03
ลางร้ายของชีวิต
แดดยามเช้าตกกระทบบนผิวน้ำเห็นเป็นแสงระยิบระยับอยู่ในทะเล ยามมองออกไปจากผนังกระจกห้องทำงานของโรงแรมรีสอร์ทหรู เสียงหัวเราะร่าเริงของคุณพิมพ์ภาดาเกิดหลังจากได้ยินข่าวดี ร่างสมส่วนในชุดสีแดงเข้มลุกจากเก้าอี้เมื่อลูกชายปรากฏตัว
“พวกนายสองคนสมกับเป็นมือหนึ่งของฉันจริงๆ ไม่มีครั้งไหนสุขใจเท่านี้มาก่อนเลย คราวนี้ควรตอบแทนเป็นอะไรดีนะ? ว่าไงเชน อันนา มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษไหม?”
สองหนุ่มเพียงโค้งรับ แค่ได้เห็นรอยยิ้มพึงพอใจของคุณพิมพ์พวกเขาก็ยินดีแล้ว
“เอาล่ะ! รับรองได้เลยว่าฉันจะตอบแทนพวกนายอย่างถึงที่สุดเลยล่ะ ส่วนอธิน...ตอนนี้ลูกพร้อมแล้วใช่ไหม?” เธอหันมองร่างสูงที่ทิ้งตัวอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ
“ดูเหมือนว่าแม่จะพูดเองเออเองไปหมดเลยนะครับ” ร่างสูงกล่าวด้วยเสียงเนิบนาบ “สองคนนั้นยังอยู่ในความดูแลของผม...เพราะฉะนั้นแล้ว...เรื่องที่จะปล่อยให้กลับไปทำงานกับแม่ทั้งที่เพิ่งถูกไล่ออกมา เห็นทีว่ามันคงจะ...เป็นไปไม่ได้”
ราวกับศรที่พุ่งออกไปวกกลับมาหา คนที่อารมณ์ดีในทีแรกเริ่มไม่พอใจ
“ว่าไงนะ!”
“ผมกลับมาทำงานที่บริษัทก็จริง แต่ใช่ว่าจะยอมนั่งเก้าอี้ผู้บริหารอย่างที่แม่ต้องการสักหน่อย ผมเลิกสนใจเรื่องพวกนี้ไปนานมาก จู่ๆ ก็กลับมางั้นหรือ?”
คำพูดของคุณอธินทำเอาลูกน้องสองคนสนิทหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่คิดว่าเจ้านายจะกล้าเล่นไม้นี้กับคุณพิมพ์ คราวนี้เข้าใจแล้วว่าไอ้นิสัยดื้อรั้นจนน่าขยาดนี้ได้มาจากไหน ทั้งแม่ทั้งลูกไม่แตกต่างกันเลย แต่ดูท่างานนี้คุณอธินจะถือไพ่เหนือกว่า
“นี่ลูกพูดอะไรน่ะ ลูกเป็น...”
“เป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล ใช่ครับ! อันนั้นผมรู้ แต่ผมยังไม่พร้อมจริงๆ ถ้าแม่จะฝากทุกอย่างไว้กับผม อย่างน้อยก็ให้เวลาให้ผมได้มั่นใจ จริงไหม?”
คุณพิมพ์ภาดาไร้คำพูดใดจะมาโต้แย้ง ไม่คิดว่าลูกชายสุดที่รักจะหันมาเล่นวิธีนี้ แต่ก็เป็นเธอเองไม่ใช่หรือที่ปล่อยให้อธินได้เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตนเอง นิสัยแบบนี้รู้แล้วว่าถอดแบบมาจากใคร...เลือดที่ผสมอยู่ในกายครึ่งหนึ่งของท่านมาเฟียใหญ่ในแผ่นดินจีน หากตอนนี้คุณเฉินกำลังมองดูอยู่ อยากจะบอกให้รู้เหลือเกินว่า ลูกชายสุดที่รักของเขาคนนี้ได้สร้างปัญหาให้เธอแล้ว...
“แม่มีอะไรจะพูดรึเปล่าครับ?”
คุณพิมพ์ภาดายังอึ้งไม่หาย มือเรียวโบกขึ้นอย่างเป็นฝ่ายยอมแพ้ เธอทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานตัวเดิม พลางยกมือขึ้นกุมขมับ อธินเห็นท่าทางยอมจำนนของคุณพิมพ์จึงได้โอกาสพูดต่อ
“ผมจะเริ่มงานเดือนหน้า โดยมีเชนกับอันนาเป็นพี่เลี้ยง แม่มีอะไรจะเสนอรึเปล่าครับ?” ท่าทางของผู้พูดดูผ่อนคลาย ผิดถนัดกับคนฟังในยามนี้ที่ดูย่ำแย่เหลือเกิน
“แม่มีสิทธิ์นั้นด้วยหรือ?” ใบหน้างดงามหันมาย้อนถาม อธินรู้ดีว่าตัวเองทำให้อารมณ์ของผู้เป็นแม่ขุ่นมัวอีกแล้ว
เขารู้อยู่หรอกว่าไม่มีวันหลีกหนีภาระหน้าที่นี้พ้น ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...ขอแค่คุณพิมพ์เข้าใจและยืดเวลาออกไปให้เขาอีกหน่อย
“นั่นสินะครับ ดูเหมือนข้อเสนอของผมจะสร้างปัญหาให้แม่เข้าแล้ว แต่ผมลืมบอกไปอีกข้อ เมื่อไหร่ที่ผมคิดว่าตัวเองพร้อม ถึงเวลาแล้วผมจะกลับมาสานต่อทุกอย่างเอง แม่วางใจเถอะ”
“ร้ายกาจจริงๆ สรุปว่าแม่ต้องรออีกใช่ไหม?” คุณพิมพ์แย้มยิ้มออกมาอย่างประชดประชันกับข้อเสนอที่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่มีสิทธิ์ทักท้วง เพิ่งเคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นรองก็คราวนี้
“คงจะเป็นเช่นนั้น”
ร่างสูงใหญ่กำลังเดินจากไป คุณพิมพ์ภาดาเฝ้ามองความสง่างามอย่างสมบูรณ์แบบและไร้ที่ตินั้นอยู่เบื้องหลัง
มันเหมาะสมแล้วที่เธอจะประดับภาระหน้าที่ทั้งหมดลงบนบ่าคู่นั้น
ริมฝีปากสีสวยพึมพำกับตัวเอง ดวงตาคู่นั้นแสดงความอ่อนโยนเมื่อนึกถึงชายคนเดียวผู้เป็นที่รัก...แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันบนโลกใบนี้แล้วก็ตาม
“ฉันอยากให้คุณได้เห็นภาพนี้เหลือเกิน...”
.................................................
“ผมไม่คิดเลยครับว่าผลมันจะออกมาแบบนี้”
“หรือนายอยากกลับไปทำงานกับแม่ฉันเหมือนเดิม อันนา”
“อ่า...ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นนะครับ แค่ตกใจนิดหน่อยไม่คิดว่าคุณอธินจะกล้าตั้งข้อเสนอแบบนั้นกับคุณพิมพ์”
อธินเผลอหัวเราะออกมา ความจริงนั้น สำหรับเขาแล้วทุกสิ่งที่เป็นความต้องการ ไม่มีอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้
ยกเว้นก็เพียงแต่...การรักษาหัวใจของตัวเองไว้
นั่นคือเรื่องเดียวที่เขาพลาดไป...
...........................................................
ร่างโปร่งบางนั่งลงบนเก้าอี้ทรงสูง เขายึดเคาน์เตอร์บาร์เป็นที่นั่งระบายอารมณ์หงุดหงิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองมาทั้งวัน ตั้งแต่ที่พ่อย้ายที่ทำงานไปเพียงไม่ถึงเดือน แม่ก็เริ่มเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการเขามากขึ้น ยิ่งได้รู้เรื่องผลการเรียนของเขาด้วยแล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่
คนอารมณ์ไม่ดีสั่งเครื่องดื่มมาไม่ยั้งทั้งๆ ที่เพิ่งโดนแม่ตัดเงินในบัญชีไปหมาดๆ คนอย่างเดียร์เคยแคร์เสียเมื่อไหร่ ในเมื่อแม่ไม่ให้ เขาก็ยังมีพ่ออยู่ทั้งคน คิดไปคิดมาก็ยิ่งโกรธ เมื่อเช้าแม่ให้คนมายึดมอเตอร์ไซค์ของเขาไปเนื่องจากไม่พอใจที่เขาทำตัวเหลวไหล เดียร์สาบานเลยว่าถ้ารู้ล่วงหน้ามาก่อนว่าแม่จะเล่นไม้นี้ เขาคงเอามันไปขาย เอาเงินมาใช้ซะให้รู้แล้วรู้รอด!
“ท่าทางอารมณ์ไม่ดีเลยนะ”
“พี่เจนนี่” เด็กหนุ่มร้องออกมา ดีใจเมื่อเจอรุ่นพี่สาวสวย เธอดึงดูดเขาให้ตกอยู่ในภวังค์ด้วยรอยยิ้มหวานๆ จนเด็กคนนี้หัวใจเต้นแรง
“นั่งทำหน้าเซ็งเชียว ทะเลาะกับใครมาอีก ฮึ” นิ้วเรียวบิดแก้มนุ่มนิ่มนั้นอย่างรักใคร่ ในความรู้สึกของเธอ น้องเดียร์ก็เป็นแค่เด็กหัวรั้นคนหนึ่งที่ต้องการความรักความเอาใจใส่เท่านั้น ซึ่งมันห่างไกลกันนักกับสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังคิดกับเธอ
“ก็เรื่องที่บ้านน่ะ พี่อย่าสนใจเลย” เด็กหนุ่มคลึงแก้วเหล้าในมือไปมาอย่างคนเซ็งจัด
“อีกสองหนุ่มไปไหนซะล่ะ?” เธอหมายถึงบรรดาอารักษ์ขาประจำกายของเด็กคนนี้ ที่มักจะแพ็คติดมาด้วยเสมอแบบสินค้าซื้อหนึ่งแถมสอง
“ผมมาคนเดียว ขี้เกียจชวนพวกมันมา ไม่อยากฟังเสียงบ่น” เดียร์ให้เหตุผล ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาจากแก้มป่องๆ
ตอนนี้เขาคิดผิดแล้วที่ไม่ชวนพวกมันมา อย่างน้อยยอมฟังเสียงบ่นเสียยังดีกว่านั่งเหงาคนเดียว
ทั้งสองนั่งคุยกันจนเกือบเที่ยงคืน พี่เจนนี่มีนัดที่อื่นต่อก็เลยขอตัวกลับไปก่อน เดียร์มองตามอย่างหงอยเหงา ตอนเห็นพี่เจนนี่เดินควงไปกับผู้ชายอีกคน
“เฮ้อ....” เขาก็อยากมีใครสักคนไว้เป็นเพื่อนคุยบ้าง ใครสักคนที่เข้าใจ ยอมรับฟังปัญหาที่เขาเผชิญ
เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว การนั่งดื่มคนเดียวแบบนี้มันช่างน่าเบื่อที่สุด เขาควรจะออกไปเต้นกับสาวๆ ที่ยืนรออยู่ตรงนั้น หรือไม่ก็
เข้าไปร่วมวงเล่นเกมกับโต๊ะข้างๆ ไม่ใช่มานั่งแกร่วเป็นหมาหงอยอย่างนี้
รู้สึกไม่อยากทำอะไรนอกจากปล่อยให้เวลามันผ่านเลยไป แล้วแช่ความคิดเอาไว้กับความหวังลมๆ แล้งๆ
“เฮ้ย มึงน่ะ ลุกมาหน่อยดิ้”
เสียงเรียกจากทางด้านหลัง นั่นไม่ดังพอจะทำให้คนเหม่อลอยรู้สึกตัวได้ หากในมุมมองของบุคคลมาใหม่ การกระทำที่นิ่งเฉยราวกับไม่ได้ใส่ใจ ช่างเป็นกริยาที่ค่อนข้างหยามเกียรติกันเหลือเกิน
“หูหนวกรึไงวะ!!” มือหนาเข้ามากระชากเขาจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มตัวปลิวไปตามแรงนั่น เมื่อเขาตั้งตัวได้ก็หันมาเอาเรื่องกับไอ้พวกไร้มารยาทนั่นทันที
“เอามือสกปรกๆ ของมึงออกไปซะ” เดียร์เหยียดมองมือที่จับคอเสื้อตัวเองไว้ด้วยแววตารังเกียจ ถ้าจำไม่ผิด ไอ้พวกสี่ห้าคนที่ยืนเรียงอยู่ต่อหน้า มันเป็นพวกที่เคยมีเรื่องกับเขามาก่อน
“จำที่พวกกูเคยเตือนมึงได้รึเปล่า? ว่าห้ามไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้น”
“แล้วไงวะ?”
“ไอ้เด็กเวร!” ฝ่ายนั้นเงื้อมือขึ้นด้วยความโกรธแค้น ตั้งท่าจะชกแต่เดียร์ไวกว่า คว้าหมัดนั้นไว้อยู่หมัด
“หลีกไป!” เสียงแข็งกร้าวร้องสั่ง ผู้ชายสามสี่คนที่ยืนอยู่หันมองหน้ากันเป็นสัญญาณ ก่อนจะปล่อยให้เขาเดินออกไปอย่างง่ายดาย เดียร์รีบออกจากคลับอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นท่าไม่ดี เขาไม่ควรจะไปมีเรื่องกับใครตอนนี้
จังหวะที่เขายืนรอแท็กซี่อยู่ที่ลานจอด ผู้ชายกลุ่มเดิมเข้ามาล็อคเขาไว้จากทางด้านหลัง พวกมันลากเขาหลบไปในตรอกหลังร้าน เดียร์ตกตะลึงยิ่งกว่าเมื่อได้เห็นพรรคพวกของมันร่วมสิบคนยืนรวมตัวกันอยู่ เลือดในกายแล่นพล่านไปทั่ว ก่อนความมั่นใจจะค่อยๆ ลดลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อประเมินคู่ต่อสู้ด้วยสายตา ต้องยอมรับว่าครั้งนี้ เขาอาจจะไม่รอดถ้ามันจงใจจะเล่นงานเขาขึ้นมาจริงๆ
“ถึงกับตัวสั่นเลยหรือ?” สองมือของเดียร์ถูกมัดไว้เบื้องหลังอย่างหนาแน่นด้วยเชือก พวกมันคงเตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่แห่มาต้อนรับกันอย่างอบอุ่นขนาดนี้
“เฮอะ!! หมาหมู่ไม่เปลี่ยน” สิ้นคำ ฝ่ามือหนาก็ฟาดลงบนแก้มขาวๆ นั่นอย่างแรง เลือดสีสดไหลออกมาจากมุมปาก เดียร์ถ่มน้ำลายทิ้งออกมาใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวใดๆ “อย่าลีลาดีกว่า ถ้ามึงจะเริ่มก็เข้ามาเลยสิวะ” เรียวปากสีสวยที่ย้อมไปด้วยเลือดยังไม่วายท้าทาย เดียร์ยืนมองพวกมันที่ในมือเต็มไปด้วยอาวุธ คิดถึงชะตากรรมของตัวเองในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง...ในเมื่อโชคชะตาบังคับให้เป็นแบบนี้ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ต่อรอง
หมัดแรกตรงเข้ามาที่ปลายคางแม้โชคดีที่เขาหลบทัน แต่หลังจากนั้นอีกคนก็เข้ามาจับตัวเขาไว้ให้อยู่กับที่
“กล้าทำก็กล้ารับสิวะ! ไหนหันหน้าขาวๆ ของมึงมาให้กูดูหน่อยสิ” ไม่ว่าเปล่ามันยังใช้มือสกปรกเชยคางเรียวขึ้นมา
“ก็น่ารักดีนี่หว่า เสียดายที่ปากดีไปหน่อย ” พูดจบก็ปล่อยหมัดใส่ปลายคางไม่ยั้ง ตอนนี้เองที่เขาเจ็บจนรู้สึกชาไปหมด ในหัวมันหนักราวกับโดนหินก้อนใหญ่ๆ ทับไว้
พวกมันใช้วิธีหมาหมู่ แม้พยายามแกะเชือกที่มัดอยู่ทางด้านหลังสักเท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์ ทั้งตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อและเลือด พวกมันไม่เปิดโอกาสให้เขาได้โต้ตอบ ไม่มีโอกาสให้เขาได้หนี เพียงอย่างเดียวที่เดียร์ทำได้ในตอนนี้คือ...อดทนให้ถึงที่สุด
เมื่อรู้ว่าตัวเองคงไม่อาจต้านทานกับความเจ็บปวดนี้ได้อีกต่อไป สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือการภาวนา
รีบๆ จบลงเสียทีเถอะ...
ก่อนสติสุดท้ายจะดับลง ก่อนที่เขาจะถอดใจ ในวินาทีนั้นมีเสียงของใครคนหนึ่ง ซึ่งสามารถหยุดการกระทำของคนพวกนั้นทั้งหมดลงได้ในพริบตา
ไม่อยากจะเชื่อว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นจริงๆ...
ใครคนหนึ่งเข้ามารับตัวเขาไปก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง
และหลังจากนั้นเดียร์ก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย...
………………………………………………………………………….
“ดูเหมือนว่าคืนนี้เพื่อนๆ ของคุณอธินก็อยู่ที่นี่ด้วยนะครับ”
“ช่างมัน ตอนนี้ขอฉันอยู่เงียบๆ ส่วนพวกนายสองคนมีธุระอะไรก็ไปทำเถอะ”
ร่างสูงทิ้งตัวลงบนโซฟา ปล่อยให้เสียงเพลงในยามค่ำคืนช่วยบรรเทาความทุกข์ที่สะสมอยู่ในใจ ดวงตาเรียวงามหันมองออกไปรอบกาย สิ่งที่พบนั่นก็คือบรรดาหนุ่มสาวที่ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงท่ามกลางแสงไฟหลากสีและเสียงเพลงที่ช่วยขับกล่อมให้คืนนี้ดูน่าหลงใหลจนไม่อยากให้มันผ่านพ้นไป
อยากรู้เหมือนกันว่าชีวิตของนักท่องราตรีแบบนั้นมันมีความสุขจริงหรือ...
“นายแน่ใจนะเชน ว่าคุณอธินน่ะเต็มใจกลับไปที่บริษัทจริงๆ ดูท่าทางแล้วฉันกลัวว่ามันจะเป็นการฝืนเสียมากกว่า ถ้าเป็นแบบนั้นฉันคงรู้สึกผิด” เหตุผลที่คุณอธินทำลงไป ลูกน้องอย่างเขาทำไมจะไม่รู้ว่าเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เป็นเพราะหน้าที่ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่สามารถหนีพ้นได้
ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขายังอยากให้คุณอธินกลับไปทำงานที่บริษัทแท้ๆ แต่พอได้เห็นแววตาคู่นั้นที่มีแต่ความเฉยชา มันทำให้เขาที่ทำได้แต่เฝ้ามองห่างๆ กลับรู้สึกไม่ดีไปด้วย เคยนึกไปว่าถ้าคนๆ นั้นกลับมาคืนดีกับคุณอธิน บทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นยังไงต่อไป
เจ้านายจะมีความสุขมากกว่านี้รึเปล่า...
“ห่วงคนอื่นเป็นด้วยหรือนายน่ะ” คนที่ทนฟังมาเนิ่นนานเริ่มหงุดหงิด
“แล้วทำไมต้องใส่อารมณ์ด้วยห้ะ!”
“หยุดพูดสักทีเถอะน่า!”
“นี่นายเป็นบ้าไปแล้วรึไง!” อันนาย้อนกลับ
ร่างสูงยืนฟังคำด่านั่นอย่างไม่เข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่ กว่าหนึ่งเดือนที่ต้องคอยรับรู้ความรู้สึกของไอ้หมอนี่ กี่ครั้งแล้วที่ต้องทนฟังความในใจจากปากของมัน ทั้งหมดทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
หงุดหงิดจนแทบบ้า...
เขาควรเข้าไปขอร้องคุณอธินให้ตัวเองได้กลับไปทำงานกับคุณพิมพ์เสียตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องทนร่วมงานกับคนอย่างไอ้หมอนี่ ไม่ต้องทนฟังสารพัดความเป็นห่วงของมันที่มีต่อคุณอธิน
ร่างสูงมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นแล้วถามตัวเองว่า...จะยอมได้หรือหากต้องแยกจากกัน
“นายนี่มันโง่จริงๆ” เชนทิ้งท้ายไว้แค่นั้นเมื่อเริ่มทนไม่ไหวกับความรู้สึกที่กำลังระเบิดออกมาจากใจ ตอนนี้รู้ตัวแล้วว่าไม่ควรเผลอ
ไปหลงรักไอ้เพื่อนร่วมงานงี่เง่าคนนี้ตั้งแต่แรก
ทั้งที่อยู่ใกล้แต่ก็ไม่เคยได้สัมผัสหัวใจ
คนที่โง่น่ะไม่ใช่เขา แต่เป็นอันนาที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยต่างหาก…
“เฮ้ย มาด่าฉันโง่แล้วเดินหนีออกไปเฉยๆ แบบนี้ได้ยังไงวะ” อันนารีบตามเชนออกมาทางประตูหลังร้าน ร่างบางเดินสำรวจไปตามตรอกเล็กๆ ที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน ในคืนที่ท้องฟ้ามืดมัวเช่นนี้ทำให้เส้นทางดูเปลี่ยวขึ้นมาถนัดตา
“ไปไหนของมันวะ!” ลมเย็นๆ พัดมาทำให้เขาต้องกระชับเสื้อตัวนอกให้แน่นขึ้น สองเท้าพลันหยุดกะทันหัน รู้สึกเหมือนมีใคร
แอบซ่อนอยู่ทางเบื้องหลัง ขณะที่กำมือแน่นเตรียมจะตั้งรับ แต่ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะรอการมาถึงนี้อยู่ก่อนแล้ว ในจังหวะที่เขา
กำลังจะตะโกนออกไป มือปริศนาของใครบางคนก็รีบปิดปากเอาไว้ทันที
“เงียบ!...” เสียงเข้มร้องสั่ง อันนาโดนลากเข้ามาหลบอยู่ในมุมหนึ่ง ซึ่งมันค่อนข้างลับตาคนได้ดีทีเดียว พอถูกปล่อยเป็นอิสระ ร่างเพรียวบางก็รีบหันมาต่อว่าเจ้าของเสียงทันที
“เชน นี่นายทำบ้าอะไรห้ะ?” เสียงเล็กๆ นั่นเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เจ้าตัวกระชับเสื้อตัวนอกให้เข้าที่ “แล้วออกมาที่นี่ทำไม?”
“ฉันตามกลุ่มเพื่อนของคุณอธินมา”
“เพื่อนหรือ...” ว่าแล้วเจ้าของร่างเพรียวบางก็ค่อยๆ แทรกตัวออกมาจากที่ซ่อน ยืนหลบข้างกำแพงเพื่อมองเหตุการณ์ตรงหน้าให้ถนัด
“ดูเหมือนคืนนี้พวกนั้นตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง นั่นไง!..ในนั้นมีพรรคพวกของเราที่ทำงานให้มันอยู่” เชนเข้ามาซ้อนจากทางเบื้องหลัง เขาพยายามสังเกตพฤติกรรมของคนพวกนั้นอยู่พักใหญ่ ดูเหมือนว่าคืนนี้จะมีการรวมตัวครั้งใหญ่ นั่นไม่ใช่เรื่องดีแน่
“นั่นมันเด็กคนนั้นนี่!”
เชนรีบหันไปดูตามคำบอก นัยน์ตาคมกริบลุกวาวทันทีเมื่อจำได้ว่าเด็กหนุ่มที่ถูกเพื่อนๆ ของคุณอธินจับตัวเอาไว้เป็นคนเดียวกับคนที่คุณอธินบุกไปที่ห้องเมื่อครั้งก่อน
“มันคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“เหอะ ก็แค่เด็กตีกัน ฉันว่ามันก็สมควรแล้วนะที่ไอ้เด็กนั่นจะโดนสั่งสอนน่ะ” อันนายังจำความแค้นครั้งนั้นไม่หาย เด็กปากดีที่ยืนต่อปากต่อคำกับเขาปาวๆ อย่างไร้มารยาท หากจะโดนพวกนั้นสั่งสอนเสียบ้าง บางทีอาจจะช่วยรักษาอาการปากเสียนั่นได้
ความชุลมุนตรงหน้าได้เริ่มขึ้นแล้ว เชนไม่สามารถปล่อยให้คนพวกนั้น ใช้อำนาจผ่านมือเจ้านายทำเรื่องชั่วช้าอีกแน่นอน
“นายรีบโทรรายงานคุณอธินเดี๋ยวนี้เลย!”
“ไม่มีทาง! อยากช่วยก็เข้าไปช่วยคนเดียวสิ”
“อันนา นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องส่วนตัวนะ”
“แต่เด็กนั่นมันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณอธินเลยนะ!”
“ฉันบอกว่าให้รีบโทรยังไงเล่า!” พูดจบเจ้าตัวก็รีบกระโจนออกไป คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังไม่อาจลังเลได้อีกแล้ว
เรื่องสัญญาของคุณอธินเขาก็พอจะรู้มาบ้าง และอำนาจเพียงหนึ่งเดียวที่จะยุติเรื่องราวทั้งหมดทั้งหมดได้
ต้องมาจากคุณอธินเท่านั้น
ไม้หน้าสามถูกเหวี่ยงทิ้งลงกลางวงจนสุดแรง เสียงกระทบกราวลงบนพื้นปูนหยุดชะงักเหตุการณ์ตรงหน้าลงชั่วขณะ
“พวกมึงเล่นอะไรกันอยู่ห้ะ!” เสียงแข็งกร้าวตะโกนดังสนั่น ดวงตาคมกริบเพ่งมองไปยังคนที่ริอ่านวางตนเป็นใหญ่ ร่างสูงสง่าก้าวไปตรงหน้าอดีต ‘เพื่อน’ ที่เคยร่วมกลุ่มกันมาก่อน
“ภูมิใจมากเลยสินะ สิบห้ารุมหนึ่งน่ะ รู้ไหม? ตอนมองจากที่ไกลๆ มันไม่ต่างอะไรจากหมาข้างถนนเลย” อธินเดินเข้าไปเชื่องช้า เห็นสายตาของพวกมันราวกับสัตว์กระหายเลือด ไม่มีแม้แต่สมองคิด ผลของการกระทำมันจึงออกมาไม่ต่างอะไรจากสัตว์ตระกูลต่ำ
“ว่าไงมอส! ไม่คิดว่าแกจะยืนดูฉากอัปยศนี้ได้โดยไม่คิดทำอะไร”
เจ้าของชื่อยิ้มแสยะมาทางเขา แน่นอนว่าคนอย่างมันทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจเหนือคนอื่น ครั้งนี้ก็คงจะหลอกใช้เพื่อนที่เหลือให้คล้อยตาม อาศัยจุดอ่อนของไอ้พวกนั้นมาล่อ
“แล้วเกี่ยวอะไรกับคนอย่างมึงไม่ทราบ?”
“ปล่อยเด็กนั่นลงซะ!” อธินสั่งด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยพลังและอำนาจ รู้สึกโกรธขึ้นมากะทันหันเมื่อหันไปมองร่างที่แทบไร้สติเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผลมากมาย
“ไม่ได้ยินรึไง!” เขาเกือบควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้แล้วเมื่อเห็นพวกมันยังทำยึกยัก แต่หารู้ไม่ว่าที่นิ่งจนไม่อาจขยับ นั่นเพราะเห็นใบหน้าของคนสั่งเต็มไปด้วยความอาฆาต ทำเอาพวกกระจอกงอกง่อยได้แต่ยืนผวาไปตามๆ กัน
“เชน! เรียกตัวพวกเรากลับมาให้หมด แล้วหลังจากนี้ให้ฟังแต่คำสั่งของฉันคนเดียวเท่านั้น ส่วนอันนา นายไปเอาตัวเด็กคนนั้นมา!” ทั้งหมดล้วนเป็นประกาศิต พวกที่ขวางทางรีบถอยห่างออกไปอย่างรักตัวกลัวตาย
“ค..ครับ” อันนาอ้ำอึ้งกับคำสั่ง เมื่อเห็นสายตาดุกร้าวคู่นั้นมองมา ฐิติในใจก็ถูกลบทิ้งภายในทันที ทั้งที่เกลียดเด็กคนนั้นใจจะขาด
“ฉันว่าไอ้พวกคุณชายอย่างแกไม่ควรจะเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้นะ แล้วอีกอย่างตอนนี้พวกเราทุกคนไม่มีใครอยู่ภายใต้คำสั่งของแกแล้ว” หัวหน้าแก๊งเริ่มเป็นห่วงอำนาจที่ถูกสั่นคลอน ดูเหมือนว่าลูกน้องที่เคยอยู่ใต้อาณัติของตนเองจะลืมไปแล้วว่าควรฟังคำสั่งของใคร
“ฉันก็ไม่เคยคิดว่ามีสวะๆ อย่างพวกแกเป็นเพื่อนมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วล่ะนะ”
“อย่าทำเหมือนได้ใจทั้งที่พวกฉันถือไผ่เหนือกว่าสิวะ อย่าลืมสิว่าแกยังติดค้างฉันอยู่” มอสทวงถามอย่างมั่นใจ
อธินยิ้มเยาะเมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกมันคงคิดว่าจะเอาบุญคุณครั้งนั้นมาขู่เขาได้อีกสินะ!
“ถ้าเรื่องนั้นมันทำให้แกเหิมเกริมมาได้ถึงวันนี้ก็คิดผิดแล้วล่ะ ต่อให้แกมีบุญคุณกับฉันแต่ตอนนี้มันก็ไร้ประโยชน์
อะไรที่เคยได้ไป วันนี้ฉันจะเรียกคืนมาทั้งหมด เตรียมตัวเอาไว้ให้ดีเถอะ” พอกันทีมิตรภาพจอมปลอม...พวกที่คอยแต่หวังผลประโยชน์ จากนี้จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว...
“หมายความว่าไงวะ?” ลูกน้องที่เคยฟังคำสั่งกลับเข้ามาจับตัวเขาไว้ เพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆ ก็ถูกพวกมันล้อมไว้จนหมด
“ค่าตอบแทนยังไงล่ะ ฮึ...ขอให้โชคดีแล้วกัน!”
แล้วเหตุการณ์ชุลมุนในคืนนั้นก็เริ่มต้นอีกครั้ง ร่างสูงเดินออกจากที่เกิดเหตุโดยไม่หันกลับไปมองซ้ำอีกเลย
ไม่เข้าใจการกระทำตัวเองเหมือนกันว่าจะแก้แค้นพวกมันไปเพื่ออะไร ในเมื่อคนเจ็บไม่ใช่คนของเขา และไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกันทั้งสิ้น
เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่เพิ่งเจอกันเมื่อหนึ่งเดือนก่อน...
……………………………………………..
พี่อธินนนนนนนนนน
