๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่14 [8/7/61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่14 [8/7/61]  (อ่าน 4266 ครั้ง)

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
เจ้านกขี้โวยวาย 555

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ฟู่ฟู่ ขี้บ่นจริง หานเฟิงได้จับตีก้นแน่

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เอ็นดูน้องนก

ออฟไลน์ kete

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่9 [20/6/61]
«ตอบ #33 เมื่อ20-06-2018 18:21:43 »


 ตอนที่ 9

ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว จากที่เจอโจรสลัดเมื่อวานการเดินทางราบรื่นไม่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นอีก คืนนี้ก็จะเดินทางถึงแคว้นเจ้าสักที พวกเขาจะพักที่แคว้นเจ้าหนึ่งวันเพื่อเตรียมเสบียงเพิ่ม และหาอะไรบันเทิงใจทำหลังจากนั่งเรือมานาน แม้ว่าอยากจะอยู่หลายวันแต่สหายคงรีบร้อนเขาถึงต้องรีบเดินทางไว้มาเที่ยวขากลับแล้วกัน




แคว้นเจ้าเป็นเหมือนศูนย์กลางการค้าดังนั้นมันจึงรวบรวมสินค้าเกือบทุกอย่างไว้ที่นี่ รวมไปถึงข้อมูลข่าวสารก็เช่นกัน แต่เหนืออื่นใดสิ่งที่ทำให้หานเฟิงรู้สึกอยากให้ถึงคืนนี้โดยเร็วนั้นก็ไม่พ้นเจ้านกน้อยที่จะถึงเวลามาอยู่ร่างคนสักที




พรรควิหคสวรรค์


ภายในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างเรียบๆ มีเพียงของใช้จำเป็นเท่านั้นด้วยเจ้าของห้องมิใช่ผู้ยึดมั่นกับสมบัตินอกกาย



“ท่านอาจารย์ หลายเดือนมานี้มีผู้คนมากมายเดินทางไปที่หุบเขาพันปี หากเป็นเช่นนี้ต่อไปดูท่าจะไม่ดีนัก” ชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าหัวหน้าพรรควิหคสวรรค์กำลังวิตกกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดในกาลหน้า ด้วยข่าวที่มีผู้พบเจอหยกจันทราที่หุบเขาพันปีนั้นทำให้ผู้คนเริ่มเข้าไปเสาะแสวงหา



“นั่นเป็นสิ่งที่เราห้ามไม่ได้ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่รู้ หากยิ่งห้ามยิ่งอยากรู้ นั่นเป็นธรรมชาติของมนุษย์” ชายชราผมขาวแต่ยังแข็งแรงดีผู้นี้เป็นท่านอาจารย์ของพรรควิหคสวรรค์สอนสั่งศิษย์ในพรรคมาหลายรุ่นแล้ว



“ข้าหวังว่าสิ่งที่ข้าจะทำนั้นจะไม่ช้าเกินไป”




ยามแสงสุดท้ายลับหายไปจากขอบฟ้า ก็ถึงคราที่เจ้านกน้อยได้มาอยู่ในร่างของชายหนุ่มชุดขาวสักที



“เป็นฟู่หลงแล้วสินะ”




“เย้เย้ ข้าเป็นคนแล้ว” หานเฟิงนั่งมองร่างบางหมุนตัวไปมาอย่างสนุกสนานกลางห้อง



“หมุนตัวไปมาไม่เวียนหัวบ้างรึ”



“อ๊ะ พอเจ้าทักข้าก็รู้สึกเวียนหัวเลย โอ้ยยย"



“นี่ข้าเป็นคนที่ทำเจ้าเวียนหัวรึ หึหึหึ มานั่งนี่มา” ฟู่ฟู่กุมขมับเดินไปนั่งข้างหานเฟิง



“เจ้าจะเดินทางไปไหนรึ” ฟู่ฟู่ถามคนข้างกายด้วยเพราะมันไม่รู้ว่ากำลังจะไปที่ใด มันพึ่งเคยออกมาจากป่ามาเจอแม่น้ำกว้างใหญ่นี้ครั้งแรก




“เรากำลังจะไปแคว้นอวิ้น สหายข้ามีเรื่องให้ช่วยแต่คืนนี้เรากำลังจะถึงแคว้นเจ้าเป็นแคว้นที่อยู่ระหว่างทางที่เราจะไปเราจะไปพักที่นั่นกันก่อนแล้วเดินทางต่อ”



 

“หืม เจ้ามีสหายด้วยรึ” ฟู่ฟูหันไปถามคนข้างกายตาใสไร้แววล้อเลียน ด้วยเพราะมันไม่เคยเห็นเจ้านี่มีสหายมาเยี่ยมเยือนสักครั้ง นอกจากมันที่เป็นสหายปลอมๆ



“หึ มีสิทำไมจะไม่มี” เขากับเหวินซานเป็นสหายร่วมสาบานถึงพวกเขาจะต่างกันราวนรกกับสวรรค์ก็ตาม คนหนึ่งเป็นประมุขพรรคมาร ชั่วช้า ไร้คุญธรรม แต่อีกคนหนึ่งเป็นหัวหน้าพรรคที่ผู้คนต่างเคารพนับถือ ด้วยเพราะเป็นพรรคที่อยู่มาเนิ่นนานและช่วยเหลือชาวบ้านในยามทุกข์ร้อน เหตุที่พวกเขาได้เจอกันนั้นเกิดจากการที่หลงอยู่ในป่าห้วงมิติครั้งที่เริ่มฝึกวิชาใหม่ๆ คราแรกก็เดินหลงคนละทางจนมาพบเจอกันและช่วยกันหาทางออกจนกลายเป็นสหายกันนั่นเอง การจะออกจากป่าห้วงมิติที่เต็มไปด้วยภาพมายานั้นจะต้องมีพลังปราณที่แกร่งกล้าคอยจับสายลมที่พัดมา ความลับของป่าห้วงมิตินั้นคือสายลมนั่นเอง สายลมพิเศษที่บางเบาแต่กลับมีไอปีศาจเจือปนอยู่เล็กน้อยมันจะพัดจากกลางป่าไปยังทางออกซึ่งมันแปลกจากสายลมปกติที่พัดจากข้างนอกเข้าสู่ข้างใน ในขณะที่หานเฟิงกับเหวินซานเดินวนรอบป่าหลายรอบจนหมดแรงนั้นหานเฟิงก็สามารถจับไอปีศาจเล็กน้อยนั่นได้พวกเขาถึงรอดออกมา ครั้นถามเหวินซานว่าสัมผัสไอปีศาจได้หรือไม่ แต่สหายตอบกลับมาว่าไม่ได้จึงทำให้เขาแปลกใจ



 “แต่ตอนนี้เจ้ามาใกล้ข้าอีกนิดสิ ข้ามีอะไรจะให้” หานเฟิงส่งยิ้มจริงใจไปให้จนทำให้ฟู่ฟู่คล้อยตามโดยไม่เอะใจ



“อะไรๆ เฮ้ย เจ้าบ้าอีกแล้วนะ” เมื่อร่างบางเขยิบเข้ามาใกล้ตามคำบอกหานเฟินก็จัดการรวบคนตัวเล็กนั่งหันข้างบนตัก แขนแกร่งรวบเอวคอดปิดทางหนี



“ครั้งที่แล้วเจ้าหนีข้าไปก่อน ข้าจะให้บทลงโทษกับเจ้า”



“เจ้าบ้า เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ ข้าเป็นบุรุษเจ้าก็เป็นบุรุษ เจ้าจะกระทำข้าเป็นเยี่ยงสตรีไม่ได้! ปล่อยข้า”  ข้าเป็นนก เอ้ย เป็นคน เอ้ย ชั่งมันเถอะข้าเป็นทั้งนกทั้งคนยังรู้เลยว่ามันไม่ควร



“แล้วใครกำหนดว่าบุรุษจะจุมพิตบุรุษด้วยกันไม่ได้ ถึงมีข้าก็ไม่สน ข้ากำลังพิสูจน์อยู่นี่ไงว่าข้ารู้สึกอะไรกับเจ้ากันแน่ ถ้าจูบครั้งนี้ข้าไม่รู้สึกอะไรกับเจ้า ข้าจะไม่ทำกับเจ้าแบบนี้อีก เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่าหืมให้ข้าพิสูจน์ครั้งเดียว”




“อึก แล้วทำไมข้าต้องมาเลือกด้วยเล่า” จะเลือกทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น แขนนี่ก็แน่นเสียจริงดึงเท่าไหร่ก็ไม่ออก





“ชักช้า งั้นข้าเลือกเอง” สิ้นเสียงร่างแกร่งก็ประกบริมฝีปากตนเองเข้ากับริมฝีปากบางของคนตรงหน้า ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวลิ้นร้อนถึงรุกล้ำเข้าไปพัวพันกับลิ้นเล็กได้ สัมผัสที่วาบหวามในอกนี้ก็พอจะยืนยันให้หานเฟิงรู้ว่าเขาไม่ได้รังเกียจที่จะสัมผัสร่างตรงหน้า แต่กลับอยากสัมผัสมากกว่านี้




“อื้ออออ” ฟู่ฟู่พยายามพลักร่างหนาให้ออกไป พยายามกัดลิ้นร้อนที่ทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนนั่นก็แล้วแต่ไล่งับเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจสัมผัสนี้ ออกจะชะ...ชอบเสียด้วยซ้ำ ฮือออนี่ข้าเป็นอะไร




หานเฟิงใช้มือข้างหนึ่งพยุงศีรษะของร่างบางให้เอียงตามองศาที่ถูกต้อง อีกข้างคอยจับสะโพกมนไว้ไม่ให้ร่างในอ้อมกอดล้มลงไป ขาข้างหนึ่งชันเข่าขึ้นไว้เป็นที่พิงของร่างบาง ส่วนตอนนี้ฟู่ฟู่น้อยจากตอนแรกพยายามขัดขืนแต่ตอนนี้แขนข้างหนึ่งโอบเข้าที่ลำคอหนา มืออีกข้างกำที่สาบเสื้อคนตัวใหญ่ไว้แน่น




“ฮ้าา อื้อออ พอแล้ว” หลังจากจูบที่ดำเนินมาอย่างยาวนานหานเฟิงก็ยอมปล่อยฟู่ฟู่ให้หายใจ ส่วนเจ้าฟู่ฟู่ก็รีบซบหน้าลงที่อกแกร่งกลัวว่าจะถูกจูบอีกครั้ง ตอนนี้มันเหนื่อยมากเกินกว่าจะรับไหวแล้ว




“หึหึหึ เหนื่อยแล้วรึ” จมูกโด่งคลอเคลียไปตามแก้มนวล



“หื้ออออ เจ้าบ้าน่าไม่อาย” 



“เงยหน้าขึ้นมา” หานเฟิงช้อนใบหน้าร่างบางขึ้นมาสบตา แต่ฟู่ฟู่กลับเสมองไปทางอื่นแทน



“อื้อออ อะไรเล่า” เมื่อโดนจับเอียงหน้าไปมาสุดท้ายก็ยอมสบตากับคนตรงหน้า โอ้ยยยเจ้าหน้าหนาไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือไง



“รู้สึกเหมือนกับข้าหรือไม่”



“รู้สึกอะไรเล่าข้าจะรู้เรื่องกับเจ้ารึ”




“รู้สึกชอบสัมผัสที่ข้ามอบให้”




“โอ้ยเจ้าบ้า ข้าไม่ได้ชอบ ปล่อยได้แล้ว” ใครจะยอมรับว่าชอบเล่า ไม่มีทาง



“งั้นรึ ถ้าอย่างนั้นลองพิสูจน์อีกรอบ” ว่าจบพร้อมจะก้มลงมาอีกรอบแต่โดนเจ้าฟู่ฟู่ยันหน้าไว้ได้ทัน



“อย่านะเจ้าบ้า” ครั้งนี้มันจะไม่ยอม


ตุบ




“โอ้ย ลุกไปข้าหนัก” หานเฟิงจับเจ้าฟู่ฟู่กดเตียงอีกรอบ



“ก็ข้าจะพิสูจน์อีกรอบเจ้าจะได้ตอบข้าถูก” หานเฟิงรู้ว่าฟู่ฟู่ไม่ได้รังเกียจสัมผัสจากเขาคงจะเขินอายมากกว่าถึงไม่อยากยอมรับ



“ม่ายยย ปล่อยข้าเลยนะ อ๊ากกกกยอมแล้วๆ”



“ขะ...ข้าก็...ชอบ"รับคำเสียงอ่อย แม้ฟู่ฟู่จะพูดเบาแต่เมื่อหายเฟิงอยู่ห่างแค่เพียงฝ่ามือก็สามารถได้ยิน



“หึหึหึ เจ้านี่น่ารักเสียจริง เมื่อเจ้าชอบก็หมายความว่าเจ้ายอมให้ข้าสัมผัสแล้ว ดังนั้นอย่าให้ผู้อื่นแตะต้องตัวเจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้่าจะโดนลงโทษ”



“เฮ้ยมันเกี่ยวอะไรกันตรงไหนเนี่ยข้างง” เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว แล้วใครอนุญาตให้มาแตะต้องข้ากัน



“หึหึ อยู่นานไปก็หายงงเอง” 




“ท่านประมุขขอรับ ถึงแคว้นเจ้าแล้วขอรับ” เรือได้มาจอดเทียบท่าแคว้นเจ้าแล้ว




“ใครจะไปไหนก็ไปข้าอนุญาต แต่ข้ายังไม่ลงไปตอนนี้”




“ขอรับ”



เนื่องจากตอนนี้เวลาดึกแล้วเขายังไม่อยากไปสำรวจอะไรข้างนอก อยู่ในห้องกับร่างบางตรงหน้าน่าสนใจกว่าเป็นไหนๆ



“หานเฟิง ข้าอยากไปเที่ยวข้างนอกนั่น” เจ้าฟู่ฟู่พยายามหาทางรอด



“มืดแล้วไว้ตอนเช้าค่อยไป ตอนนี้นอนคุยกันดีกว่าหรือไม่ หรือเจ้าอยากทำอย่างอื่น”



“นอนๆ นอนคุยกันก็ได้” การนอนเตียงเดียวกันไม่ใช่ปัญหาเจ้าฟู่ฟู่นอนกับหานเฟิงออกจะบ่อยไปตอนมันอยู่ในร่างคนนานๆ เมื่อก่อนทุกอย่างปกติจนเจ้าหานเฟิงเกิดบ้าอะไรก็ไม่รู้ที่บ่อน้ำพุร้อนจนตอนนี้เจ้านั่นก็ยังมาไล่จูบข้าอีกเสียสติไปแล้วหรือไง




“หานเฟิงข้ารู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเรื่องอะไร” ตั้งแต่อยู่ร่างนกแล้วมันรู้สึกมีอะไรรบกวนจิตใจตลอดเวลา



“อาจจะแปลกที่ มีข้าอยู่กับเจ้าทั้งคนไม่ต้องกลัวสิ่งใดไป”



“ตอนนี้ข้ากลัวเจ้ามากกว่าอีก” ฟู่ฟู่บ่นงืมงำ



“พูดอะไรหืม” แม้จะได้ยินที่ฟู่ฟู่พูดแต่หานเฟิงก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ดึงร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอด





“ทำไมช่วงนี้เจ้าปากว่ามือถึงเสียจริง” เงยหน้าถามคนตรงหน้าที่ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ เอะอะจูบ เอะอะกอด จนเขาขี้เกียจห้าม ห้ามไปก็เปล่าประโยชน์คนตรงหน้าฟังเสียที่ไหน



“หึหึหึ ข้าก็เป็นคนเช่นนี้อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ลีลามากความเสียเวลาเปล่า” มัวแต่วางท่าไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเองก็ไม่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น



ทั้งสองนอนคุยกันไปในเรื่องต่างๆของโลกใบนี้ที่เจ้าฟู่ฟู่สงสัยใคร่รู้ โดยหานเฟิงก็ตอบด้วยความเต็มใจ



“งืมมม แล้วก็นะ ตอนข้าเป็นนกเลิกเอาหนอน มา...แกล้งข้าได้แล้ว ฮ้าวววว… ข้าไม่ชอบ” คุยไปคุยมาคนในอ้อมกอดก็หลับคาอกไปเสียแล้ว



เป็นนกอะไรไม่ชอบกินหนอน




ทุกครั้งที่หานเฟิงยื่นหนอนให้เจ้าฟู่ฟู่มันก็บินหนีกระเจิงพร้อมส่งเสียงร้องลั่นป่า หานเฟิงนอนมองร่างบางในอ้อมกอดหลับอย่างเป็นสุขนั้น ทำให้เขารู้สีกดีไปด้วย ตั้งแต่มีเจ้านกน้อยเข้ามาในชีวิตก็ทำให้โลกที่มืดมิดของเขาเริ่มสว่างขึ้น








ต่อให้เจ้าอยากจะหนีจากข้า ข้าก็ไม่มีวันปล่อยเจ้าไป ไม่มีวัน







มาแล้วสินะ!






เจ้าจะต้องชดใช้ข้า






อีกไม่นาน อีกไม่นานแล้ว


----------------------------------------
TALK
เกิดอาการคิดชื่อตอนไม่ออก แฮ่
ตามกันไปยาวๆ เด้อ


ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่9 [20/6/61]
«ตอบ #34 เมื่อ20-06-2018 20:47:54 »

ตอนท้ายอะไรค๊ะ มีใครจะทำร้ายฟู่ฟู่

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่9 [20/6/61]
«ตอบ #35 เมื่อ21-06-2018 01:04:18 »

 :pig4:

ออฟไลน์ kete

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่10 [22/6/61]
«ตอบ #36 เมื่อ22-06-2018 21:47:17 »

ตอนที่ 10



ยามแสงอรุณพ้นขอบฟ้า เสียงเซงแซ่ของเหล่าชาวบ้านตรงท่าเรือดัง

ลอดผ่านเข้ามาภายในห้องที่สองร่างนอนกอดก่ายกันอย่างมีความสุข


...

เสียที่ไหนเล่า!



ถึงก่อนจะนอนยังนอนกอดกันอยู่ แต่พอตกกลางดึกหานเฟิงก็ผละตัวออกมาเพราะว่าชาแขนที่โดนนอนทับเป็นเวลานาน แล้วทั้งสองก็กลายเป็นนอนคนละฝั่งไม่เข้าใกล้กันอีกเลย


ตุบ




“โอ้ยยยเจ็บ” พอถึงเวลาเช้าเจ้าฟู่ฟู่ก็ถึงเวลาออกหากิน มันจึงบินไปที่ชามอาหารอย่างปกติ แต่วันนี้มันกลับบินไม่ขึ้นแถมยังกลิ้งตกเตียงอีกต่างหาก




“ฮือออเจ็บก้น” 




“เอ๊ะ มือ เฮ้ยเช้าแล้วนี่ ข้ายังอยู่ในร่างคน!” ขณะกำลังใช้มือลูบก้นเพื่อคลายความเจ็บ ฟู่ฟู่ก็คิดได้ว่ามันยังอยู่ในร่างคนแม้ว่าจะเช้าแล้วก็ตาม



“โวยวายอะไรแต่เช้า”

 หานเฟิงถูกปลุกโดยเสียงโวยวายของเจ้าฟู่ฟู่ มันทำให้เขาอารมณ์เสียเมื่อลุกขึ้นมาก็เห็นฟู่ฟู่นั่งอยู่ข้างเตียง เขาถึงได้ตระหนักว่า ฟู่ฟู่ยังอยู่ในร่างคน



“ข้ายังไม่กลายเป็นนกล่ะ เย้” รอยยิ้มสดใสถูกส่งมาให้ร่างสูงตรงหน้า ฟู่ฟู่ชอบเวลาเป็นคนมากที่สุดเพราะเขาได้ทำอะไรหลายอย่างมากกว่ากินกับนอน เขาได้อ่านหนังสือที่ชอบแม้ว่าไม่รู้ว่าตัวเองอ่านหนังสือออกได้อย่างไร ได้กินอาหารอร่อยที่ขอให้หานเฟิงหามาให้กิน ได้ไปเที่ยวที่สวยๆแม้ว่าจะต้องอ้อนวอนให้หานเฟิงพาไป เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนตอนเป็นนกอย่างที่ผ่านมา



รอยยิ้มสดใสที่ส่งมาให้ทำให้ร่างสูงเลือกมองข้ามความผิดปกตินี้ไป




‘ขนาดเจ้ากลายร่างเป็นคนยังเป็นได้ นับประสาอะไรกับการจะอยู่ในร่างนี้นานกว่าเดิม’



 “หึหึ ในเมื่อเจ้ายังอยู่ในร่างนี้ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวแคว้นเจ้าดีหรือไม่”




“ดีดี ดีสิข้าอยากไปเที่ยว ว่าแต่เจ้าไม่แปลกใจบ้างหรือที่ข้าไม่กลับไปร่างนก” สายตากังวลถูกส่งไปให้ผู้ฟัง




“คราแรกข้าก็แปลกใจ แต่เมื่อไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรก็เลิกสนใจมันดีกว่าคอยกังวลหาสาเหตุ แล้วจะนั่งอยู่ตรงนั้นอีกนานหรือไม่ข้าจะได้นอนต่อ”




“ไม่ไม่ ข้าลุกแล้วไปเตรียมตัวไปเที่ยวดีกว่า ลุกมาสิหานเฟิงจะได้รีบไปเร็วๆ” ว่าพลางตรงไปดึงแขนคนตัวโตให้ลุกขึ้นมาพร้อมพากันไปเตรียมตัวไปเที่ยว



“เสร็จหรือยัง รีบๆหน่อยสิ”ฟู่ฟู่มองคนแต่งตัวยังไม่เสร็จสักทีจึงต้องเร่ง ร่างแกร่งสวมชุดสีดำทั้งตัวในและตัวนอกไม่มีลวดลาย มัดผมไว้เพื่อความทะมัดทะแมง


“เสร็จแล้ว รีบไปไหนฮึ”




“ จะว่าไปข้าเห็นเจ้าในร่างคนเมื่อไหร่ก็ใส่แต่ชุดนี้ ขนาดตอนเจ้าแก้ผ้าแล้วกลับไปร่างนกชุดนั้นก็หายตามเจ้าไป”





“เจ้าบ้า จะพูดเรื่องนั้นทำไมเล่า” เขาอุตส่าห์แกล้งลืมไปแล้วยังมารื้อฟื้นอีก

 


“หึหึหึ ข้าไม่พูดแล้ว ไปเที่ยวกันวันนี้ข้าจะซื้อชุดให้เจ้าเปลี่ยนด้วย”

เมื่อเห็นฟู่ฟู่ตัวแดงจวนจะระเบิดได้ หานเฟิงก็เปลี่ยนเรื่องพาไปเที่ยว



แคว้นเจ้าเป็นแคว้นที่มีพื้นที่เล็กกว่าแคว้นอื่นมีภูมิศาสตร์เป็นที่ราบ คล้ายเกาะกลางน้ำ และพื้นที่เป็นวงกลม ถึงแม้ขนาดพื้นที่จะด้อยกว่าแต่เป็นแคว้นที่มีศักยภาพด้านยุทโธปกรณ์ดีเลิศเป็นอันดับหนึ่ง ตามแนวขอบพื้นดินจะสร้างกำแพงหนาสูงไว้รอบๆ มีประตูเมืองเพียงทิศใต้และทิศเหนือ บริเวณหน้าประตูนั่นเองที่เปิดเป็นท่าเรือ ตามท่าเรือจะเป็นตลาดขายของต่างๆมากมาย ภายในเขตรั้วจะเป็นบ้านเมืองมีเมืองหลวงอยู่ตรงกลางภายในจะมีของขายเช่นกัน ตอนนี้เรือของหานเฟิงได้เข้ามาจอดเทียบท่าด้านทิศใต้



“หานเฟิงข้าอยากกินหมั่นโถว” ฟู่ฟู่ชี้นิ้วไปที่ร้านขายหมั่นโถวร้อนๆหน้าตาน่าทาน



“อืมไปสิ”



“พี่สาว เอาหมั่นโถวสี่ลูกขอรับ” ถึงแม้คนขายจะเลยวัยที่เรียกพี่สาวแล้วแต่ฟู่ฟู่ก็เลือกที่จะเรียกว่าพี่สาว พร้อมส่งยิ้มหวานๆตบท้าย



‘ชงหยวนบอกว่าถ้าเห็นคนขายเป็นผู้หญิงสูงวัยแล้วอยากได้ของแถมให้เรียกคนนั้นว่าพี่สาว และอย่าลืมยิ้มหวานๆให้ด้วย ข้าเลยอยากลองทำบ้างเผื่อได้หมั่นโถวอีกลูก’



“ตายแล้วปากหวานเสียจริงนายท่าน ข้าแถมให้อีกลูกแล้วกัน” แม่ค้าที่ไม่ได้ถูกเรียกว่าพี่สาวมานานก็เกิดอาการอายม้วน แถมหมั่นโถวให้อีกลูก

“ขอบคุณมากขอรับ หานเฟิงรีบจ่ายเงินให้พี่สาวสิ”



เมื่อจ่ายเงินเสร็จก็เดินออกจากร้านมาทั้งสองกินหมั่นโถวไปด้วยเดินดูของข้างทางไปด้วย ฟู่ฟู่รับหมั่นโถวที่หานเฟิงเอาไปเป่าด้วยลมปราณทำให้มันหายร้อนมากินอย่างเอร็ดอร่อย



เป็นเช่นนี้หลายร้านเมื่อฟู่ฟู่เข้าร้านอะไรก็แจกรอยยิ้มให้คนขายทุกร้านได้ของแถมจนกินอิ่มหนำสำราญ



“หานเฟิงเจ้าไม่กินบ้างหรือ”



“ข้าไม่หิว”




“แล้วเจ้าเป็นอะไรข้าเห็นเจ้าทำหน้าเหมือนโกรธข้า” ฟู่ฟู่สังเกตุเห็นคนข้างกายทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แถมแผ่ความกดดันไปรอบๆจนคนถอยห่างไม่อยากเข้าใกล้



“ข้าไม่ได้เป็นอะไรเดินต่อไปสิ” หานเฟิงบอกปัดพร้อมเลิกแผ่ความกดดันที่เผลอปล่อยออกไป




“ไม่ เจ้าบอกมาเลยว่าโกรธอะไรข้า ข้ารู้นะว่าเจ้าไม่พอใจข้า หรือข้าซื้อของกินมากไปเหรอ” สายตากังวลถูกส่งมาให้ร่างสูง



“เฮ้อ ถ้าอยากรู้นักก็มานี่”  หานเฟิงกระชากข้อมือฟู่ฟู่เดินเข้าตรอกที่ไม่มีคนผ่าน ดันหลังร่างบางติดไปกับกำแพงพร้อมใช้มือทั้งสองข้างปิดทางหนี



“เจ้ามีอะไร ทำไมต้องมาคุยกันในนี้เล่า”



“ก็เจ้าอยากรู้ไม่ใช่รึว่าข้าโกรธอะไรเจ้า” ทั้งสองสบตากันไปมา



“แล้วเจ้าโกรธอะไรข้า บอกมาสิ”





“ข้าไม่ชอบที่เจ้ายิ้มให้คนอื่นพร่ำเพรื่อ”



“คิกคิก ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าบ้า เจ้านี่มันบ้าไปแล้วแน่ๆ” ฟู่ฟู่หัวเราะท้องแข็งเมื่อได้ยินเหตุผล



“ฮ่าฮ่าฮ่า โอ้ยปวดท้อง คิกคิก อื้อออ” เมื่อทนเห็นร่างตรงหน้าหัวเราะไม่ไหวหานเฟิงก็ปิดปากร่างบางด้วยปากของเขา



เขาพยายามระงับโทษะที่มันตีตื้นขึ้นมาแล้วแต่ไม่เป็นผล เมื่อเห็นร่างตรงหน้ายิ้มให้ใครต่อใคร แม้แรกๆจะเห็นว่าเป็นเรื่องขำที่เห็นฟู่ฟู่ยิ้มให้แม่ค้าเพื่อให้ได้ของแถม แต่เจ้านี่ดันไปยิ้มให้พ่อค้านั่นด้วยสิ เขาก็เกิดความรู้สึกหึงหวงขึ้นมาทันที แล้วยังยิ้มเรี่ยราดให้ผู้อื่นตามทางเดินอีกมันหน้านักเจ้าควรยิ้มให้ข้าดูผู้เดียวก็พอ!



ลิ้นร้อนไล่ต้อนลิ้นเล็กไปทั่วโพลงปากนุ่ม จูบที่ร้อนแรงทำให้ร่างเล็กเสียการทรงตัวขาอ่อนแรงหานเฟิงจึงรวบเอวบางเข้ามาแล้วใช้หลังตัวเองพิงกับผนังแทน



ท้ายสุดหลังจากจูบกันเนิ่นนานหานเฟิงก็ยอมผละออกมาจากริมฝีปากนุ่มที่ตอนนี้บวมช้ำไปเสียแล้ว



“แฮกๆ”ไร้เสียงต่อว่าเนื่อจากเหนื่อยเกินไปตอนนี้แค่หายใจยังเหนื่อยเลย



“หึหึหึ จำไว้ต่อไปห้ามยิ้มให้ใครพร่ำเพรื่อ เจ้าเป็นของข้า ของข้าผู้เดียวถ้ายังทำอีกข้าจะลงโทษให้หนักกว่านี้”  ได้รับสายตาไม่พอใจมาจากคนเหนื่อยหอบแทนคำพูด




“เจ้ามันคนเอาแต่ใจ”



“ใช่ ข้ายอมรับแล้วเจ้าต้องเอาใจข้าบ่อยๆด้วยจะดีมาก”




“เจ้าไม่ควรทำกับข้าแบบนี้!”

ตุบ ตุบ ตุบ ฟู่ฟู่โมโหเกินจะทนเขาใช้มือต่อยเข้าที่อกแกร่งจนดังตุบตุบ คิดจะจูบก็จูบ ไม่นึกถึงจิตใจกันเลย



“โอ้ย” แกร่งแค่ไหนก็แพ้พลังหมัดของเจ้าฟู่ฟู่ หานเฟิงรีบรวบข้อมือเล็กไปไขว้กันข้างหลังถ้าช้ากว่านี้เขามีสิทธิช้ำในตาย



“ก็ไหนเจ้าบอกว่าชอบที่ข้าสัมผัส”



“แต่เจ้าก็ไม่ควรทำกับข้าโดยที่ข้าไม่เต็มใจ”




“นี่เหรอไม่เต็มใจ เห็นยอมข้าตลอด”




“เจ้า!”




“ข้ารู้มาว่าที่เจ้าทำกับข้าแบบนี้ คือแบบที่สามีภรรยาเขาทำกัน เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เจ้าก็อย่าทำกับข้าแบบนั้นเลย” ร่างบางอธิบายเหตุผลตามที่มันอ่านหนังสือมา ไม่อยากจะคิดว่าในห้องหนังสือของเจ้าหานเฟิงมีหนังสือแบบนี้ด้วย ข้าแค่เปิดผ่านๆแค่นั้นเองไม่ได้อ่านทั้งหมดหรอกนะ




“เจ้าไปรู้มาจากใคร” หานเฟิงถามพร้อมส่งแรงกดดันไป




“โอ้ย ข้าอ่านหนังสือจากห้องเจ้ามาอย่างไรเล่า แล้วช่วยสนใจสิ่งที่ข้าบอกด้วย มันไม่ใช่สิ่งที่เราควรทำกัน มันไม่ถูกต้อง”




“ข้าบอกแล้วว่าอย่างไร ข้าไม่สนใจกฏเกณฑ์บ้านั่น”




“...” ไร้การตอบรับจากคนตรงหน้า



“ก็ได้ ข้าจะไม่ทำแบบนี้กับเจ้าอีก แต่ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็นดีหรือไม่ เจ้าก็อย่าฝืนใจตัวเอง ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า” ความรู้สึกของหานเฟิงจากแค่ชอบสัมผัสจากร่างบางจนกลายเป็นความต้องการ มาถึงตอนนี้ความรู้สึกของเขาเริ่มเปลี่ยนไปจนอาจกลายเป็น ความชอบ   ดังนั้นเขาคงต้องเปลี่ยนแผนค่อยๆหว่านล้อมแล้วตะครุบทีหลังก็ไม่สาย



“ได้ ปล่อยข้าได้แล้ว แล้วอย่าลืมที่พูดล่ะ จะพาข้าไปซื้อชุดใหม่ไม่ใช่หรือไปสิ”  ฟู่ฟู่รีบดันตัวออกมาพลางหาเรื่องไปจากที่นี่โดยเร็ว


‘ต้องให้เล่นบทโหดสินะถึงจะหายบ้า’







“เอาตัวนี้ ตัวนี้ ตัวนี้” เมื่อมาถึงร้านเสื้อผ้าพวกเขาก็ถูกเชิญขึ้นมาเลือกเสื้อผ้าด้านบนที่มีแต่ผ้าเนื้อดี ฟู่ฟู่เลือกชุดสีดำทั้งสามตัว



“เอาตัวนี้ด้วย” หานเฟิงหยิบชุดสีม่วง สีฟ้า เพิ่มไปอีกสองตัว




“ไม่เอาๆ ข้าจะเอาแค่สามตัวนี้”



“ข้าจะซื้อสองตัวนี้ให้ด้วยไม่ได้ห้ามไม่ให้ซื้อตัวที่เจ้าเลือก”




ฟู่ฟู่ไม่คัดค้านหานเฟิงอีก ก็เงินของเจ้านั่นซื้อมาก็ได้แต่ข้าไม่ใส่หรอก



เมื่อเลือกชุดเรียบร้อยก็ออกมาจากร้านเสื้อผ้า ขณะนั้นตรงข้ามร้านมีหญิงผู้หนึ่งกำลังโวยวายใส่ชายขอทานที่ดูเหมือนกำลังจะตายในไม่ช้านี้แล้ว




“เจ้าขอทานสกปรก กล้าดีอย่างไรมาทำเสื้อข้าเลอะ หลี่อิ๋งจัดการมัน”



“ได้เจ้าค่ะคุณหนู นี่แหนะๆเจ้าขอทานสกปรกกล้าใช้มือสกปรกของเจ้าจับกระโปรงคุณหนูของข้า” สาวใช้ของหญิงสาวคนนั้นกระทืบมือผอมบางจนแทบเห็นกระดูกของขอทาน



“คุณหนู ข้าหิวเหลือเกิน ข้าขออะไรกินสักหน่อยเถิด” แม้จะโดนเหยียบมือจนกระดูกแทบจะหักแต่ชายขอทานก็ไม่ตอบโต้ เพียงแต่ร้องอ้อนวอนขออะไรกินเท่านั้น



ชาวบ้านมุงดูรอบๆไม่มีผู้ใดเข้าช่วยขอทานคนนั้นเพราะเกรงว่าจะถูกคุณหนูผู้เอาแต่ใจคนนี้เล่นงานเข้า เป็นที่เลื่องลือว่าคุณหนูสามแห่งจวนอัครเสนาบดีเป็นคนที่เอาแต่ใจด้วยถูกตามใจมาจากบิดามารดา ชาวบ้านเอือมระอานัก บิดาก็เป็นคนดีน่าชื่นชมเหตุใดลูกถึงไม่ได้เศษเสี้ยวมาจากบิดาเลย



“หานเฟิงขอทานคนนั้นจะตายแล้ว ข้าจะไปช่วย” ขณะกำลังเดินไปกลับถูกหานเฟิงกระชากแขนกลับไป




“อะไรเล่าไม่เห็นหรือไงผู้หญิงใจร้ายคนนั้นจะฆ่าเจ้าขอทานตายแล้วนะ”



“เจ้าไม่ใช่วีรบุรุษชุดขาว เห็นหรือไม่ไม่มีผู้ใดเข้าไปช่วยขอทานนั่นเลยคุณหนูคนนั้นต้องเป็นลูกคนใหญ่คนโตแน่ ถ้าจะไปยุ่งจะเกิดเรื่องใหญ่ตามมา”



“โอ้ย ทำไมการเป็นมนุษย์มันยากอย่างนี้"ฟู่ฟู่ขยี้ผมจนฟู จะช่วยก็ช่วยไม่ได้ คนอ่อนแอก็ถูกรังแก เขากลับไปเป็นนกดีหรือไม่นะไม่ต้องคิดอะไรนอกจากหาของกินไปวันๆ



“หึหึหึ มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ต่างมีจิตใจดำมืดทั้งนั้นอยู่ที่จะเลือกเปิดมันออกมาหรือไม่...เท่านั้นเอง”



“ไปกันได้แล้วหลี่อิ๋ง ข้าต้องไปหาชุดสวยๆใส่ไปงานเลี้ยงคืนนี้”



“เจ้าค่ะคุณหนู” เมื่อลงมือจนพอใจแล้วผู้หญิงคนนั้นก็เดินจากไป เหล่าชาวบ้านต่างพากันสลายตัว




“ไม่มีใครอยู่แล้วไปดูขอทานคนนั้นกันนะหานเฟิง”



“เฮ้อ จนได้สินะ ไปสิ”




“อ๊ะ นายท่าน ช่วยข้าด้วยข้าหิว” ฟู่ฟู่เดินเข้าไปใกล้ ชายขอทานก็พยายามเอื้อมมือมาแต่ทำได้แค่กระดิกนิ้วเมื่อร่างกายไร้เรี่ยวแรงสุดท้ายก็สลบไป




“หานเฟิงเขาสลบไปแล้ว”




“ถ้าอย่างนั้นก็กลับได้แล้วปล่อยมันไว้ที่นี่แหละ”




“หานเฟิงเจ้าไม่คิดจะช่วยเขาเลยหรือไง”




“ข้าไม่ใช่คนดีถึงคอยมาช่วยใครต่อใคร ชีวิตถ้าไม่อยากตายก็ดิ้นรนสู้สิ นอกจากคนไม่เอาไหนเท่านั้นถึงยอมรับกับความตายแบบนี้” กลายเป็นว่าผู้ชายสองคนยืนทะเลาะกันหน้าขอทานเสียอย่างนั้น




“แต่คนเราควรได้รับโอกาสใช่หรือไม่ โอกาสที่จะทำให้คนคนนั้นลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง เราแค่ช่วยให้ขอทานคนนี้มีแรงกลับมาทำงานก็ได้นะหานเฟิง”




“ถ้าเจ้าขอทานคนนี้เกิดมันกลับมาทำร้ายเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร เจ้านี่อาจไม่ใช่คนดี”



“เจ้าจะปล่อยให้ข้าโดนทำร้ายหรือ”



“ไม่แน่นอน” หานเฟิงตอบกลับไปอย่างไม่ต้องคิด เขาไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนตรงหน้านี้นอกจากเขาเท่านั้น



“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว พาขอทานนี่ไปด้วยกันนะหานเฟิง ถ้าคนผู้นี้ไม่สำนึกบุญคุณข้าก็พร้อมจะฆ่ามันให้ตาย” หานเฟิงรู้สึกเสียวสันหลังวาบทันทีเมื่อฟู่ฟู่พูดประโยคสุดท้าย



“ข้าต้องแบกเจ้านี่ไปรึ ไม่มีทาง” เขาไม่ยอมให้เจ้าสกปรกนี่มาโดนตัวแน่



“โถ่เปื้อน ก็อาบน้ำสิ เจ้านี่เรื่องมากข้าจะแบกไปเอง” ฟู่ฟู่ทนความเรื่องมากของหานเฟิงไม่ไหวจึงเลือกจะแบกไปเอง



“ไม่มีทาง เจ้า เจ้านั่นแหละ ข้าจ้างสิบตำลึงแบกขอทานนี่ไปที่เรือข้า” หานเฟิงจ้างชาวบ้านผู้ชายคนหนึ่งแบกขอทานไปที่เรือแค่นี้ก็ไม่สกปรกทั้งสองคนแล้ว



“นายท่านจะพามันไปไหนหรือขอรับ”



“ไม่จำเป็นต้องรู้ จะรับหรือไม่ข้าจะได้ไปจ้างคนอื่น”



“เอาๆ นำทางไปเลยนายท่าน” แม้กลิ่นจะเหม็นแต่เพื่อเงินมันก็ยอม



“โยนมันเข้าห้องนี้ แล้วเจ้าก็ไปได้แล้ว”



“ขอรับนายท่าน”



“พวกเจ้าคอยเอาข้าวเอาน้ำให้มันด้วยอย่าให้มันตาย” หานเฟิงสั่งลูกน้องตนให้คอยเอาข้าวเอาน้ำให้ขอทานเสร็จแล้วก็ลากฟู่ฟู่เข้าห้อง




“ท่านฟู่หรงมาได้อย่างไรวะ”



“หรือท่านฟู่หรงเป็นคนแคว้นเจ้าถึงได้มาเจอกันที่นี่”



“ข้าก็ว่าอย่างนั้น”



-----------------------------------------------------------------------

TALK

มาแล้วๆตอนนี้ยาวมากกกกกก มีตัวละครใหม่โผล่เข้ามาแล้ว

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่10 [22/6/61]
«ตอบ #37 เมื่อ26-06-2018 09:57:52 »

ชอบเรื่องนี้ม๊ากกกกกก….   :m1:


รอตอนต่อไปนะครับ

ออฟไลน์ kete

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่11 [26/6/61]
«ตอบ #38 เมื่อ26-06-2018 16:17:02 »

ตอนที่ 11



“หานเฟิงเดินเร็วๆสิ ข้าอยากไปที่นั่น” ฟู่ฟู่ชี้ไปที่ทุ่งดอกไม้สีขาวกว้างใหญ่




“จะไปดูอะไรมันก็แค่ทุ่งดอกไม้ปกติเจ้าไม่เคยเห็นรึ”




“ก็ไม่เคยน่ะสิข้าเคยเห็นแต่ป่าที่มีแต่ต้นไม้ ทุ่งดอกไม้กว้างๆนี่ดีจัง”




“อย่าวิ่งจนสะดุดล้มล่ะ”




ฟู่ฟู่วิ่งเล่นในทุ่งดอกไม้สีขาว มันกว้างใหญ่จนเห็นแต่สีขาวไปทั่วพื้นที่ หันไปมองหานเฟินก็เห็นนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ยอมลงมาวิ่งเล่นกับเขา

 


เมื่อได้วิ่งเล่นจนพอใจแล้วก็เดินกลับไปหาหานเฟิงเพื่อไปจากที่นี่ด้วยถึงเวลาเย็นแล้วหากช้ากว่านี้คงมืดมองไม่เห็นทาง แต่ทันใดนั้นกลับมีเส้นใยสีดำพุ่งเข้ารัดตัวฟู่ฟู่ มันรัดไปทั่วลำตัวจนฟู่ฟู่ไม่สามารถขยับร่างกายได้ และเส้นใยนั่นยังปิดปากไม่ให้ส่งเสียงอีกด้วย เส้นใยค่อยๆดึงร่างขึ้นกลางอากาศ




“อื้ออออ อ้วยอ้วย” ฟู่ฟู่พยายามเรียกหานเฟิงที่นอนหลับไม่รู้เรื่องราว มันโดนรัดจนเจ็บร้าวไปทั่วร่างกายแล้ว




“หึหึหึ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า"เสียงหัวเราะดังไปทั่วพื้นที่แต่กลับไม่สามารถปลุกคนหลับให้ตื่นขึ้นมาได้



“อื้ออ ฮึก โอ้ย” ยิ่งดิ้นเท่าไหร่ยิ่งโดนรัดเท่านั้น





‘เจ้าหานเฟิงตื่นสิโว้ย ข้ากำลังจะตายแล้วยังหลับอยู่อีก’



“เจ็บปวดอยู่สินะ เจ็บมากใช่หรือไม่ ข้าจะให้เจ้าสัมผัสกับความเจ็บปวดแบบที่ข้าได้รับ!”

 


“อ้ากกกกก” แรงบีบรัดทำให้ร่างนั้นกระอักเลือดออกมา




‘เจ็บไม่ไหวแล้ว แล้วเจ้าเป็นใครข้าไปทำอะไรให้เจ้า หานเฟิงช่วยข้าด้วย!’ 




หยดเลือดค่อยๆไหลไปตามร่างกายจนหยดลงพื้นกระทบกับดอกไม้สีขาว สีแดงค่อยๆลามไปทั่วดอกไม้จากหยดเลือดที่ไหลลงมาเรื่อยๆ




“อ่อนแอถึงเพียงนี้เลยรึ น่าขำเสียจริง ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้ามันสมควรตาย!”

เสียงปริศนานั่นยังคงดังไม่ยอมหยุด



“อ๊ากกกกกกก” แรงบีบรัดที่เพิ่มมากขึ้น มันรัดแน่นจนไม่สามารถหายใจได้ ความปวดร้าวส่งผ่านไปทั่วร่างกาย เจ็บปวดเหลือเกิน ทนไม่ไหวแล้ว หยดน้ำตาล้นเอ่อบดบังทัศนียภาพเขาเห็นเพียงภาพเงาลางเลือนของหานเฟิงนอนอยู่ใต้ต้นไม้




‘ช่วยด้วย’






“เฮือก!” ฟู่ฟู่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกร่างกายอาบไปด้วยเหงื่อจนเปียกชื้น




“ฝัน ข้าแค่ฝันไป” เมื่อมองไปรอบๆเขายังอยู่ในห้องเดิมบนเรือ ไม่ใช่อยู่ที่ทุ่งดอกไม้นั่น



“เป็นอะไร เจ็บตรงไหนรึ” หานเฟิงรู้สึกตัวตื่นเห็นฟู่ฟู่ลูบเนื้อตัวไปมา



“ไม่ ข้าไม่ได้เจ็บตรงไหน ข้าเพียงฝันร้ายเท่านั้น”

“ฝันว่าอะไรถึงทำให้เจ้าดูตกใจถึงเพียงนี้” หานเฟิงช่วยลูบเหงื่อออกจากใบหน้านวล อากาศเย็นเช่นนี้ใยถึงเหงื่อออกมากมาย แถมสายตาดูเป็นกังวลนั่นอีก



“ฝันว่าข้าโดนรัดจนตาย แต่เจ้ายังเอาแต่นอนไม่ยอมมาช่วยข้า” สายตาตัดพ้อถูกส่งไปให้หานเฟิง



“เป็นเสียอย่างนั้นไปหึหึ มันแค่ความฝันอย่ากังวลใจเลยนอนต่อเถอะ” คราวนี้หานเฟิงดึงคนฝันร้ายเข้ามาในอ้อมกอด



“เอ๊ะ ทำไมเจ้าต้องมากอดข้าด้วย” ฟู่ฟู่รีบยันแผ่นอกแกร่งไว้



“เจ้าจะได้ไม่ฝันร้ายอย่างไรเล่าถ้ามีข้ากอดเอาไว้แบบนี้” หานเฟิงส่งยิ้มจริงใจไปให้พร้อมลูบหัวอย่างแผ่วเบาเพื่อกล่อมคนฝันร้ายให้หลับ

ฟู่ฟู่ไม่คัดค้านเพราะสัมผัสที่ส่งมามันทำให้สบายใจ จนยอมนอนนิ่งๆและหลับไป



เรือของพรรคพยัคฆ์ทมิฬได้ออกจากท่าในเช้าวันต่อมา



“ข้ามาดูขอทานผู้นั้น เขาตื่นหรือยังเปิดประตูให้ข้าที” ฟู่ฟู่ยังคงอยู่ในร่างคนเช่นเดิม



“ได้ขอรับ” ลูกน้องคนหนึ่งในพรรคไขกลอนแล้วเปิดประตูให้ ฟู่ฟู่เดินเข้าไปข้างในที่เป็นห้องสี่เหลี่ยมว่างเปล่าไม่มีเครื่องใช้ใดใด แถมยังมืดไม่มีแสงสว่าง อาศัยเพียงแสงที่ลอดผ่านประตูที่เปิดไว้




‘เฮ้อนี่ช่วยคนหรือว่าจับมาขังกันล่ะเนี่ย’




ชายขอทานนั้นยังหลับอยู่ ดูจานข้าวที่คงให้มาเมื่อวานก็กินหมดไม่เหลือข้าวสักเม็ด สภาพของขอทานผู้นี้ดูไม่ได้เลยทีเดียว ผมเผ้ายุ่งเหยิงจับตัวเป็นก้อน เนื้อตัวเปื้อนดินโคลนเสื้อผ้าก็ขาดหลุดรุ่ย แถมยังผอมจนเห็นกระดูก




“เจ้าขอทานตื่น ตื่นได้แล้ว”




“อ๊ะ อย่าไล่ที่ข้าเลยนายท่าน ข้าไม่มีที่ไปแล้วอย่าตีข้าเลย” ชายขอทานสะดุ้งตื่นมาด้วยความตกใจ มันรีบก้มกราบคนที่มาเรียกด้วยคิดว่าเป็นชาวบ้านในตลาด มันมักจะโดนไล่ให้ไปนอนที่อื่นเป็นประจำทุกเช้าเมื่อไม่ยอมไปก็จะโดนทุบตีจนเจ็บร้าวไปทั่วกาย



“ดูให้ดีก่อนข้าไม่ได้จะไล่เจ้า ข้าเพียงเรียกเจ้าตื่นเท่านั้น”




ชายขอทานค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาดูคนตรงหน้าภาพเลือนลางของชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งยืนมองมันอยู่ แต่แสงที่ลอดผ่านมามันทำให้ตามันมองไม่ถนัดนักเนื่องจากตื่นมาก็อยู่ในห้องมืดๆ มันคลำไปทั่วพื้นโดยเรี่ยวแรงที่มีเล็กน้อยนั่นจนไปสัมผัสกับจานข้าวมันจึงรีบกินอย่างหิวโหยแม้ว่ากับข้าวนั้นจะใส่ยาพิษก็ตาม แต่คงไม่ใช่ยาพิษไม่เช่นนั้นมันคงไม่รอดมาถึงตรงนี้



“ท่านเป็นใคร แล้วข้าอยู่ที่ไหน”




“ข้าเป็นคนที่เก็บเจ้ามาจากข้างถนน แล้วตอนนี้เราก็อยู่บนเรือกำลังจะไปแคว้นอวิ้น ข้าเพียงอยากช่วยเจ้าออกมาจากสภาพที่เจ้าเป็นอยู่นี้ ถ้าหากเจ้าแข็งแรงดีแล้วข้าจะปล่อยให้เจ้าไปตามทางของเจ้า”




“ขอบคุณมากขอรับ ขอบคุณท่านมาก” ชายขอทานก้มกราบขอบคุณฟู่ฟู่ มันปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างเงียบๆเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าได้ยินแล้วรำคาญมันไปเสียก่อน




“เอาล่ะๆ เจ้ากินข้าวได้แล้ว ไว้เจ้ามีแรงแล้วข้าจะพาเจ้าอาบน้ำแล้วกัน ไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้วเนี่ย” ขนาดยืนห่างกันแล้วยังได้กลิ่นเหม็นลอยตามลมเข้ามาหา




“อ่ะ เอ่อ...ข้าจำไม่ได้แล้วนายท่านว่าอาบน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อใด” ชายขอทานตอบมาเสียงแผ่ว




“ไม่เป็นไร เจ้าก็กินข้าวนอนเอาแรงแล้วกันจะได้มีแรงขยับตัว ข้าไปล่ะ”  ฟู่ฟู่ออกมาจากห้องพร้อมสั่งให้คนหาข้าวหาน้ำให้ขอทาน และสั่งให้หาตะเกียงมาให้ขอทานด้วยเพราะห้องนั้นมันมืดเกินไป




หลายวันผ่านไปเจ้าขอทานเริ่มมีแรงขยับร่างกายฟู่ฟู่จึงพาไปอาบน้ำที่ท้ายเรือกันสองคน




“รอบสุดท้ายแล้วเจ้าขอทานทนอีกนิดนะ ขยี้ผมด้วย ขัดคราบไคลด้วย” ฟู่ฟู่ยืนสั่งการให้ขอทานขยี้ผมและขัดคราบไคลตัวเอง ตอนแรกเขาจะสั่งให้คนอื่นช่วยอาบให้ด้วยแต่เจ้าขอทานขี้อายผู้นี้ไม่อยากให้ผู้ใดโดนตัวเขาจึงต้องมากำกับแทน



“สะอาดดีแล้ว เช็ดผมเช็ดตัวซะแล้วนี่ก็เสื้อผ้าเจ้าตัวเท่าข้าใส่ของข้าแล้วกันนะ” นี่ก็เป็นเรื่องถกเถียงของเขากับหานเฟิงด้วยเช่นกันเมื่อเขาจะเอาชุดตัวสีฟ้ากับสีม่วงให้กับขอทาน แต่หานเฟิงไม่ยอมเนื่องจากตั้งใจซื้อให้เขาใส่จนสุดท้ายเขาต้องเอาชุดตัวสีดำสองตัวมาให้ขอทานใส่แทนด้วยเพราะหานเฟิงขู่ว่าจะโยนเจ้าขอทานนี่ลงเรือถ้าเขาให้ชุดสีม่วงกับฟ้า




“ขอบคุณมากขอรับ” ขอทานรับชุดผ้าไหมเนื้อดีมาแต่มันรู้สึกเกรงใจ มันใส่เสื้อผ้าขาดๆของมันก็ได้




“เอ่อนายท่านข้าใส่ชุดเดิมของข้าก็ได้ขอรับ ชุดที่นายท่านให้มามันแพงเกินไปไม่เหมาะกับข้าหรอกขอรับ” ขณะคุยชายขอทานก็ก้มหน้าอยู่ไม่ยอมเงยหน้า



“รับไปเถอะน่า เสื้อของเจ้าสกปรกเกินจะใส่แล้ว แล้วข้าก็ไม่ได้ให้เจ้าเปล่าๆหรอกเจ้าต้องทำงานชดใช้ข้าแทนข้าวน้ำที่ให้เจ้า รีบแต่งตัวเถอะเดี๋ยวเจ้าไม่สบายอากาศเย็นเช่นนี้”



ฟู่ฟู่พิจารณาชายขอทานหลังจากอาบน้ำเสร็จก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง ผิวที่เคยมอมแมมก็เผยให้เห็นผิวคล้ำแต่ไม่ดำมากที่เกิดจากแดดเผามาเป็นเวลานาน รอยแผลเริ่มจางลงแล้ว




เมื่อขอทานคนนั้นเงยหน้ามาก็ปรากฎใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำ ตาเรียวคมแต่สายตากลับไม่มีความมั่นใจมันเต็มไปด้วยความหวาดระแวง แต่ดูรวมๆแล้วก็หน้าตาดีประมาณหนึ่งทำไมถึงมาเป็นขอทานได้




“ไปห้องโถงกันข้ามีเรื่องจะถามเจ้ามากมายเลยล่ะ” ทั้งสองเดินกลับไปห้องโถงเมื่อเจ้าขอทานเช็ดผมจนเกือบแห้งแล้ว เมื่อมาถึงห้องโถงก็เห็นบรรดาสมาชิกพรรคนั่งเอกขเนกตามมุมต่างๆมีหานเฟิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงมุมห้อง ทั้งสองจึงกลายเป็นจุดสนใจทันที ฟู่ฟู่หรือฟู่หลงเดินไปนั่งข้างหานเฟิงที่ส่งสายตาเชือดเฉือนไปให้ชายขอทานถ้าหากสายตาเป็นดาบชายขอทานคงเละเป็นชิ้นๆ



“เจ้าชื่ออะไรหรือ” ฟู่ฟู่เริ่มเปิดประเด็นเมื่อขอทานมานั่งคุกเข่าตรงหน้า



“ข้ามีชื่อว่า อี้หลวนผิงขอรับ”




“แล้วทำไมถึงได้ไปนอนตายซากที่ข้างทาง” คงไม่ต้องบอกว่าใครเป็นคนถามประโยคนี้ ฟู่ฟู่มองหานเฟิงด้วยความเอือมระอา

 


“ข้าอยู่กับแม่ที่หมู่บ้านเล็กๆที่แคว้นอวิ้น ทุกอย่างก็ปกติจนมีวันหนึ่งชาวบ้านล้มตายลง หมอผีชั่วนั่นมันมาใส่ร้ายท่านแม่กับข้าว่าเป็นปีศาจกัดกินวิญญาณผู้คนจนล้มตาย พวกชาวบ้านก็หลงเชื่อจับท่านแม่ของข้าไปแขวนคอ” พอเล่ามาถึงตรงนี้หลวนผิงกำมือกับขาแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อด้วยเพราะความคับแค้นใจ




“แต่แม่ข้าฝากข้าให้เพื่อนบ้านช่วยพาหนีมา ท่านป้าพาข้าลงเรือมาแล้วก็กลับไป ข้านั่งเรือมาโดยไม่รู้ว่าจะไปลงที่ใด สุดท้ายเรือก็มาจอดที่แคว้นเจ้า ข้าตัวคนเดียวไม่มีที่ไปไม่มีเงินติดตัวของานทำก็โดนโกงค่าแรง ขโมยอาหารกินจนถูกทุบตีทำแบบนั้นซ้ำๆทุกวันจนข้าหมดแรงนอนกับพื้นเป็นขอทานคอยขอข้าวกินไปวันๆ” เรื่องราวสุดรันทดถูกเผยออกมา หลวนผิงพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลเพราะเขาร้องมาหลายปีแล้ว น้ำตาไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา




“ชีวิตรันทดขนาดนี้ไม่ยอมตายไปเสียเลยล่ะจะได้จบๆไปไม่ต้องทรมาน”



“หานเฟิง! ช่วยถามอะไรที่มันดีกว่านี้ได้มั้ย”



“ข้าก็ถามดีๆแล้ว มีตรงไหนที่ข้าพูดไม่ดี”



ก่อนที่จะเกิดศึกย่อมๆหลวนผิงจึงรีบพูดออกมาก่อนที่จะเกิดการปะทะ

“ข้าเคยคิดว่าจะตายให้พ้นๆไปเสีย แต่ถ้าข้าตายก็จะกลับไปแก้แค้นหมอผีชั่วนั่นไม่ได้! ข้าจึงต้องมีชีวิตต่อไป”



ฟู่ฟู่ได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของหลวนผิงแล้วก็หดหู่ใจมนุษย์ทำไมทำร้ายกันได้ลงคอนัก เฮ้อคิดแล้วกลุ้ม



“เอาล่ะถ้าถึงแคว้นอวิ้นเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน ตอนนี้เจ้าก็ไปพักซะ ” ฟู่ฟู่ให้หลวนผิงไปพักผ่อน ทีนี้ก็เหลือฟู่ฟู่กับหานเฟิง



“เจ้าคิดจะให้มันนอนพักไปถึงเมื่อไหร่” หานเฟิงไม่ชอบใจนักที่ขอทานนั่นได้อยู่อย่างสบายไม่ต้องทำงานก็มีข้าวกิน



“เถอะน่า หลวนผิงแข็งแรงเมื่อใดก็เมื่อนั้น เจ้าอย่าบ่นไปหน่อยเลยทีรับเลี้ยงข้าไม่เห็นจะไม่พอใจ ข้ากินเก่งกว่าหลวนผิงเยอะ”




“หึก็เจ้าเป็นสัตว์เลี้ยงของข้าจะให้อดอยากได้อย่างไร”



“ก็จริงของเจ้า เจ้าก็ต้องมาทำงานใช้หนี้ข้ามา” หานเฟิงลุกขึ้นยืนพร้อมดึงแข็นฟู่ฟู่เข้าห้อง



“เจ้าจะให้ข้าทำอะไร” ฟู่ฟู่พยายามยื้อแขนไว้ ช่วงนี้เจ้าหานเฟิงไม่น่าไว้ใจอยู่



“ก็แค่นวดให้ข้าแค่นั้น มาได้แล้วหรืออยากไปทำอย่างอื่น”



“ก็ได้ แต่ข้าไม่เห็นจำเป็นต้องทำตามที่เจ้าสั่งเลย จับข้ามาเองแท้ๆ"ฟู่ฟู่แอบเถียงเบาๆ

 


ทั้งสองจูงมือกันเดินเข้าห้องเป็นภาพที่เหมือนจะชินตาสำหรับสมาชิกพรรคพยัคฆ์ทมิฬเสียแล้ว

--------------------------------------------

TALK

มาแล้วค่าตอนหน้าก็ขึ้นบกแล้วเด้อ

หายไปทำธุระมาแฮ่


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่11 [26/6/61]
«ตอบ #39 เมื่อ26-06-2018 16:59:06 »

 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่11 [26/6/61]
« ตอบ #39 เมื่อ: 26-06-2018 16:59:06 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่11 [26/6/61]
«ตอบ #40 เมื่อ26-06-2018 22:26:28 »

อี้หลวนผิงนี่ต้องไม่ธรรมดา  เออะเฮ้ย  ไม่ธรรมดา  แนแน้เลย     :m26:

ออฟไลน์ kete

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่12 [29/6/61]
«ตอบ #41 เมื่อ29-06-2018 09:49:58 »

ตอนที่ 12


        วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางอีกไม่กี่เค่อเรือก็จะเทียบท่าแคว้นอวิ้นแล้ว

 


“หานเฟิงถ้าถึงแคว้นอวิ้นแล้วเจ้าจะไปไหนต่อ” ฟู่ฟู่และหานเฟิงนั่งคุยกันที่ห้องโถงเรือ ส่วนชาวพรรคต่างขนของเตรียมเดินทางต่อไป



เป็นเวลาครึ่งเดือนแล้วที่ฟู่ฟู่อยู่ในร่างมนุษย์หานเฟิงก็อยากให้ฟู่ฟู่อยู่ในร่างนี้ไปตลอดกาลเช่นกัน




“ถึงท่าเรือแคว้นอวิ้นแล้วเราจะเดินทางขึ้นเหนือต่อไปหมู่บ้านที่สหายข้าอยู่คงใช้เวลาราวๆ 3 วัน” คำตอบที่ได้รับทำให้คนฟังขมวดคิ้วจนสามารถผูกเป็นปมได้




“เฮ้อเดินทาง เดินทาง ข้าเบื่อกับการเดินทางแล้วเมื่อไหร่จะถึงบ้านสหายเจ้าสักที” หานเฟิงมองคนหัวเสียข้างๆ และขำออกมาเบาๆ อยู่ด้วยกันมานานเขาเลือกที่จะไม่ต่อความเพราะเจ้าตัวป่วนนี้แค่บ่นไปอย่างนั้นเอง




“นายท่านข้าเก็บสัมภาระให้ครบเรียบร้อยแล้วขอรับ” หลวนผิงเข้ามารายงานให้นายตนทราบหลังจากเก็บสัมภาระของท่านฟู่หลงและหานเฟิงเสร็จแล้ว หลังจากที่มีเรี่ยวแรงเดินเหินได้สะดวกแล้วหลวนผิงก็ขอทำงานกับฟู่หรงไม่ว่าจะให้ทำอะไรก็ยอมเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ได้รับมา แม้ว่าฟู่หรงจะยังไม่ให้ทำก็ตามจนสุดท้ายก็กลายมาเป็นข้ารับใช้ของฟู่หรง คอยตามรับใช้ไม่ให้ขาดตกบกพร่องใดๆ เพราะมันซาบซึ้งน้ำใจที่ท่านฟู่หรงได้มอบชีวิตให้มันอีกครั้ง ถึงแม้จะยังเกรงกลัวสายตาของท่านหานเฟิงอยู่ก็ตาม




“ขอบใจเจ้ามากนะหลวนผิง อีกไม่กี่เค่อก็ถึงแคว้นอวิ้นแล้วเจ้าอยากจะไปที่ใดก็ได้ตามใจเจ้าข้าไม่ห้าม” ฟู่ฟู่มองร่างที่เคยบางเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกบัดนี้เริ่มมีเนื้อมีหนังเพิ่มขึ้นมาบ้างแม้จะดูว่าผอมบางอยู่ก็ตามที

“ข้า...ข้าขอตามรับใช้นายท่านก่อนได้หรือไม่ขอรับให้ข้าได้ตอบแทนบุญคุณจนกว่าท่านจะกลับแคว้นเยว่” หลวนผิงคุกเข่าก้มหน้า



“ไม่ต้อง ฟู่หรงข้าดูแลเองได้ไม่ต้องให้คนอย่างเจ้ามารับใช้” หานเฟิงเอ่ยขัด เพราะไม่ชอบหน้าขอทานผู้นี้สักนิดตั้งแต่มีเจ้านี่มาฟู่ฟู่ก็คอยไปคุยกับมัน ทั้งที่ปกติจะคอยวนเวียนรอบตัวเขาแท้ๆ



“ได้ๆ ข้าก็อยากให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าต่อไปเหมือนกัน ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเองแหละ ฮ่าฮ่าฮ่า” คำตอบที่สวนทางกันของเจ้านายทั้งสองทำให้หลวนผิงสับสนยิ่งนัก จะให้เขาอยู่หรือจะให้เขาไปดี




“เอ๊ะหานเฟิง ทำไมต้องไล่หลวนผิงไปด้วย” ฟู่ฟู่หันมาถามคนข้างกายที่เอ่ยวาจาขัดหู




“เจ้านี่อยู่ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมายปล่อยให้ไปตามทางไม่ดีกว่าหรือ” หานเฟิงเริ่มรู้สึกไม่พอใจเช่นกันที่ฟู่ฟู่ยังรั้งตัวเจ้าขอทานไว้อยู่ น่าจะจับทิ้งลงน้ำเสียแรกก็ดี




ฟู่ฟู่เริ่มเห็นว่าหานเฟิงอารมณ์ไม่ดีนักเขาจึงต้องใช้น้ำเย็นเข้าลูบจึงขยับตัวเข้าไปกระซิบให้ได้ยินกันสองคน

“ถ้าเจ้าให้หลวนผิงอยู่ต่อ ข้าจะให้เจ้าสั่งข้าทำอะไรก็ได้หนึ่งข้อสนใจหรือไม่”




หานเฟิงเมื่อได้รับข้อเสนอก็เกิดความคิดชั่วร้ายทันที ข้อเสนอนี้ช่างยั่วยวนเขาเหลือเกิน




“ได้ข้าจะให้เจ้าอยู่ต่อ แล้วอย่าลืมที่เจ้่าพูดไว้แล้วกันข้าขอเก็บไว้ก่อน” ประโยคแรกหันไปพูดกับร่างที่คุกเข่าตรงหน้า ส่วนประโยคสุดท้ายหันมากระซิบกับคนที่นั่งข้างกาย




ฟู่ฟู่เริ่มรู้สึกตัวเองคิดผิดนักที่เสนอแบบนั้นไป แต่เขารู้สึกผูกพันธ์กับหลวนผิงจนอยากให้อยู่ด้วยกันต่อไปอีก จะให้เดินทางไปคนเดียวนั้นก็กลัวว่าจะเกิดอันตราย เอาน่าเดี๋ยวก็แต่งว่าลืมไปแล้วว่าพูดอะไรไปสัจจะไม่มีในหมู่โจรนี่นา คิกคิก





“ท่านประมุขเรือเทียบท่าแล้วขอรับ” ลูกน้องคนหนึ่งเข้ามารายงานหานเฟิง ขณะนี้เรือได้จอดเทียบท่าแล้วทุกคนขนของลงเรือใส่รถเกวียนม้าลากที่เช่ามาทั้งหมด 6 คันเป็นรถขนเสบียง2 คัน หานเฟิงและฟู่ฟู่นั่งด้วยกัน 1 คันโดยหลวนผิงนั่งข้างคนขับ นอกนั้นเหล่าชาวพรรคนั่งเกวียนที่เหลือ




ขบวนเกวียนเริ่มเคลื่อนที่มุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ ช่วงนี้มีผู้คนมากมายเข้ามาในแคว้นอวิ้นเนื่องจากข่าวค้นพบหยกจันทรานั่นเอง ชาวบ้านจึงทำรถเกวียนมาให้เช่าหลายคันชาวบ้านมากมายก็มาตั้งร้านขายของให้นักเดินทางพระราชสำนักเก็บค่าเช่าในจุดพักต่างๆจากพ่อค้าแม่ค้าได้เงินมากมาย




เส้นทางการเดินทางนั้นสะดวกสบายเกวียนสามารถไปได้เนื่อจากมีการปรับปรุงของเมืองหลวงเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เดินทางไปเยี่ยมชมหุบเขาพันปี



“นายของเจ้าจะไปหาหยกจันทราใช่หรือไม่ นี่ข้าพึ่งกลับมาจากทางเหนือเมื่อไม่กี่วันมานี้วันนี้ก็ขึ้นไปอีก” ชายเจ้าของเกวียนพูดกับหลวนผิง



“หยกจันทรา? มันคือสิ่งใดรึพี่ชาย” หลวนผิงพึ่งเคยได้ยินชื่อของสิ่งนี้ครั้งแรก หยกจันทราคืออะไรทำไมคนถึงต้องไปหา




“หือน้องชายเจ้าไม่รู้จักรึ มานี่ข้าจะเล่าให้ฟังจะได้ไม่นั่งเงียบๆเดี๋ยวข้าจะเผลอหลับ ฮ่าฮ่าฮ่า”



“ชุ่ว อย่าหัวเราะเสียงดังไปนายของข้าจะไม่ชอบใจ”  หลวนผิงรีบบอกให้ชายตรงหน้าเงียบทันใด หากทำเสียงดังอาจโดนเตะตกเกวียนไม่รู้ตัว 




“งั้นรึ ข้าขอโทษแล้วกันข้าขับเกวียนมานานไม่ค่อยมีคนคุยกับข้าน่ะสิ” ชายคนนั้นกระซิบเสียงเบาทันที มันเบาจนเหมือนคุยกับตัวเองแทนน่ะสิ




“พี่ชายพูดเสียงปกติเหมือนตอนแรกสิ เบาแบบนี้ผู้ใดจะได้ยิน”




“อ้าวงั้นรึ อะแฮ่มๆ ข้าจะเล่าเรื่องหยกจันทราให้ฟังระหว่างเดินทางแล้วกันนะ” สุดท้ายก็หาเสียงที่พอดีจนเจอ





“หยกจันทราเป็นเหมือนนิทานพื้นบ้านของชาวแคว้นอวิ้น เล่ากันไปมาอาจจะมีคลาดเคลื่อนบ้างเจ้าก็ฟังเป็นนิทานไปก็ได้ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เรื่องมันเริ่มที่เมื่อห้าร้อยปีก่อนมีสัตว์อสูรมังกรดำเข้ามาทำลายหมู่บ้านมันแปลงร่างเป็นคนมากัดกินวิญญาณชาวบ้านจนล้มตายลงเป็นจำนวนมากมาย”



“กัดกินวิญญาณรึ” หลวนผิงพึมพำกับตนเอง กัดกินวิญญาณตัวเขากับแม่ก็ถูกหมอผีชั่วนั่นใส่ร้ายว่ากัดกินวิญญาณชาวบ้านเหมือนกัน



“ใช่มันกัดกินวิญญาณฟังดูน่ากลัวใช่หรือไม่ จนมีชาวยุทธผู้หนึ่งมากำราบเจ้าปีศาจตัวนั้นจับมันขังในหยกจันทราจนสิ้นฤทธิ์แล้วนำไปฝังที่หุบเขาพันปี แล้วมีเรื่องเล่าว่าที่เอาไปฝังนั้นเพราะมีคนเคยขโมยหยกจันทราออกมาจากที่เก็บ คนผู้นั้นได้รับพลังมากมายมหาศาลจนคิดเป็นใหญ่ก่อให้เกิดสงครามภายในแคว้นอวิ้นจนบ้านเมืองถูกเผาวอดวาย สุดท้ายชาวยุทธคนเดิมที่เคยปราบปีศาจตนนี้ก็สามารถชิงหยกจันทราไปฝังหลบซ่อนผู้คนจนถึงตอนนี้”




“แล้วทำไมถึงมีคนไปหารึทั้งที่เจ้าบอกมันเป็นแค่นิทานเรื่องเล่า”หลวนผิงเกิดความสงสัย ทำไมถึงคิดว่ามีเล่าทั้งๆที่ไม่เคยเห็น

“มีข่าวว่าชาวบ้านห้าคนไปหาของป่าที่หุบเขาพันปีแล้วมองเห็นแสงสีเขียวบนท้องฟ้าเป็นรูปมังกรน่ะสิ ชาวบ้านที่ได้ยินก็คิดว่าเป็นหยกจันทราแน่จึงเข้าไปหาบ้าง ข่าว้ริ่มกระจายไปทั่วจนตอนนี้มีผู้คนทั่วสารทิศเข้ามาหาหยกจันทรา”



“หากพบเจอจริงๆแล้วเกิดสงครามอีกครั้งจะดีรึ”




“ผู้มีอำนาจก็อยากเป็นใหญ่กันทั้งนั้น” ชายเจ้าของเกวียนตอบกลับไป แต่ภายในใจคิดว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ หลายปีแล้วไม่เห็นพบเจอหยกจันทราเลยสักนิด แต่เขาก็เลือกที่จะไม่บอกใครว่าเป็นเรื่องหลอกลวงเพราะยังต้องหากินกับเรื่องเล่านี้ไปอีกนาน ค่าเช่าเกวียนทำให้มันมีเงินใช้ไม่ขัดสนเหมือนเมื่อก่อน ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า




ภายในเกวียน

“หานเฟิงข้ารู้สึกเหมือนเคยมาที่นี่เลยล่ะ” ฟู่ฟู่เกาะหน้าต่างมองดูทิวทัศน์รอบๆจากหมู่บ้านคนหนาตาเริ่มออกมาไกลจนสองข้างทางมีแต่ต้นไม้ 




“หึหึหึ นกน้อยอย่างเจ้าจะบินข้ามน้ำข้ามแผ่นดินไหวรึ ข้าว่าเจ้าคงคิดไปเอง”  หานเฟิงมองดูคนนั่งตรงข้ามกำลังทำหน้าครุ่นคิด




“ฮื้ิอ ข้าไม่ได้คิดไปเองนะ” ฟู่ฟู่รู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่มากจริงๆ แม้สิ่งต่างๆจะเปลี่ยนไปบ้างก็ตาม แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกสงสัยความจำของนกจะสั้นเกินไป





หลวนผิงเหม่อมองภาพตรงหน้าหลายปีแล้วที่เขาจากบ้านเกิดไปอยู่ต่างแคว้น ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดถึงจะบอกว่าไม่อยากตายเพราะจะมาแก้แค้นหมอผีชั่วคนนั้น แต่เขาไม่มีพลังจะไปต่อกรกับใครได้เลย




‘ท่านแม่ข้ากลับมาแล้วขอรับ แต่ข้ามันด้อยความสามารถนักชาตินี้จะแก้แค้นให้ท่านแม่ได้หรือไม่ข้าก็ยังมองไม่เห็นทางเลยขอรับ’




สายตาหม่นหมองไม่เหลือความสดใสเจือปนแล้วสำหรับหลวนผิง ชีวิตที่ถูกพรากความสุขไปตั้งแต่ยังเล็กนั้นยากที่จะทำให้คนคนนั้นกลับมามีชีวิตชีวา



“ดูเจ้าจะมีเรื่องไม่สบายใจนะ” ชายเจ้าของเกวียนสัมผัสถึงกระแสความเศร้าจากคนข้างๆ เป็นชายหนุ่มที่ดูบอบบางได้กินข้าวครบมื้อหรือไม่ ตอนมันยังไม่ได้มาทำอาชีพขับเกวียนนี้ลูกน้อยและภรรยาก็อดอยากจนผอมบางเช่นชายหนุ่มคนนี้




“ไม่มีอะไร ข้าเพียงอยากจะฝึกวิชาก็เท่านั้นแคว้นอวิ้นข้าได้ยินมาว่ามีชื่อเสียงด้านวิทยายุทธใช่หรือไม่” การเป็นขอทานวันๆอยู่แต่ในตลาดที่เหมือนเป็นแหล่งข่าวกระจายเสียงทำให้มันพอรู้ข่าวสารอะไรบ้าง ถึงส่วนมากจะมีแต่เรื่องนินทาผู้อื่นก็ตาม




การจะสามารถสร้างพลังปราณออกมาเป็นรูปร่างต่างๆนั้น จะต้องฝึกอย่างถูกวิธีถึงจะสามารถแปรพลังปราณในตัวให้ออกมาเป็นรูปร่างโจมตีผู้อื่นได้ จะมีโรงฝึกสอนในแต่ละที่ซึ่งมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากลูกหลานชาวบ้านธรรมดาถึงไม่ได้เรียน ครั้นจะหาผู้สอนโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายหรือจ่ายในราคาถูกก็น้อยนิดจนหาแทบไม่เจอถึงจะมีก็สอนได้เพียงปราณขั้นต้น วิชาไม่ได้ร้ายกาจอะไรนัก



“ใช่ๆ แคว้นอวิ้นนั้นมีผู้วรยุทธสูงอยู่มากมาย เจ้ารู้จักพรรควิหคสวรรค์หรือไม่ พรรคนี้จะรับฝึกสอนวิทยายุทธให้ชาวบ้านไม่คิดเงินเลยนะ แต่คุณสมบัติต้องเป็นคนขยัน อดทน มีความตั้งใจเขาถึงจะรับนี่ถ้าลูกข้าโตข้าจะพาไปเข้าเรียน”




“ไม่คิดค่าใช้จ่ายรึ สอนเพียงพื้นฐานใช่หรือไม่”



“ไม่ใช่ๆ สอนจนถึงระดับสูงสุดมีชาวยุทธจบจากที่พรรควิหคสวรรค์มากมาย เจ้าสนใจหรือไม่ปีนี้จะเปิดรับเพียงห้าสิบคนเองนะ”



“ข้าจะเก็บไปคิดดู”




“พรรควิหคสวรรค์เป็นพรรคที่มีคุณธรรมสูงส่งชาวบ้านต่างเคารพท่านเหวินซานกันทั้งนั้น ท่านเหมือนกับเทพเซียนลงมาคอยปกปักรักษาชาวบ้านอย่างเรา และที่มีการฝึกวิทยายุทธโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆก็เกิดจากท่านเหวินซานคนนี้แหละน้องชาย”




“ท่านเหวินซาน? คือใครกันรึ” เปรียบเหมือนเทพเซียนเลยรึ




“ท่านเป็นหัวหน้าพรรควิหคสวรรค์น่ะสิ ข้าเคยเห็นท่านเพียงครั้งเดียวท่านเหวินซานนั้นรูปงามราวเทพเซียนเหมือนที่คนล่ำลือกันจริงๆ”




“แล้วพรรควิหคสวรรค์อยู่หมู่บ้านไหนล่ะ” หลวนผิงรีบตัดบทก่อนที่ชายข้างๆจะพร่ำพรรณนาถึงบุรุษคนนั้นอีก การฟังบุรุษพรรณนาถึงบุรุษด้วยกันเองทำเขาขนลุกขนชัน




“อ่ออยู่หมู่บ้าน”








“หานเฟิงสหายเจ้าอยู่หมู่บ้านอะไรรึ เจ้าบอกเพียงหมู่บ้านตอนเหนือ” ฟู่ฟู่ยังคงคุยไม่ยอมหยุด




“สหายข้างั้นรึ อยู่หมู่บ้าน”








“วิหคสุวรรณ” หานเฟิงตอบฟู่ฟู่เป็นเวลาเดียวกับที่ชายเจ้าของเกวียนตอบหลวนผิงเช่นกัน


-------------------๏------------------๏----------------
TALK
มาแล้วๆ ขออภัยเมื่อวานควรลง พอดีเป็นทาสแมวพาเจ้านายไปทำหมันต้องดูแลคุณนายทั้งคืนเลยไม่มีเวลาแต่ง กระซิก กระซิก


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่12 [29/6/61]
«ตอบ #42 เมื่อ29-06-2018 17:52:17 »

 :pig4:

ออฟไลน์ kete

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่13 [5/7/61]
«ตอบ #43 เมื่อ05-07-2018 17:40:32 »

ตอนที่ 13


“แล้วพรรควิหคสวรรค์อยู่หมู่บ้านไหนล่ะ” หลวนผิงรีบตัดบทก่อนที่ชายข้างๆจะพร่ำพรรณนาถึงบุรุษคนนั้นอีก การฟังบุรุษพรรณนาถึงบุรุษด้วยกันเองทำเขาขนลุกขนชัน



“อ่ออยู่หมู่บ้าน”



“หานเฟิงสหายเจ้าอยู่หมู่บ้านอะไรรึ เจ้าบอกเพียงหมู่บ้านตอนเหนือ” ฟู่ฟู่ยังคงคุยไม่ยอมหยุด



“สหายข้าอยู่หมู่บ้าน”



“วิหคสุวรรณ” หานเฟิงตอบฟู่ฟู่เป็นเวลาเดียวกับที่ชายเจ้าของเกวียนตอบหลวนผิง



“วิหคสุวรรณ? นกสีทองงั้นรึ บังเอิญนักตอนข้าเป็นนกก็มีขนสีทองนี่”



หานเฟิงฟังแล้วก็คิดได้ว่ามันช่างบังเอิญจริงๆด้วย หรือว่าที่นั่นจะมีความลับของเรื่องน่าอัศจรรย์นี้



“ไว้ไปถึงค่อยว่ากันตอนนี้เจ้าก็อย่าพึ่งคิดอะไร” เพราะว่าต่างคนต่างไม่รู้ดังนั้นหานเฟิงจึงต้องหยุดจินตนาการของฟู่ฟู่เสียก่อนจะคิดเตลิดไปไกลจากความจริง 



คณะเดินทางพักกินข้าวเสร็จแล้วก็เดินทางต่อจนถึงจุดพักในเวลาที่ตะวันตกดินพอดี จุดพักนี้เป็นเพียงพื้นที่ในป่าห่างจากเส้นทางเดินไม่มากแต่มีแม่น้ำไหลผ่าน หานเฟิงเคยมาแคว้นอวิ้นครั้งสุดท้ายเมื่ออายุ15 ปี ตอนนี้เขาอายุได้ 30 ปีแล้ว ถือว่าทางการพัฒนาบ้านเมืองได้ดีจากป่าทึบปัจจุบันเป็นเส้นทางตัดผ่านนั่งเกวียนได้สบาย

“โอ้ยยย ปวดก้นมากเลยนั่งเกวียนทั้งวัน” ฟู่ฟู่ลงจากเกวียนปุ๊บก็บ่นทันทีพลางบิดเอวไปมา



“ปวดขนาดนั้นให้ข้าช่วยนวดให้หรือไม่” หานเฟิงเดินเข้าไปประชิดตัวฟู่ฟู่จากด้านหลังแล้วกระซิบเบาๆข้างใบหูขาวให้ได้ยินกันสองคน



“เอ่อไม่ต้องข้าหายดีแล้วล่ะ แหม่ให้นั่งอีกทั้งวันก็ยังไหว” ฟู่ฟู่ถอยออกมาจากตรงนั้นแล้วหันไปปฏิเสธความหวังดีของหานเฟิง



“หลวนผิงเป็นอย่างไรบ้าง นั่งตากแดดตากลมทั้งวันไม่สบายรึเปล่า ข้าบอกให้เจ้ามานั่งข้างในกับข้าก็ไม่มา” ฟู่ฟู่รีบถามไถ่หลวนผิงทันทีเมื่อเห็นร่างผอมบางเข้ามาในสายตาด้วยความเป็นห่วง หรืออีกนัยก็เพื่อเปลี่ยนเรื่องพูดคุย



“ข้าไม่เป็นอะไรขอรับ ขอบคุณที่นายท่านหวังดีต่อข้า” หลวนผิงรีบตอบทันทีด้วยความเกรงใจ



‘นายท่านฟู่หรงข้าซาบซึ้งน้ำใจที่ท่านมีต่อข้านัก แต่ท่านหานเฟิงต้องฆ่าข้าหมกป่าแน่ถ้าบังอาจไปนั่งในเกวียนด้วย’



“ไปนั่งได้แล้ว” หานเฟิงดันหลังฟู่ฟู่เดินไปนั่งท่อนไม้หน้ากองไฟที่มีการจัดเตรียมไว้แล้วตามจุดพักต่างๆ เหล่าลูกน้องต่างขนเสบียงลงมาทำอาหารกิน บ้างก็พักผ่อนตามอัธยาศัยและอีกส่วนเป็นหน่วยลาดตระเวนรักษาความปลอดภัย



“หานเฟิงมีแม่น้ำด้วยล่ะ ข้าอยากเล่นน้ำ” เสียงลำธารที่อยู่ไม่ไกลจากกองไฟทำให้ได้ยินเสียงสายน้ำไหลชวนให้ลงเล่น



“กินข้าวให้เสร็จก่อนถึงจะพาไป” เสียงทุ้มตอบกลับ



ด้านหลวนผิงก็เดินมาช่วยทำอาหารเพราะไม่อยากอยู่นิ่งๆ ด้วยครั้งยังเป็นเด็กเคยฝึกทำอาหารกับแม่ แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วเขาก็ยังจำได้ ท่านแม่ของหลวนผิงนั้นรสมือดีจึงทำให้หลวนผิงทำอาหารได้อร่อยตามไปด้วย



หลวนผิงกำลังนำปลาที่เหล่าลูกน้องของหานเฟิงจับมานั้นคลุกกับสมุนไพรเพื่อกลบกลิ่นคาว ทำการเสียบไม้แล้วยื่นให้คนอื่นช่วยย่างเมื่อปลาถูกความร้อนเผาไหม้ก็ส่งกลิ่นหอมหวนยั่วน้ำลายผู้คนโดยรอบ เมื่อปลาสุกได้ที่จึงโรยเกลือเพิ่มรสชาติให้กับปลาเป็นอันเสร็จเรียบร้อย



“อาหารมาแล้วขอรับท่านประมุข” ชายชุดดำถือถาดใส่อาหารมาวางไว้โต๊ะที่ทำจากตอไม้ธรรมดาตรงหน้าหานเฟิงเสร็จแล้วก็เดินกลับไป



“โอ้โหปลาย่างหอมน่ากินจังเลย” ฟู่ฟู่ไม่รอช้าคว้าถ้วยข้าวมาแล้วคีบเนื้อปลาที่ถูกเอาก้างออกให้แล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย



“เนื้อตากแห้ง” คำพูดสั้นๆของร่างสูงมาพร้อมกับเนื้อตากแห้งที่ถูกคีบใส่ถ้วยข้าวของฟู่ฟู่



“ขอบคุณ” ฟู่ฟู่ตอบรับร่างสูงพร้อมคีบเนื้อตากแห้งนั้นเข้าปาก หานเฟิงเห็นเช่นนั้นมุมปากจึงเผลอยกขึ้นสูงโดยไม่รู้ตัวและยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อฟู่ฟู่คีบเนื้อปลาย่างใส่ถ้วยข้าวของตน



“ลองกินเนื้อปลาดูอร่อยนะ” ร่างบางกัดริมฝีปากตนเองเมื่อรู้สึกว่าจะเผลอยิ้มกว้างมากไปแล้ว



“เนื้อปลาที่เจ้าคีบให้ข้าอร่อยจริงๆด้วย”



“อร่อยก็กินเยอะๆ”





“เจ้าว่าบรรยากาศรอบๆตัวของท่านประมุขกับท่านฟู่หรงแปลกๆหรือไม่” เหล่าลูกน้องและหลวนผิงนั่งล้อมกองไฟกินข้าวห่างมาจากหานเฟิงและฟู่หรงไม่ไกลนักแต่ก็ไม่สามารถได้ยินเสียงที่สองคนนั้นพูดคุยกันได้ เห็นแต่เพียงท่านประมุขคีบกับข้าวให้ท่านฟู่หรง ท่านฟู่หรงก็คีบกับข้าวให้ท่านประมุข



“อืมข้าก็ว่าแปลกเหมือนเจ้า เหมือนกับว่าทั้งสองคนเป็น เป็นเอ่อ”



“เป็นอะไรเล่า เอ่ออยู่ได้” เพื่อนๆต่างหงุดหงิดที่ชายคนนั้นมัวแต่อ้ำอึ้งไม่ยอมพูดออกมาเสียที



“เป็นคู่รัก!”



“หา!” ทั้งกลุ่มต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันด้วยความแปลกใจไม่เว้นแม้แต่หลวนผิง ทำให้คนอื่นที่กระจายตามมุมต่างๆหันมามอง



“ชุ่ว พวกเจ้าจะตะโกนเสียงดังทำไมเดี๋ยวท่านประมุขจะรู้เข้า”



“อะแฮ่ม ข้าว่าปลาย่างสมุนไพรของเจ้าหลวนผิงอร่อยดี เจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่”



“ข้าก็คิดเช่นนั้น อร่อยจนเผลอร้องออกมาเสียงดังเลย” กลุ่มชายฉกรรจ์ต่างเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเมื่อท่านประมุขหันมาจ้องกลุ่มของมัน ต่างพากันชมรสมือของหลวนผิงว่าดีเลิศยิ่ง จนสภาวะกลับมาเป็นปกติทำเหมือนกับลืมเรื่องที่เคยพูดไปก่อนหน้าเสียให้หมด






“เพราะเจ้าแท้ๆทำให้ข้าต้องมาอาบน้ำตอนอากาศเย็นเช่นนี้ จะไม่อาบก็ไม่ได้เหม็นตัวเองยิ่งนัก”





“จะบ่นทำไมข้ามีวิธีทำให้เจ้าอุ่นแล้วกัน รีบลงไปอาบได้แล้วก่อนจะมืดยิ่งกว่านี้” ทั้งสองคนพากันเดินมาอาบน้ำที่แม่น้ำ หานเฟิงกำชับลูกน้องห้ามให้ใครเข้ามาระแวกนี้เด็ดขาดเนื่องจากต้องการความเป็นส่วนตัว



“เจ้าหันหน้าไปทางนุ้นก่อนข้าจะถอดเสื้อ” ฟู่ฟู่ชี้มือให้หานเฟิงหันหลังให้ตน



“จะอายข้่าทำไม เห็นมาหมดแล้ว” เสียงทุ้มตอบกลับด้วยใบหน้านิ่ง พร้อมยักคิ้วหนึ่งข้างให้ร่างบาง




ฟู่ฟู่มองค้อนคนหน้าไม่อาย หันหลังกลั้นใจปลดผ้ารัดเอวและถอดเสื้ออย่างรีบเร่ง เมื่อเผยร่างเปลือยเปล่าท้าสายลมหนาวแล้วก็กระโดดลงน้ำดังตุ้ม จนน้ำแตกกระจาย



“หึหึหึ รีบลงไปแบบนั้นไม่หนาวรึ” หานเฟิงหัวเราะกับภาพที่เห็นร่างบางกระโดดลงน้ำลงไปแล้วพึ่งรู้ตัวว่าน้ำเย็นจนตัวสั่น เขาจึงถอดเสื้อผ้าแล้วลงน้ำตามไป



“เฮ้ยๆ มาใกล้ทำไมเจ้าหยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ” ฟู่ฟู่ห้ามคนตัวโตไม่ให้ลุยน้ำเข้ามาใกล้ตน ต่างคนต่างอาบสิ




“หึหึ ข้าแค่มานั่งพิงก้อนหินเฉยๆ เจ้าคิดไปถึงไหนฮึ” หานเฟิงเดินไปนั่งบนก้อนหินในน้ำทำให้ระดับน้ำอยู่ตรงเอวพอดี เขานั่งพิงหินขัดตัวอย่างสบายใจไม่ทุกข์ร้อน



เมื่อฟู่ฟู่เห็นว่าหานเฟิงไม่ได้มีท่าทางน่าสงสัยใดๆก็อาบน้ำปกติ แม้ตอนแรกน้ำจะเย็นแต่เมื่อแช่นานๆร่างกายก็ปรับตัวได้



“เฮ้ย!”



ตุ้ม! เสียงหานเฟิงร้องพร้อมกับร่างที่หายลงไปในน้ำทำให้ฟู่ฟู่หันกลับมามองด้วยความตกใจ แต่ก็ไร้ร่างของหานเฟิงแล้ว



“หานเฟิง! หานเฟิงเจ้าหายไปไหน อย่าแกล้งข้าแบบนี้นะ เจ้าหานเฟิง!ออกมาสิ” ฟู่ฟู่ตะโกนเรียกหาร่างแกร่งพร้อมดำน้ำหาเผื่ออาจจะถูกตัวอะไรลากลงไปในน้ำแม้จะกลัวเหมือนกันแต่ก็กลัวว่าหานเฟิงจะถูกฆ่าตายมีมากกว่า



“ฮ้า หานเฟิงเจ้าไปอยู่ไหนออกมานะ อ๊ะไปตามคนมาช่วยดีกว่า หานเฟิงเจ้ารอก่อนนะข้าจะตามคนมาช่วย” เมื่อหาใต้น้ำหาก็ยังไม่เจอจึง ขึ้นมาหาบนน้ำต่อก็ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต จึงคิดไปตามคนมาช่วยดีกว่าหาคนเดียว ขณะที่ร่างบางกำลังจะขึ้นฝั่งกลับถูกแรงดึงมหาศาลกระชากเข้าที่เอวทำให้แผ่นหลังบางไปกระทบกับอะไรแข็งๆด้านหลัง



“เฮ้ย ปล่อยข้า ช่วยด้วยยยยย อื้อ” ฟู่ฟู่ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือเมื่อคิดว่าถูกใครจับตัว แต่กลับถูกโดนมือใครไม่รู้ปิดปากไม่สามารถพูดได้



“ตกใจอะไรนี่ข้าเอง” เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นด้านหลัง ฟู่ฟู่เมื่อรู้ว่าคนด้านหลังเป็นใครจึงหยุดดิ้นแล้วหันกลับไปหาซึ่งก็ได้รับความยินยอมแขนแกร่งคลายแรงรัดเอวเปลี่ยนมากอดเพียงหลวมๆ



เพียะ!



ฟู่ฟู่ตบหน้าหานเฟิงอย่างไม่ยั้งแรงหนึ่งทีด้วยความน้อยใจที่ถูกหลอกให้กลัว ถูกหลอกให้กระวนกระวายจนใบหน้านั้นแดงเถือกเป็นรอยนิ้วมือห้านิ้วขึ้นชัด



“สนุกมากใช่หรือไม่ ตลกนักรึที่เห็นข้าตะโกนร้องหาเจ้าเหมือนคนบ้า!” ปากอวบอิ่มถูกกัดจนบวมช้ำเมื่อเจ้าตัวพยายามระงับความโกรธ สายตาที่จ้องมาทำให้หานเฟิงพึ่งสำนึกได้ว่าเล่นแรงไปเสียแล้ว เขาแค่คิดจะแกล้งคนตรงหน้าว่าถูกตัวอะไรลากลงน้ำแล้วจะไปโผล่กอดด้านหลังแค่นั้นเองไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะกลัวขนาดนี้



“ไม่ข้าไม่ได้สนุก ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้ ข้ามันโง่เองเจ้าอย่าโกรธข้านะฟู่ฟู่ข้าขอโทษ” หานเฟิงกอดฟู่ฟู่แน่นแม้ร่างนั้นจะพยายามดันตัวออกจากเขาก็ตาม แรงกำปั้นที่ถูกเข้ามากลางหลังนั้นทำให้จุกอยู่ไม่น้อยก็ตาม



“ปล่อยข้า ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าตอนนี้ปล่อยนะ”  ฟู่ฟู่กระหน่ำกำปั้นทุบเข้าที่หลังแกร่งจนดังตุ้บๆ แต่แรงกอดรัดก็ไม่คลายลงสักนิด มีเพียงเสียงขอโทษที่กระซิบข้างหูดังมาเรื่อยๆ



“ปล่อยข้า ฮึก เจ้าบ้าหานเฟิง ฮึก ข้าเกลียดเจ้า ฮืออออ” สุดท้ายก็มิอาจฝืนน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ได้จนต้องร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจ เสียใจ และความกลัวที่คิดว่าคนตรงหน้าจะหายไปมันผสมปนเปจนต้องร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น ฟู่ฟู่ซบหน้าร้องไห้กับอกแกร่งมือที่เคยส่งแรงทุบตอนนี้ได้แต่กอดคนตรงหน้าไว้แน่น หานเฟิงใช้มือหนึ่งกอดเอวบางไว้อีกมือยกขึ้นมาลูบหัวปลอบประโลมหายคลายความเศร้า



“ข้าขอโทษต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว” หานเฟิงกระซิบเบาๆให้ฟู่ฟู่ได้ยิน



“ฮึก เจ้ามันคนนิสัยเสีย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าตกใจแค่ไหน” ฟู่ฟู่เงยหน้าจากอกแกร่งเผยให้เห็นตาบอบช้ำจากการร้องให้และน้ำตาที่ยังไหลอยู่  ความรู้สึกที่กลัวจะสูญเสียคนตรงหน้าไปทำให้ฟู่ฟู่กลัว กลัวเหลือเกินว่ามันจะต้องอยู่บนโลกใบนี้เพียงลำพังอีกครั้ง



“ข้ารู้แล้ว ข้าขอโทษเจ้าจะตีจะต่อยข้าอีกก็ได้ถ้าทำให้เจ้าหายโกรธข้า หยุดร้องเสียเถิดไม่อย่างนั้นตาเจ้าจะช้ำไปมากกว่านี้” มือหนาเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้านวล หานเฟิงรู้สึกว่าไม่ชอบให้คนตรงหน้าร้องไห้เสียแล้ว

ฟู่ฟู่ไม่พูดอะไรอีกเพียงกลับไปซบที่อกหานเฟิงเหมือนเดิม หานเฟิงจึงพาร่างบางไปนั่งที่ก้อนหินที่เคยนั่งตอนแรก จัดท่าให้ร่างบางนั่งบนตักหันหลังให้ตนเอง



ทั้งสองอยู่ในความเงียบ จนหานเฟิงต้องทำลายความเงียบนั้น

“ข้านวดให้” ฟู่ฟู่เริ่มผ่อนคลายเมื่อหานเฟิงนวดที่ไหล่ กล้ามเนื้อที่เคยตึงก็คลายลงจนเผลอตัวพิงคนด้านหลัง



“เจ้าทำแบบนั้นทำไม” ฟู่ฟู่เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ ขณะนี้หานเฟิงกำลังบีบมือของเขาอยู่ ฟู่ฟู่หลับตาพิงไหล่ของหานเฟิงอย่างสบายน้ำที่เคยเย็นตอนแรกกลับอุ่นพอดีอาจจะเป็นฝีมือของหานเฟิงที่ทำให้น้ำรอบๆตัวอุ่นขึ้น



“ข้าอยากจะแกล้งเจ้า เพียง...แค่นั้น ก็เจ้าทำเป็นกลัวข้าเข้าใกล้ทั้งๆที่เราก็เคยใกล้ชิดกันแบบอย่างตอนนี้ไงเล่า” หานเฟิงอธิบายด้วยความระมัดระวัง



“ปล่อยข้าก่อน ข้าไม่ได้ไปไหนหรอกน่าเพียงจะหันไปแค่นั้น” ฟู่ฟู่จะหันหลังไปคุยกันซึ่งๆหน้าแต่ถูกหานเฟิงกอดรัดแน่นด้วยคิดว่าโดนโกรธจนอยากจะหนีไปอีกรอบ เมื่อหันมาได้กลายเป็นว่าตอนนี้ฟู่ฟู่กำลังคร่อมบนตักของหานเฟิงอยู่ซึ่งเป็นท่าอันตรายนักแต่ฟู่ฟู่ไม่สนใจ



“คราวหน้าถ้ามีอีกข้าจะโกรธเจ้าและจะหนีไปจากเจ้าแน่จำไว้” ฟู่ฟู่ชี้นิ้วพลางทำหน้าที่คิดว่าน่ากลัวใส่หานเฟิงแต่มันเหมือนกับลูกแมวน้อยขู่ฟ่อๆเสียอย่างนั้น



“ไม่ทำแล้วข้าสัญญา” หานเฟิงตอบรับด้วยเสียงที่พยายามฝืนพูดออกมา อึกก็เจ้านกตัวป่วนขยับช่วงล่างแสนนุ่มนิ่มไปมาเขาไม่ใช่ใต้ซือมาจากไหนก็ต้องมีอารมณ์กันบ้าง



“เจ้าเป็นอะไรรึ” ฟู่ฟู่เอื้อมมือไปแตะหน้าผากเมื่อคิดว่าหานเฟิงป่วยโดยเผลอตัวเอาอกบางไปแนบกับอกแกร่งพร้อมขยับถูไถไปมา

“ซีดดด นี่ก็แช่น้ำนานแล้วขึ้นกันเถอะเดี๋ยวเจ้าไม่สบาย” หานเฟิงพยายามกลั้นความต้องการที่กำลังประทุ ส่วนนั้นเริ่มตึงขึ้นจนไปกระทบกับก้นนุ่มนิ่มจนฟู่ฟู่รู้สึกตัว



“หึหึ เจ้าคนลามกข้ารึอุตส่าห์นึกว่าเจ้าไม่สบาย” ฟู่ฟู่เมื่อรู้ว่าหานเฟิงกำลังรู้สึกอะไรจึงขยับช่วงล่างเบียดส่วนแข็งตึงนั้นไปมา



“ซีดด แกล้งข้าแบบนี้อยากลองดีรึไง อืมมม” ฟู่ฟู่ขยับช่วงล่างไวขึ้นจนส่วนนั้นเบียดกับร่องรักนุ่มนิ่มจนหานเฟิงรู้สึกอยากจับตัวตนของเขาเข้าไปทักทายช่องทางรักของร่างบางว่าจะอบอุ่นแค่ไหน



“คิกคิก ข้าไปล่ะแช่น้ำนานจะไม่สบาย” ขณะที่หานเฟิงกำลังเพลิดเพลินกับคนบนตักจนเผลอผ่อนแรงรัด ฟู่ฟู่ก็เด้งตัวออกจากตักพร้อมขึ้นฝั่งใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะถ้าแกล้งเจ้าหานเฟิงนานกว่านี้จะรู้สึกร่วมไปด้วยจนกู่ไม่กลับน่ะสิ เขาอยากให้มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองมากกว่านี้ก่อนที่จะทำเรื่องอะไรพวกนี้ แค่ที่ทำนี้ก็บ้าแล้วที่อยากลงโทษคนขี้แกล้งให้สำนึกบ้าง เพราะเรื่องอะไรก็ไม่สามารถทำให้หานเฟิงลำบากได้เว้นแต่เรื่องนี้ที่ทำให้เจ้านั่นค้างคา คิกคิก ทรมานไปเสียเถอะเจ้าบ้า



ฟู่ฟู่วิ่งไปไกลเสียแล้วดันปล่อยให้หานเฟิงอยู่กับอารมณ์ที่ค้างคาอีกครั้ง



“ฮึ่ม อีกแล้วนะเจ้านกตัวแสบไว้ถึงทีข้าเมื่อไหร่จะทบต้นทบดอกเสียให้เข็ด” หานเฟิงได้แต่จัดการตัวเองอย่างลำพัง






การเดินทางที่แสนยาวนานได้จบลงเมื่อเกวียนของฟู่ฟู่เดินทางผ่านเข้าประตูหมู่บ้านวิหคสุวรรณแล้ว



เกวียนถูกจอดลงที่ประตูหน้าบ้านขนาดใหญ่

ฟู่ฟู่ก้าวลงจากเกวียนมองดูรอบๆตัวบ้านที่ห่างไกลชุมชนแต่ยังมีบ้านประปรายไม่กี่หลังระแวกนี้



“ไปข้างในกัน พวกเจ้าขนของเข้าไปเก็บให้เรียบร้อยซะ”หานเฟิงเดินนำฟู่ฟู่เข้าไปภายในตัวบ้านที่กว้างขวาง มีสวนสวยงามร่มรื่นและศาลาริมน้ำ



“บ้านใครน่ะหานเฟิง บ้านของเจ้ารึ” ฟู่ฟู่เดินเกาะแขนของหานเฟิงแน่นถึงบ้านนี้จะสวยแค่ไหนก็ดูวังเวงอยู่ดี คนอยู่หรือผีอยู่กันเนี่ยเงียบมาก



หลวนผิงมองฟู่ฟู่ด้วยความเอ็นดู ส่วนตัวหลวนผิงเองกลับมองว่าบ้านนี้น่าอยู่มากกว่าน่ากลัว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาขนาดนี้เขาไม่กลัวผีแล้วล่ะ





“เป็นอย่างไรบ้างสหาย ไม่เจอกันมาหลายปีหึหึ”



--------------------------------------------

มาแล้ววววว

ลืมกันหรือยังขออภัยด้วยคนเขียนเปิดเทอมแล้วการบ้านสาดใส่มาเหมือนเล่นน้ำสงกรานต์ ฮือออออ



ตั้งใจเขียนจบแน่นอนไม่ดอง แต่ไม่รู้จะจบตอนไหน5555555








ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่13 [5/7/61]
«ตอบ #44 เมื่อ05-07-2018 18:52:58 »

 :pig4:

ออฟไลน์ kete

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่14 [8/7/61]
«ตอบ #45 เมื่อ08-07-2018 18:44:08 »

ตอนที่ 14




“บ้านใครน่ะหานเฟิง บ้านของเจ้ารึ” ฟู่ฟู่เดินเกาะแขนของหานเฟิงแน่นถึงบ้านนี้จะสวยแค่ไหนก็ดูวังเวงอยู่ดี คนอยู่หรือผีอยู่กันเนี่ยเงียบมาก




หลวนผิงมองฟู่ฟู่ด้วยความเอ็นดู ส่วนตัวหลวนผิงเองกลับมองว่าบ้านนี้น่าอยู่มากกว่าน่ากลัว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาขนาดนี้เขาไม่กลัวผีแล้วล่ะ




“เป็นอย่างไรบ้างสหาย ไม่เจอกันมาหลายปีหึหึ”

ชายหนุ่มรูปร่างใหญ่โตแต่ไม่ดูน่าเกียจแถมยังมีใบหน้าหล่อเหลาคล้ายเทพเซียนลงมาเที่ยวชมโลกมนุษย์ก็มิปาน รับกับเสื้อผ้าสีขาวยิ่งเสริมความสง่าให้ยิ่งขึ้น




ฟู่ฟู่เผลอจิกเล็บเข้าที่แขนของหานเฟิงด้วยความตกใจที่ชายตรงหน้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียง

‘อ้าก นึกว่าผีหลอกฟุ้วเกือบร้องลั่นบ้านให้อับอายเสียแล้ว’




“ก็ดี ไม่เจ็บไม่ไข้” หานเฟิงตอบกลับด้วยเสียงเนิบนาบไม่คล้ายคนที่ไม่ได้เจอสหายมาหลายปี



“หึหึหึ เจ้านี่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะหานเฟิง อ๊ะเจ้าพาสหายมาด้วยรึ เชิญเข้าบ้านข้าก่อน เชิญๆ” เจ้าของบ้านเชื้อเชิญให้แขกเข้าไปห้องรับรอง เมื่อเข้ามานั่งด้านในห้องแล้วก็มีสาวใช้ยกน้ำชาและขนมมาให้



“ข้าชื่อว่าเหอเหวินซาน เป็นสหายของหานเฟิงยินดีที่ได้พบ” ชายเจ้าของบ้านแนะนำตัวเองและกล่าวทักทายฟู่ฟู่




“ยินดีที่ได้พบเช่นกันข้าชื่อว่า ฟู่หรงขอรับ” ฟู่ฟู่กล่าวแนะนำตนเองด้วยชื่อที่คนทั่วไปใช้เรียกตน



เหวินซานใช้สายตาประเมินชายที่นั่งข้างสหายตนทั้งที่ใบหน้านั้นส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้แท้ๆ  เมื่อสำรวจทั่วแล้วสัมผัสได้ว่าเป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีพลังปราณใดๆจึงเกิดความสงสัย




‘เจ้าหานเฟิงไปคบคนธรรมดาทั่วไปได้ด้วยรึ นึกว่าชาตินี้จะไม่มีใครคบเจ้านั่นเป็นสหายนอกจากข้าแล้ว หึหึ’




“เดินทางมาเหนื่อยๆ เชิญพักผ่อนดีกว่าข้าจะให้เด็กไปเตรียมห้องให้อีกห้องแล้วกัน ต้องขออภัยที่คิดว่าหานเฟิงจะมาคนเดียว” เหวินซานเอ่ยขอโทษด้วยคิดว่าสหายของตนคงจะมาพร้อมลูกน้อง จึงสั่งให้เด็กจัดเตรียมห้องเพียงหนึ่งห้องส่วนผู้ติดตามได้จัดให้อยู่ที่เรือนนอนแขกอีกหลังแล้วโดยให้พ่อบ้านพาไปแล้วก่อนหน้านี้




“ไม่ต้องไปจัดหรอก ฟู่หรงนอนกับข้าได้”



 เหวินซานได้ยินเช่นนั้นถึงกับหันมามองสหายของตนทันที

‘นี่สนิทกันถึงขั้นนอนห้องเดียวกันได้เลยรึ’




“นำทางไปสิ ข้าจะพาฟู่ฟู่ไปนอนพักก่อนตอนเย็นเจ้าก็มาปลุกข้ากินข้าวด้วยแล้วกัน”

ฟู่ฟู่ถึงกับต้องจิกเล็บเข้าที่ขาของหานเฟิง พลางกระซิบว่าอย่าเสียมารยาทไปกว่านี้เลย ใช้ได้ที่ไหนสั่งเจ้าของบ้านให้มาปลุกไปกินข้าวเนี่ย หานเฟิงก็ตอบกลับเสียงเบาๆว่า สหายตนไม่ถือสาหรอก เพราะตัวเขาก็เป็นเช่นนี้มานานแล้วไม่มีหรอกความเกรงใจ



เหวินซานมองทั้งสองคนกระซิบกระซาบกันด้วยความบันเทิงใจ ก่อนที่ทั้งสองคนจะสร้างโลกส่วนตัวไปมากกว่านี้เขาจึงขัดจังหวะนำทางไปห้องพัก



“นี่ห้องเจ้าต้องการสิ่งใดเพิ่มสั่งสาวใช้หน้าห้องได้”



หานเฟิงรับคำดันตัวฟู่ฟู่เข้าห้องนอน เหวินซานแยกตัวไปแล้วหานเฟิงจึงปิดประตูลงกลอนด้วยต้องการความเป็นส่วนตัว

 


“พอเห็นเตียงนอนข้าก็ง่วงทันทีเลย ของีบสักหน่อยนะหานเฟิง” ด้วยการเดินทางที่ยาวนานการได้เจอเตียงนอนอุ่นๆก็อยากทิ้งตัวลงนอนสักงีบ




“อืม ข้าก็จะนอนด้วยขึ้นไปสิ” ฟู่ฟู่ขึ้นเตียงนอนแล้วถูกหานเฟิงดันเข้าไปด้านในที่ชิดกำแพงส่วนตัวของหานเฟิงนั้นนอนกั้นทางลงไว้ ร่างสูงหันไปทางร่างบางที่นอนหันหลังให้อยู่ จึงเอื้อมมือซ้ายไปรั้งเอวบางเข้ามาชิดตน จมูกโด่งคลอเคลียท้ายทอยสูดกลิ่นหอมหวานที่เหมือนเป็นกลิ่นประจำกาย




“อื้อ อย่ากวนข้านะ นอนนิ่งๆไปเลย” เสียงทักท้วงว่าอย่ารบกวนคนนอนทำให้หานเฟิงยอมกลับมานอนนิ่งๆตามเดิม




“หึหึหึ ไม่กวนแล้วนอนกันเถอะ”




ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาจากด้านหลังทำให้ฟู่ฟู่จมสู่ห้วงนิทราด้วยความสุขอย่างง่ายดาย




ฟู่ฟู่เห็นตัวเองอยู่ในที่ๆหนึ่ง ที่นี่เป็นสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวอีกแล้ว เขาหันซ้ายหันขวาก็ไม่เจอใครสักคน




“มีใครอยู่หรือไม่ ที่นี่ที่ไหน มีใครอยู่บ้าง”




“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง” เสียงนั้นปรากฎมาพร้อมกับร่างคนที่ถูกเมฆหมอกบดบังจึงเห็นเพียงเงาลางๆ แต่ฟู่ฟู่รู้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของผู้ชาย




“เจ้าเป็นใคร แล้วที่นี่ที่ไหน”



“ที่นี่คือบ้านของข้า เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วรึ”




“ข้าไม่รู้จักเจ้าและข้าก็จำอะไรไม่ได้แล้วด้วย” ฟู่ฟู่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสถานที่นี้และคนตรงหน้าเลยแม้สักนิดก็ไม่มี




“อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้ ข้าละอายนักที่ทำให้เจ้าลำบากเช่นนี้ แต่สวรรค์ก็รับฟังคำขอของข้า แล้วเราจะได้พบกัน เรื่องราวเหล่านี้จะได้จบลงสักที”



“อะไรของเจ้า พูดเองเข้าใจเองช่วยพูดให้ข้าเข้าใจด้วยสิ”




“คิกคิกคิก เจ้ายังชอบโวยวายไม่เปลี่ยนเลยนะ สหายของข้า”


 

“อ้าวหายไปแล้ว คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปชิ”







ภาพตัดไปที่ศาลากลางน้ำที่เงียบสงบฟู่ฟู่เดินไปสำรวจรอบๆมันไม่มีทางเชื่อมต่อกับริมฝั่งของสระเลย สระน้ำที่ควรเป็นน้ำกลับกลายเป็นก้อนเมฆปกคลุมหนาจนไม่เห็นว่าด้านล่างเป็นอะไร เผลอๆเดินลงไปอาจร่วงคอหักตายก็เป็นได้




“แล้วเราต้องติดอยู่ที่นี่รึไม่ได้นะ ใครเป็นคนออกแบบศาลานี้กันช่างเป็นคนแปลกประหลาดนัก นี่ถ้าข้าอยู่ในร่างนกก็ดีสิจะได้บินไปจากที่นี่”



ฟู่ฟู่ลองใช้เท้าเหยียบก้อนเมฆแต่สิ่งน่าประหลาดใจก็เกิดขึ้น เมื่อใช้เท้าเหยียบไปแล้วกลับเดินบนก้อนเมฆได้ แถมยังนุ่มมากฟู่ฟู่วิ่งเล่นไปมาบนสระน้ำก้อนเมฆอย่างสนุกสนาน ลองล้มตัวลงนอนก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มเขาจึงตัดสินใจนอนหลับสักพักเพื่อซึมซับความสบายนี้




ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วฟู่ฟู่ยังไม่ตื่นจากนิทรา สงสัยคงฝันดีมากๆถึงนอนยิ้มแบบนี้ แต่จำเป็นต้องปลุกแล้วหากทานอาหารไม่ตรงเวลาจะไม่เป็นผลดี




จุ๊บ หานเฟิงก้มลงจุ๊บที่หน้าผากมนเป็นการปลุกที่ชวนวาบหวามนัก




จุ๊บ จุ๊บจุ๊บจุ๊บจุ๊บจุ๊บ เสียงจุ๊บดังรัวๆเมื่อหานเฟิงระดมจูบตั้งแต่เปลือกตาสองข้างไล่ลงมาที่ปลายจมูกรั้น แก้มนุ่มทั้งสองข้างจบท้ายด้วยริมฝีปากหวานฉ่ำ




“ตื่นได้แล้ว” จบท้ายด้วยเสียงปลุกอันอ่อนโยน




“อื้อออ หลับสบายอยู่เลย”ฟู่ฟู่บิดขี้เกียจไปมา




“ลุกไปกินข้าวกันแล้วค่อยมานอนต่อ” เมื่อไม่อยากเสียมารยาทกับเจ้าของบ้านฟู่ฟู่รีบตื่นมาแต่งตัวหวีผม มากินข้าวกับเหวินซานที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว อาหารที่นี่ก็อร่อยไม่แพ้แคว้นเยว่เลย เมื่อกินอิ่มแล้วหานเฟิงจึงพาฟู่ฟู่เดินชมสวนเนื่องจากพึ่งตื่นจึงยังไม่ง่วง



“ลมเย็นแล้วไปห้องนอนกันเถิดเจ้าจะไม่สบายเอา”




“แต่ข้ายังไม่อยากหลับนี่”




“เดี๋ยวข้าเล่านิทานกล่อมนอนเอง”




“เอ๊ะเจ้าหานเฟิง ข้าไม่ใช่เด็กนะถึงจะฟังนิทานแล้วนอนหลับฝันดี” ฟู่ฟู่ส่งค้อนวงใหญ่ให้หานเฟิง



“หึหึหึ เถอะน่าไปนอนดีกว่า” ว่าจบก็ลากฟู่ฟู่เข้านอน ด้วยความกินง่ายหลับง่ายอยู่แล้วแค่หานเฟิงลูบหัวกล่อมนอนไม่ถึงครึ่งชั่วยามฟู่ฟู่ที่บอกว่าไม่ง่วงก็หลับลึกไปแล้ว



“หลับเสียที เดี๋ยวข้ามานอนด้วย” หานเฟิงก้าวลงจากเตียงอย่างแผ่วเบา เดินลัดเลาะเข้ามาภายในห้องทำงานของเหวินซานอย่างเงียบๆ



“มาแล้วรึมัวแต่ทำอะไรอยู่” เหวินซานใช้สายตาจับผิดหานเฟิงแต่ได้เพียงใบหน้านิ่งๆไม่แสดงพิรุธใดๆ




“เข้าเรื่องได้แล้ว เรียกข้ามาถึงแคว้นอวิ้นคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาใช่หรือไม่”



“เป็นเช่นนั้น เรื่องใหญ่มาก มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ข้าอยากได้แรงเจ้ามาช่วยอะไรๆจะได้ง่ายขึ้น ข้าคิดว่าอย่างนั้นน่ะนะ”




“เจ้าคงได้ยินข่าวลือเรื่องหยกจันทรามาแล้ว เจ้าอาจคิดว่ามันไม่จริง แต่ข้ายืนยันได้ว่าหยกจันทรามีจริง และข้าจะให้เจ้าช่วยหาหยกจันทรานี้”




“หือ ให้ข้าหารึ ได้ข่าวว่ามีคนมากมายไปหาแต่ไม่พบแล้วข้าจะเจอได้อย่างไร แล้วเจ้าจะหาหยกจันทราไปทำไมหรือเจ้าก็อยากได้พลังของหยกจันทราอย่างนั้นรึ”

 


“ไปกันใหญ่แล้ว จะบอกอะไรให้นี่เป็นความลับสุดยอดของพรรควิหคสวรรค์ของข้าเลยนะ มีเพียงหัวหน้าพรรคและอาจารย์ของข้าเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ หลังจากข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคได้ห้าปี ข้าก็ได้รับรู้ความลับที่ถูกถ่ายถอดกันมาของหัวหน้าพรรคว่า พรรควิหคสวรรค์ดำรงอยู่เพื่อคอยปกป้องหยกจันทราที่กักขังพลังของมังกรดำไม่ให้ตกไปอยู่ในมือใคร หยกจันทราจะคอยกดและสลายพลังของมังกรดำไว้ เราแค่มีหน้าที่อย่าให้ใครไปขัดขวางพลังของหยกจันทรา แต่มังกรดำไม่หยุดแค่นั้นมันคอยดูดพลังปราณของผู้คนที่ไปหุบเขาพันปีน่ะสิ ยิ่งช่วงนี้คนแห่ไปกันล้นหลาม มังกรดำยิ่งได้พลังเยอะขึ้นมาเท่านั้นสักวันอาจจะหลุดออกจากหยกจันทราได้”




“เมื่อก่อนเรายังห้ามคนเข้าไปในหุบเขาพันปีได้ แต่ตอนนี้ทางการเปิดให้ทุกคนสามารถเข้าไปได้ไม่หวงห้ามพวกข้าจะเตือนก็ไม่ไหว ยิ่งมีพวกปราณระดับสูงมากเท่าไรยิ่งดีกับมังกรดำเท่านั้น และข้าคิดว่าหากมีการเจอหยกจันทราจริงๆทหารที่เฝ้าอยู่ตามทางเข้าคงคอยดักจับและส่งให้ทางการแน่นอน”



“แล้วข้าจะหาหยกจันทราเจอได้อย่างไร”




“เจ้าจำตอนที่พวกเราหลงทางกันในป่าห้วงมิติหรือไม่ไอปีศาจที่เจ้าสัมผัสได้นั้นคือไอปีศาจของมังกรดำที่ลักลอบหนีออกมา แสดงว่าเจ้าสามารถหาที่อยู่ของหยกจันทราในหุบเขาพันปีที่กว้างใหญ่นี้ได้แน่ เมื่อเจอแล้วข้าจะนำไปซ่อนไว้ที่อื่นที่ๆไม่มีใครไปพบเจออีก”



“ไม่อยากจะเชื่อ”



“หึหึหึข้าก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกับเจ้า แต่มีหลักฐานเป็นหนังสือบันทึกเหตุการณ์ไว้มันถูกเก็บรักษาอย่างดีจึงไม่ถูกไฟเผาไหม้จากสงครามแย่งชิงหยกจันทรา”



เมื่อหยกจันทรามีจริง สัตว์อสูรก็ต้องมีจริงหานเฟิงจึงนึกไปถึงฟู่ฟู่ บางทีเหวินซานอาจจะรู้อะไรบ้าง




“ข้าสงสัยมานานทำไมหมู่บ้านของเจ้าถึงชื่อว่าวิหคสุวรรณรึ”




“หืม ชื่อหมู่บ้านข้ารึไม่มีใครรู้หรอก คงตั้งเพื่อบูชาเพราะวิหคสุวรรณเป็นสัตว์เทพคอยดูแลปกปักรักษาโลกมนุษย์ถ้าเจ้าอยากรู้มากกว่านั้นลองไปถามอาจารย์ข้าสิ แต่ข้าถามไม่เคยตอบข้าสักที”




“อืม แล้วเจ้าจะเริ่มหาหยกจันทราเมื่อใด"




“อีกสองวัน ให้เจ้าได้ฟื้นฟูร่างกายก่อนเราถึงจะไป”








หลวนผิงออกมาเดินเล่นในสวนเนื่องจากนอนไม่หลับ และเขาชอบสวนนี้ด้วยเช่นกันจะให้มาเดินเล่นตอนกลางวันก็ไม่เหมาะเพราะตนเองเป็นแค่บ่าวต้องคอยทำงานจึงถือโอกาสมาแอบเดินเล่นตอนกลางคืนเช่นนี้




เขาเดินไปทีลำธารเล็กๆมีก้อนหินวางเรียงแถวเหมือนเป็นสะพานข้ามไปอีกฝั่ง เขาเดินไปบนก้อนหินทีละก้าวพยายามทรงตัวไม่ให้ลื่นไหล ยามนั้นมีฝูงหิ่งห้อยบินมาวนรอบๆตัวของหลวนผิง เหมือนเป็นแสงนำทางดวงน้อยๆ



“ว่าไงเจ้าหิ่งห้อยไม่ได้เจอเจ้านานเลยตั้งแต่ไปแคว้นเจ้า” ตอนเป็นเด็กหลวนผิงเห็นฝูงหิ่งห้อยมากมายแต่เมื่อหนีตายไปแคว้นเจ้าเขาไม่เคยได้เห็นอีกเลยเนื่องจากแคว้นเจ้าไม่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์




“แม้จะมีแสงคบเพลิงแต่ไม่ควรเดินเล่นบนก้อนหินเช่นนี้เจ้าอาจลื่นหัวกระแทกได้”



“เฮ้ย” หลวนผิงตกใจเสียงที่จู่ๆก็ดังขึ้นมาจนเผลอตัวหันไปมองแต่ทำให้เสียการทรงตัวหงายหลังล่วงลงน้ำ




ซ่า หลวนผิงตกน้ำตัวเปียกปอนตามคาด




“ข้าบอกแล้วเห็นหรือไม่ ไม่ทันขาดคำ”




“แคกๆ ก็เจ้า! ข้า ข้าขอตัว” หลวนผิงลุกยืนขึ้นสายน้ำไหลตามเสื้อผ้าที่เปียกปอน หันไปชี้หน้าจะต่อว่าชายผู้นั้นที่ทำเขาเสียสมาธิ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นสหายของนายท่านจึงจอตัวกลับห้องดีกว่า เป็นผู้น้อยไม่อาจกล่าวต่อว่าเจ้านายได้




“เจ้าโกรธข้ารึ ข้าไม่ได้ตั้งใจทำเจ้าเสียสมาธิจนตกน้ำนะ ข้าแค่เตือนเท่านั้น" เหวินซานใช้วิชาตัวเบาข้ามฝั่งมาหยุดตรงหน้าหลวนผิงเพื่อกล่าวขอโทษ คนเปียกก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตา




“ไม่ใช่ความผิดท่านข้าประมาทเอง ข้าเพียงจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าขอตัว” หลวนผิงก้มหน้าลาเหวินซานและรีบวิ่งกลับห้องนอนทันที



“ไปเสียแล้ว ตกลงโกรธหรือไม่โกรธข้าเนี่ย”



----------------------------------------------

เย่ๆ มาแล้ว กว่าจะมีฟิวลิ่งปั่นนิยายได้ แบบอารมณ์ไม่มางานไม่ค่อยจะเดิน5555








ออฟไลน์ johnkongcha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ๏ วิหคสุวรรณ ๏ ตอนที่14 [8/7/61]
«ตอบ #46 เมื่อ09-09-2018 02:45:47 »

 :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call:
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด