[ต่อ]คนตัวเล็กกว่าผมหูแดง “ไม่ดีกว่าครับ”
หึ ผมล่ะสะใจกับหน้าเหวอๆ ของน้องนัก ไงล่ะน้อง เจอของจริงเข้าไปถึงกับกระอักไปต่อไม่ถูก ทีหลังอย่ามาล้อเล่นให้ตะบะแตกอีกนะ นี่คือการเตือน
โห... แต่เมื่อกี้ถือว่าเกี้ยวกาดใช้ได้ว่ะ แหม่ ภูมิใจในผลงานตัวเองสัดๆ
น้องจักรวาลเดินนำผมไปยังลานกว้างของคณะสินกำ เด็กๆ ผู้มีสไตล์การแต่งตัวที่จัดจ้านจนคล้ายคนบ้านั่งจับกลุ่มกันอยู่มุมหนึ่งของสนาม จากที่ตอนแรกทุกคนคุยกันเซ็งแซ่กลับเงียบกริบเมื่อเห็นผมเดินตามคนตัวเล็กๆ ตรงหน้านี้มา ใจเย็นๆ น้อง มองกันขนาดนี้ถ้าเป็นกระสุนร่างพี่คงซันสวีทพรุนแน่นอน อะไรมันจะจับจ้องกันขนาดนี้วะ
“ไหนล่ะของ” ผมถามหลังจากที่ทนสายตานับสิบไม่ไหวแล้ว
“ตรงนี้ๆ ผมล่ามไว้ตรงนี้” ปีใหม่ชี้ไปยังม้าหินตัวสุดท้าย
หืม? ของอะไรวะถึงต้องผูกไว้ด้วย รถจักรยาน?
“โฮ่ง!” ฮะ... O_O
ชิบเป๋งละ ไม่ใช่จักรยานครับ
มันคือหมา! คอร์กี้ขนสีส้มพุงขาวขาสั้นๆ แลบสิ้นต้อนรับผมทันทีเมื่อเดินไปถึงโต๊ะม้าหินตัวสุดท้าย สายจูงสีแดงของมันถูกผูกอยู่ที่ขาเก้าอี้ มันเลยได้แต่ลุกลี้ลุกลนอยากจะหลุดไปจากเชือกเพื่อจะมาเล่นกับคนมาใหม่อย่างผม
“ลูฟี่”
ขวับ! ผมนี่สะบัดหน้ามองน้องอย่างไวเลยครับ โว้ยยยย เอาชื่อมหาเทพโจรสลัดมาตั้งเป็นชื่อหมาได้ยังไงวะ บอกเลยไม่พอใจ!
“พี่ดิวอี้นั่งรอตรงนี้แป๊บนะ เดี๋ยวผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”
“…”
“ลูฟี่ นั่งตักพี่สุดหล่อคนนี้ไปก่อนนะ” น้องปีใหม่ปลดสายจูงแล้วอุ้มเจ้าหมาที่ชื่อเหมือนตัวละครในแอนิเมะวางแหมะบนตักผม
และพอเจ้าวิ่งปราดไปห้องน้ำเท่านั้นแหละ กลุ่มเพื่อนที่เฝ้าดูลาดเลาอยู่นานก็เริ่มซุบซิบ ผมทำเป็นไถมือถืออัปเดตโมเดลกันดั้มรุ่นใหม่ๆ เพื่อหลบหลีกสายตาที่จับจ้อง แต่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเห็นว่ามีน้องๆ กลุ่มหนึ่งถือวิสาสะนั่งม้าหินฝั่งตรงข้ามโดยไม่บอกกล่าวกันสักคำ
แถมจ้องอย่างกับจะแดกผมแม่งตรงนี้!
“พี่เป็นใคร” น้องผู้หญิงคนที่หนึ่งยิงคำถาม
“แฟนไอ้ใหม่เหรอ” น้องตุ๊ดหน้าตาจิ้มลิ้มเลิกคิ้ว
“คิดจะงาบเพื่อนผมใช่มั้ย” ไอ้คนหัวสกินเฮดคนนี้ดูเอาเรื่อง มาดดูคล้ายกับหัวหน้ากลุ่ม
ถามมาพร้อมกันงี้จะให้ตอบใครก่อนวะ เขียนคำถามใส่กระดาษได้มั้ยเดี๋ยวกูสุ่มจับขึ้นมาเอง
“เปล่า” ผมส่งเสียง มือก็พยายามจับลูฟี่ไม่ให้มันดิ้นบนไข่ผมมากมายนัก
“พี่รู้มั้ยคะ ไอ้ใหม่ไม่เคยพาใครเข้ามานั่งตรงนี้” น้องผู้หญิงว่า
“ใช่ เวลาใครมามันจะให้รอตรงนั้น” น้องตุ๊ดชี้ไปยังม้าหินอีกฟากของสนาม โห... ไกลว่ะ
“ซึ่งนั่นแปลว่าพี่พิเศษกว่าคนอื่น” ไอ้หัวสกินเฮดทำเป็นเกาคาง อะไรฮึ คิดว่าเป็นโคนันเหรอไก่อ่อน “บอกมาตรงๆ เลยครับว่าพี่เป็นอะไรกับมัน”
“ก็บอกว่าไม่ได้เป็น”
“แล้วพี่ชอบมันหรือเปล่า?”
ถามตรงอะไรขนาดนี้วะ กูนึกว่าสะพานสาธร “ไม่ได้ชอบ”
“พี่จะจีบมันหรือเปล่าคะ”
“ไม่ได้ชอบแล้วจะจีบได้ไง”
“แล้วพี่มากับมันได้ยังไง”
โว้ยยย ซักเก่งกันจังวะ นี่ถ้าเป็นกางเกงกูขาดเป็นริ้วๆ แล้ว ปั่นกันเอาเป็นเอาตายแบบนี้
“น้องเขาจะเลี้ยงข้าว”
“ว๊าย” น้องผู้หญิงถึงกับเอามือทาบอก รีบปรึกษาเพื่อนๆ ทันที “คนนี้แอดว้านซ์ว่ะ”
“หึ แม่งดูไม่ชอบมาพากลว่ะ”
“กูก็ว่างั้น”
น้องๆ ครับ คือพี่ยังอยู่ตรงนี้ไง พูดอะไรไม่สนว่าพี่จะได้ยินเลยเรอะ
“กูรู้แล้ว!”
สัด ผมนี่สะดุ้งพร้อมกับน้องทั้งสามคนเลย
น้องผู้หญิงชี้นิ้ว “ไอ้ใหม่ต้องชอบพี่แน่”
“…”
“มันจีบพี่หรือเปล่าคะ”
“เปล่า”
“มันแสดงท่าทีสนอกสนใจพี่หรือเปล่าครับ”
“พี่จะไปรู้มั้ย” ผมโบกมือ “พี่ว่าน้องๆ อย่าคิดไปเองดีกว่า ไม่มีอะไรคือไม่มีอะไรจริงๆ”
“แต่ยังไงก็น่าสงสัยอยู่ดี”
เฮ้อ งั้นแล้วแต่น้องเหอะ พี่เหนื่อย
“โฮ่ง!” ลูฟี่ส่งเสียงเห่าเพราะเห็นเจ้านายของมันกำลังเดินมาจากอีกฟากของลานกว้าง
“ว๊าย” น้องผู้หญิงสะกิดเพื่อนชายทั้งสองคน “กลับที่ค่ะ มันมาแล้ว!”
แล้วพนักงานสอบสวนทั้งสามคนก็แตกฮือไปคนละทิศละทาง ทำเป็นนั่งนิ่งอยู่กับที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ปีใหม่ที่เดินมาถึงโต๊ะพอดิบพอดีส่งสายตาขำๆ มาให้ผม
“เพื่อนๆ ผมมันมาคุยอะไรกับพี่อะ”
ผมเหล่มองน้องผู้หญิงคนนั้น แต่เธอทำเป็นชูนิ้วชี้ชู่วปากให้ผมเงียบๆ
“เปล่า แค่มาทักทาย”
“อ๋อเหรอ” สายตาดุๆ ของปีใหม่จับจ้องไปยังกลุ่มเพื่อน “อย่าให้รู้ทีหลังนะ”
“โฮ่ง!”
“รู้แล้วๆ ลูฟี่ จะพาไปกินข้าวเดี๋ยวนี้แหละ” น้องรับหมาจากมือผมไป “ไปเลยมั้ยพี่ นี่ก็จะเที่ยวแล้วพี่คงหิว”
“ไปสิ” อยากออกไปจากตรงนี้จะแย่แล้วด้วยคร้าบบบ ตรงนี้มีแต่คนเพี้ยนๆ พี่กลัว พี่ขวัญอ่อน
“กูไปก่อนนะพวกมึง เดี๋ยวยังไงเจอกันพรุ่งนี้”
“บายยยยยย”
ทุกคนในรุ่นโบกไม้โบกมือร่ำลาปีใหม่แทบจะพร้อมกัน โอ้โห คงเป็นที่รักน่าดูเลยแฮะ แต่น่ารักขนาดนี้เพื่อนๆ จะไม่เอ็นดูก็แปลก
“ไปกันเถอะครับพี่”
“อืม” ผมกำลังจะเดินตามหลังเล็กๆ นั้นไปอยู่แล้ว ถ้าไม่ดันไปเห็นเด็กสามคนก่อนหน้านี้รุมจ้องผมอีกครั้ง
“พี่คะ”
ผมจ้องแววตาจับผิดเกินเหตุสามคู่นั้นด้วยใบหน้านิ่งๆ
น้องผู้หญิงชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมา ทำเป็นชี้ที่ตาตัวเองก่อนจะหันมาทางผม
“…”
“พวกหนูจับตามองพี่อยู่นะ” อะไรวะ พี่แค่มากินข้าวกับเพื่อนน้องเท่านั้นเอง แถมพี่ยังมีงานจะต้องทำ น้องไม่เข้าใจหรอก!
บอกไว้เลยนะ ที่คิดในใจว่าชอบเนี่ยคือน้องน่ารักไง ถ้าจะงาบ ไม่ปล่อยให้มาถึงวันนี้หรอก ลักพาตัวตั้งแต่วันสองวันแรกที่เจอกันแล้วจ้า
*.:。*゚‘゚・.。.:* *.:。*゚’゚・.。.:* *.:。*゚¨゚・ .。.:* *.:。*゚¨゚・ .。.:**.:。*゚‘゚・.。.:* *.:。*゚’゚・.。.:* *.:。*゚¨゚・ .。.:* *.:。*゚¨゚・ .。.:*
“ไม่ได้ใช้ยาที่ให้ไปหรือไง”
“ครับ?” น้องปีใหม่ค่อนข้างประหลาดใจอยู่ๆ ผมก็ถามพรวดพราด ไม่ได้เกริ่นอะไรให้รู้เรื่องหน้าเลย
“นั่นน่ะ” ผมชี้รอยช้ำบนเนื้อที่มองเห็นได้ผ่านเนื้อผ้าบางๆ “ดูไม่ได้มีทีท่าว่าจะหายเลย”
“อ๋อ…”
อย่าหาว่าผมหื่นนะครับ ผมไม่ได้มีเจตนาจับจดอยู่กับเนื้อตัวของน้องนะเฟ้ย พอดีตามันไปเห็นเองอะ ก็เวลากินข้าวหน้าอกน้องมันแนบอยู่กับโต๊ะ แถมเสื้อบางแบบนั้นมันก็ต้องเห็นทะลุปรุโปร่งอยู่ดี แล้วอีกอย่าง ดูเหมือนรอยนั้นจะช้ำมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย โมโหว่ะ ถ้าไม่ใช้ยาก็บอกมาตั้งแต่แรกสิว่าไม่ต้องการ ไม่น่าให้ไปเล้ย
“ทาแล้วมันไม่หายอะดิพี่” น้องปีใหม่ก้มลงมองตัวเอง มีการแหวกกระดุมเสื้อเผื่อโชว์รอยช้ำให้เห็นชัดๆ อีก
สัด อึ้งเลยกู
“เจ็บสินะ”
“หืม?”
ผมทำเป็นคีบปลาดิบเข้าปาก “โดนเต็มๆ แบบนั้นคงเจ็บน่าดู”
“อะไรนะ?” ปีใหม่ขมวดคิ้ว “โดนอะไรพี่”
“รอยกระแทกใช่มั้ยล่ะ พี่ดูออก” ขอถือโอกาสนี้ถามสาเหตุของรอยนั้นเลยแล้วกัน สงสัยมานานแล้ว “ซุ่มซ่ามหรือว่ามีเรื่องชกต่อยเข้าสินะ”
“เดี๋ยวๆ พี่” น้องปีใหม่ยิ้มจนตาหยี
“พี่คิดว่ามันเป็นรอยชกเหรอ?” “แล้วใช่มั้ยล่ะ”
น้องปีใหม่อมยิ้ม ทำไมวะ มีอะไรน่าขำเหรอ อุตส่าห์ถามไถ่ไล่จี้เพราะเป็นห่วงกลัวจะเจ็บ ยาแม่งก็ไม่ทา แถมยังมายอกย้อนทำเหมือนผมโง่อีก ใครมันจะไม่รู้วะว่ารอยนั้นมันคืออะไร
“โอเคพี่” ปีใหม่พยักหน้า “รอยชกก็รอยชก”
“ทายาซะ จะได้หาย”
“ไปห้องน้ำด้วยกันสิ ผมอยากให้พี่ช่วยทาให้”
“ไม่ตลก”
พอเห็นหน้าดุๆ ของผมเด็กมันก็รีบเจื่อน “ครับ ผมจะทายา แต่ไม่รู้จะหายหรือเปล่านะ คิกๆ”
เออ พูดอะไรให้มันฟังหน่อย ไอ้เด็กดื้อ
เรานิ่งกันอยู่นาน ต่างคนต่างหยิบอาหารลงท้อง ผมเหลือบไปเห็นว่าปีใหม่เอาซาซิมิป้อนไอ้ลูฟี่ที่นอนรออยู่ใต้โต๊ะซะด้วย อะไรมันจะกินดีอยู่ดีขนาดน้านนน เห็นแล้วหมั่นไส้ อยากเตะให้ร้องเอ๋ง
“กินเสร็จแล้วพี่จะไปไหนต่อ” ปีใหม่เท้าคางมองผม
“กลับห้องนอน”
“โห่อะไรอะพี่ นานๆ ผมจะมีเวลาว่าง ไปทำอะไรสนุกๆ กันเถอะ”
ผมเลิกคิ้ว “ก็ไปสนุกคนเดียวสิ จะมาชวนทำไม”
“วันนี้ผมอยากอยู่กับพี่”
“…”
ดาเมจใส่พี่อีกแล้วหนู เดี๋ยวปั๊ด!
“ถ้างั้นผมไปห้องพี่ด้วยสิ”
“จะไปทำบ้าอะไร”
“นอนเล่นก็ได้”
ผมส่ายหัว “บ้านช่องไม่มีกลับหรือไงหนู”
“หนู?”
“…”
“พี่เรียกผมว่าหนูเหรอ โคตรละมุนอะ”
แววตาดีอกดีใจเกินเหตุนั้นทำให้ผมต้องเฉไฉทำเป็นมองไปทางอื่น อืม... โคมไฟร้านนี้สวยดีว่ะ
ชิทททท หลุดปากจนได้จวยเอ๊ย
น้องปีใหม่เห็นว่าผมพยายามตีเบลอก็ยิ้มสิทีนี้ “ผมไม่อยากกลับบ้านหรอก”
ฮะ? “ใครมันจะไม่อยากกลับบ้านกัน”
“อยู่บ้านแล้วมันอึดอัด เหมือนเป็นส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้” ร่างบางๆ เอนตัวติดเก้าอี้ “ลูกคนกลางก็เงี้ยแหละพี่ ใครๆ ก็คุยกับน้องคุยกับพี่มากกว่า”
โห... เอาจริงถ้าอ้างประเด็นนี้คือเข้าใจเลย ผมก็มักจะครั่นเนื้อครั่นตัวเสมอๆ เวลาเข้าบ้านไปเจอพ่อกับเมียใหม่ ถ้าให้เลือกได้ผมยอมนอนอ่านการ์ตูนอยู่ที่คอนโดดีกว่า ถ้าไม่ติดว่าน้องชายผมยังอยู่ในบ้านหลังนั้นนะ ไม่มีทางที่ผมจะย่างกรายไปเยือนแน่
“แล้วเวลากลับบ้านหลังเลิกเรียนล่ะทำไง คุยกับคุณพ่อคุณแม่บ้างมั้ย”
“คุยนะพี่ กับแม่ผมอะปกติ แต่ว่าพ่อ...” ดวงตาโปนๆ นั้นทำเลื่อนลอย “ผมสนิทกับเพื่อนพ่อมากกว่าอีกมั้ง”
“อะไรนะ!?”
“ช่างเหอะครับ” ไอ้ตัวเล็กรีบโบกไม้โบกมือให้ยุ่ง และพอผมเห็นฟันกระต่ายคู่นั้น ความสงสัยตะกี้หายไปทันทีเลย “ไปเดินเล่นกันมั้ยพี่”
“ไม่มีเพื่อนหรือไง”
“มี แต่บอกแล้วไงว่าวันนี้ผมอยากอยู่กับพี่อะ”
“พี่โรคจิตนะ” ผมทำเป็นแหย่
“โอ๊ยยย เลิกล้อเรื่องนี้ได้แล้ว ผมอาย!” ไอ้หนูมุ่ยหน้า เห็นแล้วแม่งอยากจะหยิก “ผมขอโทษ ตอนนี้ผมรู้แล้วไงว่าพี่ไม่ได้โรคจิต วันนั้นผมแม่งขี้เว่อร์จริงๆ แหละ”
“อ่อเหรอ” ผมทำเป็นลอยหน้าลอยตา
“พี่กวนตีนนะรู้ตัวปะ”
“โอเค จะจดไว้” ผมแบมือขึ้นมาจินตนาการว่ามันเป็นกระดาษ “หนึ่งโรคจิต สองกวนตีน”
“เนี่ย กวนตีนจริงๆ”
“หึๆ” ผมกลับมากอดอก “งั้นไปรอคอนโด พี่จะไปเอารถ จะแวะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อด้วย”
“เอารถอะโอเค แต่ผมไม่อยากให้พี่เปลี่ยนเสื้ออะ” แววตาซุกซนทำเป็นโลมเลียแขนแน่นๆ ของผมทั้งสองข้าง “แบบนี้โคตรโดนใจ”
“ใครกันแน่วะที่โรคจิต”
“สงสัยเราโรคจิตกันแม่งทั้งสองคนเลยว่ะพี่ ฮ่าๆๆ”
“เออ ก็ว่างั้น”
พอผมเห็นอีกฝ่ายหัวเราะ ไม่รู้ทำไมถึงไม่สามารถกลั้นรอยยิ้มของตัวเองได้ เหมือนรอบตัวน้องเต็มไปด้วยพลังงานอันสดใส และผมก็โดนมันเข้าให้เต็มๆ ไม่ไหวๆ สงสัยต้องเรียกพนักงานมาเก็บตังค์จะได้ออกไปจากตรงนี้สักที แค่นั่นกินข้าวตรงข้ามโต๊ะกันก็คือว่าได้ทดสอบความอดทนผมเป็นอย่างมากแล้ว
“พี่ดิวอี้” น้องเรียกผมตอนที่เราลุกจากที่นั่ง
“ครับ”
ยิ้มทำไมฮะ ดูแม่งจะชอบใจที่ผมพูดครับใส่ เอาจริงเพราะชินแหละ กับคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนผมชอบขานรับด้วยคำนี้ตลอด เคยชินแล้วล่ะครับ
“เลิกพูดเรื่องโรคจิตได้แล้วนะ โอเค้?”
“…” ผมมองไปที่สัญญาณ OK บนมืออีกฝ่าย “อ่า”
“พี่ไม่ได้โรคจิตหรอกน่า ” แก้มใสๆ นั้นโชว์สีแดงระเรื่อ
“ผมสบายใจเวลาที่อยู่กับพี่จะตาย” โอย... รู้สึกอยากนั่งไขว่ห้าง
RRRRRRRRR แรงสั่นบนโต๊ะทำให้ผมเหลือบไปมองหน้าจอไอโฟนรุ่นใหม่ของคนตรงข้ามที่จอใหญ่อย่างกับโรงหนังไอแมกซ์ ทำให้ผมเห็นชื่อคนที่โทรเข้าเต็มๆ ตา
‘คุณกำพล’ นี่มัน...
“ฮัลโหล” ปีใหม่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับแทบจะในทันที นัยตาที่ร่าเริงตอนนี้กลับกลายเป็นเศร้า แต่พอรู้ตัวว่าโดนผมจ้องอยู่ น้องก็ฝืนยิ้มขึ้นมา “ผมต้องคุยสายนี้อะ ขอออกไปนอกร้านแป็บนะครับ”
“แล้วแต่สิ ได้เลย” ผมจะไปห้ามได้ยังไงวะ
คนตัวเล็กผงกหัวผมเป็นเชิงขอโทษขอโพย แล้วก็เดินหายแนบออกไปริมฟุตบาธหน้าร้าน ผมตั้งใจจะชะเง้อตามไปดูสถานการณ์นะ แต่ไอ้ป่วนใต้โต๊ะดันเกาะขาผมซะก่อน เล่นเอาตกอกตกใจจนตาหลุดโฟกัส รู้ตัวอีกทีปีใหม่ก็หายลับไปซะแล้ว
ไอ้หมาเวรเอ๊ย
“โฮ่ง!” “อะไรมึงเนี่ย” ผมย่นคิ้วใส่ไอ้ลูฟี่ที่กระดิกหางดิ๊กๆ ทำท่าจะเล่นกับผมซะให้ได้
“โฮ่ง”
ก็พูดภาษาคนสิวะ จะรู้กับมึงมั้ยว่าต้องการอะไร
ผมมองหน้าลูฟี่ที่บัดนี้แลบลิ้นห้อยๆ เกาะขาผมเป็นเด็กอ้อนแม่ ตาละห้อยนั้นมองอยู่ที่บริเวณคอของผมจนต้องมองตาม
“อยากได้เหรอ” ผมชี้ไปที่ผ้าเช็ดหน้าสีแดงเหนือหน้าอก
“โฮ่ง!”
“กูไม่ให้”
“แง่งงง! แกร๊ซซซซ!!” สัด... มีแยกเขี้ยวขู่ด้วยว่ะ
“อยากหล่อเหมือนกูอะดิ”
“โฮ่ง!”
“เฮ้อ ก็ได้ มาๆ” ผมยอมแพ้ อยากได้นักก็เอาไปวะ เห่าเสียงดังแบบนี้เดี๋ยวโต๊ะข้างๆ จะรำคาญเราสองคนเอาได้
ผมนั่งยองๆ ข้างๆ ตัวเจ้าลูฟี่ ยอมสละผ้าพันคอสีแดงให้กับไอ้แคระนี่ไป มันดีใจจนเดินหมุนไปมา พยายามจะงับผ้าที่คอตัวเองมาเล่นแต่มันคงโง่จนไม่รู้ว่าตัวเองคอสั้น เออว่ะ เห็นแล้วก็น่ารักดี ผมไม่เคยมีหมา นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ได้ใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงสี่ขาสายพันธุ์นี้
“มาให้กูอุ้มหน่อย”
“โฮ่ง!” ไอ้ลูฟี่กระดิกหากยอมให้ผมแตะเนื้อต้องตัวแต่โดยดี แหม่ อยู่เป็นนักนะมึง
“พี่ดิว”
แชะ! หือออ อะไรวะ
ความปุบปับทำให้ผมทำตัวไม่ถูก เพราะอยู่ๆ น้องปีใหม่กลับเข้ามาในร้านตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมมือก็ยังถือโทรศัพท์ค้างไว้เพื่อจะเก็บภาพผมตอนปัญญาอ่อนเอาไว้อีก
สัด เสียภาพเลยกู เส็งเคร็ง!
“ถ่ายทำบ้าอะไร”
“น่ารักดีออก”
ใจจริงก็อยากจะถามว่าคนหรือหมา แต่คิดอีกทีไม่เอาดีกว่าแฮะ
“พี่ให้มันเหรอ” น้องปีใหม่ชี้ไปยังผ้าพันคอสีแดง
“มันเซ้าซี้ก็เลยให้ไป”
“โหย ใช้ไม่ได้เลยแฮะ” มือเล็กๆ นั้นเข้ามาขยุ้มแก้มอ้วนๆ ของไอ้หน้าขนที่ผมอุ้มอยู่ เห็นแล้วใจมันนึกอิจฉาหมายังไงก็ไม่รู้แฮะ “พี่ดิวครับ”
“ว่าไง” ผมเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าน้องทำหน้านิ่งๆ มีอะไรหรือเปล่าวะ
“ผมฝากลูฟี่หน่อยได้มั้ย พอดีจะไปหาเพื่อน แล้วเขาไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่”
แน่ใจนะว่าเพื่อน รู้นะว่าใครโทรมา “นานมั้ย?”
“น่าจะไม่นานครับ” น้องบอกพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าเสร็จธุระแล้วผมจะโทรหาพี่นะ”
“ได้เลย” พอผมพยักหน้ารับปาก น้องก็หันไปเรียกพนักงานเพื่อเรียกเก็บเงินทันที
แต่ผมนี่ดิ ไม่รู้ทำไมใจถึงหวั่นๆ แปลกๆ ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้ปกครองกังวลว่าลูกจะทำอะไรไม่ถูกไม่ควรยังไงยังงั้น
คุณกำพลอะไรนี่จะยังติดต่อน้องอยู่อีกทำไมวะ เลิกรากันไปไม่ใช่หรือไงฮึ แล้วแบบนี้จะจ้างนักทวงหนี้อย่างผมไปเพื่ออะไรวะ
แม่งเอ๊ย อยู่ดีๆ ก็หงุดหงิด
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ผมพยายามสายตาสงสัยนั้น “เปล่า”
“เมื่อกี้พี่ขมวดคิ้วใส่ผมนะ”
สังเกตนักนะ นึกว่าจะเป็นผมคนเดียวที่เอาแต่มองน้องมันซะอีก “ก็บอกว่าไม่มีอะไร”
“อ่า... โอเคครับ”
โว้ย ช่างแม่งละ
หมับ! น้องปีใหม่หยุดเดินเมื่อรู้ตัวว่าโดนดึงแขนไว้ “ครับ?”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
สัด พูดออกไปจนได้
คนตัวเล็กกว่าระบายยิ้มบางๆ “ผมต้องไปจริงๆ พี่”
“…”
“ไม่มีอะไร ผมสบายมาก” แล้วน้องก็ลูบหัวสัตว์เลี้ยงที่ผมเป็นคนอุ้มอยู่ “ผมฝากลูฟี่ด้วยนะ”
“รีบกลับมา” ปีใหม่ชะงัก “คะ... ครับๆ”
“ลูฟี่รออยู่”
รวมถึงกูด้วย*.:。*゚‘゚・.。.:* *.:。*゚’゚・.。.:* *.:。*゚¨゚・ .。.:* *.:。*゚¨゚・ .。.:**.:。*゚‘゚・.。.:* *.:。*゚’゚・.。.:* *.:。*゚¨゚・ .。.:* *.:。*゚¨゚・ .。.:*
“โฮ่ง!” “เงียบๆ ดิวะ เดี๋ยวข้างห้องก็มาด่าหรอก”
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!” “โอ๊ยยยย ไอ้สัดดิว” ไอ้เอิร์ลที่ทนไม่ไหวลุกขึ้นจากโซฟา “กูดูการ์ตูนไม่รู้เรื่องเพราะหมาของมึงเนี่ย!!”
“หมาเพื่อนกู”
“จะหมามึงหมาเพื่อนหรือหมาวัดก็ช่วยสั่งให้มันหุบปากทีดิ๊ กูไม่มีสมาธิแล้วสัด” ไอ้เอิร์ลคว้าผ้าเช็ดตัวขึ้นพาดบ่า “ไม่ดูแม่งและสัด”
ไอ้ทิมหันมาคุยกับผมบ้าง “เพื่อนมึงจะมาเอาหมาเมื่อไหร่”
“เขาบอกว่าจะโทรมาว่ะ”
“นี่จะตีหนึ่งแล้วนะสัด ไม่ใช่ว่าทิ้งไว้กับมึงนะ กูไม่เลี้ยงด้วยหรอกนะกูแพ้ขนหมา”
ไอ้พวกนี้แม่งไก่อ่อนสัดๆ หมาตัวแค่นี้ยังไปจะไปรำคาญมัน พวกมึงไม่มีจิตวิญญาณของบุรษผู้อ่อนโยนต่อทุกสรรพสิ่งแบบกูเล้ย แล้วจะให้กูทำไงได้วะ ก็ปีใหม่ยังไม่โทรมาหาเลยเนี่ย พอจะเป็นฝ่ายโทรไปก็เสือกไม่ติดอีก ไม่รู้ไปดื้ออยู่ที่ไหน น่าเหลาไม้เรียวรอจริงๆ
ว่าแล้วก็ขอโทรอีกทีซิ
‘หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’ นั่นไง ตั้งแต่เย็นมาผมฟังเจ๊คนนี้มาเป็นร้อยรอบแล้วมั้ง
ผมอุ้มไอ้ลูฟี่ขึ้นมามอง “สงสัยมึงได้เป็นหมาของแก๊งพวกกูแล้วล่ะว่ะ”
“โฮ่ง!” แหนะ รีบปฏิเสธเชียวนะสัด
เดี๋ยวก่อน แล้วกูฟังภาษาหมารู้เรื่องได้ไง
RRRRRRRRRR ผมกับไอ้ทิมหันมานิ่วหน้าใส่กันตอนที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ตั้งโต๊ะใกล้ๆ จอทีวี... เฮ้ย ไอ้เครื่องนี้ยังไม่เคยมีใครโทรเข้ามาเลยนะตั้งแต่ย้ายห้องมา เวรละ ไอ้ข้างห้องแม่งฟ้องส่วนกลางแหง
ผมตัดสินใจว่าจะเป็นคนรับเอง พอยกหูผมก็กรอกลงไปด้วยความนุ่มนวลที่สุด
“สวัสดีครับ”
[โทรจากส่วนกลางนะครับ] นั่นไงล่ะ เดาไว้ไม่เคยผิดเลยกู [มีแขกขอพบครับ]
“หืม? ใครเหรอครับ”
[เห็นบอกว่าชื่อปีใหม่] คนปลายสายว่า [จะให้ผมเปิดประตูให้หรือคุณจะลงมาที่นี่เองครับ]
“เดี๋ยวผมลงไปเอง ขอบคุณครับ”
อะไรของน้องเขาวะ หายไปทั้งวันแล้วอยู่ดีๆ มาโผล่หน้าคอนโดเฉ้ย
“เพื่อนมาแล้วเหรอ” ไอ้ทิมถามขึ้นมา
“เออ” ผมอุ้มเจ้าลูฟี่ไว้แนบอก “เดี๋ยวกูขึ้นมานะ”
ผมกับไอ้ตัวป่วนลงจากลิฟต์มาด้วยกัน ประตูเปิดอีกครั้งที่ชั้นล็อบบี้ ผมแตะบัตรออกมาเพื่อมองหาคนที่ส่วนกลางบอกว่ากำลังรอผมอยู่
นั่นไง น้องปีใหม่นั่งอยู่ตรงโซฟารับรองแขก ผมนึกแปลกใจนิดหน่อยตอนที่เห็นน้องคลุมฮู้ดสีเทา เท่าทีจำไม่ผิดตอนเช้าน้องใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวไม่ใช่เหรอวะ แล้วไหนจะผ้าปิดปากสีดำนั่นอีก จะใส่ทำไม? อยู่ดีๆ ก็เป็นหวัดขึ้นมางี้?
“ปีใหม่” ผมส่งเสียงจนอีกฝ่ายตัวกระตุกเล็กน้อย คงเพราะกำลังเหม่อเลยตกใจล่ะสิท่า “กว่าจะมา”
ดวงตานั้นเศร้าสร้อยกว่าทุกครั้งที่เจอ ทว่าน้ำเสียงติดตลกอยู่ “คิดถึงอะดี้”
แหม่ ถ้าบอกว่าใช่เดี๋ยวหน้าสั่นเป็นระฆังไม่รู้ด้วยนะ
แต่ว่า... ทำไมเสียงสั่นๆ สรุปว่าไม่สบายจริงๆ เหรอ
“ใส่ผ้าปิดปากทำไม”
“แบบนักร้องเกาหลีไง” เสียงใสๆ นั้นสวนทันควัน
“ไม่ใช่ไม่สบายนะ?” ผมถามด้วยความเป็นห่วง เอาจริง ตัวแค่นี้เป็นอะไรขึ้นมารักษาลำบากแน่ แถมยังดูขี้โรคจะตาย
“ผมสะบายดีพี่ๆ ฮ่าๆๆ” น้องโบกมือ “ฮรึกกก ..ก”
เฮ้ย!? เมื่อกี้เสียงสะอื้นใช่มั้ย
น้องคงสังเกตได้ว่าผมกำลังจับผิด “ขอลูฟี่คืนด้วยครับ”
“เป็นอะไร”
“ไม่ได้เป็นอะไรเลยพี่” สองแขนที่ยื่นมานั้นดูสั่นๆ “ขอลูฟี่คืนเถอะนะ ฮรึกกก”
“ปีใหม่”
“นะครับ!” “…”
ความจริงจังของอีกฝ่ายทำให้ผมยอมแพ้ ไม่เค้นก็ได้วะ ไม่ชอบเลยคนปิดบัง มีอะไรก็บอกสิ ไอ้เราก็นึกว่าสนิทกันมาระดับหนึ่งแล้วซะอีก
ปีใหม่ตระกองกอดสัตว์เลี้ยงของตัวเอง แต่พอได้หมาไปกอดเท่านั้นแหละหลุดโฮออกมาเลย
“ฮืออออออ” ชิท ผมแพ้น้ำตา... จริงๆ นะ อันนี้ไม่ได้หื่นหรือว่าอะไร มันเป็นธรรมชาติของผู้ชายที่รู้สึกแย่มากๆ ที่เห็นใครสักคนอ่อนแอกว่า แล้วตอนนี้คนอ่อนแอที่ว่านั้นก็ดันยืนอยู่ตรงหน้าผมซะด้วย มันจะผิดอะไรหากผมจะเข้าไปถามไถ่ตามประสาเพื่อนร่วมโลก
“ปีใหม่...”
“ฮรึกกก ไม่เป็นไรๆ” น้องพยายามกลั้นสะอื้น “ผมแค่...”
โธ่ จะพูดก็ยังลำบาก มีอะไรก็บอกสิ
หรือน้องจะเห็นผมว่าเป็นคนนอกวะ...
ช่างแม่ง พูดตามที่รู้สึกแล้วกัน
“พี่เป็นห่วงหนู” อีกฝ่ายนิ่งไปเลย “จริงเหรอ...”
ผมเดินเข้าไปสองก้าว “เป็นอะไรก็บอกมา”
น้องปีใหม่ดูชั่งอกชั่งใจกับตัวเองสักพัก สุดท้ายก็จำใจปล่อยเลยตามเลย นิ้วเรียวๆ ของน้องปลดผ้าปิดปากสีดำนั้นจนหลุด และทันทีที่ไม่มีอะไรปกปิดหน้าน้องอีกต่อไป สายตาของผมรีบจับไปที่ริมฝีปากของน้องเป็นที่แรก
“สัด…" ผมถึงกับหลุดพูดออกมา “ใครทำอะไรน้อง”
แต่น้องเลือกที่จะปฏิเสธผม “ฮรึก... โคตรเจ็บเลย”
น้องโดนต่อย ต่อยแบบต่อยของแท้โดยไม่ต้องวินิจฉัยให้มากความ ปากที่เคยชมพูจัดตอนนี้เจ่อแถมยังม่วงเพราะห้อเลือด ที่มุมปากด้านขวาเกิดแผลขนาดนั้นที่เลือดยังไหลไม่หยุดอย่างกับมันเพิ่งเกิดสดๆ ร้อนๆ ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ และไหนจะรอยช้ำม่วงๆ ใต้คางและใกล้ๆ กรามนั่นอีก
ไปทำอะไรมาวะน้อง!
“ปีใหม่” แขนผมไวกว่าความคิด รีบพุ่งเข้าไปประคองหน้าเล็กๆ นั้นไว้ตามสัญชาตญาณลูกผู้ชาย “ทำไมถึงเป็นแบบนี้”
แต่ทว่าน้องก็ยังส่ายหน้า
ใจคอน้องแม่งไม่คิดจะตอบผมจริงๆ สินะ
“พี่ดิว...”
“…”
“คืนนี้ผมอยู่กับพี่ได้มั้ย” แววตานั้นเหมือนกำลังขอร้องให้ผมเห็นใจ ซึ่งผมทำอยู่
“ผม... ไม่มีที่ไป” “อืม”
“ขอบคุณจริงๆ นะพี่”
นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันวะTBC* อยากรู้จังว่าน้องใหม่ของเราไปดื้อที่ไหนมา
สงสัยต้องมาติดตามกันตอนหน้าซะแล้วนะคร้าบบบ
ขอให้สนุกกับการทำงาน/เรียนในสัปดาห์ต่อไปนะครับ อิอิ
พูดคุยกันได้ที่
https://www.facebook.com/thene0classicหรือ #เจ้าจักรวาล ก็ได้นะฮัพ
ถ้าถูกใจ ฝากคอมเม้นท์ บวกเป็ด เป็นกำลังใจให้ผมหน่อยนะคร้าบ