หากวันนั้นไม่ได้พบเจอกัน
ชีวิตของเขาคงดับสูญไปพร้อมความเดียวดายตลอดกาล
...................................................................
ตอนที่ 1
“ยินดีที่ได้ร่วมงานด้วยกันครับ” รอยยิ้มพร้อมมือหนายื่นมาตรงหน้าเพื่อสร้างสัมพันธไมตรี ทำให้ชายหนุ่มชะงักตัวมองเล็กน้อย เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากก่อนยื่นมือไปจับตามธรรมเนียมที่พึงกระทำ สัมผัสเปียกชื้นจากฝ่ามืออีกฝ่าย ทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน สมองด้านชา ขนอ่อนลุกชันไปทั่วร่างกาย ตรงที่แตะโดนกันราวกับมีหนอนตัวเล็กๆ นับร้อยที่มองไม่เห็นกำลังดิ้นพล่านเพื่อชอนไชเข้าสู่ผิวหนังของเขาอยู่ คันหยุบหยับอยากเกาแทบขาดใจแต่ใบหน้าคมคายกลับแสร้งฉีกยิ้มให้คู่สนทนาโดยไม่มีหลุดพิรุธเลยแม้แต่น้อย
“ทางเราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับบริษัทของคุณโทมัสครับ” ชายหนุ่มก้มศีรษะเพื่อแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งผลตอบรับก็ไม่ได้ผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้ อีกฝ่ายรู้สึกประทับใจกับการเจรจาทำสัญญาในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“เชิญครับ ไว้ทางเราจะติดต่อกลับไปอีกครั้ง วันนี้ขอบคุณมากนะครับ” ชายหนุ่มยืนเต็มความสูง ยิ้มละมุนแล้วผายมือให้อย่างสุภาพ ดวงตาสีนิลจับจ้องร่างอ้วนท้วมของคู่สนทนาไปจนสุดสายตาเมื่ออีกฝ่ายเดินพ้นกำแพงกั้น รอยยิ้มก็จางหายไปจากใบหน้า มือสองข้างกำจิกกันแน่นจนซีดขาว
รังเกียจ
ขยะแขยง
ภายในหัวมีสองคำนี้วนเวียนไปมาไม่ยอมหยุด รู้สึกพะอืดพะอมจนอยากอาเจียนออกมา ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามข่มอารมณ์ไว้ไม่ให้ตัวเองเผลอแสดงพฤติกรรมประหลาดออกไปต่อหน้าผู้คน เขาเรียกชำระเงินค่าเครื่องดื่มแล้วรีบย่ำเท้าตรงไปที่ห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
ปึง! ซ่า
ชายหนุ่มเปิดก๊อกน้ำด้วยใบหน้าเหยเก ดวงตาแดงก่ำจากการอดกลั้น กดสบู่ล้นฝ่ามือแล้วออกแรงขัดถูจนผิวหนังมีแต่รอยแดง คนที่เข้ามาใช้บริการห้องน้ำต่างพากันหันมามองด้วยความสงสัย เขารับรู้แต่ก็ไม่อาจห้ามการกระทำของตนได้ เพราะหากตอนนี้ไม่ได้ทำความสะอาดมือเขาคงต้องขาดใจตายแน่ๆ
ยืนล้างอยู่นานจนมือเริ่มเหี่ยวซีด เหงื่อไหลซึมตามกรอบหน้าจากภาวะตึงเครียด แต่ต่อให้ล้างสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกสะอาดสักที อยากถลกหนังลอกออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
“คุณผู้ชายมีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ” เสียงเอ่ยทักอย่างสุภาพจากพนักงานสวมชุดสูทหยุดการกระทำแสนบ้าคลั่ง การปรากฏตัวเข้ามาภายในห้องน้ำของอีกฝ่ายทำให้ความคิดยุ่งเหยิงเมื่อครู่เบาบางลง สติเริ่มคืนกลับมา
“ไม่มี” ตอบด้วยเสียงเย็นชาก่อนหันหลังก้าวเดินออกไปในทันที คงจะมีใครไปแจ้งเกี่ยวกับท่าทางของเขาในห้องน้ำ พนักงานจึงเข้ามาทักถึงที่ ร้านอาหารสุดหรูมีผู้พลุกพล่านแบบนี้เป็นสถานที่น่ารังเกียจที่สุด หากไม่ใช่เพราะงานเขาจะไม่มีวันมาเหยียบเด็ดขาด
ปกติเขาไม่ได้มีหน้าที่มาเจรจากับลูกค้าข้างนอกแต่วันนี้คนที่รับผิดชอบงานติดธุระสำคัญ เขาจึงโดนคนมีอำนาจสั่งให้มาแทน ทั้งที่รู้ว่าเขาเกลียดการพบเจอคนขนาดไหนก็ยังกล้าที่จะสั่ง ใบหน้าชายหนุ่มบิดเบี้ยวไปตามแรงอารมณ์ ยามนึกถึงสัมผัสน่ารังเกียจก็คันไปทั่วร่างกายจนต้องใช้เล็บเกาซ้ำๆ ยิ่งเจ็บปวดทรมานมากเท่าไหร่ความอึดอัดใจก็เริ่มเบาบางลงเท่านั้น
พอถึงบริษัทเขาก็หยิบผ้าปิดปากมาใส่แล้วเดินตรงไปห้องทำงานของตนทันที ระหว่างทางมีพนักงานก้มหน้ายกมือไหว้ตลอดแต่ชายหนุ่มกลับไม่ชายตามองหรือรับไหว้ใครสักคน หากเป็นพนักงานทั่วไปคงโดนเขม่นใส่แล้วแต่เพราะชายหนุ่มคือส่วนหนึ่งของบริษัทนี้ ทุกคนถึงเกรงใจไม่กล้าแสดงท่าทีออกมา
คุณแทน หรือ แทนฟ้า วราวุธกิจ อายุยี่สิบหกปี ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบริษัท วี.เค. กรุ๊ป จำกัด คนที่ใครๆ ก็ต่างพากันอิจฉา แทนเกิดมาในตระกูลเก่าแก่ที่ร่ำรวยติดอันดับหนึ่งในสิบของประเทศ เรียนจบปริญญาโทด้วยวัยเพียงสิบแปดปี ความจำที่เป็นเลิศบวกกับมันสมองที่ดีกว่าคนปกติหลายเท่าทำให้แทนสามารถเข้าทำงานในบริษัทของตระกูลได้ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบปี เป็นผู้จัดการฝ่ายที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา ประกอบกับรูปร่างหน้าตาที่ถอดแบบมาจากย่าผู้ซึ่งเคยเป็นดาราดังเมื่อสี่สิบปีก่อนทำให้เขาเป็นที่จับตามอง แต่ด้วยนิสัยชอบเก็บตัวไม่เข้าสังคมทำให้ข้อมูลส่วนตัวของแทนในสื่อนั้นมีอยู่เพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับญาติพี่น้องคนอื่นในตระกูลที่ชอบออกงานเลี้ยงสังคมอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อถึงที่หมาย แทนก็ตรงดิ่งไปเข้าห้องน้ำส่วนตัวภายในห้องทำงานที่สั่งทำขึ้นมาพิเศษเพื่อชำระสิ่งสกปรกและเชื้อโรคที่ติดตามร่างกายให้เรียบร้อยแล้วจึงค่อยกลับมานั่งเคลียร์งานที่คั่งค้างอยู่ตลอดยามบ่ายโดยไม่ได้หยุดพักจนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมการเปิดเข้ามาอย่างถืออภิสิทธิ์
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” น้ำเสียงเรียบนิ่งส่งผลให้แทนมองหน้าผู้พูดด้วยท่าทางเย็นชาไม่แพ้กัน ชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับเขา รูปร่างสูงใหญ่ที่ยังคงความดูดีเอาไว้เสมอสาวเท้าเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะทำงาน ไร้เสียงทักทายจากคนที่ก้มหน้าจมกองเอกสาร
ใช่... แทนไม่คิดสนใจการมาเยือนของทศพล
“ฉันจ้างเลขามาให้แก พรุ่งนี้เขาจะเข้ามาทำงาน” สิ้นเสียงบอกเล่า แทนขมวดคิ้วแน่นไม่พอใจ
“ผมไม่ต้องการ”
“ฉันไม่ได้ถามความสมัครใจของแก แค่มาบอกให้รับรู้” ทศพลจ้องหน้าลูกชายด้วยสายตาไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่ครอบครัวตนก็เลี้ยงมาเหมือนกัน ทำไมแทนถึงได้มีนิสัยแปลกแยกจากญาติพี่น้องมากมายนัก
“อย่าลืมกลับบ้านด้วย แม่เขาเป็นห่วง” ทศพลถอนหายใจแล้วเอาแฟ้มสีดำยื่นไปให้ แต่แทนไม่รับซ้ำยังเบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากมองกันอีก
“ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วเชิญออกไปด้วยครับ ผมจะทำงาน” แทนก้มหน้าอ่านเอกสารต่อไม่สนใจคนที่ยืนอยู่ การกระทำไร้มารยาทเหมือนไม่เห็นหัวกันทำให้ทศพลบันดาลโทสะขึ้นมา
“แกนี่มัน!...ไอ้ลูกนอกคอก!” สิ้นเสียงตะโกนด่า ใบหน้าสะบัดอย่างแรงจากการตบด้วยแฟ้มหนา แม้แรงกระแทกจะทำให้มุมปากมีเลือดไหลออกมาแต่แทนกลับมีสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“ถ้าแม่แกไม่บอกให้มาหา ฉันคงไม่มาเหยียบที่นี่หรอก!” ทศพลเดินจากไปด้วยความโมโห
ปัง!
เสียงปิดประตูดังลั่น แทนเงยหน้าขึ้นมามองเก้าอี้ที่เคยมีคนนั่งอยู่เมื่อครู่ด้วยสายตาว่างเปล่า
“ไม่เคยขอให้มา” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบสเปรย์ฆ่าเชื้อโรคใต้ลิ้นชักขึ้นมาฉีดทั่วบริเวณจนพอใจถึงเดินไปทำแผลที่ริมฝีปาก มันเริ่มอักเสบอย่างเห็นได้ชัด แทนคาดว่าอีกไม่ช้ามันคงบวมเป็นจ้ำม่วงไม่น่ามอง แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะหากต้องออกไปข้างนอกอย่างไรก็ต้องใส่ผ้าปิดปากอยู่แล้ว ใช่ว่าใครจะมองเห็นเสียเมื่อไหร่กัน
ร่างสูงยืนพิงโต๊ะเหม่อมองออกไปทางหน้าต่างด้วยสายตาหมองเศร้าในแบบที่ไม่เคยมีใครได้เห็น
“น่าเบื่อ” แทนหัวเราะขึ้นจมูกทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ทำงานตัวเดิมเพื่อจัดการเอกสารที่ทำค้างจากเมื่อครู่ต่อแต่สายตาของเขากลับสะดุดเข้ากับแฟ้มสีดำหนาที่คนเป็นพ่อยื่นให้ ชายหนุ่มมองอย่างชั่งใจก่อนเอื้อมมือไปหยิบถุงมือขึ้นมาสวมใส่ ภายในแฟ้มมีข้อมูลส่วนตัวและภาพถ่ายของคนคนหนึ่ง
นายครูซ เจนซัน อายุยี่สิบสี่ปี เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ปัจจุบันอาศัยอยู่กับแม่และน้องสาว แทนเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นข้อมูลที่ละเอียดมากเกินไป ตั้งแต่ประวัติครอบครัว ประวัติการทำงาน และข้อมูลส่วนตัวเชิงลึกที่ปกติใบสมัครงานไม่มีให้กรอก คาดว่านี่คงไม่ใช่ประวัติที่เลขาคนนี้เต็มใจให้แต่เป็นการจ้างสืบประวัติของทศพลเสียมากกว่า
ตาแก่นี่ยังเป็นคนน่ารังเกียจอยู่เหมือนเดิม ทำแต่เรื่องที่เขาไม่ชอบ แม้จะไม่ต้องการเลขาแต่คงจะปฏิเสธออกไปไม่ได้ แทนไม่อยากทำให้เรื่องวุ่นวายเพราะถ้าหากปัญหาระหว่างเขากับทศพลไม่จบลงสักทีแล้วคนเป็นย่ายื่นมือมาเข้ามาจัดการทุกอย่างให้เรื่องจะยิ่งเลวร้ายไปกว่าเดิม
เปิดไปจนแผ่นสุดท้ายก็พบรูปถ่ายขนาดฝ่ามือเป็นภาพชายหนุ่มลูกครึ่งมีรอยยิ้มหวานประทับมุมปาก แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนประเภทที่เขาเกลียดที่สุด แต่ก็คงอยู่ได้อีกไม่นานหรอกเพราะไม่เคยมีใครทนอยู่ใกล้เขาได้เลยสักคน แทนปิดแฟ้มลงหันไปสนใจกับเอกสารเหมือนเดิม เขานั่งจมอยู่กับกองงานหลายชั่วโมงจนกระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจึงเงยหน้าไปมองนาฬิกาบนฝาผนังห้องซึ่งเป็นตอนที่เข็มสั้นกับเข็มยาวชี้ไปยังเลขสิบสองพอดี
เที่ยงคืนกลายเป็นเวลาเลิกงานปกติของแทนไปซะแล้ว ชายหนุ่มเป็นคนที่ไม่เคยสนใจกับการกะเกณฑ์เวลาในการทำงานเนื่องจากไม่ชอบความค้างคา ถึงแม้จะกลับไปพักผ่อนแต่หากงานไม่เสร็จเขาก็ไม่สามารถข่มตานอนได้อยู่ดี คงเป็นเพราะแบบนี้พ่อกับย่าถึงยังไม่ตัดเขาออกจากกองมรดกหลายหมื่นล้าน แทนส่ายหน้าให้ความคิดของตัวเองแล้วปิดประตูห้องทำงานเตรียมตัวกลับไปพักผ่อนยังคอนโดส่วนตัวที่อยู่ถัดออกไปจากบริษัทไม่มากนัก
เช้าวันใหม่ยังเหมือนเดิมทุกวัน ไม่มีอะไรให้ลุ้นหรือน่าตื่นเต้น ชายหนุ่มใช้ชีวิตเป็นวังวนเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อแปดปีก่อนเป็นอย่างไรตอนนี้ก็ยังเหมือนเคย หากคนอื่นมองชีวิตของแทนคงรู้สึกถึงความน่าเบื่อไร้สีสัน แต่สำหรับเจ้าตัวการใช้ชีวิตแบบนี้คือสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว อะไรก็ตามหากดูเป็นปัญหาที่ทำให้ชีวิตด่างพร้อยเขาก็พร้อมจะตัดมันทิ้งโดยไม่สนใจ ยกตัวอย่างเช่นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
“สวัสดีครับ ผมครูซ เจนซัน ยินดีที่ได้ร่วมงานครับ” ใบหน้าเนียนใสกับรอยยิ้มจริงใจทำให้แทนรู้สึกอึดอัดใจกับการพูดคุยกับเลขาคนใหม่
“อืม” แทนพยักหน้ารับแล้วก้มลงอ่านเอกสารโดยไม่มีการต่อบทสนทนาใดๆ ทั้งสิ้น
“คุณแทนมีอะไรที่ต้องการเป็นพิเศษไหมครับ” ครูซเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่ม ที่เขาถามแบบนี้ก็เพื่อจะได้เรียนรู้ความต้องการของอีกฝ่ายเพราะเลขาคือตำแหน่งงานที่ต้องใกล้ชิดและเป็นแขนขาให้กับผู้เป็นนาย แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือความเงียบที่คนตรงหน้าไม่สนใจจะตอบ แทนพลิกกระดาษไปมาเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่หนุ่มลูกครึ่งเอ่ยไปเมื่อครู่ ครูซขมวดคิ้วเล็กน้อยกับปฏิกิริยาของคนตรงหน้า ครูซพยายามจะตั้งคำถามอีกครั้งทั้งที่ในใจเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมาเนื่องจากไม่เคยพบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
“คุณไปทำงานเถอะ” คนเป็นนายเงยหน้ามาสบตาเล็กน้อยพลางโบกมือไล่ เลขาหนุ่มชะงักตัวก่อนก้มหัวเป็นการตอบรับแล้วเดินออกจากห้องทำงานไป
ครูซยืนพิงประตูเม้มปากแน่นด้วยความไม่เข้าใจ ถ้าจะพูดให้ถูกเขารู้สึกเสียหน้ามากกว่าเพราะทั้งชีวิตไม่เคยถูกเมิน เขามักเป็นที่สนใจ ทุกคนต่างอยากเข้าหา ไม่มีสักครั้งที่รู้สึกไร้ตัวตนเหมือนยามที่ยืนอยู่ตรงหน้าแทน ดวงตาสีนิลแสนเย็นชา เสียงเรียบนิ่งไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ ยิ่งอีกฝ่ายใส่ผ้าปิดปากไว้ ครูซยิ่งไม่สามารถคาดเดาลักษณะนิสัยของเจ้านายได้เลย
งานครั้งนี้คงยากสำหรับเขาไม่น้อย ครูซถอนหายใจแล้วนั่งลงที่โต๊ะทำงานหน้าห้อง หลังเช็คตารางงานและเรียบเรียงสิ่งที่จำเป็นต้องทำเสร็จ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจลุกไปบริเวณจุดพักผ่อนที่มีของพร้อมทุกอย่างเพื่อบริการพนักงาน ระหว่างทางชายหนุ่มเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา ด้วยรูปร่างหน้าตาและตำแหน่ง เลขาของคุณแทน ที่ไม่เคยมีใครได้ครอบครอง
“นี่ไงแก คนที่เป็นเลขาคุณแทน” พนักงานฝ่ายบัญชีร่างอวบสะกิดเพื่อนที่นั่งข้างกันให้หันไปมองครูซที่เพิ่งเดินมาถึง
“หนุ่มลูกครึ่งซะด้วย” กลุ่มพนักงานสาวเมื่อหันไปมองครูซที่ส่งยิ้มเล็กน้อยมาให้ต่างร้องอุทานออกมาด้วยความชอบใจเพราะนานๆ ทีจะมีหนุ่มหล่อเข้ามาใหม่ทำให้อดตื่นเต้นไม่ได้
“น้องเพิ่งมาใหม่ใช่ไหม พี่ชื่อจ๋านะ” สาวร่างอวบเดินเข้าไปแนะนำตัวแซงหน้าเพื่อนๆ ที่นั่งมองด้วยความอิจฉา
“สวัสดีครับผมครูซ” ชายหนุ่มยิ้มรับคำทักทาย เขากลายเป็นจุดศูนย์กลางที่ดึงดูดสายตาของทุกคนไปในทันที ความรู้สึกแบบนี้ล่ะที่ครูซคุ้นเคย
“ไม่ต้องพูดสุภาพขนาดนั้นก็ได้ พูดตามปกติเถอะคนกันเอง” แล้วหลังจากนั้นครูซก็ถูกดึงเข้าสู่บทสนทนาที่ทุกคนต่างยิงคำถามใส่ไม่หยุด ทั้งเรื่องส่วนตัวบ้างเรื่องทั่วไปบ้างจนมาถึงสิ่งที่ทุกคนต่างค้างคาใจและอยากรู้มากกว่าเรื่องไหน
“พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ” พนักงานชายฝ่ายไอทีทนความสงสัยไม่ไหวจึงเป็นหน่วยกล้าตายเอ่ยออกไป
“ครับ?”
“มาทำงานเป็นเลขาคุณแทนได้ไง” สิ้นคำถามรอบข้างก็เงียบสงัดราวกับเครื่องเล่นเพลงที่ถูกปิดเสียงลง ทุกสายตาจับจ้องตรงมาอย่างรอคอยคำตอบ
“ผมสมัครเข้ามาตามปกติครับ”
“ไม่มีใครที่รู้จักอยู่ในบริษัทบ้างเลยเหรอ” หลายคนคิดว่าที่ครูซเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้ได้เพราะเส้นสาย
“ไม่มีครับ” เป็นเรื่องจริงเพราะเขามาสมัครด้วยตัวเองพร้อมรับการทดสอบความรู้แข่งขันกับคนครึ่งร้อย กว่าจะได้มาทำงานในตำแหน่งนี้ถือว่ายากพอดูแต่เงินเดือนที่ได้ก็สูงลิบเช่นกัน หากเอ่ยไปทุกคนคงได้ตกตะลึงแน่นอน
“แปลกมาก รู้ไหมพี่เห็นคุณทศพลเปิดรับสมัครเลขาคุณแทนมาเกือบหกปีแต่ไม่เคยมีใครผ่านคุณสมบัติเลยสักคน” เกิดเสียงดังเซ่นแซ่ไปทั่วบริเวณสร้างความแปลกใจให้กับคนที่บังเอิญเดินผ่านมา แทนหยุดชะงักเท้าแล้วหันไปฟังบทสนทนาเมื่อครู่ โดยที่ไม่มีใครสังเกตหรือหันมาสนใจบานประตูที่เพิ่งเลื่อนเปิดเลยสักนิด
“เหรอครับ” ครูซยิ้มรับแต่สมองกำลังประมวลสถานการณ์ทุกอย่างอยู่เงียบๆ
“ใช่ อย่าหาว่าพี่เม้าท์เลยนะ แต่คุณแทนเป็นคนที่ไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์เท่าไหร่ แถมชอบแสดงท่าทางรังเกียจคนอื่น” พนักงานทุกคนต่างพยักหน้าและส่งเสียงเห็นด้วยกับจ๋าสาวร่างอวบ ครูซรับฟังแต่ก็ไม่ได้ปักใจเชื่อเพราะเขาชอบที่จะเรียนรู้และตัดสินคนด้วยตัวเองมากกว่า
“หน้าหล่อๆ ไม่ได้ช่วยลบล้างความเย็นชาลงเลยสักนิดเดียว พี่เข้าไปรายงานสถิติทีไรแทบร้องไห้ทุกที” พนักงานชายใจสาวส่ายหน้าอย่างหวาดกลัว เมื่อนึกถึงยามที่ตนอยู่กับคุณแทนสองคน ถึงเจ้านายจะหล่อถูกใจขนาดไหนแต่สายตาเย็นชากับน้ำเสียงเรียบนิ่งก็ทำเขาหวาดผวาทุกครั้ง
“ถ้าว่างมากนักก็กลับไปทำงานได้แล้ว ถึงบริษัทจะไม่กำหนดเวลาพักแต่ก็ควรรู้หน้าที่ของตัวเองบ้าง” พนักงานมีอายุคนหนึ่งบอกด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ
“อุ้ย! *คุณพัชชา”* หญิงวัยกลางคนเธอทำงานที่นี่มานานหลายสิบปีรู้เห็นอะไรมาเยอะจึงไม่ไปสุมหัวกับคนอื่นหากแต่เอ่ยด้วยความเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่อยากให้เลขาคนใหม่ออกจากตำแหน่งไวด้วยขี้ปากของพวกช่างจ้อ เพราะคงมีโอกาสน้อยนักที่คุณแทนจะมีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่
“จะชงอะไรล่ะ” พัชชาถามพร้อมกวักมือเรียกให้ครูซเดินเข้ามาในโซนชงเครื่องดื่ม ซึ่งพนักงานหลายคนที่ยืนขวางทางอยู่ดูจะเกรงใจผู้หญิงคนนี้มากจึงก้มหน้าหลีกทางให้ ครูซก้าวมาหาพัชชาด้วยความรู้สึกถูกชะตา อาจเป็นเพราะด้วยอายุและการพูดจาดูคล้ายกับแม่ของเขา
“ผมแค่อยากมาชงกาแฟให้คุณแทนแต่ไม่ทราบว่าเขาชอบรสชาติแบบไหน”
“เรื่องอาหารเครื่องดื่มเธอไม่ต้องใส่ใจหรอก คุณแทนเขาจัดการตัวเองได้แค่ช่วยทำงานให้เต็มที่ก็พอ”
“ใช่ๆ คุณแทนเขาไม่แตะของที่ใช้ร่วมกับคนอื่น แถมเป็นอะไรที่มาจากพนักงานอย่างเราอย่าหวังเลย” คาดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับพนักงานคงไม่ดีเท่าไหร่ ทุกคนถึงพยายามพูดถึงอีกฝ่ายในเชิงลบให้เขาฟัง ครูซยิ้มรับทุกคำพูดทำให้หลายคนยิ่งอยากเล่า ชายหนุ่มลูกครึ่งจึงได้ฟังเรื่องราวของแทนจากปากคนอื่น มากมาย สำหรับเขานี่เป็นการเก็บข้อมูลไม่ได้มีจุดประสงค์อยากนินทาเหมือนหลายคน ในเมื่อแทนนั้นเข้าถึงยากเขาก็จำเป็นต้องรู้เรื่องทั่วไปเกี่ยวกับอีกฝ่ายให้มาก แต่ไม่ใช่ว่าจะตัดสินคนคนหนึ่งจากคำบอกเล่า เขาแค่อยากรู้ว่าภาพลักษณ์ที่ทุกคนมองแทนว่าเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนแบบไหน แน่นอนว่าครูซต้องอยากเรียนรู้ด้วยตัวเอง
พัชชาไม่พอใจกับคำวิจารณ์แต่เธอไม่เถียงเพราะมันไม่มีประโยชน์อะไร คนพวกนี้ตัดสินจากการกระทำที่ผ่านมาของคุณแทน จะไปนั่งอธิบายให้ทุกคนเข้าใจก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะคุณแทนก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เธอเอ่ยลาครูซแล้วเดินออกไปทันที
“คุณแทน” พัชชาเรียกคนตรงหน้าด้วยความตกใจ เธอไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมายืนอยู่ตรงนี้
“สวัสดี” แทนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนทุกที พัชชาเป็นบุคคลเดียวในบริษัทที่ไม่ถูกเมินและยังได้รับการทักทายเสมอจากคนเป็นนาย
“มานานแล้วหรือคะ” พัชชายิ้มใจดีให้เช่นเคยไม่เปลี่ยนแปลง แทนพยักหน้ารับน้อยๆ
“คุณแทนไม่สมควรต้องมาฟังอะไรแบบนี้เลย”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” แค่บังเอิญผ่านมาได้ยินชื่อของตนอยู่ในบทสนทนาจึงหยุดฟังถึงได้รู้ว่าพนักงานต่างคิดกับเขาแบบไหน แต่มันก็ไม่ได้สลักสำคัญว่าใครจะคิดอย่างไร เพราะชายหนุ่มสนใจแค่ผลงานเท่านั้นหากยังทำงานได้ดีอยู่เรื่องอื่นเขาก็ไม่หยิบยกเอามาเป็นอารมณ์
พัชชามองเจ้านายหนุ่มด้วยความห่วงใย นับวันคุณแทนของเธอช่างดูห่างไกลออกไปทุกที กลัวว่าหากไม่จับยึดเอาไว้แน่นๆ คนตรงหน้าจะเลื่อนหายไปจนไม่อาจจับแตะได้อีกเลย
“เรื่องเลขาคนใหม่ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกฉันนะคะเดี๋ยวช่วยจัดการให้”
“ตอนนี้ยังไม่มี”
“ดีแล้วค่ะ มีคนมาช่วยแบ่งเบางานให้คุณแทน ฉันก็ดีใจ” พัชชาพยักหน้ารับ เอื้อมมือมาลูบแขนตามความเคยชินและพูดคุยกับแทนต่ออีกไม่กี่ประโยคก่อนเดินจากไปทำงานต่อ ชายหนุ่มมองตามไปจนสุดสายตา ในชีวิตเขามีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถสัมผัสร่างกายแล้วไม่เกิดอาการขยะแขยง หนึ่งในนั้นก็คือ พัชชา ผู้เป็นทั้งพี่เลี้ยงตอนเด็กและคนสอนงานให้แก่เขา
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูทำให้แทนเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์พลางถอนหายใจเบื่อหน่าย เพราะแบบนี้ไง เขาถึงไม่อยากมีเลขา ชอบมาเสนอหน้าในยามที่เขาไม่ต้องการ
“ผมขออนุญาตเข้าไปนะครับ” แทนกำปากกาในมือแน่นด้วยความอึดอัดใจ ปกติห้องทำงานของเขาไม่ใช่ที่ที่ใครก็สามารถเข้าออกได้ง่ายๆ แต่วันนี้มันเข้ามาไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งได้แล้ว คิดไหมว่าเขาต้องมาคอยนั่งฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อมากมายขนาดไหน
“คุณ... // เปิดเข้ามา!” แทนตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงกระชากที่บ่งบอกได้ถึงอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูงจนต้องหาที่ระบาย ชายหนุ่มนั่งจิกมือตัวเองจนหนังถลอกเลือดไหลซิบออกมาแต่ว่าครั้งนี้ดูจะไม่ค่อยได้ผลเพราะความอึดอัดใจกับความเครียดไม่ได้จางลงไปสักนิด
“วันนี้ตอนบ่ายสามมีนัดทำสัญญากับบริษัท เจ.เค. นะครับ” ครูซรับรู้ได้ถึงบรรยากาศมาคุในห้องที่คนเป็นเจ้านายแผ่ออกมา เขาเดินไปใกล้แล้วยื่นแฟ้มรายละเอียดงานให้
“ไม่มี”
“ครับ?” เสียงแผ่วเบาที่เอ่ยออกมาทำให้ครูซขมวดคิ้วสงสัยขยับตัวเข้าไปหา แทนตกใจกับการโน้มตัวลงมาใกล้จึงรีบลุกขึ้นถอดหลังไปยืนชิดกำแพงพร้อมพูดออกมาด้วยเสียงที่ดังลั่น
“จะไม่มีการนัดเจอใครทั้งนั้น!” เลขาหนุ่มมองการกระทำนั้นด้วยความแปลกใจ เจ้านายรังเกียจเขาถึงขนาดนี้เลยเหรอ แม้จะรู้สึกเสียหน้าแค่ไหนแต่ครูซก็ยังไม่ลืมหน้าที่ตัวเอง
“แต่วันนะ... // ผมบอกไม่ก็คือไม่” คนเป็นเลขายังพูดไม่ทันจบ เจ้านายหนุ่มก็พูดตัดหน้าแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงมุมกระจกใสที่สามารถมองเห็นวิวได้ทั่วเมืองหลวง
“แต่มีสัญญาที่ต้องเซ็น” ครูซย้ำอีกครั้ง เขาไม่เข้าใจกับพฤติกรรมของแทนเลยสักนิด ถ้าไม่ชอบหน้ากันก็ไม่น่าจะเอามาเหมารวมกับงานเลย ทั้งที่ดูเป็นคนที่จริงจังแท้ๆ
“งานนี้สำคัญมากนะครับ” แทนฟังแล้วรู้สึกหงุดหงิดในใจ สิ่งที่เขาเกลียดคือการที่ใครมาบังคับสั่งให้ทำนู่นทำนี่
“ถ้าสำคัญขนาดนั้นก็ไปเองสิ!!”
ครูซยืนนิ่งเมื่อได้ฟังเจ้านายตนพูดจบประโยค
TBC.