❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 10 | P.3 #66 |
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 10 | P.3 #66 |  (อ่าน 11468 ครั้ง)

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนที่ 5.1
[/color][/size][/b]

สนามบินสุราษฎร์ธานี

ธีทัตยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วเงยหน้าขึ้น ตาเรียวยาวจับจ้องที่หน้าจอแสดงเที่ยวบินขาเข้า เที่ยวบินที่คุณจารวีผู้เป็นมารดาโดยสารมาจากกรุงเทพลงจอดที่สนามบินสุราษฎร์ธานีเรียบร้อยแล้ว ไม่นานเขาก็เห็นร่างเล็กของมารดาเดินลากกระเป๋าออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ ชายหนุ่มโบกมือให้จารวี
“แม่ครับ ทางนี้ครับ!!”
“ออม”
ธีทัตโผเข้ากอดมารดาแน่น จารวีหอมแก้มลูกชายซ้ายขวาฟอดใหญ่ ก่อนจะมองเต็มตา เธอยิ้มเล็กน้อยเมื่อมองเสื้อกาวน์ตัวสั้นที่ลูกชายสวม บนอกปักชื่อ ‘นพ. ธีทัต ลีพานิชสกุล’
“ลูกแม่เป็นหมอเต็มตัวแล้วนะ มีคำนำหน้าชื่อว่านายแพทย์แล้วด้วย ไม่ใช่นักศึกษาแพทย์ เป็นอย่างไรบ้าง ทำงานเหนื่อยไหมลูก”
“เหนื่อยสุด ๆ เลยครับแม่ รู้งี้ไม่น่าเรียนหมอเลย...เรียนวิศวะอย่างที่ครูแนะแนวบอกก็ดี” ธีทัตคว้ากระเป๋าลากจากมือมารดา มืออีกข้างที่ว่างก็จับมือจารวีไว้
“เอาน่า แม่เชื่อว่าออมทำได้อยู่แล้ว ลูกแม่เก่ง”
“แม่อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ วันนี้ผมเลี้ยงเอง” ธีทัตหันมาถาม
“อืม ลูกอยู่สุราษฎร์มาสองอาทิตย์แล้ว พาแม่ไปกินร้านขึ้นชื่อของสุราษฎร์หน่อยสิ”

ธีทัตจอดรถหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ลมพัดมาเบา ๆ ขณะที่ธีทัตเดินอ้อมไปเปิดประตูรถให้จารวี ร่างสูงโปร่งเดินนำมารดาไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ติดแม่น้ำ
“ร้านนี้อาหารอร่อยมากครับ อาหารทะเลก็สดด้วย เสียดายที่มากลางคืน ถ้ามาตอนกลางวันแม่จะเห็นวิวแม่น้ำตาปียาวไปถึงโน่นแน่ะ” ชายหนุ่มชี้มือไปอีกฝั่งหนึ่ง “แม่อยากกินอะไรบ้างครับ”
“แม่กินอะไรก็ได้ อะไรที่ออมว่าอร่อยแม่ก็กินได้หมดแหละ” หล่อนยิ้มให้ลูกชาย มองดูธีทัตที่กำลังจัดการสั่งอาหารเองทั้งหมด

จารวีเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร หล่อนเลี้ยงลูกชายคนเล็กด้วยการตามใจ สิ่งไหนที่ธีทัตเห็นว่าดี เธอก็จะเห็นดีด้วยหมด เพราะหล่อนอยากจะเติมเต็มความรักจากพ่อที่ขาดหายไป โชคดีที่ลูกชายคนเล็กตั้งใจเรียน ไม่เคยทำตัวเกเรเลยสักครั้ง...
ปกรณ์อดีตสามีของจารวีเป็นทายาทรุ่นที่สองของตระกูลลีพานิชกุล เจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังหลายแห่ง แต่ด้วยความเจ้าชู้ของปกรณ์ทำให้เขามีภรรยาลับหลายคน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความอดทนของจารวีถึงขีดสุด จนกระทั่งวันที่ความอดทนของหล่อนได้หมดลง หล่อนจำวันนั้นได้เป็นอย่างดี เป็นวันที่ธีทัตกำลังจะขึ้นชั้นประถม 1 วันนั้นเด็กชายสวมชุดนักเรียนตัวใหม่เป็นวันแรก

“ออม ถอดชุดนักเรียนมาเถอะ แม่จะให้พี่มลเอาไปซักให้”
“ไม่เอา ออมจะรอพ่อ ออมจะให้พ่อดู” เด็กชายสวมชุดนักเรียนใหม่ รองเท้าถุงเท้าใหม่เต็มยศ
จารวียิ้มอ่อนให้ลูกชาย หล่อนรู้ดีว่าสามีจะกลับมาตอนเย็น และก็คงจะออกไปกับผู้หญิงคนใหม่เหมือนอย่างทุกวัน
“กว่าพ่อจะกลับมาก็ตอนเย็นโน่นแน่ะ เอามาให้แม่ซักก่อนเถอะ”
“ไม่เอา ออมจะรอพ่อ” เด็กชายกอดอก ทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ
“ตามใจ” หล่อนปล่อยเลยตามเลย มองลูกชายคนเล็กที่เดินอวดชุดนักเรียนใหม่กับพี่ชายอีก 3 คนอย่างเอ็นดู
“พี่อ้น พี่อั๋น พี่อาร์มดูสิ ออมจะขึ้นป.1 แล้ว” เด็กชายเดินไปพี่ชายทั้ง 3 คนที่กำลังนอนพังพาบอ่านหนังสือการ์ตูนในห้องนั่งเล่น
“กะอีแค่ขึ้นป.1 ทำเป็นเห่อไปได้ แล้วนี่จะใส่ชุดนักเรียนนอนรึไง” ธีภพพี่ชายคนโตพูดขณะเล่นเกมกดในมือ
“เด็กน้อเด็ก” ธีมาพี่ชายคนรองขยี้หัวน้องชายเบา ๆ แล้วก้มลงอ่านหนังสือการ์ตูนต่อ
“ขึ้นป.1แล้วอะ อย่าให้ใครมาแกล้งนะเว้ย ถ้ามีใครแกล้งมาบอกพี่ พี่จะไปต่อยมัน” ธีรัชพี่ชายคนที่สามบอก
“อาร์มอยู่แค่ป.2 ทำเป็นซ่า ต้องให้พี่อ้นไปต่อยมันถึงจะถูก พี่อ้นอยู่ป.6 พี่อ้นโตสุด” 
กว่าที่ปกรณ์จะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม เขาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมด้วยหญิงสาวคนหนึ่ง จารวีจำได้ว่าเธอคือนักแสดงที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในขณะนั้น
“รอพี่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา” ปกรณ์หอมแก้มเธอฟอดหนึ่ง จารวีเบือนหน้าหนีภาพนั้น
“คุณคะ ออมรอคุณอยู่ค่ะ ไปหาลูกหน่อยสิคะ”
“อะไรอีกล่ะ ผมกำลังรีบ เงินก็ให้ไว้แล้วนี่ มันอยากได้อะไรก็ซื้อให้มันไปสิ” ปกรณ์บอกอย่างหัวเสีย
“ลูกไม่ได้อยากได้อะไรค่ะ ลูกกำลังจะขึ้นป.1 ลูกอยากให้คุณเห็นตอนลูกใส่ชุดนักเรียน...” ยังไม่ทันที่จารวีจะพูดจบ ธีทัตก็ออกมาจากห้องนั่งเล่น
“คุณพ่อกลับมาแล้ว” เด็กชายรีบวิ่งมาหาผู้เป็นพ่อ ยกมือไหว้นิดหนึ่ง แต่สีหน้าของปกรณ์ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ
“อ้อ เออ ดีนิ” เขาลูบลูกชายอย่างขอไปทีแล้วเดินกลับขึ้นไปบนห้องชั้นสอง
“พ่อครับ ออมจะขึ้นป.1แล้ว ดูนี่สิ” เด็กชายถามขึ้นด้วยความไร้เดียงสา
“อย่าเพิ่งมากวนพ่อตอนนี้ พ่อกำลังจะรีบออกไปข้างนอก”
“พ่อจะไปไหนครับ” ธีทัตจับมือพ่อ “ให้ออมไปด้วยได้มั้ย”
“เฮ้ย รำคาญ บอกว่าอย่ามายุ่ง” ปกรณ์ขึ้นเสียงผลักลูกชายออกไปให้พ้นทาง
แต่ด้วยแรงที่มากกว่าทำให้ธีทัตล้มทำให้หัวกระแทกกับมุมเหลี่มขอบโต๊ะตัวหนึ่ง เด็กชายร้องไห้จ้า เลือดไหลอาบใบหน้า จารวีถลาเข้าไปหาลูกหล่อนพยายามห้ามเลือดให้ลูกชาย เสียงร้องไห้ของธีทัตทำให้ลูกชายอีกสามคนออกมาจากห้องนั่งเล่น เด็กทั้งสามตกตะลึงเมื่อเห็นเลือดไหลอาบใบหน้าน้องชายคนเล็ก ธีรัชสติดีสุดเขารีบหาผ้าสะอาดมาห้ามเลือดให้น้องชาย
“โว้ย กะอีแค่เป็นแผลนิดเดียวจะโวยวายหาอะไรวะ พาไปหาหมอสิ เราออกไปข้างนอกกันเถอะ” ปกรณ์โอบไหล่หญิงสาวที่มาด้วยกัน ทั้งคู่เดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามองเลยสักนิด หลังจากวันนั้นจารวีตัดสินใจฟ้องหย่าสามี ศาลตัดสินให้ทั้งคู่มีสิทธิ์ในการเลี้ยงลูกคนละเท่า ๆ กัน ปกรณ์มีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูธีภพและธีมา ส่วนจารวีได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูธีรัชและธีทัต

“ไหนให้แม่ดูหน่อยสิ แผลเป็นเริ่มจางลงตั้งเยอะแล้วนี่” จารวีลูบรอยแผลเป็นใต้คิ้วหนา อุบัติเหตุในวันนั้นแผลไม่ใหญ่นักแต่ก็ลึกพอสมควร ผู้เป็นพ่อไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด แผลคิ้วแตกเมื่อ 18 ปีก่อนยังคงเหลือรอยจางไว้ที่หางคิ้วและในใจของเจ้าตัว
“ออม” จารวีเรียกชื่อลูกชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง หล่อนส่งก้มลงหาของบางอย่างในกระเป๋าถือ จารวียื่นกล่องรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าผูกโบว์ด้วยริบบิ้นสีทอง
 “พ่อกำชับให้แม่เอานี่มาให้ลูกให้ได้” ธีทัตนิ่งเงียบมองกล่องของขวัญตรงหน้าอย่างครุ่นคิด สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา ธีทัตเลื่อนกล่องของขวัญกลับไปยังมารดา
“แม่เอาไปคืนเขาเถอะครับ ออมไม่อยากได้ของของเขา”
“ออม...”
“แม่ครับ ออมเคยบอกแล้วไงครับว่าออมไม่อยากพูดถึงคนคนนี้ ถ้าแม่ไม่อยากให้ออมรู้สึกไม่ดี แม่อย่าพูดถึงเขาเลยนะครับ”
“แม่เพิ่งรู้ว่าออมบอกพ่อไปว่าไม่อยากให้พ่อมางานรับปริญญาของออม รู้มั้ยว่าพ่อเสียใจมาก ออมน่าจะไปเยี่ยมพ่อบ้าง พ่อดีใจมากเลยนะตอนที่รู้ว่าออมเป็นหมอแล้ว พ่อเขาอยากให้ออมไปดูตอนที่เขาจะทำเคมีบำบัด”
“ยังไงเขาก็เป็นพ่อนะออม”
ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี ตาเรียวยาวมองไปยังเงาดำของแม่น้ำตาปี อาหารที่สั่งไว้ถูกนำมาเสิร์ฟพอดี ธีทัตหลบสายตาผู้เป็นแม่แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอาหารแทน จารวีดูออกว่าลูกชายพยายามจะกลบเกลื่อน หล่อนรู้ดีว่าเธอไม่สามารถบังคับลูกชายคนเล็กได้แล้ว แผลเป็นในใจของธีทัตถูกทิ้งไว้นานเกินไป
“หมอออมคะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างโต๊ะ
ทั้งจารวีและธีทัตเงยหน้าตามเสียงพร้อมกัน หญิงสาวรูปร่างเพรียวบางคนหนึ่งส่งยิ้มให้ธีทัต
“อ้อ คุณ...คุณพราว”
“ดีใจจังเลยที่หมอออมจำพราวได้” พราวพิชชาหัวเราะคิกคัก
“คุณหมอมากินข้าวเหรอคะ ร้านนี้อาหารอร่อยทุกอย่างเลย โดยเฉพาะปลา อ้อ พราวนั่งตรงโน้นค่ะ” ธีทัตมองตามนิ้วเรียว เห็นแผ่นหลังกว้างนั่งหันหลังให้เขา แม้จะไม่เห็นหน้าแต่ธีทัตก็พอจะเดาออกได้ว่าเป็นใคร ‘อ้อ มากับนายหัวนั่นนี่เอง’ ธีทัตคิดในใจ
“นี่คุณแม่ผมครับ” หญิงสาวยกมือไหว้จารวี “พราวไปก่อนนะคะ ดีใจที่ได้เจอหมอออมนะคะ” ธีทัตยิ้มให้เธอนิดหนึ่ง
“ใครน่ะ” จารวีถามลูกชายทันที
“ญาติของคนไข้น่ะครับ” ธีทัตวางเนื้อปูขาวนวลที่แกะเปลือกหมดแล้วลงบนจานของจารวี
“หืม แน่ใจนะว่าเค้าไม่ได้คิดอะไรกับลูกแม่ ดูเค้าน่าจะชอบลูกอยู่นา” หล่อนเย้า
“โธ่ แม่ครับ เขามีแฟนแล้วครับ นั่นไงครับ แฟนเขาเป็นนายหัวเจ้าของสวนยางมีอิทธิพลในจังหวัดนี้ด้วยครับ”
ธีทัตพยักเพยิดไปยังผู้ชายร่างสูงที่นั่งหันหลังตรงข้ามกับพราวพิชชา อดรู้สึกขุ่นใจไม่ได้ที่เจ้าของร่างสูงนั้นไม่คิดแม้แต่จะหันมายิ้มทักทายเหมือนอย่างที่เคยทำ สิ่งหนึ่งที่ธีทัตไม่ได้สังเกตเลยว่าชายหนุ่มคนนี้รูปร่างสมส่วนแตกต่างจากกันยกรที่ช่วงไหล่หนากว่า
“ว้า เสียดายจัง แม่อุตส่าห์ดีใจนึกว่าจะได้สะใภ้ซะแล้ว แม่ว่าเค้าน่ารักดีนะ ดูนิสัยดีด้วย” ธีทัตอมยิ้มเมื่อนึกถึงพราวพิชชา เขาจัดแจงตักต้มยำทะเลใส่ถ้วย แล้วส่งให้ผู้เป็นแม่
“แล้ว...เมื่อไหร่แม่จะได้ลูกสะใภ้บ้างล่ะ อย่าบอกนะว่าไม่มีใครมาชอบลูกชายแม่เลย”
“ออมยังไม่คิดเรื่องนั้นหรอกครับ”
“แม่ว่าคิดบ้างก็ดีน้า ผู้หญิงดี ๆ สมัยนี้เริ่มหายากทุกที แม่อยากอุ้มหลานแล้ว”
“ลูกพี่อ้นพี่อั๋นไงครับ” ธีทัตเอ่ยถึงพี่ชายคนโตและคนรอง
   ตั้งแต่ที่จารวีและปกรณ์แยกทางกัน แม้พี่ชายทั้งสองคนอยู่ในความดูแลของผู้เป็นพ่อ แต่ปกรณ์ก็ ไม่เคยดูแลลูกทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย กลายเป็นคุณปกผู้เป็นปู่เสียอีกที่มีเมตตาคอยเติมเต็มความอบอุ่นให้ธีภพและธีมา หลังจากที่คุณปกผู้เป็นปู่เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจปกรณ์ก็ส่งลูกชายคนโตทั้งสองไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเหมือนเป็นการผลักไสภาระของตัวเอง ธีทัตเคยคิดว่าเขาโชคดีกว่าพี่ชายทั้งสองมาก ถึงแม้จะไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อ แต่เขาก็ยังได้รับความอบอุ่นจากแม่เสมอมา
“พี่อ้น พี่อั๋น เป็นยังไงบ้างครับ” ชายหนุ่มถามถึงพี่ชายทั้งสอง
“สบายดี อ้นเพิ่งจะมาหาแม่ที่บ้านเมื่อวันก่อน ตอนนี้พี่อ้นทำงานแทนคุณพ่อทั้งหมดแล้ว” จารวีเล่าถึงลูกชายคนโต “ส่วนพี่อั๋นก็กำลังจะแต่งงานปลายปีนี้ ถ้าออมว่างก็ขึ้นไปงานแต่งงานพี่เขาด้วยนะ”

   พราวพิชชาเดินกลับไปที่โต๊ะ เธอเห็นหลี่อี้กำลังรัวนิ้วพิมพ์โทรศัพท์มือถือ
“ทำอะไรน่ะ แอบทำงานเหรอ ไหนยูบอกว่าวันนี้จะให้เวลาไอเต็มที่ จะไม่ทำงานไง” พราวพิชชาแว้ดใส่สามี
“ไม่ได้ทำงานเสียหน่อย” เขาโชว์โทรศัพท์มือถือให้ดู
“นี่ พรุ่งนี้เราไปเที่ยวเกาะเต่ากันเถอะ ไอจองสปารีสอร์ตไว้แล้ว ฮันนีมูนรอบสองไง”
   พราวพิชชาเบิกตากว้าง ไม่เชื่อหูตัวเอง “นี่ไอหูฝาดไปรึเปล่า ยูลืมไปแล้วหรือว่าเราไม่เคยฮันนีมูนกันเลยสักครั้ง” หญิงสาวถอนหายใจเมื่อนึกถึงแผนฮันนีมูนที่เคยล่มมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะหลี่อี้มีงานด่วนเข้ามา
 “เราเคยวางแผนจะไปฮันนีมูนกันที่เกาะเซบู แต่ยูมีงานด่วนแทรกมาเสียก่อน จนต้องยกเลิกแผนฮันนีมูนไง ยูจำไม่ได้เหรอ”
“เอ้อ จริงด้วยสิ” ชายหนุ่มเกาหัวแก้เก้อ “แต่ครั้งนี้เราจะไปฮันนีมูนกันจริง ๆ นะ”
“ก็ได้ หวังว่าคงจะไม่มีงานเข้ามาอีกนะ”

   ธีทัตสละห้องนอนให้กับจารวี ส่วนตัวเองก็ออกมานอนบนโซฟาในห้องนั่งเล่น เมื่อทิ้งตัวลงนอนเขาเหลือบไปเห็นหนังสือ เดอะ ซีเคร็ต ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กใกล้โซฟา เขาเอื้อมมือหยิบหนังสือมาเปิดอ่าน หน้าแรกเขียนไว้ว่า ‘หวังว่า เดอะ ซีเคร็ต จะช่วยนำพาความรักและความรื่นรมย์มาสู่ทุกชีวิตทุกส่วนเสี้ยวของคุณ’ ธีทัตเบ้ปาก แต่นิ้วเรียวยาวยังคงเปิดไปหน้าต่อไป
   กฎแห่งแรงดึงดูดทำหน้าที่ของมันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม...
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ธีทัตปิดหนังสือแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอโชว์เบอร์ที่ไม่คุ้นเคย เขารีบกดรับสายทันที
“สวัสดีครับ” ธีทัตกรอกเสียงลงไป   “หมอออมรึเปล่าครับ สะดวกคุยไหม” ปลายสายถาม
“นั่นใครครับ”
“จำเสียงผมไม่ได้เหรอครับ” ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
ธีทัตขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเบิกตากว้าง “คุณ! เอ้ย นายหัวกันย์เหรอครับ”
“อ้าว ก็จำได้นี่นา” กันยกรหัวเราะร่วน
“คุณได้เบอร์ผมมาจากไหน” ธีทัตถามด้วยน้ำเสียงขุ่น
“หมอลืมไปแล้วเหรอครับว่าผมเป็นใคร แค่เบอร์โทรของหมอแค่นี้ทำไมผมจะหามาไม่ได้”
   ธีทัตบีบนวดขมับ ต้องเป็นพี่ไหมแน่ ๆ เขาลืมคิดไปว่ากันยกรเป็นที่รู้จักของคนในจังหวัดนี้ ถ้าเขาอยากจะได้เบอร์โทร เรื่องแค่นี้เขาทำได้อยู่แล้ว
“ไม่ทราบว่านายหัวมีธุระอะไรเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่อยากคุยด้วย”
“ห๊ะ แค่เนี้ย? ถ้าไม่มีอะไรผมขอวางสายนะครับ ผมต้องการพักผ่อน”
“ดูเหมือนหมอจะไม่อยากคุยกับผมนะครับ”
“ถ้าคุณจะโทรมากวนเฉย ๆ ผมก็ไม่อยากคุยด้วยหรอกนะครับ แค่นี้นะครับ”
“เอาเถอะ ผมว่ายังไงหมอต้องโทรหาผมอยู่แล้ว...” ยังไม่ทันที่กันยกรจะพูดจบ ธีทัตก็กดตัดสายอย่างรำคาญ เขาบล็อกเบอร์โทรของกันยกรโดยไม่ต้องคิด ก่อนจะล้มตัวลงนอนรูปร่างสูงล่ำสันและใบหน้าคมเข้มของกันยกรยังคงติดอยู่ในหัวของธีทัต เจ้าของแผ่นหลังกว้างที่เจอที่ร้านอาหารนั่งหันหลังไม่แม้แต่จะหันมายิ้มทักทายทั้งที่ก็เคยเจอกันหลายครั้ง ความรู้สึกเหมือนกับน้อยใจแล่นเข้ามาในจิตใจ มันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนชายหนุ่มต้องสะบัดหัวไล่ความคิดออกไป

   ธีทัตตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ตามปกติ แต่วันนี้เป็นวันพิเศษวันหนึ่งคือเขาได้รับประทานอาหารเช้าฝีมือจารวีก่อนออกมาราวน์วอร์ด
“ทำไมไม่ซื้อของกินไว้ติดตู้เย็น อาหารแช่แข็งพวกนี้กินเข้าไปบ่อย ๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ”  จารวีบ่นอุบเมื่อเปิดตู้เย็นแล้วเจอแต่อาหารแช่แข็ง
“โธ่ แม่ครับทุกวันนี้โชคดีแค่ไหนแล้วที่โรงพยาบาลเขาเลี้ยงอาหารเที่ยง อาหารเย็น เลยได้กับข้าวมากินทุกวัน”
“อาหารโรงพยาบาลมันจะไปถูกปากได้ไง แม่ว่าทำเองดีกว่าเยอะ ถ้าไม่อยากทำเองก็ไปซื้อที่ตลาด” ธีทัตอมยิ้ม ไม่อยากเถียงกลับ อย่าว่าแต่จะทำอาหารเลย เวลาที่จะไปตลาดก็แทบจะไม่มีด้วยซ้ำไป
“วันนี้แม่จะไปตลาดสด ซื้อของมาทำอาหารเย็นให้กิน ไม่ต้องรับปิ่นโตอาหารเย็นมาล่ะ” ธีทัตรับคำก่อนจะออกไปทำงาน
   ชายหนุ่มรีบตรงปรี่เข้าไปหาพิสมัยที่วอร์ดอายุกรรมขณะราวน์วอร์ดรอบเช้า
“พี่ไหม ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
“อ้าว หมอออมมาพอดีเลย พี่กำลังจะโทรถามพอดี”
“มีอะไรเหรอครับ” ธีทัตถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงนิดหนึ่ง
“คนไข้ที่ชื่ออารี ห้องพิเศษ 416 ค่ะ เมื่อคืนแผลผ่าตัดติดเชื้อ ไข้ขึ้นสูงมากจนถึงตอนนี้ไข้ยังไม่ลดเลยค่ะ”
“งั้นเหรอครับ ผมจะไปราวน์วอร์ดก่อน เสร็จแล้วจะแวะขึ้นไปดู ระหว่างนี้ให้ยาลดไข้ไปก่อนนะครับ” ธีทัตรีบก้าวขาอย่างเร่งรีบ ที่นายหัวโทรมาหาเมื่อคืนจะเกี่ยวกับคนไข้หรือเปล่านะ? ถ้าใช่เขาก็เป็นหมอที่แย่มากที่ผลักไสหน้าที่ออกไป
   ธีทัตกลับเข้ามาดูอารีที่ห้อง 416 อีกครั้งหลังจากราวน์วอร์ดเสร็จ เขาเปิดดูแผลด้วยความเบามือ รอบๆ บริเวณแผลผ่าตัดบวมแดงบ่งบอกว่าติดเชื้อ ธีทัตถอนหายใจอย่างโล่งอกที่แผลไม่รุนแรงนัก
   “รัพเจอร์ แอพเพนดิก* อยู่ก่อนแล้ว คัลเจอร์** หา source*** ด้วยนะครับ” ธีทัตสั่งด้วยความคล่องแคล่ว
   “วันนี้ไม่มีญาติคนไข้มาเฝ้าเหรอครับ” ธีทัตถามพิสมัย
   “เฮียเส็งสามีคนไข้เพิ่งกลับบ้านไปเมื่อเช้าค่ะ ไม่รู้ว่ามีว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นรีบกลับไปแต่เช้า” ธีทัตพยักหน้าไม่ตอบอะไรอีก เพราะต้องรีบกลับไปตรวจคนไข้ต่อที่หอผู้ป่วยนอก


   กันยกรขับรถเข้าไปในตัวเมืองกับสันต์ตั้งแต่เช้า เพื่อเข้าไปสั่งปุ๋ยล็อตใหม่ที่เอามาใส่ในสวนยางและสวนผลไม้ สันต์นั่งคู่กับเขาที่เบาะหน้า ชายหนุ่มมองท้องฟ้าแล้วเริ่มบ่นเรื่องฝนฟ้าอากาศที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่าจะมีฝนตกหนักในคืนนี้
   “กรมอุตุเค้าบอกว่าฝนจะตกหนักนะนายหัว ฟ้าก็ครึ้มเชียว ขอให้ตกกลางวันนี้ทีเถอะ คืนนี้จะได้กรีดยางได้อีกวัน เฮ้อ ค่ายางตอนนี้ก็ลงเหลือเกินนะครับ 40 กว่าบาทแล้ว รัฐบาลก็น่าจะช่วยสักหน่อย ขอสัก 80 ก็ยังดี วันก่อนไอ้ชมก็สั่งปุ๋ยมาผิด สั่งสูตร 0-0-60 มาใส่ทุเรียน ผมบอกมันแล้วมันก็ไม่จำเลยว่าห้ามใส่ปุ๋ยสูตรนี้ นายหัวน่าจะจัดการมันบ้างนะครับ...” กันยกรเบรกรถดังเอี๊ยดจนสันต์หน้าคะมำ
   “บ่นจบรึยัง อายุไม่เท่าไหร่บ่นเป็นหมีกินผึ้งไปได้ เลิกบ่นได้แล้ว จะถึงร้านแล้ว เตรียมใบสั่งของไว้ให้ดี” กันยกรเลี้ยวรถเข้าไปบริษัทจำหน่ายปุ๋ยที่คุ้นเคยกันดี หลังจากจอดรถเรียบร้อยสันต์รู้หน้าที่ว่าตัวเองจะต้องทำอะไร เขารีบเดินเข้าไปสั่งปุ๋ยในสำนักงานทันที
   “เอ้า วันนี้มันวันไอไรวะ นายหัวกันย์มาหาเลย พันพรื่อมั่ง” ชายสูงวัยคนหนึ่งส่งเสียงทักทาย พลางเดินเข้ามาตบบ่าทักทายกันยกรอย่างสนิทสนม
   “สวัสดีครับเถ้าแก่ ผมจะเข้าไปในเมือง เลยแวะมาสั่งปุ๋ยด้วย”
   “เอ้ย แลลูกค้าให้ดีนะ อย่าให้เสียชื่อกู” เถ้าแก่หันไปสั่งลูกน้อง เมื่อสั่งของเสร็จเรียบร้อยแล้ว กันยกรยกมือลาเถ้าแก่เจ้าของร้านก่อนจะเดินฝ่าแดดร้อนกลับไปขึ้นรถ สันต์เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
   “เอ้อ เกือบลืมเลยครับ วันก่อนคนงานมาบอกว่าถ้วยน้ำยางแตก ผมก็เลยสั่งที่ร้านเอาไว้ ไหนๆ เราก็เข้าเมืองมาแล้วแวะไปเอาเลยดีไหมครับ”
   “ก็ดี จะได้ไม่เสียเที่ยว นายสั่งของร้านไหนเอาไว้”
   สันต์บอกชื่อร้านขายอุปกรณ์การเกษตรร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองใกล้กับตลาดสดเทศบาล กันยกรสั่งให้สันต์ไปเอาของที่ร้านส่วนตัวเขาเองนึกอยากกินกาแฟดำเจ้าอร่อยในตลาดขึ้นมา จึงนัดแนะกันว่าหากสันต์ทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วให้โทรศัพท์หา เขาจะออกมาจากร้านกาแฟ
   ตลาดเทศบาลตอนสายผู้คนเริ่มซา ไม่หนาแน่นเหมือนตอนเช้า บางร้านเริ่มเก็บร้านเพื่อกลับบ้านแล้วจะมาตั้งร้านใหม่ในตอนเย็น กันยกรเดินผ่านตลาดเพื่อไปร้านกาแฟเจ้าเก่าชื่อดังของเมืองสุราษฎร์ ชายหนุ่มหยุดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าบางคนที่รู้จัก หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งหิ้วของพะรุงพะรังเดินผ่านเขาไปยังแผงข้างๆ ชายหนุ่มเหลือบมองหล่อน ดูจากภายนอกก็รู้ว่าไม่ใช่คนในพื้นที่ เด็กหนุ่มวัยรุ่นใบหน้าซูบตอบ ดูปราดเดียวก็รู้ว่าติดยาเสพติดเดินตามหล่อนมาด้วย มือผอมของเด็กหนุ่มค่อยๆ ยื่นออกไปล้วงหาของในกระเป๋าโดยที่หญิงคนนั้นไม่รู้ตัว
   “เฮ้ย ทำอะไรน่ะ” กันยกรถลาเข้าไปคว้าข้อมือผอมนั้น
   “ปะ เปล่าครับ ไม่ได้ทำอะไร” เด็กหนุ่มสะดุ้งจะชักมือหนีแต่ก็ไม่ทัน
   “ไม่ได้ทำอะไรได้ไง เห็นอยู่ว่ากำลังจะขโมยของ” กันยกรตวาดเสียงดัง ผู้คนในตลาดเริ่มหันมามองด้วยความสนใจ “มาด้วยกันหรือเปล่าครับ” เขาหันไปถามหญิงคนนั้น
   “เปล่าค่ะ ฉันไม่รู้จักเขา”
   “นั่นไง ยังจะบอกว่าไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ จะให้เรียกตำรวจมั้ย” เขาตวาดอีกครั้ง
   “เอ่อ อย่าเรียกตำรวจเลยค่ะ ปล่อยเค้าไปเถอะค่ะ ของของฉันก็ยังอยู่ครบ ฉันไม่อยากมีปัญหา” หญิงคนนั้นขอร้องเอาไว้
   “มึงไปเลย ไปไกลๆ เลย อย่ามาให้เห็นอีกนะ ถ้าเจออีกเมื่อไหร่ กูเรียกตำรวจมาจับมึงแน่” กันยกรปล่อยมือผอมบางนั้น เด็กหนุ่มรีบวิ่งแจ้นหนีไปทันที
   “คุณน้าดูของให้ดีนะครับ มีอะไรหายบ้างรึเปล่า แล้วก็เวลาเดินในที่ที่มีคนเยอะๆ ก็ระวังไว้ด้วยนะครับ” กันยกรหันมาถามหญิงวัยกลางคน
   “ไม่มีค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยเอาไว้ น้ามาสุราษฎร์ครั้งแรก เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้เอง เมื่อเช้าก็โดนรถตุ๊กๆ เรียกค่ารถแพงเกินจริง” จารวีบ่น
   “จริงเหรอครับ พวกรถตุ๊กๆ นี่ก็หัวแหลม ชอบเรียกค่าโดยสารแพงกับนักท่องเที่ยว คุณน้าพักอยู่ที่ไหนครับ เดี๋ยวผมจะไปส่งครับ” จารวีมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ใบหน้าคมเข้มดูผ่านๆ เหมือนเป็นคนหน้าดุ แต่เขามีน้ำใจจนหล่อนรู้สึกซาบซึ้ง
   “น้าพักแถวโรงพยาบาลค่ะ ส่งที่หน้าโรงพยาบาลก็ได้” กันยกรพยักหน้า สันต์เดินกลับมาจากร้านขายอุปกรณ์การเกษตรพอดี
   “คุณน้ามาเที่ยวเหรอครับ” กันยกรถามขณะขับรถออกจากตลาด กำลังจะกลับรถเพื่อไปส่งจารวีที่โรงพยาบาล
   “มาเยี่ยมลูกชายค่ะ ลูกชายมาทำงานที่นี่” หล่อนบอก
   “อ้อ เหรอครับ ถ้ามีโอกาสก็ให้ลูกชายพาไปเที่ยวด้วยนะครับ ที่สุราษฎร์เรามีเกาะสวยๆ ชายหาดสวยๆ เยอะแยะเลย” กันยกรบอก มองจารวีจากกระจกมองหลัง
   “ขอบคุณที่แนะนำนะคะ แต่น้าคงไม่ได้ไปเที่ยวไหนหรอกค่ะ ลูกชายเค้าทำงานทุกวัน นี่ก็มาช่วยเก็บกวาดบ้านให้เค้า อ้อ จอดที่หน้าโรงพยาบาลนั่นแหละค่ะ เดี๋ยวน้าเดินกลับบ้านเอง”
   กันยกรชะลอรถแล้วจอดตรงหน้าโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี “คุณน้าแน่ใจนะครับว่าจะเดินกลับเองได้ ของตั้งเยอะแยะ”
   “โอ๊ย ได้ค่ะ ของแค่นี้สบายมาก ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง” กันยกรพยักหน้าแล้วออกรถไป
   “เอ้า ตายจริงว่าจะถามชื่อเสียหน่อย ลืมไปเลย” จารวีบ่นกับตัวเอง


   ธีทัตกลับมารับประทานอาหารเที่ยงที่แฟลต จารวีทำกับข้าวไว้สองสามอย่าง ล้วนเป็นอาหารที่ธีทัตชอบทั้งสิ้น เมื่อลูกชายนั่งลงที่โต๊ะอาหารหล่อนก็นั่งตรงข้ามดูธีทัตกินอาหารด้วยความหิว
   “วันนี้แม่ไปตลาดมา สงสัยวันนี้จะเป็นวันไม่ดีของแม่แน่ๆ เลย ตอนเช้าโดนรถตุ๊กๆ โกงค่ารถ พอเดินในตลาก็เกือบโดนล้วงกระเป๋า” จารวีบอกขณะตักผัดผักให้ตัวเอง
   “แม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ” ธีทัตถามด้วยความตกใจ
   “ไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ มีคนมาช่วยไว้ทัน เขายังใจดีมาส่งแม่ที่หน้าโรงพยาบาลด้วยนะ”
   “ผมบอกแล้วว่าให้แม่ขับรถไปเอง แม่ไว้ใจคนแปลกหน้าได้ไงครับ”
   “เขาช่วยแม่เอาไว้นะ ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นคนไม่ดีหรอก”
   “คนสมัยนี้ดูภายนอกได้ที่ไหนครับ”
   “เอาน่า เซ้นส์ของแม่บอกว่าเขาเป็นคนดีนะ”
   “ทีหลังถ้าแม่จะไปไหนก็เอารถไปนะครับ เวลาเดินก็ระวังหน้าระวังหลังด้วย” ธีทัตบอกแกมสั่ง
   “จ้า รู้แล้วจ๊ะ คุณหมอออมขี้บ่นเหมือนกันนะเนี่ย อ้าว อิ่มแล้วเหรอลูก” ประโยคสุดท้ายจารวีถามเมื่อเห็นธีทัตกินไปได้เกือบหมดก็รวบช้อนส้อม หยิบแก้วน้ำดื่ม
   “ครับ ผมอิ่มแล้วล่ะครับ ต้องกลับไปดูคนไข้ด้วย แม่ยังทำอาหารอร่อยเหมือนเดิมเลยนะครับ คิดถึงบรรยากาศเดิมๆ จัง พี่อาร์มน่าจะได้มากินข้าวด้วยกัน”
   “โอ๊ย ปล่อยรายนั้นไปเถอะ ตั้งแต่เรียนจบเตรียมทหารก็ไม่ค่อยชอบอาหารของแม่สักเท่าไหร่ ออมไปทำงานต่อเถอะลูก เดี๋ยวแม้จัดการล้างจานเอง” หล่อนหยิบจานตรงหน้าธีทัตไปไว้ที่อ่างล้านจาน
   “เย็นนี้กลับมากินข้าวเย็นนะ แม่จะทำกับข้าวเก็บไว้ให้ในตู้เย็น” ธีทัตตอบรับแล้วยิ้มให้มารดาก่อนจะรีบออกไปทำงานต่อ

   
   อารีอาการดีขึ้นในสองวันต่อมา จนสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ธีทัตจึงอนุญาตให้หล่อนออกจากโรงพยาบาลได้ กานดาและกันยกรมารับอารีกลับบ้านแทนเถ้าแก่เส็งสามีของอารีติดที่ต้องเฝ้าห้างทองซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว
   “เมื่อเช้าหมอเข้ามารึยัง” กานดาถามเมื่อเห็นหน้าน้องสาว
   “วันนี้หมอยังไม่ได้เข้ามาเลยพี่ดา พยาบาลเข้ามาบอกว่าหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว อ้าว ยัยหมิวไม่ได้มากับพี่ดาเหรอ” อารีถามเมื่อไม่เห็นลูกสาวของตัวเอง
   สองวันก่อน หลังจากที่ได้ข่าวว่าอารีป่วย เวณิกาก็ลาออกจากงานกะทันหันโดยอ้างเหตุผลในการลาออกว่าต้องกลับมาดูแลแม่ที่ป่วย
   “ตอนไปบ้านน้ารีก็ไม่เจอหมิวแล้วครับ น้าเส็งบอกว่าออกไปไหนแต่เช้า เอารถมอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยครับ” กันยกรบอก
   “อีกแล้วเหรอไอ้ลูกคนนี้ น้าห้ามมันขับมอไซค์แล้วนะ กลัวรถราจะชน ดูสิยังจะดื้อขับอีก เฮ้อ ปวดหัวกับมันจริงจริ๊ง อยู่ๆ ก็ลาออกจากงานกลับมาอยู่บ้านเสียเฉยๆ” อารีส่ายหน้าอย่างระอากับลูกสาว
   “เอาน่า อย่าไปว่ามันเลย หมิวมันกลับมาอยู่บ้านก็ดีแล้วจะได้ช่วยเส็งดูร้านทองด้วย รีกับเส็งก็อยากให้กลับมาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
   “ก็อยากนะพี่ดา แต่อยู่ๆ นึกจะกลับก็กลับมา นึกจะไปก็ไป ฉันตามมันไม่ทันจริงๆ”

(มีต่อตอน 5.2)
[/color][/size]

หมายเหตุ
* รัพเจอร์ แอพเพนดิก - ไส้ติ่งแตก
** คัลเจอร์ - เพาะเชื้อ
*** source - สาเหตุ


ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนที่ 5.2

อีกด้านหนึ่งของโรงพยาบาล เวณิกาจอดรถมอเตอร์ไซค์ในลานจอดรถแล้วหิ้วของพะรุงพะรังเต็มสองมือเข้ามาในโรงพยาบาล เด็กสาวเดินก้าวขาฉับๆ ไปยังแผนกอายุรกรรม ปกติแผนกนี้จะมีคนไข้เยอะแทบล้นทุกเช้า เด็กสาวแทรกตัวไปตามช่องว่างจนเจอเก้าอี้ว่างตัวหนึ่ง เธอก็นั่งลงรอคอยใครบางคน โดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างที่พากันมองเป็นตาเดียวกัน สิ่งที่ดึงดูดสายตาของผู้ป่วยและญาติในวอร์ดก็คือเสื้อผ้าของเด็กสาวนั่นเอง เวณิกาสวมเสื้อเปิดไหล่กับกางเกงขาสั้นอวดเรียวขายาวแต่มีเซลลูไลท์ประปราย ใบหน้าขาวเนียนไร้สิวฝ้านั้นแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอาง ริมฝีปากทาด้วยสีแดงสด เวณิกาเองก็ออกจะพอใจที่คนรอบข้างพากันหันมาสนใจเธอ
   “แหมๆๆ นึกว่าใคร น้องหมิวนี่เอง มารอพบหมอออมเหรอ ไอย๊ะ วันนี้สวยจังนิ” พิสมัยเอ่ยทักทายเวณิกา เด็กสาวยกมือไหว้อย่างสวยงาม
   “สวัสดีค่ะ พี่ไหม อ้อ หมิวมีของมาฝากพี่ไหมและพี่พยาบาลด้วยค่ะ นี่ค่ะ” เวณิกายื่นถุงบรรจุอาหารเช้าอย่างติ่มซำและซาลาเปาให้พิสมัย
   “อู้ยย ขอบใจจ้า แหม ไม่เห็นต้องลำบากเลย ลาภปากหล่าว”
   “พี่ไหมคะ หมอออมจะมารึยังคะ”
   “อีกสักพักละมั้ง เออนี่รู้รึยังว่าแม่เราออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนะ หมออนุญาตให้กลับวันนี้แล้ว”
   “รู้แล้วค่ะ หมิวไม่อยากให้แม่ออกจากโรงพยาบาลเลย ถ้าแม่ออกจากโรงพยาบาลหมิวก็ไม่ได้เจอหมอออมบ่อยๆ แล้วสิคะ”
   “ฮาย บ้านน้องหมิวอยู่แค่นี้เองจะมาหาหมอออมเมื่อไหร่ก็ได้ เดี๋ยวพี่จะไปแอบดูมาให้ว่าหมอออมอยู่เวรวันไหนแล้วจะแวะไปบอกที่ร้านนะจ๊ะ” ประโยคหลังพิสมัยแอบกระซิบ
   เวณิกาดีดตัวขึ้นยืนเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งเดินตรงมายังวอร์ดอาบุรกรรม ใบหน้าขาวใสอมชมพูหันไปยิ้มกับคนไข้บางคนที่คุ้นหน้า
   “พี่หมอออมคะ” เวณิกาพุ่งพรวดไปยังเขาทันที ธีทัตสะดุ้งเล็กน้อยแต่ยังมีสติดีพอที่จะกระตุกมุมปากยิ้มให้เด็กสาวนิดหนึ่ง
   “พี่หมอกินอะไรรึยังคะ หมิวหมิวมีของมาให้หมอออมด้วยค่ะ” เธอยื่นถุงที่เหลือในมือไปให้ชายหนุ่ม ธีทัตจึงต้องจำใจรับไว้
   “ทีหลังไม่ต้องลำบากซื้อของมาเยอะขนาดนี้นะครับ ซื้อมาให้ทุกวันผมเกรงใจ”
   “ไม่ต้องเกรงใจเลยค่ะพี่หมอ หมิวหมิวเต็มใจค่ะ” เวณิกาฉีกยิ้มกว้าง
   “อ่อ ครับ งั้นผมไปทำงานก่อนนะครับ”
   “สู้ๆ นะคะ กินก่อนทำงานก็ดีนะคะ กำลังร้อนๆ เลย”
   ธีทัตยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องตรวจ ชายหนุ่มยกของกินทั้งหมดให้พยาบาลเอาไปแบ่งกันกิน
   “หมอไม่เก็บไว้กินบ้างเหรอคะ น้องหมิวอุตส่าห์ซื้อมาให้ ถ้าน้องเขารู้ว่าหมอเอามาแจกต่อน้องเขาเสียใจแย่เลยค่ะ”
   “ไม่ละครับ พี่ๆ กินกันเถอะครับ ผมไม่หิว”
   “เอ๊ะ อันนี้น่าจะเป็นของหมอนะคะ น้องหมิวใส่ไว้ในถุงนี้”
พยาบาลยื่นห่อกระดาษเล็กๆ ลายซากุระสีชมพูให้ มือขาวเนียนรับมาดูมีกระดาษโพสอิทแปะไว้ว่า “ขอบคุณนะคะพี่หมอที่ดูแลแม่ของหมิวหมิวเป็นอย่างดี” เขาแกะออกก็พบถุงกำมะหยี่สีแดง เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในถุงธีทัตก็ขมวดคิ้วอย่างคิดหนัก เมื่อพบว่าข้างในบรรจุสร้อยคอทองคำเส้นหนึ่ง
“พี่ไหมครับ หมิวหมิวไปรึยัง” ชายหนุ่มรีบเปิดประตูออกมาถามพิสมัยที่นั่งประจำอยู่หน้าห้อง
“ไปแล้วค่ะ มีอะไรเหรอคะ”
“หมิวหมิวให้นี่กับผม แต่ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ มันมีค่ามากเกินไป” ธีทัตยื่นถุงกำมะหยี่สีแดงให้พิสมัยดู
“เก็บไว้เถอะค่ะหมอ น้องหมิวเขาคงอยากให้หมอ”
“ไม่ได้หรอกครับ มันมีค่ามากเกินไป พี่ไหมมีเบอร์โทรหมิวหมิวไหมครับ รบกวนโทรไปบอกให้มาเอาทองคืนได้ไหมครับ”
   “ไม่มีหรอกค่ะหมอ พี่ไม่ได้สนิทกับบ้านพี่รี อืม..เอางี้ไหมคะ พี่จะบอกนายหัวกันย์ให้ว่าน้องหมิวเอาทองมาให้หมอ ให้นายหัวมาเอาไปคืนร้านเถ้าแก่เส็ง”
   เมื่อได้ยินคำว่า นายหัว ธีทัตก็ชะงักนิดหนึ่งแต่ไม่อยากให้พิสมัยเห็นสังเกต แต่เมื่อคิดดูถี่ถ้วนดีแล้วว่าไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้เขาจึงต้องจำยอมทำตามความคิดของพิสมัย ธีทัตกลับเข้ามาในห้องตรวจ ชายหนุ่มยกมือขวาแตะหน้าอกด้านซ้าย หัวใจของเขากำลังเต้นระรัว
   ‘นี่เราเป็นอะไร ทำไมใจเต้นเร็วขนาดนี้’
 

   ในตอนเย็นลานจอดรถในโรงพยาบาลค่อนข้างโล่ง กันยกรขับรถเข้ามาถึงเขตที่พักของบุคลากรในโรงพยาบาล ชายหนุ่มดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถ เขากำลังรอใครบางคนที่พิสมัยโทรไปบอกว่าอยากเจอเขา ไม่ได้อยากเจอเพราะคิดถึง แต่อยากเจอเพราะมีธุระบางอย่างจะคุยด้วย แค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้ใจเขาเต้นได้แล้ว
   “ผมถึงแล้ว เพิ่งจอดรถหน้าแฟลต หมออยู่ไหน?”
   ไม่นานร่างสูงโปร่งก็เดินออกมาจากแฟลต ธีทัตดูแปลกตากว่าทุกครั้งเพราะตอนนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น ผมดำขลับกระเซิงเล็กน้อยเหมือนเพิ่งตื่นนอน
   “เพิ่งตื่นเหรอหมอ” กันยกรถาม
   “อื้ม วันนี้ผมไม่มีเวร อะนี่....” ธีทัตยื่นถุงกำมะหยี่สีแดงให้กันยกร มือใหญ่หยาบกร้านรับมาเปิดดู สร้อยคอทองคำส่องประกายเรืองรองบนมือหนาใหญ่
“หมิวหมิวน้องสาวคุณให้ผมมา แต่ผมรับไม่ได้หรอก มันแพงเกินไป” ธีทัตบอก
“เฮ้อ เพิ่งจะกลับมาอยู่บ้านไม่กี่วันก็ขโมยของในร้านมาให้ผู้ชายซะแล้ว” กันยกรพูดทำนองบ่นกับตัวเอง
“คุณว่าไงนะ”
“ไอ้หมิวมันเพิ่งลาออกจากงานที่กรุงเทพแล้วกลับมาอยู่ที่บ้าน บอกว่าจะมาช่วยน้าเส็งกับน้ารีดูแลร้านทอง นี่กลับมาได้ไม่กี่วันก็ขโมยทองในร้านซะแล้ว” กันยกรขยายความ
“นี่...คุณอย่าบอกนะว่า...ทองเส้นนี้ถูกขโมยมา” ธีทัตตกใจ
“ใช่ ผมมั่นใจว่าหมิวขโมยแน่ๆ แต่หมอไม่ต้องห่วงหรอก ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้หรอก ผมจะเอาไปคืนน้าเส็งพรุ่งนี้” ธีทัตนิ่งเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“หมอกินข้าวรึยัง ไปกินข้าวกันไหม มีร้านข้าวต้มโต้รุ่งที่ผมชอบกินอยู่ 2-3 ร้าน”
“อ่า...เอ่อ...ไม่ดีกว่า ผมไม่...”
โครกกก...ครากกก
ยังพูดไม่ทันจบน้ำย่อยในท้องก็เหมือนจะไม่เป็นใจ ส่งเสียงออกมาจนกันยกรหัวเราะร่วน
“ดูเหมือนว่าหมอจะหิวนะ เอาน่า มาเถอะ เดี๋ยวผมกลับมาส่ง”
อันที่จริงแล้วจารวีทำอาหารไว้หลายอย่างไว้เป็นเสบียงให้ลูกชายก่อนที่หล่อนจะบินกลับกรุงเทพคืนวันนี้ แต่ธีทัตกังวลเรื่องสร้อยทองที่ได้จากเวณิกาจนไม่อยากกินอาหารฝีมือแม่ เมื่อได้คืนของให้กันยกรแล้ว ความกังวลทั้งหมดก็คลายลง ความหิวจึงเข้ามาแทนที่ เขาไม่อยากปฎิเสธน้ำใจของนายหัวเจ้าของสวนยางคนนี้ จึงยอมออกไปกินอาหารมื้อเย็นด้วย ธีทัตเดินตามร่างสูงใหญ่ไปยังลานจอดรถ เมื่อมองจากด้านหลังแล้วเขาเพิ่งสังเกตว่ากันยกรเป็นผู้ชายไหล่กว้างหนาและล่ำสัน เป็นหุ่นวีเชฟตามแบบฉบับคนออกกำลังกายเป็นกัน ร่างสูงใหญ่กดรีโมทกุญแจเพื่อปลดล็อกรถเอสยูวีคู่ใจ ธีทัตเปิดประตูไปนั่งด้านหน้าข้างคนขับ
“รถรกหน่อยนะครับ ไม่ค่อยได้จัด” ชายหนุ่มที่นั่งหลังพวงมาลัยบอก ธีทัตไม่ถือว่าการที่รถรกเป็นเรื่องใหญ่เพราะรถของเขาเองก็รกไม่น้อยไปกว่ารถคันนี้สักเท่าไหร่


ธีทัตมองอาหารหลายอย่างถูกทยอยนำมาเสิร์ฟเรื่อยๆ  มีเพียงไม่กี่อย่างที่เป็นอาหารของโปรดที่เขาสั่ง กันยกรตะโกนสั่งเบียร์วุ้นเย็นๆ หนึ่งขวด
“คุณต้องขับรถนะครับ” ธีทัตท้วง
“ขวดเดียวเอง ไม่เมาหรอกน่า”
“จะเมาหรือไม่เมาก็ไม่ควรกิน มันอันตราย” กันยกรมองชายหนุ่มใบหน้าขาวอมชมพูที่กำลังขึ้นเสียงแข็ง ดวงตายาวรีจ้องเขม็งตาคมจนเขาเองต้องกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก
“เอ้า ไม่กินก็ได้ เฮ้ย ไม่เอาเบียร์แล้วนะ เอาข้าวต้มมาแทนก็แล้วกัน” กันยกรตะโกนสั่ง
 “ไม่เห็นต้องดุเลยนี่นา” กันยกรบอกขณะรินน้ำดื่มใส่แก้วที่บรรจุน้ำแข็งจนเต็ม
“ทำไมหมอต้องบล็อกเบอร์ผมด้วย” น้ำเสียงทุ้มถามขึ้นทำลายความเงียบ
ธีทัตเงยหน้ามองผู้ถามเต็มตา ดวงตาคมใต้คิ้วเข้มกำลังมองมาที่เขา ดวงตาที่ปกติมีแต่ความเฉยชาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ บัดนี้กลับมีแววของความซุกซนเหมือนเด็ก ริมฝีปากหยักที่ถูกห้อมล้อมด้วยตอหนวดกำลังอมยิ้ม  ธีทัตรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้าเมื่อสบตากับดวงตาดำคมคู่นั้น
“ก็...ไม่ได้บล็อกซะหน่อย”
“บล็อกสิ ผมโทรหาหมอครั้งที่สองไม่ติด”
“ก็คุณกวนตีนนี่นา ผมไม่ชอบคุยกับคนกวนตีน”
กันยกรหัวเราะร่วนอย่างขบขัน “ผมขอโทษก็แล้วกัน หมอดูติ๋มๆ ก็เลยอยากแกล้งเล่น”
“ว่าแต่ว่าคุณไปเอาเบอร์ผมมาจากไหน จากพี่ไหมเหรอ?”
กันยกรพยักหน้ารับ
“นึกแล้วเชียว”


รถเรนจ์โรเวอร์สีดำกลับมายังโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีอีกครั้ง มันเคลื่อนตัวฝ่าความสลัวไปจนถึงแฟลตตึกหนึ่ง ไฟหน้าดับลงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคนขับจะลงมาส่งผู้โดยสารจนถึงประตูทางเข้า ร่างสูงสูงโปร่งหันกลับมามองร่างสูงใหญ่ที่หยุดยืนอยู่หน้าประตู
“ขอบคุณนะครับที่เลี้ยงอาหารเย็น”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต้องขอโทษแทนน้องสาวผมด้วยที่ไปรบกวนหมอหลายครั้ง เรื่องสร้อยทองไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะจัดการให้เอง”
“ขอบคุณนะครับ” ธีทัตบอก
ทั้งสองเงียบกันไปครู่หนึ่งกันยกรเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดธีทัตก็เรียกชื่อใครคนหนึ่ง
“พี่วีเพิ่งออกเวรเหรอครับ” กันยกรหันขวับเมื่อได้ยินชื่อของบุคคลที่สาม
ปฐวีชะงักกึกเมื่อร่างสูงใหญ่หันหน้ามา
“อ้าวเฮ้ย ไอ้วี แกมาทำอะไรที่นี่วะ” กันยกรถามห้วนๆ อย่างไม่สบอารมณ์ ปฐวีขมวดคิ้วราวกับจะถามกลับเช่นกัน
“ฉันควรจะถามแกมากกว่า ฉันเป็นหมอไม่แปลกที่จะพักที่นี่ แกนั่นแหละมาทำอะไรที่นี่” ปฐวีถามกลับพลางมองหน้ากันยกรอย่างงุนงง
“นี่คุณสองคนรู้จักกันด้วยเหรอครับ?” ธีทัตถามอย่างงุนงงกว่า

____________________________________________________________________________________________

Writer Talk
สวัสดีค่ะ ผู้อ่านทุกท่าน

ตอนนี้ You're my Law of Attraction ก็ดำเนินเรื่องมาถึงตอนที่ 5 แล้วนะคะ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะคะ ชื่อ ดรีม ค่ะ เรื่องนี้เป็นนิยายวายเรื่องแรกที่แต่งขึ้นมา ขอบคุณกำลังใจจากทุกคนที่ส่งมาให้นะคะ เราตามอ่านทุกคอมเม้นต์เลยค่ะ อาจจะได้ตอบกลับบ้างไม่ได้ตอบกลับบ้าง เพราะยังงงๆ กับเว็บอยู่เลยค่ะ 5555 ต้องขออภัยด้วยค่ะ (ป้าแก่เลี้ยว) ขอบคุณมากๆ จริงๆ นะคะ กำลังใจจากทุกคนทำให้เราอยากจะเขียนตอนต่อไปให้สนุกมากขึ้น ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและคำติชมด้วยนะคะ เราจะนำไปปรับปรุงในนิยายตอนต่อไปค่ะ มารอลุ้นกันนะคะว่ากฎแรงดึงดูดของนายหัวกันย์จะทำให้หมอออมเคลิบเคลิ้มแล้วติดกับนายหัวได้หรือไม่ (ฮา)

อ้อ ส่วนเรื่องตีพิมพ์เป็นเล่ม แอบกระซิบบอกนิดนึงว่าตอนนี้มีสำนักพิมพ์ติดต่อมาแล้วนะคะ แต่รายละเอียดขอเก็บไว้ก่อนนะคะ ไว้มีอะไรอัพเดทจะมาบอกอีกทีนะคะ ขอบคุณค่ะ

ดรีม


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
อ้อ ส่วนเรื่องตีพิมพ์เป็นเล่ม แอบกระซิบบอกนิดนึงว่าตอนนี้มีสำนักพิมพ์ติดต่อมาแล้วนะคะ แต่รายละเอียดขอเก็บไว้ก่อนนะคะ ไว้มีอะไรอัพเดทจะมาบอกอีกทีนะคะ ขอบคุณค่ะ
ดีใจแทนคุณดรีมด้วยนะครับ ผมว่าความฝันสูงสุดของนักเขียนทุกคนคือการที่นิยายตัวเองจะได้ตีพิมพ์เป็นเล่มๆนี่แหละ  :mc4: ประสบความสำเร็จแล้วน๊า  :z2:
รอซื้อเล่มเลยครับผม  :katai2-1:
ปล. ตอนที่5.1/5.2 เดี๋ยวว่างจะมาอ่านและมาเม้นดังเดิมนะครับ  :really2:
ขอบคุณครับ  :pig4:

ออฟไลน์ ใดฯจัง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ มีจุดให้ตามต่อไม่เบื่อ  อ่านรวดเดียวเลยค่ะ o13

ตัวละครเหมือนมีตัวตนจริงๆ  ฉาก สถานที่ สถานการณ์สมจริงมาก หาข้อมูลเก่งจัง นับถือค่ะ   :mew1:

นายหัวกับคุณหมอ เคมีเข้ากันดีมว้ากกกก  ตอนที่ห้าอ่านไปฟินไป อยากให้เข้มข้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ  :pighaun:

ยินดีด้วยนะคะที่ได้ตีพิมพ์ รอคอยตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อและเป็นกำลังใจให้ค่ะ  :katai2-1:


ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ มีจุดให้ตามต่อไม่เบื่อ  อ่านรวดเดียวเลยค่ะ o13

ตัวละครเหมือนมีตัวตนจริงๆ  ฉาก สถานที่ สถานการณ์สมจริงมาก หาข้อมูลเก่งจัง นับถือค่ะ   :mew1:

นายหัวกับคุณหมอ เคมีเข้ากันดีมว้ากกกก  ตอนที่ห้าอ่านไปฟินไป อยากให้เข้มข้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ  :pighaun:

ยินดีด้วยนะคะที่ได้ตีพิมพ์ รอคอยตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อและเป็นกำลังใจให้ค่ะ  :katai2-1:

ขอบคุณนะคะ สำหรับกำลังใจ ช่วยติดตามและเป็นกำลังใจทั้งนายหัวและหมอออมด้วยนะคะ

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ้อ ส่วนเรื่องตีพิมพ์เป็นเล่ม แอบกระซิบบอกนิดนึงว่าตอนนี้มีสำนักพิมพ์ติดต่อมาแล้วนะคะ แต่รายละเอียดขอเก็บไว้ก่อนนะคะ ไว้มีอะไรอัพเดทจะมาบอกอีกทีนะคะ ขอบคุณค่ะ
ดีใจแทนคุณดรีมด้วยนะครับ ผมว่าความฝันสูงสุดของนักเขียนทุกคนคือการที่นิยายตัวเองจะได้ตีพิมพ์เป็นเล่มๆนี่แหละ  :mc4: ประสบความสำเร็จแล้วน๊า  :z2:
รอซื้อเล่มเลยครับผม  :katai2-1:
ปล. ตอนที่5.1/5.2 เดี๋ยวว่างจะมาอ่านและมาเม้นดังเดิมนะครับ  :really2:
ขอบคุณครับ  :pig4:

ขอบคุณ คุณกาแฟมั้ยฮะจ้าว ด้วยนะคะที่ติดตามมาทุกตอน ช่วยเป็นกำลังใจให้นายหัวกันย์และหมอออมด้วยนะคะ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
เม้นบทที่5.1+5.2นะครับ  :katai3:
เอาตรงๆจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยชอบคาแรกเตอร์คนแบบหมอออมอยู่ดี นอกจากหยิ่งและเซลฟ์สุดๆแล้ว การใส่เสื้อกาวน์ออกไปนอกรพ.เช่นการไปรับคุณจารวีที่สนามบินนี่เลาว่ามันเยอะไป คนไม่ขี้อวดเขาไม่ทำกันนะ คืออยากจะประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่าตัวเองเป็นหมองี้เหรอ คือถ้าไม่มีเวลาเปลี่ยนชุดก็หาแจ๊คเก็ตสวมทับไว้ดีไหม(วะ)ครับ  :z6:
แต่เรื่องเล่าพาร์ตอดีตสมัยยังเด็กของออมและพี่น้องอีก3กับแม่นี่น่าสงสารปนหดหู่อ่ะ  :o12: เข้าใจในความฝังใจและไม่ให้อภัยคนเป็นพ่อที่ทำอะไรเอาไว้ซะขนาดนั้น คือถ้าเป็นเลา...เลาก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีกเลยว่าจะให้อภัยกับเหตุการณ์นั้นได้มั้ย อ่านพาตนี้แล้วสงสารความบ้านแตกของครอบครัวนี้แบบจับใจ ไม่อยากคิดเลยว่าลูกทั้ง4คนจะมีปมในใจอะไรยังไงบ้าง แต่ก็นั่นล่ะนะ โลกก็แบบนี้ เห้อ  :sad11:
ก็ว่าละว่าแผลเป็นที่หัวคิ้วนี่ต้องมีที่มาที่ไป  :katai2-1:
แล้วอะไร การที่พราวเข้ามาทักที่ร้านอาหาร แต่เห็นแค่หลังหลี่อี้นั่งเฉยแล้วเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนายหัวกันย์ แล้วไปเคืองเขาถึงขนาดกดตัดสายและบล็อคเบอร์โทรนี่คือ??? ปวดหัวกับความหมอออม ฮ่าๆๆๆ คนอ่านอิน  :pigha2:
เกลียดเวลาหมอออมเรียกยัยหมิวว่าหมิวหมิว ดูน่าหมั่นไส้ทั้งคนเรียกและคนถูกเรียก หึๆ  :hao3:
พี่หมอวีกับนายหัวกันย์รู้จักกัน???? แถมยังดูสนิทกันมากๆด้วย wtf มีแววว่าเพื่อนรักจะชอบผช.คนแล้วกันแล้วล่ะงานนี้ ฮ่าๆๆๆ  :katai2-1:
รอตอนต่อไปครับ
ขอบคุณครับ  :pig4:

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เม้นบทที่5.1+5.2นะครับ  :katai3:
เอาตรงๆจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยชอบคาแรกเตอร์คนแบบหมอออมอยู่ดี นอกจากหยิ่งและเซลฟ์สุดๆแล้ว การใส่เสื้อกาวน์ออกไปนอกรพ.เช่นการไปรับคุณจารวีที่สนามบินนี่เลาว่ามันเยอะไป คนไม่ขี้อวดเขาไม่ทำกันนะ คืออยากจะประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่าตัวเองเป็นหมองี้เหรอ คือถ้าไม่มีเวลาเปลี่ยนชุดก็หาแจ๊คเก็ตสวมทับไว้ดีไหม(วะ)ครับ  :z6:
แต่เรื่องเล่าพาร์ตอดีตสมัยยังเด็กของออมและพี่น้องอีก3กับแม่นี่น่าสงสารปนหดหู่อ่ะ  :o12: เข้าใจในความฝังใจและไม่ให้อภัยคนเป็นพ่อที่ทำอะไรเอาไว้ซะขนาดนั้น คือถ้าเป็นเลา...เลาก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีกเลยว่าจะให้อภัยกับเหตุการณ์นั้นได้มั้ย อ่านพาตนี้แล้วสงสารความบ้านแตกของครอบครัวนี้แบบจับใจ ไม่อยากคิดเลยว่าลูกทั้ง4คนจะมีปมในใจอะไรยังไงบ้าง แต่ก็นั่นล่ะนะ โลกก็แบบนี้ เห้อ  :sad11:
ก็ว่าละว่าแผลเป็นที่หัวคิ้วนี่ต้องมีที่มาที่ไป  :katai2-1:
แล้วอะไร การที่พราวเข้ามาทักที่ร้านอาหาร แต่เห็นแค่หลังหลี่อี้นั่งเฉยแล้วเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนายหัวกันย์ แล้วไปเคืองเขาถึงขนาดกดตัดสายและบล็อคเบอร์โทรนี่คือ??? ปวดหัวกับความหมอออม ฮ่าๆๆๆ คนอ่านอิน  :pigha2:
เกลียดเวลาหมอออมเรียกยัยหมิวว่าหมิวหมิว ดูน่าหมั่นไส้ทั้งคนเรียกและคนถูกเรียก หึๆ  :hao3:
พี่หมอวีกับนายหัวกันย์รู้จักกัน???? แถมยังดูสนิทกันมากๆด้วย wtf มีแววว่าเพื่อนรักจะชอบผช.คนแล้วกันแล้วล่ะงานนี้ ฮ่าๆๆๆ  :katai2-1:
รอตอนต่อไปครับ
ขอบคุณครับ  :pig4:

อย่าเพิ่งเกลียดหมอออมน้าาา ถึงนางจะขี้เก๊ก+อีโก้จัดไปหน่อย แต่ตัวตนจริงๆ นางน่ารักน้าาา อ่านไปสักพักจะหลงรักหมอออมค่ะ บอกได้เลย  :katai1:

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างหมอวีกับนายหัวกันย์จะเฉลยในตอนที่ 6 เร็วๆ นี้ค่ะ

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
จะมาลงตอนที่ 6 ให้พรุ่งนี้นะคะ พอดีว่าช่วงนี้ติดงานยุ่งนิดหน่อยค่ะ อย่าเพิ่งหนีหายกันไปไหนน้าาา  :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ขอเลื่อนลงตอน 6 เป็นพรุ่งนี้นะคะ พอดีว่าคนเขียนป่วยค่ะ เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ กำลังรอให้หมอออมตรวจอยู่ค่ะ 55555

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนที่ 6.1

   “อ้าวเฮ้ย ไอ้วี แกมาทำอะไรที่นี่วะ” กันยกรถามห้วนๆ
   “ฉันควรถามแกมากกว่า” ปฐวีขมวดหัวคิ้ว “ฉันเป็นหมอไม่แปลกที่จะอยู่ที่นี่ แล้วแกล่ะมาทำอะไรที่นี่”

   ความทรงจำเมื่อ 24 ปีก่อนค่อยๆ ผุดขึ้นมาในสมองทีละนิด กันยกรยังจำเพื่อนคนนี้ที่ชื่อปฐวีได้อย่างดี ไม่เคยลืม...

   วันเปิดเทอมวันแรกด.ช.กันยกรรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะเป็นวันเปิดเทอมวันแรกของการขึ้นชั้นประถม 1 เด็กชายคิดว่าการได้เลื่อนชั้นจากอนุบาลไปสู่ชั้นประถมเปรียบเสมือนการโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง กันยกรมองชุดนักเรียนใหม่เอี่ยมที่แขวนไว้หน้าตู้เพื่อใส่ในวันพรุ่งนี้เช้าอย่างตื่นเต้น
   “คืนนี้กันย์จะนอนเร็วๆ จะได้ตื่นไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า” เด็กชายบอกผู้เป็นพ่อและแม่ขณะที่กำลังรับประทานอาหารเย็น
   “เอ้อ อยากไปโรงเรียนขนาดนั้นเชียว” ก่อเกียรติถามลูกชาย “ไม่ดูการ์ตูนแล้วเหรอ”
   “กันย์จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่เขาไม่ดูการ์ตูนกันหรอกพ่อ” ก่อเกียรติเลิกคิ้วมองลูกชายสลับกับมองภรรยาอย่างงุนงง
   “ขึ้นป.1 ก็คือโตแล้วไงพี่” กานดาบอก
   “อ้อ งั้นเหรอ” ก่อเกียนติอมยิ้มกับความคิดแบบเด็กๆ ของลูกชาย
   วันรุ่งขึ้น กันยกรลงจากรถด้วยความกระตือรือร้น เด็กชายไม่ยอมให้ผู้เป็นพ่อไปส่งถึงห้องเรียนโดยให้เหตุผลว่าเขาโตแล้ว ขึ้นป.1แล้วไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นเด็กเล็กๆ กันยกรเดินมาถึงห้องป.1/4  ด้วยตัวเอง เด็กชายเข้าไปในห้องเลือกโต๊ะตัวหน้าสุด พลางมองดูรอบๆ ห้อง เพื่อนๆ ที่อยู่ห้องเดียวกันบางคนร้องไห้เมื่อพ่อแม่จะกลับ เด็กชายยิ้มกับตัวเองที่มายังห้องเรียนได้โดยไม่ต้องให้พ่อมาส่งเหมือนอย่างคนอื่น  เด็กชายผิวขาว รูปร่างผอมบางคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องโดยมีครูคนหนึ่งพาเดินมาส่ง กันยกรจำได้ว่าคุณครูคนนี้คือครูชูจิต ครูประจำชั้นห้องป.1/4 นี่เอง เด็กชายผู้มาใหม่เดินมาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะตัวติดกับกันยกร
   “น้องวีนั่งตรงนี้นะลูก อยู่หน้าห้องเห็นกระดานชัดเจน นั่งตรงนี้จะได้อยู่ใกล้ๆ ครูด้วย ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกครูได้ตลอดนะลูก”
ครูชูจิตเอ่ยทิ้งท้าย หล่อนลูบหัวเด็กชายคนนั้นอย่างเอ็นดู ไม่แม้แต่จะปรายตามองกันยกรผู้นั่งอยู่ก่อน แม้จะเป็นเด็กในห้องของเธอเลยด้วยเช่นกัน เด็กชายปฐวีพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อุ๊ย นี่ปฐวีลูกชายหมอวิทยากับหมอปรานีใช่ไหม ต๊าย หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู” ครูคนอื่นอีก 2-3 คนเข้ามาในห้อง เอ่ยกับครูชูจิต
“ใช่ๆ อยู่ห้องชั้นเอง เมื่อกี้นี่เจอหมอวิทยามาส่งลูกชาย พอรู้ว่าอยู่ห้องชั้นก็เลยอาสาพามาส่งเอง”
“หมอวิทยาแกดี๊ดีเนอะ รักษาคนไข้ก็เก่ง ใจดีอีกด้วย วันก่อนชั้นพาพ่อไปหาหมอที่คลินิก หมอใจดีลดค่ายาให้ด้วย”
“นั่นสิ แกเป็นหมอที่เก่งที่สุดในจังหวัดเราแล้วมั้ง” ครูคนที่สองเอ่ย
กันยกรฟังพวกครูพูดคุยกันด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็พอจะเดาออกว่าพวกคุณครูดูท่าทางจะเอาอกเอาใจเพื่อนที่นั่งติดกันเสียเหลือเกิน
   “เฮ้ย นายชื่ออะไร เราชื่อกันย์” กันยกรถามขึ้นก่อน
   ปฐวีปรายตามองนิดหนึ่ง “เราชื่อวี ชื่อจริงปฐวี” เด็กชายปฐวีตอบ
   “เรานั่งด้วยกัน ยังไงก็เป็นเพื่อนกันนะ” กันยกรบอก
   “อื้ม” ปฐวีพยักหน้านิดหนึ่ง
   แต่แล้วดูเหมือนว่าการเป็นเพื่อนของกันยกรและปฐวีคงเป็นไปได้ยาก เพราะเด็กชายปฐวีเป็นเด็กพูดน้อย เวลาเรียนหนังสือเขาจะตั้งใจฟังที่ครูสอนและไม่ละสายตาไปจากกระดานเลยแม้แต่น้อย ผิดกับกันยกรที่มักจะชอบชวนคุยและนั่งขยุกขยิกเสมอ
   “กันยกรกวนเพื่อนอีกแล้วนะ ออกไปนอกห้องเลย” เด็กชายมักจะถูกทำโทษให้ออกไปนั่งนอกห้องเป็นประจำ นานวันเข้ากันยกรก็ไม่ได้ใส่ใจปฐวีอีก เขาชอบจับกลุ่มเล่นกับเพื่อนผู้ชายคนอื่นในห้องมากกว่า

   เช้าวันหนึ่ง กันยกรมาถึงโรงเรียนตั้งแต่เช้าตามปกติ ปฐวีมาถึงก่อนแล้วกำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่องชาลีบราวน์ซึ่งที่โต๊ะของตัวเอง มันเป็นภาพที่เริ่มจะคุ้นเคยเสียแล้วที่ปฐวีมักจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ที่โต๊ะนักเรียน บางครั้งก็อ่านหนังสือการ์ตูนภาษาต่างประเทศ แม้เพื่อนในห้องจะประหลาดใจที่ปฐวีสามารถอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ตั้งแต่ชั้นประถม 1 แต่ก็ไม่มีใครเป็นเพื่อนกับเขามากนัก เพราะเขาเป็นเด็กพูดน้อย ผิดกับกันยกรที่ชอบเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนในห้องจนมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่เป็นหัวโจกของห้อง กันยกรวางกระเป๋าลงบนเก้าแล้วเดินไปหาเพื่อนผู้ชายคนอื่น เด็กชายไม่ลืมที่จะหยิบสมุดสะสมสติ๊กเกอร์ขึ้นมาอวดเพื่อนด้วยเช่นกัน
   “พวกนายได้ครบกันรึยังวะ หน้าที่ 5 เราขาดช่องที่ 3” กันยกรบอกเพื่อนที่จับกลุ่มคุยกันอยู่ก่อนแล้ว
   “เราก็ขาดช่องที่ 3 ทำไมช่องนี้มันหายากจังวะ” เพื่อนคนหนึ่งบอก
   “ไม่มีใครเจอช่องที่ 3 เลยเหรอวะ เอางี้ ใครหาสติ๊กเกอร์ช่องที่ 3 ได้ เราขอซื้อต่อ 5 บาท” กันยกรประกาศกร้าวกับเพื่อนๆ ทุกคนต่างฮือฮากับคำประกาศของกันยกรราวกับมันเป็นคำประกาศิต
   “เฮ้ย ไอ้เบิ้มมาแล้ว ไอ้เบิ้มมานี่เร็ว พวกเรากำลังคุยกันเรื่องสติ๊กเกอร์กันอยู่” กันยกรโบกมือทักเพื่อนคนหนึ่งที่เพิ่งมาถึงห้องเรียน เพื่อนที่ชื่อเบิ้มคนนี้เป็นเด็กชายที่ตัวโตที่สุดในห้อง ด้วยความที่เป็นเด็กตัวโตนี่เองที่ทำให้ใครๆ ต่างก็พากันเกรงกลัว กันยกรใช้วิธีเลี้ยงขนมเบิ้มทุกวันหลังเลิกเรียนเพื่อทำให้เบิ้มกลายเป็นเพื่อนสนิท พูดง่ายๆ เขาก็เปรียบเสมือนลูกน้องมือขวานั่นเอง แต่เช้าวันนี้แทนที่เบิ้มจะเดินเข้ามาหากันยกรเหมือนปกติ เขากลับหยุดที่ปฐวี   
“เมื่อวานปู่เราไปหาพ่อนายที่คลินิก ขอบคุณมากเลยนะที่พ่อนายช่วยชีวิตปู่เราไว้” เด็กชายเบิ้มพูดกับปฐวีด้วยความซาบซึ้งใจ
   “ไม่เป็นไร พ่อเราเป็นหมอ ก็ต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือคนไข้อยู่แล้ว” ปฐวีบอกเสียงเรียบ
   “งั้น...จากนี้ไปเรามาเป็นเพื่อนกันนะ เราจะเป็นเพื่อนกับนาย”
   “ได้สิ เราเป็นเพื่อนกันอยู่แล้วนี่นา” ปฐวีจับมือตอบกลับแล้วชวนเบิ้มอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่องชาร์ลีบราวน์ด้วยกัน
   กันยกรมองภาพนั้นอย่างไม่เข้าใจ เด็กชายรู้สึกเหมือนกำลังโดนครูตีหน้าเสาธง โลกของเด็กวัย 7 ขวบกำลังแหลกสลายเมื่อเห็นคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและลูกน้องกำลังแปรพักตร์ไปหาเพื่อนคนใหม่ เด็กชายเดินเข้าไปหาทันที
   “เฮ้ย เบิ้ม พวกเรากำลังคุยกันเรื่องสติ๊กเกอร์แน่ะ”
   “นายเล่นไปเหอะ เราเลิกสะสมสติ๊กเกอร์แล้ว” เด็กชายเบิ้มตอบ
   “ได้ไงวะ นายสะสมมาจะครบแล้วนี่นา”
   “พ่อเราบอกว่าไม่มีทางสะสมได้ครบหรอก คนขายเขาทำขาดไปชิ้นนึงอยู่แล้ว ไม่งั้นจะมีคนแลกของรางวัลจนขาดทุน”
   “แล้วนายไม่คิดจะบอกเราสักนิดเหรอว่าจะไปอยู่กลุ่มเดียวกับปฐวีน่ะ เราเป็นเพื่อนกันนะโว้ย”
   “นายไม่เคยเห็นเราเป็นเพื่อนหรอกกันย์ นายคิดว่าเราตัวใหญ่ก็เลยให้เราเป็นแค่ลูกน้องนายเท่านั้น”
   “เฮ้ย ไอ้เบิ้ม กูซื้อขนมให้มึงกินทุกวันนะเว้ย มึงคิดจะทิ้งกูง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ” กันยกรเริ่มโมโหตะคอกเสียงดัง
   เด็กชายเบิ้มตบโต๊ะดังปังแล้วลุกขึ้นยืน ความสูงของเขามากกว่า ทำให้กันยกรต้องเงยหน้ามอง
“ถ้ามึงอยากได้ขนมคืน กูจะขี้เอามาคืนมึง ตามกูมาห้องน้ำสิ”
   กันยกรขมวดคิ้วกำมือแน่น เขาไม่แน่ใจว่าความรู้สึกแบบนี้เรียกว่าอะไร แต่มันคือความโกรธที่มีมากมายเหลือเกิน โกรธจนไม่รู้จะทำอย่างต่อไป สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่วิ่งไปหาครูประจำชั้นหลังจากเข้าแถวเสร็จ
   “ครูครับๆ ผมไม่อยากนั่งกับปฐวีแล้ว ครูย้ายปฐวีไปนั่งหลังห้องได้มั้ยครับ”
   “พูดอะไรอย่างนั้นฮะกันยกร ปฐวีเขาสายตาสั้นจะไปนั่งข้างหลังได้ยังไง เขามองกระดานไม่เห็น” ครูชูจิตว่า กันยกรไม่เข้าใจว่าสายตาสั้นคืออะไร และทำไมต้องมองไม่เห็นกระดานดำ แต่เด็กชายยังคงยืนกรานที่จะให้ปฐวีย้ายที่นั่งอยู่ดี
   “เรื่องมากจริงเด็กคนนี้ เอางี้ ครูจะย้ายเธอไปนั่งหลังห้องกับสรารัตน์แล้วจะให้คนอื่นมานั่งกับปฐวีแทน ดีไหม” เด็กชายตอบรับด้วยความดีใจ แต่ลืมคิดไปว่าสรารัตน์เด็กหญิงสรารัตน์ที่นั่งหลังห้องนั้นเป็นเด็กที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เพราะเธอมีเหาเต็มศีรษะ เพียงสองวันหลังจากย้ายที่นั่งกันยกรก็ติดเหามาจากสรารัตน์ นี่เป็นความพ่ายแพ้ที่กันยกรทำใจยอมรับไม่ได้
   “ไอ้กันย์เป็นเหา ไอ้กันย์เป็นเหา” เพื่อนคนหนึ่งล้อ
   “อี๋ กันย์เป็นเหา อย่าไปเล่นกับคนเป็นเหาเลย”
   “หยุดนะโว้ย เราไม่ได้เป็นเหา” กันยกรตะเบ็งเสียงแต่มือยังเกาหัวยิกๆ
   “ไอ้กันย์เป็นเหา ไอ้กันย์เป็นเหา”
   ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเพื่อนผู้ชายในห้องต่างก็ทยอยตีห่างออกจากกันยกร เหลือเพื่อนไม่กี่คนที่ยังจะพอคบค้าต่อไปได้ แต่เพื่อนที่เหลือก็ไม่ได้ท่าทีชื่นชมหรือยกย่องกันยกรให้เป็นหัวหน้าอีกแล้ว เพราะพวกเขารู้สึกว่าหัวหน้ากลุ่มไม่ควรจะเป็นคนที่มีเหาบนหัวเหมือนเด็กผู้หญิง ความคับแค้นใจของด.ช.กันยกรมีมากขึ้นอีกครั้งเมื่อผลสอบปลายภาคประกาศออกมา ปฐวีสอบได้ที่ 1 ด้วยเกรด 4 หมดทุกวิชา
   “คนที่สอบได้ที่ 1 ของห้องเราก็คือปฐวี เอ้า นักเรียนทุกคนช่วยกันปรบมือชื่นชมเพื่อนหน่อยจ๊ะ” ครูชูจิตประกาศในห้อง เพื่อนๆ ทุกคนต่างก็ปรบมือให้ปฐวีด้วยความชื่นชม นักเรียนหญิงบางคนพูดกันว่าที่ปฐวีเรียนเก่งก็เพราะมีพ่อเป็นหมอ บางคนก็ชื่นชมว่าพ่อของปฐวีเป็นหมอที่เก่งมาก ปฐวีจึงได้ความเก่งมาจากพ่อ กันยกรได้ยินดังนั้นก็เกิดความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ความโกรธแค้นที่เสียเพื่อนไปแปรเปลี่ยนเป็นความอิจฉา

   เด็กชายกระฟัดกระเฟียดเดินมายังรถกระบะตอนครึ่งคันเก่าที่ก่อเกียรติขับมารับที่หน้าโรงเรียน เด็กชายโยนกระเป๋านักเรียนไปไว้ท้ายกระบะก่อนจะเปิดประตูรถแล้วปิดอย่างแรง
   ปัง!
“เฮ้ย ปิดเบาๆ หน่อยสิ รถมันก็เจ็บนะ” ก่อเกียรติดุ
“ไปโกรธใครมา ทำหน้ายังกะยักษ์”
“พ่อ ทำไมพ่อไม่เป็นหมอ ทำไมพ่อต้องเป็นคนตัดยางด้วย” กันยกรถาม
ก่อเกียรติละสายตาจากถนนมามองลูกชายแวบหนึ่ง พร้อมกับอมยิ้มนิดๆ
“ทำไม? เกิดอะไรขึ้น เป็นคนตัดยางมันไม่ดีตรงไหน นี่คงเห็นครูที่โรงเรียนเอาใจพวกลูกหมอ ลูกตำรวจ ลูกทนายล่ะสิ” ก่อเกียรติพูดยิ้มๆ
“ตอนนี้เพื่อนในห้องแห่กันชื่นชมไอ้วีกันหมดเลย ไม่มีใครสนใจกันย์เลย พ่อไปเป็นหมอเถอะ นะๆๆ”
“จะบ้าเหรอ เป็นหมอมันเป็นกันได้ง่ายๆ ซะที่ไหน”
“ก็ไหนพ่อบอกว่าพ่อเรียนจบมหาลัยมาไง พ่อก็ไปสมัครหมอได้สิ” ในความคิดของเด็กมักจะคิดว่าการเรียนจบมหาวิทยาลัยคือการเรียนจบขั้นสูงที่สุด
“จบมหาลัยไม่ได้หมายความว่าจะเป็นหมอได้ทุกคนนะ ต้องเรียนหมอมาก่อนด้วย”
“อ้าว ทำไมพ่อไม่เรียนหมอล่ะ งั้นพ่อก็ไปเรียนหมอใหม่สิ เรียนจบแล้วก็มาเป็นหมอไง” กันยกรบอกด้วยความไร้เดียงสา
“ฮึ่ย เด็กคนนี้พูดอะไรไร้สาระน่า” ก่อเกียรติหัวเราะเบาๆ ในความไร้เดียงสาของลูกชาย
สองพ่อลูกเงียบกันไปสักครู่หนึ่ง สำหรับผู้เป็นพ่อเขากำลังคิดคำพูดที่จะอธิบายให้ลูกชายเข้าใจง่ายๆ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเด็กอย่างกันยกรจะเข้าใจหรือเปล่า
“กันย์...พ่อจะบอกอะไรให้อย่างนึงนะ คนเราทุกคนไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร มันก็มีค่ามากอยู่ดี ถ้ามันเป็นอาชีพที่สุจริต”
“อาชีพที่สุจริต? คืออะไรครับ” กันยกรไม่เข้าใจ
“อาชีพสุจริตก็คือ อาชีพที่ทำได้อย่างเปิดเผย คนอื่นยอมรับว่ามีความสำคัญ ไม่เบียดเบียนใคร อาชีพที่พ่อทำถึงแม้ว่ามันจะดูต่ำต้อยกว่าหมอ แต่มันก็เป็นอาชีพสุจริต เอาล่ะ พ่อบอกไปตอนนี้ลูกก็ไม่เข้าใจหรอก ไว้ลูกโตขึ้นก็จะรู้เองว่าสิ่งที่พ่อทำมันไม่ได้มีศักดิ์ศรีน้อยไปกว่าหมอเลย” ก่อเกียรติขยี้หัวลูกชายเบาๆ
“อ้อ อีกอย่างนึงนะ พ่อไม่ได้เป็นคนตัดยางสักหน่อย พ่อเป็นเจ้าของสวนยางต่างหาก”

กันยกรเถียงคำพูดนี้ของก่อเกียรติอยู่ในใจเบาๆ พ่อของเขาจะไม่ใช่คนตัดยางได้อย่างไร ในเมื่อทุกครั้งที่พ่อไปสวนยางจะสวมเสื้อและกางเกงเก่าๆ กับรองเท้าบูทยางครึ่งขา แทนที่จะแต่งตัวดีๆ แบบพ่อของเพื่อนที่เป็นหมอ ทนาย หรือนายธนาคาร ที่ชอบแต่งตัวดีมารับลูกที่โรงเรียน ทุกครั้งที่พ่อกลับมาจากสวนยางเสื้อตัวเก่านั้นก็จะเลอะไปด้วยน้ำยางที่เหนียวติดเสื้อจนซักไม่ออก
ตั้งแต่เริ่มภาคเรียนที่ 2 ของชั้นประถม 1 กันยกรก็เปลี่ยนตัวเองมาตั้งใจเรียนเพื่อเอาชนะปฐวีในเทอมที่ 2 ให้ได้ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะได้ โดยเฉพาะคาบเรียนยามบ่าย เมื่อท้องอิ่มอาหารกลางวันหนังตาเป็นต้องหนักอึ้งจนลืมตาไม่อยู่ มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อเสียงกริ่งเลิกเรียน สมุดจดและหนังสือก็เปียกปอนไปด้วยน้ำลายที่ไหลออกมาขณะหลับ มีเพียงสองวิชาที่เขาเอาชนะปฐวีได้ก็คือวิชาพลศึกษาและวิชาศิลปะ ปฐวีเล่นกีฬาและวาดรูปไม่เป็น นั่นทำให้กันยกรได้คะแนนใน 2 วิชานี้มากกว่าปฐวีเสมอ แต่จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อวิชาอื่น ๆ กันยกรผ่านมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด

เมื่อขึ้นชั้นมัธยมต้นกันยกรและปฐวีก็ยังเจอกันอีกในโรงเรียนประจำจังหวัด หากแต่อยู่คนละห้องปฐวีอยู่ห้องคิง ส่วนกันยกรอยู่ห้องรองบ๊วย ความคิดที่จะแข่งเรียนกับปฐวีเริ่มจางลงไปตามกาลเวลา แต่ความหมั่นไส้ในตัวเพื่อนคนนี้ยังคงอยู่ ยิ่งครั้งใดที่ได้ยินชื่อปฐวีถูกเอ่ยที่หน้าเสาธงระหว่างเข้าแถวหรือได้ยินชื่อปฐวีจากการประกวดงานวิชาการ ไฟอิจฉาในใจที่มอดกลับถูกเขี่ยขึ้นมาให้ปะทุเสียทุกครั้ง ผลการเรียนของกันยกรออกมาแย่ทุกเทอม แถมยังถูกเรียกเข้าห้องปกครองหลายครั้ง เพราะทำตัวเป็นหัวโจกประจำโรงเรียน ก่อเกียรติจึงตัดสินใจส่งลูกชายไปเรียนต่อชั้นมัธยมปลายที่ประเทศนิวซีแลนด์ เด็กหนุ่มได้ข่าวมาจากเพื่อนว่าปฐวีสอบติดโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาที่กรุงเทพมหานคร นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ความหมั่นไส้และความอิจฉาได้ดับลงไปจริงๆ กันยกรไม่คิดเลยว่าจะได้เจอปฐวีอีกครั้ง....ต่อหน้าธีทัต

(ติดตามต่อตอนที่ 6.2)
[/font]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-06-2018 21:55:49 โดย dareammmmm »

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนที่ 6.2

พราวพิชชารู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อตอนเช้าตรู่ เธอมองรอบตัวก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของหลี่อี้ หญิงสาวมองใบหน้าของสามีครู่หนึ่ง ดวงตายาวรีหลับสนิท คิ้วเข้มพาดเฉียงบนวงหน้าขาวนวล จังหวะหายใจยามหลับทำให้หลี่อี้เหมือนเด็กทารก เธอบิดตัวอย่างเบาที่สุดเพื่อออกจากอ้อมแขนของสามีแล้วคว้าเสื้อคลุมมาสวมก่อนจะเดินออกไปนอกระเบียงห้อง หลี่อี้จองโรงแรมที่ดีที่สุดและแพงที่สุดบนเกาะเต่าเพื่อฮันนีมูนรอบสองตามสัญญา ห้องนี้มีสระว่ายน้ำส่วนตัวและวิวมองเห็นทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา ตัวห้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออกทำให้บัดนี้เริ่มเห็นแสงเรืองรองของพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า หญิงสาวกึ่งนั่งกึ่งนอนเหยียดขาลงบนเตียงริมสระว่ายน้ำ พลางคิดถึงชายหนุ่มอีกคน คนที่เคยเป็นรักแรกพบของเธอ
พราวพิชชารู้จักกันยกรครั้งแรกเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนนั้นเธออายุเพียงแค่ 17 ปี กำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมหญิงล้วนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ วันหนึ่งปกิตผู้เป็นพ่อขึ้นมาเยี่ยมที่กรุงเทพพร้อมกับไปรับพราวพิชชาจากโรงเรียนเพื่อมารับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
“เราจะกินข้าวเสร็จกี่โมงคะ หนูมีนัดกับเพื่อนๆ” พราวพิชชาบ่นอุบ เมื่อผู้เป็นพ่อบอกว่าจะพาเธอไปรู้จักกับเพื่อนสนิทของพ่อคนหนึ่ง
“นัดจะดูซีรีส์อะไรกันอีกล่ะสิ เฮ้อ เด็กสมัยนี้นี่มันจริงๆ เล้ย ไปตามเห่อพวกนักร้องเกาหลีอะไรกันอยู่ได้” ปกิตบ่น
“แล้วพ่อจะพาหนูไปหาใครคะ”
“ลุงเกียรติเพื่อนพ่อที่สุราษฎร์ไง เขาขึ้นมากรุงเทพมารับลูกชายพอดี เดี๋ยวก็ได้รู้จัก”
พราวพิชชาไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังของการเจอกันในวันนี้ระหว่างเธอและลูกชายของก่อเกียรติเพื่อนสนิทของพ่อ คือการหมั้นหมายกลายๆ ที่ผู้เป็นพ่อทั้งสองตั้งใจเอาไว้ ความคิดนี้ได้รับความเห็นตรงกันจากผู้ใหญ่ทั้ง 2 ครอบครัว ที่คิดว่าควรให้ลูกสาวและลูกชายของตนรู้จักกันไว้ หากเด็กทั้งสองชอบพอกัน ผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายก็พร้อมจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน
รถของปกิตแล่นมาจอดที่ภัตตาคารอาหารจีนแห่งหนึ่งในย่านอรุณอมรินทร์ เขาลงไปเปิดประตูให้ลูกสาวสุดที่รักด้วยตัวเอง เมื่อแจ้งชื่อบริการชายก็นำทางเขาไปยังห้องอาหารที่เป็นห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ก่อเกียรติและกันยกรนั่งอยู่ในห้องนั้นอยู่ก่อนแล้ว
“เอ้า มาเลยๆ ทำไมมาช้านักวะ” ก่อเกียรติลุกขึ้นทักทายปกิตและรับไหว้จากพราวพิชชา
“รถมันติดตรงราชดำเนินนิดนึงน่ะพี่ สั่งอาหารกันหรือยัง เป็นไงบ้างกันย์โตขึ้นเยอะเลยนะเรา” ประโยคสุดท้ายปกิตเอ่ยทักทายกันยกร แล้วรับไหว้จากชายหนุ่ม
โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะกลมสามารถนั่งได้ 6 คน ปกิตและก่อเกียรตินั่งติดกัน พราวพิชชาและกันยกรนั่งถัดจากพ่อของตน จึงกลายเป็นเกือบจะนั่งตรงข้ามซึ่งกันและกัน พราวพิชชามองชายหนุ่มเต็มตา
“นี่พี่กันย์ ลูกชายคนโตของลุงเกียรติ” พราวพิชชายกมือไหว้ ชายหนุ่มรับไหว้พร้อมส่งยิ้มเป็นมิตรให้เธอ เป็นรอยยิ้มของหนุ่มน้อยเป็นรอยยิ้มที่สดใสและเปิดเผย
“เฮ้ย ไม่ต้องไหว้หรอก ห่างกันไม่กี่ปีเอง” ชายหนุ่มว่า
“พี่กันย์เขาเรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย ถ้าหนูอยากรู้อะไรก็ถามพี่เขาสิ”
“ผมตั้งใจว่าจะส่งยัยพราวไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลียเหมือนกัน” ปกิตบอก
“อ้าว งั้นเหรอ ดีเลย ถามเจ้ากันย์มันสิ เรื่องออสเตรเลียนี่เจ้ากันย์มันถนัด เดินในกรุงเทพยังหลงแต่เดินในเมลเบิร์นไม่เคยหลงเลย” ก่อเกียรติเหย้า
“จริงเหรอคะ ตอนนี้พี่กันย์เรียนอยู่ไหนคะ” พราวพิชชาถามอย่างสนใจ
“พี่เรียนสถาปัตย์ฯ อยู่ที่ University of Melbourne พราวสนใจจะไปเรียนต่อที่โน่นจริงๆ เหรอ”
“อืม...” พราวพิชชาอิดออดที่จะตอบ
อันที่จริงเด็กสาวอยากจะเรียนต่อในเมืองไทยอย่างจุฬาลงกรณ์หรือธรรมศาสตร์กับเพื่อนๆ มากกว่า เพื่อนๆ ส่วนใหญ่เริ่มเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันบ้างแล้ว แต่ปกิตอยากจะส่งให้เธอไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย
“พราวยังไม่แน่ใจเลยค่ะ เพื่อนๆ พราวเลือกจุฬาฯ กับธรรมศาสตร์กันทั้งนั้น แต่พ่อบอกว่าอยากจะให้พราวไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย แต่พราวไม่เก่งภาษาอังกฤษเลยค่ะ”
“เรื่องภาษาไม่ต้องกลัวหรอก เอาอย่างสิ พี่จะให้อีเมลพี่ไว้สิ ถ้าพราวอยากรู้เรื่องอะไรก็เขียนอีเมลมาถามพี่ได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเกรงใจ” กันยกรบอกอย่างใจดี
เด็กสาวสัมผัสได้ถึงน้ำใจของเด็กหนุ่ม ก่อเกิดความประทับใจอย่างลึกซึ้งที่ไม่เคยเกิดระหว่างเธอและเพื่อนสาวในโรงเรียนหญิงล้วนมาก่อน ปกิตและก่อเกียรตลอบมองตากันแล้วยิ้มมุมปากอย่างเข้าใจกันเมื่อเห็นปฏิกิริยาของลูกสาวและลูกชายตัวเอง อาหารหลากหลายชนิดถูกทยอยนำเสิร์ฟอย่างไม่ขาดสายจนกระทั่งถึงของหวาน ทั้งปกิตและก่อเกียรติยังคุยกันอย่างออกรสไม่จบสิ้นสักที
“กันย์พาน้องออกไปเดินเล่นข้างนอกก่อนสิ พ่อกับอากิตจะคุยกันอีกสักพัก” ก่อเกียรติบอกลูกชาย กันยกรเองก็เต็มใจที่จะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว เขาจึงลุกขึ้นยืนแล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้ลุกขึ้น พราวพิชชาทำตามอย่างว่าง่าย
“พาน้องออกไปดูปลาข้างนอกสิ” ก่อเกียรติตะโกนทิ้งท้าย
กันยกรเดินนำมายังลานกว้างด้านข้างตัวภัตตาคาร เขาหยุดอยู่ที่บ่อปลาบ่อใหญ่น้ำใสทำให้เห็นปลาคาร์ฟหลากสีสรรแหวกว่ายอยู่ในน้ำ
“พราวรู้มั้ยว่าสีส้มบนตัวปลาคาร์ฟมาจากสารแคโรทีนอยด์ ซึ่งปลาคาร์ฟมันสังเคราะห์สารนี้ไม่ได้เอง ต้องอาศัยอาหารที่กินในแต่ละวัน” กันยกรเริ่มชวนคุย
“พี่กันย์ชอบปลาคาร์ฟเหรอคะ”
“เปล่าหรอก พี่เรียนสถาปัตย์ โปรเจ็กต์จบที่พี่ทำเป็นเรื่องสถาปัตยกรรมของชาวตะวันออก บ้านของคนญี่ปุ่นจะทำบ่อเลี้ยงปลาคาร์ฟไว้ในบริเวณบ้านด้วย อันที่จริงปลาคาร์ฟมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิหร่านนะ”
“จริงเหรอคะ พราวไม่รู้เลยนึกว่ามาจากญี่ปุ่นซะอีก”
“คนไทยเรานำเข้ามาเลี้ยงครั้งแรกจากญี่ปุ่น”
กันยกรทำตัวเป็นผู้พูดที่ดี เขาชวนเด็กสาวคุยหลายเรื่อง ทั้งเรื่องชีวิตในโรงเรียนหญิงล้วนของพราวพิชชา และชีวิตในต่างแดนของเขา ความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีของเขาทำให้เด็กสาวไม่รู้สึกเก้อเขินทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก เธอรู้สึกว่ากันยกรคุยสนุกกว่าที่คิด เขาเหมือนเป็นกูเกิลเคลื่อนที่ที่มีคลังความรู้บรรจุอยู่เต็มหัวสมอง ไม่ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรกันยกรก็จะเชื่อมโยงตอบได้เสมอ บางครั้งเธอจะลอบสังเกตชายหนุ่มเงียบๆ กันยกรรูปร่างสูงใหญ่เหมือนนักกีฬา ใบหน้าเกลี้ยงเกลาอมชมพูอย่างคนที่อยู่เมืองหนาว
“เอ้อ จริงสิ เกือบลืมเลย” กันยกรพูดขึ้นมา เขาเดินไปขอกระดาษและปากกาจากพนักงานในร้านคนหนึ่งแล้วเขียนขยุกขยิก
“นี่อีเมลพี่ เก็บไว้สิ อยากถามเรื่องเรียนต่อก็ถามมาได้ตลอดเลยนะ พี่ยินดี” หนุ่มน้อยส่งยิ้มอ่อนโยนให้เมื่อพราวพิชชารับกระดาษใบเล็กมาจากเขา ก่อเกียรติและปกิตออกมาจากห้องอาหารพอดี ทั้งคู่เดินตรงมาที่หนุ่มสาวทั้งสอง
“เด็กๆ ได้เวลากลับบ้านกันได้แล้ว”
“พี่ไปก่อนนะ อย่าลืมอีเมลมาหาล่ะ ไปละนะครับคุณอา” ประโยคหลังกันยกรยกมือไหว้ลาปกิต

“ลูกสาวอากิตเป็นไงบ้าง พ่อว่าน้องเขาน่ารักดีนะ กันย์คุยแล้วเป็นไงบ้าง” ก่อเกียรติถามลูกชายระหว่างทางกลับบ้าน
“ก็...ดีนี่ครับ ดูน้องเขายังอายๆ อยู่” กันยกรบอก สายตาจับจ้องอยู่ที่วิวนอกรถ
“น้องเขาคงไม่ชินน่ะ เรียนหญิงล้วนมาตลอด มาเจอผู้ชายก็คงจะเขินๆ เอ้อ แล้วนี่แลกอีเมลกับน้องเขาแล้วหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ” ก่อเกียรติลอบยิ้มบางๆ คิดว่าลูกชายตนเองคงจะสานสัมพันธ์กับพราวพิชชาแน่นอนถึงขนาดยอมแลกอีเมลด้วย ผู้เป็นพ่อหารู้ไม่เลยว่าลูกชายไม่ได้คิดอะไรแม้แต่นิดเดียว
พราวพิชชาอมยิ้มเมื่อนึกถึงวันที่เธอเจอกันยกรครั้งแรก แล้วย้อนไปนึกถึงวันที่ที่ตัดสินใจบอกรักกับชายหนุ่ม วันนั้นเป็นวันที่กันยกรนั่งเครื่องบินมาหาเธอที่บริสเบนจากเมลเบิร์น วันนั้นเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ครั้งแรกตั้งแต่วันที่เธอบินมาเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย กันยกรยังคงทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีด้วยการพาไปเที่ยวรอบเมือง
“เป็นยังไงบ้าง อยู่ที่นี่มา 1 อาทิตย์แล้ว” กันยกรถามด้วยความห่วงใย
“พราวยังปรับตัวไม่ทันเลยค่ะ คนที่นี่พูดภาษาอังกฤษเร็วมาก บางครั้งก็ฟังไม่ทัน”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “อยู่ไปสักพักก็คงจะปรับตัวได้เองแหละ สำเนียงออสซี่จะฟังดูห้วนๆ ไม่เพราะเหมือนสำเนียงบริทิช แต่จะฟังง่ายกว่า เอ้อ วันนี้พี่จะพาเราไปทัวร์รอบเมืองเอง จะได้รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน”
กันยกรพาพราวพิชชาเดินผ่านถนนอาดิเลดมาจนถึงควีนสตรีตมอลล์ อันเป็นแหล่งช้อปปิ้งสายหลักของเมืองบริสเบน ชายหนุ่มพาเธอลัดมาจนถึงร้านฮังกรี้แจ็คส ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
“รู้เปล่าว่าร้านนี้จริงๆ แล้วมันคือเบอร์เกอร์คิงนะ แต่ที่อะดิเลดมันมีร้านนึงที่จดลิขสิทธิ์ชื่อเบอร์เกอร์คิงเอาไว้ ทำให้ร้านเบอร์เกอร์คิงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นฮังกรี้แจ็คสแทน”
“โอ้โห พี่กันย์นี่รู้เรื่องที่นี่ดีจังเลยนะคะ”
“ก็ลองมาอยู่สัก 4-5 ปีแบบพี่สิ แล้วจะรู้เองแหละ เอ้อ กินเสร็จแล้วไปเที่ยวเซาธ์แบงค์กันดีกว่า”
“เอ้อ พี่กันย์คะ พราวอยากเที่ยวในเขตซิตี้ก่อนค่ะ เย็นนี้เราค่อยไปเซาธ์แบงค์กันดีไหมคะ ค่ำๆ เราค่อยไปขึ้น The wheel of Brisbane กัน เพื่อนพราวบอกว่าวิวตอนกลางคืนสวยกว่าตอนกลางวัน”
กันยกรพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขายอมตามใจหญิงสาวผู้เป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทพ่อ อันที่จริงแล้วพราวพิชชาทัวร์รอบเมืองบริสเบนมาแล้วหนึ่งรอบกับเพื่อนใหม่ชาวออสซี่ แต่ด้วยจริตของเด็กสาวที่เพิ่งจะหัดรักผู้ชายเป็นครั้งแรก เธอตอบตกลงทันทีด้วยอาการลิงโลดเมื่อกันยกรอาสาพาเธอทัวร์เมืองด้วยตัวเอง เขต South Bank เป็นเขตสำคัญของเมืองบริสเบน มีสัญลักษณ์โดดเด่นคือ The Wheel of Brisbane มีลักษณะคล้ายชิงช้าสวรรค์ สามารถขึ้นไปชมวิวเมืองบริสเบนบนมุมสูงได้ ชายหนุ่มลดความเร็วในการเดินเพื่อให้หญิงสาวเดินทัน เขายังบอกวิธีสังเกตป้ายรถเมล์ และป้ายรถเมล์อีกด้วย พราวพิชชาตั้งใจฟังและเคลิบเคลิ้มไปกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่ม ยิ่งเวลาที่เขาพูดภาษาอังกฤษยิ่งเหมือนทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน เธอนึกถึงวิธีการพิชิตใจชายหนุ่มที่เพื่อนๆ จากโรงเรียนหญิงล้วนแนะนำมา ซึ่งแต่ละคนไม่ได้มีประสบการณ์ด้วยตัวเองหากแต่จดจำมาจากหนังสือการ์ตูนค่ายบงกชบ้าง จากนิยายแจ่มใสที่เคยอ่านบ้าง พราวพิชชารวบรวมความกล้าที่จะลองทำมันในวันนี้
“รถเมล์ที่ขึ้นต้นด้วยเลข 1 จะไปฝั่งใต้ เลข 2 จะไปฝั่งตะวันออก เลข 3 ไปทางทิศเหนือ เลข 4 ไปฝั่งตะวันตก เข้าใจนะพราว” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ พลางมองใบหน้าเขาราวกับต้องมนต์สะกด
“พราว...เข้าใจที่พี่บอกใช่ไหม”
“คะ...อ๋อ ค่ะ” ผิวขาวนวลซับสีเรื่อ เมื่อกันยกรส่งยิ้มให้ พราวพิชชาได้แต่ยิ้มขวยเขินกับตัวเอง
กันยกรมองหญิงสาวรุ่นน้องอย่างเป็นห่วงเกรงว่าการเดินทั้งวันจะทำให้เธอเหนื่อย เขาจึงแวะที่ตู้กดน้ำ ซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่สองขวดสำหรับตัวเองและพราวพิชชา
“พราวอาจจะไม่ชินกับการเดิน อะนี่ แก้เหนื่อย” เขายื่นขวดน้ำเย็นเฉียบให้เธอ หญิงสาวรับมาดื่ม
ทั้งสองใช้เวลาร่วมกันทั้งวัน หลังจากเสร็จอาหารมื้อเย็นชายหนุ่มพาหญิงสาวขึ้นรถโดยสารประจำทางไปยั่งฝั่งเซาธ์แบงค์ ผู้โดยสารในรถมีมากเป็นปกติกันยกรแตะไหล่พราวพิชชาส่งสัญญาณให้เธอยืนด้านใน ส่วนตัวเขายืนด้านนอก สองแขนแข็งแรงคอยจับเสาและราวเอาไว้แน่น ดูเผินๆ คล้ายกับว่าเขากำลังโอบกอดเพื่อปกป้องเธอจากผู้โดยสารคนอื่นในรถ
โชคดีที่วันนี้คนที่ต่อแถวรอขึ้นกระเช้า The Wheel of Brisbane มีไม่มากนักแม้จะเป็นวันหยุด
กันยกรและพราวพิชชาจึงได้ขึ้นกระเช้าในเวลาไม่นาน วิวมุมสูงทำให้หญิงสาวเพลิดเพลินไม่น้อย แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับมองออกไปข้างนอกอย่างเหม่อลอย
   “พี่กันย์...ไม่สนุกเหรอ” พราวพิชชาถาม
   “เปล่าหรอก พี่แค่คิดอะไรบางอย่างน่ะ” กันยกรส่งยิ้มให้อีกครั้ง
   “คิดเรื่องอะไรเหรอคะ บอกพราวได้ไหมคะ”
   “เรื่องไร้สาระน่ะ ช่างมันเถอะ” กันยกรบอกปัดยิ้มๆ แล้วเบนสายตาออกไปภายนอกอีกครั้ง
   ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบ ภายนอกตู้กระเช้ามีละอองน้ำเบาบางจับเกาะกระจก กันยกรยังคงทอดสายตาดื่มด่ำกับวิวเมืองบริสเบนยามค่ำคืน ส่วนหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามจิตใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับวิวภายนอกเท่าที่ควร หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับกลองรบ ความคิดในหัวตีกันไปมาราวกับจะบอกว่า ‘เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว เป็นไงเป็นกัน เราต้องบอกรักพี่กันย์วันนี้แหละ’ หญิงสาวสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะเอ่ยปาก
   “พี่กันย์คะ”
   กันยกรเลิกคิ้ว หันมามองหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามกัน “ว่าไงเหรอ”
   พราวพิชชาสูดลมหายใจลึกๆ อีกครั้งก่อนจะโพล่งออกไป
   “พราวชอบพี่กันย์นะคะ คบกับพราวได้ไหมคะ”
   เมื่อได้พูดสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป พราวพิชชารู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
   “ขอบคุณนะพราว...” กันยกรบอก หัวใจดวงน้อยๆ ของเธอเริ่มพองโตราวกับสูบลม แต่แล้วก็ต้องแฟบลงเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
   “...แต่พี่คงคบกับพราวไม่ได้หรอก” กันยกรเม้มปากแน่น ชั่งใจอยู่สักครู่ว่าควรจะเอ่ยประโยคต่อไปหรือไม่
   “พี่ไม่ได้ชอบผู้หญิง”
   พราวพิชชานิ่งอึ้งราวกับถูกสายฟ้าฟาด หัวสมองมึนงงไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อไปอีกดี
‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’    ‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’    ‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’    ‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’    ‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’    ‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’    ‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’    ‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’
   ในหัวสมองของหญิงสาวมีแต่ประโยคเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัว

พราวพิชชาหัวเราะเบาๆ ให้กับความทรงจำอันน่าขบขันของเธอ หญิงสาวดูไม่ออกเลยว่ากันยกรไม่ได้ชอบผู้หญิง เพราะบุคลิกของเขาไม่ใช่คนตุ้งติ้ง แล้วยังนึกขำต่อไปอีกเมื่อคิดว่าเกย์ด้าของเธอมันทำงานได้ไม่ดีเสียเลย พระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้ามาแล้วในเวลา 7.00 น. หลี่อี้ตื่นนอนแล้ว เขาคว้าเสื้อคลุมมาสวมแล้วเดินออกมาที่ระเบียง ลมทะเลยามเช้าพัดพาเอากลิ่นไอทะเลขึ้นมาด้วย
“มาอยู่ที่นี่เอง หัวเราะอะไรอยู่” ชายหนุ่มอ้าปากหาว พลางเบียดกายลงบนเตียงริมสระข้างภรรยา
“เรื่องตลกน่ะ”
“ทำไมตื่นแต่เช้าเลย” พราวพิชชาเหลียวไปมองเจ้าชายในชีวิตจริงของเธอ
“ตื่นมาตอน 6 โมงกว่า แล้วก็นอนต่อไม่หลับ เลยมานอนดูพระอาทิตย์ขึ้นดีกว่า” พราวพิชชาตอบ
“ไม่ปลุกไอด้วยล่ะ”
“เห็นหลับสนิท ไม่อยากรบกวน” หญิงสาวจิ้มแก้มสามี
“ไม่อยากกลับไปทำงานเลย” หลี่อี้สวมกอดภรรยาหลวมๆ
“ไม่กลับไปทำงานแล้วจะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงเมียล่ะ อีกอย่างปาป๊ายูต้องไม่ยอมแน่ๆ”
“นั่นสิ เฮ้อ คิดไปคิดมาก็น่าเบื่อเหมือนกันนะ แต่เพื่อเงิน เอาล่ะ ไอต้องไปทำงานต่อให้ได้ ไอสัญญากับพ่อแม่ยูไว้แล้วว่าไอจะต้องทำให้ยูเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกให้ได้...ยูแน่ใจนะว่าจะไม่ไปฮ่องกงกับไอ”
“ไม่ไปดีกว่า ไอจะกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่ชุมพรก่อน”
“อยู่ที่นี่ก่อนก็ดีเหมือนกัน ไอจะบอกทางบ้านว่ายูกลับมาเยี่ยมครอบครัว ถ้ายูกลับไปสิงคโปร์ตอนนี้คงโดนหม่าม้าดุแน่ๆ โทษฐานที่ทำให้วุ่นวายกันทั้งบ้าน ไว้ไอเสร็จงานที่ฮ่องกงแล้วจะมารับกลับไปสิงคโปร์ด้วยกันนะ” เขาจูบแก้มภรรยาหนึ่งที


 “นุช ผมฝากดูเรื่องตัดไม้ยางด้วยนะ ติดต่อหาคนที่จะรับซื้อไม้ให้ผมด้วย เดี๋ยวผมต้องไปส่งพราวที่สนามบินก่อน ได้เรื่องยังไงก็โทรบอกผมด้วยนะ” กันยกรสั่งงานที่เหลือให้ลูกน้องก่อนจะปิดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ สันต์รีบกุลีกุจอเอากุญแจรถมาให้
“กุญแจรถครับนายหัว ผมสั่งให้เด็กเอารถนายหัวไปล้างให้แล้วนะครับ”
“อ้อ ขอบใจนะ แต่ฝนทำท่าจะตกอีกแล้ว สงสัยต้องเอารถกระบะออกมาขับซะบ้าง ผมไปละนะ เดี๋ยวจะต้องขับรถไปส่งพราวที่ชุมพรอีก” สันต์มองตามร่างสูงที่เดินออกจากออฟฟิศก็ตรงไปยังลานจอดรถ รถยนต์เอสยูวีสีดำคันที่ขับประจำถูกนำไปล้างอัดฉีดจนกลับมาใหม่เอี่ยมเหมือนเดิม
ประตูรั้วของบ้านถูกเปิดทิ้งไว้ทั้งวัน ภายในรั้วบ้านด้านหนึ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังทำครัวกันอยู่ เห็นได้ชัดว่าบ้านหลังนี้กำลังจะมีงานเลี้ยงใหญ่
 ชายหนุ่มเดินเลยไปยังกลุ่มคนที่กำลังทำอาหารหยิบข้าวเกรียบปลาที่เพิ่งทอดเสร็จร้อนๆ เข้าปาก
“ไปล้างมือล้างไม้ก่อนไป๊” กานดาดุลูกชายที่กำลังเคี้ยวข้าวเกรียบปลากร้วมๆ
“ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวจะอาบน้ำแล้วพาพราวกับหลี่อี้ไปส่งที่สนามบินเลย”
“อ้อ จริงสิ แหม เสียดาย หนูพราวไม่ได้อยู่งานเลี้ยงออกบวชด้วยกัน เอ้อ กันย์จะนอนบ้านอากิตคืนนึงก่อนแล้วค่อยกลับมาพรุ่งนี้ก็ดีนะลูก แถวท่าฉางกำลังทำถนนใหม่ ขับรถดึกดื่นอันตราย แม่เป็นห่วง”
กันยกรพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย “ก็ได้ครับ งั้นผมจะกลับมาตั้งแต่เช้าจะได้ทันงานเลี้ยงละศีลอด”
กันยกรเดินกลับเข้าไปในบ้าน พราวพิชชากำลังแพ็คสัมภาระต่างๆ ให้สามี กันยกรมองห่อยาหม่องและแผ่นปิดบรรเทาปวดตราเสือจำนวนมากที่กองอยู่บนพื้นแล้วเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“นี่ ทำไมไอ้ตี๋นั่นมันจะซื้อยาหม่องไปมากมายขนาดนี้เนี่ย มันซื้อไปใช้เองหรือไง” มือใหญ่หยิบกล่องบรรจุยาหม่องมาเปิดดู
“พวกคนสิงคโปร์ก็แบบนี้แหละค่ะ เขาบอกว่ามันใช้ดี โดยเฉพาะไอ้แผ่นปิดแก้ปวดนี่ที่โน่นขายดีมากเลยนะคะ” หญิงสาวบอกพลางพยายามห่อของอย่างดี
“ป้าของหลี่อี้ชอบยาหม่องนี่มาก เวลาพราวกลับมาไทยทีไรจะฝากซื้อทุกที ไม่รู้ว่าซื้อไปทำไรเยอะแยะ ของเก่ายังใช้ไม่หมดเลย นี่ฝากซื้อล็อตใหม่มาอีกละ”
“นั่นสิ เอาไปถมที่มั้ง”
 “ฮันนีมูนรอบสองเป็นไงบ้าง ไอ้ตี๋นี่ก็ช่างหาที่ฮันนีมูนนะ ได้ข่าวว่าเกาะเต่าพายุเข้าคงไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนเลยสิ” กันยกรแซวพลางกลั้วหัวเราะ
“บ้า พี่กันย์ก็...ไม่ได้ขนาดนั้นสักหน่อย” หญิงสาวแหวเสียงสูง แต่ใบหน้าที่แดงระเรื่อเป็นหลักฐานบ่งบอกว่าสิ่งที่ชายหนุ่มพูดก็ไม่ได้ผิดสักเท่าไหร่
“พี่กันย์จะอาบน้ำก่อนไหมคะ หลี่อี้กลับไฟลท์ค่ำ” ในเมื่อห้ามชายหนุ่มไม่ได้เธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“ดีเหมือนกัน ไปสวนยางมาตั้งแต่เช้า เหนียวตัวจะแย่”
กันยกรอาบน้ำแต่งตัวใหม่ด้วยเสื้อยืดโปโลสีขาวสอดชายเสื้อไว้ในกางเกงยีนส์สีซีด หนวดเคราที่เคยมีถูกโกนจนใบหน้าเกลี้ยงเกลา ทรงผมที่เคยกระเซอะกระเซิงก็ถูกจัดแต่งอย่างดีด้วยเจลตัดแต่งทรงผม ชายหนุ่มเปลี่ยนไปขับรถเก๋งเมอเซเดสแทนรถเอสยูวีที่ขับตามปกติ สัมภาระของหลี่อี้ถูกนำไปเก็บท้ายรถ
“ขับรถดีๆ นะลูก ขาไปชุมพรก็ระวังด้วยล่ะ มีบางช่วงทำถนนด้วย หนูพราวคอยชวนพี่เขาคุยด้วยนะลูก อย่าให้กันย์หลับ” กานดาย้ำ
“ได้ค่ะป้าดา พราวไปก่อนนะคะ แต่จะกลับมาอีกประมาณต้นเดือนหน้านะคะ”
“มาเลยลูก ป้ายินดีต้อนรับเสมอ เอ้อ กู๊ดบายนะคะหลี่อี้ ซียูเน็กซ์ไทม์นะคะ” ประโยคท้ายกานดาหันไปบอกกับหลี่อี้

(มีต่อตอนที่ 6.3)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-06-2018 21:57:39 โดย dareammmmm »

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนที่ 6.3
[/b][/color]

หลักจากได้รู้ว่าลูกสาวขโมยสร้อยทองในร้านเอาไปให้หมอหนุ่ม เถ้าแก่เส็งโวยวายจนบ้านเกือบแตกและสั่งให้คนในบ้านคอยจับตามองความประพฤติไม่ให้ลูกสาวออกจากบ้าน เวณิกาไม่ได้ไปเฝ้าธีทัตที่โรงพยาบาลเหมือนอย่างเคย แต่ก็หายได้เพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น เธอหอบอาหารมาและกลับมาเฝ้าธีทัตที่แผนกอายุรกรรมอีกครั้งและทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะรุกมากกว่าเก่าเสียด้วยซ้ำ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ธีทัตต้องคอยหลบเวณิกาเหมือนเช่นทุกครั้ง พิสมัยขยิบตาส่งสัญญาณบอกธีทัตว่าเวณิกาคอยอยู่ที่หน้าห้องตรวจ ชายหนุ่มจึงออกทางประตูอีกด้านหนึ่งซึ่งทะลุไปยังแผนกสูตินรีเวช
“ขอโทษนะครับพี่วิ ขอออกด้านนี้หน่อยนะครับ” ธีทัตบอกแพทย์หญิงประจำห้องตรวจที่อยู่ติดกัน
“นี่หมอออมหนีสาวอีกแล้วล่ะสิ เนื้อหอมจริงๆ เลยนะ ลูกสาวเฮียเส็งเจ้าของร้านทองใช่ไหม”
“ไม่รู้ว่าดีหรือเปล่านะคะ มาเฝ้าเช้าเที่ยงเย็นขนาดนี้ยิ่งกว่าสุนัขเฝ้าบ้านอีกค่ะ ถ้านางเห็นผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้หมอออม พยาบาลสาวๆ ก็โดนกันหมดค่ะ สงสารหมอออมจังกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย”
“ผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัวจังเลยนะ”
ธีทัตก้าวเท้ายาวๆ ด้วยความรวดเร็วพลางมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง เพราะเวณิกาไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เธอฉลาดพอที่จะเดาออกว่าชายหนุ่มจะไปที่ไหนบ้าง ชีวิตประจำวันของธีทัตมีไม่กี่อย่าง หากไม่ได้อยู่บนวอร์ดก็จะอยู่ที่แฟลต โชคดีหน่อยที่แฟลตที่พักมียามคอยเฝ้าห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้า ธีทัตไม่อยากนึกภาพเวลาที่เปิดประตูห้องพักเข้าไปแล้วเห็นเวณิกาอยู่ในนั้น เมื่อเห็นว่ารอดพ้นจากเด็กสาวแล้วชายหนุ่มก็ค่อยผ่อนฝีเท้าลงอย่างโล่งใจ ธีทัตกลับมากินอาหารเที่ยงที่แฟลตเพราะจารวีทำอาหารตุนไว้ให้ลูกชายมากพอกินไปได้ถึง 2-3 วัน
“ออม” ธีทัตหันขวับเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ เป็นปฐวีนั่นเองที่เรียกเขา
“ตกใจอะไร” ปฐวีถามเมื่อเห็นหนุ่มรุ่นน้องสะดุ้งนิดหนึ่ง
“เปล่าครับ นึกว่าไม่มีใครตามมา”
“หนีเด็กนั่นอยู่เหรอ เอ...ชื่ออะไรแล้วนะ ลูกสาวเถ้าแก่เส็ง เจ้าของห้างทองใช่ไหม” ปฐวีหัวเราะในลำคอพลางเดินคุยไปด้วย
“ชื่อหมิวหมิวครับ” ธีทัตตอบ
“จริงๆ ชื่อหมิวเฉยๆ ต่างหาก แต่พอเจอผู้ชายหล่อเข้าหน่อยก็เปลี่ยนเป็นหมิวหมิว เอ้อ นี่จะกลับไปกินข้าวเที่ยงที่ห้องใช่ไหม ไปพร้อมกันเลย...มากินข้าวที่ห้องพี่สิ วันก่อนพี่แวะกลับไปที่บ้าน แม่พี่ทำอาหารไว้ให้เยอะเลยเอากลับมากินที่นี่ด้วย”
“วันก่อนแม่ผมก็มาเยี่ยมครับ ทำกับข้าวไว้ให้เยอะเหมือนกัน งั้นผมเอาไปกินที่ห้องพี่นะ”
ธีทัตจัดเตรียมอุ่นอาหารที่มีอยู่จนร้อนได้ที่ก็เตรียมยกไปที่ห้องปฐวีที่อยู่ตรงกันข้าม
“เข้ามาสิ พี่กำลังอุ่นจานสุดท้ายพอดี” ปฐวีบอก
ธีทัตวางอาหารไว้บนโต๊ะ เขามองปฐวีที่กำลังอุ่นอาหาร ชายหนุ่มดูแปลกตาในผ้ากันเปื้อนสีสันสดใส เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวถูกพับขึ้นถึงข้อศอก เขากำลังตั้งใจหมุนปุ่มไมโครเวฟ
“มองอะไร” ปฐวีถามเมื่อเห็นธีทัตมอง
“มองพี่วีนั่นแหละ ไม่เคยเห็นพี่วีใส่ผ้ากันเปื้อน ปกติเห็นแต่ใส่ชุดผ่าตัด...แปลกดีครับ” ปฐวีหัวเราะร่วน “นั่งรอก่อนนะ ใกล้จะเสร็จแล้ว ตามสบายเลย”
ในเมื่อเจ้าของห้องอนุญาตธีทัตก็ถือวิสาสะเดินรอบๆ ห้อง ห้องของปฐวีมีขนาดเท่ากันกับห้องของธีทัต แต่ดูแคบกว่าเพราะทุกบริเวณในห้องเต็มไปด้วยกองเอกสารและงานต่างๆ มุมหนึ่งของห้องมีโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยหนังสือที่เปิดทิ้งไว้และงานที่ทำค้างไว้อยู่ ชายหนุ่มเดินไปอีกด้านหนึ่งที่มีชั้นวางหนังสือที่มีหนังสือเต็มจนเกือบล้น ธีทัตไล่สายตาดูแต่ละชั้น เขาออกจะแปลกใจที่บนชั้นมีหนังสือหลากหลายประเภททั้งนวนิยาย หนังสือการ์ตูน ตำราอาหาร วรรณกรรมเยาวชน บทกวีนิพนธ์ และหนังสือการแพทย์ทั้งไทยและภาษาอังกฤษ
“พี่วี...อ่านหนังสือหมดนี่เลยเหรอครับ” ธีทัตถามด้วยความสงสัย
“อื้ม ใช่ หนังสือพี่เองแหละ บางเล่มก็เอามาจากที่บ้าน บางเล่มก็เพิ่งซื้อใหม่” ปฐวีตอบ
ธีทัตไล่นิ้วไปเรื่อยๆ จนถึงหนังสือเล่มหนึ่ง ชายหนุ่มเบิกตากว้างแล้วดึงออกมาจากชั้นหนังสือ
“พี่วีอ่านเรื่องชาร์ล็อต* ด้วยเหรอ”
“ใช่” ปฐวีหันมาตอบ “นั่นเล่มโปรดของพี่เลยนะ อ่านเหมือนกันเหรอ”
“โห เล่มนี้ก็เล่มโปรดของผมเหมือนกัน” ธีทัตตอบ “ออมอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ม.ปลายแน่ะ อ่านแล้วชอบมากก็เลยซื้อเก็บไว้”
“เออ ใช่ เรื่องนี้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสมัยพี่เรียน นี่จริงๆ แล้วมันอยู่ที่บ้านพี่นะ แต่พี่ไม่ค่อยกลับบ้านสักเท่าไหร่ พอมาอยู่แฟลตก็ขนหนังสือมาหมดเลย”
“เฮ้ย มีครอบครัวตัวฮอด้วยเหรอ เรื่องนี้ออมก็ชอบ โคตรตลกอะ” ธีทัตเริ่มสนุกกับการไล่ดูหนังสือทีละเล่ม
“เอาล่ะ กับข้าวเสร็จละ มากินก่อนไหมแล้วค่อยคุยกันเรื่องหนังสือ” ปฐวีถอดผ้ากันเปื้อนออก
ชายหนุ่มเพิ่งรู้ว่ารุ่นพี่ของเขาเป็นนักอ่านตัวยง ไม่เพียงแค่อ่านหนังสือเท่านั้นแต่ปฐวียังมีงานอดิเรกอีกอย่างคือทำอาหาร แต่ด้วยที่ไม่มีเวลามากนักส่วนใหญ่จึงฝากปากท้องไว้กับโรงครัวของโรงพยาบาลมากกว่า ธีทัตไม่นึกว่าปฐวีที่ดูเป็นคนเงียบขรึมแท้ที่จริงแล้วเป็นคนคุยสนุกกว่าที่คิด บทสนทนาของปฐวีทำให้ธีทัตรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าในวัยเด็ก
“ชอบตอนไหนในเรื่องโอซาว่าฮายกครัวมากที่สุด” ปฐวีถาม
“อืม..ชอบตอนที่ฮารุมากิติดเกาะกลาง ตอนนั้นอะโคตรตลกเลย คนเชี่ยอะไรก็ไม่รู้ พี่วีอะ ชอบตอนไหน” ธีทัตหัวเราะจนน้ำตาเล็ด
“พี่ชอบตอนที่แม่ของจินไปซื้อของในห้างแล้วรถไฟฟ้าดับ แล้วต้องกินของที่ซื้อมาจนหมด” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ธีทัตเพิ่งสังเกตชัดๆ ว่าปฐวีมีลักยิ้มบนแก้มขวาข้างเดียว
“เออ ตอนนั้นก็ตลก โคตรตลกเลยเนอะ” ธีทัตละสายตาจากชายหนุ่มรุ่นพี่
“เคยอ่านเทวดาหน้าโฉดเปล่า”
“ยังอะ” ธีทัตส่ายหัว
“เอาไปอ่านดิ ตลกนะเว่ย” ปฐวีบอกก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบหนังสือการ์ตูนบนชั้นสองสามเล่มมาให้ธีทัต แต่หนุ่มรุ่นน้องส่ายหน้า
“ออมไม่มีเวลาอ่านหรอกครับพี่วี งานยุ่งจะตาย ไหนจะอยู่เวรอีก” ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อนึกถึงงานที่ต้องทำ
“นี่ยังดีนะ อินเทิร์นรุ่นนี้มี 10 คน สมัยพี่มีแค่ 6 คนเอง”
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ธีทัตได้พูดคุยกับปฐวีมากกว่า 10 คำ ถึงแม้จะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันกัน แต่ปฐวีก็เป็นคนเงียบขรึมพูดน้อยมาตั้งแต่ต้น ทำให้ธีทัตไม่กล้าชวนคุยมากนัก แต่วันนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่าปฐวีไม่ใช่คนเงียบขรึม เพียงแต่เขาจะเปิดเผยตัวตนกับคนที่เข้ากันได้ดีเท่านั้น
“เอ้อ พี่วีครับ พี่วีรู้จักนายหัวกันย์ด้วยเหรอครับ รู้จักได้ยังไงครับ” คำถามของธีทัตทำให้ปฐวีนิ่งเงียบ เขาละสายตาไปจากชายหนุ่มไปจับอยู่ที่บนโต๊ะอาหาร
“จะเรียกว่าเพื่อนก็ไม่เชิงนักหรอก รู้จักกันมาตั้งแต่ชั้นประถมแล้วล่ะ เคยเรียนด้วยกัน” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ว่าแต่ถามเรื่องนี้ทำไม”
“อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกครับ วันก่อนที่เจอกันออมเห็นเขากับพี่วีคุยกัน เลยคิดว่าสนิทกัน ไม่นึกว่าจะเป็นเพื่อนกันนะฮะ นายหัวเขาดูหน้าแก่กว่าพี่วีตั้งเยอะ”
“อืม ไม่สนิทกันหรอก เขาคงไม่อยากสนิทกับพี่สักเท่าไหร่มั้ง สมัยเด็กๆ ตอนอยู่ป.1 เคยอยู่ห้องเดียวกัน นั่งติดกันนี่แหละ แต่กันย์เขาเป็นประเภทหัวโจกของห้อง ตอนหลังเพื่อนของกันย์มาสนิทกับพี่เขาก็โกรธพี่ไปเลยแล้วก็ย้ายไปนั่งหลังห้อง” ปฐวีเล่าถึงความทรงจำวัยเด็กที่เริ่มจางไปตามกาลเวลา
“เอ้อ แล้วคิดเอาไว้หรือยังว่าจะต่อเฉพาะทางด้านไหน” ปฐวีเปลี่ยนเรื่องคุย เขาเองก็ไม่อยากพูดถึงกันยกรมากนัก
“ยังไม่รู้เลยครับ แต่คิดไว้ว่าคงทำงานใช้ทุนให้หมดก่อนแล้วค่อยไปเรียนต่อ...เอ้อ ที่พี่วีบอกว่านายหัวเขาเป็นหัวโจกนี่เป็นยังไงเหรอครับ”
ปฐวีชะงักสบตาหลังแว่นกรอบดำอย่างค้นหาคำตอบ นึกแปลกใจที่ธีทัตอยากรู้เรื่องของกันยกร
“อืม ก็เป็นคนที่ชอบเรียกร้องความสนใจคนหนึ่ง ตอนเรียนม.ต้นรู้สึกว่าจะเป็นนักกีฬาโรงเรียนด้วยนะ แต่ก็ชอบมีเรื่องเข้าห้องปกครองบ่อยๆ อย่าไปสนใจเลย”
ธีทัตพยักหน้าหงึกหงักนึกภาพชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมสัน หนวดเคราที่ไม่ได้โกนขึ้นเขียวครึ้ม ผมหยักศกกระเซอะกระเซิงตลอดเวลา กันยกรชอบแต่งตัวด้วยเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ตัวเก่า ดวงตาคมวับบ่งบอกถึงความมั่นใจในตัวเอง ริมฝีปากยามไม่ได้ยิ้มดูดุเอาเรื่อง ธีทัตจำได้ตั้งแต่วันแรกที่พบกันที่ห้องฉุกเฉินในวันนั้น น่าแปลกที่ธีทัตจำดวงตาคู่นั้นได้อย่างแม่นยำจนบางครั้งออกจะนึกถึงมากไปจนกลายเป็นความคิดถึงโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่เคยรู้ตัวมาก่อน

_________________________
* ชาร์ล็อต แมงมุมเพื่อนรัก - วรรณกรรมเยาวชนชื่อดัง เขียนโดย E. B. White
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-06-2018 21:57:00 โดย dareammmmm »

ออฟไลน์ Jingjaij

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอยยยยยย เกลียดความลำเอียงของครูกะพวกลูกหมอ ลูกทหาร ลูกตำรวจมาก รำๆๆ นายหัวคะถ้าหมอวีไม่อยากเป็นเพื่อนด้วยไม่เปนไรนะคะมาทางนี้ค่ะ เด่วเราจะไปหาติ๊กเกอร์ช่อง3ให้น้าาาาา

อ่านมาถึงตอน6ก็ยังยืนยันคำเดิมว่า พราวพิชชาเทอคือคนที่น่าอิดสามากสามีรักขนาดนี้อ่ะะะ อย่างอนบ่อยนะไม่งั้นนี่จะไปปลอบใจหลี่อี้เอง

หมิวหมิวรู้กกกกกกกกกกกกกกกกก ผช.เค้าไม่เล่นด้วยก็พอเนาะไม่ต้องไปตามเค้าแล้วเนาะ ///ปรายตามองด้วยจริตนางรำคาญ

คุณดรีมสู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจค่าาาา

ออฟไลน์ ใดฯจัง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนนี้ย้อนอดีตสนุกน่าติดตามทีเดียวค่ะ

สมัยเด็กของพี่วีลึกลับน่าค้นหา :impress2: จากตอนแรกไม่ค่อยชอบ ตอนนี้อยากรู้เรื่องพี่วีมากขึ้นค่ะ  :hao6:

ถ้านายหัวกับพี่วีตอนเด็กเปิดใจเข้าใจกันก็อาจสนิทกันมากกว่านี้ เสียดายค่ะ เคมีแอบเข้ากัน คนหนึ่งเกี้ยวกราด  :katai4: อีกคนนิ่งขรึม  :mew5:

คุณดรีมป่วยเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือคะ  หายไวๆน้า อย่าหักโหม เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ Jingjaij

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อยากให้เพิ่มแฮชแม็กชื่อเรื่องด้วยอ่ะค่ะคุณดรีม เผื่อเอาไปลงทวิตได้โปรโมทเพิ่มด้วยค่าาาา

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนนี้ย้อนอดีตสนุกน่าติดตามทีเดียวค่ะ

สมัยเด็กของพี่วีลึกลับน่าค้นหา :impress2: จากตอนแรกไม่ค่อยชอบ ตอนนี้อยากรู้เรื่องพี่วีมากขึ้นค่ะ  :hao6:

ถ้านายหัวกับพี่วีตอนเด็กเปิดใจเข้าใจกันก็อาจสนิทกันมากกว่านี้ เสียดายค่ะ เคมีแอบเข้ากัน คนหนึ่งเกี้ยวกราด  :katai4: อีกคนนิ่งขรึม  :mew5:

คุณดรีมป่วยเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือคะ  หายไวๆน้า อย่าหักโหม เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :mew1:

ขอบคุณมากๆ นะคะที่รักตัวละครพี่หมอวี  o18

ตอนนี้หายป่วยแล้วค่า ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอยยยยยย เกลียดความลำเอียงของครูกะพวกลูกหมอ ลูกทหาร ลูกตำรวจมาก รำๆๆ นายหัวคะถ้าหมอวีไม่อยากเป็นเพื่อนด้วยไม่เปนไรนะคะมาทางนี้ค่ะ เด่วเราจะไปหาติ๊กเกอร์ช่อง3ให้น้าาาาา

อ่านมาถึงตอน6ก็ยังยืนยันคำเดิมว่า พราวพิชชาเทอคือคนที่น่าอิดสามากสามีรักขนาดนี้อ่ะะะ อย่างอนบ่อยนะไม่งั้นนี่จะไปปลอบใจหลี่อี้เอง

หมิวหมิวรู้กกกกกกกกกกกกกกกกก ผช.เค้าไม่เล่นด้วยก็พอเนาะไม่ต้องไปตามเค้าแล้วเนาะ ///ปรายตามองด้วยจริตนางรำคาญ

คุณดรีมสู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจค่าาาา

ขอบคุณมากๆ นะคะที่ติดตาม และเป็นกำลังใจให้ ขอบคุณมากๆ จริงๆ ค่ะ :mew2:
อ้าว ชอบคู่หลี่อี้-พราว ซะงั้น 5555 แต่นางก็น่าอิจจริงๆแหละ
หมิวหมิวสายเปย์ค่ะ จะเปย์จนกว่าหมอออมจะใจอ่อน บางทีก็อยากให้มีคนมาเปย์แบบนี้บ้างเนอะ

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อยากให้เพิ่มแฮชแม็กชื่อเรื่องด้วยอ่ะค่ะคุณดรีม เผื่อเอาไปลงทวิตได้โปรโมทเพิ่มด้วยค่าาาา

ขอบคุณมากนะ ที่ติดตาม #youaremylawofattraction #กันย์ออมattraction ตอนนี้ทำทวิตเตอร์ด้วยค่ะ ตามไป follow กันได้ที่ @dreamssalinpat นะคะ  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ IIIA

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
เนื้อเรื่องน่าสนใจมากเลยค่ะ รออ่านนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เนื้อเรื่องน่าสนใจมากเลยค่ะ รออ่านนะคะ  :mew1:

ขอบคุณนะคะที่ติดตาม

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Writer Talk

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านทุกท่าน เรื่องราวของหมอออมและนายหัวกันย์เดินทางมาถึงตอนที่ 6 แล้วนะคะ
จะบอกว่าตอนนี้เราเพิ่งคิดชื่อภาษาไทยได้ค่ะ 555 ด้วยความที่เป็นคนหัวทึบในเรื่องการตั้งชื่อนิยายมาก ก็เลยคิดว่าจะใช้แค่ชื่อภาษาอังกฤษอย่างเดียว เพราะคิดชื่อไทยไม่ออก แต่ๆๆๆ ยังไงก็คิดว่าควรจะมีชื่อภาษาไทยด้วยก็เลยเป็นที่มาของการไปรบกวนแกมบังคับเพื่อนๆ หลายคนให้ช่วยคิดชื่อไทยให้หน่อย จนได้ชื่อว่า “กฎดึงดูดพิสูจน์รัก” ค่า คุณผู้อ่านที่เห็นชื่อมีภาษาไทยด้วยก็อย่าเพิ่งงงนะคะ เรื่องเดียวกันค่ะ

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Writer Talk

สวัสดีค่ะ คุณผู้อ่านทุกท่าน ดรีมเองนะคะ ต้องขอโทษด้วยที่ห่างหายจากการโพสต์ไปนาน เนื่องจากว่าตอนนี้ดรีมประสบปัญหาชีวิตนิดหนึ่งค่ะ เลยทำให้ยุ่งๆ อาจจะโพสต์ตอนที่ 7 ช้าไปหน่อยนะคะ แต่ตอนที่ 7 จะมาแน่นอนค่ะ ไม่เบี้ยวแน่ๆ ขอโทษผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ และขอบคุณทุกคนสำหรับกำลังใจนะคะ  :mew3:

ดรีม

ออฟไลน์ Jingjaij

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เป็นกำลังใจให้นะคะคุณดรีม สู้ๆค่าาา :L1:

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนที่ 7

สนามบินสุราษฎร์ธานีคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ลานจอดรถของที่นี่ไม่เสียค่าจอดทำให้มีรถจอดค้างคืนจนเกือบเต็มลานจอดรถ กว่ากันยกรจะหาที่จอดรถได้ก็กินเวลาหลายสิบนาที ไม่นานร่างสูงใหญ่ก็ตามไปสมทบที่หน้าประตูเที่ยวบินขาออกภายในประเทศ ผู้คนรอบข้างเริ่มหันมามองชายหนุ่มที่กำลังสวมกอดหญิงสาวร่างบางหน้าประตูเที่ยวบินขาออกในประเทศอย่างอยากรู้อยากเห็น หลี่อี้อิดออดไม่ยอมปล่อยมือภรรยา
“ยูต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ กินข้าวทุกมื้อด้วย ไม่ต้องกลัวอ้วนหรอก ถึงอ้วนยังไงก็รัก”
“รู้แล้วน่า ยูเข้าไปข้างในได้แล้วใกล้จะถึงเวลาบอร์ดแล้วนะ” ฝ่ายสามียังคงอิดออด เขาดึงตัวเธอเข้ามาสวมกอดอีกครั้ง “ไอไม่อยากไปเลย ไม่ไปแล้วได้ไหม”
“อย่างอแงสิ ถ้ายูไม่ไปทำงาน ยูต้องโดนปาป๊าไล่ออกแน่ๆ แล้วคราวนี้เราจะเอาเงินที่ไหนมาใช้กัน” ชายหนุ่มหน้ามุ่ย แต่พอนึกถึงบิดาผู้มีนิสัยเข้มงวดแล้วก็คลายอ้อมแขนออกยอมกลับไปทำงานแต่โดยดี
“ไอฝากให้ยูช่วยดูแลพราวด้วยนะ” หลี่อี้หันมาบอกกันยกรซึ่งเขาก็พยักหน้ารับอย่างเต็มใจ
พราวพิชชายืนมองแผ่นหลังของสามีที่เดินเข้าไปในเกทจนลับตา ตัวเธอเองก็เซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่จะต้องห่างกันนานถึงสามเดือนตั้งแต่แต่งงานอยู่กินด้วยกันมา ปกติแล้วหลี่อี้จะไปทำงานที่ต่างประเทศเพียงแค่ไม่กี่วัน ทุกครั้งหญิงสาวจะบินไปเจอสามีหลังจากทำงานเสร็จแล้วใช้เวลาท่องเที่ยวก่อนจะกลับสิงคโปร์ แต่ครั้งนี้หลี่อี้เล่าให้ฟังว่าเป็นงานสำคัญจึงต้องอยู่นานกว่าครั้งอื่นๆ
“เราไปกันเถอะ เดี๋ยวจะถึงชุมพรค่ำ”
พราวพิชชานั่งเงียบตลอดทางตั้งแต่สนามบินสุราษฎร์ฯ จนกระทั่งออกจากตัวเมืองสุราษฎร์ไปสู่จังหวัดชุมพร
“เป็นอะไรไป นั่งเงียบเชียว หลี่อี้มันยังไม่ทันออกจากเมืองไทยเลยคิดถึงแล้วเหรอ” กันยกรถามขึ้นทำลายความเงียบ
“ค่ะ ตอนอยู่ด้วยกันก็ทะเลาะกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พอห่างกันก็คิดถึงอีก”
“แล้วทำไมไม่ตามไปด้วยล่ะ” กันยกรถามอย่างสงสัย
“จริงๆ ก็อยากจะตามไปด้วยนะคะ แต่ปาป๊าของหลี่อี้เขามีกฎอยู่ว่า เวลาไปทำงานที่ต่างประเทศห้ามไม่ให้พาครอบครัวไปด้วย เพราะไม่อยากให้เราเรื่องส่วนตัวมาปะปนในเวลาทำงาน เดี๋ยวจะทำงานได้ไม่เต็มที่”
“อ้อ ดุเหมือนกันเนอะ ไม่แปลกใจเลยนะที่รวยติดอันดับโลก” กันยกรเบ้ปากนิดหนึ่ง
“เอ้อ พี่กันย์ เมื่อเช้าพราวคิดถึงพี่กันย์ด้วยแหละ” หญิงสาวบอกเสียงใส ลืมเรื่องสามีไว้ชั่วขณะ
“คิดถึงพี่เหรอ? ทำไมล่ะ?”
“อยู่ๆ ก็คิดถึงขึ้นมา นึกถึงตอนที่พราวบอกรักพี่กันย์ที่บริสเบน อายตัวเองจัง” กันยกรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโยกหัวหญิงสาวเล่นเป็นการหยอกเย้า
“เอ้อ ตอนนั้นพี่ก็อึ้งๆ เหมือนกันแหละ พี่คิดว่าพราวรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เรารู้จักกันแล้วว่าพี่เป็นแบบไหน”
“แหม พราวเรียนโรงเรียนหญิงล้วนมาตลอด เพื่อนก็มีแต่ผู้หญิง ถ้าออกสาวน่ะก็พอจะดูออก แต่อย่างพี่กันย์ดูยากจะตาย เกย์ด้าพราวพังเองแหละ”
 “พี่กันย์...ถามอะไรหน่อยสิ พี่กันย์ไม่เคยมีแฟนเลยเหรอ” หญิงสาวหันมาถามอย่างสงสัย พลางมองพิจารณาชายหนุ่มที่นั่งหลังพวงมาลัยเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างดวงตาคมวับใต้คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักหนา สันกรามชัดเจนเห็นรอยเขียวครึ้มของหนวดเคราที่ถูกโกนจนเกลี้ยง ผิวที่เคยขาวนวลกลับคล้ำแดดกว่าตอนอยู่ที่ออสเตรเลีย ริมฝีปากหยักหนานั้นจุดรอยยิ้มที่มุมปาก
 “เคยสิ ทำไมจะไม่เคย...พราวจำตอนที่พี่ไปหาพราวครั้งแรกที่บริสเบนได้ไหม ตอนนั้นพี่เพิ่งเลิกกับแฟน เฮิร์ทสุดๆ เลยล่ะ”
หญิงสาวเลิกคิ้ว นึกถึงครั้งแรกที่ทั้งคู่เจอกันที่บริสเบน ครั้งนั้นเขาดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งผิดหวังจากความรักเลยสักนิด กันยกรดูร่าเริ่งและเป็นกันเองกับเธอตลอดเวลาที่เจอกัน ความสงสัยกลายเป็นความตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นเข้ามาแทนที่ เธออยากรู้นักว่าความรักในอดีตของเขาเป็นเช่นไร กันยกรถอนหายใจเบาๆ เขาไม่เคยเล่าเรื่องความรักในอดีตให้ใครฟังมาก่อน พราวพิชชาเป็นน้องสาวที่สนิทกันมากที่สุด มีหลายครั้งที่หญิงสาวคนนี้ขอคำปรึกษาปัญหาชีวิตซึ่งเขาเองก็เต็มใจให้คำแนะนำ ชายหนุ่มจึงยอมเปิดปากเล่าเรื่องความรักในอดีต
“เขาเป็นนักกีฬาออสซี่รูลส์  เคยเล่นออสซี่รูลส์ด้วยกันสมัยมหาวิทยาลัยที่เมลเบิร์น พอเรียนจบพี่ทำงานที่นั่น ส่วนเขาเป็นนักกีฬาอาชีพ” กันยกรเล่าถึงความรักเก่ากับหนุ่มชาวออสซี่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย บ่งบอกว่าเขาไม่ได้เหลือเยื่อใยให้กับคนรักเก่าอีกแล้ว
   “ทำไมถึงเลิกกันคะ”
   “เขานอกใจก่อน...พราวก็น่าจะรู้นี่นาพวกนักกีฬาน่ะแฟนคลับเยอะจะตาย พอมีแฟนคลับตามเข้าหน่อยก็แอบนอกใจไปมีคนอื่น พี่เป็นคนไม่ชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้วก็เลยบอกเลิก”
   “เลิก? พี่กันย์บอกเลิกทันทีเลยเหรอคะ ไม่เสียดายเวลาที่คบกันมาเลยเหรอคะ”
   “ใช่ ทำไมพี่ต้องเสียดายด้วยล่ะ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำผิดแค่ครั้งแรกหรอก พี่เคยให้โอกาสเขาแก้ตัวมาสองครั้งแล้ว พอมีครั้งที่สามอีกพี่ก็เลยตัดสินใจเลิกเด็ดขาด”
   “พี่กันย์ไม่คิดจะมีคนใหม่บ้างเหรอคะ” พราวพิชชาถามขึ้น ชายหนุ่มผู้ถูกถามยิ้มกริ่ม ถึงแม้สายตาจะจับอยู่ที่ถนนด้านหน้าแต่พราวพิชชาก็เห็นได้ว่าดวงตาของเขากำลังยิ้มอย่างมีเลศนัย
   “ก็คิดอยู่เหมือนกันนะ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า”
   “ใครอะ ไม่เห็นบอกกันเลย บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
   “ฮ่าๆๆ ยังไม่มีซะหน่อย เอาเป็นว่าถ้าพี่มีใครพี่จะบอกเราคนแรกเลย โอเคไหม?”

   แสงแดดยามสายส่องลอดผ้าม่านสีเทามากระทบวงหน้าขาวนวลที่กำลังหลับสนิท มือเรียวยาวคว้าโทรศัพท์มือที่กำลังแผดร้องมากด snooze ธีทัตพยายามจะลืมตาแต่ดูเหมือนว่าเปลือกตาช่างหนักอึ้งเหลือเกิน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุดของเขาชายหนุ่มก็ไม่พยายามจะลืมตาขึ้นมาอีก กว่าจะตื่นขึ้นมาได้ก็เป็นเวลาเกือบ 11 โมงแล้ว ธีทัตดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงเดินไปยังห้องครัวเพื่อหาอาหารเช้า
   ‘เอ่อ ไม่มีอะไรกินแล้วนี่หว่า’ เขาคิดในใจเมื่อเห็นตู้เย็นว่างเปล่า
‘ไปหาอะไรกินที่ตลาดก็แล้วกัน’
   ตลาดที่ธีทัตว่าก็คือแผงขายของที่ตั้งเรียงกันยาวบนฟุตบาธหน้าโรงพยาบาลซึ่งเปิดขายทุกวันตั้งแต่เที่ยงไปจนถึงดึก ชื่อเสียงของหมอออมเป็นที่ร่ำลือกันในตลาดหน้าโรงพยาบาลว่าเป็นหมอที่พูดน้อยแต่ใจดีแถมรูปหล่ออีกต่างหาก หากมาซื้อของที่นี่เมื่อไรบรรดาแม่ค้าทั้งหลายจะกลายร่างเป็นนักโฆษณาคอยบรรยายสรรพคุณของลูกสาวตัวเองหรือแม้แต่ลูกสาวของคนรู้จักพร้อมเบอร์โทรให้ชายหนุ่ม ซึ่งเขาก็ทำได้เพียงแค่อมยิ้มตอบกลับไปอย่างสุภาพ
   ธีทัตได้อาหารมาสองสามอย่าง กำลังจะเดินกลับแฟลตแต่เห็นรถมอเตอร์ไซค์แม่บ้านสีฟ้าคันหนึ่งกำลังขับออกมาจากโรงพยาบาล คนขับสวมเสื้อแจ็กเก็ตคลุมทับชุดยูนิฟอร์มสีขาวที่สวมอยู่ หล่อนชะลอรถเมื่อเห็นแพทย์หนุ่มก่อนจะเอ่ยปากทักทาย
   “หมอไปไหนมานิ วันนี้ไม่อยู่เวรเหรอ” ธีทัตอยู่ที่นี่มานานหลายเดือนจนทำให้เขาเริ่มจะคุ้นเคยกับภาษาไทยกลางติดสำเนียงถิ่นใต้ของพิสมัย
   “วันนี้หยุดครับ พี่ไหมกำลังจะไปไหน”
   “ไปหาอะไรกินหน่อย ไปด้วยกันไหม” พิสมัยชวน
   “ไปกินที่ไหนอะ” ธีทัตถามด้วยความอยากรู้
   “ฮาย อย่าแหลงมากตะ อยากรู้ก็ตามมา แขบๆ ตะ เดี๋ยวของหมด อดกินหล่าว” เธอตบเบาะด้านท้าย
ธีทัตรีบขึ้นซ้อนท้ายรถอย่างว่าง่าย เขาอยากรู้ว่าพิสมัยกำลังจะไปไหน รถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้า 110 ซีซีของพิสมัยขับออกไปชานเมือง เลี้ยวเข้าถนนทางหลวงชนบทที่สองข้างทางเป็นสวนปาล์มสลับกับสวนยาง ต้นยางสูงใหญ่ไหวน้อยๆ ตามแรงลม วันนี้เป็นวันแรกในรอบหลายเดือนตั้งแต่ย้ายมาทำงานที่นี่ที่เขาได้ออกไปข้างนอกไกลกว่าโรงพยาบาล พิสมัยหันมาพูดอะไรบางอย่างกับชายหนุ่มแต่ลมที่ตีปะทะหน้าทำให้ฟังไม่ถนัดนัก ไม่นานพิสมัยก็เลี้ยวรถเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่เปิดประตูรั้วทิ้งไว้ราวกับต้อนรับทุกคน ถนนโรยกรวดเม็ดเล็กทอดไปยังตัวบ้านสองชั้นที่บัดนี้มีเต้นท์ผ้าใบกางอยู่บนสนามที่เป็นลานกว้างหน้าบ้าน ดูเหมือนจะเป็นงานเลี้ยงอะไรบางอย่าง พิสมัยจอดรถมอเตอร์ไซค์ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่พลางกันมาบอกหมอหนุ่ม
“นี่บ้านคุณนายกานดาค่ะ วันนี้เค้ามีงานเลี้ยงละศีลอดให้คนงานที่เป็นมุสลิม บ้านนี้เค้าจัดงานทุกเทศกาลแหละค่ะ ตรุษจีน ตรุษไทย ตรุษแขก พี่ชอบมาทุกงาน กินฟรีแถมยังได้ห่อกลับบ้านได้ด้วย”
“อ้อ” ธีทัตครางในลำคอ พยักหน้าหงึกหงักพลางมองรอบๆ บ้านก่อนจะเดินตามพิสมัยที่เดินนำลิ่วไปยังกลุ่มคนที่นั่งล้อมโต๊ะวงกลมตัวใหญ่จนเต็ม ผู้คนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วหันมามองพลางกวักมือเรียกทักทาย
“ฮาย หวางอีมาได้ เติ้นไปไหนมา มาตะๆ เค้ากำลังกินกันอยู่นิ อ้าว หมอออมมากัน” ใครคนหนึ่งทักขึ้น ธีทัตจำได้ว่าเธอเป็นพยาบาลในวอร์ดออโธปิดิกส์
“ต๊ายย หมอออมมา มาเร็วๆ มานั่งตรงนี้เลยค่ะหมอ” ทุกคนดูแปลกใจที่เห็นธีทัตปรากฏตัวพร้อมกับพิสมัยแต่ก็ทักทายด้วยความยินดี
พิสมัยทักทายทุกคนอย่างสนิทสนม หญิงสาวเดินไปนั่นมานี่อย่างคนที่คุ้นชินกับบ้านหลังนี้เป็นอย่างดี เธอยกมือไหว้กานดาที่เดินเข้ามาหา หญิงวัยกลางคนดูแปลกใจนิดหนึ่งที่เห็นธีทัตอยู่ที่นี่ด้วยแต่แล้วก็ยิ้มด้วยความยินดี
“หมอออมมาด้วยเหรอคะ เชิญตามสบายนะคะ กินข้าวด้วยกันก่อนนะคะ ไหม...ไปหาข้าวหาปลาให้หมอออมกินเร็ว” หล่อนบอกแกมสั่ง
 “วันนี้ป้าจัดงานเลี้ยงละศีลอดค่ะ ป้าจะเลี้ยงอาหารละศีลอดในเดือนรอมฎอนให้กับคนสวนที่เป็นมุสลิมค่ะ” กานดาอธิบาย การถือศีลอดของชาวไทยมุสลิมในเดือนรอมฎอนคือการละเว้นจากการกิน ดื่ม ร่วมประเวณี ตั้งแต่แสงอรุณขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก และการละศีลอดก็เปรียบเสมือนรางวัลสำหรับเวลาอันยาวนานจากการถือศีลอดนั่นเอง ธีทัตพยักหน้าหงึกหงัก มองไปรอบๆ เห็นชาวไทยมุสลิมสวมเสื้อสีสันสดใสแล้วมองตัวเองที่สวมแค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นมาร่วมงาน
 “ผมเจอพี่ไหมที่หน้าโรงพยาบาลก็เลยขอติดรถมาด้วย ไม่ทราบว่าจะต้องมางานเลี้ยงเลยแต่งตัวไม่สุภาพ ขอโทษด้วยนะครับ”
“อุ๊ย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ป้าจัดเลี้ยงแบบกันเอง เลี้ยงเฉพาะคนที่รู้จักกันเท่านั้น แค่หมอมาด้วยนี่ก็ดีใจแล้วค่ะ หมอเคยกินนี่ไหมคะ” กานดาหยิบผลไม้อบแห้งชนิดหนึ่งมาให้ ชายหนุ่มถือวิสาสะหยิบเข้าปากเคี้ยวหยุบหยับ รสชาติหวานซ่านติดลิ้น
“อินทผาลัมค่ะ คนไทยมุสลิมเขาจะกินหลังจากละศีลอดกัน คนมุสลิมเขาจะต้องอดอาหารในช่วงเดือนรอมฎอน ส่วนอินทผาลัมมีรสหวานจะได้มีกำลัง”
“ผมเคยเห็นแต่ไม่เคยกินมาก่อน งั้นวันนี้ผมขอฝากท้องที่นี่ด้วยเลยนะครับ ผมเองก็ถือศีลอดมาตั้งแต่เช้าแล้ว ยังไม่ได้กินอะไรเลยครับ” กานดาดีใจที่ชายหนุ่มตรงหน้าชื่นชอบ หล่อนเคยคิดว่าหมอใหม่ที่มาจากกรุงเทพคนนี้ดูเป็นคนพูดน้อยและเข้าถึงยาก แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่หล่อนคิดว่าธีทัตไม่ได้เป็นคนอย่างที่คิด
“มาแล้วค่า หมอเคยกินนี่ไหม ลองหน่อยไหม” พิสมัยถือจานใส่อาหารชนิดหนึ่ง ดูคล้ายขนมจีนแต่เส้นม้วนกันเป็นวงกลมราดได้น้ำแกงทำจากกะทิ
“อะไรเหรอครับ”
“เขาเรียกว่าลาแซ เหมือนขนมจีนแหละ แต่เป็นขนมจีนแบบมุสลิม นี่คนทำอิมพอร์ตมาจากนราธิวาสเลยนา” พิสมัยโฆษณา ธีทัตมองดูอาหารในมืองอย่างสนใจพลางตักเข้าปากหนึ่งคำแล้วก็ต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าจะอร่อย
“เอ้อ อร่อยดี คล้ายๆ หมี่กะทิเลย”
“กินเยอะๆ เลยนา มีเยอะแยะ อ้อ หมอกินแกงแพะไหม”
“อะไรนะครับ” ชายหนุ่มทวนคำ คิดว่าได้ยินผิดไป
“แกงแพะ เดี๋ยวเอามาให้กิน อันนี้ก็ของเด็ดเหมือนกัน” พิสมัยบอกแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว หล่อนทักทายคนโน้นที คนนี้ที เอาอาหารหลากหลายชนิดมาเสิร์ฟอย่างคล่องแคล่ว
ธีทัตเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เข้ามาในบ้านยังไม่เห็นเจ้าของบ้านอีกคนหนึ่ง ครั้นจะเอ่ยปากถามกานดาก็เกรงจะผิดสังเกตจึงเก็บความสงสัยเอาไว้แล้วกินอาหารต่ออย่างเงียบๆ พิสมัยเดินกลับมาพร้อมอาหารเต็มสองมือ จานหนึ่งคือแกงแพะส่วนอีกมือหนึ่งคือไก่ทอดร้อนๆ
“นายหัวไปไหนล่ะคะคุณนาย หนูยังไม่เห็นเลยตั้งแต่มาถึง”
‘เยี่ยมมากครับพี่ไหม ถามได้ตรงใจจริงๆ’ ธีทัตคิดในใจ
“ไปชุมพร ใกล้จะถึงแล้วล่ะ อ้าว ดูสิ พูดถึงก็มาพอดี” กานดาบุ้ยไปทางประตูรั้วบ้าน
รถเก๋งเมอเซเดสสีน้ำเงินกำลังเลี้ยวเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆ ก่อนจะขับเข้าไปจอดในโรงจอดรถ ธีทัตรู้สึกเหมือนหัวใจพองโตเหมือนลูกโป่งเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่เดินอ้อมไปเปิดท้ายรถ เขาเรียกให้คนมาช่วยยกลังโฟมออกจากท้ายรถแล้วชายหนุ่มก็เดินเข้ามาในบริเวณบ้าน ชายหนุ่มจับมือทักทายทุกคนอย่างสนิทสนมจนมาถึงโต๊ะที่ธีทัตนั่งอยู่ แวบหนึ่งเขามองแพทย์หนุ่มอย่างแปลกใจ แต่ก็เพียงแค่แวบหนึ่งเท่านั้น
“ขนอะไรมาด้วยน่ะ” กานดาถามลูกชาย
“อากิตกับป้าอัมให้ปูกับหมึกมาเยอะแยะครับ มีปูเนื้อ ปูม้า หมึกไข่” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อุ๊ย งั้นเหรอ ดีเลยแม่จะได้ทำหมึกไข่นึ่งมะนาว แล้วก็...ทำอะไรอีกดีน้า คุณหมอชอบกินปูไหมคะ” กานดาหันมาถามแขกคนพิเศษ
“ชอบมากครับ” แขกคนพิเศษเองก็ตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
“ดีเลย ป้าจะได้ทำปูไข่นึงให้คุณหมอ อย่าเพิ่งรีบอิ่มนะคะ แม่จะโทรกลับไปขอบคุณอากิต ป้าอัมซะหน่อย ลูกนั่งตรงนี้เป็นเพื่อนหมอก่อนนะ” หล่อนลุกขึ้นกลับเข้าไปสั่งงานในครัว
 “ว่าไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่” กันยกรหันมาตบไหล่ทักทายพิสมัย
“เพิ่งมาไม่นานนี่เองก่อนนายหัวจะมา เจอหมอออมที่หน้าโรงพยาบาลก็เลยชวนมาด้วย”
“วันนี้ไม่ทำงานเหรอครับ” เขาหันมาถาม
“หยุดครับ ไม่มีเวร” ธีทัตตอบพลางแกล้งเสตักแกงแพะเข้าปาก
“หิวจัง ยังไม่ได้กินอะไรเลย ไหม...ไปหาอะไรมาให้กินหน่อยสิ” พิสมัยโอดครวญเพราะหล่อนเองก็เพิ่งจะนั่งได้ไม่นาน แต่ก็ยอมลุกขึ้นไปแต่โดยดี เหลือเพียงกันยกรและธีทัตนั่งด้วยกันที่โต๊ะ คนตัวขาวกว่าแสร้งกินอาหารเงียบๆ มือเรียวแกล้งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาสไลด์หน้าจอ
“อร่อยไหม?” กันยกรถามขึ้น
“อร่อย” เขาตอบแค่คำเดียว
“ผมมาช้าไปหรือนี่ หมอแย่งกินของโปรดผมหมดเลย” ชายหนุ่มตัวโตอวดครวญเหมือนเด็ก
“งั้นกินด้วยกันไหมครับ” ธีทัตถาม
“ผมล้อเล่น ตามสบายเถอะหมอ ผมกินมาบ้างแล้ว” กันยกรยิ้มจนเห็นฟันขาว
‘ยิ้มสวยนี่นา ฟันขาวตัดกับผิวเชียว’ ธีทัตแอบคิดในใจ
“เอ่อ นายหัวไปทำอะไรที่ชุมพรเหรอครับ”
“ไปส่งคุณพราว หมอจำได้ไหม ผู้หญิงที่สูงๆ ตัวบางๆ หน่อย”
“อ้อ จำได้ครับ” คำตอบของกันยกรทำให้ธีทัตเจ็บแปลบอย่างแปลกประหลาด ความรู้สึกเหมือนหัวใจที่พองโตเมื่อสักครู่คล้ายจะฟีบลงทันที
“คุณพราวที่หน้าตาสวยๆ น่ารัก ใช่ไหมครับ” ธีทัตถามกลับ
“หมอชอบผู้หญิงแบบนั้นเหรอ” ชายหนุ่มติดใจในคำถามของคนฝั่งตรงข้าม
“ก็...” แพทย์หนุ่มนิ่ง นึกแปลกใจที่ตัวเองไม่เคยมีสเปกผู้หญิงเลย แม้ที่ผ่านมาจะมีผู้หญิงเข้ามาวนเวียนในชีวิตอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยสานสัมพันธ์จริงจังกับใครจนถึงขั้นคบหาเป็นแฟนเลยสักคน
“คุณพราวเขาก็น่ารักดีครับ ถ้าเขายังโสดผมก็ว่าจะจีบคุณพราวแหละ” ธีทัตโพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
‘เชี่ยเอ้ยยย! พูดไรออกไปเนี่ย’ ธีทัตอยากจะหยิกปากตัวเอง
“อ้อ งั้นหมอก็แห้วแล้วล่ะ เพราะยัยพราวมีเจ้าของแล้ว” ชายหนุ่มผิวคล้ำยิ้มมุมปาก
ธีทัตนิ่งคิด ใจหนึ่งก็อยากจะถามว่า ‘เจ้าของ’ ที่ว่านั้นคือใคร ใช่กันยกรหรือเปล่า แต่แล้วก็ไม่ได้หลุดปากออกไป ชายหนุ่มจึงแสร้งยกน้ำขึ้นดื่ม พิสมัยเดินกลับมาพร้อมกับหญิงวัยกลางคนตัดผมซอยสั้น ดูท่าทางห้าวเกินกว่าผู้หญิงทั่วไป
“อ้าว ป้าบัว มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” กันยกรยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนคนนั้น
“มาตั้งแต่เช้าแล้ว นี่ ป้ามีของมาฝากนายหัวด้วย” หล่อนคลี่กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ห่ออะไรบางอย่างเอาไว้ กันยกรเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในนั้น
“เอาไปในพวกในครัวทำมาเดี๋ยวนี้เลย อยากกินมาก” ชายหนุ่มบอกกึ่งออกคำสั่ง ซึ่งป้าบัวก็ทำตามแต่โดยดี หล่อนเดินหายกลับเข้าไปในครัว
“ป้าคนนั้นเขาเอาอะไรมาให้เหรอครับ” ธีทัตถามอย่างสงสัย
“หมอรอดูก็แล้วกัน แต่ว่าถ้าเห็นแล้วอย่าตกใจนะ” กันยกรบอกอย่างแฝงความนัย
ไม่นานป้าบัวก็กลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้หล่อนถือถ้วยใบใหญ่ เมื่อวางถ้วยลงบนโต๊ะก็เห็นว่ามีไข่มดแดงเม็ดเล็กๆ กลมรีเต็มถ้วย
“หมอรู้จักนี่รึเปล่า เคยกินไหม” กันยกรถามยิ้มๆ เมื่อเห็นคนผิวบางตรงหน้าต้องเบิกตากว้าง แต่แล้วก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ
“นี่มัน...ไข่มดแดงนี่ครับ! ของโปรดของผมเลย!” คนตัวโตเลิกคิ้วด้วยความงุนงง “หมอเคยกินด้วยเหรอ?”
“นายหัวแบ่งกับผมได้ไหม”
“ถ้าชอบหมอก็กินเถอะ ผมยกให้หมดเลย”
ชายหนุ่มตรงหน้าฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ปล่อยให้กันยกรคาดคิดไม่ถึงว่าหมอหนุ่มผู้นี้จะชอบอาหารเปิบพิสดารอย่างไข่มดแดงเช่นเดียวกับเขา ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นภาพหมอหนุ่มผิวขาวอมชมพูสวมแว่นกรอบดำที่ดูยิ่งยโสและไว้ตัวกำลังตักไข่มดแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยจนลืมเก๊ก ไม่นานไข่มดแดงถ้วยใหญ่ก็หมดเรียบ
“อร่อยจัง”
“โอ้โห ไม่นึกเลยว่าหมอจะชอบกินของแปลกแบบนี้ ผิดคาดเลยนะเนี่ย ผมนึกว่าคนเมืองกรุงแบบหมอจะกินอะไรแบบนี้ไม่เป็นซะอีก” กันยกรบอก
“แปลกตรงไหน ไข่มดแดงนี่ไม่ใช่ของแปลกนะครับ ถ้าจะให้แปลกจริงๆ ต้องเป็นพวกงู แมงมุม แมงป่อง ไข่มดแดงนี่เคยกินตอนไปฝึกงานที่อีสานครับ ผมชอบมาก ไม่เคยกินอะไรอร่อยแบบนี้มาก่อน อีกอย่าง แม่ผมสอนไว้ว่าไม่ควรเลือกกิน มีอะไรผมก็กินหมดแหละ”
“เลี้ยงง่ายดีนี่นา” คนตัวคล้ำพูดยิ้มๆ “หมอกินไอศกรีมไหม ผมเหมาไอศกรีมกะทิมาเลี้ยงคนงานด้วย อยู่ตรงโน้นแน่ะ”
ถังสแตนเลสบรรจุไอศกรีมกะทิที่พร่องลงไปเล็กน้อย เด็กหญิงตัวเล็กสวมฮิญาบสีสันสดใสยืนเขย่งขาเกาะขอบถังไอศกรีม ธีทัตตักไอศกรีมพูนถ้วยส่งให้เธอ เด็กน้อยยิ้มให้เขาจนเห็นฝันหลอก่อนจะรับถ้วยไอศกรีมมา ชายหนุ่มตักไอศกรีมให้ตัวเอง ไม่ลืมที่จะตักจนพูนถ้วยเช่นกัน
“ด้านหลังบ้านคืออะไรครับ” หมอหนุ่มถามพลางตักไอศกรีมกินอย่างเอร็ดอร่อย
“อ๋อ สวนมังคุดน่ะ อยากไปเดินเล่นไหม” เจ้าของบ้านถาม แขกคนพิเศษพยักหน้าหงึกหงัก ในเมื่อกินอิ่มแล้ว ลุกไปเดินย่อยสักนิดก็น่าจะดี พิสมัยเองก็น่าจะยังไม่กลับบ้านในตอนนี้ เธอแวะคุยกับคนรู้จักคนนั้นทีคนนี้ที นานๆ ครั้งจะเดินกลับเข้าไปหาอาหารในครัวมาเสิร์ฟให้แขกในงานเลี้ยง
ร่างสูงใหญ่ล่ำสันเดินนำร่างสูงโปร่งไปยังสวนมังคุดที่อยู่บนที่ดินแปลงด้านข้างบ้าน เสียงใบไม้แห้งดังแกรบกราบเมื่อทั้งสองเดินผ่านตัดเข้าไปในสวน ต้นมังคุดนับสิบปรากฏขึ้นตรงหน้าธีทัต ชายหนุ่มห่อปากเพราะไม่เคยเห็นต้นมังคุดมาก่อน
“โอ้โห คุณรู้ไหมว่าผมชอบกินมังคุดมาก แต่ไม่เคยเห็นต้นมังคุดมาก่อนเลย” ธีทัตบอก
“ผมว่าจะโค่นแล้วล่ะ จะเปลี่ยนไปปลูกอย่างอื่นแทน”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ ผมว่าน่าอิจฉาดีออก มีต้นมังคุดมากขนาดนี้คงได้กินมังคุดทุกวันเลยสินะฮะ”
“ตลกน่าหมอ มังคุดมันเก็บยาก เสียเวลาด้วย จะเก็บทีนึงก็เก็บได้ทีละลูก บางครั้งบำรุงไม่ดีพอถึงฤดูมันไม่ออกลูกก็มี” กันยกรอธิบาย
“นายหัวปลูกอะไรบ้างเนี่ย”
“ผลไม้ก็มีทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง ลางสาด แต่หลักๆ ก็มียางพารา ปาล์มน้ำมัน หมอถามทำไมเหรอ”
“ก็...อยากรู้นี่ครับ” ธีทัตตักไอศกรีมกินต่อ
กันยกรเดินมาถึงขนำหลังเล็กที่เปิดโล่งรอบด้าน สร้างเอาไว้กลางสวนอย่างเรียบง่าย เพื่อเป็นที่พักเหนื่อยชั่วคราวสำหรับคนสวนที่มาเก็บมังคุด ธีทัตนั่งลงข้างๆ ร่างสูงใหญ่ ขนำหลังนี้อยู่กลางสวนห่างไกลจากบ้านที่จัดงานเลี้ยงพอสมควรทำให้ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมคนทั้งสอง
“หมอสนิทกับไอ้วีเหรอ” จู่ๆ คนตัวใหญ่ก็ถามขึ้น เขาหันมามองธีทัตที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ไม่สนิทหรอก อาจารย์วิธานบอกว่าพี่วีเป็นรุ่นพี่ผม ผมเองก็เพิ่งมารู้จักเขาที่นี่แหละ บังเอิญอยู่ห้องตรงข้ามกัน”
“อ้อ พักใกล้กันด้วยคงคุยกันบ่อยสินะ” น้ำเสียงนั้นเหมือนแฝงความน้อยใจอยู่ในที
“ไม่บ่อยหรอกครับ เอ้อ แต่วันก่อนก็เพิ่งคุยกัน ผมไปกินข้าวที่ห้องพี่วีมา พี่วีบอกว่าเคยเป็นเพื่อนกับนายหัวมาตั้งแต่เด็กๆ” คราวนี้คนตัวโตเป็นฝ่ายแปลกใจ
“ไอ้วีมันเล่าอะไรให้หมอฟังบ้าง”
“ไม่ได้เล่าอะไรนี่ครับ” คนผิวบางยักไหล่ อันที่จริงแล้วปฐวีเล่ามากมายด้วยซ้ำ แต่เป็นเรื่องแย่ๆ ของอีกฝ่ายเสียมากกว่า
“ตอนเด็กๆ นายหัวชอบเรียนวิชาอะไรเหรอครับ”
“อืม ผมชอบศิลปะกับพละ”
“ผมนึกว่าจะชอบเรียนเกษตรซะอีก เห็นเป็นเกษตรกร” คราวนี้เป็นฝ่ายกันยกรที่ต้องหัวเราะเสียงดัง “หมอคิดว่าวิชาเกษตรที่เคยเรียนสมัยประถมจะเอามาใช้ประกอบอาชีพได้เหรอ วันๆ เรียนแต่รดน้ำต้นไม้”
“ผมเคยเป็นสถาปนิกมาก่อน” กันยกรบอกหลังจากที่หยุดหัวเราะ
“แล้วทำไมถึงมาทำสวนได้ล่ะครับ”
“เมื่อก่อนผมทำงานเป็นสถาปนิกที่ออสเตรเลีย หลังจากที่พ่อเสียผมก็กลับมาเมืองไทย กลับมาทำงานแทนพ่อ ผมทิ้งครอบครัวไปไม่ได้หรอก มีน้องชายกับน้องสาวอีกสองคนที่กำลังเรียนอยู่...ทำไมหมอทำหน้าแบบนั้น” กันยกรถามเมื่อเห็นชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ มองเขาด้วยแววตาประหลาดใจ
“นึกไม่ถึงว่าคุณจะจบเมืองนอก แถมทำงานที่ออสเตรเลียอีกต่างหาก”
“อ้าวหมอ...พูดงี้หมายความว่าไง ผมดูเป็นคนไม่มีการศึกษาขนาดนั้นเลยเหรอ” กันยกรถามอย่างไม่ถือสา คนผิวขาวบางหัวเราะร่วน
“ผมล้อเล่นน่ะ ขอโทษด้วยก็แล้วกัน ไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าอย่างนั้น” ชายหนุ่มตักไอศกรีมคำสุดท้ายเข้าปาก ยกถ้วยขึ้นซดไอศกรีมที่ละลายเป็นน้ำจนเกลี้ยง
 “เรากลับกันเถอะ ป่านนี้พี่ไหมคงใกล้จะหาเสียงเสร็จแล้วมั้ง”
กันยกรหัวเราะอย่างชอบใจ ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ทั้งคู่เดินกลับมายังบริเวณบ้านอีกครั้ง แขกเหรื่อที่มาร่วมงานเริ่มทยอยกันกลับไปแล้ว พระอาทิตย์เริ่มราแสงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอีกไม่นานราตรีกำลังจะมาเยือน
“หมอมาพอดี หายไปถึงไหนกันมาคะ” พิสมัยถาม
“ไปเดินเล่นดูสวนมังคุดด้านหลังมาครับ พี่ไหมจะกลับหรือยัง”
“ใกล้แล้วล่ะค่ะ รออีกแป๊บนึงนะคะ คุณนายบอกว่ามีของจะให้หมอออมด้วย”
กานดาเดินออกมาจากครัวหลังบ้าน ในมือของหล่อนมีถุงใบใหญ่บรรจุกล่องพลาสติกอยู่เกือบเต็มถุง
“ปูนึ่งค่ะ กล่องนี้ปูเนื้อ อีกกล่องปูไข่นะคะ ป้าได้มาสดๆ เลย เนื้อหวานแน่นอนค่ะ”
“อ้าวแม่ กันย์ก็ชอบกินปูนะ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่โวยวาย แต่ไม่จริงจังนัก
“อย่าเสียมารยาทกับหมอ ของลูกแม่เก็บไว้ให้แล้ว อันนี้ของหมอออม” หล่อนเอ็ดลูกชาย
“ขอบคุณมากนะครับ วันนี้ผมได้กินอาหารที่อร่อยที่สุดนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เลยครับ กินแต่อาหารโรงพยาบาลทุกมื้อก็เบื่อเหมือนกันครับ”
“โถ คุณหมอกินข้าวโรงพยาบาลทุกวันคงเบื่อแย่เลยนะคะ งั้นพรุ่งนี้ป้าจะทำอาหารใส่ปิ่นโตไปให้นะคะ” หล่อนมองหมอหนุ่มอย่างอดสงสารไม่ได้ นึกถึงอาหารจืดๆ ชืดๆ ของโรงพยาบาล
“ขอบคุณนะครับ งั้นผมลาแล้วนะครับ คุณป้าดูแลสุขภาพดีๆ นะครับ อย่าลืมกินยาด้วย” คนเป็นหมอไม่วายกำชับคนไข้ เขาบอกลากานดาแล้วเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์กับพิสมัย ชายหนุ่มร่างสูงอีกคนเดินตามไปช้าๆ
“หมอ” เขาเรียก ธีทัตหันกลับมา ปล่อยให้พิสมัยเดินล่วงหน้ากลับไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดทิ้งไว้
“ครับ?”
“ขออะไรอย่างนึงได้ไหม”
“อะไรเหรอครับ”
“อย่าเรียกผมว่านายหัวได้ไหม มันฟังดูห่างเหินชอบกล” คนตัวสูงเกาแก้เก้อด้วยการยกมือขึ้นเสยผมแล้วหลบตา
“อ้าว แล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะครับ ทุกคนก็เรียกกันแบบนั้นนี่นา”
“คนอื่นเรียกมันไม่เท่าไหร่หรอก หมอเรียกว่าพี่กันย์ก็พอ” ธีทัตสบตาอีกฝ่าย ทั้งคู่มองตากันครู่หนึ่งหากไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง เขารับรู้ได้ว่ามีความหมายอะไรบางอย่างสื่อออกมาจากดวงตาคมวับคู่นั้น มันมีพลังมากพอที่จะทำให้หัวใจหมอหนุ่มไหววูบ
“โอเคครับ พี่กันย์”
คำตอบของคนผิวบางทำให้กันยกรแย้มยิ้มออกมาอย่างพอใจ เขาหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน ธีทัตหันหลังกลับเดินไปยังมอเตอร์ไซค์สีฟ้าที่จอดใต้ร่มไม้ รถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าสีฟ้าเคลื่อนตัวพ้นอาณาเขตของบ้านหลังใหญ่ไปนานแล้วแต่เจ้าของบ้านยังคงยิ้มกริ่มกับตัวเองไม่หยุด และหากใครที่ขับสวนกับรถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าสีฟ้าบนทางหลวงชนบทในวันนั้น หากสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่าชายหนุ่มผิวขาวบางสวมแว่นกรอบดำที่เป็นผู้นั่งซ้อนท้ายแอบยิ้มบางๆ กับตัวเองไม่หยุดเช่นกัน

ออฟไลน์ ใดฯจัง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แอร๊ยยยย ช่วงท้ายก่อนกลับบ้าน ฟินมากค่ะ  :katai2-1:

รอติดตามต่อค่ะว่าจะเป็นยังไง  ขอเป็นกำลังใจให้คุณดรีมด้วยนะคะ สู้ๆค่ะ

อ่านตอนที่เจ็ดตอนกลางคืนหิวมากค่ะ มีทั้งแกงแพะ ปูนึ่ง หมึก ไข่มดแดง  :z3:

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
เนื้อเรื่องน่าสนใจดีนะคะ
เหนืออื่นใด อ่านแล้วคิดถึงเมนูโปรดหลายเมนูเลย ฮือ ฮือ
โดยเฉพาะเมนู "ข้าวมันแกงไก่" ที่นายหัวชอบ ...
ที่คุณเขียนว่า "นาซินาแฆ"
คิดถึงมาก   ...

แต่เท่าที่ทราบ เมนูนี้เรียกว่า นาซิ ดาแกฺ หรือ นาซิ ดาแฆ (nasi dagang) ไม่ใช่เหรอคะ?

(อ้างอิงจาก พจนานุกรมภาพ ภาษาไทย-มลายูปาตานี-มลายูกลางอาหารอัตลักษณ์มลายู-ไทย ครัวมุสลิมชายแดนใต้ นะคะ)

edit : พยายามจะใส่ภาพอ้างอิง .. แต่ใส่ไม่ผ่าน
งั้นอ้างอิงด้วยตัวหนังสือเล็ก ๆ แทนนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2018 02:48:08 โดย Meen2495 »

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เนื้อเรื่องน่าสนใจดีนะคะ
เหนืออื่นใด อ่านแล้วคิดถึงเมนูโปรดหลายเมนูเลย ฮือ ฮือ
โดยเฉพาะเมนู "ข้าวมันแกงไก่" ที่นายหัวชอบ ...
ที่คุณเขียนว่า "นาซินาแฆ"
คิดถึงมาก   ...

แต่เท่าที่ทราบ เมนูนี้เรียกว่า นาซิ ดาแกฺ หรือ นาซิ ดาแฆ (nasi dagang) ไม่ใช่เหรอคะ?

(อ้างอิงจาก พจนานุกรมภาพ ภาษาไทย-มลายูปาตานี-มลายูกลางอาหารอัตลักษณ์มลายู-ไทย ครัวมุสลิมชายแดนใต้ นะคะ)

edit : พยายามจะใส่ภาพอ้างอิง .. แต่ใส่ไม่ผ่าน
งั้นอ้างอิงด้วยตัวหนังสือเล็ก ๆ แทนนะคะ


เออ อาจจะใช่ก็ได้ค่ะ พอดีว่าแถวบ้านคนเขียนเรียกแบบนี้ 555
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ ไว้จะเอาไปแก้ไขค่ะ :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด