คุณครูพี่มิน 8“มินอาจารย์พริ้งเรียกให้ไปพบที่ห้องแนะแนวน่ะ เดี๋ยวนี้เลยนะ”
“อื้อ ขอบใจ” มินหันไปขอบคุณเพื่อนที่อุตส่าห์เดินมาบอก
“มีเรื่องอะไรรึเปล่าวะ” เห็นอย่างนั้นต๊อดที่นั่งอยู่ด้วยกันจึงเอ่ยถาม
“น่าจะเรื่องทุนที่เคยเล่าให้ฟัง”
“อ่อ อเมริกา จะไปจริงๆ เหรอวะ”
“ถ้าได้ก็ดี”
“ไม่อยากให้ไปเลยว่ะ”
“ต๊อด ดราม่าอะไรของมึง กูยังไม่ทันได้ทุนเลยนะ”
“ยังไงมึงก็ได้อยู่แล้วล่ะ”
“สมพรปากครับ” มินไม่เคยนึกอยากไปเรียนต่างประเทศ เพราะฐานะทางบ้านไม่ค่อยเอื้ออำนวย เขาจึงมองว่าเรื่องนั้นช่างไกลตัวเหลือเกิน กระทั่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนขณะเข้าไปช่วยงานที่ห้องแนะแนว อาจารย์พริ้งซึ่งประจำอยู่ที่นั่นก็พูดเรื่องทุนขึ้นมา มันน่าสนใจจนมินต้องละมือจากเอกสารที่กำลังจัดชุดเพื่อตั้งใจฟัง
“ถ้าสนใจก็เอานี่ไปอ่านดูนะ” อาจารย์พริ้งว่าอย่างนั้นพร้อมกับยื่นเอกสารมาให้ชุดนึง และยังบอกอีกว่าไม่มีใครได้ทุนนี้มานานแล้ว และเธอก็หวังว่ามินจะเป็นหนึ่งคนที่รอมานาน
“ขออนุญาตครับ” ประตูห้องแนะแนวถูกเปิดออกและปิดลงอย่างเบามือ อาจารย์พริ้งละสายตาจากเอกสารก่อนส่งยิ้มมาให้
“นั่งก่อนสิ” มินนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามตามคำบอก “ตัดสินใจเรื่องทุนนั้นรึยัง”
“คุยกับคุณแม่แล้วครับ ท่านบอกว่าถ้าได้ทุนก็ดีเลย” มินก็คิดว่ามันต้องดีมากแน่ๆ นอกจากเรื่องอนาคตของตนแล้วยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แม่ได้อีกมากโข
“ครูลองดูผลการเรียนของเธอแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ หลังจากนี้คงต้องทุ่มเวลาให้กับการเตรียมตัวสอบหลายๆ อย่างเพื่อเอาไปยื่นขอทุน แต่ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวครูจัดการให้”
“ขอบคุณครับ” มินเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ
“ถ้าเธอได้ทุนนี้ครูก็จะได้หน้าเหมือนกันนะ”
“งั้นเหรอครับ”
“อะไรกัน ไม่รู้สึกหมั่นไส้ครูหน่อยเหรอ”
“อาจารย์พูดตรงดีนี่ครับ ไม่มีอะไรให้หมั่นไส้ซักหน่อย”
“ครูเตรียมเอกสารนี่ไว้ให้ ลองเอาไปอ่านดูจะได้เตรียมตัวถูก” มินรับเอกสารนั้นมา ไล่สายตาอ่านนิดหน่อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์พริ้งที่ไม่ละสายตาจากตน
“ขอบคุณนะครับอาจารย์”
“จ้ะ ไปเข้าเรียนเถอะ”
มินเดินออกจากห้องแนะแนวมาพร้อมกับความคิดมากมายในหัว ถ้าพูดถึงทุนให้เปล่าเต็มจำนวน ก็พอรู้อยู่หรอกว่ามันคงไม่ง่ายที่จะได้มา แต่ถ้าได้จริงๆ ก็คงแบ่งเบาภาระแม่ได้หมดเลย แม่อาจจะสบายขึ้นไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำแลกกับเงินเดือนครูอันน้อยนิด
ต้องพยายามให้มากกว่าเดิมซักเท่าตัวล่ะนะ ถึงแม้จะมุ่งมั่นเพียงนั้นแต่ก็ยังมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบอยู่
พี่แพท
“อย่างนั้นเหรอจ๊ะ มินเก่งอยู่แล้ว อย่างไรก็ต้องได้ทุนแน่ๆ จ้ะ” ไม่รู้ว่าคุณแม่น้องแพทไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนแต่เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองอยู่ไม่น้อย
หลังจากส่งน้องแพทเข้านอนเมื่อตอนสี่ทุ่มอย่างยากลำบากเมื่อน้องเอาแต่งอแงขอให้นอนด้วยกัน กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้นอนได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเลย มินออกมานั่งรอคุณแม่ที่เหมือนจะกลับบ้านดึกกว่าปกติที่ห้องรับแขก ท่านขอโทษขอโพยยกใหญ่เมื่อพบว่าการกระทำของตนได้ส่งผลกับเด็กเตรียมสอบอย่างมินเช่นไร
“มินจะช่วยดูแลน้องจนกว่าจะหาพี่เลี้ยงคนใหม่ได้ครับ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่คิดว่าแม่จะเลิกตามคุณพ่อแล้วมาดูแลน้องแพทเอง”
“จริงเหรอครับ” เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก บางทีการที่เขาตัดสินใจถอนตัวก็เป็นเรื่องที่เหมือนจะดี
“เพิ่งมารู้ตัวว่าไม่ค่อยใส่ใจน้องเอาตอนนี้ไม่รู้ว่ามันจะสายเกินไปรึเปล่า”
“ไม่หรอกครับ น้องแพทต้องดีใจมากแน่ที่จะได้อยู่กับคุณแม่”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงดี แล้วมินบอกเรื่องนี้กับแพทหรือยังจ๊ะ”
“ไม่รู้จะเริ่มยังไงครับ มินเองก็ทำใจลำบาก” แค่นึกว่าต้องบอกน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาแล้ว ไม่รู้เลยว่าถ้าต้องบอกจริงๆ สภาพมินจะเป็นอย่างไร
“ต้องบอกลาด้วยตัวเองนะจ๊ะ”
มินรับปากคุณแม่ด้วยเสียงอันแผ่วเบาไร้ความหนักแน่นมั่นคง อ่อนไหวราวกับดอกหญ้าที่พร้อมจะปลิดปลิวเมื่อลมพัดผ่านมา
มินยังคงทำหน้าที่พี่เลี้ยงอย่างไม่ขาดตกบกพร่องตลอดทั้งสัปดาห์ ถึงแม้พยายามจะทำตัวให้ร่าเริงเป็นปกติแต่ก็ถูกน้องจับได้อยู่บ่อยครั้ง
“มึงโอเคแน่เหรอวะ”
ถึงแม้อีกฝ่ายจะพยักหน้าตอบในทันทีแต่ต๊อดที่เดินมาเป็นเพื่อนตั้งแต่โรงเรียนก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามินไม่โอเคเลยซักนิด
“ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกซักหน่อย เหงาๆ ก็แวะไปเล่นด้วยบ้างก็ได้นี่หว่า”
“นั่นสินะ” ตอบรับเหมือนเข้าใจแต่ไม่กระฉับกระเฉงแม้แต่น้อย ทั้งที่เรื่องเรียนออกจะเก่งขั้นเทพแต่กับเรื่องแบบนี้กลับจัดการไม่ได้เลยเนี่ยนะ เก่งสู้ต๊อดไม่ได้เลยซักนิด
“มึงนี่นาะ กูส่งแค่นี้ละกัน”
“ขอบใจนะต๊อด” ทั้งคู่บอกลากันก่อนต๊อดจะหมุนตัวเดินกลับไปตามทางเดิม ในขณะที่มินไม่กล้าแม้แต่จะก้าวไปข้างหน้าราวกับว่ามีหินหนักๆ มาถ่วงขาเอาไว้ มันหนักอึ้งจนก้าวไม่ไหว
ทั้งที่เมื่อวานยังเดินบนถนนเส้นนี้ได้อย่างปกติอยู่แท้ๆ
ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อเช้าซึ่งเป็นเช้าของวันสุดท้ายในฐานะพี่เลี้ยงน้องแพท
อยากให้เส้นทางนี้ยาวออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด มินก้มมองมือที่จับจูงกันเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยโดยไม่รู้เลยว่าตนออกแรงบีบมือน้อยนั้นจนน้องเริ่มเจ็บนิดหน่อยจึงเงยหน้าขึ้นมอง
“คุงคูพี่มิง เราจะเดิงไปไหนกัง”
“ครับ พี่แพทว่าไงนะ” ทั้งคู่หยุดเดิน มินนั่งยองๆ ลงตรงหน้าคนตัวเล็ก ใช้ดวงตาคู่สวยจ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังแสดงความสงสัยอย่างชัดเจน
“เราเดิงเลยป้ายรถเมล์มาแล้วนะ” น้องว่าพลางชี้ไปยังป้ายรถเมล์ที่เคยนั่งรถรถด้วยกันประจำ
ใช่จริงๆ ด้วย เผลอเดินผ่านมาจนได้
“คุงคูพี่มิงยังไม่หายดีเหรอ ทำไมไม่ร่าเริงเลยล่ะ ถ้าไม่ไหวให้ต๊อดมารับพี่แพทก็ได้นะ” ยิ่งน้องแสดงความห่วงใยกล้ามเนื้อหัวใจก็ยิ่งบีบรัดจนรู้สึกถึงความเจ็บแปลบ
คงถึงเวลาที่ต้องบอกลากันแล้วล่ะมั้ง
“พี่แพทฟังพี่มินนะ” เมื่อคนเป็นพี่เลี้ยงว่าด้วยน้ำเสียงจริงจังเด็กน้อยก็เปลี่ยนเป็นยืนตัวตรงเพื่อตั้งใจฟังเช่นเดียวกัน “พรุ่งนี้พี่มินมารับพี่แพทที่โรงเรียนไม่ได้แล้วนะครับ”
“เอ๋ แล้ววันมะรืนล่ะ”
“มะรืนก็มาไม่ได้ครับ”
“แล้ววันต่อจากมะรืนล่ะ คุงคูพี่มินจะมารับพี่แพทเหมืองเดิมใช่มั้ย” ไม่มีอะไรเหมือนเดินอีกแล้ว
คำพูดที่เตรียมมาถูกทำหล่นหายระหว่างทางและไม่ว่าจะพยายามค้นเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เขาไม่รู้เลยว่าต้องบอกอย่างไรที่จะทำให้น้องเศร้าน้อยที่สุด
“พี่มินทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว”
“ทำไมล่ะ ไม่รักพี่แพทแล้วเหรอ”
“รักสิครับ แต่พี่มินมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ”
“สำคัญกว่าพี่แพทเหรอ”
“เทียบกันไม่ได้ครับ”
“พี่แพทไม่เข้าใจอะ พี่แพทอยากเจอคุงคูพี่มิงทุกวังเลย คุงคูพี่มิงไม่อยากเจอพี่แพทแล้วเหรอ”
อยากเจอสิ อยากเจอทุกวันเลย มินอยากเอ่ยทุกความรู้สึกในใจออกไปแต่ก็ทำได้เพียงเก็บคำเหล่านั้นเอาไว้ พลางย้ำกับตัวเองในใจว่า โตแล้วทำอะไรก็ต้องคิดให้มากๆ
“พี่แพทครับ” หัวใจของมินกระตุกวูบและจำต้องหยุดมือที่ยื่นไปตรงหน้าหวังสัมผัสเจ้าตัวเล็กเมื่อน้องก้าวถอยออกไป
“คุงคูพี่มิงก็จะทิ้งพี่แพทไปเหมืองคงอื่งๆ ใช่มั้ย ไหนเคยบอกว่าจะอยู่ด้วยกังไง” น้ำตาหยดแหมะลงบนแก้มใสและในตอนนั้นเองที่มินก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป
เขาหันหลังให้น้องทั้งที่ยังนั่งยองๆ อยู่บนพื้น แผ่นหลังกว้างงองุ้ม ใบหน้าที่เคยมองตรงไปข้างหน้าตลอดเวลาบัดนี้กลับก้มมองพื้นปล่อยให้น้ำตาไหลรินอย่างสุดจะกลั้น ร่างทั้งร่างสะท้านไหวตามแรงสะอื้น ทั้งที่ไม่อยากเผยด้านอ่อนแอออกมาแท้ๆ ทั้งที่ตั้งใจจะบอกลากันด้วยรอยยิ้มแท้ๆ
มินรู้ว่าการจากลาเป็นเรื่องที่เจ็บปวด ขนาดตัวเขาที่ไม่ค่อยได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้บ่อยๆ ยังเศร้าขนาดนี้ แล้วน้องแพทล่ะ เด็กน้อยที่ถูกพี่เลี้ยงทิ้งไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า แค่คิดว่าน้องจะต้องพบเจอกับความเจ็บนั้นอีกครั้งมินก็นึกโกรธตัวเองมากแล้ว สุดท้ายเขาเองก็ไม่ต่างจากพี่เลี้ยงเหล่านั้นเลยซักนิด
คุณครูพี่มินก็กำลังจะทิ้งพี่แพทไปเหมือนคนอื่นๆ
ทั้งที่ชอบมากแท้ๆ แต่พอคิดว่ากำลังจะถูกทิ้งก็รู้สึกโกรธมาก
ไม่มีใครรักพี่แพทซักคน
เด็กน้อยตัดพ้อขณะมองผ่านน้ำตาไปยังเจ้าของแผ่นหลังอบอุ่นที่กำลังสั่นไหวน้อยๆ
คุณครูพี่มินกำลังร้องไห้ ทั้งที่เป็นฝ่ายทิ้งกันแท้ๆ แต่กลับร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็ก
ทั้งที่โกรธจนสั่นไปทั้งตัวแต่เมื่อเห็นคุณครูที่ตนรักมากกำลังอ่อนแอก็รู้สึกว่าควรทำอะไรซักอย่าง สิ่งเดียวที่เด็กอย่างพี่แพทคิดและทำได้มีเพียง...กอด
มินสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อถูกแขนเล็กโอบกอดแผ่นหลัง ความชื้นของน้ำตาซึมผ่านเสื้อเข้ามาที่ผิวยิ่งทำให้รู้สึกหนาวเหน็บภายในกาย
ทั้งที่คิดว่าจะได้รับคำปลอบโยนอันใสซื่อบริสุทธิ์จากน้องแต่กลับไม่มี ระหว่างพวกเขาในยามนี้มีเพียงเสียงของบรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบเหงากับเสียงเครื่องยนต์ของรถที่วิ่งอยู่บนถนน
ภาพสองข้างทางที่รถเมล์วิ่งผ่านยังคงเหมือนเดิมเช่นทุกวัน แต่ดูเหมือนวันนี้มันจะได้รับความสนใจจากน้องแพทเป็นพิเศษ พิเศษกว่ามินเสียอีก
“จะไม่มองหน้ากันหน่อยเหรอ” มินนั่งลงเมื่อทั้งคู่ก้าวเข้ามาหยุดที่หน้าประตูบ้าน
ทั้งที่จับมือกันไว้ตลอดทางแต่กลับไม่ยอมมองหน้ากันเลย และเมื่อได้ยินคำถามน้องแพทก็ยิ่งทำเมิน เห็นอย่างนั้นหัวใจที่ห่อเหี่ยวก็ยิ่งลีบแบนจนไร้รูปทรง
“พี่แพทครับ พี่มินขอโทษนะที่ทำตามสัญญาไม่ได้” ทั้งที่อยากบอกอะไรหลายๆ อย่าง อยากอธิบายให้เข้าใจแต่กับเด็กอายุเท่านี้ มินไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรน้องถึงจะเข้าใจเหตุผลของการละทิ้งสัญญาในครั้งนี้
ก็ได้แต่หวังว่าเมื่อโตขึ้น ซักวันน้องอาจจะเข้าใจกันบ้าง เมื่อถึงวันนั้นก็คิดว่าถ้ากลับมายิ้มให้กันได้เหมือนเดิมคงดี
มินกวาดสายตามองใบหน้าด้านข้างของเด็กที่เอาแต่เมินเขาอีกครั้งด้วยความอาลัยอาวรณ์
คงไม่มีโอกาสได้สบตากันอีกแล้ว
มินกลืนก้อนสะอื้นที่รื้นขึ้นมาจุกที่คอก่อนลุกขึ้นเพื่อกดกริ่งให้คนในบ้านเปิดประตู
ประตูเปิดออกเมื่อไร หน้าที่ของเขาก็จบเมื่อนั้น
อยากต่อเวลาอีกหน่อยจัง
ประตูเปิดออกพร้อมกับสองมือที่กุมกันแน่นค่อยๆ คลายออกเป็นสัญญาณว่าทุกอย่างได้จบสิ้นลงแล้ว
ลาก่อนครับพี่แพท
มินละสายตาจากหนังสือบนโต๊ะเมื่อได้ยินชื่อตนจากเสียงตามสายในโรงเรียนให้ไปพบใครบางคนที่ห้องประชาสัมพันธ์ มินแปลกใจนิดหน่อยเพราะเรียนที่นี่มาเกือบ 6 ปีแล้วไม่เคยมีใครมาหาเขาเลย
และก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าคนที่มาหาคือคุณแม่น้องแพท
มินยกมือไหว้ก่อนนั่งลงบนโซฟา สีหน้าคุณแม่ดูไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนจะผอมลงนิดหน่อยทั้งที่ไม่ได้เจอกันแค่สัปดาห์เดียวแท้ๆ
จะว่าไปเขาไม่ได้เจอน้องแพทมา 1 สัปดาห์เองเหรอเนี่ย ยามที่เรามีความทุกข์เวลาผ่านไปช้าจังเลยแฮะ
“ขอโทษที่มารบกวนนะจ๊ะ”
“เรื่องพี่แพทเหรอครับ” เพราะใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนคาบบ่ายแล้วมินจึงเข้าเรื่องทันที
“จะเรื่องใครซะอีกล่ะจ๊ะ” บนใบหน้าสวยเปื้อนยิ้มก็จริงหากสายตากลับเต็มไปด้วยความกังวล “เจ้าเด็กคนนั้นตั้งแต่มินกลับไปก็ไม่ยอมออกจากห้อง ไม่ยอมออกจากบ้าน ไม่ยอมดื่มนม แล้วก็เอาแต่นั่งจ้องสมุดภาพ แม่พยายามแล้วแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย”
“เย็นนี้มินขอแวะไปหาน้องได้มั้ยครับ อาจจะดึกหน่อยเพราะกว่าจะติวหนังสือเสร็จ”
“ได้สิจ๊ะ ที่แม่มาหามินก็เพราะเรื่องนี้แหละ ถ้าเป็นมิน น้องแพทอาจจะเชื่อ”
“คุณแม่คิดอย่างนั้นเหรอครับ”
“จ้ะ”
“ถ้าอย่างนั้นมินไม่ไปดีกว่าครับ”
“ทำไมล่ะจ๊ะ”
“น้องแพทควรจะเชื่อฟังคุณแม่มากกว่ามินครับ”
“นั่นสินะ ในฐานะแม่มันก็รู้สึกแย่นิดหน่อยที่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนน้องแพทก็ไม่ยอมเชื่อฟังกันเลย เพราะเป็นแบบนั้นก็เลยเอาแต่คิดจะพึ่งมิน แม่เป็นแม่ที่แย่จังเลยเนอะ”
“ไม่หรอกครับ มินเชื่อว่าน้องแพทต้องเห็นความพยายามของคุณแม่แน่นอน”
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ” เป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้ แต่ถึงอย่างนั้นมินก็เชื่อว่าเด็กฉลาดอย่างน้องแพทต้องเข้าใจอะไรได้อย่างง่ายดายแน่นอน
แม้จะเสียดายอยู่ไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอน้องแพทอีก แต่ในระหว่างที่คุณแม่กับน้องแพทพยายามผ่านช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนี้ไปให้ได้ มินเองก็จะพยายามเรื่องสอบเหมือนกัน
เอาไว้วันที่ต่างคนต่างเข้มแข็งมากพอ วันนั้นค่อยมาเจอกันก็คงไม่สายเกินไป
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้จะใช้ชีวิตอย่างยากลำบากกับการนอนหลับแค่วันละไม่กี่ชั่วโมงแต่สุดท้ายมินก็ผ่านมันมาได้
การทำเรื่องขอทุนเสร็จสิ้นลงแล้ว ที่เหลือก็แค่รอผล ถึงแม้ว่าจะมั่นใจมากแต่ก็ต้องเผื่อใจไว้บ้าง
“ทำเรื่องเสร็จแล้ว งี้ก็ไปเที่ยวกับพวกกูได้แล้วดิ” ต๊อดเข้ามากอดคอหลังจากมินกลับจากห้องแนะแนว ต๊อดน่ะเอะอะชวนเที่ยวตลอด ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าอยากให้ผ่านคลายแต่ตอนนี้สิ่งที่มินต้องการคือการนอนหลับพักผ่อน
“เอาไว้หลังสอบปลายภาคมั้ยต๊อด”
“พูดถึงปลายภาคแล้วเพลียว่ะแม่งเอ้ย อ่านหนังสือไม่ทัน” อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะเข้าสู่ฤดูกาลสอบปลายภาคแล้ว และหลังจากนั้นชีวิตเด็กมัธยมก็สิ้นสุดลง
“อ่านไม่ทันหรือไม่อ่าน กูว่ามึงไม่อ่านมากกว่า”
“รู้ใจเพื่อนไปซะทุกเรื่องเลย” ของมันแน่อยู่แล้ว “ปลายภาคเทอมสุดท้ายนี้ต๊อดก็ขอฝากตัวไว้กับคุณครูพี่มินด้วยนะครับ”
คุณครูพี่มินอย่างนั้นเหรอ
อยู่ๆ ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของน้องกับคำพูดในวันนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัว
ไม่ได้เจอกันนานแล้วสินะ เพราะเอาแต่จัดการเรื่องของตัวเองจนไม่ได้คิดถึงน้องเลย ถ้าวันนี้ไปหาจะได้รับรอยยิ้มสดใสอย่างเมื่อก่อนหรือเปล่านะ น้องจะวิ่งเข้ามากอดแล้วบอกว่าคิดถึงคุณครูพี่มินอย่างที่ชอบทำมั้ย หรือว่าจะเมินกันเพราะยังโกรธอยู่
“เมื่อวันก่อนกูแวะไปหาพี่แพทที่โรงเรียนมาด้วยนะ เด็กนั่นร่าเริงขึ้นมากแล้วแหละ มึงไม่ต้องห่วง”
“งั้นเหรอ” ก็ไม่คิดว่าน้องแพทต้องเสียใจเรื่องที่พวกเราจากกันตลอดไป ทั้งที่ควรดีใจที่น้องร่าเริงแต่กลับคิดเรื่องบั่นทอนจิตใจอย่างว่าน้องลืมตนไปแล้ว “น้องถามถึงกูบ้างมั้ย”
“ไม่เลย คงเบื่อที่จะถามมั้ง เพราะถามทีไรกูก็บอกว่ามึงไม่ว่างทุกที”
เบื่ออย่างนั้นเหรอ แย่จัง แย่ที่แค่คิดว่าน้องเบื่อตนมินก็รู้สึกกระวนกระวายจนต้องลุกออกจากห้องเรียนไป ต๊อดมองตามเพื่อนตนอย่างไม่เข้าใจอะไรนัก คงคิดถึงน้องมากล่ะมั้ง และถ้าคิดถึงขนาดนั้นก็ไปหาซะก็สิ้นเรื่อง ทำไมต้องทำอะไรให้มันซับซ้อนด้วยก็ไม่รู้
มินคิดเรื่องน้องแพทซ้ำไปซ้ำมา น้องร่าเริงได้เพราะเบื่อที่จะคิดถึงกันแล้วสินะ ทั้งที่นั่งรถเมล์มาถึงหน้าหมู่บ้านแล้วด้วยซ้ำ แต่มินก็ไม่มีความกล้าพอที่จะไปเจอกัน
บางทีน้องอาจจะไม่อยากเจอกันแล้วก็ได้
“อิจฉามึงว่ะ แบบนี้ก็ไม่ต้องสอบเข้ามหาลัยแล้วใช่ป่ะ”
ผลการขอทุนถูกประกาศเมื่อวาน เพราะได้รับข่าวดีต๊อดจึงนัดรวมพลเพื่อนๆ เพื่อฉลองให้กับความสำเร็จของนักเรียนอันดับ 1 ของห้อง
“มึงก็เลิกขี้เกียจได้แล้วต๊อด”
“กูพยายามอยู่น่าบอกแล้วไงว่าต้องหาแฟนให้ได้ตอนเรียนมหาลัย”
“ก่อนคิดเรื่องหาแฟนกูว่ามึงคิดเรื่องสอบเข้าก่อนมั้ยครับ ถ้าสอบเข้าไม่ได้ก็อดหาแฟนนะเว้ย” เพื่อคนนึงเอ่ยดักฝันให้ต๊อดแสร้งเบะหน้าทำเหมือนจะร้องไห้
ต๊อดก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่เคยจริงจังกับอะไรทั้งสิ้นแถมยังไม่ค่อยมีความพยายามอีกด้วย เพราะเป็นแบบนั้นมินจึงรู้สึกเป็นห่วงต๊อดกว่าเพื่อนคนอื่นๆ
“ไปโยนโบกันเถอะว่ะ”
“เอาดิ”
“ไข่มุกขอตัวมินซักครู่ได้มั้ย” ขณะที่กำลังเฮฮาตามประสาเด็กหนุ่ม เจ้าของใบหน้าน่ารักแบบที่ตกหนุ่มๆ ได้ด้วยรอยยิ้มสดใสก็เอ่ยขึ้น
“ตามสบายเลย” ต๊อดเป็นคนอนุญาตก่อนจะเกณฑ์เพื่อนให้เดินตามกันไปยังลานโบลิ่งเพื่อเปิดโอกาสให้ไข่มุกได้อยู่กับมินลำพัง
ถึงแม้ว่าจะถูกปฏิเสธทางอ้อมมาแล้วบ่อยครั้งแต่ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดมันออกมาตรงๆ ไข่มุกก็ไม่เคยคิดจะยอมแพ้
“ไปหาอะไรดื่มตรงนั้นกัน”
ไข่มุกเลือกร้านชานมไข่มุกที่ไม่ค่อยมีคนนัก ทั้งคู่สั่งเครื่องดื่มโดยที่มินขอเป็นฝ่ายเลี้ยงเอง
“มินเก่งจังเลยเนอะ”
“อื้อ”
“ถ่อมตัวบ้างก็ได้”
“ก็เก่งจริงๆ นี่นา แต่กว่าจะเก่งได้ขนาดนี้ก็พยายามจนเหนื่อยเหมือนกัน”
“ไข่มุกมีเรื่องจะบอกแหละ”
“อื้อ” มินตอบรับทันที เขารู้อยู่แล้วตั้งแต่ไข่มุกชวนปลีกตัวออกมาว่าอีกฝ่ายคงอยากบอกความในใจ
“ไข่มุกเสียใจมากเลยตอนที่รู้ว่ามินได้ทุนและต้องไปเรียนต่างประเทศ”
“ใจร้ายจัง”
“นั่นสิ ไข่มุกก็คิดเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงใจร้ายได้ขนาดนี้” เด็กสาวยิ้มแห้งๆ กวาดสายตามองมินตรงๆ พร้อมแสดงความรู้สึกผ่านดวงตาคู่สวยอย่างชัดเจน “มินรู้ใช่มั้ยว่าไข่มุกคิดยังไงกับมิน”
“ครับ” อย่าตอบรับด้วยคำพูดและน้ำเสียงสุภาพขนาดนี้สิ มันตัดใจลำบากนะรู้บ้างมั้ย
“แอบคิดมาตลอดเลยว่าถ้าบอกชอบมินแล้วมินรับ เราอาจจะได้ใช้เวลาในมหาลัยด้วยกัน แต่พอรู้ว่ามันเป็นไปได้ก็เลยรู้สึกเจ็บใจมาก”
“มินขอบคุณไข่มุกมากเลยนะ”
ในตอนนั้นเองที่เครื่องดื่มที่สั่งไว้ถูกนำมาเสิร์ฟ
“มินไม่ชอบไข่มุกเหรอ” เด็กสาวเอ่ยถามหากแต่กลับเอาแต่มองแก้วเครื่องดื่มที่อยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย
ทั้งที่เป็นร้านชานมไข่มุกแต่กลับไม่สั่งไข่มุก
“ชอบสิ หมายถึงไข่มุกนะไม่ใช่ไข่มุกในแก้ว” นาทีนั้นหัวใจของเด็กสาวเต้นแรงคล้ายจะกระเด็นกระดอนออกมานอกอก รู้สึกดีจนเก็บงำรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้ “ไข่มุกเป็นเด็กผู้หญิงที่ยิ้มสวยที่สุดตั้งแต่เคยเจอมาเลยนะ มินอยากให้ไข่มุกยิ้มเยอะๆ อยากให้ไม่ว่าเราจะห่างกันไปไกลแค่ไหน ถ้าวันนึงกลับมาเจอกันก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”
“ชอบแบบเพื่อนเหรอ”
“การที่มินชอบไข่มุกแบบนั้นมันทำให้ไข่มุกรู้สึกไม่สบายใจรึเปล่า”
“แน่นอนสิ ไข่มุกกำลังถูกมินปฏิเสธนะ”
“ขอโทษนะ ขอโทษที่เป็นคนนั้นให้ไข่มุกไม่ได้”
“ถ้าสมมติว่ามินไม่ไปเรียนต่างประเทศ มินจะเป็นคนนั้นให้ไข่มุกได้มั้ย”
มินส่ายหน้าช้าๆ แทนคำตอบ ไม่ว่าตัวเขาจะอยู่ที่ไหน หัวใจของเขาก็ไม่สามารถฝากไว้ที่ไข่มุกได้ในเมื่อไม่เคยคิดกับอีกฝ่ายเกินเพื่อนเลย
“เข้าใจแล้วล่ะ ฝากบอกพวกต๊อดด้วยว่าไข่มุกขอกลับก่อน”
“เราไปส่ง”
“ไข่มุกไม่อยากเห็นหน้ามินน่ะ ขอเวลาหน่อยได้มั้ย”
ขอโทษ...
เรื่องของความรู้สึกนั้น ไม่ใช่แค่คนถูกปฏิเสธหรอกที่รู้สึกเจ็บปวด คนปฏิเสธเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่อยากทำอะไรซักอย่างให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นซักหน่อยแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่มองส่งจนแผ่นหลังเล็กๆ ที่กำลังสั่นไหวนั้นลับตาไป
“คงใจร้าย” เสียงดังมาจากด้านหลังแต่ไม่ได้อยู่ในระดับสายตา
มินดึงตัวเองที่กำลังจมอยู่กับความรู้สึกผิดกลับมาได้เพราะเสียงเล็กๆ อันคุ้นเคยและเมื่อก้มหน้าลงก็พบว่าน้องแพทกำลังเท้าเอวมองมาด้วยหน้าตาบูดเบี้ยว
ทั้งที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือนแล้วแท้ๆ พอมาเจอกันอีกทีกลับทำหน้าแบบนี้ใส่กัน แต่ก็สมเป็นน้องแพทแล้ว
มินนั่งลงตรงหน้าน้องแล้วส่งยิ้มให้ ชั่ววินาทีนั้นที่ได้เจอน้องเขาเผลอลืมความรู้สึกผิดที่มีต่อไข่มุกไปเสียแล้ว
“ไม่ต้องมายิ้มเลยคงใจร้าย”
“พี่แพทมากับคุณแม่เหรอครับ”
“ไม่คุยกับคงใจร้ายหรอก”
“แล้วต้องทำยังไงถึงจะยอมคุย”
“ไม่คุยหรอก”
“พี่แพทพูดอย่างนี้พี่มินเสียใจนะ”
“พี่แพทเสียใจมากกว่าอีก พี่แพทนองร้องไห้คิดถึงคุงคูทุกคืงเลย” ทั้งที่อยากเลี่ยงคำว่า ‘ขอโทษ’ แท้ๆ แต่ก็ไม่มีคำไหนมาทดแทนมันได้
“ขอโทษครับ”
“ไม่อยากให้อภัยซักนิด แต่คุงแม่บอกว่าเด็กดีต้องให้อภัยคนอื่งถ้าเค้าขอโทษ แต่ไม่หายโกรธหรอกนะจงกว่าคุงคูพี่มิงจะกลับมาอยู่กับพี่แพทเหมืองเดิม” คนเป็นผู้ใหญ่ยิ้มเจื่อน
ให้กลับมาอยู่ด้วยกันก่อนถึงจะหายโกรธอย่างนั้นเหรอ แล้วเมื่อไหร่กันล่ะ อาจจะต้องโกรธกันไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
“แล้วนี่พี่แพทมากับใครครับ” ถามว่ามากับคุณแม่ก็ไม่ยอมตอบ มินจึงถามซ้ำ
“ก็ต้องมากับคุงแม่อยู่แล้วซี่”
“แล้วคุณแม่...” กำลังจะถามหาแต่คุณแม่ก็โผล่มาซะก่อนด้วยท่าทางร้อนรน
“น้องแพทหนีคุณแม่ออกมาอย่างนี้ได้ยังไงคะ” หนีออกมาอย่างนั้นเหรอ
คนถูกดุหน้าเจื่อนไปนิดต่างจากคุณแม่ที่ถึงแม้จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโกรธจัดแต่ก็ดูเบาใจขึ้นมากเมื่อพบว่าลูกชายตัวน้อยปลอดภัยดี
“พี่แพทไม่ได้หนีออกมาซะหน่อย”
“ไม่ต้องมาเถียงเลย แอบเดินตามคุณครูพี่มินมาใช่มั้ยล่ะ”
“ไม่ใช่นะ พี่แพทไม่เห็งคุงคูพี่มิงนั่งอยู่ตรงนั้นกับพี่ไข่มุก ไม่เห็นเลยจริงๆ นะ” เชื่อแล้วจ้าว่าไม่เห็น
ผู้ใหญ่ทั้งคู่หันมายิ้มให้กันอย่างนึกเอ็นดู
ก็ดีแล้วล่ะ น้องแพทกลับมาร่าเริงและสนิทกับคุณแม่ได้แบบนี้ก็ดีมากแล้ว เห็นอย่างนี้มินก็เบาใจ
“แม่ได้ยินเรื่องทุนแล้ว ดีใจด้วยนะจ๊ะ”
“ขอบคุณครับ”
“แล้วจะบินเมื่อไหร่เหรอ”
“ตามกำหนดการณ์ก็เดือนหน้าครับ แต่ระหว่างนี้ก็ต้องเตรียมตัวอีกหลายอย่างเลย”
“ถ้าว่างก็แวะมาหาน้องบ้างนะจ๊ะ ถึงปากจะบ่นว่าไม่รักไม่คิดถึงแต่ก็เผลอพูดถึงคุณครูพี่มินบ่อยเลยล่ะ”
“พี่แพทไม่เคยพูดซักหน่อย คุงแม่ใส่ร้าย” เด็กน้อยรีบออกตัวปฏิเสธให้คนเป็นแม่ส่ายหน้าน้อยๆ อย่างนึกหน่ายใจกับความฟอร์มจัดของเจ้าตัวเล็ก
“วันนี้มินว่าง ขอยืมตัวน้องแพทเลยได้มั้ยครับ”
“เอาสิจ๊ะ เอาไปเลย”
“พี่แพทไม่ไปด้วยหรอก”
“งั้นเหรอ น่าเสียดายจัง” ถึงแม้จะอยากตื๊ออีกหน่อยแต่ในเมื่อน้องว่าอย่างนั้นก็คงต้องยอมแพ้ มินทำหน้าผิดหวังก่อนบอกลา
“เดี๋ยวเซ่คุงคูพี่มิง” พอก้าวออกมาก็ถูกน้องรั้งเอาไว้พร้อมกับมือน้อยที่เอื้อมมาจับชายเสื้อ “ไปด้วยก็ได้”
มือที่จับชายเสื้อเปลี่ยนเป็นจับมือกันเหมือนเมื่อก่อน
มือคุณครูพี่มินยังนุ่มและให้ความรู้สึกปลอดภัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน รอยยิ้มอบอุ่นนั้นก็ทำให้อุ่นใจ พี่แพทมองเห็นคุณครูพี่มินผ่านกระจกร้านเสื้อที่คุณแม่กำลังเลือกด้วยใจจดจ่อ พอเห็นพี่ ขาทั้งสองข้างก็ก้าวตามออกมาด้วยความเผลอไผล กระทั่งทั้งคู่สั่งเครื่องดื่มและพูดคุยกันก็ยังยืนแอบมองอยู่ห่างๆ ตลอดเวลา
“ต่างประเทศอยู่ที่ไหนเหรอคุงคูพี่มิง”
“อยู่ไกลครับ”
“ไกลแค่ไหน ไกลเท่าสวนสัตว์ที่เราไปด้วยกันรึเปล่า”
“ไกลกว่านั้นครับ”
“ไกลเท่าทะเลมั้ย”
“อยู่อีกฝั่งของทะเลเลยครับ”
“โหไกลจัง งี้ก็จะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ แล้วสิ” แค่คิดความเศร้าก็ถาโถมเข้ามาในหัวใจ
“อาจจะเป็นอย่างนั้นครับ”
“ทำไมต้องไปไกลขนาดนั้นล่ะ เพราะพี่แพทเป็นเด็กไม่ดีเหรอ คุงคูพี่มินไม่รักพี่แพทแล้วเหรอ”
“อืม ถ้าอย่างนั้นน้องแพทเป็นเด็กดีเพื่อพี่มินได้มั้ยครับ”
“เด็กดีต้องเชื่อฟังคุงแม่”
“ต้องตั้งใจเรียน ไม่ดื้อ ไม่ซน”
“โห เยอะจัง ต้องทำมากแค่ไหนคุงคูพี่มิงถึงจะกลับมาหาพี่แพทล่ะ”
“ก็...” มากแค่ไหนดีนะ เท่านี้ก็แล้วกัน มินล้วงหยิบคูปองสะสมสติ๊กเกอร์ที่ได้จากร้านชานมออกมา “สะสมสติ๊กเกอร์ครบ 1 แผ่น พี่มินก็จะกลับมาหา 1 ครั้ง”
“ครั้งเดียวเองเหรอ”
“ถ้าอยากเจอบ่อยๆ ก็ต้องทำเยอะๆ สิครับ เป็นเด็กดีไม่ยากหรอกน่า ตอนนี้พี่แพทก็เป็นเด็กดีแล้วนะ”
“งั้นก็อย่าไปสิ อยู่กับพี่แพทตลอดไปเลยไม่ได้เหรอ” ทำอย่างนั้นได้ที่ไหนกันล่ะ
มินไม่ตอบอะไร เขากุมมือน้องเอาไว้คล้ายกับว่าอาจจะไม่ได้สัมผัสกับความอบอุ่นอันแสนบริสุทธิ์นี้อีก หากครั้งนี้ต้องเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เที่ยวเล่นด้วยกันก็ขอให้มันเป็นการเที่ยวเล่นที่สนุกที่สุด
มินก้มมองน้องแล้วยิ้มกว้างที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ก่อนชักชวนให้น้องทำให้สิ่งที่ตนคิด
“พี่แพทครับวันนี้เรามาสนุกกันให้สุดๆ ไปเลยดีมั้ย” และน้องก็พยักหน้ารับทันทีทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากคูปองสะสมสติ๊กเกอร์ในมือด้วยซ้ำ
ถ้าทำความดีแล้วเก็บสะสมสติ๊กเกอร์เต็มคูปองนี้แล้วจะได้เจอพี่มิน 1 ครั้ง พี่แพทจะเป็นเด็กดีทุกๆ วันเลย
[-T B C-]ตอนหน้าน้องแพทจะโตแล้วนะคะ
น้องแพทเลี้ยงง่ายนะคะ ป้อนกำลังใจเยอะๆ น้องจะได้โตเร็วๆ เนอะ
ฝากน้องด้วยน๊า
#คุณครูพี่มิน