★C H O R A K A★ #จรกาคนงาม - ★★Special C H 02★ทายาทอสูร[02.07.61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ★C H O R A K A★ #จรกาคนงาม - ★★Special C H 02★ทายาทอสูร[02.07.61]  (อ่าน 144059 ครั้ง)

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ช่วยเราด้วย ที่ว่าอิเหนารักจรกาว่าพีคแล้ว มาเจอวิหยาสะกำ

เข้าไปอีกนี่มึนไปหมด แล้วไหนจะรอยที่ตรงอกจิอีก แง้

จิต้องไม่ตายนะ ฮือ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รอยฟ้าผ่า

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
น่าจะเป็นเรื่อง การแก้คำสาบานของจิไหม

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
ทั้งคำสาบาน และรอยข่วน
น่ากลัวอ่ะ!!

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 24: โรคผิวหนัง[1]

แต่เดิมก็ชิงชังเสียจนไม่ใคร่จะมองหน้า แต่เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ความชิงชังอิเหนาในใจของระตูจรกานั้นก็เพิ่มพูนมากเท่าทวี ทั้งที่เขาคิดว่าพอจะมีสิ่งหนึ่งให้ตนได้ถูกพูดถึงในทางที่ดีบ้างว่าได้ครอบครองหญิงงามด้วยการอภิเษกกับบุษบา ทว่าสิ่งนั้นก็พังทลายลงไปสิ้นราวกับฝุ่นละอองต้องพายุโหมกระหน่ำตนหายไปกับตา

ต้องใช้เวลายาวนานเพียงใด ความแค้นนี้ของเขาจะได้รับการชำระ!

จรกาคิดแค้นเสียจนแทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ถึงแม้ว่าเขาจะหวังผลประโยชน์ในการอภิเษกเป็นคู่ครองกับนางบุษบา แต่ในใจเขาก็นึกรักบุษบาอยู่บ้างเพราะตั้งแต่ที่นางรับหมั้น นางก็หาได้มีท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์เลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังพูดคุยสนทนาด้วยอย่างเป็นมิตร ไม่เหมือนสตรีนางอื่นที่คอยจะดูแคลนเขาอยู่ร่ำไป แม้ว่านั่นจะเป็นการกระทำที่นางแสดงออกไปเพราะเอ็นดูเจ้าจรกาที่เยาว์วัยกว่าและเป็นคนที่สหายของนางแอบมีจิตปฏิพัทธ์ด้วยก็ตาม

หากแต่จรกาไม่รู้ และไม่ใคร่จะรู้ด้วย เพลานี้คิดแต่จะล้างแค้นเท่านั้น

จะต้องทำสิ่งใด! ต้องทำอย่างไร ข้าถึงจะชำระความแค้นนี้กับเจ้าได้! อิเหนา!

ครุ่นคิดไม่ตก สุดท้ายก็ได้คำตอบว่าตนหาได้กระทำสิ่งใดกับอิเหนาได้ ด้วยอิเหนานั้นเป็นถึงองค์ยุพราชแห่งวงศ์อสัญแดหวา วงศ์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีต้นวงศ์เทวาเป็นถึงเทพยาดาบนสรวงสวรรค์ ต่างจากเขาซึ่งเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็กๆ เท่านั้น

แค้น...แค้นนัก...

ระตูจรกาได้แต่เก็บงำความแค้นนี้ไว้กับตัว ขณะที่อิเหนาและบุษบาหายไปจากเมืองดาหาตั้งแต่วันนั้น หาได้มีผู้ใดพบพานนับแรมปีแม้ว่าท้าวกุเรปันจะส่งเหล่าไพร่พลออกตามหาพระโอรสมาโดยตลอดก็ตาม

แต่นั่นก็หาใช่สิ่งที่จรกาจะสนใจ นอกเสียจากเก็บตัวอยู่แต่ยังเมืองของตน ไม่พบหน้าพบตาผู้ใดด้วยเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นนัก จากที่ถูกผู้คนล้อเลียนให้เจ็บช้ำ มาบัดนี้กลายเป็นว่าเป็นที่เวทนาอยู่ไม่น้อย อิเหนาซึ่งเป็นตัวต้นเรื่องถูกประณามว่าไร้ยางอาย อีกทั้งยังตระบัดสัตย์ กลืนคำพูดของตนที่เป็นฝ่ายถอนหมั้นแต่สุดท้ายก็มาลักพาตัวบุษบาไป

เรื่องนี้ทำให้ท้าวกุเรปันร้อนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อทรงรู้ดีว่าพระโอรสของตนกระทำผิด จึงหมายจะไถ่โทษให้อิเหนาไม่ถูกบริภาษด้วยการไปขอนางจินดาส่าหรี พระธิดาของท้าวสิงหัดส่าหรี พระญาติของตนให้มาเป็นมเหสีของจรกาแทน

เรื่องราวเหมือนจะจบ แต่ทว่า...ดวงใจอันบอบช้ำของจรกานั้นหาได้รับการเยียวยาเลยแม้แต่น้อย ครั้นอิเหนาและบุษบากลับมายังกุเรปันและอภิเษกสมรสเป็นคู่ครอง จรกาก็ยิ่งใจร้าวรานดั่งแก้วร้าวที่ไม่มีวันสมาน

เวลาผ่านไปชั่วชีวิต ความแค้นนี้ก็หาได้รับการบรรเทาเลยแม้แต่น้อย กระทั่งเรือนผมดำขลับแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว ผิวหนังเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา ดวงตาฝ้าฟางมองสิ่งใดไม่ชัดเจนอีกต่อไป กระนั้นความแค้นก็ยังคงอยู่ตราบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของชีวิต

อิเหนา... เจ้ากับข้า ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้ แม้ว่าชาตินี้ข้าจะถูกเจ้าช่วงชิงน้องบุษบาไป แต่ชาติหน้าฉันใด ขอให้กงเกวียนกำเกวียนหนุนนำให้ข้าได้นางกลับคืน

โอ้...องค์เทวดาเจ้าขา หรือปีศาจอสุรกายตนใด หากได้ยินคำขอของข้าแล้วไซร้ โปรดเห็นใจดลบันดาลให้ข้าได้สมปรารถนา

ขอให้สมปรารถนา...

ชาติหน้าฉันใดขอให้สมปรารถนา...

ระตูจรกา...

 

เมื่อคืนก็ฝันอีกแล้ว แต่รอบนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีกับความฝันสักเท่าไรเลย ตั้งแต่ที่ฝันจนตกใจตื่น ร้องเรียกหาพี่อินทร์เสียงหลงในวันนั้น ผมก็ไม่รู้สึกดีกับความฝันที่เกี่ยวข้องกับอดีตชาติอีก แต่ที่รู้สึกไม่ดียิ่งกว่าก็คือรอยแดงๆ บนหน้าอกของผมที่ตอนนี้ดูเหมือนจะค่อยๆ แผ่ขยายพื้นที่มากขึ้น

ตอนแรกก็มีแค่รอยเหมือนเล็บข่วนที่พี่วิญญูเห็น จากนั้นก็เริ่มแตกกิ่งก้านสาขามากขึ้นเรื่อยๆ จนดูเหมือนรากต้นไม้ ผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจหรอกนะ รีบไปหาหมอตั้งแต่ที่เห็นว่ามันเริ่มลามจนมีความกว้างขนาดเท่าฝ่ามือ หมอก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้เหมือนกันว่าผมเป็นอะไร ได้แต่บอกว่าอาจจะแพ้อะไรสักอย่าง ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแพ้อะไร ตัวผมเองก็ไม่เคยแพ้อาหารหรือฝุ่นละอองใดๆ ที่มีผลกระทบกับผิวหนังมาก่อนด้วย สุดท้ายเลยกลายเป็นสรุปว่าผิวแตกลายแทนเสียอย่างนั้น

ผมก็เลยได้ยาทากลับมาหลายขวด วันนี้ก็ครบอาทิตย์หนึ่งแล้วที่มีอาการนี้ แต่ทายาไปก็ไม่ช่วยอะไรทั้งนั้น เพราะนอกจากจะไม่ทำให้รอยมันลด ยังแตกลายมากขึ้นจนลามไปยังหัวไหล่ และตอนนี้ก็เริ่มลามลงมาที่ต้นแขนแล้ว

ผมมองร่างกายเปล่าเปลือยของตัวเองหน้ากระจกแล้วก็ได้แต่กลุ้มใจ ผิวเนียนๆ ที่พี่อินทร์ชอบลูบ ตอนนี้แม้แต่มองก็ยังไม่น่ามองเลย แน่นอนว่าผมไม่บอกให้เขารู้หรอกว่าผมเป็นอะไรแบบนี้ กลัวว่าถ้าหากเขาเห็นว่าผมไม่น่าดูเหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว เขาจะไม่อยากแตะต้องตัวผมขึ้นมา

ยังไงก็ต้องเก็บเป็นความลับ ส่วนในระหว่างนี้ก็ต้องหาวิธีรักษาให้ได้...

ผมสวมเสื้อแล้วออกจากห้องไปยังโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยตามที่หมอนัด ซึ่งผลก็ออกมาเป็นอย่างเคยคือไม่สามารถวินิจฉัยได้ และก็ได้ยากลับมาทาอีกเช่นเคย แต่มันไม่เหมือนเดิมตรงที่ระหว่างเดินออกจากโรงพยาบาล ผมก็เจอคนที่ไม่สมควรจะเจอเข้า

“อ้าวน้องจิ มาทำอะไรที่โรง’บาลเหรอ”

...พี่วิญญู

เขาถามผมพร้อมกับรอยยิ้ม ผมอดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันนะว่าทำไมเขาถึงยังกล้าทักทายผมอยู่ทั้งที่รู้ว่าพี่อินทร์หึงหวงผมอย่างกับอะไรดี คงเป็นเพราะตอนนี้พี่อินทร์ไม่ได้อยู่ด้วยล่ะมั้ง เขาถึงได้ทักทาย

“จิมาทำธุระครับ”

ผมก็ตอบไปตามมารยาท ไม่บอกรายละเอียดเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เขาควรรู้ ทว่าสายตาของพี่วิญญูกลับมองไปยังถุงยาที่ผมถือไว้ในมือแล้วเป็นที่เรียบร้อย

“ไม่สบายเหรอ เป็นอะไรล่ะ”

ผมรีบดึงถุงยาไปซ่อนไว้หลังตัวเองทันที ไม่ใช่แค่พี่อินทร์หรอกที่ผมไม่อยากให้รู้ คนตรงหน้าหรือใครๆ ก็เหมือนกัน ผมไม่อยากให้ใครรู้ทั้งนั้น

“ไม่มีอะไรครับ จิขอตัวก่อนนะ”

ผมตัดบทแล้วรีบเดินออกจากตรงนั้นทันที แต่เพราะรีบร้อนเกินไปเลยทำให้ถุงยาหลุดมือหล่นลงบนพื้น ผมหันไปทิ้งตัวลงนั่งยองเก็บของถุงอย่างกลับเข้าไปในถุงตามเดิม พี่วิญญูที่เห็นเหตุการณ์อยู่ก็เข้ามาช่วย

“ไม่เป็นไรครับ จิเก็บเอง”

ผมรีบบอก มือก็รีบเก็บ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิดเมื่อพี่วิญญูหยิบยาหลอดหนึ่งขึ้นมาอ่าน

“เป็นโรคผิวหนังเหรอ”

ผมเงยหน้ามองเขาทันควัน ก่อนแย่งยาในมือเขาคืนมาโดยไม่พูดอะไร

ต้องรีบไป...

ต้องรีบไปจากที่นี่...

ทว่าพี่วิญญูกลับคว้าข้อมือผมเอาไว้ พอผมเหลือบมองหน้า เขาก็ถือวิสาสะมาเลิกแขนเสื้อผมขึ้น รอยแดงที่ต้นแขนปรากฏให้เขาเห็นเต็มสองตา ก่อนเขาจะเบิกตาโต ครางออกมาเบาๆ

“นั่น...”

ดูท่าทางเขาตกใจมาก ผมเองก็ตกใจ รีบดึงแขนตัวเองกลับ ผุดลุกพรวด

“จิมีธุระ ไปก่อนนะครับ”

“เดี๋ยวสิน้องจิ”

เขาพยายามจะรั้งผมไว้ แต่ผมไม่อยู่แล้ว แค่พี่วิญญูเห็น ผมก็รู้สึกอับอายขึ้นมาจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ความรู้สึกเดียวกับตอนที่จรกาถูกใครต่อใครถ่มถุยเรื่องหน้าตาฉายวาบเข้ามาในจิตใต้สำนึกของผม ความอับอายนั้นทำให้ผมต้องเม้มปากแน่น น้ำตาคลอเบ้าอย่างไม่อาจห้าม ตอนนี้ชัดแล้ว...ชัดเลยว่ายังไงผมก็ให้พี่อินทร์รู้ไม่ได้

ไม่ว่าใครก็จะรู้เรื่องนี้ไม่ได้ทั้งนั้น!

 

ตอนนี้เข้าอาทิตย์ที่สอง ยาที่หมอให้มาหมดอีกแล้ว ปกติแล้วยาจะใช้ได้ประมาณหนึ่งเดือน แต่เพราะรอยบนตัวผมมันมีมากเกินไป แล้วผมก็วิตกจริตกลัวว่ามันจะไม่หายด้วย เลยโบกยาลงบนตัวแทนที่จะทา ตอนนี้นอกจากยาแล้ว โลชั่นลบรอยแตกบนผิวหนังอะไรที่เขาว่าดี ผมก็ไปซื้อมาใช้หมดจนพี่อินทร์แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้ลุกขึ้นมาดูแลผิวพรรณตัวเอง ซึ่งก็แน่ล่ะว่าผมบอกเขาไปว่า...

“จิอยากให้พี่อินทร์แตะต้องตัวจิเยอะๆ”

...ผมอยากให้เขาทำอย่างนั้นจริงๆ แต่ไม่ใช่ช่วงนี้ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงอยู่ เวลาที่เขาทำท่าเหมือนจะอยากทำอะไรกับผมตามอย่างเคย ผมมักจะแกล้งหลับ หรือไม่ก็อ้างเหนื่อยบ้าง ทำการบ้านบ้าง อ่านหนังสือบ้างไปตามเรื่อง จนเขาแปลกใจอยู่หน่อยๆ แต่ดีที่ไม่ได้ตอแยอะไร เพราะช่วงนี้พี่อินทร์เองก็มีโปรเจ็กต์วิชาหนึ่งที่เขาต้องทำเหมือนกัน และที่ผมดีใจที่สุดก็คือ...เขาไม่ค่อยได้กลับหอเพราะโปรเจ็กต์นี้

รู้สึกว่าจะต้องไปซ้อมการแสดงที่ตึกคณะกับเพื่อนจนดึกดื่น ผมก็ไม่ตามเขาหรอก อยู่ห่างๆ กันไว้อย่างนี้แหละดีแล้ว ตราบใดที่รอยพวกนี้ยังไม่หายไป อยู่ใกล้กันมันไม่เป็นการดีเลย สักวันเขาจะต้องเห็นแน่

วันนี้ก็เช่นกันที่เขายังไม่กลับหอ ผมกลับมาที่ห้องหลังจากแวะไปซูเปอร์มาร์เก็ตที่ห้างแถวมหาวิทยาลัยเพื่อซื้อของใช้จำเป็น ก่อนจะแกะกระดุมเสื้อนักศึกษาออก

ช่วงนี้...ผมใส่เสื้อนักศึกษาแบบไม่พับแขน แทบจะเรียกได้ว่าแต่งกายถูกระเบียบเลยเถอะ ส่วนเหตุผลน่ะ ก็เพราะว่า...

สายตามองไปยังเงาสะท้อนของตัวเองที่ปรากฏอยู่บนกระจกเงาในตู้เสื้อผ้า รอยแดงๆ เหมือนรากต้นไม้กระจายจากหน้าอกไปยังต้นแขนทั้งสองข้าง และตอนนี้ก็ลามเลยลงมายังข้อพับแขนแล้ว

...นี่ล่ะ เหตุผลที่ผมต้องใส่เสื้อแขนยาวปกปิดมันเอาไว้

ผมคว้าเอาเสื้อแขนยาวที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตมาตัวหนึ่งแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ชำระล้างร่างกายอย่างเคย พอทายาและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกจากห้องน้ำ จากนั้นก็ต้องผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าพี่อินทร์กลับเข้าห้องมาพอดี

“วันนี้กลับเร็วจังเลยครับพี่อินทร์”

ผมทักเขาเพื่อลดความประหม่า รีบซ่อนหลอดยาลงในกระเป๋ากางเกงด้วย ปกติแล้วผมจะเอาไปเก็บไว้ตามกระเป่ากางเกงในตู้เสื้อผ้า แต่พี่อินทร์ดันโผล่พรวดเข้ามาแบบนี้ คงต้องหาจังหวะเอาของไปเก็บใหม่อีกที

“อื้ม วันนี้ซ้อมเสร็จเร็วน่ะ พี่เลยรีบกลับ”

เขาตอบ ก่อนจะถอดรองเท้าผ้าใบเก็บเข้าชั้น ให้ผมได้ยืนเงอะๆ งะๆ แล้วถามเขาขึ้นอีก

“แล้วพี่อินทร์กินอะไรมาหรือยัง”

ทำเป็นถามไปอย่างนั้นแหละ ดึกขนาดนี้แล้ว เขาน่าจะหาอะไรกินมาแล้ว

แต่เขากลับตอบในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความคิดผมเสียอย่างนั้น

“ยังหรอก พี่ไม่หิว อยากเจอจิมากกว่า”

คำพูดนั้นทำให้ผมยิ้มออก พี่อินทร์น่ารักกับผมเสมอถึงแม้ว่าช่วงนี้ผมจะไม่ให้เขาแตะเนื้อต้องตัวเลย เอาจริงๆ ผมก็รู้สึกผิดกับเขาอยู่เหมือนกันนะ แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่มั่นใจว่าถ้าเขาเห็นแล้วมันจะเป็นไปในแง่ดีหรือแง่ร้าย ผมเลยไม่ให้เขาโดนเนื้อตัวเลยดีกว่า จะว่าผมกังวลไร้สาระก็ได้ แต่คนที่ถูกใครต่อใครดูถูกมาทั้งชาติอย่างผม ผมทนไม่ได้หรอกถ้าเกิดว่ารอยนี้ไม่หาย แล้ววันหนึ่งพี่อินทร์จะไปจากผมเพราะเรื่องนี้

ถ้าผมไม่ใช่จิระคนงามอีกต่อไป แล้วผมต้องสูญเสียเขา ผมทนไม่ได้จริงๆ...

ผมได้แต่ยิ้มบางๆ ให้เขา พี่อินทร์ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น นอกจากจะถอดเสื้อนักศึกษาออก พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นข้าวของเครื่องใช้ที่ผมซื้อมาบนโต๊ะใกล้ๆ พอดี

“วันนี้จิไปห้างมาเหรอ”

ผมพยักหน้า ลืมไปว่าไม่ได้บอกเขาก่อน ปกติเวลาไปไหน ผมจะบอกเขาทุกครั้ง ยกเว้นช่วงนี้ที่ไม่อยากให้เขาไปด้วย

“อืม จิไปซื้อของมานิดหน่อย”

พี่อินทร์ขมวดคิ้ว เดินไปแหวกๆ ถุงที่ผมซื้อมาดู ก่อนจะหยิบโลชั่นขึ้นมา

“ท้องเหรอจิถึงต้องใช้ของแบบนี้”

มันเป็นโลชั่นสำหรับผิวแตกลายงาของคุณแม่ตั้งครรภ์น่ะ ผมยกมือขึ้นลูบหลังคอตัวเอง แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ

“เห็นบล็อกเกอร์รีวิวว่ามันทำให้ผิวนุ่ม จิก็เลยลองซื้อมาใช้”

พี่อินทร์ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ พวกโลชั่นพวกนี้ เขาเห็นมาพักหนึ่งแล้ว ดูท่าทางน่าจะเริ่มชิน แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมซื้อโลชั่นสำหรับผิวแตกลายงามา เขาเลยคงอดถามไม่ได้

“แล้วทำไมจิซื้อแขนยาวมาเยอะแยะเลย”

พี่อินทร์รื้อถุงอีกใบดู แต่อันนี้พอผมเห็นแล้วก็รีบพุ่งพรวดไปแย่งถุงคืนเพราะเสื้อที่ซื้อมามันเยอะเสียจนน่าสงสัย อะไรไม่ว่า ในนั้นมีถุงยาจากโรงพยาบาลด้วย ให้เขาเห็นไม่ได้หรอก!

การกระทำนั้นทำให้เขามองผมอย่างงุนงงทันควัน ผมเลิ่กลั่กไป ก่อนคิดคำแก้ตัวได้

“คือ...ช่วงนี้จิขี้หนาวน่ะครับ เลยซื้อเสื้อแขนยาวมาไว้ใส่นอน”

โกหกคำโต ร้อนขนาดนี้ ใครมันจะไปขี้หนาว ถ้ารอยพวกนั้นไม่ลามไปตามแขนอย่างนั้น ผมก็ไม่ใส่หรอก ส่วนพี่อินทร์...ตอนนี้เรียวคิ้วเขาขมวดมุ่นเข้าหากันเลย ผมกลืนน้ำลายเอื้อก กลัวเหลือเกินว่าเขาจะจับพิรุธได้ หรือสงสัยในอะไรที่ผมไม่อยากให้เขารู้ กระทั่งเขาเอ่ยปากขึ้น

“หรือจิจะไม่สบาย?”

ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจที่เขาเข้าใจไปแบบนั้น ก่อนจะพยักหน้า

“นิดหน่อยครับ”

ผมไม่สบายจริงๆ อันนี้ไม่ได้โกหก แต่ไม่ได้เป็นไข้อะไรอย่างนั้น เป็นโรคผิวหนังต่างหาก แต่พี่อินทร์เข้าใจอย่างนั้นเพราะเขาเดินมาเอาหลังมืออังที่หน้าผากผมแล้ว

“เอ...ตัวก็ไม่ร้อนนี่”

ผมเม้มริมฝีปากแน่น เขาก็มองหน้าผมนิ่งเช่นกัน

“หรือจะเป็นหวัด?”

แกล้งไอตอนนี้ทันไหม คงไม่ทันแล้วสินะ ผมเลยได้แต่อึกๆ อักๆ

“คือจิ...”

ไม่รู้ว่าจะอ้างว่าอะไร แต่พี่อินทร์ก็ว่าออกมาก่อนแล้ว

“ถ้าจิหนาว พี่ปิดแอร์ก็ได้นะ คืนนี้เปิดพัดลมนอน”

ผมส่ายหน้าพรืดเลย เรื่องอะไรล่ะ ร้อนจะตาย ที่ต้องมาใส่เสื้อแขนยาวแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้เขาเห็นรอยน่าเกลียดพวกนั้นต่างหาก

“จิไม่เป็นไรครับ ถ้าปิด พี่อินทร์ก็ร้อนสิ”

“พี่ก็ไม่เป็นไร พี่กลัวจิหนาวมากกว่า”

“เดี๋ยวจิห่มผ้าหนาๆ นอนก็ได้”

พอผมออกอาการดื้อ พี่อินทร์ก็ไม่ตอแย เขายกยิ้มขึ้นมา ว่าอย่างกะลิ้มกะเหลี่ย

“ถ้างั้น...เดี๋ยวพี่ช่วยห่มอีกแรงนะ”

จากนั้นก็ดึงผมไปที่เตียง ดันตัวผมลงนอนหน้าตาเฉย รู้ตัวอีกที เขาก็มาขึ้นคร่อมเอาไว้แล้ว

“จิเคยได้ยินไหมว่าหนาวเนื้อต้องห่มเนื้อ”

หน้าตาก็กะลิ้มกะเหลี่ย ผมรู้เลยว่าเขาคิดจะทำอะไร ก็ทำอย่างที่เขาเคยทำทุกทีนั่นแหละ ปกติผมก็จะยอม แต่ไม่ใช่ในครั้งนี้ พอเขาล้วงมือเข้ามาสัมผัสที่หน้าท้องใต้เสื้อ ผมก็เบิกตาโพลง ดิ้นหนีอย่างรวดเร็ว

“พี่อินทร์อย่า...”

แต่พี่อินทร์ไม่ฟัง ฝังใบหน้าลงมายังซอกคอผม

“ไหนๆ ไม่สบายตรงไหน เดี๋ยวพี่หมออินทร์จะรักษาให้นะจ๊ะ”

แล้วก็พรมจูบไปทั่ว ทั้งที่ผมเคยสนุกกับการหยอกล้อแบบนี้ของเขาแท้ๆ แต่ครั้งนี้ไม่สนุกเลยสักนิด ผมดันเขาออกเป็นพัลวัน

“ไม่เอาพี่อินทร์ วันนี้จิไม่เล่น”

พี่อินทร์ก็ไม่หยุดอีก จับข้อมือทั้งสองข้างของผมไปขึงพรืดไว้เหนือหัว

“วันนี้อยากเล่นบทขัดขืนเหรอ”

เขาว่าขำๆ แต่ผมไม่ขำแล้ว เห็นหน้าเขา ผมก็รู้สึกไม่ดี แต่ไม่ใช่เพราะเขา ผมกำลังกลัวต่างหาก

กลัว... ถ้าเขาเห็นว่าผมไม่ได้เป็นจิระคนงามอีกแล้ว เขาจะรักผมน้อยลง

ถึงใครจะคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่สำหรับผมที่ชาติก่อนถูกใครต่อใครประณามว่าอัปลักษณ์ มันทำให้ผมฝังใจมาก ในเมื่อชาตินี้เกิดมาหน้าตาดีแล้ว ผมก็อยากดูดีในสายตาเขาตลอดเวลา อยากเป็นจิระคนงาม ไม่ใช่จิระที่มีรอยแดงๆ ทั้งตัวแบบนี้

“เอ้า ขัดขืนก็ขัดขืน วันนี้เล่นบทจำเลยรักก็แล้วกันเนอะ”

พี่อินทร์ยังคงว่าด้วยน้ำเสียงระรื่น โน้มใบหน้าลงมาจูบเข้าที่ซอกคอผมแล้วด้วย มือก็ดึงคอเสื้อผมลงต่ำเพื่อพรมจูบ ผมใจหายวาบ ก่อนจะตะเบ็งเสียงออกมา

“พี่อินทร์! จิบอกว่าอย่า! ถอยออกไป!”

ไม่ใช่แค่ตะโกน ยังทั้งดิ้นทั้งถีบ พี่อินทร์คงคิดว่าผมเล่นในตอนแรก แต่พอผมเสียงดังขึ้น

“ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้! พี่อินทร์!”

เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ทันทีว่าผมไม่ได้เล่นแล้ว พอเขาชะงัก ทำท่าเหมือนจะถามอะไรผมสักอย่าง ผมก็ผลักเอาออกสุดแรง เขาแทบไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ได้แต่มองผมด้วยสายตางุนงง

“จิเป็นอะไร”

“ออกไป!”

ผมผลักเขาอีกครั้งสุดแรง เขาก็พยายามจะจับผมให้อยู่นิ่ง

“จิ... จิระใจเย็นๆ เป็นอะ...”

“จิบอกแล้วไงว่าให้หยุด!”

เพียะ!

จังหวะนั้นผมลุกขึ้นนั่งได้พอดี พลันก็สะบัดมือออกไปฟาดกับซีกแก้มของเขา เสียงดังของฝ่ามือกระทบกับใบหน้าทำให้ทั้งผมทั้งเขาชะงักงันไป วินาทีนี้เองที่ผมรู้สึกตัวว่าพลั้งมือทำอะไรลงไป พลันในใจก็พรั่นพรึงยิ่งกว่าเดิม

ผะ...ผมตบเขา...ตบหน้าเขา

ซีกหน้าข้างนั้นของพี่อินทร์แดงเรื่อขึ้นมาทีละน้อย เขาเองก็มองผมอย่างไม่เชื่อสายตาเช่นกัน

“พะ...พี่อินทร์...” ผมครางเรียก เขายังคงนิ่ง ผมเลยรีบพูดออกมา “จะ...จิไม่ได้ตั้งใจ จิขอโทษ...”

น้ำตาก็พลันไหลออกมาเป็นสายด้วย ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะพลั้งมือไปแบบนี้ ขณะที่เขายกมือขึ้นลูบแก้มข้างที่ถูกตบของตัวเอง ผมเลยถลาเข้าไปหาเขา พูดประโยคเดิมๆ ซ้ำๆ ไม่หยุด

“จิไม่ได้ตั้งใจ ฮึก...พี่อินทร์ จิขอโทษ...”

ไม่ได้ตั้งใจ...

ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ...

มือผมสั่นระริก ตัวก็สั่น ทั้งตกใจ ทั้งเสียใจ ช็อกด้วยเช่นกัน พี่อินทร์ก็คงจะช็อกไม่ต่างกัน เขาคงไม่คิดว่าผมจะตบหน้าเขาเต็มแรงขนาดนั้น แต่เขาก็ได้สติก่อนเป็นคนแรก

“จิ... ไม่เป็นไร โอ๋ๆ นะ พี่ไม่เป็นไร”

เขาดึงผมไปกอดอย่างรวดเร็ว ลูบหัวลูบหลังเป็นการใหญ่ ส่วนผมเองก็ร้องไห้โฮยิ่งกว่าเดิม

“จะ...จิขอโทษครับพี่อินทร์ ฮือ...”

“พี่ไม่โกรธๆ พี่รู้ว่าจิไม่ได้ตั้งใจ พี่ผิดเองที่เล่นไม่เลิก”

เขากระซิบ จูบขมับ จูบหน้าผากผมเป็นการปลอบประโลม ผมรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธเลยแม้แต่นิดเดียว แต่การที่ผมพลั้งมือไปทำร้ายเขาอย่างนั้นมันทำให้ผมรู้สึกแย่

แย่...แย่มาก ทั้งรู้สึกแย่กับรอยบนตัว แย่กับการกระทำของตัวเอง แย่ที่ทั้งๆ ที่ผมเป็นฝ่ายผิด เขาก็ยังดีกับผมแบบนี้

รู้สึกแย่มากเลย...

“จิขอโทษ...”

“พี่ไม่โกรธครับคนดี ไม่ต้องร้องแล้วนะ ยิ้มๆ”

พี่อินทร์ผละออกมา ใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้ผมเป็นการใหญ่ เขายิ้มกว้าง สีหน้าไม่ได้ดูผิดแผกไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่ใจไม่ดีเลย

“แต่จิ...”

“จิไม่ต้องขอโทษแล้ว พี่ไม่โกรธ ยังรักจิเหมือนเดิมนะ นิ่งซะๆ”

เหมือนเขารู้เลยว่าผมกลัวอะไร พอพูดมาอย่างนั้น ผมก็ค่อยสงบลงได้ แต่ก็ไม่วายเหลือบมองซีกแก้มของเขาที่ยังมีรอยนิ้วระเรื่อ

“จิไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะพี่อินทร์”

พี่อินทร์ยิ้มมาอีกครั้ง “พี่รู้ พี่เล่นไม่เลิกเอง สมควรโดนแล้ว จิบอกแล้วนี่เนอะว่าไม่สบาย ยังจะไปแหย่อีก”

กลายเป็นว่าเขาโทษตัวเองเสียอย่างนั้น ถึงจะสงบลงแล้ว แต่ผมก็ไม่สบายใจเลย ทว่าพี่อินทร์กลับยิ้มออกมา

“นอนนะจิ เดี๋ยวพี่กล่อม ไม่ต้องคิดมากนะ”

พลันดึงตัวผมเอนลงนอน ตระกองกอดไว้ ลูบหลังลูบไหล่เบาๆ ในช่วงแรกผมก็ยังเกร็งๆ อยู่ แต่พอผ่านไปสักพักแล้วเห็นว่าพี่อินทร์ทำตัวเหมือนปกติทุกอย่าง ผมก็ค่อยๆ สบายใจขึ้นมา ก่อนจะซุกหน้าลงบนอกเขา พึมพำเสียงเบา

“ขอบคุณที่ไม่โกรธจินะครับ”

“พี่รักจิมากขนาดนี้ จะโกรธลงได้ไงหืม?” เขาว่ายิ้มๆ ก่อนจูบลงมาบนริมฝีปากผม “นอนนะคนดี คืนนี้พี่ขอให้ฝันดีนะครับ”

พี่อินทร์...

ผมโผเข้าหา กอดกระชับเขาแน่น นอกจากพ่อแม่ที่ตายไป แล้วก็ลุงกับป้าที่เลี้ยงดูผมมา ในชีวิตนี้คงไม่มีใครรักผมได้มากเท่าพี่อินทร์อีกแล้วล่ะ

ขอบคุณ... ขอบคุณครับ...

ขอบคุณที่ยังรักจิเหมือนเดิมทั้งที่จิทำตัวงี่เง่า

ขอบคุณพี่อินทร์จริงๆ...

 

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 24: โรคผิวหนัง[2]


[Intara’s Part]

จิระหลับไปแล้ว คืนนี้ดูหลับยากเป็นพิเศษ ผมทั้งกล่อมทั้งโอ๋อยู่เป็นชั่วโมงกว่าที่เขาจะสบายใจแล้วผล็อยหลับไป ผมก็รู้อยู่หรอกว่าทำไมเขาถึงหลับยาก ก็เล่นตบหน้าผมเต็มแรงขนาดนั้น เขาคงจะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วข่มตาหลับลงได้หรอก จริงๆ หลับไปทั้งน้ำตาด้วยซ้ำ ผมเห็นแล้วก็สงสาร ความเจ็บแปลบบนใบหน้านี่หายไปเลยตอนเห็นน้ำตาของเขา

จิระไม่ได้ตั้งใจ...ผมรู้ เขาพลั้งมือ เป็นเพราะผมไปหยอกเขาเล่นไม่เป็นเรื่องเองแหละ เลยโดนฟาดเข้าให้ ก็สมควรแล้วล่ะ จิระก็บอกอยู่ว่าไม่เล่นๆ

แต่ว่า... การที่ผมเล่นไม่ดูตาม้าตาเรืออย่างนั้น มันก็ทำให้ผมเห็นอะไรบางอย่างที่จิระปิดบังมาตลอดช่วงนี้ ความจริงผมสังเกตมาพักหนึ่งแล้วว่าจิระมีอะไรปิดบังผม ซึ่งการที่เขาทำเหมือนกับว่าไม่อยากให้ผมรู้ ผมเลยแสร้งทำเป็นไม่รู้มาโดยตลอดทั้งที่อยากรู้ใจแทบขาด ที่ทำแบบนั้นก็เพราะกลัวว่าถ้าผมไปคาดคั้นเอาคำตอบจากเขา เดี๋ยวเขาจะโกรธผมเข้าให้

และวันนี้...ผมก็ได้รู้แล้วว่าเขาปิดบังอะไรไว้

รอยแดงบนหัวไหล่และแนวไหปลาร้า...

ไม่รู้หรอกว่าเป็นรอยอะไร แต่มันดูน่ากลัวมาก ถ้าผมไม่ไปดึงคอเสื้อเขาอย่างนั้นก็คงไม่เห็น และที่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่จิระปิดบังนั่นก็เพราะว่าช่วงนี้เขาซื้อโลชั่นบำรุงผิวมาใช้มากพิเศษ ไม่สิ...บอกว่ามากเป็นพิเศษไม่ได้ เขาไม่เคยใช้ของอะไรพวกนี้เลยดีกว่า ตอนผมเห็นขวดโลชั่นไซส์บิ๊กวางอยู่บนขอบอ่างล้างหน้าในห้องน้ำ ผมก็แปลกใจจนอดถามไม่ได้เหมือนกัน แต่พอเขาตอบว่าอยากให้ผมสัมผัสเขาบ่อยๆ ผมก็ไม่ถามอะไรต่อ นอกจากจะดีใจเท่านั้นที่เขาคิดถึงผม

ทว่า...ความจริงแล้วไม่ใช่ เขาไม่ได้อยากให้ผมสัมผัสเลย ทุกครั้งที่แตะต้องเนื้อตัว เขาก็จะบ่ายเบี่ยงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนแรกผมก็หวั่นใจเหมือนกันว่าเขาจะเบื่อผมแล้ว แต่พอมารู้ความจริงแบบนี้ ผมก็ค่อยเบาใจหน่อย

เบาใจจากเรื่องกลัวเขาจะเบื่อผมมาหนักใจเรื่องผิวของเขาแทน

รอยนั่นมันเป็นรอยบ้าอะไร...

หนักใจไม่พอ กังวลใจด้วย เพราะดูก็รู้ว่าจิระกังวลใจ ตอนเขาหลับไปเมื่อกี้ ผมลูบๆ ตามตัวเขาก็เจอเข้ากับหลอดยาในกระเป๋า

มันเป็นยารักษาโรคผิวหนัง...

ไม่รู้หรอกว่ารักษาอาการอะไรที่เกี่ยวกับผิวหนัง รู้แต่ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ที่เขาปิดบังผมอย่างนี้ พอเขาหลับสนิท ผมก็ย่องออกจากห้องไปเรียกไอ้บุศย์ บอกมันว่าชวนไปกินข้าว แต่จริงๆ แล้วมีเรื่องอยากปรึกษามันมากกว่า ไอ้บุศย์ก็ทำท่าจะด่าผมอยู่เหมือนกันที่ไปเรียกมันดึกๆ ดื่นๆ อย่างนั้น ทว่าพอเห็นสีหน้าผมแล้ว มันก็โทรตามสรัลมาด้วย ก่อนที่เราทั้งสามจะไปนั่งหัวโด่อยู่ในร้านข้าวต้มกุ๊ยใกล้ๆ หอ

ผมวางหลอดยาลงบนโต๊ะ ถามพวกมันด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“คิดว่าไง”

สรัลเป็นคนแรกที่คว้าหลอดยานั่นไปดู ก่อนจะถามผมกลับ “ยารักษาโรคผิวหนัง จิเป็นขี้กลากเหรอพี่อินทร์”

ผมถอนหายใจ สวนกลับด้วยน้ำเสียงเครียด “ถ้าเป็นขี้กลากก็ดีสิ รักษาไม่ยาก แต่รอยที่พี่เห็นมันไม่ใช่”

ไอ้บุศย์นิ่วหน้า วางตะเกียบลงบนโต๊ะ “แล้วมันเป็นรอยยังไง”

“ก็เป็น...” ผมนิ่งคิดไปครู่ “รอยแดงๆ เหมือนรอยผิวแตก แต่มันเหมือนรากต้นไม้”

ว่าตามที่เห็นนั่นแหละ และนั่นก็ทำให้สองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมขมวดคิ้วมากขึ้นไปอีก

“เป็นยังไงวะรอยเหมือนรากต้นไม้”

ไอ้บุศย์ถาม ผมก็ไม่รู้จะอธิบายให้มันฟังยังไงเหมือนกัน เลยคว้าเอากระดาษกับปากกาสำหรับจดเมนูอาหารมาวาดให้ดู

“เป็นรอยแตกแขนงแบบนี้อะ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่ารอยแม่งโคตรน่ากลัวเลย แล้วเป็นเต็มหน้าอกกับหัวไหล่จิด้วย ไม่รู้ว่ารอยมันลามไปถึงไหน กูไม่กล้าขอดู”

จริงอย่างที่ปากว่า ผมไม่กล้าขอดูเพราะเขาทำท่าเหมือนไม่อยากให้ผมรู้ สรัลหยิบกระดาษที่ผมวาดไปดู จากนั้นก็ขมวดคิ้ว

“ถ้าเป็นอย่างที่พี่อินทร์ว่า หนูว่าควรรีบพาจิไปรักษานะ เผื่อเป็นอะไรร้ายแรง”

ผมก็คิดแบบนั้นนั่นแหละ แต่จิระไม่อยากให้ผมรู้นี่สิ

“มีวิธีอะไรเกลี้ยกล่อมให้จิบอกพี่เรื่องนี้บ้างไหมล่ะถ้าพี่ไม่ไปพูดเอง”

สรัลนิ่งไป ทำท่าเหมือนคิด ไอ้บุศย์ก็ถอนหายใจออกมา มันก็คงเป็นห่วงน้องรหัสตัวเองเหมือนกัน แต่ทว่าขณะที่พวกเรากำลังคิดหาทางช่วยจิระอยู่นั้น แขกไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏตัวขึ้นโดยที่ไม่มีใครสักคนตั้งตัว

“ไม่คิดเลยนะว่าจะตั้งวงกินข้าวกันดึกขนาดนี้”

หันไปตามเสียง ผมก็ต้องไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรงเมื่อเห็นว่าคนที่โผล่มานั้นคือ...

“จิณห์”

นี่มันคงจะมาดักรออยู่แถวๆ หอผมอีกแล้วล่ะสินะ!

รู้อยู่หรอกว่ามันมาดักรอ แต่ไม่เคยเห็นด้วยตัวเองสักที มีแต่ไอ้บุศย์กับสรัลคอยมาบอกตลอด แต่วันนี้มันกลับโผล่มาหาเองซึ่งๆ หน้า ทำให้ผมอดระแวงไม่ได้เลย ขณะที่มันไม่ยี่หระอะไรแม้แต่น้อย ยกยิ้มแล้วเดินมานั่งยังเก้าอี้ว่างข้างๆ ผมอย่างถือวิสาสะ

“คุยอะไรกันอยู่เหรอ ดูน่าสนุกนี่”

ฉับพลันสีหน้าของไอ้บุศย์กับสรัลก็ดูตึงเครียดขึ้นทันตา มันสองคนก็ดูไม่ค่อยสบอารมณ์เหมือนกันที่เจอไอ้จิณห์ในตอนนี้ แต่คนที่ดูจะรำคาญใจมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นผมนี่แหละ

“มาทำไม”

ถามออกไปก็ไม่ได้คำตอบ จิณห์เหลือบมามองผม ว่ายิ้มๆ

“ห่างเหินกันจังเลยนะ ทั้งๆ ที่ชาติที่แล้วเป็นผัวเมียกันแท้ๆ”

คำนี้แหละที่ทำให้ผมหัวเสีย ผมโคตรเกลียดเวลามันพูดอย่างนี้เลย เพราะผมกับมันน่ะ ไม่ได้เป็นอะไรกันแม้แต่น้อย ที่อิเหนาอภิเษกกับจินตะหราวาตี มันเป็นความผิดพลาดจากการตัดสินใจของอิเหนา ใครๆ ก็รู้!

แต่ใครๆ ที่ว่าหมายถึงทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ พอผมไม่พูดอะไร ได้แต่มองหน้าจิณห์อย่างขุ่นเคือง มันก็เอื้อมมือไปคว้าเอาหลอดยาบนโต๊ะมาดู

“แล้วนี่ใครเป็นขี้เรื้อน”

ผมขบกรามแน่น ไม่มีใครตอบ แต่จิณห์ก็เหมือนจะรู้แล้วว่ายาหลอดนั้นเป็นของใคร

“อ้อ ที่แท้ก็เป็นของหมาขี้เรื้อนจรกา”

ผมถึงกับทนไม่ไหว กระชากคอเสื้อมันมาไว้ในมือแล้วถามเสียงแข็ง

“มึงต้องการอะไร”

“พี่อินทร์อย่า...”

สรัลรีบปราม เช่นเดียวกันกับไอ้บุศย์ที่ลุกขึ้นมาคว้าไหล่ผม

“ใจเย็นก่อนไอ้อินทร์ ปล่อยมัน”

ผมไม่ยอมปล่อยในทันที แต่สุดท้ายก็ยอมคลายมือเพราะไอ้บุศย์บีบไหล่เป็นการเตือนให้ผมสงบสติอารมณ์ ผมพ่นหายใจออกมาเต็มแรง

ยิ่งอารมณ์ไม่คงที่เพราะเป็นห่วงจิระอยู่ ยังจะมาเจอไอ้เวรนี่ให้อารมณ์เสียอีก มันต้องการอะไรของมัน!

แต่จิณห์ไม่คิดที่จะตอบคำถามผมสักนิด พอเป็นอิสระ มันก็จับคอเสื้อให้เข้าที่ ว่าออกมาอย่างไม่ยี่หระ

“สามวันจากนารีเป็นอื่นก็ว่าแย่แล้ว ไม่คิดเลยว่าชาติใหม่ก็ลืมสิ้นว่าเคยเป็นอะไรกันด้วย”

มันยังคงพูดพล่ามไม่เลิก คราวนี้ไม่ได้ค่อนขอดแค่ผม แต่หมายถึงการที่ผมไปแย่งชิงบุษบาอย่างไอ้บุศย์จากจรกามาด้วย ผมว่าผมจะทนไม่ไหวกับมันแล้ว อยากรู้นักว่ามันจะเอาอะไรจากผมกันแน่ แต่ก็คงจะไม่ได้คำตอบเช่นเคยเพราะมันพลิกหลอดยาไปมาแล้วพึมพำอยู่คนเดียว

“ยาทาแผลเป็น”

มันว่า จากนั้นก็คว้าเอากระดาษที่ผมวาดรูปขึ้นมาดู

“อันนี้คงเป็นรอยแผลเป็นสินะ...” พลันหันมามองผม ยกยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย “แต่ไอ้รอยนี่รักษาไม่หายหรอก ทิ้งไปเถอะไอ้ยานี่น่ะ ไร้ประโยชน์”

แล้วมันก็โยนหลอดยาทิ้งลงบนโต๊ะเหมือนเดิม ปล่อยให้ผมต้องถามเสียงเครียด

“หมายความว่าไง”

จิณห์ไม่บอก หัวเราะในลำคอออกมา พลันทุกสายตาจับจ้องไปยังมันเป็นตาเดียว และท่าทางกวนประสาทของมันก็ทำให้ผมหัวเสียหนัก

“กูถามว่าหมายความว่าอะไร”

ผมเดือดดาลขึ้นมาอีกแล้ว มือกำแน่นทันควัน ขณะที่ไอ้บุศย์กับสรัลก็มองผมสลับกับไอ้จิณห์เพราะกลัวว่าผมจะตะบันหน้ามันเข้าให้ แต่ไอ้คนตรงหน้าผมไม่ได้ดูกลัวเลยแม้แต่น้อย เอาแต่หัวเราะเย้ย

“อยากรู้เหรอ”

เออ! อยากรู้! อยากรู้ว่ามันเป็นรอยอะไร ทำไมถึงรักษาไม่หาย อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิระ อยากรู้ทุกอย่างที่มันรู้ เพราะผมจะได้หาทางช่วยจิระได้

แต่ไอ้จิณห์ก็ยียวนเสียจนผมแทบจะทนไม่ไหว

“ถ้าอยากรู้นักก็ทำตัวให้สมกับเป็นพระสวามีหน่อยสิ”

“จิณห์!”

“เรียกประไหมสุหรีจินตะหราวาตีทำไมเหรอ”

ทนไม่ไหวแล้ว...

ผมทนไม่ไหวแล้ว!

โผล่หน้ามาก็เอาแต่พูดในเรื่องที่ผมไม่อยากได้ยิน ผมเลยทุบโต๊ะดังปัง ทำเอาคนรอบข้างสะดุ้งโหยงไปตามๆ กัน แต่ผมไม่สนใจ เอาแต่จับจ้องจิณห์เขม็ง ก่อนจะถามเสียงต่ำ

“ถ้ามึงยังเล่นลิ้นอีก กูต่อยมึงคว่ำแน่ๆ”

ใครๆ ก็ดูรู้ว่าผมกำลังใช้ความอดทนอย่างถึงที่สุด จิณห์ยกยิ้มมุมปาก เอื้อมมือมาแตะลงเบาๆ ที่ซีกหน้าผมข้างที่โดนจิระตบ

“ไม่คิดเลยว่าจะใจร้ายกับมเหสีเอกได้ถึงขนาดนี้”

“เลือกเอาว่าจะบอกหรือจะไปจากที่นี่”

พอผมพูดไปอย่างนั้น จิณห์รู้ทันทีว่าถ้าไม่ยอมตอบคำถามในสิ่งที่ผมอยากรู้สักที ผมจะโยนเขาออกไปนอกร้านแน่ เขาก็เลยชักมือกลับ เปลี่ยนมาเท้าคางลงบนโต๊ะ ถอนหายใจ

“เฮ้อ...”

“จิณห์” ยังคงเล่นลิ้นอยู่ ผมเลยเรียกมันเสียงเรียบ พอมันเหลือบมามอง ผมก็ว่าต่อ “อยากได้อะไรก็จะให้ แต่บอกกูมาว่าที่มึงพูดมันหมายความว่าอะไร”

เท่านั้นจิณห์ก็ยิ้มกว้าง เหมือนกับว่ารอให้ผมพูดคำนี้อยู่นานแล้ว จากนั้นก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ผมเสียจนแทบชิด พลันกระซิบเบาๆ

“เคยได้ยินสำนวนที่ว่า ‘สาบานขอให้ฟ้าผ่าตายไหม’”

ผมชะงัก ไอ้บุศย์กับสรัลก็ชะงัก ขณะที่จิณห์ส่งเสียงหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นว่าผมเริ่มเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาได้

สาบานขอให้ฟ้าผ่าตาย...

อย่าบอกนะว่า...

จิระ!

---------------------------------------

ปมที่สองเริ่มมาแล้ว ตอนนี้ข้อยตั้งหม้อต้มน้ำเตรียมหย่อนมาม่าแล้วก้ะ 555

ตอนหน้าม่าแน่นอน แต่ไม่นาน ใจบางๆ เป็นกระดาษ เบาๆ ก็ขาด เบาๆ ก็ปลิวก็อ่านได้ อ่านๆ ไปเถอะ ไม่ปวดร้าวมาก แค่มดกัดนิดๆ บอกเลยว่าไม่ต้องกลัวมาม่าหรอกค่ะ กลัวนังคนเขียนมันดองดีกว่า พอเข้าดราม่าทีไร เขียนช้าหรือไม่ก็ดองไปเขียนเรื่องอื่นทุกที ผีมาก 555

พรุ่งนี้ไว้มาลงตัวอย่างตอนหน้าให้นะคะ


ออฟไลน์ vy0Cik

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 อยากจะพูดว่าหรออออออออออออ
ไปให้ถึงดาวอังคาร ขอให้มาม่าซองนี้เป็นหมูสับเลายังไม่พร้อมกับต้มยำน้ำข้น5555 ปมต่อไปต้องเกี่ยวข้องกับจิณแน่ๆเลย ก่อนคิดปมต่อไปแก้ปมนี้ก่อนดีกว่า//เตือนตัวเอง555555 อินโว้ยยย

ออฟไลน์ wildride

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :pig4:

นี่อยากจะเป็นทั้งโคนัน ทั้งโดราเอมอน คืออยากรู้ไปทั้งเรื่องแล้วอ่ะ
 :ling1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
โอ้ยยยยยย น้องจิมันจะมีวิธีแก้มั๊ยเนี้ย :katai1:

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 944
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
พี่อินทร์ช่วยน้องด้วยยยยยยย

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :ling3: ม่ามาแล้ว ฮืออ

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
ทายว่าอินทร์กลัวจิตาย  เลยจะทำตัวตีห่างเพื่อให้จรกาไม่ผิดคำำสาบานมารักอิเหนา

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
ออหือ น่ากลัวนะ คำสาบานเนี่ย :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1915
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
มาม่าน้ำข้น

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 594
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ไม่นะนว้องจิของปี้

ออฟไลน์ Patsz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
แล้วจะแก้ยังไงเนี่ย ลุ้นมาก เดาว่าน่าจะมีคนช่วยได้

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
รำคาญนังจินตะหรามาก :katai1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นี่มันคำสาบาน หรือ คำสาบแช่งกันแน่ฟะ  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ยิ่งอ่านนี่ยิ่งอินว่าเป็นวรรณคดีต้นฉบับแล้วนะเนี่ย ฮ่าๆ ปมสองมาแล้วจิณห์ก็มาด้วยเรื่องยุ่งๆจะตามมาอีกเท่าไหร่เนี่ย

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
 เป็นเพราะจรกาผิดคำสาบานใช่ไหม
จิระถึงเป็นแบบนี้

ออฟไลน์ jing_sng

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 761
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
ทางพุทธ มีสอนว่าอย่ากล่าวคำสาบานใดๆ เพราะมันจะติดไปทุกชาติทุกภพ กรณีจินี่เหมือนกัน แค้นมาก รักมาก ล้วนทำให้จิตผูกมัด ยิ่งวาจาไปตอกย้ำยิ่งไปกันใหญ่ แต่มันก็มีวิธีแก้ง่ายๆ นะ ถอนคำสาบานให้หมดไง ง่ายเพียงพลิกผ่ามือ พระอาจารย์เคยให้ถอนคำสาบานใดๆ ที่ไปเผลอสาบานไว้ไม่ว่าในชาตินี้หรือชาติไหน ตั้งจิตให้มั่นกล่าวถอนเลย จบ

หวังว่าจิและอินทร์ที่อุตส่าห์ระลึกชาติได้จะเอาสติ ความมีวัยวุฒิมาแก้ปัญหานะ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Chapter 25: ตระบัดสัตย์[1]

[Intara’a Part]

“เคยได้ยินสำนวนที่ว่า ‘สาบานขอให้ฟ้าผ่าตายไหม’” พอผมไม่ตอบอะไร จิณห์ก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะว่าต่อ “เคยสินะ”

ผมใจไม่ดีไปแล้ว ไม่รู้ว่าชาติก่อนจิระไปสาบานอะไรเอาไว้ ผลกรรมมันถึงส่งมาในชาตินี้ ผมนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยายามจับต้นชนปลายหาเรื่องที่มีแนวโน้มว่าจิระน่าจะเอาไปเป็นเรื่องสาบาน

ชาติก่อนจิระคือจรกา...

จรกาเกลียดอิเหนา ขุ่นแค้นมาตลอดทั้งชาติ

หรือว่า...การสาบานของจรกาจะเกี่ยวข้องกับผม!?

ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ เพราะนอกจากอิเหนาแล้วก็ไม่มีใครทำให้เขาขุ่นเคืองใจจนประกาศกร้าวไปทั่วว่าจะไม่เผาผีด้วยนี่นา ถ้าให้เดา มันคงเป็นเรื่องที่ผมลักพาตัวบุษบาและพังงานอภิเษกของเขาแน่ๆ

ถึงพอจะเดาได้ว่ามันเกี่ยวกับผมในชาติก่อน ทว่าผมก็ไม่รู้ว่าเขาสาบานไว้ว่าอะไร ถ้ารู้ว่าเขาสาบานอะไรไว้ บางทีผมอาจจะช่วยเขาได้

ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นที่คิดอย่างนี้ แม้แต่ไอ้บุศย์กับสรัลเองก็คิดเหมือนกัน ก่อนที่สรัลจะโพล่งขึ้นมา

“พี่อินทร์รีบไปถามจิแล้วพาไปถอนคำสาบานด่วนๆ เลย”

ไม่ต้องบอก ผมก็ต้องทำแน่ๆ ถ้าเป็นไปได้ จะทำมันตอนนี้เลยด้วย

แต่พอสิ้นเสียงของสรัล จิณห์ก็หัวเราะออกมา

“อะไร”

เป็นไอ้บุศย์ที่ถามอย่างหัวเสีย มันคงไม่ชอบเสียงหัวเราะของจิณห์พอๆ กับผมนั่นแหละ เพราะนอกจากจะฟังไม่รื่นหูแล้ว ยังรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามันเต็มไปด้วยความไม่น่าไว้ใจ ขณะที่จิณห์ไม่สนใจที่จะฟังเลยแม้แต่น้อย หัวเราะจนพอใจก็เท้าแขนลงบนโต๊ะ คว้าแก้วน้ำของผมที่ยังไม่ได้ดูดเลยสักอึดไปใช้หลอดคนเล่น

“ถ้าคิดว่าถอนคำสาบานแล้วจะจบก็ลองดู แต่ขอบอกก่อนนะ ชักช้าไม่ทันการ ตายอย่างเดียว”

ได้ยินแล้วผมก็ใจหายวาบ

ตายเหรอ? ทำไมล่ะ ในเมื่อถอนคำสาบานแล้ว ทำไมถึงตาย?

แต่ผมไม่ควรจะตื่นตูม คนที่กำลังพูดอยู่คือจิณห์ คนที่ผิดคำสัญญาและทำร้ายผมเกือบตายมาครั้งหนึ่ง ไม่ว่ายังไงก็ไว้ใจไม่ได้ โผล่มาอย่างนี้ยิ่งไว้ใจไม่ได้เข้าไปใหญ่ และดูท่าจะไม่ใช่แค่ผมด้วยที่ไม่ไว้ใจมัน ไอ้บุศย์เองก็มีสีหน้าน่ากลัวขึ้นมาก่อนมันจะถามแทนผม

“มึงรู้ได้ยังไง”

จิณห์หยักยิ้ม ว่าอย่างไม่ยี่หระ “เรื่องของพวกมึง ไม่เชื่อก็ตามใจ”

เป็นการยั่วประสาทที่ทำให้ผมกับไอ้บุศย์ต้องหายใจแรงพร้อมๆ กัน จนสุดท้ายก็เป็นไอ้บุศย์ที่ทนไม่ไหว

“ถ้ามึงไม่คิดจะช่วยก็ไสหัวไปจากตรงนี้เลย”

ปกติแล้วไอ้บุศย์เป็นคนใจเย็น มันจะไม่โกรธใครง่ายๆ ถ้าไม่เหลืออดจริงๆ ซึ่งคนที่ทำให้มันเหลืออดตลอดก็คือจิณห์นี่แหละ

...เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว

จู่ๆ ผมก็คิดถึงเรื่องในอดีตชาติขึ้นมา ก่อนจะได้สติกลับมาอีกครั้งเมื่อจิณห์ว่าขึ้น

“มึงก็ใจร้ายกับกูไม่เคยเปลี่ยน”

“คนที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรอย่างมึง ไม่จำเป็นต้องถนอมน้ำใจนักหรอก”

ไอ้บุศย์ว่า ดูท่าทางคงจะต้องเถียงกันอีกนานแน่เพราะสองคนนี้ก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันมาตั้งแต่เมื่อชาติก่อน และใช่ ผมหมายถึงหลังจากที่ผมถูกพ่อในชาตินั้นบังคับให้แต่งงานกับทั้งสองคนเพราะไปทำเรื่องเสื่อมเสียเอาไว้ แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ตอนนี้ผมอยากรู้มากกว่าว่าจิณห์มันรู้ได้ยังไงว่าคำสาบานนั้นถอนคำสาบานไม่ได้

“ตกลงแล้วมึงรู้ได้ยังไง”

ในที่สุดผมก็ถาม จิณห์เอียงคอมามองผม ยกยิ้มบางๆ

“อยากรู้เหรอ” แล้วก็ถามด้วยน้ำเสียงยียวน “ลองพูดเสียงหวานๆ กับกูก่อนสิ”

ผมกำมือแน่น รำคาญใจอยู่ไม่น้อยที่ถูกต่อรองอย่างนี้ แต่ตอนนี้ผมยอม

“จิณห์ บอกมาว่ารู้ได้ยังไง”

จะว่าหวานก็ไม่ใช่ เพียงแต่ไม่ได้กระโชกโฮกฮากอย่างเคย จิณห์ยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง

“หวานได้เท่านี้เหรอ น่าผิดหวังจังนะพระสวามี”

“ถ้ามึงไม่บอกอีก กูต่อยมึงแน่ๆ”

ผมชักจะหมดความอดทนแล้ว จิณห์ยืดตัวขึ้น กลั้วหัวเราะในลำคอ

“ใจร้อนเหลือเกิน เออ บอกก็ได้ ที่กูรู้น่ะ เป็นเพราะ...” มันเว้นจังหวะไปครู่ พลันเหลือบมองหน้าผมอย่างมีเลศนัย “กูเคยมีรอยฟ้าผ่ามาก่อนน่ะสิ”

ผม ไอ้บุศย์ และสรัลมองหน้ากันทันที เรื่องนี้ไม่เคยมีใครรู้ และแน่นอนว่าผมไม่เชื่อมัน

“มึงรู้ไหมว่าทำไมกูถึงแทงมึง”

ผมนิ่งที่จู่ๆ มันก็เปลี่ยนเรื่องขึ้นมา เงียบไปได้ครู่ มันก็ว่าออกมาอีก

“เวลาคนที่ไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไร จะได้กลับมาเกิดอีกไหม มันก็จะมีความคิดชั่ววูบขึ้นมา”

“มึงกำลังจะบอกว่า...”

“กูผิดคำสาบาน คำสาบานที่เต็มไปด้วยความแค้นนี่มันน่ากลัวจริงๆ”

ผมนิ่งงัน... จิณห์ไม่ได้ผิดคำสาบาน แต่ผิด...

“มึงผิดคำสัญญา”

ไอ้บุศย์เป็นคนตอบแทน และใช่ มันแค่ผิดคำสัญญา ระหว่างผม ไอ้บุศย์ สรัล และมัน ไม่เคยสาบานอะไรร่วมกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว มีแค่การสัญญาเท่านั้นเมื่อก่อนที่ผมจะตายในชาติที่แล้วว่าจะกลับมาเกิดใหม่และขอให้พวกมันร่วมมือกันช่วยเหลือผมให้ได้ครองรักกับจรกา

มีแค่นั้น... แค่นั้นจริงๆ

หากแต่จิณห์กลับพูดในสิ่งที่พวกเราไม่เคยรู้

“กูก็ไม่ได้หมายความว่าสาบานร่วมกับพวกมึงสักหน่อยนี่”

“มึงหมายความว่า...”

“ก่อนตาย กูสาบานไว้ว่าชาตินี้ยังไงก็จะทำให้มึงเลิกรักจรกาก่อนที่มึงจะได้เจอมัน”

จิณห์หันมาตอบผมทั้งๆ ที่คำถามคำถามเมื่อกี้คือไอ้บุศย์ ผมนิ่งงันไป ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันจะเคยสาบานอะไรแบบนี้ไว้ด้วย ก่อนที่สายตาของมันที่มองผมจะดูหม่นลงไป

“องค์ประตาระกาหลาตรัสว่าเมื่อถึงเวลาอันสมควร พวกเราทุกคนจะได้พบกันใหม่ในชาตินี้ แต่กูก็ไม่คิดว่ามึงจะเจอจรกาเร็วขนาดนี้ ถ้ามึงเจอช้ากว่านี้อีกสักหน่อย กูมั่นใจว่าคนที่มึงรักจะต้องเป็นกู ไม่ใช่ไอ้เด็กเวรนั่น”

ผมนึกย้อนไปถึงตอนที่ผมถูกมันแทง ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนเปิดเทอมปีการศึกษาใหม่ ไอ้บุศย์มาบอกกับผมว่าน้องรหัสมันคือใคร ตอนนั้นเองที่จิณห์เริ่มห่างหายไปกับพวกเราเพราะพ่อแม่มันบอกว่ามันป่วยหนัก ซึ่งพวกผมก็ไม่รู้ว่ามันป่วยเป็นอะไร แต่วันหนึ่งมันก็โผล่มา จากนั้นพวกเราก็ทะเลาะกันอย่างรุนแรงเพราะจู่ๆ จิณห์ก็มาบอกว่ามันจะไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว แต่จะทำทุกอย่างให้ผมไปเป็นของมัน ยอมรับเลยว่าตอนนั้นมันดูบ้ามาก และบ้ามากขึ้นไปอีกเมื่อจู่ๆ มันก็พุ่งเข้ามาแทงผมด้วยมีดปอกผลไม้ที่พกมา

และนั่น...ก็เป็นจุดสิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างมันกับผม อันที่จริงผมก็รู้ว่ามันคิดอะไรกับผมมาโดยตลอด แต่ก็พูดมาตลอดเช่นกันว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะใจผมเป็นของจรกา ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนก็จะเป็นของจรกาตลอดไป ถ้ามันยอมรับไม่ได้ ก็อย่าสัญญาให้ได้มาพบพานกันในชาติใหม่ แต่สุดท้ายก็ลงเอยอย่างที่เห็น

ผมได้ยินความลับของมันก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรหรอกที่มันจะทำอย่างนี้ ยิ่งได้ยินมันอธิบายเพิ่ม...

“ใครจะไปรู้ว่าการตระบัดสัตย์ ผลมันจะร้ายแรงถึงขนาดนี้ ตอนนั้นกูคิดว่ายังไงก็ตาย กูเลยจะเอามึงไปด้วย ในเมื่อกูไม่ได้มึง ใครก็ต้องไม่ได้มึงทั้งนั้น”

...ผมก็เข้าใจในความสิ้นหวังของมันทันที

“มึงมันโคตรเลวเลยไอ้จิณห์!”

ไอ้บุศย์ถึงกับลุกพรวด สรัลคว้าแขนมันไว้แทบไม่ทัน

“พี่บุศย์ใจเย็นๆ”

แล้วผมก็ต้องหันไปปรามมันด้วยอีกคน เพราะถ้าหากเรื่องที่จิณห์พูดเป็นความจริง ผมคงต้องพึ่งพามัน

“ไอ้บุศย์ ใจเย็นก่อน กูจัดการเอง” ไอ้บุศย์ยอมนั่งลงตามเดิม ผมเลยหันไปหาคนข้างๆ “แล้วทำไมมึงถึงรอด”

มันยกยิ้มขึ้นทันควัน “อยากรู้เหรอ” ผมไม่พูด จิณห์ก็ว่าต่อ “ถ้าอยากรู้ ก็ทำตามที่พูดไว้ก่อนสิ”

ทำตามที่พูด...

‘อยากได้อะไรก็จะให้ แต่บอกกูมาว่าที่มึงพูดมันหมายความว่าอะไร’

นึกถึงคำพูดก่อนหน้าของตัวเองขึ้นมาทันที วินาทีนี้เองที่ผมรู้ตัวทันทีว่าพลาดไปแล้วที่พลั้งปากออกไปอย่างนั้น ไอ้บุศย์กับสรัลมองหน้าผม พากันส่งสายตาเป็นเชิงว่า ‘ห้ามรับปากเชียว’ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงผมก็ต้องรู้ให้ได้

ชีวิตของจิระสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ไม่ว่าเรื่องอะไร ผมก็จะทำทั้งนั้น

“แล้วมึงอยากได้อะไร”

“กูอยากให้มึง...”

“แต่กูจะไม่เลิกกับจิเด็ดขาด”

ผมโพล่งอย่างรู้ทัน จิณห์มองหน้าผม แสยะยิ้มออกมา

“พูดดักคอกันอย่างนี้ กูก็แย่สิ”

อย่างที่ผมบอก ผมยอมทำอะไรก็ได้เพื่อช่วยชีวิตจิระ แต่ต้องไม่ใช่เลิกกับเขาอย่างนั้น จิณห์ก็คงรู้ว่าต่อให้พูดยังไง ผมก็คงไม่ยอมเลิกกับจิระแน่ มันเลยเบี่ยงไปเรื่องอื่น

“ถ้าอย่างนั้น...มึงก็ลองหาวิธีเอาใจให้กูยอมบอกมึงแล้วกันว่าต้องทำยังไง จรกาถึงจะไม่ตาย”

“...”

“แต่อาจจะยากสักหน่อย เพราะกูเป็นคนใจแข็ง มึงอาจจะต้องมาตามเอาใจกูทุกวัน เข้าใจใช่ไหมพระสวามี”

ประโยคนี้ไม่เข้าหูผมที่สุดเท่าที่คุยกับมันมา ผมขบกรามแน่น เหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

ได้! แค่เอาใจใช่ไหม ผมจะทำ...จะใช้เวลาให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้!

“ตกลง กูยอมรับเงื่อนไข”

เท่านั้นจิณห์ก็ยกยิ้มขึ้น “พรุ่งนี้กูจะไปรับมึงตอนหกโมงเย็น เตรียมตัวไว้ให้พร้อมล่ะ หาวิธีเอาใจดีๆ ด้วยนะ...อิเหนา”

พูดจบ มันก็ลุกไปจากโต๊ะ ปล่อยให้ผมนั่งนิ่วหน้าอยู่อย่างนั้น ขณะที่ไอ้บุศย์กับสรัลอดเป็นห่วงไม่ได้

“มึงคิดดีแล้วเหรอที่ไปตอบรับอย่างนั้น”

“นั่นสิพี่อินทร์ หนูเป็นห่วงนะ พี่จิณห์ไม่ยอมบอกง่ายๆ หรอก ให้พี่อินทร์ไปตามเอาใจอย่างนั้นมันก็แค่การถ่วงเวลาให้จิต้องเดือดร้อนมากขึ้นเท่านั้นแหละ”

“พี่รู้” ผมว่า สบตาพวกมันทั้งสองคนทันควัน “แต่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไหมล่ะ ถ้าในเมื่อถอนคำสาบานแบบปกติไม่ได้ จะต้องทำแบบไหนมันถึงจะได้ผล”

ไม่มีคำตอบจากทั้งสองคนนั้น พวกมันได้แต่มองหน้ากัน ผมเลยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้กูได้ลองก่อน อะไรที่ช่วยจิได้ กูจะทำ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม”

จะทำ...

จะทำทุกอย่าง...

รอพี่นะจิระ พี่จะไม่ยอมให้เราเป็นอะไรแน่

จิระของพี่...

 

ช่วงนี้พี่อินทร์ดูเครียดแปลกๆ...

ผมสังเกตเขามาระยะหนึ่งแล้ว ปกติเขาจะเป็นคนร่าเริงแทบตลอดเวลา แต่หลังจากที่ผมตบหน้าเขาในวันนั้น เขาก็ดูพูดน้อยลง พอเผลอก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ ผมเองก็ไม่กล้าถาม กลัวว่าถ้าถามไปแล้ว มันจะกลายเป็นการทำให้ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่แย่ลงกว่าเดิม เพราะแค่นี้ผมก็อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว

อึดอัดเพราะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร อึดอัดที่เหตุการณ์ในวันนั้นคอยหลอกหลอนให้ผมกลัวไปหมดว่าจะทำอะไรไม่ถูกใจเขา ที่อึดอัดยิ่งกว่าก็ตอนที่ส่องกระจกมองร่างกายเปล่าเปลือยของตัวเอง ตอนนี้รอยแดงๆ พวกนั้นไม่ได้มีแค่หน้าอกกับหัวไหล่อีกแล้ว มันเริ่มลามลงไปเกือบถึงข้อมือ หน้าท้อง และต้นขา อีกไม่นานคงจะลุกลามไปทั้งตัว...

ผมยืนร้องไห้เงียบๆ อยู่หน้ากระจกตรงอ่างล้างมือในห้องน้ำ มือก็ชโลมโลชั่นไปตามผิวเนื้อเสียจนเปียกโชก

จะต้องทำยังไงมันถึงจะหาย...

ต้องทำยังไง!?

ผมทนรับสภาพแบบนี้ของตัวเองจะไม่ไหวแล้ว อีกนิดเดียวต้องเป็นบ้าแน่ๆ มือทาโลชั่นไป ในหัวก็คิดถึงความรู้สึกของจรกาในชาติก่อนที่หมุนเวียนมาพร่างพรายในใจผมอีกครั้ง จนผมชักจะทนไม่ไหว ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น กอดเข่าร้องไห้เงียบๆ อยู่คนเดียว

หรือผมควรจะบอกเรื่องนี้ให้พี่อินทร์รู้?

แต่...ถ้าบอกไปแล้ว เขารับไม่ได้แล้วทิ้งผมไปล่ะ?

ความลังเลสับสนตีกันในหัวมั่วไปหมด ผมมืดแปดด้าน ไม่รู้จะทำยังไงดี ช่วงนี้ผมใช้เวลาในห้องน้ำนานขึ้นทุกวันราวกับวิตกจริตไปแล้ว เนื้อตัวก็ไม่ให้พี่อินทร์ได้สัมผัสแม้แต่น้อย ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงต้องเบื่อผมแน่ๆ

ทว่าผมก็พยายามไม่คิดอะไรมาก พอสงบสติอารมณ์ได้ก็แต่งตัวแล้วออกจากห้องน้ำ

วันนี้พี่อินทร์กลับเร็ว สีหน้าของเขายังคงดูเครียดๆ เหมือนเดิม ผมออกมาเจอเขาพอดีก็ร้องทักออกไป พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

“วันนี้กลับเร็วจังนะครับพี่อินทร์”

เขาเหลือบมองผม ยิ้มให้บางๆ “พี่ไม่มีซ้อมโปรเจ็กต์อะไรน่ะ ก็เลยกลับเร็ว”

“อ๋อ แล้วพี่อินทร์กินอะไรมาหรือยัง”

“ยังเลย กำลังจะออกไปกิน แต่วันนี้พี่จะไปกินกับเพื่อนนะ พอดีนัดคุยธุระกันเอาไว้”

ผมพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรต่อ ถ้าเขาบอกมาอย่างนี้ก็แสดงว่าคงจะเป็นเรื่องงานในวิชาเรียนของเขานั่นแหละ ช่วงนี้เขาก็ออกไปกินข้าวกับเพื่อนบ่อย บ่อยเสียจนผมอดน้อยใจไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็พยายามจะไม่ทำให้เขาขุ่นใจเพราะไม่อยากจะทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้ และอันที่จริงผมก็อยากคุยกับเขาต่อนะ คุยเรื่องอื่น คุยเรื่องอะไรก็ได้เหมือนที่เราเคยคุยกัน แต่ก็รู้สึกเหมือนกับว่าระหว่างเรามีกำแพงบางๆ คั่นอยู่ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร จึงได้แต่เงียบ ทำกิจกรรมของใครของมันไป จนกระทั่งพี่อินทร์เปลี่ยนชุดนักศึกษามาเป็นชุดไปรเวท จากนั้นก็บอกผมเร็วๆ

“เดี๋ยวพี่ไปก่อนนะจิ จิอย่าลืมหาอะไรกินนะ พี่อาจจะกลับดึกหน่อย”

“ครับ”

ผมยิ้มให้เขา เบาใจเล็กน้อยที่เห็นเขาพูดจาเป็นปกติ ทว่าพอเขาออกจากห้องไป ผมก็ต้องย่นคิ้วเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นว่าเขาลืมเอาโทรศัพท์วางไว้บนโต๊ะหนังสือ

ผมคว้าโทรศัพท์มาไว้ในมือ รีบออกจากห้อง ตั้งใจจะวิ่งลงเอาไปให้เขา แต่พอมาถึงหน้าหอพัก ผมก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้เดินไปที่ลานจอดรถเหมือนอย่างเคย แต่กลับเดินไปยังรถคันหนึ่งที่มีคนขับรออยู่ แวบแรกผมคิดว่าคงจะเป็นเพื่อนเขามารับ แต่พอเห็นเขาหยุดยืนและคนขับรถลงจากรถมา ผมก็ต้องชาวาบไปทั้งตัว

นั่นมัน...จินตะหราวาตีไม่ใช่เหรอ

ไม่รู้ทำไมผมถึงก้าวต่อไม่ออก ได้แต่มองสองคนนั้นคุยอะไรบางอย่างที่ผมไม่ได้ยินอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ทั้งสองจะขึ้นรถและขับออกไป ปล่อยให้ผมยืนมองจนรถคันนั้นหายไปสุดสายตา

อย่าบอกนะว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมา พี่อินทร์จะไปกับจินตะหราวาตีตลอด?

ผมพยายามจะบอกตัวเองว่าคงไม่ใช่แบบนั้น มันอาจเป็นความระแวงของผมไปเอง แต่ผมก็ดันเหลือบมองโทรศัพท์ของเขาในมือ กดๆ จิ้มๆ ดูข้อความกับพวกสายที่โทรเข้าโทรออก จากนั้นก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายของตัวเองไร้เรี่ยวแรง

ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้... เขาติดต่อกับจินตะหราวาตีมาโดยตลอด

มะ...มันหมายความว่ายังไงกัน?

 

ผมกลับมาที่ห้อง คิดวุ่นวายถึงเรื่องที่เห็นไม่หยุด ใจอยากจะพุ่งไปถามพี่บุศย์ด้วย แต่ก็คิดว่าเรื่องนี้ผมควรถามกับพี่อินทร์โดยตรงดีกว่า พลันก็รอการกลับมาของเขาอย่างกระสับกระส่าย

ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว...

พี่อินทร์กลับเข้ามาหลังจากนั้นไม่นานนัก เขามีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นเคย ส่วนผมก็พยายามจะฝืนยิ้มเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในห้อง

“พี่อินทร์ไปไหนมาเหรอครับ”

และมันคือคำถามแรกที่ผมถามออกไป

“ก็ไปกินข้าวไง”

เขาตอบโดยไม่หันมามองหน้าผม ล้วงกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกงเอาของข้างในมาวางไว้บนโต๊ะ ผมเม้มริมฝีปากแน่น ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดไปหรือเปล่า แต่ภาพที่เห็นนั้นมันทำให้ผมไม่สบายใจเลย

เขาบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับจินตะหราวาตีในชาตินี้ แต่จู่ๆ ก็ไปเจอกับอีกฝ่าย ไม่ใช่แค่วันเดียวด้วย เป็นทั้งอาทิตย์เลยต่างหาก ผมว่ามันดูแปลกๆ

แปลกมาก... แปลกจนผมหวั่นใจ

เขาบอกว่าไม่ใช่แฟนเก่า แล้วทำไมถึง...

ยืนคิดอยู่ครู่ก่อนจะตัดสินใจว่าจะพูด

พูด! ยังไงก็ต้องพูด พูดให้รู้กันไปเลยว่าเขาไปทำอะไร

“แต่ตอนที่จิตามลงไป จิเห็นพี่อินทร์ไปกับพี่จิณห์”

ผมเรียกจินตะหราวาตีว่าพี่เพราะเขาอายุมากกว่าแน่นอน แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่พี่อินทร์หันขวับมามองผมอย่างรวดเร็วพร้อมกับสีหน้าตกใจ

“จิตามพี่ไปเหรอ”

ผมพยักหน้ารับ เท่านั้นก็ดูเครียดยิ่งกว่าเดิมอีก

“ตามพี่ไปทำไม”

ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่พอใจ ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ถามเขาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งที่สุดทั้งที่ในใจไม่ได้นิ่งตามน้ำเสียงเลย

“จิเห็นพี่อินทร์ลืมเอาโทรศัพท์ไปก็เลยรีบวิ่งตามไปให้ แต่ก็เห็น...”

“เห็น?”

“เห็นพี่อินทร์ขึ้นรถไปกับพี่จิณห์น่ะครับ”

สิ้นเสียงผม พี่อินทร์ก็ไม่พูดอะไรออกมา เอาแต่จ้องหน้าผมนิ่ง ผมเองก็อ่านสีหน้าเขาไม่ออกเหมือนกัน ความอึดอัดบางอย่างครอบงำเราสองคนเมื่อไม่มีใครพูดอะไร แล้วก็เป็นผมที่อดรนทนไม่ไหว อยากรู้ให้ชัดว่าเขาไปทำอะไรกับพี่จิณห์กันแน่

“แล้ว...พี่อินทร์ไปไหนกับพี่จิณห์เหรอครับ กินข้าวเหรอ”

ทำเป็นถามไปอย่างนั้นแหละ รู้หรอกว่าเขาคงไม่ไปกินข้าวแน่ แต่พี่อินทร์กลับพยักหน้า

“อืม ก็บอกแล้วนี่ว่าไปกินข้าวกับเพื่อน”

“ทำไมต้องไปกับพี่จิณห์ล่ะ ปกติจิเห็นไปกินกับพี่บุศย์ หรือไม่ก็สรัล”

เขาชำเลืองมองผมเล็กน้อย ไม่ตอบ คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วทำท่าจะเดินหนีไปที่ห้องน้ำ ผมเห็นแล้วก็รีบเดินไปดักหน้า เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ผมก็ถามต่อ

“บอกจิหน่อยว่าพี่อินทร์ไปไหนกับพี่จิณห์มา”

“ก็บอกแล้วไงว่าไปกินข้าว”

เหมือนเขาคิดว่าผมโง่ที่ดูไม่ออก ถึงผมจะไม่เคยมีแฟนมาก่อน แต่ผมก็ไม่ได้ไร้สมองถึงขนาดดูไม่ออกหรอกนะว่าเขาคิดจะทำอะไร

“จิรู้ว่าพี่อินทร์ไม่ได้ไปกินข้าว บอกจิมาเถอะว่าไปทำอะไรมา”

พอถูกเค้นถาม พี่อินทร์ก็ดูหงุดหงิดขึ้นมา ถามผมเสียงแข็งน้อยๆ

“จิจะมาเค้นเอาอะไรกับพี่ พี่บอกว่าไปกินข้าวก็กินข้าวสิ”

ผมก็หงุดหงิดเลย พูดอย่างนี้ได้ยังไง โกหกกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ คิดว่าผมจะเชื่อเหรอ

“ถ้าไปกินข้าว ทำไมไม่ไปกับพี่บุศย์หรือสรัล จิก็ยังไม่ได้กินข้าว ทำไมไม่ชวนจิไป ไปกับพี่จิณห์ทำไม ไปไหนมา บอกจิมานะ!”

ผมเสียงดังขึ้นทีละน้อย พี่อินทร์ถอนหายใจออกมาเต็มแรง เบี่ยงหน้าไปด้านข้าง หลบสายตาด้วย เหมือนกับว่าเขาไม่อยากพูด และพอผมเรียก...

“พี่อินทร์”

...เขาก็ว่าอย่างหัวเสีย

“ทำไมต้องตามพี่ไปด้วย”

เส้นความอดทนของผมขาดสะบั้นลงในตอนนี้ทันที

ทำไมเหรอ!?

“ก็จิเป็นแฟนพี่อินทร์ ทำไมจิจะตามพี่อินทร์ไปไม่ได้ ทำไมจะรู้ไม่ได้ว่าพี่อินทร์ไปไหนกับใคร บอกจิมาสักทีว่าไปไหนกับพี่จิณห์!”

กลายเป็นว่าผมเป็นเด็กงอแงไปแล้ว พี่อินทร์ก็นิ่ง รอให้ผมหยุดโวยวาย แต่ก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา ทำให้ผมต้องถามไปอีก

“ทำไมต้องไปกับพี่จิณห์ จิอยากรู้แค่นี้”

เขามองผมนิ่ง ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูดสักที ดูท่าทางเขาก็อึดอัดเหมือนกัน แต่คนที่อึดอัดกว่าก็คือผม เพราะผมรู้ดีว่าจินตะหราวาตีคืออดีตคนรักของอิเหนาในชาติก่อน เป็นรักแรกของอิเหนาด้วย ถ้าชาตินี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนยังอยู่ มันจะต้องเป็นปัญหาสำหรับผมแน่ๆ

ก็เพราะผมเป็นจรกา... เป็นคนที่เรียกได้ว่าคือศัตรูคู่อาฆาตของเขามาตลอดทั้งชีวิต ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ล้วนทำให้ผมหวั่นใจในความสัมพันธ์ของเราอยู่แล้ว

“พี่อินทร์ บอกจิมา”

แล้วก็กลายเป็นว่าผมเค้นถามเขาอีก พี่อินทร์ถอนหายใจออกมาเต็มแรง สุดท้ายก็ยอมพูด

“แล้วทำไมพี่จะไปกับแฟนเก่าตัวเองไม่ได้”

เท่านั้นผมก็นิ่งงัน แต่พี่อินทร์คงยังไม่พอใจล่ะมั้ง เขาถึงได้พูดขึ้นมาอีก

“อย่าวุ่นวายหน่อยเลยจิ เลิกซักไซ้สักที เราไม่ใช่พ่อแม่พี่นะ”

พี่อินทร์...

ผมตัวชาวาบไปหมด ไม่คิดเลยว่าเขาจะพูดกับผมแบบนี้ ก่อนที่ก้อนบางอย่างจะแล่นขึ้นมาจุกอก ทำให้ผมพูดประโยคต่อไปได้ยากลำบากกว่าเดิม

“จิ...ก็แค่ถามพี่อินทร์ ทำไมถึงจะต้องพูดจาแบบนี้กับจิด้วย”

เขามองหน้าผมนิ่ง ยิ่งเขานิ่งมากเท่าไร ผมก็ยิ่งสติแตก จู่ๆ ทำนบน้ำตาก็พังทลายลงมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าอะไรทั้งนั้น

“จิก็แค่อยากรู้ว่าทำไมพี่อินทร์ต้องไปกับเขา ทำไมต้องไปกับคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นแฟนเก่า แล้วไหนพี่อินทร์บอกว่าเขาไม่ใช่แฟนเก่าไง ทำไมตอนนี้ถึงมาบอกจิว่าเป็นแฟนเก่า ทำไมล่ะ ทำไมต้องแอบไปกันลับหลังจิด้วย...ฮึก...”

ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว หลายๆ เรื่องมันรุมเร้าให้ผมที่อ่อนแออยู่แล้วอ่อนแอมากกว่าเดิม ผมสะอึกสะอื้นอยู่ตรงหน้าเขา มองเขาอย่างไม่เข้าใจ พี่อินทร์ก็มองผมด้วยสายตาที่ยากจะอ่าน ก่อนที่เขาจะครางออกมา

"จิ..."

“พี่อินทร์ทำกับจิแบบนี้ทำไม...”

ผมตัดพ้อ ในใจมีความรู้สึกนี้จริงๆ เขาเป็นทุกอย่างของผม ตั้งแต่วันที่ปล่อยวางทุกสิ่งจากในอดีตชาติแล้วมอบทุกอย่างให้กับเขา ผมก็ไม่มีที่พักพิงใจอื่นอีกแล้วนอกจากเขา แต่ว่าเขา... แต่เขา...

“จิระ...”

พี่อินทร์ไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น ถลาเข้ามาดึงผมไปกอดไว้แน่น ซุกใบหน้าลงมาที่กระหม่อมของผม ยิ่งผมร้องไห้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งกอดแน่นมากขึ้นเท่านั้น ผมอุ่นใจขึ้นมาในวินาทีนั้นเอง ดีใจขึ้นมาแวบหนึ่งที่เห็นเขายังเป็นเหมือนเดิม แต่ทว่าทุกอย่างก็หายไปทันตาเมื่อเขาพึมพำเบาๆ

“พี่ว่าบางทีการเราคบกันมันอาจจะไม่ส่งผลดีอะไรเลยก็ได้ พี่พยายามทำทุกอย่างที่จะรักษาจิแล้ว แต่พี่ก็ทำไม่ได้ บางทีเราอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อกันและกัน”

มะ...หมายความว่ายังไง

ผมอยากจะถามเขา แต่ฉับพลันร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง ในใจวูบไหวจนสั่นระริกไปทั้งตัว ได้แต่ปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้น พลันก็มีอีกเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัว

“ถ้าในเมื่อเราคบกันแล้วไม่มีอะไรดี เราเลิกกันเถอะ”

พะ...พี่อินทร์...

เขาผละออกจากผม ผมนิ่งงัน หัวสมองอื้ออึงไปหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากจนผมตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่มองหน้าเขาที่จ้องผมนิ่งด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนเขาจะบีบมือผมแน่นๆ ครั้งหนึ่ง

“ดูแลตัวเองดีๆ นะจิ”

สิ้นเสียง เขาก็คว้ากระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์แล้วหุนหันออกจากห้องไปทันที ปล่อยให้ผมไม่เข้าใจทุกอย่างยืนอยู่ตรงนั้น

พี่อินทร์บอกเลิกผม...

จู่ๆ ก็บอกเลิกผม...

มันเรื่องอะไรกัน!?

“พะ...พี่อินทร์...”

ผมครางเรียกชื่อเขาเสียงแผ่ว เรี่ยวแรงที่มีอยู่มันไม่มีอีกแล้วในวินาทีนี้ ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ปล่อยให้น้ำตาที่เกือบจะเหือดแห้งไปแล้วทะลักไหลอาบใบหน้าออกมาอีกครั้ง

ผมไม่เข้าใจ...

ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!?

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8

 

[Intara’s Part]

ผมทนเห็นจิระเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว แค่เห็นเขาต้องพยายามฝืนยิ้มทำตัวเป็นปกติทุกวัน ซ่อนความลับใต้เสื้อผ้าไม่ให้ผมรู้ ผมก็แทบจะทนไม่ไหว ยังต้องมาทำให้เขาร้องไห้แบบนี้ ผมจะทนได้ยังไงอีก

เวรเอ๊ย! ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าจิระจะไปเห็นผมกับไอ้เวรนั่นเข้า เพราะมันแท้ๆ เลยที่เอาเงื่อนไขบ้าๆ มาต่อรอง ผมเองก็โง่ที่ไปตอบรับอย่างนั้น ถึงจะบอกว่าทำเพื่อปกป้องชีวิตของคนที่ผมรัก แต่การทำให้เขาร้องไห้อย่างนั้น ผมก็รับไม่ไหวเหมือนกัน อีกอย่าง การไปตอบรับข้อเสนอมันอย่างนั้นก็เป็นการถูกมันถ่วงเวลาจริงอย่างที่ไอ้บุศย์กับสรัลว่า เพราะนี่ก็จะครบอาทิตย์แล้วที่ผมยอมไปกินข้าวกับมัน พยายามฝืนเอาใจมันเพื่อให้มันยอมปริปากบอกเรื่องการถอนคำสาบานให้รอยฟ้าผ่านั่นหายไป ทว่าทุกอย่างก็ล้มเหลว มันไม่มีท่าทีว่าจะบอกเลยแม้แต่น้อย เอาแต่เล่นลิ้นไปมา และในวันนี้...

...ผมก็หมดความอดทนแล้ว!

เกมนี้มันต้องจบ ผมจะไม่เล่นอีกต่อไป!

ในเมื่อจิณห์มันอยากให้ผมเลิกกับจิระ ผมก็จะเลิก แต่แค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีใครเข้าใจผมหรอกว่าตอนที่เห็นจิระเจ็บปวดเพราะคำพูดทำร้ายจิตใจของผมนั่นมันทรมานผมแค่ไหน ทว่าในเมื่อตัดสินใจที่จะจบเรื่องนี้แล้ว ผมต้องรีบทำให้มันจบอย่างรวดเร็ว

ผมรีบขึ้นรถ เหยียบบึ่งไปที่บ้านของจิณห์อย่างรวดเร็ว พ่อแม่ของมันไม่อยู่บ้าน ซึ่งก็เป็นแบบนี้ประจำ แต่ถึงจะอยู่ ผมก็ไม่สนใจหรอก ผมจอดรถได้ก็พุ่งพรวดเข้าไปในบ้านมัน ไม่สนใจแม่บ้านที่ทักทายผมด้วย พอเข้ามาในบ้านได้ ผมก็เห็นมันกำลังนั่งเอกเขนกอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น

“เอ้า เพิ่งแยกกันเมื่อกี้ คิดถึงเหรอหืม? ถึงได้กลับมาหาเร็วขนาดนี้”

มันยียวนทันทีที่เห็น ซึ่งก็เป็นปกติ ผมมองมันด้วยความโมโห แต่ก็พยายามจะเก็บอารมณ์ บอกออกไปเสียงเรียบ

“กูเลิกกับจิแล้ว”

“หืม?” จิณห์เลิกคิ้วสูงทันที ก่อนจะถามซ้ำ “เมื่อกี้ว่าอะไรนะ”

“กูบอกว่ากูเลิกกับจิแล้ว”

“โอ้ น่าตกใจมาก ไม่คิดเลยว่าจะเลิกง่ายขนาดนี้ ไหนบอกว่าให้ตายยังไงก็ไม่เลิกไม่ใช่เหรอ”

ใช่ ผมบอกอย่างนั้น แต่ที่เลิกนี่ก็เพื่อจะมาเค้นเอาคำตอบนี่แหละ

“กูทำตามที่มึงต้องการแล้ว บอกมาสักทีว่าจะทำยังไงถึงจะช่วยจิได้”

จิณห์ร้องอ๋อออกมา รู้ทันทีว่าทำไมผมถึงเลิกกับจิระ ก่อนที่มันจะว่าด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ

“โทษทีนะ ถ้าเลิกกันเพราะจะเอาใจกูแบบนี้ กูไม่ปลื้ม”

ผมหมดความอดทนทันที กระชากมันไปกระแทกผนัง จิณห์ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะผมไม่เบามือเลย แต่ผมไม่สน กระชากคอเสื้อเต็มแรง

“ชาตินี้มึงไม่ใช่ผู้หญิงแล้ว อย่าคิดว่ากูจะเกรงใจมึงอีก”

ผมว่าเสียงต่ำ เท่านั้นจิณห์ก็หัวเราะ

“ก็เอาสิ คิดว่าถ้าต่อยกูแล้ว กูจะยอมบอกก็ลองดู”

มันไม่ยอมบอกหรอก ผมรู้ ต่อให้ทำดีแค่ไหน มันก็ไม่ยอมบอก จนกว่ามันจะพอใจเท่านั้น ผมถึงจะได้คำตอบ ผมรู้ว่าใช้ไม้แข็งกับมันคงไม่ได้แน่ ผมเลยพยายามสงบสติอารมณ์ ปล่อยมือออกจากคอเสื้อมันแล้วว่าเสียงแผ่ว

“ขอร้องล่ะจิณห์ บอกทีว่าต้องทำยังไง”

ผมยอมลดทิฐิลงแล้ว อะไรก็ได้ ขอให้บอกว่าต้องทำยังไงถึงจะช่วยจิระได้

จิณห์กระชับคอเสื้อให้เข้าที่ ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“ทีอย่างนี้ล่ะมาขอร้อง ทีตอนกูขอร้องให้มึงรักกูบ้าง มึงเคยเห็นหัวกูบ้างไหม”

ผมไม่พูดอะไร ปล่อยให้มันพล่าม ความเงียบเข้าครอบงำเราอยู่ครู่ ผมถึงได้โพล่งขึ้นอีก

“ขอร้อง... บอกกูเถอะ”

จิณห์แสยะยิ้ม เป็นการยิ้มเย้ยให้ผม พลันก็ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันพอกันกับรอยยิ้มที่ผุดพรายบนหน้า

“อยากรู้ขนาดนั้นก็กราบขอร้องกูสิ”

ผมนิ่งงัน มันก็จ้องผมอย่างท้าทาย

คงคิดสินะว่าผมไม่กล้า...

ถ้าเป็นเวลาปกติ ผมจะสวนมันคืนด้วยหมัดหลุนๆ ด้วย แต่ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปเพื่อจิระ ผมยอม... ยอมทุกอย่างถ้ามันทำให้ผมได้จิระกลับคืน

ผมทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่า สองมือยกขึ้นประนมที่ระหว่างอกก่อนก้มลงไปติดพื้น เสียงหัวเราะของจิณห์ดังขึ้น ก่อนมันจะตามมาด้วยน้ำเสียงดูแคลน

“บางทีกูก็อยากรู้นักว่าไอ้จรกามันมีอะไรดี มึงถึงรักปักใจขนาดนี้”

ผมเงยหน้าขึ้น สีหน้าของจิณห์ไม่ได้ยิ้มตามเสียงหัวเราะเลยแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้น ก่อนที่มันจะพูดขึ้นมาอีกประโยคให้ผมต้องเหนื่อยใจ

“เลิกให้มันจริงอย่างที่ปากพูดเถอะ ถ้าทำให้กูเชื่อได้ว่ามึงเลิกกับเด็กนั่นจริงเมื่อไร กูจะบอกวิธีว่าต้องทำยังไง”

สิ้นเสียง มันก็เดินหายขึ้นไปบนบ้าน ปล่อยให้ผมนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างนั้น

นี่ผม...ยังจะต้องอดทนอีกถึงเมื่อไรกัน!?

-------------------------------

เป็นตอนที่พอลงตัวอย่างไป ปี้อินทร์ถูกด่าเยอะมาก ใจเย็นเย้นนนน อ่านตอนเต็มๆ ก่อน มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด 555

ตอนนี้รู้เลยนะว่านว้องจิมีแม่เยอะแค่ไหน ทุกคนพร้อมใจหอมหัวลูกจิมาก ปี้อินทร์นี่ถ้าตอนหน้าไม่มาทำคะแนนคืน โดนริบลูกกลับคืนแน่ ฮา

 พรุ่งนี้เจอกันตอนเต็มนะ


ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :serius2: นี่ไงมันมาแล้ว  :o12: แด่จิณห์  :z6:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :z6:  :z6:  มีสิทธิ์ร้อยรอบพันรอบแกก็จะโดนแบบนี้

ออฟไลน์ vy0Cik

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
คือบั่บ ในใจขอให้พี่อินทร์ต่อยจิณสักเปรี้ยงก่อนแล้วค่อยว่ากัน แม่มหมั่นไส้ตั้งแต่ตอนที่แล้วอ่ะ จะพูดทีลีลาฉิบหาย แบบพี่อินทร์หาทางอื่นที่ไม่ต้องพึ่งอินี่ได้ไหม หมั่นไส้โว้ยยยยยย :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: อินมากอ่ะ แล้วมาทำแบบนี้นว้อจิของม่ามี๊ก็ต้องเสียใจสิ พี่อินทร์หาทางแก้ด่วนๆ ไม่งั้น :z6: :z6:

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
โอ๊ยยยยยยยยยย คุยกันเซ่ ช่วยกันแก้ปัญหาหนะ รู้จักมั้ยๆๆๆๆๆๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด