✧ แค่รักคุณ ✧ : แจ้งเกี่ยวกับการหยุดอัปนิยายเป็นการชั่วคราว [05/07/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✧ แค่รักคุณ ✧ : แจ้งเกี่ยวกับการหยุดอัปนิยายเป็นการชั่วคราว [05/07/2018]  (อ่าน 7130 ครั้ง)

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************






✧ แค่รักคุณ ✧ 



Since you've been around
I smile a lot
more than I use to.


 



 



CHAPTER 0





.

.

.

.


“ไอ้รัก!กี่โมงแล้ววะ”

“สี่โมงสี่สิบห้าแล้ว”

“แม่งเอ้ยยย หัวร้อนโว้ยยย”

“กูยังไม่ลงสีเลยอ่ะมึงงง”

“เห้ย เนี๊ยบกุญแจรถมอไซน์อะ”

“อยู่บนโต๊ะอะ ฮืออ  มึงคอนเซปไรดีวะ”

               เสียงโอดครวญของเพื่อนทั้งสองดังแข่งกันจนน่าปวดหัว

               ผมรีบบึ่งไปหยิบกุญแจรถสกู๊ปปี้ของเนี๊ยบมาอย่างว่องไว เพราะกำหนดส่งงานใกล้เข้ามาแล้ว ขืนไม่รีบไปตอนนี้มีหวังโดนหักคะแนนแน่ๆ

“เต๋อ!เสร็จยัง เร็วๆ”

“ขอเขียนชื่อแปป”

“อ่ะ กูพอละจบ เท”

               ไอ้เนี๊ยบยัดม้วนกระดาษร้อยปอนด์ขนาดเอสองใส่มือผมแล้วก็ล้มตัวลงนอนแผ่บนพื้นอย่างหมดสภาพราวกับมันพึ่งผ่านสงครามโลกมาหมาดๆ

“กูเสร็จแล้ว ป่ะ!”

               เต๋อแกะเทปกาวออกจากกระดาษร้อยปอนด์ ก่อนจะพุ่งตัวมากลากผมให้ออกไปจากห้อง

               เราสองคนกระโดดขึ้นมอไซน์กันอย่างเร่งรีบชนิดที่เสียบกุญแจแทบจะไม่ถูกรูเพราะใจมันไปถึงคณะก่อนตัวแล้วตอนนี้ ใจก็อยากจะแบกมอไซน์ขึ้นหลังแทนให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยแต่ก็ลืมไปว่ามันไม่ใช่เรื่อง พอขับออกมาพ้นปากซอยก็ได้พบกับการจารจรที่ติดขัดแบบสุดๆ เวลานี้เป็นเวลาเลิกงานเลิกเรียนของใครหลายๆคน ทั้งพี่จารจรที่ร้อยวันพันปีก็ไม่เห็นโผล่ดันมาขยันทำหน้าที่วันนี้ซะได้

“แม่งเอ้ย มาโบกให้หยุดไรตอนนี้วะ”

               เสียงโอดครวญของเต๋อดังขึ้นมาจากด้านหลังไม่หยุดหย่อน

              ทำเอาผมเริ่มที่จะหัวร้อนตามไปด้วยแล้ว

เพราะตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ!

“เกาะแน่นๆนะ”

               ผมเอี้ยวตัวไปบอกมันก่อนจะบิดมอไซน์ออกตัวอย่างแรงจนพี่จราจรหันมาเป่านกหวีดใส่ผมเสียงดังลั่นมอ

               พร้อมได้ยินเสียงบ่นยาวเยียดตามหลังมาอีกไม่น้อย

              นาทีนี้ต่อให้เอาช้างฉุดก็ฉุดไม่อยู่อ่ะ เดี๋ยวงานติดเลทขึ้นมาล่ะซวยเลย

               แต่ในขณะที่ผมแหกขบวนออกมากำลังจะตีโค้งเข้าวงเวียนก็มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งวนมาพอดี เสียงแตรของรถคันนั้นดังขึ้นพอดีกับที่รถมอไซน์ที่ผมขับไปขูดเข้ากับหน้ารถเขา เพราะตกใจและรีบอยู่แล้วเป็นทุนเดิมเลยทำให้ผมรีบบิดรถหนี

“โทษครับพี่ ผมรีบไปส่งงาน”

               ไอ้เต๋อมันพึ่งตั้งสติได้เลยหันไปตะโกนขอโทษขอโพยยกรถคันนั้นใหญ่ ก่อนที่มันจะหันมาด่าผมด้วยความหัวเสียไม่น้อย

“ไอ้รัก!เวรเอ๊ย รถพี่เขาเป็นรอยเลยมึง”

               เออ ฟังจากเสียงก็รู้แล้ว

“เออน่า เดี๋ยวส่งงานเสร็จแล้วค่อยมาเคลียร์”

“กูว่าไม่ต้องรอแล้ว เขาขับตามมึงมาละเนี่ย!”

               ผมลองลอบมองกระจกหลังจามที่เต๋อมนับบอก…เห้ย เขาตามมาจริงด้วยอ่ะ

               เอาเหอะ ทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบล่ะงานนี้

               เมื่อถึงทางเลี้ยวแยกไปคณะผมก็เปิดไปเลี้ยวซ้าย รถคันนั้นก็เปิดตาม พอไปถึงบริเวณหน้าคณะของผมก็เห็นพวกเพื่อนๆกำลังวิ่งกันจ้าละหวั่นบางคนรองเท้าก็ไม่ใส่ บางคนวิ่งไปทั้งๆที่ใส่หมวกกันน็อคก็มี เพราะนี่ก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงสามนาทีก็จะถึงกำหนดส่งงานแล้ว

               ผมจอดรถให้เต๋อลงตรงทางเข้าคณะ ส่วนตัวผมก็ไปหาที่จอดรถใกล้ๆแถวนี้รอมัน

ระหว่างที่ยืน จู่ๆรถคู่กรณีก็ตีไฟเลี้ยวมาจอดข้างฟุตบาทริมทาง รถเก๋งสีดำยี่ห้ออะไรผมก็ไม่มั่นใจนักเพราะรีบจนลืมหยิบแว่นมาด้วยอ่ะ หัวใจผมสั่นระรัวด้วยความกลัว ฝ่ามือเย็นเฉียบ แต่เหงื่อกลับผุดซึมขึ้นมาจนรู้สึกได้ว่าเสื้อนิสิตของตัวเองนั้นเปียกชุ่ม

               เขาดับรถแล้ว

               ทำไงดี ผมมุดดินหนีไปตอนนี้ทันไหมอ่ะ

              ยังไม่พร้อมเผชิญหน้าเลย

               หรือว่า..หรือว่าจะแกล้งเอ๋อดี

               ยังไม่ทันได้ตัดสินใจเลยว่าจะหนีหน้ายังไง เจ้าของรถก็เปิดประตูแล้วก้าวลงมายืนข้างๆตัวรถ เพราะระยะที่ไกลกันจึงทำให้ผมเห็นหน้าเขาไม่ชัดนัก แต่รู้ว่าเป็นผู้ชายผมยาวเลยบ่ามานิด ตัวเขาสูงเอาเรื่องเลยทีเดียว ส่วนสูงนั่นดูยังไงก็เกินร้อยเก้าสิบแน่ๆ เขาแค่เดินก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ข้ามถนนมาฝั่งที่ผมยืนอยู่ซะแล้ว

               ผมก้มมองพื้นทางเดินหน้าคณะทั้งๆที่ปกติแล้วไม่เคยคิดที่จะสนใจมันแม้แต่นิด เพียงไม่นานนักรองเท้าผ้าใบสีมอๆของใครสักคนมาจอดอยู่ตรงหน้า

“เมื่อกี้ขับรถมาชนรึเปล่า”

               เสียงทุ้มๆนั่นดังขึ้นอยู่เหนือหัว…แค่เสียงก็โคตรน่ากลัวแล้วอ่ะ

“เห้ย ถาม”

               เขาถามย้ำอีกครั้ง ทำเอาผมสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ

               ผมรวมรวบความกล้าเงยหน้าขึ้นไปมองกับคู่สนทนา

               โห...ตัวสูงจัง

“ครับ ใช่ครับ”

               ตอบได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้นก็ต้องหันไปมองทางอื่น ไม่กล้าสบตาตรงๆเลย เพราะเขาหน้าดุมาก

              แต่ก็ถือว่าเป็นผูัชายที่หน้าตาดีทีเดียว ใบหน้าคมสัน ผมสีดำยาวเลยบ่ามานิดถูกมัดรวบไว้ครึ่งหัว แอบมีตอหนวดเขียวๆขึ้นด้วยล่ะ ที่สำคัญตรงบริเวณหางคิ้วซ้ายของเขามีจิวกลมๆสีเงินอันนึงเจาะยึดไว้อยู่ ส่วนตรงมุมริมฝีปากข้างเดียวกันนั้นก็ถูกเจาะด้วยห่วงเงินเล็กๆห่วงนึง ไม่ได้ดูเถื่อนอะไรเลย กลับกันมันทำให้คนตรงหน้าผมเท่ห์เป็นบ้า

"จะรับผิดชอบยังไง” เขาถามเสียงเรียบๆไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ แต่บอกตามตรงเลยว่าทำผมรู้สึกว่าโคตรกดดัน

               ผมพยายามมองหาเต๋อหวังจะให้มันเข้ามากู้สถานการณ์ แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาโผล่มา เลยต้องก้มหน้ารับชะตากรรมต่อไป

“ผม…ผมขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจ พอดีต้องรีบมาส่งงานก็เลย..”

               พูดไปก็รู้สึกผิดขึ้นมา ไม่น่ารีบฝ่าพี่จราจรออกมาเลย

“จะรับผิดชอบยังไง”

               เขาถามย้ำอีกหน โดยไม่สนใจคำแก้ตัวของผมสักนิด

“ให้ผมรับผิดชอบยังไงก็ได้ครับ แต่ถ้าจะต้องเสียเงิน ผมขอผ่อนจ่ายได้ไหมพี่ ผมไม่มีเงินอ่ะ”

               สายตาดุๆในความรู้สึกของผม มองกลับมาจนต้องรีบเขยิบตัวออกห่างเพราะกลัวจะโดนฟาดเอา คนตัวสูงตรงหน้าทำเพียงแค่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่คล้ายจะปลงตกสุดๆ

ก็ช่วยไม่ได้นี่ ผมเป็นแค่นักศึกษาแถมยังพึ่งขึ้นปีหนึ่งเอง ทุกวันนี้ยังขอเงินป๊ากับแม่ใช้อยู่เลย ถ้าจะโทรไปบอกที่บ้านว่าได้ก่อเรื่องไว้ขนาดนี้มีหวังโดนด่ามาทางโทรศัพท์จนหูชาแน่ ฉะนั้นอ่ะ การผ่อนจ่ายดีสุดแล้วตอนนี้

“เรียนถาปัตย์ใช่ไหม? สาขาอะไร”

 ผมงงกับคำถามเขานิดหน่อย แต่ก็ต้องจำใจตอบไปเพราะผมรู้สึกกลัวเขามากๆ

               คนอะไรตาโคตรดุเลย

“เออาร์ครับ”

“ปีไหน”

“หนึ่งครับ”

“ชื่ออะไร”

“รักครับ”

“ชื่อจริง”

“รักคุณครับ”

               พอบอกชื่อจริงๆไปเขาก็ดูอึ้งอยู่ไม่น้อย คิ้วข้างที่ถูกเจาะเลิกสูงขึ้นนิดหน่อยด้วยความแปลกใจและเหมือนจะงงว่าชื่ออะไรของมันวะ พี่ไม่ต้องงงหรอก ผมก็งงไม่ต่างจากพี่เท่าไหร่ อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมแม่ตั้งชื่อนี้ให้

"อืม"

               เขาตอบมาสั้นๆแค่นั้น ไม่ได้พูดอะไรต่ออีกจนผมต้องเป็นฝ่ายถามเขาแทน

"แล้วค่าซ่อมเท่าไหร่เหรอครับ"

"ไว้รู้ค่าใช้จ่ายแล้วจะมาบอก"

               ผมพยักหน้ารับรู้ แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าแล้วจะติดต่อกันยังไงล่ะเนี่ย

"ผมว่าเราแลกเบอร์กันไว้ดีไหมครับ จะได้ติดต่อกันได้สะดวก"

               พี่เขาดูจะชะงักไปนิด ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงยื่นมาให้ ผมเลยจัดการเมมเบอร์ตัวเองลงไปพร้อมกับใช้เครื่องเขาโทรเข้ามาโทรศัพท์ผมแค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว

"แล้วพี่ชื่ออะไรเหรอครับ"

"ชาญ"

"โอเคครับ...พี่ชาญนี่เบอร์ผมครับ "

               ผมยื่นโทรศัพท์คืนเขาไป พี่ชาญพยักหน้ารับนิดหน่อยก่อนจะเดินกลับไปที่รถแล้วขับออกไปจากหน้าคณะผม

               เห้อออ หลังจากนี้ผมคงต้องเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้ผ่อนค่าซ่อมรถให้เขาซะแล้ว

               อยู่ดีไม่ว่าดี ไม่น่าแหกด่านพี่จราจรมาเลยอ่ะ

               ซวยชะมัด





__________________________________________________________________



สวัสดีค่ะ แว้บเอาอินโทรเรื่องใหม่มาแปะไว้ หุหุ

เนื่องจากวันนี้เป็นวันแห่งความรักเลยถือโอกาสเปิดตัว'แค่รักคุณ'ไปด้วยเลย

อยากจะลองแต่งแนวมหาลัยฟีลกู๊ดดูสักเรื่อง

พล็อตธรรมดาๆในชีวิตประจำนี่แหละค่ะ เรื่อยๆสบายๆ 




Happy Valentine's day  :L2: :กอด1:

#แค่รักคุณ


 pppunmile


 





Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2018 19:42:13 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ✧ แค่รักคุณ ✧ : CHAPTER - 0 : 14 Feb 2018
«ตอบ #1 เมื่อ14-02-2018 23:16:30 »

เป็นรุ่นพี่ที่คณะหรือเปล่านะ

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
Re: ✧ แค่รักคุณ ✧ : CHAPTER - 0 : 14 Feb 2018
«ตอบ #2 เมื่อ15-02-2018 00:32:54 »

เป็นรุ่นพี่ที่คณะหรือเปล่านะ

ไม่ใช่ค้าบบบ อันนี้จินตนาการล้วนๆเลยย :hao7:
ในคณะนี่หาคนหล่อๆแบบพี่ชาญไม่มีหรอกค่ะ
เลยต้องนิมิตเอาแบบนี้ เศร้ามากกก :hao5:  :hao5:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ✧ แค่รักคุณ ✧ : CHAPTER - 0 : 14 Feb 2018
«ตอบ #3 เมื่อ15-02-2018 08:08:32 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
Re: ✧ แค่รักคุณ ✧ : CHAPTER - 0 : 14 Feb 2018
«ตอบ #4 เมื่อ15-02-2018 09:22:20 »

มีวี่แววว่าจะน่าติดตามอ่าน

รอนะคะ

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: ✧ แค่รักคุณ ✧ : CHAPTER - 0 : 14 Feb 2018
«ตอบ #5 เมื่อ15-02-2018 09:53:48 »

จุดประทัดบวกและเป็ดแด่น้องรักคุณ
เหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้เค้าบอกจะได้แฟนนะ กิ๊วๆ
ชูป้ายไฟเชียร์ พี่ชาญๆๆๆ
 :mew3:

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
✧ ข้อตกลง ✧

.

.

.


   ชีวิตนักศึกษาในรั้วมหาลัยไม่ได้สนุกและสวยงามอย่างที่ผมวาดฝันเอาไว้เลยสักนิด เพราะเปิดเทอมได้ไม่ทันไรก็โดนอาจารย์รับน้องโดยการสั่งงานกองเท่าภูเขาซะแล้ว นึกไม่ออกเลยว่ากว่าจะเรียนจบปีห้าสภาพของผมจะเป็นยังไง นี่แค่เดือนเดียวที่เข้ามาเรียนในคณะนี้ ผมก็โต้รุ่งไปหลายวันแล้ว กาแฟและเครื่องดื่มชูกำลังที่เมื่อก่อนไม่คิดจะแตะก็ต้องกินวันละขวดสองขวด ไม่งั้นล่ะก็ไม่มีแรงที่จะลุกไปเรียนแน่

   ล่าสุดอาจารย์ก็แจกใบโปรแกรมสเกตดีไซน์ตอนบ่ายโมงแต่กำหนดส่งงานคือห้าโมงเย็น ผมกับเพื่อนๆต้องเดือดปั่นงานกันแทบลุกเป็นไฟ

   เพราะถ้าไปส่งช้ากว่าเวลาที่กำหนดแม้แต่นาทีเดียวล่ะก็ถือว่าส่งเลท

   แถมยังโดนหักคะแนนไปแล้วห้าสิบเปอร์เซ็นต์ซึ่งนั่นมันเป็นอะไรที่เลวร้ายสุดๆสำหรับผม พึ่งเข้าปีหนึ่งได้ไม่ทันไรก็ส่งงานเลทซะแล้ว ถ้ารู้ถึงป๊ารู้เข้าคงโดนบ่นจนหูชาแน่ๆ

   โชคดีที่บุญเก่าผมยังเหลือเก็บ แว๊นมอไซน์ไปส่งได้ทันเวลาพอดี

   แต่ก็มีเรื่องสุดซวยเกิดขึ้นตามมาเหมือนกัน

   เพราะในระหว่างที่เร่งรีบไปส่งงานนั้นผมดันฝ่าพี่จราจรตรงทางแยกจนทำให้รถของผมไปเฉี่ยวกับหน้ารถเก๋งอีกคันอย่างจัง โชคดีที่ทั้งผมและเจ้าเต๋๋อไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่รถคู่กรณีนี่สิ สีตรงบริเวณบังโคนหน้ารถเป็นรอยขูดยาว ดูไม่จืดเลยทีเดียว

   ผมได้เจรจาและแลกเบอร์กับเจ้าของรถไว้เพื่อแสดงความรับผิดชอบ แต่นี่ก็ผ่านมาจะเกือบอาทิตย์แล้วทางฝั่งนั้นก็ยังไม่มีวี่แววที่จะติดต่อกลับมาเลยด้วยซ้ำ ส่วนผมก็กินไม่ได้นอนไม่หลับจนเพื่อนๆเครียดไปด้วย เพราะดูจากร่องรอยที่หน้ารถของเขาแล้วค่าเสียหายคงจะไม่ใช่น้อยๆแน่ เรื่องนี้ผมยังไม่กล้าโทรไปบอกที่บ้าน ขืนแม่รู้เข้าล่ะก็มีหวังโดนด่าจนหูอื้อแน่ๆถ้ารู้วีรกรรมของผม

“เห้ยรัก เหม่อไรวะ”

   เสียงของเต๋อดึงผมให้หลุดออกมาจากภวังค์ มันวางจานข้าวสองจานที่ซื้อมาจากร้านใต้คณะลงบนโต๊ะ พร้อมเลื่อนจานที่มีอาหารที่ผมฝากมันไปซื้อมาไว้ตรงหน้า

   ผมก้มมองลงจานข้าวของตัวเองแล้วก็อดที่จะทอดถอนหายใจออกมาไม่ได้

   เพราะบ่ายนี้พวกผมมีงานที่จะต้องทำบนสตู เลยต้องจำใจกินข้าวที่คณะไปก่อนเพื่อประหยัดเวลาและความสะดวก…ต้องจำใจกินจริงๆนะ ข้าวร้านนี้โคตรจะไม่อร่อย แต่มีอยู่ร้ายเดียวด้วยทั้งคณะเนี่ย เลยต้องทนกินๆไป

“เปล่า...แล้วเนี๊ยบอ่ะ”

   ผมถามอย่างสงสัย เพราะไม่เห็นเพื่อนอีกคน

“ยืนคุยกับพี่ปีสี่อยู่นู่น”

   เต๋อพยักเพยิดหน้าไปที่คอร์ดกลางของคณะ ผมเลยมองตามไปก็ได้เห็นว่าเนี๊ยบมันยืนคุยอยู่กับรุ่นพี่ผู้ชายคนนึง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นพี่ในสายรหัสมันนะ

   พอได้คำตอบก็หันกลับมาทวงของอีกอย่างที่ผมได้ฝากเต๋อซื้อ

“แล้วไหนชาที่ฝากซื้ออ่ะ”

“อ่ะ เอาไป แดกไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นอร่อย”

   มันบ่นนิดหน่อยก่อนจะส่งแก้วชามาให้ผม…ชาจริงๆ ไม่ใช่ชาเย็นหรือชานม แต่คือชาที่ชงแล้วเอาใส่น้ำแข็งเพียวๆเลย ไม่ใส่น้ำตาลหรือไซรัปอะไรทั้งนั้น รสชาติจืดสนิทแถมยังขมเฝื่อน แต่ผมชอบมากๆ โดนเพื่อนบ่นตลอดว่ากินเข้าไปได้ยังไง…ทำไมอ่ะ อร่อยออก

“ขอบใจ”

   ผมควักเงินค่าน้ำและค่าข้าวออกมาคืนให้เต๋อก่อนจะก้มหน้ากินข้าวในจานตัวเองต่อไป

   ผัดกะเพราะไก่ที่มีแต่หนังไก่…ถั่วฟักยาว…แถมแครอทมาด้วย

   ถือเป็นความเลวร้ายของวงการผัดกะเพราก็ว่าได้..

   นั่งเขี่ยๆเล็มๆไปจนข้าวพร่องไปครึ่งจานก็อิ่มตื้อจนไอ้เต๋อต้องดึงจานของผมไปกินต่อจนหมด

“กินข้าวไม่หมดอีกแล้วนะมึงนี่”

“ก็อิ่มแล้วอ่ะ”

   ความจริงคือมันไม่อร่อยต่างหากเล่า

   ไม่รู้เพื่อนของผมมันกินหมดไปได้ยังไงตั้งสองจาน โดยที่ไม่เหลือข้าวแม้แต่เม็ดเดียว ไม่แปลกใจเลยทำไมเต๋อมันถึงได้ตัวโตขนาดนี้

   ในระหว่างที่กำลังฟังเต๋อบ่นเรื่องนิสัยการกินของผมอยู่นั้น เนี๊ยบก็เดินกลับเข้ามาที่โต๊ะพอดี มันเลยหันไปสนใจอีกคนแทนที่จะบ่นผมต่อ...นี่อยู่ไกลจากป๊าขนาดนี้ยังมีตัวแทนมานั่งบ่นผมฉอดๆๆทุกวี่ทุกวัน เฮ้ออ

“มึงคุยอะไรกับพี่เขาวะเนี๊ยบ” เต๋อถาม

“อ๋อเปล่า แค่ปรึกษาเรื่องงานตอนบ่ายนี้นิดหน่อย”

   พวกผมสองคนพยักหน้ารับกลายๆ แต่เสียงทักของอีกคนก็ดึงความสนใจของผมกลับมาซะก่อน

“เออ ไอ้รัก”

“อือ ว่าไง”

“พี่สายกูเขาพูดถึงมึงด้วย”

   ผมหันไปมองหน้าเนี๊ยบอย่างสงสัยไม่น้อย

   พี่สายรหัสมัน? พูดถึงผมเนี่ยนะ??

“พี่เขาถามว่ากูรู้จักน้องรักคุณเออาร์ปีหนึ่งไหม กูก็เลยบอกเขาไปว่ามึงกับกูเป็นเพื่อนกัน แค่นี้แหละไม่มีอะไร”

“พี่เขาถามทำไมอ่ะ”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ งงเหมือนกันเนี่ย นอกจากเรื่องที่ขับรถกูไปเสยหน้ารถใครเขา มึงได้ไปก่อเรื่องอะไรที่ไหนอีกไหมวะ”

   ผมส่ายหน้ารัวแทนคำตอบ ก็หลังจากเหตุการณ์นั้นมาผมแทบไม่ได้แตะรถมอไซน์เลย ไม่ว่าไปเรียนหรือไปข้างนอกก็จะขอติดรถไปกับเพื่อนสองคนนี้ตลอด จะไปก่อวีรกรรมอะไรกับใครที่ไหนได้อีกเล่า

“สงสัยคนอื่นมั้ง”

“แหมมม รักคุณณณ ชื่อแบบมึงเนี่ยมีคนเดียว”

   เพราะทนเสียงกระแนะกระแหนของเพื่อนตัวเองไม่ไหว ผมเลยดึงเอาหลอดในแก้วน้ำของตัวเองขึ้นมาสะบัดใส่เนี๊ยบจนมันร้องโวยวายออกมาเสียงดังลั่น

“สงสัยไอ้รักเห็นว่ามึงไม่ชอบอาบน้ำ มันเลยช่วยสงเคราะห์ให้”

   เสียงหัวเราะอย่างสะใจของเต๋อดังขึ้นจนเนี๊ยบต้องตบหัวมันไปทีแล้วสองคนนั้นก็ทะเลาะกันยุ่งเหยิงไปหมด จนคนที่นั่งกินข้าวอยู่โต๊ะระแวกนั้นต้องหันมามอง ผมจึงปลีกตัวออกมาเพื่อที่จะเอาจานข้าวไปเก็บให้เรียบร้อยและจะได้แวะซื้อกระดาษไปทำงานด้วยเลย

   วันนี้คนในร้านเครื่องเขียนใต้คณะไม่ค่อยจะเยอะเท่าไหร่นัก เลยไม่ต้องยืนต่อแถวเพื่อรอซื้อของ ถ้าเป็นวันที่ผ่านๆมานะครับ โห ต่อแถวกันแทบจะเป็นกิโล ทำให้ต้องขับรถออกไปซื้อร้านข้างนอกอยู่บ่อยครั้งเพราะกลัวจะทำงานส่งไม่ทันกัน

“ร้อยปอนด์เอสาม สามแผ่นครับ”

   ผมสั่งของที่ต้องการกับพนังงานที่นั่งประจำการอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ เขาพยักหน้ารับเนือยๆก่อนจะลุกไปหยิบของที่ผมต้องการมาให้พร้อมคิดเงินให้เสร็จสรรพก่อนจะฟุบหน้าลงไปนอนอีกหนทำเอาผมง่วงตามไปด้วย...อากาศร้อนอบอ้าวในช่วงบ่ายแบบนี้เหมาะกับการนอนตากแอร์บนที่นอนนุ่มๆมากกว่าการไปนั่งทำงานบนสตูซะอีก อยู่บนนั้นอากาศก็ร้อนแถมยังหัวร้อนเพราะต้องทำงานส่งให้ทันเวลาอีก...แต่ก็สนุกดี ถือเป็นสีสันของชีวิต...มั้งนะ

   พอซื้อกระดาษเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินกลับไปที่โต๊ะเพื่อชวนเพื่อนๆให้ขึ้นไปทำงานกัน พวกมันสองคนพยักหน้ารับแล้วก็แบกเป้เดินตามมา

   ระหว่างทางที่เดินขึ้นไปบนสตูก็ต้องผ่านโถงของแต่ละชั้น ซึ่งบริเวณนี้จะมีม้านั่งตั้งไว้ให้คนได้นั่งพักผ่อน แต่คณะผมเนี่ยมันเป็นบริเวณที่สูบบุหรี่ดีๆนี่เอง ผมจึงต้องรีบเดินหนีไปให้พ้นๆ…อ่า จะว่ายังไงดี ผมไม่ถูกกับกลิ่นของบุหรี่มากๆ เพราะได้กลิ่นทีไรแล้วมันจะมึนหัวทุกที ผมพยายามกลั้นหายใจแล้วเดินหลีกเลี่ยงตามเคย แต่บังเอิญสายตาดันไปเห็นคนๆนึง ที่คุ้นตาเอามากซะก่อน เขา...คนนั้น

   ร่างสูงใหญ่ที่ดูโดดเด่นกว่ากลุ่มเพื่อน

   ผมยาวๆนั่นถูกมัดรวบไว้ครึ่งหัว พร้อมกับการแต่งกายที่แสดงให้เห็นว่าเป็นนักศึกษาของคณะนี้ แต่ดูจะไม่ถูกระเบียบเท่าไหร่นัก เพราะเชิ้ตขาวแขนยาวตัวนั้นถูกพับขึ้นมาจนถึงศอกช่วงล่างสวมกางเกงยีนส์สีซีดและรองเท้าผ้าใบสีมอๆ

   เขานั่งสูบบุหรี่อยู่เงียบๆไม่ได้สนทนากับใครในขณะที่คนรอบกายนั้นพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน วันนี้ผมใส่แว่นสายตามาด้วยเลยสามารถสังเกตเห็นได้ในระยะนี้

   แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวว่ามีคนมองอยู่ ดวงตาดุคู่นั้นเลยตวัดมองมาทางผมจนหลบสายตาแทบจะไม่ทัน ทำให้เพื่อนๆเขาที่นั่งอยู่บริเวณนั้นหันมามองตามไปด้วย

   เล่นเอาทำตัวไม่ถูกเลย

   เมื่อตั้งสติได้ผมจึงรีบก้มหน้าเดินขึ้นบันไดโดยไม่แม้แต่ที่จะมองกลับไปทางนั้นอีก ก่อนจะเร่งความเร็วของฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนเพื่อนทั้งสองคนตามมาแทบจะไม่ทันกัน

“ไอ้รัก วิ่งทำไมวะ หนีอะไร”

   เนี๊ยบยืนหอบแฮ่กอยู่หน้าประตูทางเข้าสตู ตามมาด้วยเต๋อที่สภาพไม่ต่างกัน ทั้งสองคนโกยอากาศเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตาย และด้วยความที่ทั้งคู่ตัวใหญ่กว่าผมพวกมันเลยดูเหนื่อยมากกว่า เหงื่อผุดซึมออกมาจนเสื้อนิสิตเปียกโชก ผมเลยช่วยพวกมันโดยการยืนเอากระดาษพัดไล่ไอความร้อนให้ อยากจะขำแต่ก็สงสารเพื่อน ใครใช้ให้พวกมันบ้าจี้วิ่งตามผมกันเล่า

“เหม็นบุหรี่ เลยรีบเดินหนีมา”

   โกหกคำโตออกไปซะแล้ว มันใช่ซะที่ไหนกันห่างหลายเมตรขนาดนั้นจะได้กลิ่นได้ยังไง

“เออรัก มึงได้ไปทำอะไรให้พวกพี่เขารึเปล่าวะ” จู่ๆไอ้เต๋อถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ห้ะ?ใคร”

“ก็ที่เขานั่งสูบบุรี่กันอยู่ชั้นสามอ่ะ กูเห็นพี่คนนึงเขามองตามมึงจนสุดสายตาเลย มึงไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกบอกกูมา”

   เต๋อไล่จี้ถามผมจนไม่มีช่องว่างให้แทรกได้อธิบายอะไรได้เลยแม้แต่น้อย พอกำลังจะอ้าปากพูดไอ้เนี้ยบก็เข้ามาเสริมจนผมต้องหุบปากฉับฟังพ่อคนที่สองและสามบ่นต่อไป

“นี่คดีเก่ามึงยังไม่เคลียร์ ไปสร้างเรื่องไว้อีกแล้วเหรอเนี่ย”

“พอเลยๆทั้งคู่ กูไม่ได้ไปทำอะไรมาทั้งนั้นแหละ”

“อ้าว”

“ก็พี่คนนั้นเขาเป็นเจ้าของรถคันที่กูไปขับเฉี่ยวรถเขาไง”

“ห้ะ!”

   เสียงอุทานตกใจของไอ้เนี้ยบดังขึ้นซะจนเพื่อนๆในสตูหันมามองเป็นตาเดียว ผมกับเต๋อเลยต้องลากมันออกมายืนอยู่หน้าห้อง เพราะเดี๋ยวเสียงจะไปรบกวนคนอื่นๆเข้า

“มึงตกใจทำไมวะ” เต๋อถาม

“นั่นดิ เนี้ยบชอบโวยวายอะ” ผมเหน็บแนมตามไปอีกหนเลยโดนไอ้เนี้ยบผลักหัวจนเซ

“นี่พวกมึงไม่รู้เหรอว่าพี่เขาเป็นใคร” มันมองมาที่พวกผมสองคนด้วยสายตาที่ทำให้รู้สึกว่าโคตรโง่เลยที่ไม่รู้จักพี่คนนั้นของมัน

“ไม่อ่ะ” ผมกัเต๋อส่ายหน้าปฏิเสธ

“พี่เขาชื่อชาญ อยู่ปีสี่ สาขาเรานี่แหละ และที่สำคัญ”

   อ้าว…อยู่คณะเดียวกันซะด้วยแฮะ

“…”

“พี่เขาเป็นประธานรุ่นด้วย”

“ห้ะ!” คราวนี้เป็นไอ้เต๋อซะเองที่ดูตกใจขึ้นมาบ้าง

   ประธานรุ่น? แล้วยังไงต่อ ทำไมต้องตกใจกันด้วยเล่า

 ถึงเป็นคณบดีผมก็ไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อมรถให้เขาอยู่ดีอ่ะ

“ซวยแล้วมึง ไอ้รัก”

“ซวยตรงไหนอ่ะ” ผมถามเต๋ออย่างสงสัย

   มันจะซวยตรงไหนก็แค่เป็นประธานรุ่นเอง

“เอ้า ก็เย็นเนี้ย รุ่นพี่ปีสี่เขานัดเข้าคลาส มึงไม่กลัวโดนพี่ชาญเล่นมึงเหรอวะ”

“แล้วเกี่ยวกันตรงไหนอ่ะ”

   ผมงงกับไอ้เต๋อมากๆ ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกัน เรื่องที่ผมไปชนรถเขาก็ส่วนนึงดิ มันเกี่ยวอะไรกับการเข้าคลาสเนี่ย

“มึงจะห่วงอะไรมันวะเต๋อ พูดเหมือนเพื่อนมึงเป็นเด็กกิจกรรมนัก”

   ผมส่ายหน้าและถอนหายใจให้กับความคิดสุดล้ำของเพื่อนทั้งสองคน สงสัยพวกมันคงดูซีรีย์ที่มีระบบโซตัสเยอะเกินไปแน่ๆ ถึงคิดได้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้ ขนาดผมเป็นคนก่อเรื่องแท้ๆยังไม่คิดเป็นตุเป็นตะเท่าพวกมันเลยเนี่ย และอีกอย่างก็ถูกของเนี้ยบมันที่ว่าผมไม่ใช่เด็กกิจกรรม แต่จะกิจกรรมไม่กิจกรรมแล้วยังไง ถึงจะไม่เข้าคลาสถ้าเขาคิดจะมาหาเรื่องผมก็คงจะทำไปนานแล้ว

   ดูอย่างเมื่อกี้สิ เจอกันจะๆขนาดนั้นผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะลุกขึ้นเดินมาหาหรือมีท่าทีคุกคามอะไร แต่ก็ใช่่ว่าผมจะสบายใจอะไรเลยนะ อดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันเพราะโดนไปขนาดนั้นเขาไม่มีท่าทีเดือดร้อนหรือโมโหให้ผมเห็นเลยแม้แต่น้อย

“เอาเหอะ ไปทำงานกันได้แล้ว พวกมึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า”

   ผมรีบพูดตัดบทออกไปก่อนที่พวกมันสองคนจะเวิ่นเว้อไปมากกว่านี้ เต๋อกับเนี้ยบเดินตามหลังผมเข้ามาในสตูพร้อมเสียงบ่นงึมงำๆเหมือนหมีกินผึ้งของพวกมันสองคนว่าร้อนอย่างนู้นอบอ้าวอย่างนี้ แต่แล้วเสียงบ่นก็เงียบลงเมื่อทุกคนนั่งลงที่โต๊ะเขียนแบบประจำตัวก่อนจะจมดิ่งลงสู่ห้วงสมาธิของใครของมัน

   ผมเริ่มคิดงานและเสียบหูฟังเพื่อฟังเพลงไปด้วย เสียงเพลงดังคลอเบาๆในบรรยากาศยามบ่ายทำให้ผมจมจ่อมกับงานตรงหน้าจนลืมสนใจสิ่งรอบข้าง

   

   ระหว่างที่กำลังนั่งลงสีงานจู่ๆประตูสตูั่งที่ผมนั่งก็เปิดออกจนทุกๆคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับงานต้องหันไปมอง ยกเว้นผมที่ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่ากระดาษตรงหน้า

   ลงสีตรงนี้อีกนิดก็เสร็จแล้ว

   ได้ยินเสียงพวกผู้หญิงกรี๊ดกันมาเป็นระยะทำให้ผมต้องเพิ่มเสียงของเพลงให้ดังขึ้นอีกนิดเพื่อตัดเสียงน่ารำคาญเหล่านี้ออกไป แต่แล้วทุกอย่างก็เงียบลง โอ...ขอบคุณมากครับเงียบสักที

   แต่ในระหว่างนั้นหางตาของผมก็สังเกตเห็นเงาของคนๆนึงมายืนอยู่ข้างโต๊ะเขียนแบบ จนไอ้เต๋อที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้กันต้องสะกิดเรียก

“รัก” ผมหันไปมองหน้ามันพร้อมกับดึงหูฟังออกจากหู

   มันไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้าไปอีกทางที่คนๆนั้นยืนอยู่ ผมเห็นมันยักมือขึ้นไหว้ด้วย แล้วก็หันกลับไปลงสีงานตัวเองต่อ

   อะไร…เจ้าที่เหรอ...

   พอหันไปมองตามก็พบว่าไม่ใช่อย่างที่คิด ไม่ใช่เจ้าที่หรือผีที่ไหน…แต่เป็นคู่กรณีของผมเองแหละ

   ตัวสูงใหญ่ของเขายืนอยู่ข้างโต๊ะเขียนแบบของผมด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งเหมือนเดิมและใบหน้านั้นก็ยังคงความดุไว้เหมือนเดิมด้วย

“สวัสดีครับ”

   ผมยกมือขึ้นไหว้ไปตามมารยาท เขาพยักหน้ารับนิดหน่อย ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นมา ผมสังเกตได้ว่าตอนนี้สตูของผมมันเงียบผิดปกติ ทุกๆคนดูเหมือนจะตั้งใจทำงานของตัวเองกัน แต่ผมรู้สึกเหมือนเพื่อนๆกำลังตั้งใจฟังบทสนทนาของผมกับเขาซะมากกว่า

“ส่งงานกี่โมง”

“ห้าโมงครับ”

   เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู แล้วก็พูดต่อ

“จะรออยู่ร้านกาแฟหน้าคณะ ส่งงานเสร็จแล้วลงไปหาด้วย มีเรื่องจะคุย”

   เขาพูดแค่นั้นแล้วก็เดินออกไปจากสตูโดยที่ไม่รอฟังคำตอบของผมเลยสักนิด ทิ้งระเบิดลูกโตไว้ให้ผมกู้ เพราะทันทีที่เขาออกไปพวกผู้หญิงทุกคนก็หันมามองผมเป็นตาเดียว

“รัก! รู้จักกับพี่เขาด้วยเหรอ” พวกผู้หญิงกรูกันมารุมอยู่ที่โต๊ะผม

“ก็…นิงนึงอ่ะ”

   ผมยิ้มแหยๆตอบไป…ส่วนรู้จักได้ยังไงอย่าถามเลยนะ

“รู้จักกันได้ไงอ่ะ” นั่นไง

“มันไปขับมอไซค์ไปชนรถพี่เขา” ไอ้เต๋อเป็นคนตอบแทนผมที่กำลังอึกๆอักๆเล่นเอาสาวๆเซ็งไปเป็นแถบ

   พวกเธอส่งเสียงออกมาอย่างเสียดายเพราะคงคิดว่าผมจะสนิทหรือเป็นสายรหัสกับเขามั้ง แล้วทุกๆคนก็แยกย้ายกันไปทำงานที่โต๊ะใครโต๊ะมันต่อเพราะอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะได้ส่งงานกันแล้ว

   บรรยากาศสิบนาทีสุดท้ายก่อนส่งเป็นอะไรที่บันเทิงมากเพราะจะได้ยินเสียงโหยหวนจากสตูของตัวเองและสตูข้างเคียง ทั้งเสียงกรี๊ดอย่างสติแตกที่งานยังไม่เสร็จและเสียงที่บอกฝากเพื่อนไปส่งงานกันเสียวุ่นวายไปหมด ส่วนผมงานเสร็จเรียบร้อยก่อนเวลาเลยเป็นคนเสนอตัวที่จะวิ่งลงไปส่งงานให้เนี๊ยบกับเต๋อ เพราะไหนๆก็จะแยกกันอยู่แล้วอีกอย่างพวกมันสองคนวิ่งช้ามากๆ ขืนรอไปส่งพร้อมกันมีหวังโดนหักคะแนนชัวร์

“แน่ใจนะว่าจะไม่ให้กูกับไอ้เนี้ยบไปเป็นเพื่อน” ไอ้เต๋อถามระหว่างที่มันกำลังแกะเทปกาวออกจากงานแล้วยื่นส่งให้ผม

“อือ ไม่เป็นไร ไปละนะ พรุ่งนี้เจอกัน”

   ผมอกลาเพื่อนทั้งสองก่อนจะเอาเป้ขึ้นมาสะพายบ่าและออกตัววิ่งลงไปส่งงานที่ชั้นสอง แต่ในขณะที่กำลังวิ่งลงตรงหัวมุมทางเลี้ยวบันได ก็มีใครก็ไม่รู้เดินสวนขึ้นมาพอดี เลยทำให้ผมชนเขาเข้าอย่างจัง เกือบจะหงายหลังแล้วถ้าเขาไม่ดึงผมเอาไว้

“เป็นอะไรไหมครับ”

“ไม่ครับ ขอบคุณครับ”

   ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองเขาสักนิด เพียงแค่กล่าวขอบคุณและออกตัววิ่งต่อ พอไปถึงหน้าห้องส่งงานก็เห็นอาจารย์ออกมายืนรอแล้วเลยรีบเอางานไปหย่อนลงกล่องก่อนที่จะหมดเวลาส่ง ฮู่ว แค่นี้ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันแฮะ

   เพราะเหงื่อที่เริ่มซึมออกมาทำให้เสื้อนิสิตผมชื้นเลยต้องเอาชายเสื้อออกมาไว้นอกกางเกงเพื่อระบายความร้อน

เลิกเรียนแล้ว ไม่เป็นไรหรอก

พอส่งงานเรียบร้อยแล้วผมเดินมุ่งตรงไปตามที่เขานัดหมายเอาไว้ซึ่งก็คือร้านกาแฟเล็กๆอยู่ตรงหน้าคณะของผม ร้านนี้เป็นร้านประจำของผมเลยแหละ ผมมักจะฝากเต๋อให้ซื้อชาจากร้านนี้ไปให้ แต่มีโอกาสเข้ามาเองอยู่แค่ไม่กี่ครั้งเพราะขี้เกียจเดินมาและอีกอย่างเต๋อมันมักจะอาสาไปซื้อให้ด้วยความเต็มใจทุกครั้ง จนหลังๆผมชักสงสัยว่าอะไรที่ทำให้มันขยันมานัก บางวันมันก็มาขลุกอยู่ร้านนี้ทั้งวันพอถามก็ดันเปลี่ยนเรื่องจนผมกับไอ้เนี้ยบขี้เกียจที่จะเซ้าซี้เลยปล่อยๆมันไป



มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4


เสียงโมบายที่ห้อยอยู่ดังขึ้นตอนที่ผมผลักประตูกระจกใสเข้าไป ในร้านเปิดเพลงคลาสสิกคลอเบาๆ กลิ่นเมล็ดกาแฟที่พึ่งคั่วสดๆหอบอบอวลไปทั่วร้านบวกแอร์เย็นฉ่ำที่คลายความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี สายตาผมไปสะดุดเข้ากับตู้กระจกใส ในนั้นมีขนมหน้าตาน่ากินหลายชิ้นถูกจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม

ผมตั้งใจไว้ว่าคุยธุระเสร็จจะแวะซื้อกลับไปกินที่หอสักสามสี่ชิ้น ยิ่งได้กลิ่นของเค้กเนยสดที่พึ่งถูกยกออกมามันยิ่งกระตุ้นความหิวของผมได้เป็นอย่างดี

แต่ก่อนที่ผมจะตาลายเพราะความหิวไปมากกว่านี้ ผมเลยเปลี่ยนไปมองหาคนตัวสูงๆนั่นไปทั่วร้านแทน แต่ก็ไม่เจอใครเลย พี่พนักงานผู้หญิงที่อยู่หลังเคาน์เตอร์เลยถามขึ้นมาว่ามีอะไรให้เธอช่วยไหม

“เอ่อ...คือ ผมมาหา..”

แต่พูดยังไม่ทันจบเสียงโมบายของร้านก็ดังขึ้นอีกหน ทำให้ผมและพี่ผู้หญิงต้องหันไปมองตามเสียงนั้น ก็ได้เห็นคนตัวสูงๆที่เกือบจะต้องก้มหัวเข้าประตูเดินถือถุงหิ้วร้านสะดวกซื้อเข้ามาในร้าน

เขาคนนั้น...

ยังคงใส่เสื้อนิสิตแขนยาวพับถึงข้อศอก กางเกงยีนสีซีด และรองเท้าผ้าใบสีมอๆคู่เดิม แต่บนตัวมีผ้ากันเปื้อนสีดำปักชื่อและโลโก้ของร้านไว้ตรงอกซ้าย

เขาทำงานที่ร้านกาแฟเหรอ?

ทำไมผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยล่ะ

“อ้าว ชาญกลับมาพอดี ขอบใจมากนะจ๊ะ”

เธอเดินเข้าไปช่วยหิ้วถุงพะรุงพะรังนั่นแล้วก็เดินกลับเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ แต่ก็ยังไม่วายหันมาพูดกับผมต่อ

“น้องนั่งรอในร้านก็ได้นะคะ”

“อ๋อ พอดีผมมาหาพี่เขาหน่ะครับ” 

ผมบอกเธอพร้อมกับชี้ไปทางคนตัวสูงที่ยืนหน้านิ่งอยู่ที่เดิม

เธอเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจพร้อมกับส่งยิ้มแปลกๆไปให้พี่ชาญ

“อ๋ออ มาหาชาญนี่เอง ตามสบายเลยนะ ลูกค้าไม่มีไม่ต้องรีบ”

พูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วก็หันตัวไปเก็บของเข้าตู้ต่อ

คนตัวสูงเดินเข้ามาแตะศอกผมเบาๆ แล้วพยักเพยิดหน้าไปที่โต๊ไม้ที่มุมของร้าน พร้อมกับบอกให้ไปนั่งรอเขาที่โต๊ะ ส่วนพี่ชาญก็เดินเข้าไปคุยอะไรกับพี่ผู้หญิงคนนั้นนิดหน่อย แล้วก็จัดการถอดผ้ากันเปื้อนพาดไว้ตรงเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินมานั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามผม

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เขาอีกครั้ง

   พี่ชาญพยักหน้ารับเหมือนอย่างเคย พอได้นั่งมองใกล้ๆแบบนี้ทำให้ผมเห็นได้ว่าสีหน้าของเขาดูอิดโรยอยู่ไม่น้อย สงสัยช่วงที่หายไปไม่ได้ติดต่อผมกลับมาก็คงเป็นเพราะเรื่องงานนี่ล่ะมั้ง เห็นพี่สายรหัสบ่นให้ฟังว่าช่วงนี้ปีสี่วุ่นกับการตรวจแบบจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนกัน

“เรื่องค่าใช้จ่าย ไม่ต้องแล้วก็ได้”

จู่ๆคนตรงหน้าก็พูดขึ้นมา สร้างความงุนงงให้ผมอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก่อนที่ผมจะเอ่ยปากถามอะไรออกไป ประโยคต่อมาของเขาทำให้ผมต้องเงียบปากลงไปอีกหน

“ไม่มีเงินไม่ใช่รึไง”

ผมพยักหน้ารับอย่างยอมรับความจริง แต่ก็อดสงสัยไม่ได้เงินก็ไม่น่าจะใช่น้อยๆทำไมพี่เขายกหนี้ให้ผมเร็วจัง

“แต่”

“…”

“ต้องมาช่วยงานกู แล้วก็งานที่ร้านแทน”   

“ห้ะ!”

   ผมเผลออุทานเสียงดังลั่นร้านจนเขาต้องส่งสายตาดุๆมามอง เลยทำให้ต้องรีบตะครุบปากตัวเองเอาไว้

   เดี๋ยวนะ ผมงงไปหมด เขายกหนี้ให้ผมแล้ว

   แต่เปลี่ยนจากที่ต้องชดใช้ด้วยเงิน เป็นชดใช้ด้วยแรงแทนงั้นหรอ

   มันยังไงล่ะเนี่ย

   แต่เอาเหอะ อย่างน้อยๆก็ดีกว่าต้องเสียเงินนั่นแหละ

“งานที่พี่พูดหมายถึงพวกงานโปรเจคพี่กับงานที่ร้านกาแฟนี้ใช่ไหมครับ”

   พี่ชาญพยักหน้ารับเพื่อยืนยันว่าใช่ ผมเข้าใจถูกแล้ว

   แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อพี่ผู้หญิงอีกคนก็เดินถือถาดแก้วน้ำสองแก้วมาที่โต๊ะพวกผม

“น้ำจ้ะ”

   เธอวางน้ำสองแก้วลงบนโต๊ะ แต่ก่อนจะเดินกลับก็ยังไม่วายใช้ถาดดันๆต้นแขนคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงหน้าผมคล้ายๆกับการหยอกล้อ

   จะว่าไปพี่เขาก็น่ารักดีครับไม่ได้สวยหรือน่ารักถึงขนาดพวกเดือนคณะ แต่ก็เป็นคนที่มองแล้วเพลินตามาก เวลาที่เธอยิ้มจะเห็นเขี้ยวเล็กๆด้วย หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เต๋อมันขยันมาร้านนี้บ่อยๆ

   ก่อนที่ความคิดของผมมันจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ มือใหญ่ๆของอีกคนก็เลื่อนแก้วชาเย็นมาไว้ตรงหน้าผม ส่วนตัวเขาก็หยิบแก้วชาอีกแก้วไปขึ้นไปกิน

ผมก้มลงมองน้ำในแก้วของตัวเองอีกหน

น้ำสีส้มนวลมีนมสดอยู่ชั้นบน น่ากินเลยทีเดียว เห็นว่าเป็นซิกเนเจอร์ของที่ร้านซะด้วย…แต่ดูท่ามันคงจะหวานน่าดู

ผมเผลอมองแก้วชาสีใสที่อยู่ในมือคนตรงหน้าตาละห้อย จะทำยังไงดี จะขอเปลี่ยนก็ดูเสียมารยาทแน่ๆเลย พี่ชาญดูดน้ำในแก้วไปนิดหน่อยละด้วย และเพราะกลัวเสียมารยาทผมเลยจำใจต้องดูดชาเย็นในแก้วนั้นไปนิดหน่อยก่อนจะวางแก้วน้ำลงที่เดิม

ฮืออ มันหวานมากอ่ะ

“ไม่อร่อยเหรอ” เขาถามขึ้นมาเพราะ เพราะสังเกตเห็นว่าผมจิบไปเพียงแค่นิดเดียว

“เปล่าครับ” ผมรีบปฏิเสธออกไปเพราะกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด “อร่อยมากครับ แต่คือ…ผมแค่ไม่ชอบกินน้ำหวานน่ะครับ”

   เอาวะ จะยอมโดนมองว่าเรื่องมากก็ได้ ก็คนมันไม่ชอบจริงๆนี่

   เขาพยักหน้านิดหน่อยเหมือนจะเข้าใจ ก่อนจะทำการเปลี่ยนแก้วให้ โดยที่เขาเอาชาเย็นแก้วของผมไปกินต่อส่วนแก้วชาใสๆแก้วนั้นก็ส่งมาให้ผมแทน

“โอ้ย!”

   เสียงร้องของพี่พนักงานผู้หญิงคนเดิมดังขึ้นมาจากเคาน์เตอร์ เรียกสายตาของผมกับพี่ชาญให้หันไปมอง เธอยิ้มแปลกๆแบบนั้นมาทางพวกผมอีกแล้ว ก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนวางไว้บนเคาน์เตอร์

“ชาญ มดมาจากไหนไม่รู้อ่ะ เดี๋ยวพี่ออกไปซื้อชอร์กขีดมดแปปนะ”

พอเธอเดินพ้นเขตร้านไปคนตรงหน้าผมก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันมาถามผมอีกครั้ง

“สรุปว่ายังไง”

“ครับ?”

“ข้อตกลง โอเคไหม”

“ได้ครับ ผมโอเค ไม่มีปัญหาครับ”

“งั้น…ไว้ถ้ามีงานจะบอก ส่วนที่ร้านมาช่วยแค่วันเสาร์อาทิตย์ก็พอ คนเยอะแค่สองวันนี้”

ผมพยักหน้าตอบรับข้อตกลง

ไม่แปลกใจเท่าไหร่นักกับข้อเสนอของเขา ที่พี่เขาจะให้ผมไปช่วยงานโปรเจคก็เป็นเรื่องธรรมดาของคณะเราอยู่แล้ว เคยได้ยินเพื่อนๆพูดกัยว่ารุ่นพี่ปีสูงๆหาน้องปีหนึ่งไปช่วยงานกันให้วุ่น เพราะปีสองกับปีสามก็งานยุ่งไม่ต่างกัน เหตุนี้ล่ะมั้งเลยทำให้เขาเปลี่ยนใจมาใช้แรงงานผมแทน

ส่วนงานที่ร้านกาแฟ ผมก็ไม่ได้ขัดเคืองอะไร ดีซะอีก ผมชอบกลิ่นกาแฟในร้านนี้มากๆ บรรยากาศร้านก็ดีหาอะไรทำฆ่าเวลาวันหยุดก็ดีเหมือนกัน

“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ พอดีต้องรีบกลับไปทำการบ้าน”

พี่ชาญพยักหน้ารับ แต่ก่อนที่ผมจะเดินออกมาจากร้าน เขาก็บอกให้เอาแก้วน้ำกลับไปด้วย

เกือบลืมไปเลย

ผมหันไปหยิบกระเป๋าตังในเป้เพื่อจะเอาเงินมาจ่ายค่าน้ำ แต่ก็โดนเขาห้ามเอาไว้ก่อน

“ไม่ต้องก็ได้”

“ไม่เป็นไรพี่” ผมตอบไปอย่างเกรงใจ ไปชนรถเขาแล้วยังให้เขาเลี้ยงน้ำอีมันใช่เรื่องซะที่ไหน

   แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจผมเลยสักนิดพี่ชาญเพียงแค่เดินกลับเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ก่อนจะก้มลงเก็บของต่อจากพี่คนนั้น

ผมเลยจำใจต้องเก็บกระเป๋าตังเข้าเป้ไป เอาไว้วันหลังค่อยหาโอกาสเลี้ยงข้าวเขาคืนก็ได้

“ขอบคุณครับ”

   พูดได้แค่นั้นแล้วก็เปิดประตูร้านออกมาเพ่ือที่จะเดินทางกลับหอ ก็ได้เจอกับพี่พนักงานผู้หญิงคนเดิม เธอนั่งอยู่ตรงม้านั่งหน้าร้าน และดูเหมือนว่าจะนั่งอยู่นี่นานแล้วด้วย

“อ้าว กลับแล้วเหรอคะ”

“ครับ” ผมส่งยิ้มให้เธอ

   พี่เขายิ้มรับก่อนจะเลื่อนสายตาลงมามองแก้วชาที่อยู่ในมือผมก่อนจะยิ้มแบบมีเลศนัยขึ้นมาอีกหน ก่อนจะหันเข้าไปมองทางร้าน ด้วยความสงสัยผมจึงหันไปมองตาม แต่แล้วสายตาก็ประสานเข้ากับสายตาดุๆคู่เดิมที่ดูเหมือนว่าเขาจะมองมาที่ผมอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว คราวนี้ก็เป็นฝ่ายผมอีกแล้วที่หลบตาก่อน

“งั้น...ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”

   ผมรีบหันหน้ากลับมาขอตัวกลับพร้อมบอกลาเธออีกครั้ง พีี่เขาไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่พยักหน้ายิ้มรับก่อนจะเดินกลับเข้าร้านไป

   



   แต่ในระหว่างทางเดินกลับหอผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้

   จริงสิ

   ผมลืมซื้อขนมกลับมากินด้วย

   แล้วก็เมื่อกี้

ตอนพี่ชาญเปลี่ยนแก้วน้ำกับผม

   เขาลืมเปลี่ยนหลอดให้ผมด้วยอ่ะ

      พอคิดได้แค่นั้นบริเวณริมฝีปากของผมก็ร้อนวูบขึ้นมาทันที ปลายนิ้วอีกข้างยกขึ้นมาจับปลายหลอดพลาสติกก่อนจะบีบมันอย่างลืมตัว จนปลายหลอดบี้แบนผิดรูปไม่เหลือเค้าเดิม

   บ้าเอ้ย...หรือผมจะแพ้กาเฟอีน

   เพราะตอนนี้ใจมันสั่นไม่หยุดเลย

   แถมยังร้อนวูบวาบที่ใบหน้าไม่หยุดเลย

   

   

   

   

   

   

____________________________



สวัสดีค่าาาา ฮืออออ หายหน้าไปนานเพราะติดโปรเจคและสอบค่ะ :z3:

ยุ่งมากมากกกก ขอโทษที่หายไปนานนะคะ :hao5:

 

เรื่องนี้พันไมล์อาจจะไม่ได้อัพบ่อยเพราะต้องสลับอัพกับอีกเรื่องค่ะ



เจอกันตอนหน้าค้าบบบบบ <3  :L2: :กอด1:

pppunmile

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ติดตามค่ะ น่าสนุก ^^

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
✧ เลม่อนทาร์ต ✧

.

.

.

          ผ่านมาแล้วสองวันที่ผมได้ร่วมทำข้อตกลงแรงงานกับพี่ชาญ หลังจากวันนั้นผมแทบจะไม่เห็นเขาอีกเลยไม่ว่าจะที่คณะหรือร้านกาแฟ บางทีอาจจะเป็นเพราะตารางเรียนที่ไม่ตรงกัน คณะที่ผมเรียนพอขึ้นปีสูงๆแล้วตารางเรียนก็จะลดน้อยลง แต่มาหนักที่งานและโปรเจคแทน เลยไม่ค่อยเห็นพวกรุ่นพี่โผล่หน้ามาที่คณะสักเท่าไหร่

               วันนี้ผมมีเรียนบ่าย แต่ตอนนี้พึ่งจะเที่ยงกว่าๆเอง ใต้คณะก็เต็มไปด้วยรุ่นพี่กำลังนั่งตรวจแบบกับอาจารย์อยู่เลยตัดสินใจจะเข้าไปนั่งรอเรียนที่ร้านกาแฟหน้าคณะแทน

               เสียงโมบายที่บานประตูดังขึ้นตอนที่ผมผลักเข้าไป กลิ่นหอมของกาแฟที่ผมชอบลอยเข้ามาปะทะจมูกทำให้ผ่อนคลายขึ้นเยอะ

“เอ้า น้องคนนั้น”

               เสียงของพี่พนักงานผู้หญิงคนเดิมทักขึ้นมาจากหลังเคาน์เตอร์ไม้

“หวัดดีครับ”

ผมยกมือขึ้นไหว้เธอตามมารยาท ก่อนจะเดินไปทางเคาน์เตอร์ของร้านเพราะเธอกวักมือเรียกผมให้เข้าไปหา แล้วก็ชี้ให้นั่งตรงบริเวณเก้าอี้ทรงสูงตรงหน้า

“นั่งนี่ๆ ดื่มอะไรหน่อยไหม”

“อ่า…เอาเป็น ชาซีโร่ครับ”

“กะแล้วเชียว”

               เธอยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วหันไปจัดการชงเครื่องดื่มตามที่ผมต้องการ

               ‘ชาซีโร่’ คือชื่อเครื่องดื่มแก้วโปรดประจำของผมเลย ฟังจากชื่อก็พอจะเดาได้แล้วว่าหน้าตาจะเป็นยังไง

               น้ำตาล…ศูนย์

               นม…ศูนย์

               ชาเพียวๆรสชาติขมเฝื่อน แต่กลิ่นหอมละมุนชวนให้สดชื่นทุกครั้งนี่แหละที่ทำให้ผมหลงรักในรสชาติจืดชืดแบบนี้

“ได้แล้วจ้า”

พี่พนักงานวางแก้วพลาสติกขนาดพอเหมาะไว้ตรงหน้าผม ด้านในถูกบรรจุด้วนชาสีส้มอ่อนโปร่งใส กลิ่นของตัวชาทำให้ผมต้องยกแก้วขึ้นมาสูดกลิ่นหอมอ่อนๆอย่างอดใจไม่ไหว ก่อนจะดูดน้ำรสชาติขมเฝื่อนๆในความคิดของใครหลายคนนั่นเข้าปาก…อร่อยชะมัดเลย

“เห้ย เงินไม่ต้องก็ได้”

               จู่ๆเธอก็ร้องห้ามตอนที่ผมกำลังจะหยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมาจ่ายค่าน้ำ

“จะดีเหรอครับ” รอบที่แล้วก็ไม่ได้เสียเงิน…ผมก็เกรงใจเป็นนะเนี่ย

“แค่นี้เอง ถือซะว่าเป็นค่าจ้าง”

               พี่เขายิ้มให้แล้วก็ยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อเห็นหน้างุนงงของผม ก่อนจะรีบอธิบายให้เข้าใจ

“ก็ชาญบอกน้องจะมาช่วยงานที่ร้านวันเสาร์อาทิตย์ใช่ไหม เห็นบอกต้องชดใช้หนี้อะไรกัน” เธอยกแขนเท้าคางลงบนเคาน์เตอร์แล้วมองมาที่ผม

               พูดก็พูดเหอะ...ผมโคตรเขินเลย ตอนนี้มันประหม่าไปหมด เหงื่อก็เริ่มซึมๆออกหลังแล้วด้วย

“อ่า..ครับ”

“โคตรหลอกเด็กอ่ะ”

หลังจากผมตอบไป ก็ได้ยินเธอบ่นอะไรงุบงิบๆคนเดียว แต่ฟังไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ แล้วเธอก็มองมาทางผมพร้อมกับส่งยิ้มใจดีมาให้อีกครั้ง

“แนะนำตัวก่อนเนอะ พี่ชื่อกวาง เป็นเจ้าของร้านนี้แล้วก็เป็นพี่สาวของชาญจ้ะ”

               ห้ะ?

               พี่กวางคงเห็นหน้าเอ๋อๆของผมเธอเลยหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

               พี่สาวพี่ชาญ?...หน้าไม่เห็นเหมือนกันสักนิดเลยอ่ะ

“หน้าไม่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ ไม่แปลกหรอก ใครก็ทัก ทั้งๆที่พ่อแม่เดียวกันแท้ๆนะเนี่ย”

               เธอพูดอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับจัดของบริเวณหน้าเคาน์เตอร์ไปด้วย

               ผมไม่ได้ตอบอะไรไปเพียงแค่พยักหน้าเบาๆเป็นเชิงตอบรับพร้อมกับแอบสังเกตเธอไปด้วยเงียบๆ

               พี่กวางไม่ได้จัดว่าเป็นคนที่สวยจัดจนต้องหันมามองเหมือนพวกเน็ตไอดอลในสมัยนี้ เธอตัวเล็กกว่าผมนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าเทียบกับผู้หญิงทั่วไปก็ถือว่าสูงเอาการ เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนสั้นประบ่า ตาคม ปากนิดจมูกหน่อย ที่สำคัญเวลาที่เธอยิ้มกว้างๆจะเห็นเขี้ยวเล็กๆสองข้างด้วยล่ะ ทำให้ดูเป็นผู้หญิงแสบๆคนนึง…น่ารักมากเลย

               แต่ถ้าสังเกตดีๆแล้วล่ะก็ พี่กวางมีส่วนคล้ายกับพี่ชาญอยู่เหมือนกัน ที่เห็นชัดๆคือส่วนสูงที่เกินร้อยเจ็ดสิบแน่ๆนี่ขนาดเป็นผู้หญิงนะเนี่ย ฉะนั้นถ้าน้องชายจะตัวสูงจนหัวเกือบจะชนวงกบประตูก็ไม่แปลกเลย

               เพราะพี่ชาญน่ะเขาตัวสูงมากจริงๆนะ ไม่ได้สูงแบบตัวผอมเก้งก้างด้วย ตัวหนาเอาการแต่ก็ไม่ได้ล่ำบึ้กถึงขั้นกล้ามปู มีกล้ามเนื้อสมส่วนพอดิบพอดีคล้ายคนที่ออกกำลังกายอยู่สม่ำเสมอ อยู่ใกล้เขาทีไรความภาคภูมิใจในสัดส่วนมาตรฐานชายไทยของผมหดหายทุกทีเลย

               ก็เขามันตัวโตเกินมาตรฐานเองอ่ะ...ผมไม่ผิดนะ

“ว่าแต่น้องล่ะชื่ออะไรคะ พี่ถามชาญเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมบอกอ่ะ”

               เธอบ่นอุบอิบออกมาพร้อมกับทำหน้าคล้ายจะเซ็งในตัวน้องชายของตัวเองมากก

               แต่เขาไม่ยอมบอกชื่อผมเหรอ?...ทำไมอ่ะ

“รักคุณครับ”

“ห้ะ?” พี่กวางอึ้งไปแล้ว…อีกรายแล้วล่ะที่ทึ่งกับชื่อผม

“ผมชื่อรักคุณครับชื่อจริง ชื่อเล่นก็ชื่อรักครับ”

               คราวนี้พี่กวางถึงขั้นร้องอ๋อ ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกับชมชื่อผมไปด้วยว่าน่ารักงู้นงี้ เข้าใจแล้วทำไมหวงนัก...อะไรอ่ะ ใครหวงใคร?

“เอ้อ น้องรัก ชอบกินขนมไหม”

               จู่ๆเธอก็เปลี่ยนเรื่องขึ้นมากะทันหันเพราะเห็นสีหน้างงงวยของผมทำเอาผมตามไม่ทันเท่าไหร่ แต่คำถามที่พี่กวางถามเมื่อกี้นี้ดึงความสนใจผมได้มากทีเดียว

               ขนมเหรอ…พยักหน้าตอบรับจนคอแทบเคล็ด

               ถึงจะเป็นคนที่ไม่ชอบกินน้ำหวานเอามากๆ แต่เรื่องนี้ขอเลย อะไรที่ขึ้นชื่อว่าขนมหวานนะผมกินไม่เว้น กินได้ทุกชนิดไม่ว่าจะไทยฝรั่ง เอามาเหอะ ซัดเรียบ

               เพราะรสชาติของขนมหวานๆ มันตัดกับรสขมเฝื่อนของชา ถ้าทานคู่กันล่ะก็มันเข้ากันได้ดีมากๆเลยนะ…เชื่อผมสิ

 “ชอบครับ”

ตอบไปสั้นๆ แต่หน้านี่พยักหน้ารัวจนพี่กวางหัวเราะออกมาอีกรอบ เธอบ่นอะไรงุ้งงิ้งๆอีกแล้ว ได้ยินแว่วๆว่าโคตรอยากบีบอะไรสักอย่างนี่แหละ

“พอดีว่าพี่ได้สูตรขนมมาใหม่ว่าจะลองทำดู เลยอยากหาคนมาช่วยชิมหน่อย”

“ว่างครับ” …ไหมอ่ะ แต่ว่างแหละ ต้องว่างสิ

“แล้วน้องรักเลิกเรียนกี่โมง”

“บ่ายสามครับ”

“โอเค…พี่น่าจะอบตัวแป้งทาร์ตเสร็จพอดี ไว้มาช่วยพี่ทำขนมด้วยเลย เดี๋ยวจะยกให้ทั้งชิ้น”

               ผมพยักหน้าตอบรับข้อตกลงก่อนจะขอตัวไปเรียนเพราะอีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะบ่ายโมงตรงแล้ว วิชานี้ขืนไปสายแม้แต่วินาทีเดียวล่ะก็โดนหักตั้งหนึ่งคะแนนแน่ะ

               ทันทีที่เข้าไปในห้องอาจารย์ก็เริ่มเช็คชื่อพอดีเลย ฮู่วว เกือบไปซะแล้ว ผมเดินเยื้องๆไปนั่งตรงแถวหน้าสุดเพราะวันนี้ดันลืมหยิบแว่นมา ข้างๆผมเป็นนิสิตชายคนหนึ่งเขาสวมเชิ้ตขาวแขนยาวพับจนถึงข้อศอกกับกางเกงยีนส์สีเข้มและรองเท้าผ้าใบ ไม่ค่อยจะคุ้นหน้าเท่าไหร่เลยแฮะ สงสัยจะคนละสาขากันล่ะมั้ง

               วิชานี้เป็นวิชาพื้นฐานการดีไซน์ของปีหนึ่งซึ่งผมจะเรียนรวมกับเพื่อนๆอีกสาขานึงนั่นก็คือพวกเด็กแลนด์หรือภูมิสถาปัตย์นั่นแหละ เห็นในหลักสูตรเขียนไว้ว่าจะได้เรียนด้วยกันไปจนถึงปีสองแล้วเขาค่อยแยกออกไปเรียนวิชาสาขาตัวเองนะถ้าผมจำไม่ผิด ฉะนั้นคลาสของปีหนึ่งคนเลยค่อนข้างที่จะแน่นหนาพอสมควร เสียงคุยกันเสียงดังจนอาจารย์ต้องดุแล้วดุอีก

ตึ๊งดึ่ง!

               เสียงแจ้งเตือนของไลน์ดังขึ้นจากโทรศัพท์ พอเอาออกมาดูก็พบว่าเป็นไลน์กลุ่มของผมกับเพื่อนอีกสองคน

ชื่อเนี๊ยบแม่ตั้งให้: เห้ยรัก กูกับไอ้เต๋ออยู่ข้างหลังเนี่ย

               พอหันไปมองตามที่มันบอก ก็เห็นเพื่อนผมกำลังโบกมือให้จากแถวหลังๆ

Rukkn: เห็นแล้ว

ชื่อเนี๊ยบแม่ตั้งให้: ไม่มานั่งด้วยกันอ่ะ

Rukkn: ลืมเอาแว่นมาอ่ะมองไม่เห็น เดี๋ยวนั่งหน้าก็ได้

ชื่อเนี๊ยบแม่ตั้งให้: เค

               คุยกับเนี๊ยบเสร็จอาจารย์ก็เช็คชื่อเสร็จพอดี

 ผมหันหลังไปเพื่อที่จะหยิบสมุดเลคเชอร์ขึ้นมาเตรียมจดสไลด์แต่ก็โดนคนข้างๆสะกิดไว้ซะก่อนเลยต้องหันกลับไปมองเขา

“ครับ?”

“ใช่รักคุณรึเปล่าครับ” ผู้ชายคนนั้นถามผม

               พอพยักหน้ารับว่าใช่ นั่นแหละชื่อผมเอง เขาก็ยิ้มออกมาหน่อยๆ แล้วก็หันกลับไปหยิบเอาอะไรสักอย่างออกมาจากเป้ก่อนจะยื่นมาให้ผม

“อ่ะ”

               ผมก้มลงมองของในมือเขา…นั่นมันพวงกุญแจที่ห้อยไว้อยู่ที่เป้ผมนี่

               มันหลุดไปตอนไหนเนี่ย

               แล้วมันไปอยู่ที่เขาได้ไงอ่ะ

               พอเห็นสีหน้าที่โคตรจะงงโลกของผม เขาก็หัวเราะออกมาหน่อยแล้วค่อยอธิบายให้ผมกระจ่าง

“เมื่อสองวันก่อน เดินชนกับเราตรงทางลงบันไดชั้นสามจำได้ป่ะ พอลุกไปเราเห็นไอ้นี่ตกไว้กะจะเอาไปคืนแต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปคืนที่ไหน โชคดีมากที่เรียนนคลาสเดียวกัน อ่ะเอาคืนไป ” พอเขาอธิบายเสร็จก็ยื่นพวงกุญแจไม้ที่แกะสลักชื่อผมไว้มาให้อีกครั้ง

“อ๋อ ขอบคุณครับ”

               ผมรับมาแล้วก็ขอบคุณเขาไป ก่อนจะหันกลับไปฟังอาจารย์ที่เริ่มเข้าสู่บทเรียนแล้ว แต่คนข้างๆก็สะกิดเรียกผมอีกครั้งจนต้องหันกลับไปหาเขาอีก

“แล้วชื่อเล่นชื่อไรอะ” เขาถาม

“รัก”

“เราชื่อคลื่นนะ เรียนแอลเอ”

“เราเออาร์”

               ผมตอบเขาแค่นั้นก่อนจะตัดบทสนทนาด้วยการขอตัวฟังอาจารย์สอน เขาไม่ได้ว่าอะไรเพราะหลังจากนั้นจนจบคลาสคลื่นก็ไม่ได้ชวนผมคุยอะไรอีก แต่ก็มีบางครั้งที่มายืมปากกาบ้างดินสอบ้าง

“รัก” พออาจารย์เดินออกไป คลื่นก็หันมาชวนผมคุยอีกครั้ง

“หืม”

“เลิกเรียนแล้วไปไหนต่ออ่ะ”

“เราจะไปร้านกาแฟตรงหน้าคณะอ่ะ”

“เห้ย ไปด้วยดิ อยากกินกาแฟพอดี”

               ผมพยักหน้าตอบรับอย่างงงๆแล้วเอาเป้ขึ้นมาสะพายหลัง ก่อนจะเดินไปทางหลังห้องเพื่อไปหาเนี๊ยบกับเต๋อ โดยที่คลื่นก็เดินตามมาด้วย

“เนี๊ยบ เต๋อ”

               สองคนนั้นกำลังเก็บของลงกระเป๋าเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าสงสัยอยู่ไม่น้อยที่เห็นคนแปลกหน้าอยู่ด้านหลัง ผมเลยต้องแนะนำคลื่นให้เพื่อนๆรู้จัก และพวกมันสองคนก็ดูไม่ได้สนใจอะไรคลื่นเท่าไหร่แต่กลับพุ่งความสนใจมาที่ผมแทน

“แล้วมึงจะไปไหน” เต๋อถาม พร้อมกันเอื้อมมือมาขยับปกคอเสื้อเชิ้ตของผมที่มันพลิกกลับด้านไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้อย่างชินมือ

“ร้านกาแฟอ่ะ”

“ร้านหน้าคณะเราอ่ะนะ”

“อื้ม”

“กูไปด้ว— โอ้ย ไอ้เนี๊ยบ!”

               พอเต๋อรู้ว่าผมจะไปไหนมันก็ลุกพรวดจากเก้าอี้อย่างลนลาน แต่ยังขอตัวไปด้วยได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนเนี๊ยบเตะหน้าแข้งจนร้องเสียงหลง

               อะไรของพวกมันเนี่ย

“มึงจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นไอ้เต๋อ มึงมีเรียนวิชานอกต่อไอ้ห่า”

“เต๋อทำไมอยากไปกับรักอ่ะ” ผมอดที่จะสงสัยไม่ได้ เพราะท่าทางของมันไม่น่าไว้วางใจมากๆ

“ก็…เห้ย ไม่มีอะไรหรอกน่า ช่างเหอะ”

“ตอแหลมาก ไอ้เต๋อมันชอบพี่พนังงานผู้หญิงที่ร้านกาแฟอ่ะ เลยระริกๆจะไปบ่อยๆช่วงนี้”

“ไอ้เนี๊ยบ!!”

               อ๋ออ..มิน่า เวลาฝากซื้อชาทีไรไม่เห็นมันบ่นอะไรสักคำ ที่แท้ก็เป็นงี้นี่เอง

“พี่กวางอ่ะนะ?” ผมเลยถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

“กวางไหนวะ?” เต๋อส่งสีหน้างงๆมาทางผมหลังจากที่ทะเลาะกับเนี๊ยบจนหอบแฮ่กๆกันทั้งคู่

               เต๋อมันหน้าแดงมากๆ ผมไม่เคยเห็นมุมนี้มาก่อนเลยอ่ะ…เต๋อเขินล่ะ เต๋อมันเขินนนนนน

“ก็ถ้าที่เนี๊ยบพูดหมายถึงพี่ผู้หญิงคนตัวสูงๆ ผมสั้น นั่นอ่ะพี่กวางเจ้าของร้าน”

               พอผมพูดจบไม่ทันไรจู่ๆเต๋อก็ลงไปดิ้นแท่ดๆที่โต๊ะเหมือนปลาโดนน้ำร้อนลวก ตาตี่ๆของมันพอยิ้มจนแก้มปิดแบบนี้แล้วยิ่งแทบจะไม่เห็นตาดำ

“ไอ้เหี้ยยยย ชื่อโคตรน่ารักเลยยยย มึ้งงงงงง”

               ตอนนี้เต๋อสติหลุดไปแล้วครับ

               ผมได้ยินเสียงคลื่นหัวเราะด้วย คงจะขำกับความบ้าบอของเพื่อนผมแน่ๆ น่าอายมากเลย

“’งั้นรักไปก่อนนะ พอดีพี่กวางอยากให้ไปช่วยทำขนมอ่ะ”

“ห้ะ! มึงไปสนิทกับพี่เขาตอนไหนไอ้รัก!”

               เต๋อดีดตัวขึ้นมาแล้วจับผมเขย่าๆๆจนมึนหัวไปหมด

“ไว้เดี๋ยวกลับไปหอเย็นนี้เราเล่าให้ฟัง”

“เออ ด้ายยย รักด้ายยยย”

               เสียงมันโอดครวญไม่หยุดจนกระทั่งตอนที่ผมเดินออกมาจากห้องกับคลื่นแล้วก็ยังคงได้ยินเสียงร้องของเต๋ออยู่ จนเนี๊ยบต้องด่าว่ารำคาญมันถึงจะหยุดแหกปาก

 เฮ้อ อาการหนักอ่ะ

             

 

ในขณะที่ผมกำลังเดินผ่านคอร์ดกลางคณะสายตาก็สังเกตเห็นร่างที่คุ้นตานั่งอยู่บริเวณโต๊ะไม้ใต้ต้นหูกระจง พี่ชาญและรุ่นพี่อีกสองสามคนกำลังนั่งฟังอาจารย์พูดอะไรสักอย่างอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ กระดาษพรู๊ฟสีขาวหลายแผ่นกางอยู่บนโต๊ะจนแทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้วางของ ดูท่าแล้วสงสัยกำลังตรวจแบบร่างอยู่แน่ๆเลย

               จู่ๆพี่ผู้ชายคนนึงที่นั่งข้างพี่ชาญก็สะกิดแขนเขาแล้วพยักเพยิดหน้ามาทางที่ผมยืนอยู่ พี่เขาเลยหันมามองตาม เขาจ้องมาทางนี้ไม่วางตาเลย จนผมต้องเป็นฝ่ายหันหน้ากลับมาแทน

พอคลื่นสังเกตเห็นว่ามีคนมองมาทางพวกเราเขาก็เลยหันไปมองบ้าง คลื่นยิ้มนิดหน่อยแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้ไปทางพี่ชาญผมเลยคลายความสงสัยลง

               อ๋อ...สงสัยรู้จักกัน

“คลื่นรู้จักพี่เขาด้วยเหรอ” ผมหันไปถาม

“รู้จักดิ ก็พี่เขาเป็นประธานรุ่นของปีสี่ไง ใครไม่รู้จักก็บ้าแล้ว”

               อ้าว…เราก็พึ่งรู้จักเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่แล้วเอง

               ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินมุ่งตรงไปที่ร้านกาแฟโดยที่คลื่นเดินตามมาติดๆ

               พอถึงร้านคนก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่อาจจะเพราะว่านี่มันพึ่งบ่ายสามกว่าๆคนยังไม่ค่อยเลิกเรียนกัน เสียงคุ้นเคยของโมบายหน้าร้านดังขึ้นตอนที่พวกผมเดินเข้าไป แต่คราวนี้ผมไม่เห็นพี่กวางอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์แฮะ กลับเป็นพี่พนักงานผู้หญิงอีกคนที่ยืนต้อนรับลูกค้าอยู่

“สวัสดีค่า รับอะไรดีคะ” เธอยิ้มทักทายอย่างมีไมตรีมาให้ผมกับคลื่นที่เดินตรงเข้าไปที่เคาน์เตอร์

“พี่กวางไม่อยู่เหรอครับ”

“อยู่ค่ะ แต่กวางกำลังทำขนมอยู่ในครัวนู่น น้องมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“อ่า…พอดีพี่กวางบอกว่าถ้าผมเลิกเรียนแล้วให้มาหาอ่ะครับ”

               ทันทีที่ฟังจบเธอก็ร้องอ๋อขึ้นมาก่อนจะขอตัวเข้าไปหลังร้าน บอกเดี๋ยวจะไปเรียกพี่กวางมาให้

               ไม่นานพี่พนักงานผู้หญิงก็เดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ก่อนจะตามมาด้วยร่างทะมัดทะแมงของผู้หญิงผมสั้นที่เดินออกมาพร้อมผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลอ่อนที่คล้องอยู่บนตัว ผมกับคลื่นเลยหันไปไหว้พี่เขา

“สวัสดีจ้ะ…น้องรัก พี่กำลังจะทำเคิร์ดมะนาวพอดี มาๆ”

               เธอยิ้มทักทายผมนิดหน่อยแล้วก็เดินเอาผ้ากันเปื้อนผืนสีดำมาคล้องให้เสร็จสรรพ…อ่า ทำไมมันยาวแปลกๆอ่ะ ปกติมันต้องสูงเลยเข่าขึ้นมาไม่ใช่เหรอ แต่ผ้ากันเปื้อนตัวนี้มันยาวเลยเข่าผมลงไปอีก

“โทษทีนะน้องรัก ใส่ของชาญไปก่อนแล้วกัน ผืนอื่นพี่ยังไม่ได้ซักอะ”

               พี่กวางบอกแค่นั้น ผมก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร

ให้ใส่อะไรก็ได้ ผมไม่เรื่องมากหรอก สีดำก็ดูเท่ห์ดี

“เอ้อ คลื่น เดี๋ยวเราเข้าไปช่วยงานพี่เขาก่อนนะ”

“โอเค งั้นเดี๋ยวเรารอ”

“เห้ย ไม่ต้องก็ได้ เราน่าจะกลับเย็นๆนู่นอ่ะ”

“ไม่เป็นไร เรารอได้”

“จะดีเหรอ”

               เพราะผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่เขาจะต้องมารอกลับพร้อมผมนี่ ขนาดเพื่อนผมสองคนนั้นมันยังไม่เคยมารอผมแบบนี้เลยด้วยซ้ำ แต่นี่พึ่งรู้จักกันได้วันเดียวเองอ่ะ เสียเวลาเขาเปล่าๆ

(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2018 08:31:43 โดย Punmile09 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4


“งั้นน้องคลื่นรอชิมขนมพี่ให้หน่อยละกัน พอดีเลยจะได้ช่วยกันชิมว่าอร่อยมั้ย”

               พี่กวางเสนอขึ้นมาบ้าง คลื่นก็เห็นดีเห็นงามด้วยจนผมต้องอือออๆไปตามพวกเขา เมื่อข้อตกลงเป็นเอกฉันท์ พี่กวางก็ขอตัวกลับไปทำขนมพร้อมลากผมกลับเข้าไปด้วย เมื่อประตูปิดลงเธอก็หันมาถามผมด้วยสีหน้าที่จะสงสัยเอามากๆ

“น้องคนเมื่อกี้..แฟนน้องรักเหรอ?”

“เปล่าครับ ไม่ใช่”

“อ้อ งั้นแล้วไป มาๆ มาช่วยพี่คั้นน้ำเลม่อนที”

               ทันทีที่รู้ความจริงพี่กวางก็พรูลมหายใจออกมาคล้ายจะโล่งอกมากๆ ก่อนจะกวักมือเรียกผมให้เข้าไปใกล้ๆเคาน์เตอร์ครัวเพื่อเป็นลูกมือ

“เดี๋ยวน้องรักขูดผิวเลม่อนบางๆนะ แล้วก็คั้นเอาน้ำ น้องรักชอบรสเปรี้ยวไหม” พี่กวางถาม

“ชอบครับ”

“’งั้นเอาสักลูกครึ่งแล้วกันจะได้เปรี้ยวๆหน่อย”

“ครับ”

               ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจในคำสั่ง ก่อนจะไปล้างมือให้สะอาด

               ระหว่างนั้นก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นของอะไรบางอย่างลอยมาจากทางเตาอบขนาดกลาง พอหันไปมองก็ได้พบว่าเป็นแป้งทาร์ตนั่นเอง กลิ่นเนยหอมตะลบอบอวลไปทั่วห้องครัวขนาดกระทัดรัด พอสัญญาณเตือนของเตาดังขึ้นพี่กวางก็ละมือออกจากการเตรียมอุปกรณ์ไปสวมถุงมือกันความร้อนแล้วเปิดเตานำถาดแป้งทาร์ตออกมาพักไว้ข้างนอกให้มันเย็นตัว

               หลังจากนั้นเธอก็เรียกให้ผมไปที่หน้าเตาเพื่อที่จะทำตัวไส้ทาร์ต หม้อแสตนเลสขนาดกลางถูกตั้งไว้บนเตาที่เปิดไฟไว้อ่อนๆ พี่กวางจัดการนำน้ำตาลทรายขาวที่ถูกตวงไว้แล้วเทลงไปในหม้อตามด้วยน้ำเลม่อนที่ผมคั้นไว้ ก่อนจะบอกให้ผมคนไปเรื่อยๆจนกว่าน้ำตาลจะละลายและตัวเคิร์ดจะเดือดปุดๆ

“พอมันเดือดก็ตักส่วนนึงขึ้นมาละลายกับแป้งข้าวโพดพอให้แป้งสุกแล้วเทกลับลงไปในหม้อใหม่ ใส่เกลือนิดนึงแล้วก็คนๆไปพอให้ตัวเคิร์ดมันข้น เสร็จแล้วก็เทไข่แดงลงไป ตรงนี้ต้องรีบคนนะไม่งั้นไข่มันจะสุกแล้วจับตัวเป็นก้อน เสร็จแล้วก็ปิดไฟได้เลย อย่าลืมเอาเนยที่พี่ตัดไว้ให้ใส่ลงไปตอนท้ายด้วย แค่นี้ก็เรียบร้อย”

               พี่กวางสอนไปเรื่อยๆโดยที่ผมก็ตั้งใจฟังที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากสั่งเสร็จเธอก็หันไปเตรียมอุปกรณ์ทำเมอแรงต่อ เห็นว่าจะทำทาร์ตเลม่อนเมอแรง ขนมชนิดนี้ผมก็ไม่เคยกินเหมือนกัน แต่ดูแล้วน่าจะอร่อยน่าดูเลย

               ผมปฏิบัติตามขั้นตอนของพี่กวางโดยไม่ขาดตกบกพร่องจนได้เนื้อเคิร์ดสีเหลืองนวลหน้าตาน่ากินมากๆ นี่ผมไม่ได้ชมตัวเองนะ แต่...ขอแอบชิมหน่อยแล้วกัน

               พอลอบมองเห็นว่าพี่กวางกำลังก้มลงหยิบของในตู้เย็นผมก็แอบป้ายเนื้อเคิร์ดที่ไม้พายขึ้นมาชิม

               โห…อร่อยมากก

               รสเปรี้ยวๆหวานๆตัดเค็มนิดหน่อย รวมกับกลิ่นหอมของน้ำและผิวเลม่อนคือมันอร่อยมากๆ เป็นรสชาติแปลกใหม่ที่ผมไม่เคยกินมาก่อนเลย

“พี่กวางครับ รักทำเสร็จแล้วครับ”

               ผมหันไปบอกพี่กวางระหว่างนั้นก็แอบเช็ดนิ้วที่ผ้าเช็ดเปื้อนไปหน่อยนึง เดี๋ยวพี่เขารู้ว่าผมแอบชิม

“ไหนๆดูซิ”

               พี่กวางเดินกลับเข้ามาหา พอเธอเห็นผลงานที่เธอฝากฝังผมไว้อย่างดิบดีก็ออกปากชมไม่หยุดจนผมรู้สึกเขินขึ้นมา

“หูยยย น้องรักเก่งมากเลย เคยทำขนมมาก่อนรึเปล่าเนี่ย”

“เคยช่วยแม่ทำนิดหน่อยเองครับ”

“จองตัวมาช่วยทำขนมได้ไหมเนี่ย มือเบามากอ่ะ”

               พี่กวางชมจนผมเผลอหลุดยิ้มกว้างออกมา..เขินจริงๆนะครับเนี่ย

“เห้ยน้องรักมีลักยิ้มด้วยอ่ะ โอ้ยย ทำไมน่ารักขนาดนี้ลูกกก”

               พี่กวางเอื้อมมือมายืดแก้มผมอย่างหมั่นเขี้ยวเสียเต็มประดาแล้วก็บ่นงุ้งงิ้งๆอีกแล้วครับว่าอยากบีบผมหนักกว่าเดิมอีก…บีบทำไมอ่ะ ผมไม่ใช่ตุ๊กตานะ

               หลังจากนั้นพี่กวางก็นำตัวเคิร์ดที่ผมทำไปกรองในตะแกรงอีกทีเพื่อที่จะนำผิวของเปลือกเลมอนออก จนได้เนื้อเคิร์ดสีเหลืองนวลเนียนน่ากิน

“น้องรักมาเทเนื้อเคิร์ดลงบนตัวมาร์ตนะ เดี๋ยวพี่จะไปทำเมอแรง”

               ผมขานรับก่อนจะเดินไปเอาไม้พายมาเกลี่ยเนื้อครีมรสเปรี้ยวลงบนแป้งทาร์ตที่เริ่มเย็นตัวลง ทางด้านพี่กวางก็ตีไข่ขาวและน้ำตาลใส่เครื่องจนมันขาวฟูดูคล้ายวิปปิ้งครีม พอตัวเมอแรงตั้งยอดแข็งก็นำมาโปะลงบนตัวเนื้อเคิร์ดมะนาวแล้วก็นำไปเข้าเตาอบไฟปานกลางเป็นเวลาแปดนาทีให้ตัวเมอแรงสุกและขึ้นสีน้ำตาลอ่อนๆ ระหว่างรอผมก็ช่วยพี่กวางเก็บกวาดครัว จนเตามันดังติ๊งเป็นสัญญาณว่าครบเวลากำหนดแล้วถึงได้นำตัวทาร์ตมะนาวเมอแรงออกมา

               กลิ่นหอมๆของแป้งทาร์ตและเมอแรงเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด แถมยังมีกลิ่นเปรี้ยวหวานของตัวเคิร์ดเลม่อนอีก…จนผมอยากจะขอซื้อไปกินคนเดียวให้หมดถาดเลย

               หลังจากนั้นพี่กวางก็นำมีดมาตัดแบ่งทาร์ตให้เป็นชิ้นเล็กๆรวมทั้งหมดแปดชิ้น

“เสร็จเรียบร้อย ป่ะ ออกไปข้างนอกกัน”

               ผมอาสาเข้าไปถือถาดทาร์ตเดินตามหลังพี่กวางออกไปหน้าร้าน ตอนนี้ลูกค้าในร้านไม่มีแล้วฟ้าข้างนอกก็เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีคราม พอเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนังร้านเวลาก็ปาไปเกือบๆจะหกโมงเย็นแล้ว แล้วก็ไม่เห็นคลื่นนั่งอยู่ตรงโต๊ะใกล้ๆชั้นหนังสือแล้วด้วย

“น้องผู้ชายคนนั้นเขาขอตัวกลับก่อนค่ะ เห็นบอกเพื่อนโทรเรียกให้ไปทำงานกลุ่ม เขาฝากบอกน้องรักด้วยว่าอย่าลืมเอาขนมไปให้เขาชิม”

               พี่พนังงานผู้หญิงเดินเข้ามาบอกผมแล้วก็เดินออกจากเคาน์เตอร์ไปกวาดพื้นในร้าน

“อ้าว งั้นเดี๋ยวพี่ฝากน้องรักเอาไปให้เพื่อนด้วยนะ”

               พี่กวางบ่นเสียดายออกมานิดหน่อย แล้วก็จัดการนำทาร์ตสองชิ้นใส่กล่องกระดาษสีน้ำตาลกรีนโลโก้ร้านแยกออกไว้ให้คลื่นแล้วก็แบ่งใส่จานอีกสองชิ้นให้ผมและพี่พนักงานผู้หญิงคนละชิ้น

“รักดื่มอะไรไหม”

“เหมือนเดิมครับพี่กวาง แต่รอบนี้รักขอจ่ายตังค์นะ”

               พี่กวางหัวเราะอีกครั้งก่อนจะเรียกให้ผมไปนั่งบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์แล้วเธอก็หันไปจัดการชงเครื่องดื่ม แก้วใสๆที่บรรจุน้ำชารสชาติคุ้นเคยถูกวางไว้ตรงหน้า ผมก้มหัวขอบคุณพี่กวางเล็กน้อยแล้วก็ก้มลงดูดน้ำชาเย็นๆเข้าปาก…อื้ออ สดชื่นมากเลย

“ฝีมือรักอร่อยแน่ๆเชื่อพี่”

               จานกระเบื้องสีขาวที่มีขนมหน้าตาน่ากินวางอยู่ถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้าผม ทาร์ตชิ้นสามเหลี่ยมขนาดพอดีมีเนื้อครีมสีเหลืองนวลเป็นชั้นกลางท็อปด้วยเนื้อเมอแรงสีขาวนุ่มฟู…แค่วางไว้เฉยๆกลิ่นหอมของตัวทาร์ตก็ลอยมาประทะจมูกจนผมแทบจะอดใจไม่ไหว

               ผมขอบคุณพี่กวางอีกครั้งก่อนจะใช้ส้อมเล็กๆตัดแบ่งทาร์ตให้เป็นชิ้นพอดีคำ สัมผัสแรกที่รับเข้าปากคือความหอมของตัวแป้งทาร์ตที่ถูกอบจนกรุบกรอบกลิ่นของเนยตลบอบอวลไปทั่วปาก แต่ที่ทำให้ผมต้องชะงักไปก็คือตัวครีมที่เป็นพระเอกของขนมชิ้นนี้ รสชาติเปรี้ยวหวานของตัวเคิร์ดลม่อนสีเหลืองนวลบวกกับความกรุบกรอบของเนื้อเมอแรงที่ข้างในยังคงอุ่นๆอยู่นั้นเข้ากันอย่างเหลือเชื่อ ทุกอย่างมันไปในทิศทางเดียวกันจนเกิดความอร่อยที่น่าทึ่ง

               เพราะรสชาติที่อร่อยมากๆทำให้ผมเผลอยิ้มกว้างออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ พี่กวางที่ยืนสังเกตอาการผมเหมือนจะคอยลุ้นก็พลอยยิ้มออกมาด้วย

“อร่อยมากๆเลยครับพี่กวาง” ผมชมเธอออกมาจากใจจริง…คราวนี้เป็นพี่กวางเองบ้างที่ยิ้มเขิน

“ขอบคุณจ้ะ คิดไม่ผิดเลยที่ให้น้องรักมาช่วย เอาอีกชิ้นไหม”

               พี่กวางถาม ผมก็พยักหน้ารับชนิดที่ไม่ต้องคิดให้นาน

               ทาร์ตรสเปรี้ยวหวานทานคู่กับชาหอมๆรสขมๆ…อร่อยอย่าบอกใครเลยล่ะ

               ในระหว่างที่กำลังนั่งทานขนมร่วมกันกับพวกพี่ๆเสียงโมบายที่แขวนอยู่ประตูหน้าร้ายก็ดังขึ้น เรียกสายตาของพวกผมให้หันไปมองคนที่มาใหม่ ตอนแรกก็นึกว่าลูกค้า แต่ที่ไหนได้

               กลับเป็น…พี่ชาญ

“เอ้า ชาญ ตรวจแบบเสร็จแล้วเหรอ” พี่กวางหันไปถามทันที่ที่เห็นน้องชาย

“อืม”

               เขาดูแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นผมอยู่ในร้านด้วย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทำแค่เดินเขามาในร้านแล้ววางกระเป่าสะพายกับม้วนกระดาษลงบนโต๊ะใกล้ๆกับเคาน์เตอร์ที่ผมนั่ง ผมแอบชำเลืองมองคนตัวโตนิดหน่อยทำให้เห็นร่องรอยความเหนื่อยล้าและขอบตาที่คล้ำบนใบหน้าดุนั่นอย่างชัดเจน…สงสัยสองวันที่ผ่านมาคงอดหลับอดนอนทำแบบร่างมาตรวจแน่ๆ

“หวัดดีครับ”

               ผมยกมือไหว้เขาอย่างที่เคยทำ พี่ชาญพยักหน้ารับนิดหน่อย ก่อนจะดึงยางมัดผมที่มัดรวบไว้ออกจนผมปรกลงมาบนหน้าแล้วก็จัดการมัดรวมเป็นจุกไว้ด้านหลังแทน           

               ใบหน้าคมดุนั่นดูมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ ทำให้ผมเผลอตัวมองอย่างเสียมารยาท

             

               มันทำให้ผมรู้สึกว่า…พี่ชาญเป็นผู้ชายที่เท่ห์มากๆ ถึงจะไม่ได้หล่อในแบบสมัยนิยม แต่ด้วยลุคของเขา ส่วนสูงที่สูงโดดเด่น ไหล่กว้างรับกับช่วงตัว…ทุกอย่างที่รวมเป็นเขาทำให้เขาดูดีและดูมีเสน่ห์มากๆ คล้ายๆกับพวกรูปปั้นที่องค์ประกอบต่างๆมันลงตัวจนน่าทึ่ง

“มองอะไร”

               เสียงทุ้มต่ำถามขึ้นเมื่อรู้สึกตัวว่าผมกำลังมองเขาอยู่

“เปล่า..”

               ผมตอบด้วยเสียงที่ผะแผ่วจนตัวเองยังแปลกใจ ร่างกายคล้ายกับโดนดูพลังไปจนหมดเพียงแค่เขามองมา แค่จะพุเสียงปกติยังไม่กล้าเลย เลยดึงความสนใจของตัวเองให้หันกลับไปกินทาร์ตมะนาวของพี่กวางต่อ

ทาร์ตมะนาวก็ยังอร่อยเหมือนเดิม ชาที่ผมชอบก็ยังมีรสชาติเหมือนเดิม

               แต่เสียงที่มันเต้นรัวอยู่ในอกจนแทบทะลุนี่คืออะไรกันเล่า

               หรือเพราะกินคาเฟอีนมากไปใจผมเลยสั่น?

               ผมก้มลงมองขนมตรงหน้าสลับกับการมองพี่กวางที่กำลังหันหลังคั่วกาแฟในเครื่องไปด้วยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากไอ้อาการแปลกๆของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่ามีคนขึ้นมานั่งเก้าอี้ข้างๆผม

“กินอะไร” พี่ชาญถามแล้วก็มองมาที่ทาร์ตมะนาวของผม

“ทาร์ตมะนาวครับ พี่ชาญชิมไหม พี่กวางทำอร่อยมาก” ผมชวน

“ไม่ชอบกินขนม”

               เขาบอกแค่นั้นก่อนจะรับแก้วอเมริกาโน่ที่พี่กวางยื่นให้ขึ้นมาดื่ม

“น้องรักทำต่างหาก เนี่ย ชาญวันนี้กวางให้น้องมาช่วยทำขนม น้องมือเบามากกก เก่งกว่าชาญเยอะเลยอ่ะ น้องรักพี่จะบอกอะไรให้ ถ้าเป็นชาญนะ มาช่วยทีไรพังเละทุกที มือก็ใหญ่จับอะไรก็เก้งก้าง ตัวโตๆเข้าไปในห้องครัวทีไรทำเอาครัวแคบขึ้นมาทันทีเลย”

               พี่กวางเม้าท์น้องชายตัวเองอย่างออกรส ในขณะที่คนที่ตกเป็นเป้าก็ทำแค่ถอนหายใจออกมาคล้ายจะรำคาญพี่สาวตัวเองเต็มทน ทำเอาผมหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่จนพี่ชาญหันมามองเลยพยายามเก็บอาการไว้สุดความสามารถ

               แต่จู่ๆคนที่พึ่งบอกไปตะกี้เองว่าเขาไม่ชอบกินขนมหวานกลับดึงจานของผมไปไว้ตรงหน้าตัวเองแล้วใช้ส้อมจิ้มขนมขึ้นมากินจนหมดเกลี้ยง สร้างความงุนงงให้ผมมากๆ แต่ที่ดูจะอึ้งกว่าผมก็คงเป็นพี่กวางนี่แหละ ตอนนี้อ้าปากค้างไปเรียบร้อยแล้ว

“อร่อยดี” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะเดินออกไปนอกร้านเพื่อสูบบุหรี่

               ทิ้งระเบิดความร้อนไว้บนหน้าผมจนต้องก้มลงมองจานตัวเองอีกรอบเพื่อหลบสายตาของพี่กวาง

               ก่อนจะหันออกไปมองผู้ชายผมยาวที่ยืนพิงม้านั่งไม้อยู่หน้าร้าน นิ้วเรียวยาวของเขาคีบมวนบุหรี่ไว้พร้อมยกขึ้นจรดบนริมฝีปากได้รูป ก่อนจะพ่นควันสีขาวออกมาอย่างอ้อยอิ่ง

“โคตรร้ายอ่ะ นี่น้องรักรู้ไหมพี่ทำขนมกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ชาญไม่เคยแม้แต่จะดมอ่ะ พอรู้ว่าน้องรักทำมันซัดเรียบเลยอ่ะ โหยย ไรอ่ะ โคตรไม่แฟร์อ่ะ”

เสียงพี่กวางบ่นออกมาอีกยาวเหยียดแต่ประโยคเหล่านั้นกลับไม่เข้าหัวเลยสักนิด เพราะคนที่อยู่ด้านนอกจู่ๆก็มองเข้ามาในร้าน เขามองมาบริเวรที่ผมนั่งอยู่อย่างไม่วางตา จนเป็นผมซะเองที่ต้องหลบพร้อมกับก้มหน้าดูดน้ำในแก้วของตัวเองต่อไปเงียบๆ

แต่พอนึกอะไรขึ้นมาได้ ไอ้เจ้าความร้อนบนใบหน้าก็กลับทะยานขึ้นสูงกว่าเดิม ตอนนี้หูผมรู้สึกได้ยินเสียงวิ๊งๆจนตาพล่าไปหมดเลย

ตะกี้เขากินส้อมคันเดียวกันอีกแล้วนะ

รอบที่แล้วก็หลอด

รอบนี้ก็ส้อม

ขี้โกงชะมัดเลย...




สวัสดีจ้าา แฮ่ๆขอโทษที่หายหน้าไปนานเลยนะคะ

เนื่องจากติดโปรเจคต่างๆเลยแทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย TT :ling1:



แต่ใกล้ปิดเทอมแล้ว คงมีเวลามากขึ้น จะพยายามอัพบ่อยเท่าที่จะสามารถทำได้นะคะ :กอด1:



เจอกันตอนหน้าจ้าาา <3



twitter : pppunmile

#แค่รักคุณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2018 21:41:08 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:

จิตนาการถึง ชาญ

อิอิ

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
น่ารัก แบบ มากกกกกกกกกกกก

พี่ชาญร้ายกาจ


 :hao7:

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
✧ รอยยิ้ม ✧

.

.

.



               หลังจากที่พี่ชาญออกไปสูบบุหรี่ได้สักพัก เขาก็เดินกลับเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวข้างผมเหมือนเดิมพร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาเล่มเกม ใบหน้าดุๆนั่นดูผ่อนคลายลงไปเยอะ คล้ายกับการที่ได้พ่นเอาเจ้าพวกกลุ่มควันขาวนั่นออกมาทำให้เขาหายเครียดได้

เวลานี้ผมเลยได้เห็นสีหน้าอีกแบบของเขา คิ้วได้รูปนั่นมักขมวดยู่ขึ้นอย่างหงุดหงิดที่เล่นเกมส์แพ้มันเลยดูเหมือนพวกเด็กอันธพาลตามร้านเกม และในบางครั้งก็เผลอยกมือขึ้นคลึงจิวสีเงินที่สะท้อนกับแสงไฟบนหัวคิ้วซ้ายของตัวเองเล่น

ทั้งหมดมันทำให้เขาดู...น่ามอง 

               แต่ว่ากลิ่นของนิโคลตินผสมเมนทอลอ่อนๆที่ติดอยู่รอบตัวของพี่ชาญมันทำให้ผมมึนหัวไม่น้อย เลยต้องแอบเบือนหน้าไปทางอื่นอยู่บ่อยๆเพราะกลัวเสียมารยาท

โอเค จะว่าผมกระแดะก็ได้ ก็คนมันไม่ชอบนี่...



“ชาญ น้องเหม็นบุหรี่”



               พี่กวางดุขึ้นมาอย่างไม่จริงจังมากนัก แล้วก็บ่นๆต่อไปอีกนิดหน่อยเรื่องที่น้องชายตัวเองไม่ยอมเลิกบุหรี่ซะที ทำให้คนตัวโตข้างผมหยุดสนใจเกมแล้วเงยหน้าขึ้นมาจากมือถือก่อนจะลุกเดินออกจากเก้าอี้ไปที่กระเป๋าเป้ที่วางอยู่โต๊ะข้างๆ เขาค้นกระเป๋าตัวเองนิดหน่อยแล้วก็หยิบเสื้อยืดสีดำขึ้นมาถือพร้อมกับเดินกลับเข้าไปทางหลังร้าน



“น้องรัก”

“ครับ”

“เดี๋ยวพี่รบกวนเอาผ้ากันเปื้อนไปเก็บให้ทีได้ไหม อยู่หลังร้านอ่ะวางใส่ตะกร้าไว้เลย”



               จู่พี่กวางก็สะกิดเรียกแล้วก็ยัดผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลของตัวเองและกับของพนักงานอีกสองสามคนใส่มือผมทันทีเป็นแกมบังคับกลายๆ

“อ่า...ครับ”

               ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปทางหลังร้านที่พี่ชาญพึ่งเดินเข้าไป

               บริเวณข้างหลังของร้านกาแฟแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน ถึงจะแอบรกนิดหน่อยเพราะต้องเก็บของเช่นพวกแก้วพลาสติกและกล่องเค้กจึงทำให้พื้นที่ทางเดินมีอยู่นิดหน่อย ผมมองหาตะกร้าเก็บผ้ากันเปื้อนตามที่พี่กวางบอกเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เลยตัดสินใจจะเดินออกไปถามเธออีกที แต่เสียงลูกบิดประตูจากห้องน้ำหนักงานก็ดังขึ้นทำให้ผลต้องหันกลับไปมอง

               พี่ชาญเดินเปลือยท่อนบนออกมาพร้อมกับเสื้อเชิ้ตขาวกับเสื้อยืดอีกตัวที่พาดอยู่บนไหล่หนา ตัวเขาดูชื้นเหงื่อเล็กน้อยอาจเป็นเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว ภาพตรงหน้าทำผมหายใจกระตุกนิดหน่อย ไม่ได้เขินนะ ผม...ผมแค่ตกใจต่างหาก แต่ตอนนี้สัมผัสได้ว่าฝ่ามือเริ่มชื้นเหงื่อขึ้นมาหน่อยแล้ว

               คนตัวโตตรงหน้าดูแปลกใจเล็กน้อยที่จู่ๆก็เห็นผมมายืนทะเล่อทะล่าอยู่ในนี้

               คือ...ทำยังไงดี ผมก้าวขาไม่ออกอ่ะ

มัน...มันเหมือนจะวูบๆตอนที่เผลอกวาดสายตาไปมองคนตรงหน้า พอเขาไม่ได้ใส่เสื้อเลยเห็นรอยสักหมึกสีดำเส้นหนาเป็นลายกราฟฟิกรูปพระอาทิตย์บนบริเวณหัวไหล่ข้างขวา ผมห้ามสายตาตัวเองไม่ได้จนกระทั่งมันเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆผ่านกล้ามเนื้อหน้าท้องจางๆที่ไม่ได้ขึ้นลายชัดเจนมากนักแต่มันช่างรับกับกล้ามเนื้อวีเชฟที่ซ่อนอยู่ใต้กางเกงยีนส์สีซีดได้อย่างดี

วูบหนึ่งก็แอบอิจฉารูปร่างที่ดูเพอร์เฟกต์ของเขาชะมัด



 “หาอะไรอยู่รึเปล่า”

               คำถามของพี่ชาญทำให้ผมดึงสายตากลับมามองหน้าเขาอีกครั้ง แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าตอนนี้เหมือนใครเอาแก้วน้ำอุ่นๆมาแนบแก้ม มัน...มันร้อนวูบๆ เหงื่อที่มือก็ซึมออกมาเยอะขึ้นเลยเผลอตัวกำผ้ากันเปื้อนจนพวกมันยับยู่



“คือว่า…พี่...พี่กวาง ห...ให้เอาผ้ากันเปื้อนมาเก็บครับ”

               โอ้ยยยยยย จะบ้าตายทำไมเสียงสั่นแบบนี้

               เขาไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงพยักหน้ารับนิดหน่อยแล้วก็จัดการสวมเสื้อยืดแขนกุดสีดำให้เรียบร้อยก่อนจะเดินมาหยิบผ้ากันเปื้อนในมือผมออกไป

“แล้วตัวนั้น”

“ครับ?”

“ไม่ถอดเหรอ?”

               

          พี่ชาญพยักพเยิดหน้ามาทางผมอีกครั้งเป็นเชิงถาม พอผมก้มลงมองตามเลยเห็นเจ้าผ้ากันเปื้อนตัวใหญ่ที่ยังคล้องอยู่รอบเอว ทำให้นึกได้ว่าตัวเองลืมถอดมันออก อีกทั้งเจ้าของเขายังยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้วด้วย ผมเลยรีบถอดผ้าผืนใหญ่สีดำออกทางหัวแล้วส่งยื่นส่งให้เขา

               พอเขารับไปก็เดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งก่อนจะเดินกลับออกมาอีกครั้ง สงสัยตะกร้าที่ผมตามหามันอยู่ในนั้น มิน่า หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ



“ทำไมใส่ตัวใหญ่จัง”

               พี่ชาญเลิกคิ้วถามเล็กน้อยอย่างสงสัย อาจเพราะเจ้าผ้ากันเปื้อนของเขาที่ดูยังไงมันก็ใหญ่เทอะทะไปสำหรับผม

“เห็นพี่กวางบอกผืนอื่นยังไม่ได้ซักอ่ะครับ”

               พอได้ยินคำตอบของผมคนตัวโตก็พรูลมหายใจออกมาอย่างเก็บไว้ไม่อยู่พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆที่ข้างมุมปาก



“นั่นอะไร?”

               ผมมองตามนิ้วของเขาที่ชี้ไปยังตู้เก็บของตรงมุมหนึ่งของห้อง เลยทำให้เห็นผ้ากันเปื้อนอีกหลายผืนพับซ้อนกันอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรออกไป สัมผัสอุ่นๆก็วางลงบนหัวพร้อมกับเสียงทุ้มนุ่มที่ชวนทำให้ใจสั่น



“โดนหลอกแล้ว”

               

              เขาพูดแค่นั้นก่อนจะยกมือออกจากหัวผม แล้วเดินกลับเข้าไปในร้านปล่อยให้ผมยืนอึ้งอยู่กับเหล่าผ้ากันเปื้อนหลากสี

               แต่สัมผัสอุ่นๆที่วางบนศีรษะของผมเมื่อกี้มันกำลังสร้างความปั่นป่วนในตัวผมอย่างร้ายกาจ

มันเหมือนมีผีเสื้อนับรอยตัวกระพือปีกบินในท้องเสียให้วุ่นไปหมด

ฝ่ามือใหญ่นั่นแม้จะไม่ได้นุ่มนิ่มแต่มันก็ให้สัมผัสที่สบายเอามากๆ

แล้วก็รอยยิ้มเล็กๆข้างมุมปากนั่นที่ดูแล้วเหมือนเขาจะอารมณ์ดีแบบสุดๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเห็นพี่ชาญยิ้ม ทำให้เขาดูน่ามองมากขึ้นไปอีก

แบบนี้มันไม่ดีเลยนะ...ไม่ดีเลย

“ฮื่อ”

               ผมหายใจออกมาแรงๆทีนึงเพื่อหวังให้มันไล่ความร้อนบนใบหน้าออกไปด้วยและเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมาด้วย พอจิตใจที่ฟุ้งซ่านมันเริ่มกลับเข้าที่ผมก็เดินตามเขากลับเข้าไปในตัวร้าน

 

             

 

 





ตอนนี้เป็นเวลาทุ่มกว่าๆแล้ว ท้องฟ้าข้างนอกจึงมืดครึ้มไปหมด แอบเห็นด้วยว่ามีแสงแลบไปมาและเสียงฟ้าร้องหน่อยๆ ผมเห็นพี่ชาญกำลังช่วยพี่กวางกับพี่พนังงานอีกคนเก็บอุปกรณ์บริเวณเคาน์เตอร์ร้าน เลยเดินเข้าไปบอกลาพวกพี่ๆเพื่อที่จะกลับหอเพราะตอนนี้ลมด้านนอกมันเริ่มแรงขึ้นนิดหน่อย กลัวว่าฝนจะตกลงมาก่อน

“กลับยังไง?”

               จู่ๆพี่ชาญก็ถามแทรกขึ้นแล้วก็หันมามองผม

“เดินกลับครับ”

“รอก่อน”

“ห้ะ?”

“ช่วยกวางเก็บร้านแปปนึง”

“คือ...”

“แล้วเดี๋ยวไปส่ง”

             

          ยังไม่ทันได้ปฏิเสธเขาก็หันตัวกลับไปก้มเก็บของตรงเคาน์เตอร์ต่ออย่างไม่ใส่ใจในท่าทีอึกอักของผม พอพี่กวางเห็นผมยืนอึ้งอยู่กับที่เธอก็กระแอมขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดประโยคที่ทำให้ไอร้อนบนหน้าผมกลับมาอีกครั้ง

“ให้ชาญไปส่งดีแล้วน้องรัก คนมันหวง... เอ้ย พี่เป็นห่วง เผื่อฝนตกด้วยไม่สบายขึ้นมาแย่เลย เนอะชาญเนอะ”

               ใบหน้านั่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่คนที่ยืดตัวขึ้นเก็บของตรงชั้นเหนือหัว โดยที่เจ้าตัวทำเพียงแค่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายกับท่าทีดี๊ด๊าของพี่สาวตัวเอง



“อ่า...งั้นก็ได้ครับ”

               

     ผมพยักหน้ารับอย่างจำยอม แล้วก็ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ทรงสูงตัวเดิมที่หน้าเคาน์เตอร์ สักพักพี่ชาญก็เดินอ้อมเคาน์เตอร์ออกมาก่อนจะเดินไปหยิบเป้ขึ้นมาสะพายไว้บนไหล่พร้อมกับถือกระดาษม้วนยาวไว้ในมือ พอเลยเดินไปหยิบกระเป๋าตัวเองขึ้นมาสบายไว้บ้างเพื่อเตรียมตัวกลับ

               แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าพี่ชาญไปส่งผมที่หอ แล้วพี่กวางจะกลับยังไงล่ะเนี่ย? ผมก็อดเป็นห่วงเธอไม่ได้ เพราะยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง



“แล้วพี่กวางกลับยังไงครับ?”

“อ๋อ พี่เอารถอีกคันมา ไม่ต้องห่วงๆ สบายมาก แล้วก็ชาญ...ไปส่งน้องอย่าขับรถเร็วนะรู้ไหม”

               

     พอเห็นว่าเธอไม่มีอะไรต้องห่วงผมก็พยักหน้ารับนิดหน่อย แต่พี่กวางก็ยังไม่วายหัวไปหาน้องชายตัวเองแล้วชี้นิ้วเป็นเชิงเตือนโดยแฝงความจริงจังไว้ในน้ำเสียงด้วยความเป็นห่วง

“อืม”

“แล้วก็ถ้าฝนตกอย่าฝ่าฝนมานะ โทรหากวาง เดี๋ยวกวางจะขับรถแม่ออกไปรับ เข้าใจมั้ย?”

               คนตัวโตข้างผมก็พยักหน้ารับอีกหนด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ตามฉบับเขานั่นล่ะ ก่อนที่มือใหญ่ๆจะยกขึ้นวางบนศีรษะพี่สาวตัวเองแล้วจับโคลงเบาๆจนพี่กว้างหน้ามุ่ย

“ขับรถดีๆ”

               น้ำเสียงอบอุ่นที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนพูดขึ้นแฝงความเป็นห่วงไม่ต่างกัน

“รู้แล้วน่า ไปๆ เดี๋ยวน้องรอ”

               มือเล็กๆดุนแผ่นหลังกว้างให้หันกลับมาทางผมพร้อมกับโบกมือบ้ายบายก่อนจะเดินแยกออกไปอีกทาง การกระทำน่ารักๆของทั้งสองคนมันชวนให้ดูอบอุ่นในใจอย่างน่าประหลาด ถึงแม้ว่าพี่ชาญดูจะไม่ใช่คนชอบพูดนัก แต่การกระทำของเขามันชัดเจนมากว่าเป็นห่วง ผมยืนอมยิ้มน้อยๆอยู่ข้างจนกระทั่งเขาหันมาสะกิดเรียกนั่นล่ะเราถึงเดินออกมาจากร้านกัน

 

 





 

               ผมเดินตามพี่ชาญออกมาตรงที่จอดรถของลูกค้า ขายาวๆก้าวไปทางรถช็อปเปอร์ที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ พอเดินเข้าไปใกล้ถึงได้เห็นชัดๆว่าเป็นรถครูซเซอร์ชอปเปอร์เป็นชอปเปอร์สไตล์กึ่งสปอร์ต ยี่ห้อYamaha รุ่น bolt R-950cc ตัวถังและท่อไอเสียเคลือบสีดำด้าน ตัวล้อแม็กชุบโครเมียมสีดำ

               ผมยืนอึ้งจ้องเจ้าสิงห์เหล็กตรงหน้าด้วยสวยตาที่ปลื้มปริ่มสุดขีด

มัน...มันเป็นรถรุ่นที่ผมเคยอยากได้มาก!

               แต่เพราะป๊าไม่ยอมซื้อให้เลยต้องจำใจดับฝันตัวเองลงไป

               เจ้าของรถก้าวขายาวๆขึ้นคร่อมไปบนอานเบาะหนังสีดำ ก่อนจะสตาร์ทเครื่องทำให้ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มเป็นลักษณะเฉพาะตัวของรถชอปเปอร์

               แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความสนใจของผมพุ่งตรงไปอยู่ที่คนตัวโตซะมากกว่าแทนที่จะเป็นรถในฝัน

แม้เจ้าของรถจะสวมเพียงแค่เสื้อแขนกุดสีดำสกรีนลายกราฟฟิกธรรมดาๆกับกางเกงยีนส์สีซีดและรองเท้าผ้าใบเก่าๆ

               แต่มัน...

               กลับทำให้เขานั้นดูดีมากๆจนเจ้าก้อนเนื้อที่อกด้านซ้ายของผมมันเกรเรอีกแล้ว เสียงตึกตักมันดังชัดเจนมากในความรู้สึกของผม

               ฮื่อ...พี่เขาดูเท่ห์มากจริงๆนะ

“ขึ้นมา”

               คงเพราะเขาเห็นผมมัวแต่ยืนจ้องไม่วางตา พี่ชาญเลยชี้นิ้วไปด้านหลังเชิงสั่ง พอรู้สึกตัวว่าเผลอเหม่อลอยผมเลยรีบเดินเข้าไปหาเขาแล้วก้าวขาขึ้นนั่งบนอานเล็กๆสำหรับผู้โดยสาร

“ใส่ไว้”

                พี่ชาญวางหมวกกันน็อกสีดำด้านไว้บนตักผมเหมือนจะเป็นการบังคับกลายๆว่าผมต้องใส่มัน

และดูเหมือนมันจะมีอยู่ใบเดียวซะด้วยสิ

ตอนแรกผมจะปฏิเสธด้วยเพราะความเกรงใจ แต่สายตาดุๆที่มองมาทำให้ผมกลืนคำพูดกลับลงไปในคอแทบไม่ทัน

“ขอบคุณครับ”

               เขามองจนมั่นใจแล้วว่าผมใส่หมวกกันน็อกเรียบร้อยก็หันตัวกลับไปพร้อมกับย้ายเป้ของตัวเองไปสะพายไว้ด้านหน้า ผมเลยอาสาที่จะสะพายกระเป๋าเขาไว้ให้แต่ก็โดนปฏิเสธ มีแค่ม้วนกระดาษยาวๆนั่นแหละที่เขาฝากผมถือไว้แทนเพราะมันเกะกะเอามากๆ

               พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยตัวรถก็เคลื่อนออกไปจากลานจอด

ตลอดทางผมพยายามที่จะเว้นช่องว่างระหว่างผมกับเขาให้มากทีสุด แต่ด้วยเพราะความแคบของเหมาะมันเลยทำให้เราสองคนต้องตัวชิดกันอย่างห้ามไม่ได้

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เวลาอยู่ใกล้ๆเขาแล้วเจ้าก้อนเนื้อที่อกมันจะไม่เต้น

อย่างตอนนี้รถเราจอดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยก มันเลยพอมีเวลาให้ผมได้หายใจหายคอได้บ้าง แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ให้ความร่วมมือกันเลย เขาเอี้ยวตัวกลับมาหาผมพร้อมกับคิ้วเข้มๆที่ขมวดมุ่นลงเล็กน้อย

“จะถอยออกไปทำไม”

“คือว่า...ผมร้อน”

ใช่ซะที่ไหนกันเล่า!

“เขยิบเข้ามา...เดี๋ยวตก--”

“ไฟเขียวแล้ว!”

               ผมชิงพูดขึ้นมาตัดหน้าและชี้ให้เขาหันไปเมื่อเห็นสัญญาณไฟเปลี่ยน

และก็ได้ผล...เขาดูจะเลิกสนใจกับระยะห่างของผมแล้ว

               แต่ในขณะที่เขากำลังกำคลัชท์และใส่เกียร์ออกตัวจู่ๆรถก็พุ่งตัวออกไปอย่างแรง ด้วยความตกใจผมเลยคว้าหมับเข้าที่ไหล่ของคนตรงหน้าไว้แน่นเพื่อเป็นหลักยึดและก็กลัวว่าตัวเองจะหงายหลังลงไปจริงๆ และด้วยเหตุนี้ช่องว่างที่ผมเพียรพยายามรักษาระยะห่างไว้ก็โดนทำลายไปอย่างไม่มีชิ้นดี ตัวผมแนบไปกับแผ่นหลังของเขาจนได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่กรุ่นๆบนเสื้อของเขา

               รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงตึกตักดังอยู่ในหูอีกแล้ว คราวนี้รู้สึกด้วยว่าหน้าผมมันร้อนถึงขีดสุด ผมเลยพยายามดึงความสนใจตัวเองให้ออกไปจากแผ่นหลังกว้างๆตรงหน้า พอมองตรงไปข้างหน้าก็สังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของคนตรงหน้าที่สะท้อนกับกระจกส่องหลัง

               ฮึย ยิ้มอะไรเล่า...

เขาต้องตั้งใจแกล้งผมแน่ๆเลย!

               อยากให้นั่งชิดๆนักใช่ไหม

จะชิดให้ร้อนจนเหงื่อแตกพลั่กเลยคอยดู!

               เพราะอายที่โดนแกล้งผมเลยฝังตัวเข้ากับแผ่นหลังกว้างอย่างแน่นหนา ชนิดที่ว่าแม้แต่ลมก็ยังผ่านไปไม่ได้โดยที่มือก็ยังเกาะไหล่เขาอยู่แน่นเช่นกัน ใครมาเห็นสภาพตอนนี้ก็คงตลกไม่น้อย มันอาจจะเหมือนแบบว่า...ลิงแม่ลูกอ่อนหิ้วกระเตงกันไปมา ฮื่อ ไม่รู้ล่ะ เขาแกล้งผมก่อนนะ

รถยังคงขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ ดูจากเข็มไมล์แล้วพี่ชาญพยายามคุมไม่ให้มันเกินหกสิบ ก็ถือว่าไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป ผมเลยสามารถมองวิวข้างทางได้อย่างสบายตา บวกกับลมเย็นๆที่พัดผ่านมันทำให้ผมเพลินมากๆ

               ในขณะที่ขับผ่านตลาดนัดตรงลานคอนกรีตกว้าง พี่ชาญก็เอียงหน้ามาหาผมเล็กน้อยก่อนเสียงทุ้มๆของเจ้าตัวจะเอ่ยถามขึ้น



“หิวไหม”



               ผมพยักหน้ารับทันที

               เพราะขนมที่กินไปเมื่อตอนเย็นก็ย่อยไปหมดแล้ว ตอนนี้ท้องมันเลยว่างมากๆ คิดไปคิดมาหาอะไรกินตอนนี้ให้มันอุ่นๆท้องไว้ดีกว่า เดี๋ยวตอนดึกจะหิว มาม่าที่ห้องผมที่ซื้อตุนไว้ก็หมดแล้วด้วย

               พอเห็นผมตอบรับพี่ชาญก็เลี้ยวรถจอดหน้าเซเว่นตรงข้ามตลาดนักพร้อมกับดับเครื่องลงให้เรียบร้อย เขาหันมาถามว่าผมจะกินอะไรจะเดินตลาดนัดไหม ผมคิดอยู่แปปนึงก็ตัดสินใจกินบะหมี่หมูแดงหน้าเซเว่นนี่แหละง่ายดี แถมเจ้านี้ก็อร่อยด้วย ผมกับเพื่อนๆชอบแวะมากินประจำ

               พี่ชาญไม่ได้แย้งอะไรเขาพียงแค่พยักหน้าอือออๆแล้วก็เดินตามผมมา พอเราสองคนเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะเรียบร้อย ผมเลยอาสาที่จะไปสั่งอาหารและตักน้ำมาให้ แต่ก็ยังไม่ลืมถามว่าเขาอยากกินอะไร



“พี่ชาญกินอะไรครับ”

               เขาคิดอยู่แปปนึง

“เอาเหมือนกัน”

               ผมหยักหน้ารับแล้วเดินไปสั่งอาหารกับคุณป้าที่กำลังลวกเส้นบะหมี่อย่างขะมักเขม้น พอเธอเห็นว่าเป็นผมก็ยิ้มทักทายออกมาอย่างเป็นกันเองพร้อมกับทวนเมนูที่ผมมักจะสั่งประจำ



“บะหมี่เกี๊ยวหมูแดงพิเศษใช่ไหมลูก”

“แหะๆ ครับบ แต่สองถ้วยนะครับป้า”

“หือ ทำไมวันนี้กินเยอะ”

“อีกถ้วยของเขาครับ”



               ผมชี้กลับไปยังโต๊ะที่มีคนตัวโตนั่งเอามือเท้าศีรษะของเขาอยู่อย่างเหม่อลอย ดูอาการแล้วเหมือนจะง่วงหน่อยๆด้วยเพราะสายตาเขาเริ่มมองเหมอไปที่ถ้วยเครื่องปรุงแล้ว

“เพื่อนคนไหนเนี่ยป้าไม่เคยเห็น”

               ป้ามองตามมือผมไปที่โต๊ะแล้วก็หันกลับมาถามอย่างสงสัย

“พี่ที่คณะน่ะครับ”

“อ้อ คณะนี้หล่อๆกันทั้งนั้นเลยเนอะ”

 ผมยิ้มเขินๆให้ตอบแกแทนอย่างไม่มีอะไรจะแก้ตัว

เพราะมันก็จริงอย่างป้าว่า อันนี้ผมไม่เถียง

ก่อนจะขอแยกตัวเดินออกไปตักน้ำใส่แก้วสแตนเลสสองใบแล้วเดินกลับไปหาพี่ชาญที่โต๊ะ แต่ยังไม่ทันได้หย่อนก้นลงนั่งผู้ชายตัวสูงในชุดลำลองก็เดินเข้ามาทักผมซะก่อน



“เอ้ารัก มากินข้าวเหรอ พี่ชาญหวัดดีพี่”



               คลื่นยิ้มให้อย่างอัธยาศัยดี แต่พอเขาเห็นว่าคนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับผมเป็นใครเขาก็ดูจะแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ทำเพียงแค่ก็ยกมือไหว้แล้วส่งยิ้มไปให้เหมือนอย่างทุกที พี่ชาญทำเพียงแค่ยกมือรับไหว้แล้วก็ฟุบหน้าลงไปบนแขนตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะแทนอย่างไม่สนใจกับบทสนทนาเท่าไหร่นัก



“อื้อ แล้วนี่คลื่นทำงานเสร็จแล้วเหรอ”

               ผมถามเขากลับไปตามมารยาท แต่สายตาก็แอบชำเลืองมองคนตัวโตตรงหน้าไปด้วย

               ดูท่าทางแล้วจะง่วงนอนมากจริงๆนั่นแหละ

“ยังหรอก เราหิว ออกมาซื้ออะไรกินอ่ะ เห็นรักพอดี ก็เลยแวะเข้ามาทัก”

“อ่อ”

“แล้วทำขนมเป็นไงบ้าง อร่อยป่ะ”



               พอคลื่นถามถึงเรื่องขนมเลยทำให้ผมนึกขึ้นมาได้เลยว่าพี่กวางฝากผมเอาขนมมาให้คลื่นด้วย เลยขอตัวเดินกลับไปที่รถเพื่อจะหยิบกล่องขนมให้เขาเลยขอเดินตามผมออกมาด้วยเลยจะได้ไม่ต้องเดินไปๆมาๆ

“เราลืมอ่ะ เลยเผลอเก็บไว้ในกระเป๋าไม่รู้มันเละไหมนะ”

               ผมยื่นกล่องกระดาษสีน้ำตาลสกรีนโลโก้ร้านกาแฟให้เขาไป แอบเห็นด้วยว่าตรงมุมกล่องมันบุบไปนิดหน่อยด้วย แต่คงไม่กระทบกระเทือนขนมเท่าไหร่หรอกมั้งนะ

 

“ขอบคุณนะครับ”

             

คลื่นรับขนมไปพร้อมกับยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มลักยิ้มที่แก้มซ้ายบวกกับสายตาขี้เล่น มันทำให้เขาดูเจ้าชู้นิดๆ แต่สำหรับผมเขาก็แค่ดูอัธยาศัยดีมากจนเกินเหตุแค่นั้นแหละ

“’งั้นเดี๋ยวเราขอตัวไปกินข้าวก่อนนะ ขับรถกลับดีๆ”

               ผมพูดขึ้นมาเพื่อตัดบทสนทนาแล้วก็ขอตัวกลับไปที่โต๊ะ

เพราะว่าตอนนี้รู้สึกหิวมากๆ และถ้าผมเริ่มหิวอารมณ์มันจะเริ่มดิ่งลงไปเรื่อยๆ

คลื่นไม่ได้พูดอะไรเขาทำแค่ส่งยิ้มมาให้แล้วยกมือขึ้นมาโบกลาแต่ก่อนที่จะเดินออกไปเขาหันกลับเข้าไปมองในร้านอีกครั้ง ก่อนจะเดินแยกตัวออกไป

ตอนผมเดินกลับเข้ามาที่โต๊ะพี่ชาญที่ตื่นขึ้นมาตอนไหนไม่รู้ เขานั่งกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อยู่เงียบๆ โดยที่บนโต๊ะนั้นมีบะหมี่ที่ผมสั่งไปวางไว้เรียบร้อยแล้ว ดวงตาดุนั่นมองมาที่ผมแวบหนึ่งก่อนจะยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงเพื่อเตรียมตัวลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า

บรรยากาศรอบตัวระหว่างเราสองคนมันดูเงียบจนน่าอึดอัดต่างจากก่อนหน้าที่คลื่นจะเข้ามา ถึงแม้คนตัวโตตรงหน้าผมเขาจะไม่ได้แสดงท่าทีว่าไม่พอใจอะไรออกมา แต่มันเหมือนมีหมอกควันจางๆโอบรอบตัวเขาไว้ พี่ชาญไม่ได้พูดอะไรเขาเพียงแค่เอื้อมมือไปหยิบตะเกียบกับช้อนออกมาจากกล่องพลาสติกมาวางไว้บนถ้วย โดยที่ไม่ลืมจะหยิบมาเผื่อผมด้วยชุดนึง

“ขอบคุณครับ”

                อาจเป็นเพราะว่าไม่ได้นอนติดต่อกันหลายวันอารมณ์เขาเลยไม่ค่อยจะเสถียรเท่าไหร่

               เรื่องนี้มันเป็นเรื่องธรรมดามากๆเพราะผมก็เคยเป็น ช่วงไหนโหมงานหนักแบบโต้รุ่งข้ามวันข้ามคืนก็เคยเหวี่ยงเพื่อนไปบ้างเหมือนกัน

และเพราะว่ากลัวเขาจะหงุดหงิดมากกว่าเดิม ผมเลยไม่ได้ชวนคุยอะไรอีกจนพวกเรากินบะหมี่หมดเกลี้ยงนั่นล่ะสีหน้าของเขาถึงจะดูคลายลงนิดหน่อย พอเห็นว่าได้โอกาสที่ดีผมเลยเริ่มชวนเขาคุยเรื่องงานให้หายง่วง

เห็นท่าทีเซื่องซึมอึนๆที่บางครั้งก็ดูหงุดหงิดฟู่ฟี่แบบไม่มีเหตุผลมันทำให้ผมนึกถึงหมีตัวโตๆเลย

“โปรเจครอบนี้ทำอะไรเหรอครับ”

“ห้างสรรพสินค้า”

“โห แล้วพี่ชาญตรวจแบบผ่านยังครับ”

ผมเผลอตกตะลึงกับสเกลงานขนาดใหญ่ แต่ก็นึกได้ว่าพี่เขาปีสี่แล้วนี่นา งานมันต้องใหญ่และหนักเป็นเรื่องธรรมดา ตัดภาพมาที่ผมพวกวิชาพื้นฐานดีไซน์ดูง่ายไปเลยอ่ะเมื่อเทียบกับงานของเขา

“ยัง”

“งั้น..งั้นมีอะไรให้รักช่วยบอกได้นะ”

               ผมบอกเขาไปเพราะต้องการช่วยจริงๆ สงสารอ่ะเวลานอนจะมีบ้างไหมยังไม่รู้เลย แต่เพราะความตื่นเต้นมันทำให้ผมเผลอเรียกหลุดปากแทนชื่อตัวเองไปเวลาพูด พอนึกได้มัน...มันก็เลยเขินปากหน่อยๆ พี่ชาญก็ดูชะงักไปนิดหน่อยเหมือนกัน มันคงแปลกๆใช่ไหมอ่ะ ก็...ก็ผมชินปากนี่นา เวลาที่พูดกับคนอายุมากกว่าอ่ะ

“อืม” หมีตัวโตกระแอมขึ้นมานิดหน่อยแล้วก็ยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองสองสามครั้ง “กลับกันเถอะ”

เขาลุกขึ้นแล้วเดินนำหน้าผมออกไปโดยที่ไม่รอกันเลย แปปเดียวก็เดินไปอยู่หน้าร้านแล้ว

คนอะไรขายาวชะมัด

พี่ชาญเดินไปจ่ายตังค์ค่าอาหารเสร็จเรียบร้อยก่อนจะเดินกลับไปที่รถ เขาขึ้นไปนั่งคร่อมรถรอผมที่เดินอ้อยอิ่งตามมาอย่างอืดอาด

พออิ่มแล้วทำอะไรมันก็ดูช้าไปหมดเลย เริ่มง่วงขึ้นมาแล้วด้วยเนี่ย





“ค่าบะหมี่ครับ— อื้อ”



               ผมหยิบเงินจากกระเป๋าตังค์ออกมาแล้วยื่นคืนให้ แต่นอกจากเขาจะไม่รับแล้วยังจัดการสวมหมวกกันน็อคใบเดิมให้ผมพร้อมกับใส่ล็อคใต้ค้างให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ

“ขึ้นมาเร็วๆเดี๋ยวฝนตก”

“คืนเงินครับ”

               ผมยังไม่ยอมขึ้นไปตามคำสั่งของเขาและพยายามจะยัดเยียดเงินคืนให้ ไม่ได้นะ ถึงมันจะไม่ใช่เงินเยอะอะไรแต่ผมก็เกรงใจอ่ะ

“ไม่เอา...ขึ้นรถได้แล้ว”

“รับเงินไปก่อนครับ”

“…” เขาถอนหายใจออกมาเบาๆเพราะผมไม่ยอมทำตาม

“…”

ผมเลยเงียบกลับบ้างพร้อมจ้องตาตอบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้เพื่อเป็นการบังคับกลายๆว่าเขาต้องเอาเงินไปผมถึงจะขึ้นรถ

 

ดื้อจัง

 

               คงเพราะความรำคาญพี่ชาญก็เลยดึงแบงก์ในมือผมไปเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง พอทุกอย่างเป็นไปตามต้องการผมก็หลุดยิ้มออกมาอย่างพอใจโดยไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด ก่อนจะขึ้นไปซ้อนบนเบาะหลังอย่างว่าง่าย พอเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วพี่ชาญก็ทำการสตาร์ทเครื่อง เสียงของมันดึงดูดสายตาผู้คนรอบข้างได้ไม่น้อยเลย ผู้ชายอาจจะมองเพราะสนใจรถ แต่ก็มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่หันมาสนใจแถมยังสะกิดเรียกเพื่อนแล้วชี้ๆมาทางคนตัวโตที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาขนาดไหน

               เห็นไหมเล่า...ผมบอกแล้วว่าเขาดูมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ

               แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเขาจะไม่ได้สนใจสิ่งรอบกายมากเท่าไหร่นัก

 

               พอถึงหอก็เป็นเวลาเกือบจะสามทุ่มเข้าไปแล้ว ตอนแรกพี่ชาญจะขับรถเข้าไปส่งด้านในแต่ผมห้ามเอาไว้ก่อนเพราะกลัวว่าเสียงรถมันจะไปรบกวนคนอื่นเข้า เขาก็พยักหน้ารับแล้วก็จอดรถบริเวณหน้าหอตามที่ผมบอกพร้อมกับดับเครื่องลงให้เรียบร้อย

               ผมก้าวลงมายืนข้างๆรถแล้วจัดการถอดหมวกกันน็อคที่อยู่บนหัวออกเพื่อที่จะส่งคืนเขา แต่ไอ้ตัวล็อคที่อยู่ใต้คางมันดันกดไม่ออกนี่สิ ดันจนนิ้วแดงมันก็ไม่ยอมหลุด จนอีกคนทนเห็นผมทะเลาะกับหมวกกันน็อคไม่ไหวเลยเอื้อมมือดึงบริเวณสายรัดเข้าไปหาตัวเอง ผมเลยต้องเขยิบเข้าไปใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้

“อยู่นิ่งๆ”

               ฝ่ามือฝุ่นแนบลงตรงบริเวณใต้ค้างแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือดันคางผมขึ้นเบาๆให้ได้องศา ด้วยความที่เขายังนั่งคร่อมอยู่บนมอไซน์มันเลยทำให้ระดับความสูงของเราต่างกันนิดหน่อย สายตาผมเลยมองต่ำลงไปมองเขาอย่างช่วยไม่ได้ คิ้วๆได้รูปขมวดมุ่นเล็กน้อยที่ตัวล็อคมันกดไม่ออกซะที สีหน้าตั้งอกตั้งใจของเขามันทำให้ผมเผลอมองอย่างลืมตัว

แกร๊ก

               เสียของตัวล็อคที่หลุดออกจากกันเป็นที่เรียบร้อยทำให้ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก

               นึกว่าจะต้องใส่หมวกนอนซะแล้วเนี่ย

“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”

               ผมขอบคุณเขาแล้วก็ช่วยเขาถอดหมวกออกก่อนจะส่งยื่นคืนไปให้ แล้วพี่ชาญก็รับมันไปสวมต่อ

“อืม”

               เขาพยักหน้ารับอีกคนหน ก่อนจะทำการสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อเตรียมขับออกไป แต่ผมกลับรู้สึกว่าอยากจะพูดอะไรกับเขามากกว่านี้ มากกว่าคำขอบคุณ จึงเผลอตัวเรียกเขาไว้ พี่ชาญหันกลับมามองผมอย่างสงสัยมันทำให้ลูกคลื่นแห่งความประหม่าลูกโตซัดเข้าใส่จนตั้งตัวไม่ทัน

“พี่ชาญ”

“?”

“คือ..” ผมกระแอมแก้เก้อนิดหน่อยแล้วก็พูดต่อ “ฝันดีครับ

               ประโยคที่บ้าบอที่สุดถูกพูดออกมาอย่างไม่ทันได้คิด หลังจากนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะว่าอะไรหรือมีสีหน้าแบบไหน เพราะหลังจากพูดจบหูผมมันก็ดับไปเลย แล้วผมก็ไม่ได้อยู่รอฟังด้วย ผมรีบหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในหอด้วยความว่องไว ระหว่างที่เดินอยู่นั้นเสียงกระหึ่มทุ้มของเครื่องยนต์ก็ยังคงอยู่ จนผมเดินเข้ามาในตัวตึกแล้วนั่นล่ะเสียงของมันถึงค่อยๆเจือจางหายไป



_________

เอาน้ำตาลมาเสิร์ฟจ้าา  :o8:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2018 08:36:09 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ HPG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
งือ~~~น้องงงงงง น่ารัก
อ่านไปมีแต่คำว่าน้องงงงงง เต็มหัวไปหมดเลยค่ะ

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
น่ารักกกกกกกกกอ่านไปเรื่อยๆยิ่งเจอแต่คำว่าน่ารัก :impress2: :pig4:

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
พี่ชาญมานิ่งๆ แต่ทำเอาน้องเขินหนักมาก :-[

รอติดตามตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
✧ CHAPTER 4 – สายรหัส ✧

.

.

.

 

 

“เหลืออีกห้านาที เร็วเลยไอ้รัก!”

 

            เสียงร้อนรนของเนี๊ยบพูดขึ้นเป็นครั้งที่สิบกว่าแล้วในรอบสามสิบนาทีที่ผ่านมา เพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ พวกผมต้องเอางานเขียนแบบลงไปส่งแล้ว เพื่อนคนอื่นๆทั้งสตูเดียวกันและสตูข้างเคียงก็วิ่งวุ่นเสียจนทั้งชั้นนั้นวุ่นวายไปหมด

             บางคนรองเท้าไม่ใส่วิ่งเปิดส้นไปเลยก็มี

 

“แปปดิ ยังไม่ได้เขียนชื่อเลย”

           

ผมก็เริ่มลนไม่ต่างกัน มือไม้มันสั่นจนเผลอกดดินสอแรงทำให้ไส้หักไปหลายรอบ

ฮือออ ไม่ทันแล้วว

 

“มานี่กูเขียนให้”

           

            คงเพราะเห็นผมสติแตก เต๋อที่ยืนอยู่ข้างๆกันเลยแย่งดินสอในมือออกไปเขียนให้แทน เพราะการเขียนชื่อส่งงานของคณะผมเนี่ยมันต้องเขียนหลายอย่างมาก ทั้งชื่อมหาลัย ชื่อคณะ รหัสสาขา วันที่ อาจารย์ประจำสตู บลาๆๆๆ เพื่อเป็นการคัดลายมือไปในตัว

 

ตลกใช่ไหมล่ะ ปีหนึ่งแล้วยังต้องคัดลายมือกันอยู่อีก

 

               แต่บอกไว้ก่อนเลยว่างานเขียนแบบทางสถาปัตย์เนี่ยลายมือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเลยนะ อาจารย์มักสอนพวกผมอยู่เสมอเลยว่าระวังลายมือฆ่างาน เพราะแบบนี้พวกเราเลยต้องหัดคัดลายมือกันตั้งแต่เริ่มต้นมันจะได้ชิน

             

“เต๋อเร็วเต๋ออ”

           

               พอได้เป็นฝ่ายรอบ้างผมเลยแอบเร่งเต๋อยิกๆๆอยู่ข้างๆ มันคงจะรำคาญผมที่คอยงุ้งงิ้งอยู่ข้างหูเลยยกเท้าขึ้นมาเขี่ยๆให้ผมหลบออกไปอีกทาง

 

“เสร็จแล้ว!ป่ะวิ่ง!”

 

            พอทุกอย่างเรียบร้อยดีพวกผมทั้งสามก็สตาร์ทเครื่องพุ่งตัวออกจากสตูด้วยความรวดเร็วชนิดที่แทบจะลอยตัวออกไปได้คงทำไปแล้ว ตอนนี้ภายในคณะเหมือนสนามวิ่งมาราธอนขนาดย่อม แต่ต่างกันที่ทุกคนแค่ใส่เสื้อผ้าชุดนิสิต นี่ถ้าเอาป้ายหมายเลขมาแปะไว้คือรอคล้องเหรียญได้เลย

 

            แฮ่กก เหนื่อยเว้ยย!

 

            แต่สุดท้ายพวกเราก็ส่งงานกันทันพอดีแบบเฉียดฉิวเลยด้วย ฮู่วว เกือบไปแล้ว

             

และเพราะอากาศที่มันร้อนอบอ้าวบวกกับความระอุในตัวที่ผ่านการออกกำลังมา ผมเลยเอาเสื้อนิสิตออกมาจากนอกกางเกงพร้อมกับปลดกระดุมเม็ดบนสองเม็ด ไม่ลืมที่จะพับแขนเสื้อขึ้นไปไว้ตรงช่วงศอกด้วย สภาพเต๋อกับเนี๊ยบก็ไม่ต่างกัน คือตอนนี้ถ้าพี่ๆฝ่ายระเบียบมาเห็นพวกผมคงโดนมองแรงแน่ๆ

 

“วันนี้พี่ปีสามเขานัดว่ะ ทั้งรุ่นเลย”



            ในระหว่างที่กำลังเดินกลับขึ้นไปเก็บกระเป๋าบนสตู จู่ๆเนี๊ยบก็พูดขึ้นมาพร้อมกับหันมามองหน้าผมกับเต๋อ พอได้ยินว่าจะได้เข้าคลาสผมก็อดที่จะยู่หน้าไม่ได้

             ก็..ก็ผมไม่ชอบเข้ากิจกรรมอ่ะ ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่ กิจกรรมล่าสุดที่ผมเข้าร่วมก็คือการรับน้องของมหาลัยนั่นแหละ ส่วนของคณะผมยังไม่เคยเข้าเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่อะไรนะ ขี้เกียจล้วนๆเลย แหะๆ

 

“เออว่ะ..ไอ้รัก มึงก็มาด้วยเลย วันนี้เห็นบอกเขาจะเฉลยสายรหัสกัน”

 

            เต๋อก็เออออๆตามกันไปแล้วก็หันมาจ้องกดดันผมอีกคนซะงั้นอ่ะ ฮึ่ย

 

“ไม่ไปไม่ได้เหรออ”

               ผมอดที่จะงอแงงู่งี่ขึ้นมาไม่ได้ จนเนี๊ยบกับเต๋อหันมามองด้วยสายตาที่แสดงออกชัดเจนเลยว่าพวกมันเบื่อผมโคตรๆๆ อะไรเล่า ก็คนมันไม่อยากไปนี่หว่า

 

“มึงร่วมกิจกรรมบ้างเหอะรัก นิดนึงก็ยังดี อันนี้ถือว่าขอ”

 

            เต๋อบ่นผมงึมงำๆเหมือนหมีกินผึ้ง

ส่วนเนี๊ยบก็หันมาพยักหน้าเห็นด้วยไปกับมันอีก

แบ่งทีมกันนี่หว่าาา

 

“เออจริง แค่วันนี้ก็ได้อ่ะ ไปเหอะ เนี่ยพวกกูก็ไป”

“อืออ รู้แล้วว ไปก็ไป”

 

            พอตกลงกันจนพวกมันพอใจแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปเก็บของลงเป้ตัวเองให้เรียบร้อยพร้อมกับปิดหน้าต่างและไฟของสตูให้อย่างเสร็จสรรพ

               เมื่อลงมาที่จอดรถมอไซค์เนี๊ยบก็ขอตัวแยกออกไป เห็นบอกว่าจะไปรับแฟนไปกินข้าว ส่วนผมกับเต๋อที่อยู่หอด้วยกันก็กลับด้วยกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

              และจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่ยอมให้ผมขับรถเลยเพราะกลัวว่าผมจะไปเสยตูดรถใครเขาเข้าอีก

 

เนี่ย ไม่ไว้ใจกันเฉยเลย

 

แต่ก่อนที่เต๋อจะขับรถออกไป ผมก็ทันสังเกตเห็นรถช็อปเปอร์คันที่คุ้นเคยจอดอยู่ใต้ต้นหูกระจง

 

รถพี่ชาญนี่...วันนี้พี่เขามีเรียนด้วยเหรอ?

 

พอนึกไปถึงเจ้าของรถมันทำให้ผมคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ขึ้นมาเฉยเลย แล้ว...แล้วตอนนี้ใบหน้าก็โดนไอร้อนเข้าโจมตีอีกแล้วด้วยเมื่อคิดถึงคำพูดโง่ๆของตัว 



ฝันดีนะครับ...



ฝันดี! ฝันดีอะไรเล่า!



บอกให้เขาฝันดีแต่กลับเป็นผมซะเองที่นอนไม่หลับทั้งคืน ไม่รู้ว่าตอนนั้นตัวเองคิดอะไรอยู่ แต่รู้แค่ว่าอยากพูดกับพี่เขา ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าอยากคุยอะไร เพราะปกติผมก็ไม่ใช่พวกที่คุยเก่งหรืออัธยาศัยดีขนาดนั้น เพราะงั้น...ไอ้คำบอกฝันดีที่ผมพูดออกไปเมื่อคืน มันเลยทำให้ผมรู้สึกเขินปากตัวเองมากๆเลย



ผมนั่งซ้อนรถเต๋อไปเรื่อยๆ ระหว่างที่ติดไฟแดงก็ไม่รู้จะทำอะไร เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา เห็นเจ้าจุดแดงแจ้งเตือนบนแอพแชทยอดนิยม ที่ตอนนี้มันขึ้นทะลุร้อยแล้วเลยกดเข้าไปเช็คซะหน่อย เพราะผมเป็นพวกที่ขี้รำคาญมากมากก เลยปิดโนติทุกอย่างไว้หมดเลย อย่างเช่นไลน์เนี่ยถ้าไม่เอาไว้คุยกับครอบครัวและแก๊งเพื่อนๆผมแทบจะไม่แตะมันเลย



อย่าพูดถึงเฟสบุ้คเลย...อัพเดตล่าสุดก็หลายเดือนมาแล้ว



พอกดเข้าไปดูในกรุ้ปแชทของครอบครัวผมที่มักจะเด้งขึ้นมาอยู่เป็นอันแรกเสมอ รองลงมาก็เต๋อกับเนี้ยบและเพื่อนๆสมัยมัธยม ผมเลือกที่จะกดเข้าไปดูกรุ้ปของครอบครัวก่อนอันดับแรกเพราะคิดถึงทุกคนมากๆ ป๊ากับแม่ไม่โทรมาหาผมหลายวันแล้วด้วยอ่ะ

แอบน้อยใจไปแล้วนิดนึงด้วย



The R Family (5)



PaPa : วันนี้แม่เขาทำข้าวหมูแดงด้วย /ส่งรูป



Rukkn : งอนป๊า!



               ผมยู่หน้าอย่างขัดใจเพราะปะป๊าส่งรูปมายั่ว แม่ผมเป็นคนที่ทำอาหารได้อร่อยมากกก โดยเฉพาะข้าวหมูแดงนี่แหละที่เป็นเมนูโปรดของผมเลย และตั้งแต่ที่ย้ายมาเรียนที่นี่ผมยังไม่เคยเจอร้านไหนทำข้าวหมูแดงอร่อยเท่าฝีมือแม่ผมเลยด้วย แล้วนี่ยังต้องมาทนมองมันผ่านหน้าจออีก ฮึ่ย!



PaPa : ช่วยไม่ได้นี่หว่า อยากไปเรียนไกลบ้านทำไมไอ้อ้วน 55555 /สติ้กเกอร์หัวเราะสะใจ



Rin-Chi : พี่รักจะกลับบ้านตอนไหนอ่า รินคิดถึงนะๆ

 

               พออ่านข้อความของน้องสาวคนสุดท้องที่เด้งขึ้นมาอารมณ์ผมก็ดีขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่  เลิกสนใจป๊าที่กำลังมีความสุขกับการแกล้งผมไปเลย

               ใครๆก็ว่าผมน่ะเป็นพวกที่หลงน้องมากกก ตอนนี้เธอพึ่งจะอยู่ป.4 อายุห่างกับผมค่อนข้างเยอะเลย

               ผมเลยชอบให้น้องอ้อนเยอะๆด้วยมันกระชุ่มกระชวยตัวใจดีชะมัด

 

Rukkn : พี่รักก็คิดถึงหนูครับ



PaPa : จะกลับบ้านตอนไหนอ้วน



Rukkn : อาทิตย์หน้าอ่ะป๊า



PaPa : เออๆ รีบมา แม่เขาบ่นคิดถึงทุกวัน



Rukkn : ค้าบบบ



            ผมยิ้มให้หน้าจออีกครั้งก่อนจะกดออกจากแอพ แต่แล้วแชทปริศนาของใครคนหนึ่งก็เด้งขึ้นมาซะก่อนเลยต้องกดเข้าไปดูอีกหน รูปโปรไฟล์เป็นรูป เอ่อ...หมาบีเกิ้ล ส่วนชื่อก็เป็นแค่ตัวอักษรตัวซีตัวใหญ่ตัวเดียว



               ใครหว่า



C : /สติ้กเกอร์รูปหมี



C : โทษที



C : นิ้วมันไปโดน



               ผมจ้องหน้าจอพร้อมกับคิ้วที่ขมวดฉับ



Rukkn : ใครคับ?



            ผมพิมพ์ถามกลับไป ไม่ถึงนาทีทางนั้นก็ขึ้นเตือนว่าอ่านแล้ว

            แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก ผมก็เลยกดปิดและเก็บมือถือลงไปไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วก็ไม่ได้สนใจมันอีกเลย

 

 

               พอถึงหอผมกับเต๋อก็แยกย้ายกันเข้าห้องใครห้องมันไปพักผ่อน เพราะเวลาสองทุ่มพวกเรามีนัดไปคณะกัน ผมเลยเข้าไปอาบน้ำให้มันสดชื่น พอออกมาจากห้องน้ำก็ทิ้งตัวลงเตียงนุ่มๆแล้วก็เกลือกกลิ้งไปมาจนผ้าห่มเข้ามาพันตัวผมจนยุ่งไปหมด



               คิดถึงผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มหอมกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มของแม่จัง...



                พอรู้สึกว่าความคิดของตัวเองเริ่มฟุ้งซ่าน ผมเลยเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมาเล่นแก้เบื่อ

               

               เฟสบุ้คที่ไม่ได้เข้ามานานตอนนี้มีคนแอดผมมาอยู่แค่ไม่กี่คนส่วนมากก็เป็นเพื่อนในสาขาที่พอจะรู้จักและเคยเห็นหน้ากันมาบ้าง จนมาถึงคนล่าสุดนี่แหละทำให้ผมขมวดคิ้วสงสัยหน่อยๆ

             

นี่มันคลื่นนี่

             เขารู้จักเฟสผมได้ไงอ่ะ

             

แต่ด้วยความที่ไม่ได้คิดอะไรมากเขาแอดมาผมก็กดรับเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกัน หลังจากนั้นไม่นานเสียงแจ้งเตือนแชทของเฟสก็ดังขึ้น



และก็เป็นคลื่นอีกนั่นแหละที่ทักผมมา

 

Kluen Chonlatee

โหลๆ



-             ว่าไงคลื่น



เปล่า...รักรับแอดเราด้วย ดีใจจัง



-             เว่อร์แล้ว



555 วันนี้เข้ามาคณะไหมอ่ะ



-             ไปๆ



อ่อเค เจอกันครับ

 

               ผมไม่ได้พิมพ์ตอบกลับเขาไปอีก กะว่าจะเปลี่ยนไปอ่านการ์ตูนเพื่อฆ่าเวลาแทน

               แต่อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้ผมเปลี่ยนใจกดเข้าไปที่เจ้าแอพแชทสีเขียวนั่นอีกครั้ง เจ้าของแชทปริศนาคนนั้นก็ยังไม่ตอบผมกลับมา

               แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนรูปโปรไฟล์แล้ว จากที่เป็นรูปเจ้าบีเกิ้ลตัวอ้วนนอนน้วยเกยหน้าอยู่บนฟุตบาทเป็นรูปแผ่นหลังกว้างๆของผู้ชายคนหนึ่งแทน

             

ด้วยความสงสัยผมเลยกดเข้าไปดู

 

พอดูชัดๆก็ต้องตกใจจนสะดุ้ง...นี่มันพี่ชาญ!



ในรูปเขาเพียงแค่ยืนหันหลังใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้นมาไว้ที่ศอกเหมือนกับปกติ ผมยาวๆของเขาถูกมัดรวบเป็นจุกไว้ข้างหลังเหมือนเคย



ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่าเราแลกเบอร์กันไว้ ที่ผมมีไลน์เขาก็คงเป็นเพราะมันเพิ่มเพื่อนอัตโนมัติจากเบอร์โทรแน่ๆ และจู่ๆเจ้าไอร้อนมันก็กลับมาเล่นงานบนใบหน้าผมอีกครั้ง ผม...ทำอะไรไม่ถูกแล้วตอนนี้ เลยตัดสินใจสูดหายใจเฮือกใหญ่รวบรวมความกล้าแล้วพิมพ์ข้อความส่งไปหาเขาแทน

 

Rukkn : พี่ชาญใช่ไหมครับ?



            รู้แหละว่าเป็นเขา มั่นใจด้วยว่าใช่ แต่ต้องทำฟอร์มถามไปก่อนแก้เขิน แหะๆ

           

            รออยู่ประมาณห้านาทีมันถึงขึ้นว่าเขาอ่านแล้ว

            ตอนนี้หัวใจผมมันเต้นแรงจนปวดไปหมด มือเย็นเฉียบแต่กลับมีเหงื่อผุดซึมขึ้นมาเฉยเลย มันทั้งตื่นเต้นและลุ้นไปหมดว่าเขาจะตอบกลับมาว่าอะไร



C : อืม



Rukkn : อ๋ออ โอเคครับ



C : ทำอะไร



Rukkn : นอนเล่นครับ



Rukkn : แล้วพี่ล่ะ?



C : ประชุมอยู่



C : ในห้องสโม



C : /สติ้กเกอร์หน้าหมีเบื่อ



 

               พออ่านข้ามความที่เขาส่งมาเสร็จผมก็หลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ มันทำให้ผมนึกหน้าเขาออกเลย หน้าเนือยๆเบื่อๆ เหมือนหมีตัวโตที่ถูกบังคับให้เข้าไปนั่งประชุม



Rukkn : ตั้งใจนะครับ



Rukkn : สู้ๆ

           

ผมพิมพ์แล้วลบ ลบแล้วพิมพ์อยู่หลายรอบมาก ชั่งใจอยู่นานว่าจะส่งไปดีไหม แต่สุดท้ายก็กดส่งไปแล้วมันก็ขึ้นอ่านทันทีทันใดเลยด้วย

 

มันเหมือนกับว่าเขา...เปิดหน้าแชทของผมทิ้งไว้อยู่แล้วอย่างงั้นแหละ แต่รอบนี้พี่ชาญไม่ได้ส่งอะไรกลับมาอีกเลย ฮึ่ยย ไม่สนแล้ว ไปอ่านการ์ตูนต่อดีกว่า

             

หัวใจทำงานหนักมาก!





(ต่อ คห.ที่ 25)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2018 22:16:41 โดย Punmile09 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
พี่ชาญ ... กั๊กอะ
ชอบน้องก็บอก ๆ ไปเหอะ
ช้า ... เดี๋ยวน้องไหลไปกับคลื่นน้าาาาาาา

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
พี้ชาญชักช้าระวังหมาคาบไปแ_กนะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
รัก น่ารักสินะ   :mew1:
พี่ชาญก็มา  คลื่นก็มา  หลงเสน่ห์
พราชาญจูบทางอ้อมรักไปแล้วสองครั้ง   :z3:

พี่ชาญ  รัก  :กอด1: :กอด1: :กอด1: 
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
น่ารักมากกกกก

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
.
.
.       



           ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าๆแล้ว วันนี้ที่คณะคนดูหนาแน่นเป็นพิเศษด้วย ผมนั่งรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนๆในสาขาระหว่างที่กำลังรอพวกพี่ปีสองเขาเรียกรวม เห็นบอกวันนี้จะเปิดสายรหัสกันด้วย



             เอาจริงๆผมก็แอบตื่นเต้นอยู่เหมือนกันแฮะไม่รู้ว่าจะได้ใครเป็นพี่รหัส

 

“ปีหนึ่งฟังเรียกแถว แถวตอนเรียงสิบทั้งหมดจัดแถว!”



“เฮ่!!”

 

            จู่ๆก็มีเสียงพี่ผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา เพื่อนทุกคนรอบตัวผมขานรับพร้อมกับรีบลุกขึ้นพร้อมกับวิ่งออกไปตรงบริเวณคอร์ดกลางของคณะ ผมยังคงทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะทำตัวยังไงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาด้วยสิ ผมรีบวิ่งแจ้นตามหลังเนี๊ยบกับเต๋อไปแต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนคนอื่นๆเบียดๆให้ไปอยู่แถวหลังๆจนได้

 

“ทั้งหมดนิ่ง! ทั้งหมดนั่ง!”



“ขอบคุณครับ/ขอบคุณค่ะ”

           

            มาถึงไม่ทันไรก็โดนสั่งให้ลงไปนั่งบนพื้นคอนกรีตซะแล้ว ทำเอาผมหอบแฮ่กไม่น้อยเลยเพราะด้วยความตกใจและตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่ๆตรงหน้า นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นการเข้าคลาสผมนึกว่าฝึกรด.นะเนี่ย มีแถวตอนเรียงสิบด้วย มหาลัยสมัยนี้เขายังปกครองกันด้วยระบบแบบนี้อีกเหรอเนี่ย

 

ช่างเหอะ มาถึงขนาดนี้แล้วเขาให้ทำไรก็ทำ

 

            พอนั่งพักจนหายเหนื่อย ก็เห็นพี่ๆอีกกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าแถวของพวกผม

            ผมพอที่จะคุ้นหน้าพี่บางคนมาบ้างแล้ว พวกเขาเป็นพี่ๆชั้นปีที่สาม ผมจำได้ ตั้งแต่เข้ากิจกรรมรับน้องของมหาลัยคราวนู้นก็พวกเขานี่แหละที่คอยดูและส่งน้ำส่งขนมให้กิน

 

“เอาล่ะ วันนี้รู้กันแล้วใช่ไหมว่าทำไมพวกพี่ถึงนัดมา”

           

               พี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูจะเป็นแกนนำของกลุ่มเขยิบขึ้นมายืนแถวหน้าพร้อมกับพูดด้วยเสียงที่ดังฟังชัด ขนาดผมที่นั่งอยู่ท้ายๆแถวยังได้ยินชัดเจน

 

“ครับ/ค่ะ”



“วันนี้จะเปิดสายแล้ว น้องๆคนไหนที่รู้โค้ดสายรหัสแล้วให้ไปตามหาพวกพี่เขาได้เลย พี่ว่าพวกเราก็น่าจะพอรู้บ้างแล้วแหละว่าใครเป็นสายรหัสตัวเอง ใช่ไหม"

 

“ใช่ค้าบบ/ใช่ค่า”

 

            เพื่อนทุกคนที่นั่งอยู่ก็ล้วนตอบพี่เขาอย่างหน้าชื่นตาบาน มีแค่ผมคนเดียวแหละมั้งที่กำลังนั่งอึ้งๆงงๆทำอะไรไม่ถูก

             ผมพึ่งนึกได้เลยว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ผมมาเข้าคลาส สายรหัสอะไรนั่นผมรู้กับเขาซะที่ไหนกันเล่า โธ่

             แต่ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันออกไป จู่ๆผู้หญิงคนนึงที่นั่งอยู่ข้างผมเธอก็ยกมือขึ้นคล้ายว่าจะมีคำถาม

             ทุกสายตาของพี่ๆและเพื่อนทุกคนเลยหันมามองเธอด้วยความสนใจ และแน่นอนผมก็ด้วย

             เธอเป็นผู้หญิงที่...น่ารักมากๆ แบบว่ามากมากกก ผมสีน้ำตาลอ่อนดัดลอนนิดหน่อยถูกมัดรวบให้ตึงเผยให้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้ม ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สบายตาไปหมด ดวงตากลมโตดูคล้ายกับพวกลูกครึ่งที่มีเชื้อทางฝั่งลาตินประมาณนั้นเลย

 

“คือ...หนูมีคำถามค่ะ”



“ว่ายังไงค้าบ ถามพี่ก็ได้”



“หน้าม่อมาก น้องกลัวหมดแล้ว ถามพี่ดีกว่าครับ”



“พวกมึงถอยไป กูเอง”

             

พวกพี่ผู้ชายหลายๆคนที่ยืนเงียบมาตั้งนาน ต่างแย่งกันมีบทบาทเสียจนชุลมุนวุ่นวายไปหมด สร้างเสียงโห่ฮาขบขันให้ทุกๆคนที่อยู่โดยรอบอย่างไม่ขาดสาย

 

“พวกมึงพอเลยๆ กูจัดการเอง ว่ายังไงคะน้องมีอะไรจะถามเอ่ย”

 

               พี่ผู้หญิงที่เป็นหัวหน้ากลุ่มตัดบทฉับขึ้นมาจนหลายคนต้องร้องโอดร้องโอยกันใหญ่



               ตลกดี

 

“พอดีว่าหนูพึ่งเข้ากิจกรรมครั้งนี้เป็นครั้งแรก ก็เลยยังไม่รู้สายรหัสน่ะค่ะ”

           

               พอเธอพูดจบผมก็หันไปมองหน้าเธอทันที เห้ยย งี้ก็แสดงว่าผมก็มีเพื่อนแล้วอ่ะดิ เห็นไหม ไม่ใช่ผมคนเดียวซะหน่อยที่ไม่ค่อยเข้าร่วมกิจกรรมอ่ะ เนี๊ยบกับเต๋อมั่วแล้ว

 

“เออใช่ๆ พี่ก็ลืมถามเรื่องนี้ไปเลย ขอบคุณมากนะจ๊ะที่ช่วยเตือน”



“แหะๆ ค่า”

 

เธอยิ้มเขินๆแล้วก็เก็บมือลงมานั่งเรียบร้อยเหมือนเดิม ตอนนี้ผมยังแอบได้ยินเสียงพี่ๆผู้ชายชั้นปีอื่นร้องโอดโอยมาให้ได้ยินเรื่อยๆเลย บ่นว่าเสียดายบ้างอยากได้เธอเป็นน้องสายบ้าง

 

“ไหนใครที่ยังไม่รู้สายรหัสยกมือขึ้นให้พี่ดูหน่อยซิ”

 

พรึ่บ!

 

               จากร้อยกว่าชีวิตตอนนี้ที่ยกมือขึ้นแสดงตัวมีผมกับเพื่อนผู้หญิงคนข้างๆแล้วก็ผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่แถวหน้าๆซึ่งผมมองไม่เห็นหน้าว่าเขาเป็นใครแต่ดูจากด้านหลังละคุ้นๆยังไงไม่รู้

 

“โอเค งั้นเดี๋ยวน้องสามคนออกมายืนกับพวกพี่ก่อนนะ ส่วนคนที่เหลือแยกไปหาพี่ๆเขาได้เลยจ้ะ”

 

                 สิ้นคำสั่งของพี่หัวหน้ากลุ่มทุกๆคนก็พากันลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น บางคนรีบวิ่งรี่เข้าไปกอดพี่ๆปีสองเลยก็มีบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนานเฮฮา ส่วนคนที่ยังไม่เจอพี่ก็หากันต่อไป แม้แต่เนี๊ยบกับเต๋อก็ตื่นเต้นกับการหาพี่รหัสจนไม่ได้มาสนใจผมเท่าไหร่นัก ผมกับเพื่อนอีกสองคนที่ยังไม่มีสายรหัสกับใครเขาก็เลยต้องปลีกตัวออกไปนั่งรอกับกลุ่มพวกพี่ๆตามที่พี่เขาบอก

 

               ผมเดินตามหลังผู้หญิงคนนั้นไปโดยทิ้งระยะห่างไว้นิดหน่อย



               ยอมรับว่าแอบเขินนิดนึง ก็เธอน่ารักมากๆนี่นาแล้วผมก็เป็นพวกแพ้อะไรที่มันน่ารักๆด้วย

 

               ในระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ จู่ๆแรงมหาศาลที่โอบลงมารอบคอทำเอาตัวผมเซจนเกือบจะล้มหัวทิ่ม ดีที่มือปริศนาข้างนั้นดึงตัวผมไว้ก่อน เกือบจะได้ลงไปวัดความแข็งของพื้นซะแล้วไหมล่ะ

               แล้วเสียงหัวเราะทุ้มๆที่ดังขึ้นอยู่เหนือหัวทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความสงสัย

 

“อ้าว คลื่น”



“ไง ไม่ไปหาพี่รหัสเหรอ”

 

            คลื่นกอดรอบคอผมไว้แน่นจนตัวแทบจะจมหายเข้าไปในอกของเขา ผมพยายามที่จะขืนตัวออกจากการกอดรัดของคลื่นสุดแรง แต่เหมือนจะฝืนเท่าไหร่ก็ไม่มีผลเพราะคลื่นรัดผมไว้แน่นมาก ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลยให้เขาเดินกอดคอไปเรื่อยๆ

 

“เรายังไม่มีสายอ่ะ พวกพี่เขาก็เลยให้ไปนั่งรวมตรงนั้นก่อน”

 

            ผมบอกเขาแล้วก็ชี้ไปทางม้านั่งใต้ต้นไม้ที่มีกลุ่มรุ่นพี่ปีสามและปีสองนั่งคุยกันอยู่เสียงดังเจี๊ยวจ๊าว

 

“เห้ยย เหมือนกัน เราก็ยังไม่มีสาย”



“จริงเหรอ”



“อื้ม พอดีวันที่จับสาย เราไม่ได้มาอ่ะ”



“เราก็เหมือนกัน”

 

            คลื่นกับผมเดินมาจนถึงโต๊ะ พอพี่ๆเขาเห็นพวกผมก็ลุกขึ้นแล้วชวนให้นั่งด้วยกันแต่โต๊ะนี้คนมันเต็มแล้ว ผมกับคลื่นก็เลยขอแยกตัวออกมานั่งโต๊ะข้างๆแทน จะได้ไม่เบียดกัน

 

“เอ้า น้องคลื่น”



“พี่หวานหวัดดีครับ”

           

            พี่ผู้หญิงหัวหน้ากลุ่มคนเมื่อกี้เธอเดินเข้ามาหาพวกผมที่โต๊ะ พร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของพวกเราเสร็จสรรพ ก่อนจะเริ่มเปิดบทสนทนาชวนคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย และส่วนมากก็จะเป็นคลื่นซะมากกว่าที่คุยเขาพี่เขา ส่วนผมก็มีหน้าที่แค่นั่งฟังเฉยๆ

 

“แล้วนี่...เพื่อนน้องคลื่นเหรอจ๊ะ”

 

            พี่หวานเปลี่ยนความสนใจมาที่ผมอย่างกะทันหัน เล่นเอาตั้งตัวเกือบไม่ทันแน่ะ

 

“ใช่ครับ”



“น่ารักจังง ชื่ออะไรคะ”



“รักครับ”



“หูยยย นี่บอกพี่หรือว่าชื่อตัวเองเนี่ยย”



“รักเป็นชื่อของผมครับ แหะๆ”

 

            ผมอดที่จะเขินไม่ได้ ก็โดนพี่หวานแซวซะขนาดนี้ใครไม่เขินก็บ้าแล้วว

          แต่จู่ๆแขนของคนที่นั่งอยู่ข้างกันก็อ้อมมาโอบรอบไหล่ผมไว้ ก่อนที่จะดึงผมให้เข้าไปซุกไว้ในอกเขาซะแน่นจนเริ่มจะหายใจไม่ออก ผมเลยออกแรงดีดดิ้นประท้วงเขาจนหอบแฮ่กๆ

 

               ทำไมคลื่นวอแวจังเนี่ย!

 

“ไม่ได้นะพี่หวาน คนนี้ผมจอง”

 

            คลื่นแกล้งพูดเสียงเข้มๆแล้วก็กดหัวผมให้ซุกลงไปในอกอีกครั้ง ฮึ่ยยย มันเหม็นเหงื่อนะ! อาบน้ำบ้างป่ะเนี่ย!



“พอแล้วคลื่น น้องรักก็ตัวแค่นี้ ไปแกล้งเพื่อน”



            คลื่นหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วก็ดันผมออกจากอกตามที่พี่หวานบอก



แต่เขาก็ยังนั่งเท้าคางมองผมด้วยสายตาระยิบระยับที่ล้อเลียนแบบสุดๆคล้ายจะตลกมากๆกับสภาพของผม



“หัวฟูๆ”



            คนข้างๆยังไม่หยุดก่อกวน แถมยังเอื้อมมือมายีๆๆหัวผมจนมันฟู จากที่มันยุ่งอยู่แล้วกลับยุ่งกว่าเดิมอีก

               

            ไอ้คลื่น!



“อื้ออ พอแล้ว!”



            เพราะเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยๆเลยฟาดมือคลื่นไปทีนึงจนได้ยินเสียงร้องโอดโอยเหมือนกับว่ามันเจ็บมากๆงั้นแหละ

             เว่อร์แล้วเหอะ ผมตีไปเบาๆเองนะ แต่คลื่นอ่ะเล่นใหญ่มากกก



“โอ้ยยย ฉันมานั่งทำอะไรตรงนี้วะ เหมือนเป็นส่วนเกินเลยเนี่ย”



          พี่หวานบ่นอุบอิบหน่อยๆแล้วก็ส่งสายตาเหม็นเบื่อส่งมาทางพวกผม



       แต่แล้วสงครามก็ยุติลงเมื่อพี่ผู้ชายคนหนึ่งเดินถือกล่องอะไรสักอย่างเข้ามาหาพวกผม ก่อนเขาจะหันหน้าไปคุยกับพี่หวานอย่างเข้าใจกัน



“ไปเช็คมาแล้ว ตอนนี้มีสายว่างอยู่สองสาย”



“สายใครอ่ะ”



“สายของพี่ต้นกับพี่ชาญอ่ะ”

 

               ชื่อของใครคนนั้นดึงความสนใจของผมไปได้อย่างมากเลยทีเดียว ขนาดคลื่นที่เริ่มวอแวผมอีกครั้งโดยการดึงมือของผมไปขีดๆเขียนๆเล่นผมยังปล่อยเลยตามเลยให้เขาวอแวซะให้พอ เพราะว่าตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของผมมันพุ่งตรงไปให้ใครอีกคนหมดแล้ว

 

               สายรหัสของพี่ชาญงั้นเหรอ...

 

“งั้นก็แสดงว่ามีสายนึงต้องรับน้องเข้าสองคนอ่ะดิ”



“อื้อใช่”



“งั้นเดี๋ยวผมอยู่กับรักเองครับพี่หวาน”

 

           อยู่ๆดีคลื่นก็พูดสวนขึ้นมาจนพี่ๆเขาต้องหันกลับมามองแต่พวกเขาก็คงคิดว่าผมกับคลื่นสนิทกันอยู่แล้ว ทุกคนก็เลยพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของคลื่น



            ส่วนผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว อยู่กับใครก็ได้ผมไม่เรื่องมากหรอก

 

“แต่สายพี่ต้นเนี่ยเห็นบอกว่าไม่มีปีสองกับปีสามนะ น่าจะซิ่วกันออกไปละป่ะ” พี่หวานหันกลับไปถามเพื่อนตัวเอง



“อื้มใช่ ก็ไม่เห็นเป็นไร นี่ไงก็ให้น้องสองคนนี้ไปอยู่กับพี่ต้นเลย จะได้มีคนช่วยงานพี่เขา”



            พี่ๆเขาตกลงกันให้ผมเสร็จสรรพแล้วก็จับผมกับคลื่นให้ไปอยู่ในสายของพี่คนนั้น

             เห้ยเดี๋ยวดิ งั้นก็แสดงว่า...



“งั้นน้องหลินไปอยู่สายพี่ชาญแล้วกันเนอะ สายนั้นมีแต่ผู้ชาย เอาผู้หญิงเข้าไปอยู่สักคนจะได้ลดความเถื่อนลง”



            พี่หวานหันไปคุยกับเพื่อนตัวเองแล้วก็ชะโงกหน้าไปบอกหลิน เธอพยักหน้ารับนิดหน่อยแล้วก็ยิ้มตอบกลับมาให้อย่างน่ารักน่าชัง

               อ่าาา น่ารักจังเลย



“ได้ค่ะ”

           

               แต่แล้วอารมณ์ที่กำลังสดใสเหมือนลูกโป่งของผม ก็คล้ายกับว่าจะโดนเข็มล่องหนเจาะเข้าอย่างจัง

               มันฟูบฟีบไปทันที่ที่รู้ว่าผมไม่ได้อยู่สายกับพี่ชาญ



               เห...ผมเสียดายงั้นเหรอที่จะไม่ได้อยู่กับพี่ชาญ



  บ้าน่า จะเสียดายทำไมเล่า ไม่เห็นจะต้องเสียดายเลย



  ก็...ก็แค่..แค่อยู่กันคนละสายแค่นั้นเอง..

 

“เอ้า! นั่นพี่ต้นกับพี่ชาญเดินมาพอดี เดี๋ยวพี่ไปเรียกแปป”

 

            จู่ๆพี่หวานก็ลุกพรวดออกไปจากโต๊ะ สร้างความงุนงงให้ทุกคนที่นั่งอยู่ไม่น้อย ผมมองตามเธอไปที่บริเวณทางเดินของคณะที่ตัดผ่านตรงคอร์ดกลาง แล้วก็ปรากฏร่างที่แสนคุ้นเคยของใครคนหนึ่งกำลังเดินคู่มากับเพื่อนของเขา



วันนี้พี่ชาญไม่ได้ใส่ชุดนิสิตเหมือนอย่างทุกวัน แต่กลับเป็นชุดเล่นง่ายๆสบายๆ เสื้อยืดคอกลมสีเทาไม่มีลายขนาดพอดีตัวกับกางเกงยีนส์สีดำขาดเข่าแล้วก็ผ้าใบคู่เก่าของเขานั่นแหละ แต่ว่าการแต่งตัวเรียบง่ายของเขาในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนนี่แหละทำให้ผมรู้สึกใจเต้นตุ้บๆ



เขา...ดูดีมาก มากมาก



เหมือนกับพวกนายแบบลุคเซอร์ๆตามปกนิตยสารชื่อดัง



ยิ่งจิวสีเงินบนหัวคิ้วซ้ายกับห่วงเงินเล็กๆที่ข้างมุมปากได้รูปนั่น มันยิ่งเสริมให้เขาดูเท่ห์เอามากๆ



และเพราะส่วนสูงที่โดดเด่นของเขา เลยสามารถดึงสายตาของทุกคนที่อยู่บริเวณโดยรอบนี้ไปได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือผมนี่แหละ ต้องขอบคุณตัวเองด้วยที่วันนี้ไม่ลืมหยิบแว่นสายตามาใส่ เลยได้โอกาสแอบมองพี่เขาในระยะไกลแบบนี้ได้สะดวกหน่อย อะแฮ่ม

 

               พอคุยกันอยู่สักพักพี่หวานก็ชี้ๆนิ้วมาทางที่พวกผมนั่งอยู่ ผู้ชายตัวโตทั้งสองคนเลยหันมามองตาม และในขณะที่ผมกำลังตั้งใจมองเขาอยู่นั้น ก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้ได้ว่าพี่ชาญก็มองจ้องมาที่ผมเหมือนกัน พอเพื่อนเขาหันมามองตามบ้างก็หันไปยิ้มแปลกๆให้แล้วก็ยกศอกขึ้นกระทุ้งที่แขนพี่ชาญยิกๆ



               หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินเข้ามาทางที่พวกผมนั่งอยู่ โดยมีพี่หวานเดินนำ พอถึงโต๊ะพี่ๆทุกคนรวมถึงพวกผมก็ยกมมือขึ้นไหว้ทักทายพี่เขาไปตามปกติ แต่แล้วแรงกระชากจากด้านหลังก็ทำให้ผมเผลอร้องออกมาอย่างตกใจเพราะจู่ๆคลื่นที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังก็ดึงไหล่ผมจนเสียหลักแล้วก็ลากให้ผมนั่งพิงอกตัวเอง



               ยังไม่หยุดวอแวอีก!



               ผมเลยพยายามดึงตัวเองออกมาอีกครั้งและครั้งนี้ก็ได้ผล คลื่นไม่เกาะผมแน่นหนึบเหมือนครั้งก่อนแล้ว ผมเลยแงะตัวเองออกมาง่ายหน่อย ฮู่วว



            พอเงยหน้าขึ้นไปผมก็เห็นพี่ชาญมองมาทางผมอยู่ก่อนแล้ว ผมเลยยิ้มทักทายเขาไปนิดนึง แต่เขากลับเบือนหน้าหนีออกไปอีกทางซะงั้นอ่ะ แอบเห็นด้วยว่าหน้าเขาดูตึงๆขึ้นมา จนบรรยากาศรอบตัวมันดูมาคุคล้ายกับมีหมอกจางๆมาปกคลุม จนพี่หวานเรียกให้พี่ชาญไปสนใจหลินที่นั่งอยู่โต๊ะฝั่งนู้นนั่นแหละ เขาถึงเดินแยกตัวออกไปโดยไม่หันมามองทางผมอีก

 

               อะไรกันเล่า…



               สายตาเมื่อกี้ มันเหมือนผมไปทำอะไรผิดมาสักอย่างงั้นแหละ

 

“เนี่ยค่ะพี่ต้น น้องสองคนนี้นี่แหละที่หวานบอก”

 

            แล้วพี่หวานก็ดึงความสนใจกลับมาที่พวกผมอีกครั้ง พี่ต้นหันมามองตามและดูเหมือนเขาจะให้ความสนใจกับผมเป็นพิเศษเลยด้วย เพราะสายตาที่พี่เขามองผมมันวิบวับแปลกๆ

 

“โอ้ะ น้องรัก ยินดีต้อนรับนะครับ ดีแล้วแหละมาอยู่กับพี่ พี่จะเลี้ยงดูน้องรักอย่างดี”

 

              พูดเสร็จเขาก็ขยิบตาให้ผมนิดนึงด้วย



นั่นมันทำให้ผมรู้สึกแอบขนลุกขึ้นมาหน่อยๆ



พี่ต้นดูเป็นคนที่...ไม่น่าไว้วางใจอ่ะ

 

“ค..ครับ ฝากตัวด้วยนะครับพี่ต้น”



            ผมยิ้มตอบกลับไปอย่างประหม่าแล้วผมก็เห็นพี่ต้นบ่นฮึ่มฮั่มในลำคอเหมือนจะมันเขี้ยวอะไรสักอย่างด้วย แล้วจู่ๆเขาก็ยื่นมือมาดึงแก้มของผมจนมันยืดออกทั้งสองข้าง



เห้ยย เดี๋ยวมันย้วยนะ!

 

“พี่อย่าดึงมาก แก้มย้วยละนั่น”

 

            เสียงล้อเลียนปนขำของคลื่นดังแทรกขึ้นมา ทำให้พี่ต้นยอมปล่อยมือออกจากแก้มผม พอแก้มเป็นอิสระผมก็ยกมือขึ้นมาลูบปลอบมันป้อยๆ



               มือพี่เขาแข็งใช่เล่นเลยนะ สากมากด้วย!

 

“มันเขี้ยวนี่หว่า”

 

         พี่ต้นขำขึ้นมาบ้าง แล้วก็ทิ้งตัวนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับพวกผม ส่วนใหญ่คลื่นเป็นฝ่ายชวนพี่เขาคุยซะมากกว่า ผมที่นั่งเงียบเป็นตัวประกอบเลยทำแค่นั่งมองบรรยากาศรอบตัวไปเรื่อยๆและมีบางครั้งที่ต้องหันไปตอบคำถามพี่ต้นบ้างนิดหน่อย

                   

          ตอนนี้หลายๆคนก็เริ่มทยอยกลับกันไปแล้ว คนเลยดูบางตาลงไปมาก แต่คนตัวสูงที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็ดึงสายตาของผมให้กลับไปมองที่เขาอยู่ดี



         พี่ชาญยืนกอดอกพิงขอบโต๊ะไม้ด้วยท่าทางสบายๆ  ในโต๊ะนั้นมีผู้ชายอีกสองสามคนดูแล้วน่าจะเป็นพวกพี่ๆสายรหัสของเขานั่นแหละแล้วก็มีหลินคนเดียวที่เป็นผู้หญิง เธอยืนอยู่ใกล้ๆกับพี่ชาญ ใบหน้าน่ารักนั่นเปื้อนยิ้มตลอดเวลาที่เธอเป็นฝ่ายถามและตอบคำถามจากพวกพี่ๆ



            แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเธอซะมากกว่าที่ตอบคำถามของพี่ๆในสาย ผมสังเกตเห็นด้วยว่าหลินมักจะแอบมองไปทางพี่ชาญอยู่บ่อยครั้งพร้อมกับแอบอมยิ้มเขินๆด้วย และบางครั้งก็เหมือนเธอจะพยายามชวนคุยพี่เขา แต่เพราะต้องตอบคำถามของคนอื่นเธอก็เลยเลิกความพยายามนี้ไป

 

“ทำไมคิ้วขมวด”

 

            เพราะมัวแต่เหม่อ เลยไม่ทันได้สังเกตว่าคลื่นเอี้ยวตัวพร้อมกับยื่นหน้ามาบังไว้

 

“ห้ะ อะไร?”



“ก็นี่ไง คิ้วขมวดเชียว คิดอะไรอยู่”



            คลื่นยกนิ้วขึ้นมาจิ้มๆบริเวณกลางหัวคิ้วผมจนมันคลายตัว



             อ่า...จริงด้วย มันขมวดเข้าหากันตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย



“เปล่าๆ ไม่มีไรหรอก”



            ผมยิ้มตอบกลับไป พอคลื่นเห็นว่าไม่มีอะไรน่าห่วงเขาถึงยอมถอยออกไป พี่ต้นมองมาที่พวกผมนิดหน่อยแล้วก็กระแอมขึ้นมาสองสามครั้ง

 

“แฮ่ม แล้วสองคนอยากกินอะไร บอกมาเลย เดี๋ยวป๋าเลี้ยงเอง”



            พี่ต้นพูดอย่างอารมณ์ดีแล้วก็ยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างพร้อมกระดิกเท้ายิกๆ แขนทั้งสองข้างก็ยืดออกไปเท้ากับพนักพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางที่คิดว่าตัวเองน่ะป๋าสุดๆแล้ว



“ผมยังไงก็ได้พี่ แล้วแต่พี่กับรักเลย”



“เออ พี่ก็ได้หมด งั้นให้น้องรักเลือกเลย”



            พอได้ตกเป็นฝ่ายตัดสินใจเรื่องของกินวันเลี้ยงสาย ความสนใจทั้งหมดของผมก็ถูกดึงกลับมาทันที



             ช่างแล้ว!ไม่สนแล้ว!



            ผมใช้เวลาคิดอยู่นิดหน่อยว่าจะกินอะไรดี นู่นก็อยากกินนี่ก็อยากกิน แต่สุดท้ายก็ได้คำตอบที่น่าพอใจ และผมคิดว่าพี่ต้นกับคลื่นก็ต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน



“ปิ้งย่างครับ”



            พอรู้คำตอบจากผมทั้งสองคนนั้นก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงามไปกับผมด้วย เห็นไหม ปิ้งย่างน่ะดีที่สุดแล้ว



             ปิ้งย่างจะเยียวยาทุกสิ่ง!



“เจ้าอ้วนเอ้ยย” และคลื่นก็เอื้อมมือมาดึงแก้มผมจนยืดอีกแล้ว



               วันนี้ทุกคนเป็นอะไรกับแก้มผมกันนักเนี่ยยยย



               ถ้ามันหลุดติดมือไปผมจะไปเอาคืนจากที่ไหนน



“เอ่อ..คลื่นน คลื่นเอ้ยย มึงเอามือลงหน่อยดิ”



“ทำไมวะพี่”



“เออ มึงเชื่อกู”



“ไม่อ่ะ นุ่มนิ่มดีเหมือนตูดเด็ก ฮ่าๆ”

 

            เสียงพี่ต้นพูดขึ้นมาอย่างไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก แล้วสายตาของเขาก็มองเลยไปที่หลังด้านหลังสลับกับมองพวกผมไปด้วย แต่คลื่นก็ดูจะไม่สนใจเท่าไหร่เขาก็ยังคงแกล้งดึงแก้มผมต่อไป ผมก็ไม่คิดจะห้ามแล้วด้วยขี้เกียจจะพูด เพราะตอนนี้ในหัวผมคือคิดถึงสามชั้นย่างชัดเจนมากตอนนี้

 

               หิว!

 

“ต้น จะกลับยัง”



            เสียงทุ้มนุ่มที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นอยู่เหนือหัว เจ้าตัวก่อกวนมันเลยดึงมือออกจากแก้มผมแล้วก็หันตัวกลับไปนั่งดีๆ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงแต่เขากลับไม่ได้มองมาที่ผมเลยด้วยซ้ำ



               พี่ชาญแค่พยักหน้ารับไหว้คลื่นนิดหน่อย แล้วก็หมุนตัวเดินออกไป

 

“ห้ะ..อ้อ เออๆๆ กลับๆ พี่กลับก่อนนะ ละเดี๋ยวจะนัดอีกทีในไลน์กลุ่ม...ไอ้ชาญ! รอกูด้วย! แม่งจะรีบจ้ำไปไหน ชาญโว้ย!!”

 

            พี่ต้นที่เหมือนกำลังทำอะไรไม่ถูก ก็รีบกุลีกุจอลุกขึ้นแล้วรีบออกตัววิ่งไปหาพี่ชาญทันที



             และตอนนี้ผมก็สัมผัสได้ว่าหัวคิ้วของผมมันขมวดมุ่นจนตัวเองยังรู้สึก แม้คลื่นจะพยายามชวนคุยเท่าไหร่ผมก็ไม่สนใจแล้ว 

 

            อะไรเล่า...เมื่อตอนเย็นยังคุยกับผมอยู่แท้ๆเลยนะ



             แล้วทำไมตอนนี้กลับเหมือนคนไม่รู้จักกันเลยเล่า



             ยิ่งคิดเจ้าคิ้วของผมมันก็ยิ่งขมวดมุ่นไปกันใหญ่



              จากที่อารมณ์ดีๆเพราะปิ้งย่างมันก็ดิ่งฮวบจนฉุดไม่อยู่แล้ว



              ฮึ่ย! ไม่รู้ด้วยแล้ว!






ยกนี้ ชลธีแต้มนำไป 1-0 ชนะใสๆ
พี่ชาญเนี่ยคะแนนเดิมก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว พอมามึนตึงใส่น้องคะแนนก็ติดลบไปอีกก
คุณพี่คะะะะ สู้ๆนะ น้องเอาใจช่วยย 5555555


ปล.แก้คำผิดเรียบร้อยแล้วนะคะ ขอบคุณคุณ Meen2495 มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ :กอด1:



tag: #แค่รักคุณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2018 22:17:07 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
พี่ชาญหึงเงียบอะดิ

มีคำผิดนะคะ

“ปีหนึ่งฟังเรียกแถว แถวตอนเรียกสิบทั้งหมดจัดแถว!”
เรียง

สายรหัสอะไรนั่นผมรุ้กับเขาซะที่ไหนกันเล่า โธ่
รู้

กลุ่มรุ่นพี่ปีสามและปีสองนั่งคุยกันอยู่เสียงดังเจี้ยวจ้าว
เจี๊ยวจ๊าว

“แล้วนี่...เพื่อนน้องคลื่อเหรอจ๊ะ”
คลื่น

ผมเลยออกแรงดีดดิ้นประท้วงจนหอบแฮ่กเขา
เขา ?
ประท้วงเขาจนหอบแฮ่ก (รึเปล่านะ)

มันฟูบฟีบไปทันที่ที่รู้ว่าผมต้องอยู่
ฟุบ
ทันที


เหมือนกับพวกนายแบบลุคเซอร์ๆตามปกนิตยาสารชื่อดัง
นิตยสาร

เพราะสายตาที่พี่เขามองผมวันวิบวับแปลกๆด้วย
มัน

ผมเห็นพี่ต้นบ่นฮึ่มฮั่มในลำคอเหมือนจะหมั่นเขี้ยวอะไรสักอย่าง
หมั่นเขี้ยวนี่หว่า”
มันเขี้ยว
ถ้า "หมั่น" ก็ประมาณ หมั่นมาหา หมั่นพูด หมั่นท่องจำ หมั่นไส้

คลื่นเป็นฝ่ายชวนพี่เขา...ซะมากกว่า
อ่านแล้วแปลก ๆ ชวนพี่เขา "คุย" รึเปล่าคะ

เพราะมัวแต่หม่อเลยไม่ทันได้สังเกตว่า
เหม่อ

พี่ต้นมองมาที่พวกผมนิดหน่อยแล้วก็กระแอมขึ้นมาสองสาม...
กระแอมขึ้นมาสองสามครั้ง (รึเปล่าคะ)

สองแขนก็ยืดออกไปเท้าไปกับพนักพิงเก้าอี้
พิมพ์เกินมารึเปล่าคะ

พี่ต้นที่เหมือนกันลังทำอะไรไม่ถูกก็รีบกุลีกุจอลุกขึ้น
กำลัง


เท่านี้ก่อนเนอะ

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
พี่ชาญหึงเงียบอะดิ

มีคำผิดนะคะ

“ปีหนึ่งฟังเรียกแถว แถวตอนเรียกสิบทั้งหมดจัดแถว!”
เรียง

สายรหัสอะไรนั่นผมรุ้กับเขาซะที่ไหนกันเล่า โธ่
รู้

กลุ่มรุ่นพี่ปีสามและปีสองนั่งคุยกันอยู่เสียงดังเจี้ยวจ้าว
เจี๊ยวจ๊าว

“แล้วนี่...เพื่อนน้องคลื่อเหรอจ๊ะ”
คลื่น

ผมเลยออกแรงดีดดิ้นประท้วงจนหอบแฮ่กเขา
เขา ?
ประท้วงเขาจนหอบแฮ่ก (รึเปล่านะ)

มันฟูบฟีบไปทันที่ที่รู้ว่าผมต้องอยู่
ฟุบ
ทันที


เหมือนกับพวกนายแบบลุคเซอร์ๆตามปกนิตยาสารชื่อดัง
นิตยสาร

เพราะสายตาที่พี่เขามองผมวันวิบวับแปลกๆด้วย
มัน

ผมเห็นพี่ต้นบ่นฮึ่มฮั่มในลำคอเหมือนจะหมั่นเขี้ยวอะไรสักอย่าง
หมั่นเขี้ยวนี่หว่า”
มันเขี้ยว
ถ้า "หมั่น" ก็ประมาณ หมั่นมาหา หมั่นพูด หมั่นท่องจำ หมั่นไส้

คลื่นเป็นฝ่ายชวนพี่เขา...ซะมากกว่า
อ่านแล้วแปลก ๆ ชวนพี่เขา "คุย" รึเปล่าคะ

เพราะมัวแต่หม่อเลยไม่ทันได้สังเกตว่า
เหม่อ

พี่ต้นมองมาที่พวกผมนิดหน่อยแล้วก็กระแอมขึ้นมาสองสาม...
กระแอมขึ้นมาสองสามครั้ง (รึเปล่าคะ)

สองแขนก็ยืดออกไปเท้าไปกับพนักพิงเก้าอี้
พิมพ์เกินมารึเปล่าคะ

พี่ต้นที่เหมือนกันลังทำอะไรไม่ถูกก็รีบกุลีกุจอลุกขึ้น
กำลัง


เท่านี้ก่อนเนอะ



โหหห ขอบคุณมากๆนะคะ

ไม่ได้ตรวจคำผิดก่อนลงด้วย คราวหลังจะตรวจให้ละเอียดกว่านี้ค่ะ :hao5:
แงง ผิดเยอะมากจริงๆ
ขอบคุณมากๆนะคะ  :hao5:

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
พี่ชาญแอบหึงน้อง!

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 รำคาญคลื่นได้มะ้ย5555 กวนอยู่นั่นแหละ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด