� รักนี้มีเคลียร์ � By ' Puzzle>>> Special Episode _P.3_16Jul2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: � รักนี้มีเคลียร์ � By ' Puzzle>>> Special Episode _P.3_16Jul2019  (อ่าน 31502 ครั้ง)

ออฟไลน์ Cakewhans

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • ' Puzzle
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ



Open: April 09, 2018
Rate: PG 13+, 18+
Type: Romantic-Comady


เค้ก x ไอซ์

บทนำ
ความเข้าใจผิดทำให้ผมต้องมาใกล้ชิด สนิทสนมกับติวเตอร์ชื่อ 'ไวท์' แต่ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าไอ้ไวท์ที่ผมไปไหนมาด้วย มันคือ 'ไอ้เค้ก' เด็กวิศวะโยธา ปีสาม ที่ผมอยากจะเห็นหน้ามันนักหนา

คำแนะนำ: ค่อยๆ รักกันเบาๆ...ค่อยๆ เคลียร์ใจกันไปทีละอย่าง

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-07-2019 20:48:25 โดย Cakewhans »

ออฟไลน์ Cakewhans

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • ' Puzzle
Ep.1_Ice: Talk




               “วิน กูว่ากูชอบพี่เพลงว่ะ” ผมตัดสินใจพูดออกไป ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองรอบๆตัวด้วย กันไว้เผื่อเจ้าของชื่อที่ผมเพิ่งเอ่ยออกไปจะเดินมาแถวนี้พอดี

               “พี่เพลงดาวคณะเราอ่ะนะ?” ไอ้วินถามย้ำ

               “เออ พี่เพลงพี่รหัสกูเนี่ยแหละ”

               “ไอซ์!!!!!” ไอ้วินเรียกผมเสียงดังอย่างตกใจ ก่อนจะเบาเสียงลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเรานั่งกันอยู่หน้าตึกคณะ และไม่ได้มีแค่เรา อาการของไอ้วินก็ทำเอาผมอึ้งไม่น้อย เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา เพิ่งเคยเห็นมันตื่นตูมก็วันนี้นี่แหละ “มันไม่มีคนอื่นแล้วหรือไง ทำไมต้องมาชอบกันเองด้วยเนี่ย?”

               “ทำไม ก็เขาน่ารัก ดูแลกูก็ดี ถ้ากูมีแฟนก็ต้องเป็นคนนี้เนี่ยแหละ”

               “ใครมีแฟนยะ? มึงเหรออีเนิร์ด?” ผู้มาใหม่ที่ฟังไม่ได้ศัพท์ก็จับเอามากระเดียดใส่มาวิน ที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับผม

               “พล เราชื่อมาวิน”

               “อีนี่!!!! ตบปากตัวเองเท่าอายุเดี๋ยวนี้!!!!! นี่น้องพอลลี่ค่ะ พลเพินอะไรกัน!” ครับ ไอ้คนที่โวยวายน่ะ ชื่อพล แต่มันดันไม่ชอบชื่อที่บุพการีตั้งให้ เลยเปลี่ยนเองเป็นพอลลี่

               “ทีพลยังเรียกเราว่าเนิร์ดเลย” ไอ้วินก็ไม่ยอมครับ

               “พวกมึงพอได้แล้ว” ผมปราม พร้อมกับก้มหน้าก้มตาลอกงานวินต่อ ปกติ ผมไม่ใช่คนเรียนแย่ แต่ก็ไม่ถึงกับเก่ง เอาตัวรอดได้ทุกวิชาในแขนงนิเทศศาสตร์ เว้นอยู่วิชาเดียว คือเลข ที่ผมหนีมาตลอด ขนาดมาเรียนนิเทศฯ ยังต้องเจอ บอกไว้เลยนะครับ ว่าใครที่คิดจะหนีเลขแล้วมาเลือกเรียนนิเทศ(เหมือนผม) เพื่อหวังว่าจะไม่เจอ คุณคิดผิดครับ! เพราะมีเรียนถึงสองตัวด้วยกัน ตอนปีหนึ่งผมดรอปไปละ เพราะทำไม่ได้จริงๆ พยายามแล้วก็ไม่เข้าหัว อีกอย่างตอนนั้นยังไม่มีใครให้ลอกด้วย พูดแล้วก็เซ็งเพราะผมต้องไปลงเรียนใหม่

               แต่ของปีสองนี้โอเคแล้วครับ เพราะผมมีไอ้วินไว้ให้ลอก ฮ่าๆๆ วิชานี้เอาแค่ผ่านพอครับ ไม่ได้หวังเลี้ยงมดเลี้ยงนกกับเขากันหรอก แม้ว่ารุ่นพี่และหลายๆคนจะบอกว่าเป็นตัวที่เก็บง่ายและเอาไว้ดึงเกรดก็ตาม ผมอาศัยส่งงานทุกครั้ง เพื่อให้มีคะแนนเก็บเอาไปไว้บวกลบกันกับคะแนนสอบ(ที่ตั้งใจจะมั่ว)ให้มันพอผ่านก็พอ

               “ไอซ์ขาาาา แมทของสามีเสร็จรึยัง ดูของพอลลี่ได้นะฮะ” ว่าจบไอ้พลมันก็มาออเซาะ

               “ไปไกลๆเลยพล กูลอกของไอ้วินแล้ว” ผมว่า

               “ใจร้าย! แต่ไม่เป็นไรค่ะ เมียชอบบบบบบบบบบบบ” แล้วมันก็มาซบอีกครา ซึ่งตัวมันก็ไม่ได้น้อยๆเลยนะ น้ำหนักกับส่วนสูงคงจะพอๆกัน แต่เสือกทิ้งน้ำหนักลงมาเต็มๆ

               “ไปห่างๆก่อนพล กูเขียนไม่ถนัด”

               “แล้วอย่ามาง้อทีหลังก็แล้วกัน” แล้วมันก็ดึงถุงชมพู่ของไอ้วินที่วางอยู่ตรงหน้ามากินอย่างหน้าตาเฉย

               “ไม่มีใครง้อพลหรอก ไอซ์มีคนที่ชอบแล้ว!” ไอ้วินคงหมั่นไส้เลยโพล่งออกไป

               “ครายยยยยยยยยยยยยยยย มันเป็นใคร” ไอ้พลกรีดร้องแล้วหันมาคาดโทษกับผม

               “ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่แหละ” ผมว่าพร้อมกับสบตามัน แล้วส่งงานคืนให้ไอ้วิน “ขอบใจมาก”

               “นี่สามีชอบเมียเหรอคะ อร้ายยยยยย เป็นบุญของอีพอลลี่แล้ว จะมีผัวเป็นตัวเป็นตนทั้งทีก็ได้เดือนมอมาเลยโว้ย” แล้วมันก็ออกลวดลายเต้นแรงแร้งเต้นกาพร้อมกับทำเสียงดนตรีเอง เอากับมันสิครับ นี่แค่แหย่เล่นหน่อยเดียวเองนะ

               “แล้วนั่นจะไปไหน ไอซ์ขาาา” ผมยกมือขึ้นโบก ไม่ได้พูดอะไรพร้อมกับเดินตรงไปยังโรงอาหารกลางคณะ ที่เรียกว่าโรงอาหารกลางคณะก็เพราะว่าที่นี่มันสรุปไม่ได้ยังไงล่ะครับ ว่ามันเป็นโรงอาหารของคณะนิเทศหรือของคณะวิศวะกันแน่ สองคณะนี้เลยเรียกว่า โรงอาหารกลางคณะ ส่วนโรงอาหารของมหาลัยจะเรียกว่า โรงใหญ่

                  ผมตั้งใจจะไปหาน้ำแข็งมาเคี้ยว เพราะชอบ มีคนเคยบอกเหมือนกันว่าพวกที่ชอบเคี้ยวน้ำแข็ง กัดหลอด หรือนั่งเขย่าขา จะเป็นพวกเซ็กส์จัด ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าจริงมั้ย ต้องลองครับ ฮ่าๆๆ



                 “น้ำแข็งเปล่า 2 แก้วครับ”

              “น้ำแข็งอย่างเดียวป้าไม่ขายนะลูก ต้องซื้อน้ำด้วย น้ำแข็งป้าไม่พอ วันนี้รถไม่มาส่ง” ป้าคนขายบอก
 
                 “ครับ งั้นน้ำเปล่าด้วยขวดนึง” ผมไม่ได้อะไรนะ มันอาจจะเป็นการตลาดของป้า หรือจริงๆมันอาจจะเป็นอย่างที่แกพูดนั่นแหละ นั่นไม่ใช่ประเด็น ผมรับของมาหลังจากที่จ่ายตังค์เสร็จสรรพ แต่ผมไม่ได้ต้องการน้ำขวดนี้ จะทิ้งก็ไม่เสียดายหรอก แต่มันก็ดูประหลาดมั้ยอ่ะ เอาไปให้คนอื่นดีกว่า

              เอ๊ะนั่น! ใส่แว่น นั่งคนเดียว ผมยาวปรกหน้าปรกตา.. แต่แอบเซอร์ เพราะมีหนวดหรอมแหลม  สงสัยจะไทป์เดียวกันกะมาวิน

             ตอนแรกไอ้วินอ่ะไม่มีใครคบ มันเหมือนพวกโลกส่วนตัวสูง ดูเนิร์ดๆ แถมลุคมันก็ไม่เหมาะที่จะมาเรียนนิเทศด้วยซ้ำ อย่างไอ้วินน่ะ น่าจะเรียนหมอมากกว่า เพราะแบบนี้ล่ะมั้งเลยไม่ค่อยมีใครอยากสุงสิง แต่ผมอยากเป็นเพื่อนมันนะ เพราะสาขาผม ผู้ชายจริงๆ มันแทบจะไม่มีเลย ทุกคนโตเป็นสาวกันหมด เท่าที่เห็นก็คงจะเป็นไอ้วินคนเดียว เลยลองเข้าไปคุย ส่วนพลนั่นเพิ่งจะมารู้จักกันทีหลัง สนิทกันก็หลังประกวดดาว-เดือนนั่นแหละ เพราะมันคอยช่วยเหลือผมต่างๆนานา แล้วก็อ้ออีกคนนึงที่อยู่กลุ่มผม รายนั้นสนิทกันเพราะเลขรหัสติดกัน

                “ให้ ไม่ต้องเกรงใจ” ผมวางขวดน้ำยี่ห้อมหาวิทยาลัยลงตรงหน้าพ่อเนิร์ดคนนั้น แต่ใส่เสื้อช็อป สงสัยจะเป็นพวกวิดวะคอมฯ เพราะใส่แว่น เคยได้ยินมาว่าพวกนี้จะสายตาสั้นเพราะนั่งหน้าคอมเป็นเวลานาน

                 “น้ำใหม่ เพิ่งซื้อ ยังไม่ได้เปิด ไม่ได้แกล้ง แต่ป้าเขาขาย” ผมว่าอีก ไม่รอให้พ่อเนิร์ดนั่นได้เอ่ยปากอะไร ผมก็รีบเดินออกมา เพราะเหลืออีกห้านาทีจะบ่ายโมงแล้ว ซึ่งผมมีเรียน



             “ไอซ์ ไปไหนมา” อ้อร้องทักเมื่อเห็นผมเดินกลับมาที่โต๊ะ ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจเมื่อเห็นผมถือแก้วน้ำแข็งมา

               “รู้ยังว่าวรรณพรแคนเซิลคลาส?” อ้อถามต่อ

               “อ้าว” แล้วที่นั่งลอกงานไอ้วินแทบตายคือไร?

              “อือ อ้อเพิ่งลงมาจากห้องพักอาจารย์ เจอวรรณพรพอดี แล้วเขาฝากบอก” อ้อว่าต่อ คืออ้อเป็นทีเอให้กับอาจารย์ที่สอนปีหนึ่งน่ะ

                  “โอ้ยยยยย แล้วทำไมไม่รีบบอกตั้งแต่เมื่อคืนยะ เนี่ยเปลืองเครื่องสำอาง” พลบ่น

                  “แล้วงานนี่ล่ะ” เด็กเรียนที่สุดถาม

               “ไม่ได้พูดถึงนะ น่าจะส่งคราวหน้าทีเดียว” อ้อตอบ ก่อนหยิบบางอย่างออกมาให้ผม “พี่รหัสฝากมาให้ เล็คเชอร์จิตวิทยาเพื่อการสื่อสาร”

                   “ทำไมพี่รหัสฉันไม่มีงี้มั่งวะ เข้าใกล้ทีไรเอะอะถีบตลอด” พลบ่นถึงพี่รหัสตัวเอง ทุกคนหัวเราะ เว้นแต่มาวิน

                “จะว่าไปไอซ์เลือกชอบถูกคนแล้วแหละ”

                   “หมายความไงอ่ะ?” อ้อขมวดคิ้วฉงน

                   “เราว่าจะจีบพี่เพลง” ผมบอกออกไป

                   “สามีขาจะทำอย่างนั้นกับเมียไม่ด้ายยยยยย”

                “ไอซ์ไม่รู้เหรอว่าพี่เพลงมีแฟนแล้ว?” ประโยคคำถามของอ้อ ทำเอาผมชะงัก

                   “รู้ได้ไง”

                   “ใครๆเขาก็รู้ว่าพี่เพลงมีแฟน แต่ยังไม่แน่ชัดว่าคนไหน เพราะพี่เพลงมักไปกับกลุ่มพี่เกอร์บ่อยๆ” อ้อว่า

                  “พี่เกอร์เดือนวิดวะ ปี 3 น่ะเหรอ?” นี่ขนาดไอ้วินก็รู้จักเหรอวะ?

                 “ก็อย่างที่เค้าว่าอ่ะเนาะ ว่าสาวนิเทศ ต้องคู่กะหนุ่มวิดวะ เพราะเคมีมันเข้ากั๊นเข้ากัน แต่พอลลี่คนนี้น่ะ จะยอมผิดผี เพราะสามีดันอยู่นิเทศ” แล้วมันก็มาออเซาะผมอีกรอบ

                 “ไม่ชัวร์นะว่าคนไหน แต่ที่ชัวร์คือแฟนพี่เพลงเรียนวิดวะโยธา” อ้อย้ำ นี่ผมออกหักตั้งแต่ยังไม่เริ่มเหรอวะ?

                 “อยากเห็นไอ้กลุ่มพี่เกอร์ไรนี่ว่ะ” ผมว่า

                 “ถามเมียสิคะ ผู้ชายที่ไหนหน้าตาดี เมียรู้หมดค่ะ เพราะหน้าที่เหยี่ยวข่าวสาวดาวกระจุยนั้นเป็นของเมีย ฮิๆๆ” ไอ้พลจีบปากจีบคอ

                “อื้อ กลุ่มพี่เกอร์หน้าตาดีทุกคน แต่หล่อคนละแบบ และก็เหมือนว่าคนที่ฮอตที่สุดจะเป็นพี่เค้กนะ หล่อรวย เรียนเก่ง เพอร์เฟคไปหมด แต่ไม่ค่อยออกหน้าออกตา”

                “จริง!” ไอ้พลสมทบ “นี่ถ้าพี่เค้กลงประกวดเดือนปีนั้นนะ ตำแหน่งเดือนมหาลัยไม่หนีไปไหนหรอก แต่เจ้าตัวดันไม่ชอบทางนี้ไง สุดท้ายพี่เกอร์เลยต้องลงแทน และก็ได้รางวัลแค่ขวัญใจมหาชนไปครอง”

             “รู้อย่างกะเข้าเรียนพร้อมพี่เขางั้นแหละ นี่ซิ่วมาเรียนใหม่อีกรอบรึเปล่า” ไอ้วินแซะ เออ ไอ้คู่นี่

                 “อีเนิร์ดหุบปาก!”

                 “จะว่าไป เหมือนอ้อเคยเห็นพี่เพลงเดินกะพี่เค้กด้วยนะ หรือว่าแฟนพี่เพลงจะเป็นพี่เค้ก?”

                 “เราก็เคยเห็น” มึงด้วยเหรอไอ้วิน

                 “จริงเหรอวะ?” ผมถามอีก

                 “อ้อว่า แฟนพี่เพลงที่เรียนวิดวะ ต้องเป็นพี่เค้กชัวร์!”

                 “เดี๋ยวเมียจะไปสืบมาให้ค่ะสามี”

                 “เป็นคนดีเป็นด้วยเหรอ?” ไอ้วินนี่ก็แอบกวนตีนนะเนี่ย เห็นหน้านิ่งๆ ไม่สนใจโลกแบบนี้

                 “จริงๆน่ะ จะไปสืบมาให้รู้ไง สามีจะได้ตัดใจ แล้วกลับมาหาเมียเหมือนเดิม ฮิๆ”

                 “ไม่กลัวโดนเด็กวิดวะถีบก็ไปเถอะ” อ้อกลั้วหัวเหราะ

                 “นังหญิงอ้อ แกน่ะไม่รู้อะไร ว่าฉันเองก็มีเพื่อนเรียนวิดวะเหมือนกัน”

                 “มีคนคบด้วยเหรอ” ทุกคนหัวเราะพรืดกับคำถามผม

              “สามี! ไม่น่ารักเลย!!!” มันงอนครับ ท่าทางมึงไม่ได้เข้ากะบุคลิกเล้ยพลเอ้ย

             “มีก็แล้วกัน คอยดูเถอะ!” ว่าจบมันก็วิ่งสลาตันออกไป ทุกคนก็ได้แต่ส่ายหน้าเอือมให้มับท่าทางของมัน

                 “แล้วนี่ไปไหนต่อ” อ้อหันมาถามผม เมื่อเห็นว่ามาวินเริ่มเก็บของแล้ว สงสัยคงจะรีบกลับไปอ่านหนังสือตามประสาเด็กเรียน สองคนนี้พักอยู่หอเดียวกันครับ ใกล้ๆมอนี่แหละ

                 “เดี๋ยวก็กลับแล้วล่ะ” ผมบอกพร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมากดส่งข้อความไปบอกที่บ้าน

                 “ให้รอเป็นเพื่อนเปล่า?” วินถาม

                 “ไม่เป็นไร โอเค” ผมตอบไป จริงๆผมอยู่ได้นะ รอคุณมิตรแป๊บเดียว น้ำแข็งก็มีให้เคี้ยว..



                  ปกติเวลามาเรียนหรือเลิกเรียน จะมีคนที่บ้านคอยรับ-ส่ง ครับ มันดูเหมือนคุณหนูมาก แถมดูไม่โตด้วย แรกๆนี่สายตาทุกคนมองผมอย่างกะเป็นตัวประหลาด แต่พอผมเริ่มประกวดเดือน เป็นที่รู้จักมากขึ้น ทุกคนกลับมองผมอีกแบบ กลายเป็นว่าผมเป็นลูกคนมีตัง ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงไปซะงั้น ซึ่งก็จริงส่วนนึงครับ บ้านผมมีตัง และถ้าถามว่าต้องการความเป็นส่วนตัวมั้ย? ก็นิดนึงครับ

            แต่เอาจริงๆนะ ผมก็อยากขับรถมาเรียนเอง แต่ที่บ้านเขาไม่อนุญาต พ่อแม่อยู่ไกล เขาให้เหตุผลว่าเป็นห่วง ครั้นจะใช้บริการรถสาธารณะ ก็..ขอบายดีกว่า ผมขึ้นรถไม่เป็น ผมหลงทิศ และก็ไม่คิดที่จะพยายามด้วย ผมติดสบายนั่นแหละ
แต่เรื่องประกวดเดือนนั้น ผมไม่รู้ ว่าทำไมต้องเป็นผม สาขาอื่นก็มี พวกโฆษณาก็หน้าตาดีเยอะ แต่ผมก็ทำๆไป ถามว่าชอบมั้ย ก็ไม่ แต่ก็อยากลองทำไรที่ยังไม่เคยได้ทำด้วยนั่นแหละ เรื่องที่ชอบพี่เพลงก็เหมือนกัน อยากลองจีบ แต่ทำไมพี่เพลงดันมีแฟนแล้วล่ะ?
                  อยากเห็นกลุ่มไอ้พี่เกอร์ไรนี่ด้วย จะหล่อสักแค่ไหนกันเชียว โดนเฉพาะไอ้คนชื่อเค้ก ถึงกับเป็นแฟนพี่เพลงเลยเหรอวะ?



                  “ตอนนี้หาคนติวให้คุณได้แล้วนะครับ” คุณมิตรเอ่ย หลังจากที่รับผมขึ้นรถมา และออกตัวจากมหาลัยมาได้สักพักหนึ่งแล้ว

                  “ไม่ชอบเลย” ผมว่าพร้อมกับจิ้มไอแพดเล่น

                  “จะทำให้ไม่จบนะครับ” รู้แล้วววว คุณมิตรนี่ก็ประหนึ่งเป็นพ่อผมอีกคน ไม่แปลกใจเลยที่ทำงานอยู่กับที่บ้านได้นานขนาดนี้

                  “...”

                  “เริ่มเรียนวันพรุ่งนี้นะครับ บ่ายสามโมง หลังเลิกเรียนวิชาช่วงเช้า คุณจะได้มีเวลาพักก่อน” คุณมิตรเริ่มร่าย

               “รู้อีกนะว่าเรียนอะไรเวลาไหน” ผมประชดเล็กๆให้คนขับรถ ซึ่งทำหน้าที่ประหนึ่ง butler ประจำบ้าน ที่ทำตั้งแต่รับส่งผม ยันลงวิชาเรียนให้ อ่อ หาติวเตอร์ให้ด้วย นี่ไม่รวมเรื่องจิปาถะนะ

                  “เรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ครับ มหาวิทยาลัยเดียวกับคุณ ชื่อไวท์ ผมเลือกชั้นปีเดียวกัน จะได้คุยกันง่ายขึ้น” คุณมิตรบอก “พรุ่งนี้คือนัดเรียนครั้งแรก แต่นัดต่อไปทางนั้นจะเป็นคนนัดเองตามที่เวลาของแต่ละคนจะสะดวกนะครับ”

                  “..อือ” ผมตอบรับแบบขอไปที ไม่อยากเรียน ไม่ชอบเลข แต่ก็นั่นแหละ ไม่เรียนก็ไม่จบ น่าเบื่อ~
    
              ถ้าเลขเป็นสิ่งที่ผมชอบก็คงจะดี เพราะคนเรา มักจะทำในสิ่งที่ชอบได้ดีไม่ใช่เหรอ?

 


TBC
เรื่องนี้เป็นโปรเจคคู่กับพี่คนนึง ชื่อเรื่องอาจจะมีคุ้นๆ บ้าง เพราะเคยลงในเด็กดีเป็นเค้กไอซ์2015 แต่เค้กไอซ์2018นี้ไฉไลกว่าเดิม อย่าลืมติดตามให้กำลังใจ คอมเม้นแนะนำ ติชมได้ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-04-2018 19:48:15 โดย Cakewhans »

ออฟไลน์ Cakewhans

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • ' Puzzle
2 Cake: Talk



    “อ้าว ไหนมึงฝากกูซื้อน้ำไง” ไอ้เบนซ์ทำหน้าสงสัย เมือเห็นว่าตรงหน้าที่ผมนั่งอยู่มีขวดน้ำวางอยู่ก่อนแล้ว

     “อืม” ผมไม่ตอบอะไร แต่เลือกที่จะหยิบขวดน้ำที่เบนซ์มันซื้อมาแล้วเปิดกิน

       “สรุปได้ที่ฝึกงานแล้ว?” เกอร์ที่มาใหม่ถามพร้อมกับวางจานข้าวลง

      “อืม”

      “ที่?” เบนซ์ถามต่อ แต่ยังไม่ทันตอบ ไอ้เกอร์ก็เฉลยแทน

      “สิงคโปร์ไง” ว่าพลางตักข้าวเข้าปาก “ไม่เคยจำอ่ะ มันพูดเป็นสิบรอบละ”

      “มึงพูดเยอะหลายรอบเป็นกะเค้าด้วยเหรอวะเค้ก?” ไอ้เบนซ์หัวเราะ

      “แล้วพวกมึงเอาไง?” ผมไม่ตอบ แต่เลือกถามกลับไปแทน

     “ไม่รีบ ฝึกงานไปด้วย ทำโปรเจ็คไปด้วยยังทัน” เกอร์ว่า

     “กูด้วย กูไม่อยากไปไกลเหมือนมึง เพราะงั้นกูไม่รีบ”

      “ไม่อยากไปไกลหรือขี้เกียจ?” ผมถามอีก

    ผมเลือกที่จะไปฝึกงานที่สิงคโปร์เพราะที่โน่นมีอะไรหลายอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะความเจริญก้าวหน้าในอุตสาหกรรมกรรม เทคโนโลยี และการพัฒนาประเทศ ยิ่งที่นั่นเป็นเกาะเล็กรายล้อมไปด้วยทะเลแต่กลับก้าวหน้าทางด้านการคมนาคมเป็นอย่างมาก ซ้ำยังพัฒนาในหลายๆด้านนำบ้านเราไปอีกหลายสิบปีด้วย คิดว่าน่าจะได้ประโยชน์กลับมาเยอะพอสมควร ปีสามนี้เลยตั้งใจลงเรียนเพื่อเก็บวิชาที่เหลือให้หมด และหาข้อมูลฝึกงานไว้ก่อน ก่อนที่จะไปฝึกจริงในปีสี่เทอมแรก ส่วนเทอมสุดท้ายจะได้มีเวลาทำโปรเจ็คจบอย่างเต็มที่

        “เออ กูขี้เกียจ” แล้วไอ้เบนซ์มันก็หัวเราะหน้าตาเฉย ไม่ทุกข์ร้อนอะไร

    “แต่ขอไรอย่าง” ไอ้เกอร์เข้าโหมดจริงจัง “ตอนนี้ก็ได้ที่ฝึกงานแล้ว ลงวิชาเรียนก็ครบแล้ว ช่วยไปตัดผมและโกนหนวดอุบาทว์ๆนั่นสักที เห็นแล้วรำคาญตาชิบ”

        “แบบนี้ก็ดีแล้ว” ไอ้เบนซ์รีบพูด “เพราะถ้าแม่งตัดผมแล้ว กูดรอปทันที”

        “ถึงเฮียไม่ตัด พี่ก็ดรอป” บุคคลมาใหม่เอ่ยเสียงดังว่า ก่อนยกมือไหว้พวกผมทีละคน

        “ขอร้องเถอะหญิง มึงช่วยทำตัวให้เหมือนผู้หญิงสมชื่อหน่อยจะได้มั้ย” ไอ้เบนซ์มองรุ่นน้องเอือมๆ

    “งั้นพี่ก็ปฏิบัติตัวกะหนูเหมือนผู้หญิงก่อนสิ” น้องมันตอบกลับพร้อมกับยัดมะม่วงเข้าปาก ถ้าจำไม่ผิดมะม่วงนั่นไอ้เบนซ์เป็นคนซื้อมา

     “พอเลยพอ” ไอ้เกอร์ยกมือห้ามทัพ ก่อนที่จะมีคนอื่นหันมามองพวกเรากันมากกว่านี้ เพราะตอนนี้เสียงดังกันเหลือเกิน แต่ถึงไม่ดังคนก็มอง ก็ไอ้เกอร์มันออกจะเด่น

    “พี่ๆหวัดดีครับ” ไวท์ น้องรหัสไอ้เกอร์ผู้มาใหม่พร้อมกับนินิว น้องรหัสผม ยกมือไหว้

    “อืม” ผมพยักหน้ารับ

    “พี่ๆครับ ผมมีเรื่องจะขอร้อง” ไอ้ไวท์เริ่มจริงจัง

        “ไม่ได้ไปทำใครท้องใช่มั้ย?”

        “พี่เกอร์ ผมโสด”

     “หรือมึงไปมีเรื่องกะใครอีก วันก่อนก็พวกไอ้สร ไปทะเลาะกะพวกถาปัตถ์ แม่ง ต้องให้กูไปเคลียร์”

        “พี่เบนซ์ใจเย็น” ไอ้ไวท์รีบปราม ก่อนจะเริ่มอธิบายจริงจัง “คืองี้ ผมเป็นนักกีฬาฟันดาบของมอใช่ปะ แล้วมันมีโปรแกรมใหม่ที่จะต้องลงแข่งในเดือนหน้า โค้ชเพิ่งมาบอก ทำให้ต้องซ้อมทุกวัน”

    “แล้ว?” ไอ้เกอร์ถามน้องรหัสมัน

        “ผมก็ไม่รู้ไงว่าจะต้องลงแข่งโปรแกรมนี้อ่ะ แล้วก็ดันไปรับจ๊อบสอนพิเศษเอาไว้น่ะสิ”

        “มึงจะโง่ไร แคนเซิลไปสิวะ” ไอ้เบนซ์แย่งถั่วหญิงกิน

     “ทำได้ก็ดีสิ ผมรับตังค์มาแล้ว”

        “เอาไปคืนสิวะ โง่อีก” ไอ้เบนซ์ตบหัวน้องมันอีกที

    “ไม่ทันแล้ว ผมเอาไปจ่ายค่าหอที่ค้างไว้แล้ว” ไอ้ไวท์หน้าสลดลง ซึ่งพวกผมก็พอรู้มาบ้างว่ามันฐานะที่บ้านไม่ค่อยดี เรียนโดยใช้ทุนนักกีฬา และมักจะรับจ๊อบเพิ่มด้วย เคยเสนอตัวช่วยแล้วก็เสือกหยิ่งในศักดิ์ศรีอีก ไอ้เกอร์เลยตัดปัญหาด้วยการหาเรื่องเลี้ยงข้าวมันบ่อยๆ

       “แล้วที่จะขอร้องคือ?” ไอ้เกอร์ถาม

       “พวกพี่ช่วยไปสอนพิเศษแทนผมหน่อยดิ”

       “ถ้าเด็กมึงเป็นผู้หญิง กูไป” ไอ้เบนซ์รีบเสนอตัว

       “ทำดีหวังผล” หญิงได้ทีก็แขวะใหญ่

       “เป็นผู้ชายครับ สอนแมท1 ตัวพื้นฐานเลย ที่เราเรียนตอนปีหนึ่งอ่ะ เห็นว่าทางนั้นอ่อนมากถึงมากที่สุด ถึงกับต้องดรอปไว้แล้วค่อยไปลงเรียนใหม่”

     “นั่นโคตรง่ายเลยนะ”

     “มึงว่าง่าย มึงก็ไปสอนสิวะเกอร์ ช่วยน้องรหัสมึงไง”

     “สอนคนไม่เป็น ไม่ว่างด้วย” ไอ้เกอร์กับไอ้เบนซ์เริ่มเกี่ยงกัน

    “ละทำไมไม่ให้ไอ้หญิง หรือไอ้นิวสอนวะ เพื่อนมึงก็มี ทำไมต้องเป็นพวกกู”

     “ก็ผมบอกเขาว่าเป็นผู้ชายไงครับ ดังนั้นฝ่ายนั้นก็ต้องการให้คนที่สอนเป็นผู้ชายน่ะสิ”

     “ไอ้เค้กไง” ไอ้เกอร์ชี้มาทางผม

     “ทำไมต้องกู”

     “ก็เพราะมึงเป็นมึงไง หล่อ รวย เก่ง เพราะงั้นมึงเลย ฮ่าๆๆๆ” แล้วไอ้เบนซ์ก็ระเบิดหัวเราะ มีอะไรน่าขำตรงไหน

     “ช่วยน้องมันหน่อย เดี๋ยวแข่งโปรแกรมนี้จบแล้วค่อยหยุดก็ได้ อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่มีอะไรอยู่แล้วนี่” ไอ้เกอร์ว่า

     “พี่เค้กครับ ช่วยผมด้วยนะครับ เริ่มพรุ่งนี้แล้วด้วย แต่ผมต้องไปซ้อมอ่ะ เนี่ยเดี๋ยววันนี้ก็ต้องไปละเนี่ย” ไอ้ไวท์ยกมือไหว้ “เดี๋ยวผมได้เงินจากงานแล้วเดี๋ยวผมคืนให้”

     “ไม่ต้อง” ผมว่า

    “ขอบคุณนะครับพี่เค้ก” ไอ้ไวท์ยกมือไหว้แล้วไหว้อีก

     “กูยังไม่ได้รับปาก”

     “อ้าว..” ไอ้ไวท์หน้าเหวอลงหลังจากที่ผมพูดจบ

     “ไม่ต้องกังวลหรอก เดี๋ยวมันก็จัดการให้เองนั่นแหละ” ไอ้เกอร์ปลอบ ว่าแต่นี่ผมต้องกลายไปเป็นติวเตอร์จริงๆเหรอ?

     “พี่เค้ก อย่าลืมที่นิวบอกนะ” น้องรหัสผมที่นั่งเงียบอยู่นานเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วย

     “อืม” ผมพยักหน้าแล้วลุกขึ้น

     “มึงจะไปไหววะเค้ก” ไอ้เบนซ์เรียก

        “ไปรับเพลง” ว่าจบผมก็ลุกขึ้นพร้อมกับพยักหน้าให้นิวที่ยกมือไหว้ และไม่ลืมที่จะหยิบน้ำขวดนั้นติดมือออกมาด้วย

    “นี่มึงเป็นแฟนเพลงจริงเหรอวะ?” ไอ้เบนซ์ถาม

    “...” แต่ผมไม่ได้ตอบ

    “หึๆ” กลับเป็นไอ้เกอร์ที่เป็นฝ่ายหัวเราะขึ้นมา หลังจากที่ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป แหงล่ะ เกอร์มันรู้นี่ว่าอะไรเป็นอะไร

    “เกียร์ของเพื่อนกูจะขายออกก็คราวนี้แหละโว้ยยยยยย ฮ่าๆๆ” ไอ้เบนซ์หัวเราะชอบใจ ทั้งที่ไม่ได้รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็เอาเถอะ ขนาดมึงยังเก็บไว้กับตัวอยู่เลย..

เกียร์อยู่ที่ใจ ใจอยู่ที่เกียร์
ฝากเกียร์ไว้กับใคร ..ฝากใจไว้กับคนนั้น
[/i]

   ประโยคเสี่ยวๆที่รุ่นพี่มันสั่งสอนกันมา เด็กวิศวะทุกคนมันจำได้ขึ้นใจกันทั้งนั้นแหละ แต่กว่าจะมอบหัวใจให้ใครได้ มันก็ต้องผ่านกระบวนการคิดพิจารณากันมาแล้วทั้งนั้น ก็กว่าจะได้นี่
วิ่งไปตั้งกี่รอบ...



    “ครับแม่” ผมรับสายบุพการี หลังจากที่ขับรถออกจากคณะมาได้ซักพัก ตอนนี้กำลังจะไปรับเพลง ดาวนิเทศฯ ปีเดียวกันกับไอ้เกอร์นั่นแหละ

    [เค้กกลับบ้านรึเปล่าวันนี้]

    “ไม่ครับ”

    [ป๋าอยากกินข้าวด้วยนะลูก] แม่บอกอีก [เค้กไม่กลับบ้านมาสองอาทิตย์แล้วนะลูก]

    “ยุ่งๆน่ะ ไว้วันหยุดก็แล้วกัน” ผมบอก

    [แต่..]

    “ผมขับรถอยู่ เท่านี้นะแม่” ผมตัดบทแล้ววางสายเลย นี่ผมไม่ได้กลับบ้านมาแค่สองอาทิตย์เองเหรอ นึกว่าเป็นเดือนแล้วซะอีก

    ว่าแต่แมท 1 มันยากขนาดนั้นเลยเหรอวะ ปกติวิชานี้เป็นวิชาที่นักศึกษาทุกคนจะเก็บเกรดง่ายนะ สงสัยต้องกลับไปรื้อดูซะแล้ว  ว่าเล็คเชอร์วิชานั้นอยู่ตรงไหน จำได้ว่าไม่ได้ให้นิวเพราะน้องมันก็เรียนเก่งพอตัว และปกติเรื่องที่น้องเข้ามาคุยก็ไม่ค่อยปรึกษาเรื่องเรียนสักเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นเรื่องอื่นซะมากกว่า..

    สงสัยวันนี้ก็คงยังไม่ได้ตัดผมอีกตามเคย กว่าจะเสร็จธุระ ผัดไปอีกวันนึงก็แล้วกัน

TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-04-2018 20:42:27 โดย Cakewhans »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Cakewhans

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • ' Puzzle
3 Ice : Talk


    “เลิกเรียนแล้ว บ่ายว่างถูกมะ ไปกินเอ็มเคกัน” พลเป็นคนเสนอไอเดีย

    “ใครบอกว่าว่าง?” ผมแกล้งกวนประมาทมัน “ไม่มีเรียนแล้วไม่ได้หมายความว่าจะว่างสักหน่อย”

    “ไอซ์พูดถูก และก็เสียใจด้วยค่ะกะเทย ดิฉันมีงานตอนบ่าย” อ้อเป็นคนแรกที่ปฏิเสธการนำเสนอของไอ้พล เนื่องจากว่าต้องไปช่วยอาจารย์ ผมว่าดีนะ นอกจากจะได้ช่วยอาจารย์แล้วยังได้ตังค์ด้วย งานสบายดีออก

     “แม่ยังไม่โอนค่าขนมมาให้เลยอ่ะ” มาวินบอกเสียงอ่อย พร้อมกับกระชับเป้สะพายบ่า

    “โอ้ยยยยย เดี๋ยวอีพอลลี่คนนี้เลี้ยงเองก็ได้ค่า!”

    “ไม่อ่ะ ไม่อยากเป็นหนี้พล”

    “ก็บอกว่าชื่อพอลลี่ยังไงล่ะอีเนิร์ด!”

    “กินโรงกลางก็ได้” ผมตัดจบ จะได้ไม่ต้องเถียงกันอีก ไอ้พลก็โวยวายเสียงดัง ส่วนไอ้วินก็แอบกวนตีนหลบใน ความจริงผมจะเลี้ยงเพื่อนก็ได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ขี้เกียจย้อนไปย้อนมาเพื่อมารอเรียนตอนบ่ายสามอีก

    “งั้นไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้” อ้อโบกมือลา วินแค่พยักหน้าให้ ส่วนไอ้พล...

    “ยกมือขึ้นบ๊ายบาย เป็นความหมายว่าอ้ายลาก่อน ล่าก่อน ล้าาาาก่อน..” เอ่อ.. ผมกับไอ้วินมองหน้ากันเลิกลั่ก ที่อยู่ๆไอ้พลก็เกิดอาการผีเข้า

    “ร้องเพลงอะไรมึงเนี่ยพล”

    “โถ! สามีขา ไม่รู้จักรึไง เพลงคิดฮอดอ้ายแหน่เด้อ ของเทพพร เพชรอุบลน่ะ รู้จักมั้ย?” มันหันมาเท้าเอวถาม ใครวะ?

    “ใครจะไปรู้จัก”

    “อีเนิร์ดมึงเงียบไปเลย มึงจะไม่รู้จักได้ยังไง ใครๆเค้าก็รู้กันทั้งนั้นแหละ นี่ลูกทุ่งพันล้านเลยนะยะ!!!” เออ ผมคนนึงล่ะครับ ที่ไม่รู้

    “เอาล่ะๆ อย่าเพิ่งเถียงกัน ไปกินข้าวเถอะ หิวละ” เป็นอีกครั้งที่ผมต้องตัดบท ไม่งั้นมีหวังยาว

    “ขวัญใจของหนุ่มบ้านนา อย่าได้โศกาเลยหนาคนดี..” แล้วมันก็รำและนำไปเลยครับ



    ตอนนี้ 15:05 น.

    ผมมานั่งรอคนชื่อไวท์ ที่จะมาเป็นติวเตอร์ให้ผมที่ห้องสมุดคณะตัวเองอย่างที่นัดกันไว้ หมายถึงคุณมิตรนัดให้อ่ะนะ เลือกเอาชั้นที่มันสามารถเอาน้ำเข้ามากินได้ เพราะผมติดน้ำแข็งมาก(ถึงมากที่สุด) ส่วนพรุ่งนี้หรือวันต่อๆไปค่อยนัดกันเองอีกที ไอ้วินกลับไปตั้งแต่บ่ายสองแล้ว ทีแรกมันว่าจะอยู่เป็นเพื่อน แต่นึกขึ้นได้ว่าต้องกลับไปซักชุดนักศึกษาเลยกลับไปก่อน ส่วนไอ้พล หลังจากที่มันกินอิ่มก็ปลีกตัวไปซ้อมเต้นสันทนาการให้รุ่นน้อง ไอ้นี่มันเป็นเด็กกิจกรรมครับ เห็นมันแบบนี้มันมีความสามารถนะ เรียนก็เก่ง แต่คนมักมองมันเป็นตัวตลกมากกว่าเป็นคนตลก   

    จริงๆผมก็อยากทำอะไรหลายๆที่ยังไม่เคยได้ลองทำมาก่อนเหมือนอย่างไอ้พลมันบ้างเหมือนกันนะ แต่ไม่ค่อยชอบอ่ะ ประกวดเดือนเมื่อปีที่แล้วนี่ก็ฉีกกฎชีวิตผมสุดๆแล้วนะ ผมอยากลองไปร้านเหล้าดูบ้างเหมือนกัน แต่เพื่อนผมแต่ละคนไม่ใช่สายนั้นเท่าไหร่ ไอ้วินงี้ อ้องี้ แต่ไอ้พลนี่ไม่แน่...

    ผมอยากร่วมทำกิจกรรมกับคณะ อยากลองไปค่ายอาสา อยากลองเต้นบ้าๆดูมั่ง แต่ก็นั่นแหละ มันเหมือนมีบางอย่างกั้นผมเอาไว้อยู่ เลยทำให้ทำอะไรแล้วไปไม่ค่อยสุด อาจจะเพราะว่าที่บ้านผมเป็นแบบนี้ด้วยล่ะมั้ง...

    นี่ขนาดผมขอออกมาอยู่คอนโดคนเดียวแล้ว ยังต้องให้คุณมิตรมาคอย-รับส่งเลย ยิ่งตอนรับน้องยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ว่าจะเลิกดึกแค่ไหน ห้าโมงเย็นคุณมิตรก็มารอละ เซ็ง! สงสัยผมต้องคุยกับที่บ้านเรื่องนี้จริงๆจังๆเสียที แต่ขั้นแรกผมต้องจัด Mindset ของตัวเองก่อน ต้องเลิกติดสบาย แล้วลองหัดนั่งรถไฟฟ้าหรือรถสาธารณดู
    ยกข้อมือขึ้นมา ตอนนี้เป็นเวลา 15:15 น. แล้ว แต่ติวเตอร์ของผมก็ยังไม่มาสักที ผมเลยแก้เบื่อด้วยการแต่งรูปในไอแพดเล่นไปพลางๆ หยิบน้ำแข็งในแก้ว YETI เคี้ยวไปด้วยก็เพลินดี..

    “...ไอซ์” เสียงคนเรียกชื่อผมดังขึ้น แต่ผมเลือกที่จะตอบกลับไปสั้นๆ ทั้งที่ยังไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมามองคนที่เรียกเลยด้วยซ้ำ

    “ช้า”

    “...อืม” อืมเนี่ยนะ ให้คนอื่นเขารอ แล้วยังมีหน้ามาตอบง่ายๆว่าอืมอีกเหรอ? นี่คุณมิตรจ้างนะ ไม่ได้ขอให้มาช่วยฟรีสักหน่อย

    “อ้าว นายเนิร์ดคนเมื่อวานนี่” พอเงยหน้าขึ้นมาก็ถึงกับบางอ้อ ว่าทำไมคนตรงหน้าถึงได้ตอบคำสั้นๆมาแบบนี้ อย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิดว่านายคนนี้ต้องไทป์เดียวกะมาวิน เงียบๆ เนิร์ดๆ เข้ากะคนไม่ค่อยเก่ง พวกเรียนเก่งก็แบบนี้ล่ะนะ

    “ไวท์ใช่มั้ย อีกอย่างก็ปีเดียวกันด้วย ขอไม่เกรงใจก็แล้วกัน”

    “..อืม” มันพูดเป็นอยู่คำเดียวรึไงวะ?

    “มึงเรียนวิดคอมเหรอ?” ผมเลือกที่จะชวนคุยก่อนที่จะเริ่มเรียนจริงจัง เพราะคนตรงหน้านี่ก็โคตรนิ่งอ่ะ ยิ่งต้องมาคุยกันในเรื่องที่ผมไม่ชอบแล้วด้วย ยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าผมไม่อยากเรียนก็ได้

    “เรียนโยธา” พอมันพูดหลายคำแบบนี้เสียงก็หล่อดีนี่หว่า ไม่เข้าใจว่าจะนิ่งอะไรขนาดนี้ กลัวดอกพิกุลร่วงออกมาจากปากรึไง เดี๋ยวนะ เรียนโยธาเหรอ แบบนี้ก็ต้องรู้จักกลุ่มไอ้พี่เกอร์อะไรนั่นน่ะสิ

    “มึงรู้จักคนชื่อเค้กปีสามปะ?”

    “...ทำไม?”

    “อยากรู้ว่าคนไหน” ผมว่าพร้อมกับมองหน้าไอ้ไวท์ไปด้วย จะว่าไปมันก็หน้าตาดีนี่หว่า ดีมากด้วยนะเนี่ย จมูกโด่ง คิ้วเข้มๆ ปากได้รูป ผมว่ามันดูดีมากเลยนะ ดูดีขนาดว่าลงประกวดเดือนได้เลยล่ะ แต่หมายถึงว่าถ้ามันรู้จักดูแลตัวเองและไม่ทำให้ตัวเองดูรกรุงรังแบบนี้อ่ะนะ

    “จะอยากรู้ไปทำไม?”

    “มีคนบอกว่าหล่อมาก เลยอยากรู้ว่าจะหล่อสักแค่ไหน”

    “...” เงียบอีกแฮะ

    “แล้วเมื่อวานได้กินน้ำที่กูให้ปะ?”

    “เริ่มเลยมั้ย?” นอกจากไอ้ไวท์มันจะไม่ตอบคำถามผมแล้ว มันยังตั้งหน้าตั้งตาจะสอนผมอีก มันหยิบบางอย่างออกมา คล้ายจะเป็นเล็กเชอร์ของมัน ดูจากสภาพแล้วยังไม่เก่าเลย ก็แหงล่ะ เพิ่งเรียนเมื่อปีที่แล้วนี่เอง

    “ไม่เข้าใจตรงไหน?”

    “ทุกตรง”

    “...” ผมบอกตามความจริง แต่ไอ้ไวท์เสือกเงียบใส่ นี่มันคิดว่าผมกวนตีนหรือไง

    “กูพูดจริงๆ” ผมว่า ไม่อยากจะสบตา จริงๆก็อายหน่อยๆนะ ขนาดพวกไอ้พลผมยังไม่ได้บอกเลยว่ามีติวเพิ่ม แต่พวกมันก็รู้กันแหละว่าผมอ่อนเลข แบบเป็นถึงเดือนคณะ แต่โง่อ่ะ ไม่ค่อยเซลฟ์เลย แต่คนเรามันก็ต้องมีสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้กันบ้างแหละน่า

    “งั้นลองแก้สมการง่ายๆดู” ว่าจบมันก็ส่งกระดาษที่มันเพิ่งจะขีดๆเขียนๆส่งมาให้ผม
 
    “...” ผมเงียบหลังจากพิจารณาดูตัวเลขและตัวอักษรภาษาอังกฤษที่มันใช้แทนตัวแปรในมือ แม่ง ไม่เข้าใจว่ะ

    “ทำได้มั้ย?”

    “ไม่อ่ะ” ผมบอกตามตรง ก่อนจะดันกระดาษในมือส่งคืนให้

    “นี่เลข ม.ต้นด้วยซ้ำ” มันจ้องหน้าผม ไอ้แว่นนี่หน้าตาดีจริงๆนะเนี่ย

    “ก็ใช่ไง ใครมันจะไปจำได้ล่ะ” ผมว่า

    ชั้นมัธยมผมเรียนโรงเรียนนานาชาติ ไม่ได้เน้นอะไรพวกนี้มากนัก ส่วนใหญ่จะให้เด็กเรียนในเรื่องสนสนใจเสียมากกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิชาเลขเลย มันก็มี จำได้ว่าตอนนั้นคุณมิตรหาคนมาสอนผมแทบจะเรื่องละคน ผมก็ทำได้แค่พอผ่านๆไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก พอสอบเสร็จก็ลืม พอจะต้องสอบใหม่ก็เรียนใหม่ เป็นแบบนี้จนจบ ส่วนตอนสอบเข้ามหาลัย ผมใช้คะแนนยื่นแอดมิดชั่นเอา และคณะที่ผมเข้ามันก็ไม่ต้องใช้คะแนนวิชาเลขนี่ แต่ใครจะคิดล่ะ ว่าพอเข้าปีหนึ่งแล้วต้องมีเรียนวิชาพื้นฐานเป็นเลขอีก

    “งั้นต้องปูพื้นฐานใหม่..” แม้ว่าเสียงหล่อๆนั่นจะเอ่ยออกมา แต่ก็ไม่ได้น่าฟังเลยสักนิดเพราะผมกำลังจะมีงานเข้า หนีมาได้ตั้งนานละจะให้มาเริ่มใหม่อีกน่ะเหรอ

    “เอาไว้ก่อน” ผมว่าพร้อมกับเริ่มเก็บของ

    “...”
    “เอาไงดีล่ะ?” ผมบ่นกับตัวเอง ตอนนี้เพิ่งจะสามโมงครึ่ง ขืนกลับตอนนี้คุณมิตรก็รู้น่ะสิว่าผมไม่ได้ตั้งใจเรียน(ซึ่งมันจริง)

    “ไหนๆมึงก็ว่างละ ไปเป็นเพื่อนกูหน่อย” ผมว่าพร้อมกับลุกขึ้นยืน หาเรื่องชวนไอ้ไวท์ไปเดินเที่ยวฆ่าเวลาดีกว่า

    “จะไม่เรียน?”

    “เออ ค่อยเรียนพรุ่งนี้ก็ได้”

    “..อืม”

    “แล้วพรุ่งนี้มึงว่างตอนไหน กูมีเรียนทั้งวันเลยว่ะ กว่าจะเลิกก็ห้าโมง” ผมบอก “เอาไลน์มึงมาดิ เผื่อนัดเวลา”

    “...” มันนิ่งครับ นี่มันก็กวนตีนหลบในเหมือนไอ้มาวินเหมือนกันเหรอ?

    “ปกติกูไม่ค่อยให้ไลน์ใครนะ นอกจากคนที่สนิท” ผมว่าพร้อมกับส่งมือถือของตัวเองให้มัน

   C. Pachara added you

    ผมรับมือถือคืนมา หลังจากที่ไอ้ไวท์นี่ยอมให้ไลน์ โลกส่วนตัวสูงใช้ได้ “มึงชื่อจริงชื่อ พชร เหรอ?” ผมถามพร้อมกับกดเข้าไปดูหน้ามัน สงสัยแม่งชอบแดกเค้กแหง เพราะมันใช้รูปเค้กตั้งเป็นรูปโปรไฟล์

    “..อืม”

    “แล้วทำไมต้อง C วะ จริงๆมันควรจะเป็น W รึเปล่า?”

    “...” เออ กูไม่ถามก็ได้ เดี๋ยวพิกุลจะร่วง

    “ไปสยามกันเถอะ ดูหนังสักเรื่องแล้วค่อยกลับ เคมั้ย?”

    “มึงควรจะเรียน” นี่คุณมิตรจ้างมึงมาเท่าไหร่วะ ทำหน้าที่ได้โคตรดี

    “เดี๋ยวกูเลี้ยง” ผมว่า

    “...”

    “เร็วดิมึง” มันน่ารำคาญนิดหน่อย ผมจึงต้องย้อนกลับไปดึงแขนมันให้ลุกขึ้นตาม ปกติผมก็ไม่ใช่คนถึงเนื้อถึงตัวใครหรอกนะ ไอ้ไวท์ถอนหายใจพร้อมกับทำหน้าเซ็งใส่แต่ก็ยอมเก็บของแล้วลุกขึ้นตามโดยดี พอมันยืนเท่านั้นแหละ คนอะไรสูงชะมัด ผมว่าผมก็ไม่ใช่คนเตี้ยนะ แต่ก็ไม่ใช่คนสูงอยู่ดี ผมสูง 174 แต่ไอ้นี่คง 185-188 อ่ะ เพราะกะจากสายตาแล้วดูสูงกว่าผมเป็นสิบกว่าเซนเห็นจะได้

    ไอ้ไวท์มันดูตัวสูง ผอมแบบลีนๆ หุ่นเหมือนนายแบบวัยรุ่นฝรั่ง ไม่ได้ก้ามปูและก็ไม่ได้แห้งเก้งก้าง เดินไปไหนมาไหนก็เด่น ยิ่งขาวๆแบบนี้ด้วยนะ

        แอบอิจฉาหุ่นมันว่ะ...

    “มึงขึ้นรถไฟฟ้าเป็นปะ?” ผมถามขณะที่เดินออกมาจากห้องสมุดคณะตัวเอง

    “อืม”

    “งั้นดีเลย มึงพากูไปหน่อยละกัน กูอยากลองขึ้นมานานละ”

    “เอารถมา” อ้าว

    “งั้นจอดไว้นี่ก่อนแล้วค่อยกลับมาเอาดีปะ เดี๋ยวไงกูก็ต้องให้ที่บ้านมารับกูที่มออยู่แล้ว”

    “ขี้เกียจ” แล้วมันก็เดินนำผมไปทางที่จอดรถ แต่มีอยู่คันหนึ่งที่ผมค่อนข้างสะดุดตามาก เพราะผมเองก็อยากได้รถรุ่นนี้ BMW 320d M Performance มีผลิตแค่ 200 คัน ที่อยากได้เพราะเวลาเปิดประตูจะมีไฟฉายโลโก้ BMW ลงบนพื้น โคตรเท่อ่ะ แต่พ่อไม่อนุญาต นึกแล้วก็เซ็ง

    “ถ้าไม่ไปจะกลับแล้วนะ..” เสียงหล่อๆเอ่ยออกมาทำลายความคิดผม อย่าบอกนะว่าคันนี้รถมึงอ่ะไอ้ไวท์? เด็กเนิร์ดๆนี่ขับรถเป็นด้วยเหรอ? แถมขับรถยุโรปอีกต่างหาก ว่าแต่ถ้ามึงรวยขนาดนี้มึงจะมารับจ๊อบสอนพิเศษทำไมวะ

    “ไปดิ” ผมรีบตรงไปยังรถคันในฝัน ใจจริงอยากลองขับมากกว่านั่งข้างคนขับนะเนี่ย

    ยังไม่ทันได้เร่งเครื่องเท่าไหร่ก็ต้องมาจอดแช่อยู่บนถนน แม้ว่ามอผมกับสยามจะไม่ได้ไกลกันเลยก็ตาม การจราจรช่างแน่นขนัดเสียเหลือเกิน บรรยากาศเงียบๆในรถชวนให้อึดอัดนิดหน่อย ผมจึงหาเรื่องชวนคุย

    “นี่น้ำที่กูให้รึเปล่า” ถามขึ้นหลังจากที่เหลือบไปเห็นน้ำยี่ห้อมหาวิทยาลัยวางอยู่ตรงช่องใส่ขวดน้ำพอดี

    “อืม..”

    “ทำไมไม่กินล่ะ หรือกลัว?” ผมหยิบน้ำขวดนั้นขึ้นมาเปิดแล้วกินให้มันดู “เนี่ย กูกินให้มึงดูละ ไม่ได้แกล้ง”

    “...” ไอ้ไวท์ไม่ได้ตอบอะไร ตามสไตล์มัน ผมจึงปิดฝาน้ำแล้ววางไว้ที่เดิม ก่อนจะหยิบน้ำแข็งในแก้วที่ถือมากินแทนแก้เซ็ง จะว่าไปแก้วนี่ก็เก็บความเย็นได้โคตรดี ผมชอบของแท้ที่มันมีฝาปิดกันหก มากกว่าแก้วของก็อปที่มีฝาแต่มีรูใส่หลอดนะ แม้ว่าคุณภาพจะใกล้เคียงกันก็ตาม

    “ชอบกินน้ำแข็ง?” เป็นครั้งแรกที่มันชวนคุยแฮะ แม้ว่ามันจะไม่ได้มองผมตรงๆก็เถอะ

    “อืม..” ผมลองตอบคำถามมันแบบที่มันชอบดูบ้าง

    “...”



    สองทุ่มกว่าเข้าไปแล้วกว่าหนังจะจบ แต่พวกเด็กนิเทศอ่ะครับ จนกว่าเอนเครดิตจะจบโน่นแหละ ถึงจะยอมลุกออกจากเก้าอี้ พวกเราให้เกียรติคนทำหนังน่ะครับ ทีแรกนึกว่าไอ้ไวท์มันจะบ่น แต่มันกลับเงียบตามแบบฉบับของมัน รอจนกว่าผมจะลุก มันถึงลุกขึ้นตาม หนังที่ผมเลือกวันนี้คือ ไซอิ๋ว 3 ที่เลือกเรื่องนี้เพราะอยากดูซีจีของทางฝั่งจีนอ่ะ ทำภาพออกมาสวยดี ไอ้คนที่มาด้วยก็ไม่ได้ว่าอะไรกับหนังที่ผมเลือก แถมยังป๋าออกตังค์ให้ผมอีกทั้งค่าน้ำค่าตั๋ว ไว้คราวหน้าผมค่อยเลี้ยงมันคืนก็แล้วกัน ผมเลือกที่นั่งแบบ Privilege Chair หลายคนว่าราคามันแรงไปสำหรับการดูหนังไม่กี่ชั่วโมง แต่ผมจ่ายได้ แลกกับคนไม่เยอะเท่าไหร่ และนั่งสบาย เวลาดูจะเก็บรายละเอียดได้หมด

    อีกอย่างหนึ่งของไอ้ไวท์ที่น่าประทับใจในวันนี้คือ ผมใช้มันดูดน้ำที่เพิ่งซื้อมาให้หมดเพื่อที่จะได้เหลือแต่น้ำแข็งให้ผมหยิบกิน ซึ่งมันก็ทำครับ ไม่ได้บ่นอะไร เห็นมั้ยครับว่าพวกเนิร์ดๆนี่นิสัยมันน่าคบนะ อย่ามองคนแค่ภายนอกครับ

    “นั่นพี่เพลงนี่หว่า..” สายตาผมเหลือบไปเห็นพี่เพลงเข้าพอดี แต่เจ้าตัวไม่เห็นผม สงสัยมากับไอ้เค้กอะไรนั่นชัวร์เลย

    “ไวท์ มึงรู้จักไอ้เค้กใช่มั้ย”

    “...”

    “ผู้หญิงคนที่สวยๆน่ะ คนนั้นอ่ะ เป็นแฟนไอ้ปวยใช่มะ?” ผมหันไปถามไอ้ไวท์สลับกับมองดูพี่เพลงที่ยืนซื้อป๊อบคอนอยู่

    “ปวย?” ไอ้ไวท์ทวนคำ

    “ก็ไอ้เค้กแข็งปวยไง!” ผมเฉลย แต่ตายังจ้องมองพี่เพลงอยู่

     “ไอ้ควXX…” ไอ้ไวท์พยายามผวน แต่ก็เก็บคำพูดของตัวเองกลืนลงไปเมื่อรู้ความหมาย

    “เออ มึงมาช่วยกูดูหน่อยสิ ว่าไอ้ปวยเนี่ย มันคือคนไหนอยากจะรู้นัก”

    “ที่พูดถึงน่ะ รุ่นพี่ไม่ใช่เหรอ?” ไอ้ไวท์ถามเสียงแข็ง เออลืม ไอ้ไวท์มันก็ต้องเข้าข้างรุ่นพี่มันเป็นธรรมดา เคยได้ยินเหมือนกันว่าพวกวิดวะรักกันเหมือนพี่น้อง

    “เออ กูลืมว่าพวกมึงรักกันเหมือนพี่น้อง” ผมว่าขอไปที “แต่กูอยากรู้ไง ว่ามันจะหล่อจะสักไหน ถึงกับได้พี่เพลงไปเป็นแฟนเนี่ย”

    “ไม่รู้..”

    “เอ้า ไอ้ปวยนั่นมันดังมากไม่ใช่เหรอ?” ผมถามต่อ และหันกลับไปมองดูพี่เพลง แต่เจ้าตัวดันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ นี่สรุปคือผมก็ยังไม่รู้สินะว่าไอ้เค้กแข็งปวยนี่มันคือใคร

    “บ้านอยู่ไหนจะไปส่ง” เป็นอีกครั้งที่ไอ้ไวท์มันไม่ตอบผม

    “กูอยู่คอนโด เดี๋ยวให้ที่บ้านมารับ มึงกลับไปก่อนเลยก็ได้”

    “เดี๋ยวไปส่ง”

    “ไม่เป็นไร ขอบใจมึงมาก”

    “...” ไอ้ไวท์มันไม่พูดแต่กลับจ้องหน้าผมนิ่งๆผ่านเลนแว่นที่มันสวมอยู่ เออๆ ไปก็ได้

    “คอนโดกูอยู่แถวสุทธิสาร” แค่นั้นแหละครับ ไอ้ไวท์มันก็เดินนำผมไปยังลานจอดรถโซนวีไอวี ซึ่งก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เพราะมากับที่บ้านผมก็จอดแถวนี้ แต่จะตื่นเต้นมากถ้าได้ลองวนหาที่จอดแบบคนอื่นๆดู เห็นมั้ย ว่าผมยังมีอะไรอีกตั้งเยอะที่ยังไม่ได้ทำ
    
    “หิว..” สั้นๆง่ายๆได้ใจความ พร้อมกันกับที่เจ้าของวลีหักรถเลี้ยวเข้าไปจอดริมฟุตบาตร ที่มีรถหลายคันจอดอยู่ก่อนแล้วเพื่อกินข้าว ณ ร้านอาหารแฟรนไชส์ชื่อดังอย่างชายสี่หมี่เกี๊ยว ผมรู้เพราะเห็นบ่อยๆ แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้นั่งกินที่ร้าน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยกิน เพราะป้าแม่บ้านเคยให้เด็กไปซื้อมาให้กินอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่บ่อยนักหรอก

    “มึงรู้มั้ย กูไม่เคยมานั่งกินอะไรแบบนี้เลยนะ” ว่าพร้อมกับนั่งลงเก้าอี้ตัวตรงข้าม

    “กินไม่ได้?”

    “ได้ๆๆ กูกินได้” ผมรีบพูด กลัวมันเปลี่ยนร้าน “แต่กูไม่เคยนั่งกินที่ร้านอ่ะ”

    “ไม่แปลก..”

    “มึงว่าไงนะ?” ผมถามทวน ไม่รู้ไอ้ไวท์มันบ่นอะไร “เออมึงสั่งให้กูด้วยนะ กูสั่งไม่เป็น” ผมยิ้มให้มัน ปกติไม่ค่อยยิ้มหรอก แต่จะให้คนอื่นทำไรให้ก็เหมือนจะเป็นการอ้อนน้อยๆไรทำนองนั้น

    “...” ไอ้ไวท์มันไม่ตอบอะไร แต่เห็นว่ามุมปากมันยกยิ้มขึ้นนิดหนึ่งก่อนจะกลับมาเรียบสนิทเหมือนเดิม หลังจากที่มันหันไปสั่งมันก็หยิบมือถือขึ้นมากดเล่นไรของมันไป ส่วนผมเองก็เล่นเกมฆ่าเวลา ก่อนหน้านั้นก็บอกคุณมิตรไปแล้วว่าจะกลับเอง ทีแรกแกก็ไม่ยอมหรอก พอบอกว่าเพื่อนที่ติวให้ไปส่งแกถึงไม่ว่าอะไร

    “ขอน้ำแข็งให้ด้วย” ผมบอกอย่างลืมตัว ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองมันด้วยซ้ำ

    “...อืม”

    “ขอบใจที่มาส่ง” ผมบอกหลังจากปิดประตูรถให้มัน และทุกครั้งที่เปิดประตูจะเห็นไฟโลโก้ยี่ห้อรถ มันสวยจริงๆนะครับ อยากได้โคตร ไอ้ไวท์พยักหน้าให้เท่านั้นไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะกดปิดกระจกแล้วเคลื่อนตัวออกไป ผมเดินเข้าไปยังตัวคอนโด แต่แล้วอยู่ๆมือถือก็สั่น..

    21:28 p.m.
    C.Pachara : พรุ่งนี้ห้าโมงครึ่ง ที่เดิม

    มึงจะทำหน้าที่ได้ดีเกินไปแล้วนะไวท์ คุณมิตรไปตามหาคนแบบมึงได้จากที่ไหนวะ?
    
    21:28 p.m.
    Prince_ICE : สติ๊กเกอร์โอเค


TBC
คอมเม้น แนะนำ ติชมได้นะครับ

ออฟไลน์ Cakewhans

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • ' Puzzle
4
    Cake : Talk



    วันนี้ผมมีเรียนวิชาเดียว คือ Applied Concrete Technology หรือ เทคโนโลยีคอนกรีตประยุกต์ ตอนบ่ายโมงถึงบ่ายสาม ซึ่งความจริงแล้วหมวดวิชาคอนกรีตและการออกแบบโครงสร้างนี่ผมทยอยเรียนไปบ้างแล้วตั้งแต่เทอมที่แล้ว เหลืออีกไม่กี่ตัวก็เก็บหมด

        ช่วงเช้านี้ผมเลยมีเวลาไปตัดผมและโกนหนวดเคราที่ผมเองก็รำคาญอยู่ไม่น้อย หลังจากผัดตัวเองมาหลายวันจนไอ้เกอร์มันบ่นแล้วบ่นอีก แต่ถึงอย่างนั้นเวลาก็ยังมีเหลือเฟือพอที่จะเตรียมเนื้อหาคณิตศาสตร์(ขั้นพื้นฐาน)ไว้สำหรับสอนนักเรียนจำเป็น
อีกอย่างที่ผมทำเมื่อเช้าก็คือต้องไปซื้อคอนแทคเลนส์เพิ่ม หลังจากที่มันหมดไปเป็นอาทิตย์แล้วแต่ก็ไม่มีเวลาไปซื้อมาใส่สักที จนต้องไปขุดแว่นสมัยพระเจ้าเหามาใส่แก้ขัดเพื่อให้ตัวเองมองเห็นไปก่อน แม่ก็บอกให้ไปทำเลสิกหลายทีแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ไปสักที หรือความจริงผมไม่อยากกลับบ้านกันแน่ก็ไม่รู้สิครับ

         แอบแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่นักเรียนจำเป็นของผมไม่ได้เรื่องเลยกับวิชาแมท1(ที่โคตรง่ายนั่น) แต่ดูจากทรงแล้วหมอนั่นคงจะไม่ชอบด้วยแหละ เพราะดูแล้วไม่ใช่คนที่ไม่เอาไหนเลยซะทีเดียว กับเรื่องที่ชอบมันก็คงจะทำได้ดี จากการที่มันดูหนังด้วยท่าทีตั้งอกตั้งใจเมื่อวานนั่นก็รู้ได้เลยว่ามันจะตั้งใจทำเฉพาะกับสิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น

         แต่บางครั้งคนเราก็ต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบบ้างเหมือนกันนะ...น้องไอซ์

         ไอ้นักเรียน(จำเป็น)ของผมคนนี้หน้าตามันน่ารักนะ ลูกคุณหนูสไตล์ มันเตี้ยกว่าผมพอสมควร ผอมกว่าผม แต่ก็ไม่ได้ดูแห้ง ถ้าไม่รู้จักหรือไม่ได้ลองคุยก็คงจะคิดว่ามันหยิ่ง แต่พอเห็นมันยิ้มแล้วก็ถึงเข้าใจว่าทำไมถึงได้รับเลือกให้เป็นเดือนคณะ
แต่ไม่คิดเลยนะว่าคุณหนูขนาดนั้นน่ะจะกวนตีนได้ถึงขนาดนี้ ‘ไอ้เค้กแข็งปวย’ ที่หลุดออกจากปากน่ารักๆนั่น ทำเอาผมถึงกับเงิบ


          “ว่าไงครับคุณชาย” ไอ้เกอร์ทักผมขึ้นคนแรก

          “ไอ้เหี้ยเค้ก!!!” ยังไม่ทันนั่งไอ้เบนซ์ก็สรรเสริญทันที “ใครใช้ให้มึงไปถอดรูป มึงเซอร์ๆเหมือนเดิมก็ดีอยู่แล้ว”

          “พี่กลัวเฮียเค้กหล่อกว่าน่ะสิ ถึงได้แนะนำอะไรติ๊งต๊องๆให้เพื่อนอ่ะ แต่หนูบอกไว้เลยถึงเฮียจะมาในรูปแบบไหน เฮียเขาก็หล่อสุดอยู่ดี” ไอ้หญิงที่นั่งอยู่ก่อนแล้วแขวะไอ้เบนซ์ทันทีที่มีช่องแล้วยกมือไหว้ผม

           “นิวล่ะ” ผมพยักหน้าให้

           “อยู่กับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร” พอน้องมันบอกแบบนี้ก็พอเข้าใจได้

           “พี่เค้กหวัดดีครับ” ผู้มาใหม่ยกมือไหว้ผม ก่อนวางขนมและผลไม้ลงตรงหน้า ถ้าให้เดาไอ้พวกนี้คงใช้น้องมันไปซื้อมา

           “ตอนแรกผมก็งงว่าทำไมคนมองมาที่โต๊ะเราโคตรเยอะเลย”

           “เพราะกูหล่อไงไอ้ไวท์”

           “หือออออ กล้ามากค่ะ กล้าพูดมาได้นะพี่” แล้วสงครามการแย่งมะยมดองของมันสองคนก็เริ่มขึ้น

           “หึ~” ผมขำอยู่ในลำคอ

           “ว่าแต่เมื่อวานเป็นไงบ้างครับพี่ สอนง่ายปะ” ไอ้ไวท์เริ่มถาม

           “ก็ดี แต่ไม่คิดว่าจะอ่อนขนาดนั้น” ผมบอกไปตามความจริง

           “ขนาดไหน?”

           “แก้สมการไม่ได้” ทันทีที่ฟังจบ คนถามถึงกับอ้าปากค้าง ไอ้เบนซ์ถึงกับต้องมาโบกมือเรียก

           “นี่ไม่ได้อ่อนนะ แบบนั้นเรียกโง่เลย” ไอ้เบนซ์เสริม

           “แล้วพี่เค้กไหวมั้ยครับ ยกเลิกดีมั้ย เดี๋ยวผมคุยกะเขาเรื่องเงินเอง” ไอ้ไวท์รีบถาม น้องมันคงเกรงใจ

           “ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยๆสอนเอา”

           “กูว่ากูได้กลิ่นอะไรแปลกๆแล้วล่ะโว้ยยยยย” ไอ้เบนซ์ยิ้มมีเลศนัย

          “กลิ่นตัวพี่น่ะสิ” ไอ้หญิงรีบพูดแล้วลุกขึ้นเตรียมหนี “ไปไวท์ เดี๋ยวสาย” มันยกมือไหว้ แต่ก็ไม่ลืมหยิบขนมที่ไอ้ไวท์เพิ่งซื้อมาเมื่อกี้ติดมือไปด้วย

          “ขอบคุณมากนะครับพี่เค้ก บุญคุณครั้งนี้ผมจะไม่ลืมเลย” ยกมือไหว้ผมอีกครั้งก่อนจะวิ่งตามเพื่อนมันไป

          “ยังไงเนี่ย?” เป็นไอ้เกอร์ที่ถามขึ้นมาอีกครั้ง

          “เออเค้ก ยังไงของมึงเนี่ย ไหนตอนแรกมึงบอกว่าจะลองไปดูแค่ครั้งนึงก่อนไม่ใช่เหรอ แล้วค่อยคุยกับทางนั้นให้นิวไปแทนไม่ใช่รึไง”
          “...”

          “ไอ้นี่ ถามละแม่งไม่พูดอีกละ” ไอ้เบนซ์ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำไปก่อนเพื่อเข้าเรียน
 
         “...”

         “อะไร” เป็นผมซะเองที่เอ่ยปากถาม เมื่อไอ้เกอร์เอาแต่จ้องหน้าแล้วยิ้ม

     “น่ารักเหรอ?” ไอ้เกอร์ถามเมื่อเหลือกันอยู่สองคน

     “...อืม” ผมพยักหน้าให้ แล้วลุกตามไอ้เบนซ์ไป ขี้เกียจตอบคำถาม แต่ไอ้เกอร์ก็ไม่วายตามมาซักอยู่ดี

     “พามาให้รู้จักหน่อยดิ”

     “ให้แน่ใจกว่านี้ก่อน”

     “เออครับ ตั้งหน้าตั้งตารอเลย”

     หึ...ไม่ได้ตอบอะไรไป แค่ส่ายหน้าให้มันเท่านั้น



    เลิกเรียนตั้งแต่สามโมงแล้ว อยู่คุยกับพวกไอ้เกอร์นิดหน่อย พวกมันนัดกันไว้ว่าจะไปนั่งชิลเพราะพรุ่งนี้มีเรียนตั้งแต่เที่ยงยันค่ำและจะเป็นแบบนี้ไปอีกสองวันติด ผมเห็นว่าตอนเช้าไม่ได้มีอะไรเลยตกลงไปกับพวกมัน อีกอย่างผมก็ไม่ได้เข้าร้านเหล้าไรพวกนี้มาร่วมอาทิตย์แล้วเหมือนกัน คุยกันอีกนิดหน่อยก่อนจะแยกมารอนักเรียนที่ห้องสมุดคณะของอีกฝ่ายที่นัดกันไว้คือห้าโมงครึ่ง แต่ตอนนี้เพิ่งจะห้าโมงเอง เหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง ไม่รู้จะทำอะไรเลยลองร่างโจทย์ง่ายๆ(มากๆ)ไว้รอลูกศิษย์ ตั้งใจว่าจะให้ลองทำดูก่อน ได้ไม่ได้ยังไงค่อยดูอีกทีแล้วค่อยๆอธิบาย

    ความจริงแล้วผมก็ไม่ใช่คนใจเย็นอะไรนะ ออกจะใจร้อนด้วยซ้ำไป แต่แค่ไม่ค่อยพูดเฉยๆ งงตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากอธิบายให้เด็กมันฟังก็ไม่รู้

    ห้าโมงสี่สิบห้าแล้ว

    ลูกศิษย์ผมยังไม่มา หรือว่ามันจะเบี้ยว? เพราะเมื่อวานก็ดูไม่ค่อยอยากจะเรียนสักเท่าไหร่ แบบนี้ล่ะนะ ลูกคนมีตังค์

    “รอนานปะ” คนที่ผมเพิ่งนินทาไปวิ่งมาพร้อมกับแก้วเก็บความเย็นใบใหญ่ ถ้าให้เดาในนั้นคงมีแต่น้ำแข็งที่เจ้าตัวบอกว่าชอบ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรติดตัวมาเลยแม้แต่ปากกาสักด้าม และโทรศัพท์ที่ใช้มือเล็กๆอีกข้างนั่นถือมา

    “..ไม่นาน” ผมมุสา

    “งั้นกูขอนั่งพักให้หายเหนื่อยแป๊บนึงนะ อาจารย์แม่งเรียกคุยท้ายคาบเลยช้าเลยเนี่ย” คนตรงหน้ากระพือเสื้อเพื่อระบายความร้อน ตามไรผมมีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นมา อาจจะเพราะผิวขาวมากๆนั่นด้วยมั้งเวลาร้อนหน้ามันเลยจะแดงจนเห็นได้ชัด “เห้ย! มึงตัดผมนี่ แว่นก็ไม่ใส่”

    “อืม”

    “ตอนแรกกูก็ไม่รู้นะว่ามึงคือมึงอ่ะ ฮ่าๆๆ” คนตรงหน้าว่าพร้อมกับหยิบน้ำแข็งเคี้ยวกร้วมๆ พร้อมกับมองหน้าผมไปด้วย “แต่กูก็ยังดันเข้ามาทัก สงสัยเพราะมึงเลือกนั่งที่เดิมมั้งกูเลยเดาถูก เหมือนเคยชินประมาณนี้มั้ง”

    “...” ผมปล่อยให้อีกคนพูดไป ส่วนตัวเองไม่ได้ตอบอะไร

    “แปลกเนาะ ทั้งที่กูกะมึงเพิ่งรู้จักกันเอง” คนตรงหน้ายิ้ม

    “...”

    “มึงสายตาสั้นเท่าไหร่?”

    “450”

    “เหรอ สั้นพอได้เลยนะ เออตอนมึงไม่ใส่แว่นนี่หล่อดีนะ ผิดกับไอ้เนิร์ดคนเมื่อวานเลย”

    “..อืม” ผมไม่ได้ตอบอะไรมาก ปล่อยให้คนตรงหน้าเป็นคนชวนคุยเสียส่วนใหญ่ ดูก็รู้ว่าเป็นคนช่างพูด

    “ความจริงแล้วมึงควรจะไปตัดผมตั้งนานแล้วนะ กูมั่นใจเลยว่าถ้าตอนนั้นมึงทำผมทรงนี้แล้วไม่ใส่แว่น มึงได้ลงประกวดเดือนพร้อมกูชัวร์! กูจำได้ว่าคณะมึงส่งไอ้ตี๋ที่ไหนไม่รู้มาลงประกวด เสียดายแทนเลยว่ะ ถ้ามึงลงกูว่าไอ้คณะเศรษฐศาสตร์นั่นไม่มีทางได้ตำแหน่งเดือนมอไปหรอก”

    “หึ..” ผมไม่ตอบแค่ยกยิ้ม ถ้าประกวดพร้อมกันได้ก็คงลงให้แล้วล่ะ

    “ไวท์ กูถามมึงจริงๆนะ” เด็กตรงหน้าเริ่มเข้าโหมดจริงจัง “มึงหล่อขนาดนี้มึงมีแฟนปะเนี่ย?”

    “ทำไม? ชอบกูเหรอ?”

    “มึงจะบ้าเหรอ กูผู้ชายนะโว้ยจะชอบมึงได้ไง ถึงมึงจะหล่อก็เถอะ” ท่าทางตกอกตกใจของมันนี่ตลกใช้ได้

    “ไม่เห็นเกี่ยวกับเพศ”

    “มึงเป็นเหรอ?” สีหน้าอยากรู้อยากเห็นนั่นทำเอาผมอยากแกล้ง

    “เป็น?”

    “เป็นเกย์ไง” มันจ้องหน้า

    “ถ้าบอกว่าไม่เป็นจะเชื่อปะ?”

    “ไม่รู้ว่ะ กูไม่เคยมีเพื่อนเป็นเกย์อ่ะ ไม่รู้ว่าเป็นเกย์มันเป็นยังไง มีแต่เพื่อนเป็นตุ๊ด ผู้ชายในสาขากูมีแค่กูกับมาวินอ่ะที่แมน นอกนั้นโตเป็นสาวกันหมดเลย ที่เป็นเกย์นี่ไม่มี”

    “อื้อ” ผมพยักหน้าให้ “งั้นกูเป็น”

    “หา!!!!!” ไอซ์ตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อผมบอก

    “เบาๆ” ผมปรามเมื่อคนอื่นๆหันมามอง

    “หมายถึงเป็นเกย์อ่ะนะ?”

    “อืม..”

    “งี้มึงก็ชอบผู้ชายอ่ะดิ”

    “ลองทำพวกนี้” ผมไม่ตอบแต่ส่งกระดาษที่ผมร่างโจทย์เอาไว้ก่อนหน้านี้ให้คนตรงหน้าลองทำดู เจ้าตัวมีทีท่าว่าจะค้าน แต่พอผมมองดุๆก็รับไปนั่งขีดๆเขียนๆแต่โดยดี อืม..บทจะเชื่อฟังก็เชื่อฟังดีนี่

    20 นาทีผ่านไป..

    เจ้าตัวส่งกระดาษคืน กวาดสายตาดูคร่าวๆแล้ว ไอซ์ทำถูกหนึ่งข้อจากทั้งหมดแปดข้อด้วยกัน

    “ไม่เข้าใจตรงไหน?” ผมให้โอกาสเจ้าตัวถามในสิ่งที่ไม่เข้าใจแทนการอธิบายไปตรงๆเลย เพราะถ้าทำแบบนั้นไม่รู้ว่าจะทำให้เจ้าตัวเข้าใจถูกจุดหรือเปล่า

    “เอาจริงๆนะ” คนตรงหน้ามองผม “กูไม่ชอบไอ้เลขบ้าอะไรนี่เลย ไม่สิ เกลียดมากกว่า เคยพยายามแล้วแต่มันก็ไม่เข้าใจอ่ะ”

    “ยังพยายามไม่พอรึเปล่า?” ผมจ้องหน้า

    “...” ไม่ตอบ แต่เลือกหยิบน้ำแข็งเข้าปากแทน

    “อย่างข้อนี้ที่ผิดเพราะว่าลืมสลับข้าง...” ผมกำลังอธิบายแต่เจ้าตัวทำเพียงแค่ช้อนตาขึ้นมามองผม

    “มึงแค่หาแนวข้อสอบของแมท1 พร้อมเฉลยมาให้กูก็ได้มั้ง มึงเก็งมาให้กูเลยเดี๋ยวอ่านๆแล้วจำไปสอบก็คงพอได้ กูไม่ได้หวังเออยู่แล้วแค่ผ่านก็พอ”

    “มีโอกาสแล้วทำไมไม่ทำให้เต็มที่ล่ะ?” นี่คิดอะไรอยู่ถึงหวังเอาแค่ด็อก ทั้งๆที่ตัวนี้เก็บง่ายแล้วก็ช่วยดึงเกรดแท้ๆ

    “เออน่า เค้าแค่จ้างมึงมาทำให้กูพอทำได้ ไม่ได้จ้างมาทำให้กูได้เอสักหน่อยจะคิดไรมากมายวะ” ดื้ออีก

    “ก็ถ้าได้เอมันก็ดีไม่ใช่หรือไง?” ผมมองหน้า

    “กูไม่ต้องการ สรุปเอาตามที่กูบอกนะ” ว่าจบก็หยิบน้ำแข็งเคี้ยวอีก “เดี๋ยวกูบอกคุณมิตรว่ามึงสอนดีจะได้ให้ทิปเพิ่ม ส่วนเกรดมึงไม่ต้องกังวลเขารู้ว่ากูโง่”

    “...” ดื้อจริงๆแฮะ

    “ไปดูหนังกันอีกมั้ย วันนี้กูอยากดูหนังฝรั่งเดี๋ยวกูเลี้ยงมึงเอง” ทีเรื่องแบบนี้ล่ะก็ขยันจริง

     “มีนัด..”

    “นัดกับแฟนเหรอ?”

    “เพื่อน”

    “เหรอ งั้นกูไปด้วยคนดิ” ตาวาวเชียว “ทีแรกกูจะชวนมึงไปดูหนังอีกโดยที่วันนี้มึงต้องพากูขึ้นรถไฟฟ้าไปให้ได้ เพราะกูคุยกับคุณมิตรไว้แล้วว่าเพื่อนจะพานั่งรถไฟฟ้าไปส่งเขาก็เลยโอเค เนี่ย มึงไม่เห็นเหรอว่าวันนี้กูไม่มีอะไรติดมือมาซักอย่าง”

    “แล้ว?” ผมเลิกคิ้ว

    “ก็กูให้เขามาเอาของกลับไปก่อนแล้วไง เพราะงั้นตอนนี้กูก็ฟรีไง”

    “งั้นเดี๋ยวกูไปส่งมึงที่คอนโดก่อน”

    “กูยังไม่อยากกลับ” คิ้วมันเริ่มขมวดสีหน้าเริ่มไม่พอใจ “ให้กูไปด้วยเถอะ..นะ”

    “ที่ที่จะไปมันไม่เหมาะกับมึง”

    “ทำไมวะ กูไม่เหมาะกับที่ที่มึงจะไปตรงไหน?”

    “จะไปร้านเหล้า”

    “ที่แบบนั้นเหมาะกับมึงตายแหละไอ้เนิร์ด” มันมองหน้า “กูอยากลองไป นะๆๆๆ ให้กูไปด้วยคนเถอะ ถือซะว่าพากูไปเปิดหูเปิดตานะ” นี่เที่ยวไปทำหน้าทำตาแบบนี้ใส่ใครมั้ยเนี่ย

    “แต่กูกลับดึก”

    “ไม่เป็นไรพรุ่งนี้กูเรียนเก้าครึ่ง ทัน” นี่จะไปให้ได้ใช่มั้ย

    “...” ผมยอมพยักหน้าให้ เจ้าตัวออกอาการลิงโลดพอสมควร เป็นคนที่เอาแต่ใจใช้ได้เลยนะ



    มาถึงร้านก็เห็นไอ้เกอร์นั่งอยู่ก่อนแล้ว สงสัยไอ้เบนซ์คงจะตามมาทีหลัง ร้านนี้เป็นร้านของรุ่นพี่ที่ไอ้เกอร์มันรู้จัก พวกผมมาบ่อยพอสมควร เป็นร้านนั่งชิลฟังดนตรีสด มีถ่ายทอดสดฟุตบอลบ้างบางนัด บรรยากาศสบายๆแต่กลิ่นบุหรี่ก็แรงใช้ได้ เพราะแต่ละโต๊ะเล่นสูบกันซะไม่เกรงใจคนรอบข้างเลย

    “มานี่” ถือโอกาสคว้าข้อมืออีกคนให้เดินตามมาติดๆ เพราะวันนี้โต๊ะค่อนข้างเต็ม คนก็เยอะพอสมควร เกิดมัวตื่นตาตื่นใจเผลอไปเหยียบตีนใครเขาเข้ามันจะไม่สวย

    “นี่ไอซ์ที่เรียนพิเศษด้วย” ผมชิงบอกไอ้เกอร์ก่อนที่มันจะถาม

    “หวัดดีกูชื่อไอซ์”

    “กู?” ไอ้เกอร์ทวนคำ เพราะมันก็รู้มาว่าคนที่ไอ้ไวท์ต้องไปสอนเป็นรุ่นน้อง

    “อืม” ผมพยักหน้าให้เพื่อน ไอ้เกอร์มองหน้าเด็กไอซ์นี่แล้วยิ้มเป็นอันว่าเข้าใจ

    “นี่แน่ใจแล้ว?” ไอ้เกอร์ได้ทีก็ซักผมเลย

    “คิดว่า” ผมตอบพร้อมกับเปิดโค้กให้เด็กมันกิน ปกติผมกับไอ้เกอร์ก็กินผสมโซดาปกตินี่แหละ แต่ไอ้เบนซ์มันต้องผสมโค้กเพราะงั้นเลยต้องสั่งติดโต๊ะไว้

    “เชี่ยไวท์ พากูมาร้านเหล้าเสือกเทโค้กให้กูเนี่ยนะ?” มันเริ่มโวย

    “กินเป็นเหรอ?” ไอ้เกอร์ถามเพื่อหาเรื่องชวนคุย แต่ผมรู้ว่าจริงๆแล้วไอ้เกอร์ตั้งใจจะมองเด็กไอซ์นี่มากกว่า

    “เดี๋ยวก็เป็น” แล้วมันก็คว้าแก้วของผมที่ไอ้เกอร์เพิ่งชงให้ไปกระดกแบบหน้าเฉยเลย “แค่กๆๆ”

    “ค่อยๆ” ผมลูบหลังให้

    “เชี่ย โคตรขมอ่ะ พวกมึงกินกันเข้าไปได้ไงวะ” มันบ่นก่อนจะคว้าแก้วโค้กที่ผมเทไว้ให้ก่อนหน้ากินตาม

    “งั้นก็กินโค้กไป”

    “อะไรวะเซ็งเลย อุตส่าห์ได้มาทั้งที” แล้วมันก็บ่นกระปอดกระแปดไป จนกระทั่งไอ้เบนซ์โผล่หัวมา

    “นี่ใครวะ?”

    “เด็กที่เรียนพิเศษไอ้ไวท์” ไอ้เกอร์เป็นคนตอบแล้วหันมายิ้มหน้าระรื่นใส่ผม

    “เออหล่อดีนี่หว่า ว่าแต่พวกมึงมากันนานแล้วเหรอ ไอ้นี่นั่งหน้าแดงแล้วเนี่ย” ไอ้เบนซ์ถามพร้อมกับจัดแจงผสมเหล้าให้ตัวเองโดยที่ใครไม่ต้องเอ่ยปากชวน

    “กินไปครึ่งแก้ว” ไอ้เกอร์ตอบ ซึ่งผมก็รู้เลยว่าไอ้ห่านี่ตั้งใจจะมอมผม ก็มันเล่นชงซะเข้มขนาดนี้ ยิ่งไอซ์ที่ไม่เคยกินเหล้าแล้วมาเจอแบบนี้ก็ไม่มีทางรอดหรอก ผมสั่งเบียร์มานั่งจิบแทนเพราะตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะไม่กินเยอะเพราะขับรถมา แถมยังพาคนมาด้วยอีก

    “กูเป็นถึงเดือนคณะนะ ไม่หล่อได้ไง”

    “กู?” ไอ้เบนซ์ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ทวนสรรพนามของไอซ์

    “มันเมาแล้วมึงอย่าใส่ใจ” ผมว่า

    “กูไม่ได้เมาโว้ยยยยย ไอ้ไวท์มึงบอกเพื่อนมึงดิว่ากูไม่ได้เมา” ตาเยิ้มขนาดนี้เนี่ยนะ?

    “ทำไมมันเรียกมึงว่าไวท์วะเค้ก?” ไอ้เบนซ์ถามสีหน้าฉงนพร้อมกับหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ไอ้เกอร์ที่เข้าใจก็เอาแต่ยิ้มอยู่คนเดียว

    “เค้ก? เค้กโยธาปีสามใช่มั้ย? ไหนวะ?” แล้วอยู่ๆไอ้คนถามมันก็ลุกยืนขึ้น ผมรีบดึงมันนั่งลงแทบไม่ทัน เดี๋ยวคนก็ได้หาว่ามันเมาแล้วหาเรื่องอีก

    “กูงงหมดแล้วนะเนี่ย” ไอ้เบนซ์ยังประติดประต่อเรื่องไม่ได้ ส่วนไอ้เกอร์ก็ขำกร๊ากจนไม่เหลือมาดอดีตเดือนคณะ

    “อยากจารู้นัก ว่าคนไหนคือไอ้เค้กโยธาปีสาม แฟนพี่เพลงอ่ะ” ไอซ์เริ่มเลื้อน “พวกมึงรู้จักมั้ย กูถามไอ้ไวท์แล้วแม่งบอกว่ามาน ม่าย รู้ แต่เพื่อนกูบอกมา ว่ามันหล่อ อยู่กลุ่มเดียวกับไอ้พวกพี่เกอร์ห่าไรนั่น”

    “เลอะเทอะแล้ว” ผมดึงให้มันนั่งลงอีก ไอ้เบนซ์กับไอ้เกอร์มองหน้ากัน

    “อยากเห็นไอ้เค้ก ว่ามาน จาหล่อซ้ากแค่หนายยยยยยย” ผมว่าผมคิดผิดที่พามันมา “ไอ้-เค้ก-แข็ง-ปวยยยยยย”

    “ฮ่าๆๆๆๆๆ” แล้วเพื่อนของผมก็ระเบิดหัวเราะขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน เรื่องเสื่อมๆแบบนี้พวกมันหัวไวครับ

    “พาน้องมันกลับเถอะ คนมองเต็มไปหมดแล้ว” ถึงไอ้เกอร์มันจะพูดแบบนั้นมันก็ยังหัวเราะใส่ผมอยู่ดี

    “เฮ้ยยย กูเพิ่งมาเองนะโว้ย” ไอ้เบนซ์ท้วง “นั่งอยู่ประดับบารมีให้กูก่อน ทั้งมึงทั้งไอ้เกอร์แถมไอ้เด็กนี่อีก หน้าตาดีๆกันทั้งนั้น โต๊ะเราเลยกลายเป็นโต๊ะที่หน้าตาดีที่สุด นั่นมึงเห็นมั้ยเค้ก น้องเสื้อแดงคนนั้นเค้ามองมึงตั้งหลายรอบแล้ว”

    “กูไม่ชอบ” ผมหันไปมองตามที่ไอ้เบนซ์มันชี้ก็เห็นว่าเธอคนนั้นมองมาก่อนแล้ว

    “เค้กมันมีคนที่ชอบแล้ว” ไอ้เกอร์ยิ้ม

    “เพลงอ่ะนะ?”

    “หึๆ” ไอเกอร์ยักคิ้ว “เดี๋ยวก็รู้”

    “งั้นกูกลับแล้วนะ ต้องพามันไปส่งก่อน” ผมบอกเพื่อนพร้อมกับหยิบตังวางไว้ให้ ก่อนจะลากไอ้คนที่เมาไม่รู้เรื่องรู้ราวไปขึ้นรถ

    “ฮือ!” ไอซ์ปัดมือผมออกอย่างรำคาญเมื่อผมดึงเบลท์มาคาดให้ หน้าเจ้าตัวแดงมากอย่างเห็นได้ชัด คนขาวก็แบบนี้ล่ะนะ ผมว่าผมขาวแล้วนะไอ้นี่มันยังขาวกว่าผมอีก

    “แล้วนี่ถ้าไปส่งที่คอนโดจะขึ้นไปห้องตัวเองถูกมั้ยเนี่ย?” ผมมองคนข้างๆอย่างชั่งใจก่อนจะตบแก้มเบาๆเพื่อเรียกสติ แต่ก็ไม่เป็นผล

    “งั้นตื่นมาแล้วก็อย่าโวยวายละกัน” บ่นกับตัวเองก่อนตัดสินใจพากลับคอนโดย่านอโศก



TBC
ตอนสี่แล้วนะค๊าบบบ ไม่มีใครให้กำลังใจผมเลยเหรอ :(

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
สนุกจ้า  ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

เพิ่งได้เข้ามาอ่าน สนุกดี ชอบทั้งเค้กแข็งปวย เอ่อออ 55 ทั้งไอซ์ เลย น้องมันน่ารัก
ปิดบังแบบนี้ น้องมันรู้จะโกรธไหม
ลุ้น

ออฟไลน์ maekkun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สนุกมากค่ะ

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 o13  o13  o13 สู้ๆนะค่ะ...เรื่องน่ารักค่ะ...ตามอ่านค่ะ  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Cakewhans

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • ' Puzzle
5 Ice : Talk

    แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาทำให้รู้สึกร้อนไม่น้อย ไม่รู้ทำไมวันนี้แดดถึงส่องเข้ามาได้เพราะทุกครั้งที่ป้ามาทำความสะอาด ผมจะสั่งให้ปิดม่านไว้ตลอด และก็ไม่มีครั้งไหนด้วยที่ป้าจะลืม

    ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็ต้องหยีตาทันทีเพราะแดดส่องมาแรงมาก อาการปวดหัวแล่นเข้ามาจนแทบตั้งตัวไม่ทัน นี่ผมจะไม่สบาย? อาการปวดแบบนี้ไม่เคยเป็นมาก่อน พยายามลุกขึ้นนั่งให้ได้ เหลือบเห็นนาฬิกาดิจิทัลวางอยู่เหนือเตียงบ่งบอกเวลา 7:35 นี่แดดเจ็ดโมงมีอานุภาพเผาไหม้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?

    แต่จำได้ว่าผมไม่เคยมีนาฬิกาแบบนี้

    แล้วแก้มแดงผมหายไปไหน?

    ไวเท่าความคิด ผมดีดตัวลุกขึ้นด้วยความไว ทำให้อาการปวดหัวที่มีอยู่รุนแรงขึ้นและรู้สึกมึนไม่น้อย

    “โอ้ยยย” ผมร้องออกมาไม่คิดว่าจะรู้สึกแย่แบบนี้

    ลำดับความคิดของตัวเองก่อนว่าเมื่อวานผมไปทำอะไรที่ไหนกับใคร และทำไมผมถึงได้ตื่นมาในที่แปลกตาแบบนี้ ก้มมองดูตัวเองแล้วถึงได้รู้ว่าอาภรณ์ที่สวมใส่ไม่ใช่ของตน แล้วผมใส่เสื้อของใครอยู่?

    “ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงหล่อๆของใครสักคนร้องทักก่อนที่เจ้าตัวจะโผล่หน้าออกมา เชร้ด! นี่ตั้งใจถอดเสื้อเพื่ออวดหุ่นถูกมั้ย? ผมเคยอยากมีซิกแพ็คแบบนี้บ้างเหมือนกัน แต่พอลองหาข้อมูลแล้วคิดว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับผมสักเท่าไหร่ ลำพังแค่ดูแลตัวเองไม่ให้มีพุงนี่ก็ยากแล้ว

    “กูมาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย” ผมถามเมื่อรู้แล้วว่าตอนนี้ที่ผมอยู่คงจะเป็นห้องไอ้ไวท์

    “จำอะไรไม่ได้เลย?” มันไม่ตอบ คือถ้าจำได้กูจะถามมึงเพื่อ?

    ผมจำได้ว่าเมื่อวานขอไปร้านเหล้ากับมัน เจอเพื่อนมันคนหนึ่งหน้าตาหล่อๆนั่งอยู่ก่อน แล้วผมก็ลองกินเหล้าดู ก่อนที่เพื่อนของมันอีกคนหนึ่งจะโผล่มา แล้วจากนั้นผมก็จำไม่ค่อยได้แล้ว เหมือนจะนึกออกแต่ก็ไม่

    “คนชื่ออ้อโทรมา” เจ้าของห้องบอกพร้อมกับยื่นมือถือให้ “โทรมาหลายครั้งแล้ว”

    “อื้อ เดี๋ยวกูค่อยโทรกลับ” ผมรับมาพร้อมกับก้มดูหน้าจอ แบตเตอรี่เต็ม 100% นี่มึงเอาไปชาร์จมาให้กูเหรอ บอกแล้วว่าคนเนิร์ดๆน่ะนิสัยน่าคบ

    “แฟน?”

    “เพื่อนกู” ไอ้ไวท์ไม่ตอบแต่เดินออกไป ผมจึงโทรกลับหาอ้อ

    “ว่าไง”

    [ไอซ์มามอยัง] ปลายสายตอบกลับมา

    “นี่เพิ่งเจ็ดโมงกว่าอยู่เลยนะ” ผมบอกพร้อมกับหาววอดๆ ปวดหัวด้วย

    [เพราะแบบนี้ถึงรีบโทรมาบอกนี่ไงล่ะ ว่าคลาสเก้าโมงอาจารย์แคนเซิล แต่จะขอเปลี่ยนไปบรรยายช่วงค่ำแทน]

    “อ๋อ แล้วนี่พวกไอ้พลรู้ยัง?”

    [วินรู้แล้วแต่พอลลี่ไม่รับสาย สงสัยยังไม่ตื่น นี่เราว่าเราจะเลิกโทรแล้วเนี่ย] อ้อบอกน้ำเสียงเหนื่อยใจ

    “ดีๆ ไม่ต้องบอก ให้มันไปมอคนเดียว ฮ่าๆๆๆ”

    [ไอซ์ขี้แกล้ง งั้นเท่านี้นะ]

    “เคๆ ขอบใจมากอ้อ” ผมวางสายพร้อมกันกับที่เจ้าของห้องเดินกลับเข้ามาพอดี ในมือถือแก้วอะไรบางอย่างพอมันเห็นว่าผมมองถึงได้ส่งให้

    “อะไร?” ผมรับมาแต่ก็ยังไม่ได้กิน

    “จะช่วยให้หายปวดหัว” มันกอดอกมองผม

    “ทำไมมึงไม่พากูไปส่งคอนโดกูล่ะ จะว่าจำทางไม่ได้ก็ไม่น่าจะใช่เพราะมึงก็เคยไปแล้ว”

    “ระวังร้อน” ไอ้ไวท์ไม่ตอบแต่เลือกที่จะบอกให้ผมระวังแทนในขณะที่ผมกำลังจะยกแก้วขึ้นจิบ

    “เห้ย!” ผมร้องขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ “ทำไมกูอยู่ในชุดนี้?”

    “มึงอ้วก”

    “มึงไม่ได้ทำอะไรกูใช่มั้ย?”

    “กูจะทำอะไรมึง” ถึงมันจะพูดแบบนั้นผมก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดีเพราะมันเสือกยกยิ้มที่มุมปากซะงั้นอ่ะ

    “ก็มึงบอกกูเองนี่ว่ามึงเป็นเกย์”

    “กลัว?”

    “ไม่ได้กลัว แล้วมึงจะเข้ามาใกล้กูทำไม” ผมเบี่ยงหน้าหลบจมูกโด่งๆของมันที่เฉียดแก้มผมไปมานั่น

    “หึ..” ไอ้ไวท์ยกยิ้มอีกครั้งก่อนจะผละออก “ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวไปส่งมีเรียนเก้าครึ่งไม่ใช่เหรอ?”

    “เพื่อนกูโทรมาบอกว่า’จารย์แคนเซิล เรียนอีกทีก็วิชาตอนบ่ายเลย”

    “อืม งั้นก็ไปอาบน้ำสิ”

    “มึงไปส่งกูที่คอนโดหน่อยได้มั้ย เดี๋ยวไปอาบที่โน่นเอา” ผมว่า

    “อาบนี่แหละ เสื้อผ้ามึงกูส่งซักไปแล้วเดี๋ยวก็คงมีคนเอามาส่ง”

    “กูไม่สะดวก”

    “ไม่สะดวกยังไง?” ไอ้ไวท์ขมวดคิ้ว

    “ก็มันผิดที่ผิดทางไง อีกอย่างกูอยากกินน้ำแข็งด้วย”

    “เรื่องเยอะ”

    “เอ้า ก็แล้วใครใช้ให้มึงพากูมาที่นี่ล่ะ มึงไปส่งกูหน่อยเถอะนะๆ”

    “ขี้เกียจ”

    “กูให้คุณมิตรมารับไม่ได้ไงมึงเก็ทมั้ย ถ้าให้มารับตอนนี้เดี๋ยวแม่งก็รู้หมดว่าเมื่อคืนกูไม่ได้กลับห้อง”

    “เด็ก” มันว่าไงนะ? “ค่อยไปทีเดียว กูมีเรียนเที่ยงเหมือนกันค่อยออกตอนนั้น”

    “เห้ยไรวะ” ไอ้ไวท์เดินหนีไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปเลย “นี่กูจริงจังนะโว้ยยยย”

    แล้วไอ้ไวท์ก็ไม่สนขิงข่าใดๆจากผมอีก จากตอนแรกที่มันบอกให้ผมไปอาบน้ำนั้น ตอนนี้กลายเป็นว่ามันเข้าไปอาบก่อนซะได้

    อาการปวดหัวของผมดีขึ้นหลังจากได้จิบอะไรสักอย่างที่ไอ้ไวท์มันเอามาให้ ระหว่างที่รอให้เจ้าภาพอาบน้ำเสร็จผมที่ไม่มีอะไรทำก็เลยถือโอกาสสำรวจห้องมันหน่อย อาจจะเสียมารยาทไปบ้างแต่ผมก็อยากรู้ว่าห้องของชายโสดที่ป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นเกย์นั้นมันจะเป็นแบบไหน

    สำหรับผมแล้ว ‘เกย์’ ค่อนข้างแปลกใหม่ ผมรู้แค่ว่าคนเหล่านี้ชอบผู้ชายด้วยกันเอง และมีน้อยคนนักที่จะเปิดเผยว่าตัวเองเป็น ซึ่งไอ้ไวท์เป็นหนึ่งในส่วนน้อยนั้น แต่ผมไม่ได้รังเกียจอะไรมันนะ อยากมีเพื่อนเป็นเกย์ด้วยซ้ำไป เพราะอยากให้ชีวิตได้รู้จักคนที่หลากหลายมากขึ้น

    ห้องของไอ้ไวท์ก็ไม่ได้แตกต่างจากคอนโดของผมอะไรมากนัก อาจจะเพราะเป็นคอนโดโดยเจ้าของเดียวกัน
เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ตกแต่งก็คงจะเลือกเอาตามตัวอย่างที่ทางโครงการเสนอ แต่ถ้าเทียบกันจริงๆแล้วผมว่าห้องของผมดูมีสีสันมากกว่า เพรามันเต็มไปด้วยตุ๊กตาแก้มแดงที่ผมชอบ ในขณะที่ห้องของไอ้เนิร์ดนี่แทบจะไม่มีอะไรมาเพิ่มเลย

    เสียงกริ่งดังขึ้นหน้าห้อง แต่ไม่รู้ว่าผมควรออกไปเปิดมั้ย ครั้นมองหาเจ้าของห้องก็ไม่ออกมาสักที ไม่รู้ว่าเข้าไปอาบน้ำหรือสร้างห้องน้ำกันแน่ เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้งจนผมตัดสินใจออกไปเปิดประตูพบว่าเป็นคนมาส่งเสื้อผ้า และเสื้อผ้าที่ว่านั่นก็เป็นของนายชนกันต์คนนี้เองแหละครับ

    “ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยหลังจากรับเสื้อผ้ามาถือเอง ก่อนจะปิดประตู ในขณะที่หมุนตัวหันกลับเข้ามานั้นเองนั้นก็ชนเข้ากับอะไรบางอย่าง

    “อ๊ะ!”

    “...” คนที่ผมชนไม่ได้พูดอะไร หัวเปียกมีหยดน้ำไหลออกมาตามปลายผมจนหยดติ๋งๆ ไม่รวมตามเนื้อตัวที่พราวไปด้วยหยดน้ำนั่นอีก นี่ผมสูงเท่าคางไอ้ไวท์เองเหรอ?

    “มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงวะ” เมื่ออีกคนเอาแต่มองผมเลยต้องพูดขึ้นมา

    “ผ้ามาส่งแล้วก็รีบไปอาบน้ำ”

    “เออ กูรู้แล้ว” บอกส่งๆก่อนจะเดินเลี่ยงมันออกมา “ผ้าเช็ดตัวอยู่ไหน?”

    “เตรียมไว้ให้ในห้องน้ำแล้ว”

    “ขอบใจ”

    อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมา ได้กลิ่นหอมๆคล้ายจะเป็นอาหาร พอมองหาที่มากลับเห็นเจ้าของห้องที่เดินโทงๆใส่แค่กางเกงตัวเดียว นี่ไอ้ไวท์มันเป็นคนชอบโชว์เหรอ?

    “มึงไม่ใส่เสื้อวะ?”

    “มากินข้าวดิ” เป็นอีกครั้งที่ไอ้ไวท์มันไม่ตอบคำถามผมแต่เรียกผมไปนั่งกินข้าวแทน

    “มึงทำไมชอบถอดเสื้อ?” ผมมองหน้ามัน “จะอวดว่าหุ่นดีกว่ากู?”

    “ไข่เจียวกินได้ใช่มั้ย?” ไอ้ไวท์นี่นับวันมันยิ่งกวนตีนนะเนี่ย รู้จักกันได้ไม่กี่วันก็ออกลายละ

    “กูไม่ใช่คนกินยาก” ผมบอกพร้อมกับนั่งลงตรงข้ามเจ้าของห้อง ปกติผมก็กินง่ายนะ มีบางอย่างเท่านั้นแหละที่ผมไม่กิน คือถั่วงอก มะละกอสุก ปลาดิบ แล้วก็กุ้ง อันสุดท้ายนี่แพ้ครับกินแล้วตัวจะแดง

    “..อืม”

    “มึงพูดคำอื่นเป็นปะ” ผมถามมันจริงๆ คือตั้งแต่รู้จักกันมานี่มันพูดคำว่าอืมจนแทบจะนับไม่ถ้วนแล้วนะ

    “จะให้กูพูดอะไร?”

    “พูดเรื่องคณะมึงไง มึงยังไม่ได้บอกกูเลยนะว่ามึงรู้จักกลุ่มพวกไอ้พี่เกอร์ไอ้เค้กอะไรนั่นรึเปล่า”

    “ทำไมเกอร์มึงเรียกพี่ ละทำไมเค้กมึงไม่เรียก?” เอ้าไอ้นี่ มึงจะมายึดติดกับการใช้สรรพนามไรกูตอนนี้เนี่ย

    “กูไม่อยากเรียกอ่ะ มันเป็นแฟนพี่เพลง กูไม่ชอบ!”

    “ใครบอกมึงเหรอ?”

    “ใครๆก็พูดกัน เพื่อนกูยังบอกเลย”

    “ไม่รู้จากปากเจ้าตัวก็อย่าคิดเอาเอง” นี่มึงด่ากูปะเนี่ย?

    “งั้นก็แสดงว่ากูมีสิทธิ์จีบพี่เพลงน่ะสิ!”

    “กูไม่ได้หมายความแบบนั้น!” แล้วมึงจะขึ้นเสียงทำไม

    “อะไรของมึงวะเนี่ยไวท์” ผมมองหน้ามันพร้อมกับหยิบแก้วน้ำขึ้นมากิน ส่วนมันก็มองหน้าผมเหมือนกัน

    “อิ่มแล้วก็เอาจานไปล้าง”

    “มึงไม่มีแม่บ้านเหรอ?”

    “แค่ล้างจานไอซ์ ใครๆก็ทำเองได้”

    “...” ผมทำไม่ได้นี่หว่า ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ซะทีเดียวหรอกนะ แต่ผมไม่เคยทำต่างหาก ปกติกินเสร็จก็วางไว้เพราะเดี๋ยวป้าแม่บ้านก็พาเด็กจากบ้านใหญ่มาเก็บกวาดเอง

    “มาสิ เดี๋ยวทำให้ดู” ว่าแล้วไอ้ไวท์มันก็หยิบจานและแก้วน้ำ(แค่ของมัน)แล้วเดินนำไปทางห้องครัว ผมเห็นแบบนั้นแล้วก็รีบทำตาม

    “ปกติถ้ามีเศษอาหารเหลือให้เขี่ยทิ้งก่อน” มันทำให้ดู “อย่าเทลงซิงค์จะทำให้ท่อตัน”

    “อ่าหะ”

    “แล้วก็ทำแบบนี้” ไอ้ไวท์มันสาธิตวิธีการล้างจานให้ผมดูพร้อมกับพูดอธิบายไปด้วยด้วยความใจเย็น จานในมือผมค่อนข้างลื่นเมื่อยังมีคราบน้ำยาล้างจานติดอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ระวังเป็นพิเศษไม่ให้จานหลุดมือแล้วร่วงแตก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...

    เพล้งงงง...

    ไม่ใช่ครับ จานไม่ได้หลุดมือผมและร่วงแตกแต่อย่างใด กลับเป็นแก้วน้ำที่วางไว้ก่อนหน้าต่างหากที่โดนปัดลงมาตกแตก ด้วยความตกใจผมเลยรีบก้มลงไปเก็บเศษแก้วที่กระจัดกระจายนั่น

    “โอ้ยยยยยยยย!”

    “อย่าขยับ!” เจ้าของห้องลั่นวาจาประกาศิตออกมา ผมที่ปลายนิ้วมีเลือดไหลออกมาถึงกับชะงักนิ่งงันแทบไม่กล้าไหวติงใดๆ เพราะนอกจากน้ำเสียงของไอ้ไวท์มันจะน่ากลัวสุดๆแล้วหน้าของมันยังโคตรจะไม่รับแขกสุดๆไปเลย

    “เจ็บตัวเลยเห็นมั้ย?” มันคว้ามือผมไปจ่อตรงก๊อกแล้วเปิดน้ำเพื่อล้างแผลให้ผมก่อนจะกดปากแผลไว้เพื่อห้ามเลือด

    “แสบ..” ผมร้องออกมาเบาๆ

    “มึงนุ่มนิ่มมากไอซ์” อะไรนะ? ไอ้ไวท์มันพึมพำอะไรสักอย่างแล้วพาผมไปนั่งตรงห้องรับแขก มันจัดการหากระดาษทิชชู่มาพันนิ้วผมพร้อมกับบอกให้กดแผลเอาไว้ ส่วนตัวมันก็หายเข้าไปอีกห้องหนึ่ง ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล

    “เคยฉีดยากันบาดทะยักมั้ย?” ไอ้ไวท์ถามพร้อมกับใช้สำลีชุมแอลกอฮอล์แล้วเช็ดที่บริเวรแผลเบาๆ

    “ไอ้สัสแสบ!” ผมแสบจนน้ำตาเล็ด

    “อย่ามอง” ไอไวท์บอกพร้อมกับรีบใส่ยาอีกหนึ่งชนิดให้ผมแล้วปิดแผลให้

    “...” ผมนั่งหน้ามุ่ยก้มมองมือตัวเอง ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้รับบาดเจ็บอะไรในลักษณะนี้มาก่อนเลย จำได้ว่าตอนเด็กๆเคยมีเลือดออกครั้งหนึ่งเพราะล้มจากการหัดจักรยานเท่านั้น พอขี่จักรยานเป็นที่บ้านก็สั่งห้ามไม่ให้แตะอีกเลย

    “เจ็บมากมั้ย?” ไอ้ไวท์มองหน้า “เดี๋ยวพาไปฉีดยา”

    “อื้อ” ผมพยักหน้าให้มัน

    “นั่งอยู่นี่แหละ ห้ามลุกไปไหนอีก” ว่าจบมันก็เดินหายเข้าไปในครัวคงจะไปเก็บกวาดเศษซากอารยธรรมนั่น ไม่นานมันก็กลับออกมา แต่ว่าไม่ได้เดินมาหาผม ไอ้ไวท์มันกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเองก่อนจะกลับออกมาด้วยเสื้อยืดสีดำและกางเกงยีนส์มียี่ห้อ ในมือถือเสื้อช็อปอยู่

    “ออกเลยแล้วกัน กว่าจะเสร็จจากโรงบาลก็คงเกือบเที่ยงพอดี”

    “อื้อ” ผมพยักหน้าอีกครั้งพร้อมกับลุกขึ้น ตั้งใจจะไปหยิบโทรศัพท์และแก้วเก็บความเย็น เพราะจำได้ว่าเมื่อวานตอนออกจากมอมาผมถือติดมาด้วย

    “รอนี่” ไอ้ไวท์สั่งพร้อมกับเดินไปหยิบของที่ผมตั้งใจจะไปเอามาส่งให้

    “ขอบใจ” ผมบอก รับแก้ว YETI มาถือไว้ รู้สึกถึงน้ำหนักของแก้วมันมีมากกว่าปกติ พอดูถึงได้รู้ว่าภายในแก้วบรรจุน้ำแข็งเต็มอัตรา ไอ้ไวท์มันเป็นคนดีจริงๆ

    ไอ้ไวท์ขับ BMW คันในฝันของผมมาจอดส่งที่หน้าตึกคณะเลย หลักจากที่ไปโรงพยาบาลและฉีดยากันบาดทะยักมาเรียบร้อยแล้ว หมอบอกว่าโชคดีที่แผลไม่ได้ลึกมากอีกสองสามวันคงจะดีขึ้นตามลำดับ ส่วนวัคซีนเข็มที่สองนั้นให้มาฉีดอีกทีหนึ่งในเดือนหน้า

    “เลิกกี่โมง?”

    “วันนี้กูคงดึกอ่ะ สองทุ่มโน่นมั้ง อีกอย่างกูเจ็บขนาดนี้กูไม่อยากเรียน” ผมตอบมันไปเสียงอ่อย ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้เจ็บมากมายอะไร แต่ผมไม่อยากเรียนมากกว่าเลยบอกไอ้ไวท์มันไปแบบนั้น

    “อืม” มันพยักหน้าให้ ผมหยิบของและลงจากรถ แต่ไอ้คนขับก็ไม่ยอมขับออกไปสักทีแต่กลับกดลดกระจกลง

    “กูเลิกทุ่มครึ่ง” ไอ้ไวท์มองหน้า “เดี๋ยวมารับ”

    แล้วมันก็ขับรถตรงไปยังคณะมันเลย ไม่รอให้ผมตอบหรือพูดบอกอะไรทั้งนั้น

    “สามีขาาา” เสียงมาก่อนตัวแบบนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร

    “ที่บ้านไอซ์มีรถเยอะจัง” ไอ้วินทัก

    “แหงสิยะ ก็บ้านผัวกูรวยนี่” ไอ้พลจีบปากจีบคอ

    “ไม่ใช่รถที่บ้านหรอก” ผมบอก

    “อ้าว แล้วมาเรียนยังไงเนี่ย?” ไอ้วินสงสัย

    “เพื่อนมาส่ง”

    “แต่รถคันนั้นคุ้นๆอ่ะสามีเหมือนเคยเห็นที่ไหนเลย” ไอ้พลทำท่าคิด “แต่ช่างเถอะ รีบขึ้นกันดีกว่า เบื่อฟังนังชะนีอ้อบ่นแล้ว รู้มั้ยว่ามันโทรตามเป็นร้อยรอบแล้ว”

    “เรื่องเว่อร์นี่ขอให้บอก”

    “แล้วทีมึงล่ะอีเนิร์ด เรื่องด่าเรื่องแขวะกูเนี่ยขอให้บอก”

    “อะไรกันนนนนนนน” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นมาห้ามสงครามน้ำลายของไอ้สองคนนี่ได้ทันเวลาพอดี พอหันกลับไปก็เห็นเจ้าตัวยิ้มกวนๆส่งมาให้ตามสไตล์

    “พี่เบียร์ขาาาา” แล้วไอ้พลก็รีบไปออเซาะพี่รหัสมันทันที

    “ไปไกลๆตีนเลย” พี่เบียร์ว่าขำๆ ส่วนผมกับไอ้วินก็ยกมือไหว้

    “มือไอซ์ไปโดนไรมาอ่ะ” พี่เบียร์ถามพร้อมกับคว้ามือผมไปดูด้วย

   “อุบัติเหตุนิดหน่อยพี่” ผมบอกยิ้มๆ

    “ไหนคะสามี ขอเมียดูหน่อย”

    “ไม่เป็นไรแล้ว ทำแผลฉีดยากันบาดทะยักอะไรเรียบร้อยหมดแล้ว”

    “ไอซ์ระวังหน่อยสิ” พี่เบียร์บอกน้ำเสียงเหมือนกังวล

    “ครับผม”

    “ถ้าสามีเรียบร้อยแล้วก็แยกค่ะ นังชะนีอ้อโทรมาตามเป็นรอบที่แปดร้อยเจ็ดสิบห้าแล้ว”

    “รีบไปเรียนกันเถอะเด็กๆ” พี่เบียร์ยิ้มให้ “ไว้ว่างๆกินข้าวกันนะไอซ์ ชวนเพลงด้วย พี่ไปละเลทแล้ว”

    พี่เบียร์ยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะแยกตัวออกไป พี่เบียร์เป็นเพื่อนกันกับพี่เพลงและก็เป็นพี่รหัสของไอ้พลมันด้วย รายนี้นี่หน้าตาดีครับ ดูหล่อแบบแบ้ดๆ ตัดผมทรงสกินเฮดที่น้อยคนนักจะตัดแล้วดูดี

    “พี่เบียร์ชอบไอซ์รึเปล่า?” อยู่ๆมาวินก็เอ่ยขึ้นมา ผมกับไอ้พลก็มองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย

    “บ้ารึเปล่า กูผู้ชายนะโว้ย พี่เบียร์ก็ผู้ชายทั้งแท่งมึงไม่เห็นเหรอ?”

    “เออ อีเนิร์ดว่าก็มีส่วนชวนให้คิด” แล้วไอ้พลก็ทำท่าคิดและเดินนำไป ไอ้วินก็เดินตามไปติดๆ ทิ้งให้ผมจมอยู่กับคำถามของมันอยู่คนเดียว พี่เบียร์เนี่ยนะจะชอบผม? พี่เบียร์เป็นเกย์?

    ทำไมช่วงนี้มีแต่เรื่องเกย์ๆวะ?



TCB
เอาใจช่วยพ่อพระเอกของเราด้วยนะครับ คอมเม้นติชม ให้กำลังกันได้เลย
รักเรื่องนี้น้อยๆ แต่รักนานๆ นะครับ :)

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:
เค้ก เอาใจสุดๆ

ออฟไลน์ Cakewhans

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • ' Puzzle
6 Cake : Talk

    วันนี้เป็นเสาร์ เป็นวันหยุดแต่ผมกลับต้องมามอเพราะมีธุระหลายอย่างด้วยกัน แต่หลักๆคือมาคุยงานกับพวกไอ้เกอร์และไอ้เบนซ์ที่ซึ่งเป็นประธานสโมของคณะ แม้ว่ามันจะปากหมาและกวนตีนมากก็ตาม ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับเลือกให้เป็นประธานอยู่ดี อาจจะเพราะคารมของมันหรืออาจจะเพราะผลงานของมันอันนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ

    หลังจากวันนั้นผมก็ไปรับไปส่งไอซ์อยู่หลายครั้งเหมือนกัน เราเจอกันแต่กลับไม่ได้ติวอะไรกันเลยทั้งๆที่ทางบ้านก็จ้างไว้ราคาแพงอยู่(แอบถามไอ้ไวท์มา)แต่เจ้าตัวกลับบ่ายเบี่ยงและเลี่ยงตลอด ทุกๆครั้งที่ถามหาเวลาว่างก็จะมีข้ออ้างนั่นนี่มาแง้วๆใส่ผมเหมือนลูกแมวตัวน้อยๆอยู่ร่ำไป

    ..ก็น่ารักดี

    เมื่อคืนหลังจากที่ผมทักไลน์ไปถามว่าวันหยุดว่างมั้ยเพราะว่าผมเลิกค่ำไม่ได้ไปส่ง ก็ได้คำตอบมาเพียงว่ามีงานต้องทำที่มอ ซึ่งผมก็ไม่ได้บอกมันไปหรอกนะว่าผมเองก็จะไปมอเหมือนกัน

    “ส่งตรงนี้ก็ได้เค้ก เดี๋ยวเพลงเดินไปเอง” คนข้างๆเอ่ยเสียงหวาน “ขี้เกียจโดนเม้าท์”

    “แล้วให้มารับรึเปล่า?”

    “ไม่ต้องจ้า เดี๋ยวเพลงกลับเอง” เพลงยิ้มหวานให้อีกครั้ง “ขอบคุณน้าาา”

    ผมไม่พูดอะไร พยักหน้าให้เท่านั้น พอเพลงลงรถผมก็ขับตรงไปยังคณะตัวเองเห็นพวกไอ้เกอร์นั่งอยู่ก่อนแล้ว แต่ดูจากทรงแล้วคิดว่าคงยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเพราะในมือไอ้เบนซ์มันยังถือกีตาร์อยู่

     “คุณชายมาแล้วววววว” จอดรถเสร็จก็เดินไปยังโต๊ะประจำ ยังไม่ทันถึงโต๊ะดีไอ้เกอร์ก็แหกปากเรียกร้องความสนใจขึ้นมาทันที รุ่นน้องที่มานั่งทำงานกันแถวนั้นมองกันให้ควั่ก

    “เฮียหวัดดีครับ” ไอ้หญิงยกมือไหว้คนแรก

    “อืม” ผมพยักหน้าให้แล้วมองหาน้องรหัสตัวเองแต่ยังไม่ทันได้ถามไอ้หญิงก็โฆษณาขึ้นมาก่อนเลย “รายนั้นเค้าก็ไปรอคนที่คุณก็รู้ว่าใครสิเฮีย”

    “โวลเดอมอร์เหรอ?” ไอ้เบนซ์ทำหน้าเหรอหรา ส่วนไอ้หญิงกับไอ้เกอร์ที่รู้เรื่องก็มองหน้ากันแล้วขำกร๊าก

    “นี่จะเริ่มยัง?” ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะถามขึ้นมาแทน

    “มึงอย่ามาเนียนเค้ก มาช้าละเสือกทำเป็นขยัน”

    “งั้นกูกลับ”

    “เดี๋ยวดิ กูล้อเล่นนิดเดียวเอง” ไอ้เบนซ์รีบวางกีตาร์ลงแล้วหันมารั้งผมไว้ “ถ้ามึงไม่มาเด็กพวกนี้มันก็ไม่มีแรงใจในการทำงานมึงไม่รู้เหรอ?”

    “ถ้าคนมีประสิทธิภาพนะ มันจะไม่ต้องใช้ความหล่อของเพื่อนมาเรียกกำลังเสริมเลยเว่ย” เป็นไอ้เกอร์ที่เอ่ยออกมา

    “ต่อยกูเลยเถอะเกอร์ถ้ามึงจะพูดขนาดนี้” ไอ้เบนซ์ว่าแสร้งทำเป็นเคือง ส่วนไอ้หญิงก็หัวเราะ

    “มากันนานยัง?” ผมถาม

    “เออ สักพักใหญ่ๆละ” ไอ้เกอร์ตอบ “เขานัดกันบ่ายโมงแต่ท่านประธานดันมาซะบ่ายโมงครึ่งไง”

    “ไอ้เชี่ยเกอร์มึงจะพูดให้ไอ้เค้กมันด่ากูอีกทำไม ลำพังแค่ไอ้หญิงมันก็ด่ากูจนหงอกจะหมดหัวอยู่แล้ว” ไอ้เบนซ์บ่น “แล้วนี่ไอ้ไวท์มันจะมามั้ยเนี่ย? เพราะตอนนี้กูต้องการบุคลากรที่มีพละกำลังเป็นอย่างมาก เออจะว่าไปมึงมานี่เลยหญิง นี่ หอบเอกสารนี้ไปซีร็อกกับกูเลย”

    “โหยยยย ไรวะพี่”

    “เมื่อกี้ใครเลี้ยงข้าวมึง เร็ว ให้ไว”

    “พูดถึงไอ้ไวท์แล้วนึกขึ้นได้” ไอ้เกอร์เริ่มพูดหลังจากที่สองคนนั้นเดินออกไปแล้ว “น้องไอซ์อะไรนั่นอ่ะ ยังไงครับ?”

    “ก็ไม่ไงนี่” ผมยักไหล่

    “แล้วเมื่อไหร่มึงจะบอกน้องมันว่ามึงไม่ใช่ไอ้ไวท์”

    “กูก็ไม่ได้ปิดนี่”

    “เค้ก” ไอ้เกอร์เรียกผมจริงจัง “มึงจะจีบน้องใช่มั้ย?”

    “...” ผมไม่ตอบ

    “จริงจัง? วันนั้นที่ถามไปก็นึกว่าแซวเล่นๆ”

    “อืม”

    “อืมของมึงนี่คือยังไง แล้วที่มึงบอกว่ารอให้แน่ใจแล้วจะพามาเจอนั่นอีก”

    “ก็เจอแล้วนี่”

    “นี่มึงชอบน้องเขา?”

    “คงงั้น...”

    “ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันอ่ะนะ?”

    “...” ผมไม่ได้ตอบคำถามของไอ้เกอร์มันและมันก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรผมอีก จนกระทั่งไอ้ไวท์มันมาตามบอกว่าไอเบนซ์เรียกให้ขึ้นไปคุยกันที่ห้องสโมฯ พวกผมจึงพากันขนของ(กิน)ขึ้นไป

     กว่าจะประชุมเสร็จก็เกือบๆห้าโมงแล้ว ซึ่งความจริงกว่าที่พวกมันมาเริ่มกันจริงๆจังๆได้ก็เมื่อตอนสามโมงครึ่งนี่เอง ผมต้องคอยกระตุ้นไม่งั้นก็ไม่เสร็จสักที ไอ้เบนซ์ก็ทีเล่นทีจริง พอเข้าโหมดจริงจังน้องๆมันก็แซว พอได้ทำงานจริงๆแล้วกว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปหกโมง

    “กลับไง?” ไอ้เบนซ์หันไปถามไอ้หญิง ส่วนไอ้ไวท์กลับไปตั้งแต่ประชุมเสร็จแล้วเห็นว่ามีซ้อม

    “รถเมล์ดิ พี่จะไปส่งหนูหรือไง?”

    “เรื่อง?” ไอ้เบนซ์ยักไหล่

    “นอกจากจะหน้าตาไม่ดีแล้วยังแล้งน้ำใจอีก พี่ๆหวัดดีค่ะ” ไอ้หญิงได้ทีก็ว่าไอ้เบนซ์ก่อนจะยกมือไหว้พวกผมเร็วๆแล้ววิ่งหนีไอ้เบนซ์ไป

    “ระวังเถอะจะได้กันเอง” ไอ้เกอร์หัวเราะ

    “มึงเงียบไปเลย” ไอ้เบนซ์ชี้หน้า

    “แล้วมึงไปไหนต่อรึเปล่า?” ไอ้เกอร์หันมาถามผม

    “คงกลับเลย”

    “แน่ใจเหรอครับคุณชาย ได้ข่าวว่าวันนี้เด็กนิเทศก็มาทำงานที่คณะเหมือนกันนะ” ไอ้เกอร์ยิ้มล้อ

    “งั้นมึงก็คงไปรับเพลงสินะ งั้นพวกกูไปละ เจอกันมึง” ว่าจบมันก็กอดคอไอ้เกอร์เดินไปเลย ไอ้คนถูกกอดก็ไม่วายหันมายักคิ้วล้อผมอีก

    ทีแรกตั้งใจว่าวันหยุดนี้จะกลับไปนอนบ้านเสียหน่อยเพราะไม่ได้กลับมาจะสามอาทิตย์แล้ว แต่คิดไปคิดมาขี้เกียจไปเจอหน้าพ่อ เลยคิดว่ากลับคอนโดน่าจะดีกว่า ผมเดินไปเอารถแล้ววนมาออกทางหน้าคณะตัวเอง สาบานว่าไม่ได้ตั้งใจมาทางนี้เพื่อจะขับผ่านคณะนิเทศ แต่เพราะประตูฝั่งนั้นเขาจะเปิดถึงแค่ห้าโมงต่างหาก

    แล้วทำไมมานั่งอยู่คนเดียว?

    “ขึ้นรถ” ผมลดกระจกลงทันทีที่ขับเข้าไปจอดเทียบ

    “อ้าวมึง ไม่เป็นไร เดี๋ยวคุณมิตรมารับ” คนตอบกระพือเสื้อตัวเองเพื่อระบายความร้อน

    “บอกไปนานรึยัง?”

    “เออ สักพักละ”

    “จะพาไปขึ้นรถไฟฟ้า” ผมลองบอก เจ้าตัวมีสีหน้าดีใจไม่น้อยเหมือนเด็กเวลาจะได้กินไอศกรีมยังไงอย่างงั้น

    “งั้นเดี๋ยวกูโทรบอกคุณมิตรแป๊บ” มันรีบเก็บของแล้ววิ่งอ้อมมาขึ้นรถ

    “แผลเป็นไงบ้าง?” ผมถามขึ้นหลังจากออกรถได้สักพัก

    “นี่มึงถามคำถามอื่นกูบ้างก็ได้ เจอหน้าทีไรถามถึงแต่แผลกูเนี่ย” มันชูนิ้วให้ดู “ใกล้หายแล้ว แผลนี่มันจะสามอาทิตย์แล้วนะ กูบอกไว้เผื่อมึงลืม”

    “อืม...” นี่ผมรู้จักกับไอซ์มาจะร่วมเดือนแล้วเหรอ?

    “มึงบอกจะพาขึ้นรถไฟฟ้าไม่ใช่เหรอ แล้วรถมึงล่ะ?” ไอซ์หันมาถามพร้อมกับหยิบน้ำแข็งใส่ปากเคี้ยว “จะจอดส่งกูที่สถานีแล้วให้กูขึ้นเองไม่เอานะโว้ย”

    “เดี๋ยวเอาไปจอดไว้ที่สยาม” ผมบอก เผลอยกยิ้มให้กับท่าทางดีใจของคนข้างๆ

    “ดีๆ กูโคตรตื่นเต้นอ่ะ แต่มึงห้ามบอกใครนะไวท์ มึงต้องทำทีเหมือนว่ากูขึ้นเป็นนะ”

    “อืม..”

    วันนี้วันหยุดรถค่อนข้างติดพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นที่จอดรถที่สยามก็ยังพอมีอยู่บ้าง แม้จะเป็นโซนวีไอพีก็ตาม ผมเดาว่าตอนนี้แทบทุกโซนที่จอดรถก็คงเหลือน้อยเต็มที

    “เอาของมีค่าไปอย่างทิ้งไว้ในรถ” ผมบอก

    “โอเค พร้อม!” ไอซ์บอกท่าทีแข็งขัน

    “แก้วเอาไว้นี่”

    “แล้วถ้ากูอยากกินน้ำแข็งล่ะ?”

    “เค้าห้ามเอาของขึ้นไปกิน” ผมบอกซึ่งเจ้าตัวก็ดูตกใจไม่น้อย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอซ์มันจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ ไม่คิดว่าจะเป็นคนแบบนี้เลยนะ คนที่บทจะซื่อก็แสนซื่อแต่พอจะกวนตีนก็กวนจนผมอึ้ง

    “เอาไว้นี่แหละ” ผมบอก “จะพาขึ้นไปอนุสาวรีย์แล้วเดี๋ยวพากลับมานี่ แล้วจะขับรถไปส่งอีกทีนึง”

    “ทำไมต้องไปอนุสาวรีย์วะ?”

    “อยากกินก๋วยเตี๋ยวเรือ” ผมจัดการล็อครถและเดินนำไอซ์เข้าห้างไป

    “เออ กูยังไม่เคยกิน”

    “อืม...” รู้แล้วล่ะน่า ถึงได้พาไปลองไง

    “ขึ้นรถไฟฟ้านี่อันดับแรกต้องทำไงวะ”

    “รีบ?” ผมหันไปถามเพราะตอนนี้ผมพาไอซ์เดินเข้ามาในห้างเพื่อที่จะเดินทะลุออกไปขึ้นรถไฟฟ้าสถานีสยาม

    “เออ มึงรีบบอกกูมาก่อนดิ กูไม่อยากไปปล่อยไก่ตรงนั้น คนมันเยอะไม่ใช่เหรอ”

    “...”

    “ไอ้ไวท์ มึงกวนตีนกูอ่ะ” มันเริ่มหัวเสีย ท่าทางตอนมันหงุดหงิดนี่ตลกดี ปกติคงไม่เคยมีใครขัดใจล่ะสิท่า

    “เดี๋ยวรอตรงนี้” ผมสั่งมันพร้อมกับเดินไปซื้อตั๋วแบบเติมเงินให้มัน เวลาจะเข้าเกทจะได้ไม่ต้องสอดใช้แค่แตะเอา เพราะจากรูปการแล้วไอซ์คงต้องมาเสียเวลามองหาลูกศรบนบัตรอีกชัวร์

    “อ่ะ” ผมส่งบัตรโดยสารให้อีกคนก่อนจะอธิบาย “เป็นแบบเติมเงิน กูเติมมาให้ห้าร้อย”

    “เดี๋ยวกูคืน” ถึงจะบอกแบบนั้นแต่มันก็ไม่ได้มองหน้าผมเลยเอาแต่สนใจบัตรในมือ

    “มาดูตรงนี้” ผมคว้าข้อมือมันให้เดินตามมาดูแมพ “ดูสถานีที่เราจะลงมันจะมีราคาบอกอยู่ ปกติถ้าใช้ไม่บ่อยเค้าจะซื้อแบบเที่ยวเดียวคือเลือกที่สถานีที่เราจะลงแล้วจ่ายตังค์ รับตั๋ว แล้วพอจะเข้าเกทก็สอดบัตรเข้าไป แล้วต้องรอรับบัตรด้วยนะ แล้วพอเราถึงที่หมายอ่ะ ให้สอดบัตรไปเฉยๆไม่ต้องรอ”

    “อ่าหะ” ไอซ์พยักหน้าเข้าใจ ซึ่งไม่รู้ว่าเข้าใจจริงๆหรือเปล่า

    “แต่อันนี้ไม่ต้องสอด แค่แตะทั้งขาเข้าและขาออก” ผมบอกอีก “พร้อม?”

    “พร้อม!” ไอซ์ยิ้ม

    “อืม..” ผมคว้าข้อมือไอซ์ให้เดินตาม เวลาแบบนี้เป็นช่วงเลิกงานคนจะเยอะพอสมควรและสถานีนี้คนก็มาเปลี่ยนสายกันด้วย คนยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่

    “เดี๋ยวดูกูเป็นตัวอย่าง” ผมก้มลงไปกระซิบบอกใกล้ๆเพราะตอนนี้คนเยอะมาก กลัวว่าจะไม่ได้ยิน ผมแตะบัตรของตัวเองแล้วเดินนำไปรอ ไอซ์ทำตามท่าทางเหมือนเด็กไม่มีผิด

    “พอเข้ามาก็มองป้ายว่าจะไปทางไหน สาวรีย์ที่เราจะไป ไปทางหมอชิต ต้องขึ้นฝั่งนี้ ส่วนฝั่นนั้นไปทางแบริ่ง” ผมชี้ป้ายให้ไอซ์ดู

    “ต้องดูที่ที่เราจะลงและปลายทางใช่มั้ย?” ไอซ์หันมาถามขณะที่กำลังขึ้นบันไดเลื่อน

    “อืม” ผมพยักหน้าให้ก่อนจะสะกิดไอซ์ให้ยืนชิดขวา ส่วนผมยืนซ้อนอยู่อีกขั้นที่ต่ำกว่า

    “ก็ไม่ยากเท่าไหร่ คราวหน้าเดี๋ยวกูลองขึ้นจากคอนโดกูมามอมั่งดีกว่า” ไอซ์หันมายิ้ม นี่รู้หรือเปล่าว่าคอนโดตัวเองไม่มี BTS แต่มี MRT น่ะ?

    “อืม..” ไว้จะพานั่ง

    “คนเยอะว่ะ”

    “คงไม่ได้นั่งอ่ะ คนอาจจะเบียดกันด้วย” ผมบอก “อยู่ใกล้ๆกูไว้ก็แล้วกัน”

    “รู้แล้วล่ะน่า”

    เป็นไปตามคาดครับ ทั้งผมและไอซ์ต่างก็ไม่ได้นั่ง แต่ก็ยืนไม่นานหรอกเพราะจากสยามมาอนุสาวรีย์มันแค่ไม่กี่สถานีเอง แต่ไอซ์คงจะร้อนเพราะผมเห็นเหงื่อเริ่มผุดออกมาตามไรผมแล้ว แถมคนก็ค่อนข้างเบียดกันอีก

    “ใต้โฆษณาจะมีบอกว่าสถานีต่อไปคือที่ไหน” ผมกระซิบบอกอีกคน

    “อื้อ” ไอซ์พยักหน้าและมองตามไปยังจอทีวี ไม่นานก็ถึงสถานีปลายทาง ผมสะกิดไอซ์ให้เตรียมตัวลง คนลงสถานีเยอะพอสมควร

    “ขอโทษนะคะใช่พี่ไอซ์มั้ยคะ” ออกจากรถไฟฟ้ายังไม่ทันจะได้เดินลงบันไดก็มีผู้หญิงสองคนเดินเข้ามาทัก

    “ครับ” ไอซ์พยักหน้าแม้ว่าจะงงไม่น้อยที่อยู่ๆก็มีคนเข้ามาทัก

    “พอดีพวกหนูเป็นรุ่นน้องที่คณะพี่ไอซ์น่ะค่ะ อยากขอถ่ายรูปด้วย” สองคนนี้ใส่ชุดนักศึกษาถูกระเบียบ คาดเข็มขัดและติดเข็มคุ้นตา น่าจะเป็นปีหนึ่ง

    “อ๋อ ได้ครับ” ไอซ์ตอบรับพร้อมกับฉีกยิ้มให้กับน้องสองคนนั่นสลับกันถ่าย

    “ขอถ่ายพี่ด้วยได้มั้ยคะ?” ผมเหรอ?

    “อ่า..ครับ”

    แล้วน้องสองคนก็สลับกันมาถ่ายกับผม และสุดท้ายก็ขอให้ผมถ่ายคู่กันกับไอซ์ งงนิดหน่อยแต่ก็ยอมให้ถ่าย ส่วนไอซ์มันน่าจะชินเพราะรายนี้เขาอดีตเดือนคณะ

    “พี่ไอซ์ขอบคุณนะคะ” น้องๆยกมือไหว้ก่อนแยกออกไป ผมเลยสะกิดให้ไอซ์เดินตามมาอีกทาง และพาไปเดินไปยังฝั่งเกาะดินแดง แถวนี้ของกินเยอะ รสชาติก็อร่อยด้วยแต่ข้อเสียคือไม่มีที่จอดรถ จะมาหาอะไรกินแถวนี้ต้องนั่งรถสาธารณะอย่างเดียว ผมเคยมาหลายครั้งกับพวกไอเกอร์แต่ก็ไม่ค่อยบ่อยนัก

    “มึงเดินไวจังวะ” คนเดินตามบ่น ผมเลยลดสปีดการเดินของตัวเองลง ใจจริงอยากจะให้มันเดินนำด้วยซ้ำ และผมเดินตาม จะได้คอยดูด้วย แต่ไอซ์มันดันไม่รู้ทางเนี่ยสิคือปัญหา

    “ขาก็ไม่สั้นมากนี่” ผมหันไปหยอก

    “สัสไวท์” ลูกคุณหนูพูดคำหยาบเป็นด้วยแฮะ “สูงกว่ากูไม่เท่าไหร่อย่าทำมาข่มหน่อยเลย”

    “หึ~” ผมไม่ตอบแต่หันไปคว้าข้อมืออีกคนให้เดินตาม

    “เห้ยยย กูเดินเองได้”

    “เดี๋ยวหลง” ผมบอก ตอนนี้คนมันเยอะไงช่วงพีคไทม์ ทุกคนเลิกงานกลับบ้าน บ้างก็มาจากต่างจังหวัด ผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งคนดีคนไม่ดีปะปนกันจนแยกไม่ออก “หลงหายไปกูจะไปหาจากไหนมาคืนพ่อแม่มึง”

    “กูโตแล้วมั้ยล่ะไวท์”

    “แสดงว่าไม่เคยเห็นข่าวคนหายล่ะสิ” ผมหันไปยกยิ้ม

    “มีด้วยเหรอ” ไอซ์ทำท่าไม่เชื่อ “แล้วคนเรามันจะหายกันง่ายๆได้ยังไงวะ”

    “ถึงต้องระวังไง” ผมกระชับมือที่จับให้แน่นขึ้นซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้มีทีท่าอะไร

    ไม่นานผมก็พาไอซ์มายังร้านก๋วยเตี๋ยวเรือชื่อดัง พนักงานชาวต่างชาติของร้านให้การต้อนรับอย่างดี แม้ว่าภาษาไทยที่ใช้สื่อสารจะแปร่งออกไปบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาถ้าเทียบกับการบริการ

    “เอาเส้นอะไร” ผมถามคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม

    “กูไม่รู้ว่าแบบไหนอร่อย เอาตามมึงเลย”

    ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันไปสั่งพนักงานให้เอาเส้นเล็กมาแปดชาม ซึ่งไอซ์ดูตกใจกับจำนวนที่ผมสั่งอยู่ไม่น้อย เดี๋ยวก็รู้ว่าที่สั่งมาแค่คนละสี่ชามน่ะไม่พอหรอก

    “กินขนมถ้วยมั้ย?” ผมเลื่อนจานเล็กๆที่เขาใส่ขนมถ้วยประกบกันเอาไว้ไปตรงหน้าไอซ์

    “ปกติที่บ้านกูเค้าซื้อมาให้กินแต่ที่ใส่กล่องอ่ะ”

    “อันนี้เค้าให้เอาช้อนตักเอง” ผมบอกพร้อมกับหยิบขนมถ้วยเล็กๆส่งให้ตามด้วยช้อนอีกคัน

    “กูไม่เคยตักเองเลย เพิ่งรู้นะว่าจริงๆแล้วขนมถ้วย ถ้วยมันเป็นแบบนี้”

    “อืม..” ผมตักกินบ้างอร่อยดี ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาขายคู่ละกี่บาทกันแล้ว เมื่อก่อนที่มากินก็ไม่แพงเลย

    พอก๋วยเตี๋ยวที่สั่งยกมาเสิร์ฟไอซ์ก็ถึงบางอ้อว่าทำไมผมถึงสั่งมาแปดสำหรับสองคน ซึ่งก็ตามคาดครับต้องสั่งเพิ่ม ผมลองสั่งแคบหมูมาให้ไอซ์ลองกินด้วย เจ้าตัวน่าจะถูกอกถูกใจอยู่ไม่น้อยเพราะเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ต้องสั่งเพิ่ม

    “อิ่มว่ะ อร่อยด้วย” คนตรงหน้าหยิบน้ำแข็งในแก้วมาเคี้ยว

    “ไว้จะพามาอีก”

    “เท่าไหร่วะ?” ไอซ์ถามขณะที่บริกรเขาส่งบิลมาให้ผม

    “ไม่เป็นไร”

    “มึงเลี้ยงกูบ่อยแล้ว”

    “ค่อยเลี้ยงหนังคืน” ผมบอกพร้อมกับส่งตังค์ให้พนักงานชาวต่างชาติที่ท่าทางขยันขันแข็ง “อยากดูไม่ใช่เหรอ?”

    “เออใช่ พรุ่งนี้วันหยุดด้วย กูอยากลองดูหนังรอบดึกมานานละแต่ก็ทำได้แค่อยาก” ไอซ์ยิ้ม “วันนี้ฝันนั้นของกูคงเป็นจริง”

    “กับเรื่องเรียนตั้งใจแบบนี้ไหม?” ผมแกล้งแซว

    “มึงหุบปากไปเลยไอ้ไวท์” หน้าเริ่มตึง “มึงแค่ไปหาแนวข้อสอบตามที่กูบอกก็พอ”

    “เด็ก..” ดื้อด้วย

    “มึงบ่นอะไรวะ?”

    “ไปเถอะ” ผมลุกขึ้นแล้วเดินนำกลับไปยังสถานีรถไฟฟ้าอีกครั้งเพื่อนั่งย้อนกลับไปที่สยาม แล้วดูหนังรอบดึกต่อสักเรื่องแล้วค่อยกลับไปส่งไอซ์ที่คอนโด


TBC
ตอนใหม่มาแล้วนะครับ ให้กำลังใจในความรักที่กำลังก่อตัวด้วยนะครับ :))

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ไอซ์ จะรู้จักเค้ก ผ่านน้องๆที่ถ่ายรูปไปป่าว เราขอเดา :hao7:

 :L2: :pig4:
รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ maekkun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ชอบ อ่านเพลินมาก

ออฟไลน์ Cakewhans

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • ' Puzzle
7 Ice : Talk

    เมื่อคืนหลังจากที่ดูหนังจบ ไอ้ไวท์มันก็มาส่งผมที่คอนโดอย่างที่บอกไม่มีผิด แต่ที่ผิดคือมันไม่ยอมให้ผมเลี้ยงหนังอย่างที่บอกอีกตามเคย ผมจะหยิบตังค์จ่ายอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ทันมัน มือไวชะมัดเลย แล้วก็นะ ผมคิดว่าไอ้ไวท์เป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายและจดจำรายละเอียดของคนรอบข้างได้พอตัวเลย เพราะเมื่อคืนหลังจากที่ซื้อน้ำมาแล้วมันก็ดูดน้ำจนหมด เหลือแต่น้ำแข็งให้ผมโดยที่ไม่ต้องบอกสักคำ เห็นมั้ย พวกเนิร์ดๆนี่เป็นคนดี

    “เที่ยงนี้คุณหนูอยากทานอะไรคะ” ป้าแม่บ้านถามพร้อมกับวางจานแตงโมให้ผมกินเล่นเป็นของว่าง

    “อยากกิน...” ผมนึกว่าตัวเองอยากกินอะไร ยังมีอะไรบ้างที่ผมอยากกินแล้วยังไม่ได้กิน หมายถึงของกินข้างทางอ่ะนะ เพราะปกติที่บ้านไม่ค่อยชอบให้ผมกินของพวกนั้นเขากลัวว่าผมจะท้องเสีย “จริงๆอยากกินส้มตำ”

    “นั่นจะทำให้คุณหนูแสบท้องได้นะคะ” เห็นมั้ย ป้าต้องหาข้ออ้างมาได้ทุกทีอ่ะ เห็นทีต้องบอกให้ไอ้ไวท์พาไปลอง เพราะตั้งแต่รู้จักกับมันมานี่ผมโคตรเปิดประสบการณ์อ่ะ เมื่อวานก็พาขึ้นรถไฟฟ้าทีนึงละ โคตรรู้สึกดีอ่ะ

    ความจริงแล้วผมจะบอกให้พวกไอ้พลมันพาไปก็ได้นะ แต่ก็..ไม่รู้สิ มันบอกไม่ถูก อาจจะเพราะว่าชินมั้ง ชินที่พวกมันเห็นผมมีคุณมิตรมารับจนชินตา และผมเองก็เคยตัวจนชินแล้วด้วย แต่นั่นช่างมัน เพราะตอนนี้ผมคิดว่าผมต้องคุยกับคุณมิตรอย่างจริงจังแล้วเรื่องไปมหาลัยของผม ผมอยากไปเรียนเองแล้ว!

    ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านตัวเองครับ ผมมักจะเรียกที่นี่ว่าบ้านใหญ่ เพราะมันใหญ่จริงๆ อยู่แถวๆปิ่นเกล้า คุณมิตรไปรับผมมาตั้งแต่เก้าโมงครึ่งอ่ะ เอาจริงๆตอนนั้นยังไม่ตื่นดีด้วยซ้ำ ก็กว่าจะดูหนังจบ กว่าจะกลับมาถึงห้อง กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะนอนอีก นั่นแหละครับ เก้าโมงครึ่งนี่ถือว่าเช้าไปสำหรับการตื่นนอนในวันอาทิตย์แบบนี้

        “งั้นอยากกินราดหน้า” ผมบอกป้าไปเพื่อตัดปัญหา แกพยักหน้าและยิ้มให้ก่อนเดินออกไปพร้อมกันกับที่คุณมิตรเดินเข้ามาพอดี

        “วันนี้คุณครีมจะกลับมานะครับ” คุณมิตรเอ่ย

        “...” แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป

        “น่าจะถึงประมาณบ่ายสาม ผมคิดว่าคุณควรจะไปรับเธอ”

        “...” ทำไมต้องไปรับด้วย ทีตอนไปยังไปเองได้เลย เหอะ

        “ที่ไปรับกลับบ้านเพราะแบบนี้เหรอ”

       “...” คราวนี้เป็นคุณมิตรเองที่เงียบ

       “ไม่ไป”

       “เกรงว่าจะทำอย่างนั้นไม่ได้ครับ” ผมเกลียดสถานการณ์แบบนี้ที่สุดเลย ทำไมวะ ทำไมผมต้องทำตามคำสั่งทุกอย่าง หลายๆคนที่มองมา อาจจะคิดว่าผมเป็นลูกคุณหนูโดนตามใจและได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีสินะ แต่ใครจะรู้ว่าความจริงแล้วผมเหมือนถูกขังอยู่ในกรงมากกว่า ต้องเดินตามเส้นทางตามกรอบที่พวกเขาวางไว้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองไม่โตสักที จะทำอะไรก็ไม่ได้ จะไปไหนก็ต้องคอยบอก ผมเบื่ออะไรแบบนี้เต็มทนแล้ว ตั้งแต่จำความได้จนตอนนี้อายุจะยี่สิบเข้าไปสักวันแล้ว ผมยังทำอะไรด้วยตัวเองแทบจะไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เป็นต้นว่าการไปเรียนเองงี้ แท็กซี่ก็ห้ามนั่ง รถเมล์ก็ห้ามขึ้น รถไฟฟ้าก็อย่า ผมว่าผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ!

        ทีแรกผมคิดว่าตัวเองเป็นคนติดสบาย แต่เอาเข้าจริงหลังจากที่ได้ลองนั่งรถไฟฟ้ากับไอ้ไวท์แล้ว มันก็ไม่ได้น่ากลัวหรือมีอะไรเสียหายอย่างที่คิดหรืออย่างที่พวกเขาบอกมาเลยสักหน่อย ผมต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว

        “ไปก็ได้” ผมว่าออกไป “แต่มีข้อแม้ว่าผมต้องได้ไปเรียนเองคุณไม่ต้องไปรับส่งผมอีกต่อไปแล้ว”

        “แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์…”

        “มันไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ถ้ามีผมจะบอกคุณคนแรก” ผมก็เข้าใจแหละว่าคุณมิตรเขาเป็นห่วง แต่คุณมิตรเองก็ต้องเข้าใจผมด้วยว่าผมบรรลุนิติภาวะแล้ว ปล่อยๆบ้างก็ได้

        “ผมจะเรียน..”

        “ไม่ต้องเอาพ่อมาอ้างหรอก” ผมว่า “ผมรู้ว่าพ่อให้สิทธิ์ขาดในการตัดสินใจกับคุณ”

        “...” คุณมิตรนิ่ง แต่ผมรู้ว่าเขาก็ตกใจอยู่ไม่น้อยที่ผมรู้เรื่องนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็เก็บอาการได้อย่างดีไม่แสดงอาการใดๆออกมาทางสีหน้าเลย มีเพียงแค่ความเรียบนิ่งเท่านั้น

        “ตกลงตามนี้นะ”

        “ทุกครั้งที่จะกลับบ้านผมจะเป็นคนไปรับนะครับ” ผมพยักหน้า เพราะคุณมิตรพูดมาแบบนี้ก็ถือเป็นการตกลงกลายๆแล้ว

        “อีกเรื่อง ไม่ต้องให้คนแอบตามไปดูนะ ผมโตแล้ว” ผมบอกเผื่อไว้ ปกติเขาก็ไม่ได้ให้คนตามดูหรอก แต่กลัวว่าพอปล่อยให้ผมไปไหนมาไหนเองแล้วเขาจะมีความคิดนี้ขึ้นมาน่ะสิ “แล้วผมก็คงไม่ต้องรายงานด้วยมั้งว่าจะไปไหนหรือทำอะไร”

         “...” เป็นอีกครั้งที่คุณมิตรนิ่งเงียบที่ผมดักทางไว้

         “ขอบคุณนะครับ ที่เข้าใจ”

         “เรื่องวิชาคณิตศาสตร์ของคุณ” คุณมิตรเกริ่น จริงๆผมก็ลืมไปเลยนะว่าเขาจ้างไอ้ไวท์ให้มาสอนผม แต่ผมกลับได้เพื่อนเพิ่มซะงั้น “คุณโอเคไหม”

         “อ่าหะ” ผมพยักหน้า

         “มีเนื้อหาตรงไหนที่ต้องเรียนเพิ่มหรือเปล่าครับ?”

         “ถ้ามีเดี๋ยวไอ้ไวท์มันก็จัดการให้เองนั่นแหละ ไม่ต้องห่วง” ผมตอบปัดๆไป ไม่อยากให้ถามมาก เพราะถ้าผมบอกความจริงไปเดี๋ยวก็วุ่นวายหาคนมาสอนเพิ่มอีก

   ผมมาถึงสนามบินตอนเกือบสามโมง ซึ่งกว่าครีมจะมาถึงก็คงพอดีกัน โดยที่มีคุณมิตรเป็นคนขับรถมาส่ง บอกตามตรงว่าผมไม่อยากมาเลย แต่ก็พูดไปแล้วว่าถ้ามารับก็ต้องแลกกันกับการที่ผมไปไหนมาไหนเอง หรือเรียกง่ายๆว่า ควรปล่อยผมบ้างได้แล้วนั่นเอง

    ครีม คือพี่สาวของผมเองครับ เธออายุมากกว่าผมห้าปี เกิดและโตที่อเมริกา เรียนจบและทำงานอยู่ที่อเมริกาอีกนั่นแหละ ซึ่งต่างจากผมที่เกิดและโตที่เมืองไทย เรียนที่เมืองไทยแถมยังไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ด้วยนะ หึ.. ครีมจะกลับเมืองไทยทุกๆหกเดือน ต่างจากพ่อกับแม่ที่จะกลับทุกๆสองปี และกลับมาเพียงครั้งละสองอาทิตย์เท่านั้น แต่แค่นั้นยังไม่พอนะครับเพราะทุกครั้งที่กลับมาก็ต้องเกี่ยวเนื่องด้วยเรื่องงานหรือธุระอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่เคยบอกผมเลยเป็นส่วนใหญ่

    บางทีก็แอบคิดนะว่าพ่อกับแม่อยากกลับมาหาผมบ้างหรือเปล่า?

    ในชีวิตนี้ผมว่าผมนับได้เลยมั้งว่าเคยอยู่กับพ่อแม่จริงๆจังๆกี่วัน ตลกนะดีครับ แต่ถ้าถามว่าผมน้อยใจมั้ย? จะเหลือเหรอครับ ผมว่าทุกคนก็อยากอยู่กับพ่อแม่ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่เจอหน้าทีไรก็ถามแต่ว่าเงินพอใช้มั้ย อยากได้อะไรหรือเปล่า

    “น้องไอซ์!!!” เสียงหวานร้องเรียกทางด้านหลัง ผมหันกลับไปมองต้นตอของเสียง แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรครีมก็โผเข้ากอดผมเต็มรัก
 
    “ดีใจจังเลย ที่น้องไอซ์มารับพี่” ครีมยิ้มแต่ผมกลับพูดอะไรไม่ออก

    “...”

    “รอนานมั้ยคะ?” ครีมส่งกระเป๋าถือให้คุณมิตรแล้วเจ้าตัวก็มากอดแขนผมไว้

    “ไม่” ผมส่ายหน้า มองครีมด้วยสายตาว่างเปล่า เธอดูผอมลงจากเมื่อหกเดือนที่แล้วที่เราเจอกัน อาจจะเพราะทำงานหนักหรือเพราะด้วยเป็นรูปร่างเล็กด้วยก็ไม่รู้ที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน

    “น้องไอซ์หิวมั้ยคะ?”

    “ไม่” ผมบอกออกไป ออกจะดูเย็นชาไปสักหน่อยกับการพูดคุยกับพี่สาวของตัวเองแบบนี้ แต่ผมก็เป็นแบบนี้แหละ และผมก็รู้ว่าครีมก็คงจะเข้าใจในตัวผมอยู่ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่พยายามทำหน้าที่พี่สาวที่ดีแบบนี้หรอก เธอมักจะพยายามให้ความอบอุ่นที่ผมขาดไปอยู่เสมอๆ ด้วยการแอบอยู่ที่ไทยต่อจากสองอาทิตย์เป็นหนึ่งเดือนอะไรทำนองนั้น แต่เอาจริงๆมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก

    มันอดคิดไม่ได้จริงๆนะว่าความจริงแล้วผมเป็นลูกแท้ๆของพ่อกับแม่หรือเปล่า...

    ทำไมผมถึงถูกละเลย? ผมพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดอะไรเด็กๆแบบนั้น แต่พอเห็นหน้าครีมแล้วมันก็อดน้อยใจไม่ได้อยู่ดี จะว่าผมอิจฉาพี่สาวตัวเองก็ได้

    ผมไม่อยากเห็นหน้าครีมเลย!

    “งั้นเรากลับไปทานข้าวที่บ้านกันดีกว่านะคะ” ครีมยิ้ม แต่ผมรู้ว่าเธอคงเพลียมากจากการเดินทางกว่ายี่สิบชั่วโมงนั่น ผมเองก็อยากจะนั่งเครื่องไปหาพ่อกับแม่หรือไปเยี่ยมครีมบ้างเหมือนกันนั่นแหละ จะให้ไปทุกเดือนยังได้เลย เพราะผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน แต่มันติดที่ตัวผมต่างหาก

    ผมกลัว.. เคยลองแล้ว เดินเข้าไปในเกทจนจะขึ้นเครื่องอยู่แล้วด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องวิ่งออกมาและตัดสินใจทิ้งตั๋วนั่นซะ เพราะทำใจไม่ได้จริงๆ

    “แค่มารับแค่นี้ก็พอใช่มั้ย?” ผมหันไปถามคุณมิตร

    “...” แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นความเงียบ

    “มีอะไรเหรอคะ?”

    “จะกลับแล้ว” ผมบอกพร้อมกับแกะแขนพี่สาวของตัวเองจากการเกาะกุมออก “ไม่ต้องไปส่ง พาครีมกลับบ้านเถอะ” ผมบอกก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง

    “น้องไอซ์จะไปไหนคะ?” ครีมทำท่าจะตามมาแต่คุณมิตรคงรั้งไว้ นับว่าเขารักษาคำพูดได้ดีทีเดียว จริงอยู่ที่ผมอาจจะไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหนเพื่อออกจากสนามบิน หรือไปทางไหนเพื่อไปเรียกแท็กซี่

    ผมเดินไปตามป้ายบอกทางเพื่อที่จะไปขึ้นแท็กซี่ แต่อีกใจก็แอบกลัวหน่อยๆ เพราะรถสาธารณะผมเองก็เพิ่งจะเคยขึ้นครั้งแรกเมื่อวาน แถมเป็นรถไฟฟ้าอีกไม่ใช่รถแท็กซี่เสียหน่อย ใจจริงๆก็ยังไม่กล้าหรอก แต่ทำไงได้ล่ะในเมื่อผมเดินออกมาแล้วจะให้ผมกลับไปน่ะเหรอ? แล้วแบบนี้ข้อตกลงระหว่างผมกับคุณมิตรจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าในเมื่อเขายังเห็นว่าผมยังดูแลตัวเองไม่ได้และยังไม่โตอ่ะ
 
    ในเวลาแบบนี้คนแรกที่ผมนึกถึงก็คงจะไม่พ้นเพื่อนใหม่หน้าใสขวัญใจชาวสีม่วงสินะ ไอ้ไวท์ จะว่าไปก็ยังไม่เคยพามันไปให้พวกไอ้พลรู้จักเลย อยากจะรู้เหมือนกันว่าไอ้พลจะดูไอ้ไวท์ออกมั้ยว่ามันเป็นเกย์ เพราะไอ้พลมันเคยบอกผมว่าผีย่อมเห็นผี ไอ้ไวท์กับไอ้พลมันอาจจะคนละไทป์กัน แต่มันก็ชอบผู้ชายเหมือนกันนี่ น่าจะไม่ต่างกันหรอกมั้ง อีกอย่างไอ้วินมันคงจะดีใจที่มีเพื่อนเนิร์ดๆแบบมันมาเพิ่ม

    ผมตัดสินใจโทรหาไอ้ไวท์แทนการทักไลน์ไปหามัน ผมคิดว่าถ้าเรามีเรื่องด่วนหรือมีธุระสำคัญเราควรจะโทรมากกว่าไลน์ไปนะ เพราะความจริงแล้ววัตถุประสงค์ของโทรศัพท์มันมีไว้ใช้สำหรับโทรไม่ใช่เหรอ? แม้ว่าผมจะใช้มันแต่งรูปมากกว่าก็เถอะ

    [..…] ปลายสายรับแต่กลับเงียบ

    “ไวท์” ผมเลยลองเรียกดูเผื่อว่าโทรผิด

    [อืม..] ไอ้ไวท์มันก็ยังคงเสมอต้นเสมอปลายครับ ถ้ากลัวดอกพิกุลร่วงแบบนี้ ผมโทรไม่ผิดหรอกครับ

    “กูมีเรื่องจะรบกวนมึงหน่อย” ผมบอกออกไปในใจก็ลังเลนิดหน่อย

    [..…]

    “แต่ถ้ามึงไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ”

    [.....]

    “เดี๋ยวกูโทรหาเพื่อน...”

    [กูฟังอยู่]

    “มึงมารับกูที่สนามบินหน่อยได้มั้ยวะ” ผมตัดสินใจพูดออกไป

    [อยู่ตรงไหน?] แปลกใจนิดหน่อย ไม่คิดว่ามันจะถามคำถามนี้ ที่เตรียมไว้คือคำตอบของคำถามที่ถามว่า มึงไปทำอะไรที่สนามบิน เสียอีก

    “แถวที่รอขึ้นแท็กซี่อ่ะ สุวรรณภูมินะ” ผมรีบบอก เกิดมันเสือกไปรับที่ดอนเมืองล่ะก็ยุ่งเลย

    [รออยู่ตรงนั้น] พูดแค่นั้นมันก็ตัดสายผมเลย

    หลังจากที่วางสายไอ้ไวท์มันผมก็ยืนรออยู่ตรงนั้นอย่างที่มันบอกครับ ใจจริงอยากจะปิดมือถือด้วยแหละ เพราะครีมเอาแต่โทรมา เมื่อกี้ที่ผมคุยกับไอไวท์อยู่ก็มีสายแทรกเข้ามา แต่ก็กลัวว่าถ้าปิดเครื่องแล้วไอ้ไวท์หาผมไม่เจอจะทำยังไง ผมเลยเลือกที่จะปิดเสียงแทนการปิดเครื่อง

    “รอนานมั้ย?” เสียงหล่อๆดังขึ้นตรงหน้า และทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นมามองก็ทำเอาช็อคไม่น้อย นี่ยังไม่ถึงสิบนาทีเลยนะที่ผมโทรไปหามันอ่ะ

    “มึงเหาะมาหรือไงเนี่ย นี่มึงเหยียบมาเท่าไหร่?”

    “....”

    “มึงไม่ตอบกูล่ะวะ?” ผมข้องใจ

    “จะให้ไปส่งที่ไหน?” ไอ้ไวท์ไม่ตอบคำถามผมอีกแล้ว แต่ดึงมือผมให้เดินตามแทน

    “มึงจะไปไหนล่ะ?” เอาจริงๆผมก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะไปไหน เพราะดูจากทรงแล้วครีมต้องให้คุณมิตรไปส่งที่คอนโดผมมากกว่ากลับบ้านใหญ่แน่ๆ

    “กลับไปอาบน้ำที่คอนโด” ไอ้ไวท์ตอบพร้อมกับปลดล็อครถเมื่อมันพาผมเดินมาถึงลานจอดรถ ไม่ว่าลานจอดรถจะกว้างหรือมีรถมาจอดมากคันแค่ไหน BMW ของมันก็ยังเด่นสะดุดตาอยู่ดี หรืออาจจะเพราะว่าผมชอบรถคันนี้มากก็ได้มั้งเลยจำได้ขึ้นใจ

    “งั้นกูไปกับมึงด้วย” ไอ้ไวท์พยักหน้าให้ผมเท่านั้นไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ

    “อืม..”

    “นี่มึงไม่คิดจะถามอะไรกูหน่อยเลยเหรอ?” เป็นผมที่เป็นคนเปิดประเด็นหลังจากที่เรามาถึงกันแล้วและไอ้ไวท์กำลังเปิดประตูให้ผม

    “อยากพูดอะไรก็พูดสิ” มันมองหน้าผม

    “มึงแม่งกวนตีนว่ะ”

    “หึ” มันไม่พูดอะไรแต่เดินแยกเข้าไปในครัว ส่วนผมก็เดินไปนั่งตรงโซฟาหน้าทีวีอย่างไร้มารยาทโดยไม่ต้องรอให้เจ้าภาพได้เชื้อเชิญ

    “จะโทรมาทำไมนักหนา” ผมบ่นกับตัวเองก่อนจะกดปิดมือถือนี่ไปให้รู้แล้วรู้รอด

    “ใคร?” ไอ้ไวท์ถามพร้อมกับส่งแก้วใบใหญ่รูปร่างคุ้นตามาให้ผม ส่วนมืออีกข้างมันถือโค้ก

    “มึงก็มีแก้ว YETI ด้วยเหรอ?” ผมถามพร้อมกับหยิบน้ำแข็งในแก้วกิน เห็นมั้ยว่าไอ้ไวท์มันเป็นคนดีแถมยังรู้ใจผมด้วย

    “ไม่ตอบ?”

    “ครีม” ผมตอบคำถามมันหลังจากที่เอาแต่จ้องผมอยู่นั่นแหละ

    “แฟน?”

    “กูเคยบอกเหรอว่ากูมีแฟน?” ผมหยิบน้ำแข็งเข้าปากแล้วเคี้ยว

    “แล้วมีรึเปล่าล่ะ?”

    “จะเอาที่ไหนมามีล่ะ วันๆคนอย่างกูได้ไปไหนมาไหนบ้าง เจอคนแต่ละวันแทบนับได้เลยมั้ง” ผมว่า “แต่ก็ไม่แน่นะ กูอาจจะมีเร็วๆนี้ก็ได้ คอยดูเถอะกูจะต้องแย่งพี่เพลงจากไอ้เค้กแข็งปวยนั่นมาให้ได้!”

    “แค่กๆๆ”

    “มึงเป็นไรรึเปล่า?” ผมรีบถาม นี่เพิ่งเคยเห็นไอ้ไวท์หมดฟอร์มครั้งแรกเลยนะเนี่ย ปกติมันจะนิ่งๆ

    “...” เงียบอีกละ สงสัยจะอาย ฮ่าๆๆ

    “แล้วเมื่อไหร่มึงจะบอกกูสักทีว่าคนไหนคือไอ้ปวย กูอยากรู้เต็มทนแล้วนะ”

    “สรุปครีมคือ?”

    “พี่สาวกูเองโอเคมั้ย แล้วก็อย่าถามถึงอีกกูไม่อยากได้ยินจบนะ”

    “...” ทีนี้มันเงียบเลยว่ะ

    “แล้วมึงล่ะมีแฟนกับเขาบ้างมั้ย ไม่เห็นจะพามาแนะนำให้กูรู้จักเลย”

    “ก็กำลังจีบอยู่นี่ไง..”

    “หะ? อะไรนะ? ทำไมมึงชอบพึมพำๆคนเดียววะกูฟังไม่รู้เรื่อง เอาจริงๆนะไวท์ ตอนนี้กูกับมึงเป็นเพื่อนกันแล้วนะเว่ยมีไรก็อย่าปิดบังกันดิวะ” จริงๆผมอยากเห็นมากกว่าว่าคนที่มันชอบจะเป็นแบบไหน แบบสเป็คเกย์อะไรแบบนี้อ่ะอยากรู้

    “...”

    “มึงแม่งชอบเงียบว่ะ” คุยกับไอ้นี่น่าหงุดหงิดนะนอกจากจะชอบเงียบแล้วยังจะชอบจ้องหน้าผมอีก แต่มันคงจะเป็นลักษณะเฉพาะของพวกเด็กเรียนล่ะมั้ง เพราะไอ้วินมันก็ชอบนั่งเหม่อผมเห็นอยู่บ่อยๆ

    “มีใครมาจีบบ้างมั้ยเนี่ย?” ไอ้นี่ถามแปลกว่ะ

    “จะมีใครมาจีบกูล่ะ มึงบ้าปะไวท์” อย่างผมนี่ต้องเป็นฝ่ายไปจีบคนอื่นเค้าโว้ย โดยเฉพาะพี่เพลง จะว่าไปก็ไม่ค่อยได้เจอเลย เรียนตึกเดียวกันทีไรก็เจอแต่พี่เบียร์ตลอด พี่เพลงชอบกลับไปก่อนที่ผมจะได้เข้าไปทักทุกทีเลย ทั้งที่พี่เขาเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันแท้ๆ

    “ดี..”

    “อะไรดี?”

    “ไม่มีใครมาจีบไง”

    “อะไรวะ?”

    “จะได้ไม่ต้องมีใครแย่ง” คือมึงช่วยพูดดังๆให้กูได้ยินหรือเข้าใจบ้างได้มั้ยวะไวท์?

    “แล้วนั่นมึงจะไปไหน?”

    “อาบน้ำ” ไอ้เจ้าของห้องตะโกนบอกโดยไม่ได้หันหน้ามา “ยังไม่ได้อาบเลยตั้งแต่เช้า”

    “นี่มึงออกไปไหนมาไหนทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำอ่ะนะ?” เชื่อเลย แต่จะว่าไปมันก็ไม่ได้ดูสกปกนะ แบบดูไม่ออกอ่ะว่าไม่ได้อาบน้ำ แต่เดี๋ยวสิไอ้ไวท์มันยังไม่ได้บอกผมเลยนะว่าทำไมอยู่ๆมันถึงไปรับผมได้ไวขนาดนั้นอ่ะ

    ไอ้ไวท์พาผมออกมากินข้าวข้างนอกหลังจากที่มันอาบน้ำเสร็จ มันบอกว่ายังไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากโค้กขวดนั้นตั้งแต่เช้า นี่มึงอยู่มาได้ไงจนป่านนี้ แล้วกว่าจะออกกันมาก็เกือบหกโมงเข้าไปแล้ว แล้วไหนจะเจอรถติดเมื่อกี้อีก นี่มันจะทุ่มครึ่งแล้วด้วยเนี่ย ตอนนี้เราอยู่แถวพระรามห้าครับ ที่รู้เพราะอ่านจากป้ายเมื่อกี้

    ไม่นานมันก็พาผมมายังร้านอาหารร้านหนึ่ง กึ่งๆร้านนั่งชิลเพราะมีเวทีด้วย แต่คนค่อนข้างเยอะพอสมควร อาหารที่นี่คงอร่อย แต่เรื่องของบรรยากาศนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ร้านนี้ตกแต่งสวยมากครับ ชิลโคตรๆ ถ้าเรื่องบรรยากาศแล้วผมให้สามผ่านเลย

    “นี่มึงพากูมากินเหล้า?”

    “กินข้าวสิ ไม่เห็นชื่อร้านหรือไง” มันบอกพร้อมกับชี้ป้ายร้านให้ผมอ่าน ข้าวหอม

    “อาหารไทยธรรมดากินได้?”

    “เออ”

    “หึ” มันไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ทำหน้าที่พาผมไปนั่งที่โต๊ะ ซึ่งก็อย่างที่บอกว่าคนโคตรเยอะ โต๊ะที่ได้เลยเป็นหน้าเวที ก็ดีครับจะได้เห็นหน้าคนร้อง วันนั้นที่ไปร้านเหล้ากับมันก็ไม่เห็นหน้าคนร้องเลย ผมว่าการฟังดนตรีสดมันมีเสน่ห์นะ อยู่ๆเพลงทั่วไปก็ดูเพราะขึ้นมาเฉยเลยอ่ะเมื่อหยิบเอามาร้องสด ผมว่าผมชอบอะไรแบบนี้อยู่เหมือนกันนะ

    ไอ้ไวท์จัดการสั่งอาหารและน้ำแข็งเปล่ามาให้ผมเคี้ยวเล่นเสร็จสรรพ ถ้าได้ยินไม่ผิดผมได้ยินมันสั่งเบียร์ด้วย ไอ้นี่เป็นคนติดแอลกอฮอล์หรอกเหรอ? และระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟอยู่ๆก็มีคนมาทักไอ้ไวท์

    “อ้าวเฮ้ยมาไง” ผู้ชายคนหนึ่งอายุน่าจะแก่กว่าพวกผม หน้าตาดีแถมแต่งตัวเก่งด้วยเดินเข้ามาทักคนตรงหน้า

    “หวัดดีครับพี่” ไอ้ไวท์ยกมือไหว้ผมเลยยกตาม

    “ไหนก็มาแล้วแจมหน่อยๆ”

    “ไม่ไหวมั้ง”

    “เอาน่ะนิดนึงๆ แค่เปิดก็ได้” คือ..คุยอะไรกันวะ ผมนี่งงหมดแล้ว จะหาช่องเสือกก็ไม่ได้

    “พี่ก็รู้ว่าผมไม่ค่อยถนัด”

    “อย่าถ่อมตัวเลยน้อง นานๆที ไม่ได้มาทุกวันนี่” แล้วพี่คนนั้นก็เดินจากไป ไอ้ไวท์มองตามก่อนจะหันกลับมามองหน้าผม

    “ชื่อพี่ปิง ปู่รหัส” ไอ้ไวท์บอก ที่แท้ก็สายรหัส แต่พี่คนนี้เป็นถึงปู่แต่ก็ยังทักทายและดูสนิทสนมกันดี ผมเชื่อแล้วล่ะครับว่าพวกวิศวะมันรักกันเหมือนพี่น้องจริงๆ

    “อ่าหะ” ผมพยักหน้า

    “เดี๋ยวมา” ว่าจบไอ้ไวท์มันก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามไอ้พี่ปิงอะไรของมันนั่นไป แต่เดี๋ยว! ไอ้พี่ปิงนั่นขึ้นไปบนเวทีไม่ใช่เหรอ ส่วนไอ้ไวท์ก็ขึ้นตามไปแถมยังรับกีตาร์จากใครก็ไม่รู้นั่นมาคล้องคอก่อนจะคุยอะไรกันไม่รู้สองคนกันกับไอ้พี่ปิง

    “สวัสดีครับ” ไอ้พี่ปิงพูดใส่ไมค์ อย่าบอกนะว่าเขาเป็นนักร้องแล้วไหนว่าเรียนวิศวะไงวะ?

    “วันนี้ผมได้รับเกียรติจากมือกีตาร์สุดหล่อมาร่วมเล่นเปิดนะครับ” พูดแค่นั้นเสียงกรี๊ด เสียงปรบมือและเสียงแซวก็ดังขึ้นเพื่อต้อนรับศิลปิน(?) “เพลงนี้มือกีตาร์รับเชิญของเราเป็นคนรีเควสมานะครับ”
 
    เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เสียงอินโทรกีตาร์จากการเล่นของไอ้ไวท์จะดังขึ้น นี่ไม่คิดเลยนะว่าคนเนิร์ดๆแบบมันจะมีความสามารถอะไรแบบนี้ด้วยอ่ะ

    “หัวใจเต้นแรงหน้าแดงทุกที

    ใช่เธอหรือนี่ที่คอยตลอดมา...”


    เสียงของพี่ปิงดีมากเลย อาจจะไม่ได้เหมือนเจ้าของเพลง แต่วิธีการร้องของเขาโคตรเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเลย ยิ่งมาร้องคู่กับเสียงโซโลกีตาร์สดๆแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งดีขึ้นไปใหญ่

    “ควบคุมไม่อยู่รู้เลยว่าตัวสั่น
    แค่เจอไม่นานถูกใจฉันเหลือเกิน..
    เจอกันแล้วอย่าผ่านเลยได้ไหม
    ถ้าเสียเธอไปก็คงชอกช้ำ”


    ผมเผลอไปสบตาเข้ากับไอ้คนที่เล่นกีตาร์อยู่บนเวที ซึ่งคิดว่ามันมองลงมาอยู่ก่อนแล้ว แถมมองผมตาไม่กระพริบด้วย และอยู่ๆผมก็เกิดอาการร้อนๆขึ้นมา ราวกับว่าสายตาของมันที่มองลงมานั้นแผดเผาผมอย่างกับไฟลนเทียน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะละลาย..

    “ฉันต้องทำทำอะไรสักอย่างแล้ว
    ให้เธอนี้ไม่แคล้วไม่คลาดกัน
    ให้เธอรู้ตัวมีคนคนอย่างฉัน
    แอบมองเธออยู่ตรงนี้
    รอคอยเธอตรงนี้ฉันนี่ไง”


    แม้ว่าเสียงของพี่ปิงจะดีมากก็ตาม แต่ผมก็ไม่สามารถละสายตาจากคนที่ผมสบประสานอยู่เพื่อไปมองคนร้องได้เลยแม้แต่น้อย

    “ต้องทำเช่นไรให้เธอหันมา
    ให้เธอรู้ว่ามีคนเขาสนใจ
    เจอกันแล้วอย่าผ่านเลยได้ไหม
    ถ้าเสียเธอไปก็คงชอกช้ำ...”


    เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งเมื่อเพลงจบลง คนที่ผมมองอยู่ลุกขึ้นก่อนจะถอดสายสะพายกีตาร์แล้วส่งคืนให้กับคนที่มันรับมาก่อนหน้านี้ ไอ้ไวท์มันโค้งหัวให้คนฟังอีกครั้งก่อนจะเดินตรงดิ่งกลับมาที่ผม

    “ขอบคุณมือกีตาร์สุดหล่อของเราวันนี้ครับผม” เสียงพี่ปิงดังขึ้นอีกครั้งก่อนจะเริ่มเล่นเพลงต่อไปเพื่อขับกล่อมบรรดาลูกค้าทั้งหลายที่มาดื่มด่ำกับบรรยากาศและอาหารเลิศรส

    “อาหารมาแล้วทำไมไม่กินล่ะ?” ไอไวท์กลับลงมานั่งลงตรงหน้าผมก่อนจะตักปลาทอดใส่จานมาให้ผม ไม่คิดเลยนะว่านิ่งๆแบบมันก็กล้าแสดงออกต่อหน้าคนเยอะๆเหมือนกัน



TBC
ขอบคุณคอมเม้นต์ และขอบคุณที่รักเค้กกับไอซ์นะครับ รักน้อยๆ แต่รักนานๆ นะครับ
คอมเม้นต์กันด้วยนะครับผม

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

เค้กคือเนียนมาก
ไอซ์ยังมึนอยู่ 55

ออฟไลน์ Cakewhans

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • ' Puzzle
8 Cake : Talk

    เมื่อคืนเป็นอีกคืนหนึ่งที่ไอซ์มานอนกับผมที่คอนโด หลังจากกินข้าวเสร็จก็พากันกลับ ถามแล้วว่าจะให้ไปส่งที่ไหนแต่เจ้าตัวกลับบอกว่าไม่อยากกลับบ้าน ไม่รู้ว่าที่พูดแบบนั้นคือเปิดโอกาสให้ผมหรือเปล่า?

    เมื่อวานที่ผมพูดไปน่ะ ผมหมายความแบบนั้นจริงๆนะ ไอซ์ดูงงพอสมควรที่อยู่ๆผมก็โผล่ไปรับที่สนามบินได้ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที ซึ่งความจริงแล้วเมื่อวานผมเองก็อยู่ที่สนามบินเหมือนกันต่างหาก พอดีว่าพ่อต้องไปสัมมนาที่ต่างประเทศแม่เลยบังคับให้ผมขับรถไปส่ง ความจริงคนขับรถที่บ้านก็มีแต่แม่ก็ให้เหตุผลว่าผมควรจะใช้เวลากับพ่อบ้าง คือผมกับพ่อเราไม่ค่อยชอบคุยกันสักเท่าไหร่ ซึ่งจริงๆมันไม่ได้มีอะไรหรอกเราแค่ต่างคนต่างเงียบ บางทีการที่ผมพูดน้อยอาจจะเพราะว่าได้พ่อมาก็ได้ แต่แม่ก็คือแม่ เขากลัวว่าผมจะห่างเหินกับพ่อเกินไปเลยพยายามหาจังหวะและโอกาสให้ผมได้ใช้เวลากับพ่อให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

    ตอนนี้เจ็ดโมงครึ่งแล้วแต่คุณชายน้อยยังไม่ตื่น เมื่อคืนเห็นบอกว่ามีเรียนตอนเก้าโมงครึ่ง อีกสักพักค่อยไปปลุกให้มาอาบน้ำก็แล้วกัน เพราะเมื่อคืนเจ้าตัวดูว่าง่ายนิดหน่อย ผมลองเอาโจทย์เลขให้ทำก็ทำแต่โดยดี ไม่ได้อิดออดอะไร มีผิดบ้างแต่ก็ดูตั้งใจกว่าทุกทีเวลาผมอธิบายอะไร อันไหนที่ไม่เข้าใจก็ถาม นับว่าเป็นการพัฒนาที่ดี และดูเหมือนว่าคงจะมีอะไรอยู่ในใจอยู่ไม่น้อย ก็ตั้งแต่ที่ปิดมือถือเมื่อวานนั้นมาจนตอนนี้เจ้าตัวยังไม่ได้เปิดเลย ผมไม่รู้นะว่าจะมีปัญหาอะไรกับที่บ้านหรือเปล่าที่อยู่ๆก็ตัดขาดแบบนี้

    ผมเมสเสจไปถามไอ้ไวท์เมื่อคืนว่าทางบ้านไอซ์ติดต่อหรือถามอะไรมาหรือเปล่า คำตอบที่ได้จากน้องมันคือไม่มี ผมก็ไม่รู้นะว่าที่บ้านนี้เขาเลี้ยงลูกกันมายังไง แต่ก็แอบกังวลอยู่หน่อยๆเพราะดูจากทรงแล้วน่าจะไข่ในหินพอสมควร

    “ทำไมไม่ปลุกกูล่ะ?” ไอซ์เดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับหาววอดๆ

    “กำลังจะไป”

    “ไม่ทันละ”

    “ไปล้างหน้าแล้วมากินข้าว” ผมบอกก่อนจะเดินผละเข้าไปในครัวเพื่อหาอะไรง่ายๆให้เด็กกิน เป็นต้นว่าเอาอาหารแช่แข็งในตู้เย็นมาอุ่น

    “ปกติกูไม่กินอาหารพวกนี้” ไอซ์ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มหลังจากที่เข้าไปล้างหน้าแปรงฟันออกมาแล้ว

    “มีแค่นี้”

    “จริงๆกูก็ไม่ได้เรื่องมากหรอกที่บ้านกูต่างหากที่เรื่องเยอะ” ถึงปากจากพูดแบบนั้นก็เถอะแต่สายตาเหม่อลอยมาก ผมเริ่มเป็นห่วงจริงๆแล้วล่ะสิไม่รู้ว่าข้างในนั่นเก็บงำอะไรไว้บ้าง ไม่รู้ว่าเคยระบายอะไรออกมาบ้างไหม

    “แล้วจะปิดมือถือแบบนี้ไปตลอด?” ผมลองหยั่งเชิง

    “...”

    “อย่างน้อยก็น่าจะให้เขารู้ว่ายังปลอดภัย” ผมพูดบอกอีกเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเงียบ

    “นี่มึงไปเป็นพ่อกูตั้งแต่เมื่อไหร่” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังดีที่หยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดเปิด “เผื่ออ้อโทรมาบอกว่าวันนี้งดเซค”

    “หึ..”


    Truuuu…. นี่ขนาดเพิ่งกดเปิดเครื่องนะเนี่ย ไอซ์มองหน้าผมเซ็งๆก่อนจะกดรับสาย

    “...”

    ผมไม่ได้ยินว่าปลายสายพูดว่าอะไร หลังจากที่ไอซ์กดรับสายแล้วแต่ไม่ได้พูดอะไร สักพักสีหน้าเจ้าตัวก็เริ่มเปลี่ยน คิ้วเริ่มขมวดก่อนจะเปล่งวาจาออกไป

    “โตแล้ว ไม่ต้องห่วงขนาดนั้นก็ได้ แค่ไม่ได้กลับบ้านไม่ได้ตายสักหน่อย”

    “...” ผมเงียบ

    “ครีมจะร้องไห้ทำไมไม่ได้มีใครตายสักหน่อย เดี๋ยวกลับเอง แล้วจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ทำไม ทีบ้านอื่นเขาไม่เห็นต้องตาม
อะไรขนาดนี้เลย รู้แล้วแค่นี้” ไอซ์กดตัดสายซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสายจากพี่สาว

    “...” ผมยังคงเงียบไม่คิดจะเซ้าซี๊หรือซักอะไร ถ้าไอซ์อยากเล่าเดี๋ยวก็คงพูดเอง แต่ไม่ทันที่จะได้พูดหรือเล่าอะไรโทรศัพท์ในมือของไอซ์ก็มีคนโทรเข้ามาอีก

    Truuuu….

    [เดี๋ยวนี้ชักจะทำตัวเหลวไหลแล้วนะไอซ์!] คราวนี้ผมได้ยินเสียงจากปลายสายชัดเต็มสองหูเลย ท่าทางโมโหอยู่ไม่น้อย

    “พ..พ่อ”

    [คิดว่าเรียนมหาลัยแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ แล้วทำไม่กลับบ้านรู้ไหมว่าทำคนอื่นเขาเดือดร้อนกันไปหมด]

    “...” ไอซ์นิ่งเงียบ

    [ทำตัวให้มันดีๆหน่อย]

    “ถ้าพ่อจะโทรจากอเมริกามาเพื่อด่าก็วางไปเถอะ” ไอซ์น้ำตาไหล.. แต่ใจผมกระตุกวูบ

    [อย่ามาทำนิสัยเสียแบบนี้ใส่พ่อ!]

    “ไอซ์จะทำอะไรก็ผิดหมดนั่นแหละ” ไอซ์ใช้หลังมือปาดน้ำตาให้ตัวเองลวกๆ

    [รู้ตัวว่าผิดก็ต้องทำให้ถูก รู้ไหมว่าแม่...เป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเนี่ย]

    “เหรอครับ มีคนเป็นห่วงไอซ์จริงๆด้วยเหรอ?”

    [ไอซ์!!!!] ปลายสายตะคอก

    “ผมแค่ถาม เพราะมันเคยมีครั้งไหนบ้างเหรอที่พ่อกับแม่โทรมาหาผมแล้วถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอ่ะ บอกคิดถึงสักคำยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ โทรมาก็ถามแต่คำถามเดิมๆ เงินพอใช้มั้ย อยากได้อะไรหรือเปล่า มีครั้งไหนบ้างไหมที่พ่อหรือแม่ถามไอซ์ว่ากินข้าวรึยังอ่ะ”

    [อย่ามายอกย้อนพ่อนะไอซ์!]

    “...”

    [กลับบ้านซะ พี่ครีมเขาเป็นห่วง]

    “..หึ แล้วพ่อล่ะครับ พ่อห่วงไอซ์บ้างไหม?” ว่าจบเจ้าตัวก็ปาโทรศัพท์ยี่ห้อดังลงพื้นอย่างแรงโดยไม่นึกเสียดายมันแต่อย่างใดก่อนจะทรุดตัวลงนั่งร้องไห้ต่อหน้าต่อตาผมอย่างไม่อาย หน้าจอโทรศัพท์แตกร้าวพร้อมกันกับที่สัญญาณของมันหายไป ไอซ์คงจะถึงที่สุดแล้วจริงๆ

    ผมเข้าไปนั่งข้างๆก่อนจะดึงอีกคนเข้ามาในอ้อมกอด ไม่ได้พูดอะไรออกไป ในเวลาแบบนี้คงไม่มีคำพูดปลอบประโลมใดๆดีไป
กว่านี้อีกแล้ว อ้อมกอดผมอาจจะไม่อบอุ่นเท่าพ่อแม่หรือของคนที่เขาต้องการ แต่ผมคิดว่าผมพร้อมแล้ว ที่จะเป็นอ้อมกอดให้เขา..ในเวลาที่เขาต้องการใครสักคนอยู่เคียงข้าง

    ไม่คิดเลยว่าคนที่ยิ้มเก่งแต่ไม่ค่อยรู้ตัวแบบไอซ์ก็มีมุมอ่อนแอแบบนี้เหมือนกัน จากที่ได้ยินที่คุยกันเมื่อกี้ก็พอจะเดาได้บ้างว่าไอซ์โตมายังไงและถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาไอซ์มีความสุขไหม คนๆนี้ใช้ชีวิตอยู่ยังไงให้มีความสุขโดยที่ไม่มีพ่อกับแม่อยู่เคียงข้าง คงจะต้องอดทนมามากแน่ๆ ใครจะรู้ว่าความจริงแล้วน้ำแข็งก้อนนี้ก็แข็งแกร่งอยู่เหมือนกัน แต่ก็เป็นธรรมดาของน้ำแข็งอีกนั่นแหละ เมื่อเจอสภาพแวดล้อมภายนอกแล้วยังไงมันก็ย่อมต้องละลาย

    ผมปล่อยให้ไอซ์ร้องไห้ไปเรื่อยๆโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดๆออกมา แต่ผมเลือกที่จะนั่งอยู่ข้างๆแบบนั้นไปจนกระทั่งเขาหยุดร้องไปเอง เรานั่งกอดกันอยู่เงียบๆจนเวลาล่วงเลยมาจวนจะสิบโมงแล้วข้าวปลาก็ไม่ได้กิน คิดว่าไปเรียนตอนนี้ก็คงไม่ทันสำหรับผมไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะเป็นวิชาเลือกหน่วยกิตไม่เยอะ หรือเรียกง่ายๆว่าไม่สำคัญนั่นเอง แต่กับไอซ์ผมไม่รู้ว่าเช้านี้เขาเรียนวิชาอะไร วิชาแกนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เป็นห่วงอยู่เหมือนกันแต่ดูจากอาการแล้วสภาพนี้ไม่น่าจะทำอะไรไหว

     “ล้างหน้านะ เดี๋ยวเค้.. พาไป” ผมมักจะแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นกับ พาย เสมอ พายเป็นน้องชายน่ะ ตอนนี้อยู่ม.หกแล้ว ไอซ์ตอนนี้เหมือนกับเจ้าชายตัวน้อยๆเลย มันเลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่าไอซ์เหมือนพายตอนเด็กๆไม่มีผิดเลย ชอบร้องไห้แล้วให้ผมคอยปลอบอยู่แบบนี้

    “อื้อ..” ไอซ์พยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินตามผมเข้าไปในห้องน้ำ อาการลอยๆของไอซ์แบบนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงเลยล่ะ ปกติมักจะชอบถามนั่นนี่ไม่ก็กวนตีนผมเล่น แต่ไอซ์ที่เงียบขรึมและซึมเทราแบบนี้ผมไม่ชินเลย ไม่ชอบด้วย!

    ชอบให้ยิ้มมากกว่านะ

    ไอซ์เปิดก๊อกเพื่อล้างหน้า แต่เหมือนเอาน้ำลูบหน้าไปให้มันเสร็จๆเสียมากกว่า ผมเลยหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่เตรียมไว้ให้มาเช็ดหน้าให้เอง เสร็จแล้วก็จูงมือมานั่งที่โซฟาแล้วรีบไปเอาน้ำแข็งที่เขาชอบมาให้เผื่อว่าอาการจะดีขึ้นมาบ้าง

    “อ่ะ” ผมส่งแก้วให้

    “กูเป็นลูกที่แย่มั้ยวะ ไวท์” ไอซ์รับแก้วไปถือไว้แล้วหันมาถามผมน้ำเสียงจริงจังแต่ทว่าแผ่วเบา

    “ทุกการกระทำมันมีเหตุผลของตัวมันเอง” ผมนั่งลงข้างๆ “พ่อแม่เขาก็มีเหตุผลของเขา ขนาดตัวไอซ์เองยังมีเหตุผลของตัวเองเลย ในเมื่อต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล แต่กลับไม่ได้คุยกันต่างหากล่ะที่แย่”

    “...”

    “ถ้ามีโอกาสก็ลองหันหน้าคุยกันแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น” ผมเชื่อแบบนั้นนะ

    “คงมีวันนั้นหรอกนะ อาจจะชาติหน้า..” นอกจากจะขี้น้อยใจแล้วยังจะขี้ประชดอีกนะ ผมเอื้อมมือไปขยี้หัวคนข้างๆด้วยความ
เอ็นดู ไอซ์ดูจะหงุดหงิดนิดหน่อย แบบนี้สิค่อยเป็นตัวเองหน่อย

    “หึๆ”

    “เป็นบ้าหรือไงมึง ไม่เห็นเหรอว่ากูเศร้าอยู่” ว่าพลางจัดทรงผมตัวเองให้เข้าที่

    “เห็น..” ผมมองคนตรงหน้าที่ตอนนี้นัยน์ตายังคงแดงอยู่เล็กน้อยแต่ทว่าดวงตาเริ่มบวมแล้ว แสดงว่าร้องไห้เก่งไม่เบา แต่อาจจะเป็นไปในลักษณะแอบร้องไห้คนเดียวซะมากกว่า


    สายตาของเราสบประสานกันตรงๆอีกครั้ง มีหลายๆอย่างที่ผมอยากจะพูดบอกเหมือนกันแต่มันก็ติดตรงที่เราเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน เกิดพูดอะไรออกไปแล้วจากที่ควรจะได้ใกล้กันมากกว่านี้อาจจะกลายเป็นว่าต้องห่างกันออกไปอีกก็ได้ อีกอย่างไอซ์เองก็คงจะยังไม่เคยมีแฟน ยิ่งแฟนที่เป็นผู้ชายแล้วคงไม่ต้องพูดถึงเลย ผมต้องให้เวลาเขาก่อน ไอซ์ไม่เหมือนกับผมที่เคยมีแฟนมาแล้ว..

    แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็มีข้อดีอย่างหนึ่งนะ คือมันทำให้ผมได้เห็นและรู้จักไอซ์ในอีกมุมหนึ่งที่คิดว่าคนอื่นคงไม่มีโอกาสได้เห็น ซึ่งมันทำให้ผมได้เปรียบ เพราะผมรู้ว่าต้องเข้าหาเขาในรูปแบบไหน อาจจะดูเจ้าเล่ห์อยู่บ้างที่ใช้จุดอ่อนของอีกคนมาทำให้ตัวเองได้เร่งทำคะแนน แต่ถ้าดูเลวในสายตาคนอื่นแล้วผมได้เข้าไปนั่งอยู่ในใจคนๆนี้ก็นับว่าคุ้มครับ ผมอยากดูแลไอซ์แล้ว..

    ไม่ว่าด้วยอะไรก็ตามรู้ตัวอีกทีตอนนี้ผมโน้มหน้าเข้ามาหาไอซ์จนเกือบจะชิดกันอยู่แล้ว แต่ไอซ์ก็ไม่ได้หลบหลีกแต่อย่างใด นั่นยิ่งทำให้ผมได้ใจ ผมทาบทับริมผีปากของตัวเองให้จรดเข้ากับกลีบปากงามตรงหน้า.. ไอซ์หลับตาพริ้มแต่ทว่าหน้าแดง ผมไม่ได้รุกล้ำอะไรแต่ก็นิ่งอยู่อย่างนั้นไว้นานพอสมควร ทุกอย่างมันนิ่งค้างราวก็โลกทั้งใบกำลังหยุดหมุนเพื่อให้ผมได้ฉกฉวยโอกาสที่มีได้อย่างเต็มที่

    ผมผละออกอย่างอ้อยอิ่งแล้วสบตากับคนตรงหน้าอีกครั้ง คราวนี้เป็นไอซ์ครับที่หลบสายตาของผม ไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไงแต่ก็คงจะสับสนอยู่ไม่น้อย.. จูบกับไอซ์มันเหมือนผมกำลังละเอียดกินน้ำแข็งรสหวานพอกินไปแล้วก็ติดใจอยากจะหยิบเข้าปากอีกอย่างไม่รู้จักเบื่อ

    เราไม่ได้พูดอะไรกันต่างปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของห้องผมดังขึ้นมันทำลายบรรยากาศและความเงียบได้ดีทีเดียวแหละ ผมลุกขึ้นและเดินไปยังต้นตอของเสียงเพื่อที่จะรับสาย แต่ผมคงเดินช้าไปหรือไม่ก็คนที่โทรมาคงจะใจร้อนตัดสายไปเสียก่อน

    “หิวมั้ย?” ผมเดินกลับมาถาม

    “...” ไอซ์ไม่ตอบแต่ส่ายหน้าให้ผม ความเงียบในครั้งนี้เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นเพราะจูบเมื่อกี้มากกว่าเรื่องที่บ้านแน่ๆเพราะแอร์ห้องผมก็ทำงานอยู่จะว่าร้อนก็คงไม่ใช่ ผมว่าสีแดงๆที่แก้มนั่นน่าจะเป็นเพราะผมมากกว่า

    ผมจัดการเอาข้าวกล่องใหม่ออกมาอุ่นให้ไอซ์ใหม่ ถึงจะบอกว่าไม่หิวก็ต้องกินแหละ เกิดปวดท้องขึ้นมาจะทำยังไง พอจัดการตรงนี้เสร็จแล้วผมก็ยกมาวางไว้รอก่อนจะไปตามเจ้าตัวมานั่งกินดีๆ ไอซ์เดินตามผมมาอย่างว่าง่าย แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรออกมาก็ตาม
 
   สายตาของไอซ์มองทอดไปยังโทรศัพท์ที่เขาปามันทิ้งก่อนหน้านี้แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ คงเป็นครั้งแรกสินะที่ทำอะไรแบบนี้ลงไป
 
   “ถ้าไม่อยากกลับก็อยู่นี่”
 
   “แต่..”

    “ไว้พร้อมแล้วจะไปส่ง” ผมยิ้มให้ ไม่บ่อยหรอกที่ผมจะยิ้มแต่ครั้งนี้อยากให้กำลังใจ

    “ขอบใจนะ” ไอซ์บอก “มึงเป็นเพื่อนที่ดีมากสำหรับกูเลยนะไวท์”

    “ถ้าอยากเป็นมากกว่าเพื่อนล่ะ?”

    “...”

    “...” ไอซ์เงียบ ผมเงียบ

    “กู..” ไอซ์เหมือนลังเลที่จะพูด “กูไม่ได้เป็นเกย์เหมือนมึงนะโว้ย ฮ่าๆๆ”

    “หึ..” ต้องให้เวลามากกว่านี้จริงๆนั่นแหละ ตลกกลบเกลื่อนไม่เนียนเลยนะครับน้องไอซ์

    “แต่เรายังเป็นเพื่อนกันได้ใช่มั้ยเพราะกูยังต้องขออาศัยอยู่กับเพื่อนอย่างมึงอยู่นะ”

    “อืม” ผมพยักหน้าให้เจ้าตัวถึงยิ้มออก แบบนี้สิค่อยคุ้นตาหน่อย

    นั่งกินข้าวได้สักพักเสียงออดหน้าประตูก็ดังขึ้น ผมกำลังจะลุกไปเปิดแต่แขกผู้มาเยือนกลับเปิดประตูเข้ามาเองเสียก่อน และมี
ไม่กี่คนหรอกที่จะทำแบบนั้นได้

    “นิว” ผมร้องเรียกน้องรหัสตัวเองส่วนมันยกมือไหว้พร้อมกับมองหน้าไอซ์กับผมสลับกันไปมา

    “โทรมาไม่รับอ่ะ”

    “สงสัยลืมเปิดเสียง”

    “นิวไม่รู้ว่าพี่มีแขก..” น้องรหัสผมพูดบอกพร้อมกับมองหน้าไอซ์ไปด้วย ส่วนคนที่ถูกมองก็คงจะงงอยู่ไม่น้อย แถมสีหน้าก็เริ่มแปลกๆไป

    “ไหนว่ามึงเป็นเกย์ไง?” เสียงผะแผ่วดังออกมาจากริมฝีปากของไอซ์ “..แล้วทำไมถึงมีผู้หญิงมาหาได้ถึงห้อง?”

    “ไม่ใช่แบบนั้นนะไอซ์” ไวเท่าความคิดผมรีบบอกก่อนที่เขาจะคิดเองเออเอง

    “แล้วเมื่อกี้คือเหี้ยไรวะ?” สีหน้าของไอซ์ดูผิดหวังสุดๆ ก่อนจะผลุนผลันออกไป

    “ไอซ์!!!” ผมเรียก “ไอซ์เดี๋ยวก่อน”

    “นิวขอโทษนิวไม่รู้ นิวขอโทษค่ะพี่เค้ก” นิวยกมือไหว้ขอโทษขอโพยผมปะหลกๆ

    “อืม” ผมพยักหน้าแล้วหยิบกุญแจรถ “ฝากปิดห้องให้ด้วย” ผมพูดแค่นั่นก็วิ่งตามออกไปเลย ไอซ์น่าจะไปไหนได้ไม่ไกลเพราะขึ้นรถไม่เป็น อย่างมากก็ต้องลงมาเรียกแท็กซี่ข้างล่างนี่ก่อน ผมตัดสินใจตรงดิ่งไปที่ลานจอดรถก่อนจะขับออกไปตามหาไอซ์

    “เด็ก..” พอนึกถึงหน้าไอซ์แล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ แล้วยิ่งประโยคที่เขาพูดออกมาเมื่อกี้นี่อีก ‘ไหนว่ามึงเป็นเกย์ไง’ แล้วก็ ‘แล้วเมื่อกี้คือเหี้ยไรวะ’ อีก ซึ่งอันนี้ก็คงจะหมายถึงจูบ.. แล้วไหนจะท่าทางไม่พอใจที่เห็นไอ้นิวนั่นอีก นอกจากจะเป็นเด็กขี้น้อยใจแล้วยังเป็นเด็กขี้กลัวอีกด้วยนะ ความจริงแล้วไอซ์เปราะบางมาก

    ผมว่าเขาแค่กลัวว่าตัวเองจะไม่มีใครรักน่ะ...


TBC
เค้กไอซ์มาเสิร์ฟแล้วคร๊าบบ  แฮชแทกในทวิตเตอร์คือ #CakeIce2018 นะครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ

ออฟไลน์ Cakewhans

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • ' Puzzle
9 Ice : Talk

    บอกคนอื่นว่าตัวเองเป็นเกย์แถมยังเพิ่งจะ...เพิ่งจะจูบกันไปด้วย คือมันเพิ่งเกิดขึ้นเลยนะ แต่ดันมีผู้หญิงโผล่มาหาถึงห้องอ่ะ แบบนี้มันหมายความว่ายังไงวะ? แล้วผมผิดมั้ยที่มีอาการหัวใจเต้นแรงในตอนนั้นน่ะ จูบนั่น จะว่าเป็นจูบแรกก็ได้ ผมไม่เคยทำแบบนี้กับใครใจก็ต้องเต้นแรงเป็นธรรมดาถูกไหม?

    หรือผมจะเป็นเกย์?

    คนเรามันจะเป็นเกย์เพียงเพราะว่าแค่จูบกับผู้ชายด้วยกันเองแค่นั้นน่ะเหรอ?

    บอกตรงๆ ผมไม่รู้ว่ะ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตอนนี้ผมโมโหหรือหงุดหงิดอะไรไอ้ไวท์มันกันแน่ กับไอ้แค่มีผู้หญิงมาหามันที่ห้องเนี่ยน่ะเหรอ? แล้วผมจะหงุดหงิดทำไมในเมื่อผมกับมันไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย และตอนนี้ผมก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองวิ่งหนีอะไรมา แล้วออกมาแล้วจะไปไหนต่อ ณ จุดๆนี้มันเคว้งนะ ทะเลาะกับที่บ้านไม่พอยังจะมาไม่พอใจไอ้ไวท์ที่ซึ่งเป็นเหมือนคนที่ผมพอจะพึ่งพาได้อีก มันเหมือนเราโดนคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้าให้จังๆแล้วไม่มีที่ยึดเหนี่ยวอ่ะ เหมือนผมลอยโง่ๆอยู่กลางทะเลเลย..

    มือถือก็พัง กระเป๋าตังค์ก็ไม่ได้เอามา ผมจะแก้ปัญหาตรงนี้ยังไงดี? ถ้าผมจัดการตรงนี้ไม่ได้ก็เท่ากับว่าผมยังไม่โตจริงมั้ย? แต่ทุกอย่างต้องมีครั้งแรก!

    ผมเดินออกไปยังหน้าคอนโดที่มีรถแท็กซี่จอดเรียงกันอยู่อย่างไม่สนใจอะไรเลยว่าที่จอดกันอยู่เนี่ยมันเป็นเลนสำหรับรถวิ่งไม่ใช่เลนไว้สำหรับจอดรอผู้โดยสาร แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เลือกที่จะใช้บริการอยู่ดี ผมเปิดประตูด้านหลังคนขับแล้วนั่งลงไป ตั้งใจว่าพอกลับไปถึงคอนโดแล้วค่อยเอาเงินให้

    “ไปไหนครับ?” คนขับหันมาถาม

    “คอนโด D สุทธิสาร”

    “พี่กลับมาส่งรถไม่ทัน ไม่ไปหรอกไปคันอื่นเถอะ” น้ำเสียงของคนขับค่อนข้างจะไม่พอใจ นี่ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า “เอ้า ลงไปสิ”

    “ครับๆ” ผมลงจากรถมาแต่โดยดี ทำไมเขาต้องหงุดหงิดด้วย ความจริงแล้วควรจะเป็นผมมากกว่ามั้ยที่จะเป็นฝ่ายโมโหอ่ะ แล้วเขาปฏิเสธผู้โดยสารได้ด้วยเหรอ? ความจริงผมก็อยากจะถามอยู่หรอกนะแต่หน้าตาพี่เขาน่ากลัวเกินกว่าจะต่อล้อต่อเถียงด้วยอ่ะ เพราะฉะนั้นไปคันใหม่น่าจะดีกว่า

    “คอนโด D สุทธิสาร” ผมบอก คนขับพยักหน้าให้เท่านั้นไม่ได้พูดอะไร นั่นก็เท่ากับว่าเขาตกลงกลายๆสินะ

    ตลอดระยะเวลาที่นั่งรถมา ยอมรับครับว่าอึดอัดมาก ปกติไปไหนมาไหนก็มีคุณมิตรไปรับ-ส่งตลอด ถึงแม้จะไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนักแต่ก็ไม่อึดอัดเท่านี้ อาจจะเพราะเวลานั้นผมมักจะมีอะไรทำมั้ง อย่างเช่น เล่นมือถือ หรือฟังเพลงอะไรทำนองนี้ ไปกับไอ้ไวท์ผมก็ยังมีคนคุยด้วยไงแม้มันจะถามคำตอบคำก็เถอะ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันปล่อยให้ผมพูดคนเดียวแต่อย่างใด

    ผมไม่รู้ว่าไอ้ไวท์มันตามผมออกมามั้ย บางทีตอนนั้นมันอาจจะแค่เรียกผมไว้ตามมารยาทเท่านั้น แต่พอผมออกมาแล้วมันก็คงจะใช้เวลาอยู่กับเด็กมันล่ะมั้ง แล้วนี่ผมจะหงุดหงิดเรื่องไอ้นี่ทำไมเนี่ย ตอนนี้ผมควรจะคิดมากกว่าว่าจะคุยกับครีมยังไง หรือว่าวิชาตอนบ่ายนี่มีควิซหรือเปล่า จะไปเรียนทันมั้ย? อะไรแบบนี้น่าจะเข้าท่ากว่ากันเยอะ แม้ว่าความจริงแล้วตอนนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะเจอใครก็เถอะ แต่การไปเจอเพื่อนมันก็น่าจะดีกว่าเจอหน้าครีมไม่ใช่เหรอ

    “รอแป๊บนะครับ พอดีผมไม่มีเงินสด” ผมบอกพร้อมกับเปิดประตูลงรถ

    “เบี้ยวเหรอวะ” น้ำเสียงของคนขับฉุนเฉียวใช้ได้

    “ไม่เบี้ยว รอแป๊บครับ” ผมรีบวิ่งไปที่ยามตรงป้อมหน้าคอนโดเพื่อขอยืมเงินเขามาจ่ายค่าแท็กซี่ก่อน ซึ่งพี่ยามก็ให้ผมแต่โดยดี อาจจะเพราะว่าจำหน้าผมได้ล่ะมั้ง ครั้งแรกที่ย้ายเข้ามาจำได้ว่าคุณมิตรเคยไปทักทายเขาด้วย
 
   “นี่ครับ” ผมรีบกลับมายังรถแท็กซี่คันเดิมก่อนยื่นแบงค์ห้าร้อยให้

    “ไม่มีทอน น้องไม่มีเศษเหรอ?”

    “ไม่ต้องทอนครับ” ผมบอก แม้ว่าค่าแท็กซี่จะแค่สองร้อยกว่าก็เถอะ พี่คนขับเขาเอ่ยขอบคุณก่อนจะขับออกไป

    ผมกลับขึ้นมายังห้องของตัวเองก่อนจะกดปลดล็อครหัสที่เป็นคนตั้งเองแต่ทั้งบ้านก็รู้รหัสนั่นกันเกือบจะทุกคน อดแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ไม่เจอครีมที่นี่ จะว่าดีใจก็ไม่ใช่เพราะมันเหมือนผมผิดคาดซะมากกว่าจนคล้ายจะเหมือนผิดหวังยังไงยังงั้น มันเหมือนกับว่ามาแล้วจะต้องเจอครีมรอผมอยู่หรืออะไรเทือกๆนั้น แต่กลับกลายเป็นว่า...ว่างเปล่า
 
   “เห้อออออออออ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะสูดเข้าไปใหม่จนเต็มปอดราวกับว่าเรียกกำลังใจให้ตัวเอง แต่ผมก็ยังเป็นผมนั่นแหละ ต่อให้เข้มแข็งต่อหน้าคนอื่นสักเท่าไหร่สุดท้ายก็แอบเก็บเอามาคิดมากและร้องไห้คนเดียวอยู่ดี เวลาแบบนี้ใครจะเข้าใจผมจริงมั้ย?
 
   คงมีแต่แก้มแดงเท่านั้นแหละ ที่อยู่กับผมตลอดเวลาที่ผมรู้สึกแย่..

    แก้มแดงคือตุ๊กตาปิกาจูจากการ์ตูนเรื่องโปเกมอน ซึ่งไอ้เจ้าตัวเหลืองนี่มันน่ารักม้ากมาก เป็นเหมือนตุ๊กตาตัวโปรด จากที่ตอนแรกคิดว่ามันน่ารักเฉยๆแต่ไปมาๆตอนนี้ห้องของผมกลับเต็มไปด้วยเจ้าตัวเหลืองแก้มแดงนี่อย่างกับจะเปิดพิพิธภัณฑ์ปิกาจูได้อยู่แล้ว ทุกมุมของห้องผมจะต้องมีอะไรที่เกี่ยวกับปิกาจูนี่เป็นส่วนประกอบอ่ะ ข้าวของเครื่องใช้ก็เป็นลายแก้มแดงซะส่วนใหญ่ อย่างหมอนอิงที่โซฟานั่นครีมก็เป็นคนซื้อแล้วส่งมาให้ตอนไปประชุมที่ญี่ปุ่น..
 
   ผมปาดน้ำใสๆที่ไหลออกมาไวๆและบอกให้ตัวเองเข้มแข็งและโตได้แล้ว ก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำแล้วหยิบไอแพดที่โต๊ะคอมมาเปิดดู คิดว่าครีมคงเอากลับมาให้ไม่งั้นก็คงจะเป็นคุณมิตรเพราะจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ผมจับก็ตอนอยู่ในรถระหว่างที่ไปรับครีมเมื่อวานนั่นแหละ
 
   ทันทีที่เปิดมาดูก็ต้องตกใจไม่น้อยที่ไลน์ผมมีแจ้งเตือนขึ้นมาเป็นร้อย ไล่ๆดูแล้วก็มีของกลุ่มเพื่อน พวกไอ้พลมันก็คุยกันถึงประเด็นที่อยู่ๆผมก็ติดต่อไม่ได้ ไม่อ่านและไม่ตอบไลน์พวกมัน ผมเลยส่งกลับไปแค่ว่าไม่สบาย นอกนั้นก็มีพี่เบียร์ และ...ไอ้ไวท์

    ของไอ้ไวท์มันมีตัวเลขแจ้งเตือนมาว่ามีสามข้อความและข้อความล่าสุดคือ ‘อ่านแล้วตอบด้วย’ ซึ่งอีกสองข้อความก่อนหน้านั้นคืออะไรไม่รู้ เพราะผมไม่คิดที่จะเปิดอ่าน(ตอนนี้) ส่วนของพี่เบียร์ก็มีเยอะพอสมควร พอเปิดเข้าไปถึงได้รู้ว่าพี่เบียร์ถามถึงเรื่องที่จะทำโปรเจ็คโปสเตอร์โฆษณาส่งอาจารย์
 
   Beer Yananthorn : กว่าไอซ์จะอ่าน
 
   พี่เบียร์ส่งมาทันทีที่ผมเปิดอ่านได้ยังไม่ถึงนาทีและยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรกลับไปด้วยซ้ำ นี่พี่เบียร์เปิดไลน์ไว้ตลอดหรือไงกันนะ?
 
   Prince_ICE : พอดีมือถือผมเสียครับ เพิ่งจะได้จับไอแพดนี่เอง
     Beer Yananthorn : อ๋ออออ
    Beer Yananthorn : แล้วเอาไง ไอซ์จะมาทำงานพร้อมกับพวกพลมั้ย พี่ว่างพอดีเลยจะไปช่วยดูให้ ได้ข่าวว่าเทอมนี้จารสิงห์แกเปลี่ยนแนว
 
   Prince_ICE : ใช่เลยยยย คราวนี้เหมือนว่าจะให้ลงดีเทลกว่ารุ่นก่อนๆ โคตรซวยอ่ะ
 
   Beer Yananthorn : เดี๋ยวพี่ช่วยไง
 
   Prince_ICE : เกรงใจจจจจ 55555
 
   Beer Yananthorn : เกรงใจอะไรกัน อย่าคิดมาก พี่เต็มใจช่วย
    Beer Yananthorn : อีกอย่างรีบปิดงานแล้วส่งก่อนจะได้เปรียบนะ จารจะได้ไม่ต้องเอางานเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
 
   Prince_ICE : *สติ๊กเกอร์หัวเราะ*
 
   Beer Yananthorn : งั้นตกลงตามนี้นะ ไอซ์อยู่ไหนแล้วอ่ะ ให้พี่ไปรับมั้ยจะได้ไปมอพร้อมกัน เดี๋ยวพี่จะไปแวะรับเพลงด้วย
 
   เอาไงดีนะ? เกรงใจพี่เบียร์ก็เกรงใจ แต่ถ้าจะให้คุณมิตรไปส่งผมก็ไม่โอเค ส่วนจะให้ขึ้นแท็กซี่อีกก็..เอาไว้ก่อนได้มั้ย เดี๋ยวค่อยขึ้นเวลาที่อารมณ์ปกติกว่านี้น่าจะดีกว่า
 
   Prince_ICE :  งั้นรบกวนด้วยนะครับ    
 
   นัดแนะสถานที่กับพี่เบียร์แล้วก็รีบไปเตรียมของ วันนี้ผมแบกกล้องของตัวเองไปด้วย ส่วนรีเฟคและอุปกรณ์อื่นๆค่อยไปยืมใช้ที่คณะเอา แม้ว่าอุปกรณ์การถ่ายภาพของผมเองก็มีประหนึ่งเป็นสตูฯขนาดย่อมๆได้ก็เถอะ เพราะถึงยังไงพวกไอ้พลมันก็จองห้องสตูฯไว้อยู่แล้วจะขนไปขนมาให้ลำบากทำไมล่ะ ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบของที่คิดว่าจะต้องใช้ในวันนี้ก่อนจะออกไปรอพี่เบียร์ที่หน้าคอนโดโดยไม่ลืมที่จะหยิบเงินลงไปคืนพี่ยามด้วย
 
   ทันทีที่ลงมาก็เห็นว่ามีรถคันหนึ่งจอดรออยู่ก่อนแล้ว ซีวิคสีขาวแต่งแม็คอย่างสวยอ่ะ มองเข้าไปก็เห็นแล้วล่ะว่าเป็นพี่เบียร์ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวคงจะกลัวว่าผมไม่รู้ถึงได้ลดกระจกลงแล้วโผล่หน้าออกมาโบกไม้โบกมือเรียก ผมเดินเอาเงินไปให้พี่ยามก่อนจะเดินขึ้นรถของพี่เบียร์ ขณะเดียวกันนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็น BMW คันคุ้นตาขับมาจอดด้านหลังพอดี แอบใจเต้นแรงอยู่นิดหน่อยแต่คงจะเป็นเพราะอากาศร้อนและผมเพิ่งจะเดินมาเสียมากกว่าถึงได้มีอาการแบบนี้
 
   “รอนานมั้ยครับ” ผมยกมือไหว้ก่อนจะดึงเบลท์มาคาด “ขอโทษที่ต้องรบกวนนะครับ”

    “เรื่องเล็ก” พี่เบียร์ยิ้ม
 
   “รีบไปกันดีกว่าครับ” ผมบอกเมื่อเห็นว่ารถคันข้างหลังยังจอดอยู่จากการที่มองดูทางกระจกด้านข้าง

    “ครับ” พี่เบียร์พยักหน้าก่อนจะออกรถ “ไอซ์กินอะไรมายัง?”

    “เรียบร้อยแล้วครับ” ผมโกหกแต่พี่เบียร์ก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่พยักหน้าให้เท่านั้น จนกระทั่ง..

    “เห้ย! ไอ้เชี่ยนี่มันจะรีบไปตายที่ไหนวะ ไฟไหม้บ้านมึงรึไง” พี่เบียร์บ่นที่อยู่ๆรถยี่ห้อดังที่ตามหลังมาก็ขับแบบตีนผีกระชากแล้วแซงไปอย่างกับโกรธเคืองใครมาอย่างนั้นแหละ

    “ช่างเถอะครับ ฮ่าๆๆๆ”

    “ไอซ์เป็นอะไรรึเปล่า?” นี่ผมออกอาการมากไปเหรอ?

    “ปกติครับ” ผมปัดก่อนจะเลี่ยงประเด็น “ว่าแต่เราต้องไปรับพี่เพลงที่ไหนเหรอครับ?” จะว่าไปแล้วผมแทบไม่ได้เห็นหน้าพี่เพลงเลย ยิ่งตั้งแต่ตอนที่รู้ว่ามีแฟนอะไรนั่นยิ่งไม่ค่อยเจอเลยเวลามีอะไรมาให้ก็จะผ่านการฝากมาตลอด

    “เออ เพลงมันเพิ่งโทรมาบอกว่าแฟนมันไปรับแล้ว” ไอ้ปวยอะไรนั่นอีกแล้วสินะ

    “พี่เบียร์ก็รู้จักเหรอครับ?”

    “ใคร? แฟนเพลงอ่ะเหรอ?” พี่เบียร์ย้อนถาม “ไม่อ่ะ ยังไม่เคยเห็นเลย พี่รู้แค่ว่าแฟนมันเรียนอยู่วิศวะแค่นั้น” แล้วทำไมพวกไอ้วินมันรู้จักวะ สงสัยต้องไปเค้นความจริงจากพวกมันมาให้ได้แล้วล่ะ
 
   “หวงพี่รหัสหรือไงเรา หืมมมม?” พี่เบียร์หันมาถามพร้อมกับเอื้อมมือมาหมายจะขยี้หัวผม แต่ว่าผมหลบ รู้สึกแปลกๆ ผมไม่ชอบให้ใครมาโดนตัวอ่ะ กับไอ้พลก็ไม่ได้อะไรนะคงเป็นเพราะชินมั้ง แต่กับพี่เบียร์ผมว่ามันน่าจะเป็นเพราะไม่ชินนั่นแหละเลยทำให้มือพี่เบียร์ที่เอื้อมมาแบบนั้นต้องค้างไว้
 
   “โทษที พี่เห็นเราเป็นเหมือนน้องน่ะ” พี่เบียร์ยิ้มก่อนจะหันไปสนใจขับรถต่อเพราะตอนนี้สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว
 
   “ไม่เป็นไรครับผมแค่ไม่ชินอ่ะ” ผมหัวเราะแก้เก้อ
 
   “ว่าแต่โปรเจ็คเรานี่ต้องพรีเซ้นท์อะไรอ่ะ”
 
   “จริงๆอาจารย์ให้โจทย์อะไรก็ได้มานะครับ” ผมบอก “แต่ผมยังลังเลอยู่เลยว่าจะเอาอันไหนดี”
 
   “เออ ไอ้อะไรก็ได้ของอาจารย์นะทำเด็กลากเลือดมานักต่อนักแล้ว นี่พี่ก็กลัวใจไอ้พลมันจังเลยเนี่ยว่ามันจะเลือกอะไรพิเรนท์ๆมาขายรึเปล่า”
 
   “แต่ผมว่าพลน่าจะทำได้ดีนะงานสร้างสรรค์อะไรพวกนี้มันถนัด”
 
   “ถนัดที่จะทำให้คนอื่นคาดไม่ถึงล่ะสิ” พี่เบียร์ส่ายหน้าให้น้องรหัสตัวเองก่อนจะถามผมต่อ “แล้วที่ว่าลังเลอ่ะ ระหว่างอะไรกับอะไรเหรอ?”
 
   “กางเกงกับกล้องครับ”
 
   “พี่ว่ากางเกงมันธรรมดาไปนะ กล้องน่าจะใส่ลูกเล่นเรียกคะแนนได้เยอะกว่า”
 
   “ครับ” ผมพยักหน้ารับกับความคิดเห็นของพี่เบียร์ จะว่าไปที่พี่เบียร์พูดก็น่าสนใจนะ แต่ลึกๆแล้วผมกลับอยากทำกางเกงมากกว่าอีก แต่ถ้าวันนี้ทำเรื่องกล้องแล้วให้พี่เบียร์ช่วยคอมเมนท์ก็น่าจะได้อยู่ แล้วว่างๆค่อยลองทำกางเกงคนเดียวดูก็ไม่น่าจะเป็นไรนะ แบบทำไว้เผื่อเลือกงี้

    ไม่นานผมกับพี่เบียร์ก็มาถึงที่นัดหมายนั่นก็คือห้องสตูดิโอของคณะ ซึ่งก่อนมาถึงพี่เบียร์ก็แวะซื้อเสบียงไปฝากพวกมันกันด้วย ผมว่าไอ้พลได้พี่เบียร์เป็นพี่รหัสก็ดีนะแต่ว่าถ้าเลือกได้ผมว่าพี่เพลงของผมดีกว่า ฮ่าๆๆ

    “คุณพี่เจ้าขาาาาา ข้าไหว้เจ้าค่ะ” ทันทีที่ไปถึงไอ้พลก็ยกมือไหว้พี่รหัสมันพร้อมกับพูดจาประหลาดๆใส่

    “พอลลี่มันติดละครบุพเพสันนิวาส” อ้อบอกคลายความสงสัยให้ผม

    “เอ้านี่ แล้วไปไกลๆตีนก่อนโดนถีบ” พี่เบียร์ส่งขนมให้ไอ้พลมันสองถุงใหญ่ อ้อกับวินที่อยู่ก่อนแล้วก็ยกมือไหว้

    “ทำไมอ้อติดต่อไอซ์ไม่ได้อ่ะ”


    “ว่าแต่ทำไมถึงมากับพี่เบียร์ได้ล่ะ?” ไอ้วินถามพร้อมกับจ้องหน้าผม

    “มือถือไอซ์พัง” เป็นพี่เบียร์ครับที่เป็นคนตอบแทนโดยที่ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไร แล้วไอ้วินก็เป็นคนชวนให้ทุกคนเริ่มทำงานเพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องกลับกันดึกมาก

    โปรเจ็คโปสเตอร์ครั้งนี้อาจารย์เขาให้ทุกคนออกแบบและเสนอไอเดียเองเลยว่าต้องการจะขายอะไร ไม่จำกัดโปรแกรมที่ใช้สร้างสรรค์ผลงาน อาจารย์ให้สิทธิ์เต็มที่ในการรังสรรค์งานชิ้นนี้ แต่มีเพียงข้อแม้เดียวคือห้ามก๊อปปี้จากอินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายหรือโลโก้ก็ตาม คือมันชอบมีพวกมักง่ายไงอาจารย์เขาว่ากินแรงคนอื่น

    งานนี้ไอ้วินมันว่าจะขายอุปกรณ์ทางการแพทย์โดยจะดึงจุดขายจากดราม่าว่าเครื่องช่วยหายใจนี่มันจำเป็นต่อชีวิตบางชีวิต ส่วนอ้อนั้น รายนี้เขาว่าจะขายเครื่องประดับราคาถูกให้ดูแพงและเลอค่า สำหรับผู้หญิงงบน้อยหรือเจาะกลุ่มเป้าหมายจำพวกนักเรียนนักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้ ผมว่าแนวคิดนี้ก็เข้าท่านะเพิ่มมูลค่าให้สิ่งของด้วยการสร้างสตอรี่และเพิ่มดีเทล ส่วนอีกคนที่พี่เบียร์กังวลนักกังวลหนา...

    “จริงๆข้าอยากขายถุงยางแล้วให้สามีเป็นพรีเซนเตอร์ให้” มันมองผมด้วยสายตาหื่นๆ “แต่กระแสคุณพี่หมื่นมาแรงขนาดนี้ข้าก็ต้องตามเทรน เพราะฉะนั้นกระทะหมูกระทะนี่แหละ เริ่ดดดดดด”

    “เห้อออออออ จะทำอะไรก็รีบๆทำ” พี่เบียร์ถอนหายใจพลางส่ายหน้าให้มัน

    “คุณพี่จะช่วยน้องใช่มั้ยเจ้าคะ” ไอ้พลสะดีดสะดิ้ง

    “กูมาแค่ช่วยดูครับน้อง ทุกอย่างต้องทำเองเดี๋ยวจารสิงห์รู้แล้วก็มาเล่นงานกูอีก”

    “ใจร้ายยยยยยยยย” มันแกล้งงอนก่อนจะหันมาทางผมที่กำลังตั้งค่ากล้องอยู่ “แต่สามีจะถ่ายรูปให้หญิงใช่มั้ยเจ้าคะ”
 
   “พลจะให้ไอซ์ถ่ายให้ก็รีบๆเตรียมตัวสิ เห็นมั้ยว่าอ้อวางองค์ประกอบรูปเสร็จแล้วอ่ะหรือจะให้ไอซ์ถ่ายให้อ้อก่อน?”

    “พลเพินอะไรกันอีเนิร์ดนี่! ออเจ้ามันพูดจาไม่รู้ความ บอกกี่รอบแล้วว่าวันนี้พอลลี่เป็นแม่หญิงการะเกด!!!”

    “เป็นอะไรก็รีบๆเถอะ” พี่เบียร์ว่าขำๆ

    “งั้นขอเป็นเมียคุณพี่อีกคนได้มั้ยเจ้าคะ โฮะๆๆ”

    “ตีนสิครับ” พี่เบียร์เบี่ยงตัวหลบแทบไม่ทัน “กูมีคนที่ชอบแล้วครับ”

    “รีบถ่ายกันเถอะ เราจองห้องได้ถึงแค่หกโมงเพราะเดี๋ยวมีกลุ่มอื่นมาใช้ต่อ” เป็นอีกครั้งที่ไอ้วินกระตุ้นให้พวกเราทุกคนกลับมาจดจ่อกับงาน ซึ่งก็ดีครับเพราะไม่อย่างนั้นพี่เบียร์ก็ยังคงจะจ้องผมไม่เลิก

    “ไปหาอะไรกินก่อนกลับมั้ย?” อ้อเป็นคนชวนหลังจากที่เก็บอุปกรณ์เข้าที่กันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างได้รูปที่พอใจ ผมเองก็เช่นกัน รูปกล้องที่ถ่ายมาวันนี้ค่อนข้างตรงกับเดโม่ที่วาดไว้แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกว่างานชิ้นนี้มันยังไม่สุด ต่อให้แต่งภาพและจัดทุกอย่างจนไฟนอลแล้วก็เถอะ ผมว่าบางอย่างมันยังขาดไปอยู่หรืออาจจะเพราะงานชิ้นนี้ผมยังหาพ้อยท์สำคัญของมันยังไม่เจอก็ไม่รู้แฮะ

    “ไปสิ วันนี้เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

    “ไปเจ้าค่ะ พวกออเจ้าอยากกินอะไรฤๅ?”

    “เราต้องรีบกลับอ่ะวันนี้พี่มาเยี่ยม” ไอ้วินเป็นคนแรกที่ปฏิเสธ
 
   “งั้นอีเนิร์ดไม่ต้องไปเจ้าค่ะ”

    “กูอยากกลับไปแต่งรูปต่อให้เสร็จว่ะ” ผมบอก จะว่าเครียดก็ได้นะ ผมว่างานมันยังไม่ตรงใจอ่ะ

    “เจ้าค่ะ! ขยันเข้าไป งั้นข้า แม่หญิงอ้อ และคุณพี่หมื่นเบียร์จะไปกันแค่สามคน” ไอ้พลว่า

    “ไอซ์ไม่ไปด้วยกันเหรอ?”

    “ไว้คราวหน้าดีกว่าพี่ เดี๋ยวที่บ้านจะมารับแล้ว” ผมโกหก ความจริงแล้วอยากจะนั่งแท็กซี่กลับเองต่างหาก พี่เบียร์มีทีท่าลังเลแต่ก็จำยอมพยักหน้าให้และเดินไปเอารถและให้ไอ้พลกับอ้อรอเป็นเพื่อนผมที่นี่ก่อน

    “จะว่าไปก็อยากเห็นงานไฟนอลแล้วเหมือนกันเนาะ อยากรู้ว่าจะได้สักกี่ไลก์” อ้อว่า

    “เออ แต่ข้ามั่นใจว่างานของข้าต้องได้อยู่โข เพราะกระทะของข้ามันช่างอินเทรนด์” ไอ้พลยิ้มประหนึ่งมงลงหัวมัน
แล้ว “แม้ว่าใจจริงอยากจะได้สามีที่เป็นถึงอดีตเดือนคณะมาเป็นพรีเซนเตอร์เพื่อเรียกยอดไลก์ให้ก็เถอะ”

    “พูดถึงยอดไลก์แล้วก็เครียด” ไอ้วินเริ่มหน้าเสีย “เพื่อนในเฟซบุ๊กเรามีแค่ร้อยกว่าคนเอง ทำไมอาจารย์ต้องนับ
คะแนนจากยอดไลก์ด้วยนะ”

    “อย่าเพิ่งกังวล อาจารย์เค้าบอกว่าเพื่อความยุติธรรมเดี๋ยวอาจารย์จะเป็นคนเอาไปโพสต์ให้เอง ส่วนจะเรียกยอดได้
มากน้อยแค่ไหนนั้นก็อยู่ที่เราแชร์ต่ออีกทีนึง”

    “มันก็แค่ส่วนนึงเองปะ คะแนนหลักๆจารต้องดูจากผลงานอยู่แล้ว” ผมตบบ่าให้กำลังใจมัน

    “ไอซ์เป็นเดือนอ่ะก็พูดง่ายดิ”

    “เดี๋ยวกูช่วยแชร์ให้” ผมว่า “แชร์ให้ทุกคนเลยโอเคมั้ย?”

    “น่ารักมากเจ้าค่ะคุณพี่สามี” ไอ้พลยิ้มร่า ไม่นานพี่เบียร์ก็ขับมาจอดเทียบและไม่ลืมที่จะชวนผมอีกครั้งเผื่อว่าจะ
เปลี่ยนใจ แต่ก็นั่นแหละครับผมยืนยันคำเดิมเพิ่มเติมคือใช้ไอ้วินมาอ้างว่าจะให้มันอยู่รอเป็นเพื่อนพี่เขาถึงได้ยอมไป

    “มึงกลับเลยก็ได้ เนี่ยคุณมิตรไลน์มาบอกว่าจะถึงแล้วไม่ต้องห่วงกู”

    “แน่นะ?”

    “เออไปเถอะ พี่มึงมาไม่ใช่หรือไง”

    “งั้นไว้เจอกัน ขอบใจมากที่ช่วยถ่ายรูปให้”

    “อืม” ผมพยักหน้าให้ จนกระทั่งไอ้วินมันเดินหายไปแล้วจึงตัดสินใจเดินไปอีกทางเพื่อจะไปเรียกแท็กซี่ที่หน้ามอ แต่ยังไม่ทันไรก็มีรถคันคุ้นตามาจอดตรงหน้า เจ้าของรถเลื่อนกระจกลงมามองหน้าผมเท่านั้นแต่ไม่ได้พูดอะไร ผมเลยเลือกที่จะเดินไปต่อ

    “ขึ้นรถ”

    “...” ผมหยุดและหันไปมองมัน

    “รถคันหลังเขารอออกอยู่ เร็วๆ” ผมมองตามที่มันว่าซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆครับ เพื่อตัดปัญหาผมเลยเดินอ้อมไปขึ้นให้จบๆ ตั้งใจว่าพอออกจากมอแล้วค่อยให้มันจอดแล้วค่อยนั่งแท็กซี่กลับเอง

    “...”

    “...ทำไมถึงหนีออกมาแบบนี้?” ไอ้ไวท์มันหันมาถามพร้อมกับส่งแก้วเก็บความเย็นให้ผม ถ้าให้เดาในนั้นคงจะเต็มไปด้วยน้ำแข็งที่ผมชอบ

    “...”

    “ไอซ์...” มันเรียกผมเสียงเรียบ “ไฟเขียวแล้วกูต้องขับรถ รีบรับไป”


    “มึงทำแบบนี้ทำไม?” ผมตัดสินใจถามออกไปพร้อมกับรับแก้วมาถือไว้

    “ทำอะไร?”

    “ก็..ก็ทุกๆอย่างที่มึงทำอ่ะ”

    “...”

    “จอดตรงหน้านี่แหละเดี๋ยวกูกลับแท็กซี่เอง” ผมว่าอย่างหงุดหงิด ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองหงุดหงิดอะไรกันแน่ ไอ้การที่มันมีผู้หญิงมาหาถึงห้องนั่นก็วนเวียนอยู่ในหัวผมพอสมควร แต่พอนึกถึงห้องมันภาพที่ผมจูบกับมันก็ฉายชัดขึ้นมาในโสตประสาทอีก แล้วก็พาลใจเต้นแรงหน้าก็เหมือนจะเห่อร้อนมาซะงั้น

    “จะพาไปนั่ง MRT” ไอ้คนข้างๆมันบอก

    “...” นี่มึงไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาอ้างเลยนะสัสไวท์!

    “หรือจะไปซื้อมือถือ?” เออ จะว่าไปก็ลืมไปเลยนะว่ามือถือพัง ซึ่งผมว่าก็ดีนะ ครีมหรือใครๆจะได้ไม่ต้องโทรตาม เพราะแค่มีไลน์อย่างเดียวนี่ครีมก็รัวมาจนแบตไอแพดจะหมดอยู่ละ

    “...” เอาไงดีวะ

    “เอาไง ไม่ไปจะได้ไปส่งคอนโด”

    “มึงแม่ง..” เอาแต่ใจชิบ “MRT”

    “หึ..”

    “ยิ้มทำห่าอะไร นี่กูโกรธมึงอยู่นะไวท์” ผมว่าออกไป แม้จะไม่แน่ใจก็เถอะว่าความจริงแล้วที่ผมว่าผมโกรธไอ้ไวท์อยู่เนี่ย ผมโกรธมันเรื่องอะไรกันแน่



TBC
มาต่อจนครบแล้วนะครับ ฝากติดตามด้วย คอมเม้นแนะนำติชมได้เ่นเดิมครับผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-05-2018 21:10:42 โดย Cakewhans »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ barataku

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
สนุกมากครับ ไอซ์น่ารัก เหมือนเด็กที่พยายามโตเป็นผู้ใหญ่

ออฟไลน์ Cakewhans

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
    • ' Puzzle
10
Cake : Talk

    น้องไอซ์ ก็เด็กจริงๆนั่นแหละครับ ขี้งอนอีกต่างหากไม่งั้นคงไม่หนีผมออกมาหรอก กับแค่การที่นิวมาหาผมแค่นั้นน่ะ ถ้าโตแล้วมันจะฟังหรือรอคำอธิบายจากผมไม่ใช่วิ่งหนีออกมามั่วซั่วแบบนี้ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไปไหนมาไหนไม่เป็น

    “แล้วรถมึงนี่จะยังไง?” ไอซ์ถามขึ้นแม้ว่าสีหน้าจะดูหงุดหงิดอยู่ก็ตาม

    “เดี๋ยวจอดที่จามจุรี” ผมบอกเพราะที่นี่เป็นห้างที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน

    “เออ!” ไอซ์กระแทกเสียงนิดหน่อยแต่ถึงอย่างนั้นก็หยิบน้ำแข็งในแก้วกินอยู่ดี ผมว่าคิดไม่ผิดหรอกที่หยิบติดมือมาด้วย

    เมื่อกลางวันผมขับรถออกไปตามไอซ์แต่ก็ไม่เจอ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวทำยังไงกับการเดินทางโดยไม่มีคนช่วย อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆเพราะโทรศัพท์ก็พัง ยิ่งกระเป๋าตังก็ทิ้งไว้ที่ห้องผมอีก เมื่อหาไม่เจอเลยตัดสินใจขับวนมาที่คอนโดแล้วก็เจอจนได้ แต่สิ่งที่เจอกลับไม่ทำให้ผมสบอารมณ์เลยสักนิด จำได้ว่ารถที่ไอซ์ขึ้นไปนั้นเป็นของเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเพลงรู้สึกจะเชื่ออะไรสักอย่างไม่เบียร์ก็เดียร์หรืออะไรนี่แหละ

    ความหงุดหงิดมีมากขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าไอซ์ไม่ยอมตอบไลน์ผมทั้งที่ในมือก็ถือไอแพดอยู่ ผมรู้ว่ายังไงเจ้าตัวก็ต้องล็อกอินไลน์ในไอแพดอยู่ดี เพราะคนอย่างไอซ์น่ะต้องการให้คนคอยโอ๋แม้ว่าจะทำตัวปากเก่งและบอกว่าตัวเองโตแล้วก็ตาม จากการที่เห็นว่าไอซ์ใส่ชุดนักศึกษาก็เดาได้ไม่ยากว่าต้องไปมอ ผมเลยตัดสินใจกลับคอนโดตัวเองก่อนแล้วค่อยตามไปมอทีหลัง

    ผมออกมามอเพื่อรอไอซ์ตั้งแต่สี่โมงเย็นโดยไม่ได้หยิบกระเป๋าตังมาคืนเจ้าตัวอย่างตั้งใจ และจากการที่ยังเห็นรถของไอ้คนที่เป็นเพื่อนเพลงจอดอยู่ที่ลานนั่นก็พอจะชื้นใจอยู่บ้างว่าไอซ์ยังไม่ได้กลับบ้าน แต่ก็รอนานพอสมควรกว่าไอ้สกินเฮ้ดนั่นจะมาเอารถมันก็เกือบๆทุ่มพอดี ผมขับตามไปห่างๆและมองไอซ์อยู่ก่อนแล้วว่าเจ้าตัวจะไปกับเพื่อนหรือเปล่า แต่จากรูปการแล้วไม่น่าจะอยากไปไหนเพราะเพิ่งจะเจอเรื่องหนักมา

    เวลาแบบนี้ผมว่าไอซ์คงต้องการใครสักคน..

    “คนที่เห็นเมื่อเช้าน่ะชื่อนิว” ผมบอกขณะวนรถหาที่จอด

    “มึงจะบอกกูทำไม”

    “เป็นน้องรหัส”

    “ก็เรื่องของมึงสิ” ถึงจะพูดตอบออกมาแบบนั้นแต่สีหน้าก็ดีขึ้น “ว่าแต่สนิทกันถึงไปหาที่ห้องเลยเหรอวะ?”
 
   “อืม..”

    “แค่น้องรหัสจริงๆเหรอ? ทีกูกับพี่รหัสกูยังไม่สนิทกันขนาดนั้นเลย” หมายถึงเพลงสินะ ว่าแต่ถามแบบนี้ผมจะโมเมเอาเองได้ไหมว่าหึง?

    “...”

    “แล้วอีกอย่างน้องรหัสกูก็ไม่มีด้วย” ไอซ์พูดติดตลกแต่ก็เจือไปด้วยความเย้ยหยันในตอนท้าย “น้องเขาย้ายหนีไปเรียนที่อื่นแต่กูก็ชินแล้วล่ะที่ใครๆก็แม่งทิ้งกูไปหมดนั่นแหละ ฮ่าๆๆ”

    “...” ผมไม่ได้พูดอะไรแต่เอื้อมมือไปขยี้หัวคนข้างๆแทนด้วยความเอ็นดูตั้งใจจะปลอบ ไอซ์ก้มหน้าไม่ได้หลบหรือเบี่ยงตัวหนีแต่อย่างใดซึ่งมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆนั่นแหละ...ไอซ์ต้องการใครสักคนจริงๆ ไม่รู้ว่าที่เปิดไอแพดเล่นนั่นแก้เก้อหรือแก้เขินกันแน่ ผมเห็นว่าไอซ์เปิดอ่านไลน์ของผมด้วย

    “เอาแก้วทิ้งไว้นี่” ผมบอกพร้อมกับหยิบของ

    “ของมีค่าต้องเอาไปด้วยใช่มั้ย?” ไอซ์หันมาถามผมท่าทางไม่อยากจะเอากระเป๋าใบใหญ่นั่นไปสักเท่าไหร่

    “อืม” ผมพยักหน้าให้

    “ดีนะที่กูเอาแค่กล้องมาอ่ะ ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าเอาขาตั้งกับรีเฟคมาด้วยมันจะเพิ่มน้ำหนักให้กระเป๋ากูอีกสักแค่ไหน”

    “เล่นกล้องด้วยเหรอ?” ผมเลิกคิ้ว

    “กูเด็กนิเทศนะ”

    “รุ่นไหนอ่ะขอดูหน่อยดิ” ผมว่าซึ่งเจ้าตัวก็กำลังจะเปิดกระเป๋าแล้วหยิบกล้องออกมาให้แต่ผมท้วงไว้ก่อน

    “เอามาทั้งหมดนั่นแหละเดี๋ยวเปิดดูเอง” ผมว่าพร้อมกับดึงกระเป๋ามาถือเอง

    “คนเนิร์ดๆนี่สนใจเทคโนโลยีด้วยเหรอวะ” ไอซ์บ่นไปตามเรื่องแต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร

    ผมพาไอซ์เดินออกไปเรียกแท็กซี่ตั้งใจจะพาไปหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยไปส่ง ไม่อยากเอารถไปเองเพราะหาที่จอดยากยิ่งช่วงหัวค่ำยิ่งแบบนี้รถยิ่งเยอะ แถวมอผมมีของกินร้านอร่อยๆเยอะมากแต่ไม่รู้ว่าไอซ์เคยมากินบ้างหรือเปล่า อยากพาไปกินร้านเจ๊โอวข้าวต้มเป็ดเหมือนกันแต่คิดว่าคงจะรอนานเกินไป เจ้าชายน้อยน่าจะหงุดหงิดก่อนที่จะได้กิน ผมเลยเลือกร้านอาหารทะเลชื่อดังแทน ผมมากินเจ๊โอวกับพวกไอ้เกอร์บ่อยอยู่พอสมควร ส่วนมากจะมาหลังจากที่ไปดื่มกันมาน่ะ ไอ้เบนซ์มันว่ากินมาม่าแล้วสร่างดี

    “กูไม่กินกุ้งนะ” ไอซ์ว่าพร้อมกับนั่งลงตรงข้ามผม คนเยอะพอสมควรสมกับที่เป็นร้านดังแต่ก็คงไม่เยอะเท่าเจ๊โอว

    “ไม่ชอบ?”

    “กูแพ้” ผมพยักหน้าและจำเอาไว้

    “อย่างอื่นล่ะ?”

    “กินได้”

   “อืม” ผมสั่งอาหารไปสี่ห้าอย่างเลือกเอาเฉพาะเมนูที่ไม่มีกุ้ง ไอซ์ดูตื่นเต้นตามประสาแถมยังเอาไอแพดมาถ่ายรูปอีก ผมเลยถือโอกาสหยิบกล้องจากกระเป๋าที่สะพายมาเปิดดูรูปเจ้าของเขาจะได้ไม่สงสัย ผมกดเลื่อนๆดูคิดว่าน่าจะเป็นภาพที่ถ่ายมาวันนี้เพราะมีรูปเพื่อนอยู่ด้วย ฝีมือถ่ายรูปของไอซ์ใช้ได้เลย

    กินข้าวเสร็จแล้วก็พาไอซ์ขึ้นแท็กซี่กลับไปที่จามจุรีเพื่อพาเขานั่ง MRT ไปลงสุทธิสาร นี่ไอซ์จะรู้ไหมว่าหน้าคอนโดตัวเองมีรถไฟฟ้าใต้ตินที่ใกล้ชนิดที่ว่าอยู่หน้าบ้านเลยน่ะ

    “คราวหน้ามึงต้องให้กูเป็นคนเลี้ยงมึงบ้างนะไวท์”

    “เคลียร์กับที่บ้านรึยัง?” ผมไม่ตอบแต่ถามกลับไปแทน

    “...”

    “จะกลับคอนโดมึงหรือคอนโดกู?” ผมถามอีกเมื่อเห็นว่าไอซ์เงียบ ดูก็รู้ว่ายังไม่ได้คุยกับที่บ้าน

    “กูไม่อยากรบกวนมึง อีกอย่างพี่กูเขาก็ไม่ได้มาวุ่นวายแล้ว”

    “แล้ว?”

    “เดี๋ยวกูกลับคอนโดกูดีกว่า”

    “อืม” ผมพยักหน้าให้ไอซ์แล้วเดินนำไปอีกทาง

    “ไอ้ไวท์ทางลงรถไฟอยู่ทางนี้ไม่ใช่เหรอ?”

    “เดี๋ยวไปส่ง” ว่าจบผมก็คว้าแขนไอซ์ให้เดินตามไปยังลานจอดรถตั้งใจจะขับรถไปส่งที่คอนโดแล้วก็อาจจะนอนด้วยเลย ดูเหมือนจะคุกคามไปหน่อยแต่คิดว่าเวลาแบบนี้มันไม่ควรอยู่คนเดียว ไอซ์ก็ยังเป็นไอซ์อยู่ดีมีบ่นบ้าง แต่ก็ยอมเงียบไปเองเมื่อเห็นว่าผมไม่พูดอะไร

    “มึงนี่ก็กวนตีนเหมือนกันนะ”

    “หึ..” ผมยิ้มแล้วเอื้อมมือไปขยี้หัวคนข้างๆ มันน่าหมั่นเขี้ยวดี

    “ไอ้สัสไวท์กูไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะ หัวกูยุ่งหมดแล้วมึงเห็นไหม?”

    “เดี๋ยวจะส่งไฟล์ข้อสอบให้นะ” ผมพูดขึ้น ไอซ์มีสีหน้าเบื่อหน่ายทันทีที่พูดเรื่องแมท

    “กูลืมไปแล้วนะเนี่ยว่ามึงคือติวเตอร์กูอ่ะ”

    “อยากให้เป็นอยากอื่นด้วยมั้ยล่ะ?”

    “...”

    “...” ไอซ์เงียบ ซึ่งผมเองก็เงียบด้วย จนกระทั่งขับมาถึงคอนโดของไอซ์นั่นแหละเจ้าตัวถึงได้ยอมเปิดปากพูดกับผมอีก

    “มึงจอดตรงนี้ก็ได้”

    “...” ผมไม่ตอบและไม่ทำตามแต่ขับเข้าไปในคอนโดแทน

    “มึงจะเข้ามาจอดข้างบนทำไมเนี่ย?” ไอซ์ถามพร้อมกับเดินตามผมไปยังลิฟต์

    “ชั้นไหน?”

    “มึงส่งกูแค่นี้ก็พอ”

    “...” ผมมองหน้าอีกคนจนในที่สุดมันก็ถอนหายใจแล้วเอื้อมมือมากดตัวเลขเอง จากตัวเลขที่ไอซ์กดแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าไอ้นี่มันลูกคุณหนูจริงๆ เพราะถ้าไม่รวยจริงๆก็อยู่ห้องแพงๆชั้นสูงๆแบบนี้ไม่ได้หรอก แต่จะว่าไปคอนโดของไอซ์ก็โครงการเดียวกันกับของผมเลยนะแถมอยู่ชั้นใกล้กันด้วย

    “ปกติกูไม่เคยให้คนอื่นที่ไม่ใช่ที่บ้านขึ้นมา” ไอซ์หันมาบอกก่อนจะหันกลับไปกดรหัส “แต่ที่กูให้มึงขึ้นมาเพราะเห็นว่ากูเคยไปนอนห้องมึงมาแล้วหรอกนะ”

    “อืม..”

    “ห้ามล้อ!” ไอซ์หันมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกับผมอีกครั้งก่อนจะยอมเปิดประตูให้ผมได้เข้าไป ทีแรกก็งงอยู่ว่าห้ามล้อเรื่อง
อะไรแต่พอเข้ามาก็ถึงบางอ้อครับ ตุ๊กตาข้าวของเครื่องใช้ล้วนแต่เป็นปิกาจูเต็มไปหมด เด็กน้อยจริงๆด้วยสินะ

    “นี่ให้วางตรงไหน?” ผมไม่แสดงอาการอะไรออกมาให้เจ้าของห้องเห็นแม้ว่าจะประหลาดใจมากก็ตาม

    “เออลืมเลย มาเดี๋ยวกูเอาไปเก็บ” ไอซ์รับกระเป๋ากล้องจากมือผมไปเก็บให้แล้วเดินกลับมาพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งขวดให้ผมและแก้วเก็บความเย็นสำหรับตัวเอง

    “ทำไมอยู่ๆมึงถึงไปโผล่ที่คณะกูได้วะ?” ไอซ์นั่งลงตรงโซฟาอีกตัวถามขึ้นพร้อมกับกดเปิดทีวีดู

    “ก็คณะกูอยู่ใกล้ไง”

    “เออใช่” ไอซ์พยักหน้า “แล้วทำไมกูไม่เจอไอ้ปวยอะไรนั่นสักทีวะเป็นเซเลบหรือไงถึงได้เจอตัวยากเย็นนัก”

    “...” ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่นั่งดูทีวีสลับกันกับหน้าไอซ์ไปมาเท่านั้น ดูเวลาอีกทีถึงได้รู้ว่าตอนนี้จะห้าทุ่มแล้ว
 
   “คือกูไม่ได้จะเสียมารยาทนะแต่เมื่อไหร่มึงจะกลับวะไวท์กูอยากอาบน้ำนอนแล้ว กูง่วง”

    “ไปอาบสิ”

    “มึงก็กลับไปก่อนสิ”

    “ดึกแล้วขี้เกียจขับรถ”

    “แล้ว? มึงจะนอนนี่?” ไอซ์ตาโต

    “อืม..” ผมพยักหน้าก่อนจะหันไปจ้องคนถาม “ได้มั้ยล่ะ?”

    “กูไม่มีห้องว่างแล้วอีกห้องนึงกูเอาไว้เก็บของ”

    “ก็นอนด้วยไง ทีที่คอนโดกูยังนอนด้วยกันได้เลย”

    “มันไม่เหมือนกัน” ไอซ์ว่า แล้วที่บอกว่าไม่เหมือนกันน่ะหมายถึงยังไงกันแน่ หรือเพราะว่าเพิ่งจูบกันเลยแปลกๆ? เพราะตอนที่ไปนอนกับผมก็ไม่เห็นจะมีท่าทีอะไรเลย

    “กลัวกูเหรอ?” ผมถามพร้อมกับแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ

    “ใครกลัวมึงกัน ไปเลยมึงไปอาบน้ำก่อนเลยไป” ในเมื่อเจ้าของห้องบอกแบบนั้นผมก็ไม่ขัดศรัทธาครับ ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่
ห้องน้ำแต่โดยดี ผมถอดเสื้อออกก่อนแต่พอมองหาผ้าเช็ดตัวกลับไม่มีเลยต้องเดินออกมาถามหากับเจ้าของห้อง

    “ไม่มีผ้าเช็ดตัวเหรอ?”

    “มึง!” ไอซ์ดูตะลึงไปเลยที่เห็นผมออกมาแบบนี้ แต่มันก็ไม่ได้แปลกอะไรไม่ใช่เหรอตอนอยู่ห้องตัวเองผมใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวด้วยซ้ำตอนนั้นไอซ์ก็ไม่เห็นจะมีอาการอะไรแบบนี้เลย

    “หืม?”

    “มึงช่วยไรกูหน่อยได้มั้ยวะไวท์” ไอซ์รีบดึงผมเดินตามไปเข้าไปอีกห้อง ห้องนี้มีวอลเปเปอร์สีขาวและไฟตั้งอยู่พร้อมอย่างกับเป็นสตูดิโอขนาดย่อมๆเลย ส่วนอีกด้านก็มีชั้นวางของอยู่ซึ่งเต็มไปด้วยตุ๊กตาปิกาจู

    “ใช่เลยอ่ะ เป็นอย่างที่กูต้องการเลย” ไอซ์พาผมไปหยุดยืนอยู่ตรงด้านหน้าไฟก่อนจะเปิดแล้วเจ้าตัวก็หันไปหยิบกล้องออกจากกระเป๋าใบเดิมที่ผมถือมาให้ในตอนแรก “ช่วยกูหน่อยเดี๋ยวกูเลี้ยงข้าวเลี้ยงหนังมึงมื้อใหญ่เลย”

    “บอกก่อนว่าจะให้ช่วยอะไร?” ผมถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแล้วล่ะว่าไอซ์กำลังจะถ่ายรูปผม

    “เป็นแบบให้กูหน่อย กูต้องทำโปสเตอร์ส่งอาจารย์” ไอซ์ตอบแต่ไม่ได้เงยหน้ามามองผมเลยแม้แต่น้อยเอาแต่ก้มอยู่กับกล้องในมือ

    “ทำไมต้องทำให้?”

    “ก็มึงเป็นเพื่อนกูไม่ใช่หรือไง เพื่อนช่วยเพื่อนไม่ได้หรือไงวะกูจ้างเลยก็ได้อ่ะ”

    “ค่าตัวกูแพงนะ”

    “กูมีปัญญาจ่าย”

    “หึ..”

    “นะไวท์ ช่วยกูเถอะคาร์แร็คเตอร์มึงมันใช่มากอย่างกับหลุดออกมาจากเดโมในหัวกูเลย”

    “ต้องถอดเสื้อแบบนี้น่ะเหรอ?” ผมถามเพราะปกติแล้วไม่ชอบให้ใครเห็นผมถอดเสื้อสักเท่าไหร่นักหรอก แต่ตอนที่อยู่กับ
ไอซ์สองคนนั่นก็อีกเรื่องนึง

    “ใช่ มึงมองกล้องนะไวท์ อ่าหะ ช้อนตามองแบบนั้นแหละ มือล้วงกระเป๋าไปเลยก็ได้” แล้ววิญญาณช่างภาพก็เข้าสิงไอซ์ไปแล้ว ตอนนี้ไอซ์ดูโตขึ้นเหมือนไม่ใช่ไอซ์ที่ผมรู้จักเลย ในมุมจริงจังแบบนี้ไอซ์มีสมาธิและจดจ่อกับสิ่งที่ทำมากนี่ถ้าเรียนแมทแล้วตั้งใจแบบนี้ยังไงเอก็หนีไม่พ้นหรอก

    “มึงเคยไปถ่ายแบบที่ไหนมารึเปล่าเนี่ยไวท์? รู้มุมตัวเองซะด้วย” ไอซ์ถามขึ้นขณะที่ให้ผมพักกินน้ำส่วนเจ้าตัวก็นั่งดูรูปไป แม้ว่าห้องนี้จะเปิดแอร์ยังไงแต่สปอร์ตไลท์ตรงหน้านี่ก็ร้อนมากอยู่ดีครับ ถามว่าเคยไปถ่ายแบบที่ไหนมั้ย? ไม่เชิงนะเพราะผมเคยถ่ายรูปช่วยงานคณะบ้างประปรายตอนปีหนึ่งซึ่งความจริงแล้วผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยแต่ในตอนนั้นมันอยู่ในสถานะที่ปฏิเสธไม่ได้เสียมากกว่า พอไอ้เกอร์มันได้ตำแหน่งเดือนนั่นแหละผมถึงหลบหลีกมาได้บวกกับช่วงนั้นผมใช้ข้ออ้างในการเล่นดนตรีกับพวกรุ่นพี่ด้วยเลยรอดตัวไปในการลงประกวดเดือน

    มาวันนี้ต้องมาเป็นแบบให้ไอซ์ถ่ายรูป ถามว่าชอบมั้ย? คำตอบก็ยังคงไม่ชอบอยู่ดีแต่พอเห็นสีหน้าและแววตาเป็นประกายแบบนั้นก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้ ช่วยเขาหน่อยเผื่อเรียกร้องเอารางวัลอะไรได้บ้าง

    “พร้อม?” ไอซ์หันมาถาม ผมพยักหน้าให้

    “คราวนี้ยิ้มให้กล้อง ยิ้มกว้างๆเลย มืออย่าบังลายซิกแพค มึงล้วงกระเป๋ากางเกงเลย” ไอซ์สั่งผมอีกครั้ง ปกติไม่ชอบให้ใครมาสั่งนะรู้ไหม รอให้ถึงคราวที่ผมเป็นคนสั่งบ้างเถอะ หึๆ

    “อีกที คราวนี้เอียงหน้ามองกล้องนะ ยิ้มน้อยๆ ไม่ต้องยิ้มกว้าง เหมือนยิ้มให้คนรักอ่ะ” ได้เลย หึ..

    “เยส เสร็จแล้ววววว ขอบใจมากเว่ยไวท์ มึงโคตรหล่อเลย” ไอซ์ร้องดีใจพร้อมกับพยักหน้าเรียกให้ผมเข้าไปดูรูปใกล้ๆ ผมเดินเข้าไปหาตามคำเชิญก่อนจะมองไปตามที่ไอซ์บอก แต่รูปในกล้องนั่นมันก็คือผมอ่ะถึงไอซ์จะฝีมือดีแค่ไหนแต่คนในภาพก็ยังเป็นผมคนนี้อยู่ดี ผมว่าคนตรงหน้านี้น่ามองกว่าอีก

    “อย่าลืมนะว่าค่าตัวแพง” ผมว่า

    “นี่มึงเอาจริงเหรอเนี่ยกูนึกว่าพูดเล่น”

    “หึ..”

    “เอาเท่าไหร่ว่ามาเลยกูพร้อมโอน”

    “ไม่ได้จะเอาเงิน”

    “อ้าว แล้วมึงต้องการอะไร หรือจะให้เลี้ยงอะไรว่ามาเลย” ป๋าซะด้วย

    “...”

    “สัสอย่าคิดนาน”

    “ให้ได้ทุกอย่างใช่มั้ย?” ผมลองหยั่งเชิง

    “ถ้ามันไม่ลำบากกูเกินไปก็ให้ได้หมดนั่นแหละจะเอาอะไรว่ามา”

    “แน่นะ?”

    “เออ รีบๆว่ามาตอนที่กูอารมณ์ดีนี่ แม่งหายเครียดไปเลยอ่ะ” ไอซ์ยิ้มให้กับกล้องในมือ


    “ติดไว้ก่อนก็แล้วกัน ไว้เดี๋ยวจะบอก แต่สัญญาแล้วนะว่าจะให้ทุกอย่าง”

    “กูพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้วโว้ย” พี่จะรอดูนะครับน้องไอซ์..

    เพราะว่าร้อนมากเลยเดินออกจากห้องนั้นมาเพื่อจะไปอาบน้ำ ใช้เวลาพอสมควรก็อาบน้ำเสร็จ เดินออกมาหาเสื้อผ้าไอซ์ใส่ก็พบว่าไซต์มันไม่ได้เลย ถึงไอซ์จะตัวเตี้ยกว่าผมไม่มากแต่รายนี้เขาผอมกว่าพอสมควรผมเลยตัดสินใจใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเหมือนอยู่บ้านตัวเองยังไงอย่างงั้น อีกอย่างไอซ์ก็น่าจะชินแล้วล่ะ

    “ไหนว่าง่วงไงไปอาบน้ำสินี่จะตีสองแล้ว” ผมเดินไปหาไอซ์ที่ห้องเดิมที่เจ้าตัวปิดไฟสปอร์ตไลท์แล้ว แต่กลับเปิดคอมขึ้นมาแทน

    “มึงนอนไปก่อนเลยกูขอทำตรงนี้อีกแป๊บ”

    “พรุ่งนี้เรียนกี่โมง”

    “พรุ่งนี้เหรอ? มีบ่ายตัวเดียวกูตื่นสายได้” ไอซ์ตอบกลับมาแต่ไม่ยอมหันมามองผมเลย

    “งานเร่ง?”

    “ไม่เร่งอ่ะ แต่ถ้าเสร็จแล้วก็ส่งก่อนได้”

    “งั้นค่อยทำ” ผมบอกเสียงเรียบ พรุ่งนี้ผมก็มีเรียนบ่ายเหมือนกันแต่ว่าช่วงเช้ามีนัดไปช่วยพวกไอ้เบนซ์ทำงานของคณะ ไม่รู้ว่าจะไปทันไหมเดี๋ยวยังไงค่อยดูอีกทีก็แล้วกัน

    “มึงไปเป็นพ่อกูตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยยยยยยย” มันหันมาบ่น

    “หรือจะให้ไปอุ้ม?” ผมว่า “เร็ว..” ผมบอกเรียบๆและจ้องหน้าเจ้าของห้องเท่านั้นไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก ไอซ์มีท่าทีหงุดหงิดนิดหน่อยแต่ก็ยอมลุกแต่โดยดี


TBC

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

คิดถึงเรื่องนี้ หายไปนานเลย

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 o13 น่ารักดีค่ะ  o13

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

ตอนนี้น่ารัก น้องดูอ่านต่อโลกมาก 55เหมาะจะมีผู้นำ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ น่ากมากกกกจ้า

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
หล่อ น่ารักนิสัยดีแบบนี้
ถ้าไอซ์ไม่เอา..เราขอนะ

ส่งเค้กมาทางนี้
ด่วนนนนนนนน

จะขย้ำกินเค้กไม่ให้เหลือ
อิอิ

ออฟไลน์ naezapril

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เรื่องนี้แต่งจบยังงงงงง
จะอ่านนนนนนต่ออออ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
น่ารักมากกกกกก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด