เรื่อง : ห้องลับภายในใจ
(เพลงประกอบ Safeplanet - ห้องกระจก (Mirror Room))
๐๐
ในวันที่ความเงียบกลืนกินบรรยากาศ ภายนอกอาคารฝนก็กำลังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย
“มัท มึงจะมองไปที่หน้าต่างอีกนานไหม”
“อ้าวไอ้เชี้ย กูมองฝนตกก็ผิดหรอวะ”
ชายหนุ่มหันไปค้อนเพื่อนวงใหญ่หลังจากถูกขัดจังวะในการสังเกตุสายฝน
“คือมึงเพื่อน มันควรจะตื่นเต้นมากกว่านี้เว้ย แบบฝนตกเดือนกุมภางี้
มึงมองซะหงอยเหงาเป็นหมาโดนทิ้งเลยว่ะ”
“หมาโดนทิ้งไร กูโสดมายี่สิบเอ็ดปีจะเอาเวลาไหนไปทำเศร้าอกหัก”
“มึงก็ย้ำตัวเองจัง เอามะเดี๋ยวกูช่วยขาย “เพื่อนสนิทที่นั่งข้างกายพูดขึ้น
กลับเจอตอบกลับด้วย
“โถเพื่อน
กูแค่โสดนะ มันไม่โรคสังคมรังเกียจ ไม่ต้องเวทนากันขนาดนั้น”
“อ้าว เหรอ”
“เออ!”
เพื่อนสนิทของชายหนุ่มผู้กำลังหัเสียยังคงเซ้าซี้ไม่หยุดหย่อน
ทั้งที่ปกติไม่ทำแบบนี้ แต่เพราะอาการประหลาดของคนตรงหน้า
ที่เกิดขึ้นมันเป็นเฉพาะวันนี้
เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้
“แต่มึงโอเคใช่ไหม”
“มันก็แค่ฝนตก กูคงจะเฉาเพราะฝนตกว่ะ”
ชายหนุ่มตอบเพื่อน
โดยสายตายังคงจ้องมองสายฝนที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเม็ดหนาขึ้น
เสียงร้องจากภายในกลับพูดต่างไป
เปล่าหรอก ผมน่ะเฉาเพราะเดือนนี้….
๐๐
เอี๊ยด
เสียงเลื่อนเก้าอี้ภายในห้องแห่งความเงียบ
ฟุบ
เสียงวางของบนโต๊ะตัวเดียวกันกับที่ผมกำลังฟุบอยู่
อ๋อ ลืมแนะนำตัวให้ได้รู้จัก
ผมชื่อมัท อยู่ศึกษาศาสตร์ เอกภาษาไทย
...โคตรแปลกว่าไหม
มันคงแปลกตั้งแต่ตกลงคุยกับที่บ้านเรื่องเรียนต่อแล้วล่ะ
พ่อแม่ที่เป็นครูก็บอกและผมก็คล้อยตามกับคณะ
ส่วนเอกผมเลือกเพราะชอบหนังสือ
มันคงติสต์เลยนะ ถ้าสัมภาษณ์งานแล้วผมตอบว่าชอบโลกของวรรณกรรม
คิดจะเปลี่ยนคณะอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ผ่านมาแล้วครึ่งชีวิตการเรียนมหาลัย
เห้ยๆ เห็นผมงี้ก็มีอุดมการณ์ความเป็นครูอยู่นะ
ไม่ได้มาเล่นๆ นะครับ
เล่าซะเพลิน แต่ฝนก็ยังโปรยปรายที่ด้านนอก
โต๊ะที่ผมนอนมันค่อนข้างติดมุมห้องและหน้าต่างใสแจ๋ว
เวลาแบบนี่แหละที่ผมชอบมาสิงสถิตอ่านหนังสือที่สุด
แต่สำหรับวันนี้ แค่อยากมาเฉยๆ
มาดูฝน“จะไม่ตื่นมาดูจริงๆ ใช่ไหม”
เสียงทุ้มลึกถามขึ้น
เสียง….คนตรงข้ามที่เพิ่งเข้ามานั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน
ผมพอจะรู้แหละว่าใคร
“อื้ม”
“ส่งเสียงแค่นี้”
“แล้วจะให้ตอบอะไร”
อีกฝ่ายเปลี่ยนคำถามเป็นคำแกมบังคับ
“ลุกขึ้นมากินข้าว”
“ไม่หิว” ผมบอกปัดปฎิเสธ
พร้อมห่อตัวเองกับเสื้อคลุมคณะพยายามนับแกะในใจ
“คนอุตส่าห์วิ่งมาจากลานกีฬาในร่ม”
เสียงบอกลอยตามลม แต่พอจับน้ำเสียงได้ว่าเจ้าตัวกำลังขอความสนใจ
อาการน้อยใจ ผมรู้จักดี
ครับ ผมเงยหน้าขึ้น
อีกฝ่ายนั่งกอดอกมองกระจกด้านนอกด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
“แล้วมาทำไม”
สายตาก็เหลือบเห็นว่าเสื้อผ้าร่มของเขาเปียกชื้นระดับหนึ่ง
“มาหานายไง มัท”
“ตึกคณะกับอาคารเรียนนายมันไกลพอสมควรนะ”
แถมฝนจากเมื่อกี้ก็ดูจะตกหนักขึ้นมากด้วย
“ก็แล้วทำไม ก็คนอยากมา”
“กวนตีนว่ะ”
“กับนายคนเดียว”
กวนมากวนกลับไม่โกงฮะ “จีบเหร๊อ”
คนตรงข้ามเหล่มาก่อนจะตอบกลับมา
“ถามมากี่รอบแล้ว”“ไม่รู้ดิ จำไม่ค่อยได้ ช่วงนี้เครียดกับวิชาหลักสูตรสมองเลยเบลอๆ “มัทเริ่มทำท่านับนิ้ว
“น้อยใจจัง จีบมาเกือบปีไม่เห็นจะก้าวหน้า”
คนตรงข้ามแม้จะพูดออกแนวน้อยใจ แต่มุมปากกลับยกยิ้ม
ผมอ้าปากหาวเล็กน้อย
“ไม่ไหวก็ถอย อย่างน้อยก็เพื่อนร่วมคณะร่วมรุ่น หรือเพื่อนร่วมมหาลัยดีล่ะ”
อีกฝ่ายทำหน้าหวานอมขมกลืนแปลกๆ
“ยิ่งใหญ่ไป รับไม่ไหว เอาแค่แฟนพอน่าอบอุ่นดี”
“เชี้ย ทิน พูดไรให้เข้ากับหน้าหน่อย”
เขารู้ว่าคนตรงหน้าเวลาเดินผ่านใครต่างบอกว่าโคตรแมนแสนเย็นชาติดเท่หน่อยๆ
แต่ทำไมพอมาอยู่กับเขาเจ้าตัวดูพูดแต่คำระรื่นหูจนเขาเอียนไปหมด
“ไม่เอา
คุยกับคนที่ชอบก็ต้องเพราะๆ ดิ “
"ครับ "
ตอบรับสั้นๆ ก็ได้แต่งุดก้มหน้าโซ้ยข้าวผัดหมูนุ่มของผม (ที่ทินซื้อมาฝาก)
ใครมันจะคิดว่าไอ้หนุ่มหน้าแมน คมเข้มแต่ไม่ถึงมากที่สุด
ผิวแทน สูงน่าจะร้อยแปดสิบสอง ผมทรงอันเดอร์คัตที่ไม่เคยเปลี่ยน
ชอบทำหน้าตายเสมอ
และที่สำคัญเขาคนนี้เป็นคนที่เข้ามาสารภาพว่าต้องการจะจีบผมตอนจะขึ้นปีสาม
เอ่อ ก็พอรู้รสนิยมตัวเองว่าเปิดกว้างแม้ไม่ได้ลองเรียนรู้จริง
เพราะสิ่งแวดล้อมรอบข้างในโรงเรียนมัธยมชายล้วน
พอเข้ามหาลัยก็อยู่เอกที่มีประชากรหญิงท้วมท้น
มองภาพชีวิตเด็กหนุ่มผิวขาวแต่ไม่ได้ผ่องกระจ่างเนื่องจากเอาชีวิตไปผูกติดกับการวิ่งอยู่พักหนึ่ง
ปากเป็นกระจับแบบที่เพื่อนสาวแท้เทียมชมว่าเล็กน่ารัก สูงร้อยเจ็ดสิบ
ติดผอมไปหน่อย ผมปล่อยยาวแต่ไม่เคยเกินปะบ่า
เนื้อตัวไม่พกไรมากมีหนังสือ หูฟังมือถือก็มีชีวิตรอด
ขนาดพูดในใจยาวนานขนาดนี้ คนตรงข้ามก็ยังไม่ละสายตาออกไปอีก*! *
๐๐
“วันนี้ทำไมดูซึม”
ทินเอ่ยปากถามคนตรงหน้า
“ฝนตกพาซึม”
“ติสต์นะเรา”
“อาร์ตตัวพ่อเลยแหละ”
“ว่าแล้ว ยังว่าทำไมเอาใจยาก”
….
“เงียบเลย”
….
“พูดเล่นน่ะ”
มัทกล่าวขอบคุณเรื่องข้าวเที่ยง
“อิ่มแล้ว ขอบคุณสำหรับอาหารฮะ”
“ไม่เป็นไร” ทินยิ้มรับ
“เราหมายถึงพระแม่โพสพ”
“อ้าว”
“อ้าวไร”
ไม่พูดไรมาก ทินเอื้อมมือมาขยี้ผมอีกฝ่ายจนเสียทรง
“เห้ยๆ หมดหล่อ”
“น่ารัก”
มัทสะบัดหนีก่อนจะเซ็ตผมใหม่อีกครั้ง
พร้อมทั้งหันมาเก๊กยิ้มๆ ให้อีกฝ่าย
“หล่อไหมล่ะ ชายบนหิ้งของเอกนะเว้ย”
“สอยลงมาได้ปะ ไม่อยากให้ใครเห็น”
นี่ก็พูดยังกับจะสอยมะม่วง!
“ถ้าเป็นจริง จะเป็นมดที่อันตรายที่สุดเพื่อแฝงมะม่วงเลยเอ้า”
“วันนี้มาแปลก รุกเหลือเกินนะ”
มัทหรี่ตามอง
“ก็ วันนี้ฝนตก”
ทินยิ้มมุมปากตอบ
“เหตุผลไม่น่าฟังขึ้นนะ”
“หยวนๆ นะ มัท”
แล้วเราทั้งคู่ก็เล่นเกมจ้องตาในความเงียบอีกครา...
๐๐
“ถามจริงทำไมถึงมาจีบเรา”
ความถามมีสาระก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายเข้ามาจีบ
มัทยังไม่เคยเอ่ยปากถามเลยซักครา
“ก็ชอบ” คำสั้นๆ แต่หนักแน่น
“แค่ชอบไม่น่าทนมาเกือบปีนะ”
“ไม่รู้ดิแค่ชอบ ชอบทุกอย่างที่เป็นนาย”
“นายอาจจะเห็นแค่กรอบนอกเราเปล่า”
“ถ้านายพร้อมก็เปิดใจให้เราเรียนรู้ดิ”
ครืด
เป็นผมเองที่ผุดลุกขึ้น พร้อมรวบของทุกอย่างลงกระเป๋า
“จะไปแล้วเหรอ”
“อื้ม “มัทเอาแต่มองหน้าต่างก่อนจะเดินออกห่างโต๊ะ
แต่ก็ถูกรั้งไว้กับอีกคน
“ปะ ไปพร้อมกัน”
“ไม่ เรามีธุระต้องไปทำก่อน"
“อ้าวเหรอ”
“บาย”
“เจอกัน”
ก่อนที่ตัวเองจะเดินออกไปไกล
สายตาเหลือบหันไปมองอีกคนที่ยังนั่งที่เดิม
ไม่ได้จะรั้งเอาไว้ แค่ไม่คิดว่านายจะรอมานานขนาดนี้
ขอโทษ
มันยังตกค้างในใจ
๐๐
’ ทำไร’
’ นอนเล่น’
[/i]
’ เห้ย พ่อแม่ส่งมาเรียน’
’ งีบเดียวแล้ว....’
’ จะตื่นมาเรียน?’
’ เปล่า อ่านการ์ตูน’
’ …...ครับ’
๐๐
” มัท วิชาการจัดการในชั้นเรียนอะ เราไปเรียนรวมกับอีกเอก อาจารย์แกจะสอนรวมกัน”
เพื่อนสนิทบอกทันทีที่กำลังจะไปเรียนวิชาช่วงบ่ายสาม
” อ้าว ทำไม”
” จารย์แกบอกอยากให้เราไปดิสคัทกัน”
บ่ายสามกับช่วงอ่อนล้าของชีวิตเด็กเรียน” ว่างเปล่ามากสมองตอนนี้”
มัทร้องโอดควญกับความคิดของอาจารย์
” เอาน่า เดี๋ยวเอกเรานะ ตอบเป็นกลุ่มไปเลย สามัคคีชุมนุมไปเลย”
” ถ้าจะขนาดนั้นนะเพื่อน” มัทส่ายหัวให้กับความคิดประหลาดๆ ของเพื่อน
” ไปเรียนเถอะ ขืนไปช้ากระผมจะโดนเพ่งเล็งจากท่านอาจารย์อีก”
๐๐
’ อยากยิ่งใหญ่’
‘ผมก็ใหญ่นะ พี่เล็กเหรอ’
‘หมายถึงอุดมการณ์เว้ย’
‘อ้าวเหรอ 555555’
‘ไอ้หนู ทะลึ่งใหญ่ละ’
‘ไม่ทะลึ่ง แต่ก็ใช้ได้อยู่’
‘ใช้ไปซื้อกับข้าวได้ไหม’
‘กวนตีนน่าเฮีย’
‘ถ้าเรียกเฮียแล้วหยาบขนาดนี้ก็อย่าเรียกเพราะๆ เลย’
‘อ้าว เพื่อน’
‘ฟวยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย’
[/i]
๐๐
หลังจากที่เข้ามาภายในห้อเรียนขนาดใหญ่ของคณะ
มัทก็นั่งเท้าคางมองหน้าต่างอีกครั้ง
เมื่อสนิทกระทุ้งเข้าที่สีข้างทำให้หันกลับมาละทิ้งสิ่งที่เพ่งพินิจอยู่
” มึงเหม่ออีกแล้ว”
” ปกติ”
” ปกติมึงเงียบแต่ก็ทำไรไปด้วย นี่กูเห็นตามึงทะลุออกนอกหน้าต่างไปแล้ว”
เสียงจิปากไม่อยากพูดอะไรต่อ จึงปัดความไปส่งๆ
” ก็เล่นมือถือก็โดนเรียกยืนอีกดิ แถมวันนี้เอกที่มาเรียนด้วยก็ใช่ย่อย
ทำไรพลาดไปแม่งเผาจนกว่าจะจบแน่”
มัทเลี้ยวมองไปทางด้านหลัง เจออีกเอกที่นั่งทะมึนไม่กล้าสบตาเท่าไหร่
แม้พวกเขาภายในห้องเรียนนี้จะอยู่ร่วมคณะกัน
แต่รูปแบบการเรียนที่สอดคล้องกับเอกทำให้มีช่องว่างระหว่างกันพอตัว
” มึงก็ว่าเขาเกินไป ถึงเอกพละมันจะพากันกวนส้น ปากมอม แต่มันก็เอาการเอางานนะเว้ย”
เพื่อนสนิทพูดเสียจนต้องหรี่ตาจับอาการบางอย่าง
” เดี๋ยว มันจ้างมึงมาโปรเท่าไหร่” มัทใช้มือพลักศีรษะเพื่อนเบามือ
” กูพูดจริงเว้ย สังคมเรามันต้องคลุกคลีแมนๆ บ้าง เอกพละตอบโจทย์ที่สุด
ปีหนึ่งกูยังเห็นมึงไปเป็นตัวจริงลงวิ่งกับเอกพละอยู่เลย ไม่ใช่เหรอวะ หรือว่ากลัวใคร”
ไอ้สายตากรุ้มกริ่มตอนพูดของเพื่อนสนิท อยากทำให้เขาซื้อทิ้งซะ!
” ครับๆ แล้วแต่เลย” มัททำตัวเป็นปกติเปิดสมุดรอจด
” มันมีดีแตกต่างกันไป เปิดใจให้กันหน่อย”
” เข้าใจว่าพูดถึงเอก แต่มันแม่งๆ เหมือนชี้เน้นตัวคนเนอะ”
” ปล่าวววววววววววววว” พูดจบเพื่อนสนิทก็หันไปจดเอกสารประกอบการเรียนรู้ต่อ
แต่มุมปากนั่นรอยยิ้มดั่งวายร้ายยังคงประดับไว้
มัทถอนหายใจก่อนลงมือจดข้อความบ้าง
๐๐
’ วิ่งเป็นไง’
’ เหนื่อยสัส’
’ ไม่เพราะ’
’ เหนื่อยจังครับ’
’ พูดดี เอาน้ำไร’
’ น้ำพี่’
’ ฮะ’
’ น้ำที่พี่ซื้อมาให้ ของฟรีมันดีครับ’
’ พูดขนาดนี้เลยนะให้ขึ้นรถเอาไปให้ไหม’
’ ก็พูดไปงั้นแหละ กลับบ้านดีๆ นะพี่’
'ไม่เอาน้ำจากพี่แล้วเหรอ'
[/i]
’ จะรบกวนเปล่าๆ โรงเรียนเราห่างไกลจะตาย
พี่สวัสดิการแบกน้ำมาให้แล้วด้วย ผมรอดตายแล้วล่ะ’
[/i]
.
.
กลับเป็นเสียงจากด้านหลัง
’ แต่พี่ซื้อน้ำแดงมาให้แล้วนะ หันมาดิ’
แก้วพลาสติกแนบที่หน้าเบาๆ
[/i]
๐๐
ทำไมสองชั่วโมงมันดูนานเหลือเกิน
นาฬิกาในห้องก็ดันมาตาย
มัทจึงขอแอบดูจากมือถือหน่อยนะ ท่านอาจารย์อย่าเพิ่งหันมา
แต่พอกดเข้าไป ความอยากเล่นมือถือคลายเบื่อก็ทำใจสั่น
เขาจึงกดโปรแกรมในเครื่องตัวเอง
เปิดดูเอกสารที่กดดาวน์โหลดเพื่อนำมาเขียนรายงาน
จนไปพบไฟล์เอกสารบันทึกจากหน้าจอ ที่เขาก็ลืมไปแล้วว่ามันคืออะไร
เขาจึงเลือกกดเข้าไปดูรายละเอียดเพื่อตั้งชื่อให้มัน
ขอโทษ
13.02.xxxx(ต่อด้านล่างนะคะ
)