★C H O R A K A★ #จรกาคนงาม - ★★Special C H 02★ทายาทอสูร[02.07.61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ★C H O R A K A★ #จรกาคนงาม - ★★Special C H 02★ทายาทอสูร[02.07.61]  (อ่าน 143989 ครั้ง)

ออฟไลน์ พันวา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-5
เลิกตอแยพี่อินทร์แล้วไปเปิดตำหนักหมอจิณห์น่าจะรุ่งกว่าเยอะ

น่าจะเปิดไปแล้วนะต้นตำหรับ ยาป้ายปลดทรัพย์ที่เลื่องลือ  :t2: :t2: :t2: :t2:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ถ้าไม่ปล่อยวางก็ยิ่งเป็นทุกข์นะ จินต์

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
โอ้ยยยย จิณห์อย่าทำอะไรน้องจินะ ทำไมไม่รักตัวเองบ้างอิเหนาไม่รักก็หันกลับมารักตัวเองดิ เลิกทำร้ายคนอื่นซักที

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
 

Chapter 41: อิเหนาไม่ได้เป็นของจรกา[1]

ผมบังคับตัวเองไม่ได้เลย พี่จิณห์สั่งให้ทำอะไรก็ทำตามหมด ตอนนี้ก็เลยมานั่งอยู่บนรถเขาขณะที่เขามุ่งหน้าพาผมไปที่ไหนก็ไม่รู้ ผมเหลือบมองเขาเป็นระยะด้วยความหวั่นใจ ในใจรู้แล้วล่ะว่าการที่เขาโผล่มาอย่างนี้จะต้องคิดทำอะไรไม่ดีกับผมแน่ แต่จะเป็นอะไร ก็สุดที่ผมจะคาดเดาได้เหมือนกัน

บทสนทนาของเราไม่มีเลยสักนิด จนกระทั่งขับรถมาได้ระยะหนึ่ง พี่จิณห์ก็ทำลายความเงียบขึ้น

“ไม่ต้องนั่งเกร็งขนาดนั้น กูไม่ได้จะทำอะไรมึงหรอก ส่วนไอ้ที่ป้ายจมูกมึงมันก็ไม่ได้อันตราย ไม่ต้องทำหน้าเหมือนกูจะฆ่ามึงขนาดนั้น”

ผมเหลือบมอง ไม่ไว้ใจเขาเลยสักนิดแม้ว่าเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก็ตาม

“แล้วพี่จิณห์เอาอะไรป้ายจิครับ”

ผมถามเพราะรู้ทันทีว่ามันต้องเป็นยาอะไรสักอย่างที่มีผลในทางไสยศาสตร์ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ขึ้นรถมากับเขาง่ายๆ ทั้งที่สติสัมปชัญญะรับรู้เรื่องราวทุกอย่างครบถ้วนอย่างนี้หรอก ซึ่งก็ใช่เมื่อเขาว่าออกมา

“ยาสั่ง” พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ด้วยซ้ำ “ไม่ทำแบบนี้ มึงคงไม่ขึ้นรถมากับกูหรอก จริงไหม”

ผมไม่ตอบ แต่ความเงียบคือการตอบว่าใช่ พี่จิณห์ก็ไม่ได้พูดอะไร มีแต่ผมเท่านั้นที่ถามออกมา

“พี่จิณห์จะพาผมไปไหนเหรอครับ”

เขาไม่ตอบในทันที เหลือบมองก่อนจะว่าเสียงเรียบ

“อยากคุยอะไรด้วยหน่อย”

“คุยกันตอนที่พี่อินทร์อยู่ก็ได้”

“อยากคุยกับมึงแค่สองคน อย่าถามมาก เงียบๆ ปากไป กูไม่มีสมาธิขับรถ”

เขาขัดแทบจะในทันที ผมก็เงียบตามที่เขาสั่ง ไม่ใช่ว่าอยากเงียบ แต่เพราะฤทธิ์ยาที่ทำให้ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้

 

หลายชั่วโมงทีเดียวที่พี่จิณห์พาผมขับรถไปตามถนน เขาไม่มีจุดหมายอะไรเป็นพิเศษ ขับวนไปวนมาอยู่ในกรุงเทพฯ จนกระทั่งฟ้ามืด ผมเหลือบมองนาฬิกาที่วิทยุหน้ารถก็เห็นว่ามันเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว พี่อินทร์โทรมาหาหลายสายแล้วเช่นกัน แต่ผมไม่มีแรงมากพอที่จะฝ่าฝืนคำสั่งคนข้างๆ ที่บอกว่าห้ามรับไปกดรับสายคนที่โทรมาได้เลย จนกระทั่งแบตเตอร์รี่หมด ตอนนั้นเองที่พี่จิณห์พาผมไปจอดยังข้างถนนแห่งหนึ่งซึ่งผมก็ไม่แน่ใจนักว่าที่ไหน แต่มองไปข้างหน้า ผมก็เห็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เท่านั้นผมก็ใจไม่ดี แต่จะถามเขาก็ถามไม่ได้เพราะถูกสั่งให้เงียบ เลยได้แต่มองเขาทอดสายตามองไปข้างหน้า แสงสีส้มจากไฟข้างถนนทำให้เขาดูเหงายังไงก็ไม่รู้ ทว่านั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่เขาพูดขึ้นมา

“ลงจากรถ”

ผมเบิกตาโตมองเขาทันที

“ไปเดินเล่น เป็นเพื่อนคุยกับกูหน่อย”

ตอนนี้เองที่ผมเปิดปากขึ้นมาได้

“คุยกันตรงนี้ก็ได้นี่ครับถ้าพี่จิณห์มีธุระอยากคุย”

“กูบอกให้ลงจากรถ”

เขาไม่ได้ตะคอกหรือตวาด แต่น้ำเสียงกลับทำให้ผมหวั่นใจขึ้นมา ผมลงจากรถโดยง่าย เดินตามเขาที่ก้าวขึ้นไปตามทางฟุตปาธที่เลียบไปกับสะพาน ก่อนที่เราจะมาหยุดตรงจุดที่สูงสุดบนสะพานนั้น

เขาไม่พูดอะไร เอาแต่เงียบ ปล่อยให้ลมเย็นๆ จากแม่น้ำพัดเส้นผมปลิวไปด้านหลังจนเห็นกรอบใบหน้าชัดเจน

จริงๆ แล้วพี่จิณห์เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมาก เมื่อครั้งที่เป็นจินตะหราวาตี ก็เป็นหญิงที่มีรูปงามมากเช่นกัน เกิดมาในชาติตระกูลที่ดี พรั่งพร้อมด้วยทุกสิ่งอัน เสียอย่างเดียวตรงที่เขามีใจรักคนที่ไม่มีทางมอบใจให้เขา ผมไม่อยากพูดแบบนี้หรอกนะ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

“กูอยากคุยกับมึงเรื่องไอ้อินทร์”

เงียบกันอยู่นาน ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากออกมา ผมเลิกคิ้วสูง

“พี่อินทร์ทำไมเหรอครับ”

ให้เดานะ ผมคิดว่าเขาจะต้องสั่งให้ผมเลิกกับพี่อินทร์แน่ หรือไม่ก็อะไรที่ทำให้ผมต้องพรากจากเขา

ทว่า...ผมก็คิดผิดเมื่อพี่จิณห์พูดขึ้นมาอีกครั้ง

“จริงๆ ที่ไอ้อินทร์บอกกับกูวันนั้น กูก็ไปคิดดูเหมือนกัน ที่มันพูดมาก็ถูก คนไม่รักก็คือไม่รัก กูไปบังคับอะไรมันไม่ได้”

ผมเหลือบมองหน้าเขา สายตาของพี่จิณห์ดูเศร้าสร้อยเกินกว่าที่ผมจะบรรยายได้ ยิ่งเขาพูดมาอีกว่า...

“แต่การที่กูรักมันไปแล้ว จะบังคับให้ไม่รัก มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ เหมือนกัน มึงเข้าใจใช่ไหมว่าการที่รักใครสักคนปักใจมันเป็นยังไง”

ผมเงียบ พยักหน้า ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ตัวอย่างก็มีให้เห็น พี่อินทร์นี่ไง ต่อให้ผมโกรธเกลียดเขาแค่ไหน เขาก็ยังรักผมอยู่ดี รอข้ามชาติจนกระทั่งได้รักกันจริงๆ เพียงแต่การแสดงออกของเขากับพี่จิณห์ไม่เหมือนกันก็เท่านั้น

พี่อินทร์รักผม...แบบยอมสละให้ได้ทุกอย่าง

แต่พี่จิณห์รักพี่อินทร์...โดยที่จะเอาทุกอย่างมาเป็นของตัวเองโดยที่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดยังไง

พอผมตอบไปอย่างนั้น เขาก็เงียบ ครู่หนึ่งเขาก็หันมามอง

“ถ้ามึงเป็นกู มึงจะทำยังไงกับความรู้สึกเวรๆ นี่ มึงจะทำยังไงต่อไปถ้ามึงรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ว่าจะทำอะไร เขาก็ไม่รักมึง?”

“จิคง...ปล่อยวางแล้วไปใช้ชีวิตที่เหลือให้มีความสุขโดยไม่มีคนคนนั้นครับ”

ผมตอบไปตามตรง ไม่ได้เสแสร้งหรืออะไรทั้งนั้น ผมอยากให้คนตรงหน้าผมมีความสุขจริงๆ พี่จิณห์เองก็ยิ้มออกมาน้อยๆ

“นั่นสินะ ในเมื่อทำยังไง มันก็ไม่รัก ปล่อยวางคงจะเป็นเรื่องดีที่สุด”

ตอนนี้ดวงตาของเขามีน้ำใสๆ เอ่อคลอ ทว่าไม่ได้ร้องไห้ ผมเห็นแล้วก็สงสารขึ้นมาจับใจ ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าเขาจะคุยกับผมรู้เรื่องในคราวนี้ทั้งที่ตอนแรกดูแล้วไม่ได้มาดีเท่าไร ดีแล้วล่ะที่ผมมาด้วย เพราะไม่อย่างนั้นคงจะต้องมีเรื่องคาราคาซังไม่จบสิ้นแน่ ได้คุยกันแบบเปิดอก คุยกันเหมือนคนธรรมดาคุยกันสักที ผมว่าก็ดีเหมือนกัน

ผมปลอบใจเขาด้วยการเอื้อมมือไปจับมือเขาที่จับราวสะพานอยู่ บีบเบาๆ เป็นการบอกว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ขณะที่เขาว่าเสียงแผ่ว

“กูจะตัดใจจากไอ้อินทร์แล้ว กูรู้สึกว่ากูไม่ไหว ควรพอ ถ้าทำยังไงมันก็ไม่รัก...กูก็ควรจะพออย่างที่มันบอก”

เป็นประโยคแรกที่ผมได้ยินจากปากพี่จิณห์แล้วเข้าหูที่สุด

ใช่ เขาควรตัดใจได้แล้ว เขาควรมีความสุขสักที...

ทว่าจู่ๆ เขาก็ว่าขึ้นมาอีก

“แต่มึงจำได้ใช่ไหมว่ากูเคยพูดอะไรไว้อย่างนึง”

“อะไรครับ”

“ถ้ากูไม่ได้ ใครก็ต้องไม่ได้มันทั้งนั้น”

ผมชะงัก มองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ

“พี่จิณห์หมายความว่ายังไงครับ”

เขาหันมามองผม

“กูไม่ได้รักกับมัน มึงก็ต้องไม่ได้รักกับมัน”

ผมใจหายวาบขึ้นมาในตอนนี้ มือที่จับเขาอยู่ค่อยๆ คลายออก ขณะที่สันหลังก็เริ่มเสียววาบขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าเรียบเฉยของเขา

“แล้ว...พี่จิณห์คิดจะทำอะไร”

“บางทีการไม่มีมึงอยู่ มันน่าจะดีกว่า ถึงกูจะบอกว่าตัดใจ แต่กูก็ทนเห็นคนอื่นไปมีความสุขกับมันไม่ได้หรอกนะ ในเมื่อมันทำให้กูทรมาน มันก็ต้องทรมานเหมือนกับกู”

ผมเสียวสันหลังวาบขึ้นมาในคราวนี้ คิดผิดไปเลยที่เข้าใจว่าเขาจะปล่อยวางแล้ว จริงๆ ไม่ได้ปล่อยวางเลยต่างหาก ยังคงอาฆาตแค้นกับทุกอย่าง โทษทุกคนที่ทำให้เขาเจ็บปวด ที่สำคัญ...ตอนนี้เหมือนเขาจะมาลงที่ผมแล้ว

“พี่จิณห์...จะฆ่าจิเหรอ”

ผมกลั้นใจถามไปอย่างนั้น เขาไม่ตอบคำถาม แต่กลับถามผมพลางยิ้มเย็นแทน

“คิดว่ายังไงล่ะ... ระตูจรกา”

มือทั้งสองข้างของผมถึงกับเย็นเยียบ ไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต เดาว่าหน้าผมคงซีดเผือดด้วยเพราะพี่จิณห์เห็นแล้วก็หัวเราะใหญ่ ก่อนที่เขาจะว่าขึ้นมาช้าๆ

“สตรีใดในพิภพจบแดน ไม่มีใครได้แค้นเหมือนอกข้า ด้วยใฝ่รักให้เกินพักตรา จะมีแต่เวทนาเป็นเนืองนิตย์...”

“...”

“มึงรู้จักกลอนบทนี้ไหม”

ทำไมผมจะไม่รู้จักล่ะ... รู้จักดีเลยล่ะ

นี่เขากำลังจะบอกว่าทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นและจะเกิดหลังจากนี้คือผลพวงจากความอาฆาตแค้นของเขาใช่ไหม

ผมตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ คนข้างกายเหลือบมองผมแล้วหัวเราะในลำคอ

“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้น กูไม่ฆ่ามึงหรอก”

ผมลอบถอนหายใจออกมา จะว่าโล่งอกก็ไม่ใช่ จะสบายใจขึ้นก็ไม่เชิง แต่ก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะสัมผัสได้ว่าเขาพูดจริง

“ถ้ากูทำอะไรมึง มีหวังไอ้อินทร์ได้เกลียดกูไปมากกว่านี้แน่ แค่นี้มันก็มองหน้ากูไม่ติดแล้ว”

ถูกต้อง คิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว... ผมไม่อยากจะเห็นดีเห็นงามกับเขาเท่าไรหรอกนะ แต่ต้องเห็นดีด้วยล่ะ เพราะผมก็รักชีวิตตัวเองเหมือนกัน

“ถ้างั้นเรากลับ...”

“แต่กูไม่ได้ มึงก็ต้องไม่ได้นั่นแหละ กูทรมานยังไง มันก็ต้องทรมานอย่างนั้น”

เขาแทรกขึ้น ผมก็ไม่กล้าชวนเขากลับ ได้แต่มองหน้าเขา ขณะที่เขามองไปยังเบื้องล่างของสะพานแล้วถามขึ้นมาลอยๆ

“มึงว่าถ้าโดดลงไปจะตายไหม”

ผมไม่ตอบ รู้แต่ว่าตัวสั่นขึ้นมาน้อยๆ ก่อนที่เขาจะผินหน้ามามองผม

“ที่มึงถามว่ากูจะฆ่ามึงไหม กูไม่ทำหรอก เพราะกูจะให้มึงทำเอง ฆ่าตัวตาย... ทำให้เข้าใจแบบนี้น่าจะง่ายกว่า”

เข้าใจแล้ว...

ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงได้บังคับให้ผมมากับเขาที่นี่

ทำไมถึงจะต้องจองล้างจองผลาญกันไม่จบไม่สิ้นอย่างนี้ด้วย หยุดได้แล้ว! หยุดสักที!

“พี่จิณห์หยุดสักทีครับ! พอได้แล้ว! ต่อให้จิตายไป พี่อินทร์ก็ไม่รักพี่จิณห์หรอกนะ! มันไม่มีประโยชน์!”

ผมตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออดกับความไม่มีเหตุผลและไม่รับฟังอะไรของเขา พี่จิณห์มีสีหน้ากรุ่นโกรธขึ้นมาน้อยๆ จากนั้นก็แสยะยิ้ม

“มีหรือไม่มี กูเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่ใช่มึง” จากนั้นเขาก็เดินมาจับไหล่ผม ดันตัวให้ผมไปชิดกับขอบสะพาน พลันกระซิบที่ข้างหู “กูอยากรู้ว่าถ้าโดดลงไปแล้วจะตายไหม ไหนมึงลองโดดให้กูดูหน่อย”

ผมส่ายหน้าพรืด น้ำตาเอ่อคลอเบ้า ใจอยากจะหนีไปจากตรงนี้เต็มแก่ตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ทว่าในความเป็นจริงกลับยืนนิ่งอยู่กับที่โดยที่หูยังคงได้ยินเสียงของคนข้างหลังชัดเจน

“มึงรู้เอาไว้... อิเหนาไม่ได้เป็นของกู แล้วก็ไม่ได้เป็นของจรกาเหมือนกัน เพราะงั้นอย่าลีลา”

“พี่จิณห์...”

“โดดซะจิระ”

“มะ...ไม่...”

“กูบอกให้โดดลงไป!”

 



ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 41: อิเหนาไม่ได้เป็นของจรกา[2]

[Intara’s Part]

ผมไม่เคยเชื่อว่าตัวเองจะมีลางสังหรณ์เหมือนกับคนอื่นเขาเลยแม้แต่น้อย แต่วันนี้ต้องบอกเลยว่ามีอะไรบางอย่างรบกวนใจผมจนทำให้กระสับกระส่ายทั้งวัน เรียกได้ว่าแทบไม่มีสมาธิจะทำอะไรเลยดีกว่า ใจเอาแต่อยากจะเจอจิระเร็วๆ เท่านั้นด้วยเป็นห่วงเขาขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ผมทั้งส่งข้อความ ทั้งโทรหาเขาตั้งแต่ตอนเรียนคาบบ่าย แต่...ไม่ได้รับการตอบรับจากอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

มันแปลก... ปกติแล้วต่อให้เรียนอยู่ ถ้าผมส่งข้อความหรือโทรไปถี่ๆ แบบนี้ จิระจะหาเวลาหลบมาตอบหรือรับสายผมนี่ ที่สำคัญ วันนี้จิระมีเรียนแค่คาบเช้า แล้วตอนนี้ก็เลิกเรียนแล้วด้วย ทำไมถึง...?

แน่ล่ะว่าผมไม่รอให้เลิกเรียนก่อนแล้วค่อยกลับไปเจอกันที่หอ เพราะเป็นห่วงมากจนระงับความรู้สึกตัวเองไว้ไม่อยู่ ผมเลยเก็บข้าวของแล้วโดดเรียนเอาวินาทีนั้นเลย ไม่สนคำขู่ของอาจารย์ประจำวิชาด้วยว่าผมอาจจะพลาดคะแนนในคาบเรียนนี้ไป

พลาดก็พลาดสิ สนใจที่ไหน จิระสำคัญกว่าคะแนนเข้าเรียนเยอะ!

ผมรีบกลับหอด้วยความเร็วแสง พอเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วพบแต่ความว่างเปล่า ผมก็ใจเสียขึ้นมา รีบกลับไปหาจิระที่ตึกคณะของเขา เผื่อว่าเขาจะยังอยู่คุยกับเพื่อนที่นั่น ทว่าพอไปถึงแล้ว กลับไม่เห็นเพื่อนของเขาเลยสักคน ยิ่งไปกว่านั้น ผมเพิ่งสำนึกได้ว่าจิระไม่ค่อยมีเพื่อน เพื่อนของเขา ผมก็ไม่ค่อยรู้จัก สุดท้ายผมก็โทรหาไอ้บุศย์เพื่อให้มันไปช่วยถามพวกน้องปีหนึ่งคณะมันให้หน่อย รวมถึงโทรตามสรัลและวิญญูมาด้วย เพราะดูท่าทางแล้วคงจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับจิระแน่

และใช่...ผมหาจิระไม่เจอ

ไม่เคยเป็นห่วงเขาขนาดนี้มาก่อนเลย ผมยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเอายังไงต่อดีหลังจากที่ไอ้บุศย์มาบอกว่าไม่มีใครเห็นจิระตั้งแต่เลิกเรียนแล้ว และจิระเองก็บอกกับคนอื่นๆ ว่าจะกลับหอ แต่ที่หอมันไม่มีเขา

“มึงแน่ใจเหรอว่าจิไม่ได้กลับหอ”

ได้สติอีกครั้งก็ตอนที่ไอ้บุศย์ถามขึ้น ผมพยักหน้า

“ไม่ได้ออกไปหาข้าวกินเหรอพี่อินทร์” เป็นสรัลที่ถามขึ้นบ้าง

“ห้องไม่มีร่องรอยว่าจิกลับมาเลยนะ ปกติกลับมาแล้ว จิต้องเปิดแอร์เป็นอันดับแรก รายนี้ขี้ร้อนจะตาย”

ผมว่า เท่านั้นทุกคนก็เงียบ มีวิญญูที่คิดไปครู่ จากนั้นก็ว่าขึ้นมา

“จิไม่ได้รับโทรศัพท์ใช่ไหม” ผมพยักหน้า มันเลยพูดต่อ “แล้วโทรศัพท์จิเช็กตำแหน่งได้หรือเปล่า”

ผมตระหนักขึ้นมาได้ตอนนี้ว่าหลังจากที่ได้คุยกับจิณห์ไปวันนั้น ผมก็ไม่ไว้ใจไอ้บ้านั่นขึ้นมา บังคับให้จิระติดตั้งแอพฯ ตามตัวลงไปในโทรศัพท์ เผื่อมีอะไร ผมจะได้เช็กได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เท่านั้นผมก็รีบคว้าโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา เปิดแอพฯ นั้นดู ก่อนจะเห็นว่าเขาไม่ได้อยู่ในตัวมหาวิทยาลัย ทว่ากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนก็ไม่รู้

“พวกมึงขึ้นรถเลย มีคนพาจิไปไหนก็ไม่รู้”

ผมว่าอย่างนั้น พลันออกวิ่งไปที่ลานจอดรถ คนอื่นๆ ยังไม่ทันได้ถามอะไร มองหน้าผมอย่างสงสัยแต่ก็วิ่งตามมากันเป็นพรวน พอขึ้นรถได้ ผมก็เหยียบคันเร่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ทำเอาทุกคนในรถร้องกันเสียงหลง

“ใจเย็นๆ หน่อยไอ้อินทร์ เดี๋ยวก็ได้ตายก่อนไปเจอจิหรอก!”

ไอ้บุศย์ที่นั่งข้างผมร้องบอกลั่น ผมไม่ทันได้ฟังมันเท่าไร ได้แต่โยนโทรศัพท์ตัวเองให้มัน

“ถ้าไม่อยากตายก็คอยบอกทางให้กูดีๆ ก็แล้วกัน คาดเข็มขัดด้วย”

พูดอย่างนั้นก็ไม่มีใครไม่กล้าขัดคำสั่งผม คาดเข็มขัดกันแต่โดยดี ก่อนที่วิญญูจะถามขึ้น

“ตกลงมีใครพาจิไป ใครพาไป แล้วไปไหน”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่กูพอจะเดาได้ว่าใครพาไป”

“ใครวะ”

“ไอ้จิณห์”

สิ้นเสียง ความเงียบก็ครอบงำพวกเราไปครู่หนึ่ง มีแต่สรัลเท่านั้นที่ครางออกมา

“งานเข้าแล้ว”

“ตกลงมันไปไหนไอ้บุศย์”

ผมร้องถามอีกครั้งเมื่อเห็นไอ้บุศย์ก้มหน้าก้มตาดูแผนที่จากแอพฯ ในโทรศัพท์

“กูก็ไม่รู้ มันขับวนๆ อยู่บนถนนเส้นที่มึงขับอยู่เนี่ย”

“อยู่ไกลกันมากไหม”

“ไม่มากนะ แต่ก็ห่างพอสมควร”

“โทรหาจิด้วย เอาโทรศัพท์กูนั่นแหละโทร โทรจนกว่าจะรับนะ”

ไอ้บุศย์ทำตามแต่โดยดี ไม่รู้ว่าผมควรจะโล่งใจที่เอะใจแล้วรีบร้อนตามมาติดๆ ได้ทันเวลา หรือควรเป็นกังวลหนักเพราะไม่รู้ว่าไอ้บ้านั่นคิดจะพาจิระไปที่ไหนดี ที่รู้ๆ ตอนนี้ผมไม่สบายใจเลย อีกทั้งยังโกรธที่เรื่องระหว่างผมกับไอ้จิณห์ไปลงที่จิระแบบนั้น

มีอะไรทำไมไม่มาลงที่กู ไปยุ่งกับจิทำไม!

ทั้งโกรธ ทั้งโมโห จนขับรถเริ่มทุเรศขึ้นทุกทีๆ ทำให้วิญญูต้องร้องลั่น แล้วบังคับให้ผมจอดรถเพื่อที่จะมาขับเอง เพราะขืนปล่อยให้ผมขับต่อไป มีหวังคงได้ตายกันหมดทั้งคันรถก่อนจะหาตัวจิระเจอแน่นอน

ผมถูกย้ายมานั่งยังเบาะผู้โดยสารด้านหลัง ในใจก็ภาวนาไปด้วยว่าขอให้จิระปลอดภัย ขณะที่ภาวนาอยู่นั้น พลันก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นมาในภวังค์

‘สิ่งที่ตนเป็นผู้ก่อ ตนต้องชดใช้ด้วยตนเอง’

เสียงนั้น... องค์ประตาระกาหลา

ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ก็เข้ามาในนิมิตผม แต่พอจะเดาได้ว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับการกระทำของผมในอดีตชาติแน่

จะอะไรก็เถอะ ขอแค่ให้จิระปลอดภัยเท่านั้น ผมยอมหมดทุกอย่าง

 

เราขับรถวนอยู่ในกรุงเทพฯ พักใหญ่ ท่าทางเหมือนไอ้จิณห์จะใช้เวลาชั่งใจอยู่นานทีเดียวกว่าจะตัดสินใจได้ว่าควรพาจิระไปที่ไหน ส่วนโทรศัพท์ของจิระแบตฯ หมดไปแล้ว ครั้งล่าสุดที่โทรหาไม่สามารถติดต่อได้แล้ว โชคดีที่แอพฯ ตามตัวยังคงทำงานได้ดีอยู่แม้ว่าโทรศัพท์จะแบตฯ หมด ผมนึกขอบคุณคนสร้างเทคโนโลยีพวกนี้ขึ้นมาในวินาทีนี้เลยทีเดียว

กระทั่งฟ้าเริ่มมืด ไอ้จิณห์ถึงจอดรถยังสถานที่แห่งหนึ่ง พวกเราไปถึงที่นั่นหลังจากมันประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง เบื้องหน้าคือสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง วิญญูจอดรถ พลันทำลายความเงียบ

“แน่ใจเหรอว่ามันมาที่นี่”

ไอ้บุศย์ก้มหน้าดูสัญญาณจีพีเอสที่ยังคงกะพริบอยู่ “เห็นล่าสุดผ่านตรงนี้ แล้วตอนนี้ก็อยู่แถวนี้”

ปลายนิ้วของมันชี้ขึ้นไปบนสะพานมืดๆ ผมมองตามก็ไม่รู้หรอกว่ามันชี้ไปตรงไหน แต่สายตาที่มองออกไปยังนอกตัวรถก็ทำให้ผมรู้ได้ว่าเรามาถูกที่แล้ว

“นั่น...รถไอ้จิณห์!”

ใช่ รถของมัน จอดดับเครื่องอยู่ข้างถนนตรงหน้า ผมรีบลงจากรถ ก้าวมาเปิดประตูฝั่งไอ้บุศย์แล้วแย่งโทรศัพท์จากมือมันมาดูว่าจิระอยู่ตรงไหน จากนั้นก็ออกวิ่งไปโดยไม่สนอะไรอีก

และ...ผมก็ได้เห็นจิระกับไอ้จิณห์อยู่บนจุดสูงสุดของสะพาน

ถ้าเห็นจิระกับไอ้เวรนั่นยืนกันอยู่เฉยๆ ผมจะไม่ตกใจอะไรมากเท่านี้เลย แต่นี่จิระ...กำลังปีนขึ้นราวสะพานโดยมีไอ้จิณห์อยู่ใกล้ๆ

มันเรื่องอะไรกัน!?

ไม่มีสติจะคิดไตร่ตรองอะไรแล้ว ผมออกวิ่งสุดฝีเท้า ก่อนพุ่งเข้าไปคว้าจิระลงมาจากราวเหล็กนั่น

“จิ!”

เราสองคนล้มกลิ้งไปบนพื้น จิระเงยหน้าขึ้นมองผม ดวงตากลมโตฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตา ขณะที่ตัวสั่นเทาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอเขาเห็นผมก็ครางออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นระริก

“พะ...พี่อินทร์...”

ผมไม่ปล่อยเขาออกจากอ้อมแขนเพราะดูเหมือนว่าเขาจะพยายามขืนตัวเองออกห่างจากผม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล

ก็แน่ล่ะ อยู่กับไอ้จิณห์แบบนี้ มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่แล้ว

ผมดันตัวลุกขึ้นทั้งที่ยังกอดจิระอยู่ ซึ่งเขาเองก็ตัวสั่นงันงก น้ำตาไหลอาบใบหน้าเหมือนเดิม ผมอยากจะกอดปลอบเขาให้ใจเย็นลง แต่ยังไงก็ต้องจัดการกับไอ้เวรตะไลตรงหน้าก่อน

“มึงทำอะไรจิ บอกกูมาเดี๋ยวนี้!”

ตวาดไปอย่างนั้น ไอ้จิณห์ที่มองอยู่ก็แค่นหัวเราะออกมาเล็กน้อย

“ทำอะไรเหรอ กูต้องถามมึงมากกว่าว่ามึงนั่นแหละทำอะไร ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดคือมึงเองไม่ใช่เหรอ อิเหนา!”

ว่าแล้วเชียวว่าจะต้องเป็นเรื่องนี้ ผมสูดหายใจเข้าปอดเต็มแรงคล้ายกับว่าพยายามระงับสติ แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยเลยเมื่อคนตรงหน้าส่งสายตาอาฆาตแค้นมาให้ผม

“หยุดสักทีไอ้จิณห์ กูก็บอกชัดเจนไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าระหว่างมึงกับกูมันไม่มีทางเป็นไปได้”

“ใช่! กูรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ทำยังไงมึงก็ไม่รักกู กูก็จะตัดใจจากมึงแล้วนี่ไง!”

“ตัดใจจากกู แล้วลากจิมาเกี่ยวด้วยทำไม!”

“กูจะตัดใจ แต่ไม่ได้หมายความว่ากูจะยอมเห็นมึงมีความสุข ในเมื่อกูไม่ได้มึง ใครก็ต้องไม่ได้ เข้าใจไหมว่าถ้ามึงไม่รักกู ใครก็รักมึงไม่ได้ทั้งนั้น!”

ถึงตอนนี้ ไอ้จิณห์ร้องไห้น้ำตาอาบใบหน้า ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ ถึงเห็นจิระปีนขึ้นไปบนราวสะพาน มิหนำซ้ำตอนนี้ยังดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดผม ทำท่าจะกลับขึ้นไปปีนราวสะพานให้ได้ ทว่าสายตาที่เขามองผมกับเสียงที่เล็ดลอดออกจากปากมานั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่ร่างกายเขาจะกระทำเลย

“พะ...พี่อินทร์ ช่วยจิด้วย จิโดนยาสั่ง”

ผมกำมือแน่น เข้าใจแล้ว... เข้าใจแล้วว่าทำไมจิระถึงเป็นอย่างนี้

“กูบอกแล้วไงว่าอย่ายุ่งกับจิ!”

“มึงก็บอกตัวเองสิว่าอย่ายุ่งกับมัน!”

ผมตะคอกไป มันก็ตะคอกกลับ ทำเอาผมถึงกับเดือดดาลจนทนไม่ไหว

“กูจะไม่ยุ่งได้ยังไงในเมื่อกูรักจิ กูเป็นแฟนกับจิ มึงนั่นแหละอย่ามายุ่ง แล้วก็เลิกรักกูสักที บอกกี่ครั้งแล้วว่ายังไงมันก็เป็นไปไม่ได้! โกรธกูก็โกรธไป ทำไมมึงจะต้องมาทำร้ายจิด้วย! มึงมันบ้าไปแล้ว!”

“ใช่ กูมันบ้า! เพราะมึงนั่นแหละที่ทำกูเป็นแบบนี้!” หยดน้ำตาของจิณห์ร่วงพรู หากแต่ก็พยายามจะขืนยิ้มฝืดๆ ออกมา ก่อนที่มันจะพึมพำบอกกับผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ทีมึงยังตัดใจจากจรกาไม่ได้เลย รักยังไงก็รักอย่างนั้น แต่มึงกลับมาบอกให้กูตัดใจจากมึง กูผิดเหรอที่รักมึงไม่น้อยกว่าที่มึงรักคนอื่นเลย...”

“...”

“กูผิดเหรอที่ไม่อยากเห็นมึงรักใคร ผิดเหรอที่กูบังคับใจตัวเองไม่ได้ ผิดเหรอที่กูรักมึงมากเกินไปแบบนี้!”

ผมไม่ตอบอะไร เข้าใจดีว่าการรักข้างเดียวโดยที่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะมอบความรักกลับมาเลยมันทรมานแค่ไหน ผมเองก็เคยผ่านมันมาแล้ว แต่ว่า...

“แต่ความรักของมึงมันผิดไอ้จิณห์...”

“...”

“สำหรับกู ถึงกูจะตัดใจไม่ได้ แต่กูก็ไม่เคยเอาความรักของตัวเองไปสร้างความลำบากใจให้คนที่กูรัก กูยินดีถ้าได้เห็นคนที่กูรักมีความสุข แต่สำหรับมึงไม่ใช่”

“...”

“ถ้ามึงรักกูจริงๆ ช่วยฟังคำขอร้องกูสักอย่าง”

“...”

“มึงช่วยใช้ชีวิตให้มีความสุขหน่อยได้ไหม กลับไปรักตัวเองซะ รักตัวเองให้มากๆ เอาความรักที่ให้กูกลับไปรักตัวเองเถอะ มันไม่มีประโยชน์ที่จะมอบให้กูแล้ว เพราะยังไงกูก็รักใครอีกไม่ได้ ต่อให้จิตายไป หัวใจของกูก็จะเป็นของจิตลอดไป”

จิณห์ไม่ตอบอะไร ได้แต่มองผมผ่านม่านน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย มันเป็นเรื่องยากมากที่ต้องมายืนฟังคนที่ตัวเองรักบอกให้เลิกรัก ผมผ่านมาแล้ว ผมเข้าใจดี แต่สำหรับผมกับคนตรงหน้ามันควรที่จะจบสักที คนคนนี้ควรมีความสุขได้แล้ว

“แต่กูทนไม่ได้...ฮึก...ทนเห็นมึงมีความสุขกับคนอื่นไม่ได้...”

จิณห์ร้องไห้ละล่ำละลักออกมา สภาพของมันในตอนนี้ดูเหมือนคนหมดสิ้นทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าผมไม่สงสารหรอก แต่ตราบใดที่จิระตกอยู่ในอันตรายแบบนี้ เห็นทีผมกับมันคงจะญาติดีกันไม่ได้

“อะไรที่กูทำให้มึงอาฆาตแค้น กูจะชดใช้ให้ แต่เลิกยุ่งกับจิ ขอร้อง...เป็นคำขอสุดท้ายจากกูแล้ว”

จิณห์มองหน้าผม ครู่หนึ่งที่ความเงียบเข้ามาครอบคลุมพวกเรา ก่อนที่มันจะแสยะยิ้มขึ้น

“ขอร้อง... มึงขอร้องจากกูมาตลอด ขอให้ช่วยขัดขวางการแต่งงานของมึงกับบุษบาเพื่อที่มึงจะได้ไปรักกับจรกา แถมยังขอให้กูข้ามภพข้ามชาติมาทำให้มึงสมหวัง ตอนนี้ก็ยังขอให้กูเลิกยุ่งกับมึง เลิกรักมึง เลิกยุ่งกับคนที่มึงรักอีก...” จากนั้นก็เว้นจังหวะไปครู่ สูดหายใจเข้าปอด พลันกดเสียงต่ำออกมา “ไอ้อินทร์...กูว่ามึงขอมากไปแล้ว”

ไม่รู้ทำไมผมถึงใจไม่ดีขึ้นมา เห็นแววตาของมัน ผมก็เผลอหรี่ตาลงอย่างระแวง ซึ่งก็ควรจะต้องระแวง เพราะหลังจากนั้นมันก็พูดกับจิระ

“ระตูจรกา... ชาตินี้ของมึงหมดสิ้นวาระแล้ว ทำตามที่กูบอก โดดซะ!”

“ไม่!”

จิระร้องลั่น พยายามจะขืนร่างกายตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ดิ้นขลุกขลักจะออกจากอ้อมแขนผมให้ได้ เป็นฤทธิ์ของยาสั่ง ผมรู้ ผมเลยกอดเขาไว้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จิระในตอนนี้กลับมีแรงมากมายเหลือเกิน ถึงจะตัวเล็กกว่าผมอยู่เยอะ ทว่าดูท่าแล้วผมจะยับยั้งเขาไว้ไม่ไหว

“จิ! ตั้งสติไว้! ตั้งสติ!”

ผมร้องบอก จิระพยายามอย่างสุดความสามารถเหมือนกัน ผมรู้ แต่มือเขาก็คว้าเข้ากับราวสะพานแล้วเรียบร้อย โชคดีที่ไอ้บุศย์กับวิญญูวิ่งมาถึงพอดี พวกมันเลยช่วยดึงจิระไว้ ทว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะทันทีที่แผนการชั่วของไอ้จิณห์ถูกขัดขวาง มันก็ถลาเข้ามาฉุดกระชากจิระออกจากอ้อมกอดผมขณะที่ผมกับพวกเพื่อนคนอื่นๆ ช่วยกันรั้งจิระไว้

“กูบอกแล้วไงว่าถ้ากูไม่ได้! คนอื่นก็ต้องไม่ได้!”

จังหวะนั้นเองที่ผมส่งตัวจิระให้กับไอ้บุศย์ พลันก็หันไปหาคนที่ถลาเข้ามา

“มึงเลิกบ้าสักทีไอ้จิณห์!”

พลั่ก!

ตามด้วยกำปั้นหลุนๆ ที่ประเคนใส่หน้ามัน มันผงะถอยหลังไป ดูจะอึ้งไปเล็กน้อยที่เห็นผมลงมือกับมันอย่างนั้น

“ชาตินี้มึงไม่ใช่ผู้หญิงแล้ว กูก็ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจ”

ผมว่า ไอ้จิณห์แค่นหัวเราะ เช็ดคราบเลือดที่มุมปาก

“ได้! กูก็อยากจะรู้ว่ามึงจะทำกูได้แค่ไหนเหมือนกัน!”

มันบ้าไปแล้ว!

พุ่งเข้ามาหาจิระ พยายามจะดึงคนของผมออกจากพวกไอ้บุศย์ ผมก็ซัดหน้ามันไปหลายครั้ง แต่ดูเหมือนมันจะไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าปากจะแตกหรือใบหน้ามีรอยช้ำ มันก็ร้องตะโกนไม่หยุด

“โดด! โดดลงไป! กูบอกให้โดด!”

ยิ่งมันร้องสั่ง จิระก็ยิ่งมีกำลังมากขึ้น ทำเอาไอ้บุศย์กับวิญญูต้องร้องบอกผม

“ไม่ไหวแล้วไอ้อินทร์! ทำอะไรสักอย่าง! สรัลด้วย! อย่ามัวยืนตกใจ รีบหาวิธีเร็ว!”

สรัลที่เพิ่งมาถึงเงอะๆ งะๆ ไปครู่ ก่อนจะโทรศัพท์ออกหาใครบางคน ผมเดาว่าน่าจะเป็นตำรวจ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไรนักเมื่อเห็นว่าไอ้จิณห์ถลาเข้ามาอีก

พลั่ก!

“กูบอกแล้วไงว่าถ้ามึงแค้นมากนัก ให้มาลงที่กู”

“ลงที่มึง… แล้วมึงจะให้กูทำอะไร! ฮะไอ้อินทร์! มึงจะให้กูทำอะไรมึง!”

มันตะโกน ผมเลยว่าเสียงเรียบ

“กูจะชดใช้ให้”

มันไม่ฟัง เอาแต่แค่นหัวเราะ จากนั้นก็ถลาเข้ามาอีก ไม่นานก็กลายเป็นการตะลุมบอนขนาดย่อม ผมต่อยมัน มันต่อยผม จิระก็ดิ้นออกจากอ้อมแขนไอ้บุศย์กับวิญญูที่พยายามจะลากลงจากสะพาน สรัลก็ร้องโวยวายไม่หยุด กลายเป็นสถานการณ์บ้าๆ ขึ้นมาจนได้ และบ้ายิ่งกว่าเดิมด้วยเมื่อจิระดิ้นหลุดจากการฉุดรั้งของเพื่อนผม ปีนขึ้นไปบนสะพานอย่างร้อนรน ขณะที่ไอ้จิณห์ร้องสั่ง

“โดดลงไป!”

ผมหันไปมอง พุ่งไปกระชากจิระลงจากสะพาน จังหวะเดียวกันกับที่ไอ้จิณห์โผล่พรวดเข้ามาหมายจะฉุดจิระไปจากมือผมพอดี วินาทีนั้น...เกิดอะไรขึ้นก็ไม่แน่ใจนัก แต่ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองลอยคว้างอยู่ในอากาศ ก่อนที่จะรู้สึกเหมือนกำลังร่วงลงจากที่สูง

ผมพลัดตกสะพาน...

และเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก็คือเสียงของคนที่ผมรักที่สุด รวมถึง...คนที่รักผมอย่างไร้สติเช่นกัน

“พี่อินทร์! / ไอ้อินทร์!”

ก่อนที่จะมีเสียงผิวน้ำแตกกระจายดังตูมเข้ามาแทนที่ จากนั้น...สติสัมปชัญญะของผมก็ดับวูบไป…

-----------------------

แอบเกเรไปนิดนึง แต่มาอัปเต็มตอนให้แล้วค่า

อ่านตอนนี้แล้วไม่ต้องเครียดกัน ตอนหน้าก็ตอนสุดท้ายละ


ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1915
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เฮ้ออออ วุ่นวายจนวินาทีสุดท้ายเลยจริงๆ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จินตะหราวาตี หล่อนเลวมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ พันวา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-5

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Himbeere20

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นี่หรือคือความรัก
โอยยยยยยยย

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ wildride

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 
 :pig4:

 L O V E can mess with human mind & behavior for real

 moreover, Writer leaves me speechless; I have no words left.

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ก็เข้าใจว่ารักมากมันตัดยาก แต่ก็ต้องรักตัวเองให้มากๆด้วยนะจินต์

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
พอใจแกหรือยังอีจินนนนนนนนน โอ้ยพี่อินทร์ของนุ :sad4:  :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ทั้งรัก ทั้งอาฆาต หลอนเลยซิ  :ling3:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
 :ling3: ความรักของจินณ์ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นความรัก เรียกความเห็นแก่ตัวน่าจะถูกกว่า

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
รอจนจะลงแดงตายแล้ว

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
เฮ้อมาทำให้จินตหราเป็นคนเลวซะขนาดนี้ :katai1:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 42: หากอิเหนาไม่ได้จบดั่งในวรรณคดี

การค้นหาตัวพี่อินทร์เป็นไปด้วยความยากลำบาก ทั้งฟ้ามืด ทั้งกระแสน้ำค่อนข้างแรง ผมได้แต่ยืนภาวนาอยู่ใกล้ริมฝั่ง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไรนัก คิดอยู่อย่างเดียวว่าขอให้เขาปลอดภัย ขณะที่พี่จิณห์เองก็ตื่นตระหนกไม่แพ้กัน เขาคลั่งกว่าผมมาก ตั้งแต่ที่พี่อินทร์ตกลงไปในแม่น้ำ เขาก็โวยวายไม่หยุดจนกระทั่งหน่วยกู้ชีพ รถพยาบาล และตำรวจมา พี่บุศย์กับพี่วิญญูให้การคร่าวๆ ว่าพวกเราทะเลาะต่อยตีกัน พี่อินทร์ก็เลยพลัดตกลงไป ซึ่งความจริงมันก็เป็นอย่างนั้น ส่วนอำนาจมนตร์จากยาสั่งที่ผมถูกป้ายนั้นถูกชำระล้างด้วยน้ำมนตร์ที่พี่วิญญูร้องขอให้หน่วยกู้ชีพนำติดรถมาด้วย

ถึงมันจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เพียงแค่ล้างหน้าด้วยน้ำมนต์ ฤทธิ์ยาสั่งก็หายไป แต่อะไรมันก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่พี่อินทร์ปลอดภัย ผมยืนรอด้วยใจไม่สู้ดีนักร่วมชั่วโมงกระทั่งนักประดาน้ำกู้ร่างของพี่อินทร์ขึ้นมาได้ ตอนนั้นเองที่ผมสัมผัสได้ว่าการสูญเสียคนที่เรารักไปมันรู้สึกยังไง แต่โชคดีที่...

“ยังมีสัญญาณชีพ!”

ใช่! พี่อินทร์ยังไม่ตาย!

หน่วยกู้ชีพคนหนึ่งร้องตะโกน จากนั้นความอลหม่านก็เข้ามาครอบงำพวกเราทันที พี่อินทร์ถูกหามขึ้นรถพยาบาลอย่างเร่งด่วน ผมเองก็กระโดดขึ้นไปด้วย แต่ไม่ได้สัมผัสตัวเขาเลยสักนิดเพราะถึงจะยังมีสัญญาณชีพ ทว่าชีพจรเขาก็อ่อนมาก อีกทั้งหัวใจยังหยุดเต้นกลางคัน ทำให้เขาต้องได้รับการปั๊มหัวใจไปตลอดทางที่เรามุ่งหน้าไปโรงพยาบาล

ผมเจ็บใจ...

เจ็บใจตัวเองมากที่ทำอะไรไม่ได้เลย ช่วยเขาก็ไม่ได้ แถมยังจะสร้างปัญหาอีก การที่เขาต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นเพราะผมคนเดียว หรือว่า...จะเป็นบทลงโทษจากองค์ประตาระกาหลาที่เมื่อชาติก่อน ผมทรมานให้เขาต้องเสียใจตลอดชีวิตอย่างนั้น?

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมก็พร้อมที่จะชดใช้ให้เขาในชาตินี้ ขอแค่เขาไม่เป็นอะไรก็พอ

ขอให้เขาไม่เป็นอะไร... ผมสัญญาว่าจะดูแลเขาเป็นอย่างดี และรักเขาให้มากเท่าที่ผมจะทำได้

ขอให้พี่อินทร์ไม่เป็นอะไร...

พี่อินทร์...

ผมถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในห้องฉุกเฉินด้วย สถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายมาก เขาหัวใจหยุดเต้นเป็นครั้งที่สองแล้วหลังจากที่ถูกปั๊มขึ้นมาได้ในรถพยาบาล หมอบอกว่าอาการเป็นตายเท่ากัน ซึ่งผมตีความได้ว่ามันค่อนไปทาง ‘น่าจะไม่รอด’ มากกว่า

ผมได้แต่มองผ่านประตูกระจกเข้าไป ไม่เห็นเขาหรอกเพราะเตียงที่เขานอนอยู่มีผ้าม่านปิดไว้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากจะเห็นเขา

ทั้งอยากเห็น... อยากคุย... อยากให้เขาลุกขึ้นมากวนใจผม... อยากกอด อยากจูบ อยากทำทุกอย่างเหมือนเคย

พี่อินทร์...ฟื้นขึ้นมานะ

ผมยืนเกาะประตูอยู่อย่างนั้นได้ครู่หนึ่ง พี่บุศย์ พี่วิญญู และสรัลก็มาถึง แน่นอนว่าทุกคนรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้จึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา นอกจากจะภาวนาให้พี่อินทร์ปลอดภัยอย่างเดียว ผมไม่ได้ว่าอะไร แต่ออกจะไม่สบอารมณ์สักหน่อยที่หลังจากนั้นไม่นานนักก็เห็นใครบางคนโผล่มา

พี่จิณห์...

เขาจะมาที่นี่ทำไมอีก!

น้ำตานองหน้า เนื้อตัวสั่นเทา เขาโผล่พรวดเข้ามาไม่สนใจใครทั้งนั้น มาเกาะประตูห้องฉุกเฉินอยู่ข้างๆ ผม ก่อนจะครางออกมาไม่หยุดหย่อน

“อินทร์...ไอ้อินทร์...”

ผมเหลือบมองเขา จะว่าสงสารก็...ไม่รู้สิ ผมว่าตอนนี้ผมเริ่มจะโกรธขึ้นมาแล้วมากกว่า

รักพี่อินทร์ประสาอะไร บอกว่ารักนักรักหนา ไม่พยายามฆ่า ก็พยายามทำลายความสุข เขาคิดอะไรอยู่กัน!?

ผมอยากจะตะคอกถามเขานัก แต่พี่จิณห์ดูสติแตกไปแล้ว ร้องไห้ออกมาเสียงดัง ทุบประตูห้องฉุกเฉิน ร้องเรียกคนในนั้นเป็นการใหญ่

“อินทร์! ไอ้อินทร์! ได้ยินกูไหม! ได้ยินหรือเปล่า!”

สภาพของเขาดูไม่โอเคแล้ว ผมได้แต่มองแล้วก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้

หากอิเหนาไม่ได้จบดั่งในวรรณคดี เรื่องที่เกิดขึ้นนี่จะจบลงยังไง

อิเหนาตาย?

จินตะหราวาตีเป็นบ้า?

บุษบา วิหยาสะกำ กับสังคามาระตาได้แต่ยืนโง่ๆ มองหน้ากันไปมาเพราะทำอะไรไม่ได้?

หรือเป็นระตูจรกาที่ต้องระทมทุกข์เพราะสูญเสียคนรักไปอีกชาติ?

ผมไม่สามารถหาบทสรุปของเรื่องนี้ได้เลย ทำได้แค่มองคนต้นเหตุที่ตอนนี้ผ่อนเสียงลงมาเป็นพึมพำคนเดียวแล้ว

“อินทร์...ไอ้อินทร์...กูขอโทษ...ฮึก...ขอโทษ...”

เขากำลังร้องเรียกพี่อินทร์ เรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรียกไม่หยุด ผมเห็นแล้วก็กำมือแน่นพร้อมกับโทสะที่ค่อยๆ เดือดดาลขึ้นมาทีละน้อย

น้ำตาของเขาที่ไหลออกมามันมาจากความเสียใจจริงๆ เหรอ?

เสียงเรียกชื่อของพี่อินทร์ที่หลุดออกจากปาก มันเป็นสิ่งที่เขาสำนึกจากใจจริงๆ หรือเปล่า?

“อินทร์...กูรักมึงนะ...รักมึง...”

ไม่รู้... ผมไม่มีทางรู้ได้เลย แล้วก็ไม่สนใจที่จะค้นหาคำตอบด้วย เพราะตอนนี้ที่ผมกำมือแน่นขึ้นมาจนปลายเล็บจิกลงบนอุ้งมือ

รักเหรอ... รักประสาอะไรถึงทำร้ายคนที่รักขนาดนี้!

ผมไม่ทนอีกต่อไปแล้ว ก้าวพรวดๆ เข้าไปหาขณะที่พี่บุศย์ร้องถามขึ้น

“จิจะไปไหน เฮ้ย! จิ!”

พลั่ก!

ผมพุ่งไปต่อยหน้าพี่จิณห์เข้าอย่างจัง ใบหน้าบวมช้ำของเขาที่มีร่องรอยบาดแผลจากการชกต่อยกับพี่อินทร์ปูดบวมมากขึ้นกว่าเดิมอีก

พี่จิณห์ล้มลงไปกองบนพื้นเมื่อจู่ๆ ก็ถูกผมพุ่งเข้าไปต่อยโดยไม่ทันตั้งตัว แต่แค่หมัดเดียวมันไม่ทำให้ผมหายกรุ่นโกรธกับสิ่งที่เขาทำได้หรอก พอเขาล้มลงไปอย่างนั้น ผมก็ถลาไปคร่อมเขาไว้ จากนั้นก็กระหน่ำตะบันหน้าเขาไม่หยุด

“สะใจมึงหรือยัง! เห็นคนที่มึงรักจะตายแบบนี้ สมใจมึงหรือยัง!”

ทั้งต่อย ทั้งร้องไห้ในคราวเดียว

ไม่ทนอีกแล้ว... ผมไม่ทนอีกแล้ว ใครจะสงสารเขายังไงก็ช่าง แต่สำหรับผมมันหมดแล้ว

ถ้าพี่อินทร์เป็นอะไร...

ถ้าเขาเป็นอะไรไป คอยดูว่าระตูจรกาคนนี้จะทำอะไรได้บ้าง! จินตะหราวาตี!

“จิ! ตั้งสติหน่อย! จิ!”

พี่บุศย์เข้ามาห้ามผม ก่อนที่พี่วิญญูจะมาช่วยดึงไปอีกคน ส่วนสรัลก็พยุงพี่จิณห์ซึ่งตอนนี้มีเลือดไหลที่มุมปากให้ลุกขึ้น ก่อนพาไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆ ผมยังคงระงับโทสะตัวเองไม่ได้ เป็นครั้งแรกเลยที่โกรธคนอื่นจนควบคุมตัวเองไม่ได้ขนาดนี้ พี่บุศย์กับพี่วิญญูก็เลยไม่ยอมปล่อยผมเพราะรู้ว่าถ้าปล่อย ผมคงปรี่เข้าไปชกหน้าพี่จิณห์อีกแน่

“พอใจหรือยัง! มึงทำลายคนที่มึงบอกว่ารักนักรักหนาสมใจหรือยัง!”

ผมตะโกนถาม พี่จิณห์ไม่ตอบอะไร ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบใบหน้า ผมเองก็น้ำตาไหลเหมือนกัน ไม่เคยรู้สึกเลยว่าโลกจะถล่มได้ถึงขนาดนี้มาก่อนเลย

ผมสูญเสียเขาไปไม่ได้... ให้ตายยังไง ผมก็เสียพี่อินทร์ไปไม่ได้

ผมรักเขา... รักเกินกว่าที่จะอยู่บนโลกนี้คนเดียวได้ไหวอีกแล้ว

“พี่อินทร์ก็ชัดเจนมาตลอดว่ามึงอยู่ได้แค่ตรงไหน ทำไมมึงถึงดึงดัน ในเมื่อมึงรู้ว่าตัวเองถูกใช้ อีกฝ่ายไม่มีวันที่จะรักมึงได้เลย ทำไมมึงไม่เดินออกมา ทำไมไม่เลิกยุ่ง จะไปเรียกร้องขอเศษเสี้ยวความรักอะไรจากคนที่ไม่ได้รักมึงเลย พอไม่ได้แล้วก็มาทำลายชีวิตเขา มึงทำแบบนี้ทำไม!”

ทำลายจิตใจพี่จิณห์หรือเปล่าผมไม่สนใจหรอก เอาแต่ก่นว่าด่าทอเขาสารพัด มันสุดแล้ว...สุดจริงๆ...

“เห็นพี่อินทร์กำลังจะตายแบบนี้ มึงสะใจแล้วใช่ไหม! เอาชีวิตเขาไปได้แล้ว มีความสุขแล้วใช่ไหม จินตะหราวาตี!”

“จิ พอได้แล้ว”

พี่บุศย์พยายามเตือนผมให้สงบสติอารมณ์เพราะคนเริ่มมองเรากันแล้ว ผมสูดหายใจเข้าปอด พยายามตั้งสติแต่มันยากเหลือเกิน เพราะผมเอาแต่พูดออกมาน้ำเสียงสั่นเครือ

“พี่อินทร์ชดใช้ให้ด้วยชีวิตแล้ว... มึงก็หยุดได้แล้ว...หยุด...ฮึก...หยุดสักที”

ผมไม่มีเรี่ยวแรงอีกต่อไปแล้ว ทิ้งตัวไปตามแรงโน้มถ่วงโลก ให้รุ่นพี่ทั้งสองคนประคองไว้ สายตาพร่ามัวมองไปยังพี่จิณห์ มีคำถามมากมายอยู่ในใจ อยากถามเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าทำไมต้องทำแบบนี้ แต่ก็พูดไม่ออกอีกแล้ว จนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายผุดลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตูห้องฉุกเฉินอีกครั้ง เขาเหมือนคนสติหลุด ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เอาแต่พูดพึมพำออกมา

“กูจะชดใช้ให้มึ...ไอ้อินทร์...กูจะชดใช้ให้” จากนั้นก็เริ่มสะอื้น “อะไรก็ได้...แลกกับ...ฮึก...แลกกับอะไรก็ได้ ขอให้มึงปลอดภัย อินทร์...กูรักมึง...ได้ยินไหมว่ารักมึง...”

ผมสับสนในตัวเองไม่น้อยว่าจะโกรธหรือสงสารเขากันแน่ แต่พี่จิณห์ก็ไม่ให้เวลาผมคิดอีกแล้ว พูดจบเขาก็เดินออกจากตรงนั้นไปด้วยท่าทางเหม่อลอย พี่บุศย์ร้องเรียกก่อนจะผละจากผมไปคว้าไหล่ของอดีตเพื่อนตัวเอง

“มึงจะไปไหนไอ้จิณห์”

พี่จิณห์หันมามอง ดวงตาของเขาไม่มีแววประกายเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความเหม่อลอย ก่อนที่จะเปล่งเสียง

“กูจะชดใช้ให้ไอ้อินทร์”

“มึงคิดจะทำอะไร”

พี่บุศย์ถามอย่างไม่ไว้ใจ แต่พี่จิณห์ไม่ตอบ หมุนตัวเดินออกจากตรงนั้นไป ปล่อยให้อีกฝ่ายร้องเรียกตามหลัง

“จิณห์! ไอ้จิณห์! อย่าทำอะไรโง่ๆ อีกนะเว้ย เข้าใจไหม! จิณห์!”

เข้าใจหรือเปล่าไม่รู้หรอกเพราะเขาเดินจากไปไกลแล้ว ผมเองก็ขอให้เขาอย่าคิดทำอะไรโง่ๆ อย่างที่ผ่านมาเหมือนกัน

ทว่า...พอเขาจากไปได้ไม่ถึงห้านาทีดี ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ๆ ประตูห้องฉุกเฉินก็ถูกเปิดออกมาด้วยฝีมือของหมอเจ้าของไข้ ก่อนที่เขาจะบอกข่าวดี

“คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ”

พี่อินทร์!

 

ไม่มีอะไรน่ายินดีเท่านี้อีกแล้ว พี่อินทร์กลับมาหายใจได้อย่างมหัศจรรย์ แม้แต่ทีมแพทย์เองยังแปลกใจเลยที่คนซึ่งไม่คาดคิดว่าจะกู้ชีพขึ้นมาได้กลับมามีหายใจเหมือนเดิม มิหนำซ้ำยังฟื้นตัวเร็วราวกับว่าเจออุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ มา ไม่ได้ตกจากสะพาน กระดูกอะไรก็ไม่หัก ร่างกายปกติดีทุกอย่าง มีแค่รอยฟกช้ำตามตัวเท่านั้น

ปาฏิหาริย์เกินไปแล้ว!

แต่ก็ดีแล้วล่ะที่เขาไม่เป็นอะไร ผมรู้สึกเหมือนกับยกภูเขาออกจากอก ตอนนี้เลยเอาใจเขาเป็นการใหญ่ ดูแลเป็นอย่างดีตามที่เคยสัญญาเอาไว้ ส่วนพี่อินทร์ได้ทีก็อ้อนผมเป็นการใหญ่เช่นกัน

“จิร้า~ ป่าปี๊หิวแย้ว~”

เขาร้องบอกหลังจากที่เจ้าหน้าที่ยกอาหารเที่ยงมาให้ ผมซึ่งกำลังนั่งๆ นอนๆ เล่นเกมในโทรศัพท์อยู่เหลือบมองเขา

“หิวก็กินสิ”

“แต่ป่าปี๊อยากให้นว้องจิตัวเย็กๆ ป้อนง่า”

“พี่อินทร์ไม่ได้เป็นง่อยสักหน่อย กินเองก็ได้นี่ครับ จิติดตีป้อมอยู่”

ผมบอกทั้งที่ไม่มองหน้าเขา เขาเลยทำปากยู่ ดีดดิ้นอยู่บนเตียง

“แต่ป่าปี๊อยากให้นว้องจิป้อน อยากให้นว้องจิป้อน อยากให้นว้องจิป้อน~”

ดีดดิ้นจนน่าตบ แล้วก็ดันเป็นทุกครั้งด้วยนะ อ้อนไม่มีใครเกินเลย ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็เหลือบมองอยู่ว่าเขาจะทำอะไรต่อ เขาหยุดดีดขา ทำหน้าปั้นปึ่งแล้วตัดพ้อออกมาแทน

“ใช่ซี่ พี่ไม่ได้สำคัญเท่ากับป้อมที่จิกำลังตีนี่ อุตส่าห์ต่อยกับพญายม ไม่ยอมตายเพื่อกลับมาจิแท้ๆ แล้วดูสิ ทิ้งให้พี่โดดเดี่ยวเดียวดาย เปล่าเปลี่ยววังเวงวิเวกโหวงเหวงแบบนี้ ได้...พี่มันไม่สำคัญ ได้!”

เออๆ รู้แล้ว! ขี้ประชดจริงเว้ย!

“พอเจ็บหน่อยก็เอาแต่ใจใหญ่เลยนะ จิลุกแล้ว ไม่ต้องแดกดันแล้ว”

ผมวางโทรศัพท์ ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียงเขาแล้วจัดการตักข้าวป้อนให้ พี่อินทร์ยิ้มกว้างออกมาจนตาหยี

“แหม ก็เอาใจพี่หน่อยได้ไหมล่ะ อยากจะอ้อนนว้องจิตัวเย็กๆ บ้างอะ อยากเอาแต่ใจด้วย อยากถูกตามใจ”

ผมหัวเราะ ยื่นช้อนที่มีข้าวไข่เจียวไปตรงหน้าเขา

“รู้แล้ว ตามใจก็ตามใจ ตามใจหมดทุกอย่างเลย”

พี่อินทร์ยิ้มน่ารัก อ้าปากกินข้าว เคี้ยวตุ้ยๆ

“ที่บอกว่าตามใจหมดทุกอย่างนี่พูดจริงปะ”

ผมชะงัก มองหน้าเขาก่อนจะรู้สึกไม่ชอบมาพากล

“ถ้าตามใจหมดทุกอย่างจริง ถ้างั้น...”

งั้น?

“ลองเย้กันในโรง’บาลดีไหม”

ทุบแม่งสักที!

ทุบเลยล่ะ ทุบไปที่อกเขาไม่แรงนัก พี่อินทร์ก็หัวเราะใหญ่ ขณะที่ผมว่าเสียงเขียว

“พูดอะไรพี่อินทร์ จะบ้าเหรอ”

“ไม่บ้า พี่พูดจริง เย้แล้วแบบ...ใส่ชุดนอนไม่ได้นอนด้วยได้ไหม อยากใส่สีชมพูบานเย็นมีขนฟรุ้งฟริ้ง”

นึกหน้าตาชุดบ้าๆ นั่นออกได้ทันที ผมก็เลยส่ายหน้าพรืด

“ไม่เอา จิไม่ใส่”

“พี่ก็ไม่ได้บอกให้จิใส่สักหน่อย พี่จะใส่เอง” จากนั้นก็ทำท่าทางดีดดิ้นแด๊ะแด๋ “ชุดคนไข้ไม่เซ็กซี่เร้าใจเลยฮ่ะคุณจิระ ดูอินอรสิคะ เป็นอีเพิ้งหมดแล้ว”

มึงชื่ออินทรา ไม่ใช่อินอรเว้ย!

คงแผลงเสียงมาจากเอมอร ชื่อยอดนิยมของนางเอกนางร้ายละครหลังข่าวล่ะมั้ง แต่อะไรก็ช่างมันเถอะ เขากลับมาบ้าๆ บอๆ เหมือนเดิมแบบนี้ได้ ผมก็สบายใจแล้ว เลยหลุดหัวเราะออกมากับท่าทางของเขาไม่ได้

“ตกลงเย้กันที่นี่ได้ไหม”

ผมไม่พูด มองหน้าเขา เขาก็ส่งสายตาอ้อนเป็นการใหญ่

“หืม... ได้ไหม”

“กินข้าวให้เสร็จก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันครับ”

เปลี่ยนเรื่องเลยแล้วกัน พี่อินทร์จะได้เลิกเซ้าซี้สักที แต่เขากลับชี้หน้าผมแล้วส่งเสียงสูงออกมา

“ฮั่นแน่ ไม่ปฏิเสธแบบนี้ แสดงว่าตอบรับแล้ว งั้นพี่โทรบอกไอ้บุศย์ให้เอาชุดนอนไม่ได้นอนที่ห้องเรามาเลยนะ” ไม่พูดเปล่า คว้าโทรศัพท์มาแนบหูแล้วด้วย “โหลๆ ไอ้บุศย์ เอาชุดนอนไม่ได้...”

“พี่อินทร์! กินข้าว!”

ผมลุกพรวดไปแย่งโทรศัพท์เขามา ก่อนพี่อินทร์จะหัวเราะลั่นเมื่อผมทำหน้าบึ้งที่เห็นว่าจอโทรศัพท์มันยังถูกพักไว้ ไม่ได้กดโทรออกอะไรใดๆ ทั้งสิ้น

หน็อย พออาการดีขึ้นหน่อยก็แกล้งกันใหญ่เลยนะ

“แน่ะ ทำหน้ากระรอก งอนที่ถูกพี่แกล้งเหรอ”

ผมไม่พูดอะไร เขาก็ง้อเป็นการใหญ่

“อย่างอนเลยนะคนดี พี่รักจิมาก ก็เลยอยากแกล้งเยอะๆ”

“รักมากเลยอยากแกล้งมาก ตรรกะอะไรเนี่ยพี่อินทร์ มีใครชอบทำให้คนที่ตัวเองรักรู้สึกไม่ดีกันบ้าง”

“มีสิ อย่างน้อยก็ไอ้จิณห์ละหนึ่งคน”

เท่านั้นบรรยากาศในห้องก็เงียบงันทันที ผมนึกขึ้นมาได้ว่าหลังจากวันนั้นก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย แม้แต่ข่าวคราวก็ไม่ได้ยินด้วย เรียกได้ว่าหายสาบสูญไปเลยก็ว่าได้ และพอผมมองหน้าพี่อินทร์ เขาก็ถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะว่าเสียงแผ่ว

“ถ้าพี่พูดอะไร จิอย่าโกรธพี่นะ”

“ไม่โกรธหรอกครับ พูดมาสิ”

“คือพี่...” เขาสูดหายใจเข้าปอดไปครู่ จากนั้นก็ว่า “ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องวันนั้น พี่ก็คิดทบทวนเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น จริงๆ แล้วที่มันเลวร้ายแบบนี้ มันเป็นความผิดของพี่เองแหละจิ พี่ใช้ความรักของจินตะหราวาตีเป็นเครื่องมือทำให้ตัวเองสมหวัง”

ผมเงียบ ไม่แน่ใจนักว่าเขาจะพูดอะไร จึงได้แต่รอฟังขณะที่เขาว่าต่อ

“พี่รู้อยู่แก่ใจว่าจินตะหราวาตีต้องใจพี่ แต่แทนที่พี่รู้แล้วจะหยุดหรือไม่ให้มาเกี่ยวข้อง พี่กลับไม่สนใจ ลากให้มายุ่งเกี่ยว เพราะเห็นว่าจินตะหราวาตียอมทำทุกอย่างให้พี่ได้ด้วยความรัก แรกๆ ก็จินตะหราวาตีก็คงจะทนได้ อยู่ได้ด้วยความหวังว่าอย่างน้อยก็ได้อยู่ใกล้พี่ แต่พอนานวันเข้า ไม่เคยได้รับความรักกลับ มันก็คงเกิดเป็นความรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ก็ไม่แปลกว่าทำไมไอ้จิณห์ในชาตินี้มันถึงได้ปักใจนัก”

“...”

“จะบอกว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจทำให้มันเจ็บปวดก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะพี่รู้ว่ามันคิดยังไง แต่พี่ก็ยังจะร้องขอให้มันช่วย ตอนนั้นพี่ไม่เคยคิดหรอกว่ามันเจ็บปวดหรือต้องฝืนใจแค่ไหน พี่คิดแต่จะทำยังไงให้ได้ใจจากจิเท่านั้น”

“...”

“ถ้าพี่จะบอกว่าพี่สงสารไอ้จิณห์มัน เรื่องวันนั้นทำให้พี่คิดได้ พี่อยากขอโทษมัน อยากให้มันให้อภัย จิจะยอมให้พี่เจอมันอีกครั้งไหม”

“...”

“พี่คิดว่าบางทีเราสามคนควรต้องนั่งคุยกันดีๆ อีกที มันถึงเวลาต้องปรับความเข้าใจกันได้แล้ว ถ้ามีอะไรที่พี่ทำให้มันรู้สึกดีขึ้นได้ พี่ก็อยากจะทำให้ แต่จิไม่ต้องห่วงนะ มันต้องไม่เกี่ยวกับชีวิตใครหรือการทำร้ายใครทั้งนั้น”

ผมรู้ทันทีเลยว่าทำไมเขาต้องถามผมก่อนทั้งที่ความจริงแล้ว เขาจะไปหาพี่จิณห์โดยไม่ถามผมก็ได้

นั่นก็เพราะเขาให้เกียรติผมในฐานะคนรักยังไงล่ะ อีกอย่างคือเขารู้ด้วยว่าผมต่อยพี่จิณห์เพราะโกรธมาก มันเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องถามความเห็นของผมก่อน

แน่ล่ะว่าต่อให้ผมโกรธพี่จิณห์แค่ไหน แต่พอพี่อินทร์ฟื้นขึ้นมาเป็นปกติ ผมก็ลืมความโกรธในตอนนั้นไปหมดแล้ว คำตอบของผมในตอนนี้ก็เลย...

“ครับ ไปคุยเถอะ จิก็อยากให้พี่จิณห์มีความสุขสักที”

พี่อินทร์คว้ามือผมไปจับแล้วบีบเบาๆ ดวงตาจ้องมองมาที่ผมราวกับจะบอกขอบคุณ เขาคว้าโทรศัพท์ออกมาโทรหาพี่จิณห์แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากปลายสาย ก่อนที่พวกเราจะพร้อมใจกันหันไปทางประตูเมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงเคาะขึ้น

เป็นฝีมือของพี่บุศย์ พี่วิญญู และสรัลที่มาเยี่ยมในวันนี้ มาถึงได้ก็ส่งเสียงเฮฮาปาจิงโกะกันตามเคย ก่อนที่ผมจะสบโอกาสพูดขึ้นมาv

“เอ้อพี่อินทร์ ไหนๆ พี่บุศย์ก็มาแล้ว ถามเลยสิครับว่าพี่จิณห์อยู่ที่ไหน เมื่อกี้โทรไปหาแล้วไม่เห็นรับ”

“เออ ไอ้จิณห์มันไปไหนวะ ตั้งแต่กูฟื้นขึ้นมายังไม่เห็นมันเลย ไม่ใช่ว่าโดนตำรวจจับข้อหาทำกูตกสะพานไปแล้ว?”

พี่อินทร์ว่าติดตลก พวกเรารู้กันดีว่าจริงๆ แล้วมันเป็นอุบัติเหตุ พี่จิณห์ไม่ได้ทำพี่อินทร์ตกสะพาน จึงไม่มีการดำเนินคดีอะไรทั้งนั้นแม้ว่าพ่อแม่ของพี่อินทร์จะอยากเอาเรื่องแค่ไหนก็ตามที นั่นเป็นเพราะคำขอของพี่อินทร์ที่ไม่อยากให้มีเรื่องบาดหมางต่อกันอีก

แต่พอถามไปอย่างนั้น ทุกคนก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ผมรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ไม่เว้นแม้แต่พี่อินทร์ที่ต้องร้องถาม

“มีอะไรที่กูไม่รู้ไหม”

พี่บุศย์พยักหน้า พลันถอนหายใจออกมา “มี”

“เรื่องอะไร”

“ไอ้จิณห์”

ผมใจหายวาบ ไม่อยากคิดในแง่ไม่ดีสักเท่าไร แต่เมื่อพี่บุศย์พูดออกมา ผมกับพี่อินทร์ก็นิ่งค้างไปตามๆ กัน

“ไอ้จิณห์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์วันเดียวกับที่มึงตกสะพาน”

 

ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์น่ะใช่... แต่ไม่ตาย!

พี่บุศย์แม่งก็พูดเหมือนกับว่าตายแล้วเลย จริงๆ แค่รถชนกับเสาไฟฟ้าเพราะรีบขับรถกลับบ้าน หัวฟาดกับพวงมาลัย สลบไป มีแผลฟกช้ำ กับขาหักแค่นั้น ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงอย่างที่พวกเราคิดตั้งแต่แรก ที่สำคัญคือพี่จิณห์พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกับพี่อินทร์นี่แหละ แต่ที่ผมกับพี่อินทร์ไม่รู้เป็นเพราะพี่บุศย์ปิดเอาไว้ เขาบอกว่า...

“กูกะจะบอกทีหลังตอนมึงออกจากโรง’บาลแล้ว กลัวว่าอยู่ที่เดียวกันแล้วจะตีกันอีก ก็เลยไม่ได้บอก”

ผมเข้าใจเขานะว่ากลัวจะมีปัญหา ผมเองก็เห็นด้วย แต่พอรู้ความจริงอีกอย่างว่า...

“แต่ถ้ามึงไปหามันแล้วมันดูงงๆ ที่เห็นมึง มึงก็ไม่ต้องตกใจนะ เพราะมัน...”

“มันทำไมวะ”

“มันเป็นเหมือนจิตอนนั้นเลย”

“มึง...หมายความว่าไง”

“ไอ้อินทร์... ไอ้จิณห์มันระลึกชาติไม่ได้แล้ว”

“...”

“จำกูไม่ได้ วิญญู สรัล จำใครไม่ได้เลย ไม่รู้ด้วยว่าเป็นเพื่อนกันในชาตินี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะหัวกระแทก สมองเลยมีปัญหา แต่หมอวินิจฉัยออกมาแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ กูเลยคิดว่าน่าจะเป็นเหมือนจิในตอนนั้น”

ได้ยินอย่างนั้น ผมเลยคิดว่าไม่น่ามีอะไรน่าเป็นห่วง แต่เอาเข้าจริง ผมก็อดใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่ได้เหมือนกัน

เขาจะจำพี่อินทร์ได้ไหม... จะจำผมได้หรือเปล่า... กังวลไปหมดจนกระทั่งผมเข็นรถวีลแชร์ที่พี่อินทร์นั่งเข้าไปในห้องพักของคนที่เราตั้งใจมาหา

พี่จิณห์กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง สายตาทอดมองไปยังนอกหน้าต่าง ใบหน้าเขามีร่องรอยฟกช้ำหลายแห่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงดูดี แถมยังดูมีน้ำมีนวลกว่าปกติเสียด้วย เขาหันมามองเมื่อพี่อินทร์ส่งเสียงทัก

“จิณห์...”

พลันหัวคิ้วของเขาก็ย่นยู่น้อยๆ มองพี่อินทร์ด้วยความงุนงง ก่อนจะมองมายังผม จากนั้นก็ถามเสียงแผ่ว

“พวกคุณคือ...?”

เขา...จำพี่อินทร์ไม่ได้จริงๆ ด้วย จำผมก็ไม่ได้

ผมเข็นรถให้พี่อินทร์ไปอยู่ข้างเตียง ส่วนตัวเองถอยออกมานั่งที่โซฟาทางด้านหลัง ความเงียบครอบคลุมพวกเราอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่พี่อินทร์จะถามขึ้น

“มึงจำกูไม่ได้เหรอ” อีกฝ่ายไม่ตอบ พี่อินทร์เลยว่าขึ้นอีกครั้ง “อินทร์... อินทรา... อิเหนา... คุ้นบ้างไหม”

พี่จิณห์ส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ เขาเลยถูกถามอีก

“แล้วจิล่ะ จิระ ระตูจรกา... รู้จักหรือเปล่า”

“รู้จัก”

ผมใจหายวาบ ใจเต้นแรง ขณะที่พี่จิณห์ว่าออกมา

“รู้จักทั้งอิเหนาทั้งจรกานั่นแหละ แต่ไม่รู้จักพวกคุณ แปลกดีนะ ก่อนหน้านี้ก็มีคนมาถามเหมือนกันว่ารู้จักบุษบา สังคามาระตา วิหยาสะกำไหม จะไม่รู้จักได้ยังไง เคยเรียนมาตอนมัธยม”

เขาหัวเราะตบท้ายราวกับว่าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องน่าขำอะไรอย่างนั้น ผมกับพี่อินทร์มองหน้ากัน ก่อนจะพร้อมใจมองหน้าพี่จิณห์

“หืม? มีอะไรเหรอ”

เขา...ดูไม่เหมือนพี่จิณห์คนเดิมเลย ดูมีน้ำมีนวล ดูสดใส และ...ดูมีความสุข

พลันผมก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้

หรือว่า...นี่จะเป็นการชดใช้ให้กับอิเหนาที่เขาได้เคยลั่นวาจาไว้

แลกกับการระลึกอดีตชาติได้ แลกกับความรักที่มีให้อิเหนา แลกกับการรู้จักกันและกัน...เพื่อคืนชีวิตให้พี่อินทร์

คงต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ผมกำมือแน่น ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงดีระหว่างดีใจกับสงสารเขา

ทั้งที่รักมากขนาดนั้น แต่ไม่มีความสุขเลยสักวินาทีเดียว บางทีองค์ประตาระกาหลาคงจะทอดพระเนตรเห็นแล้วว่าการยึดเอาพลังอำนาจในการระลึกชาติได้กลับคืน แล้วมอบความสุขให้พี่จิณห์แทน บางทีการที่พี่จิณห์ไม่รู้จักใครที่ร่วมอดีตชาติกันมาจะทำให้เขามีความสุขมากกว่า

พี่อินทร์ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะว่าออกมา

“ถึงมึงจะจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้กูมีเรื่องอยากจะบอกมึง”

พี่จิณห์ทำหน้างุนงงหนักกว่าเดิม แต่พี่อินทร์ไม่สนใจ พูดในสิ่งที่อยากพูดเท่านั้น

“ที่ผ่านมาเป็นความผิดกูเอง กูขอโทษ”

“...”

“กูรู้ว่ามึงคิดยังไง แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ ขอร้องให้มึงทำในสิ่งที่ต้องฝืนใจ กูผิดเอง”

“...”

“แล้วกูก็ขอโทษที่ทำให้มึงสมหวังไม่ได้ ไม่เคยตอบแทนอะไรมึงสักอย่าง มีแต่ร้องขอจากมึง จิณห์...ต่อจากนี้ มึงรักตัวเองมากๆ ได้ไหม”

“...”

“รักให้เหมือนที่มึงเคยรักกู”

“คุณพูดอะไรเนี่ย”

สีหน้าของคนบนเตียงยุ่งเหยิงไปใหญ่แล้ว พี่อินทร์ยังคงไม่สนเช่นกัน เขาเอื้อมมือไปจับมือพี่จิณห์ บีบเบาๆ ก่อนพูดประโยคสุดท้าย

“หลังจากนี้ กูอยากให้มึงมีความสุข... มีความสุขมากๆ นะจิณห์ มีความสุขกับชีวิตมึงเองให้ได้ แล้วก็...ยกโทษให้กูนะ”

“...”

“กูขอโทษที่เห็นแก่ตัว ขอโทษนะ...”

“ทำไมผมไม่เข้าใจที่คุณพูดเลย คุณพูดเหมือนกับพวกที่มาหาผมก่อนหน้านี้เลย แต่ทำไม...ทำไมผมถึงได้...”

พี่จิณห์ว่าเสียงเครือ น้ำตาไหลอาบหน้า เขาดูไม่เข้าใจจริงๆ พูดอะไรต่อไม่ออกด้วย พี่อินทร์หันมามองผมเล็กน้อย ผมก็เลยพยักหน้าให้เป็นเชิงว่าเขาอยากทำอะไรก็ทำเถอะ พี่อินทร์จึงลุกขึ้นยืน ก่อนจะโผกอดคนบนเตียง

“กูขอโทษ... จากนี้ขอให้มีความสุข จินตะหราวาตี”

ว่าจบก็ผละออกมา ผมลุกไปอยู่ข้างเตียง ยิ้มให้กับพี่จิณห์ที่ปาดน้ำหูน้ำตาของตัวเอง

“จิอยากให้พี่จิณห์มีความสุขนะครับ พี่จิณห์รักตัวเองมากๆ นะ”

เขาไม่เข้าใจหรอกมั้งว่าทำไมใครต่อใครถึงได้ย้ำให้เขามีความสุขมากๆ แต่เขาก็พยักหน้า ขานรับพลางหัวเราะในลำคอ

“ดูแปลกๆ กันเนอะ แต่โอเค ผมจะมีความสุขมากๆ พวกคุณไม่ต้องห่วง ฮะๆ บ้าจริง ผมซาบซึ้งเรื่องอะไรอยู่เนี่ย ยังไม่เข้าใจเลยว่ามันเรื่องอะไร”

ไม่ต้องเข้าใจแหละดีแล้ว...

ผมกับพี่อินทร์ยิ้มให้เขา พวกเราคิดแบบเดียวกันเด๊ะ

เขาหลุดจากบ่วงบาศที่คล้องคอตัวเองจนมันรัดแน่นได้แบบนี้ก็ดีแล้ว

หากอิเหนาไม่ได้จบดั่งในวรรณคดี มันก็ควรจะต้องจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งแบบนี้แหละ

“งั้นไปก่อนนะครับ หายไวๆ นะพี่จิณห์”

ผมบอกเขา เข็นรถพี่อินทร์เตรียมจะออกนอกห้อง พลันพี่จิณห์ก็ส่งเสียงตอบรับ

“อืม พวกคุณก็เหมือนกัน หายไวๆ แล้วก็...มีความสุขมากๆ นะ”

ผมกับพี่อินทร์พยักหน้า ก่อนจะผลุบหายออกจากห้องของเขาไป

ออกมาอยู่ด้านนอกได้ พี่อินทร์ก็เอื้อมมือมาจับมือผมที่เข็นรถวีลแชร์อยู่ พลางพึมพำเสียงแผ่ว

“จากนี้ไปพวกเราทุกคนจะต้องมีความสุขจนกระอักตายแน่ๆ”

ผม...ก็หวังให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน

มันควรจะจบลงอย่างมีความสุขแบบนี้แหละ บทเรียนจากการกระทำที่โง่เขลาของอดีตชาติ พวกเราเรียนรู้จากมันและได้รับบทลงโทษจากองค์เทวามากพอแล้ว

ต่อจากนี้ขอให้ทุกอย่างราบรื่นสักที

ส่วนผม... มีความสุขไปวันๆ กับคนที่ผมรัก แค่นี้ก็พอแล้ว

--------------------------

เดินทางกันมาถึงตอนสุดท้ายแล้วค่ะ ปมทุกอย่างเคลียร์ละ เหลือบทส่งท้ายเป็นบทสรุปสั้นๆ ของเรื่องทั้งหมดอีกนิดนึง พรุ่งนี้จะมาอัปให้นะคะ ก่อนหน้านี้หายไปหลายวันไม่ใช่อะไร ไม่ค่อยสบาย แงงง

พรุ่งนี้เจอกันค่ะ




ออฟไลน์ por_pla4u

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ใจจริงก็ไม่อยากให้จบอ่ะเนอะ แต่เค้าก็แฮปปี้เอ็นดิ้งกันแล้วนี่นา จะเอาอะไรอีก ถถถถ :katai5:

ออฟไลน์ wildride

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
   :pig4:

 ฉันเหมือนคนกำลังจะ เป็น ไบโพลาร์ รึอาจเป็นไปแล้ว (รึอาจติดเชื้อจากนายอินทร์อิเหนาได้นะบางที)

 แบบ พาร์ทที่ผ่านมาอย่างเครียดเลย แล้วมาถึงตอนนี้ก็อมยิ้มได้แล้ว


 ...ขอให้writer สุขภาพแข็งแรง สมองเปล่งปลั่งสดใส (อ่ะ ไม่ใช่แล่ว)

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
งื้อไม่อยากให้จบเลยยยย

ตอนแรกก็คิดว่าจินจะหลุดจากบ่วงนี้ยังไงไม่ให้คนอื่นเจ็บปวดอีก และวิธีก็ดีจริงๆ ให้จินลืมไปซะให้หมด จะได้ไม่ทรมานตัวเองอีกต่อไป

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ยังดีจินณ์ไม่ตายไม่พิการ ขอให้จินณ์มีความสุขกับความทรงใหม่ไม่ต้องระลึกชาติจดจำเรื่องชาติการให้เจ็บปวดอีก

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
จบได้ดี  มีความสุขทุกคน :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด