ตอนที่ 4
ทันทีที่รถเรนจ์โรเวอร์สีดำเขรอะไปด้วยฝุ่นโคลนขับไปตามถนนโรยกรวดที่ทอดไปยังตัวบ้านสองชั้นหลังใหญ่ เห็นได้ชัดเจนว่าบางส่วนของตัวบ้านถูกต่อเติมใหม่ ผู้ออกแบบสามารถทำให้ตัวบ้านเก่าเข้ากับส่วนใหม่ที่ต่อเติมได้อย่างเข้ากันดี กันยกรขับรถตรงไปยังโรงจอดรถที่อยู่ห่างตัวบ้าน ยังไม่ทันที่รถจะจอดสนิท ชายหนุ่มคนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากตัวบ้าน คิ้วเข้มที่พาดเฉียงขมวดมุ่นจนเป็นปม เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน สอดชายเสื้อไว้ในกางเกงยีนส์เนื้อดี ทรงผมที่จัดแต่งไว้เป็นทรงอย่างดีเริ่มยับยู่ยี่ กันยกรเดาว่าเขาคงขยี้หัวด้วยความหงุดหงิด ใบหน้าขาวใสตามแบบคนเชื้อสายจีนเริ่มแดงไปจนถึงใบหู ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอากาศร้อนหรือเพราะความโกรธกันแน่
มิสเตอร์ แบรนดอน ฟางอี้ หลี่ หรือที่พราวพิชชาชอบเรียกสั้นๆว่า หลี่อี้ ทายาทตระกูลหลี่เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ร่ำรวยที่สุดในเกาะสิงคโปร์ มิสเตอร์ โรเบิร์ต ชี เซียง หลี่ บิดาของหลี่อี้เป็นนักธุรกิจที่นอกจากจะเป็นเจ้าของบริษัทอสังหาฯ ในสิงคโปร์แล้ว ตระกูลหลี่ยังลงทุนในธุรกิจอื่นๆ บนเกาะฮ่องกง และไต้หวัน จนติดอันดับ 1 ใน 50 ตระกูลมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย
“ทำไมไม่บอกไอก่อนว่ายูจะกลับมาเมืองไทย รู้ไหมว่าทุกคนตามหากันให้ทั่ว ไอเกือบจะไปแจ้งความแล้วด้วย” ชายหนุ่มพูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงบริทิชรัวเร็วทันทีที่พราวพิชชาลงมาจากรถ แต่หญิงสาวได้แต่ทำสีหน้าเมินเฉยให้สามี
“เราเข้าไปคุยกันในบ้านเถอะ” หลี่อี้เลิกคิ้ว ลืมตัวไปว่าตอนนี้เขาอยู่ในบ้านของกันยกร เจ้าของบ้านว่าอย่างไรเขาต้องว่าตาม พราวพิชชาเดินเชิดหน้าผ่านสามีของตัวเองไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง กันยกรถอนหายใจเบาๆ
เมื่อน้ำใบเตยเย็นกลิ่นหอมถูกเสิร์ฟตรงหน้า หลี่อี้ก็ยกขึ้นดื่มด้วยความกระหาย รสหวานหอมของน้ำใบเตยทำให้อารมณ์ร้อนของชายหนุ่มลดลง เขาหันมายิ้มให้กานดาเป็นเชิงขอบคุณ
“ถ้าชอบก็เอาอีกแก้วก็ได้นะ ป้าทำไว้เยอะเลย พราวถามคุณหลี่สิว่าหิวหรือยัง ป้าจะให้เด็ก ๆ เตรียมอาหารเที่ยงไว้ให้” กานดาถาม ทำเป็นไม่สนใจในอารมณ์ขุ่นมัวของหนุ่มสาวทั้งสอง เรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นเรื่องปกติของคนที่เป็นสามีภรรยากัน ในวัยสาวหล่อนเองก็มีเรื่องขัดใจกับก่อเกียรติบ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยดีเสมอ
“เอาล่ะ เรามาคุยกันแบบผู้ใหญ่กันเถอะ” กันยกรเริ่มต้นพูดกับหนุ่มสาวทั้งคู่ด้วยภาษาอังกฤษ
“เรื่องมันเป็นยังไงมายังไง ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ”
“เมื่อวันก่อนไอไปทำงานตามปกติ พอกลับมาถึงบ้านแม่บ้านก็บอกว่าพราวออกไปข้างนอก ตั้งนานยังไม่กลับมา พอโทรไปหาก็ไม่ติด นึกว่าโดนลักพาตัวไปเสียแล้ว ถ้ายูจะมาเมืองไทยก็น่าจะบอกกันสักนิด”
“ไอมาเมืองไทยก็เพราะว่าเบื่อ ไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ บอกแล้วไงว่าจะหางานทำยูก็ไม่ยอม ยูออกไปทำงานทุกวันไม่เคยสนใจไอเลย ยูทิ้งให้ไออยู่บ้านคนเดียวทุกวัน รู้ไหมว่าบ้านยูมันน่าเบื่อขนาดไหน”
“ยูไม่ได้อยู่บ้านคนเดียวซะหน่อย ในบ้านเรามีแม่บ้านตั้งหลายคน” หลี่อี้เถียงกลับ พลางสบตากันยกรราวกับจะขอความช่วยเหลือ แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือความเงียบ
กันยกรนวดขมับเบาๆ รู้สึกคิดผิดที่ตัดสินใจมาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยให้คนที่เอาแต่ใจทั้งสองคน คนหนึ่งก็เป็นลูกสาวคนเดียว อีกคนถึงแม้จะไม่ใช่ลูกคนเดียว หลี่อี้มีพี่สาวและน้องสาวสามคน ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเดียว ทำให้เขาถูกเลี้ยงดูมาด้วยการโดนใจอยู่ตลอดเวลา
“ยูตามไอมาถึงเมืองไทยแบบนี้ แล้วใครจะทำงานล่ะ งานของยูมันสำคัญมากไม่ใช่เหรอไง” พราวพิชชาพูดด้วยน้ำเสียงประชด
“ช่างมันเถอะ ไอมาตามง้อยูไง กลับไปสิงคโปร์กับไอเถอะนะ ไอคิดถึงยูจริงๆ” หลี่อี้อ้อนวอน เขาเอื้อมมือมาจะกุมมือบาง แต่พราวพิชชารู้ทัน เธอชักมือกลับก่อนที่จะเอื้อมถึง
“ไม่กลับ ยูกลับไปก่อนเถอะ”
“ไม่!! ไอจะอยู่ที่นี่จนกว่ายูจะกลับบ้านไปพร้อมกับไอ” ชายหนุ่มประกาศกร้าว พราวพิชชาเบะปาก เพราะเธอรู้จักนิสัยหลี่อี้ดี เขาเป็นคนหนุ่มที่ทุ่มเทให้กับการบริหารธุรกิจมาก จนลืมไปว่าภรรยาของเขาเองก็ต้องการความรักความเอาใจใส่เช่นกัน หากให้เลือกระหว่างภรรยากับงานพราวพิชชามั่นใจว่าหลี่อี้ต้องเลือกงานก่อนเป็นอันดับแรก
“คืนนี้ไอจะนอนกับป้าดา ถ้ายูจะอยู่ที่นี่ก็นอนห้องพี่กันย์ก็แล้วกัน”
“ว้อท?...อะไรนะ?”
หลี่อี้เสียงสูงเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งตรงหัวโต๊ะ เขานึกถึงเมื่อ 2 ปีก่อน...พราวพิชชาแนะนำให้หลี่อี้รู้จักกับกันยกรเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มร่างสูงล่ำสัน เขาสูงเกือบสองเมตร เวลายิ้มจะเห็นฟันขาวตัดกับผิวสีแทนกร้านแดด น้ำเสียงทุ้มต่ำทำให้ภาษาอังกฤษสำเนียงออสซี่ของเขาฟังดูไพเราะยิ่งขึ้น พราวพิชชาเองก็ดูจะมีความสุขเมื่อพูดคุยกับผู้ชายที่เธอนับถือราวกับเป็นพี่น้องคนนี้ จนหลี่อี้นึกสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างแฟนสาวของเขากับชายหนุ่มคนนี้
“พี่กันย์คนนี้คิดอะไรกับยูรึเปล่า ทำไมเขาถึงแทคแคร์ยูดีเหลือเกิน”
พราวพิชชาหัวเราะร่วน “ยูจะบ้าเหรอ พี่กันย์เนี่ยนะ ฮ่าๆๆ เป็นไปไม่ได้หรอก”
“ทำไม?”
หลี่อี้ถามกลับด้วยความสงสัย ก็แฟนสาวของเขาออกจะสวยน่ารักขนาดนี้
“พี่กันย์เค้าชอบผู้หญิงซะที่ไหนเล่า”
“วาเลาเอ!!
* เป็นไปไม่ได้ ยูจะบอกว่า...เขาชอบผู้ชายอย่างนั้นเหรอ” หลี่อี้แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“ก็ทำนองนั้นแหละ”
หลี่อี้ออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมจนหมาด เจ้าของห้องที่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นกำลังขนย้ายเครื่องนอนชุดหนึ่งไปยังโซฟาเบดตัวใหญ่ที่อยู่มุมหนึ่งของห้อง
“คืนนี้ยูนอนบนเตียงก็แล้วกัน เดี๋ยวไอนอนบนโซฟาเอง” กันยกรบอก
“โอ้ โนๆ ยูนอนบนเตียงเถอะ ยูเป็นเจ้าของห้อง ไอนอนบนโซฟาได้”
“งั้นก็ตามใจ”
กันยกรเปิดตู้เย็นขนาดกลาง หยิบเบียร์ขวดเล็กออกมาเปิดฝาขวด แล้วหันมาบอกแขก
“ไอจะออกไปนั่งเล่นข้างนอก ในตู้เย็นมีเบียร์นะ ดื่มได้ตามสบายเลย” ร่างสูงบึกบึนนั้นเปิดประตูมุ้งลวดอย่างเบามือ ออกไปยังระเบียงกว้างด้านนอก หลี่อี้ถือวิสาสะเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์สิงห์ขวดหนึ่งแล้วเดินตามออกไป กันยกรจุดขดยาไล่ยุงแล้วเอนหลังบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง หลี่อี้ร้องว้าวเมื่อเห็นดาวระยับบนท้องฟ้ามืดสนิท พร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป
“ยูรู้ไหมว่าที่สิงคโปร์ไม่มีดาวเลย” หลี่อี้บอกหลังจากถ่ายรูปเสร็จ เขายกเบียร์ขึ้นดื่ม
“อย่าบอกพราวนะว่าไอกินเบียร์ ไม่งั้นโดนด่าแน่เลย อิจฉายูจังได้กินเบียร์ทุกวัน”
“อิจฉายูมากกว่า ยูโชคดีนะที่ได้พราวเป็นเมีย พราวเป็นคนที่เอาใจใส่คนรอบตัว ไอว่าพราวน่าจะหายโกรธแล้วแหละ ง้อไม่กี่วันเดี๋ยวก็ดี”
หลี่อี้ลอบพินิจชายหนุ่มที่นั่งห่างออกไป เขาไม่เข้าใจว่าทำไมกันยกรถึงไม่ชอบผู้หญิง ถ้าจะบอกว่าอกหักจากหญิงสาวก็ไม่น่าจะใช่ เพราะกันยกรเป็นคนหน้าตาดี ใบหน้าคมสันมีรอยตอหนวดที่เพิ่งขึ้น แผงอกกว้าง ตามแบบคนที่เล่นกีฬาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งหาคำตอบไม่เจอ ในเมื่อคิดไม่ออกก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มดีกว่า เบียร์ในมือหลี่อี้พร่องจนเกือบหมดขวด ใบหน้าขาวเนียนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ
“ไอมีคำถามอยากจะถามยู” เมื่อเริ่มกึ่มๆ เขาก็เริ่มมีความกล้าที่จะถามในสิ่งที่ตนเองสงสัยมานาน
“ว่ามาสิ” ....
กินไปขวดเดียว เมาแล้วเหรอวะ คออ่อนชิบหาย...กันยกรคิดในใจ
“ทำไมยูถึงไม่ชอบผู้หญิงล่ะ”
กันยกรแทบจะสำลักเบียร์ จริงอยู่ที่เขาไม่เคยปกปิดรสนิยมทางเพศแต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะถามคำถามนี้กับเขาตรงๆ แม้แต่กานดาผู้เป็นแม่เองก็ตาม
ไอ้ตี๋นี่มันกล้ามากเลยนะเนี่ย เขาคิดในใจ
“อืม ไม่รู้สิ เพราะว่าผู้หญิงไม่มีอะไรที่น่าเร้าใจมั้ง” กันยกรหัวเราะเบาๆ
“ว้อท? ไม่เร้าใจยังไง ยูลองนึกภาพ...ผู้หญิงที่เซ็กซี่ดูสิ อ้ะนี่” หลี่อี้หยิบมือถือขึ้นมาเปิดในอัลบั้มรูป เขายื่นมือถือให้กันยกรดู เป็นภาพของหญิงสาวในชุดบิกินีหลายคน ทั้งสาวยุโรปผมทอง สาวเอเชียผมดำ แต่ละนางล้วนมีทรวดทรงองค์เอวดึงดูดเพศตรงข้าม
“เป็นไง ชอบไหม?” หลี่อี้ถาม
กันยกรส่ายหัว “ไม่อะ ก็มันไม่ชอบนี่นา นี่นายแอบเก็บรูปนางแบบพวกนี้ไว้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ”
“ช่ายยยย”
เสร็จล่ะ เรื่องนี้ต้องถึงหูยัยพราว“เอาล่ะ ไหนๆก็คุยกันเรื่องนี้แล้ว ขอถามกลับได้มั้ย”
“ได้เล้ยครับพี่” หลี่อี้ซดเบียร์จนหมดขวด
“ทำไมนายถึงแต่งงานกับพราว”
“อืม...” หลี่อี้เกาคางอย่างครุ่นคิด “ไอชอบผู้หญิงแบบพราว ยูรู้มั้ยว่าก่อนไอจะเจอพราว ไอเจอผู้หญิงมาหลายคนแล้ว แต่ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตไอ มีแต่หวังเรื่องเงินทองทั้งนั้น อยู่มาวันหนึ่งไอก็พบพลังงานบางอย่างที่ทำให้ไอได้เจอพราว”
“พลังงานอะไร” กันยกรถามอย่างสนใจ
หลี่อี้ยิ้ม พลางกระซิบเสียงเบา “มันคือ กฎแรงดึงดูด Law of attraction งายยยย”
กันยกรขมวดคิ้วมุ่น “กฎแรงดึงดูด? คืออะไร?”
ธีทัตราวน์วอร์ดรอบดึกที่หอผู้ป่วยในเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกลับแฟลต ผู้ป่วยรายหนึ่งเป็นซีเวียเคสที่ธีทัตเป็นเจ้าของไข้ เมื่อเห็นว่าคนไข้ไม่มีอาการแทรกซ้อนก็เดินกลับมาจดขยุกขยิกลงบนแผ่นชาร์ตที่เคาน์เตอร์ นางพยาบาลสาวคนหนึ่งกำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ
“อ่านอะไรอยู่เหรอครับ” ธีทัตทักทายอย่างเป็นมิตร
“หนังสือที่คนเอามาบริจาคน่ะค่ะ พี่ว่างเลยหยิบมาอ่านเล่นๆ” หล่อนเงยหน้าขึ้นมาชูหน้าปกหนังสือให้เขา
“อ๋อ เดอะ ซีเคร็ต”
“หมอออมเคยอ่านเหรอคะ”
“เคยครับ เคยอ่านหลายปีมาแล้ว” ธีทัตพูดต่อโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากแผ่นชาร์ต
“หมอออมคิดว่ากฎแรงดึงดูดมันมีจริงมั้ยคะ”
“อืม ไม่มีหรอกครับ ไอ้พลังที่แค่คิดอย่างเดียวแล้วมันจะเป็นไปตามที่เราคิด ถ้าผมคิดว่าผมอยากรวยแต่ไม่ทำงาน พี่คิดว่าผมจะรวยมั้ยครับ” ธีทัตหัวเราะเบาๆ ก่อนปิดแผ่นชาร์ตแล้วส่งคืน
“เออ นั่นสิ หมอออมพูดถูก ไอ้หนังสือพวกนี้ก็คงเขียนขึ้นมาเพื่อปลอบใจคนเท่านั้นแหละค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วยพลางปิดหนังสือ บทสนทนาของธีทัตและพยาบาลสาวจบลงด้วยเสียงออดที่ดังขึ้น หล่อนรีบลุกขึ้นไปยังเตียงคนไข้ที่กดออด
ธีทัตมองหนังสือปกสีน้ำตาลที่ถูกวางทิ้งไว้อย่างครุ่นคิด แล้วก็ถือวิสาสะหยิบหนังสือเล่มนั้นติดมือกลับมาด้วย มันเป็นหนังสือที่เขาเคยอ่านก็จริงแต่มันก็เมื่อนานมาแล้ว เขาจึงจำได้เพียงรางๆ เท่านั้น วันนี้นึกอย่างไรก็ไม่รู้ที่อยากหยิบมาอ่านอีกรอบ
ในห้องที่มืดสนิทมีเสียงกรนเบาๆ มาจากโซฟาเบดมุมหนึ่งของห้อง ด้วยความแรงของแอลกอฮอล์ทำให้หลี่อี้หลับทันทีหลังจากที่ดื่มเบียร์ไปแค่ 2 ขวด แต่ร่างสูงบนเตียงยังคงลืมตาไม่ยอมหลับง่ายๆ เขานึกทบทวนสิ่งที่หลี่อี้เล่าให้เขาฟัง
“ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนมีชีวิตอยู่ด้วยกฎธรรมชาติชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องอยู่ด้วยกฎอันทรงพลังนี้ มันคือกฎแรงดึงดูด กฎนี้จะควบคุมทุกอย่างให้เกิดขึ้นในชีวิตด้วยความคิด กฎแรงดึงดูดจะตอบสนองต่อความคิดของยู ไม่ว่ายูจะคิดอะไรก็ตาม สิ่งที่ยูต้องทำก็คือ คิดในสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น และห้ามให้ความคิดที่ขัดแย้งเข้ามาในหัวของยูเด็ดขาด”
“แล้ว...มันเกี่ยวกับการที่นายได้เจอพราวได้ยังไง?” กันยกรขมวดคิ้วอย่างงุนงง
“ฮ่าๆๆ ก่อนหน้าที่ไอจะเจอพราว ไอเคยคบกับผู้หญิงคนนึง แต่สุดท้ายแล้วผู้หญิงคนนั้นก็ทิ้งไอไปหาผู้ชายที่รวยกว่า ไอก็เลยคิดว่าไอจะต้องเจอผู้หญิงที่รักไอจริงๆ โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องเงิน แล้วไอก็ได้เจอกับพราว...”
“สิ่งนึงที่ยูต้องจำไว้ก็คือ ใจของยูมองเห็นสิ่งไหน ยูก็จะได้สิ่งนั้น”
“ใจมองเห็นสิ่งไหน แล้วจะได้สิ่งนั้นงั้นเหรอ” กันยกรพูดกับตัวเองเบาๆ
เขากำลังจัดระเบียบความคิดในหัวว่ากำลังคิดถึงอะไร แต่แล้วใบหน้าของคนหนึ่งก็เข้ามาในหัว ใบหน้าขาวใส ดวงตาเรียวยาวใต้แว่นทรงสี่เหลี่ยมดำฉายแววฉลาด ริมฝีปากแดงบางยกมุมยิ้มอย่างเหนือกว่า “เฮ้ย!” กันยกรสบถเบาๆ พลางสะบัดศีรษะ ทำไมอยู่ๆ ถึงคิดถึงไอ้หมอหน้าอ่อนนั่นได้วะ ชายหนุ่มคิดในใจพลางพลิกตัวไปมาพยายามข่มตาให้หลับ แต่ทำอย่างไรก็สลัดภาพไอ้หมอนั่นไม่ได้เสียที
กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบเช้า กันยกรจึงได้นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น และวันนี้เป็นวันที่เขาต้องไปคุมคนงานตัดแต่งกิ่งทุเรียน ตอนบ่ายก็ต้องไปประชุมที่สมาคมชาวสวนยางในตัวเมือง ชายหนุ่มจึงตื่นนอนด้วยสีหน้าอิดโรย
“นุ้ย วันนี้มีอะไรกินบ้าง เอาโกปี้ออมาให้หน่อย จาโก้ยมาด้วยนะ” กันยกรสั่งเด็กสาวรับใช้เป็นภาษาถิ่นใต้ ไม่นานกาแฟดำควันกรุ่นและปาท่องโก๋ร้อน ๆ ก็วางอยู่บนโต๊ะ ชายหนุ่มใช้มือบิแล้วฉีกปาท่องโก๋ออกจากกัน จิ้มชิ้นหนึ่งลงในถ้วยนมข้นหวาน
“คนอื่นหายไปไหนกันหมด”
“คุณพราวขับรถออกไปข้างนอกกับแฟนค่ะ คุณนายคุยโทรศัพท์อยู่ข้างนอก นายหัวเอาข้าวเหนียวปิ้งไหมคะ วันนี้มีไส้กุ้งด้วย”
“เออ เอามาสิ ไม่มีนาซินาแฆหรอ” ชายหนุ่มมุ่ยหน้านิดหนึ่งเมื่อเด็กรับใช้บอกว่าไม่มีของกินของโปรดของเขา กานดาเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้ากังวล
“กันย์ วันนี้กลับมาเร็วหน่อยนะลูก น้ารีเข้าโรงพยาบาล แม่ว่าจะไปเยี่ยมเย็นนี้”
“อ้าว น้ารีเป็นอะไรเหรอครับ” กันยกรแกะข้าวเหนียวปิ้งเข้าปาก
“ไส้ติ่งอักเสบ เพิ่งเข้าโรงพยาบาลเมื่อคืน น้าเส็งเพิ่งโทรมาบอกเมื่อเช้านี้แหละ”
“วันนี้ผมมีประชุมที่สมาคมตอนบ่าย น่าจะเสร็จไม่เกิน 4 โมงเย็น ผมจะรีบกลับมารับแม่นะครับ แล้วนี่ยัยพราวกับหลี่อี้ไปไหนเหรอครับ”
“เห็นขับรถกระบะออกไปแน่ะ น่าจะพาหลี่อี้ไปตลาดเช้า ดูท่าเหมือนจะคืนดีแล้วล่ะมั้ง”
กันยกรยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก หยิบปาท่องโก๋ชิ้นสุดท้ายเข้าปากแล้วเช็ดมือกับกางเกงยีนส์สีซีดตัวเก่าที่สวมอยู่
กันยกรก้าวขายาวๆ ไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ กานดาเดินตามมาห่างๆ พยายามเดินให้เร็วจนทันลูกชาย เขาได้คำตอบว่าอารีผู้เป็นน้าสาวเพิ่งย้ายจากห้องพักผู้ป่วยรวมมาพักอยู่ห้องพิเศษเมื่อบ่ายวันนี้ กันยกรกระชับกระเช้าผลไม้ในมือแน่นขึ้นแล้วหันมาบอกมารดา
“น้ารีอยู่ชั้น 4 ครับ ห้อง 416” ทั้งคู่เดินมาจนถึงลิฟต์ในห้องโถง
“หมิวรู้รึยังครับว่าน้ารีเข้าโรงพยาบาล” กันยกรถามกานดาถึงลูกสาวของอารี
“แม่ก็กำลังจะพูดเรื่องนี้อยู่พอดี หมิวมันเรียนจบแล้วทำงานต่อที่กรุงเทพ งานลิสต์ๆ อะไรสักอย่างนี่แหละ แม่ก็เรียกไม่ถูก น้าเส็งกับน้ารีก็อยากจะให้กลับมาอยู่สุราษฎร์ก็ไม่ยอม”
“เด็กสมัยนี้ก็อย่างนี้แหละครับ ปล่อยให้ทำงานไปก่อนสัก 2-3 ปี พอเบื่อเดี๋ยวก็กลับมาบ้านเองแหละครับ”
กันยกรและกานดาเดินมาจนถึงห้อง 416 ป้ายหน้าประตูห้องระบุชื่อของอารี เมื่อเปิดประตูเข้าไปพบหญิงวัยกลางคนนอนหลับตาอยู่บนเตียง ผมยาวดำแซมขาวแผ่กว้าง ใบหน้าซีดเซียวแทบจะกลืนกับปลอกหมอนสีขาว เข็มน้ำเกลือปักคาอยู่ที่มือซ้าย หล่อนลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ใบหน้าซีดเซียวนั้นเผยอยิ้มนิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าใครมาเยี่ยม
“พี่ดา” อารีพยายามจะยันตัวขึ้นนั่งด้วยความลำบาก
“นอนเถอะ ไม่ต้องลุกหรอก แล้วนี่ทำไมอยู่คนเดียว เส็งไปไหนล่ะ” กานดาถามเมื่อไม่เห็นน้องเขย
“ไปรับหมิวที่สนามบิน มันโทรมาบอกว่าจะกลับมาเยี่ยม”
“หมอว่ายังไงบ้างครับน้ารี” กันยกรถามขึ้น
“เมื่อคืนปวดท้องมากจนเส็งพามาโรงพยาบาล หมอบอกว่าไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน หมอเพิ่งผ่าตัดไปเมื่อบ่ายนี้เอง เดี๋ยวหมอน่าจะมาอีกกันย์รอถามหมอเองละกัน น้าปวดจนไม่รับรู้อะไรแล้ว”
ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง ทั้งสามหันไปยังประตูเห็นร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อกาวน์ตัวสั้นสีขาวเดินเข้ามา ในมือถือสเตธมาด้วย เจ้าของร่างสูงโปร่งขมวดคิ้วนิดหนึ่ง แต่แล้วก็ปรับสีหน้าเป็นเฉยเมยไม่บอกอารมณ์ใดๆ เดินไปอีกฝั่งตรงข้าม รู้สึกได้ว่าร่างสูงใหญ่ฝั่งตรงข้ามกำลังมองตัวเองอยู่ แพทย์หนุ่มเสไปมองขวดน้ำเกลือนิดหนึ่ง
“คุณอารี เป็นไงบ้างครับ” ธีทัตก้มลงถามคนไข้
“ง่วงๆ ค่ะ”
“อ้อ ยาสลบน่าจะยังไม่หมดฤทธิ์ หมอขอตรวจหน่อยนะครับ” ธีทัตทาบหูฟัง
“ขอดูแผลนิดนึงนะครับ” เขาเปลี่ยนมาดูแผลผ่าตัด
“เป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ” กานดาถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อน หมอว่าอีก 2-3 วันก็กลับบ้านได้แล้วครับ” ธีทัตบอก แวบหนึ่งที่เขาเผลอไปสบตาดำคมเข้าจังๆ เพียงแวบหนึ่งจริงๆ แต่แล้วก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง เด็กสาวคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาในห้องโดยไม่สนว่าคนในห้องกำลังทำอะไรอยู่
“แม่!!” เด็กสาวคนนั้นแผดเสียงแหลมเล็กออกมาก่อนจะแทรกตัวเข้าไปเกาะขอบเตียงระหว่างกานดาและกันยกร
“แม่เป็นไงบ้าง หนูตกใจหมดเลยตอนที่ป๊าโทรไปบอกว่าแม่ป่วย อ้อ สวัสดีค่ะป้าดา สวัสดีค่ะ พี่กันย์” เธอยกมือไหว้ญาติทั้งสองเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“แม่เค้าไม่เป็นอะไรแล้วล่ะหมิว หมอเพิ่งผ่าตัดไปเมื่อเที่ยงนี้เอง” กันยกรบอก
“ห๊า ผ่าตัด แม่เป็นอะไร ทำไมต้องผ่าตัดด้วย” เด็กสาวที่ชื่อหมิวหันมามองชายหนุ่ม กันยกรกลอกตาไปมา เหนื่อยใจกับอาการเล่นใหญ่ของญาติผู้น้อง
“ถามหมอเองละกัน คนนั้นเป็นหมอ” ชายหนุ่มชี้ไปยังคนที่ยืนตรงข้าม เด็กสาวมองตาม แต่แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง เธอรู้สึกเหมือนมีลำแสงประหลาดสาดส่องออกมาจากตัวของชายหนุ่มที่ยืนฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง แว่นกรอบดำทรงสี่เหลี่ยมตัดกับผิวขาวอมชมพู มันไม่ได้บดบังเครื่องหน้าที่ได้รูปสวยเลยสักนิด ริมฝีปากแดงตามธรรมชาติบ่งบอกว่าเป็นคนสุขภาพดี ธีทัตยิ้มเห็นฟันขาวราวกับไข่มุกอันดามัน
“หล่อ...” เวณิกาเคลิบเคลิ้มราวกับต้องมนต์สะกด
“มีอะไรสงสัยจะถามหมอไหมครับ” ธีทัตมองเด็กสาวผู้มาใหม่
“คุณหมอชื่ออะไรคะ” เวณิกาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ธีทัตครับ” เจ้าของชื่อชี้ตรงที่ชื่อที่ปักบนหน้าอก
“ธีทัต...ชื่อเพราะจังเลยค่ะ น้องชื่อ ‘หมิวหมิว’ นะคะ” เวณิกาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สอง ยกมือขึ้นทัดผมกับใบหู
“เอ่อ...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หมอขอตัวก่อนนะครับ” ธีทัตยิ้มอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป
“หมอหล่อจังเลยยย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอใครหล่อขนาดนี้มาก่อน หล่อแบบนี้เป็นดาราได้เลยนะ” เด็กสาวที่เพิ่งบอกว่าชื่อหมิวหมิวหรือชื่อจริงชื่อเวณิกาโพล่งขึ้นมา
“ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอใครหล่อเท่านี้มาก่อน”
“นี่ เพลาๆ บ้างนะ เรื่องบ้าผู้ชายน่ะ” เส็งดุลูกสาว
“แหม ก็หมอเค้าหล่อจริงๆ นี่ป๊า ถ้าได้แบบนี้เป็นลูกเขยจะเอาปะ” เวณิกาถามกลับ ภาพของธีทัตยังคงติดตา
“น่าเกลียด เป็นสาวเป็นแส้พูดจาอย่างนี้ได้ยังไง แล้วนี่ดูสิแต่งตัวอะไรก็ไม่รู้” อารีดุลูกสาวไปถึงการแต่งกายของเธอ เด็กสาวก้มลงมองกางเกงยีนส์ขาดๆ ของตัวเองสวมอยู่แล้วหัวเราะเบาๆ
กันยกรคุ้นเคยกับนิสัยคลั่งไคล้คนหล่อของเวณิกาดี เวลาเห็นผู้ชายหน้าตาดีทีไรญาติผู้น้องคนนี้จะต้องเป็นอันพร่ำเพ้ออยู่เรื่อยไป หนักเข้าหน่อยก็จะหาหนทางติดต่อ แต่ไม่เท่าไหร่เธอก็จะเบื่อไปเองโดยปริยาย เขาคงจะไม่ติดใจอะไรถ้าคนที่เวณิกาคลั่งไคล้ไม่ใช่ธีทัต ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจของกันยกร เป็นความรู้สึกที่อยากจะดีดญาติผู้น้องคนนี้ไปไกลสุดลูกหูลูกตา หากเป็นไปได้เขาอยากจะย่อส่วนหมอธีทัตให้เหลือตัวเล็กจิ๋ว แล้วเก็บไว้ในกล่องซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น
เอ๊ะ! ทำไมเราต้องไม่อยากให้ยัยหมิวเจอหมอนั่นด้วยวะ
กันยกรคิดในใจ เสียงของเวณิกาดังขึ้นมาแทรกความคิด
“หมิวเป็นสไตลิสต์ค่ะป้าดา สไตล-ลิสต์ ป้าดาต้องตวัดลิ้นด้วย” เวณิกากำลังพุดคุยกับกานดาและคนรอบข้างอย่างสนุกสนาน แทบจะลืมถามถึงอาการป่วยของมารดาไปเสียสนิท
“เอ่อ ผมลงไปร้านกาแฟก่อนนะครับ มีใครอยากได้อะไรมั้ยครับ” กันยกรถาม เมื่อไม่มีใครอยากได้อะไรชายหนุ่มจึงออกจากห้อง ขณะที่เดินผ่านเคาน์เตอร์เขาก็ได้ยินเสียงพยาบาลคุยกันแว่วๆ
“หมอออมเขาดูเงียบๆเนอะ ไม่ค่อยคุยเท่าไหร่”
“อื้ม แต่เวลายิ้มน่ารักมาก เมื่อกี้หมอยิ้มให้ชั้นด้วยแหละ”
ทำไมใครๆ ก็ชอบหมอออมวะ
กันยกรยังคงถามตัวเองด้วยความว้าวุ่น
ชายหนุ่มเดินมาถึงร้านกาแฟสดร้านเดียวในโรงพยาบาล เสียงกรุ๋งกริ๋งดังขึ้นเมื่อเขาผลักประตูเข้าไป
“อเมริกาโน่ร้อน ไม่หวาน แก้วนึงครับ” ชายหนุ่มสั่ง
แม้จะเป็นเวลาเย็น แต่ภายในร้านคลาคล่ำไปด้วยลูกค้าทั้งญาติคนไข้ หมอ และพยาบาล กันยกรหลีกหนีลูกค้าในร้านไปยืนที่มุมหนึ่งไม่ห่างจากเคาน์เตอร์มากนัก เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาสไลด์หน้าจอเพื่อสงบอารมณ์
“อเมริกาโน่ร้อนไม่หวานได้แล้วค่า”
กันยกรพุ่งตัวเข้าไปที่เคาน์เตอร์ด้วยความรวดเร็ว แต่มีมือปริศนามือหนึ่งเอื้อมมาถึงแก้วก่อน
“โอ๊ะ แก้วนี้ของคุณหมอนะคะ คุณหมอมาสั่งก่อนค่ะ” พนักงานในร้านรีบบอก
กันยกรหันขวับตั้งใจจะขอโทษ แต่แล้วก็พบว่าเจ้าของมือปริศนานั้นคือคนที่เข้าเพิ่งนึกถึงด้วยความว้าวุ่นใจเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ร่างสูงในเสื้อกาวน์สีขาวสะอาด สเตธสีน้ำเงินพาดไว้บนคอ ดวงตายาวเรียวใต้แว่นกรอบดำสบตากันยกรนิดหนึ่งก่อนจะหยิบแก้วกาแฟ ธีทัตแสร้งดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือในมืออีกข้างหนึ่ง กันยกรมองตามร่างสูงโปร่งที่เดินออกจากร้านไป ความคิดอย่างหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวสมอง แต่การกระทำกลับไวกว่า กันยกรรีบเดินตามร่างสูงนั้นไปจนถึงห้องโถงใหญ่ของตึก ธีทัตเอื้อมมือไปกดลิฟต์
“หมอครับ อย่าเพิ่งไป” ธีทัตชะงักฝีเท้าหันหลังกลับมา
“มีอะไรเหรอครับ”
“ขอเบอร์หมอหน่อยได้มั้ยครับ” กันยกรโพล่งออกไปด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
“จะเอาไปทำไมครับ” อีกฝ่ายขมวดคิ้วอย่างงุนงง
“เอ่อ หมอก็รู้ว่าแม่ผมมีโรคประจำตัว ทุกวันนี้ผมเป็นคนดูแลแม่คนเดียว ถ้าอาการกำเริบขึ้นมา ผมจะได้ปฐมพยาบาลถูก” ธีทัตชั่งใจคิด กานดามีโรคประจำตัวคือความดันสูง ถ้ามีภาวะแทรกซ้อนพร้อมกับอาการทางประสาทจะอันตรายมาก อาจจะนำไปสู่โรคหลอดเลือดในสมองและโรคหัวใจได้ แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจบอกไป
“ผมไม่ได้เป็นเจ้าของไข้แม่ของคุณนะครับ วันนั้นผมแค่ตรวจแทนหมอเจ้าของไข้ที่ลาหยุด” เสียงติ๊งดังมาจากลิฟต์ด้านหลัง เป็นสัญญาณเตือนว่าลิฟต์ที่กดเรียกไว้มาถึงแล้ว ธีทัตหันหลังกลับ ตาคมของกันยกรมองร่างสูงโปร่งที่เดินเข้าไปในลิฟต์ คนที่อยู่ในลิฟต์ขยับตัวเพื่อให้มีพื้นที่
“นึกแล้วว่าต้องไม่ใช่คนง่าย” เขาพูดกับตัวเองเบาๆ หลังจากที่ประตูลิฟต์ปิดลง
กันยกรนึกถึงคำพูดของหลี่อี้ที่บอกเขาเมื่อคืน
...กฎแรงดึงดูดจะตอบสนองต่อความคิดของยู ไม่ว่ายูจะคิดอะไรก็ตาม สิ่งที่ยูต้องทำก็คือ คิดในสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น และห้ามให้ความคิดที่ขัดแย้งเข้ามาในหัวของยูเด็ดขาดกันยกรเพิ่งรู้ว่าเขาใช้กฎแรงดึงดูดโดยไม่รู้ตัว และนั่น...ทำให้ชายหนุ่มค้นพบคำตอบเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี่เอง คำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมธีทัตถึงวนเวียนอยู่รอบตัวเขา ทำไมเขาถึงอยากจะดีดญาติผู้น้องไปให้ไกลสุดลูกหูลูกตา ทำไมเขาถึงอยากจะเก็บธีทัตไว้ดูคนเดียว...คำตอบของทั้งหมดก็คือ...เขาชอบธีทัต!!
_______________________________________________________________________________________
หมายเหตุ
*Walao eh!! เป็นภาษา Singlish ความหมายทำนองเดียวกับ Oh my god!