[want] มาเป็นเมียกูเถอะ|update! ตอนที่ 26 เรื่องเล่า(1/2)|[08/11/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [want] มาเป็นเมียกูเถอะ|update! ตอนที่ 26 เรื่องเล่า(1/2)|[08/11/2018]  (อ่าน 47603 ครั้ง)

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ Puring Pudding

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
งื้ออออ จะหน่วงก้ไม่หน่วง แต่ไอฟินอ่ะฟินแน่นอน5555 :mew1: :mew2:

รอ Nc อย่างใจจดใจจ่อ555 :hao6: o13


สู้นะคะ คนเขียนขอให้คิดพล๊อตได้เยอะ :pig4: :hao6: :katai4: :call:

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
ยังไม่อนุญาตให้กินอ่ะค่ะคุณเนล เคลียร์เรื่องคุณฟ้าก่อนค่ะ มา!!

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ปมเยอะอ่ะ ภีมไปทำอะไรให้ฟ้าเกลียดแล้วฟ้ากับเบสรู้จักกันป่าวเบสถึงบอกภีมแบบนั้น แล้วอิพี่เนลยังไม่เคลียร์ตัวเองจะมากินภีมได้งั้ยแค่นี้ชีวิตนางก็ดราม่ามากพอแล้ว หวังว่าถ้าคนชื่อซันเจอภีมคงไม่มีเรื่องยุ่งๆเกิดขึ้นอีกนะ อยากรู้อดีตของภีมแล้ว
ในที่สุดก็ตามทันสนุกมากค่ะ :กอด1:

ออฟไลน์ Gansa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนที่ 23.5

ความในใจ (Part เนล)

(1/4)

(ขอย้อนเหตุการณ์)

 

[Nel Talk]

หลังจากที่ทำธุระส่วนตัวเสร็จ ผมเดินออกมา ในสภาพเปลือยท่อนบน มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่ปกปิดส่วนล่างเอาไว้ เดินไปใส่เสื้อผ้าเสร็จสรรพก็หยิบกระเป๋าสตางค์เอาเงินออกมานับ รวม 18 ใบ ผมมองเงินในมือที่ไอ้ภีมของเบิกล่วงหน้า ก็หวนคิดถึงเหตุการณ์วันนั้นขึ้นมา

.

.

 

“เห้ยๆ ไอ้เนล” ไอ้แจ็คเอานิ้วสกิดผมที่กำลังเปิดน้ำกินยิกๆ

 

“อะไรของมึง”

 

“นั่นใช่คนที่ขายบ้านให้มึงปะ ที่ไอ้ฟงบอกว่าติดพนันหนัก จนต้องขายบ้านตัวเองทิ้ง” ผมมองตามนิ้วที่ไอ้แจ็คชี้ไป เห็นคุณภัคพล ยืนคุยอยู่ไอ้ลูกหมาท่าทางเคร่งเครียด

 

“มาทำอะไรวะ…” ผมพึมพำ สองขารีบก้าวเข้าไปใกล้ๆ

 

“นั่นดิ อ่าวเห้ย ไอ้เนล มึงจะไปไหน” ไอ้แจ็คถาม ก่อนสาวเท้าตามมาติดๆ ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างต้นไม้ไม่ไกลจากสองคนนั้นมาก แต่ก็เป็นจุดอับสายตาพอสมควร

 

“พ่อขอโทษนะภีม”

 

“....”

 

“แต่พ่อขอร้องล่ะ ช่วยพ่อหน่อยนะ”

 

“....”

 

“พ่อขอร้องล่ะภีม พ่อขอร้อง” คุณภัคพลเข้าไปเขย่าแขนไอ้ภีมเบาๆ เมื่อเห็นมันยืนเงียบอยู่นาน “ถ้าพ่อหาไปคืนเขาไม่ได้ก่อนสิ้นเดือนหน้า พวกนั้นต้องส่งคนมาฆ่าพ่อแน่ๆ”

 

 

“สิ้นเดือนหน้า! เงินตั้ง 1แสน ลำพังผมคนเดียวคงหาไม่ไหวหรอกนะครับ” ไอ้ภีมเริ่มหน้าซีด เมื่อได้ยินจำนวนเงินที่ออกจากปากคุณภัคพล

เงินตั้ง…1 แสน ยังไงไอ้ลูกหมามันก็หาไม่ทันอยู่แล้ว ลำพังเงินเดือนของพี่อ้อยมันก็ไม่ได้เยอะ ขนาดที่จะจ่ายหนี้ให้พ่อมันไหวหรอก ดูจากงาน Part Time เข้า 5 โมง ออก 2 ทุ่ม เงินต่อเดือนไม่ถึง 6,000 ด้วยซ้ำ

 

“พ่อขอผ่อนจ่าย 1 หมื่นก่อน แต่ต้องเอาไปจ่ายก่อนอาทิตย์หน้า ภีมพอไหวไหมลูก”

 

“…” ไอ้ภีมยืนเงียบ ท่าทางลำบากใจ 1 หมื่น ก่อนอาทิตย์หน้า ต้องเบิกเงินล่วงหน้า 2 เดือนติดเลยนะนั่น จะไหวเหรอวะ

 

“พ่อขอร้องล่ะ ช่วยพ่อหน่อย”คุณภัคพลเมื่อเห็นลูกชายยืนเงียบอยู่นาน ก็รีบเข้าไปจับแขนไว้ ปากก็พูดขอร้องเสียงสั่น

 

ไอ้ภีมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนกลั้นใจพูดออกไป “ครับ ผมจะพยายามหาเงินมาให้ทัน”

 

ไม่ทันหรอกมึง 1 หมื่น ภายในอาทิตย์เดียว ยกเว้นหางานทำเพิ่ม หามรุ่งหามค่ำ ชนิดที่ไม่ได้หลับได้นอน หรือไม่ก็ไปขายตัวอ่ะ ซึ่งอย่างหลังถ้ามึงเลือกทำกูจะโกรธมึงมาก

 

“ขอบคุณลูกมากนะ ขอบคุณจริงๆ”

 

“แต่พ่อสัญญากับผมได้ไหม ว่าจะไม่กลับไปเล่นการพนันอีก ส่วนเรื่องบ้านปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง”

 

“โอเคพ่อสัญญา”

 

ไอ้ภีมเดินแยกกับพ่อ ไปหาซานที่ยืนรออยู่ไม่ไกลจากตรงนี้สักเท่าไหร่ เมื่อได้โอกาสผมก็รีบออกไปคว้าแขนพ่อไอ้ภีมที่กำลังจะเดินออกไปไว้ ท่านหันมามองผม ทำหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนส่งยิ้มมาให้ ผมจึงยกมือไหว้ตามมารยาท

 

“คุณศิรากรมีอะไรหรือเปล่าครับ?…” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักทาย ด้วยท่าทางสบายๆ

 

“เอ่อ…ครับ ผมจะถามว่าคุณติดหนี้อยู่เท่าไหร่” ผมถามออกไปตรงๆ จะได้ไม่เสียเวลา

 

เรื่องนี้เสี่ยงพอสมควร การที่คนๆหนึ่งต้องการใช้เงินจำนวนมากในเวลาที่จำกัด มีโอกาสสูงที่มันจะขายตัว เพื่อแลกกับเงิน ยิ่งหน้าตาแบบมัน เจอคนเปย์หนัก นอนด้วยคืนเดียว ก็ได้มากกว่าเงินเดือนที่มันต้องทำทั้งเดือนแล้ว งานสบายได้เงินมาง่ายๆ แบบนี้มีเหรอที่จะไม่ติดใจ

 

ถ้าเป็นอย่างนั้นชีวิตผมคงยุ่งยากแน่ๆ เพราะมันดันเป็นกุญแจสำคัญของผมด้วย เรื่องที่ปั้นแต่งกับแม่มาจะมาเสียเพราะมันไม่ได้ ฉะนั้นผมควรตัดไฟตั้งแต่ต้นลม จะได้ไม่มีปัญหากันทีหลัง

 

“เอ่อ…” ท่านทำหน้าอึ้ง ผมจึงถามย้ำออกไปอีก

 

“ว่าไงครับ? ผมถามว่าติดหนี้อยู่เท่าไหร่”

 

“เอ่อ…มันก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ฮ่าๆ ลูกผมมันรับปากไว้แล้วว่าจะหาคืนให้ ลูกคนนี้มันเป็นเด็กกตัญญูครับ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทนเห็นพ่อลำบากไม่ได้ วันไหนที่ผมขัดสนเรื่องเงิน ภีมก็จะเป็นคนหาเงินมาช่วยผมเสมอ ล่าสุดผมก็เพิ่งเอารถกับโน๊ตบุ้กลูกชายไปขาย ภีมก็ไม่ได้โกรธอะไร พูดนิดพูดหน่อยก็เข้าใจแล้ว เป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย คุณคงรู้จักลูกผมสินะ เห็นภีมบอกว่าจะพยายามหาทางเอาบ้านคืนจากคุณอยู่ ยังไงก็ช่วยเอ็นดูมันหน่อยนะ” ท่านพูดติดหัวเราะ เอามือมาตบไหล่ผมเบาๆ

 

“ครับ” ผมกัดฟันแน่น ฟังแล้วรู้สึกโมโหยังไงก็ไม่รู้ ทำไมถึงพูดเรื่องที่ทำให้ลูกตัวเองลำบากได้อย่างหน้าชื่นตาบานแบบนั้น มิน่าล่ะ ทำไมมันถึงไม่มีรถขับจนต้องอาศัยไอ้ซานตลอด เพราะรถตัวเองโดนคนเป็นพ่อเอาไปขายทิ้งนี่เอง

 

“เอ่อ ขอโทษนะครับ อย่าว่าผมยุ่งเรื่องของคุณเลย คุณพ่อไปทำอะไรหนี้ถึงติดตัวมากมายขนาดนั้นครับ พอดีผมบังเอิญได้ยินพอดี ไอ้ภีมก็เป็นเพื่อนผมคนหนึ่ง ไม่อยากเห็นมันฝืนตัวเองจนเกินไป เพราะปัญหาที่ตัวเองไม่ได้ก่อน่ะครับ” ผมส่งยิ้มไปให้ท่าน

 

“อ๋อ ฮ่าๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ หนี้ทั่วไป” ท่านบอกปัด “งั้นผมไปก่อนนะครับ มีธุระต้องไปทำต่อ” พูดจบท่านก็รีบสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ผมจึงรีบตะโกนออกไป

 

“เดี๋ยวผมจ่ายคืนให้ทั้งหมดทบต้นทบดอก”

 

“อะไรนะครับ” ท่านหันกลับมา ทำหน้างง ผมจึงพูดย้ำไปอีกรอบ เพื่อตอกย้ำว่าที่ท่านได้ยินนั้นไม่ได้หูฝาด คุณภัคพลยกยิ้มอย่างดีใจ ก่อนเดินเข้ามาหาผม “จริงเหรอครับ”

 

“ครับ แต่ผมมีข้อแม้อย่างหนึ่ง คืออย่ามาขอเงินไอ้ภีมมันอีก ทำได้ไหมครับ” ให้มันหาเพื่อตัวเองบ้างเถอะ

 

“ครับ ทำได้ครับ” ท่านรีบผงกหัว

 

“ดีครับ หลังเลิกเรียนมาหาผมอีกที แล้วพาผมไปจ่ายหนี้ที่คุณภัคพลติดด้วย ผมจะไม่จ่ายเงินสดให้คุณแต่จะชำระผ่านเจ้าหนี้คุณโดยตรงเลย” ผมไม่เสี่ยงให้เงินสดไปหรอก ถ้าเอาไปจ่ายด้วยตัวเอง อย่างน้อยๆก็มั่นใจว่าเงินของผมชำระหนี้ให้ท่านแล้ว และมีใบเสร็จยืนยันด้วย

 

“เอ่อ..ได้ครับ”

 

“อย่าลืมไปบอกลูกคุณด้วยนะครับ ว่าไม่ต้องหาเงินมาคืนแล้ว ......อ้อ! แล้วอย่าบอกมันนะว่าเป็นเงินผม ผมไม่อยากให้มันมองว่าผมไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตมันโดยไม่จำเป็น”

 

“ครับ ผมจะรีบไปบอกลูกภีมทันทีเลย ว่าหนี้ของพ่อมีคนใจดีจ่ายให้หมดแล้ว”

 

“ครับ อย่าให้ผมเห็นว่าคุณมาขูดรีดเงินจากลูกตัวเองอีก ถ้าคุณภัคพลต้องการเงิน ให้มาติดต่อที่ผมโดยตรง แล้วผมจะพิจารณาอีกทีว่าสมควรให้เงินคุณหรือไม่”

 

 “ครับ”

 

.

.

 

ผมยืนมองไอ้ภีมนอนหลับปุ๋ย ไม่รู้เรื่องรู้ราวบนเตียง เอามือเกลี่ยเส้นผมที่ตกปรกหน้ามันออก ก่อนไล่ลงมาที่แก้มเนียน น่าแปลกทั้งๆที่เป็นผู้ชายแท้ๆ แก้มกลับนุ่มนิ่มน่าฟัด  ออกแรงบีบเล่นจนเจ้าตัวขมวดคิ้ว มันครางในลำคออย่างรำคาญ มือก็พยายามปัดป่ายออก

 

ผมได้แต่ยืนขำกับท่าทางของมัน ก่อนเดินไปหยิบถุงเสื้อผ้าที่ตั้งใจเลือกให้ วางไว้ข้างๆตัว กับเงินสด หมื่นแปด วันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจคุณภัคพลหรอกนะ แต่ผมแค่แปลกใจว่าทำไมหลังจากที่จ่ายหนี้ไปแล้ว ไอ้ภีมถึงยังไปทำงานที่ Sun Pub แถมขอเบิกเงินเดือนล่วงหน้าอีก ถ้าคิดอย่างแย่ที่สุด คือ พ่อมันยังไม่ได้บอก เรื่องที่ผมจ่ายหนี้ให้แล้ว อยากถามเรื่องนี้กับมัน แต่เลือกเก็บไว้เงียบๆดีกว่า

 

ผมให้มันหมื่นแปด 1หมื่นเป็นค่าที่มันขอเบิก ส่วนอีก 8 พันเป็นค่ากิน ดูแล้วเงินหมื่นได้หมดไปโดยที่เจ้าตัวไม่มีเงินเก็บแน่ๆถ้าหากว่าเรื่องที่ผมคาดการณ์ไว้มันเป็นความจริง

 

ผมออกมาเก็บกวาดเศษกระจกที่ตัวเองเป็นคนทำแตก ที่ห้องของไอ้ภีมก่อน ตอนเย็นๆค่อยเรียกช่างมาเปลี่ยนกระจกให้ใหม่

 

ได้ยินเสียงกดกริ่งจึงเดินออกไปดู เป็นป้าร้านซักรีดที่เอาเสื้อที่ส่งซักเมื่อวานมาส่ง ผมรับแล้วจ่ายเงินให้ป้าแกไป เอามายัดใส่ตู้ของตัวเอง ส่วนของไอ้ลูกหมาก็เอาไปแขวนที่ราวตากผ้าห้องมัน บางทีผมก็คิดนะ ว่าผมจ้างมันมาทำอะไร ให้ดูแลแทบทุกเรื่องเลย

 

เดินลงมาเปิดตู้เย็นหาอะไรกิน หยิบแอปเปิ้ลออกมาสองลูก จัดการกินเพิ่มพลังงานหลังจากนั่งจัดผ้าให้ใครบางคนจนเหนื่อย ยกนาฬิกาขึ้นมาดู อีกครึ่งชั่วโมงเรียนคาบแรก ผมจึงทำตัวชิวได้ หยิบขวดน้ำออกมา เทน้ำใส่แก้ว แล้วยกขึ้นดื่ม

 

เหล่ตามองคนตัวเล็กที่เพิ่งลงบันไดมา มันใส่เสื้อยืดสีฟ้าอ่อนกับกางเกงขาสามส่วน ยืนมองผมตาแป๋วอยู่ข้างตู้เย็น

 

บอกตรงๆ เรื่องที่มันพูดเมื่อวานทำให้ผมฉุกคิดได้ ว่าผมกำลังยุ่งวุ่นวายกับชีวิตมันมากเกินไปจริงๆ ไอ้ข้อตกลงที่ผมสร้างขึ้นมา กลับทำมันไม่ได้สักข้อ มันพูดถูกทุกอย่าง ผมไม่ควรยุ่งกับชีวิตมันไปมากกว่านี้

 

นอกจากจะทำให้มันรําคาญแล้ว ช่วงนี้ผมยังรู้สึกว่ามันน่ารักขึ้น จนหวั่นไหวแปลกๆ ไอ้ภีมทำให้ตารางชีวิตผมรวนไปหมด จากที่เคยนัดผู้หญิงไปกินข้าว ดูหนังฟังเพลง และจบด้วยเรื่องอย่างว่า ผมต้องสละเวลาทั้งหมดมาดูแลคนอย่างมัน บางครั้งการกระทำเรียบๆ ของมันก็ทำให้ผมยิ้มโดยไม่รู้ตัว

 

ยอมรับตรงๆ ว่าผมกลัว…

 

กลัวว่าความรู้สึกผมจะถลำลึกเกินไป จนสุดท้ายแล้ว ผมจะใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีมันไม่ได้

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ แย่แน่ๆ ต้องรีบพาตัวเองไปใช้ชีวิตแบบเดิมให้ได้

 

“เอ่อ..เสื้อผ้าในห้องผม พี่เป็นคนเอาไปซักเหรอครับ” มันถามออกมา หลังจากที่ยืนเงียบอยู่นาน ผมทำเป็นไม่สนใจมัน ดื่มน้ำต่อ

 

"เสื้อผ้าผม..."

 

คลื่น คลื่น

 

ผมวางแก้วลง มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมากดรับ

 

[ฮัลโหล ไอ้เนลรถกูแม่งเสียว่ะ ออกจากบ้านยัง มารับกูที่คอนโดหน่อยยยย ฮื้อออ อย่าเพิ่งจากพ่อไปนะลูกเอ้ยย] เสียงของไอ้แจ็คที่โอดครวญออกมา ได้ยินเสียงสตาร์ทรถติดๆดับๆ หลุดออกจากปลายสาย เอ่อ…รถอีแก่ใกล้ตายของมึงกำลังจะไปดีแล้วสินะ

 

“ครับน้องเนย พี่กำลังออกไป” ผมกลั้นใจพูด

 

[น้องเนยเหี้ยไร กูชื่อแจ็ค! รีบๆมารับกูล่ะ]

 

“ครับ รอพี่แปปหนึ่งนะ”

 

[สัด พูดไรของมึง สยองว่ะ! แต่รีบๆมารับกูนะโว้ย เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน]

 

“ครับผม”

 

[อี๋! มีครับพงครับผม ขนลุกครับ]

 

ผมยกยิ้ม กดวางสายไอ้เชี่ยแจ็คไป สองขารีบก้าวออกมา โดยพยายามไม่สนใจลูกหมาที่ทำหน้าเจื่อนอยู่ข้างตู้เย็น

 

ไอ้เนล ท่องไว้อย่าไปสนใจมัน

แบบนี้แหละมึงทำถูกแล้ว

.

.

.

 


ตอนเที่ยง ผมพาน้องโมวิทยาออกมากินข้าวข้างนอก เสียเวลาขับรถวนตั้งนาน กว่าจะเจอร้านที่ถูกใจ ร้านนี้คนค่อนข้างเยอะ ที่จอดรถเต็ม แถมที่เหลือยังจอดข้างทางยาวเป็นหางว่าว จึงเอาจอดไว้ที่หน้าร้านฟาสต์ฟู้ด ลงทุนเดินเอา

 

ใช้เวลาไม่นานกินเสร็จก็เดินกลับรถแต่สายตาดันไปเห็นคนตัวเล็กที่นั่งกินข้าวกับไอ้ซานผ่านกระจกใสของร้าน เท้าผมหยุดชะงักยืนมองมันนิ่ง เห็นมันคุยหัวเราะได้ผมก็ควรรู้สึกดีใจ แต่เปล่าเลย ผมกลับรู้สึกไม่ชอบใจ เพราะคนที่ทำให้มันร่าเริงได้ขนาดนี้กลับไม่ใช่ผม แต่เป็นมัน..

 

ไอ้ซานเอากระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดปากไอ้ภีมที่กินเลอะเหมือนเด็ก พลางพูดอะไรสักอย่าง ก่อนดีดหน้าผากไอ้ภีม จนเจ้าตัวต้องเอามือมาลูบปอยๆ ไอ้ภีมลุกขึ้นมาดีดไอ้ซานบ้าง ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เห็นแล้วหงุดหงิดเป็นบ้า แต่ผมทำได้แค่มองเฉยๆเท่านั้น เพราะผมไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในตัวมัน

 

ไอ้ภีมหันมามองผมผ่านกระจก เราสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ สบตากับมันอยู่อย่างนั้นสักพัก สุดท้ายเป็นผมเองที่ทนไม่ไหว รีบหลบตา แล้วหันมาสนใจคนข้างๆแทน

 

เอามือโอบไหล่มนไว้ “รีบกลับกันเถอะ พี่มีเรียนต่อ” ก้มลงไปจูบหน้าผากของเธอ ก่อนจับมือเล็กเดินตรงดิ่งไปที่รถ แล้วขับออกไปทันที

 

 

-----------------------------------------

 

รู้สึกหงุดหงิดทั้งวัน ในหัวมีแต่หน้าของไอ้ภีมจนรู้สึกหลอนไปหมด อยากออกไปตะโกนดังๆว่า เป็นเชี่ยไรของกูเนี่ย ตั้งใจว่าเลิกเรียนเสร็จจะไปแดกเหล้าสักหน่อย แต่ดันโดนไอ้เมฆชวนไปกินข้าวก่อน เลยต้องไปกับมัน ตอนแรกตกลงหาร้านกันอยู่นาน และหวยก็มาออกที่ร้านเจ๊อ้อยเหมือนเดิม ผมพยายามหาข้ออ้าง เพราะไม่อยากไปกินที่นั่น แต่สุดท้ายก็โดนบังคับมานั่งทำหน้าเซ็งอยู่ในร้านจนได้

 

ผมพยายามไม่สนใจสายตาไอ้ลูกหมาที่มองมา ทำเฉยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้ลึกๆผมจะรู้สึกอึดอัดในใจแค่ไหนก็ตาม นั่งกินอยู่สักพัก เจ๊หน้าสวยโต๊ะข้างๆก็เรียกไอ้ภีมไป เดินหน้ารุกจีบมันเต็มที่ ไอ้นี่ก็เหลือเกิน ยืนเอ๋อๆให้เขาแทะโลมเล่น ซึ่งกูที่นั่งฟังอยู่ตรงนี้ เห็นรู้สึกหงุดหงิดกว่าเก่าอีก ผมนั่งอดทนจนกระทั่งมันยื่นโทรศัพท์ให้เจ๊แกแอดไลน์นั่นแหละ ทนไม่ไหวจึงทุบโต๊ะระบายความโมโห ก่อนสาวเท้าเดินออกไปจากร้านฉับๆ โดยไม่สนใจสายตาที่มองมา

 

 

“ไอ้เนล เป็นไรวะ” ไอ้แจ็ควิ่งออกมา รั้งแขนผมไว้

 

“ไม่รู้” ผมพยายามข่มอารมณ์ไว้ ดึงแขนตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุม ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แค่หงุดหงิดฉิบหาย

 

“ทะเลาะกับน้องภีมมาเหรอ” มันถามด้วยใบหน้าจริงจัง สายตาฉายแววเป็นห่วง

 

“ก็ไม่เชิง”

 

“งั้นก็เข้าไปเคลียร์กันดีๆ ปัญหาจะได้ไม่คาราคาซัง” ไอ้แจ็คดึงแขนผม พยายามลากเข้าไปในร้าน แต่ผมหยุดเท้าเอาไว้ก่อน มันหันมามองผม คิ้วขมวดอย่างไม่เข้าใจ

 

“…”

 

“กูไม่รู้ว่าพวกมึงมีปัญหาอะไรกัน แต่ไปคุยกันดีๆเถอะ” ไอ้ฟงที่วิ่งตามมาติดๆพูดบ้าง “กูไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้”

 

“มันไม่มีประโยชน์หรอกฟง” จะให้ไปคุยอะไร? มันไม่มีเรื่องที่ต้องคุยด้วยซ้ำ เพราะนี่เป็นสิ่งที่ไอ้ภีมต้องการ

 

“รู้ได้ไงว่ามันไม่มีประโยชน์ ทั้งๆที่มึงยังไม่ได้ลงมือทำเนี่ยนะ?”

 

“…”

 

“ไม่มีอะไรที่ลงมือทำแล้วมันไร้ประโยชน์หรอก คนที่บอกว่าไร้ประโยชน์คือคนที่ยังไม่ลงมือทำต่างหาก”

 

“เหมือนจะรู้เรื่อง แต่กูก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี” ไอ้ฟิวพูดออกมาเสียงดัง จนไอ้ฟงหันไป เอาหนังสือปรัชญาเล่มหนาตีหัวมันเบาๆ เจ้าตัวต้องเอามือลูบหัวตัวเองปอยๆ ปากก็ด่าไอ้ฟงไป

 

“รุงแรงจังวะ ตีกูทำไมเนี่ย!”

 

“ขัดกู”ไอ้ฟงพูดกับไอ้ฟิว ก่อนหันมาพูดกับผมต่อ “รีบๆไปสะสาง กูเบื่อสีหน้าอมทุกข์ของมึงจะตายห่าอยู่ละ”

 

“ใครหน้าอมทุกข์ กูออกจะสดใส” พูดพร้อมฝืนยิ้มยิงฟัน

 

“โอ้โห…ดูฝืนสัดๆ” ไอ้ฟิวบ่นออกมาเบาๆ แต่ผมก็ได้ยินอยู่ดี

 

“…..” ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรมันไป ได้แต่มองหน้ามันนิ่งๆ

 

“ทำไมต้องทำหน้าดุด้วย” มันทำหน้าจ๋อย ไปหลบหลังไอ้เมฆ ก่อนค่อยๆโผล่ออกมาแค่เสี้ยวหน้า“แล้วจะเอาไงต่อ”

 

“ไม่รู้ ยังคิดไม่ออก”

 

“อืม ยังไงก็อย่าปล่อยทิ้งไว้นานละกัน”

 

“อืม” ผมตอบรับไอ้ฟิวไปสั้นๆ รู้สึกว่าร่างกายต้องการแอลกอฮอล์เป็นอย่างมาก เลยเอ่ยปากชวนพวกมัน “ไปแดกเหล้ากันเถอะ”

 

“เลิกเรียนเสร็จ มึงจะแดกเหล้าต่อเลยเหรอไอ้เนล”

 

“เออ! จะไปไหม กูเลี้ยง”

 

“ไปอยู่แล้ว ช่วงนี้เหงาปาก พี่ฟิวต้องการเหล้ามากระแทกปากแรงๆ”

 

 

-----------------------------------------

 

พวกเรามากินเหล้าที่ร้านไอ้แจ็ค ในร้านมีแต่กลุ่มพวกผมเท่านั้น เพราะเวลานี้ร้านมันยังไม่เปิด จัดการสั่งเหล้ามาประมาณ 7-8 ขวดได้ ตั้งใจจะกินจนตับแข็งตายไปข้างหนึ่ง ไอ้แจ็คเปิดเพลงคลอเบาๆให้ฟัง ผมก็นั่งฟังเงียบๆไป ส่วนพวกที่เหลือก็ผลัดกันเล่าปัญหาชีวิตของแต่ละคน ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง สายตามองไปที่โต๊ะมุมหนึ่ง ภาพเหตุการณ์ที่ไอ้ภีมโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เข้ามาต่อยผม ในวันที่ผมแย่งแฟนไอ้ทัศ ฉายมาในหัวเป็นฉากๆ

 

คิดแล้วอดขำไม่ไหว

ตัวก็แค่นั้น อวดเก่งเป็นบ้า ปากก็ร้าย แต่น่ารักฉิบหาย

 

ผมรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว คิดอะไรของกูวะ? พยายามทำใจให้ว่าง แล้วหันไปจดจ่อกับเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ แต่หน้าของใครบางคนกลับยังวนเวียนอยู่ในหัว จนรู้สึกหงุดหงิดใจไปหมด

 

ไอ้ภีม…มึงเป็นผีหรือไงวะ

 

รอไม่นานไอ้แจ็คก็เอาเหล้า และกับแกล้มเล็กๆน้อยๆมาเสิร์ฟ ผมหยิบขวดวอดก้าขึ้นมาจัดการเทใส่แก้ว แล้วกระดก ดื่มเพียวๆทีเดียวหมด ส่วนที่เหลือก็คอยๆริน แล้วเอามาผสมกับโซดาบ้าง โค้กบ้าง แล้วแต่ความชอบ

 

พวกเรานั่งกินไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาเปิดร้าน คนเริ่มเข้ามาเยอะขึ้น ไอ้ฟิวก็พยายามชวนผมไปหลีหญิง โต๊ะ 10 ที่หุ่นน่าปล้ำมาก อกเป็นอก ก้นเป็นก้น จับทีเดียวเต็มมือ แต่ผมเลือกที่จะปฎิเสธมันไป เพราะไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้น ไอ้ฟิวทำหน้างอเดินลากแขนไอ้แจ็คไปแทน ส่วนไอ้ฟงก็นั่งเล่นโทรศัพท์ของมันไป ตอนนี้มีแต่ผมกับไอ้เมฆที่ยังนั่งดื่มอยู่

 

ขวดที่2 หมดไป ไอ้ฟิวเดินกลับมาพร้อมผู้หญิงหน้าตาสวยคนหนึ่ง ส่วนไอ้แจ็คก็ควงสาวนมโตเท่าลูกแตงโมมานั่งด้วย ตอนนี้ผมเริ่มมึนๆเบลอ แต่ยังสามารถประคองสติของตัวเองได้อยู่

 

ขวดที่3 ค่อยๆหมดไป สติเริ่มเลือนลาง ไอ้ฟิวตอนนี้ได้นอนหมดสติอยู่บนพื้นแล้ว ส่วนผู้หญิงที่มันพามาเริ่มขยับมานั่งใกล้ๆ มือไม้เริ่มเลื้อยไปตามตัวผมอย่างถือวิสาสะ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ยกแก้วดื่มต่อ

 

“ชื่อเนลสินะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียยั่วยวน มือค่อยๆไต่มาลูบต้นแขนผมเล่น

 

“ครับ” ผมตอบไปด้วยสภาพกึ่งหมดสติ

 

“หล่อจังเลยค่ะ มีแฟนรึยังคะ”

 

“ครับ”

 

“แย่จังเลย แต่ไม่เห็นพาแฟนมาด้วย แปลว่าวันนี้เราก็มีสิทธิ์สินะ”

 

“ครับ”

 

“งั้นก็พอก่อนเถอะค่ะ” เธอเอื้อมมือไปจับแก้วเหล้าออกจากมือผม มือบางก็ลูบต้นขาผมไปด้วย “อย่าดื่มเยอะ รินเป็นห่วง”

 

เป็นห่วงเหรอ…

 

‘ถ้าห่วงก็ช่วยอยู่ห่างๆจะดีต่อผมมาก’

 

‘ต่อจากนี้ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพี่อีก ยกเว้นพวกงานต่างๆที่เรามีสัญญาต่อกันเท่านั้น ส่วนพี่ก็เลิกยุ่งกับผมนอกจากเวลางานได้แล้ว’

 

หึ! การที่มีตัวตนของกูอยู่ในชีวิตมึง มันคงแย่มากสินะ ไอ้ภีม… การที่กูเป็นห่วงมึงเป็นเรื่องผิดมากเหรอ

 

‘หวังว่าพี่จะเคารพข้อตกลง’

ข้อตกลงบ้าอะไร!

 

ผมเอื้อมมือไปหยิบขวดที่ 4 ขึ้นมากระดกทั้งขวด เหมือนกับดื่มน้ำเปล่า  น้ำสีอำพันไหลลงคอเป็นสาย แต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงรสชาติของมันเลย

 

‘ฝันดีนะครับ เจ้านาย’

 

“พอไอ้เนล มึงเมาแล้ว” ไอ้ฟงรีบเข้ามาดึงขวดจากมือไป สบัดมือมันออก แล้วไปแย่งคืน ยกดื่มต่อ

 

‘ทำให้เด็กนั่นหลงรักเนล แล้วทิ้งเพื่อฟ้าหน่อย’

 

‘ทำเพื่อฟ้า พิสูจน์ให้ฟ้าเห็นว่าเนลรักฟ้าจริงๆ จะทำหรือไม่ทำก็ได้ มันก็แล้วแต่เนล แต่ถ้าเนลไม่ทำฟ้าก็คงคบกับเนลไม่ได้ เพราะเนลไม่สามารถทำให้ฟ้าเชื่อได้ว่าเนลรักฟ้าจริงๆ’

 

‘เนลไม่อยากคบกับฟ้าแล้วเหรอ’

 

‘งั้นก็ทำเพื่อฟ้า’

 

ปึง!!

ผมกระแทกขวดเหล้าในมือลงกับโต๊ะ เสียงดัง ทำให้คนที่นั่งดื่มอยู่หันมามองกันเป็นแถบๆ

 

“แฮ่กๆๆ” หอบหายใจถี่รัว รู้สึกลมหายใจติดขัด เหมือนมีอะไรจุกแน่นอยู่ในอก เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดซึมออกมาตามรูขุมขน

 

“ไอ้เนล เป็นไรวะ” ไอ้เมฆเข้ามาจับไหล่ผม ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง ผมได้แต่โบกมือให้ เป็นการบอกว่า กูไม่เป็นไร

 

“กูว่ามันไม่ไหวแล้ว พามันกลับเถอะ” ไอ้แจ็คที่มองอยู่ พูดขึ้นมา

 

“เดี๋ยวกูพากลับเอง” เป็นไอ้ฟงที่อาสา มันหิ้วปีกผม ลากออกมาขึ้นรถอย่างยากลำบาก จริงๆกูยังไหวนะไอ้ฟง กูยังงงงงหวายยยยย ปล่อยยยยกู อย่าดูถูก คอกูแข็งจะตาย

 

ไอ้ฟงจับผมยัดเข้าไปในรถเสร็จ มันก็อ้อมไปฝั่งคนขับ และขับรถออกไปทันที ผมก็ได้แต่นั่ง สะลึมสะลือ พยายามประคองสติที่มีน้อยนิดให้ได้มากที่สุด อาจเป็นฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ผมตัดสินใจถามคำถามโง่ๆกับไอ้ฟงไป

 

“ไอ้ฟง…กู…สับสนว่ะ”

 

“หือ?”

 

“กูไม่รู้ว่าระหว่าง ยอมรับความพ่ายแพ้ โดยมีไอ้ภีมยืนรออยู่หลังเส้น กับได้รับชัยชนะโดยที่ต้องเสียมันไป แบบไหนมันดีกว่ากัน”

 

“อยู่ที่มึงเลือกมากกว่า ว่าระหว่างแพ้ แต่มีน้องมันยืนให้กำลังใจหลังเส้น มีคนอยู่เคียงข้าง คอยจับมือมึงเวลาล้มให้ลุกขึ้นมา กับ หลังเส้นชัยไม่มีใครเลย มีแต่ถ้วยรางวัล ที่ไม่สามารถตีค่าอะไรได้ ในความรู้สึก…”

 

“….”

 

“ลองถามใจดู ว่ามึงอยากได้อะไร”

 

“หึ มึงพูดไม่รู้เรื่อง หรือกูเมาวะ…ไม่เข้าใจว่ะ” ผมเอามือขึ้นมาเกาหัว พลางหัวเราะแห้งๆให้มันไป

 

“เดี๋ยวสักวันมึงจะเข้าใจเอง”

 

หลังจากนั้นก็เกิดความเงียบเข้ามาครอบงำ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัว ผมก็นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งได้ยินไอ้ฟงคุยโทรศัพท์กับใครสักคน ก่อนขับมาจอดนิ่งอยู่ร้านอะไรสักอย่าง

 

“ไอ้เนล มึงรอกูแปปนะ เดี๋ยวไปซื้อข้าวต้มให้น้องอาร์คก่อน”



“อืม” ผมตอบมันส่งๆ สายตาก็พยายามเพ่งชื่อร้านที่อยู่ข้างหน้า ‘ข้าวต้มชงเทพ’

 

เอ่อ..ไอ้คนที่นั่งตรงนั้นทำไมหน้าคุ้นๆวะ แต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก จึงใช้สายตาเพ่งเล็งอีกครั้ง คราวนี้ชัดขึ้นมานิดหน่อย แต่ผมก็พอนึกได้แล้วว่าเป็นใคร

 

ไอ้ภีมนี่หว่า! ข้างๆนั่นก็คุณภัคพลพ่อมันไม่ใช่หรือไง?

 

คุณภัคพลมาหามันทำไมวะ?!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2018 23:03:41 โดย Gansa »

ออฟไลน์ Gansa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ความในใจ
(2/4)


ผมนั่งมองไอ้ภีมผ่านกระจก สติเริ่มเลือนรางลงไปทุกที เห็นมันกำลังยื่นเงินปึกหนึ่ง ให้คนที่เป็นพ่อ คุณภัคพลรับไป ยกยิ้มอย่างดีใจ รีบนับเงินในมือทันที

 

 หึ! คิดไว้ไม่มีผิด คนที่ได้หลวมตัวเข้าไปเล่นการพนันจนติดเป็นนิสัย หลุดออกจากบ่วงนี้ยาก ถ้าเคยได้ครั้งหนึ่งแล้ว มันยิ่งอยากได้ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสนองตัณหาของตัวเอง

 

 ภาพตรงหน้าผมเบลอ หนังตาเริ่มปิดลงช้าๆ ผมได้แต่ฝืนตัวเอง ไม่ให้หลับตอนนี้ เห็นไอ้ภีมหยิบโทรศัพท์ออกมา แต่ก็โดนฉกไปทันที สองคนนั่นพูดอะไรกันไม่รู้ เห็นแต่สีหน้าลำบากใจของลูกหมาชัดเจน

 

หน้าตาเหมือนวันนั้นไม่มีผิด วันที่คุณภัคพลมาขอเงินมันที่ ม.

 

ผมตะเกียกตะกายลงจากรถอย่างยากลำบาก พยายามทรงตัวเมื่อเท้าแตะพื้น รู้สึกเหมือนโลกหมุน โงนเงนไปหมด ผมเดินโซเซ ไปหาไอ้ภีม แต่หัวดันไปชนอะไรสักอย่างดังตุบ ก่อนล้มตัวลงไปกับพื้น สติที่มีดับวูบลงทันที

.

.

.

เสียงกุกกัก  ทำให้ผมที่นอนหมดสติอยู่ค่อยๆลืมตาตื่น พยุงร่างกายที่อ่อยเพลียให้ลุกขึ้นมาด้วยอาการมึน แถมปวดหัวจากอาการเมาค้างเมื่อคืน

 

 รู้สึกเหมือนมีอะไรมาติดตรงหางคิ้ว พอลองเอามือไปกดดู ความรู้สึกปวดแปลบก็ตีตื้นขึ้นมา

 

 “โอ๊ย” ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเป็นผ้าพันแผล ถูกพับทบกันหลายชั้นเอามาปิดตรงแผลที่ไม่รู้ว่าไปได้มายังไง

 

 จำได้ว่าครั้งสุดท้าย นั่งแดกเหล้ากับไอ้เมฆสองคนเงียบๆ โดยมีไอ้ฟงนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ส่วนไอ้ฟิวกับไอ้แจ็คก็นั่งคุยกับผู้หญิงที่พึ่งไปตกมา แล้ว..ไงต่อวะ จำไม่ได้แล้ว

 

 “ไง ตื่นแล้วเหรอมึง” ไอ้ฟงที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่ผ้าขนหนูผืนเดียวยืนกอดอกอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ถามผมเสียงขุ่น หน้าตาดูหงุดหงิดใช้ได้เลย

 

 “….”

 

 “รู้ไหม เมื่อคืนก่อเรื่องอะไรไว้” มันถามเสียงเข้ม จ้องหน้าผมนิ่ง

 

 “….” ผมส่ายหัว อย่ามาถามกู แค่มานอนอยู่บนเตียงมึงได้ไงกูยังไม่รู้เลย ความทรงจำสุดท้ายคือนั่งแดกเหล้ากับไอ้หน้านิ่งเมฆเท่านั้น หลังจากนั้นก็ถูกลบออกไปจากความทรงจำหมดแล้ว

 

 ไอ้ฟงเดินมาหาผม “ทำอะไรกับกูไว้ รับผิดชอบด้วย”

 

 "กูไปทำอะไร?"

 

 “มึงดู สิ่งที่มึงทำกับกู” ไอ้ฟงชี้นิ้วไปที่กองหนังสือ 10 กว่าเล่มที่นอนตายในห้องน้ำ “หนังสือปรัชญากูต้องพลีชีพเพราะอ้วกมึง จะรับผิดชอบยังไง? หนึ่งในนั้นไม่มีตีพิมพ์เพิ่มแล้วด้วย กว่ากูจะหาซื้อมาได้ เลือดตาแทบกระเด็น”

 

 “กูขอโทษ..”ผมทำได้แค่ส่งยิ้มแห้งๆไปให้มัน “ก็กูเมา”

 

 “กูไม่รับฟังเหตุผล"

 

 “เอาน่า กูขอโทษ เดี๋ยวหาซื้อคืนให้” ผมเอามือไปตบไหล่เพื่อนเบาๆเป็นการปลอบใจก่อนรีบถามเพื่อเปลี่ยนเรื่องทันที“ว่าแต่ ไอ้แผลตรงคิ้วกูมาได้ไงวะ?”

 

“นี่มึงจำไม่ได้จริงๆเหรอ?” ไอ้ฟงเลิกคิ้งสงสัย

 

 “เอ่อ” ถ้าจำได้จะถามไหม

 

 “จะเริ่มเล่าตรงไหนดีวะ” มันทำท่านึกย้อน “เมื่อคืนมึงเมามาก กูเลยพากลับ น้องอาร์คโทรมาว่าหิวข้าว กูเลยแวะร้านข้าวต้ม ระหว่างรอ มึงก็ลงมาจากรถ เดินโซเซมาหากูที่ยืนรอข้าวต้มหน้าร้าน กูก็ยืนมองมึงนิ่งๆ อยากรู้ว่ามึงจะทำอะไรต่อ จู่ๆมึงก็เอาหน้าไปเฉี่ยวกับเสาไฟ หางคิ้วกระแทกโดนเต็มๆ หลังจากนั้นก็ล้มหน้าคว่ำไป ลำบากกูที่ต้องลากมึงกลับขึ้นมาที่รถ และนั่งทำแผลให้ มึงรู้ไหม กว่ากูจะทบผ้าพันแผลให้เท่ากันแบบไม่มีส่วนเกิน กับกะระยะปะเทปให้ความห่างของแต่ละเส้นเท่ากัน ตรงกลางต้องตัดที่เส้นผ่าศูนย์กลางพอดี มันยากขนาดไหน"

 

เอ่อ ถ้าจะลำบากขนาดนั้น ก็ปล่อยกูนอนเลือดไหลตายเหอะ กูยอม

 

ไอ้ฟงเล่ามาเป็นฉากๆ ทำไมกูถึงได้ทำเรื่องน่าอายแบบนั้น สัญญาเลยว่าวันหลังจะไม่ดื่มจนเมาแบบนั้นอีกแล้ว โคตรเสียภาพพจน์

 

 “เอ่อ! ไอ้เนล มึงรู้ไหม กูเจออะไร” จู่ๆมันก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

 

“เจอ?”

 

 “ก็ตอนกูไปสั่งข้าวต้มให้น้องอาร์ค ตั้งใจสั่งข้าวต้มกุ้ง แต่กุ้งหมด กูเลยต้องสั่งเป็นหมูแทน แล้วเขาถามว่าใส่ไข่ไหม กูก็ยืนคำนวนแคลอรี่ให้น้องมัน เพราะตอนนี้มันดึกแล้วไม่อยาก…”

 

 “เข้าเรื่องสักทีไอ้ห่า” พูดร่ายยาวเพื่อ กูไม่ได้อยากรู้!!

 

 “เอ่อ..กูเห็นน้องภีมอยู่กับพ่อในร้านด้วย จำได้ว่ามึงจ่ายหนี้ให้พ่อน้องมันหมดแล้วไม่ใช่?”

 

“อืม กูคืนให้หมดแล้ว ทบต้นทบดอก” พอไอ้ฟงพูดถึงใครบางคน ความทรงจำเมื่อวานที่เลือนหายไป เริ่มกลับมา ใช่! ผมเห็นไอ้ภีมกับพ่อมันในร้าน จึงตั้งใจจะเข้าไปหา แต่หัวไปชนกับอะไรสักอย่างจนหมดสติไปก่อน

 

 “ทำไมพ่อน้องถึงยังมาขอเงินไปจ่ายหนี้อีกวะ น้องมันก็เอาเงินจำนวนหนึ่งให้พ่อไป เหมือนจะไม่รู้เรื่องที่มึงจ่ายหนี้ให้แล้ว แถมพ่อยังถามน้องอีกว่า เงินเดือนออกเมื่อไหร่ จะมาเอาเงินอีก ใจคอจะไม่เหลือเงินให้ลูกใช้เลยหรือไง เงินเดือนที่มึงให้ก็เอาไปแล้ว ยังจะเอาเงินเดือนที่น้องทำงานร้านพี่อ้อยอีก”

 

 “!!!?”

 

 “เอ่อ! เห็นลูกมีโทรศัพท์ก็แย่งไปจากมือ ขอยืมไปจำนำ น้องภีมมันก็ต้องให้อย่างจำยอม เพราะสงสารพ่อ กูล่ะโคตรสงสารเลยว่ะ”

 

ผมว่าหนักละแบบนี้ ก็เคยบอกไปแล้วว่าถ้ามีปัญหาอะไรให้มาติดต่อที่ผม จะพิจารณาเองว่าจะให้หรือเปล่า ทำไมถึงไปเอากับไอ้ภีมอีก หรือเพราะเอาจากลูกมันได้ง่ายกว่า?

 

เหอะ! เกลียดชะมัดเลยคนแบบนี้

 

“อืม” ผมพยักหน้ารับรู้ ในสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการสื่อ

 

“มึงไม่ห่วงน้องมันหรือไงวะ” ไอ้ฟงทำหน้าแปลกใจ

 

“ทำไมต้องห่วง”

 

“มึงไม่กลัวน้องมันไปขายตัวเหมือนรอบที่แล้วหรือไง”

 

“จะไปทำอะไรก็เรื่องของมันดิ”

 

“ไอ้เนล…มึงคิดอะไรอยู่วะ กูอ่านไม่ออกจริงๆว่ะ” ไอ้ฟงบ่นพึมพำ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของมัน ไม่เกี่ยวกับงาน เพราะฉะนั้นกูจะไม่ยุ่ง จะไปลำบากที่ไหนก็เรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกับกู ขอแค่ทำงานให้สำเร็จก็พอแล้ว แต่ถ้าการที่กูช่วยครั้งแรกแล้วครั้งที่สองยังทำอยู่ กูก็คงต้องปล่อยมันไป” ผมพูดปัดไป ถึงแม้ลึกๆจะไม่ได้คิดอย่างที่พูดก็ตาม ผมไม่อยากให้มันถามเซ้าซี้ไปมากกว่านี้ ไอ้ห่วงก็ห่วงอยู่หรอก แต่ผมไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังไงดีว่ะ

 

“กูว่ามึงตอนเมายังดีกว่ามึงตอนมีสติอีก รู้สึกอะไรก็พูดออกมาเลย”

 

“หมายความว่าไง”

 

“เปล่า…” ไอ้ฟงเลือกที่จะไม่บอก ตอนเมาไปพูดอะไรให้มันฟังหรือเปล่าวะ ชักหวั่นๆ

 

“งั้นก็แล้วแต่มึงเถอะ ถ้ามึงไม่คิดจะช่วย กูพูดไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่ว่ามึงจะทำอะไร กูก็อยู่ข้างมึงอยู่แล้ว” มันเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนิสิตออกมารีดอย่างใจเย็น

 

ผมก็ได้แต่นอนดูมันนิ่งๆ ในหัวก็คิดถึงเรื่องของไอ้ภีม บางทีผมก็ควรบอกเรื่องที่จ่ายหนี้ให้พ่อมันไปแล้ว ถึงไอ้ภีมจะมองว่าผมก้าวก่ายชีวิตมากเกินไป ยุ่งวุ่นวายโดยไม่จำเป็น ก็ช่างเถอะ มันคุ้มกว่าการที่ต้องเห็นมันทนทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อหาเงินมาให้พ่อตัวเองผลาญเล่นแบบนี้

 

ผมว่าถึงเวลาที่ไอ้ภีมต้องรู้เรื่องนี้ได้แล้ว



ปิดไปก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น มีแต่จะแย่ลง

 

กว่าไอ้ฟงจะทำธุระตัวเองเสร็จ ผมก็หลับไปแล้วหลายตื่น ดีที่มันตื่นเช้า ตอนนี้จึงไม่ได้สายมาก พอรถจอดหน้าบ้าน ก็เอ่ยปากขอบคุณมัน สองข้าก้าวลงมา เดินเข้าไปในบ้าน

 

ได้ยินเสียงไอ้ลูกหมาคุยโทรศัพท์เสียงดังมาตั้งแต่หน้าประตู จึงเดินไปดูที่ห้องนั่งเล่น เห็นมันนั่งตรงโซฟา ในสภาพชุดนิสิตถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า มือก็ถือหูโทรศัพท์บ้านไปด้วย

 

“ผมสนใจสมัครงานนับสต็อก ยังรับคนเพิ่มอยู่ไหมครับ”

 

“ทำงาน 7วัน 2 ทุ่ม- ตี 5” ไอ้ภีมพูดทวน เอาโทรศัพท์บ้านหนีบหูไว้ มือก็จดรายละเอียดใส่กระดาษหยิกๆ

 

“ได้ครับ ผมไหว”

 

“โอเคครับ”

 

วางสายไป นิ้วก็กดเบอร์โทรใหม่แล้วต่อสายทันที

 

“สวัสดีครับ xx ก่อสร้างใช่ไหมครับ ยังรับคนแบกปูนช่วงเสาร์-อาทิตย์อยู่ไหมครับ”

“อ๋อ เหรอครับ ขอบคุณครับ”

 

วางสายไปอีกรอบ ก่อนหันมาสบตากับผมที่ยืนมองมันนิ่งหน้าประตู หน้าไอ้ภีมเริ่มซีด

 

“ขอโทษครับ ที่แอบใช้โทรศัพท์” มันก้มหน้างุด “คุณศิรกรจะหักเงินเดือนผมไปก็ได้”

ฟังสรรพนามที่มันใช้แล้วหงุดหงิดยังไงก็ไม่รู้

 

“เห็นกูเป็นคนยังไง จะใช้ก็ใช้ไปดิ กูไม่ได้ว่าอะไร”

 

“แต่ผมถือวิสาสะใช้โดยไม่ได้บอกคุณ…”

 

“ช่างมันเถอะ กูหิวแล้ว เตรียมข้าวให้กูด้วย” ผมพูดตัดบท ไม่อยากฟังถ้อยคำที่ห่างเหินจากปากคนตรงหน้า

 

“เตรียมเสร็จแล้วครับเจ้านาย ผมทำข้าวต้มไว้ให้บนโต๊ะ กวาดห้อง ถูพื้น เช็ดกระจกเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวตอนเย็นจะกลับมาขัดรองเท้าให้นะครับ งั้นไปผมเรียนก่อนนะ”

 

ได้ฟังเมนูที่มันพูดออกมา ผมก็ต้องเลิกคิ้วแปลกใจ แต่ก็เลือกที่จะไม่ถามมันออกไป

 

ไอ้ภีมหยิบกระเป๋าข้างโซฟาขึ้นมาสะพายบ่า เดินผ่านผมไป จึงเอื้อมมือไปรั้งแขนมันไว้ เจ้าตัวหันมามองผมด้วยสีหน้างุนงง

 

“กูมีเรื่องจะคุยด้วย”

 

“แต่ผมต้องไปเรียน”

 

“แป๊บเดียว”

 

“เอาไว้วันหลังนะครับ” มันแกะมือผมออก ก่อนสาวเท้าเดินไป ผมจึงรีบตะโกนไล่หลัง

 

“งั้นตอนเย็นกูไปหา เรื่องนี้สำคัญจริงๆ กูจะรอที่ตึกคณะนะ” ไม่มีท่าทีว่าเจ้าตัวจะหยุดฟังผมเลย ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าได้ยินไหมจึงพูดออกไปอีกครั้งด้วยเสียงดังกว่าเดิม

 

“กูจะรอที่ตึกคณะนะ กูจะรอ!”

-------------------------------------

 

หลังเลิกเรียน ผมมานั่งรอไอ้ภีมที่ตึกคณะแพทย์ ตอนนี้เวลา 17.00 น. เป็นช่วงเลิกเรียน ทำให้คนเยอะเป็นพิเศษ ผมถือใบเสร็จชำระเงิน ในหัวก็สรรหาคำพูดมากมาย มาบอกมัน ไม่รู้ว่าควรจะพูดจากตรงไหนก่อนดี และจะพูดอย่างไรให้มันรู้สึกเสียใจน้อยที่สุด

 

เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงที่นั่งรอมัน ชะโงกหน้ามองหาเจ้าตัว แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว ในใจลึกๆยังเชื่อว่ามันต้องมาแน่ๆ จึงอดทนรอต่อ

 

ตอนนี้ 18.30 แล้ว ไอ้ภีมก็ยังไม่มา ท้องผมเริ่มร้อง แต่ก็เลือกที่จะไม่ไปไหน เพราะกลัวมันมาแล้วจะไม่เจอ

 

20.40 น. ผมลุกขึ้นไปหาอะไรกินที่เซเว่น อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่ รีบซื้อ แล้วรีบเอามานั่งกิน ตาก็มองหาไอ้ภีมไปด้วย ช่วงนี้ยังมีนักศึกษาแพทย์เดินเพ่นพ่านกันอยู่บางส่วน

 

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ผมเริ่มง่วง จึงพุบหน้าหลับกับม้าหินอ่อนด้วยอาการอ่อนเพลีย รู้ตัวอีกทีท้องฟ้าที่มืดก็เริ่มสว่าง ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาด้วยอาการงัวเงีย ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันไม่มาแน่ๆ จึงขับรถกลับไปหามันที่บ้าน

 

เดินขึ้นไปเคาะประตูห้องด้วยอารมณ์คุกรุ่น ที่ปล่อยให้ผมนั่งรอทั้งคืน รอไม่นานมันก็เปิดประตูให้ ในสภาพชุดนิสิตถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้ามีแว่นตาทรงกลม ในมือถือหนังสือเล่มหนา โดยเอานิ้วชี้คั่นหน้าหนึ่งไว้ คงจะกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ระหว่างรอไอ้ซานมารับ

 

“ไอ้ภีม เมื่อวานกูบอกมึงว่าไง” ผมเข้าไปจับขอมือมันไว้ พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ ไม่ให้เผลอทำร้ายมัน

 

“ผมไม่ทราบครับ แม้แต่คุณเนลไม่ทราบ แล้วผมจะทราบได้อย่างไร” มันตอบเสียงเรียบ แววตาไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา

 

“กวนตีนกูอยู่เหรอ!”

 

“ผมจะกล้ากวนตีนคุณทำไมล่ะครับ”

 

“ไอ้ภีม!” ผมตะคอกใส่มัน เผลอออกแรงบีบข้อมือ จนเจ้าตัวนิ่วหน้า

 

“ปล่อยครับ ผมจะไปเรียน” คนตรงหน้ามองผมนิ่ง มืออีกข้างก็พยายามแกะมือผมออก

 

“แต่กูมีเรื่องต้องคุยกับมึง”

 

“แต่ผมไม่ว่าง”

 

ปี้นๆ

 

เสียงบีบแตรดังขึ้นขัดจังหวะ ไอ้ภีมหันไปดูตรงหน้าต่าง ก่อนนะหันมาพูดกับผมต่อ

 

“ไอ้ซานมารับแล้ว ผมขอตัวนะครับ” พูดจบก็หยิบกระเป๋า รีบสาวเท้าเดินออกไปจากห้องทันที ปล่อยให้ผมตะโกนเรียกชื่อมันตามหลัง อย่างหัวเสีย

 

เดินเข้าไปในห้อง นั่งมองถุงกระดาษกับเงินอีก 8 พันที่มันเหลือเอาไว้อย่างไม่เข้าใจ ทั้งๆที่ร้อนเงินขนาดนั้น แต่ทำไมถึงไม่รับเงินที่ผมเผื่อเอาไว้ให้ เพราะมันนอกเหนือจากที่ตกลงไว้เหรอ? หรือเป็นเพราะศักดิ์ศรีที่มันยึดมั่น ว่าจะไม่รับเงิน ถ้าเงินส่วนนั้นไม่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง

 

ไอ้ภีม…ทำไมมึงเข้าใจยากจังวะ

-------------------------------------

 

ช่วง 2 วันที่ผ่านมาผมพยายามหาทางบอกมันเรื่องพ่อและตั้งใจจะเคลียร์ปัญญาที่ค้างคาในใจให้จบๆ ไอ้ภีมแปลกไปตั้งแต่วันที่ผมไปส่งมันที่โรงพยาบาลวันนั้น หลังจากนั้นก็ทำตัวตึงใส่ บอกตรงๆว่าไม่สบายใจ ช่วงแรกผมก็พยายามไม่สนใจมัน แต่พอปล่อยไปนานๆเข้า ผมยิ่งหงุดหงิดใจ กับการกระทำของมัน ถ้าไม่ได้สะสางให้จบๆ ผมคงกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้แน่ๆ ผมไม่ชอบให้มีอะไรค้างคา

 

 

ผมหาทางเข้าไปคุยกับมันเรื่องนี้ แต่ทุกครั้งไอ้ภีมจะพยายามหลบหน้าผม และหาทางบ่ายเบี่ยงทุกครั้ง วันนี้ผมจึงชวนพวกแก๊งมากินข้าวที่คณะแพทย์ ตั้งใจมาเคลียร์กับไอ้ภีมให้รู้เรื่องไปเลย ทั้งเรื่องพ่อมัน และเรื่องที่มันพยายามหลบหน้าผม

 

หลังจากซื้อข้าว ผมก็กวาดสายตา หาไอ้ภีมจนทั่ว เห็นมันนั่งหัวเราะกับพวกน้องเหม่ยตรงโต๊ะที่ 4 ฝั่งขวา น่าแปลกที่ไม่มีไอ้ซานนั่งด้วย เห็นอย่างนั้นจึงรีบเดินเข้าไป เอาข้าววางข้างๆมัน ไอ้ภีมหันมามองผม รอยยิ้มที่มีตอนแรกค่อยๆเลือนหายไป เปลี่ยนเป็นสีหน้าอมทุกข์เหมือนทุกครั้งที่เจอผมเท่านั้น

 

“นั่งด้วย โต๊ะเต็ม” พูดจบก็หย่อนตัวนั่งข้างๆมัน มองมันค่อยๆแทะกล้วยในมือ ก็ต้องเลิกคิ้วแปลกใจ ถึงถามออกไป

 

“ไม่กินข้าวเหรอ”

 

“ผมไม่หิว” มันตอบ แต่ตากลับไม่ได้มองผมเลย จึงแย่งกล้วยจากมือมันมา เลื่อนจากข้าวตัวเองให้แทน

 

“ตลกละ ใครเชื่อก็โง่แล้ว” ดูก็รู้ว่าไม่มีเงินซื้อข้าว ท้องร้องโครมครามขนาดนั้น บอกไม่หิว ใครเชื่อก็โง่เต็มแก่แล้ว “เดี๋ยวมึงมีเรียนต่อยาวยัน 4 โมง และมีแลปต่ออีก กินแค่นี้ไม่ไหวหรอก”

 

“โหโอ้…โอ้โห จำตารางเรียนได้ด้วย ไม่ธรรมดา” ไอ้ฟิวพูดลอยๆ ผมจึงอ้าปากงับกล้วยของไอ้ภีมจนหมดก่อนเอาเปลือกขว้างใส่หัวมัน จนมันร้องโวยวายออกมา ผมไม่สนใจ หันไปมองไอ้ภีมที่นั่งมองข้าวในจานนิ่งๆ

 

“กิน” ผมกดเสียงต่ำ บังคับมัน

 

“….” ไอ้ภีมก็ยังคงดื้อ ไม่ยอมถือซ้อนตักข้าวกินสักที ผมทนไม่ไหว จึงพูดออกไป

 

“กฎข้อที่ 5 ห้ามขัดใจกู กูสั่งอะไรก็ต้องทำ กูไม่ได้ขอให้มึงกิน แต่กูสั่งให้มึงกิน ในฐานะเจ้านาย อยากโดนหักเงินเดือนหรือไง!” ขู่แม่ง ขอดีๆไม่ยอมกิน ก็ต้องใช้ไม้แข็งแบบนี้แหละ ดื้อดีนัก

 

ไอ้ภีมหันมามองผม สีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ยอมตักกินอย่างไม่เต็มใจนัก สักพักไอ้ซานก็เดินมาที่โต๊ะ ในมือถือจานข้าวสองจาน มันทำหน้าผิดหวัง เมื่อเห็นไอ้ภีมกำลังกินข้าวของผมอยู่ น้องเหม่ยเมื่อเห็นว่าเพื่อนยังยืนนิ่งไม่ไหวติง จึงบอกให้มันนั่งลง มันถึงยอมนั่งแต่โดยดี สายตายังมองไอ้ภีมไม่ละไปไหน ก่อนสลับมามองข้าวในจานตัวเอง

 

ใครไวก็ได้ไปนะ ไอ้น้อง

 

ผมหันไปสนใจคนข้างๆต่อ พยายามชวนมันคุย ถึงแม้จะไม่ได้รับการตอบกลับสักเท่าไหร่ ผมไม่รู้หรอกว่ามันงอนอะไร แต่ลองพยายามง้อหน่อยก็ดี ผมไม่อยากให้มันทำตัวห่างเหินใส่เลย

 

พอไอ้ภีมกินอิ่ม มันก็ลุกจากโต๊ะไปทันที ทิ้งให้คนบนโต๊ะมองหน้ากันอย่างงุงงง ผมเห็นอย่างนั้น จึงรีบลุกตามไปทันที แล้วคว้าแขนไว้

 

“ภีมครับ ถามจริงๆเถอะ โกรธอะไรพี่” ผมถามคนตรงหน้า เห็นมันเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกแย่เป็นบ้าเลย

 

“….” มันไม่ได้ตอบอะไรผมออกมา มองผมนิ่งๆเหมือนทุกที

 

“ถ้ามึงไม่บอกกูจะรู้ไหม”

 

“…..”

 

“กูไม่อยากให้มึงเป็นแบบนี้นะโว้ย” ผมพูดในสิ่งที่ทนเก็บไว้ในใจออกไป

 

“….”

 

“จะให้กูทำไงวะ มึงถึงจะหายโกรธ ตอบกูดิ”

 

“เลิกยุ่งกับผมสักที” มันตอบเสียงเรียบ พอได้ยินคำนี้ พลางทำให้รู้สึกปวดหนึบไปหมด

 

“ทำไม…”

 

“เพราะผมเกลียดพี่ไง มีเหตุผลอื่นนอกจากนี้หรือไง!” มันตะคอกใส่ผมเสียงดัง จนรู้สึกหน้าชาไปหมด

 

“อย่าพูดคำนี้ให้กูได้ยินอีก” ผมเค้นเสียงลอดไรฟัน ฟังแล้วรู้สึกโมโหขึ้นมา

 

“ทำไม ก็ผมจะพูด ผมเกลียด เกลียด!! เกลียดพี่!!”

 

“หุบปาก!!!” ตะคอกใส่มันเสียงดัง มือก็เอื้อมไปบีบแขนเจ้าตัวแน่นด้วยความเดือดดาล ไอ้ภีมพยายามสบัดแขนให้หลุด แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อย ออกแรงบีบแน่นกว่าเดิม คนตรงหน้าจึงเหวี่ยงแขนสุดแรง จนมือมันมาโดนใส่แผลตรงหางคิ้วของผม เลือดซึมออกมา ไอ้ภีมทำหน้าตกใจ ทำท่าจะเดินเข้ามา แต่ผมก็เลือกถอยหนี

 

“กูขอโทษด้วยแล้วกัน ถ้าการที่มีกูอยู่ในชีวิต แล้วทำให้มึงรู้สึกแย่” พูดจบก็เดินออกมา โดยไม่หันกลับไปมองไอ้ภีมที่อยู่ข้างหลังอีกเลย

 

-------------------------------------

 

ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ผมพยายามหากิจกรรมต่างๆนาๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเจอหน้ามัน บางวันก็ไปนั่งแดกเหล้าร้านไอ้แจ็คยาวยันเช้าจนมันต้องให้เด็กที่ร้านพาผมกลับบ้านแทบทุกครั้ง บางวันก็ไปนั่งสมาธิที่ชมรมพุทธกับไอ้ฟง เพื่อไม่ให้ตัวเองจิตฟุ้งซ่าน ต่อด้วยการฟังปรัชญาวันนี้ หลับยาวยันเช้าเลย บางทีก็ไปนั่งเล่นเกมที่หอไอ้ฟิว ไม่ก็ไปดูหนังกับไอ้เมฆ

 

หรือช่วงที่เพื่อนไม่ว่างจนผมต้องอยู่ที่บ้านคนเดียว ผมก็หาอะไรทำแก้เบื่อไป แต่พอนานๆเข้าเริ่มไม่มีอะไรทำ ผมกลับต้องมานั่งรอมันกลับบ้าน ทั้งๆที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด แม่ง! กลับบ้านดึกฉิบหาย บางวันเที่ยงคืน บางวันก็ตีห้า จนทำให้ผมนึกเป็นห่วง..

ถึงอย่างนั้น ผมก็คิดถึงไอ้ภีมมากขึ้นเรื่อยๆ….

 

จนผมกลัว...

 

กลัวว่าจะเผลอไปมีใจให้มันแล้วจริงๆ

 

.

.

.

 

ผมแบกตัวเองกลับมานอนที่บ้านหลังจากดื่มโต้รุ่งมา เดินไปไกลสุดก็โซฟาห้องนั่งเล่น ล้มตัวลงไป นอนอย่างหมดสติ ในสภาพที่กลิ่นเหล้าหึ่งเต็มตัว เดี๋ยวค่อยลุกไปอาบน้ำแล้วกัน ตอนนี้ขอหลับก่อน

 

สักพักก็รับรู้ถึงอะไรเย็นๆตรงหางคิ้ว จึงลืมตาขึ้นมาดูอย่างสลึมสลือ เห็นไอ้ภีมกำลังนั่งทำแผลให้อย่างใจจดใจจ่อ จึงแกล้งหลับต่อ แล้วนอนนิ่งๆ ปล่อยให้มันทำไป

 

“ที่ผ่านมาไม่ได้ทำแผลเลยใช่ไหมครับ ผ้าพันแผลเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ทำไมไม่เปลี่ยนล่ะครับ” จู่ๆมันก็พูดออกมาเสียงสั่น รับรู้ถึงหยดน้ำใสที่ตกลงมากระทบกับใบหน้า

 

มัน…กำลังร้องไห้

 

“ฮึก ถ้าว่างก็ไปทำแผลที่โรงพยาบาลบ้างนะ ปล่อยไว้ระวังแผลเน่านะครับ ผมเป็นห่วง” หยดที่สองกระทบกับเปลือกตา ไอ้ภีมเอากระดาษทิชชูมาซับให้เบาๆ

 

“ทำไมพี่ถึงไม่ดูแลตัวเองเลย” หลายหยดนับไม่ถ้วนตกลงมา จนหน้าผมชื้นไปหมด มันเอาผ้าผันแผลมาปิดแผล พร้อมเอาเทปมาติดให้

 

“ผมเอายาแก้อักเสบทิ้งไว้ให้ ถึงตอนนี้พี่จะไม่ได้ยินที่ผมพูด แต่ตื่นมาอย่าลืมกินนะครับ” พูดจบก็เดินถือกล่องปฐมพยาบาลออกไป

 

ผมลุกขึ้นมานั่ง มือซ้ายจับหน้าอกที่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะแน่น ก่อนออกแรงขยำ

 

“กูควรจะทำยังไงดี…”




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-09-2018 10:01:37 โดย Gansa »

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
พ่อภีม มันเลวจริงงงงงงงงงง
เลวมากกก
 :katai1:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
สงสาร ร้องไห้เลย,,,

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พ่อน้องเหมือนไม้แก่ผุๆ มีประโยชน์แค่ทำฟืน

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ก็เข้าใจคนติดพนันนะ แต่แบบนี้ก็ไม่ไหวป่ะ ไม่คิดถึงลูกตัวเองเลยอ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
สงสัยคนแต่ง
แต่งเรื่องราวตอนนี้เพื่อเข้ามาแก้ตัวให้อิเนล
อย่างเดียวเลย ใช่ไหมๆ อิอิ

เชื่อดิ
ฮ่าฮ่า

ออฟไลน์ Gansa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
(3/4)




วันนี้ทั้งวันผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย ในหัวคิดถึงแต่คนที่นั่งร้องไห้เมื่อเช้า ในใจรู้สึกสับสน ว้าวุ่นไปหมด

ถอนหายใจ จนไอ้แจ็คที่นั่งเรียนข้างๆ รําคาญหันมาถอนหายใจใส่บ้าง

 

“เป็นเหี้ยไรนักหนาวะ กูเรียนไม่รู้เรื่องเนี่ย”

 

“หนักใจว่ะ”

 

“หนักใจอะไรมึง”

 

“เฮ้อ ช่างเหอะ ฝากจดเลคเชอร์ด้วย” พูดจบก็หยิบกระเป๋า เตรียมเดินออกจากห้อง

 

“มึงจะไปไหน”

 

“ออกไปข้างนอก ไม่มีอารมณ์เรียนแล้ว”

 

“งั้นกูไปด้วย”

 

“มึงอยู่นี่แหละ”

 

“อะไรของมึงวะ” ไอ้แจ็คบ่นพึมพำ “เออ! อย่าเที่ยวเพลินจนลืมกูล่ะ 5 โมงมารับด้วย” มันย้ำ ช่วงนี้ไอ้แจ็คต้องติดรถผมกลับ เพราะรถอีแก่มันส่งซ่อมยังไม่เสร็จ

 

“เอ่อๆ” ผมตอบรับไอ้แจ็คส่งๆ ก่อนก้าวเท้าเดินออกมา โดยไม่สนใจอาจารย์ที่ยืนสอนอยู่หน้าชั้นเรียน ขับรถวนเล่นใน ม. ไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย จนมาหยุดที่หน้าตึกคณะแพทย์ ผมเอารถไปจอด ก่อนมานั่งเล่นที่ม้าหินอ่อนข้างสระน้ำ คิดอะไรเรื่อยเปื่อย จนเวลาล่วงเลยมา 5 โมงเย็น ไอ้แจ็คก็โทรมาให้ไปรับ ผมจึงต้องขับรถไปรับมันทันที

 

ตั้งใจจะเอาไอ้แจ็คไปปล่อยไว้ที่ร้านสักหน่อย สายตาเจ้ากรรมดันไปเห็นคุณภัคพลเสียงก่อน จึงขับรถตามไปเงียบๆ คุณภัคพลเดินมาดักรอไอ้ภีมที่หน้าร้านพี่อ้อย ยืนมองลูกเสิร์ฟข้าวผ่านกระจกใส ไอ้ภีมหันไปพูดกับเจ๊อ้อยสักพัก เดินออกจากร้าน กดเงินจำนวนหนึ่งมาถือไว้

 

จู่ๆพ่อไอ้ภีมก็พุ่งเข้าใส่ แล้วแย่งเงินจากมือลูกทันที ไอ้ลูกหมาที่เห็นพ่อตัวเองทำหน้าตกใจ รีบขอเงินคืน

 

“พ่อครับ ผมขอล่ะ เงินส่วนนี้แม่เพิ่งโอนมาให้ผมเอาไปจ่ายค่าเทอม”

 

“ให้พ่อก่อนนะ ค่าเทอมยังไม่ต้องจ่ายหรอก”

 

“ไม่ได้ครับพ่อ ผมต้องใช้เงินส่วนนี้จริงๆ คืนให้ผมเถอะนะ เดี๋ยวพ่อค่อยมาเอาวันหลังก็ได้”

 

"ไม่ แกเห็นการเรียนดีกว่าพ่อที่เลี้ยงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรหรือไง ลูกไม่รักดี สำนึกบุญคุณหน่อย"

 

"เปล่านะครับ ยังไงพ่อก็สำคัญ แต่นี่มันอนาคตผมเลยนะ"

 

"แล้วอนาคตพ่อล่ะ ภีมจะปล่อยให้พ่อตายเหรอ เรียนน่ะเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ชีวิตคนถ้าเสียไปแล้ว มันไม่สามารถเอากลับคืนมาแล้วนะ"

 

"แต่ผมต้องใช้เงินตรงนี้จริงๆ เขาให้จ่ายวันนี้ วันสุดท้ายแล้ว พ่อให้ผมเถอะ ส่วนที่เป็นหนี้ผมจะรีบหามาให้ทีหลัง นะครับ" ไอ้ภีมยกมือไหว้อย่างอ้อนวอน

 

“ไม่! ถ้ามันยุ่งยากขนาดนั้น ก็ดรอปเรียนแล้วออกมาทำงานหาเงินให้พ่อดีกว่า”

 

“ทำไมพ่อพูดแบบนั้นล่ะครับ” ไอ้ภีมอึ้ง เมื่อได้ยินคำพูดที่ออกจากปากพ่อของตัวเอง

 

“ฉันพูดความจริง” คุณภัคพลพูดหนักแน่น “ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ที่ต้องอดมื้อกินมื้อ เพื่อหาเงินใช้หนี้ แกเป็นลูกก็ควรช่วยฉันแบ่งเบาภาระบ้าง ไม่ใช่อยู่สูบเงินไปวันๆ ลาออกมาทำงานหาเงินเลี้ยงฉันไม่ดีกว่าเหรอ” คุณภัคพลตวาดใส่ไอ้ภีมเสียงดัง ก่อนเดินนับเงิน เดินออกมา โดยไม่สนใจลูกชายที่ยืนกัดริมฝีปากจนห้อเลือดอยู่หน้าร้าน

 

ผมได้ฟังแบบนั้นก็ขบกรามแน่นอย่างเดือดดาล ตามองพ่อมันเขม็ง รู้แล้ว…ที่ได้ภีมต้องนั่งกินกล้วยทุกมื้อ สาเหตุมาจากใคร!

 

คุณภัคพลเดินมาหยุดตรงรถ มือล้วงโทรศัพท์ที่ดังเป็นจังหวะ ออกมากดรับ

 

"ครับ ผมได้เงินมาแล้ว"

 

"ลูกผมมีเงินให้ผมใช้ตลอดนั่นแหละ ตราบใดที่มันยังมีรายได้ ผมจะไปแก้ตัวเมื่อไหร่ก็ได้"

 

"ฮ่าๆ แล้วเจอกันครับ" พูดปนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนเดินออกไป

 

ผมจึงขับรถตามไปทันที พอเห็นว่าห่างจากร้านพี่อ้อยมากแล้ว จึงขับไปปาดหน้าพ่อมัน คุณภัคพลตะโกนด่าทอผมสารพัด จึงลดกระจกลง ให้คนเห็นว่าคือใคร พ่อมันหน้าซีดเมื่อเห็นว่าเป็นผมก่อนที่จะก้าวเท้าเดินหนี ผมก็รีบตะโกนเรียกให้ขึ้นมาคุยกันบนรถก่อน

 

"ผมให้เงินคุณไปแล้ว และคุณก็รับปากกับผมแล้วด้วย ทำไมถึงมาเอาเงินจากลูกตัวเองอีก!" พอพ่อไอ้ภีมเดินขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย ผมก็ถามตรงประเด็นทันที อารมณ์ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในโมทอยากคุยดีๆสักเท่าไหร่

 

"ก็ผมจำเป็นจริงๆ ผมไม่มีทางเลือก"

 

"แล้วลูกคุณล่ะ ไอ้ภีมมันลำบากแค่ไหนคุณเคยคิดบ้างไหม ถ้าคุณหิวเงินมาก ทำไมถึงไม่ไปลองหาเอง จะได้รู้ว่ามันหายากแค่ไหน กว่าจะได้แต่ละบาทให้คุณมาผลาญเล่น"

 

"แล้วคุณยุ่งอะไรกับลูกผมล่ะ เป็นแค่เพื่อนอย่ามาคิดแทนมัน"

 

"เป็นแค่เพื่อนงั้นเหรอ? หึ! อย่างน้อยๆผมก็สามารถทำให้มันไม่มีงานทำได้ คุณคงรู้ใช่ไหมว่าถ้าไอ้ภีมไม่มีงาน มันก็จะไม่มีเงินให้คุณ"

 

"ไม่ได้! คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด! ถ้าลูกผมไม่มีเงิน แล้วผมจะเอาอะไรกิน"

 

"เรื่องของคุณ ไม่ใช่เรื่องของผม ในเมื่อผมให้เงินคุณไปแล้ว คุณก็ยังไม่หยุดขอเงินลูกตัวเอง ก็ช่วยไม่ได้" ผมตอบอย่างไม่แยแสนัก

 

"คุณศิรากร!" อีกฝ่านขึ้นเสียงใส่ผม

 

"อ้อ! ผมขอโทรศัพท์ไอ้ภีมที่คุณใช้อยู่คืนด้วย" เอื้อมมือไปกระชากโทรศัพท์ในมือคุณภัคพลมา

 

"เอาโทรศัพท์ผมคืนมา!"

 

"มันไม่ใช่ของคุณ ผมไม่จำเป็นต้องคืน เชิญครับ!! ออกไปจากรถผมได้แล้ว!!!"

เมื่อเห็นว่าคุณภัคพลยังคงนั่งอยู่กับที่ จึงพูดย้ำคำเดิมเสียงดังขึ้น

 

"เชิญครับ!"

 

"ได้!!!" พูดเสียงดังกระโชกโฮกฮาก จ้องผมด้วยแววตาดุดัน เดินออกไป ปิดประตูเสียงดัง

ผมได้แต่ถอนหายใจกับการกระทำของพ่อไอ้ภีม ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหา ‘พี่อ้อย’ ทันที

 

ยังไงผมก็ยอมให้ไอ้ภีมมันโดนขูดรีดจนตัวเองต้องมาลำบากแบบนี้ไม่ได้หรอก ถึงมันจะมองว่าผมรังแกมันยังไง ผมก็ไม่สน ขอแค่พ่อมันเลิกมาขอเงินมัน ผมยอมทำทุกอย่าง ถึงแม้จะต้องบีบมันให้ออกจากงานก็ตาม

 

รอไม่นานปลายสายก็กดรับ

 

[ว่าไงคะ น้องเนล]

 

“พี่อ้อยครับ ผมมีเรื่องจะขอร้อง”

 

[ว่ามาเลย ถ้าอะไรที่พี่ช่วยได้ ก็จะช่วย]

 

"คือ… ให้ไอ้ภีมมันออกจากงานเถอะครับ ผมไม่อยากเห็นมันลำบาก ถึงจะดูว่าก้าวก่ายชีวิตมันมากจนเกินไป แต่ช่วยผมที ที่เหลือผมรับผิดชอบเอง"

 

[ไม่ได้หรอก พี่ว่าถ้าพี่เอาน้องภีมออก น้องจะลำบากกว่าเดิมอีกน่ะสิ]

 

"แต่!"

 

[พอเถอะนะเนล พี่สงสารน้องภีม อย่ารังแกน้องไปมากกว่านี้เลย]

 

"ผมไม่ได้รังแกมันนะครับ แต่ถือว่าผมขอร้องล่ะ ไล่มันออกที"

 

[พี่ทำไม่ได้หรอก แค่นี้นะ]

 

ตู๊ดๆ

ปลายสายตัดไป ผมได้แต่ทุบพวงมาลัยอย่างหัวเสีย

 



“ไอ้เนล ทำแบบนี้จะดีเหรอวะ” ไอ้แจ็คที่นั่งเงียบอยู่หลังรถถามขึ้นมา ลืมไปเลยว่าเอามันมาด้วย…

 

“เอ่อ กูคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้ว” ตอนนี้มืดแปดด้านไปหมด ปกติก็ไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องงานไอ้ภีมสักเท่าไหร่ ที่ผ่านมาถึงได้อดทนมาโดยตลอด เวลาเห็นมันฝืนตัวเองทำงานหนักๆ แต่ครั้งนี้ผมคงปล่อยผ่านเหมือนครั้งก่อนๆไม่ได้แล้ว

 

“ทำแบบนี้น้องมันไม่เกลียดมึงตายเหรอ”

 

“แล้วมึงจะให้กูทนดูเฉยๆ โดยไม่ทำไรเหรอวะ!” ผมหันไปตอบไอ้แจ็คที่นั่งอยู่หลังรถอย่างไม่สบอารมณ์นัก มันมองผมนิ่งๆ ในหัวเหมือนคิดอะไรอยู่

 

 “ไอ้เนล… กูไม่เชื่อหรอกนะ ว่าที่มึงช่วยน้องภีมขนาดนี้ เพราะอยากได้ใจ กับเงินล้านหนึ่งจากน้องมัน กูถามจริงๆเหอะ มึงทำไปทำไม ทั้งครั้งนั้น และครั้งนี้”

 

จู่ๆมันก็ถามออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาผมไปต่อไม่ถูก จึงบอกมันไปตามที่ตัวเองคิด



 

“ครั้งนั้นที่ทำไปเพราะไม่อยากให้มันไปทำงานพวกนั้น เพราะกลัวแม่จับได้ว่าเอาเด็กขายบริการมาทำเมีย ท่านรู้ทีหลังมีหวังล้มข้อตกลงทุกอย่าง แล้วจับกูแต่กับยัยพิมแน่ๆ กูยอมรับแมนๆว่าครั้งนั้นทำเพื่อปกป้องตัวเอง”

 

“อ๋อ” ไอ้แจ็คพยักหน้า ก่อนถามต่อ “แล้วครั้งนี้ล่ะ”

 

“….” ครั้งนี้ผมเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะเหตุผลมันต่างออกไป ที่ทำเพราะอยากปกป้องมันจริงๆ

 

“มึงไม่จำเป็นต้องตอบกูก็ได้ ถ้ามึงไม่อยากบอก งั้นกูถามหน่อย ครั้งนี้มึงทำเพื่อตัวเองเหมือนครั้งก่อนไหม”

 

ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ ไอ้แจ็คยกยิ้ม เอามือมาตบหัวผมเล่น “กูถามจริงเถอะ ชอบน้องมันแล้วใช่ไหม”

 

“กู…ไม่รู้” แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกดี

 

“ฮ่าๆ” ไอ้แจ็คหัวเราะร่วนออกมา มีอะไรน่าขำนักวะ “ช่างเถอะ ไม่ต้องตอบว่าชอบตอนนี้ก็ได้ แค่มึงไม่ปฏิเสธเหมือนเมื่อก่อนก็พอแล้ว”

 

“อืม” ผมยกยิ้ม

 

“กูจะชี้ทางสว่างให้มึงเอง”ไอ้แจ็คเข้ามากอดคอผม “มึงรู้จักคุณเมฆาวาติป่ะ ที่เมื่อวันก่อนไปแดกข้าวผัด แล้วรสชาติไม่ถูกปาก แม่งสั่งปิดร้าน จนร้านละแวกนั้นฮือฮากันยกใหญ่”

 

“….” เห้ย...ไอ้เมฆมันทำแบบนั้นจริงเหรอวะ โคตรอึ้ง...

 

ไอ้แจ็คตบไหล่ผมเบาๆ “เนี่ย! คนจริง ไม่พูดเยอะ”

 

เอ่อว่ะ ยังมีไอ้เมฆอยู่นี่หว่า

 

“ถึงจะผิดต่อน้องภีม แต่กูเห็นพ่อน้องมันแล้วทนไม่ไหวจริงๆว่ะ”

 

“เอ่อ แม่ง…” คิดถึงแล้ว รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

 

หลังจากนั้นผมก็ต่อสายไปหาไอ้เมฆทันที พูดนิดหน่อยมันก็ยอมทำให้ ผมยกยิ้มอยากสบายใจ แล้วไปส่งไอ้แจ็คที่ร้านตามระเบียบ ก่อนไปจ่ายค่าเทอมให้ไอ้ภีมและเปิดบัญชีใหม่ให้มันทันที ที่เปิดบัญชี จะได้โอนเงินเดือนให้สะดวก โดยเชื่อมข้อความไว้กับเบอร์โทรผม เพื่อให้ได้รู้ความเคลื่อนไหวบัญชีของมัน เวลากดเงินไปจำนวนมากๆจะได้รู้ว่าเอาไปทำอะไรบ้าง

 

พอจัดการทุกอย่างเสร็จ ผมนั่งคิดทบทวนปัญหาของไอ้ภีม ถือโทรศัพท์ตัวเองไว้ นั่งชั่งใจอยู่นานว่าจะโทรออกไปดีไหม แต่สุดท้ายผมก็เลือกกดโทรออกไป รอสายไม่นานมันก็รับ

 

[ฮัลโหล]

 

“ไอ้ฟง กูมีเรื่องให้มึงช่วยหน่อย”

 

[อะไร]

 

“กูอยากให้มึงไปสืบเรื่องของพ่อไอ้ภีมให้หน่อย กูอยากรู้ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงหิวเงินตลอดเวลา ทั้งๆที่กูก็จ่ายหนี้ให้ไปแล้ว กูว่าอาการหนักขนาดนี้ ไม่น่ามีแค่การพนันแล้วล่ะ”

 

[เอ่อๆ เดี๋ยวตามสืบให้]

 

“เอ่อ ขอบใจมาก อ้อ! อีกคนหนึ่ง ชื่อมะนาว กูอยากให้มึงไปตามสืบประวัติให้หน่อย”

 

เรื่องของคนที่ชื่อมะนาว ไอ้ฟิวเอามาเล่าให้ฟังเมื่อหลายวันก่อนแล้ว ตอนแรกก็ไม่ได้อยากรู้หรอก เพราะเป็นอดีตของไอ้ภีมมัน แต่พอไอ้ฟงพูดขึ้นมาว่า ‘น้องมันจบมาจากโรงเรียนเดียวกับม่านฟ้า’เท่านั้นแหละ ถึงได้เอะใจขึ้นมา นึกถึงเรื่องที่ฟ้าให้ทำก็เกิดสงสัยขึ้นมา ว่าทำไปทำไม

 

เพราะเท่าที่สังเกตฟ้า ดูแล้วไม่น่าจะรู้จักไอ้ภีมเป็นการส่วนตัวด้วยซ้ำ เดินผ่าน เจอหน้า ก็เหมือนคนไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ทำไมฟ้าถึงให้ผมทำเรื่องโง่ๆ อย่างหลอกให้ไอ้ภีมรัก แล้วหักอกมันด้วย

 

[มึงยังติดใจเรื่องที่ไอ้ฟิวไปแอบฟังไอ้เบสกับไอ้ซานคุยกันอีกเหรอวะ]

 

“เอ่อ ที่ฟ้าให้กูมาหักอกไอ้ภีม ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่ตอนนี้คิดแล้ว กูว่ามันแปลกๆแล้วว่ะ ไปสืบมาให้หน่อย”

 

[เอ่อๆ จะตามสืบให้แล้วกัน]




ออฟไลน์ Gansa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
(4/4)




[ตาเนล! รู้ไหมวันนี้วันอะไร] ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงสดใส จนผมต้องถอนหายใจออกมา คงไม่ได้มีเรื่องอะไรวุ่นๆให้ผมอีกแล้วนะ ทุกวันนี้ปัญหาของไอ้ภีมก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว ม๊าช่วยเงียบๆ แล้วหายไปจนว่าจะเคลียร์ปัญหาไอ้ลูกหมาจบก่อนได้ไหม อย่ามาเพิ่มปัญหาให้ผมอีกเลย

 

“วันศุกร์” ผมตอบไปด้วยความเหนื่อยหนาย

 

[นี่เล่นมุขอยู่เหรอ]

 

“ม๊าก็บอกมาสิครับ ผมไม่รู้หรอก ขี้เกียจเดา”

 

[อ่ะๆ เฉลยให้ก็ได้ วันนี้เป็นวันเกิดหนูพิมไง]

 

เห้อออออ ขอถอนหายใจ

 

“แล้วม๊ามาบอกผมทำไม”

 

[เอ้า ตาเนลจะได้มางานวันเกิดหนูพิมไง]

 

“ผมไม่ไป”

 

[ไม่ได้นะ ม๊าพูดกับเจ้าสัวธนชัยไว้แล้ว ว่าตาเนลจะมาเซอร์ไพรส์หนูพิมที่งาน]

 

“เฮ้ออ ม๊าก็บอกเขาไปสิครับ ว่าผมติดธุระด่วนมากกกกกก ไปไม่ได้”

 

[ไม่ได้! ยังไงตาเนลก็ต้องมา จะมาหักหน้าม๊าแบบนี้ไม่ได้นะ รีบไปแต่งตัวหล่อๆ มางานเดี๋ยวนี้เลย]

 

“โอ้ยย ม๊า เมื่อไหร่จะเลิกจับคู่ผมกับพิมสักที ผมมีเมียแล้วนะ”

 

[อุ๊ยตายว้ายกรี๊ด หยาบคายจริงๆเลยลูกชายฉัน มงๆเมียๆอะไรกัน แค่เอาผู้ชายมาแสดงละครตบตาม๊า แล้วแอบอ้างว่าตัวเองเป็นเกย์ม๊าไม่เชื่อหรอกนะ จนกว่าจะพิสูจน์ให้ม๊าเห็นนู่นแหละ]

 

“ม๊าจะให้ผมพิสูจน์ยังไง พูดมาเลย” บอกตรงๆว่าเบื่อแพทเทิร์นเดิมๆของม๊าจะตายอยู่แล้ว

 

[ไม่รู้แหละ มันก็เรื่องของแก ตราบใดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ชีวิตแกก็เป็นของฉัน รีบๆไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้!]

 

“ครับๆ” ผมตอบไปอย่างเอือมระอา เดินไปอาบน้ำ แต่งตัว เซตผมให้หล่อ ฉีดน้ำหอมนิดหน่อย ตามสไตล์ ก่อนเดินออกห้องไป เห็นไอ้ภีมยืนเม้มปากอยู่หน้าห้อง อารมณ์ฉุนเฉียวน่าดู เรื่องที่ให้ไอ้เมฆไปทำ ส่งผลแล้วสินะ โอ้ยยย ปัญหารุมเร้าจริง

 

“หลบไป” ผมเอ่ยปากไล่มัน

 

“พี่ทำแบบนี้ทำไม!! ต้องการอะไรจากผมอีก” มันรีบตะคอกใส่ผม มือเล็กกระชากเสื้อผมจนยับเยิน

 

“มึงพูดอะไร” ขมวดคิ้ว มือก็แกะมือมันออกจากเสื้อ

 

“พี่เป็นคนขู่ขึ้นค่าเช่าร้านพี่อ้อย เพียงแค่ต้องการบีบผมให้ออกจากงาน ใช่ไหม!” มันขึ้นเสียงใส่ผม

 

ผมกระตุกยิ้มมุมปาก เมื่อเห็นท่าทางของคนตรงหน้า “ใช่ กูเป็นคนบอกให้ไอ้เมฆทำเอง พอใจยัง? ”

 

“พี่ทำแบบนั้นทำไม!”

 

“ตอนแรกขอให้ไล่มึงออกดีๆแล้ว แต่พี่อ้อยแกไม่ยอม กูถึงต้องใช้วิธีนี้ เป็นไง ได้ผลดีใช่ไหม” ผมเลิกคิ้วถาม

 

“พี่ต้องการอะไรจากผมกันแน่ ทำไมถึงได้ลงทุนทำเรื่องชั่วขนาดนี้ แค่ทุกวันนี้ ที่ทำร้ายผมยังไม่สะใจพี่อีกเหรอ?”

 

ในหัวมึง ก็คิดได้แค่นี้แหละไอ้ภีม ถ้ากูต้องการทำร้ายมึงจริงๆ คงไม่ไปเปิดบัญชีใหม่ให้เสียเวลาหรอก ป่านนี้คงปล่อยให้มึงโดนสูบเลือดสูบเนื้อจนหมดตัวไปแล้ว

 

“กูแค่อยากให้มึงลาออก” ผมตอบมันไปแค่นั้น

 

“พี่กำลังยุ่งเรื่องส่วนตัวผม จนเกินขอบเขต กฎของเรามีไว้ให้ใช้ ทำไมไม่รู้จักปฏิบัติ”

 

อ้างกฎกับกูอีกแล้ว เกลียดจริงๆเลย ปกติก็สร้างไว้เป็นเกราะป้องกันตัวเอง ตอนนี้เสือกทรยศกู ไปปกป้องไอ้ภีมซะงั้น!

 

เอาไปเผาทิ้งดีไหมเนี่ย หงุดหงิดฉิบหาย

 

“หึ” ผมเค้นหัวเราะในลำคอ “กฎนั้น เดิมทีกูตั้งใจมีไว้ให้มึงปฏิบัติแค่คนเดียว” ผมก้มลงไป ให้หน้าเราเสมอกัน

 

“….”

 

“บ้านราคาตั้งเท่าไหร่ ถ้าทนไม่ไหวก็ไม่ต้องเอา!” ถึงผมจะไม่ได้คิดอย่างที่พูดออกไป แต่ก็เผลอพลั้งปากออกไปแล้ว และดูเหมือนคนที่ฟังจะโกรธจัดกว่าเดิมอีก

 

 “หลีกไป กูมีนัด”

 

ผัวะ!**

 

มันต่อยเข้าที่สันกรามมันเต็มๆ ในจังหวะที่ผมไม่ทันตั้งตัว โอ้ยยย เจ็บฉิบหาย ตัวก็แค่นี้ทำไมหมัดหนักจังวะ

 

ผมเอามือมาลูบสันกราม หันหน้าไปมองไอ้ภีม อย่างไม่สบอารมณ์นัก คนตัวเล็กกว่าได้แต่ยืนกัดริมฝีปากจนห้อเลือด

 

“มึงกล้าต่อยกูเหรอ?” ผมถามลอดไรฟัน

 

“ทำไมผมจะต่อยพี่ไม่ได้ ถ้าไม่พอใจก็ต่อยผมคืนเลย”

 

มันจับมือผมขึ้นมา ทั้งสองข้าง ก่อนทั้งทุบ ทั้งต่อยเข้าที่หน้าตัวเอง

ผมตกใจกับการกระทำของคนตรงหน้า รีบยั้งมือไว้ ก่อนจะทำให้ไอ้ภีมเจ็บไปมากกว่านี้

 

“เป็นบ้าอะไรของมึงหะ!!” ผมตะคอกใส่มันเสียงดัง

 

“หยุดทำไม ต่อยผมเลย ต่อยจนกว่าจะสมใจพี่ แล้วเลิกทำลายชีวิตผมสักที!” มันพูดติดสั่น

 

“ไอ้ภีมหยุด!” ผมเปลี่ยนมารวบมือผมไว้ทั้งสองข้างมันเอาไว้แน่น

 

“พอใจพี่หรือยัง ผมเสียแทบทุกอย่างไปแล้ว ทั้งบ้าน ทั้งงานประจำที่ทำอยู่ ต่อไปพี่จะเอาอะไรจากผมอีกล่ะ? บีบผมให้ลาออกจากมหาลัยเลยไหม!!” มันขึ้นเสียงใส่ ดึงแขนตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุมของผม

 

มึงคิดได้แค่นี้จริงๆว่ะไอ้ภีม…ในสายตามึง กูไม่เคยมีดีอะไรเลยใช่ไหม?

 

ผมขบกรามแน่น อุ้มมันขึ้นพาดบ่าไว้ ผมว่าเรื่องนี้คงยาว ยืนคุยตรงนี้เห็นจะไม่เหมาะ

 

เดินเข้าไปในห้อง ก่อนทุ่มมันลงกับเตียงนุ่ม แล้วขึ้นคร่อมมันทันที ท่านี้แหละคุยสะดวก ถ้าพูดไม่เข้าหู กูปล้ำ เอาสิมึง!

 

“ออกไป ทำอะไรของพี่” มันโวยวายยกใหญ่

 

“ทำไมถึงคิดว่ากูเป็นฝ่ายทำลายมึงด้วย จะมองว่ากูเป็นฝ่ายปกป้องมึงบ้างไม่ได้หรือไง”

 

“พี่เคยปกป้องอะไรผม บีบให้ออกจากงานเนี่ยนะปกป้อง?”

 

ได้ยินแล้วหงุดหงิดใจเป็นบ้า ผมเอื้อมไปเปิดลิ้นชักตรงหัวเตียง ก่อนหยิบมือถือที่แย่งจากพ่อมัน โยนไปให้

 

“นี่ไงล่ะ!” มันรับไป ทำหน้างุนงง “คนให้มันเสียความรู้สึก ถึงกูจะเกลียดไอ้ซาน จนอยากเอามือถือเครื่องนี้ไปทำลายทิ้งก็เถอะ แต่ก็ทนเห็นมึงทำหน้าลำบากใจ ตอนเอาโทรศัพท์ให้พ่อไปไม่ไหว เลยเก็บไว้ให้ รักษาให้ดีๆล่ะ”

 

บอกตรงๆตอนแย่งโทรศัพท์จากพ่อมันมา คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะเก็บไว้ดีไหม เพราะเป็นของไอ้ซาน แต่พอคิดกลับกัน ถ้าผมเป็นไอ้ซาน คงรู้สึกแย่น่าดูเลย ถ้าโดนแบบนี้ แถมหน้าลำบากใจของไอ้ภีมที่ติดตามา เห็นแล้วทิ้งไว้ลงจริงๆว่ะ

 

“…”

 

“แต่จะดีมากถ้ามึงเอาไปคืนมัน” แล้วให้กูซื้อเครื่องใหม่ให้

 

“แล้วมันมาอยู่กับพี่ได้ไง…” มันขมวดคิ้ว ถามออกมาอย่างสงสัย

 

“ก็เอาจากพ่อมึงน่ะสิ อย่าคิดนะว่ากูไม่รู้…ว่าพ่อมึงมารีดไถเงินจากมึง” ผมเริ่มพูดเรื่องที่รู้ให้มันฟัง

 

“ระ…รู้ได้ไงครับ”

 

“กูรู้ตั้งแต่แรกนั่นแหละ ตั้งแต่พ่อมึงมาดักรอที่ ม.แล้ว”

 

“…”

 

“จะให้กู ปล่อยมึงไปทำงานเหนื่อยฟรี ให้พ่อมึงรู้ว่ามึงมีเงิน แล้วมาขูดรีดทีหลังน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ คิดว่าตัวเองเป็นพ่อพระอยู่หรือไง ช่วยเหลือคนอื่นได้ แต่ต้องไม่ทำให้ตัวเองลำบาก กลับบ้านดึกดื่นทุกวัน มันเสียเวลากูที่ต้องมานั่งรอมึง”

 

“แต่พ่อกำลังลำบาก จะให้ผมอยู่เฉยๆหรือไง”

 

“หึ ลำบากอะไร หนี้ก้อนโต 1 แสนอะนะ กูใช้คืนให้ตั้งนานแล้วเถอะ”

 

“!!!?”มันทำหน้าตกใจ ผมจึงรีบพูดในสิ่งที่ต้องการจะบอกมันตลอดให้ฟัง

 

“กูจ่ายให้ตั้งแต่วันที่พ่อมึงมาดักเจอมึงที่มหาลัยวันนั้นแล้ว”

 

“ไม่จริง…”

 

“กูมีหลักฐานนะ จะดูไหมล่ะ” ผมลุกขึ้นไป หยิบใบเสร็จจ่ายเงินที่อยู่ในลิ้นชัก ยื่นให้มัน ไอ้ภีมทำหน้าอึ้ง ก่อนที่น้ำตาสีใสจะไหลลงมาอาบแก้ม ขี้แยจังวะมึง

 

“ขอโทษที่ทำให้มึงโดนไล่ออก แต่กูไม่อยากเห็นมึงลำบาก กูผิดมากไหม” ผมเดินไปนั่งข้างเตียงเอามือมาปาดน้ำตาให้มันช้าๆ

 

“ตอนแรกกูตั้งใจปล่อยผ่าน เพราะพ่อมึงรับปากกับกูไว้แล้ว ว่าจะไม่มาขอเงินมึงอีก แต่สุดท้ายก็มาเอาเงินมึงไป จะให้กูทำยังไง” เรื่องนี้กูคิดหนักมาหลายวันเลยนะโว้ย

 

“…..ฮึก” เมื่อเห็นมันร้องไห้อย่างอดกลั้นไว้ไม่ไหว จึงดึงเข้ากอดปลอบ ช่วงนี้มึงชักจะร้องไห้บ่อยเกินไปแล้วนะไอ้ภีม...

 

“จะปล่อยให้มารีดมึงที่ร้านพี่อ้อยเหมือนวันนั้นอีกเหรอ ยิ่งเป็นคนใจอ่อนแบบมึงแล้ว มีร้อยให้ร้อยมีพันให้พันอะ” แม้ตัวเองจะลำบากแค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็ทำให้เห็นว่า มันเลือกครอบครัวมาก่อนเสมอ คนแบบนี้แหละเหมาะจะเป็นเมียกูในอนาคต หึๆ

 

“….”

 

“ถ้าพ่อมึงแต่งเรื่องมาหลอกอีก มึงมั่นใจแค่ไหนว่าจะไม่ใจอ่อน ปล่อยเรื่องนี้ให้กูจัดการเองเถอะ”

 

“….”

 

“มึงเหนื่อยเกินไปแล้ว หยุดเถอะ อยู่ทำงานกับกูแค่คนเดียวก็พอ ส่วนเงินกูจะเพิ่มให้อีก เท่ากับจำนวนที่ไปทำงานที่ร้านพี่อ้อยเลย” ผมเอามือไปลูบหัวมันเบาๆ เป็นการปลอบ “โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ”

 

ไอ้ภีมปล่อยให้ผมกอดอย่างนั้นนิ่งๆ ตอนมันไม่ดื้อแล้วยอมดีๆ ใจกูสั่นฉิบหาย แต่ผมไม่พูดออกไปหรอก เดี๋ยวแม่งได้ใจ ผมกอดมันอย่างนั้นสักพักเจ้าตัวก็พูดออกมา

 

“ที่พี่เอาผมออกจากงานเพราะเรื่องนี้เหรอครับ”

 

“ใช่ แต่แค่ 20% นะ”

 

“อ่าว…อีก 80% ล่ะ”

 

“อีก 80% คือกูไม่ชอบใจผู้หญิงที่มาขอเบอร์มึง จบนะ” คิดถึงแล้วอารมณ์เสียฉิบหาย อยากต่อยคน ไม่ๆ! ไอ้เนลจะไม่พาล

 

ไอ้ภีมมองผมนิ่ง มุมปากได้รูปค่อยๆยกยิ้มทีละนิด โอ้ยยยย! น่ารักจังวะมึง

 

“แน่ะ! ยิ้มๆ หายโกรธกูแล้วใช่ไหม” ผมเอามือไปดึงจมูกมันเล่นอย่างหมั่นเขี้ยว

 

“….”

 

“งั้นคืนนี้ก็มานอนกับกูนะ” พร้อมส่งยิ้มทรงเสน่ห์ให้ อ้อนสักหน่อย หลังจากที่ทนนอนอย่างกล้ำกลืนฝืนทนมาหลายวัน

 

“ใช่เรื่อง ถึงแม้ผมจะหายโกรธพี่เรื่องนี้ แต่อย่าลืมสิครับ ข้อตกลงเรายังเหมือนเดิม”

อ่าว สัด…อย่างนี้ก็ได้เหรอมึง กูไม่ยอม!

 

“อะไรวะ มานอนกับกูหน่อยก็ไม่ได้ กูซื้อมึงมาแพงนะไอ้ภีม ทำงานให้สมกับราคาหน่อย” ได้ทีขอโวยวายสักหน่อย

 

“หัดเคารพข้อตกลงที่ตัวเองสร้างขึ้นมาหน่อย” อ่าว…อีเมีย พูดจาวอนซะแล้วนะมึง

 

“โอ้ยย ไอ้ภีม เห็นใจกูหน่อย กูไม่ได้นอนกกใครมาหลายวันแล้ว กูเหงากาย”

 

“ก็เห็นควงผู้หญิงไปทั่ว อย่ามาโกหกผม”

 

มึงไปเห็นตอนไหน ตอบกู!!!! ตอบ!!! ทุกวันนี้ถ้าไม่ขวดเหล้า ข้างกายกูก็มีแต่ไอ้เพื่อนหน้าเถื่อนอ่ะ แถมกูออกจะเป็นคนดี ประพฤติดี นั่งสมาธิ ฟังธรรม จะเอาเวลาที่ไหนไปนอนกกหญิงได้ พูดสิไอ้ลูกหมา!

 

“กูพูดความจริง”

 

“งั้นก็โทรเรียกผู้หญิงของพี่มาสิครับ เห็นคั่วตั้งหลายคน เลือกเอาสักคนสิ” หือ..นี่คงไม่ได้หึงกูอยู่หรอกนะ บ้าน่า เป็นไปไม่ได้หรอก ตอนที่มึงโกรธกู อีหึงกูเอาไว้เป็นตัวเลือกสุดท้ายเลยนะ

 

มันโคตรเป็นไปไม่ได้ในหลักทฤษฎีไอ้เนล ก็ที่ผ่านมาพยายามอ่อยมัน ร้อยแปดวิธี พูดดีด้วยก็แล้ว หยอดไปก็หลายดอก ทั้งลวนลาม ทั้งเอาใจ กูก็ทำมาหมดแล้ว ไม่เห็นว่ามันจะหวั่นไหว มีแต่กูเนี่ยแหละ ที่ยิ่งใกล้ยิ่งหื่น

 

“หืออ เสียงแข็งเชียวว ยังไม่หายงอนกูหรือไง” เอามือไปบีบแก้มมันเล่นแม่ง

 

“….” ไอ้ภีมทำหน้าดุใส่ จนผมรู้สึกหวั่น... หวั่นไหว แม่ง ทำหน้าดุไม่ได้ทำให้มึงน่ากลัวเลยสักนิด

 

ในหัวก็ปะติดปะต่อเรื่องที่เกิดวันที่มันทำตัวแปลกๆใส่ ผมพอจะเดาๆได้แล้วว่ามันรู้สึกยังไง คงไม่พอใจที่ผมสนใจน้ำหวาน แถมยัยนั่นยังชอบเข้ามาหอมแก้มผมเหมือนเด็กๆ แน่ๆ

 

โอ้ว … นี่หึงกูหรือเนี่ยย หึงได้น่ากลัวฉิบหาย นี่สาบานเลยว่าจะไม่ทำตัวให้มันหึงอีก กว่าจะรู้ ทำเอากูเป็นศพไปหลายวันเลย

 

“อ๋อ” ผมเหล่ตามอง ยกยิ้มมุมปาก “งั้นโทรเรียกน้ำหวานมานอนด้วยดีกว่า” ลองเชิงหน่อย ถ้ามันระเบิดใส่ ก็ฝากเก็บศพด้วย

 

“ตามสบายเลยครับ อยากทำอะไรก็เชิญ อ๋อ! วันหลังถ้ามีกับนัดผู้หญิงคนอื่น ก็อย่าพาผมไปด้วยนะ ขี้เกียจรอ”

 

อั้ยหยา… “ลูกหมา…”

 

“แล้วถ้าหอมแก้มกัน ก็ช่วยไปหอมในที่ลับตาคนหน่อย ไม่ใช่ทำในที่สาธารณะแบบนั้น หัดเกรงใจคนอื่นบ้าง”

 

“ลูกหมาครับ” ไม่ธรรมดาแล้วว

 

“เลือกของให้กันตั้งนานสองนาน ได้มาแค่กำไลข้อมือ กับแหวนคู่ อ้าว! แล้วแหวนคู่หายไปไหนล่ะครับ ทำไมไม่ใส่ แบบนี้ฝ่ายหญิงไม่เสียใจแย่เหรอ” มันจับมือผมขึ้นไป สำรวจแหวน

 

มันจะมาอยู่ที่นิ้วกูทำไม! หวานซื้อไปให้แฟนเขา!

 

“เมียครับ ใจเย็น” ผมเอานิ้วมาแตะปากมันให้หยุดพูด ได้ทีมาเป็นกระสุนเลยนะ เอาซะตัวกูพรุนไปหมด

 

"ใครเมียมึง" โอ้โห มีขึ้นเสียง…

 

"เกรี้ยวกราดจัง" ผมเอามือมาขยี้หัวมันจนไม่เป็นทรงอย่างหมั่นไส้ ไอ้ลูกหมาจึงปัดมือผมออก พลางส่งสายตาเป็นนัยๆว่า อย่ามายุ่งกับกู!!

 

ผมจึงส่งสายตาตอบมันไปว่า กูไม่สน! กูจะยุ่ง มึงจะทำไม?

 

“ที่พูดมาทั้งหมด คือหึงกู?”

 

“หึงทำไม” อ่าว…ปากแข็ง เดี๋ยวตบด้วยปาก

 

“หึงชัดๆอะ โคตรหึงเลยด้วย อย่าบอกนะ ที่ทำตัวอึมครึมใส่เพราะหึงกูกับน้ำหวาน ฮ่าๆๆๆ” ผมหัวเราะร่วน ดังลั่นห้อง คิดได้ไงวะ ถ้าให้เอากับน้ำหวาน กูเลือกเอากับมึงดีกว่า บันเทิงกว่าเยอะ

 

ผมเอามือกุมท้อง “โอ้ยย น่ารักว่ะมึง”

 

“ขำอะไรนักหนาครับ” มันขมวดคิ้วไม่พอใจ เตรียมลุกจากเตียง ออกไปจากห้อง แต่ผมไวกว่า ดึงแขนให้ลงมานอน แล้วเอาตัวมาคร่อมไว้เหมือนเดิม น่ารักขนาดนี้ วันนี้มึงคงต้องเสร็จกูแล้วล่ะ ไอ้ภีม

 

“ทำกูเครียดตั้งหลายวันเลยนะมึง ถ้าบอกตรงๆว่าหึงกู ป่านนี้คงนั่งยิ้มยันฟ้าสาง” ผมก้มลงไปกระซิบข้างหู

 

“ไม่ได้หึงครับ” มันปฏิเสธ ผมจึงสบตากับมัน พลางยกยิ้มไปด้วย มือก็เริ่มลูบไล้ตั้งแต่ลำคอ ลงไปเรื่อยๆ ผิวเนียนโคตร!

 

“จะบอกอะไรให้…น้ำหวาน เป็นน้องกูเอง พึ่งกลับมาจากต่างประเทศ กำลังตัดสินใจว่าจะต่อมหาลัยที่นู่น หรือกลับมาเรียนในไทย เรื่องนี้ยังคุยๆกันอยู่ คุณน้าอยากให้เรียนต่อนู่นเลย แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก” ผมเริ่มอธิบาย มือค่อยๆลูบลงมาที่หน้าท้อง อั๊ยหยา แค่หน้าท้องก็เสียวได้

 

“บอกผมทำไมครับ” มือที่ว่างก็พยายามดึงมือผมออก

 

“ก็มึงหึงกูอยู่” มือมันค่อยๆมาลูบลงไปที่หน้าขาบ้าง

 

“ไม่ได้หึงครับ” แต่หน้ามึงโคตรหึงเลยครับ

 

“กูจะบอกว่าน้ำหวานโตมาในสังคมที่ไม่ค่อยถือตัวแบบในไทย เธออาจจะทำอะไรโดยไม่คิดอยู่บ้าง มึงอย่าไปถือการกระทำบางอย่างของเธอเลย เรื่องหอมแก้มนั่นอีก เมื่อก่อนตอนเด็กๆ เธอก็ชอบมาหอมกูแบบนี้แหละ โตมาอาจเพราะความเคยชิน จึงทำอะไรแบบนั้นออกไปจนทำให้มึงหึง”

 

“ผมไม่ได้หึง!!”

 

“ชู่ว เบาๆสิ” ผมเอามือขึ้นปิดปากมันไว้ แค่นี้ทำไมต้องขึ้นเสียง..

 

“!…แล้วเป็นพี่น้องกัน ปกติเขาจูบกันด้วยเหรอครับ”

 

“หะ? จูบอะไร” ผมทำหน้างง ไปจูบกับยัยหวานตอนไหนวะ

 

“กะ…ก็…จะ…จูบกันไงครับ จูบปาก” มันพูดตะกุกตะกัก หน้าก็เริ่มขึ้นสี

 

“หะ? ตอนไหน” ผมถามย้ำ จำไม่เห็นได้

 

“ก็ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมเห็นเต็มสองตาเลย”

 

หะ? โอ้โห..งานยากเลย จูบในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย ระดับพี่เนล ถ้าจะจูบจริงไม่แอบไปกินในที่ลับตาคนหรอก กลางร้านพี่ก็ทำมาแล้ว แต่ขอย้อนคิดแปป…ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเหรอ จะมีแค่ครั้งเดียว ที่ยัยหวานติดกระดุมเสื้อเม็ดบนไม่ได้ จึงเรียกผมเข้าไปติดให้ เค้นอยู่นานจนน่าหงุดหงิด แถมเจ้าตัวก็ไม่ยอมลุกจากเก้าอี้อีก ผมจึงเข้าไปใกล้ๆจนแทบคร่อมอยู่แล้ว กว่าจะติดได้เหงื่อซึมกันเลยทีเดียว นี่สาบานกับตัวเองไว้เลย ว่าจะไม่ไปส่งยัยหวานซื้อของอีกแล้ว

 

“อ๋ออออ มึงแน่ใจนะว่ากูจูบกับน้ำหวานจริงๆ” ผมถามออกไป พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้

 

“แน่ใจ” มันตอบด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ดี!… น่ารักดี คนมีความมั่นใจแบบนี้กูก็ชอบนะ

 

“แน่ใจ?” ผมถามย้ำ

 

“นะ แน่” อ่าว แผ่นเริ่มสะดุด

 

“แน่เหรอ?” ถามย้ำอีก จะถามจนกว่ามึงจะเสียความมั่นใจนั่นแหละ

 

“เอ่อ…นะ แน่”

 

“กูไม่ได้จูบกับน้ำหวานสักหน่อย”

 

“อย่ามาโม้” เอ้า! โม้ไปกูจะได้อะไร

 

“ไม่ได้โม้ ไม่ได้จูบจริงๆ”

 

“จะ จูบ” เสียงมันแผ่วลง เริ่มหลบสายตาผม หันไปซุกหน้ากับหมอน จะมีแลๆมองมาเป็นบางครั้ง

 

โอ้โห! ตายแล้ว ตัวกู ความรู้สึกเหมือนตาแก่วัย 80 ที่กำลังมองเด็กอายุ 15 เลยสัด

รู้สึกเปล่งปลั่ง กระชุ่มกระชวยหัวใจ

 

“ไม่ได้จูบ!” ถึงไม่ได้จูบกับน้ำหวาน แต่ไอ้คนตรงหน้าเนี่ย! น่าจูบ

 

“….”

 

“ถ้าจูบต้องแบบนี้…”

 

ผมก้มลงไปประกบจูบมันทันที ใช้ริมฝีปากฉกชิมความหวานจากปากมันให้มากที่สุด หัวใจของผมเต้นรัว ผมไม่รู้ว่ามันจะทำให้คนใต้ร่างรู้สึกหรือเปล่า แต่สำหรับผมมันแทบหลุดออกมาจากอก สัมผัสวาบหวามที่ได้รับ ทำให้แก่นกายชูชันและแข็งตัวขึ้นมา

 

ผมจูบอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนถอนริมฝีปากออกมาช้าๆ คนข้างล่างรีบกอบกวยอากาศ ผมส่งสายตาหื่นกระหายไปให้มัน เอาให้รู้กันไปเลย ว่าตอนนี้กูหื่นจริงๆ ส่วนล่างก็เริ่มอึดอัดไปหมดประกบลงไปอีกครั้ง ผมดูดเม้มปากล่างมันอย่างอ่อนโยน ก่อนย้ายไปริมฝีปากบนต่ออย่างเชี่ยวชาญ ปากไอ้ภีมหวานมาก หวานจนผมอยากฉกชิมไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักจบ ระหว่างที่คนใต้ร่างกำลังเคลิ้มอยู่ มือค่อยๆปลดเสื้อผ้ามันออกทีละชิ้นอย่างช่ำชอง

 

“อืมม” ผมเผลอครางออกมา มือเลื่อนขึ้นมาลูบไล้บริเวณอกมัน

 

มือไอ้ภีมพยายามดันอกผมออก เมื่อเจ้าตัวเริ่มหายใจไม่ออก ผมยังคงดื้อดึงเพราะรู้สึกว่ายังไม่พอ ทีนี้มันเลยเปลี่ยนมาทุบหน้าอกผมแรงๆบ้าง จึงยอมผละออกแต่โดยดี

 

ผมมองมัน พลางเลียริมฝีปากตัวเองไปด้วย “ไอ้ภีม…” ผมเรียกเสียงกระเส่า

 

“ครับ”

 

“กูขอได้ไหม” ไม่พูดเปล่า จับขามันแยก ก่อนเอาตัวเองมาแทรกกลาง เสร็จกู!

 

“ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา กูคิดถึงมึงมากนะ มาเติมเต็มช่วงที่ขาดหายให้กูหน่อย”

 

"พี่มีนัดไม่ใช่หรือไง รีบไปดิ" มันเอ่ยปากไล่ แหมมม ทีงี้มาไล่กู ตอนกูจะไปไม่ยอมให้ไป กูไม่ไปแล้วโว้ย

 

"ไม่เอา กูไม่ไปแล้ว"

 

ให้ไปงานวันเกิดอย่างทุกข์ทรมาน สู้อยู่บ้านกับมึงดีกว่า….

 

น่าสนุกกว่าเยอะ

 

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
อิพี่เนลชัดเจนกับความรู้สึกแล้วแน่ ๆ นะ ไม่ใช่ว่าเจอยัยฟ้าอะไรนั้นเข้าแล้วไขว้เขว้อีกนะ จะตบกะบาลให้

ออฟไลน์ Aun282828

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อร๊ายยยยยยยยยยยย เนล น่าย๊ากกกกกกกกกกกกก ลุยยย

ออฟไลน์ nidasu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เนลกำลังเคลียร์ตัวเองอยู่ใช่ไหม?เปิดใจตัวเองแล้วใช่ไหม?ไม่พนันกับน้องมันแล้วใช่ไหม? ถ้านังฟ้ามาอ้อนให้ทำร้ายภีมจะไม่ทำตามแล้วใช่ไหม?ไม่ไว้ใจเนลเลยอ่ะ :katai1: กลัวทำภีมเสียใจอีก

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เปิดอกคุยกันสักที

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
กว่าจะลงตัว. เสียน้ำตาไปหลายรอบ,,,

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
มันคือความจริง
ช่วยยืนยันหน่อย..อยากจะเชื่อนะ

คนแต่งหลอกเราหรือเปล่า
หุหุ

เนลเปลี่ยนไป..จริงดิ
ชั่วคราวหรือถาวร
ฮาาาาาาา

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
คุณเนลเปลี่ยนไป...นี้ถาวรหรือชั่วคราวคะ? แล้วเรื่องคุณฟ้าล่ะ?

ออฟไลน์ Gansa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนที่ 24 นอนกับกูนะ
(1/2)

“ภีมครับ…” พี่เนลก้มลงมากระซิบ พลางเป่าลมอุ่นข้างหู จนขนอ่อนลุกเป็นแถบๆ

 
“…” ผมหลับตาปี๋ เอาหน้าไปซุกกับหมอนใบใหญ่ที่หนุนอยู่ หัวใจเต้นรัวแรงอยู่ในอก ผมไม่รู้ว่าพี่เนลมาอารมณ์ไหนกันแน่ แต่สามารถรับรู้ถึงอันตรายที่จะมาถึงตัวชัดเจน เมื่อคนด้านบนเอาแกนกายที่แข็งโด่แทบทะลุเป้ากางเกง มาถูกับต้นขาของผม

 
จะรอดออกไหมกู...

 

“มองหน้ากู” มือหนาจับใบหน้าผมให้หันไปสบตา ออกแรงบีบแก้มเบาๆอย่างหยอกล้อ มุมปากได้รูปยกยิ้มพึงพอใจ เมื่อผมยอมสบตากับมันดีๆ

 
“มะ..มีอะไรครับ” ผมตอบมันเสียงสั่น

 
“ว่าไง กูขอนะ” มันพูดเสียงแหบพร่า สายตาน่าลุ่มหลงไล่มองลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ หางคิ้ว ดวงตา ปลายจมูก จนมาหยุดที่ริมฝีปาก คนด้านบนก้มลงมา หวังฉกชิมอีกหน ผมจึงรีบเอามือขึ้นมาบังไว้ ก่อนที่ริมฝีปากจะประกบกัน

 

“ไม่เอาครับ ปล่อยผมได้แล้ว” รีบปฏิเสธเสียงแข็ง มือก็ดันหน้ามันออกไปด้วย ทำไมหื่นแบบนี้วะ

 “ขอเถอะ” พูดพร้อมส่งสายตาระยิบระยับมา มึงไม่ต้องมาแบ๊ว กูไม่ให้!

 
“ไม่เอาครับ เรื่องแบบนี้มันขอกันง่ายๆได้ด้วยหรือไง” พูดเหมือนขอผักขอปลา ตลกนะมึง อีกอย่างเรื่องแบบนี้ ผมถือ! ตราบใดที่แฟนยังไม่มี ซิงกูก็ต้องคงอยู่ ข้างหน้ายังบริสุทธิ์จะมาพรากข้างหลังกูไปแล้วเหรอ เลวทรามจริงๆ

 
“จะไม่ให้จริงๆเหรอ” มันถามย้ำ คือมึงจะเอาให้ได้เลยหรือไง ถอยไปให้ห่างเลย

 
“ไม่ครับ” รีบส่ายหัวรัวๆ ยังไงก็ไม่ยอม ในหัวคิดหาวิธีที่จะรอดจากสถานการณ์นี้ไปด้วย

 

“แต่กูซื้อมึงมาแพงนะครับ ไม่อยากให้อะไรตอบแทนหน่อยเหรอ?” พี่เนลเลิกคิ้วถาม ไอ้เรื่องเงินกับเรื่องนี้ มันคนละเรื่องกันโว้ย

 
“ไม่เอาครับ” ผมยังยืนยันคำเดิม “ไอ้ที่ช่วยพ่อผมชำระหนี้ยังไงก็ขอบคุณด้วยนะครับ เดี๋ยวผมรีบหาเงินมาคืนพี่ให้เร็วที่สุด แต่ตอนนี้ปล่อยผมได้แล้ว” เก๊กหน้าโหดแบบพี่เมฆ ส่งสายตาดุที่สุดในชีวิตไปให้ เผื่อจะกลัวขึ้นมาบ้าง จะได้เลิกทำตัวหื่นกามใส่สักที เอามือไปดันตัวมันออก แต่ไอ้มือปลาหมึกของมันกลับเข้ามารวบตัวผมไว้แน่น จึงพยายามดิ้นรนให้หลุด แต่ยิ่งดิ้นพี่เนลก็ยิ่งรัดแน่นกว่าเดิม

 
“โอ้ยยย พี่เนลปล่อย!!”ผมโวยวายออกมา เมื่อเริ่มสู้แรงควายมันไม่ไหว พออยู่ใกล้ๆกลิ่นน้ำหอมที่มันใส่เริ่มแรงจนรู้สึกแสบจมูก พาลทำให้รู้สึกปวดหัวตุบๆ ผมไม่ชอบกลิ่นนี้เลย ได้กลิ่นแล้วเวียนหัวจวนจะอ้วกทุกที “ผมเหม็นกลิ่นน้ำหอมพี่ ปล่อย”

 
“กู ไม่ ปล่อย”พูดเน้นทีละคำ พร้อมยิ้มยียวนกวนประสาท ก้มลงมาฟัดแก้มเล่น ก่อนย้ายไปดูดเม้มทำรอยตรงต้นคอ มือที่รัดตัวผมค่อยๆคลายออก ลูบสะเปะสะปะตามร่างกายไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ลำคอ ลงมาที่หน้าอก จรดท้องน้อย แล้วมาหยุดตรงจุดยุทธศาสตร์ ตอนนี้เหลือแค่กางเกงในเท่านั้นที่ปกป้องเอาไว้ แทบกลั้นหายใจเมื่อมือหนาเลื่อนเข้าไปจับแกนกายที่เริ่มอึดอัดของผม ออกแรงบีบเบาๆ ก่อนใช้นิ้วโป้งลูบวนตรงส่วนปลาย รู้สึกเสียวซ่านขึ้นมาจนเผลอครางอย่างน่าอาย เคลิบเคลิ้มกับสัมผัสที่มอบให้ จนลืมตัวปล่อยให้มันทำตามใจชอบ

 
พี่เนลลากลิ้นลงมาตรงตุ่มใตด้านขวา ใช้ฟันคมฝังลงไป ความเจ็บแปลบแล่นขึ้นมา ผมร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เผลอขยำแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างลืมตัว เกร็งไปหมดทุกครั้งที่รับสัมผัสของมัน คนตัวสูงดูดเม้มส่วนที่พึ่งกัดไปซ้ำๆ ก่อนไล่จูบลงมาเรื่อยๆ มันละมือที่จับแก่นกาย ดึงกางเกงตัวสุดท้ายที่ปกปิดร่างกายผมออกอย่างรวดเร็ว พร้อมจับน้องชายผมถือไว้ เลื่อนหน้าลงไปหวังใช้ปากครอบงำส่วนแกนกายผมที่เริ่มแข็งตัวเอาไว้ หัวใจเต้นโครมๆในอก ยังไม่เคยมีอารมณ์แล้วคนอื่นมาช่วยแบบนี้เลย ยิ่งใช้ปากไม่ต้องพูดถึง ประสบการณ์เรื่องบนเตียงติดลบ แต่ตอนนี้กำลังจะโดนผู้ชายด้วยกันทำให้ บอกตรงๆว่าเกิดอาการกลัวขึ้นมา ปากก็บอกให้มันหยุดการกระทำบ้าๆนี้สักที แต่ไม่มีวี่แววว่ามันจะหยุดเลย จึงเอามือไปดันหน้ามันไว้

 

น้ำไสไหลลงอาบแก้มอย่างกลั้นไม่อยู่ พี่เนลเงยหน้าขึ้นมามองสีหน้าตกใจ ผมขอร้องมันทั้งๆที่ตัวสั่นไม่หยุด

 
“ฮึก ปล่อยผมไปเถอะ ผมยังไม่พร้อม”

 
พี่เนลมองผมสักครู่ เอามือเสยผมที่ตกปรกหน้าขึ้น ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เฮ้ออออ กูก็ไม่ใช่คนดีซะด้วย แต่จะทนทำมึงต่อไปทั้งๆที่ตัวยังสั่นเป็นเจ้าเข้าแบบนี้ก็ไม่ได้จริงๆว่ะ”

 

“....”

 

“จะเอาไงต่อ ให้กูใช้มือช่วยไหม” พี่เนลมองส่วนแกนกายที่ชูชันสลับกับมองหน้าผมไปด้วย เช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนรีบเอามือปิดส่วนนั้นเอาไว้ พลางสายหัวให้มันเป็นคำตอบ

 

มันเห็นอย่างนั้นจึงพยักหน้ารับ “งั้นกูไปช่วยตัวเองก่อนนะ” พูดเสร็จก็เดินตรงไปที่ห้องน้ำ ไม่วายหันมาชี้หน้าคาดโทษผม “จำเอาไว้นะไอ้ภีม มึงเป็นคนเดียวที่ทำกูมีอารมณ์ถึงสองหนติด และต้องจบด้วยการช่วยตัวเองทั้งสองครั้ง แม่ง!จะจำไปจนวันตายเลย คนอะไรอันตรายฉิบหาย”

 

มึงนั่นแหละ อันตรายกว่าเพื่อน ไอ้หน้าไหนที่บอกเห็นกูแล้วเอาไม่ลงวะ นี่จ้องจะเผด็จศึกกูทุกวี่ทุกวัน คำพูดพี่มันเชื่อไม่ได้จริงๆ

 

พี่เนลเข้าห้องน้ำไป ปิดประตูสนิท ปล่อยให้ผมนั่งมองสิ่งที่มันพึ่งทำลงไป ระยำจริงๆ แล้วจะทำยังไงกับน้องชายดีวะเนี่ย ถูกปลุกให้ตื่นเสียแล้ว เฮ้อออ

 

ลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าที่นอนระเนระนาดให้เรียบร้อย เดินไปเปิดประตู กลับห้องด้วยความรู้สึกปั่นป่วนไปหมด จัดการใช้มือช่วยตัวเองเสร็จสรรพ ตั้งใจจะอาบน้ำชำระร่างกาย ล้างคราบขาวขุ่นที่พึ่งทำเปื้อนออกให้สะอาด สายตามองหาครีมอาบน้ำที่เคยอยู่บนชั้นวาง แต่ตอนนี้มันได้หายไปแล้ว...เชี่ย! หายไปหมดเลย ทั้งแปรงฟัน ยาสีฟัน แชมพูสระผม หรือแม้แต่สบู่ตรานกแก้วกูก็ไม่อยู่! what the f*ck! รีบล้างมือ เอาผ้าเช็ดตัวพันเอวไว้ ก้าวเท้าออกจากห้องน้ำ ก็ต้องตกใจอีกหนที่ตรงราวตากผ้าไม่มีเสื้อผ้าสักผืน เมื่อกี้ตอนเข้าห้องมาก็ไม่ได้ดูด้วย หาทั่วห้องก็ไม่พบ จึงเดินกลับไปหาพี่เนลที่ห้อง ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ไอ้นี่แน่นอน โจรที่ขโมยของกูไป

 

“พี่เนล!” เปิดประตูเข้าไป พร้อมตะโกนชื่อมันเสียงดังลั่น

 

“ว่าไงครับ ที่รัก” เจ้าตัวพูดด้วยท่าทางสบายๆในชุดคลุมอาบน้ำสีขาว เอาแขนพาดกับหัวเตียง พลางกระดิกเท้าหยิกๆ

 

“ที่รักพ่อง! พี่เอาของผมไปใช่ไหม!”

 

“อืม ใช่” มันยักคิ้วให้ทีหนึ่ง “นี่ใจดีเหลือผ้าเช็ดตัวให้ผื่นหนึ่งเลยนะ กลัวเมียไม่มีอะไรปิดบังร่างกาย ไม่ขอบคุณหน่อยเหรอ”

 

หึ้ยยย โมโหจริงๆ ยังมีหน้ามาทวงบุญคุณอีก ไอ้ระยำ!

 

“เสื้อผ้าผมอยู่ไหน!” พี่เนลยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าของมัน ผมจึงรีบเดินไปเปิดดู ก็พบเสื้อผ้าของตัวเองถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบในตู้ หยิบออกมา ได้ยินเสียงล็อกประตู หันไปมอง ก็พบร่างสูงยืนขวางประตูเอาไว้ด้วยท่าทางกวนๆ

 

“พี่จะทำอะไร” ผมถามอย่างหวาดระแวง บอกตรงๆว่าไม่ไว้ใจ หยิบเสื้อผ้าในตู้มากอดแน่น

 

“ก็ไม่ได้ทำไร” มันยักไหล่ “แค่อยากให้มานอนเป็นเพื่อนเฉยๆ แต่แค่ขอดีๆแล้วมึงไม่ยอมแน่ๆ เลยกะย้ายข้าวของมานอนกับกูถาวรเลย”

 

โอ้โห....เห็นกูเป็นอะไร คิดจะย้ายก็ย้ายกันง่ายๆแบบนี้เลยหรือไง แล้วไอ้คำว่าถาวรที่มันพูดคือต้องมานอนห้องเดียวกับมันตลอดอะนะ เชี่ยยย แค่นอนคนละห้องก็โคตรอันตราย(ต่อประตูหลัง)จะแย่อยู่แล้ว แต่นี่ ต้องมานอนเตียงเดียวกับคนหื่นตลอด 24 ชั่วโมงแบบมัน ไม่เอาด้วยหรอก

 

“ไม่เอาครับ ผมไม่เชื่อหรอกว่าแค่นอนเฉยๆ หน้าตาอย่างพี่มันเชื่อไม่ได้ หลีกไป ผมจะออก” ผมเดินเข้าไปพยายามดันคนที่ขวางประตูไว้ ให้หลีกทาง แต่คนเจ้าเล่ห์ไม่มีท่าทีว่าจะหลีกให้เลย

 

 

“แค่อยากให้มึงนอนด้วยเฉยๆ สัญญาว่าจะไม่ปล้ำ ถ้ามึงไม่สมยอม โอเค?” มันยกมือขึ้นทั้งสองข้าง อย่างยอมแพ้

 

“โตขนาดนี้ ยังนอนคนเดียวไม่ได้หรือไง”

 

“ได้ แต่แค่ช่วงนี้ไม่อยากนอนคนเดียว มันเปลี่ยวๆ”

 

“เปลี่ยว?” อารมณ์เปลี่ยวของมันคืออะไร เปลี่ยว = เหงา หรือ เปลี่ยว = หื่น ช่วยขยายความให้ที

 

“เออ! ตกลงจะนอนไหม อย่าให้กูต้องสั่ง ขอดีๆไม่ชอบหรือไง” พี่มันเริ่มขึ้นเสียงใส่ อะไรว้า ผีเข้าผีออกนะมึง

 

“เอ่อ.....” ผมอ้ำอึ้ง บอกตรงๆว่าไม่ไว้ใจ

 

“แค่ช่วงนี้เท่านั้น สัญญาด้วยเกียรติ ว่าจะไม่หลวมตัวไปปล้ำมึง” มันชูนิ้วก้อยขึ้นมา ยืนยันคำพูด

 

“แน่นะครับ”

 

“อืม”

 

“ก็ได้ครับ” ผมเอานิ้วก้อยไปเกี่ยวสัญญากับมัน พี่เนลคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ ในจังหวะที่ไม่ได้ตั้งตัว ดึงมือข้างที่เกี่ยวอย่างแรง ทำให้ตัวผมเซเข้าไปหามัน ไม่รอช้าแขนแกร่งก็อ้อมมาโอบรอบเอวผมเอาไว้แน่นไม่ให้หนีไปไหน

 

“ทำไรพี่เนี่ย”

 

“ขอกอดเฉยๆ จะไม่ทำอะไรมากกว่านั้น”

 

“อะไรวะ ยังพูดไม่ขาดคำ ผิดสัญญาอีกแล้ว”

 

“กูไปผิดสัญญากับมึงตอนไหน ก็บอกจะไม่ปล้ำ แค่กอดเองไม่ได้ผิดสัญญา”

 

“กอดก็ไม่ได้ครับ”

 

“กูไม่สน มึงเกี่ยวก้อยทำสัญญากับกูแล้ว ว่าจะนอนด้วยถ้ากูไม่ปล้ำมึง แต่ทำอย่างอื่นมันนอกเหนือจากนั้น แปลว่าทำได้”

 

โอ้ยยย! อย่างงี้ก็ได้เหรอวะ พี่เนลก็เปรียบเสมือนหมาป่าที่จ้องจะกินหนูน้อยหมวกแดงนั่นแหละ แค่รอวันที่นายพรานมายิงมันตายห่าเท่านั้นแหละ ฮึ้ย!เล่ห์แพรวพราวจริง ไม่น่ากลงกลมันเลย

 

มันเอาคางมาเกยไหล่ผมไว้ พลางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ผมก็ได้แต่อยู่นิ่งๆปล่อยให้มันกอดอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ไม่มีทีท่าว่าคนตัวสูงกว่าจะปล่อย ในหัวก็คิดไปเรื่อยเปื่อย ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป

 

ช่วงนี้มีเรื่องวุ่นวายหลายเรื่องเกิดขึ้นมากมายจนแทบไม่มีเวลา ผมเอาเวลาไปเตรียมค่ายจนใกล้จะเสร็จหมดแล้ว วันไหนที่มีงานต่อก็จะลาพี่ท็อป พี่แกก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะมันเริ่มลงตัว เรื่องที่ผมไปทำงานพิเศษไม่ได้บอกไอ้ซาน ไม่อยากให้มันเป็นห่วง แต่มันก็แอบสงสัยอยู่บ้างที่เห็นผมเพลียจนผิดปกติ ได้แต่บอกปัดมันไปเหมือนทุกที

 

จะไม่ได้นอนหนักๆก็ตอนไปทำงานนับสต๊อก เข้างาน 2 ทุ่ม – ตี 5 หลังเลิกงานร้านพี่อ้อยก็ต้องรีบไปเข้างานต่อเลย งานไม่ได้หนักอะไรมาก สิ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้คือความง่วง เพราะต้องทำงานระยะยาว 9 ชั่วโมงเต็ม โชคดีที่มีพักเบรกกับข้าวฟรีให้ช่วง 4 ทุ่ม หลังจากนั้นก็ทำงานยาว ได้วันละ 300 ร้อย รวมๆที่เหนื่อยมาได้ 2,100 บาท แต่มันก็หมดไปกับพ่ออย่างรวดเร็ว เมื่อท่านมาดักรอเอาเงินที่ร้านพี่อ้อยวันถัดมา

 

หนักสุดคือเรื่องที่ผมต้องไปยื่นเรื่องดรอปเรียน อยากจะบอกเรื่องนี้กับแม่อยู่เหมือนกัน แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี ผมไม่อยากให้ท่านต้องมาคอยเป็นห่วงผม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเก็บเงียบไว้ดีกว่า....เสียเวลาแค่ปีเดียวเอง

 

แต่พอเมื่อเช้า เอาเรื่องนี้ไปคุยกับไอ้ซาน มันก็โวยวายยกใหญ่ ไม่ยอม แถมให้ผมไปยื่นเรื่องขอจ่ายค่าเทอมล่าช้า แทนดรอปเรียน มันอาสาออกค่าเทอมให้ก่อน ผมจึงต้องยอมเป็นหนี้มันอย่างช่วยไม่ได้ พอไปติดต่อก็ต้องงงเป็นไก่ตาแตก เมื่อเจ้าหน้าที่เขาบอกว่าผมชำระไปแล้ว ในวันสุดท้าย ได้แต่สงสัยว่าใครเป็นคนจ่ายให้กันแน่ ในหัวผมมีอยู่คนเดียวที่พอจะเป็นไปได้คือ ‘พ่อ’ ท่านคงคิดได้เอาเงินจำนวนนั้นมาจ่ายค่าเทอมให้ผมก่อน... ถึงอย่างนั้น ผมก็ต้องทำงานเพื่อหาเงินมาชดเชยให้ท่านอยู่ดี

 

ผมสงสัยจริงๆ ถ้าพี่เนลจ่ายหนี้ให้พ่อไปแล้ว ทำไมท่านถึงมาขอเงินจากผมไปชำระหนี้อีก...

ที่ผ่านมาท่านเอาเงินไปทำอะไรกันแน่....

 

แต่ที่สงสัยไปมากกว่านั้นคือไอ้คนที่กำลังกอดผมอยู่ตอนนี้ มันจะช่วยผมไปเพื่ออะไร ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องช่วยด้วยซ้ำ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของผม

 

“พี่เนลครับ ผมถามอะไรหน่อย ช่วยพ่อผมทำไมเหรอ..” ผมถามออกไปหลังจากที่เงียบอยู่นาน

 

“กูมีเหตุผลของกู แต่เรื่องก็ผ่านไปนานแล้ว ไม่ต้องถามหามันหรอก” มันเลือกที่ไม่บอกเหตุผล จึงไม่อยากถามเซ้าซี้ ถ้าคนจะไม่บอก​ถามไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี ไม่ว่ามันจะช่วยผมด้วยเหตุผลอะไร มันก็ช่วยผมมาแล้ว นั่นคือสิ่งที่ผมรับรู้ก็พอ

 

“อ๋อ...ครับ ผมจะรีบเอามาคืนพี่ให้เร็วที่สุดนะครับ”

 

“กูไม่เอา”มันรีบปฏิเสธ

 

“ได้ไงเงินตั้ง 1 แสน ไม่ใช่น้อยๆนะครับ จะมาให้กันฟรีๆแบบนี้ได้ไง” สติยังดีอยู่หรือเปล่า? เข้าใจว่ามีเงิน แต่ตั้ง 1 แสนมึงไม่เสียดายมั่งหรือไงวะ อีกอย่างผมก็ไม่ได้เป็นอะไรกับมัน มาช่วยเฉยๆแบบนี้ไม่ได้หรอก

 

“แค่เศษเงิน” มันตอบอย่างไม่แยแสนัก โห...สำหรับมึงอาจจะแค่เศษเงิน แต่สำหรับกูคือเงินก้อนใหญ่โว้ย เศษเงินต้องเหรียญสลึง ไอ้พวกมีเงินล้นฟ้าคงไม่เข้าใจสินะ

 

“ไม่ได้หรอกครับ ยังไงผมก็จะคืน” ผมยังยืนยันคำเดิม บอกตรงๆไม่อยากจะติดค้างบุญคุณใครไปนานๆ โดยเฉพาะคนแบบมัน

 

“ดื้อว่ะ” มันสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ที่เห็นผมยังดื้อดึง เห็นจนๆแบบนี้ก็ไม่รับเงินใครฟรีๆหรอกนะครับ อย่ามาดูถูก ศักดิ์ศรีผมมี

 

“ผมไม่สน ไม่ว่าพี่จะว่ายังไง ผมก็จะคืน”

 

“โวะ! งั้นก็แล้วแต่มึงเหอะ อยากคืนก็คืน” มันยอมแพ้ในความหัวรั้นของผม

 

“ครับ แล้วพี่จะคิดดอกเท่าไหร่” ผมถามออกไป เผื่อเจ้าตัวเรียกร้องเอาดอกเบี้ย จะได้รู้ว่าควรรีบคืนมันไหม

 

“พูดเหมือนมีปัญญาจ่าย”มันหัวเราะในลำคอ เอ้า! มีสิครับ สักวันก็ต้องคืนหมด แค่ต้องหางานทำ แต่ครั้งนี้จะไม่ฝืนตัวเองแล้ว คืนเท่าที่คืนได้เพราะดูเหมือนเจ้าหนี้คนนี้คงไม่รีบ หรืออาจจะทยอยคืนมันตอนเรียนจบก็ว่ากันไป

 

“มีครับ ยังไงผมก็ต้องคืนเงินพี่หมด”

 

“แต่ไม่ต้องรีบหรอกนะ อยู่กับกูจนกว่าหนี้จะหมดเนี่ยแหละ” มันละมือข้างหนึ่งที่กอดเอว มาลูบหัวผมเล่น “แต่กูคิดดอกเบี้ย ร้อยละ 30 ต่อเดือน เริ่มตั้งแต่วันนี้”

 

“หะ! เยอะไปไหมวะ ผมเพิ่งโดนบีบออกจากงาน ไม่มีรายได้ กว่าจะคืนเงินต้นหมดก็เรียนจบมีงานทำนู่นแหละ เผลอๆอยู่กับพี่จนแก่ตายเพราะดอกเบี้ยห่านี่แน่ๆ” ได้ยินจำนวนที่มันเรียกมาถึงกับตกใจ คนอะไรวะ หน้าตาก็ดี แต่หน้าเลือดฉิบหายเลย ช่วยแบบนี้มึงอยู่เฉยๆดีกว่า ไอ้พี่เนล!

 

 “ก็ใช่ไง อยู่กับกูไปตลอดชีวิตเลย”

 

“!!!”

 

“กูล้อเล่น” มันใช่เวลามาล้อเล่นไหม เดี๋ยวกูเอาฟันเฉาะหน้าแหกเลยไอ้นี่ มึงเห็นไหม มองหน้ากู! จริงจังแค่ไหน อย่าหลอกกูให้ตกใจเล่นดิวะ

 

“ดอกเบี้ยนั่นน่ะ กูไม่เอาหรอก ถ้าอยากคืนก็คืนแค่เงินต้นพอ” เอ่อ ค่อยสบายใจหน่อย

 

“…”

 

 “แต่ที่อยากให้มึงอยู่ด้วยตลอดชีวิตน่ะ กูพูดจริงนะ”

ผมเงียบ รอฟังมันพูดขึ้นมาว่า ‘ล้อเล่น’ แต่ครั้งนี้มันก็เงียบเหมือนกัน จนเกิดเดดแอร์ขึ้น จนผมรู้สึกสับสน ว่าที่พูดนั้นเป็นเรื่องจริง หรือแค่เล่นละคร ถ้าเป็นอย่างหลังถือว่าแสดงได้เก่งมาก หน้าเริ่มเห่อร้อนขึ้นมา จึงพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย

 

“เอ่อ…ผมว่าแอร์ห้องพี่เย็นๆนะ” พูดพร้อมเกาหัวไป อย่างทำตัวไม่ถูก

 

“กูไม่ได้เปิดแอร์”

 

“มิน่าล่ะ ทำไมร้อนๆ” เปลี่ยนไม่ทันเลยกู “แล้วนี่จะกอดผมอีกนานไหม ปล่อยไปได้แล้ว” ผมโมโหกลบเกลื่อนอาการเขิน

 

พี่เนลยอมคลายอ้อมแขน ปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ได้ฤกษ์ไปอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้าสักทีหลังจากที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวปิดบังไว้ ผมเดินไปหยิบเสื้อผ้า เข้าไปอาบที่ห้องน้ำพี่เนลเลย ไหนๆของทั้งหมดก็อยู่ที่ห้องมันแล้ว ไม่อยากย้ายไปมาให้เสียเวลา จัดการอาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพ เดินออกมา เห็นพี่เนลนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง ก่อนจะเงยหน้ามามองผมที่กำลังเช็ดผมเปียกชุ่มอยู่หน้าห้องน้ำ

 

“ไอ้ภีม” จู่ๆมันก็เรียกชื่อผมออกมา

 

“ครับ?” ผมขานรับ มือยังคงวุ่นอยู่กับการเช็ดผม

 

“กูขอโทษ...สำหรับทุกๆอย่าง รวมถึงเรื่องทำงานร้านพี่อ้อยด้วย”

 

พอได้ยินมันพูดแบบนั้น มือที่เช็ดผมก็ชะงัก ยืนสบตากับมันนิ่งๆ ยอมรับว่าตอนแรกโกรธมันจนเลือดขึ้นหน้ามาก ที่ทำเรื่องแบบนี้ การลากคนอื่นมาลำบากหรือดึงผมออกจากงาน ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีในความคิดของผม ควรแก้จากต้นเหตุนั่นก็คือพ่อ ไม่ใช่ปลายเหตุ แต่มันคงอยากช่วยผมนั่นแหละ ถึงได้ทำเรื่องเหี้ยๆแบบนี้

 

“ครับ...แต่พี่กำลังทำให้ผมไม่มีรายได้เสริม ต่อไปผมต้องไปหางานใหม่ เพื่อเอาเงินมาใช้หนี้พี่”

 

“มึงหยุดความคิดนั้นลงเลย อยู่ทำงานให้กูคนเดียวก็พอ งานดีเงินดีแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้แล้ว” มันลุกไปหยิบสมุดบัญชีแนบกับบัตรATMออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นมาให้ผม จึงรับมาถือไว้อย่างงงๆ

 

“บัญชีกับบัตรของมึง หลังจากนี้กูจะโอนเงินให้มึงทางนี้ อยากใช้ก็ไปกดเอง ส่วนหนี้พ่อมึง...กูมานั่งคิดอย่างหนักหน่วงแล้ว กูจะหักจากเงินเดือนมึง 10% ของทุกเดือนเพื่อเอามากลบหนี้ มึงจะได้ไม่ต้องดิ้นรนไปหางานทำ อยู่บ้านกับกูเนี่ยแหละ โอเคไหม”

 

“ครับ...แล้วพี่ให้เงินเดือนผมเท่าไหร่” จะได้รู้ว่าอี 10% ของมันต่อเดือนมันเท่าไหร่ แล้วต้องอยู่ทำงานให้มันกี่ปี ถึงจะใช้หนี้แสนหมด

 

เจ้าตัวยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่บอก”

 

“เอ้า....แล้วผมจะเอายังไงกับชีวิตต่อไปล่ะ ต้องอยู่กับพี่จนกว่าจะทำภารกิจสำเร็จ แล้วได้บ้านคืน แต่ถ้ายังจ่ายหนี้ไม่หมด ก็ต้องอยู่กับพี่ต่องี้เหรอ?” นี่คงไม่ได้หาเรื่องยื้อผมไว้หรอกนะ

 

“ถามทำไม ไม่อยากอยู่กับกูหรือไง?”

 

“เอ่อ....ก็” ผมอ้ำอึ้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากอยู่กับมันหรือเปล่า เพราะตอนนี้ผมก็ไม่ได้มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ตามหลักที่ควรจะเป็น คือภารกิจจบแยกย้ายไปใช้ชีวิตของใครของมันเหมือนเดิม....และหลังจากนั้นก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาเจอกับมันอีก....ทำไมคิดแล้วหดหู่ยังไงก็ไม่รู้ ยังไม่ทันได้ตอบ พี่เนลก็พูดขึ้นมาสีหน้าสลด แววตาตาหม่นหมองลงทันที

 

“เข้าใจแล้ว ถ้ามึงทำภารกิจสำเร็จก่อน กูก็จะปล่อยมึงให้เป็นอิสระ ระหว่างนั้นก็หาเงินมาจ่ายกูจนกว่าจะหมดแล้วกัน แต่กูจะรับแค่ 10%ของเงินที่มึงได้มาทั้งหมดนะ”

 

“ทำไมเอาแค่ 10% ล่ะครับ” เอาไปเต็มจำนวน ใช้หนี้ให้มันหมดๆจะได้จบๆไปไม่ได้หรือไง แล้วเมื่อไหร่หนี้จะหมดวะ นี่คงไม่ได้หาเรื่องเจอผมหรอกนะ เป็นไปไม่ได้หรอก มันคงหาเรื่องแกล้งผมมากกว่า

 

“โวะ! ถามเยอะจริง กูบอกว่าเอาแค่ 10% ก็ 10% ดิวะ” มันเริ่มอารมณ์เสียใส่

"ครับ" พี่เนลว่ายังไงก็ตามนั้นแหละ สิบก็สิบ ถ้าเงินเดือน 10,000 ก็จ่ายให้มัน 1,000 บอกตรงๆว่าอีกนานกว่าจะคืนหนี้แสนมันหมด ถ้าจบไปทำงานอาจจคืนได้เร็วกว่าช่วงที่เรียน แต่ก็ต้องมีพันธะเกี่ยวข้องกับมันระยะยาวอยู่ดี ไม่ว่ายังไงก็หนีมันไม่พ้น การที่ขอคืนหนี้คนอย่างคุณศิรากรเป็นความคิดที่ดีแล้วใช่ไหมวะไอ้ภีม?

 

"แล้วตกลงเงินเดือนผมเท่าไหร่?"

 

"เงินออกก็จะรู้เองแหละ" มันยังคงเล่นตัวไม่บอก คนอะไรวะซับซ้อนจริง...

 

"...."

 

“เออ บัญชีนั้น เชื่อมกับเบอร์กูไว้ เพราะฉะนั้นกูจะรู้ความเคลื่อนไหวบัญชีมึงตลอดเวลา ถ้ากดเงินไปทีเดียวเยอะๆ คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพ่อมึงหิวเงินให้มาติดต่อที่กูอย่างเดียว โอเค้?”

 

“ครับ....”

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2018 01:01:29 โดย Gansa »

ออฟไลน์ Gansa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
(2/2)



หลังจากนั้นผมก็มานั่งเล่นโทรศัพท์กับพี่เนลบนเตียง เปิดเช็คดูในเครื่องว่าข้อมูลอยู่ครบไหม ดูๆแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร จะติดใจอยู่อย่างเดียวก็ตรง รูปวอเปเปอร์เนี่ยแหละ ไม่เห็นจำได้ว่าเอารูปมันขึ้น ทำไมรูปพี่เนลมันเด่นหราแบบนี้วะ หันไปถาม เจ้าตัวก็ตอบหน้าตาย ว่า ‘กูตั้งเอง มึงจะทำไม’ ยังไม่ทันได้ถามต่อมันก็บ่นหิวข้าว จึงลงไปทำข้าวไข่เจียวให้ กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลานานเหมือนกัน เพราะเจ้าตัวเข้ามายุ่งวุ่นวายกับผม จนต้องไล่ให้มันไปนั่งเฉยๆตรงโต๊ะ

 

กินข้าวเสร็จ ก็มานั่งโง่ๆดูทีวีเป็นเพื่อนมัน ผมไม่ได้รู้สึกว่างแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน หลังจากที่เวลาทุกวินาทีต้องแบ่งไปสำหรับทำงานหาเงิน พอได้มีเวลาว่างก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา ผมไม่นึกเลยว่าตัวเองจะได้มีเวลาแบบนี้ นั่งบิดขี้เกียจอยู่บนโซฟา ตาก็มองพี่เนลจากด้านข้างไปด้วย ดูมันทีไรก็รู้สึกอิจฉาทุกที ขนาดเห็นแค่ครึ่งเดียวยังหล่อสัดๆ ถึงแม้มันจะอยู่ในสภาพที่ผมยุ่งไม่เป็นทรง ใส่เสื้อกล้ามสีขาวลายอูฐหน้าโง่ๆ ที่เห็นแล้วเกลียดฉิบหาย กับกางเกงขาสั้นสีดำก็ตาม แม่ง....ลองให้ผมแต่งแบบมันดูดิ โคตรดับ!

 

“พี่เนลครับ” ผมหันไปเรียกคนข้างๆ ที่ตอนนี้กำลังดูหนังอย่างตั้งใจ ในมือถึอขนมกรุบกรอบซองใหญ่ไซส์บิ๊ก มือก็ล้วงหยิบเข้าปากไปด้วย

 

“หือ?” พี่เนลขานรับ แต่สายตายังคงจดจ่อกับเนื้อหาในโทรทัศน์อยู่

 

“พี่...เคยบอกกับผมว่า จะไม่มีทางปล้ำผมเด็ดขาด ผมไม่ใช่สเปคพี่ แล้วทำไมเมื่อตอนเย็นพี่ถึง....เอ่อ...ทำแบบนั้นกับผม” แก้มร้อนผ่าว เมื่อคิดถึงเรื่องที่มันทำเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ มันเคยยืนยันนอนยันกับผมนักหนาว่าจะไม่มีทางหลวมตัวมาลวนลามเด็ดขาด ไม่รู้ว่าช่วงนี้ผีอะไรเข้าสิง ถึงได้ทำตัวแปลกๆ

 

พี่เนลหันมามองผมสักครู่ ก่อนหันไปดูทีวีต่อ โดยไม่ได้ตอบคำถามที่ผมพึ่งถามออกไป อะไรวะ....เมินกูเหรอ!

 

“ว่าไงครับ พี่เนล?” ถามย้ำไปอีกรอบ อยากรู้จริงๆ อะไรดลใจให้พี่มันหน้ามืดตามัว เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ทำตัวหื่นกามใส่ยอดชายคนที่หล่อที่สุดในแก๊ง แถมน่าหลงไหลไปหมด ตั้งแต่รากผมยันซอกเล็บตีน อย่างผมคนนี้

 

“ก็....” มันพูดแค่นั้น ก็เงียบไป ทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ผมจึงรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ จ้องใบหน้าเพียงครึ่งหนึ่งของมันไปด้วย หัวใจก็เต้นรัว ลุ้นระทึกกับคำตอบ

 

“…..”

 

“เอ่อ....” พูดออกมาแค่นั้น ก็เงียบไปอีก รีบตอบดิวะ ลุ้นยิ่งกว่าคะแนนแอดมิชชั่นอีก ไอ้ห่าเอ้ยย

 

“.....”

 

“......” มองมันอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ

 

“อืม...” อะไรวะ ชาตินี้จะคุยกันรู้เรื่องไหมเนี่ย ‘อืม’ เชี่ยไรมึง หันมาคุยกับกูก่อนน

 

“ตอบผมสิครับ ว่าพี่ทำแบบนั้นทำไม” พี่เนลเอาขนมมายัดใส่ปากผม เหมือนต้องการปิดปากไว้ จึงเคี้ยวตุ่ยๆ จนหมด ตั้งใจจะถามออกไปอีก มันก็ยัดใส่ปากผมอีก อะไรของพี่มันเนี่ย แค่ตอบคำถามเดียวจะเล่นตัวเพื่อ คิดว่าตัวเองเป็นดารามีชื่อเสียง ที่กำลังถูกนักข่าวสัมภาษณ์อยู่หรือไง

 

เคี้ยวขนมที่เต็มปากอย่างยากลำบาก ยังไม่ทันหมดดี มันก็ยัดเข้ามาอีก คราวนี้ไม่ปล่อยให้ผมได้หายใจเลย เมื่อมือหนาป้อนใส่ปากผมติดๆกัน จนต้องรีบยกมือขึ้นมาห้าม ก่อนที่จะสำลักขนมตายคาที่เสียก่อน

 

รู้สึกฝืดคอ จึงหยิบน้ำโค้กของพี่เนลที่วางอยู่บนโต๊ะ มายกดื่มเกือบหมดขวด คนที่ใส่เสื้อลายอูฐหน้าโง่ๆมองการกระทำผมอยู่ ยกยิ้มขำ สนุกมากเหรอมึง แกล้งกูเนี่ย? เห็นขวดโค้กในมือกูไหม เดี๋ยวพ่อจับฟาดฟันล่วงหมดปากเลย ขำมากใช่ไหมมึง

 

ว่าแต่ขนมอร่อยดีว่ะ กินกับโค้กแล้วโคตรเข้ากัน มองขนมที่มันถืออยู่ในมือ เผื่อวันไหนว่างๆจะไปหาซื้อมากินบ้าง เป็นภาษาญี่ปุ่นซะด้วย ดูจากหน้าตาแล้วไม่น่าจะมีขายในไทย เชี่ย เหมือนอกหัก

 

“เป็นไง อร่อยไหม?” พี่เนลถามขึ้นมา จึงละสายตาจากขนมที่มันถือ ไปมองหน้ามันแทน

 

“อร่อยครับ”

 

“งั้นก็กินเยอะๆ” มันยื่นซองขนมมาให้ผม “ผอมลงมากเลยนะมึง กินเข้าไป”

วันนี้ใจดีแปลกๆว่ะ มึงมีแผนชั่วอะไรในใจหรือเปล่าวะ ปกติไม่มีหรอก ไอ้ที่จะทำดีกับผมเนี่ย วันนี้มาผิดแผกกว่าทุกที

 

“ครับ...” ผมรับขนมมันมาอย่างงงๆ เดี๋ยว....มันยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยยย! แม่งเอาขนมมาล่อ คิดเหรอว่าของแค่นี้จะทำอะไรกูได้

 

“พี่ยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะครับ!”

 

“กู....”

 

“.....” ผมรอฟังมันต่อ เข้าแพทเทิร์นเดิม เพิ่มเติมคือกูมีขนมกิน

 

“กูว่าสมรักเป็นคนฆ่าเสี่ยเก้งแน่ๆเลยว่ะ ดูๆ มึงดู” พี่เนลเอาแขนมากอดคอผม พลางชี้นิ้วไปที่โทรทัศน์

 

“.....” ผมยังคงมองหน้ามัน จนกระทั่งมือหนาจับหน้าผมให้หันไปมองหน้าจอ LED ขนาดใหญ่ พร้อมสบถออกมาเบาๆ “เชี่ย...ใช่แน่ๆ”

 

“เอ่อ...พี่เนลครับ”

 

“ดู!” ออกแรงบีบแก้มไปด้วย ก่อนเลื่อนลงมาโอบไหล่ผมไว้ เนียนเลยนะมึง

 

พยายามดึงมือมันออกจากไหล่ไปด้วย แต่ยิ่งดึงออก พี่เนลยิ่งบีบแน่นขึ้น ซ้ำยังกระชากตัวผมให้เข้าไปใกล้มันจนเนื้อแทบแนบติดกัน “พี่เนล”

 

“ชู่” มันหันมามองหน้าผม พลางเอานิ้วชี้แตะปากไว้ เป็นเชิงบอกให้ผมเงียบ ทำอะไรต่อไม่ได้ จึงหันไปดูทีวีเป็นเพื่อนมัน

 

เรื่องนี้ผมก็ติดตามอยู่ นั่งลุ้นตอนต่อตอนเลย เป็นหนังที่ปมซับซ้อนซ่อนเงื่อนจนเดาเนื้อเรื่องไม่ถูก แต่เท่าที่สังเกตสมรักไม่น่าใช่คนร้ายแน่ๆ หน้าเฮียแกก็ออกจะเป็นคนดีขนาดนั้น แถมช่วยพระเอกรวบรวมหลักฐานอีก คนที่น่าสงสัยน่าจะเป็นชม้อยมือขวาของเสี่ยเก้งต่างหาก

 

“ผมว่าชม้อยเป็นคนฆ่า”

 

“มั่วละ ชม้อยจะฆ่าได้ไง มือขวาที่จงรักภัคดีไม่มีทางเป็นไปได้หรอก สมรักนั่นแหละที่น่าสงสัย ดึกๆดื่นๆจะเข้าไปห้องทำงานเสี่ยเก้งทำไม”

 

“สมรักยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยครับ ชม้อยนั่นแหละที่น่าสงสัย” อะไรที่ทำให้มึงมั่นใจว่าเป็นสมรัก เหมือนบทส่งเฮียแกมาเป็นวัตสันคู่หูเชอร์ล็อกโฮมชัดๆ ช่วยกันขนาดนี้ ไม่มีทางเป็นคนร้ายหรอก ยังวิเคราะห์ได้ไม่เฉียบขาดนะไอ้น้อง

 

“มาพนันกับกูไหมล่ะ?” เอะอะพนัน เอะอะท้า ได้!

 

“เอาสิครับ ผมมั่นใจมากว่าเป็นชม้อย”

 

“ดี ถ้าเป็นสมรักมึงเลี้ยงไอติมกู แต่ถ้าเป็นชม้อยกูเลี้ยงมึง โอเคไหม”

 

“โอเคครับ”

 

งานนี้ผมมีแววได้กินไอติมฟรี พ่อจะสั่งหมดตู้ ให้หมดเป๋าไปเลย

 

ดูสักแป๊บก็เริ่มเคลิ้มหลับ ปล่อยให้พี่เนลมันนั่งลุ้นไปคนเดียวว่าใครเป็นคนฆ่าเสี่ยกันแน่



เปลือกตาที่หนักค่อยๆปิดลงช้าๆ ด้วยความรู้สึกเหนื่อยจากการไม่ได้นอนพักผ่อนติดต่อกันหลายวัน...
สติที่มีอยู่ค่อยๆดับวูบไปทันที โดยไม่รู้เลยว่าหัวของตัวเองกำลังอิงอยู่กับไหล่กว้างของใครบางคนอยู่



คร่อก...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2018 01:02:13 โดย Gansa »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พ่อเอาเงินไปทำอะไรนะ :hao4:

ออฟไลน์ Gansa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนที่ 25 เรื่องเล่า
(1/2)





ผมไม่รู้ว่าตัวเองมานอนบนเตียงของพี่เนลได้ยังไง และไม่รู้ว่าตอนนี้มันไปไหนแล้ว ในห้องมีแต่ผมคนเดียวที่นอนอยู่ รู้สึกปวดฉี่ จึงลุกขึ้น พยายามองหาสวิตช์ไฟในห้องที่มืดสนิท งมๆอยู่อย่างงั้นสักพักก็เจอ ไฟถูกเปิดส่องสว่างไปทั่วห้อง ผมรีบเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว จัดการทำธุระของตัวเองให้เรียบร้อย กำลังจะกลับมานอนต่อ ได้ยินเสียงพี่เนลคุยโทรศัพท์เสียงดังอยู่หน้าห้อง จึงเดินไปแง้มประตูดู

 

“ม๊าก็ห่วงแต่ตัวเอง เคยคิดถึงความรู้สึกผมบ้างไหม” พี่เนลหน้านิ่วคิ้วขมวด กรอกเสียงใส่ปลายสายอย่างไม่สบอารมณ์

 

[….]

 

“ก็เพราะใครล่ะ ถึงทำให้ผมเป็นแบบนี้!!” มันเริ่มขึ้นเสียง

 

[….]

 

 

“แค่ไม่ไปวันเกิดพิมเอง ทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แล้วทีวันเกิดลูกตัวเองล่ะ เคยสนใจบ้างไหม ป๊ากับม๊าเปลี่ยนไปมากเลยนะ รู้ไหม....” เสียงของพี่เนลเริ่มสั่น ผมไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไรออกมา แต่รับรู้ถึงความเสียใจที่ผ่านแววตาที่สั่นไหวชัดเจน

 

[....]

 

“ป๊าเอาเรื่องนี้มาขู่ผมอีกแล้ว”

 

[….]

 

พี่เนลถอนหายใจออกมา ก่อนพูดตอบออกไปด้วยระดับเสียงที่อ่อนลง

“ครับ ผมเข้าใจแล้ว ขอโทษที่ขึ้นเสียงใส่ วันหลังจะไม่ทำอีก”

 

[….]

 

“ครับ เดี๋ยวผมจะไปขอโทษพิมทีหลัง”

 

[….]

 

“แต่นี่มันตีหนึ่งแล้วนะป๊า”

 

[….]

 

“ได้ครับ จะรีบไปเดี๋ยวนี้”

 

พี่เนลกดวางสายไป สีหน้าและแววตาฉายแววเจ็บปวด ก่อนนั่งลงไปกับพื้น เอาหลังพิงพนังไว้ ยกมือสั่นๆขึ้นมาปิดหน้ามิด

 

“ตอกย้ำเรื่องนี้อีกทำไม ทั้งๆที่ลืมไปแล้ว...’”

“เพราะแบบนี้ไง ผมถึงไม่กล้าขัดใจพิม...”

 

ผมปิดประตู เดินมานั่งที่เตียงอย่างคิดไม่ตก ผมเคยเจอกับม๊าพี่เนลอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านก็ดูจะใจดีและเหมือนจะรักลูกชายตัวเองเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ใจอ่อนยอมให้ผมพิสูจน์กับท่านหรอก ถึงจะดูเจ้ากี้เจ้าการไปหน่อยก็เถอะ แถมได้ข่าวว่าคุณภูวกรก็ตามใจลูก จนพี่เนลมันเสียคนแบบนี้ ทั้งป๊าและม๊าก็ดูรักพี่เนลดี....

 

แต่แปลกใจอยู่อย่าง....ในวันที่ม๊ามันมาหาที่บ้าน แล้วพูดถึงคนที่ชื่อพิม สีหน้าพี่เนลก็เปลี่ยนไป มันดู...เจ็บปวด จนผมแปลกใจว่าผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งจะทำให้มันเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอ

 

พี่มีอะไรติดค้างในใจกับคนที่ชื่อพิมกันแน่...

.

ผมพยายามข่มตานอน แต่ก็ไม่สามารถนอนได้เลย เป็นห่วงคนที่นั่งอยู่คนเดียวข้างนอก จนกระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา มันเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อโค้ทออกมา 1 หนึ่ง ก่อนไปหยิบกุญแจกับกระเป๋าเงินที่อยู่บนหัวเตียง รีบสาวเท้าออกไปอย่างรีบร้อน...

 

ผมลุกขึ้นมาเปิดไฟ เดินไปที่หน้าต่าง ชะโงกหน้าดู เห็นมันขับรถออกไป จนสุดสายตา ในใจก็นึกกังวลขึ้นมา ที่มันรีบร้อนตอนเย็นเพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า....

 

เป็นเพราะผมใช่ไหมที่ไม่ยอมให้มันไปตอนนั้น.....

 

เป็นห่วงว่ะ...



------------------------------------------------------




เฮ้อออ...ได้นั่งถอนหายใจคนเดียวอยู่ในห้อง หันไปมองนาฬิกาตรงหัวเตียงบอกเวลา 01.45 น. เวลาป่านนี้แล้ว มีเรื่องอะไรสำคัญถึงขั้นต้องออกไปเดี๋ยวนี้เลยหรือไง...

 

ผมที่ตอนนี้นอนไม่หลับ ได้แต่นั่งรอมันกลับมา ในห้องสี่เหลี่ยมที่เงียบเหงานี้ ได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศเบาบางเท่านั้นที่คอยส่งเสียงเป็นระยะ เวลาเริ่มผ่านไปเรื่อยๆ จากวินาทีเป็นนาที นาทีเป็นชั่วโมง ชั่วโมงก็เพิ่มเป็นสอง แต่ผมก็ยังคงนั่งรอมันอยู่อย่างนั้น

 

จะมีบ้างที่เดินออกไปดูตรงหน้าต่าง เห็นเพียงประตูรั้วที่ปิดสนิทกับสวนหย่อมที่ถูกจัดตกแต่งอย่างเป็นระเบียบ กับแสงไฟจากทางเดินที่ช่วยให้ความสว่างเท่านั้น ไร้วี่แววว่าเจ้าตัวจะกลับมา เวลานี้ผมควรจะนอนได้แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมถึงเลือกรออยู่ รู้แค่ว่าเป็นห่วงมันจับใจ..

 

สีหน้าและแววตาหม่นหมองนั่น ผมไม่เคยเห็นมันแสดงออกมาเลยสักครั้ง เรื่องอะไรกัน ที่ทำให้มันแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมาได้ อยากรู้จริงๆ...

 

เดินออกมารอมันหน้าบ้าน รู้สึกกะวนกระวายใจ ที่หายออกไปนาน เดินวนไปวนมาอยู่ตรงหน้าประตูหลายนาที ก็เปลี่ยนเป็นนั่งแทน

 

ท้องฟ้าที่มืดเริ่มมีแสงสว่าง ได้แต่นั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้น มองไปที่รั้วบ้าน รอรถคันสีขาวคุ้นตาขับมาจอดอยู่อย่างนั้นนานเนินนาน จนกระทั่งฟ้าสว่าง เริ่มมีแสงแดดอ่อนๆส่องลงมากระทบกับตา รั้วที่ผมนั่งจ้องมาหลายชั่วโมงก็ค่อยๆเลื่อนเปิด เผยให้เห็นรถสีขาวที่แสนคุ้นเคยขับเข้ามาจอด ผมรีบลุกขึ้น ชะเง้อมองคนที่ผมนั่งรออยู่ก้าวขาลงจากรถ

 

พี่เนลลงมาด้วยสภาพเปียกชุ่มทั้งตัว หน้าตาดูเหนื่อยล้าเหมือนคนที่พึ่งผ่านสนามรบมา

แค่กลับบ้านไปขอโทษคนที่ชื่อพิมเองไม่ใช่หรือไง ทำไมสภาพถึงเหมือนกับศพเดินได้แบบนั้น คนตัวสูงเดินเหม่อลอยมาทางผม จึงก้าวเท้าเดินเข้าไปหามันด้วยความเป็นห่วง

 

“ทำไมตัวเปียกแบบนี้ล่ะครับ” ผมเอ่ยปากถาม มือก็เช็ดหยดน้ำออกจากหน้ามันไปด้วย

ตาสำรวจร่างกายคนตรงหน้าไปพลาง มันเปียกน้ำตั้งแต่หัวจรดเท้า อย่างกับคนที่พึ่งเล่นน้ำมา เบิกตากว้างเมื่อเห็น มือหนามีเลือดสีแดงสดซึมไหลผ่านซอกนิ้ว หยดลงไปบนพื้นหญ้าทีละหยด

 

“มือพี่ไปโดนอะไรมาครับ” ผมจับมือมันขึ้นมาดูหวังสำรวจแผลไปด้วย แต่เจ้าตัวดึงมือกลับไปอย่างรวดเร็ว

 

“เรื่องของกู ว่าแต่มึงเถอะ มาทำอะไรตรงนี้” มันเลิกคิ้วสงสัย ถามเสียงห้วน

 

“มารอพี่กลับมานั่นแหละ เห็นรีบร้อนออกไปตอนตีหนึ่ง....เลยมานั่งรอพี่กลับมา” ผมตอบเสียงเบา จนแทบคุยกับตัวเอง

 

“ตั้งแต่ที่กูออกไป” มันกดเสียงต่ำ

 

“ครับ” ก้มหน้างุด มีแววว่าจะโดนดุ ดูจากน้ำเสียงและสีหน้าของมันแล้ว ไม่น่ารอด

 

“ถ้าเกิดถ้ากูไม่ได้กลับมา มึงจะรออยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆเหรอ?”

 

“ครับ...คือ...ผมเป็นห่วง”

 

“ห่วงกูทำไม กูไม่ได้ขอ อีกอย่างนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของกู ปัญหาของกู! ไม่เกี่ยวกับมึง ยุ่งไม่เข้าเรื่อง กูไม่ได้ขอให้มานั่งรอ จะอดหลับอดนอนรอกูทำไม วันหลังอย่าทำอีกเข้าใจไหม!” มันชี้หน้าดุผม ประหนึ่งสิ่งที่ผมทำมันผิดมากๆ ก็มันนอนไม่หลับนี่หว่า ใครสั่งใครสอนให้มันทำหน้าแบบนั้นแล้วรีบร้อนออกไปล่ะวะ เป็นห่วงนี่ผิดมากใช่ปะ แล้วดูสภาพตอนที่กลับมาดิ แม่ง! กัดหัวขาดเลยสัส! อย่าให้พี่ภีมอารมณ์เสีย

 

“.....”

 

“แล้วดูดิ อากาศเย็นขนาดนี้ เสื้อแขนยาวก็ไม่ใส่ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก หัดดูแลตัวเองให้รอดก่อนจะเป็นห่วงคนอื่นเหอะ” เจ้าตัวขมวดคิ้วยุ่ง มือหนาจับตัวผมพลิกไปมาอย่างสำรวจ

 

“ขอโทษครับ...” บอกตรงๆ พูดเป็นคำเดียว

 

“เฮ้ออ เข้าบ้านเถอะ” พี่เนลถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จับมือผมเข้าไปในบ้าน ก็ได้แต่ตามไปเงียบๆ พามานั่งตรงเตียงนุ่มที่ห้องของมัน ก่อนจะถอดเสื้อออก โยนลงไปในตะกร้า เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำทันที ผมได้แต่นอนนิ่งๆ มองตามแผ่นหลังมันจนสุด กระทั่งประตูห้องน้ำปิดลง

 

ผมนั่งชั่งใจอยู่นานว่าจะถามดีไหม ดูเหมือนยุ่งเรื่องส่วนตัวของมันจนเกินเหตุ แต่มันก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ รอพี่เนลออกมาจากห้องน้ำ ผมก็รวบรวมความกล้า ถามมันออกไปทันที

 

“พี่ไปไหนมาเหรอครับ..” มือที่กำลังเปิดตู้เสื้อผ้าชะงัก มันหันมามองหน้าผมนิ่ง ก่อนพูดเสียงเรียบ

 

“กลับบ้าน...”

 

“กลับตอนตีหนึ่งเหรอครับ มีธุระด่วนขนาดนั้นเลยเหรอ”

 

“เอ่อ! กลับไปเคลียร์ปัญหากับป๊าม๊านิดหน่อย โทรมาตำหนิกูเรื่องไม่ไปงานวันเกิดพิม แต่ตอนนี้เคลียร์เสร็จหมดแล้ว” มันตอบด้วยท่าทางสบายๆ เหมือนไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร ต่างกับท่าทีตอนเช้าจนผมคิดว่ามันกำลังเก็บซ่อนความรู้สึกอะไรไว้

 

“อ๋อ..” ผมพยักหน้า “แล้วทำไมถึงเปียกกลับมาล่ะครับ ฝนก็ไม่ได้ตกสักหน่อย”

 

“เอ่อ...ช่างมันเถอะ กูซุ่มซ่ามเดินไม่ดูเอง”

 

“แผลตรงมือก็เพราะซุ่มซ่ามเหรอครับ”

 

“เอ่อ มีอะไรจะถามอีกไหม”

 

“ไม่มีแล้วครับ”

 

พี่เนลหยิบเสื้อผ้าในตู้มาใส่ลวกๆ ก่อนสาวเท้าตรงมาที่เตียง ล้มตัวลงนอนข้างๆทันที หยดน้ำจากเส้นผมกระเด็นโดนหน้า จึงลุกขึ้นมามองคนที่นอนหลับตาไปแล้วด้วยสีหน้าอ่อนล้า แต่จะปล่อยให้นอนทั้งๆที่ผมยังเปียกแบบนี้ไม่ได้ เดี๋ยวก็ได้ไม่สบายกันพอดี จึงลุกไปหยิบผ้าขนหนูมา เอานิ้วไปสะกิดมันให้ตื่น แต่เจ้าตัวไม่ยอมลืมตามามองผมเลย

 

“พี่จะนอนทั้งๆที่ผมเปียกแบบนี้ไม่ได้นะครับ”

 

“เรื่องของกู” มันตอบงึมงำ ตายังคงปิดสนิท

 

“ไม่ได้ครับ ลุกขึ้นมาเช็ดผมให้แห้งก่อน เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” ผมเข้าไปดึงแขนมันให้ลุกขึ้น แต่คนบนเตียงไม่ยอมลุกสักที ซ้ำยังสบัดแขนผมออกอีก

 

“ไม่เอาขี้เกียจ” ดูมัน....เดี๋ยวก็มาสบายกันพอดี ไม่ใช่ห่วงไรลึกซึ้งหรอก คือขี้เกียจมาดูแลมันตอนป่วยหรอกนะ

 

“พี่เนล อย่าดื้อสิครับ” ผมไม่ยอมแพ้ เข้าไปดึงแขนมันอีกครั้งอย่างยากลำบาก ตัวอย่างกับควาย ยังจะมาทำตัวขี้เกียจแบบสล็อตอีก มึงคิดตัวตัวเองเบามากมั้ง แหม! มึงลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยไอ้เนล มึงลุกขึ้นมา!

 

“ฮัดชิ้ว!” ไอ้ควายบนเตียงจามออกมาเสียงดัง ผมก็ได้แต่สายหัวให้กับความดื้อรั้นของมัน สิ่งที่ผมเคยเตือนมันผิดเสียเมื่อไหร่ โดนหวัดแดกเรียบร้อย

 

“พูดไม่ทันขาดคำเลย ลุกมาเช็ดเดี๋ยวนี้เลยครับ” ผมสั่งเสียงแข็ง พี่เนลลืมตามามองมองสักครู่ ก็จะขยับปากตอบเสียงอ้อนอ้อน

 

“อืมม ไม่เอา ขี้เกียจ ไม่มีแรงเลย เมื่อยไปหมด ยกแขนก็ไม่ขึ้น เนี่ยขนาดจะขยับตัวยังทำไม่ได้เลย” พร้อมส่งสายตาตอแหลขั้นสุดมาให้ มึงไม่ต้องมาเวอร์ เมื่อกี้กูยังเห็นมึงเดินตัวปลิวอยู่เลย

หน้าตาดูชั่วร้ายมาก แต่จะทำอะไรได้ ถ้าผมไม่ยอม เจ้าตัวก็ไม่มีทางยอมแน่ๆ

 

“งั้นเดี๋ยวผมเช็ดให้”

พี่เนลรีบเด้งตัวขึ้นมา นั่งจุมปุ๊กบนเตียง พร้อมยื่นหัวมาให้ผมเช็ดทันที ไหนบอกไม่มีแรง? เนี่ยย! ไอ้คนตอแหล

 

ผมใช้ผ้าในมือเช็ดผมให้มันอย่างบรรจง คนตัวเท่าควายก็ยอมอยู่นิ่งๆให้เช็ดอย่างเต็มใจ ทำหน้าผ่อนคลาย ก่อนสายตามีเสน่ห์นั่นจะเลื่อนมามองหน้าผมอยู่นาน ก่อนที่มุมปากได้รูปคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ผมพยายามไม่สบตากับมัน ทำหน้าที่ของตัวเองไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าผมมันแห้งดีแล้ว จึงหยุด ลุกขึ้น เอาผ้าไปวางไว้ที่เดิม

 

“หยุดทำไม” พี่เนลที่นั่งอยู่บนเตียงเอ่ยปากถาม

 

“เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวกินยาก่อน แล้วค่อยนอนนะ” ผมตอบมันส่งๆ เดินเข้าไป เอามือทาบหน้าผากคนตัวสูงเพื่อวัดอุณหภูมิไข้ ตัวอุ่นๆนิดหน่อย เดี๋ยวให้กินยาไปเลยแล้วกัน อาการจะได้ไม่หนัก

 

“กำลังเคลิ้มเลย ทำต่อสิ”

 

“ใช่เรื่อง ถ้าชอบก็ทำเองสิครับ”

 

“ไม่เอา ชอบที่มึงทำให้มากกว่า” มันพูดน้ำเสียงออดอ้อน วันนี้เป็นไรของมันวะ...แปลกๆนะมึง ผีเข้าหรือไง ขนลุกว่ะครับ

 

“พอเถอะครับ พี่ต้องพักผ่อนนะ” ผมตอบมันแค่นั้น ก่อนนะเดินไปหยิบยา กับน้ำมาให้พี่เนลกิน มันก็ยอมอย่างว่าง่าย ก่อนจะล้มตัวลงไปนอน ผมเอาผ้าห่มไปห่มให้มัน ก่อนจะลงนอนข้างๆคนตัวสูง

 

เฮ้ออ เหนื่อยเป็นบ้าเลย ได้นอนสักทีตัวกู...

 

...เสียงในห้องที่เงียบสงัด ทำให้เปลือกตาผมค่อยๆปิดลงช้าๆ สติที่มีอยู่ก็ค่อยๆดับลงทีละนิด

 

“กูไปดูหนังเรื่องหนึ่งมา เนื้อหาแม่งกินใจ...” จู่ๆมันก็พูดขึ้นมาอีก นอนสักทีเถอะครับคุณชาย จากที่นอนบิ้วให้ตัวเองหลับมาสักพักเป็นอันต้องตื่นเพราะเสียงของคนข้างๆ

 

“ยังไม่นอนอีกเหรอครับ พี่ต้องพักผ่อนนะ”

 

“เรื่องมันเริ่มต้นที่..” คนที่นอนอยู่ข้างๆเริ่มขยับปากเล่าเนื้อหาหนังที่มันพึ่งไปดูมา แม่ง! ไม่ฟังผมเลย มันใช่เวลามาเล่าเรื่องหนังไหมหะ?

 

“....”

 

“ตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กที่เกิดมาเพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งหน้าตา ฐานะ ชื่อเสียง หรือแม้แต่ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยความอบอุ่น ในชีวิตเขาแทบไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แต่อยู่มาวันหนึ่ง ชะตาชีวิตก็เปลี่ยนไป เมื่อคุณปู่ที่เป็นเสาหลักเสียชีวิตลงไป บริษัทแม่ช่วงนั้นวุ่นวายไปหมด เพราะขาดประธานใหญ่ไป หุ้นบริษัทตกฮวบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แถมยอดขายก็ต่ำลงจนตกใจ กิจการติดขัดไปหมด จนในที่สุดพ่อของเด็กคนนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคนต่อไป”

 

“....”

 

“หลังจากที่พ่อของเขาได้ตำแหน่งมา ก็ไม่มีเวลาว่างอยู่กับครอบครัวอีกเลย ส่วนแม่เขาก็ต้องอยู่ช่วยงานพ่อจนดึกดื่น...”

 

“.....”

 

“เด็กคนนั้นถูกทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียว ในบ้านหลังใหญ่ทุกวันด้วยอายุเพียง 4 ขวบ โชคยังดีที่ยังมีแม่บ้านประจำคอยดูแลอยู่ห่างๆ ทำให้เขารู้สึกไม่เหงามาก”

 

“....”

 

“แต่แล้ว..บริษัทที่พ่อเขาดูแลอยู่ เกิดวิกฤติใหญ่จนเกือบล้มละลาย พนักงานต่างขวัญเสียกัน คนที่มีความสามารถเมื่อเห็นว่าบริษัทไปต่อไม่ได้แล้วก็ชิงลาออก ตอนนั้นทุกอย่างมืดไปหมด แถมบ้านที่เป็นสมบัติยังจะถูกยึดไปอีก พ่อกับแม่ของเด็กคนนั้นทะเลาะกันทุกวัน ไม่มีวันไหนเลยที่เด็กคนนั้นจะนอนหลับสนิท โดยไร้เสียงตะโกนด่าทอของพ่อและแม่ เขาก็ได้นึกภาวนาในใจ ขอให้เรื่องแย่ๆแบบนี้ผ่านพ้นไปสักที ใครก็ได้ช่วยพาเขาให้ผ่านความเลวร้ายนี้ไปที...”

 

“....”

 

“โชคดีที่มีนายทุนรายใหญ่แห่งหนึ่งทุ่มเงินช่วยบริษัทไว้ ทำให้ครอบครัวของเขาพ้นวิกฤตไปโดยไม่ต้องปิดบริษัท ช่วงแรกๆอาจจะวุ่นบ้าง แต่ทุกครั้งที่กลับบ้าน ใบหน้าของท่านทั้งสองไร้ซึ่งรอยย้นตรงหว่างคิ้ว นั่นแสดงว่าพวกท่านไม่ได้เครียดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ช่วงวันหยุดก็มีเวลาให้ลูกมากขึ้น ถึงจะน้อยแต่มันก็ทำให้รู้สึกว่าเขายังไม่ถูกทอดทิ้ง”

 

“โชคดีจังเลยนะครับ”

 

“นั่นสิ จะเรียกว่าโชคดีไหม ก็คงโชคดีมั้ง แต่ฟ้าหลังฝนที่คิดว่าสดใส กลับมืดมนกว่าเดิม...”

 

“ทำไมล่ะครับ?”

 

“เพราะนายทุนคนนั้นมีลูกสาวคนหนึ่ง ช่วงนั้นเธอกำลังสูญเสียมารดา และกำลังจิตตกเป็นอย่างมาก พ่อของเธอจึงไม่อยากให้ลูกห่างตัว เวลาไปที่ไหนก็พาไปด้วยเสมอ...”

 

“.....”

 

“วันนั้น..พ่อของทั้งสองต้องคุยธุรกิจกัน จึงพาเด็กสาวมาเล่นเป็นเพื่อนเด็กชายที่บ้าน...เรื่องนี้ถือเป็นการพบกันที่เลวร้ายที่สุด เพราะเด็กหญิงได้ทำลายหุ่นยนต์ตัวโปรดที่สำคัญของเด็กชายกับมือเพียงแค่เด็กชายไม่สนใจเธอ เด็กชายร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจที่หุ่นตัวนั้นพัง และไม่ยอมเล่นกับเธอ เด็กหญิงเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงโกรธ เข้าไปหวังทำลายหุ่นทุกตัวที่เด็กชายมีทั้งหมด เด็กชายจึงต้องยอมเล่นกับเธอเพื่อให้เธอหยุดการกระทำนี้ลง...”

 

“....”

 

“แล้วรู้อะไรไหม หลังจากที่เล่นกับเด็กหญิงคนนั้น เด็กชายก็รับรู้ได้ทันทีว่าคนนี้จิตไม่ปกติแน่ๆ หลังจากที่เธอพยายามเอาเศษดินเศษหญ้ายัดใส่ปากเขา”

 

“โห...น่ากลัววะ”

 

“เรื่องนี้มันไม่น่ากลัว เท่าผลที่เกิดขึ้นหลังจากนี้หรอก”

 

“ทำไมล่ะครับ”

 

“หลังจากนั้น เด็กชายก็เอาไปเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง ว่าตัวเองเจออะไรมาบ้าง แต่รู้ไหมว่าพวกท่านพูดกับเด็กชายว่าไง?”

 

“.....” ผมนอนฟังมันอย่างลุ้นระทึก

 

“ท่านพูดว่า ’หุ่นยนต์แค่ตัวเดียวเอง แกสละเพื่อเธอไม่ได้หรือไง อย่าทำตัวหวงของไปหน่อยเลย แกควรจำไว้นะว่าที่เรามีทุกวันนี้ก็เพราะใคร? อะไรที่ยอมได้ก็ยอมๆไป อย่าไปขัดใจเขา’ พูดเสร็จท่านก็ไล่เด็กชายออกจากห้องและทำงานต่อทันที”

 

“....”

 

“ในเมื่อพ่อพูดแบบนั้น เด็กชายก็ได้แต่รับฟังเงียบๆ และเดินกลับห้องไปทั้งน้ำตา หยิบหุ่นยนต์ที่ท่านไม่เคยรู้เลยมั้ง ว่ามันเป็นของที่ท่านซื้อให้เป็นของขวัญ และมันสำคัญต่อจิตใจเขาแค่ไหน เด็กชายหยิบสิ้นส่วนที่แตกขึ้นมาต่อทีละชิ้น แต่มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว...หุ่นยนต์มันพังแล้ว..”

 

“....” ผมมองแผ่นหลังคนที่กำลังเล่า น้ำเสียงมันสั่น ทำให้คนฟังอย่างผมรับรู้ได้ชัดเจนเลย ว่าเด็กชายที่มันกำลังเล่าเสียใจแค่ไหน

 

“วันต่อมาเด็กหญิงมาเล่นกับเด็กชายอีกครั้งด้วยท่าทางร่าเริง ต่างกับเด็กชายที่พยายามขังตัวเองอยู่ในห้อง เพียงเพราะไม่อยากเจอเธอ เด็กหญิงเรียกเด็กชายให้ออกมาเล่นด้วย แค่เขาก็ไม่ยอม เธอโกรธมากจึงวิ่งออกไปฟ้องพ่อตัวเอง ร้องห่มร้องไห้ ว่าเด็กชายไม่ยอมเล่นด้วย แถมทำท่ารังเกียจเธอ รู้ไหมเกิดอะไรกับเด็กชายหลังจากนั้น...”

 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ..”

 

“พ่อเด็กชายรู้ก็โกธรเขามากที่ทำเด็กหญิงร้องไห้ ลงโทษโดยการส่งเขาไปอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเธอที่บ้าน 1 อาทิตย์ มันเป็นช่วงเวลาที่แสนเลวร้ายที่สุดในชีวิตตั้งแต่เขาเกิดมาเลย ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็รู้ความจริงบางอย่างที่ไม่สามารถบอกใครได้ มันทำให้เขารู้ว่าครอบครัวของเด็กหญิงมันเน่าเฟะขนาดไหน”

 

“....”

 

“หลังเหตุการณ์ที่ย่ำแย่นั้น เด็กชายพยายามบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนให้พ่อฟัง พยายามบอกท่านว่าเด็กหญิตจิตไม่ปกติ ควรพาเธอไปรักษาก่อนที่มันจะรุกรามไปมากกว่านี้ แต่มันก็เปล่าประโชยน์ เพราะท่านไม่คิดจะฟังเรื่องที่เด็กชายเล่าเลยแม้แต่น้อย”

 

“....”

 

“และที่แย่ไปกว่านั้น...คือพ่อของเด็กหญิงคอยเอาเธอมาฝากไว้กับครอบครัวเด็กชาย พ่อกับแม่เด็กชายคอยบอกเขาเสมอว่าเด็กหญิงเป็นคนน่าสงสารมาก เขาขาดความอบอุ่น เราต้องช่วยกันเติมเต็มความอบอุ่นให้เธอได้กลับมาเป็นคนธรรมดา เราต้องใส่ใจเขาให้มากๆ แต่พวกท่านคงลืมไปแล้ว ว่าการที่พวกท่านคอยเอาใจใส่เธอจนเกินไป กำลังลดสิ่งที่เด็กชายกำลังมีไป...จนในที่สุดเขาก็ไม่เคยได้สำผัสกับคำว่า ความอบอุ่นอีกต่อไป”

 

“….”

 

“ช่วงชีวิตของเด็กที่อายุเพียงไม่กี่ขวบมันขมขืนมากนะ แม้กระทั่งวันเกิดลูกตัวเองยังจำไม่ได้เลย...การที่ไม่มีเค้กวันเกิด หรือคำอวยพรใดๆมันอาจจะดูแย่ แต่พอมันเกิดขึ้นหลายครั้ง เขาก็เริ่มมองว่ามันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว..”

 

“…..” ฟังแล้วหดหู่ว่ะ

 

“เด็กชายคนนั้นแค่รู้สึกเหงา ต้องการมีคนใส่ใจเขาบ้าง จึงหาใครสักคนอยู่เคียงข้าง ควงผู้หญิงเป็นว่าเล่น ทำตัวเสเพไปวันๆ เพื่อที่จะลบความอ้างว้างในใจของให้หมดไป...ถึงแม้จะช่วยเยียวยาความเหงาได้เพียงชั่วคราวก็ตาม.. แต่พอนานๆเข้าก็เริ่มมีข่าวเสียๆหายๆ จนพ่อแม่ของชายคนนั้นทนไม่ไหว จับเขาแต่งงานกับเด็กหญิงคนนั้นเพื่อกลบข่าวลือเสียๆที่ลูกชายเป็นคนก่อ...จบ happy ending”

 

“happy ending ตรงไหนวะ! แล้วความรู้สึกของเด็กชายคนนั้นล่ะ”

 

“เขาไม่จำเป็นต้องมีความสุขหรอก ขอแค่ครอบครัวมีความสุข ทุกอย่างก็ happy ending แล้ว”

 

“แย่ว่ะ”

 

“นอนได้แล้วเด็กดี” พี่เนลหันมา เอามือลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะห่มผ้าห่มให้

 

“ทั้งหมดที่พี่เล่ามาคือเรื่องจริงที่เกิดกับพี่หรือเปล่า” ผมถามมันออกไปทันทีอดสงสัยไม่ได้จริงๆ เพราะมันดูอินกับการบรรยายของตัวเองมาก อย่างกับเล่าสาระคดีชีวิต ด.ช.ศิรากร

 

“...มันคือหนังที่กูไปดูมา แค่เอามาเล่าให้ฟังเฉยๆ”มันเลือกที่จะปฏิเสธ แต่ผมก็พอเดาๆได้ ว่ามีเรื่องจริงของมันผสมปนเปอยู่ด้วย

 

“เรื่องมันไม่ได้มีแค่นี้ใช่ไหมครับ”

 

“มึงรู้แค่นี้ก็พอแล้ว ถ้าอยากรู้มากกว่ามีก็ลองใช้ใจซื้อแผ่นมาเปิดดูเองสิ” พูดจบก็นอนลงไป ทิ้งให้ผมนอนโง่ๆ คิดถึงเรื่องที่มันเล่าอย่างค้างคา

 

บ้าบอที่สุด บัดนี้กูตาสว่างแล้ว

 

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สงสารพี่เนลอ่าาา

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
พี่เนลน่าสงสารจัง
ยัยพิมดูหลอนมากๆๆๆเลยอ่าา

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
 :katai4: :katai4: :katai4:
มันต้องมีอาไยมากก่านี้... ไรท์ รีบมาาาาา  :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ tawanna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
พิมน่ากลัวอ่า!! :monkeysad:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด