มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทยี่สิบเอ็ด (จบ) [20.2.20] P.3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: มิอาจก้าวล่วง ‧:❉:‧ บทยี่สิบเอ็ด (จบ) [20.2.20] P.3  (อ่าน 18405 ครั้ง)

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2

   เขาชักอยากจะทดสอบว่าในห้วงอวกาศจะเงียบได้มากหรือน้อยกว่านี้

   หากมันอยู่ในภาพยนตร์หรือว่าการ์ตูนสักเรื่อง ทางเดินที่ปิดไฟจนหมดทุกดวงคงสร้างบรรยากาศน่าสะพรึงกลัวที่พร้อมบีบรัด ในทางกลับกันเดือนตุลาผู้ปิดห้องทำงานกลางของตุลาการนักศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้วกลับสงบนิ่งเสียจนกลัวใจตัวเอง

   ทุกย่างก้าวเชื่องช้าไม่มีความเร่งรีบ เพราะว่าปลายทางของมันไม่ใช่บันไดทางลงแต่เป็นห้องประชุมย่อยหนึ่งในสองที่ยังใช้งานได้อยู่ แสงไฟจากสปอต์ไลท์ด้านนอกสาดส่องเข้ามาพอให้เห็นเงาร่างชัดว่ามันมีใครนั่งพิงขอบหน้าต่างรออยู่ก่อนแล้ว

   ยังอยู่ตรงนั้น

   ไม่เคยไปไหนเลย

   จับกลอนประตูเอาไว้ให้มั่น สูดหายใจเข้าไปจนลึกสุดปอดตามความเชื่อว่ามันจะช่วยให้มีความมั่นใจมากขึ้น

   ยังคงเลือกที่จะหมุนลูกบิดแม้มือจะสั่น ความกลัวที่แล่นขึ้นมาถูกกลบลงไปเมื่อมันมีความต้องการที่จะพบหน้าเสียมากกว่า

   อยากจะเป็นพวกเล่นตัวบ้างก็เลยไม่ยอมปริปากก่อน เขาเดินไปนั่งบนโต๊ะทรงเหลี่ยมขนาดแปดคนนั่งที่ตั้งเอาไว้ตรงกลางห้องเงียบเชียบ คิดว่าก็รอมาแล้วตั้งนานจะรอมากกว่านี้อีกสักชั่วโมงจะเป็นอะไรไป

   มันควรจะเต็มไปด้วยความกลัว หวาดระแวง และพรั่นพรึง ส่วนที่เขาจับสัมผัสได้ตอนนี้คือความสบายใจที่ไม่ต้องปกปิดบางอย่างเอาไว้อีกแล้ว

   “ทำไมพูดกับต้นหลิวอย่างนั้น?”

   เป็นชัยชนะครั้งแรกที่แสนจะภาคภูมิใจ จงใจเว้นจังหวะอีกพักใหญ่จึงให้คำตอบ

   “ก็แค่อยากบอกครับ”

   และเขาบอกเลยว่านั่นไม่ใช่การยียวนแต่อย่างใด มันคือสิ่งที่เขาคิดจริงในวินาทีนั้น

   เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าประตูห้องไม่ได้ปิดหลังจากที่พี่ธรรมออกไป แล้วคนที่เข้าใจดีว่าเราสองคนมีความหลังในแบบไหนมาคงไม่ปล่อยให้อยู่กันตามลำพัง ขอเถอะ คิดว่าคลุกคลีกันมานานขนาดนั้นก็ต้องรู้จักนิสัยกันบ้างแหละ

   “ทั้งที่มันเป็นเรื่องจริง?”

   ตอกย้ำความไม่พอใจด้วยการจุดแท่งยาสูบในมือ แสงสีส้มหม่นริบหรี่ที่ปรากฏขึ้นภายหลังจากการจ่อเข้ากับเปลวไฟไม่ต่างอะไรกับห้วงอารมณ์ขุ่นมัว

   กลิ่นของยาเส้นในวันนี้ไม่เหมือนกับกลิ่นที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำไม่มีคลายตัวลง

   มันเป็นการรับผิดที่แสนน่าหงุดหงิดกับนิสัยการยอมรับความจริงได้โดยไม่มีการบ่ายเบี่ยงอย่างที่ระบบความคิดของมนุษย์ควรทำ เขาตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำอีกตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้คนหนึ่งคนกล้าเผชิญหน้ากับความผิดได้โดยไม่มีความหวาดกลัว
   
   “ใช่ครับ”

   “อย่าปกป้องกันในเรื่องที่ผิด” เดือนตุลาหน่ายเต็มทนกับคนที่แสนจะซื่อตรงกับเรื่องพวกนี้ “แค่ที่บอกให้ไปรายงานกับสภาแล้วไม่ทำพี่ก็รู้สึกแย่เกินพอ”

   “แล้วยังไงล่ะครับ ทำไมจะทำไม่ได้ครับ”

   “เพราะมันผิดไง”

   ชักจะหัวเสียตอนที่สัทธาเอาแต่ย้ำว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง มาถึงขั้นนี้แล้วยังไม่มีใครบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกหรือว่าควรไม่ใช่เหรอ มันอยู่ที่ว่าต่อให้มันจะผิดแค่ไหนเขาก็ไม่คิดจะปิดมันเอาไว้ต่างหาก

   “สั่งตั้งแต่คราวที่แล้วก็ไม่ทำ คราวนี้ช่วยทำให้มันถูกต้องทีได้ไหม?”

   “ไม่ครับ”

   ลบความเข้าใจว่าเดือนตุลาน่ะเป็นพวกหัวอ่อนของทุกคนไปได้เลย กับเรื่องนี้น่ะเขาจะไม่ยอมทำตามเด็ดขาด

   “เลิกดื้อสักที”

   “ทำไมครับ พี่จะบอกเหมือนเดิมเหรอว่าพี่เกือบจะทำร้ายผมน่ะ”

ทำเป็นปากกล้าทั้งที่ทั้งร่างชาวาบไม่ทราบสาเหตุ เดือนตุลาเม้มปากเอาไว้แน่พลางท่องบอกว่าอย่าเพิ่งให้อาการพวกนั้นมันกลับ   มาทำร้าย สั่งให้สมองเลิกย้อนภาพในวันนั้นกลับขึ้นมาแล้วอยู่กับปัจจุบันก่อน

   พอคู่กรณีไม่ยอมปริปากเขาถึงเสริมต่อ

   “ก็บอกแล้วไงครับว่ามันก็ผิดกันทั้งคู่นั่นแหละ”

   “นายไม่ผิด ทั้งหมดคือความผิดของพี่” เสียงทุ้มนั่นกับความมืดมิดของรัตติกาลไปด้วยกันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ “อะไรที่ไม่ยินยอมมันผิดทั้งนั้น เข้าใจไหม”
   
   เคยเรียนในห้องมาแล้วทั้งหมดนั่นแหละ ตั้งแต่องค์ประกอบของความผิด ยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ ปฏิกิริยาตอบรับที่ไม่สามารถดิ้นรนเพราะธรรมชาติของร่างกายที่ออกแบบให้ยอมจำนนในสถานการณ์ที่ไร้ทางชนะ หากทั้งหมดนั้นเขาก็ไม่เคยยอมรับความจริง

   “ผมก็ไม่ได้ไม่ยินยอมนะ”

   “เลิกหลอกตัวเอง”

   “...”

   “ขอร้องเลย พี่ผิดตั้งแต่ให้นายลองแล้ว”

   ‘จะลองไหมล่ะ ระวังสำลักนะ’

   สงสัยตั้งแต่ช่วงแรกว่าในห้องประชุมย่อยมันต้องมีบางอย่างซ่อนเอาไว้หรือเปล่า เดือนตุลามักจะเห็นผ่านตาอยู่เสมอว่าพี่ธรรมชอบเข้าสิงไปอยู่ข้างในเสมอในเวลาที่ไม่มีเวรเฝ้า บางครั้งก็จะนั่งพิงขอบกระจกสูบบุหรี่มองออกไปข้างนอก จนถึงวันที่ทุกอย่างเป็นใจให้เขาได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งนั่นแหละ

   ถ้าบอกว่ากฎหมายบางมาตราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างความสงบเรียบร้อยในสังคม แล้วการที่มนุษย์เราสามารถทำให้ทุกอย่างมันดำเนินต่อไปได้เป็นอย่างดีภายใต้กฎที่บอกว่าผิดจะเป็นเช่นไร พื้นที่สีเทาของกฎหมายเป็นเรื่องที่เอามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้เสมอ

   อย่างเช่นว่าสมาชิกตุลาการนักศึกษาที่กำลังใช้พืชผิดกฎหมายอยู่

   ด้วยสภาพของกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันแล้วเขาไม่ตกใจเลยสักนิดที่มันอยู่ในความครอบครองของรุ่นพี่ เห็นแต่ละหน่อแล้วบอกเลยว่าถ้าจะปลูกตรงระเบียงห้องพักก็ยังบอกว่าปกติอยู่

   เป็นวัยรุ่นที่อยากลองและยอมตกกับดักด้วยความเต็มใจ มันเป็นการผสมกันของความปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับและความต้องการโลกในอีกมุมหนึ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

   รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่แค่แท่งบุหรี่ที่ซื้อได้ทั่วไป กลิ่นยาเส้นละอวลอาย สารพิษเข้าสู่ร่างพาให้ล่องลอยจนยากจะควบคุมสติ เคลิบเคลิ้มเสียจนไม่กระดากอายที่จะพิงทั้งร่างเข้ากับคนที่นั่งอยู่ข้างกัน เสียงหัวเราะแผ่วที่ประสานกันยามนินทาเรื่องราวรอบตัวตั้งแต่อาจารย์ที่คณะไปจนถึงแม่บ้านประจำตึก

   เริ่มย้ายไปเรื่องการศึกษาแสนเฮงซวย โอกาสที่ไม่เท่าเทียมกันของนักเรียน ชีวิตที่ต้องอยู่ในโรงเรียนกวดวิชาจนไม่ได้มีโอกาสได้ออกไปใช้ชีวิต หรือว่าถึงจะออกไปก็ไม่ได้มีชีวิตให้ใช้เสียเท่าไหร่ ต่อจากนั้นก็ได้เวลาย้อนกลับมาคุยเรื่องของกฎหมายหลายฉบับที่มีปัญหาคาราคาซังตั้งแต่อุ้มบุญ ผู้ลี้ภัย หรือแม้กระทั่งเรื่องของพืชที่ถูกกำหนดให้ผิดกฎหมาย ทำไมบางประเทศถึงทำได้แล้วทำไมเราถึงล็อกสนิทปิดตายไม่ไปเอ่ยถึงมันอีก

   จนไปถึงเรื่องของความรักในวัยเรียนที่ดูเหมือนว่าจะไร้ประสบการณ์พอกัน พอจุดประเด็นติดมันก็ลามไปถึงเรื่องปรัชญาความรักที่เขาไม่เข้าใจเท่าไหร่ ประมาณว่าถ้ามันเป็นเรื่องที่ไม่มีความแน่นอนสักอย่างแล้วทำไมคนเราถึงยังก้าวเท้าข้ามไปล่ะ

   ‘แต่ผมเลือกจะเสี่ยงนะ’

   เขาช้อนตาขึ้นไปสบตากับรุ่นพี่คนนั้น สายตาที่ปรับเข้ากับความมืดได้เป็นอย่างดีแล้วเผยโครงสร้างที่ไม่ได้มีความหล่อเหลาน่าหลงใหลเหมือนอย่างสมัยนิยมแต่เขาก็ไม่สามารถละความสนใจไปได้เลย

   มนตร์สะกดอาจมีจริง

   ถึงใครจะบอกว่าการทำงานด้วยกันมันจะควรจะช่วยให้ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้น สำหรับเขาน่ะมันเป็นความใกล้แค่ในส่วนของทางกายภาพอย่างเดียว ในส่วนของความรู้สึกน่ะตั้งแต่รู้จักกันมามันไกลอย่างไรผ่านมาเกือบปีมันก็ไม่เคยชิดเลย เขายังคงเป็นคนที่เดือนตุลาเฝ้ามองจากที่แสนไกลไม่ต่างจากวันแรกพบ

   สติและสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์จนกล้าเคลื่อนไหวร่างกายทีละน้อย ระวังตัวในเขย่งตัวขึ้นไปให้ริมฝีปากอยู่ระดับเดียวกัน ลังเลอยู่นิดหน่อยยามที่มันสัมผัสชิดใกล้จนยากเกินกว่าจะย้อนกลับหลัง มันเป็นจูบที่เขาจำได้แค่ว่าหัวใจเต้นเร็วแรงจนน่าตกใจ และไม่น่าเชื่อว่าฤทธิ์ของมันจะทำให้เขาบ้าดีเดือดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

   จำได้ดีว่าเป็นคนเริ่มทั้งหมดในเวลาที่พี่ปีสองยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

   ‘พี่...’

   แต่ที่เขาไม่ได้เตรียมใจมาก่อน คือมันจะลุกลามจนกลายเป็นฝันร้ายในหลายครั้ง

   แรงที่กดลงมามหาศาลจนต่อให้เขาขัดขืนแค่ไหนมันก็แสนจะไร้ค่า ในใจตะโกนร้องไม่ไปภาษาหากสิ่งที่ออกมามีเพียงความว่างเปล่า กระทั่งในจังหวะหนึ่งเดือนตุลาก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้โดยสมบูรณ์

   บอกไม่ได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดอาจจะเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงห้านาที หรือว่ามันอาจจะกินเวลายาวนานกว่าครึ่งชั่วโมง เดือนตุลาเค้นความทรงจำในช่วงนั้นได้แค่ว่าเขาถูกทิ้งให้อยู่ในห้องตามลำพังในสภาพที่เสื้อผ้าไม่หลุดลุ่ย ไม่มีร่องรอยอื่นตามร่างกายเพราะว่าพี่เขาน่ะหยุดชะงักไปก่อน

   เรื่องราวทั้งหมดเขาไม่สามารถเรียบเรียงให้เป็นตามลำดับได้อย่างถูกต้องเท่าไหร่นัก รวมถึงบางรายละเอียดอาจจะมีข้อผิดพลาดไปบ้าง ตั้งสติได้อีกทีก็ต้องที่กลับมานั่งคุดคู้อยู่ในห้อง ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ากลับมาอย่างไร

   ภายหลังจากนั้นไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น มันเป็นความหวาดผวาเล็กน้อยหากยังคงทำใจดีสู้เสือเมื่อพี่คนนั้นเดินลงมาหา ร่างกายของเขายังคงปฏิเสธด้วยการหลบอยู่หลังบานประตูที่แง้มออกเพียงแค่เล็กน้อย

   ‘ไปบอกฝ่ายการ พี่จะยอมรับผิดทุกอย่าง’

   มันเป็นความสับสนยิ่งกว่าทุกเรื่องในชีวิตของเขารวมกัน ใจหนึ่งในฐานะของเด็กที่เพิ่งเข้าสู่โลกของความยุติธรรมในระดับลึกกว่าเดิมบอกว่ามันไม่ควรจะเป็นเรื่องที่ถูกซุกเอาไว้ใต้พรม หากอีกใจก็โต้แย้งว่าเรื่องอะไรจะยอมให้ปัญหาพวกนี้ขัดขวางการขึ้นสู่ตำแหน่งของพี่ที่เขาเชิดชูมาโดยตลอดล่ะ มันไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่าจะไม่ได้ทำงานต่อแต่อาจจะลามไปถึงว่าไม่สามารถเรียนต่อได้เลยด้วยซ้ำ

   จมดิ่งอยู่ในความคิดพวกนั้นลำพังไม่สามารถปรึกษาใครได้ทั้งนั้น ลังเลอยู่ไม่นานเพราะว่าสุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับว่ามันมีเพียงหนึ่งคำตอบตั้งแต่แรก

   มันเป็นความผิดที่ใจบอกเขาเสมอว่ามันถูกต้องแล้ว

   ทำเป็นเมินแล้วปล่อยผ่านมันไปราวกับว่าเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้นจริง เขายังคงใช้ชีวิตให้เป็นปกติมากที่สุดโดยที่ไม่ลืมเก็บเรื่องที่ย้ายคณะให้เป็นความลับที่สุด การลาออกจากคณะเดิมได้ทำเรื่องเอาไว้ก่อนแล้วเรียบร้อยเลยไม่มีอะไรมากไปกว่าการโอนบางหน่วยกิต แล้วก็รอเข้าไปเรียนในปีการศึกษาหน้าเท่านั้น

   พี่มัจดูไม่แปลกใจเท่าไหร่ตอนที่เห็นชื่อคณะในใบสมัครตุลาการนักศึกษาปีก่อน ราวกับว่าเป็นเรื่องที่เดาเอาไว้ไม่มีพลาดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ส่วนเรื่องที่ผิดคาดก็นั่นแหละ

   ไม่มีชื่อของสัทธาในใบสมัครสักใบ

   เป็นความเจ็บที่เขาไม่เคยสัมผัสว่ามันสามารถปวดร้าวได้เท่านั้น

   “พี่ก็ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้วนะ”

   “ด้วยการที่หนีหน้าผมอย่างนั้นเหรอครับ”

   “พี่ควรทำ”

   “ถ้าอย่างนั้นพี่จะกลับมาทำไมสัทธา” ตวัดใส่เสียงห้วน สุดท้ายแล้วมันก็วนกลับมาเรื่องนี้จนได้ “ขอได้ไหม อย่าทำให้ผมเข้าข้างตัวเองไปมากกว่านี้”

   เป็นการผสมกันของบรรยากาศ เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ และความหลังฝังใจที่เก็บเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว

   “นายก็คิดเองมาตั้งแต่แรกนะ”

   “...”

   “หยุดได้แล้วเดือนตุลา”

   ต่อให้รู้ว่ามันเป็นเพียงคำเอ่ยไร้ค่าที่อีกคนพร้อมจะปล่อยให้มันลอยไปในห้วงอากาศ เขาก็ยังคงยืนยันในความรู้สึกของตัวเอง ก็อย่างที่พี่มัจเคยบอกว่าคนเราควรจะซื่อตรงไง

   “ถ้านายรักพี่ นายจะทำตามที่พี่บอกตั้งแต่แรก”

   “...”

   “พี่เคยคิดมาตลอดว่าการย้อนเวลามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ คนเราไม่ควรจะได้รับโอกาสในการแก้ไข” เสียงที่ทุ้มต่ำลงกว่าปกติจนจับความแตกต่างได้ “แต่นายทำให้คิดอย่างนั้น...”

   “...”

   “ถ้าทำได้ พี่จะไม่ยอมให้นายรู้จักพี่เด็ดขาดเลย”


***
   ยังไม่ลงสักทีเพราะว่าตีกับตัวเองค่ะ กลัวไปเองสารพัดเลย ไม่รู้ว่าจะสื่อออกไปยังไงให้มันตรงกับที่คิดที่สุด ไม่กล้าคิดอะไรทั้งนั้นเลยค่ะ แต่ก็ยังรักพวกเขานะคะ
   #มิอาจก้าวล่วง

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
บทยี่สิบ


   เดือนตุลาไม่เคยเสียดายกับการตัดสินใจในทุกย่างก้าวของชีวิต

   ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เลือกเรียนต่อมัธยมต้นในโรงเรียนระดับปานกลางแทนที่จะเป็นโรงเรียนชื่อดังที่สอบเข้าได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือเตรียมตัว

   ตอนที่เลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีเป้าหมายในการเรียนที่ชัดเจนขนาดนั้น

   ตอนที่สอบคณะทันตแพทยศาสตร์ด้วยความคิดที่ว่าไม่มีคณะอะไรที่อยากเรียนเป็นพิเศษก็เลือกอะไรที่มันดูไม่เสียแรงเปล่าที่เรียนสายนี้มาแล้ว

   ตอนที่บอกกับพ่อแม่ว่าจะลาออกจากคณะแล้วย้ายไปเรียนนิติศาสตร์แทน

   ไม่เคยเลยสักครั้ง

   ตอนแรกก็มองผิวเผินแค่ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กหลายคนคงต้องเจอ พอโตขึ้นมาอีกหน่อยก็พบว่ามันมีมิติที่ลึกลงไปกว่านั้นอีกไม่น้อยที่ตัวเขาเองยังโชคดีกว่าใครหลายคนที่มีโอกาสได้เลือกในสิ่งที่ตนเองมีสิทธิตัดสินใจเองโดยไม่ต้องคิดเรื่องเงื่อนไขอื่น

   เดือนตุลาไม่เคยมีต้นแบบในการใช้ชีวิต ประเภทที่ว่ามีใครบางคนเป็นไอดอลหรือว่าแรงบันดาลใจบอกเลยว่าเข้าไม่ถึง เขาน่ะเป็นพวกที่ยืนหยัดด้วยตัวเองมาโดยเสมอจนหลายครั้งก็มองว่าทำไมคนเราถึงเอาตัวตนของเราไปผูกเอาไว้กับคนอื่นล่ะ

   จนได้เจอกับรุ่นพี่เหล่านั้น

   ไม่เคยสนใจเรื่องการเมือง ไม่เคยสนใจว่ากฎหมายมันเป็นอย่างไร แต่ช่วงเวลาที่ได้ศึกษาและเรียนรู้ภายใต้ชื่อตุลาการนักศึกษามันเปลี่ยนความคิดในเรื่องนี้ของเขาไปตลอดกาล เพราะรุ่นพี่สามคนมันเลยทำให้เขาอยากจะลองศึกษาลงไปให้ลึกจนกว่าจะเข้าใจว่ามันมีความหมายแค่ไหน

   เขาเคยล้ม เคยพลาด แต่เพราะคิดเสมอว่าทุกการตัดสินใจมันเป็นเรื่องของบทเรียนที่ไม่มีทางควบคุมได้ นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เขาก็จะยืนยันเช่นเดิมว่าไม่เคยรู้สึกผิดหวังกับการได้รักผู้ชายที่ชื่อสัทธา

   ไม่ได้ปิดจนเป็นความลับที่ไม่อาจแพร่งพรายอยู่แล้วว่าที่เขาเลือกออกจากคณะที่รับประกันเรื่องอนาคตได้อย่างดีเป็นเพราะว่าเขาอยากจะก้าวเข้าไปในโลกที่อีกฝ่ายอาศัยอยู่ ถึงจะดูเป็นการอธิบายที่ไร้สาระสำหรับใครหลายคนแต่กับเขาคือบอกเลยว่ามันยิ่งใหญ่มาก

   มันอาจจะดูเป็นความรักที่น่าขบขันเมื่อเทียบกับคนอื่นอีกหลายคน หากสำหรับเขาแล้วการที่ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยคิดจะแตะต้องมาก่อนเพื่อมันแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจจะตายไป

   เพราะอย่างนั้นในตอนนี้

   ในวินาทีที่ชายผู้เป็นดั่งโลกใบใหม่ประกาศิตให้หยุดทุกอย่างเสีย

   เขาถึงได้เข้าใจว่าการล่มสลายของความศรัทธาเป็นอย่างไร



   “เป็นอะไรของมึง”

   “อกหัก”

   “อีกแล้วเหรอ”

   “ทำไมมึงถึงใช้คำว่าอีกแล้ว”

   ปลายเจตน์ยักไหล่ขึ้น “ก็กับคนนี้ตั้งแต่กูรู้จักมึงมาก็ขยันทำให้อกหักตลอด”

   หมดคำจะเถียงให้กับเพื่อนคนสนิท ก็อย่างว่าล่ะนะเขาไม่ได้ปิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ในช่วงแรกที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเขาน่ะแสนจะภาคภูมิใจที่จะได้แนะนำให้ปลายได้รู้จักกับรุ่นพี่ที่ชื่อว่าสัทธา

   “แย่เนอะ”

   “ก็อย่างนั้นแหละความรัก” เป็นโมเมนต์ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกับตัวเองเหมือนกัน ไอ้การที่ได้มานั่งจับเข่าคุยกับเพื่อนเรื่องความรักที่ไม่สมหวังเนี่ย “แล้วคราวนี้อะไรอีกล่ะ”

   “ก็เดิมๆ แต่รอบนี้เหมือนจะหนักที่สุด”

   “ขนาดไหน”

   “ขนาดที่ว่าเขาบอกว่าอยากจะย้อนเวลากลับไปเพื่อให้ไม่เจอกู”

   “...โหดฉิบหาย”

   “จริง”

   ช่างตรงใจเสียเหลือเกิน เขาพยักหน้าเล็กน้อยแสดงความเห็นด้วยให้กับความคิดเห็นนั้น หมุนปากกาหมึกซึมในมือไปมาแบบที่ไม่กลัวว่ามันจะตกหล่นจนใช้การไม่ได้

   “แล้วจะยังไง ตัดใจ?”

   “ทำได้คงไม่ต้องมานั่งอย่างนี้”

   ตอนนี้เดือนตุลานั่งห้อยขาอยู่บริเวณสะพานแขวนขนาดย่อมในสวนที่ถูกปล่อยร้างห่างจากตัวตึกคณะไม่ไกล หลังจากที่มหาวิทยาลัยได้ทำการสร้างสวนสาธารณะขนาดใหญ่แห่งใหม่แล้วมันก็ไม่ค่อยมีใครเข้ามาใช้งานเท่าไหร่ คิดไปแล้วก็น่าเศร้าชะมัดที่แม้แต่พื้นที่ส่วนกลางสำหรับการพักผ่อนรัฐยังจัดให้ไม่ได้

   พอดีกับที่ปลายเจตน์โทรมาถามเรื่องเรียนเล็กน้อย ก็เลยชวนมานั่งเล่นด้วยเสียเลย

   “คือมึงหมดอาลัยตายอยากมาก เอาจริง”

   “ถ้าตายจริงได้กูก็ยินดีอะ”

   “อาการหนักนะ”

   มีรีแอคชันกลับไปด้วยการยื่นคางไปเกยกับเชือกเส้นหนาที่ไม่มีความสะอาดใด เหม่อมองภาพมุมกว้างด้านหน้าโดยไม่โฟกัสกับจุดหนึ่งจุดใดเพื่อลดการทำงานของสมองลง

   “เหนื่อยอะปลาย”

   “เหนื่อยก็ถอยออกมา”

   “หึ เขาน่ะหนีไปก่อนกูจะขยับอีก”

   ไม่เคยมีสักครั้งที่จะได้เป็นฝ่ายก้าวไปข้างหลัง มีแต่เดินตามแบบที่ไม่เคยมีครั้งไหนสัมผัสถึงคำว่าใกล้เส้นชัย

   “ไม่เข็ด”

   “เลิกตอกย้ำได้ไหม”

   “ถ้าไม่จำก็จะย้ำไปเรื่อยๆ”

   “งั้นมึงก็น่าจะได้ย้ำจนตาย”

   “อะไรจะขนาดนั้น”

   เดือนตุลายิ้มล้าให้กับตัวเอง “ก็ขนาดนั้นเลยแหละ”

   นึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใจว่าต่อให้เขาอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากแค่ไหนแต่ในท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังมีเรื่องดีหลงเหลืออยู่บ้าง คือถ้าไม่มีปลายเจตน์เขาก็คงต้องกลับห้องไปคุยกับกระจกแหง

   “นี่กินข้าวยัง”

   “ยัง กินไม่ลง”

   “งั้นไปหาอะไรกินก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

   ไม่อยากจะคิดอะไรแล้วก็ปล่อยให้มันเลยตามเลย ถอนหายใจด้วยความหวังว่ามันจะไล่ความหม่นหมองที่ก่อตัวอยู่เต็มอกให้คลายตัวลง

   ตอบตามตรงก็คือไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา มันก็เป็นแค่การหลอกตัวเองเพื่อให้ยังมีเหตุผลในการหายใจอยู่ก็เท่านั้นเอง

   “กินเสร็จมีแผนจะทำอะไรต่อ”

   “ไม่รู้ กลับห้องมั้ง” มันเป็นกิจวัตรของเขาที่ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยเท่าไหร่ “แต่คิดแล้วก็ยังไม่อยากกลับ”

   พอนึกว่าอาศัยอยู่ในตึกเดียวกับพี่ธรรมก็กลัวการบังเอิญเจอเสียอย่างนั้น ผิดจากที่ผ่านมาที่เขาน่ะเฝ้ารอวันที่จะได้พบกับเรื่องที่ไม่คาดคิดนั้นสักครั้ง

   “แล้วอยากไปไหน วัด? โบสถ์? พาไปได้หมดนะ” ในสถานการณ์อย่างนี้ก็ยังติดตลกได้อีกนะ ถึงจะไม่ค่อยสบายใจขึ้นสักนิดเขาก็ขอบคุณในความพยายาม

   “อยากอยู่ที่ๆ สบายใจ”

   “งั้นไปกินเหล้ากันไหม”

   “หืม?” ประหลาดใจจนต้องใช้เสียงสูง ตวัดหน้าไปหาเจ้าของไอเดียที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน

   “เขาชอบบอกกันว่าเหล้าจะช่วยให้ลืมความเศร้าได้ชั่วคราว ไปลองกันไหมล่ะ”



   ทำเป็นใจกล้าเดินเข้าร้านเหล้าแบบที่ไม่มีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นครั้งแรก ตาสอดส่องสลับซ้ายขวาไม่มีพักตามประสาของคนที่ไม่เคยเหยียบเข้ามาในสถานที่อบายมุขเช่นนี้มาก่อน กลิ่นอับของมันไม่น่าอภิรมย์เหมือนกับกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายชนิดที่ปะปนจนกลายเป็นความน่าเวียนเหียน

   ให้เพื่อนที่น่าจะช่ำชองมากกว่าเขาจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ มีหน้าที่แค่นั่งอยู่บนโต๊ะแล้วก็รอให้แก้วมาวางตรงหน้าเท่านั้นเอง

   บ่นตัวเองข้างในว่าเป็นคนที่ไม่เคยมีบทเรียนเลยจริง เรื่องที่เกิดคราวก่อนก็จากบุหรี่ นี่ก็มาเหล้า ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

   ต่อให้รู้ว่ามันผิด

   แล้วเขาจะยึดในสิ่งที่ตัวเองคิดไม่ได้เลยเหรอ

   ไม่ว่าจะพี่ธรรม พี่มัจ หรือว่าแม้แต่พี่ฟีนเขาก็สามารถยืนหยัดอยู่กับความเชื่อของตัวเองได้เลย ถ้ามันเป็นเรื่องที่บอกว่าถ้ามีเหตุและผลเพียงพอมันก็ไม่มีถูกผิดไง

   “กลับมาที่คำถามเดิม จะเอายังไงต่อดี”

   “คืนนี้ไม่คิดอะไรแล้วได้ไหม”

   ปรารถนาอย่างเดียวคือต้องการผ่านค่ำคืนนี้ไปอย่างโง่ๆ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความอีก ให้ที่เหลือมันเป็นเรื่องของพรุ่งนี้เช้าไปแล้วกัน

   “แล้วแต่”

   “ทำไมร้านนี้เหมือนเด็กนิติเยอะจัง” ก็ไม่ได้ไม่ใส่ใจคนรอบข้างขนาดนั้น ตั้งแต่มานั่งมีคนมาทักทายปลายเจตน์สองคนแล้ว พอมองไปรอบๆ ก็ว่าคุ้นหน้าหลายคน “มีนัดเลี้ยงเหรอ”
   
   “เฮอะ เจ้าของร้านเป็นเด็กนิติเก่า มาแล้วได้ส่วนลด”
   
   โอเค ถือว่าเข้าใจตรงกัน

   แก้วเครื่องดื่มเย็นเฉียบตรงหน้ายังคงอยู่ในระดับปริ่มปากแก้วไม่มีลดลง ผิดกับในมือของเพื่อนที่เติมแล้วเติมอีก แสงไฟสลัวกับเสียงเพลงคลอในระดับที่พอดีต่อการพูดคุยบ่งบอกถึงความใส่ใจ นี่ถ้าหารเท่าขึ้นมาเขาเสียเปรียบมากเลยนะเนี่ย

   “กูลาออกจากตุลาการดีไหมปลาย”

   แรนดอมหัวข้อตามใจ ก็พอคิดว่าเรื่องคาราคาซังมันมีทั้งของตัวเองแล้วก็พี่ฟีนเขาก็ไม่อยากจะต้องเผชิญหน้ากับความวุ่นวายอะไรทั้งนั้น บางครั้งการที่ได้กลับไปใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาธรรมดาก็น่าสนเหมือนกัน

   ทิชากรไม่ได้ล้ำเส้นด้วยการถามซ้ำจนเกินระดับพอดี พูดให้ถูกคือหลังจากวันนั้นก็ไม่เคยเปรยออกมาเลยต่างหาก เขาดูใจเย็นกับข้อเสนอที่ให้มาโดยไม่สนใจสักนิดว่าปฏิกิริยาตอบรับจากเขาเป็นไปในทางไหน เหมือนกันว่าปักหลักไปแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาจะทำตาม

   “ตอบตัวเองว่าเพราะงานหรือคน”

   “คนที่พางานมาให้”

   โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประธานชื่อสัทธา

   “งั้นก็ยิ่งยากเลย แต่ว่าเขาก็จะจบแล้วนี่”

   “นั่นแหละ ตอนแรกเลยคิดว่างั้นก็ออกดีกว่า แต่...” พอเล่าถึงตรงนี้น้ำเสียงแสนเจ้าเล่ห์นั้นก็กลับมาเล่นโดยไม่ตั้งใจ ก็เขายังไม่เข้าใจว่าพี่ฟีนจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร “แต่มันก็ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องคิดอยู่”

   “ทำไมอะ มึงก็ไม่ได้คิดเรื่องทำกิจกรรมอยู่แล้วนี่”

   อันนี้ก็จริง คือเขาเข้าใจเพื่อนบางคนที่ต้องเข้าทำกิจกรรมเพราะคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อการสมัครงานในอนาคตนะ ก็ดันคิดว่าถ้าไม่ได้เต็มใจทำอะไรก็อย่าเข้าไปเบียดเบียนคนอื่นเลย ไอ้การทำงานแบบที่ไม่รู้ระดับความสามารถของตัวเองน่ะพาปัญหามาให้นักต่อนัก

   “งั้นลาออกเนอะ”

   “บอกกูจะได้อะไรขึ้นมา ไปเขียนจดหมายสิ”

   “กูมีร่างเอาไว้ตั้งแต่ปีหนึ่งนะ อย่าทำเป็นเล่น”

   “งั้นก็ทำ จะรอดู”

   รอบข้างไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจจนอยากจะทิ้งสายตาเอาไว้นาน จะให้มานั่งคุยแต่ตามองมือถือก็ไม่ใช่ เราเปลี่ยนไปคุยเรื่องสัพเพเหระก่อนที่วกกลับมาเรื่องการสอบที่ใกล้จะเวียนกลับมาหาอีกครั้ง พอบั่นทอนกำลังใจกันพอสมควรแล้วก็คิดว่าควรจะได้เวลาแยกย้ายเสียที

   บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความเรื่อยเฉื่อยถูกทำลายลงด้วยเสียงพูดคุยจอแจของคนกลุ่มใหญ่ตรงหน้าประตูทางเข้า เขาหรี่ตาลงในพื้นที่ไฟสลัวดูว่าตรงนั้นมันเป็นใคร ทำไมถึงเสียงคุ้นเหลือเกิน กระทั่งเห็นหมวกเบเร่ต์ของหนึ่งในนั้นเด่นออกมาจึงให้ข้อสรุปได้ว่ากลุ่มพี่คนป่านั่นแหละ

   ยังคงเป็นกลุ่มที่มีความโดดเด่นไม่เสื่อมคลาย ต่อให้แต่ละคนจะมีแครักเตอร์ชัดเจนขนาดไหนพอมารวมกันแล้วมันก็ดูกลืนกันดี ขออีกอย่างได้ไหมว่าเวลาสูบบุหรี่ใต้คณะช่วยไปสูบไกลๆ หน่อย สงสารคนอื่นบ้าง

   อย่างนี้พี่ธรรมจะมาไหมนะ

   ใจหนึ่งก็อยากให้มันเป็นเรื่องบังเอิญที่มีอยู่จริง อีกใจคือคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าเขามาหา

   เนี่ยแหละความรัก

   คลุ้มคลั่งเหลือเกิน

   “ปกติบาบาเรียนเขากินเหล้าในร้านกันเหรอวะ”

   นี่ก็ลูกช่างแขวะ พวกพี่คนป่าน่ะไม่ได้อะไรขนาดนั้นสักหน่อย ไม่นับเรื่องที่ชอบแหกปากโวยวายในทุกไตรมาสนะ

   ชักอยากกลับไปเรียนสายวิทยาศาสตร์ให้เข้าใจว่าเพราะอะไรการที่ได้เห็นหน้าคนๆ หนึ่งจากพื้นที่ที่ห่างออกไปพอสมควรถึงพาให้ใจเต้นแรงได้อย่างที่เป็นอยู่ พี่ธรรมที่เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนปลอบใจเขาว่าอย่างน้อยมันก็มีเรื่องนอกเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น

   ระหว่างโต๊ะของเขากับพี่ธรรมห่างกันพอสมควรจนมั่นใจไปเองว่ามันไม่น่าจะมีปัญหา นึกไม่ออกว่าฉลองเนื่องในโอกาสอะไรถึงรวมตัวกันได้จนเกือบครบทั้งแก๊ง ขนาดพี่บางคนที่เขาว่าเห็นหน้าค่าตานับครั้งได้ก็ยังอยู่ด้วยเลย

   “ทำบุญใหญ่เนื่องในโอกาสอะไรวะ”

   เขาปักธงไปแล้วนะว่าปลายเจตน์จะต้องเคยมีเรื่องกับเหล่ารุ่นพี่พวกนั้นอย่างแน่นอน “เกิดอยากจะกินมั้ง”

   เอาอะไรมากกับคนพวกนี้ พวกนี้อยากจะจัดเสวนาบ่นคณะก็ลงมือติดต่อขอประสานงานพื้นที่ นัดอาจารย์ จัดสถานที่ แล้วก็ไลฟ์เองเสร็จสรรพน่ะ

   เปลี่ยนใจจากที่บอกว่าจะกลับแล้วตั้งแต่เห็นหน้าของแขกกลุ่มล่าสุด นั่งแช่ต่อโดยที่เพื่อนแสนดีก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาให้มากความ เรากำลังคิดว่าอนาคตของคนในคณะจะเป็นแบบไหนหลังจากคนกลุ่มนี้เรียนจบไปแล้ว เอาจริงนะว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายที่จะเอาคนพวกนี้มารวมกันไว้ในที่เดียวกัน

   แล้วก็คงเป็นผลพวงจากประสบการณ์ร่วมในการเป็นเด็กซิ่วทั้งคู่ เรากำลังวิพากษ์กันเรื่องว่าเวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัยให้อะไรกับเราบ้าง มันก็มีทั้งเรื่องที่ดีแล้วก็ร้ายแหละ คำถามต่อไปคือในเรื่องที่ร้ายเราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ด้วยพลังของเด็กธรรมดาหรือไม่

   “ยาก”

   “เนอะ” ผงกหัวหงึกหงักเห็นด้วย “คือก็อยากทำนะ แต่รู้สึกว่าตัวเล็กไปตลอดเลย”

   “เพราะงั้นมันเลยน่านับถือไง คนที่ยังไหวอะ กูเจอแค่เรื่องสองเรื่องก็พอล่ะ หมดใจ”

   “ลองทำแบบพวกพี่เขาไหม”

   “เป็นบาบาเรียนรุ่นสองเหรอ ไม่เอานะ”

   แกล้งเย้าขำขัน คือจะให้เป็นอย่างนั้นคงไม่ไหว มีความปัจเจกสูงจนเกินไป

   ไม่ปิดบังและไม่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ ตุลนั่งมองทุกอากัปกิริยาของประธานตุลาการโดยมีอีกคนนั่งเป็นเพื่อนเงียบๆ ไม่รบกวนอะไร พี่ธรรมยังคงสนุกสนานอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนขนาดใหญ่ อะไรจะไร้สติได้ทั้งที่เพิ่งเข้าร้านมาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

   ต้องไปก๊งที่อื่นกันมาก่อนแล้วแหง

   ให้เดาก็ในสถานศึกษานั่นแหละ

   “อ้าวปลาย มานานยัง”

   จากนั้นไม่นานก็มีคนเข้ามาทักจนได้ เป็นรุ่นพี่ในกลุ่มคนป่าที่เขาก็เป็นเฟรนด์ในเฟซบุ๊กเหมือนกัน ไม่ค่อยเข้าเรียนแต่ว่าจะชอบโผล่ไปตามการชุมนุมแทน

   “ก่อนพวกพี่พักใหญ่ แล้วนี่ทำไมมากันเยอะจังพี่”

   “อ๋อ มายินดีให้กับอาจารย์สัทธา”

   “อาจารย์?”

   เรื่องเล่าดึงเขาออกจากห้วงภวังค์ได้เป็นอย่างดี รีบหันหน้าไปทางซ้ายที่มีสมาชิกคนใหม่เข้ามาร่วมวง “อือ มันผ่านการคัดเลือกแล้ว”

   “อ้าว สรุปเข้าโครงการจริงเหรอพี่...นึกว่าพูดเล่น”

   “จริง”

   มันมีการสนทนาในเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อจากนั้นหากทั้งหมดมันไม่เข้าไปยังโสตการรับรู้แล้ว ตอนนี้ฉากในความทรงจำที่เล่นวนอยู่คือเรื่องทุนที่พี่มัจเคยคุยกับพี่ธรรมแล้วพี่เขาก็ตอบกลับแค่ว่ายังไม่มีอะไรเพิ่มเติม เท่ากับว่าทุกอย่างมันก็ถูกวางเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

   ผิดหวัง เสียใจ หม่นหมอง หลายความรู้สึกปะปนกันจนเขาไม่สามารถจะให้คำนิยามที่เจาะจงได้

   หากที่ชัดเจนที่สุด คงเป็นความน้อยใจที่เขาไม่เคยได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของสัทธาเลย

   “เนี่ย ลงทุนกลับไปเป็นประธานเลยนะ แลกกับทุนนี้อะ”

   “จริงเหรอพี่ ไม่เกี่ยวมั้ง คนอย่างพี่ธรรมต่อให้ไม่กลับมาทำงานก็ไม่มีใครสู้ได้อยู่ดี”

   “ถ้าไม่อย่างนั้นจะกลับไปหาเรื่องใส่ตัวทำไม”

   เป็นข้อความจริงที่ประจักษ์ต่อสายตาของคนรู้จัก ทั้งการเรียนที่ติดอันดับต้นของคณะเสมอทั้งที่ยังแบ่งเวลามาทำงานตลอดเวลา ยังไม่รวมกับกิจกรรมภายนอกที่บางครั้งกลุ่มคนป่าของพี่เขาร่วมกันจัดทำขึ้นมาอีก

   นี่ก่อนจะจบก็มีโครงการสั่งลา เห็นว่าจะเป็นการวิจารณ์ในทุกแง่มุมของคณะนี้ไม่ใช่แค่ในเรื่องของวิชาการ หากยังรวมไปถึงสวัสดิการและการใช้ชีวิต เห็นแค่โปสเตอร์แล้วก็คิดว่าน่าจะเดือดอยู่เหมือนกัน

   ผุดลุกทันทีที่เห็นว่าสัทธาหลุดออกจากกลุ่มเดินไปยังทางออกด้านข้างของร้าน ป้ายไฟแอลอีดีที่ติดว่าทางไปโซนสูบบุหรี่ช่วยให้เขาพอเตรียมใจเอาไว้ได้ว่าถ้าออกไปจะต้องถูกรมควันอย่างแน่นอน

   ไม่เป็นอย่างที่กลัวเอาไว้เมื่อบริเวณที่จัดเอาไว้ให้เหล่าสิงห์อมควันไม่มีท่านประธานตุลาการรวมอยู่ด้วย มองไปทั้งซ้ายและขวาว่าถ้าไม่อยู่ตรงนี้แล้วจะไปตรงไหน แสงไฟที่มีเพียงพอทั่วทั้งบริเวณทอดยาวไปถึงจุดจอดรถขนาดย่อมที่ห่างออกไปไม่กี่สิบก้าวช่วยชี้ให้เห็นเป้าหมายได้ชัดเจน

   พื้นกรวดสร้างเสียงรบกวนทุกการย่างก้าว สัทธาอาจคิดว่าเป็นลูกค้ารายอื่นที่กำลังจะกลับไปเอารถเลยไม่ได้หันมาให้ความสนใจ เป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้สามารถเดินตามไปได้กระทั่งอีกฝ่ายปักหลักบริเวณมุมลึกสุดที่เป็นกำแพงปูนกั้นอาณาเขตของแต่ละตึก

   ความสงสัยไม่มีปรากฏอยู่บนนั้น ราวกับว่าชินชาไปเสียแล้วที่จะมีเด็กรั้นอย่างเขาคอยตามติด พี่ธรรมเปิดกล่องบุหรี่ยับยู่ในมือ เคาะมันออกมาหนึ่งมวนแล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกง

   “ไม่ให้สูบนะ ไม่ต้องมองอย่างนั้น”

   “...ทำไมพี่ถึงใจร้ายได้เท่านี้นะครับ”

   พอกันทีกับคำถามที่เคยอยู่แค่ข้างในใจ เดือนตุลาไม่เคยอยากล้ำเส้นเข้าไปทำให้อีกฝ่ายอึดอัดตามประสาของคนที่ชอบคิดไปเอง สำหรับเขาแล้วมันเป็นการเว้นระยะที่คิดว่าทำได้ดีมากเลยนะ คือต่อให้อยากจะใกล้ชิดมากกว่านี้แค่ไหนก็ยอมอยู่ที่เดิมน่ะ

   มองปลายนิ้วชี้และกลางที่มีแท่งนิโคตินสีขาวเคลื่อนตัวขึ้นไปจรดริมฝีปาก เปลวไฟเกิดขึ้นจากการสะกิดไฟแช็กเพียงแค่หนึ่งครั้ง จากนั้นก็ทำให้มันเกิดประกายไฟโดยการสูดลมหายใจเข้าไปลึก

   ควันสีเทาหม่นกระจายตัวอยู่ทั่ว “ไม่เคยบอกว่าตัวเองใจดีนะ”

   “ใจร้ายมากๆ”

   “อือ เป็นคนใจร้าย”

   สัทธาคงไม่รู้ ว่ายิ่งยอมรับตามข้อกล่าวหาโดยไม่แก้ต่างนั่นแหละคือความใจดี

   หากเป็นในสถานการณ์ปกติแล้วก็อย่างนี้ เวลาที่เขาเหนื่อยหรือว่าไม่พอใจก็จะยอมตามน้ำไปเรื่อยเพื่อให้ผ่อนคลาย จะไม่มีการมาโต้เถียงว่าตัวเองเป็นคนใจดีหรือว่าไม่เห็นด้วยเลยสักครั้ง

   “ทำไมเลือกทำอย่างนี้เหรอครับ”

   “ก็เป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างที่บอกไง”

   หลุดแค่นหัวเราะไม่พอใจให้กับคำอธิบายที่ไม่ชอบใจเลยสักนิด

   ต่อให้อ้างเรื่องราวร้อยแปดพันเก้าแค่ไหน สุดท้ายแล้วสำหรับเดือนตุลาเหตุผลหลักของมันคือการที่อีกฝ่ายไม่อยากจะมีเขาอยู่ในสายตาเท่านั้นแหละ

   ยังคงยืนอยู่ที่เดิมต่อให้กลิ่นบุหรี่ที่ยังคงลอยรอบตัวไม่ได้เป็นสิ่งที่เขาชอบใจนัก มันมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะระบายออกไปให้ได้รับรู้ แล้วก็จบลงที่ว่าถึงพูดออกไปมันก็ไม่น่าจะมีประโยชน์เหมือนอย่างที่เป็นมาเสมอ

   “พี่จะไปไกลแค่ไหนก็ได้นะสัทธา” จ้องลึกเข้าไปข้างในนัยน์ตาใต้กรอบแว่นทรงเหลี่ยม ส่งข้อความที่รู้อยู่แก่ใจว่าพี่ธรรมไม่ต้องการจะได้ยิน “แต่ผมจะไม่ยอมให้พี่หนีพ้น”

   จะดึงดันอยู่เช่นนี้

   “ไม่มีทาง”



   หัวข้อว่าหนังสือลาออกของประธานตุลาการไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่าจะได้เห็นเป็นอย่างแรกเมื่อเปิดอีเมล

   ฝืนใจอ่านซ้ำอีกครั้งด้วยความหวังแสนริบหรี่ว่ามันอาจจะมีความผิดพลาดในบางข้อมูล กระทั่งไล่จนจบบรรทัดสุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่ทำใจยอมรับว่ามันเป็นเรื่องจริง

   ที่เขาเจ็บปวดที่สุด คือผู้ชายคนนั้นยังก้าวไปยังเส้นทางอื่นด้วยจังหวะที่แสนจะสม่ำเสมอ ไม่มีการเร่งขึ้นจนกลายเป็นการวิ่งหรือว่าอะไรทั้งนั้น ต่างจากเขาที่ต่อให้เร่งฝีเท้าจนขาอ่อนแรงแค่ไหนก็ไม่เคยที่จะไล่ตามได้ทันสักที

   เหลือบมองเครื่องมือสื่อสารที่วางเอาไว้ห่างมือไม่เท่าไหร่ ชื่อพี่มัจที่อยู่บนนั้นพานพาให้ความหม่นหมองกระจายตัวมากกว่าเดิม กดคำสั่งปิดสั่นแล้วก็รอจนกว่าอีกฝั่งจะวางสาย จากนั้นก็ปิดการติดต่อในทุกทางด้วยการเปลี่ยนเป็นโหมดเครื่องบินเอาเสียเลย
   
   ขยับร่างที่ราวกับไร้วิญญาณไปทางเตียงนอน ล้มตัวลงด้วยความหวังว่าความนุ่มของมันจะช่วยให้ผ่อนคลายได้บ้าง หลังจากฝังหน้าอยู่กับหมอนสักพักจนร่างกายประท้วงว่าควรจะพลิกตัวก่อนที่จะขาดอากาศหายใจเลยเปลี่ยนท่าเล็กน้อย

   มีเรื่องที่ต้องคิดมากมายจนไม่รู้จะเริ่มต้นไหน

   หากหัวข้อที่วิ่งวนกลับมาไวที่สุดไม่มีทางพ้นพี่สัทธา

   อีกแล้ว

   เดินจากไปแบบไร้คำลาอีกแล้ว

   ทำไมนะ การตัดสินใจแบบนี้ของเขามันผิดมากเลยเหรอ มันแย่ถึงขั้นที่ว่าต้องหายไปอีกครั้งอย่างนั้นเลยใช่ไหม ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็ทุ่มสุดความสามารถแล้วที่จะแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานให้ได้มากที่สุด การที่เขาปล่อยให้มันมาปะปนกันแค่ครั้งสองครั้งนี่ถึงกับต้องลาออกเลยเหรอ

   เผลอกัดฟันแน่นไม่รู้ตัว คำถามจำนวนมากที่ไม่มีทางได้คำตอบต่างพร้อมใจใจผุดขึ้นมาไม่มีพัก ตุลปล่อยให้มันปรากฏแล้วก็ดับไปตามธรรมชาติโดยไม่คิดจะเข้าไปฝืนมันสักนิด เขาน่ะไม่มีใจจะไปห้ามอะไรทั้งนั้น

   หลับตาลงโดยหวังว่าความมืดมิดจะช่วยเยียวยาความฟุ้งซ่านเหล่านี้ เรียกความมั่นใจด้วยการหายใจเข้าไปลึกที่สุด มันช่วยให้สมองปลอดโปร่งในระยะสั้นพอที่จะทบทวนอีกครั้งว่าจะตัดสินใจเช่นนี้ใช่หรือไม่ ในเมื่อมันดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไป จะหยุดอยู่ตรงนี้หรือว่าจะไปต่อทางไหน

   มันมีเพียงคำตอบเดียว

   ลืมตาขึ้นมาช้าๆ เพื่อให้ไม่มีปัญหาเรื่องการปรับค่าการรับแสงของสายตา ปัดป่ายหาสมาร์ตโฟนที่ควรอยู่ไม่ไกล เมื่อคว้าเจอแล้วก็หยิบมันมาปลดล็อกหน้าจอ เปิดเข้าแอปพลิเคชันแชตของเฟซบุ๊ก จากนั้นก็ไล่ลงมาหาชื่อของรุ่นพี่ปีสี่คนที่เขาออกปากมาเสมอว่าไม่อยากจะยุ่งเกี่ยว พิมพ์ข้อความลงไปรวดเร็วไม่มีการกลับมาคิดซ้ำเป็นครั้งที่สอง

  พี่ฟีนครับ

   เรื่องประธาน

   ผมตกลงนะ


   ว่าเขาจะไม่ยอมแพ้

   และจะต้องก้าวข้ามพื้นที่ตรงนั้นไปให้ได้เลย



***
   แล้วเจอกันอีกครั้งตอนจบนะคะ (ยิ้ม)
   #มิอาจก้าวล่วง

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
บทยี่สิบเอ็ด


   “สรุปแล้วจะเลือกทางนี้?”

   “ไม่ได้เลือกอะไร ทำงานเสร็จแล้วก็ออก”

   คำอธิบายเรียบเฉยไม่เป็นที่พอใจจนมัจฉ์เปลี่ยนจากการนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ขึ้นมานั่งเอามือยัดเบาะเอาไว้ มองเพื่อนที่รู้จักกันมาเข้าปีที่สี่นั่งอ่านหนังสือนอกเวลาภาษาอังกฤษที่เห็นชินจนตาอยู่ตรงระเบียงด้วยความไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก

   “ต้องปฏิบัติตามตัวอักษรเคร่งครัดอะไรขนาดนั้นน่ะ”

   “ไม่ได้เคร่ง ก็บอกเขาไว้แล้วว่าเข้ามาเคลียร์เรื่องต้นหลิวให้อย่างเดียว”

   ที่อยู่ในใจน่ะคือด่าไปแล้วร้อยจบ กดคำสั่งพักหน้าจอสี่เหลี่ยมที่โชว์เนื้อหาในอีเมลฉบับล่าสุดเกี่ยวกับการลาออกของคนตรงหน้า เห็นแล้วก็หงุดหงิดไม่อ่านดีกว่า

   ชอบทำอะไรไม่เคยคิดจะปรึกษาเพื่อนก่อน

   “แล้วทำไมไม่อยู่ต่อจนจบ อีกแค่เดือนกว่าเอง”

   “กูไม่ชอบเอาเปรียบคนอื่น อะไรที่ไม่ใช่ของกูก็ต้องปล่อย”

   “ตอแหลจังธรรม”
   
   “พอพูดเรื่องจริงมึงก็ใส่ร้ายกู”

   จงใจกระแทกเสียงหัวเราะ ยิ่งเห็นท่านั่งสุดแสนจะสบายใจ มีหนังสือวางอยู่บนตักราวกับเป็นวันพักผ่อนที่แสนจะวิเศษแล้วอยากจะเดินไปคว้าหนังสือในมือแล้วขว้างทิ้งไปเสีย

   ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าเพื่อนที่แสนจะรักความเป็นส่วนตัวหอบหนังสือมาถึงบ้านของเขาด้วยเหตุผลอะไร คนเรามันก็ไม่ได้เข้มแข็งตลอดเวลาอย่างนั้น

   “คนอย่างมึงอะธรรม สำเหนียกเอาไว้นะถ้าไม่มีกูก็ไม่มีใครที่ทนอยู่กับมึงได้แล้ว” กระแหนะกระแหนตามประสาของคนวงในที่พอจะเข้าใจความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย “เพราะตอนนั้นมึงก็ช่วยอยู่เป็นเพื่อนกูหรอกนะ กูเลยยอม”

   “มึงบังคับให้กูมาหาต่างหาก กูจะกลับห้องก็ไม่ให้”

   “ไม่ มึงห่วงกู”

   “คนที่บอกเลิกเขาเองแล้วก็มาซึมเองอะนะ” ไอ้การทำเสียงเฮอะอย่างนั้นคืออะไรกัน “ห่วงทำไม ทำตัวเองทั้งนั้น”

   ยืดตัวไปหยิบแก้วใสรบรรจุน้ำชายี่ห้อที่ดื่มเป็นประจำมาดื่มดับความร้อนของอารมณ์ มองความเข้มของแสงแดดด้านนอกแล้วก็ไม่อยากจะขยับตัวออกไปเจอความรุนแรงของธรรมชาติเลยสักนิด

   “เกลียดมึงอะสัทธา”

   “เกลียดเหมือนกันมัจฉ์” คงเป็นความสัมพันธ์ที่หาไม่ได้ในคำนิยามทั่วไป ต้องบอกว่าเกลียดจนแทบจะฆ่ากันตายนี่แหละถึงจะสบายใจ ถ้าบอกว่ารักกันเมื่อไหร่คงโลกถล่ม “จะตีกันก็เรื่องของพวกมึง เลิกเอากูไปเกี่ยวสักที เหนื่อย”

   หมั่นไส้คนทำหน้าระอาเสียเต็มประดา เขาเลยเดินไปรบกวนการอ่านด้วยแกะตัวเองจากบนโซฟาเดินไปยังส่วนนอกกระจกใสบานใหญ่ ยันตัวขึ้นไปนั่งบนที่เท้าแขนเพื่อทำลายทุกสมาธิแทน ขอบอกเลยว่าถ้ายังทำเป็นเก๊กอยู่จะได้มีการขยับลงไปนั่งตักแทนแน่

   “ไม่ จะให้มึงปวดหัวอย่างนี้ไปอีกนานเลย”

   “ทำไมพวกมึงถึงได้เห็นแก่ตัวกันจัง”

   “เราทุกคนต่างหากธรรม”

   การปิดหนังสือลงแล้วค่อยๆ ยกคางขึ้นมาเชิดหน้าใส่นี่มันแสนจะเป็นสัทธา ถ้าเป็นน้องตุลนี่คงก็ทำหน้าหงอยไปแล้วแต่พอดีนี่คือมัจฉ์ไง

   เรื่องอะไรจะยอมแพ้กัน

   หนึ่งความสงสัยผุดขึ้นมาเลยขยับปากถาม “มึงเคยคิดไหมว่าเราไม่น่าจะมารู้จักกันเลย”

   “ตลอดเวลา”

   ก็เพราะว่าสามารถปากร้ายเช่นนี้ใส่กันได้ตลอดราวกับเป็นแหล่งระบายอารมณ์ชั้นดีนี่แหละมั้งเลยยังคบกับได้มาจนถึงทุกวันนี้ มัจหยิบหนังสือเล่มกำลังดีในที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาอ่านชื่อเรื่องแล้วเปิดดูเนื้อหาคร่าวๆ ไอ้เรื่องความรักแสนโรแมนติกนี่ไม่น่าจะไปด้วยกันได้เลยนะ

   ทำเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านทฤษฎีแต่ปฏิบัติเป็นศูนย์ไปได้

   “ไม่ใช่แค่รู้จักมึงนะ ฟีนด้วย ตัวทำลายชีวิตกูชัดๆ”

   คิดย้อนไปแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีช่วงไหนที่เป็นอย่างที่บอก สำหรับเขาแล้วมันเป็นการส่งเสริมซึ่งกันและกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแสนจะโอบอ้อมอารี เศร้าใจเหลือเกินที่เพื่อนมองว่ามันเป็นการทำลายน่ะ

   “อันนั้นกูช่วยอะไรไม่ได้”

   “ไปจัดการคนของมึงบ้าง ชักจะเอาใหญ่ ...วันก่อนแม่งก็แกล้งให้อาจารย์ถามกูทั้งคาบ”

   “ไม่ใช่คนของกู”

   “แต่อดีตก็เคยคบ”

   “หนึ่งสัปดาห์อย่าเรียกว่าคบ ขอเถอะ”
   
   กลอกตามองบน นึกแล้ววันนั้นไม่น่าหลุดปากเล่า

   “แต่มันก็ขยันมาเซอร์ไพรส์วันที่เลิก”

   “คนประหลาด”

   “แต่ก็ชอบ กูรู้น่า”

   ยู่หน้าไม่พอใจคนรู้ทัน ตอนแรกว่าจะเถียงว่าชอบดอกไม้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องชอบคนให้ หากพอพิจารณาให้รอบด้านแล้วมันมีแต่ช่องว่างให้เพื่อนได้ถล่มก็เลยเงียบดีกว่า

   หาเรื่องอื่นคุยไปเรื่อยจะได้หลุดออกจากหัวข้อก่อนหน้า คือเขาน่ะอยากกลับเรื่องที่ลาออกไม่ปรึกษาใครแต่ดูเห็นแล้วก็บอกได้ว่าเจ้าของหนังสือน่ะไม่อยากจะพูดถึงมันเลย ตอนนี้เรื่อง

   “แล้วจะมีผลเมื่อไหร่” ตั้งใจว่าจะทำให้มันติดตลกด้วยการแทรกเรื่องอื่นเข้าไป “คือปกติเคยแต่ไล่คนออกอะ ไม่ชินกับการมีคนลาออก”

   มองกลับไปตั้งแต่เริ่มทำงานมาก็ยังไม่เจอเคสที่สมัครใจออกเอง ใครก็ตามที่มาอยู่ตำแหน่งนี้ไม่ปรารถนาที่จะลงจากบัลลังก์ตัวสูงง่ายๆ หรอก อยู่กับชื่อ ตำแหน่ง และสิทธิพิเศษกันไปจนกว่าจะพอใจ

   “สองสัปดาห์มั้ง ไม่ชัวร์”

   “แล้วไม่ต้องอ่านเตรียมแข่งเหรอ”

   “ไม่น่าจะต้องนะ มันได้อย่างที่ต้องการไปแล้วนี่” ถ้าฟังจากแค่น้ำเสียงก็คงคิดว่าเป็นการบอกเล่าทั่วไป ส่วนถ้าได้เห็นท่ายักคิ้วประกอบด้วยนี่น่าจะมีสิทธิได้วางมวยกัน “คำว่าชนะเลิศอะ”
   
   “เด็กเก็บกด”

   “ที่มีมึงเป็นต้นเหตุ”

   มัจฉ์ยักไหล่ไม่ยี่หระ “กูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

   ค่อนไปทางเป็นเรื่องขำขันที่เอากลับมาเล่าเมื่อไหร่ก็ยังสร้างความสุขได้เสมอ ณ จุดนั้นเขาก็แค่ทำหน้าที่ของตัวแทนนักเรียนที่ดีในการแข่งขัน ให้ติวแบบไหนก็ทำตามไม่คิดมาก พอไปแข่งก็หวังเอาไว้แค่ว่าเอาให้ไม่อายชื่อโรงเรียนก็พอ ไม่คาดฝันถึงตำแหน่งชนะเลิศสักนิด

   พูดเล่นน่ะ

   เห็นสีหน้าคนแพ้แล้วมันบันเทิงจะตาย

   “ไม่เชื่อ”

   “เรื่องของมึง”

   “เดี๋ยวฟีนอยากจะอ่านเมื่อไหร่เดี๋ยวก็ทักมาเอง” พอเห็นเพื่อนยิ้มร้ายเช่นนั้นแล้วไม่น่าไว้วางใจเลย “จริงๆ คือถ้าบอกว่ากูอยู่นี่มันน่าจะแจ้นมาทันทีแหละนะ”
   
   ชินกับคำเย้าแหย่ทำนองนั้นแล้วเลยเมินผ่านความพยายามที่จะปั่นประสาทไปได้ไม่ยาก ชักจะเมื่อยกับการนั่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นนี้ก็เลยลุกขึ้นยืน ยืดเส้นยืดสายด้วยท่าที่จำได้ว่าเคยเรียนสมัยประถม ทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ไม่ต้องเลี้ยงดูปูเสื่อแขกสักนิด

   “มันอยู่ชล ไม่มาหรอก”

   “ใส่ใจ”

   “เฟซบุ๊กแจ้งเตือนไหมล่ะ”

   “ต่อให้ไม่แจ้งมันก็เล่าทุกเรื่องให้มึงฟัง”

   สงสัยต้องความเข้าใจผิดหน่อย “ก็ไม่ได้ทุกเรื่องขนาดนั้น”

   “เพราะว่าต่อให้ฟีนมันไม่บอกมึงก็รู้อยู่ดีไง”

   ปีนข้ามรั้วไม้ออกไปด้านนอก เท้าเปลือยเปล่าแตะลงกับพื้นหญ้าเขียวชอุ่มกินพื้นที่พอสมควร หรี่ตาลงยามได้รับแสงมากกว่าที่ควร เขาย่อตัวลงจนข้อพับชิดเพื่อให้สะดวกต่อการสอดส่องดูความเรียบร้อยของไม้พุ่มรอบระเบียงที่ไม่ได้รับการตัดแต่งมาสักพักใหญ่ จะว่าไปแล้วก็ได้เวลาแต่งทรงแล้วล่ะ

   “เนี่ย มึงเงียบ มึงกำลังวางแผนอีกล่ะ”

   หน่ายเสียจริงเวลาที่ถูกรู้ทัน ก็ไม่ชอบเท่าไหร่ส่วนอีกใจก็คิดว่ามันก็เป็นความรู้ว่าสึกว่าได้รับการใส่ใจดีเหมือนกัน

   “กูกำลังคิดว่าจะแต่งต้นไม้ยังไง”

   “ตามสบาย”

   “มึงยกกล่องตรงนั้นมาให้หน่อย”

   ชี้นิ้วไปยังกล่องเก็บอุปกรณ์ตกแต่งต้นไม่ที่วางชิดมุมอยู่ด้านหลังเก้าอี้หวายที่สัทธานั่งอยู่ มาถึงขั้นนี้แล้วก็จัดการหน่อยเลยแล้วกัน

   อุ้มกล่องไม้ขนาดใหญ่ด้วยแขนทั้งสองข้างตามน้ำหนักที่ไม่ใช่เล็กน้อย ทำมาตั้งแต่เด็กแล้วเลยไม่ต้องเสียเวลามานั่งสงสัยว่าอุปกรณ์นี้ชื่ออะไร ใช้งานอย่างไร เขาเลือกกรรไกรตัดแต่งออกมาเล็มในส่วนที่เห็นแล้วรำคาญตาออกไปทีละน้อย

   “เก่งนะ”

   “หมายถึง”

   “ไม่คิดว่าคนอย่างมึงจะรักโลก รักต้นไม้”

   “มึงไม่คิดว่ากูรำคาญเลยจะตัดให้พ้นสายตาบ้างเหรอ”

   ตลอดเวลาไม่เงยหน้าขึ้นมาคุยกับคู่สนทนาที่ยังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้หวายตัวเดิม มือจับเช็กดูว่ามีตรงไหนที่ต้องการการดูแลอีกบ้าง พอเจอจุดที่ไม่พอใจก็จัดการจัดแต่งเสีย

   “ถอนทิ้งง่ายกว่าไหม”

   “มันก็ยังมีประโยชน์ ...มึงเดินไปหยิบหมวกสานในห้องให้หน่อย”

   หวังดีว่าถ้านั่งนานไปเดี๋ยวสุขภาพจะเสีย ก็เลยให้ได้ขยับตัวเสียหน่อย เพื่อนตัวดีของเขาไม่บ่นหรือว่าอิดออดหากแสดงออกถึงความไม่เต็มใจด้วยการลุกขึ้นชักช้าอืดอาด พอกลับเข้าไปด้านในห้องของนั่งเล่นก็จงใจเดินไปอีกฝั่งทั้งที่เห็นตำตาว่าหมวกที่เขาว่ามันแขวนอยู่ตรงไหน

   ไม่มีใจจะบ่นก็เลยปล่อยให้ทำตามใจ กระเถิบตัวเองไปหาจุดที่คิดว่าสมควรได้รับการจัดการต่อไป

   กล่าวคำขอบคุณเล็กน้อยยามสัมผัสถึงบางสิ่งที่ครอบลงมาบนศีรษะ จากหางตาคือสัทธาไม่ได้กลับไปนั่งบนเก้าอี้แต่ยืนพิงกับระเบียงแทน

   “มึงดูหน้าโง่มากเลยเวลาอยู่กับต้นไม้”

  “ส่วนมึงอะโง่ทุกเวลา”

   เสียงหืมในลำคอคงแปลได้ว่าสัทธาไม่เข้าใจมัน ก็เลยต้องอธิบายเพิ่มไปหน่อย

   “ที่กูกับฟีนทำอะ ก็แค่จะลากต้นหลิวออกไป ไม่ได้สนว่าใครจะเข้ามาแทน” ตาสนใจแต่พื้นใบเขียวตรงหน้า มือยังไม่หยุดตัดแต่ง ส่วนปากก็คุยไปเรื่อย “มันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยธรรม มึงไม่ต้องกลับมาก็ได้”

   “ก็บอกแล้วว่า...”

   ระคายหูกับคำอ้างร้อยแปดจนแทรกประโยคอื่นเสียเลย “แต่มึงก็ทำ เพราะมึงรู้ว่ามันเป็นอะไรที่น้องตุลอยากเห็น เขาอยากให้มึงได้นั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น”

   “...”

   ความเงียบเป็นคำตอบที่มัจพอใจที่สุด

   “ใจดีเกินไปแล้วนะ นอกจากกูสองคนไม่มีใครเข้าใจมึงหรอก”
   
   “ก็ไม่ได้บอกว่าอยากให้เข้าใจ”

   ถอนหายใจระอาให้คนที่ปราดเปรื่องในเรื่องเรียนและการทำงาน แต่เรื่องการจัดการชีวิตติดลบ

   “แล้วแต่”

   “แล้วเรื่องฟีน เอายังไง”

   “ก็อยากขวางนะ เคยขู่ไปแล้วด้วย แต่ว่าก็อยากให้ได้เหมือนกัน”

   ใจแลกใจ ถ้าจะไม่มีความลับต่อกันก็ต้องเปิดปากเล่าเรื่องที่รู้อยู่แล้วออกไป

   คนอย่างนั้นน่ะถ้ามีช่องว่างให้ใช้ประโยชน์เมื่อไหร่ต้องตะครุบเอาไว้ อย่างเรื่องนี้นี่คือบอกเลยว่าเล็งมาตั้งแต่ต้นปีแล้วแหง อาจวางเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วด้วยซ้ำ ใครสั่งใครสอนให้กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ถึงขั้นนี้

   “เพราะมองตามจริงแล้วนอกจากน้องตุลก็ไม่มีใครเวิร์กแล้ว”

   “คนใหม่ไง”

   “ขอล่ะ ไม่เอาพวกที่เข้ามาแบบฝันหวานไม่ดูความจริง ไม่เอาพวกที่อ้างว่าตัวเองมีประสบการณ์มาเยอะแยะแต่ว่าตอนสุดท้ายแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นระบบสักอย่างได้ไหม”

   เรื่องนี้คือขอละไว้ในฐานที่เข้าใจเลยเถอะ มัจฉ์น่ะไม่กล้าอวดว่าผ่านประสบการณ์การทำงานมาจนเอาไปอวดอ้างความน่าเคารพจากใครทั้งนั้น เขาตระหนักอยู่เสมอว่าโลกใบนี้มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะเอ่ยออกไปได้เต็มปากว่าเราเป็นพวกที่สูงส่งกว่า

   “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดธรรม ห้ามได้ที่ไหน”

   “ก็ห้ามได้อยู่นะ”

   “ยาก ฟีนเขาคิดมาหมดแล้วไงว่าถ้าทำอย่างนี้อะ พวกเราจะไม่ยอมขวางแน่”

   “มันไม่คิดว่าเดือนสิบจะไม่ตกลงบ้างเหรอ”

   “หุบปากถ้าจะพูดอะไรโง่ๆ อย่างนั้นนะสัทธา”

   นี่ไม่ใช่คำพูดรุนแรงสำหรับพวกเขา ไม่ต้องตกใจไป

   คือกับเรื่องนี้น่ะขอใส่อารมณ์หน่อย คือคิดได้แค่นั้นเหรอ กับเด็กที่ถึงขั้นว่าเปลี่ยนคณะการเรียนมาเริ่มต้นใหม่เพราะผู้ชายผมยาวใส่แว่นกรอบเหลี่ยมชอบทำตัวเหมือนลุง ดูจากภายนอกแล้วโคตรจะไม่น่าพิสมัย เขาเองตอนที่เจอกันครั้งแรกยังคิดเลยว่านี่ซิ่วมากี่รอบ

   แล้วนี่คือตำแหน่งเดียวกับที่คนที่ตัวเองบูชาเลยนะ เรื่องอะไรจะปล่อย

   ยิ่งมีเรื่องลาออกเข้ามาเอี่ยวแล้วด้วย

   “แต่ถ้าทำอย่างนี้สุดท้ายระบบมันก็ไม่ได้รันอย่างที่ควรเป็น”

   “บิดเบี้ยวมากๆ จะได้แตกหักสักทีไง” คิดอย่างที่ออกความเห็นจริง ในฐานะคนที่ไม่มีความเมตตาต่อสัตว์โลกเท่าไหร่การที่ปล่อยให้อยู่ในจุดที่ไม่สามารถยื้อให้อยู่ในสภาพเดิมได้แล้วค่อยสร้างมันขึ้นมาใหม่ง่ายกว่าเยอะ “จะได้เอาพวกตัวปัญหาออกไป การคัดเลือกของธรรมชาติน่ะมีประสิทธิภาพกว่าที่คิดนะ”

   “มันก็มีทายาทอยู่เรื่อยๆ”

   “ธรรม พวกเราปกป้องน้องเขามานานเกินไปแล้ว ได้เวลาปล่อยให้บินเองสักที คือมันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ว่าเราก็ทำได้แค่มองเขาเรียนรู้และเติบโต”

   ให้ความเห็นตามที่คิด ถึงจะเอ็นดูเดือนตุลาแค่ไหนมันก็ต้องยอมรับว่าจะจับมือเดินไปตลอดเส้นทางจนกว่าจะถึงเส้นชัยคงเป็นไปไม่ได้ รวมถึงเด็กคนนั้นคงไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่

   “บินได้สูงเท่าไหร่มันก็ต้องอยู่ที่ความทะยาน จะป้องกันตัวเองจากศัตรูได้เท่าไหร่นั่นก็อยู่ที่การเอาตัวรอด ส่วนถ้าไม่ไหว...ก็แค่หล่นลงมา”

   เสียงกรรไกรตัดกิ่งไม้อ่อนที่กำลังออกดอกชูช่อเด่นดังเป็นครั้งสุดท้าย พอใจกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยของพุ่มไม้อยู่คนเดียว มัจฉ์ยกไม้ดอกขนาดเล็กขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา กลีบสีขาวบอบบางสวยงามสมกับเป็นสิ่งที่สรรค์สร้างจากธรรมชาติ หากในใจก็เสียดายที่มันจะโรยราไปในอีกไม่กี่ชั่วโมง

   ขยับมุมปากเล็กน้อยเป็นการบอกลาก่อนปล่อยให้ร่วงหล่นตามกฎแรงโน้มถ่วง

   “โลกนี้มันก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ”



แด่สิ่งที่ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา และไม่มีอยู่จริง




***

   กลับไปลองดูวันที่เปิดเรื่องแล้วก็อึ้งไปหลายวินาทีอยู่นะคะ (หัวเราะ) อยู่กันมานานมากเลย อย่างที่เคยบอกว่าเรื่องนี้ความจริงแล้วอยู่ในแพลนการแต่งหลังจากที่จบเรื่องหลอกลวงรัก แต่ว่าเจ้าก็แว้บไปเขียนไม่มีความจริงในความจริงก่อน บวกกับที่ไปเรียนต่อด้วยจนกลายเป็นว่าเรื่องนี้ถูกทิ้งยาวเลยค่ะ
   ปกติแล้วเจ้าเป็นคนที่เขียนทอร์กท้ายเรื่องยาว และมั่นใจว่าเรื่องนี้น่าจะยาวกว่าเดิมไปอีกค่ะ (ฮา) จะเริ่มจากที่เคยสัญญาว่าทำไมเจ้าถึงตั้งชื่อเรื่องนี้ด้วยคำที่เจ้าเกลียดตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน คำนี้อยู่ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรมค่ะ คำเต็มของมันคือ ‘อันมิอาจก้าวล่วงได้’ ซึ่งตัวมาตรานั้นมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับที่เจ้าเขียนในเรื่องนี้หรอกนะคะ เจ้าก็แค่รู้สึกถึงเส้นอะไรบางอย่างที่แบ่งเขตกั้นระหว่างตัวอักษรพวกนั้น มันเป็นความคิดที่ว่า โห ต้องใช้คำขนาดนั้นเลยเนอะ พอเอาไปโยงกับประสบการณ์การเรียนและการทำงานในมหาวิทยาลัยทั้งหมดแล้วเจ้าก็เลยคิดว่านิยายเรื่องนี้แหละที่จะเป็นตัวสะท้อนฉากจบชีวิตในวัยเรียนของฉัน (ฮา)
   เจ้ามีอะไรที่อยากเขียนลงไปในเรื่องนี้เยอะมาก นั่นเลยทำให้เรื่องนี้ยากที่สุดในแง่ที่ว่าจะเรียงลำดับเนื้อหาอย่างไรให้มันบาลานซ์กันทั้งสองฝั่ง ทั้งเรื่องวิชาการที่เจ้าอยากจะเล่าแล้วก็ความสัมพันธ์ของตัวละครด้วย คือเอาจริงบางครั้งกลับมาอ่านแล้วก็คิดว่านี่ฉันเขียนอะไรของฉันอยู่นะ ต้องยากอย่างนี้เหรอ (หัวเราะ) มันก็อาจจะดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวอยู่บ้างแหละค่ะ
   เริ่มต้นที่อะไรก่อนดี โครงเรื่องแล้วกัน เจ้าวางเอาไว้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายในวัยมหา’ ลัย คิดอย่างแรกเลยคือต้องคณะนิติแหละ จะเป็นคณะอื่นก็คงไม่ใช่เรื่อง แต่ว่าจะให้นักศึกษามาเล่าเรื่องพวกนี้ก็แอบคิดว่ามันจะยากไปหน่อยไหมนะ เขียนให้มันสอดคล้องกันยากมากเลย เจ้าก็เลยเลือกที่จะสร้างองค์การนี้ขึ้นมาค่ะ (ซึ่งในความเป็นจริงเจ้าเข้าใจว่าไม่น่าจะมีใครทำ) เทียบระบบจากองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาที่มีเก้าคน ส่วนเรื่องวิธีการเลือกนั้นเจ้าไม่ได้เทียบมาค่ะ เพราะคิดว่าถ้าให้มันเป็นการสอบแบบสอบผู้พิพากษาจริงๆ ไม่น่าจะมีใครได้เป็น (หัวเราะ)
   พอเล่าเรื่องนี้แล้วก็ย้อนความเป็นเรื่ององค์การอื่นด้วยเลยแล้วกัน เจ้าจะไม่เหมารวมว่าการทำงานของสองฝ่ายนี้ในความเป็นจริงของแต่ละมหาลัยจะเป็นรูปแบบไหนนะคะ ที่เคยทำงานมาก็เข้าใจว่ามันมีระบบโครงสร้างที่แตกต่างกันออกไปแหละ อยู่ที่ระเบียบตั้งแต่แรกด้วยว่าให้ขอบเขตอำนาจหน้าที่แค่ไหน ที่เจ้าเจอมาคือเจ้าปวดหัวกับการแบ่งอำนาจหน้าที่ที่ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นมากๆ เลยค่ะ มันกลายเป็นว่าทฤษฎีในเรื่องพวกนี้ปรับใช้กับความจริงไม่ได้เลย แล้วมันกลายเป็นความไม่เข้าใจค่ะ ไม่เข้าใจมากเลยว่าทำไมถึงไม่แก้ไขทำให้ถูกต้อง ทำไมถึงยังยึดกับสิ่งที่ไม่ใช่ขนาดนั้น
   แล้วยิ่งไปได้เข้าไปลองทำในหลายแง่ หลายมุม เจ้าคิดมาเสมอเลยค่ะว่าการเมืองในระดับมหาวิทยาลัยนี่น่ากลัวนะ ในแง่ที่ว่าแทนที่มันจะทำให้เติบโต กลับกลายเป็นว่าเจ้ายิ่งหมดความเชื่อมั่นค่ะ ซึ่งมันสะท้อนอยู่ในเรื่องแหละ ก็บอกได้ว่าในบางครั้งสิ่งที่เห็นว่ามันเหมือนไม่มีอะไร มันมีจริงนะคะ การเมืองข้างในมันมีอยู่และไม่มีทางหายไปง่ายๆ หรอก
   โจทย์เลยเป็นว่าเขียนแบบไหนที่จะทำให้รู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มันไม่ได้ไกลตัวค่ะ เอาง่ายๆ เลยตั้งแต่ว่าการเลือกตั้งตอนเราอยู่ในมหาลัยนี่แหละ เราเคยไปใช้สิทธิกันหรือเปล่า มันมีใครบ้างที่ใช้ประโยชน์จากความไม่สนใจของเราตรงนั้น คือเจ้าก็เคยเป็นคนที่ไม่สนใจนะคะ คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาตลอดเลย ใครจะเป็นผู้นำมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเราสักหน่อย อยู่แค่สี่ปีเดี๋ยวก็ไปแล้ว จนได้ลงไปทำงานเองค่ะ ถึงได้รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยากที่จะทำงานในเงื่อนไขล้านแปด (ที่มีอุปสรรคใหญ่ที่สุดชื่อว่ามหาวิทยาลัย) จนทั้งเข้าใจแล้วก็เสียใจที่ต้องปล่อยให้เวลานั้นมันดำเนินไปในแบบที่ผลออกมาเหมือนกับว่าตัวเองเพิกเฉยกับมันค่ะ
   บวกกับช่วงที่ผ่านมาเจ้าได้กลับไปลงสนามจริงค่ะ สนามที่ยิ่งทำให้เจ้าไปต่อไม่ถูกกับความเชื่อที่เคยมี สุดท้ายก็เลยได้แต่บอกตัวเองว่าใช่ การเมืองมันก็อย่างนั้นแหละ ต่อให้ในระดับไหนก็ตามทีเถอะ แล้วความตลกคือพอก้าวเข้าไปแล้วถอยออกมาไม่ได้เลยค่ะ กลายเป็นว่าชีวิตถูกล้อมไปแล้วเสียอย่างนั้น ซึ่งไม่ดีหรอกค่ะที่จริงน่ะ (หัวเราะ) อีกอย่างคือเจ้าได้มีโอกาสคุยกับคนที่ยังมีไฟค่ะ ซึ่งมันตั้งคำถามใหญ่ให้เจ้าจริงๆ นะคะว่าคนเหล่านี้เขายังยืนหยัดอยู่ตรงนั้นได้ยังไง เขาไม่สูญสิ้นบ้างเหรอ ก็ได้เรียนรู้มาเยอะค่ะ
   ที่เขียนมาทั้งหมดเจ้าไม่ได้อยากจะให้ทุกคนหมดหวังไปกับเจ้าด้วยนะคะ คือมันก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ผ่านมาแหละ ส่วนหนึ่งเจ้าดีใจนะคะที่เห็นว่ามันมีการเปลี่ยนแปลง มันมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับทุกสิ่งรอบตัวมากขึ้น
   ส่วนต่อมาก็คงเป็นเรื่องที่เขียนลงไป คือยากที่สุดคือเขียนแบบไหนให้ไม่อันตรายกับตัวเองแต่ก็ยังชัดเจนพอที่จะสื่อกับคนอ่านว่ามันหมายถึงอะไรค่ะ (ยิ้ม) มันเป็นเรื่องที่ยากนะคะ เพราะเจ้าก็ยังคิดว่าหลายครั้งเรื่องพวกนี้มันดูไกลตัวจนยากที่จะเขียนออกมาให้มันใกล้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย เจ้าของอำนาจ การแบ่งแยกอำนาจ อำนาจในการตรวจสอบภายใน การสอบผู้พิพากษา หรือว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมายหลายๆ มาตรา คือหลายเรื่องคิดหนักนะคะ ว่าจะเขียนไม่เขียน ถามตัวเองว่าเสี่ยงชีวิตไม่น้อยเลยนะถ้าเธอจะเขียนเรื่องพวกนี้น่ะ แล้วก็จบที่ว่าเขียนเถอะ เขียนไปให้เธอไม่เสียใจ เขียนไปให้มันเป็นความทรงจำว่าเธอเคยมีตัวตนแบบไหน ก็ถือว่าได้เขียนครบนะคะ
   ส่วนที่ยากพอกับการเขียนเนื้อเรื่องคือเรื่องของภาษาค่ะ คือจนป่านนี้แล้วเจ้าก็ยังไม่คิดว่าภาษาตัวเองนิ่งเลยค่ะ ยิ่งกับเรื่องนี้คือแสนจะแกว่ง ชีวิตที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นหลักนี่ยากจังนะคะ ตลอดการเขียนนอกจากจะคิดคำได้แต่ซ้ำๆ แล้วที่เจ้าปวดหัวที่สุดคือการที่คิดเป็นภาษาอังกฤษออกแต่คิดไทยไม่ออกค่ะ (ฮา) ต้องเอาไปแปลในดิกก่อน แล้วบางคำมันเป็นภาษาวิชาการด้วย ไม่อยากจะพลาดก็เลยเนี่ยแหละค่ะ ถูกดองมาอย่างยาวนานก็อย่างนี้
   เรื่องนี้ทุกคนจะเหมือนกันตรงที่เป็นสีเทาค่ะ ไม่มีใครที่ขาว และไม่มีใครที่ดำ (ยิ้ม) เจ้าไม่ได้บอกที่พวกเขาทำมันถูก จริงๆ คือมันก็ผิดล่ะ แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงที่ความผิดมันถูกฝังกลบด้วยเหตุผลอะไรหลายอย่าง ความกลัว ความเกรง ความรัก เยอะค่ะ เจ้าก็คิดหนักนะคะที่ให้น้องตุลเลือกทางนั้น เพราะว่ามันเป็นความผิดที่คนที่เรียนโดยตรงมาน่าจะรู้ดีที่สุด ก็อย่างนั้นแหละค่ะ โลกเรามันก็อย่างนี้ ซึ่งถ้ามันช่วยสร้างความกล้าที่จะป่าวประกาศว่ามันผิดได้ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีค่ะ
   เจ้าชอบสภาวะ dilemma ในเรื่องนี้มากๆ เลยนะคะ รวมถึงความ contradiction ด้วย คือเขียนแล้วรู้สึกเลยว่าเนี่ยแหละความย้อนแย้งที่ฉันเจอมา
   ก็จะประมาณนี้แหละค่ะ จะทำให้ดิ่งไหมนะคะ ปกติแล้วเวลาเจ้าเขียนเจ้าจะวางเส้นเรื่องเอาไว้ก่อนจนจบ ไม่ว่าจะพิชแบล็คหรือว่าหลอกลวงรักคือเจ้าไม่เข้าไปเปลี่ยนตอนจบเลยนะคะ แต่กับเรื่องนี้คือประหลาดมาก เพราะเจ้าลังเลกับการเขียนตอนจบมาตั้งแต่เริ่มแต่งตอนแรกจนถึงตอนยี่สิบเลย เจ้ารู้สึกว่าตัวเองก็ยังคงอยู่ในระหว่างการเรียนรู้จนไม่สามารถที่จะตัดสินใจในเรื่องของอนาคตได้ค่ะ เจ้าเลยจบแบบนี้ แบบที่น้องตุลก็ยังคงเลือกเดินตามในเส้นทางเดียวกับสัทธา หากว่าหลังจากนั้นแล้วจะเป็นแบบไหนเจ้าก็ยังมองไม่ออกเลย เหมือนกับว่าต่อให้ปากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เชื่อในเรื่องระบบพวกนี้ ไม่เชื่อในเรื่องความยุติธรรม แต่ลึกๆ แล้วข้างในของเจ้าก็ยังเป็นอย่างนั้นมั้งคะ ยังคงหวังเอาไว้ว่ามันอาจจะมีจริง
   ในย่อหน้าเกือบสุดท้ายนี้คงเป็นแพทเทิร์นเดิม ขอบคุณทุกคนที่อยู่กับงานเขียนของเจ้ามาไม่ว่าจะเริ่มต้นตั้งแต่ตรงไหน เจ้า appreciate กับทุกแรงซัพพอร์ต ทุกกำลังใจ ทุกครั้งที่เจ้าคิดว่ามันคงไปต่อไม่ไหวแล้วแต่มันก็ยังพอไปได้แหละนะ ขอบคุณที่รักพวกเขา ขอบคุณที่เป็นช่วงเวลาที่ดีเสมอนะคะ
   สำหรับหลังจากจบเรื่องนี้แล้วเจ้าจะกลับไปเรียนต่อในเทอมสุดท้ายค่ะ ความทรมานทั้งหมดมันกำลังจบลงล่ะ (ฮา) ไม่ได้มองไว้ว่าในส่วนของงานเขียนมันจะมีใหม่ไหมหรือว่ายังไง ยอมรับกันตรงนี้ว่าเจ้าอยู่ในสภาวะที่ยอมแพ้กับงานเขียนแล้วค่ะ สู้ไม่ไหวล่ะ ที่ยังเขียนเรื่องนี้เพราะไม่อยากจะทิ้งไว้ ก็สร้างเขามาก็ควรจะเขียนให้จบล่ะเนอะ ข้อดีของมันคือการที่เราไม่มองเรื่องพวกนี้ก็จะยังสู้ไปได้ค่ะ เป็นความชินชาที่ก็ไม่ได้ดีกับสุขภาพจิตเท่าไหร่ (ส่วนลึกๆ ก็ยังคิดมากนะคะ แต่ว่าก็จะน้อยลงแบบที่ตัวเองรู้สึกได้แหละ) ก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นก็โฟกัสไปทีละเรื่อง จะเขียนจะหยุดอะไรก็ค่อยๆ คิด ถ้าจะยอมแพ้ก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะแจ้งหน้าทวิตแบบจริงจังไม่หายไปเฉยๆ แน่นอนค่ะ
   ยังมีที่ติดค้างเอาไว้อยู่คือเรื่องสั้นประจำปี อันนั้นยังไงก็จะเขียนค่ะ เป็นประเพณีมานานแล้วล่ะ (ยิ้ม) แต่ว่าจะมาเมื่อไหร่นี่คือไม่รับปากนะคะ ประจำปีก็คือลงได้เมื่อไหร่ก็ได้ในปี 2020 นี่แหละ (ฮา)
   ขอบคุณจากใจค่ะ

   แด่ความยุติธรรมที่ฉันไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง
   23August

   #มิอาจก้าวล่วง

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ชอบที่เดือนตุลายังเชื่อในความรู้สึกตัวเองเสมอ มันแบบว่า T_____________T
เป็นเรื่องที่ต้องอ่านแล้วคิดตามตลอด ไม่สามารถหลุดได้ซักบรรทัด
แต่คนเขียนเขียนได้ค่อนข้างเข้าใจง่าย  o13
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สุดท้ายก็ยังสงสารน้องตุลส่วนสัทธานี่ก็สัทธาจริงๆหรือเราจะเป็นเพียงผู้พ่ายแพ้กันนะเดือนสิบ.ขอบคุณคุณเจ้านะคะที่แต่งเรื่องนี้มาในช่วงเวบาที่พอเหมาะพอสมเหลือเกิน

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เดือนสิบก็ยังมีแรงสู้ก็เลยยังสู้ไม่ถอย
ขออวยพรให้อนาคตคุ้มค่ากับที่สู้นะ

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด