ผมไม่ใช่เด็กหนุ่มมอปลาย(ว้อยย!!)
"ก..กูขอตัวกลับก่อนนะ"
ผมรีบพูดขึ้นก่อนที่จะรู้สึกทรมานไปมากกว่านี้..
ผมลุกขึ้นก่อนจะออกกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากห้องสมุดไป โดยที่ไม่รอคำตอบจากริว..
..ผมรู้แล้วว่าวาโยอยู่ที่ไหน....................................
ผมยืนมองตัวเองในกระจกห้องน้ำในบ้าน..
ยืนมองร่างกายบอบบาง มือเล็กนุ่มนิ่ม และใบหน้าที่ละม้ายคล้ายตัวเองตอนหนุ่มแต่อ่อนหวานกว่า..
ดวงตากลมโตกว่า ริมฝีปากบางสวยกว่า..
หวานละมุนนี้คงได้แม่มา...“วาโย..พ่อรู้ว่าลูกอยู่ในนี้..”ผมพูดขณะที่จ้องมองดวงตาสีดำสนิทในกระจก...ดำสนิทเหมือนท้องฟ้ายามราตรี
ที่ผ่านมา..
ลูกชายของผมซ่อนตัวอยู่ในนี้นี่เอง..
วิญญาณดวงน้อยๆที่เปราะบางของเขา..
ซ่อนตัวอยู่ในตัวของเขาเอง..
ในส่วนลึกที่สุดของเขา..
วิญญาณดวงน้อยๆนั้นหลีกหนีความจริงที่เจ็บปวด...
หลีกหนีความทรมานและความโดดเดี่ยว...
เขาไม่ยอมออกมา..
นี้เป็นเหตุผลว่าทำไมยมบาลจึงหาวิญญาณเขาไม่พบ..
และเป็นเหตุผลว่าทำไม..ผมถึงรู้สึกเจ็บปวด..ทรมาน ว่างเปล่า และอึดอัด เมื่อเจอกับสถานการณ์บางอย่าง...หรือคนบางคนที่มีความทรงจำร่วมกันกับเขา...
มันเป็นความรู้สึกเจ็บปวดของเขานั้นเอง...
“พ่อรู้ว่าลูกเจ็บปวด...โศกเศร้า...ลูกคงอยากซ่อนตัวให้ไกลจากทุกสิ่ง..และคิดว่าชีวิตนี้ไม่มีค่าอะไร..
พ่อไม่อยากจะบอกลูกว่า ชีวิตมันมีค่ามากมาย ให้รักตัวเองมากๆ หรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ..
พูดไปก็อายเปล่าๆเพราะพ่อก็ไม่เคยทำได้เลย..ทั้งชีวิตของพ่อพิสูจน์เรื่องนั้นแล้ว...”
ผมมองเข้าไปในแววตาของเด็กหนุ่มที่อยู่ในกระจก...
พยายามมองหาตัวตนของเขาในนั้น
ชั่ววินาทีหนึ่งนั้น...แววตาของเขาสั่นไหว“ใช้ชีวิตต่อไปเถอะลูก พ่อไม่รู้หรอกว่าชีวิตต่อไปจะสนุกสนาน โศกเศร้า สมหวัง หรือผิดหวัง
มันอาจจะไม่ได้ดีนักหรอก..แต่มีแค่คนที่มีชีวิตอยู่เท่านั้นถึงจะรู้ได้..”
ผมหลับตา
มีเพียงความเงียบงัน ว่างเปล่า.. ที่แสนอึดอัดอยู่รอบๆตัว..
ผมเอาแต่บอกให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป บอกว่าคนอื่นๆรักเขามากเพียงใด
แต่มันเหมือนไปไม่ถึงเขาสักที.. เหมือนไม่เคยถึงเลย..
เหมือนว่าผมลืมบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญ..บางอย่างที่ผมไม่ยอมพูดออกไป
ในฐานะพ่อคนหนึ่ง..
ในฐานะผู้ชายที่ใช้ชีวิตเหลวเเหลก เห็นแก่ตัว..
ไม่เคยหันหลังกลับมาเลยสักครั้ง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีลูกชายตัวเล็กๆอยู่
ช่วงเวลาสิบกว่าปีของเด็กที่ควรจะมีพ่อคอยโอยอุ้ม คอยปกป้อง คอยคุ้มกัน
คอยเป็นหลักให้เขาตอนที่ร้องไห้
ผมควรจะอยู่ตรงนั้นตอนที่เขาเข้าโรงเรียนครั้งเเรก
ผมควรจะอยู่ตรงนั้นตอนที่เริ่มสังเกตว่าลูกชายมีบาดแผลจากการโดนเพื่อนแกล้ง
ผมควรจะอยู่ตรงนั้นตอนที่เขาอ่อนแอด้านการเล่นกีฬาจนโดนคนอื่นๆล้อ
ผมควรจะอยู่ตรงนั้นตอนที่เขาโดนไอ้เด็กต่างโรงเรียนนั้นทำร้าย
ผมควรจะอยู่ตรงนั้นตอนที่เขาตกหลุมรักเด็กวัยรุ่นเอาแต่ใจที่เป็นผู้ชาย
ผมควรจะอยู่ตรงนั้นตอนที่เขาสับสนว่าการรักใครมันผิดหรือไม่
ผมควรจะอยู่ตรงนั้นตอนที่เขาถูกใช้เป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ของอาจารย์ที่รู้รสนิยมทางเพศของเขา
ผมควรจะอยู่ตรงนั้น
ผมควรจะอยู่ตรงนั้น
“วาโย..พ่อขอโทษ”เหนือจากทั้งหมดทั้งมวล
ไม่ว่าจะปรัชญามีชีวิตบ้าบอ
ไม่ว่าจะคุณค่าของการดำรงอยู่
ไม่ว่าจะความรักของใครต่อใคร
ไม่มีอะไรที่ผมสมควรพูดมากไปกว่าคำนี้
คำว่าขอโทษ.................................
หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
ผมรู้สึกเหมือนถูกกระชากออกจากรถที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง..
รู้ตัวอีกทีผมก็มายืนอยู่ข้างหลัง
ลูกชายที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเอาเป็นเอาตาย..
ลูกชายที่ตอนนี้ผมทำไม่ได้แม้แต่จะกอดด้วยซ้ำ
ผมมองเห็นแม่ยายวิ่งเข้ามาเพราะเสียงสะอื้นร้องไห้
ผมมองเห็นหล่อนกอดหลานที่เลี้ยงดูมาเหมือนลูกแท้ๆ
และนี้คือบทสุดท้ายที่ผมจะมีส่วนร่วม..
ผมมองภาพนั้นเป็นภาพสุดท้าย ก่อนจะเดินหันหลังออกจากบ้านไป..
.................................