1.
โครม!
“แม่ง” เขาสบถสั้นๆ นึกก่นด่าไปถึงเจ้านายหัวโล้นของตัวเองที่ดีแต่ออกคำสั่งให้คนเป็นเลขานุการอย่างเขาตั้งแต่เรื่องงานไปจนถึงเรื่องส่วนตัวที่เขาไม่ควรจะเป็นธุระให้ อย่างตอนนี้เขาก็หอบข้าวของเต็มไม้เต็มมือจนกล่องของขวัญร่วงโครมลงมา ขืนนายเขารู้เข้าคงโดนด่าไม่หยุดไม่หย่อน
แล้วขอโทษเถอะ ใช่เรื่องเขาไหมที่ต้องแบกข้าวของมาให้ตัวเองไปป้อสาวที่นายตัวเองหิ้วปิ่นโตอยู่เนี่ย แล้วทำไมต้องเป็นโรงแรมนี้ มันมีอีกหลายที่ที่มีบุฟเฟ่ต์หรูให้เข้า!
ติ๊ง!
มือเรียวรีบกวาดข้าวของที่เก็บของให้รวดเร็วมากที่สุดเมื่อเห็นว่าลิฟต์ที่รออยู่นานส่งเสียงร้องเปิดแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะชะงักไปเมื่อพบว่าคนที่อยู่ในลิฟต์ตรงหน้ากำลังมองตรงมาที่เขาอย่างไม่เชื่อสายตาเหมือนกัน
เขามองชายหนุ่มในชุดสูทผ่านเลนส์แว่นตา ก่อนที่จะเผลออุทานออกมา “ฉิบหาย”
คนในลิฟต์ขมวดคิ้วมุ่น “อะไรล่ะนั่น”
“ปะ เปล่า” เจ้าของแว่นตากลืนน้ำลาย ปฏิเสธเลิกลั่กอย่างทำอะไรไม่ถูก “อา— มาทำอะไรที่นี่”
“ขึ้นลิฟต์หรือเปล่า”
ไม่ตอบแล้วยังจะถามกันเสียงห้วนแบบนั้นอีก!
เขาไม่ตอบบ้าง เดินแบกข้าวของทุกอย่างขึ้นลิฟต์ก่อนจะพ่นลมหายใจแรง ชายหนุ่มในชุดสูทกดปิดลิฟต์ เอ่ยถามเขาอีกครั้ง
“เธอไปชั้นไหน”
“สิบสี่” เขาเอ่ยเสียงแข็งแม้ในใจจะอ่อนยวบยาบ
อีกคนกดลิฟต์ให้เสร็จสรรพในขณะที่เขามองเลขที่เปลี่ยนจากหนึ่งไปสู่สอง ไม่ทันจะเปลี่ยนเป็นเลขสาม เสียงทุ้มของอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาเสียก่อน
“เค้ากลับมาช่วยงานพ่อที่นี่แล้วน่ะ”
“งะ งั้นเหรอ” เขายิ้มแหย สัญญาณไฟสีแดงในหัวร้องเตือนดังลั่น “ไม่ยักกะรู้”
“เธอจะรู้ได้ไงละ ก็เล่นบล็อกไปหมดแล้วนี่”
“เลิกเรียกเธอสะ—”
ตึง!
คนที่แบกกล่องของขวัญเหมือนไอ้บ้าหอบฟางสะดุ้งเฮือก พูดไม่ทันจบประโยคอยู่ๆ ลิฟต์ก็สั่นอย่างรุนแรงจนเขาตัวเซไปชนอีกคน กล่องของขวัญกล่องที่อยู่บนสุดหลุดมืออีกครั้ง ไฟกระพริบถี่พอๆ กับสัญญาณไฟแดงในหัว ไม่นานเขาก็ประมวลผลได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ลิฟต์ค้าง?”2.
ลิฟต์ค้างก็เป็นสถานการณ์ที่แย่พอประมาณ เขาต้องมานั่งลุ้นว่าเจ้านายจะด่าเขาไหมเพราะสัญญาณโทรศัพท์ก็ดันไม่มี แต่นั่นไม่เรียกว่าแย่ที่สุด
ไอ้ลิฟต์ค้างกับแฟนเก่าที่ไม่ได้เจอหน้ากันสองปีเนี่ย – จัดว่าแย่ที่สุด
“ขอโทษจริงๆ นะครับ รบกวนรอประมาณสิบห้าถึงยี่สิบนาทีครับ ทางเราจะเร่งแก้ไขให้”
“ขอบคุณมากครับ”
ชายหนุ่มใส่แว่นถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อผลสรุปออกมาเป็นแบบนั้น เขาวางกล่องของขวัญลงพื้น ไม่ถือแม่งแล้ว คนที่ติดต่อแจ้งสำนักงานพูดอะไรกับปลายทางไม่นานก่อนจะหันมาหาเขา
“ก็ว่างั้นแหละ ได้แค่รอมั้ง”
“รู้แล้ว” เขาขยับแว่นเล็กน้อยก่อนจะมองหน้าแฟนเก่าตัวเองที่เริ่มถอดเสื้อสูทเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรไหมในเมื่อเลิกกันมากว่าสองปีแล้ว อันที่จริงต้องใช้คำว่าเลิกติดต่อกันมาสองปีแล้ว เขาไม่รู้ความเป็นไปในชีวิตอีกฝ่าย พอๆ กับที่คิดว่าอีกฝ่ายไม่รู้ความเป็นไปในชีวิตของเขานั่นแหละ
“แล้วนี่เธอมาทำอะไร”
“เอาของมาให้นาย”
“อา—”
“ตอนนี้มาทำงานเลขาฯ แล้ว” เขาขยายความต่อ หากแต่อีกฝ่ายก็ยังคงขมวดคิ้วมุ่นอยู่ “อะไร”
“เปล่า แค่คิดว่าคนไม่ยอมคนอย่างเธอจะมาทำงานเลขาได้ยังไง”
“ก็ทำได้แล้วกัน”
ทำปากเก่งไปงั้น แท้จริงแล้วเขาอยากจะลาออกสามเวลาหลังอาหารด้วยซ้ำไปถ้าไม่ติดว่าจะเอาอะไรกิน เขาก่นด่าตัวเองบ่อยจะตายตอนได้งานนี่ ถ้าไม่ใช่เพราะที่ทำงานเก่ามันไกลเกินไปแถมเงินเดือนน้อยนิด ถึงจะต้องคอยตามอกตามใจคน แต่งานเลขาฯ ทั้งเงินเดือนสูงกว่าทั้งใกล้บ้านมากกว่า
เขาสูดลมหายใจ ขยับแว่นอีกครั้งอย่างประหม่า คลำหาเสียงตัวเองก่อนจะเอ่ยเอื้อนออกไป “แล้วเธอล่ะ”
สาบานว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะเรียกอีกฝ่ายว่าเธอเหมือนตอนที่เราคบกัน แต่มันชินปากจริงๆ
“ก็มาเข้าเช็กความเรียบร้อยหน่อย เดี๋ยวไปงานต่อ” เขาครางรับในลำคอ
มิน่าวันนี้ถึงสวมชุดสูทดูดีเชียว ตอนคบกันไม่ค่อยได้เห็นภาพแบบนี้นักหรอก ในเมื่อเราคบกันตั้งแต่เป็นนักศึกษา เจอกันแต่ในสภาพเสื้อเชิ้ตนักศึกษาเน่าๆ กับกางเกงยีนส์ หรือหมกตัวกันในห้องของใครสักคนด้วยสภาพชุดบอล
“กลับมาช่วยงานคุณน้าแล้วเหรอ” เขาเอ่ยถามต่อ
แฟนเก่าพยักหน้า“เมื่อต้นปีที่แล้ว”
“อื้อ”
“อื้อ”
“อย่าเลียนแบบดิ” อีกฝ่ายหัวเราะแผ่วเบาจนแทบจะเป็นการเค้นหัวเราะ บอกตรงๆ ว่าเขาไม่ชิน สมัยก่อนเราหัวเราะกันด้วยรอยยิ้มกว้างกว่านี้หรือเปล่า
“น่าเสียดายเนอะ”
“ทำไมเหรอ กลับกรุงเทพฯ ก็ดีแล้วนี่”
“แต่ถ้ากลับเร็วกว่านี้คงจะดีกว่านี้”
“…”
“เผื่อจะไม่ต้องเลิกกัน”
3.
เราคบกันช่วงปีสองเรื่อยมาจนถึงเวลาที่เราเรียนจบ แฟนเก่าของเขาเป็นลูกคุณหนู บิดาของอีกฝ่ายเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ในประเทศไทย ประกอบกับการที่อีกฝ่ายเรียนทางนี้โดยตรง พอเรียนเสร็จเลยไปทำงานสาขาย่อยแห่งหนึ่งทางใต้ ในขณะที่เขาเริ่มทำงานในบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง
และเขามั่นใจว่ารอยร้าวของเราเกิดมาจากระยะห่าง
เขาติดแฟน ในขณะที่อีกคนเองก็เป็นคนติดงาน ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเรายังทำงานด้วยกันได้บ้างแต่พอแยกกันไปคนละที่แล้ว ระยะเวลาที่ใช้ร่วมกันน้อยลง สองสามเดือนก็ได้เจอกันแค่วันหรือสองวัน จะวีดีโอคอลก็ไม่ได้เหมือนกับเจอตัวจริง เราทะเลาะกันบ่อยขึ้นในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปจนเรื่องใหญ่โต
แล้ววันหนึ่งเราก็ทนไม่ไหว
ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นความผิดใครในเมื่อไม่มีความผิดที่ชัดแจ้งอย่างนอกใจหรือหลอกกันเสียที ผิดที่เขาที่ต้องการเวลามากไป หรือผิดที่อีกฝ่ายที่สนใจงานมากไป ผิดที่อีกฝ่ายไปทำงานไกลขนาดนั้นหรือผิดที่เขาที่ไม่ลองไปหางานที่จังหวัดเดียวกันตั้งแต่ต้น
“ไม่คิดงั้นเหรอ”
เมื่อเขานิ่งเงียบไป แฟนเก่าเขาก็เอ่ยถามแบบนั้น
เขาทำแค่ยิ้ม “ไม่รู้สิ” ตอบอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้ “ไม่รู้จริงๆ”
“อื้อ เค้าก็ถามไปงั้นแหละ”
“—เค้าก็ตอบไปงั้นเหมือนกัน”
ความอึดอัดแทรกตัวอยู่ในอณูอากาศรอบๆ เสียจนไม่กล้าจะขยับตัว เขาขยับแว่นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรมากขึ้น ชวนคุยอะไรไหม หรือเราควรจะให้กำลังใจเพื่อบอกให้อีกคนไม่คิดมาก
สิ่งเดียวที่รู้คือหัวใจเขากระตุกวูบหนักกว่าตอนลิฟต์ค้างเสียอีก
ตึง!
4.
“เรียบร้อยแล้วครับ ขออภัยในความไม่สะดวก”
เสียงดังขึ้นจากลำโพงเป็นตัวทำลายความเงียบ เขากอบโกยกล่องของขวัญขึ้นมาในมืออย่างรวดเร็วเมื่อลิฟต์เกิดส่งเสียงลั่นก่อนจะเคลื่อนตัวขึ้นอีกครั้ง พอๆ กับการที่อีกคนสวมสูทใหม่อีกรอบ
“เร็วกว่าที่คิดนะ”
“อื้อ ดีแล้ว”
ถึงความเงียบจะสิ้นสุดลง แต่ความน่าอึดอัดของเราไม่ได้จบอยู่แค่นั้นเหมือนกับบทสนทนาเรา ขณะที่ตัวเลขบนนั้นเปลี่ยนเป็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากห้า, หก, ไปสู่เลขสองหลักในเวลาไม่ช้า
เขาตั้งคำถามกับตัวเอง เราต้องพูดอะไรกันอีกไหม เขาควรอวยพรให้อีกฝ่ายทำงานดีๆ หรืออะไรบ้างไหม
ติ๊ง!
ลิฟต์ส่งเสียงร้องตรงชั้นสิบสี่ที่เป็นภัตตาคารอาหารจีน เขาโน้มศีรษะ แบกกล่องของขวัญเดินออกมาจากตัวลิฟต์ ก้มมองพื้นหินอ่อนราคาแพงตามประสาโรงแรมหรู
หันดี, ไม่หันดี, ไม่มั่นใจว่าใช้กี่วินาทีตัดสินใจ
“เดี๋ยว!”
แต่มีใครบางคนตัดสินใจเร็วกว่าเขา คนนอกลิฟต์หันหลังกลับไปตามเสียงเรียก อีกฝ่ายที่ยังอยู่ในลิฟต์มองหน้าเขาอย่างตรงไปตรงมาหากแต่สายตาหลุกหลิกเหมือนกับทำตัวไม่ถูกในขณะที่เขาเผลอเม้มปากแน่น
“เค้า— ยังใช้ไลน์เดิมนะ”
“...”
“เผื่อว่าจะอันบล็อก วันไหนว่างๆ ก็ทักมาก็ได้”
เขานิ่งเงียบ พูดอะไรไม่ถูก คิดว่ามันคงเป็นอาการนิ่งเงียบที่ทำให้อีกฝ่ายหน้าเสียถึงได้คลี่ยิ้มแห้งมาให้เขา ก่อนที่คนในลิฟต์จะเลื่อนไปกดอะไรสักอย่าง และประตูลิฟต์ก็ปิดลง
ชายหนุ่มผู้หอบของพะรุงพะรังรีบก้าวจ้ำไปหาเก้าอี้ทันทีที่ได้สติ วางกล่องของขวัญลงข้างกาย กุลีกุจอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อเข้าแอพพลิเคชั่นไลน์ เขาเม้มปากแน่นเมื่อเข้าไปดูในส่วนของบัญชีที่ตัวเองเคยกดบล็อกไว้ มีเพียงคนเดียวที่นอกเหนือพวก official ต่างๆ
ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัว
ก่อนที่จะตัดสินใจกดปุ่ม unblock แล้วเข้าหน้าแชตของอีกฝ่ายทันที
----------------------
กรี๊ดดด ได้กลับมาเขียนนิยายแล้วค่ะ
เรื่องนี้ก็ไม่มีชื่อตัวละครอีกเช่นเคย ไปเดากันเองนะคะว่าเธอกับเค้าคือใคร
คือแบบ คิดถึงมากค่ะ เพราะหายไปนานมากๆๆๆ
ชนิดที่ว่าลืมรหัสในเล้าเป็ดไปแล้ว ;__;
ยังดีนะคะ สุ่มแล้วยังเจอรหัสอยู่ ไม่งั้นคืออาจจะไม่ได้อ่านกันได้
ดีใจที่ทุกคนยังบอกคิดถึงค่ะ หวีดดดด
ยังไม่มีแพลนเขียนเรื่องยาวนะคะ
แม้จะมีพล๊อตร่างไว้เยอะมากก็ตาม .__.
แล้วก็ สุขสันต์วันปีใหม่ไทยค่ะ เกือบมาไม่ทัน
แอบคิดเรื่องรีปริ้นขอให้ (ไม่) ใช่รักไว้นิดนึงงงพูดคุยกันได้ที่แอค @ninewnn_novel ค่า
เผื่อใครจะหวีดเรื่องนี้
เจอกันได้ในแท็ก
#เรื่องสั้นnn ในทวิตเตอร์นะคะ