสูรเข้าไปในป่าห้วงมิติและกักขังพวกมันในป่านั้น
และมีอีกเรื่องที่เขาให้ความสนใจคือ ตำนานหยกจันทรา เรื่องนี้ก็เกิดเมื่อห้าร้อยปีที่แล้วเช่นกัน มีคนเคยบันทึกไว้แต่กลับมีเหตุการณ์ที่พวกมันโดนไฟเผาพร้อมกัน เรื่องนี้จึงเล่ากันปากต่อปากจนเรื่องอาจคลาดเคลื่อนแต่เรื่องนี้น่าสนใจตรงที่ว่า ช่วงนั้นมีสัตว์อสูรที่ทรงพลังสามารถเล็ดลอดหนีออกจากป่าห้วงมิติมาได้มันคือมังกรดำ สัตว์อสูรที่กัดกินจิตวิญญาณความทุกข์ ความชั่วร้ายของมนุษย์ และมันสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ นั่นทำให้ไม่มีใครรู้ว่าคือสัตว์อสูรเล็ดลอดมา เมื่อมันกัดกินจิตวิญญาณ คนผู้นั้นจะเริ่มหมดแรงและตาย ในที่สุดก็มีบุรุษชุดขาวและพรรคพวกเข้ามาปราบมังกรดำตัวนี้และกักขังมันไว้ในหยกจันทรา และนำไปซ่อนไว้ที่หุบเขาพันปี และยังมีความเชื่อที่ว่าผู้ใดได้ครอบครองหยกจันทรานี้จะได้รับพลังมากมายมหาศาล…
ถึงทีแรกเขาจะคิดว่านั่นคือนิทานหลอกเด็กแต่เรื่องในคืนเทศกาลหยวนเซียวนั่นก็ทำให้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า มันคือตำนานหรือเรื่องจริงกันแน่
“หรือเจ้าจะเป็นสัตว์อสูรรึ ฟู่ฟู่”
“จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ!!!” (แย่แล้ว มีคนมา มีคนมา)
เจ้านกที่บินผ่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้องทำงานของท่านประมุขมันกำลังส่งเสียงเจื้อยแจ้วอย่างตื่นตระหนก
“หึ ตัวแค่นี้จะไปทำอะไรใครเขาได้” ร่างแกร่งใช้นิ้วจิ้มหัวเจ้านกตัวน้อยทำให้มันล้มลง เขาจึงโดนมันจิกที่นิ้วเพื่อเอาคืน
“จิ๊บบบบบบ!!! จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ”(เจ้าบ้าาาาา!!! มีคนมา มันกำลังมาบุกรังเจ้านะ) เจ้านกรู้สึกโมโหที่พูดอะไรไปมนุษย์ไม่เคยเข้าใจ มันล่ะอยากกลายร่างไปเป็นมนุษย์และตบกระโหลกเจ้ามนุษย์นี้สักที ตอนที่มันกำลังบินเล่นอยู่ตรงป่าด้านหลังพรรคนั้นมันก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเยอะมากๆเลยล่ะเดินมาที่นี่ แถมยังเห็นคนในพรรคเราเดินนำหน้ามาด้วยแล้วแอบหนีไปอีกทางเมื่อมาถึงที่ประตูทางเข้า
“ท่านประมุขแย่แล้วขอรับ พวกพรรคเหยี่ยวพิษเข้ามาในเขตพรรคเราได้แล้วตอนนี้มันก็ท้าทายท่านให้ออกไปสู้กับมัน”รองหัวหน้าชงหยวนเข้ามารายงาน พรรคเหยี่ยวพิษเคยมีเรื่องกันมาหลายรอบกระทบกระแทกกันบ้างแต่ดูเหมือนรอบนี้มันจะไม่อยากตายดีถึงบุกมานี่แถมยกพวกมาเกือบร้อย
“หึเข้ามาได้แบบนี้คงมีหนอนนำทาง พรรคเหยี่ยวพิษรึไปดูหน้ามันเสียหน่อยก็ดี” ว่าจบก็เดินอย่างออกไปอย่างไม่เกรงกลัว พร้อมสร้างอนาเขตล้อมรอบกักขังไม่ให้ผู้ใดออกไป หนอนเน่าสวะนั่นไว้ค่อยจัดการทีหลัง
“เฮ้ยไหนหัวหน้าพวกแกวะ หรือกลัวจนมุดหัวเข้ากระดองไปเสียแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า” เหล่าพวกเหยี่ยวพิษพากันหัวเราะตามหัวหน้าของมัน
“ข้าว่าเป็นเจ้ามากกว่าที่กลัวจนต้องยกพวกมาเยอะเหมือน หมาหมู่ เวลาไล่กัดผู้อื่น” อี้หานสมาชิกพรรคพยัคฆ์ทมิฬตอกกลับไป เพราะในเวลานี้พรรคของเขามีคนอยู่เพียง30 คน อีก20 คนออกไปทำภารกิจอยู่ตามแคว้นต่างๆ
“เจ้า!”
“หลีกทาง” หานเฟิงบอกให้เหล่าลูกน้องตนหลีกทางให้เขาเดินไปประจันหน้ากับพวกที่มาหาเรื่อง ชายหนุ่มเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้าด้านหลังก็เจอกับคนราวๆร้อยได้ หึ น่าขำเสียจริงยกพวกมาขนาดนี้คงเก่งมิเบา
“มาได้แล้วรึ ไอ้หานเฟิง หนอยแกนี่ชอบขัดแข้งขัดขาข้าเสียจริงนะ ไม่มีงานอื่นให้ทำแล้วหรือไงวะ” ชายร่างใหญ่โตมีอาวุธเป็นค้อนหัวหน้าพรรคเหยี่ยวพิษ เริ่มเปิดประเด็นหาเรื่องทันที พรรคเหยี่ยวพิษได้งานให้คุ้มครองรถขนสินค้าของเสนาบดีผู้มีอำนาจคนหนึ่ง ใครต่างก็รู้ว่าพรรคเหยี่ยวพิษไร้ผู้ต้านทานจึงไม่มีใครกล้าลักลอบดักปล้นได้ แต่มันก็มีพรรคหนึ่งที่คอยมาขัดแข้งขัดขาเขา มันก็คือพรรคของไอ้หานเฟิง
พวกมันดักปล้นและฆ่าคนของเขาตายหมด เขาจึงโดนท่านเสนาบดีลงโทษแถมเสียค่าชดใช้แทบจะหมดคลัง
“ช่วยไม่ได้ ข้าก็ทำภารกิจเหมือนกับเจ้า ฝีมือห่วยเองยังมาใส่ความให้คนอื่นรับผิดชอบอีกรึ” พรรคของเขาได้รับภารกิจให้ไปดักปล้นรถขนสินค้าของเสนาบดีท่านหนึ่ง ค่าว่าจ้างสมน้ำสมเนื้อเขาเลยรับ ไม่คิดว่าจะเป็นพรรคเหยี่ยวพิษเพราะคนของเขาบอกว่าฝีมือธรรมดาทั่วไป
“ถ้างั้นก็อย่าเสียเวลาคุยกันเลย ข้ามาที่นี่เพื่อเอาเลือดหัวเจ้ามาล้างเท้าข้า!!!” สิ้นเสียงก็เกิดการตะลุมบอน หัวหน้าเหยี่ยวพิษทุบค้อนลงบนพื้นก่อให้เกิดแผ่นดินแยกยาวมาถึงประตูทางเข้า หานเฟิงกระโดดหลบได้ทันเขาชัดเข็มพิษเข้าใส่กลุ่มศัตรูทีเดียวล้มลงไปสิบคน
“เฮื้อก! ไอ้หานเฟิงอย่าอยู่เลยแก” หัวหน้าพรรคเหยี่ยวพิษอารมณ์ร้อนขั้นสุด โถมตัวเข้าต่อสู้กับชายหนุ่มตรงหน้า
ภาพเหตุการณ์ตะลุมบอนนี้เจ้านกเป็นผู้ชมติดขอบเวทีส่งเสียงเจื้อยแจ้วราวกับลุ้นไปด้วย
อ้ากกกกกกเจ้าบ้านั่นฆ่าคน
“จบกันสักทีข้าไม่มีเวลามาก พวกเจ้าถอยออกมา” หานเฟิงตะโกนบอกเหล่าลูกน้องให้ถอยออกมาเพราะเขาจะจัดการพวกมันเสียทีเดียว ตอนนี้มีคนยืนอยู่ราว20 คน หานเฟิงสร้างพลังเกิดเป็นลมรูปร่างเหมือนมังกรยักษ์ภายในลมนั้นมีเข็มพิษหมุนวนไปมาเป็นจำนวนมาก
“เหวอ หัวหน้าข้าไม่อยู่แล้วตัวใครตัวมันละกัน” เหล่าลูกน้องเหยี่ยวพิษเมื่อเห็นมังกรลมตัวยักษ์ก็วิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น แต่ก็ไม่ลอดพ้นมังกรลมไปได้ เข็มพิษจำนวนมากทิ่มแทงร่ายกายด้วยความเร็วทำให้พวกที่พากันหนี ตายลงจนหมด ไม่เว้นหัวหน้าพรรคเหยี่ยวพิษด้วยเช่นกัน
เหล่าสมาชิกพรรคพยัคฆ์ทมิฬต่างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับคิดว่า
จะไม่หาเรื่องท่านประมุขเด็ดขาด!
“และอีกเรื่อง พวกเจ้าจงมายืนเรียงแถวหน้าข้าให้หมด”
“ขอรับ!” ชาวพรรครับคำอย่างขันแข็งเข้ามายืนเรียงแถวหน้ากระดานสามแถว
“ไม่มีใครมาที่นี่ได้ถ้าไม่ใช่คนในพรรค เจ้ากล้ามากที่หักหลังข้า เจ้าจะบอกเองหรือไม่โทษหนักจะได้เป็นเบา”
“จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ” (หาตัวคนร้ายหรือ ข้ารู้ ข้ารู้ คนนี้ คนนี้)
“เจ้านกบ้า ไปไกลๆเลยไป” เจ้าฟู่ฟู่บินมาจิกหัวสมาชิกพรรคคนหนึ่ง ชายผู้นั้นก็ปัดไล่นกไปมา
“หึ ข้าว่าข้ารู้แล้วว่าใครเป็นหนอน นกมักชอบกินหนอนจริงหรือไม่”
“ท่านประมุขโปรดตรองดูใหม่เถอะขอรับเจ้านกนี่อาจจะบินมากวนเล่นก็ได้ขอรับ” ชาย
หนุ่มรีบท้วงติง
“ชงหยวนไปนำยาพูดความจริงมา” ยาพูดความจริงคุณสมบัติตามชื่อสามารถทำให้ผู้ดื่มกินพูดความจริงมีฤทธิ์เพียงหนึ่งชั่วยาม
“ท่านประมุข ข้ายอมแล้ว ข้าเองที่เป็นคนนำพวกนั้นมาแต่มันขู่บังคับข้า ท่านโปรดอภัยให้ข้าด้วยขอรับ” ชายหนุ่มยอมสารภาพความจริงเผื่อว่าโทษหนักจะได้เป็นเบา
“อืมข้าจะให้อภัยเจ้า..จากตัดคอเป็นจับขังทรมานให้สาสมกับคนทรยศอย่างเจ้า จับตัวมันไปและทรมานมันอย่าให้ตายก็พอ”
“ขอรับ”
“ม่ายยยยย นายท่านโปรดให้อภัยข้า”สมาชิกพรรคสองคนรวบตัวเจ้าคนทรยศเข้าไปยังห้องขังทรมาน ห้องนั้นมีบ่องูที่เต็มไปด้วยงูคมเขี้ยวแหลมคมมันจะกัดสิ่งที่ถูกโยนลงไปในบ่อ แต่มีมีพิษที่ทำให้คนได้รับจะเจ็บแผลที่โดนกัดเรื่อยๆไปจนตาย
“ชงหยวนจัดการนำศพไปโยนลงหน้าผาซะ และจำไว้ว่าใครทรยศข้ามันจะเป็นแบบเจ้าผู้นั้น จำไว้ แยกตัวไปจัดการทุกอย่างได้”
“ขอรับ!”
คืนนี้หานเฟิงเลือกมานั่งดื่มน้ำจันทร์ชื่นชมดวงดาราศาลากลางสวน แทนพระจันทร์ที่คืนนี้มืดมิด
“จิ๊บ จิ๊บ” (มานั่งทำอะไรตรงนี้) เจ้าฟู่ฟู่บินมาเกาะที่นิ้วเจ้ามนุษย์เมื่อคนผู้นี้ยังไม่ยอมเข้ามานอน มันเลยบินมาตามหา
“ยังไม่นอนอีกรึ”หานเฟิงถามเจ้านกน้อย แต่ทันใดนั้นก็พลันให้เกิดแสงสว่างสีทองระยิบระยับเจ้านกน้อยกลายร่างเป็นคนนั่งอยู่บนตักท่านประมุข
“เจ้า เป็นคนอีกแล้ว ข้าอยากจะเป็นบ้านัก”ร่างแกร่งลูบใบหน้าคมคายของตนหลังจากเจอเรื่องประหลาดใจอีกแล้ว
“ข้าเป็นคนอีกแล้วล่ะ เย้เย้” ต่างจากเจ้าฟู่ฟู่ที่โยนความแปลกใจทิ้งไปเพราะยังไงมันก็ไม่รู้สาเหตุอยู่ดี
กลับมาแล้วรึ เจ้าออกมาแล้วรึ ข้ารอคอยเจ้ามานานแสนนาน
“โอ้ย ใคร เจ้าเป็นใคร กลับมาอะไรกัน แล้วเจ้าเป็นใคร เสียงบ้านี่หยุดเสียที หยุด! ข้าปวดหัว อ๊ากกก” ร่างบางบนตักยกมือขึ้นมาปิดหูจากเสียงที่วนเวียนอยู่ในหัวมันทำให้เขาปวดหัวจนจะระเบิด ไม่ไหวแล้ว หยุดเสียที
“เจ้าเป็นอะไร ฟู่ฟู่ ปวดหัวรึ บอกข้าสิ"ร่างแกร่งโอบกอดร่างบนตักจนสักพักร่างนั้นก็สงบลง
“ฮึก ข้าปวดหัวมากเลยเสียงนั่นทำข้าเจ็บ”ร่างบางเงยหน้าขึ้นมาสบตากับร่างสูง ตาเรียวคมนั่นมีหยดน้ำใสเอ่อคลออยู่เป็นภาพที่น่าดูนัก
“ไม่เป็นอะไรแล้ว เสียงนั่นหายไปแล้วใช่หรือไม่หืม” หานเฟิงเอ่ยปลอบ ตอนนี้ทั้งสองลืมไปแล้วว่านั่งกอดกันอยู่นะ!!!
“หายแล้ว เสียงนั่นพูดแต่ว่า เจ้ามาแล้วรึ เจ้าออกมาแล้วรึ ข้ารอคอยเจ้ามานานแสนนาน พูดแบบนี้ซ้ำๆไปมาเสียงมันดังขึ้นๆจนข้าปวดหัว”
“ไม่มีสิ่งใดเป็นกังวลนัก อาจเป็นผลค้างเคียงที่เจ้ามาอยู่ในร่างคนก็เป็นได้อย่าเป็นกังวลนักเลย”
“อืม อย่างนั้นหรือ อ๊ะข้าว่าจะถามนานแล้วเจ้าชื่อว่าอะไร” ชายหนุ่มชุดขาวนึกคำถามที่สงสัยมานานเขามาอยู่ในร่างคนแบบนี้ก็เรียกเจ้าบ้า เจ้าเซ่อเหมือนก่อนไม่ได้แล้วจึงต้องถามชื่อแซ่้เอาไว้
“หานเฟิง ข้าชื่อหานเฟิง” ร่างแกร่งตอบกลับร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอด
“อืมเจ้าชื่อหานเฟิง ส่วนข้าชื่อฟู่ฟู่สินะ อ๊ะ เฮ้ย เจ้าปล่อยข้าได้แล้ว"กว่าจะรู้ตัวว่าอยู่ในอ้อมกอดก็เผลอซบอิงแอบอกกว้างไปเสียแล้ว
“หึ จะตกใจไปใยข้านั่งกอดนกที่ข้าเลี้ยงแปลกตรงไหน”
“ก็แปลกตรงเจ้าเป็นบุรุษ ข้าก็เป็นบุรุษไงเล่า” ตอบกลับไปพร้อมดิ้นลงจากตักแกร่งคราวนี้ร่างสูงยอมปล่อยออกมาโดยดี พลางคิดว่าทำไมเขาไม่รู้สึกรังเกียจที่โอบกอดบุรุษด้วยกันเอง หรือเขาเพียงคิดว่าชายตรงหน้าคือนกตัวน้อยที่เขาเลี้ยงไว้
“อืมนี่คือขนมของมนุษย์งั้นรึืข้าขอกินได้หรือไม่” เจ้าฟู่ฟู่หาเรื่องพูดคุยจากอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ เขาเป็นนกทำไมถึงรู้สึกใจเต้นแรงนักเล่า ไม่ๆ มาอยู่ในร่างคนทั้งทีขอลิ้มลองอาหารมนุษย์บ้างเถอะ
“ได้ลองชิมดู” หานเฟิงยื่นขนมให้เจ้าฟู่ฟู่ เขาไม่ชอบของหวานนักจึงดื่มเพียงน้ำจันทร์
“แอกติดคอ ขอน้ำหน่อย” ร่างบางที่เผลอกินขนมเข้าไปเยอะจนติดคอรีบคว้าจอกน้ำมาดื่มกิน
“อ้าาาา น้ำอะไรเนี่ยแสบคอนัก” เมื่อกินน้ำจันทร์ไปถึงรสชาติจะหวานแต่แสบคอไม่น้อย
“หึ หึ นั่นเขาเรียกว่าน้ำจันทร์เด็กอย่างเจ้าไม่ควรดื่ม”
“ข้าไม่ใช่เด็ก มานี่ข้าจะกินให้ดู อึก อ้าาาแสบคอ” เจ้าฟู่ฟู่ไม่ยอมรับว่าเป็นเด็กจึงกินน้ำจันทร์ให้ดูว่าตัวเองก็กินได้ แต่ก็ไม่วายร้องแสบคอตอนท้ายทุกที หานเฟิงไม่ห้ามเพราะเขาจะรอดูว่าร่างบางจะคอแข็งไปถึงเมื่อไหร่
“ตุ๊บ! อ้า ข้าไม่ไหวแล้วพื้นเอียงจังเลย"สุดท้ายเจ้าฟู่ฟู่ก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
หานเฟิงนึกขำในใจ เขาจึงอุ้มชายหนุ่มเข้าไปนอนเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว คืนนี้เจ้าฟู่ฟู่อยู่ในร่างคนนานกว่าครั้งก่อน เขาวางร่างบางลงบนเตียงนอนอีกฝั่งถึงแม้จะกินน้ำจันทร์จนเมามายแก้มแดง แต่กลิ่นกายกับหอมชวนดอมดม หานเฟิงสลัดภาพออกไปจากหัวแล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ ข่มตาหลับพร้อมกับท่องในใจว่า
นั่นคือบุรุษ!!!
--------------------------------------------------
TALK
หวานวันละนิดจิตแจ่มใส