ตอนที่ 5.1
[/color][/size][/b]
สนามบินสุราษฎร์ธานี
ธีทัตยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วเงยหน้าขึ้น ตาเรียวยาวจับจ้องที่หน้าจอแสดงเที่ยวบินขาเข้า เที่ยวบินที่คุณจารวีผู้เป็นมารดาโดยสารมาจากกรุงเทพลงจอดที่สนามบินสุราษฎร์ธานีเรียบร้อยแล้ว ไม่นานเขาก็เห็นร่างเล็กของมารดาเดินลากกระเป๋าออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ ชายหนุ่มโบกมือให้จารวี
“แม่ครับ ทางนี้ครับ!!”
“ออม”
ธีทัตโผเข้ากอดมารดาแน่น จารวีหอมแก้มลูกชายซ้ายขวาฟอดใหญ่ ก่อนจะมองเต็มตา เธอยิ้มเล็กน้อยเมื่อมองเสื้อกาวน์ตัวสั้นที่ลูกชายสวม บนอกปักชื่อ ‘นพ. ธีทัต ลีพานิชสกุล’
“ลูกแม่เป็นหมอเต็มตัวแล้วนะ มีคำนำหน้าชื่อว่านายแพทย์แล้วด้วย ไม่ใช่นักศึกษาแพทย์ เป็นอย่างไรบ้าง ทำงานเหนื่อยไหมลูก”
“เหนื่อยสุด ๆ เลยครับแม่ รู้งี้ไม่น่าเรียนหมอเลย...เรียนวิศวะอย่างที่ครูแนะแนวบอกก็ดี” ธีทัตคว้ากระเป๋าลากจากมือมารดา มืออีกข้างที่ว่างก็จับมือจารวีไว้
“เอาน่า แม่เชื่อว่าออมทำได้อยู่แล้ว ลูกแม่เก่ง”
“แม่อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ วันนี้ผมเลี้ยงเอง” ธีทัตหันมาถาม
“อืม ลูกอยู่สุราษฎร์มาสองอาทิตย์แล้ว พาแม่ไปกินร้านขึ้นชื่อของสุราษฎร์หน่อยสิ”
ธีทัตจอดรถหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ลมพัดมาเบา ๆ ขณะที่ธีทัตเดินอ้อมไปเปิดประตูรถให้จารวี ร่างสูงโปร่งเดินนำมารดาไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ติดแม่น้ำ
“ร้านนี้อาหารอร่อยมากครับ อาหารทะเลก็สดด้วย เสียดายที่มากลางคืน ถ้ามาตอนกลางวันแม่จะเห็นวิวแม่น้ำตาปียาวไปถึงโน่นแน่ะ” ชายหนุ่มชี้มือไปอีกฝั่งหนึ่ง “แม่อยากกินอะไรบ้างครับ”
“แม่กินอะไรก็ได้ อะไรที่ออมว่าอร่อยแม่ก็กินได้หมดแหละ” หล่อนยิ้มให้ลูกชาย มองดูธีทัตที่กำลังจัดการสั่งอาหารเองทั้งหมด
จารวีเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร หล่อนเลี้ยงลูกชายคนเล็กด้วยการตามใจ สิ่งไหนที่ธีทัตเห็นว่าดี เธอก็จะเห็นดีด้วยหมด เพราะหล่อนอยากจะเติมเต็มความรักจากพ่อที่ขาดหายไป โชคดีที่ลูกชายคนเล็กตั้งใจเรียน ไม่เคยทำตัวเกเรเลยสักครั้ง...
ปกรณ์อดีตสามีของจารวีเป็นทายาทรุ่นที่สองของตระกูลลีพานิชกุล เจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังหลายแห่ง แต่ด้วยความเจ้าชู้ของปกรณ์ทำให้เขามีภรรยาลับหลายคน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความอดทนของจารวีถึงขีดสุด จนกระทั่งวันที่ความอดทนของหล่อนได้หมดลง หล่อนจำวันนั้นได้เป็นอย่างดี เป็นวันที่ธีทัตกำลังจะขึ้นชั้นประถม 1 วันนั้นเด็กชายสวมชุดนักเรียนตัวใหม่เป็นวันแรก
“ออม ถอดชุดนักเรียนมาเถอะ แม่จะให้พี่มลเอาไปซักให้”
“ไม่เอา ออมจะรอพ่อ ออมจะให้พ่อดู” เด็กชายสวมชุดนักเรียนใหม่ รองเท้าถุงเท้าใหม่เต็มยศ
จารวียิ้มอ่อนให้ลูกชาย หล่อนรู้ดีว่าสามีจะกลับมาตอนเย็น และก็คงจะออกไปกับผู้หญิงคนใหม่เหมือนอย่างทุกวัน
“กว่าพ่อจะกลับมาก็ตอนเย็นโน่นแน่ะ เอามาให้แม่ซักก่อนเถอะ”
“ไม่เอา ออมจะรอพ่อ” เด็กชายกอดอก ทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ
“ตามใจ” หล่อนปล่อยเลยตามเลย มองลูกชายคนเล็กที่เดินอวดชุดนักเรียนใหม่กับพี่ชายอีก 3 คนอย่างเอ็นดู
“พี่อ้น พี่อั๋น พี่อาร์มดูสิ ออมจะขึ้นป.1 แล้ว” เด็กชายเดินไปพี่ชายทั้ง 3 คนที่กำลังนอนพังพาบอ่านหนังสือการ์ตูนในห้องนั่งเล่น
“กะอีแค่ขึ้นป.1 ทำเป็นเห่อไปได้ แล้วนี่จะใส่ชุดนักเรียนนอนรึไง” ธีภพพี่ชายคนโตพูดขณะเล่นเกมกดในมือ
“เด็กน้อเด็ก” ธีมาพี่ชายคนรองขยี้หัวน้องชายเบา ๆ แล้วก้มลงอ่านหนังสือการ์ตูนต่อ
“ขึ้นป.1แล้วอะ อย่าให้ใครมาแกล้งนะเว้ย ถ้ามีใครแกล้งมาบอกพี่ พี่จะไปต่อยมัน” ธีรัชพี่ชายคนที่สามบอก
“อาร์มอยู่แค่ป.2 ทำเป็นซ่า ต้องให้พี่อ้นไปต่อยมันถึงจะถูก พี่อ้นอยู่ป.6 พี่อ้นโตสุด”
กว่าที่ปกรณ์จะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม เขาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมด้วยหญิงสาวคนหนึ่ง จารวีจำได้ว่าเธอคือนักแสดงที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในขณะนั้น
“รอพี่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา” ปกรณ์หอมแก้มเธอฟอดหนึ่ง จารวีเบือนหน้าหนีภาพนั้น
“คุณคะ ออมรอคุณอยู่ค่ะ ไปหาลูกหน่อยสิคะ”
“อะไรอีกล่ะ ผมกำลังรีบ เงินก็ให้ไว้แล้วนี่ มันอยากได้อะไรก็ซื้อให้มันไปสิ” ปกรณ์บอกอย่างหัวเสีย
“ลูกไม่ได้อยากได้อะไรค่ะ ลูกกำลังจะขึ้นป.1 ลูกอยากให้คุณเห็นตอนลูกใส่ชุดนักเรียน...” ยังไม่ทันที่จารวีจะพูดจบ ธีทัตก็ออกมาจากห้องนั่งเล่น
“คุณพ่อกลับมาแล้ว” เด็กชายรีบวิ่งมาหาผู้เป็นพ่อ ยกมือไหว้นิดหนึ่ง แต่สีหน้าของปกรณ์ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ
“อ้อ เออ ดีนิ” เขาลูบลูกชายอย่างขอไปทีแล้วเดินกลับขึ้นไปบนห้องชั้นสอง
“พ่อครับ ออมจะขึ้นป.1แล้ว ดูนี่สิ” เด็กชายถามขึ้นด้วยความไร้เดียงสา
“อย่าเพิ่งมากวนพ่อตอนนี้ พ่อกำลังจะรีบออกไปข้างนอก”
“พ่อจะไปไหนครับ” ธีทัตจับมือพ่อ “ให้ออมไปด้วยได้มั้ย”
“เฮ้ย รำคาญ บอกว่าอย่ามายุ่ง” ปกรณ์ขึ้นเสียงผลักลูกชายออกไปให้พ้นทาง
แต่ด้วยแรงที่มากกว่าทำให้ธีทัตล้มทำให้หัวกระแทกกับมุมเหลี่มขอบโต๊ะตัวหนึ่ง เด็กชายร้องไห้จ้า เลือดไหลอาบใบหน้า จารวีถลาเข้าไปหาลูกหล่อนพยายามห้ามเลือดให้ลูกชาย เสียงร้องไห้ของธีทัตทำให้ลูกชายอีกสามคนออกมาจากห้องนั่งเล่น เด็กทั้งสามตกตะลึงเมื่อเห็นเลือดไหลอาบใบหน้าน้องชายคนเล็ก ธีรัชสติดีสุดเขารีบหาผ้าสะอาดมาห้ามเลือดให้น้องชาย
“โว้ย กะอีแค่เป็นแผลนิดเดียวจะโวยวายหาอะไรวะ พาไปหาหมอสิ เราออกไปข้างนอกกันเถอะ” ปกรณ์โอบไหล่หญิงสาวที่มาด้วยกัน ทั้งคู่เดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามองเลยสักนิด หลังจากวันนั้นจารวีตัดสินใจฟ้องหย่าสามี ศาลตัดสินให้ทั้งคู่มีสิทธิ์ในการเลี้ยงลูกคนละเท่า ๆ กัน ปกรณ์มีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูธีภพและธีมา ส่วนจารวีได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูธีรัชและธีทัต
“ไหนให้แม่ดูหน่อยสิ แผลเป็นเริ่มจางลงตั้งเยอะแล้วนี่” จารวีลูบรอยแผลเป็นใต้คิ้วหนา อุบัติเหตุในวันนั้นแผลไม่ใหญ่นักแต่ก็ลึกพอสมควร ผู้เป็นพ่อไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด แผลคิ้วแตกเมื่อ 18 ปีก่อนยังคงเหลือรอยจางไว้ที่หางคิ้วและในใจของเจ้าตัว
“ออม” จารวีเรียกชื่อลูกชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง หล่อนส่งก้มลงหาของบางอย่างในกระเป๋าถือ จารวียื่นกล่องรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าผูกโบว์ด้วยริบบิ้นสีทอง
“พ่อกำชับให้แม่เอานี่มาให้ลูกให้ได้” ธีทัตนิ่งเงียบมองกล่องของขวัญตรงหน้าอย่างครุ่นคิด สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา ธีทัตเลื่อนกล่องของขวัญกลับไปยังมารดา
“แม่เอาไปคืนเขาเถอะครับ ออมไม่อยากได้ของของเขา”
“ออม...”
“แม่ครับ ออมเคยบอกแล้วไงครับว่าออมไม่อยากพูดถึงคนคนนี้ ถ้าแม่ไม่อยากให้ออมรู้สึกไม่ดี แม่อย่าพูดถึงเขาเลยนะครับ”
“แม่เพิ่งรู้ว่าออมบอกพ่อไปว่าไม่อยากให้พ่อมางานรับปริญญาของออม รู้มั้ยว่าพ่อเสียใจมาก ออมน่าจะไปเยี่ยมพ่อบ้าง พ่อดีใจมากเลยนะตอนที่รู้ว่าออมเป็นหมอแล้ว พ่อเขาอยากให้ออมไปดูตอนที่เขาจะทำเคมีบำบัด”
“ยังไงเขาก็เป็นพ่อนะออม”
ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี ตาเรียวยาวมองไปยังเงาดำของแม่น้ำตาปี อาหารที่สั่งไว้ถูกนำมาเสิร์ฟพอดี ธีทัตหลบสายตาผู้เป็นแม่แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอาหารแทน จารวีดูออกว่าลูกชายพยายามจะกลบเกลื่อน หล่อนรู้ดีว่าเธอไม่สามารถบังคับลูกชายคนเล็กได้แล้ว แผลเป็นในใจของธีทัตถูกทิ้งไว้นานเกินไป
“หมอออมคะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างโต๊ะ
ทั้งจารวีและธีทัตเงยหน้าตามเสียงพร้อมกัน หญิงสาวรูปร่างเพรียวบางคนหนึ่งส่งยิ้มให้ธีทัต
“อ้อ คุณ...คุณพราว”
“ดีใจจังเลยที่หมอออมจำพราวได้” พราวพิชชาหัวเราะคิกคัก
“คุณหมอมากินข้าวเหรอคะ ร้านนี้อาหารอร่อยทุกอย่างเลย โดยเฉพาะปลา อ้อ พราวนั่งตรงโน้นค่ะ” ธีทัตมองตามนิ้วเรียว เห็นแผ่นหลังกว้างนั่งหันหลังให้เขา แม้จะไม่เห็นหน้าแต่ธีทัตก็พอจะเดาออกได้ว่าเป็นใคร ‘อ้อ มากับนายหัวนั่นนี่เอง’ ธีทัตคิดในใจ
“นี่คุณแม่ผมครับ” หญิงสาวยกมือไหว้จารวี “พราวไปก่อนนะคะ ดีใจที่ได้เจอหมอออมนะคะ” ธีทัตยิ้มให้เธอนิดหนึ่ง
“ใครน่ะ” จารวีถามลูกชายทันที
“ญาติของคนไข้น่ะครับ” ธีทัตวางเนื้อปูขาวนวลที่แกะเปลือกหมดแล้วลงบนจานของจารวี
“หืม แน่ใจนะว่าเค้าไม่ได้คิดอะไรกับลูกแม่ ดูเค้าน่าจะชอบลูกอยู่นา” หล่อนเย้า
“โธ่ แม่ครับ เขามีแฟนแล้วครับ นั่นไงครับ แฟนเขาเป็นนายหัวเจ้าของสวนยางมีอิทธิพลในจังหวัดนี้ด้วยครับ”
ธีทัตพยักเพยิดไปยังผู้ชายร่างสูงที่นั่งหันหลังตรงข้ามกับพราวพิชชา อดรู้สึกขุ่นใจไม่ได้ที่เจ้าของร่างสูงนั้นไม่คิดแม้แต่จะหันมายิ้มทักทายเหมือนอย่างที่เคยทำ สิ่งหนึ่งที่ธีทัตไม่ได้สังเกตเลยว่าชายหนุ่มคนนี้รูปร่างสมส่วนแตกต่างจากกันยกรที่ช่วงไหล่หนากว่า
“ว้า เสียดายจัง แม่อุตส่าห์ดีใจนึกว่าจะได้สะใภ้ซะแล้ว แม่ว่าเค้าน่ารักดีนะ ดูนิสัยดีด้วย” ธีทัตอมยิ้มเมื่อนึกถึงพราวพิชชา เขาจัดแจงตักต้มยำทะเลใส่ถ้วย แล้วส่งให้ผู้เป็นแม่
“แล้ว...เมื่อไหร่แม่จะได้ลูกสะใภ้บ้างล่ะ อย่าบอกนะว่าไม่มีใครมาชอบลูกชายแม่เลย”
“ออมยังไม่คิดเรื่องนั้นหรอกครับ”
“แม่ว่าคิดบ้างก็ดีน้า ผู้หญิงดี ๆ สมัยนี้เริ่มหายากทุกที แม่อยากอุ้มหลานแล้ว”
“ลูกพี่อ้นพี่อั๋นไงครับ” ธีทัตเอ่ยถึงพี่ชายคนโตและคนรอง
ตั้งแต่ที่จารวีและปกรณ์แยกทางกัน แม้พี่ชายทั้งสองคนอยู่ในความดูแลของผู้เป็นพ่อ แต่ปกรณ์ก็ ไม่เคยดูแลลูกทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย กลายเป็นคุณปกผู้เป็นปู่เสียอีกที่มีเมตตาคอยเติมเต็มความอบอุ่นให้ธีภพและธีมา หลังจากที่คุณปกผู้เป็นปู่เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจปกรณ์ก็ส่งลูกชายคนโตทั้งสองไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเหมือนเป็นการผลักไสภาระของตัวเอง ธีทัตเคยคิดว่าเขาโชคดีกว่าพี่ชายทั้งสองมาก ถึงแม้จะไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อ แต่เขาก็ยังได้รับความอบอุ่นจากแม่เสมอมา
“พี่อ้น พี่อั๋น เป็นยังไงบ้างครับ” ชายหนุ่มถามถึงพี่ชายทั้งสอง
“สบายดี อ้นเพิ่งจะมาหาแม่ที่บ้านเมื่อวันก่อน ตอนนี้พี่อ้นทำงานแทนคุณพ่อทั้งหมดแล้ว” จารวีเล่าถึงลูกชายคนโต “ส่วนพี่อั๋นก็กำลังจะแต่งงานปลายปีนี้ ถ้าออมว่างก็ขึ้นไปงานแต่งงานพี่เขาด้วยนะ”
พราวพิชชาเดินกลับไปที่โต๊ะ เธอเห็นหลี่อี้กำลังรัวนิ้วพิมพ์โทรศัพท์มือถือ
“ทำอะไรน่ะ แอบทำงานเหรอ ไหนยูบอกว่าวันนี้จะให้เวลาไอเต็มที่ จะไม่ทำงานไง” พราวพิชชาแว้ดใส่สามี
“ไม่ได้ทำงานเสียหน่อย” เขาโชว์โทรศัพท์มือถือให้ดู
“นี่ พรุ่งนี้เราไปเที่ยวเกาะเต่ากันเถอะ ไอจองสปารีสอร์ตไว้แล้ว ฮันนีมูนรอบสองไง”
พราวพิชชาเบิกตากว้าง ไม่เชื่อหูตัวเอง “นี่ไอหูฝาดไปรึเปล่า ยูลืมไปแล้วหรือว่าเราไม่เคยฮันนีมูนกันเลยสักครั้ง” หญิงสาวถอนหายใจเมื่อนึกถึงแผนฮันนีมูนที่เคยล่มมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะหลี่อี้มีงานด่วนเข้ามา
“เราเคยวางแผนจะไปฮันนีมูนกันที่เกาะเซบู แต่ยูมีงานด่วนแทรกมาเสียก่อน จนต้องยกเลิกแผนฮันนีมูนไง ยูจำไม่ได้เหรอ”
“เอ้อ จริงด้วยสิ” ชายหนุ่มเกาหัวแก้เก้อ “แต่ครั้งนี้เราจะไปฮันนีมูนกันจริง ๆ นะ”
“ก็ได้ หวังว่าคงจะไม่มีงานเข้ามาอีกนะ”
ธีทัตสละห้องนอนให้กับจารวี ส่วนตัวเองก็ออกมานอนบนโซฟาในห้องนั่งเล่น เมื่อทิ้งตัวลงนอนเขาเหลือบไปเห็นหนังสือ เดอะ ซีเคร็ต ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กใกล้โซฟา เขาเอื้อมมือหยิบหนังสือมาเปิดอ่าน หน้าแรกเขียนไว้ว่า ‘หวังว่า เดอะ ซีเคร็ต จะช่วยนำพาความรักและความรื่นรมย์มาสู่ทุกชีวิตทุกส่วนเสี้ยวของคุณ’ ธีทัตเบ้ปาก แต่นิ้วเรียวยาวยังคงเปิดไปหน้าต่อไป
กฎแห่งแรงดึงดูดทำหน้าที่ของมันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม...
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ธีทัตปิดหนังสือแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอโชว์เบอร์ที่ไม่คุ้นเคย เขารีบกดรับสายทันที
“สวัสดีครับ” ธีทัตกรอกเสียงลงไป “หมอออมรึเปล่าครับ สะดวกคุยไหม” ปลายสายถาม
“นั่นใครครับ”
“จำเสียงผมไม่ได้เหรอครับ” ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
ธีทัตขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเบิกตากว้าง “คุณ! เอ้ย นายหัวกันย์เหรอครับ”
“อ้าว ก็จำได้นี่นา” กันยกรหัวเราะร่วน
“คุณได้เบอร์ผมมาจากไหน” ธีทัตถามด้วยน้ำเสียงขุ่น
“หมอลืมไปแล้วเหรอครับว่าผมเป็นใคร แค่เบอร์โทรของหมอแค่นี้ทำไมผมจะหามาไม่ได้”
ธีทัตบีบนวดขมับ ต้องเป็นพี่ไหมแน่ ๆ เขาลืมคิดไปว่ากันยกรเป็นที่รู้จักของคนในจังหวัดนี้ ถ้าเขาอยากจะได้เบอร์โทร เรื่องแค่นี้เขาทำได้อยู่แล้ว
“ไม่ทราบว่านายหัวมีธุระอะไรเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่อยากคุยด้วย”
“ห๊ะ แค่เนี้ย? ถ้าไม่มีอะไรผมขอวางสายนะครับ ผมต้องการพักผ่อน”
“ดูเหมือนหมอจะไม่อยากคุยกับผมนะครับ”
“ถ้าคุณจะโทรมากวนเฉย ๆ ผมก็ไม่อยากคุยด้วยหรอกนะครับ แค่นี้นะครับ”
“เอาเถอะ ผมว่ายังไงหมอต้องโทรหาผมอยู่แล้ว...” ยังไม่ทันที่กันยกรจะพูดจบ ธีทัตก็กดตัดสายอย่างรำคาญ เขาบล็อกเบอร์โทรของกันยกรโดยไม่ต้องคิด ก่อนจะล้มตัวลงนอนรูปร่างสูงล่ำสันและใบหน้าคมเข้มของกันยกรยังคงติดอยู่ในหัวของธีทัต เจ้าของแผ่นหลังกว้างที่เจอที่ร้านอาหารนั่งหันหลังไม่แม้แต่จะหันมายิ้มทักทายทั้งที่ก็เคยเจอกันหลายครั้ง ความรู้สึกเหมือนกับน้อยใจแล่นเข้ามาในจิตใจ มันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนชายหนุ่มต้องสะบัดหัวไล่ความคิดออกไป
ธีทัตตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ตามปกติ แต่วันนี้เป็นวันพิเศษวันหนึ่งคือเขาได้รับประทานอาหารเช้าฝีมือจารวีก่อนออกมาราวน์วอร์ด
“ทำไมไม่ซื้อของกินไว้ติดตู้เย็น อาหารแช่แข็งพวกนี้กินเข้าไปบ่อย ๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ” จารวีบ่นอุบเมื่อเปิดตู้เย็นแล้วเจอแต่อาหารแช่แข็ง
“โธ่ แม่ครับทุกวันนี้โชคดีแค่ไหนแล้วที่โรงพยาบาลเขาเลี้ยงอาหารเที่ยง อาหารเย็น เลยได้กับข้าวมากินทุกวัน”
“อาหารโรงพยาบาลมันจะไปถูกปากได้ไง แม่ว่าทำเองดีกว่าเยอะ ถ้าไม่อยากทำเองก็ไปซื้อที่ตลาด” ธีทัตอมยิ้ม ไม่อยากเถียงกลับ อย่าว่าแต่จะทำอาหารเลย เวลาที่จะไปตลาดก็แทบจะไม่มีด้วยซ้ำไป
“วันนี้แม่จะไปตลาดสด ซื้อของมาทำอาหารเย็นให้กิน ไม่ต้องรับปิ่นโตอาหารเย็นมาล่ะ” ธีทัตรับคำก่อนจะออกไปทำงาน
ชายหนุ่มรีบตรงปรี่เข้าไปหาพิสมัยที่วอร์ดอายุกรรมขณะราวน์วอร์ดรอบเช้า
“พี่ไหม ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
“อ้าว หมอออมมาพอดีเลย พี่กำลังจะโทรถามพอดี”
“มีอะไรเหรอครับ” ธีทัตถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงนิดหนึ่ง
“คนไข้ที่ชื่ออารี ห้องพิเศษ 416 ค่ะ เมื่อคืนแผลผ่าตัดติดเชื้อ ไข้ขึ้นสูงมากจนถึงตอนนี้ไข้ยังไม่ลดเลยค่ะ”
“งั้นเหรอครับ ผมจะไปราวน์วอร์ดก่อน เสร็จแล้วจะแวะขึ้นไปดู ระหว่างนี้ให้ยาลดไข้ไปก่อนนะครับ” ธีทัตรีบก้าวขาอย่างเร่งรีบ ที่นายหัวโทรมาหาเมื่อคืนจะเกี่ยวกับคนไข้หรือเปล่านะ? ถ้าใช่เขาก็เป็นหมอที่แย่มากที่ผลักไสหน้าที่ออกไป
ธีทัตกลับเข้ามาดูอารีที่ห้อง 416 อีกครั้งหลังจากราวน์วอร์ดเสร็จ เขาเปิดดูแผลด้วยความเบามือ รอบๆ บริเวณแผลผ่าตัดบวมแดงบ่งบอกว่าติดเชื้อ ธีทัตถอนหายใจอย่างโล่งอกที่แผลไม่รุนแรงนัก
“รัพเจอร์ แอพเพนดิก
* อยู่ก่อนแล้ว คัลเจอร์
** หา source
*** ด้วยนะครับ” ธีทัตสั่งด้วยความคล่องแคล่ว
“วันนี้ไม่มีญาติคนไข้มาเฝ้าเหรอครับ” ธีทัตถามพิสมัย
“เฮียเส็งสามีคนไข้เพิ่งกลับบ้านไปเมื่อเช้าค่ะ ไม่รู้ว่ามีว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นรีบกลับไปแต่เช้า” ธีทัตพยักหน้าไม่ตอบอะไรอีก เพราะต้องรีบกลับไปตรวจคนไข้ต่อที่หอผู้ป่วยนอก
กันยกรขับรถเข้าไปในตัวเมืองกับสันต์ตั้งแต่เช้า เพื่อเข้าไปสั่งปุ๋ยล็อตใหม่ที่เอามาใส่ในสวนยางและสวนผลไม้ สันต์นั่งคู่กับเขาที่เบาะหน้า ชายหนุ่มมองท้องฟ้าแล้วเริ่มบ่นเรื่องฝนฟ้าอากาศที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่าจะมีฝนตกหนักในคืนนี้
“กรมอุตุเค้าบอกว่าฝนจะตกหนักนะนายหัว ฟ้าก็ครึ้มเชียว ขอให้ตกกลางวันนี้ทีเถอะ คืนนี้จะได้กรีดยางได้อีกวัน เฮ้อ ค่ายางตอนนี้ก็ลงเหลือเกินนะครับ 40 กว่าบาทแล้ว รัฐบาลก็น่าจะช่วยสักหน่อย ขอสัก 80 ก็ยังดี วันก่อนไอ้ชมก็สั่งปุ๋ยมาผิด สั่งสูตร 0-0-60 มาใส่ทุเรียน ผมบอกมันแล้วมันก็ไม่จำเลยว่าห้ามใส่ปุ๋ยสูตรนี้ นายหัวน่าจะจัดการมันบ้างนะครับ...” กันยกรเบรกรถดังเอี๊ยดจนสันต์หน้าคะมำ
“บ่นจบรึยัง อายุไม่เท่าไหร่บ่นเป็นหมีกินผึ้งไปได้ เลิกบ่นได้แล้ว จะถึงร้านแล้ว เตรียมใบสั่งของไว้ให้ดี” กันยกรเลี้ยวรถเข้าไปบริษัทจำหน่ายปุ๋ยที่คุ้นเคยกันดี หลังจากจอดรถเรียบร้อยสันต์รู้หน้าที่ว่าตัวเองจะต้องทำอะไร เขารีบเดินเข้าไปสั่งปุ๋ยในสำนักงานทันที
“เอ้า วันนี้มันวันไอไรวะ นายหัวกันย์มาหาเลย พันพรื่อมั่ง” ชายสูงวัยคนหนึ่งส่งเสียงทักทาย พลางเดินเข้ามาตบบ่าทักทายกันยกรอย่างสนิทสนม
“สวัสดีครับเถ้าแก่ ผมจะเข้าไปในเมือง เลยแวะมาสั่งปุ๋ยด้วย”
“เอ้ย แลลูกค้าให้ดีนะ อย่าให้เสียชื่อกู” เถ้าแก่หันไปสั่งลูกน้อง เมื่อสั่งของเสร็จเรียบร้อยแล้ว กันยกรยกมือลาเถ้าแก่เจ้าของร้านก่อนจะเดินฝ่าแดดร้อนกลับไปขึ้นรถ สันต์เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“เอ้อ เกือบลืมเลยครับ วันก่อนคนงานมาบอกว่าถ้วยน้ำยางแตก ผมก็เลยสั่งที่ร้านเอาไว้ ไหนๆ เราก็เข้าเมืองมาแล้วแวะไปเอาเลยดีไหมครับ”
“ก็ดี จะได้ไม่เสียเที่ยว นายสั่งของร้านไหนเอาไว้”
สันต์บอกชื่อร้านขายอุปกรณ์การเกษตรร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองใกล้กับตลาดสดเทศบาล กันยกรสั่งให้สันต์ไปเอาของที่ร้านส่วนตัวเขาเองนึกอยากกินกาแฟดำเจ้าอร่อยในตลาดขึ้นมา จึงนัดแนะกันว่าหากสันต์ทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วให้โทรศัพท์หา เขาจะออกมาจากร้านกาแฟ
ตลาดเทศบาลตอนสายผู้คนเริ่มซา ไม่หนาแน่นเหมือนตอนเช้า บางร้านเริ่มเก็บร้านเพื่อกลับบ้านแล้วจะมาตั้งร้านใหม่ในตอนเย็น กันยกรเดินผ่านตลาดเพื่อไปร้านกาแฟเจ้าเก่าชื่อดังของเมืองสุราษฎร์ ชายหนุ่มหยุดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าบางคนที่รู้จัก หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งหิ้วของพะรุงพะรังเดินผ่านเขาไปยังแผงข้างๆ ชายหนุ่มเหลือบมองหล่อน ดูจากภายนอกก็รู้ว่าไม่ใช่คนในพื้นที่ เด็กหนุ่มวัยรุ่นใบหน้าซูบตอบ ดูปราดเดียวก็รู้ว่าติดยาเสพติดเดินตามหล่อนมาด้วย มือผอมของเด็กหนุ่มค่อยๆ ยื่นออกไปล้วงหาของในกระเป๋าโดยที่หญิงคนนั้นไม่รู้ตัว
“เฮ้ย ทำอะไรน่ะ” กันยกรถลาเข้าไปคว้าข้อมือผอมนั้น
“ปะ เปล่าครับ ไม่ได้ทำอะไร” เด็กหนุ่มสะดุ้งจะชักมือหนีแต่ก็ไม่ทัน
“ไม่ได้ทำอะไรได้ไง เห็นอยู่ว่ากำลังจะขโมยของ” กันยกรตวาดเสียงดัง ผู้คนในตลาดเริ่มหันมามองด้วยความสนใจ “มาด้วยกันหรือเปล่าครับ” เขาหันไปถามหญิงคนนั้น
“เปล่าค่ะ ฉันไม่รู้จักเขา”
“นั่นไง ยังจะบอกว่าไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ จะให้เรียกตำรวจมั้ย” เขาตวาดอีกครั้ง
“เอ่อ อย่าเรียกตำรวจเลยค่ะ ปล่อยเค้าไปเถอะค่ะ ของของฉันก็ยังอยู่ครบ ฉันไม่อยากมีปัญหา” หญิงคนนั้นขอร้องเอาไว้
“มึงไปเลย ไปไกลๆ เลย อย่ามาให้เห็นอีกนะ ถ้าเจออีกเมื่อไหร่ กูเรียกตำรวจมาจับมึงแน่” กันยกรปล่อยมือผอมบางนั้น เด็กหนุ่มรีบวิ่งแจ้นหนีไปทันที
“คุณน้าดูของให้ดีนะครับ มีอะไรหายบ้างรึเปล่า แล้วก็เวลาเดินในที่ที่มีคนเยอะๆ ก็ระวังไว้ด้วยนะครับ” กันยกรหันมาถามหญิงวัยกลางคน
“ไม่มีค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยเอาไว้ น้ามาสุราษฎร์ครั้งแรก เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้เอง เมื่อเช้าก็โดนรถตุ๊กๆ เรียกค่ารถแพงเกินจริง” จารวีบ่น
“จริงเหรอครับ พวกรถตุ๊กๆ นี่ก็หัวแหลม ชอบเรียกค่าโดยสารแพงกับนักท่องเที่ยว คุณน้าพักอยู่ที่ไหนครับ เดี๋ยวผมจะไปส่งครับ” จารวีมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ใบหน้าคมเข้มดูผ่านๆ เหมือนเป็นคนหน้าดุ แต่เขามีน้ำใจจนหล่อนรู้สึกซาบซึ้ง
“น้าพักแถวโรงพยาบาลค่ะ ส่งที่หน้าโรงพยาบาลก็ได้” กันยกรพยักหน้า สันต์เดินกลับมาจากร้านขายอุปกรณ์การเกษตรพอดี
“คุณน้ามาเที่ยวเหรอครับ” กันยกรถามขณะขับรถออกจากตลาด กำลังจะกลับรถเพื่อไปส่งจารวีที่โรงพยาบาล
“มาเยี่ยมลูกชายค่ะ ลูกชายมาทำงานที่นี่” หล่อนบอก
“อ้อ เหรอครับ ถ้ามีโอกาสก็ให้ลูกชายพาไปเที่ยวด้วยนะครับ ที่สุราษฎร์เรามีเกาะสวยๆ ชายหาดสวยๆ เยอะแยะเลย” กันยกรบอก มองจารวีจากกระจกมองหลัง
“ขอบคุณที่แนะนำนะคะ แต่น้าคงไม่ได้ไปเที่ยวไหนหรอกค่ะ ลูกชายเค้าทำงานทุกวัน นี่ก็มาช่วยเก็บกวาดบ้านให้เค้า อ้อ จอดที่หน้าโรงพยาบาลนั่นแหละค่ะ เดี๋ยวน้าเดินกลับบ้านเอง”
กันยกรชะลอรถแล้วจอดตรงหน้าโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี “คุณน้าแน่ใจนะครับว่าจะเดินกลับเองได้ ของตั้งเยอะแยะ”
“โอ๊ย ได้ค่ะ ของแค่นี้สบายมาก ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง” กันยกรพยักหน้าแล้วออกรถไป
“เอ้า ตายจริงว่าจะถามชื่อเสียหน่อย ลืมไปเลย” จารวีบ่นกับตัวเอง
ธีทัตกลับมารับประทานอาหารเที่ยงที่แฟลต จารวีทำกับข้าวไว้สองสามอย่าง ล้วนเป็นอาหารที่ธีทัตชอบทั้งสิ้น เมื่อลูกชายนั่งลงที่โต๊ะอาหารหล่อนก็นั่งตรงข้ามดูธีทัตกินอาหารด้วยความหิว
“วันนี้แม่ไปตลาดมา สงสัยวันนี้จะเป็นวันไม่ดีของแม่แน่ๆ เลย ตอนเช้าโดนรถตุ๊กๆ โกงค่ารถ พอเดินในตลาก็เกือบโดนล้วงกระเป๋า” จารวีบอกขณะตักผัดผักให้ตัวเอง
“แม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ” ธีทัตถามด้วยความตกใจ
“ไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ มีคนมาช่วยไว้ทัน เขายังใจดีมาส่งแม่ที่หน้าโรงพยาบาลด้วยนะ”
“ผมบอกแล้วว่าให้แม่ขับรถไปเอง แม่ไว้ใจคนแปลกหน้าได้ไงครับ”
“เขาช่วยแม่เอาไว้นะ ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นคนไม่ดีหรอก”
“คนสมัยนี้ดูภายนอกได้ที่ไหนครับ”
“เอาน่า เซ้นส์ของแม่บอกว่าเขาเป็นคนดีนะ”
“ทีหลังถ้าแม่จะไปไหนก็เอารถไปนะครับ เวลาเดินก็ระวังหน้าระวังหลังด้วย” ธีทัตบอกแกมสั่ง
“จ้า รู้แล้วจ๊ะ คุณหมอออมขี้บ่นเหมือนกันนะเนี่ย อ้าว อิ่มแล้วเหรอลูก” ประโยคสุดท้ายจารวีถามเมื่อเห็นธีทัตกินไปได้เกือบหมดก็รวบช้อนส้อม หยิบแก้วน้ำดื่ม
“ครับ ผมอิ่มแล้วล่ะครับ ต้องกลับไปดูคนไข้ด้วย แม่ยังทำอาหารอร่อยเหมือนเดิมเลยนะครับ คิดถึงบรรยากาศเดิมๆ จัง พี่อาร์มน่าจะได้มากินข้าวด้วยกัน”
“โอ๊ย ปล่อยรายนั้นไปเถอะ ตั้งแต่เรียนจบเตรียมทหารก็ไม่ค่อยชอบอาหารของแม่สักเท่าไหร่ ออมไปทำงานต่อเถอะลูก เดี๋ยวแม้จัดการล้างจานเอง” หล่อนหยิบจานตรงหน้าธีทัตไปไว้ที่อ่างล้านจาน
“เย็นนี้กลับมากินข้าวเย็นนะ แม่จะทำกับข้าวเก็บไว้ให้ในตู้เย็น” ธีทัตตอบรับแล้วยิ้มให้มารดาก่อนจะรีบออกไปทำงานต่อ
อารีอาการดีขึ้นในสองวันต่อมา จนสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ธีทัตจึงอนุญาตให้หล่อนออกจากโรงพยาบาลได้ กานดาและกันยกรมารับอารีกลับบ้านแทนเถ้าแก่เส็งสามีของอารีติดที่ต้องเฝ้าห้างทองซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว
“เมื่อเช้าหมอเข้ามารึยัง” กานดาถามเมื่อเห็นหน้าน้องสาว
“วันนี้หมอยังไม่ได้เข้ามาเลยพี่ดา พยาบาลเข้ามาบอกว่าหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว อ้าว ยัยหมิวไม่ได้มากับพี่ดาเหรอ” อารีถามเมื่อไม่เห็นลูกสาวของตัวเอง
สองวันก่อน หลังจากที่ได้ข่าวว่าอารีป่วย เวณิกาก็ลาออกจากงานกะทันหันโดยอ้างเหตุผลในการลาออกว่าต้องกลับมาดูแลแม่ที่ป่วย
“ตอนไปบ้านน้ารีก็ไม่เจอหมิวแล้วครับ น้าเส็งบอกว่าออกไปไหนแต่เช้า เอารถมอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยครับ” กันยกรบอก
“อีกแล้วเหรอไอ้ลูกคนนี้ น้าห้ามมันขับมอไซค์แล้วนะ กลัวรถราจะชน ดูสิยังจะดื้อขับอีก เฮ้อ ปวดหัวกับมันจริงจริ๊ง อยู่ๆ ก็ลาออกจากงานกลับมาอยู่บ้านเสียเฉยๆ” อารีส่ายหน้าอย่างระอากับลูกสาว
“เอาน่า อย่าไปว่ามันเลย หมิวมันกลับมาอยู่บ้านก็ดีแล้วจะได้ช่วยเส็งดูร้านทองด้วย รีกับเส็งก็อยากให้กลับมาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็อยากนะพี่ดา แต่อยู่ๆ นึกจะกลับก็กลับมา นึกจะไปก็ไป ฉันตามมันไม่ทันจริงๆ”
(มีต่อตอน 5.2)
[/color][/size]
หมายเหตุ* รัพเจอร์ แอพเพนดิก - ไส้ติ่งแตก
** คัลเจอร์ - เพาะเชื้อ
*** source - สาเหตุ