บทที่ 15 คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
กว่าเจ้าจันทร์จะสามารถพูดคุยกับนเรศจนตกลงกันได้ เจ้าจันทร์ถึงกับต้องปาดเหงื่อแล้วปาดเหงื่ออีก เจรจากันนับร่วมชั่วโมงก็จบลงด้วยการวกกลับมาที่เดิมทุกที นั้นคือเขาไม่ยอม สุดท้ายต้องอาศัยคนกลางอย่างป้าสุดาที่ต้องมาคอยไกล่เกลี่ยให้ นเรศถึงยอมตกลงให้เจ้าจันทร์ติดต่อทางบ้านได้
เจ้าจันทร์ให้คำนิยามกับนเรศ นิสัยที่นเรศแสดงออกมันทั้งดื้อด้านและงี่เง่า ไม่ต่างจากเด็กอนุบาล หางตาพลอยเหลือบหันไปมองใบหน้าถมึงทึงของนเรศที่ยืนขนาบข้างอยู่ เจ้าจันทร์ไม่เข้าใจเขากับแค่การมาขอใช้โทรศัพท์เขาถึงกลับต้องมายืนเฝ้าขนาดนี้เลยหรือ เขาไม่ต้องทำงานการแล้วใช่ไหม
“สวัสดีครับ ชญตว์พูดครับ” ปลายสายตอบรับด้วยน้ำเสียงเจือกระแสความอ่อนแรง
จู่ๆ น้ำตาก็ไหล ความคิดถึงมากมายถาโถมเข้าใส่ เจ้าจันทร์คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คิดถึงทุกคน ฝ่ามือถูกยกขึ้นปิดริมฝากเพื่อกลั่นเสียงสะอื้น
“สวัสดีครับ” ชญตว์แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมตอบสิ่งใด จนเกือบจะวางสายไปแล้วจึงได้ยินเสียงสั่นๆ อันคุ้นหู
“พ่อ...” ร่างเจ้าจันทร์ถูกดึงเข้าไปกอดเสียงทุ้มนุ่มหูกระซิบคำปลอบประโลมให้เจ้าจันทร์รู้สึกสงบ “พ่อเจ้าเองนะ” จบประโยคคล้ายได้ยินเสียงโครมครามสลับกับเสียงร้องเรียกหาภรรยา เสียงวิ่งทัก ๆ เงียบหายไปแทนที่ด้วยเสียงหวานของสตรี
“นั่นเจ้าใช่ไหมลูก” น้ำเสียงที่เอ่ยถามสั่นพร่า ไม่รอให้เจ้าจันทร์ได้ตอบกลับปลายสายก็รัวคำถามใส่
“เจ้าตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหน? เกิดอะไรขึ้นทำไมไม่ติดต่อมา? ปลอดภัยดีใช่ไหม?” ประโยคสุดท้ายเสียงเบาหวิวแทบกลายเป็นกระซิบ แม่กำลังร้องไห้
“แม่...เจ้าขอโทษ” เจ้าจันทร์พูดได้แค่นั้นก็เอนร่างที่อ่อนแรงซบกับแผ่นอกอีกคนให้ช่วยพยุง
“ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร แค่ลูกปลอดภัยแม่ก็ดีใจแล้ว” พูดไปก็ได้ยินเสียงสูดน้ำมูก คาดว่าคงเป็นคุณชญตว์ที่กำลังร้องไห้
“ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นหรือลูก” น้ำเสียงเจือกระแสความอบอุ่นช่วยปลอบประโลมหัวใจของเจ้าจันทร์ให้มีแรงกำลังขึ้นมา
“...” เจ้าจันทร์เงียบกริบไม่รู้จะบอกมารดาและอธิบายให้ฟังยังไง จะให้บอกความจริงหรือ... เจ้าจันทร์หันใบหน้าไปมองคนที่ยืนประคองด้านหลัง เจ้าจันทร์ก็ไม่ต้องการให้พ่อแม่เป็นห่วง “ขอโทษครับแม่ เจ้ามาทำงานช่วยเพื่อนอยู่บนเกาะ ไม่มีคลื่นเลยติดต่อใครไม่ได้ เจ้าขอโทษจริงๆ ครับ” ในใจรู้สึกผิดกับคำโกหกที่เจ้าจันทร์ทำเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางบอกความจริง ได้ยินปลายสายตอบกลับมาเพียงไม่เป็นไรๆ แล้วน้ำตาซึมยิ่งกว่าเดิม
“ตอนนี้เจ้าสุขสบายดีไหม เล่าให้แม่ฟังหน่อยว่าเรื่องไปยังไงมายังไง แล้วเจ้าจะกลับมาเมื่อไหร่ลูก” เสียงสูดน้ำมูกสลับกับคำถามช่วยให้เจ้าจันทร์ยิ้มทั้งน้ำตา
“เจ้าสบายดีอีกสองสามวันก็กลับแล้วครับ” อีกคนที่ได้ยินคำตอบยื่นมือออกมากำข้อมือเล็กแน่น แต่เจ้าจันทร์ไม่ต้องการใส่ใจ จึงทำเพียงแค่ขยับให้หลุดจากอุ้งมือแกร่งเท่านั้น “พอดีวันที่เจ้าจันทร์กำลังเลิกงาน มีเพื่อนมาหาบอกขาดคนมาช่วยงาน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เจ้าจันทร์เลยอาสาเพราะเห็นว่าทำไม่นาน...”
“ดีลูกถือว่าช่วยๆ กันไป แต่น่าจะติดต่อกลับมาบ้างรู้ไหมเราทำให้ทุกคนเป็นห่วง” ผู้เป็นว่าเอ่ยอย่างเข้าใจแต่ก็ไม่วายตำหนิ
เจ้าจันทร์ได้แต่ร้องบอกขอโทษเสียงอ่อน “ขอโทษครับ เจ้าไม่คิดว่าที่เกาะจะไม่มีสัญญาณ นี่ก็เข้าเมืองมาถึงโทรกลับบ้านได้” เจ้าจันทร์ได้แต่ขอขมาพ่อแม่ในใจที่โกหกคำโต
หลังจากนั้นก็พูดคุยถามไถ่กันอีกหลายเรื่องก่อนจะวางสายไปด้วยความโหยหาย
“พี่ไม่ให้เจ้ากลับ” โทรศัพท์วางลงได้เพียงครึ่งลมหายใจคนด้านหลังก็แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดื้อดึง
พี่? เจ้าจันทร์เงยหน้าขึ้นมองนเรศแล้วถอนหายใจ “คุณไม่สามารถกักขังผมได้” ว่าจบก็เดินเลี่ยงไปอีกทางแต่ต้นแขนก็ถูกนเรศคว้าเอาไว้
“พี่ทำได้ เจ้าจันทร์ก็รู้” พอได้ฟังเจ้าจันทร์ถึงกับขมวดคิ้วแล้วสะบัดแขนให้หลุดจากอุ้งมือใหญ่ก่อนจะเดินจากไป
ป้าสุดาถอดหายใจเฮือกใหญ่กับบรรยากาศอันน่าอึดอัดในบ้าน สายตาของเธอจับจ้องมองเจ้านายหนุ่มที่ไม่ยอมละสายตาจากเจ้าจันทร์เลยสักเสี้ยว เห็นคุณเจ้าอยู่ที่ไหนเป็นอันต้องพบเจ้านายที่นั้น ดูใบหน้าคุณเจ้าเธอตอนนี้สิ แทบจะจับเจ้านายของเธอกินได้แล้วกระมัง
“คุณจะเลิกจ้องผมได้หรือยัง” เจ้าจันทร์ตัดสินใจวางหนังสือที่นั่งอ่านอยู่ เงยหน้าไม่สบอารมณ์ขึ้นมามองคนที่เสสายตาหลบ
“...” นเรศไม่ตอบเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน
ดี! มาแกล้งหูทวนลม
“เอ๊ะ! มีเรือมาเทียบท่าใครมากัน” และก่อนที่ทั้งคู่จะได้ทะเลาะกันอีก ป้าสุดาก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับวางงานในมือเพื่อออกไปดูว่าใครมา “คุณนเรศคะ...” ป้าสุดาที่เดินออกไปข้างนอกรีบพาร่างอวบของเธอวิ่งกลับเข้ามาด้วยท่าทางตื่นตูม เธอเกือบจะพลั้งปากรายงานแต่แล้วเหมือนนึกขึ้นได้จึงเงียบลง
“ใครมาสุดา” นเรศหันกลับมาสนใจเมื่อจู่ๆ ป้าสุดาก็เงียบไป
คุณชลค่ะ ป้าสุดาไม่กล้าออกเสียงทำปากพะงาบๆ บอกเจ้านายหนุ่มที่รีบลุกพรวดทันที
นเรศลุกขึ้นรีบออกคำสั่งแล้วสืบเท้าเข้าไปหาเจ้าจันทร์ที่นั่งอ่านหนังสือบนโซฟา “สุดาออกไปรับแขกได้เลย เจ้าจันทร์มานี่สิ” เจ้าจันทร์ที่เงยหน้ามองดูด้วยความงุนงงช่างไม่ทันใจนเรศ เขาไม่รอช้าช้อนคนตัวเล็กขึ้นอุ้มแล้วพาไปยังห้องนอนทันที
“อะไรของคุณ ปล่อยนะ” เจ้าจันทร์โวยวายไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย
นเรศค่อยๆ วางร่างเจ้าจันทร์ลงบนเตียง เมื่ออีกฝ่ายเป็นอิสระก็รีบถอยห่างจากเขาทันที “รอพี่อยู่บนนี้นะ” ไม่ว่าเปล่าแต่นเรศยังโน้มตัวเข้าใกล้ใบหน้าเนียน แล้วประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากเล็กทิ้งท้ายก่อนจะรีบเดินหายไป และยังไม่วายล็อคประตูจากข้างนอก
แกร็ก!
เจ้าจันทร์รีบถลาลงทันทีแล้วรัวมือทุบประตูดังลั่น พร้อมตะโกนอย่างหัวเสีย “นี่คุณจะมาขังผมแบบนี้ไม่ได้นะ! คุณนเรศ” เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงกลับมาเป็นแบบนี้อีกแล้ว แขกที่มาเป็นใครกัน...แฟนหรือ? ถึงต้องพาเจ้าจันทร์มาขังไว้แบบนี้
“พี่นเรศ!” ชลธารตะโกนลั่นบ้านด้วยอารมณ์ค่อนข้างเดือด และยิ่งบ้านไร้เงาของพี่ชายเธอยิ่งมีใบหน้าถมึงทึงจนคนที่กำลังวิ่งตามอย่างณัฐธัญรู้สึกกลัวแทนนเรศ สองพี่น้องคู่นี้อารมณ์ร้อนพอกัน ถึงชลธารมองดูแล้วจะดูใจเย็นกว่าผู้เป็นพี่ชาย แต่ความจริงเธอคือคนที่อารมณ์ร้อนเสียยิ่งกว่านเรศซะอีก แล้วเมื่อรวมอารมณ์แปรปรวนของคนท้องเข้าไปด้วย บอกได้เลยว่างานนี้นเรศมีเละ
“ชลเดินช้าๆ สิคะ” ณัฐธัญรีบห้ามภรรยาที่ดูเหมือนจะไม่สนใจอะไร ตั้งแต่เข้าไปขอดูกล้องวงจรปิดร้านที่เจ้าจันทร์เป็นพนักงานวันนั้น เธอก็รีบลากเขาข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาพี่ชายทันที
“คุณชลคะเดี๋ยวคุณนเรศลงมาค่ะ” ป้าสุดาเองก็รีบห้ามปรามคนที่ตั้งท่าจะเดินขึ้นบันได
และก่อนที่ชลธารจะได้ขึ้นไปตามพี่ชายถึงห้อง พี่ชายที่กำลังตามหาตัวก็โผล่หน้าออกมาพอดี “มีอะไรหรือชล” นเรศเอ่ยถามน้องสาวที่กำลังตั้งท่าก้าวขึ้นบันได มองดูท่าทางอารมณ์ไม่สู้ดีของคนรอบข้างแล้วเขาพอจะเดาได้ลางๆ ชลธารคงรู้แล้วว่าเจ้าจันทร์อยู่ที่นี่ แต่ถ้าเขายืนกรานใครจะพาเจ้าจันทร์หนีไปจากเขาได้
“เจ้าจันทร์อยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ” ชลธารตรงเข้าประเด็นทันที
“ใช่” นเรศเองก็ตอบอย่างไม่อ้อมค้อมเช่นกัน ในเมื่อรู้แล้วเขาก็ไม่อยากปิดบัง
“พี่นเรศ!” คราวนี้เธอตวาดเสียงดังลั่นบ้านถ้ากระทืบเท้าได้คงทำไปแล้ว “พี่จับตัวเจ้าจันทร์มาขังไว้ที่นี่ใช่ไหม” คราวนี้เธอร้องถามเสียงแหลมด้วยความโมโห และเมื่อผู้เป็นพี่ชายพยักหน้ายอมรับฝ่ามือบางก็ยกขึ้นสะบัดใส่หน้านเรศทันที
เพียะ!
“...” ป้าสุดาอุทานไม่มีเสียงพร้อมยกมือขึ้นปิดริมฝีปาก ปกติทั้งสองพี่น้องรักกันมาจนแทบไม่เคยทะเลาะให้เห็น แต่วันนี้คุณชลเธอถึงกับตบหน้าพี่ชาย เห็นทีว่าเธอจะต้องโกรธมาก
ณัฐธัญอยากจะหัวเราะคู่อริอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าตอนนี้เมียกำลังเลือดขึ้นหน้า เดี๋ยวได้เป็นลมเป็นแล้ง “ใจเย็นๆ นะคะชล มาไปนั่งพักที่โซฟาก่อนนะคะธัญเป็นห่วง” เขารีบเข้าห้ามพยายามดึงตัวชลธารออกมาสงบสติอารมณ์ที่โซฟา ซึ่งชลธารก็ทำตามอย่างว่าง่ายด้วยรู้ดีว่าตอนนี้เธอไม่ได้ตัวคนเดียว
“เจ้าจันทร์อยู่ไหน ชลอยากเจอเจ้าจันทร์” เมื่อพี่ชายตามมานั่งตรงข้ามเธอก็รีบถามทันที
“อยู่บนห้อง”
“พี่นเรศขังเจ้าจันทร์ไว้?”
“...”
ความเงียบของพี่ชายเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี ชลธารอยากจะลุกขึ้นตบหน้าพี่ชายอีกครั้ง แต่พอเห็นใบหน้าคมคายนั้นขึ้นรอยนิ้วแดงเป็นแถบก็ต้องสงบอารมณ์ แต่อารมณ์ดุเดือนของคนท้องอย่างเธอต้องหาที่ระบาย สุดท้ายคนที่เดือนร้อนไม่พ้นสามีที่นั่งอยู่ข้างกาย
“โอ๊ย! ชลมาข่วนธัญทำไมคะ” ณัฐธัญร้องลั่นเจ็บจี๊ดไปทั้งแขนเมื่อภรรยาหันมาข่วนเสียเต็มเล็บ
“อยากตีพี่นเรศ” ชลธารว่างั้น ทำให้คนฟังอย่างณัฐธัญแสดงสีหน้าไม่ถูก ส่วนเจ้าคนที่ถูกน้องสาวคาดโทษกลับเลิกคิ้วแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ไม่ต้องมายิ้มเยาะคนอื่น” ว่าจบก็ตีท่อนแขนล่ำสันของพี่ชายอีกเพียะ “บอกมาทำไมถึงไปจับเจ้าจันทร์มาแบบนั้น” แขนเรียวทั้งสองยกขึ้นกอดอก ชลธารมอดูพี่ชายเหมือนมองดูนักโทษที่รอสอบสวน
“พี่เข้าใจผิด” คำตอบเรียกเสียงกรี๊ดดังลั่นจากชลธารจนยกมือขึ้นอุดหูแทบไม่ทัน
“พี่เข้าใจผิดคิดว่าเจ้าจันทร์ทำชลท้องหรือไง” คราวนี้ทั้งสองหนุ่มต่างสะดุ้งทั้งคู่ “แล้วอย่าบอกนะว่าพี่นเรศทำแบบนั้นกับเจ้าจันทร์” ยิ่งได้ฟังน้องสาวคาดเดานเรศยิ่งหน้าหมองลง เพราะชลธารเดาได้ถูกทุกข้อ “ชลจะเป็นลม” จบประโยครอบด้านพลันวุ่นวาย ณัฐธัญรีบคว้าเอายาดมมาให้ภรรยาทั้งยังทำหน้าที่บีบนวดให้อย่างไร้ที่ติ
ชลธารหยุดสอบสวนพี่ชายแต่เรียกป้าสุดาและโอภาสมาสอบถามแทน เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดคราวนี้ชลธารอยากจะเป็นลมจริงๆ พี่นเรศทำอะไรลงไป! พี่ชายของเธอทำลายชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีความผิดอะไรเลย แต่พอลองหันกลับมามองท่าทางหงอๆ ของพี่ชายตัวเอง ชลธารก็พอคาดเดาบางอย่างได้ ให้ตายเถอะพี่ชายของเธองี่เง่า คิดว่ากำลังเล่นละครจำเลยรักอยู่หรือไง
“ไม่ว่ายังไงพี่นเรศก็ต้องปล่อยเจ้าจันทร์กลับบ้าน...ห้ามเถียง” เธอชี้หน้าพี่ชายที่ตั้งท่าจะค้านทันที “ชลจะขึ้นไปหาเจ้าจันทร์ ป้าสุดาพาไปทีคะ” ชลธารหันไปหาป้าสุดาให้ช่วยพยุงขึ้นไปพบเจ้าจันทร์บนนห้อง ภายในห้องรับแขกจึงเหลือเพียงสองหนุ่มเท่านั้น
“ฉันเข้าใจแกวะ” ณัฐธัญเอ่ยขึ้นมาในที่สุด
“...” นเรศยังคงนั่งนิ่งคล้ายคนที่ไม่มีสติอยู่กับตัว
“เฮ้อ...” เสียถอนหายใจครั้งนี้เรียกคนที่ไม่มีสติให้เงยหน้าขึ้นมามอง ณัฐธัญจึงตัดสินใจเดินอ้อมโซฟาไปนั่งลงที่พนักพิงข้างๆ นเรศ “นเรศ ฉันทำให้แกเห็นเป็นตัวอย่างแล้วทำไมแกถึงเลือกทำตามฉันวะ” ณัฐธัญยังจำวันที่ชลธารหายไปได้ วันนั้นเขาเหมือนถูกควักหัวใจ ถอดวิญญาณออกจากร่าง แทบจะคลั่งตายเพียงเพราะกลัวว่าจะไม่ได้เจอเธออีก เขากลัวที่จะไม่ได้เธอคืน คิดแล้วยังหลงเหลือความรู้สึกที่แสนน่ากลัวนั้นอยู่ภายในจิตใจ
“...” นเรศยังคงนั่งนิ่งเพราะในหัวตอนนี้มีความคิดตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด
“แกน่าจะรู้จักน้องสาวแกดี เธอจะต้องพาเจ้าจันทร์กลับบ้าน...”
“ไม่” นเรศแทรกขึ้นมาพร้อมลุกพรวดเตรียมจะพุ่งถลาไปข้างบน แต่มีมือหนาของณัฐธัญคว้าเอาไว้พลางส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม
“ถ้าไปตอนนี้ฉันเชื่อว่าแกจะต้องโดนชลกระทืบแน่...ฉันเป็นห่วงลูกฉันว่ะ”
นเรศเดินกลับมานั่งบนโซฟาตัวเดิมพร้อมทั้งยกมือขึ้นกุมขมับ “ฉันจะทำยังไงดีวะ” ในที่สุดก็ตัดสินใจถามคู่อริที่เคยประสบปัญหามาก่อน อย่างน้อยมันก็คงรู้วิธีจัดการมากกว่าเขาที่ตอนนี้สมองขาวโพลนไปหมด
“ถามจริงเจ้าจันทร์โกรธแกมากไหม”
“ไม่รู้ เจ้าจันทร์บอกแค่อยากกลับบ้าน ฉันไม่รู้ว่าเขาโกรธฉันไหม เพราะเรามักเถียงกันแค่เรื่องกลับบ้าน”
“จากที่ฟังที่แกว่ามา...ฉันว่าเจ้าจันทร์ดูเหมือนไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดแกเลยวะ” จบประโยคนเรศที่นั่งก้มหน้ามาตลอดจึงเงยขึ้นมาสบตากับณัฐธัญ คิ้วเข้มขมวดจนแทบผูกเป็นปม “เอ๊ามองหน้า ฉันพูดตามเนื้อผ้าโว้ย” พูดไปณัฐธัญก็จิ๊ปากทำท่าเป็นผู้รู้ขึ้นมา “ลองคิดดูนะโว้ย ขนาดชลเป็นผู้หญิงยังโกรธฉันหัวฟัดหัวเหวี่ยงโดนตบโดนเอาคืนมาขนาดไหน ที่แกเคยเห็นน่ะจิ๊บๆ โฮย...อย่าให้นึกถึงกรงเล็บแม่เจ้าประคูณข่วนแต่ละที หน้าฉันนี่ลายเป็นแถบ ๆ แล้วนี่เจ้าจันทร์เป็นผู้ชายเท่าที่สังเกตแกดูก็ไม่มีช้ำเสียหายตรงไหน ถ้าลองเป็นฉันโดนทำแบบนี้บ้างรับรองได้เลยไม่ฉันก็แกที่เป็นศพกันไปข้าง ดังนั้นสรุปเลยว่าทางสายกลาง เจ้าจันทร์เป็นทางสายกลางแน่นอน” จบประโยคก็ตบพนักพิงโซฟาดังป๊าบ
“ยังไงวะ” นเรศขมวดคิ้วงุนงงยิ่งกว่าเดิม
ณัฐธัญทำวางท่าเป็นผู้รู้ขึ้นมาอีกรอบ “แกจำเอาไว้ว่าคนที่ไม่โกรธ ไม่เกลียด แบบนี้เป็นพวกเดินทางสายกลาง เมื่อไม่โกรธ ไม่เกลียด ก็ไม่รักเช่นเดียวกัน อย่างเดียวที่ฉันบอกแกได้ในตอนนี้ ทำใจเถอะวะ เจ้าจันทร์เป็นคนประเภทนั้น” ท่าทางยักไหล่ราวกับบอกให้นเรศตัดใจทำเอาคนฟังกำหมัดแน่น ถ้าไม่ติกว่ากำลังขอคำปรึกษาเขาก็อยากจะลุกขึ้นซัดปากเจ้าคนพูดสักทีสองที “แกน่าสงสารกว่าฉันเยอะ” ว่าจบก็หัวเราะหึหึน่าถีบเข้าไปอีก “กว่าจะตามง้อชลได้ฉันต้องผ่านอะไรมาเยอะ ทั้งโดนตีนแกยำโดนชลโขกสับ...อะแฮ่ม แต่ฉันก็เต็มใจ ฉันรู้ว่าที่ฉันโดนน่ะน้อยกว่าที่ชลเคยได้รับด้วยซ้ำ ดังนั้นฉันเลยไม่ย่อท้อ และฉันคิดเสมอว่าเพื่อครอบครัวฉันเลยผ่านมันมาได้ แต่แกนี่สิน่าสงสารกว่าฉันเยอะ เพราะแกน่ะเจองานช้าง ไม่ใช่ช้างธรรมดานะช้างแมมมอธเลยโว้ย เห็นทีต้องเอาสารพัดวิธีง้อออกมาใช้ ไม่งั้นแกก็อย่าหวังว่าจะง้อเมียสำเร็จ” ผู้เชี่ยวชาญด้านประสบการณ์พูดไปพร้อมทำท่าทางประกอบ จากที่ดูเหมือนจะซีเรียสกลับทำให้น่าขันขึ้นมาแทน
“แล้วต้องทำยังไง” นเรศตัดสินใจพึ่งอดีตคู่อริอย่างเสียไม่ได้ ก็นะมันมีประสบการณ์เขาก็ขอคำแนะนำนิดๆ หน่อยๆ ไว้ใช้บ้างจะเป็นไร แต่นเรศรู้ดีว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความพยายามของเขาเองทั้งหมด
“สำหรับเจ้าจันทร์ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก…ใช้ไม่ได้ พาลจะทำให้เจ้าตัวรำคาญแกมากกว่าเดิมซะอีก แต่ให้ใช้หลักจิตวิทยา และขั้นแรกที่ต้องทำคือปล่อยเจ้าจันทร์กลับบ้าน”