วันหนึ่งน้ำถามกับนนท์ว่า “พี่กลัวว่าตัวเองจะตายรึเปล่า”
“กลัวตายเหรอ…” นนท์ทวนคำถาม
“อืม” น้ำนั่งรอคำตอบอยู่ที่พื้นในห้องนอนพี่ชาย นนท์เปิดหน้าต่างห้องเพื่อให้อากาศถ่ายเท สายตาเหมือนจะมองออกไปที่ก้อนเมฆ
“กลัวสิ ถึงได้ใช้ชีวิตแบบนี้ แบบที่คิดว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย”
“แต่พี่ก็หายมานานปีแล้ว ไม่เห็นต้องกลัวเลย”
“หายจากโรคนั้น แต่สักวันก็ต้องตายอยู่ดี”
“ผมไม่เคยคิดว่าความตายมันใกล้กับเราขนาดนั้น แต่มีอยู่วันหนึ่งที่ผมรู้สึกมีความสุขมาก…มากจนอยากให้มันเป็นวันสุดท้ายของชีวิตด้วยซ้ำ”
“นายแค่กำลังมีความรัก”
“พี่เคยรู้สึกแบบนี้ไหม” นนท์หันไปมองน้ำที่ถาม ยิ้มบางให้น้องชาย
อีกครั้งที่น้ำรอคำตอบ เขาสนิทกับพี่ชายไม่เท่าพี่เก้า ยิ่งโตขึ้นพี่ชายเขาก็ชอบหายออกจากบ้านไปหลายๆ วัน น้ำไม่รู้ว่านนท์ไปใช้ชีวิตอิสระที่ไหน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พี่ชายอยู่บ้านเขาจะต้องมาหาที่ห้อง บางครั้งก็อยู่เงียบๆ บางครั้งก็คุยกัน ไม่ได้สนิทกันมากมาย แต่ก็มีสายใยระหว่างกันที่พิเศษ
“ใครก็คงเคยทั้งนั้น” นนท์ตอบ ละสายตาที่มองน้องชายหันมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิม แล้วต่างคนก็ต่างเงียบ ตกอยู่ในห้วงภวังค์ร่วมกัน
เป็นความจริง ไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรยที่ว่าน้ำมีความสุขมากจนอยากให้มันเป็นวันสุดท้าย เขากับเก้าไม่เคยบอกรักกัน ไม่เคยพูดคุยถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้นต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าพวกเขาสำคัญต่อกันแค่ไหน
ในที่สุดเก้าก็อนุญาตให้น้ำเข้าห้องนอนของเขาอีกครั้ง มันเริ่มต้นจากการจูบกันในห้องครัวและบรรยากาศเงียบสงบที่แสนจะเป็นใจ เมื่อจูบถึงในระดับที่ทนไม่ไหว เก้าก็ช้อนตัวน้ำอุ้มพาดบ่าเดินขึ้นชั้นบน เขาได้ยินเสียงน้ำหัวเราะในบางทีที่เกือบเสียการทรงตัว พอถึงหน้าห้องเขาก็เตะประตูเปิดออกอย่างรีบร้อน จับน้ำทุ่มลงบนเตียง และใช้เวลายาวนานอยู่ในนั้นเท่าที่กำลังของเขาจะสามารถทำได้
ครั้งแรกของน้ำเจ็บมากแต่เขาก็ยินยอมพร้อมใจ ค่อยๆ เรียนรู้ไปจนสามารถมีความสุขกับมัน เขาเห็นอีกด้านหนึ่งของเก้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและเป็นด้านที่เขาไม่เคยจินตนาการถึง มีความเอาแต่ใจ เร่าร้อนดุดัน แต่บางครั้งก็อ่อนโยน ออดอ้อน และอบอุ่น ซึ่งทั้งหมดนั้นยิ่งทำให้เขารักเก้า รักทุกสิ่ง รักทุกๆ อย่างที่เป็นคนๆ นี้
พวกเขาสัมผัสกันครั้งแล้วครั้งเล่า รู้จักพื้นที่ทุกส่วนบนร่างกายอีกฝ่าย เก้าแน่ใจว่าริมฝีปากของเขาลากไล้ทั่วทุกพื้นที่บนร่างกายของน้ำแล้ว ไม่มีตรงไหนที่เล็ดรอดไปได้ ใช้เวลาโรมรันกันบนเตียงครึ่งค่อนวันในสุดสัปดาห์ จูบดูดดื่มยาวนานก่อนจะแยกจาก และโผเข้าหากันประหนึ่งไม่เจอกันมานานแสนนานเวลาพบเจอกันใหม่ในแต่ละครั้ง ทั้งๆ ที่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งวันเต็มด้วยซ้ำ
“น้ำ…ย้ายมาอยู่ด้วยกันเถอะนะ”
เก้าเกลี่ยนิ้วไปบนไหล่สีน้ำผึ้ง จูบลงบนไหล่นั้นอย่างออดอ้อนแล้วสบตารอให้น้ำตอบ หากใจจริงก็รู้อยู่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ น้ำเพิ่งจะอายุสิบเจ็ด ยังไม่จบมัธยมปลาย ส่วนเก้าก็ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ซ้ำยังต้องทำงานพิเศษส่งตัวเองเรียน น้าของเขาเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน ทิ้งบ้านหลังนี้เอาไว้ให้ เก้าชอบเวลาที่มีน้ำอยู่ด้วย เขาอยากให้น้ำมาอยู่ด้วยกัน ก็แค่หวังลมๆ แล้งๆ
“ไม่ได้หรอก…” น้ำตอบแบบเดิมๆ เหมือนทุกครั้ง แม้จะอยากอยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
“ถ้าเข้ามหาลัยแล้วลองขอแม่ดูได้ไหม”
“ผมอาจจะบอกแม่ว่าขออยู่หอ อย่างนั้นคงเป็นไปได้มากกว่า” น้ำแนบใบหน้าลงกับท่อนแขนอีกคน ถูไถไปมา เนื้อตัวเปล่าเปลือยของพวกเขาแนบสัมผัสกัน เดี๋ยวนี้มีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลง ยามอยู่ด้วยกันจึงแทบไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นนอกจากนอนอยู่บนเตียง เล่าเรื่องของกันและกันให้ฟัง จูบกัน สัมผัสกัน หลับด้วยกันสักหนึ่งตื่น หลังจากนั้นก็ต้องแยกย้าย
“ถ้าอยู่ด้วยกันได้ก็คงดี”
“กลัวจะเบื่อน่ะสิ” น้ำว่า
“เบื่อที่ไหน อยู่ด้วยกันจนกว่าโลกแตกก็ไม่เบื่อ เรารู้จักกันมาตั้งกี่ปีเคยนับรึเปล่า สิบปีแล้วนะ”
“เร็วจัง”
“เพิ่งจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไม่เท่าไหร่เอง”
“อืม…ผมอยากอยู่กับพี่แบบนี้ไปนานๆ จนกว่าโลกจะแตก” พูดจบน้ำก็หัวเราะในลำคอ เก้าจูบเบาๆ บนริมฝีปากที่กำลังยิ้ม เขาถือว่ามันเป็นคำสัญญา ที่ว่าอยู่ด้วยกันจนกว่าโลกจะแตก…มันก็คือคำสัญญาว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
…
การเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเป็นเรื่องเหนื่อย ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ลำบากเกินไปจนทนไม่ได้
เวลาที่เก้าเจอน้ำแต่ละครั้งเขาจะลืมความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งหมด เป็นเรื่องน่าแปลกของจิตใจกับร่างกายที่ทำงานผสานกัน เขาเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันว่าความรักบางทีมันก็หมดรักกันได้เมื่ออยู่ๆ กันไป อยู่มาวันหนึ่งความรู้สึกก็เหือดหายเหมือนไม่เคยเกิด เขาฟังแล้วก็คิดว่ามันห่างไกลจากความรักของเขา กับน้ำยิ่งอยู่ด้วยกันก็เหมือนเขาจะขาดคนๆ นี้ไม่ได้ ไม่มีทางจะรักน้อยลง ไม่มีทางที่ความรู้สึกเหล่านี้จะเหือดหายไป
ทันทีที่น้ำเรียนจบชั้นมัธยมปลายเก้าก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้น้ำย้ายมาอยู่กับเขา แม้น้ำจะดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อฟังแม่แต่เขารู้ว่าน้ำรักครอบครัวมาก ดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ก็รู้สึกผิดทุกทีที่ขัดคำสั่งและทำให้แม่เสียใจ
แต่ด้วยความต้องการอยากอยู่กับคนรักของเก้าที่มีมากมายทำให้เขาทะเลาะกับน้ำในที่สุด น้ำต้องการรอให้แม่อนุญาตก่อนแต่เขาก็เอาแต่ใจเอ่ยเร่งเร้า กล่าวหาว่าน้ำไม่ต้องการเขาแล้ว ไม่ได้รักเขาอย่างที่เขารัก ไม่ได้อยากอยู่ด้วยกันเหมือนที่เขาอยากให้น้ำอยู่ กล่าวตัดพ้อต่อว่าจนน้ำสะบัดแขนออกจากฝ่ามือเขาวิ่งหนีกลับบ้านไป
เขาเพิ่งลิ้มรสความรู้สึกทรมานอย่างมากเมื่อน้ำหนีเขาไปอย่างนั้น เหมือนกับว่าจะทิ้งกันไป เก้านั่งลงกับพื้น ไม่ขยับเคลื่อนไหวยาวนานครึ่งค่อนคืน เขาอยากจะตามน้ำไป แต่ก็อยากนั่งรออยู่ตรงนี้เพราะอยากให้น้ำกลับมาหา
แล้วน้ำก็กลับมา
ใบหน้าของคนที่เขารักเปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตา น้ำหอบกระเป๋าใบใหญ่สองใบมาหาเขากลางดึก ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนเขาปวดใจ ซบหน้าร้องไห้กับอกเขาจนเสื้อเปียกชื้น เก้าปาดเช็ดน้ำตาให้ครั้งแล้วครั้งเล่า จูบศีรษะอย่างปลอบประโลม อยากจะแบกรับความทุกข์ของน้ำเอาไว้เอง เจ็บยิ่งกว่าการทะเลาะกันก็คือการเห็นน้ำร้องไห้อยู่แบบนี้
“ผมรักพี่นะ…อึก…ไม่เคยไม่รักพี่เลย อย่าพูดว่าผมไม่รักอีก…”
“ไม่พูดแล้ว…สัญญา…”
“ผมกลับไปขอแม่…แล้วผมก็ทะเลาะกับแม่ พ่อกับแม่ไม่เคยเข้าใจผม…แต่เข้าใจพี่นนท์ทุกอย่าง ทำไมเขาถึงให้อิสระกับพี่นนท์ได้แต่ให้ผมไม่ได้ ยังไงผมก็ต้องอยู่เป็นตัวแทนพี่ พวกเขาคิดแบบนั้นใช่ไหม…พวกเขาไม่เคยรักผมหรอก”
“อย่าคิดแบบนั้นเลยนะ…ไม่จริงหรอก ใครๆ ก็รักน้ำ พี่ก็รักน้ำ”
“แม่ไล่ผม…บอกว่าอยากไปไหนก็ไป…” น้ำบอกเล่าประโยคนั้นพร้อมๆ กับน้ำตาที่หลั่งไหลลงมาไม่ขาดสาย ดูเจ็บปวดมากกับคำพูดประโยคนั้นของแม่
“เขาพูดเพราะโมโห…เพราะอารมณ์ชั่ววูบ จริงๆ ที่เขาไม่อนุญาตเพราะเขาเป็นห่วงน้ำนะ”
“ผมไม่รู้หรอก…”
“พี่ขอโทษที่ก่อนหน้านี้บังคับอยากให้น้ำมาอยู่ด้วยกัน ทำให้ทะเลาะกับแม่…ขอโทษ”
“ผมไม่ชอบทะเลาะกับพี่เลย…กับแม่ก็ไม่อยาก”
“วันหลังค่อยเข้าไปคุยกับแม่ใหม่ให้เข้าใจ…พี่จะไปช่วยพูด”
“อย่าเลย…เรื่องของเรา แม่ไม่รู้…ถ้ารู้ แม่อาจจะห้ามผมเจอกับพี่ก็ได้”
เก้าไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น เขาต้องรับไม่ได้แน่ๆ ถ้ามันเป็นแบบนั้น เขากอดน้ำเอาไว้แนบแน่น เหมือนกลัวว่าใครจะมากระชากน้ำไปจากเขา
“อยู่กับพี่นะ”
ในที่สุดน้ำก็พยักหน้าตกลง ค่อยๆ หลับตาลงด้วยความอ่อนล้า เก้ายิ้มน้อยๆ ก่อนจะอุ้มน้ำขึ้นห้องนอนของพวกเขา
…
มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างที่เขานึกฝัน เก้าเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบให้ใครก้าวเข้ามาในชีวิต มีแค่น้ำที่เขายินดีให้ก้าวล้ำเข้ามาในพื้นที่พิเศษที่เขาหวงแหน
น้ำเองก็รู้สึกมีความสุข ทุกๆ ครั้งที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเก้าเขาก็ยังคงรู้สึกเต็มตื้นทุกครั้ง ชีวิตถูกเติมเต็ม ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วทั้งนั้น
พวกเขาขาดกันและกันไม่ได้ เพราะต่างก็เป็นชีวิตของกันและกัน จวบจนเวลาผ่านไปหนึ่งปี ถึงแม้จะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แต่โชคชะตาและชีวิตไม่เคยแน่นอน
วันหนึ่ง…สิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดก็มาถึง เมื่อครึ่งชีวิตของเก้าล้มป่วย
น้ำไข้ขึ้นสูง ไม่ได้ไปเรียนเป็นสัปดาห์ เขาพักอยู่บ้านกินยาและพักผ่อน มีเก้าคอยดูแล แต่แทนที่อาการจะดีขึ้น น้ำกลับไม่หายสักที เก้าพยายามบังคับให้น้ำไปโรงพยาบาล แต่คนป่วยคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมากจึงดื้อดึง เก้ารอให้อาการดีขึ้น รอจนเขาทนไม่ไหวจึงจับน้ำส่งโรงพยาบาลกลางดึกคืนหนึ่ง
แม้จะเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาเก้าก็ยังร้อนใจ รอน้ำออกจากห้องตรวจด้วยความพะวักพะวงเหมือนมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง เขารู้สึกได้
น้ำไม่ได้ออกมาจากห้องตรวจ แต่เป็นคุณหมอที่เดินมาบอกให้เขาติดต่อครอบครัวของน้ำ ทั้งที่เขาอยากรู้แทบตายแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้ในตอนนั้น เก้าไม่มีทางเลือกนอกจากเป็นคนบอกพ่อแม่ของน้ำรู้ว่าลูกชายของพวกเขากำลังป่วย
จนเมื่อครอบครัวน้ำอยู่พร้อมหน้า เขาถึงรู้ว่าน้ำไม่ได้เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา น้ำเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว นนท์เป็นคนบอกกับเก้า เป็นข่าวร้ายที่ทำให้เก้าแทบทรงตัวยืนไม่อยู่
ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดซ้ำกับน้ำอีกคน คราวนี้อาการเลวร้ายกว่าพี่ชาย เป็นในระยะเฉียบพลันที่การรักษาต่างๆ อาจไม่สามารถรักษาได้
ทำไมมันต้องเกิดขึ้นกับน้ำของเขา
เก้าอยากหาเหตุผลที่มันเกิด อยากจะรู้ต้นตอที่เขาจะสามารถกล่าวโทษได้นอกจากโชคชะตา เมื่อเขาเห็นน้ำนอนบนเตียงในสภาพอ่อนแรงยิ้มเศร้าๆ ให้เขาจึงไม่อาจรับได้ เขาหันหลังกลับออกมา วิ่งออกมาจากตรงนั้นด้วยความรู้สึกเหมือนจะตาย เขาก็กำลังจะตายเหมือนกัน โลกของเขากำลังจะแตก
เก้าไม่กล้ากลับบ้าน ไม่อยากอยู่ห่างจากน้ำจึงนั่งร้องไห้อยู่ในสวนของโรงพยาบาล ตอนที่เจอครอบครัวของน้ำ แม่น้ำตวาดด่าว่าเป็นความผิดของเขาที่เอาลูกชายเธอไป โทษว่าเขาดูแลน้ำไม่ดีถึงเป็นแบบนี้ เก้ายืนนิ่งไม่โต้ตอบ เขาอยากให้น้ำเห็นแม่ของตัวเองในตอนนั้นว่าเธอรักน้ำมากแค่ไหน น้ำไม่เคยรู้ น้ำไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้วตัวเองสามารถทำให้หัวใจของใครต่อใครแหลกสลายได้เพียงแค่รู้ว่ากำลังจะจากไป
น้ำร้องไห้โฮเมื่อเห็นหน้าเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้เก้าไม่ได้วิ่งหนี เขาวิ่งเข้าไปหาน้ำและกอดเอาไว้อย่างที่เคยทำมาตลอด น้ำทุบตีเขาก่อนจะกอดรัดแผ่นหลังเขาไว้แน่นจนหายใจแทบไม่ออก
“วิ่งหนีผมทำไม…” น้ำไม่ได้เจ็บปวดที่ร่างกายเลย แต่เขาเจ็บที่เก้าทำแบบนั้น
“น้ำ…” เก้าเรียกอย่างอ่อนแรง “ไม่ไปได้ไหม…อย่าไปเลยนะ…”
“ฮืออ..”
เก้าได้ยินแต่เสียงร้องไห้ของพวกเขา สำหรับเขาความตายไม่ได้น่ากลัว แต่การต้องจากกันต่างหากที่น่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมด
“อยู่กับพี่นะ”
…
ช่วงเดือนแรกเป็นช่วงที่เก้าสติหลุดอยู่บ่อยๆ เขาระบายอารมณ์กับข้าวของที่บ้านตัวเองโดยที่น้ำไม่เคยรับรู้หรือรู้เห็น ต่อหน้าน้ำเขาพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด อยู่ดูแลและใช้เวลาอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา พ่อกับแม่น้ำอาจจะรู้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขา ทั้งไม่ได้ห้ามหรือไล่เขาให้ออกห่างจากน้ำ เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเหนื่อยจนเผลอหลับอยู่ที่บ้าน กลับมาที่โรงพยาบาลอีกทีก็พบว่าน้ำกำลังร้องเรียกหาเขากับแม่ ถามว่าเขาไปไหน และทำท่าว่าจะออกไปตามหา
น้ำกลัวว่าเขาจะหนีหายไปเพราะทนตัวเองในสภาพแบบนี้ไม่ได้ กลัวอยู่ตลอดเวลาแม้เก้าจะพร่ำบอกว่าไม่มีทางจะทิ้งไป
ช่วงเดือนที่สองและเดือนที่สามทุกอย่างค่อยๆ ดีขึ้นทางด้านสภาพจิตใจ น้ำมั่นใจแล้วว่าเก้าจะอยู่กับเขาจนวาระสุดท้าย แต่เป็นตัวเขาเองที่จะทิ้งเก้าไป แววตาน้ำเศร้าจนน่าใจหาย แต่เขาก็พยายามยิ้มให้คนรัก บางทีก็ยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อเก้ามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ภายใน
ยิ่งไปกว่านั้น แม่ของเขาก็ใช้สายตาในแบบที่เคยมองพี่ชายจ้องมองเขา มันคือสายตาของความห่วงใย เสียใจ และความรัก คำถามที่เขาเคยสงสัยได้คำตอบในสถานการณ์แบบนี้ ทั้งที่เขาน่าจะรู้มาตั้งนานแล้ว แต่เขาก็เพิ่งรู้ว่าแม่รักเขามากแค่ไหน รักเขาไม่ต่างจากพี่ชาย แม้เขาจะเกิดมาอย่างมีเหตุผล
น้ำหลับตาเมื่อพ่อลูบผมเขาเบาๆ พี่ชายของเขาที่หายไปจากบ้านนานๆ ก็มาเฝ้าเขาทุกวันเวลาที่พี่เก้าต้องไปเรียนหรือทำงานพิเศษ เขารับรู้ความเป็นห่วงของทุกคนได้ มันทำให้เขาเศร้า บางครั้งก็สะเทือนใจจนต้องเก็บกลั้นน้ำตา เจ็บจุกที่ลำคอจากการสกัดกั้นอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้ ไม่อยากให้ใครเป็นห่วงไปมากกว่านี้
“พี่นนท์…” น้ำเรียก พี่ชายที่นั่งอยู่ข้างเตียงหันมามองเขาอย่างพิจารณา
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า”
“เปล่า…แค่อยากคุยด้วย” นนท์มีสีหน้าไม่สบายใจ เขาไม่อยากได้ยินน้องชายพูดอะไรที่เป็นการสั่งเสีย
“คุยอะไรล่ะ”
“คุยเรื่องที่เราไม่เคยคุยกันมาก่อน”
“เราก็คุยกันทุกเรื่อง…”
“พี่ไม่โทษตัวเองใช่ไหมที่ผมเป็นแบบนี้…พี่ช่วยผมเหมือนที่ผมช่วยพี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ” นนท์ลูบหัวน้องชาย จริงๆ แล้วเขาโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ แต่คิดว่าอย่างไรมันก็ต้องเกี่ยวข้องกับเขา เขามีส่วนทำให้น้ำมีชีวิตเกิดมา และอาจจะมีส่วนทำให้น้ำจากไป เขาคิดอย่างนั้น
“ขอโทษนะ”
“อย่าขอโทษ…ถึงชีวิตผมจะสั้น ผมก็ดีใจที่ได้เกิดมานะ ผมมีความสุขแทบจะทั้งชีวิต แค่นี้ก็พอแล้ว”
“น้ำโชคดีที่เจอคนที่ทำให้มีความสุขได้”
“ใช่…ผมโชคดีที่สุดในโลก” น้ำยิ้ม นนท์ก็ยิ้ม นนท์มองเห็นความสุขจากแววตาของน้องชาย เห็นความรักของน้ำกับเก้ามาตั้งแต่มันเริ่มต้น เป็นความรักยิ่งใหญ่ของคนธรรมดาๆ สองคน ลึกซึ้งมากกว่าที่คนมองภายนอกจะเข้าใจ จริงๆ นนท์ไม่เคยรู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไร แต่เขาคิดว่ารักของเก้ากับน้ำใกล้เคียงกับคำนิยามว่ารักแท้
“พี่นนท์…พี่ใช้ชีวิตแทนผมด้วยนะ ดูแลตัวเองดีๆ อย่าลืมแม่กับพ่อด้วย”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรแบบนี้ได้ไหม” นนท์ลุกขึ้นยืน เขาไม่อยากฟัง แต่น้ำจับมือยื้อเอาไว้
“อย่าโกรธนะ…ยังไงผมก็ต้องพูดอยู่ดี” น้ำพูดเสียงสั่น นนท์จึงนั่งลงอีกครั้งกุมมือน้องชาย ก้มหน้าซบลงกับเตียง แอบร้องไห้คนเดียวไม่ให้น้ำเห็น
วันเวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ความกลัวก็ยิ่งเข้าเกาะกุมหัวใจของเก้า เขายังคงมองน้ำที่ผอมซูบด้วยแววตารักใคร่เช่นเดิม ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเลย เขาพยายามทำให้น้ำมีความสุข พาไปลงไปข้างล่างในสวนบ่อยๆ เพราะรู้ว่าน้ำเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในห้อง พวกเขาจับมือกัน ยิ้มให้กัน และพูดคุยถึงเรื่องเก่าๆ สถานที่ในความทรงจำของพวกเขา เล่าว่าเริ่มรักอีกฝ่ายตอนไหน รู้สึกอย่างไรในตอนนั้น
“ถ้าผมไม่อยู่…พี่จะรักใครคนใหม่รึเปล่า” เก้าคุกเข่านั่งลงหน้ารถเข็น จัดเสื้อคลุมของน้ำรูดซิปขึ้น จากนั้นก็จับมือน้ำมาจูบ ยิ้มให้บางๆ ก่อนจะตอบ
“ไม่มีทาง”
“ถ้าพี่รู้สึกรัก แล้วเขาทำให้พี่มีความสุข ผมก็ไม่ว่าหรอก”
“พี่รักน้ำคนเดียว”
“ผมก็รักพี่ รักคนเดียวตลอดชีวิตของผมเลย” น้ำลูบใบหน้าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเขา เก้าหลับตาเพื่อจดจำความอบอุ่นนี้
“พี่ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ยังไง…”
“อยู่เพื่อผมไง…อยู่เพื่อผมนะ”
“อืม…” เก้ากัดริมฝีปาก ซ้อนจับมือน้ำที่แนบอยู่ที่ใบหน้าของเขา พวกเขารู้ว่าเวลานั้นมันใกล้เข้ามาทุกขณะ แม้ไม่อยากพูดถึงแต่ก็ต้องพูด
“ความทรงจำของเรามีแต่เรื่องที่มันสวยงาม…พี่ว่าไหม”
“อืม…”
“ไม่มีตอนไหนเลยที่พี่ทำให้ผมเสียใจ พี่รู้รึเปล่า พี่เก้า พี่เติมเต็มทุกอย่างในชีวิตผมนะ ผมเคยคิดว่ามันแปลกที่ต้องมีใครอีกคนหนึ่งถึงจะรู้สึกว่าชีวิตมันสมบูรณ์ หากเราอยู่ตัวคนเดียวจะรู้สึกขาดๆ หายๆ โหวงๆ ข้างในจนต้องวิ่งหาอะไรสักอย่าง ไม่มีใครรู้ว่าอะไรที่จะทำให้เราหยุดได้จนกว่าจะได้เจอสิ่งนั้นด้วยตัวเอง…ผมโชคดีที่หามันเจอก่อนใคร ถึงจะต้องไปก่อน ผมก็ไม่เสียดายหรอก”
เก้าเก็บกลั้นมันไว้ไม่อยู่ เขาปล่อยให้น้ำตาไหลลงบนมือของน้ำ
“พี่ก็หามันเจอก่อนใคร…เจอน้ำก่อนใคร”
“อย่าโกรธผมนะ…ถ้าผมอยู่กับพี่ไม่ได้”
เก้าส่ายหน้า น้ำส่งรอยยิ้มเพื่อสื่อความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดไปให้ ทั้งขอโทษ เสียใจ เศร้าใจ ดีใจ สุขใจ…และความรักที่เขามีให้สุดขั้วหัวใจ
…
หลังน้ำจากไป เก้าจวนเจียนจะเอาตัวไม่รอด เขาต้องการกำลังใจในการใช้ชีวิตอยู่ต่อไป แต่ชีวิตของเขาเหี่ยวเฉา ความโศกเศร้ากัดกินหัวใจเขาจนเกินจะทานทน เขาพยายามและพยายาม ยึดเหนี่ยวคำพูดของน้ำเอาไว้ ใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ
เก้าไม่ต้องการสร้างโลกใบใหม่ เขาค่อยๆ เก็บเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แตกกระจัดกระจายให้กลับคืนมา นึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุข มีน้ำอยู่ในความทรงจำที่สวยงาม ค่อยๆ ดำเนินชีวิตต่อไปบนเส้นทางที่แม้จะโดดเดี่ยวแต่เขาก็ยินดีที่จะเดินต่อไป เขาไม่ต้องการจะวิ่งหาใครหรือหารักครั้งใหม่ รักของเขาในชีวิตจะมีแค่หนึ่งครั้ง รักแท้ในชีวิตคนเราไม่มีทางเกินขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
เขามองแสงพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินริมแม่น้ำ ลมพัดเส้นผมปลิวลู่ไปด้านหลัง ซึมซับภาพวิวเดิมๆ เขาเดินมาที่นี่ทุกวันเพื่อระลึกถึงคนรักของเขา นึกถึงยามที่จับมือกันเดินมาที่นี่หลังเลิกเรียน มือชื้นเหงื่อกุมกันไม่มีใครยอมปล่อย
เก้ามองฝ่ามือของตัวเอง เขารู้สึกถึงความอบอุ่นของน้ำ นึกถึงรอยยิ้มสดใส และเสียงกระซิบอ่อนหวานในความทรงจำ
‘พี่เก้า…ผมรักพี่’ -จบ-
***************************************************************
ลิวคิเมียไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เราเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มนึงที่เล่าเกี่ยวกับครอบครัวที่ต้องมีลูกชายอีกหนึ่งคนเพื่อช่วยลูกชายคนแรก อ่านแล้วมันติดอยู่ในใจจนอยากลองเขียนดูสักครั้งแม้ว่ามันจะเป็นพล็อตเก่ามากจนไม่มีใครเขาเขียนกันแล้ว
เรื่องนี้เราดัดแปลงมาจากฟิกชั่นเรื่องหนึ่งของเราเองนะคะ ถ้าเคยผ่านตาก็ไม่ต้องแปลกใจนะคะ
