✧ รอยยิ้ม ✧
.
.
.
หลังจากที่พี่ชาญออกไปสูบบุหรี่ได้สักพัก เขาก็เดินกลับเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวข้างผมเหมือนเดิมพร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาเล่มเกม ใบหน้าดุๆนั่นดูผ่อนคลายลงไปเยอะ คล้ายกับการที่ได้พ่นเอาเจ้าพวกกลุ่มควันขาวนั่นออกมาทำให้เขาหายเครียดได้
เวลานี้ผมเลยได้เห็นสีหน้าอีกแบบของเขา คิ้วได้รูปนั่นมักขมวดยู่ขึ้นอย่างหงุดหงิดที่เล่นเกมส์แพ้มันเลยดูเหมือนพวกเด็กอันธพาลตามร้านเกม และในบางครั้งก็เผลอยกมือขึ้นคลึงจิวสีเงินที่สะท้อนกับแสงไฟบนหัวคิ้วซ้ายของตัวเองเล่น
ทั้งหมดมันทำให้เขาดู...น่ามอง
แต่ว่ากลิ่นของนิโคลตินผสมเมนทอลอ่อนๆที่ติดอยู่รอบตัวของพี่ชาญมันทำให้ผมมึนหัวไม่น้อย เลยต้องแอบเบือนหน้าไปทางอื่นอยู่บ่อยๆเพราะกลัวเสียมารยาท
โอเค จะว่าผมกระแดะก็ได้ ก็คนมันไม่ชอบนี่...
“ชาญ น้องเหม็นบุหรี่”
พี่กวางดุขึ้นมาอย่างไม่จริงจังมากนัก แล้วก็บ่นๆต่อไปอีกนิดหน่อยเรื่องที่น้องชายตัวเองไม่ยอมเลิกบุหรี่ซะที ทำให้คนตัวโตข้างผมหยุดสนใจเกมแล้วเงยหน้าขึ้นมาจากมือถือก่อนจะลุกเดินออกจากเก้าอี้ไปที่กระเป๋าเป้ที่วางอยู่โต๊ะข้างๆ เขาค้นกระเป๋าตัวเองนิดหน่อยแล้วก็หยิบเสื้อยืดสีดำขึ้นมาถือพร้อมกับเดินกลับเข้าไปทางหลังร้าน
“น้องรัก”
“ครับ”
“เดี๋ยวพี่รบกวนเอาผ้ากันเปื้อนไปเก็บให้ทีได้ไหม อยู่หลังร้านอ่ะวางใส่ตะกร้าไว้เลย”
จู่พี่กวางก็สะกิดเรียกแล้วก็ยัดผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลของตัวเองและกับของพนักงานอีกสองสามคนใส่มือผมทันทีเป็นแกมบังคับกลายๆ
“อ่า...ครับ”
ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปทางหลังร้านที่พี่ชาญพึ่งเดินเข้าไป
บริเวณข้างหลังของร้านกาแฟแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน ถึงจะแอบรกนิดหน่อยเพราะต้องเก็บของเช่นพวกแก้วพลาสติกและกล่องเค้กจึงทำให้พื้นที่ทางเดินมีอยู่นิดหน่อย ผมมองหาตะกร้าเก็บผ้ากันเปื้อนตามที่พี่กวางบอกเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เลยตัดสินใจจะเดินออกไปถามเธออีกที แต่เสียงลูกบิดประตูจากห้องน้ำหนักงานก็ดังขึ้นทำให้ผลต้องหันกลับไปมอง
พี่ชาญเดินเปลือยท่อนบนออกมาพร้อมกับเสื้อเชิ้ตขาวกับเสื้อยืดอีกตัวที่พาดอยู่บนไหล่หนา ตัวเขาดูชื้นเหงื่อเล็กน้อยอาจเป็นเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว ภาพตรงหน้าทำผมหายใจกระตุกนิดหน่อย ไม่ได้เขินนะ ผม...ผมแค่ตกใจต่างหาก แต่ตอนนี้สัมผัสได้ว่าฝ่ามือเริ่มชื้นเหงื่อขึ้นมาหน่อยแล้ว
คนตัวโตตรงหน้าดูแปลกใจเล็กน้อยที่จู่ๆก็เห็นผมมายืนทะเล่อทะล่าอยู่ในนี้
คือ...ทำยังไงดี ผมก้าวขาไม่ออกอ่ะ
มัน...มันเหมือนจะวูบๆตอนที่เผลอกวาดสายตาไปมองคนตรงหน้า พอเขาไม่ได้ใส่เสื้อเลยเห็นรอยสักหมึกสีดำเส้นหนาเป็นลายกราฟฟิกรูปพระอาทิตย์บนบริเวณหัวไหล่ข้างขวา ผมห้ามสายตาตัวเองไม่ได้จนกระทั่งมันเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆผ่านกล้ามเนื้อหน้าท้องจางๆที่ไม่ได้ขึ้นลายชัดเจนมากนักแต่มันช่างรับกับกล้ามเนื้อวีเชฟที่ซ่อนอยู่ใต้กางเกงยีนส์สีซีดได้อย่างดี
วูบหนึ่งก็แอบอิจฉารูปร่างที่ดูเพอร์เฟกต์ของเขาชะมัด
“หาอะไรอยู่รึเปล่า”
คำถามของพี่ชาญทำให้ผมดึงสายตากลับมามองหน้าเขาอีกครั้ง แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าตอนนี้เหมือนใครเอาแก้วน้ำอุ่นๆมาแนบแก้ม มัน...มันร้อนวูบๆ เหงื่อที่มือก็ซึมออกมาเยอะขึ้นเลยเผลอตัวกำผ้ากันเปื้อนจนพวกมันยับยู่
“คือว่า…พี่...พี่กวาง ห...ให้เอาผ้ากันเปื้อนมาเก็บครับ”
โอ้ยยยยยย จะบ้าตายทำไมเสียงสั่นแบบนี้
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงพยักหน้ารับนิดหน่อยแล้วก็จัดการสวมเสื้อยืดแขนกุดสีดำให้เรียบร้อยก่อนจะเดินมาหยิบผ้ากันเปื้อนในมือผมออกไป
“แล้วตัวนั้น”
“ครับ?”
“ไม่ถอดเหรอ?”
พี่ชาญพยักพเยิดหน้ามาทางผมอีกครั้งเป็นเชิงถาม พอผมก้มลงมองตามเลยเห็นเจ้าผ้ากันเปื้อนตัวใหญ่ที่ยังคล้องอยู่รอบเอว ทำให้นึกได้ว่าตัวเองลืมถอดมันออก อีกทั้งเจ้าของเขายังยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้วด้วย ผมเลยรีบถอดผ้าผืนใหญ่สีดำออกทางหัวแล้วส่งยื่นส่งให้เขา
พอเขารับไปก็เดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งก่อนจะเดินกลับออกมาอีกครั้ง สงสัยตะกร้าที่ผมตามหามันอยู่ในนั้น มิน่า หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
“ทำไมใส่ตัวใหญ่จัง”
พี่ชาญเลิกคิ้วถามเล็กน้อยอย่างสงสัย อาจเพราะเจ้าผ้ากันเปื้อนของเขาที่ดูยังไงมันก็ใหญ่เทอะทะไปสำหรับผม
“เห็นพี่กวางบอกผืนอื่นยังไม่ได้ซักอ่ะครับ”
พอได้ยินคำตอบของผมคนตัวโตก็พรูลมหายใจออกมาอย่างเก็บไว้ไม่อยู่พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆที่ข้างมุมปาก
“นั่นอะไร?”
ผมมองตามนิ้วของเขาที่ชี้ไปยังตู้เก็บของตรงมุมหนึ่งของห้อง เลยทำให้เห็นผ้ากันเปื้อนอีกหลายผืนพับซ้อนกันอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรออกไป สัมผัสอุ่นๆก็วางลงบนหัวพร้อมกับเสียงทุ้มนุ่มที่ชวนทำให้ใจสั่น
“โดนหลอกแล้ว” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะยกมือออกจากหัวผม แล้วเดินกลับเข้าไปในร้านปล่อยให้ผมยืนอึ้งอยู่กับเหล่าผ้ากันเปื้อนหลากสี
แต่สัมผัสอุ่นๆที่วางบนศีรษะของผมเมื่อกี้มันกำลังสร้างความปั่นป่วนในตัวผมอย่างร้ายกาจ
มันเหมือนมีผีเสื้อนับรอยตัวกระพือปีกบินในท้องเสียให้วุ่นไปหมด
ฝ่ามือใหญ่นั่นแม้จะไม่ได้นุ่มนิ่มแต่มันก็ให้สัมผัสที่สบายเอามากๆ
แล้วก็รอยยิ้มเล็กๆข้างมุมปากนั่นที่ดูแล้วเหมือนเขาจะอารมณ์ดีแบบสุดๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเห็นพี่ชาญยิ้ม ทำให้เขาดูน่ามองมากขึ้นไปอีก
แบบนี้มันไม่ดีเลยนะ...ไม่ดีเลย
“ฮื่อ”
ผมหายใจออกมาแรงๆทีนึงเพื่อหวังให้มันไล่ความร้อนบนใบหน้าออกไปด้วยและเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมาด้วย พอจิตใจที่ฟุ้งซ่านมันเริ่มกลับเข้าที่ผมก็เดินตามเขากลับเข้าไปในตัวร้าน
ตอนนี้เป็นเวลาทุ่มกว่าๆแล้ว ท้องฟ้าข้างนอกจึงมืดครึ้มไปหมด แอบเห็นด้วยว่ามีแสงแลบไปมาและเสียงฟ้าร้องหน่อยๆ ผมเห็นพี่ชาญกำลังช่วยพี่กวางกับพี่พนังงานอีกคนเก็บอุปกรณ์บริเวณเคาน์เตอร์ร้าน เลยเดินเข้าไปบอกลาพวกพี่ๆเพื่อที่จะกลับหอเพราะตอนนี้ลมด้านนอกมันเริ่มแรงขึ้นนิดหน่อย กลัวว่าฝนจะตกลงมาก่อน
“กลับยังไง?”
จู่ๆพี่ชาญก็ถามแทรกขึ้นแล้วก็หันมามองผม
“เดินกลับครับ”
“รอก่อน”
“ห้ะ?”
“ช่วยกวางเก็บร้านแปปนึง”
“คือ...”
“แล้วเดี๋ยวไปส่ง”
ยังไม่ทันได้ปฏิเสธเขาก็หันตัวกลับไปก้มเก็บของตรงเคาน์เตอร์ต่ออย่างไม่ใส่ใจในท่าทีอึกอักของผม พอพี่กวางเห็นผมยืนอึ้งอยู่กับที่เธอก็กระแอมขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดประโยคที่ทำให้ไอร้อนบนหน้าผมกลับมาอีกครั้ง
“ให้ชาญไปส่งดีแล้วน้องรัก คนมันหวง... เอ้ย พี่เป็นห่วง เผื่อฝนตกด้วยไม่สบายขึ้นมาแย่เลย เนอะชาญเนอะ”
ใบหน้านั่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่คนที่ยืดตัวขึ้นเก็บของตรงชั้นเหนือหัว โดยที่เจ้าตัวทำเพียงแค่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายกับท่าทีดี๊ด๊าของพี่สาวตัวเอง
“อ่า...งั้นก็ได้ครับ”
ผมพยักหน้ารับอย่างจำยอม แล้วก็ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ทรงสูงตัวเดิมที่หน้าเคาน์เตอร์ สักพักพี่ชาญก็เดินอ้อมเคาน์เตอร์ออกมาก่อนจะเดินไปหยิบเป้ขึ้นมาสะพายไว้บนไหล่พร้อมกับถือกระดาษม้วนยาวไว้ในมือ พอเลยเดินไปหยิบกระเป๋าตัวเองขึ้นมาสบายไว้บ้างเพื่อเตรียมตัวกลับ
แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าพี่ชาญไปส่งผมที่หอ แล้วพี่กวางจะกลับยังไงล่ะเนี่ย? ผมก็อดเป็นห่วงเธอไม่ได้ เพราะยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง
“แล้วพี่กวางกลับยังไงครับ?”
“อ๋อ พี่เอารถอีกคันมา ไม่ต้องห่วงๆ สบายมาก แล้วก็ชาญ...ไปส่งน้องอย่าขับรถเร็วนะรู้ไหม”
พอเห็นว่าเธอไม่มีอะไรต้องห่วงผมก็พยักหน้ารับนิดหน่อย แต่พี่กวางก็ยังไม่วายหัวไปหาน้องชายตัวเองแล้วชี้นิ้วเป็นเชิงเตือนโดยแฝงความจริงจังไว้ในน้ำเสียงด้วยความเป็นห่วง
“อืม”
“แล้วก็ถ้าฝนตกอย่าฝ่าฝนมานะ โทรหากวาง เดี๋ยวกวางจะขับรถแม่ออกไปรับ เข้าใจมั้ย?”
คนตัวโตข้างผมก็พยักหน้ารับอีกหนด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ตามฉบับเขานั่นล่ะ ก่อนที่มือใหญ่ๆจะยกขึ้นวางบนศีรษะพี่สาวตัวเองแล้วจับโคลงเบาๆจนพี่กว้างหน้ามุ่ย
“ขับรถดีๆ”
น้ำเสียงอบอุ่นที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนพูดขึ้นแฝงความเป็นห่วงไม่ต่างกัน
“รู้แล้วน่า ไปๆ เดี๋ยวน้องรอ”
มือเล็กๆดุนแผ่นหลังกว้างให้หันกลับมาทางผมพร้อมกับโบกมือบ้ายบายก่อนจะเดินแยกออกไปอีกทาง การกระทำน่ารักๆของทั้งสองคนมันชวนให้ดูอบอุ่นในใจอย่างน่าประหลาด ถึงแม้ว่าพี่ชาญดูจะไม่ใช่คนชอบพูดนัก แต่การกระทำของเขามันชัดเจนมากว่าเป็นห่วง ผมยืนอมยิ้มน้อยๆอยู่ข้างจนกระทั่งเขาหันมาสะกิดเรียกนั่นล่ะเราถึงเดินออกมาจากร้านกัน
ผมเดินตามพี่ชาญออกมาตรงที่จอดรถของลูกค้า ขายาวๆก้าวไปทางรถช็อปเปอร์ที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ พอเดินเข้าไปใกล้ถึงได้เห็นชัดๆว่าเป็นรถครูซเซอร์ชอปเปอร์เป็นชอปเปอร์สไตล์กึ่งสปอร์ต ยี่ห้อYamaha รุ่น bolt R-950cc ตัวถังและท่อไอเสียเคลือบสีดำด้าน ตัวล้อแม็กชุบโครเมียมสีดำ
ผมยืนอึ้งจ้องเจ้าสิงห์เหล็กตรงหน้าด้วยสวยตาที่ปลื้มปริ่มสุดขีด
มัน...มันเป็นรถรุ่นที่ผมเคยอยากได้มาก!
แต่เพราะป๊าไม่ยอมซื้อให้เลยต้องจำใจดับฝันตัวเองลงไป
เจ้าของรถก้าวขายาวๆขึ้นคร่อมไปบนอานเบาะหนังสีดำ ก่อนจะสตาร์ทเครื่องทำให้ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มเป็นลักษณะเฉพาะตัวของรถชอปเปอร์
แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความสนใจของผมพุ่งตรงไปอยู่ที่คนตัวโตซะมากกว่าแทนที่จะเป็นรถในฝัน
แม้เจ้าของรถจะสวมเพียงแค่เสื้อแขนกุดสีดำสกรีนลายกราฟฟิกธรรมดาๆกับกางเกงยีนส์สีซีดและรองเท้าผ้าใบเก่าๆ
แต่มัน...
กลับทำให้เขานั้นดูดีมากๆจนเจ้าก้อนเนื้อที่อกด้านซ้ายของผมมันเกรเรอีกแล้ว เสียงตึกตักมันดังชัดเจนมากในความรู้สึกของผม
ฮื่อ...พี่เขาดูเท่ห์มากจริงๆนะ
“ขึ้นมา”
คงเพราะเขาเห็นผมมัวแต่ยืนจ้องไม่วางตา พี่ชาญเลยชี้นิ้วไปด้านหลังเชิงสั่ง พอรู้สึกตัวว่าเผลอเหม่อลอยผมเลยรีบเดินเข้าไปหาเขาแล้วก้าวขาขึ้นนั่งบนอานเล็กๆสำหรับผู้โดยสาร
“ใส่ไว้”
พี่ชาญวางหมวกกันน็อกสีดำด้านไว้บนตักผมเหมือนจะเป็นการบังคับกลายๆว่าผมต้องใส่มัน
และดูเหมือนมันจะมีอยู่ใบเดียวซะด้วยสิ
ตอนแรกผมจะปฏิเสธด้วยเพราะความเกรงใจ แต่สายตาดุๆที่มองมาทำให้ผมกลืนคำพูดกลับลงไปในคอแทบไม่ทัน
“ขอบคุณครับ”
เขามองจนมั่นใจแล้วว่าผมใส่หมวกกันน็อกเรียบร้อยก็หันตัวกลับไปพร้อมกับย้ายเป้ของตัวเองไปสะพายไว้ด้านหน้า ผมเลยอาสาที่จะสะพายกระเป๋าเขาไว้ให้แต่ก็โดนปฏิเสธ มีแค่ม้วนกระดาษยาวๆนั่นแหละที่เขาฝากผมถือไว้แทนเพราะมันเกะกะเอามากๆ
พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยตัวรถก็เคลื่อนออกไปจากลานจอด
ตลอดทางผมพยายามที่จะเว้นช่องว่างระหว่างผมกับเขาให้มากทีสุด แต่ด้วยเพราะความแคบของเหมาะมันเลยทำให้เราสองคนต้องตัวชิดกันอย่างห้ามไม่ได้
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เวลาอยู่ใกล้ๆเขาแล้วเจ้าก้อนเนื้อที่อกมันจะไม่เต้น
อย่างตอนนี้รถเราจอดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยก มันเลยพอมีเวลาให้ผมได้หายใจหายคอได้บ้าง แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ให้ความร่วมมือกันเลย เขาเอี้ยวตัวกลับมาหาผมพร้อมกับคิ้วเข้มๆที่ขมวดมุ่นลงเล็กน้อย
“จะถอยออกไปทำไม”
“คือว่า...ผมร้อน”
ใช่ซะที่ไหนกันเล่า!
“เขยิบเข้ามา...เดี๋ยวตก--”
“ไฟเขียวแล้ว!”
ผมชิงพูดขึ้นมาตัดหน้าและชี้ให้เขาหันไปเมื่อเห็นสัญญาณไฟเปลี่ยน
และก็ได้ผล...เขาดูจะเลิกสนใจกับระยะห่างของผมแล้ว
แต่ในขณะที่เขากำลังกำคลัชท์และใส่เกียร์ออกตัวจู่ๆรถก็พุ่งตัวออกไปอย่างแรง ด้วยความตกใจผมเลยคว้าหมับเข้าที่ไหล่ของคนตรงหน้าไว้แน่นเพื่อเป็นหลักยึดและก็กลัวว่าตัวเองจะหงายหลังลงไปจริงๆ และด้วยเหตุนี้ช่องว่างที่ผมเพียรพยายามรักษาระยะห่างไว้ก็โดนทำลายไปอย่างไม่มีชิ้นดี ตัวผมแนบไปกับแผ่นหลังของเขาจนได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่กรุ่นๆบนเสื้อของเขา
รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงตึกตักดังอยู่ในหูอีกแล้ว คราวนี้รู้สึกด้วยว่าหน้าผมมันร้อนถึงขีดสุด ผมเลยพยายามดึงความสนใจตัวเองให้ออกไปจากแผ่นหลังกว้างๆตรงหน้า พอมองตรงไปข้างหน้าก็สังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของคนตรงหน้าที่สะท้อนกับกระจกส่องหลัง
ฮึย ยิ้มอะไรเล่า...
เขาต้องตั้งใจแกล้งผมแน่ๆเลย!
อยากให้นั่งชิดๆนักใช่ไหม
จะชิดให้ร้อนจนเหงื่อแตกพลั่กเลยคอยดู!
เพราะอายที่โดนแกล้งผมเลยฝังตัวเข้ากับแผ่นหลังกว้างอย่างแน่นหนา ชนิดที่ว่าแม้แต่ลมก็ยังผ่านไปไม่ได้โดยที่มือก็ยังเกาะไหล่เขาอยู่แน่นเช่นกัน ใครมาเห็นสภาพตอนนี้ก็คงตลกไม่น้อย มันอาจจะเหมือนแบบว่า...ลิงแม่ลูกอ่อนหิ้วกระเตงกันไปมา ฮื่อ ไม่รู้ล่ะ เขาแกล้งผมก่อนนะ
รถยังคงขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ ดูจากเข็มไมล์แล้วพี่ชาญพยายามคุมไม่ให้มันเกินหกสิบ ก็ถือว่าไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป ผมเลยสามารถมองวิวข้างทางได้อย่างสบายตา บวกกับลมเย็นๆที่พัดผ่านมันทำให้ผมเพลินมากๆ
ในขณะที่ขับผ่านตลาดนัดตรงลานคอนกรีตกว้าง พี่ชาญก็เอียงหน้ามาหาผมเล็กน้อยก่อนเสียงทุ้มๆของเจ้าตัวจะเอ่ยถามขึ้น
“หิวไหม”
ผมพยักหน้ารับทันที
เพราะขนมที่กินไปเมื่อตอนเย็นก็ย่อยไปหมดแล้ว ตอนนี้ท้องมันเลยว่างมากๆ คิดไปคิดมาหาอะไรกินตอนนี้ให้มันอุ่นๆท้องไว้ดีกว่า เดี๋ยวตอนดึกจะหิว มาม่าที่ห้องผมที่ซื้อตุนไว้ก็หมดแล้วด้วย
พอเห็นผมตอบรับพี่ชาญก็เลี้ยวรถจอดหน้าเซเว่นตรงข้ามตลาดนักพร้อมกับดับเครื่องลงให้เรียบร้อย เขาหันมาถามว่าผมจะกินอะไรจะเดินตลาดนัดไหม ผมคิดอยู่แปปนึงก็ตัดสินใจกินบะหมี่หมูแดงหน้าเซเว่นนี่แหละง่ายดี แถมเจ้านี้ก็อร่อยด้วย ผมกับเพื่อนๆชอบแวะมากินประจำ
พี่ชาญไม่ได้แย้งอะไรเขาพียงแค่พยักหน้าอือออๆแล้วก็เดินตามผมมา พอเราสองคนเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะเรียบร้อย ผมเลยอาสาที่จะไปสั่งอาหารและตักน้ำมาให้ แต่ก็ยังไม่ลืมถามว่าเขาอยากกินอะไร
“พี่ชาญกินอะไรครับ”
เขาคิดอยู่แปปนึง
“เอาเหมือนกัน”
ผมหยักหน้ารับแล้วเดินไปสั่งอาหารกับคุณป้าที่กำลังลวกเส้นบะหมี่อย่างขะมักเขม้น พอเธอเห็นว่าเป็นผมก็ยิ้มทักทายออกมาอย่างเป็นกันเองพร้อมกับทวนเมนูที่ผมมักจะสั่งประจำ
“บะหมี่เกี๊ยวหมูแดงพิเศษใช่ไหมลูก”
“แหะๆ ครับบ แต่สองถ้วยนะครับป้า”
“หือ ทำไมวันนี้กินเยอะ”
“อีกถ้วยของเขาครับ”
ผมชี้กลับไปยังโต๊ะที่มีคนตัวโตนั่งเอามือเท้าศีรษะของเขาอยู่อย่างเหม่อลอย ดูอาการแล้วเหมือนจะง่วงหน่อยๆด้วยเพราะสายตาเขาเริ่มมองเหมอไปที่ถ้วยเครื่องปรุงแล้ว
“เพื่อนคนไหนเนี่ยป้าไม่เคยเห็น”
ป้ามองตามมือผมไปที่โต๊ะแล้วก็หันกลับมาถามอย่างสงสัย
“พี่ที่คณะน่ะครับ”
“อ้อ คณะนี้หล่อๆกันทั้งนั้นเลยเนอะ”
ผมยิ้มเขินๆให้ตอบแกแทนอย่างไม่มีอะไรจะแก้ตัว
เพราะมันก็จริงอย่างป้าว่า อันนี้ผมไม่เถียงก่อนจะขอแยกตัวเดินออกไปตักน้ำใส่แก้วสแตนเลสสองใบแล้วเดินกลับไปหาพี่ชาญที่โต๊ะ แต่ยังไม่ทันได้หย่อนก้นลงนั่งผู้ชายตัวสูงในชุดลำลองก็เดินเข้ามาทักผมซะก่อน
“เอ้ารัก มากินข้าวเหรอ พี่ชาญหวัดดีพี่”
คลื่นยิ้มให้อย่างอัธยาศัยดี แต่พอเขาเห็นว่าคนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับผมเป็นใครเขาก็ดูจะแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ทำเพียงแค่ก็ยกมือไหว้แล้วส่งยิ้มไปให้เหมือนอย่างทุกที พี่ชาญทำเพียงแค่ยกมือรับไหว้แล้วก็ฟุบหน้าลงไปบนแขนตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะแทนอย่างไม่สนใจกับบทสนทนาเท่าไหร่นัก
“อื้อ แล้วนี่คลื่นทำงานเสร็จแล้วเหรอ”
ผมถามเขากลับไปตามมารยาท แต่สายตาก็แอบชำเลืองมองคนตัวโตตรงหน้าไปด้วย
ดูท่าทางแล้วจะง่วงนอนมากจริงๆนั่นแหละ
“ยังหรอก เราหิว ออกมาซื้ออะไรกินอ่ะ เห็นรักพอดี ก็เลยแวะเข้ามาทัก”
“อ่อ”
“แล้วทำขนมเป็นไงบ้าง อร่อยป่ะ”
พอคลื่นถามถึงเรื่องขนมเลยทำให้ผมนึกขึ้นมาได้เลยว่าพี่กวางฝากผมเอาขนมมาให้คลื่นด้วย เลยขอตัวเดินกลับไปที่รถเพื่อจะหยิบกล่องขนมให้เขาเลยขอเดินตามผมออกมาด้วยเลยจะได้ไม่ต้องเดินไปๆมาๆ
“เราลืมอ่ะ เลยเผลอเก็บไว้ในกระเป๋าไม่รู้มันเละไหมนะ”
ผมยื่นกล่องกระดาษสีน้ำตาลสกรีนโลโก้ร้านกาแฟให้เขาไป แอบเห็นด้วยว่าตรงมุมกล่องมันบุบไปนิดหน่อยด้วย แต่คงไม่กระทบกระเทือนขนมเท่าไหร่หรอกมั้งนะ
“ขอบคุณนะครับ”
คลื่นรับขนมไปพร้อมกับยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มลักยิ้มที่แก้มซ้ายบวกกับสายตาขี้เล่น มันทำให้เขาดูเจ้าชู้นิดๆ แต่สำหรับผมเขาก็แค่ดูอัธยาศัยดีมากจนเกินเหตุแค่นั้นแหละ
“’งั้นเดี๋ยวเราขอตัวไปกินข้าวก่อนนะ ขับรถกลับดีๆ”
ผมพูดขึ้นมาเพื่อตัดบทสนทนาแล้วก็ขอตัวกลับไปที่โต๊ะ
เพราะว่าตอนนี้รู้สึกหิวมากๆ และถ้าผมเริ่มหิวอารมณ์มันจะเริ่มดิ่งลงไปเรื่อยๆ
คลื่นไม่ได้พูดอะไรเขาทำแค่ส่งยิ้มมาให้แล้วยกมือขึ้นมาโบกลาแต่ก่อนที่จะเดินออกไปเขาหันกลับเข้าไปมองในร้านอีกครั้ง ก่อนจะเดินแยกตัวออกไป
ตอนผมเดินกลับเข้ามาที่โต๊ะพี่ชาญที่ตื่นขึ้นมาตอนไหนไม่รู้ เขานั่งกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อยู่เงียบๆ โดยที่บนโต๊ะนั้นมีบะหมี่ที่ผมสั่งไปวางไว้เรียบร้อยแล้ว ดวงตาดุนั่นมองมาที่ผมแวบหนึ่งก่อนจะยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงเพื่อเตรียมตัวลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า
บรรยากาศรอบตัวระหว่างเราสองคนมันดูเงียบจนน่าอึดอัดต่างจากก่อนหน้าที่คลื่นจะเข้ามา ถึงแม้คนตัวโตตรงหน้าผมเขาจะไม่ได้แสดงท่าทีว่าไม่พอใจอะไรออกมา แต่มันเหมือนมีหมอกควันจางๆโอบรอบตัวเขาไว้ พี่ชาญไม่ได้พูดอะไรเขาเพียงแค่เอื้อมมือไปหยิบตะเกียบกับช้อนออกมาจากกล่องพลาสติกมาวางไว้บนถ้วย โดยที่ไม่ลืมจะหยิบมาเผื่อผมด้วยชุดนึง
“ขอบคุณครับ”
อาจเป็นเพราะว่าไม่ได้นอนติดต่อกันหลายวันอารมณ์เขาเลยไม่ค่อยจะเสถียรเท่าไหร่
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องธรรมดามากๆเพราะผมก็เคยเป็น ช่วงไหนโหมงานหนักแบบโต้รุ่งข้ามวันข้ามคืนก็เคยเหวี่ยงเพื่อนไปบ้างเหมือนกัน
และเพราะว่ากลัวเขาจะหงุดหงิดมากกว่าเดิม ผมเลยไม่ได้ชวนคุยอะไรอีกจนพวกเรากินบะหมี่หมดเกลี้ยงนั่นล่ะสีหน้าของเขาถึงจะดูคลายลงนิดหน่อย พอเห็นว่าได้โอกาสที่ดีผมเลยเริ่มชวนเขาคุยเรื่องงานให้หายง่วง
เห็นท่าทีเซื่องซึมอึนๆที่บางครั้งก็ดูหงุดหงิดฟู่ฟี่แบบไม่มีเหตุผลมันทำให้ผมนึกถึงหมีตัวโตๆเลย
“โปรเจครอบนี้ทำอะไรเหรอครับ”
“ห้างสรรพสินค้า”
“โห แล้วพี่ชาญตรวจแบบผ่านยังครับ”
ผมเผลอตกตะลึงกับสเกลงานขนาดใหญ่ แต่ก็นึกได้ว่าพี่เขาปีสี่แล้วนี่นา งานมันต้องใหญ่และหนักเป็นเรื่องธรรมดา ตัดภาพมาที่ผมพวกวิชาพื้นฐานดีไซน์ดูง่ายไปเลยอ่ะเมื่อเทียบกับงานของเขา
“ยัง”
“งั้น..งั้นมีอะไรให้รักช่วยบอกได้นะ”
ผมบอกเขาไปเพราะต้องการช่วยจริงๆ สงสารอ่ะเวลานอนจะมีบ้างไหมยังไม่รู้เลย แต่เพราะความตื่นเต้นมันทำให้ผมเผลอเรียกหลุดปากแทนชื่อตัวเองไปเวลาพูด พอนึกได้มัน...มันก็เลยเขินปากหน่อยๆ พี่ชาญก็ดูชะงักไปนิดหน่อยเหมือนกัน มันคงแปลกๆใช่ไหมอ่ะ ก็...ก็ผมชินปากนี่นา เวลาที่พูดกับคนอายุมากกว่าอ่ะ
“อืม” หมีตัวโตกระแอมขึ้นมานิดหน่อยแล้วก็ยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองสองสามครั้ง “กลับกันเถอะ”
เขาลุกขึ้นแล้วเดินนำหน้าผมออกไปโดยที่ไม่รอกันเลย แปปเดียวก็เดินไปอยู่หน้าร้านแล้ว
คนอะไรขายาวชะมัด
พี่ชาญเดินไปจ่ายตังค์ค่าอาหารเสร็จเรียบร้อยก่อนจะเดินกลับไปที่รถ เขาขึ้นไปนั่งคร่อมรถรอผมที่เดินอ้อยอิ่งตามมาอย่างอืดอาด
พออิ่มแล้วทำอะไรมันก็ดูช้าไปหมดเลย เริ่มง่วงขึ้นมาแล้วด้วยเนี่ย
“ค่าบะหมี่ครับ— อื้อ”
ผมหยิบเงินจากกระเป๋าตังค์ออกมาแล้วยื่นคืนให้ แต่นอกจากเขาจะไม่รับแล้วยังจัดการสวมหมวกกันน็อคใบเดิมให้ผมพร้อมกับใส่ล็อคใต้ค้างให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ
“ขึ้นมาเร็วๆเดี๋ยวฝนตก”
“คืนเงินครับ”
ผมยังไม่ยอมขึ้นไปตามคำสั่งของเขาและพยายามจะยัดเยียดเงินคืนให้ ไม่ได้นะ ถึงมันจะไม่ใช่เงินเยอะอะไรแต่ผมก็เกรงใจอ่ะ
“ไม่เอา...ขึ้นรถได้แล้ว”
“รับเงินไปก่อนครับ”
“…” เขาถอนหายใจออกมาเบาๆเพราะผมไม่ยอมทำตาม
“…”
ผมเลยเงียบกลับบ้างพร้อมจ้องตาตอบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้เพื่อเป็นการบังคับกลายๆว่าเขาต้องเอาเงินไปผมถึงจะขึ้นรถ
“
ดื้อจัง”
คงเพราะความรำคาญพี่ชาญก็เลยดึงแบงก์ในมือผมไปเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง พอทุกอย่างเป็นไปตามต้องการผมก็หลุดยิ้มออกมาอย่างพอใจโดยไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด ก่อนจะขึ้นไปซ้อนบนเบาะหลังอย่างว่าง่าย พอเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วพี่ชาญก็ทำการสตาร์ทเครื่อง เสียงของมันดึงดูดสายตาผู้คนรอบข้างได้ไม่น้อยเลย ผู้ชายอาจจะมองเพราะสนใจรถ แต่ก็มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่หันมาสนใจแถมยังสะกิดเรียกเพื่อนแล้วชี้ๆมาทางคนตัวโตที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาขนาดไหน
เห็นไหมเล่า...ผมบอกแล้วว่าเขาดูมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ
แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเขาจะไม่ได้สนใจสิ่งรอบกายมากเท่าไหร่นัก
พอถึงหอก็เป็นเวลาเกือบจะสามทุ่มเข้าไปแล้ว ตอนแรกพี่ชาญจะขับรถเข้าไปส่งด้านในแต่ผมห้ามเอาไว้ก่อนเพราะกลัวว่าเสียงรถมันจะไปรบกวนคนอื่นเข้า เขาก็พยักหน้ารับแล้วก็จอดรถบริเวณหน้าหอตามที่ผมบอกพร้อมกับดับเครื่องลงให้เรียบร้อย
ผมก้าวลงมายืนข้างๆรถแล้วจัดการถอดหมวกกันน็อคที่อยู่บนหัวออกเพื่อที่จะส่งคืนเขา แต่ไอ้ตัวล็อคที่อยู่ใต้คางมันดันกดไม่ออกนี่สิ ดันจนนิ้วแดงมันก็ไม่ยอมหลุด จนอีกคนทนเห็นผมทะเลาะกับหมวกกันน็อคไม่ไหวเลยเอื้อมมือดึงบริเวณสายรัดเข้าไปหาตัวเอง ผมเลยต้องเขยิบเข้าไปใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้
“อยู่นิ่งๆ”
ฝ่ามือฝุ่นแนบลงตรงบริเวณใต้ค้างแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือดันคางผมขึ้นเบาๆให้ได้องศา ด้วยความที่เขายังนั่งคร่อมอยู่บนมอไซน์มันเลยทำให้ระดับความสูงของเราต่างกันนิดหน่อย สายตาผมเลยมองต่ำลงไปมองเขาอย่างช่วยไม่ได้ คิ้วๆได้รูปขมวดมุ่นเล็กน้อยที่ตัวล็อคมันกดไม่ออกซะที สีหน้าตั้งอกตั้งใจของเขามันทำให้ผมเผลอมองอย่างลืมตัว
แกร๊ก
เสียของตัวล็อคที่หลุดออกจากกันเป็นที่เรียบร้อยทำให้ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก
นึกว่าจะต้องใส่หมวกนอนซะแล้วเนี่ย
“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”
ผมขอบคุณเขาแล้วก็ช่วยเขาถอดหมวกออกก่อนจะส่งยื่นคืนไปให้ แล้วพี่ชาญก็รับมันไปสวมต่อ
“อืม”
เขาพยักหน้ารับอีกคนหน ก่อนจะทำการสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อเตรียมขับออกไป แต่ผมกลับรู้สึกว่าอยากจะพูดอะไรกับเขามากกว่านี้ มากกว่าคำขอบคุณ จึงเผลอตัวเรียกเขาไว้ พี่ชาญหันกลับมามองผมอย่างสงสัยมันทำให้ลูกคลื่นแห่งความประหม่าลูกโตซัดเข้าใส่จนตั้งตัวไม่ทัน
“พี่ชาญ”
“?”
“คือ..” ผมกระแอมแก้เก้อนิดหน่อยแล้วก็พูดต่อ “
ฝันดีครับ”
ประโยคที่บ้าบอที่สุดถูกพูดออกมาอย่างไม่ทันได้คิด หลังจากนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะว่าอะไรหรือมีสีหน้าแบบไหน เพราะหลังจากพูดจบหูผมมันก็ดับไปเลย แล้วผมก็ไม่ได้อยู่รอฟังด้วย ผมรีบหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในหอด้วยความว่องไว ระหว่างที่เดินอยู่นั้นเสียงกระหึ่มทุ้มของเครื่องยนต์ก็ยังคงอยู่ จนผมเดินเข้ามาในตัวตึกแล้วนั่นล่ะเสียงของมันถึงค่อยๆเจือจางหายไป
_________
เอาน้ำตาลมาเสิร์ฟจ้าา