ตอนที่ 4 : คุณพระจันทร์“กูแม่งคิดอยู่แล้วเชียวว่าข้าวมันไก่จะอร่อยอะไรนักหนาวะ” กล้าจิ้มส้อมลงบนเนื้อไก่ มองค้อนผมก่อนส่งไก่ที่น่าสงสารชิ้นนั้นเข้าปาก
“มึงเป็นคนบอกกูเองว่าเจ้านี้อร่อยกว่าที่ไหนๆ” ผมย้อนเอาคำพูดของกล้ามาบอกกับเจ้าตัว
“เออกูพูดเอง แต่ถึงจะอร่อยแค่ไหนมันก็แค่ข้าวมันไก่หรือเปล่าวะ ใครจะลงทุนถ่อมากิน ที่แท้มึงก็มีเป้าหมายอื่น วันนั้นกูเสือกคิดไม่ทัน”
“จะบ่นอะไรนักหนาวะ กินๆ เข้าไป” ผมหัวเราะขำความงอแงของเพื่อน
“ว่าแต่คราวก่อนที่มามึงเป็นติ่งมันหรือยังวะ”
ผมหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนตอบ “คิดว่าเป็นแล้ว”
“คิดว่าเหรอ”
“อืม” ผมตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้กล้าฟัง เว้นเรื่องเดียวคือเรื่องที่ตฤนกลัวแมว ที่ไม่เล่าไม่ใช่เพราะผมไม่ไว้ใจกล้า แต่เพราะผมไม่มีสิทธิ์เอาความลับของตฤนมาโพนทะนา การเล่าอย่างสนุกปากเพียงหนึ่งครั้งของเรา อาจส่งผลต่อชีวิตคนๆ หนึ่งไปทั้งชีวิต
“ฮ่าๆ ไอ้ว่าน ไอ้คุณน้ำหวาน โอ๊ยกูขำ” กล้าชี้หน้าผม หัวเราะจนเม็ดข้าวเกือบพุ่งออกมา ดีที่เจ้าตัวหุบปากทัน
“มึงจะหัวเราะให้กูปวดใจทำไมวะ”
“ปวดใจทำไม มึงก็บอกมันไปสิวะว่าหวานกับว่านคือคนๆ เดียวกัน”
“บอกให้ไอ้ตฤนหน้าแตกเหรอ มันคงเกลียดกูเข้าไส้ ปล่อยไปเถอะ ใช่ว่ามันจะสนใจว่าหวานคือใครกูคือใคร จำหน้าได้ก็บุญแล้ว”
“เอางั้นเหรอวะ”
“เออ”
“ก็ตามใจมึง แต่วันนี้กูว่ามึงมาเสียเที่ยวว่ะ กูยังไม่เห็นหน้าไอ้ตฤนเลย ถ้ามันไม่กินไปก่อนแล้ววันนี้ก็คงไม่มา หรือไม่ก็ยังไม่มา”
“ไม่เป็นไร วิถีเอฟซีใครว่าจะได้เจอศิลปินง่ายๆ” ผมยักไหล่ ได้เจอก็ดีไม่ได้เจอก็ถือว่ามาเจอเพื่อน
“ไอ้ตฤนมันเป็นนายแบบไม่ใช่ศิลปิน”
“ใช่ ส่วนมึงก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่รู้เหรอว่าอันไหนกูพูดจริงอันไหนกูพูดเปรียบเทียบ”
“ด่ากูจัง มาถึงคณะกูก็ยังด่า”
“หึๆ”
“พรุ่งนี้มึงมาใหม่สิ ไอ้ตฤนมีเรียนวิชาเดียวกับกู เลิกก่อนเที่ยงพอดี ตอนกินข้าวมึงได้เจอแน่เว้นแต่มันจะออกไปกินข้างนอกตามประสาคนมีตังค์”
“กูติดธุระสำคัญด้วย” ผมนิ่งคิดครู่หนึ่ง “แต่ถ้ามาได้กูจะมา จะพยายามมา”
“กูไม่เข้าวิถีแฟนคลับจริงๆ”
“หึๆ เดี๋ยวมึงก็ชิน”
• • • • • • • •
ผมแยกกับกล้าที่หน้าตึกคณะ แอบเสียดายที่พรุ่งนี้อาจเสียโอกาสดีๆ ไป ผมไม่แน่ใจว่าจะมาทันไหมเพราะต้องเอาหนังสือที่ลูกค้าสั่งไว้ไปส่งให้ตามนัด ไม่เป็นไรวันอื่นยังมีหรือไม่ก็ไปแอบดูที่ร้าน over the moon ก็ได้ ผมเจอตฤนที่นั่นบ่อยครั้งในวันพฤหัสฯ ซึ่งเป็นวันหยุดงานของผมพอดี
ผมเลิกคิดมากออกเดินเพื่อกลับคณะ เสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาดู
เดินกลับมาก่อนผมรีบหันกลับไปมอง ตฤนยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าตึกคณะ มาตอนไหนหว่าทำไมผมไม่เห็น ผมพยายามรักษาฝีเท้าไม่ให้เร็วเกินไป กลัวอีกฝ่ายจะจับได้ว่าผมอยากวิ่งกลับไป
“ว่าไง แอนตี้แฟน”
“ก็บอกว่าไม่ใช่!” เจอประโยคแรกก็ทำเอาผมหน้ามุ่ย คำก็แอนตี้แฟนสองคำก็แอนตี้แฟน ก็บอกว่าไม่ได้เกลียดโว้ย~
“ไหนของ” มือได้รูปแบบออกมาตรงหน้าผม ผมก้มลงมองมือข้างนั้นก่อนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือ ถอนใจออกมาเสียงดัง
“งานก็มีทำ ตังค์ก็มีตั้งเยอะทำไมงก ทวงอยู่นั่นแหละ”
“หึๆ” แทนที่จะโกรธตฤนกลับหัวเราะออกมา ดวงตาเป็นประกาย “แล้วมาบอกว่าไม่ได้เป็นแอนตี้แฟน แฟนคลับที่ไหนเขาพูดกับคนที่ชอบแบบนี้”
ผมหน้าแดงเรื่อ เขินเพราะสายตาวาววับและคำพูดของตฤน “อย่าใช่คำนี้สิฟังแล้วขนลุกชอบกล” ผมบอกไปตามที่รู้สึก ยิ่งส่งให้รอยยิ้มของตฤนกว้างขึ้น
“ชื่นชอบเอ้า” อีกฝ่ายยอมหยวนให้ผม
“ค่อยยังชั่ว “ ผมพยักหน้าค่อยยิ้มออกมาได้ “คำนี้ดีขึ้นมาหน่อย”
ริมฝีปากของตฤนยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก ดวงตาวาววับจับจ้องที่ใบหน้าของผม “ทำไมถึงชอบดุ”
“หะ!” ผมเบิกตากว้าง “ดุที่ไหน นายนั้นแหละขนาดไม่พูดหน้ายังโคตรดุ”
“ตกลงมีของจะให้หรือเปล่า”
“จะเอาให้ได้ใช่ไหท” ผมถามเมื่อตฤนวกกลับมาเรื่องเก่า ไม่ยอมพูดเรื่องใครดุกว่าใครต่อ
“นี่ไม่รู้จริงๆ เหรอ”
“ถ้ารู้จะถามเหรอ ตกลงคือต้องให้ว่างั้น ทำอย่างกับมาเฟียเก็บค่าคุ้มครอง”
“สมองนายมีอยู่เท่าไหร่ ทำไมแค่นี้คิดไม่ได้” ตฤนยกมือขึ้นจับศีรษะของผมทั้งสองข้าง ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้จนตาอยู่ในระดับเดียวกัน ผมกลั้นหายใจทันที
“มีถึงเม็ดถั่วไหม”
“บ้าเปล่า มีเท่านั้นก็ไม่ต้องโตแล้ว”
“หึๆ ก็ถ้ามันมีมากกว่านั้นก็ต้องรู้สิว่าฉันทวงของนายทำไม”
“เพราะนายไม่เชื่อว่าฉันเป็นแฟนคลับ” ผมเลือกคำตอบที่คิดว่าน่าจะถูกต้อง
ตฤนส่ายหน้าช้าๆ รอยยิ้มกดลึกยิ่งขึ้น แววตาเริ่มดูร้ายกาจมากกว่าเดิม
“อยากได้ของฟรีเอ้า” ผมตอบตัวเลือกถัดไป
“คิดงั้น” รอยยิ้มกวนๆ มาพร้อมคิ้วที่เลิกขึ้นนิดๆ เป็นใบหน้ากวนอวัยวะเบื้องหล่างที่หล่อมาก
“บอกๆ มาเถอะขี้เกียจเดาแล้ว”
“ก็แค่หาเรื่องคุย แค่นี้ไม่รู้เหรอ”
“หาเรื่องคุย!!” ตาของผมโตเป็นไข่ห่าน ปากอ้าพะงาบๆ ด้วยความคาดไม่ถึง ก่อนที่ริมฝีปากจะเริ่มสั่นขึ้นเรื่อยๆ จนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ใบหน้าของตฤนหงิกงอ สายตาที่มองมาเอาเรื่อง
“เข้าใจแล้ว” ผมพยายามกลั้นยิ้มจนปากสั่น “นายกินข้าวหรือยัง วันนี้มาเรียนบ่ายเหรอ เรียนวิชาอะไร วันนี้อากาศร้อนชะมัด อยากให้ฝนตก แล้ววันนี้เลิกค่ำไหม มีงานเดินแบบต่อหรือเปล่า ได้พักผ่อนบ้างไหม หนังเรื่องใหม่ที่เพิ่งเข้าสนุกนะ” ยิ่งผมพูดหน้าหล่อเหลาของตฤนก็ยิ่งบึ้ง แต่ในความบึ้งตึงนั้นผมเห็นความเก้อเขินซ่อนอยู่ในนั้น ทำไมถึงโคตรน่ารักแบบนี้วะ
“หยุด!” เสียงดุๆ สั่งห้ามผม “กลับไปได้แล้วฉันเบื่อขี้หน้านาย”
“หน้านี้นะ” ผมยกมือขึ้นชี้หน้าตัวเอง
“ไป..ได้..แล้ว” ตฤนโบกมือไล่ผม แต่แปลกที่ผมไม่โกรธเลยสักนิด กลับขำจนต้องกลั้นไว้ เกร็งจนรู้สึกปวดท้อง
“ถ้าหาอะไรถูกใจได้จะซื้อให้นะ ไม่ต้องทวงแล้ว” ผมพูดส่งท้ายด้วยรอยยิ้มกว้าง ตฤนไม่ยิ้มตอบผม ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงแต่ผมกลับยิ่งอารมณ์ดี
ผมคิดย้อนไปถึงวันนั้น วันที่เป็นเหมือนวันมหาซวยของผม จะว่าไปคืนนั้นพระจันทร์บนท้องฟ้าเต็มดวง สาดแสงอบอุ่นลงมา คิดดูแล้วตฤนก็เหมือนพระจันทร์ดวงนั้น ที่ส่องแสงเข้ามาในจังหวะที่ผมต้องการพอดี ไม่ว่าเมื่อไหร่ตฤนก็ทำให้ผมยิ้มได้เสมอ
อืม ถ้าอย่างนั้นฉันควรให้อะไรนายดีนะ “คุณพระจันทร์”
• • • • • • • •
ถ้าว่างก็แวะมาเอาของที่ทวงนะ อยู่ถึงสองทุ่ม ผมส่งข้อความพร้อมแชร์โลเคชั่นไปให้ อดตลกตัวเองไม่ได้อย่างตฤนเหรอจะโผล่มา ผมทำงานในร้านไปเรื่อยๆ นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมนึกขอบคุณ เพราะตฤนทำให้ผมเลิกท้อไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้มาสมัครงานร้านพี่ซิน ไม่ได้เจ้านายใจดีขนาดนี้ ที่สำคัญได้ทำงานที่ผมชอบ ผมชอบอยู่กับหนังสือมากกว่าเจอผู้คนในร้านอาหาร
เสียงกริ่งประตูที่ดังขึ้นเรียกสายตาของผมให้หันไปมอง ไม่อยากเชื่อว่าคนที่เดินเข้ามาคือตฤน แต่ดูเหมือนจะมีคนที่ช็อคมากกว่าผม เสียงหนังสือหล่นลงบนโต๊ะดังเข้าหู พี่ซินยืนตาค้างอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์คิดเงิน
“ไหนของ” ผมชิงพูดขึ้นก่อนเมื่อตฤนเดินมาหยุดยืนตรงหน้า “มาจริงๆ ด้วยแฮะ”
“อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง ฉันนั่งกินข้าวอยู่กับเพื่อนห่างไปไม่ถึงห้าร้อยเมตรตอนได้ข้อความ มันเป็นทางผ่านขากลับอยู่แล้ว”
“อ๋อ..อืม” บังเอิญสินะนึกว่าตั้งใจมา ยิ้มของผมเหี่ยวลงแต่ครู่เดียวก็กลับมายิ้มกว้างได้อีกครั้ง ไม่ดีเหรอ ระหว่างผมกับตฤนความบังเอิญเชื่อมโยงเราเข้าด้วยกันเสมอ
“รอเดี๋ยว” ผมบอกให้ตฤนยืนรอ ตัวเองเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อหยิบของขวัญ
“นั่นๆ รามใช่ไหม รามตัวเป็นๆ ใช่ไหม” ผมรู้สามเหตุที่พี่ซินตกใจแล้ว ผู้ชายที่เดินตามหลังตฤนเข้ามา คือดาราแม่เหล็กของช่องดังช่องหนึ่ง ผมเชื่อแล้วว่าถ้ายืนด้วยกันสามคนครบกลุ่มคงสร้างความเสียหายทางสายตาได้มากแน่ๆ ออร่าทิ่มตาดีจริงๆ
“ใช่ครับ”
“ฮือ พี่ทำอะไรไม่ถูก มือไม้ใจสั่นไปหมดแล้วโอ๊ย” พี่ซินแบมือให้ผมดูมันสั่นนิดๆ ตามที่เจ้าตัวบอก
“พี่ซิน..เหรอครับ” ผมเว้นไว้ในฐานที่เข้าใจกัน
“ยิ่งกว่าดาราทุกคน โอ๊ยพี่จะเป็นลม”
“ฮ่าๆ เดี๋ยวผมมาครับ” ผมก้มลงหยิบของในลิ้นชักขึ้นมาถือ
“ฝากจับมือด้วยนะ”
“ผมจะไปจับได้ยังไงครับ”
“อ้าว นึกว่ารู้จักกัน”
“เรื่องมันยาวเดี๋ยวผมมาเล่าให้ฟัง” ทั้งหมดนี้คือการกระซิบที่ดูมีพิรุธมาก
“เอ้า” ผมส่งของที่เตรียมไว้ให้ตฤนไป
“อะไร” คิ้วอีกฝ่ายขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย เมื่อเห็นของที่อยู่ในถุง ใบหน้าที่เงยขึ้นเหมือนอยากจะกินหัวผม “นิทาน!”
“ไม่ใช่นิทาน หนังสือภาพเรื่องหมีหน้าบึ้ง เรื่องนี้ดีนะ”
“ดียังไง” คนถามพร้อมจะหาเรื่องทุกเวลา
“บอกก็ไม่สนุกสิ เอาไปอ่านเองเถอะ”
“นี่แกล้งกันใช่ไหม”
“เปล่า อยากให้อ่านจริงๆ ตอนจบน่ะ..” ผมส่งยิ้มกว้างให้ตฤน “หมียิ้มเป็นด้วยนะ”
ตฤนมองหน้าผมนิ่ง ก่อนดวงตาหาเรื่องคู่นั้นจะปรากฏรอยยิ้มหัวแบบที่เจ้าตัวคงไม่อยากให้ผมเห็น เพราะตฤนรีบเบือนหน้าหนีหมุนตัวกลับไปทางประตู
“เสียเวลาชะมัด”
แปลกไหมถ้าผมไม่เชื่อคำที่ตฤนพูดออกมาสักนิด “ขับรถกลับดีๆ นะ อย่าขับรถเร็ว” ผมตะโกนตามหลังตฤนไป
“ขี้บ่น” เสียงทุ้มลอยลมมา
เมื่อประตูร้านปิดลง ผมยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงหู ขณะที่พี่ซินปิดปากกรี๊ด ผมขำเจ้านายจนเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นเสียงหัวเราะ ดูเหมือนวันนี้ชีวิตพี่ซินจะคอมพรีทแล้วเช่นกัน ถ้าชีวิตคนเรามีวันที่ดีและแย่ปะปนกันไป วันนี้ก็น่าจะเป็นวันที่ดีมากวันหนึ่งของผมกับพี่ซิน เพราะถึงตอนนี้เราก็ยังหุบยิ้มไม่ได้เลย
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
.
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin