เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่34(THE END)--(08/03/2561)  (อ่าน 17139 ครั้ง)

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เรือนร้าว17(ครึ่งหลังอัพครบ)
ตอน ถวิล
 
      ณ พระนคร

       “เจ้าดอม เมื่อไหร่เจ้าจะไปทำงานเสียที พระยาสุรศักดิ์พร่ำบ่นพ่อทุกเมื่อเชื่อวันว่าไม่เคยเห็นหัวเจ้าเลย”

      พระยามนตรีส่ายหน้าระอาที่บุตรชายคนเล็กที่เกิดจากภรรยาชาวสยามนั้นวันๆเอาแต่นั่งแต่งกาพย์กลอน แม้ด้วยความฉลาดสามารถเรียนได้สูสีพร้อมกับบุตรชายของคุณพระวินิตราชศักดิ์ทำให้สามารถฝากเข้าทำงานกับพระยาสุรศักดิ์ จนได้ยศตำแหน่งขุนได้อย่างรวดเร็วก็ตาม แต่ถึงอย่างไรนานครั้งคุณดอมกลับไม่ใคร่สนใจงานการเท่าใดนัก เพราะมัวแต่โปรดปรานบทละครและกาพย์กลอนอยู่นั่นเอง

     “วันนี้ไม่มีประชุมราชการนี่ขอรับคุณพ่อ กระผมก็อยากอยู่เรือน ทำในสิ่งที่ชอบบ้างก็เท่านั้น” คุณดอมแก้ต่างบิดา

     “เฮ้อ!” พระยามนตรีถอนหายใจดังเฮือก “ลูกคนโตก็ได้เลื่อนยศเชื่องช้าไม่ทันใจ คนเล็กก็วันๆเอาแต่แต่งกลอนไม่สนใจงานการ นี่ถ้าเจ้าเรียนได้ที่หนึ่งเหมือนพ่อเขมล่ะก็...ป่านนี้คงได้เป็นนักเรียนทุนโก้อยู่อังกฤษแล้ว”

      คุณดอมที่ได้ยินบิดากล่าวถึงคู่แข่งสมัยเรียนก็หูผึ่ง เงยหน้าขึ้นด้วยความเคืองเล็กๆด้วยทุกวันนี้ยังริษยาคุณเขมไม่หายแม้จะเรียนจบมาถึงสามปีแล้วก็ตาม เพราะบุตรชายของคุณพระวินิตราชศักดิ์อะไรนั่นนอกจากจะเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนร่วมชั้นเรียนแล้ว ยังสอบไล่ได้ที่หนึ่งจนอาจารย์ใหญ่ชอบใจมอบทุนไปเรียนต่อยุโรปเก๋โก้

     ในขณะที่ตน...กลับถูกเพื่อนร่วมชั้นตีตนออกห่าง ถูกนินทาว่าหยิ่งยะโส เรียนเก่งสู้คุณเขมไม่ได้แล้วยังทำอวดเก่ง แล้วจะไม่ให้ตนชอบคุณเขมอะไรนั่นได้อย่างไรล่ะ!?

      “หึ! คุณพ่อมีเบี้ยอัฐมากมาย แต่กลับไม่ส่งผมไปเอง มิอย่างนั้นผมคงโก้ไม่แพ้คุณเขมอะไรนั่นหรอกขอรับคุณพ่อ”

     “แล้วใครใช้ให้เจ้าเรียนด้อยกว่าพ่อเขมเล่า?!”

     “คุณพ่อ!”

      คุณดอมผุดลุกขึ้นจากที่นั่งทำหน้าโกรธเกรี้ยว เพราะหลายครั้งที่ตนมักถูกเปรียบเทียบกับลูกขุนน้ำขุนนางด้วยกัน ไม่ใช่เพียงแค่ตน แต่คุณโดมผู้เป็นพี่ชายต่างมารดาก็โดนด้วยว่าเป็นบุตรพระยารับราชการในกระทรวงดีๆไม่ชอบ กลับไปดิ้นรนเสี่ยงชีวิตกับโจรผู้ร้ายโดยไม่สนใจว่าจะได้รับยศตำแหน่งอะไร แต่พอถึงคราวตนได้รับราชการบ้าง มีความชอบในการประพันธ์บทละครจนได้รับยศเป็นขุนวรประพันธ์ หากถึงกระนั้นก็ยังหาเป็นที่พอใจแก่บิดาไม่

     “วันก่อนฉันเจอคุณพระวินิตราชศักดิ์ เห็นว่ากำหนดกลับของพ่อเขมคือกลางปีหน้า คุณพระจึงตั้งใจจะฝากฝังพ่อเขมกับฉันให้ทำงานราชการเสียเลย คนเก่งๆอย่างพ่อเขม ฉันเชื่อว่าไม่พ้นปีคงได้ตำแหน่งหลวงเหมือนคุณพระในวัยหนุ่มเป็นแน่”

     “อะไรนะขอรับ!?” คุณดอมขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “สามปีมานี้กระผมยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหลวงเสียที คุณพ่อยังจะไปช่วยคุณเขมอะไรนั่นอีกหรือขอรับ?!”

     “อย่ามาขึ้นเสียงใส่พ่อนะเจ้าดอม!” พระยามนตรีเอ็ดตะโรบุตรชายคนเล็ก “ในเมื่อมีลูกถึงสองคน แต่ละคนมันไม่ได้ดั่งใจ ฉันก็จะสนับสนุนลูกของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่บ้างจะเป็นกระไรไป”

     พระยามนตรีส่ายหน้าหัวเสียเดินกลับเข้าไปในบ้าน คุณดอมมองตามบิดาด้วยความหงุดหงิดและคับแค้นใจ เขาเป็นถึงบุตรที่เกิดจากมารดาชาวสยามที่เป็นลูกขุนน้ำขุนนางสูงส่ง ไม่เหมือนกับพี่ชายที่เกิดจากแหม่มฝรั่งมังค่าภรรยาคนแรกของคุณพ่อ

     จะมายอมให้บิดาส่งเสริมลูกของเพื่อนที่มียศถาต่ำต้อยกว่ากระนั้นรึ! ไม่มีทาง!!

     ในเมื่อผู้เป็นพ่อไม่เห็นหน้าไม่เห็นหัวตัวเองบ้าง เขาเองก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกัน!

    รอวันที่คุณเขมกลับมาก่อนเถอะ...จะจัดการให้สาสมทีเดียว!



       “ยม เปิดประตูหน่อย ฉันกลับมาแล้วนะ”

      เมื่อได้ยินเสียงของคุณโดม ร่างน้อยก็รีบเดินจ้ำอ้าวมาเปิดประตูที่ลงกลอนไว้แทบจะทันทีเพราะเกรงว่าคุณโดมจะรอเสียนาน

      “ทำอะไรอยู่?”

      “เพิ่งทำกับข้าวเสร็จจ้ะ” ยมตอบคุณโดม รับปิ่นโตที่ร้อยโทหนุ่มส่งมาให้ คุณโดมยิ้มมุมปากก่อนเดินเข้าไปในห้องทำครัว ก็พบว่าบนโต๊ะมีอาหารประมาณสองสามอย่างวางอยู่แล้ว

    “หื้ม?” สายตาคมกริบเห็นพวงลูกตาวตั้งไว้อยู่มุมห้อง ก่อนจะหันไปถามยมที่เดินตามมาติดๆ “นั่นยมไปเอาลูกตาวมาจากไหนน่ะ?”

   “เอ่อ...คือ...” ยมตอบเสียงสั่นๆ คุณโดมจะดุตนไหมหนอที่ตนพูดคุยกับคนแปลกหน้า “พอดีใกล้ๆเรือนมีเพื่อนบ้านย้ายมาใหม่ เขานำลูกตาวมาให้เพราะแค่อยากรู้จักบ้านใกล้เรือนเคียงน่ะจ้ะ คุณโดมไม่ว่า...”

    “ฉันจะว่ายมทำไมกัน” คุณโดมพูดดักขึ้นพลางพับแขนเสื้อเพื่อล้างมือล้างไม้ให้ถนัด “ยมจะคุยกับเพื่อนบ้านฉันก็ไม่ว่าหรอก แค่จำไว้ว่าต้องคอยระวังตัว แต่ถ้าเขามาดีจริงก็ไม่ต้องถึงขั้นไประแวง เข้าใจไหม?”

     เด็กน้อยยิ้มแหย หากแต่ก็พยักหน้ารับรู้โดยดี คุณโดมจึงชวนยมทานมื้อเย็นด้วยกัน จากครั้งแรกที่ยมตัวเกร็งด้วยไม่เคยนั่งเสมอนายมาตลอดเริ่มชินกับการร่วมโต๊ะกับร้อยโทหนุ่มเสียแล้ว

    “อยู่คนเดียว เหงาไหมยม?” คุณโดมเอ่ยถามไถ่เพื่อไม่ให้มื้อนี้เงียบเหงาจนเกินไป

    “ก็นิดหน่อยจ้ะ...” ยมตอบขณะตักผัดผักเข้าปาก

   “เดี๋ยวทานข้าวเสร็จ ฉันจะพายมไปซื้อเสื้อผ้าข้าวของเพิ่ม จะได้ไปซื้อของสดเพิ่มด้วย ดีไหม?”

     ยมพยักหน้าหงึกๆ ตามใจคุณโดมเพราะรู้ดีว่าถึงจะปฏิเสธอย่างไรคุณโดมก็คงจะดึงดันพาตนออกไปอยู่ดี ดังนั้นเมื่อคุณโดมเป็นฝ่ายอาสาเก็บล้างจานชามเสร็จ ร่างสูงก็พายมขับรถยนต์คู่ใจออกมาเดินเล่นตลาดยามเย็นที่เดียวกับเมื่อวานแทน วันนี้แตกต่างจากเมื่อวานตรงที่ผู้คนเดินกันให้ควั่กมากกว่าเดิมเสียอีก

    “นี่ๆตั๋วๆ เห็นว่าวันนี้จะมีคณะละครจากบางกอกสิมาเล่นให้ผ่อละเน้อ” เสียงหญิงชาวบ้านเดินเกาะกลุ่มพูดคุยกันตื่นเต้น

    “แต้กา? เรื่องอะหยังอีเครือ?”

    “บ่ฮู้สิ เปิ้นว่ารีบไปผ่อกันติกว่า ขะใจ๋เข้า!”

   แม้ภาษาเหนือจะค่อนข้างยากที่จะจับใจความสำหรับยม แต่เด็กน้อยก็พอจะจับใจความได้ว่าวันนี้จะมีคณะละครจากพระนครมาแสดงให้ชม ราวกับรู้ใจ...เพราะอยู่ๆคุณโดมก็สะกิดถามเด็กน้อยขึ้นมา

     “ยมอยากดูละครไหม?”

     ยมพยักหน้าหงึกหงัก จากที่ตอนแรกจะมาซื้อของอย่างเดียว กลายเป็นว่าตอนนี้คุณโดมก็เดินนำยมมายังลานกว้างกลางตลาดที่มีพรมและแท่นปูไว้สำหรับนางรำรำแสดง ความจริงยมก็เคยเห็นผ่านในพระนครมาบ้าง แต่ไม่เคยได้นั่งชมใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน ละครเปิดเรื่องด้วยการมีเด็กสองคนที่ถูกทาผิวจนดำมิดหมีมาสร้างสีสันให้ชาวบ้านพากันหัวเราะขบขันในอากัปกิริยาเฉกเช่นชาวซาไก ก่อนจะมีตัวละครเด่นสามคนเริ่มแสดงบทสำคัญตาม ส่วนใหญ่บทกลอนจะไม่ค่อยมีเท่าใด จะหนักไปทางพูดและอารมณ์ของคนแสดงสมกับเป็นละครนอกมากกว่า

      “พี่ฮเนาปล่อยฉันนะ ช่วยด้วย จ้วยเปิ้นโต้ย!”

     คนแสดงเป็นลำหับตะโกนขอความช่วยเหลือกลางคำเหนือคำเมื่อถูกฮเนายื้อยุด แต่ก็ถูกซมพลาลอบเอาไม้พลองตีหัวจนล้มตึงไปบนพื้นท่าทางขบขันเรียกเสียงหัวเราะจากชาวบ้าน ยมชมละครชุดนี้อย่างมีอารมณ์ขันร่วมกับคนอื่นโดยมีคุณโดมนั่งขำท้องแทบหงายอยู่ข้างๆ

     จนกระทั่งเรื่องดำเนินมาถึงตอนที่ฮเนามาแย่งชิงลำหับกลับบ้าน แต่ซมพลาไม่ยอมจึงเกิดการต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร เมื่อฮเนาใกล้จะเสียที พี่ชายของฮเนาก็เป่าลูกดอกอาบนาพิษปักหน้าผากซมพลาจนตาย ลำหับร้องไห้คร่ำครวญเข้าถึงบท ยกมีดปลอมที่ใช้แสดงฆ่าตัวตายตามคนรัก ฮเนาพร่ำพรรณนาความรักที่มีต่อลำหับก่อนจะแทงตัวตายตามด้วยความรู้สึกผิด ทำเอาชาวบ้านร้องโห่อยู่ชั่วคราวเพราะเรื่องจบอย่างไม่มีความสุข จนต้องเอาเด็กที่เล่นเป็นคนังกับไม้ไผ่มาปิดฉากเรียกเสียงหัวเราะถึงจะยอมกลับไปนั่งดูที่เดิม

       “คณะละครนี่ก็แปลกแท้ รู้ทั้งรู้ว่าชาวบ้านส่วนมากไม่ชอบละครที่จบแย่ ก็ยังจะเอามาเล่น” คุณโดมส่ายหน้าพลางบ่นพลาง ผิดกับยมที่ยังคงนั่งดูเด็กตัวเล็กทั้งสองไม่วางตา โดยเฉพาะเด็กที่สวมบทบาทเป็นคนัง...

      พระนิพนธ์เงาะป่าว่าตามเค้า

คนังเล่าแต่งต่อล้อมันเล่น

ใช้ภาษาเงาะป่าว่ายากเย็น

แต่พอเห็นเงื่อนเงาเข้าใจกัน

ทำแปดวันครั้นมาถึงวันศุกร์

สิ้นสนุกไม่มีที่ข้อขัน

วันที่สองของเดือนกุมภาพันธ์

ศกร้อยยี่สิบสี่มั่นจบหมดเอย

    “คนังเป็นใครหรือจ๊ะพี่เขม?”  ยมสะดุดชื่อแปลกตาตรงวรรคที่สอง หรือจะเป็นชื่อของผู้ที่ช่วยในหลวงท่านแต่งเรื่องเงาะป่ากันนะ

“คนังเป็นเด็กชาวซาไกที่ในหลวงทรงรับอุปการะ พระองค์จึงได้รับรู้วิถีชีวิตของชาวซาไก  ภาษาก็อย และวัฒนธรรมที่แทรกอยู่ในหนังสือ ก็มาจากคนังนี่แหละ พระองค์ถึงได้แต่งเสร็จภายในแปดวันไม่ติดขัด”

      ว่าแล้ว...ก็คิดถึงหนังสือเงาะป่าที่ยังอยู่ที่เรือนของตนเหลือเกิน

      ตั้งแต่จากมา ยมไม่มีของๆพี่เขมติดมาแทนความคิดถึงแม้แต่ชิ้นเดียว...

   หวังว่าพี่มั่นพี่เพลิง...จะเก็บหนังสือเล่มนั้นไว้คืนคุณเขมแทนนะ

   “ยม เหม่ออีกแล้ว..” ร้อยโทหนุ่มสะกิดเรียกเมื่อเห็นยมเหม่อลอยได้สักพัก ก่อนจะลุกเพื่อเดินนำยมไปซื้อของ“ละครจบแล้ว ไปซื้อของกันดีกว่า”

       “จะ...จ้ะ คุณโดม”

       เมื่อหลุดออกจากภวังค์ได้ยมก็รีบตอบรับคนตัวใหญ่ เดินตามร่างสูงต้อยๆ เขาพายมไปซื้อเสื้อผ้าราคาไม่แพงเพิ่มสองสามชุดอ้างไว้ใส่นอนจะได้สบายๆ ตามด้วยของสดไว้ให้ยมทำอาหารมื้อต่อไป กระทั่งได้ของครบคุณโดมก็จะพายมกลับเรือน หากแต่ระหว่างเดินกลับนั้นคุณโดมก็หยุดชะงักเมื่อเห็นร้านเล็ๆที่มีต้นไม้พรรณหายากปลูกเรียงราย หน้าร้านมีดอกไลเซนทัสประดับปะปนกับพรรณไม้อื่น คุณโดมมองอย่างฉงนด้วยไม่คิดว่าจะได้มาเจอที่เมืองเหนือเช่นนี้

     “สนใจดอกไลเซนทัสรึพ่อหนุ่ม?” ลุงเจ้าของร้านหน้าตาใจดีทักทายคุณโดมอย่างมีอัธยาศัย ภาษาบางกอกชัดถ้อยคำราวชาวพระนคร “นี่ดอกไม้เทศเจียวนะ เจ้านายเก่าลุงเป็นฝรั่ง ท่านปันพรรณไม้พวกนี้มาให้ลุงปลูก ลุงเห็นว่าได้ราคางามจึงนำมาขายนี่แหละ”

     สุดท้ายแล้วคุณโดมก็ได้ซื้อดอกไลเซนทัสมาจากลุงคนขายในราคาที่ไม่ได้แพงหูฉี่อย่างที่คิดไว้แต่แรกนัก ก็ดีเหมือนกัน...เห็นแล้วก็คิดถึงดอกไลเซนทัสที่เรือนของบิดาเหลือเกิน  ร้อยโทหนุ่มหันไปมองร่างเล็กที่กำลังหลับตาพริ้มเพื่อดอมดมกลิ่นหอมของดอกมะลิลาอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าคมคายแบบฝรั่งยกมุมปากยิ้มน้อยๆ

    “ยมอยากได้ดอกมะลิรึเปล่า?”

    เพราะเห็นว่ายมไม่ยอมห่างจากต้นมะลิต้นเล็ก คุณโดมจึงตัดสินใจควักอัฐส่งให้ชายชรารวมกับดอกไลเซนทัส ก่อนจะช่วยกันนำต้นไม้ทั้งสองไปไว้เบาะหลังเพื่อกลับเรือนเพราะยามนี้ก็ใกล้ค่ำมืดเต็มที

    “เรียบร้อยแล้วนะยม” คุณโดมยืนมองผลงานหลังจากนำทั้งต้นไลเซนทัสกับมะลิมาปลูกเข้าไว้ใกล้ๆกัน หัวใจของทั้งสองยามที่มองดอกไม้ที่ชื่นชอบ ก็ย่อมมีความคิดอ่านต่างหันออกไป

    หัวใจหนึ่งมองดอกไลเซนทัส...นอกจากจะระลึกถึงหญิงสาวที่สวยที่สุดในชีวิต เขายังแน่วแน่ที่จะรักษามิตรภาพที่ชิดใกล้

     หากแต่อีกหนึ่งหัวใจที่มองดอกมะลิ...กลับมีเพียงสิ่งเดียวที่นึกคิด

     คิดถึงคนอีกคน...ที่ชื่นชอบดอกมะลิเช่นเดียวกัน!

    “ยม...” คุณโดมเรียกยมที่ยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุขยามมองดอกมะลิ “ดูยมมีความสุขมากขึ้นนะ ตั้งแต่ฉันซื้อดอกมะลิให้”

    “ก็มันเหมือนได้อยู่กับพี่เขมนี่จ๊ะ” ยมพลั้งเผลอตอบตามที่ใจนึกคิด นั่นทำให้คุณโดมทำหน้านิ่งอย่างเห็นได้ชัด

     “ยมยังรอเขมอยู่อย่างนั้นหรือ?”

     “เอ่อ...” ใบหน้าของเด็กน้อยเจื่อนลง พยักหน้าเบาๆเป็นคำตอบ

    “ความรักของยมนี่มั่นคงดีนะ” ริมฝีปากหนายิ้มมุมปาก พูดเหมือนที่ใจคิดเช่นเดียวกัน หากนั่นกลับทำให้แววตาของยมสลดลง

     “ก็ทั้งชีวิตของยม มีแค่พี่เขมคนเดียวนี่จ๊ะ” แม้กลีบปากสวยจะยิ้มน้อยๆ แต่น้ำเสียงนั้นแผ่วเหลือเกิน “ยมเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ตาย คนที่อยู่ด้วยแล้วยมรู้สึกอบอุ่นที่สุด ก็คือพี่เขม”

     “หึ...” ร้อยโทหนุ่มเหล่มองเด็กหนุ่มที่รู้สึกว่าตอนนี้จะกล้าพูดถึงคุณเขมดีอย่างนั้นอย่างนี้...มากเหลือเกิน

      “ฉันรู้แล้ว ว่ายมรักเขมมากขนาดไหน” ร่างสูงนั่งยอง ชำเลืองมองดอกไลเซนทัสบ้าง “ก็เหมือนที่ฉันรักคุณแม่ของฉันนั่นแหละ”

คุณอันนา...เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในความทรงจำของคุณโดม ดวงตากลมโตสวยสีฟ้า ผิวที่ขาวเนียนสมเป็นหญิงยุโรป เส้นผมสีบลอนด์สลวยงดงามประบ่า แม้โดยชาติกำเนิดจะเป็นแหม่มฝรั่ง แต่คุณอันนาเล่าให้ฟังว่าเธออยู่กับคุณตาในสยามมาตั้งแต่แบเบาะ จึงสามารถเจรจาพาทีภาษาสยามได้ไม่ติดขัด คุณโดมในวัยเยาว์แม้จะดูเผินๆแล้วชอบเล่นซนตามประสาเด็ก หากแท้จริงแล้วกลับมองออกทุกอย่างว่าแววตาของมารดาเศร้ามากแค่ไหน เพราะยามที่ร้องไห้เสียใจคุณอันนามักจะชอบมานั่งเหม่อลอยท่ามกลางทุ่งไลเซนทัสสีขาวบริสุทธิ์ที่งดงาม

  “มัมครับ”

คุณโดมในวัยห้าขวบวิ่งเข้ามากอดร่างของมารดาที่นั่งหันหลังอยู่ที่ดงดอกไลเซนทัสในสวนของพระยามนตรี คุณอันนาปาดน้ำตาก่อนจะหันมายิ้มให้ลูกชายที่เธอรักแสนรัก

  “โดม...เด็กดีของมัม” เธอโอบกอดลูกชายตัวน้อย หลบซ่อนใบหน้าสวยหวานที่ตอนนี้ดวงตาสีฟ้าแดงก่ำ “นี่ได้เวลามื้อเที่ยงแล้วนะ ทำไมยังไม่ทานข้าวจ๊ะ?”

“โดมอยากทานกับมัมครับ” เด็กน้อยออดอ้อนผู้เป็นมารดา “คุณพ่อไม่อยู่ ไม่รู้ไปไหน โดมเหงา”

“โธ่...มายเดียร์”

คุณอันนาแทบจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ แม้จะเป็นภรรยาเอก แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับอย่างออกหน้าออกตา ที่ทุกวันนี้เธอได้รับการดูแลอย่างดีก็เพราะเพียงเธอมีเลือดเนื้อเชื้อไขของพระยามนตรีก็เท่านั้น แต่คุณอันนาเองไม่เคยมองคุณโดมเป็นเครื่องมือคอยรั้งผู้เป็นสามีแม้แต่น้อย หากแต่เธอก็อยากให้ลูกชายมีครอบครัวที่อบอุ่น จึงยอมก้มหน้าก้มตารับสภาพต่อไป

  “แค่ก...แค่ก...” หญิงสาวไอสำรอกออกมาจนต้องเอามือปิดปากไว้ ครั้นเมื่อพินิจอีกที หยาดสีแดงเปื้อนฝ่ามือขาวเนียนเต็มมือ เวลาของเธอใกล้หมดตั้งแต่วินาทีนี้แล้วสินะ

นี่ล่ะ...สาเหตุที่เธอถูกสามีทิ้งขว้าง เพื่อแสวงหาหญิงอื่นที่เหมาะสมอยู่ร่ำไป

“มัม! ทำไมมัมไอเป็นเลือด ฮือ!” เด็กน้อยร้องไห้คร่ำครวญเมื่อเห็นสภาพอิดโรยหน้าเวทนาของมารดา หากแต่คุณอันนาฝืนยิ้มก่อนจะยื่นดอกไลเซนทัสให้ลูกชาย

    “โดม ที่รักของมัม” เธอกุมมือน้อยของลูกชาย...ที่เธอรักทั้งหมดของหัวใจ “หากมัมไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว ดอกไลเซนทัสนี้จะเป็นเครื่องเตือนความทรงจำของเรา โดมจำความหมายของมันได้ใช่ไหม?”

“ฮึก...จำได้ครับ มันหมายถึง ความรัก ความทรงจำที่ดี และมิตรภาพที่ดีด้วย” คุณโดมตอบมารดาเสียงสั่นเครือ คุณอันนายิ้มรับน้อยๆเมื่อได้ฟังคำตอบ

“จงจำไป...ตลอด...นะจ๊ะ...”

ดวงตาสีฟ้าเริ่มปิดสนิท มือเรียวที่เปื้อนเลือดยังคงเกาะกุมลูกชายตัวน้อยไม่ห่าง ลมหายใจของคุณอันนาเริ่มผ่อนแรงลง ครั้นเมื่อเลือดออกทั้งเจ็ดทวาร มือของมารดาที่คล้ายปกป้องคุ้มครองดวงใจของตนก็ร่วงหล่นเช่นเดียวกับวิญญาณในร่าง

  “มัม ฮือ! มัมครับ!!!”

 จากเหตุการณ์ในวันนั้น...ชีวิตที่ไม่มีแม่ คุณโดมต้องทนแบกรับความกดดันที่บิดาต้องการ เขาทำได้ทุกอย่าง...ยกเว้นก็แต่ความฝันที่อยากจะเป็นตำรวจ พิทักษ์สันติราษฎ์เพื่อให้ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อีกทั้งตอนนี้นอกจากจะได้ปลูกดอกไลเซนทัสในเรือนปั้นหยาเพื่อนึกถึงคุณอันนาที่ล่วงลับไปแล้ว เขายังมีคนคอยช่วยดูแลดอกไม้ที่เขารักที่สุดในชีวิตอีกด้วย

      เรียกว่าเป็นความสุขก็คงไม่ผิดกระมัง

       ‘มัมครับ...ไม่ต้องห่วงว่าผมจะอยู่คนเดียว ผมไม่เหงาอีกต่อไปแล้วนะครับ’

      “เศร้าเหลือเกินจ้ะ”

       เมื่อได้ฟัง...ยมก็เข้าใจอย่าถ่องแท้ทันที ว่าเหตุใดคุณโดมถึงได้รักดอกไลเซนทัสมากถึงขนาดนี้ เพราะต่างคนต่างมีดอกไม้แทนใจอยู่ในใจ เพื่อคิดถึงคนที่รัก

        แต่มันต่างตรงที่...คนที่คุณโดมรักไม่กลับมาแล้วนั่นเอง!

    “คุณแม่ยังอยู่กับฉันเสมอแหละนะ” ใบหน้าคมคายยิ้มส่งให้ ก่อนจะยื่นมือไปแตะหัวไหล่เอ่ยถามคนตัวน้อย “แล้วยมล่ะ? ในเมื่อยมไม่ได้อยู่เรือนคุณอาแล้ว ยมว่าเขมจะตามหายมไหม?”

    “ยม...” อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีก้อนในลำคอ คล้ายเหมือนจะพูดไม่ออก แต่ก็เปล่งเสียงพูดออกไปจนได้ตามใจนึก  แววตาจับจ้องมะลิลาด้วยใจถวิล

    “ยมจะรอ ต่อให้ต้องรอชั่วชีวิต ยมก็จะรอ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-02-2018 21:20:25 โดย Amazing princess »

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่18--
«ตอบ #31 เมื่อ26-01-2018 20:33:00 »

เรือนร้าว18
ตอน เธอ

    ร่างของยมค่อยๆนั่งยองเพื่อรดน้ำดอกมะลิที่เฝ้าฟูมฟักถนอมอย่างดี เวลาผ่านผันกี่เดือนกี่วันไม่อาจนับ ยมไม่เหงาเหมือนคราแรกที่คุณโดมพามาอยู่ด้วยเพราะบางครั้งป้าแจ่วจะแวะเวียนทำกับข้าวกับปลามาให้ยมถึงเรือนแล้วยังเผื่อแผ่มายังคุณโดมอีกด้วย และแน่นอนว่าเจ้าหนูขมที่บอกว่าชอบยมในครานั้น กลับกลายเป็นเด็กขี้อ้อน...ติดใจรสชาติของหมูฝอยที่พี่ยมทำให้กินตลอดเวลา  จนหมึกกับชมผู้เป็นพ่อแม่ต้องพาหนูขมมาส่งให้ยมเลี้ยงดูอยู่บ่อยครั้ง

    วันนี้ก็เช่นกัน...     

 “ยม พี่พาหนูขมมาส่ง วันนี้รบกวนยมอีกวันนะ”     

 “รบกวนอะไรกันจ๊ะพี่ชม” ยมยิ้มให้มารดาของหนูขมที่มักแวะเวียนพาลูกชายตัวจ้อยมาฝากตนประจำ ด้วยเข้าใจว่าพี่ชมกับพี่หมึกผู้เป็นสามีของหญิงสาวต้องทำงานเลี้ยงดูป้าแจ่วกับลูก จนไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยงดูหนูขมเท่าใดนัก

“มาหาพี่มาหนูขม”       

“พี่ไปทำงานก่อนนะยม” จันทร์หันไปกำชับลูกชายที่ตอนนี้กอดแขนอ้อนยมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “อย่าดื้อกับพี่ยมนะหนูขม”       

 “ลุงโดมไปทำงานแล้วหรือจ๊ะ?”       

พอพ้นร่างของมารดาที่เดินออกไปจากเรือนของคุณโดมแล้ว หนูขมก็เริ่มเปิดเรื่องพูดคุยกับพี่ชายที่แสนดีของตนเสียงเจื้อยแจ้ว         

“หนูขม พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้เรียกคุณอาโดมอย่างนั้น คุณอาโดมยังหนุ่มอยู่เลย”     

“หนูขมผิดไปแล้วจ้ะพี่ยม” หนูขมตัวน้อยทำหน้าสำนึกผิด ก็ลุงโดมชอบบ่นจู้จี้เวลาที่ตนชอบมาเล่นกับพี่ยมนี่นา       

 ‘ยม...อย่าทำหมูฝอยให้หนูขมบ่อยนักสิ ดูซิ...ตัวจ้ำม่ำขนาดนี้ ต่อไปอาโดมเรียกตุ้ยนุ้ยดีกว่า’       

 อีกทั้งยังชอบเรียกหนูขมว่าตุ้ยนุ้ยด้วย     

 ไม่เอา! ไม่เห็นชอบเลย     

“พี่ไม่ได้โกรธหรอกนะ” ยมลูบศีรษะเด็กน้อยป้อยๆ “พี่รู้ว่าหนูขมไม่ชอบที่อาโดมพูดตรงๆ แต่อย่างไรอาโดมก็อายุมากกว่า หนูขมก็ต้องเคารพอาโดมนะ”       

“จ้ะ” ใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์จ้องยมตาแป๋ว “หนูขมรักพี่ยม หนูขมจะทำตามที่พี่ยมบอก”       

“ดีมากหนูขม” ยมยิ้มให้หนูขมอย่างเอ็นดู “เรามารดน้ำต้นไม้กันดีกว่า ถ้าเสร็จเร็วพี่จะทำหมูฝอยให้กินดีไหม?”               

 “เย้! หมูฝอยๆ”       

ร่างเล็กป้อมกระโดดไปมาอย่างดีใจ แล้วรีบกุลีกุจอช่วยยมรดน้ำต้นไม้ทั่วเรือน ขณะที่หนูขมกำลังรดน้ำดอกชงโคที่ออกดอกชูช่อไสว สายตาแป๋วแหววก็เหลือบเห็นยมยังคงจ้องดอกมะลิลาไม่วางตาโดยที่ในมือยังถือขันรดน้ำอยู่       

สงสัยจัง...ว่าพี่ยมชอบดอกมะลิมากๆ หรือว่ากำลังคิดถึงใครซักคนกันน้า?       

 “พี่ยมมม...” เด็กน้อยเรียกเสียงยาว “พี่ยมคิดถึงใครอยู่? เหม่อนานแล้วน้า”       

“ถามอะไรแก่แดดจังหนูขม” ยมหันมาขยี้เส้นผมเด็กน้อยตัวจ้อย “ให้น้ำดอกชงโคเสร็จแล้วเหรอ?”       

“เสร็จแล้วจ้ะ” หนูขมยิ้มแป้น ก่อนจะเข้ามารดน้ำที่โคนต้นมะลิลาที่ออกดอกงามชูช่อ “หนูจะช่วยพี่ยมดูแลดอกมะลิเอง พี่ยมชอบอะไร หนูขมก็ชอบด้วย”       

ยมไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยังคงยิ้มพลางลูบเส้นผมเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู มองร่างป้อมๆที่ยิ้มแป้นแล้วค่อยๆวักน้ำดูแลเจ้าต้นมะลิลาอย่างทะนุถนอมราวกับกลัวมันจะบอบช้ำอย่างไรอย่างนั้น       

“พอแล้วล่ะหนูขม พี่รดไปบ้างแล้ว เดี๋ยวมะลิก็บวมน้ำพอดี” พี่ชายที่แสนดีของหนูขมเรียกแล้วเข้ามายื่นขันน้ำฝนเย็นๆส่งให้ “ดื่มน้ำก่อนนะหนูขม เดี๋ยวพี่จะเข้าไปทำหมูฝอยให้กิน”       

“เย้! หมูฝอยๆๆๆ” เด็กน้อยร้องดีใจแล้วยกน้ำเย็นขึ้นดื่ม ยมรับไปเก็บก่อนจะจูงพาร่างป้อมๆเข้าบ้าน เจ้าหนูน้อยมองยมทำอาหารตาแป๋วแหวว นั่งเก้าอี้ไม้แกว่งขาไปมาอย่างไม่มีอะไรทำก่อนที่จะส่งเสียงเจื้อยแจ้วถามนู่นนี่ไปตามประสาเด็ก           

 “เมื่อไหร่หนูขมจะทำอาหารเก่งแบบพี่ยมบ้างน้า???”     

“ต้องรอให้หนูขมโตกว่านี้ก่อนนะ” ยมหันมาตอบยิ้มๆขณะรอให้เนื้อหมูในหม้อต้มจนสุก “แล้วพี่จะสอนหนูขมทำอาหารหลายๆอย่างเลย”   

 “จริงๆน้า? อย่าโกหกหนูขมด้วย ไม่งั้นงอน” แก้มตุ้ยนุ้ยเริ่มพองๆ จนพี่คนโตกว่าอดอมยิ้มไม่ได้   

“พี่จะโกหกหนูขมทำไมกัน”

สักพักเมื่อรู้สุกว่าด้านในหมอเริ่มเดือด ยมจึงค่อยๆยกเนื้อหมูขึ้นมาพักไว้จนเริ่มเย็นตัวลง     

“เอาอย่างนี้ดีไหม หนูขมก็คอยช่วยพี่ก่อน เดี๋ยวเริ่มจากฉีกเนื้อหมูให้เป็นฝอยนะ”     

 “ได้เล้ยย!!” ร่างป้อมๆดีดผึงจากที่นั่ง รีบเดินต้อยๆเข้ามามองยมสอนฉีกหมูด้วยแววตาที่สนอกสนใจเป็นพิเศษ               

  “อย่างนี้นะหนูขม”       

 ยมส่งเนื้อหมูอีกส่วนที่หั่นแบ่งไว้ส่งให้หนูขมฉีกใส่ถาดใบใหญ่ เพราะล้างมือจากด้านนอกจนสะอาดแล้วจึงไม่ต้องเสียเวลาเท่าใดนัก ในตอนแรกหนูขมแทบจะทำให้หมูฝอยกลายเป็นหมูสับแทนเสียแล้ว แต่ยมกลับไม่ดุด้วยรู้ว่ามันอาจจะยากไปสักหน่อยสำหรับเด็กอายุเพียงสี่ขวบ กลับกันยังคอยสอนอย่างใจเย็นจนเนื้อหมูไม่เละเทะเหมือนกับครั้งแรก   

 “เก่งมากเลย” ยมยกถาดหมูฝอยเพื่อนำไปปรุงรสเพิ่ม

“เดี๋ยวต่อไปพี่จะเอาเนื้อหมูฝอยไปลงกระทะ หนูขมไปนั่งก่อนนะ อย่าเข้าใกล้เตาเข้าใจไหม?”   

  หนูขมพยักหน้ารับแล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม ดวงตาใสแป๋วยังคงจ้องพี่ยมไม่วางตา พี่ยมของหนูขมหยิบอะไรบางอย่างจากขวดผสมในหมูฝอยไม่มากแล้วจึงนำไปลงกระทะที่ตั้งน้ำมันไว้ก่อนแล้ว สักพักก็มีกลิ่นของหมูฝอยหอมๆฟุ้งๆเข้ามาแตะจมูกเล็กที่สูดกลิ่นฟุดฟิด     

“เสร็จแล้วนะหนูขม กินข้าวไปด้วยนะ อย่ากินแต่หมูฝอยล่ะ”      หนูขมพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเอ่ยถามเมื่อเห็นพี่ชายของตนหันกลับไปทำอะไรบางอย่างเพิ่มเติม

“แล้วพี่ยมยังไม่กินเหยอ?”     

 “หนูขมกินก่อนเลย พี่ว่าจะทำกับข้าวเพิ่มนิดหน่อย วันนี้อาโดมกลับเร็วแน่ะ”     เมื่อได้ยินชื่อของคุณอาตำรวจ เด็กน้อยก็ทำแก้มพองไม่ชอบใจแล้วยัดหมูฝอยเคี้ยวตุ้ยๆ ยมหัวเราะก่อนจะหันไปทำกับข้าวเพิ่มเติม     

 เด็กก็คือเด็ก...ไม่ชอบให้ใครว่าเป็นเรื่องธรรมดา



หลังจากพาเจ้าเด็กน้อยทานข้าวจนอิ่มหนำ ยมก็พาหนูขมที่ตอนนี้อ้าปากหาววอดๆมานอนตรงโซฟาเก่ากลางเรือน เพราะจะได้รอรับคุณโดมได้นั่นเอง   

 “พี่ยม...” หนูขมแหงนหน้ามองยมที่ให้ร่างป้อมๆนั่งตัก “หนูขมอยากรู้...”     

“อยากรู้อะไรหรือหนูขม?”     

 “ทำไมพี่ยมชอบดอกมะลิจังเลย?” คำถามของเด็กน้อยทำเอายมชะงัก ครั้นจะเงียบก็เงียบได้ไม่นานเพราะดวงตากลมโตจ้องรอคำตอบตาแป๋ว   

 “ก็...” ยมอิงใบหน้าซบลงบนโซฟานุ่ม ตัดสินใจตอบโดยปราศจากสิ่งมดเท็จ “มันเป็นดอกไม้ของคนที่พี่รักน่ะสิ”             

  “หมายถึงลุง เอ๊ย! อาโดมน่ะหรือจ๊ะ?” คล้ายจะทำหน้าบู้ หากยมส่ายหน้าปฏิเสธ     

 “ไม่ใช่คุณอาโดมหรอกนะ”     

 “แล้วพี่ยมรักใคร!?”        คราวนี้ร่างของเด็กน้อยที่แทบจะง่วงเหงาหาวนอนในคราแรกถึงกับดีดตัวลุกถามเค้นพี่ชายที่แสนดีของตน คราวนี้ยมไม่รู้จะตอบอย่างไร...     

  รู้อย่างนี้โกหกไปเสียก็ดี     

 “ตุ้ยนุ้ย ยังไม่งีบอีกเหรอ?”     

 เสียงของร้อยโทหนุ่มทำให้หนูขมรีบทิ้งตัวลงนอนเหยียดบนโซฟาทันที ทำหน้าหงิกครุ่นคิด...เรียกว่าตุ้ยนุ้ยอีกแล้วเหรอ?

 หนูขมไม่ได้อ้วนเสียหน่อย ก็แค่มีพุงน้อยๆนิดเดียวเอง แม่จันทร์ยังบอกเสียด้วยซ้ำว่าเป็นพุงเสน่ห์สาวรักสาวหลง               

 หึ!!   

   “หนูขม ตื่นมาไหว้อาโดมก่อน จริงๆเลยเด็กคนนี้” มีแต่เสียงหายใจเข้าออกจากการนอนหลับหรือที่เรียกว่ากรนมาเป็นคำตอบแทน ดูก็รู้ว่าหนูขมแกล้งหลับหนีลุงโดมไปแล้ว หนีความผิดได้ไม่เนียนเลยจริงๆ     

 “ช่างเขาเถอะ สงสัยตุ้ยนุ้ยคงง่วงพอดี” คุณโดมพูดยิ้มๆ แม้จะรู้ทันเด็กน้อยไม่ต่างกับยม ถึงอย่างนั้นร้อยโทหนุ่มก็ยังเรียกตุ้ยนุ้ยไม่เลิกอยู่ดีเช่นกัน

    “ทำไมคราวนี้ คุณโดมไม่เรียกให้ยมไปเปิดประตูล่ะจ๊ะ?”     

 "พอดีฉันเห็นว่าประตูไม่ได้ลงกลอน ก็เลยเข้ามาเสียเลย เผื่อว่ายมทำอะไรอยู่ฉันจะได้ไม่ขัดจังหวะ” คุณโดมถอดเสื้อนอกออกยื่นให้ยมนำไปแขวนใกล้ๆ ยมยิ้มแหยเพราะวันนี้มัวแต่ดูหนูขมเพลินจนไม่ทันได้ดูรอบบ้าน   

 “โชคดีที่ฉันกลับมาเร็ว แต่คราวหลังต้องลงกลอนทุกครั้งนะ ยิ่งมีตุ้ยนุ้ยมาอยู่ด้วย ยิ่งต้องดูแลความปลอดภัยเข้าใจไหม?”    ยมพยักหน้ารับรู้อย่างสำนึกผิด คุณโดมนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ใกล้ๆ มองยมกำลังแขวนเสื้อนอกของตนแล้วกลับมานั่งลงบ้าง เด็กหนุ่มมองเด็กตัวจ้อยจากที่แกล้งหลับกลายเป็นหลับสนิทจริงๆ ร้อยโทหนุ่มคิดในใจว่า...ทุกครั้งที่ยมยิ้มสดใส ความเศร้าหมองรอบด้านก็แทบจะไม่มี จนอยากให้ให้ยมยิ้มอย่างนี้ตลอดไป     

และไม่อยาก...ให้ยมต้องช้ำโศกอีกต่อไปเลย     

ใช่...สิ่งที่ยมพูดกับหนูขม คุณโดมได้ยินหมดแล้ว ถึงได้เข้ามาขวางไม่ให้เด็กน้อยถามยมต่อ เพราะยมอาจจะเศร้าอีก   

  “ยม...” คุณโดมเรียกเด็กหนุ่ม ยมเงยหน้าหันมาพูดคุย     

 “จ๊ะ?”     

“ยมยังไม่ลืมเขมใช่ไหม?” สุดท้ายคุณโดมก็อดถามไม่ได้ “อีกไม่นานเขมจะกลับมาแล้วนะ จะครบกำหนดปีที่เขมจะกลับจากอังกฤษ”   

 “ยังจ้ะ...” ยมฝืนตอบเสียงโศก “ยมเคยบอกคุณโดมไปแล้วนี่จ้ะ ว่าต่อให้ต้องรอชั่วชีวิต ยมก็จะรอ”     

 คำตอบที่เหมือนกับตอนนั้น หากเป็นช่วงเวลานั้นแล้วคุณโดมยังคงเห็นใจสงสารชะตาของยมเป็นปกติ     

 แล้วทำไมครานี้เขาถึงเจ็บ...ที่ได้ยินคำตอบเช่นนี้   

บอกไม่ถูก...     

 “แต่ฉันไม่อยากให้ยมรอแล้ว..”  ไม่มีการเผลอพูดพลั้ง ทุกถ้อยคำถามคุณโดมคิดมาดีแล้ว ร่างสูงเดินไปยืนตรงหน้าร่างของเด็กหนุ่ม

“รอแล้วได้อะไรยม? ไม่กลัวบ้างหรือว่าเขาจะลืม”     

 “คุณโดม...หมายความว่า...”     

 “ฉันรู้ว่าฉันเห็นแก่ตัว...” ร้อยโทหนุ่มรวบรวมความกล้า มือใหญ่จับขอบโซฟาประชิดเข้าใกล้ ใบหน้าคมคายห่างยมไม่ถึงคืบ     

 “ให้โอกาสฉันบ้างได้ไหม?”   

  !!!   

“ฉันรู้สึกดีกับยม ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันแล้ว”     

    “คือ...” เด็กหนุ่มยังไม่ทันจะให้คำตอบ หากแต่คุณโดมกลับทาบทับริมฝีปากลงมามอบสัมผัสอบอุ่นจนยมต้องหลับตาเคลิ้มไปชั่วครู่

      พี่รักยมนะ...

    พลัน...ภาพและเสียงเมื่อครั้งวันวานกลับซ้อนเข้ามาในหัวของยม ร่างเล็กใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่ผลักร้อยโทหนุ่มออก  ใบหน้าของยมเบือนหนีไม่อาจสบตากับผู้ที่กล้าทำอุกอาจใส่ตน

     “ยมขอโทษคุณโดมนะจ๊ะ...แต่ชาตินี้ หัวใจของยมเป็นของพี่เขมเพียงคนเดียว”

    “ยม...คือ...” คุณโดมกำลังจะขอโทษที่ปล่อยให้ความหลงผิดและความเห็นแก่ตัวตรอบงำความคิดและจิตใจ แต่เด็กหนุ่มกลับพูดขัดเสียก่อนว่า

     “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่...ยมจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นจ้ะ”



     เวลาผ่านไปหนึ่งปีเต็ม...

    เมื่อพิธีจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยได้เสร็จสิ้นไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ คณะกะปิตันที่มีหน้าที่มารับกลุ่มนักเรียนทุนชาวสยามก็ได้เดินทางมาเทียบท่าเรือลอนดอนเป็นที่เรียบร้อย   

   “ขอให้ถึงสยามโดยสวัสดิภาพนะ คุณเขม คุณบูรพา”   

  มิสเตอร์ครูว์พร้อมด้วยภรรยา และเจ้าจอห์นสหายของคุณเขมเดินมาส่งสองนักเรียนชาวสยาม การที่ได้ทำหน้าที่โฮสต์ดูแลทั้งสองคน ทำให้เกิดความผูกพันไม่มากก็น้อย เสมือนว่าทั้งสองคือสมาชิกในครอบครัวเช่นกัน   

 “ผมทั้งสองคนขอขอบพระคุณโฮสต์ทั้งสองที่คอยดูแลพวกเราอย่างดีเสมอมาครับ” คุณเขมกล่าวอ่อนน้อม พร้อมๆกับไหว้พร้อมคุณบูรพาขอบคุณผู้ใหญ่ทั้งสอง   

  “หากมีโอกาส เราคงได้พบกันที่สยามนะจ๊ะ” คุณน้ำใจยิ้มอย่างมีไมตรี

   “เขม ยูห้ามลืมไอนะ หากมีโอกาส ไอจะไปหายูที่สยาม” จอห์นยังคงพูดคุยน้ำเสียงทะเล้นแม้ยามบอกลา คุณเขมพยักหน้ารับยิ้มๆ

     “ไอไม่ลืมยูหรอกนะ แต่ก่อนจะไปหาไอ ยูต้องหางานทำก่อน เรียนจบแล้วอย่ามัวแต่เที่ยว”

     จอห์นเบ้หน้า ไหวไหล่น้อยๆเป็นเชิงบอกว่าเอาน่า...จริงจังอีกแล้ว เพื่อนชายจากสยามคนนี้จริงจังตั้งแต่พบกันครั้งแรกจนวันกลับเหลือเกิน

      ร่างสูงมองท่าเรืออังกฤษจากบนเรือใหญ่ที่พานักเรียนทุนสยามกลับประเทศ คุณเขมโบกมืออำลามิสเตอร์ครูว์กับคุณน้ำใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเข้าไปรวมกับกลุ่มนักเรียนชาวสยามที่สนิทกันตั้งแต่ตอนเดินทาง     

 “กลับไปครานี้...คุณบูรพาตั้งใจจะรับราชการ หรือมีแผนการจะทำอะไรหรือขอรับ?”       

คุณบูรพาที่ใครต่อใครต่างก็ว่ากันว่างดงามราวกับรูปปั้นวีนัส หากแต่มีความมั่นใจและกล้าแสดงออกเป็นอย่างมาก และความมั่นใจนี้ทำให้คุณบูรพามีเพื่อนฝูงมากมายไม่ว่าจะเป็นเพื่อนนักเรียนชาวสยาม หรือจะเป็นชาวอังกฤษก็ตาม       

“กลับไปสยามครานี้ คุณพ่อจะฝากฝังผมกับท่านพระเจนดุริยางค์ ผมจะได้เล่นดนตรีฝรั่งในราชสำนักอย่างที่เคยฝัน”       

 คุณเขมได้ฟังก็อมยิ้มที่บิดาของเพื่อนชายนั้นค่อนข้างใจกว้าง ยินยอมให้เรียนเกี่ยวกับดนตรีจนได้รับทุนมาเรียนต่อจนสามารถเล่นได้ทั้งดนตรีไทยและเทศ อีกทั้งยังมีเสียงที่ไพเราะขับร้องบทเพลงได้หลากหลายภาษา

 ส่วนตัวคุณเขมเอง...แม้ลึกๆจะชื่นชอบด้านการเรียนยาและสมุนไพรมากกว่าจนอยากจะเรียนแพทย์ แต่ในเมื่อคุณพระวินิตราชศักดิ์ตั้งใจฝากความหวังให้ตนรับราชการต่อไป จึงตัดสินใจเรียนสาขาวิชารัฐศาสตร์เพื่อนำวิชาความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ คุณเขมเองก็หาได้กล้ำกลืนฝืนทนไม่ อีกทั้งจบมายังได้คะแนนสูงที่สุดของสาขาอีกต่างหาก

      “คุณเขมขอรับ” เพื่อนชายในกลุ่มนักเรียนสยามคนหนึ่งเรียก “อีกประเดี๋ยวคุณบูรพาจะเล่นซอฝรั่ง หรือที่เรียกว่าไวโอลินให้ฟังด้วยนะขอรับ  ไปฟังกันเถิดขอรับ”

        ‘...โอ้อกคิดถึง คิดถึงคะนึงนอนวัน

นอนไห้ใฝ่ฝัน เห็นจันทร์แจ่มฟ้า

โอ้อกคิดถึง คิดถึงคะนึงนอนวัน

นอนไห้ใฝ่ฝัน เห็นจันทร์แจ่มฟ้า

       ...ทรงกลด สวยสดโสภา

แสงทองส่องหล้า ขวัญตาเรียมเอย

ทรงกลด สวยสดโสภา

แสงทองส่องหล้า ขวัญตาเรียมเอย’

          เสียงนุ่มนวลชวนฟังของผู้ขับร้องชาวสยาม ประสานกับผู้บรรเลงดนตรีจากสำนักพระราชวังอันประกอบด้วยระนาดขิมซอ อีกทั้งยังมีไวโอลินหรือที่เรียกว่าซอฝรั่งโดยมีคุณบูรพาคอยประโคมขับกล่อม บทเพลงลาวคำหอมในค่ำคืนนี้จึงไพเราะเสนาะหูราวกับเสียงเพลงจากสวรรค์ โดยเฉพาะกับคุณเขมที่กำแหวนใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเล็กบนอกด้านซ้าย

    ยมที่รักของพี่...พี่กำลังจะกลับไปหาเจ้า

    พี่จะขอโอกาสจากคุณพ่อให้ได้รักกับยม...ขอโอกาสทำงานรับราชการแทนคุณแผ่นดินเพื่อแสดงให้เห็นว่าต่อให้คุณเขมจะรักใคร เขาก็สามารถนำพาสกุลวินิตราชศักดิ์ให้รุ่งเรืองในภายภาคหน้าได้

    กลับมาถึงสยามครานี้...พี่จะไม่ห่างจากเจ้าไปไกลแสนไกลอีกแล้ว

      “เดี๋ยวสิขอรับคุณเขม”

    ขณะที่กำลังจะเดินกลับไปนอนพัก คุณเขมก็หันมามองต้นเสียงที่คุ้นหูของเพื่อนที่พักในบ้านหลังเดียวกัน เขาเป็นชายหนุ่มที่ตัวค่อนข้างเล็กกว่าคุณเขมเล็กน้อยเท่านั้น หากแต่มีใบหน้างดงามคล้ายรูปปั้นเทพีวีนัสอย่างที่ใครต่อใครร่ำลือ ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากที่สลักแดงสวย ผิวขาวเหมือนหิมะ ดวงตากรีดคมจนผู้หญิงใดๆยังต้องอาย

      “คุณบูรพานั่นเอง” คุณเขมยิ้มทักทายอย่างไมตรี “เพลงลาวคำหอมของสยามที่เคยฟังผ่านๆตอนเด็ก ไม่คิดเลยว่าพอได้นำมาเล่นคู่กับดนตรีฝรั่ง จะไพเราะได้ถึงเพียงนี้”

      “ก็พ่อครูบันลือน่ะสิ อุตส่าห์แกะโน้ตเพลงให้เข้ากับจังหวะไวโอลินจนได้ ก็ต้องชื่นชมแกนั่นแหละ”

      คุณบูรพาเอ่ยถึงครูสอนดนตรีที่คอยสอนดนตรีไทยให้ตนมาตั้งแต่เด็ก และยังได้รับคำสั่งจากบิดาของตนให้มาคอยสอนให้คอยเล่นดนตรีไทยแม้ยามอยู่อังกฤษ คุณบูรพาจึงยังคงเล่นดนตรีไทยอยู่เสมอควบคู่กับดนตรีสากล จนสามารถนำเพลงไทยมาเล่นเข้ากับดนตรีตะวันตกอย่างไวโอลินได้ไพเราะนั่นเอง

     “แต่คุณบูรพาก็สามารถขับกล่อมบทเพลงได้ไพเราะ และเข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้มากเลยนะขอรับ”

     “ผมคงเล่นดนตรีถึงอารมณ์จริงๆ...” คนหน้าสวยกรีดยิ้มหัวเราะ “เพราะผมเห็นคุณเขมทำท่าเหมือนกุมหัวใจตลอดเวลายามที่ฟังเพลง เหมือนกำลังคิดถึงใคร”

     คุณเขมเงียบกริบ หลบหลีกสายตาของคุณบูรพาที่มองตนอย่างจับผิด ไม่คิดเลยว่าพอได้มาสนทนากับคุณบูรพายาวๆครั้งนี้ จะทำให้ตนใบหน้าร้อนวูบวาบได้

      หากเป็นคนอื่น...คงหน้าร้อนวูบวาบเพราะใบหน้าที่สลักเสลาอันงดงามของคุณบูรพาแทบทั้งสิ้น

      แต่สำหรับคุณเขม...กลับร้อนรนเพราะคำพูดที่ตรงไปตรงมาต่างหาก

     “ใครกันหนอ...” ริมฝีปากสวยยิ้มกริ่ม ที่สามารถทำให้บุตรชายของคุณพระวินิตราชศักดิ์ที่ใครต่อใครต่างพากันลือว่าถ้อยคำตอบคำให้ทำหน้าคล้ายไปต่อไม่ถูกได้ “หญิงสยามคนใดกัน...ที่ทำให้คุณเขมเพ้อหาได้ถึงขนาดนี้”

     “ไม่ใช่ผู้หญิงขอรับ...” ตอบสวนไปทันควัน แต่ก็แทบอยากจะโขกศีรษะตัวเองยิ่งนักที่พูดอะไรบ้าๆออกไป

      “เอ่อ...คุณบูรพา...”

  “ผมเข้าใจแล้วขอรับคุณเขม” ร่างโปร่งเข้ามาตบบ่ากว้างเบาๆ “ไม่ต้องกังวลว่าผมจะรังเกียจหรอกขอรับ ผมก็...”

     กล่าวถ้อยได้เท่านี้ก็ชะงัก คุณบูรพากลืนคำพูดตามที่ใจคิดทันควัน ใบหน้างดงามที่สดใสก่อนหน้าพลันเศร้าลง ราวกับคิดถึงใครซักคน

     ทั้งคิดถึง...และทั้งน้อยใจเลยล่ะ

     “คุณบูรพาไม่รังเกียจที่ผมมีคนรักเป็นผู้ชายหรือขอรับ?”

    แม้จะยังไม่ค่อยวางใจด้วยไม่ได้สนิทสนมกับคุณบูรพาเท่าที่ควร แต่ในเมื่อพลั้งปากพูดไปแล้ว คุณเขมก็ยังถามทวนเพื่อให้แน่ใจ

    “ไม่เห็นน่ารังเกียจตรงไหน” คุณบูรพายักไหล่ “ผมว่าความรักไม่เห็นจะเกี่ยวกับเพศตรงไหน มันไม่ผิดหรอกขอรับหากเราจะรักใคร ลางทีผมก็คิดนะว่าหากสยามเปิดกว้างกว่านี้ ความรักในรูปแบบเดียวกับคุณเขมก็คงกล้ารักกันเปิดเผย เช่นเดียวกันกับความรักของชายหญิง”

     ค่อยโล่งใจไปที...ที่คุณบูรพาก็คิดเช่นเดียวกับตน เพราะหากเป็นคนอื่น คุณเขมอาจถูกรังเกียจไปแล้วก็ได้

    คราวหลัง...เขาคงต้องระวังคำพูดสักหน่อยแล้ว

   “คุณเขมคงจะรักหนุ่มน้อยคนนั้นน่าดู” คุณบูรพาเอ่ยถามยิ้มๆ “เขาคงจะน่ารักและเอาอกเอาใจคุณเขมน่าดูทีเดียว”

   “ขอรับ ยมน่ารักที่สุด” คราวนี้คุณเขมกล้าตอบถ้อยคุณบูรพาได้เต็มคำ ในเมื่อคุณบูรพาเต็มใจรับฟัง เขาก็กล้าจะเล่าเช่นกัน “แล้วยมก็รักผมมากที่สุด เช่นเดียวกับที่ผมรัก”

    “หึๆ...” คุณบูรพาหัวเราะน้อยๆ หากแต่ใบหน้าสวยงามคมคายนั้นกลับคล้ายมีบางอย่างอยู่ในใจ “ก็ดีแล้วล่ะขอรับ หากวันใดที่คุณเขมได้แต่งงานกับคนที่รัก อย่าลืมเชิญผมให้มาเล่นดนตรีในงานแต่งด้วยเล่า ไม่อย่างนั้นผมโกรธคุณเขมยาวแน่ๆ”

     คนร่างสูงกว่าไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยิ้มรับขบขันที่คุณบูรพาทำแก้มป่องน้อยๆ เพิ่งได้ประจักษ์นิสัยใจคอที่แท้จริงของเพื่อนที่อยู่ร่วมโฮสต์หลังเดียวกันมาร่วมสี่ปีก็วันนี้เองนี่แหละ





     เปิดตัวคุณบูรพาคนงามมมม ก็บอกแล้วไง 'เขา' สวย รวย เล่นดนตรีเก่งเวอร์(เคยมาแต่ชื่อครั้งแรกในตอนบาปซ้ำ...กรรมซัดจ้า5555)

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่18--
«ตอบ #32 เมื่อ27-01-2018 14:16:14 »

หนูยมช่างรักมั่นในเขม สงสารพี่โดมจิงรุย :hao5:

ออฟไลน์ snpmrth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่18--
«ตอบ #33 เมื่อ27-01-2018 17:11:02 »

 สงสารไปหมดทุกคนเลยค่ะ ทั้งคุณโดม ทั้งน้องยม และคุณเขมที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฮือ

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่19--
«ตอบ #34 เมื่อ28-01-2018 19:20:24 »

เรือนร้าว19
ตอน ฝัน
 
  ความมืดมิดรอบด้านที่ไม่อาจแสวงหาทางออก บรรยากาศช่างเย็นเฉียบจนเด็กหนุ่มต้องกอดตัวเองแน่น ดวงตาหวานกลอกซ้ายขวาหาแสงสว่างหมายพบทางออก รอบด้านนี้ช่างน่ากลัว...น่ากลัวเหลือเกิน ไม่เอา! ไม่อยากอยู่ตรงนี้!                       

 “ไอ้ยม!”     

 เสียงทรงอำนาจราวมัจจุราชทำให้ร่างร้อยตัวแข็งทื่อ นัยน์ตาเบิกระริกด้วยความหวาดกลัว  ร่างของหญิงสาวห่มสไบสีแดงสด ผมประบ่าสยายตามกระแสลมพัดแรง นางง้างไม้คีบถ่านร้อนระอุเสียงฉ่าเข้ามาใกล้   

 “อย่า! คุณเขลางค์ ไม่!!”     

ยมวิ่งหนีหญิงอำมหิตอย่างไม่คิดชีวิต แต่เพราะรอบด้านช่างมืดมิดเหลือเกิน ร่างเล็กจึงสะดุดล้ม และทำได้เพียงยกมือท่วมหัววิงวอนขอความเมตตาทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีความหมาย   

 “ยะ...อย่า!!!”     

ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ทว่าจู่ๆรัตติกาลที่ครอบคลุมกลับแปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่าง พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องโหยหวนของคุณเขลางค์     

“กรี๊ดดดดดด!!!”     เมื่อปรือตาขึ้นมา ยมก็พบว่าร่างของหญิงอำมหิตคนนั้นเลือนหายไป ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่อบอุ่นรอบกาย เป็นสัมผัสที่ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง   

 “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”   

 “คะ..คุณโดม”   

 ร้อยโทหนุ่มสวมกอดร่างเล็กแผ่วเบา หากแต่ชั่วครู่เท่านั้นเอง คุณโดมคลี่ยิ้มให้ยมอีกครั้งก่อนที่ร่างใหญ่จะกลายเป็นเพียงเศษเถ้าธุลีปลิวพัดไปกับสายลม   

พอสายลมพัดพาแสงสว่างไป...รอบด้านก็กลายเป็นวังจม! 

  พลัน...ยมก็รู้สึกได้ว่ามีสายน้ำอยู่รอบๆ เด็กหนุ่มกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด พยายามแหวกสายธาราขึ้นฝั่ง แต่เพราะอ่อนแรงอ่อนล้า ร่างกายจึงใกล้จมสู่บาดาล   

  หมับ!     

 ราวกับมีใครมาต่อลมหายใจ ดวงตาน้อยที่จะปิดเต็มทีค่อยๆลืมขึ้นใต้น้ำ คนนั้นประกบริมฝีปากเข้ามาช่วยต่อลมหายใจให้ยมมีแรงจนสามารถดำผุดดำว่ายจะขึ้นฝั่งได้ หากแต่ขณะใกล้ถึงด้านบนฝั่ง ยมหันกลับมามองผู้ที่ช่วยชีวิตตนไว้เพียงเสี้ยวนาที     

เขาส่งยิ้มให้ ดวงตาสีนิลคมคายปีติที่ช่วยดวงใจของเขาสำเร็จ

กว่ายมจะรู้...ร่างนั้นกลับกลายเป็มจมลงสู่บาดาลแทนที่จะเป็นตน!     

พี่เขม!!      ไม่...ไม่!!!!



 “พี่เขม...ฮึก พี่เขม...”     

ร่างน้อยดิ้นส่งเสียงละเมอ ก่อนที่จะผวาออกจากฝันร้ายได้ในที่สุด ยมหอบเหนื่อยราวกับเพิ่งได้แหวกว่ายสายน้ำจริงๆ มือเล็กสัมผัสแก้มของตน ก็พบว่ามีหยาดน้ำรินจากดวงตาใกล้เหือดแห้งเต็มที   

“พี่เขม!! ฮือ...”     ยมนั่งกอดเข้าร้องไห้ยามที่ภาพในฝันนั้นกลับเข้ามาติดตาอีกครา     

ทำไมต้องมาฝันอะไรอย่างนี้ด้วย?     

หัวใจของยม...เต้นระรัวหนักราวกับถูกฉีกกระชาก ยิ่งเห็นภาพของพี่เขมส่งยิ้มให้ก่อนจะหายไป   

“พี่ยม...”   

 เสียงสะอื้นของยมทำให้เด็กตัวจ้อยที่หลับอยู่ใกล้ๆต้องขยี้ตาขึ้นมาด้วยความงัวเงีย แต่พอตื่นได้เต็มตาหนูขมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นน้ำตาของพี่ชายที่แสนดี   

 “พี่ยม...พี่ยมร้องไห้ทำไมจ๊ะ?”     

จริงสิ เมื่อคืนพี่หมึกพาหนูขมมาส่งเพราะต้องไปธุระต่างเมืองพร้อมพี่จันทร์นี่นา     

 “ไม่มีอะไรหนูขม” คนอายุมากกว่าปาดน้ำตา ฝืนยิ้มน้อยๆแม้ใจมันจะขาดแล้วก็ตาม “พี่ฝันร้ายนิดหน่อยน่ะ ขอโทษที่ทำให้ตื่น หนูขมนอนต่อเถอะ”     

 “ไม่อาว...หลับไม่ลงแล้ว” มือป้อมขยับมาเช็ดน้ำตาที่ยังไม่เหือดแห้งบนใบหน้าของยม รวมทั้งหยาดน้ำบนแผลอย่างไม่เกี่ยงงอน       

“หนูขมเคยเห็นแม่จันทร์ร้องไห้เพราะฝันร้าย พ่อหมึกเลยบอกว่าให้ร้องออกมาให้หมด แล้วลืมเรื่องที่ร้ายๆออกไป”       

เจ้าหนูแสนฉลาดเกินวัยเอ่ยปลอบยมเสียงเจื้อยแจ้ว เมื่อได้ฟังเด็กหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ ใจจริงก็อยากจะร้องตามคำแนะนำอยู่หรอก     

แต่มันร้องไม่ออกแล้วต่างหาก   

 “มาให้พี่กอดทีมาหนูขม”      ร่างป้อมโผกอดยมอย่างว่าง่าย สัมผัสจากเด็กน้อยไร้เดียงสาที่มีแต่ความจริงใจมอบให้ ทำให้ใจที่ปวดร้าวของยมกลับมาดีขึ้นอย่างรวดเร็ว...แม้อาจจะไม่ทั้งหมดก็ตาม   

 “ฝันร้ายกลายเป็นดีนะจ๊ะพี่ยม”   

 หนูขมขยับใบหน้าตุ้ยนุ้ยจูบซับพี่ชายแผ่วเบา ยมยิ้มรับด้วยความเอ็นดูที่หนูน้อยพยายามปลอบตนเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้   

ขอบคุณนะหนูขม   

 หวังว่าฝันร้ายของพี่ มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นจริงๆ

     ร้อยโทหนุ่มนั่งรับประทานอาหารเช้าปกติ หากสายตากลับจับจ้องยมที่ยื่นจานข้าวส่งให้หนูขมด้วยท่าทีเซื่องซึม แวบแรกหากมองไม่พลาด เหมือนเจ้าหนูจะแอบลูบแขนของพี่ชายเบาๆคล้ายจะปลอบใจ     

“ยมเป็นอะไรรึเปล่า?”     

ในที่สุดก็อดถามไม่ได้ เด็กหนุ่มส่ายหน้าตอบรับแทนคำพูด ก่อนจะนั่งลงเพื่อทานข้าวบ้าง   

  “วันนี้พี่ไม่ได้ทำหมูฝอยนะหนูขม ช่วงนี้ราคาหมูแพงขึ้น กินต้มจืดผักกาดไปก่อนนะ”   

   “ได้จ้ะ...อะไรที่พี่ยมทำ หนูขมจะกินให้หมดเล้ย!”   

เด็กน้อยตอบน้ำเสียงเริงร่า นั่นทำให้คุณโดมลืมเรื่องท่าทีของยมแล้วหันมาแซ็วเจ้าหนูจำไมแทน   

    “ดีแล้ว ตุ้ยนุ้ยต้องทานผักเยอะๆ จะได้แข็งแรง”     

   "งื้อ!! ไม่เอาชื่อตุ้ยนุ้ย!!" หนูขมงอแง ทำให้จากที่ซึมเซา ยมต้องมาคอยปรามศึกทั้งคู่แทน   

   "คุณโดมไม่ต้องไปว่าหนูขมเลยนะจ๊ะ คุณโดมเองก็ทานเก่งใช่ย่อย ตัวถึงได้โตเหมือนกัน"

  “เดี๋ยวนี้ยมกล้าพูดขึ้นนะ...หึๆ” ใบหน้าคมคายยกยิ้มขึ้นน้อยๆก่อนจะตักต้มจืดเข้าปาก ไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไรกับหนูขมอีกด้วยตอนนี้เจ้าตัวกลมทำหน้าบู้บี้เต็มที  เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด คุณโดมจึงไม่รับประทานอย่างเร่งรีบดังเช่นทุกวัน พอรับอาหารเช้าเสร็จก็ยังอาสาล้างจานแทนพร้อมให้เหตุผลว่ายมทำงานมาทุกวันจึงอยากให้พัก แต่ก็ไม่วายเหลือบไปมองร่างป้อมที่กระโดดหยองแหยงรอบๆพี่ชายของเขาอย่างออดอ้อน

    “ไหนๆลุงโดม เอ๊ย! อาโดมก็ล้างจานให้พี่ยมแล้ว ไปเล่นไล่จับกับหนูขมในสวนกันน้าพี่ยม”

     “ได้สิ” เห็นตากลมๆสบมาเพื่ออ้อนขนาดนี้ ใครไม่ตามใจก็ด้านชาเต็มที

    “เย้! ไปกันๆ”

     หนูขมออกวิ่งเกิดเสียงโครมครามจนคุณโดมต้องหันมาเตือนไปหนึ่งที ยมหัวเราะพลางส่ายหน้าเล็กน้อย ก็เล่นไล่จับทีไรตนต้องเป็นฝ่ายคอยจับทุกที เพราะคนชวนเล่นให้เหตุผลว่าถนัดวิ่งหนีมากกว่าน่ะสิ

       “นี่แน่ะ! พี่จับหนูขมได้แล้ว!”

       หลังจากไล่จับอยู่เป็นเวลานานยมก็จับตัวเจ้าเด็กน้อยได้สำเร็จ หนูขมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อถูกพี่ชายจับได้ในเวลาไม่นาน ขนาดหนูขมวิ่งหนีพี่ยมสุดแรงเกิดแล้วนะเนี่ย!

        เด็กต่างวัยหัวเราะสนุกสนานอยู่เป็นเวลานาน กระทั่งยมเหลือบไปเห็นต้นมะลิที่ตนเฝ้าฟูมฟักมาตลอดเกิดพังลงมาทั้งต้นราวกับถูกอัสนีบาตผ่าลงมาก็ไม่ปาน ในขณะที่ต้นไม้รอบๆกลับไม่เป็นอะไร!

      “ต้นมะลิ...”

       ยมก้มลงสำรวจซากต้นที่เคยงดงาม บัดนี้แทบจะแหลกลาญไม่เหลือชิ้นดี มือน้อยเก็บดอกมะลิขึ้นมาช้าๆ ดวงตาสั่นระริกคล้ายร้องไห้เมื่อนึกถึงความฝันในตอนั้น

       พี่เขมยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้าย...ก่อนจะจมลงไปกับสายน้ำ

       นี่มันลางสังหรณ์อะไร...

       “พี่ยม” หนูขมเดินมาช่วยเด็กหนุ่มเก็บดอกมะลิใส่ฝ่ามือขาวหยาบ “ทำไมต้นมะลิของพี่เป็นอย่างนี้ล่ะจ๊ะ?”

       “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันหนูขม...”

        ไม่รู้ทำไม ภาพในความฝันกับซากปรักหักพังของต้นมะลิตรงหน้า ทำให้ยมเกิดลางสังหรณ์แปลกๆอย่างไรชอบกล

      “ยม เกิดอะไรขึ้น?”

   คุณโดมที่เพิ่งล้างจานเสร็จเดินตามออกมาหมายจะมาเฝ้าเด็กทั้งสองเล่นในสวนขมวดคิ้วแปลกใจ เมื่อเห็นว่ายมกลับช้อนดอกมะลิไว้เต็มกำมือ แววตาที่ไม่ได้ฉายแววเศร้ามานานกลับหมองลงอีกครั้งคล้ายมีบางอย่างที่อยู่ในใจ

      “ต้นมะลิของพี่ยมเป็นอะไรไม่รู้จ้ะลุงโดม”

      หนูขมเป็นฝ่ายตอบ เพราะพี่ชายที่แสนดีของตนกำลังเหม่อลอย เมื่อคุณโดมพอเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่างจึงเข้ามาลูบแผ่นหลังยมอย่างปลอบโยน

       “เมื่อคืนฝนตกหนัก สงสัยต้นมะลิคงจะได้รับความเสียหายจากพายุลมฝนกระมัง ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่”

         ยมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ด้วยในใจนั้นแสนพะว้าพะวัง ดอกมะลิเป็นเสมือนตัวแทนของพี่เขม ทำให้ยมยังนึกถึงพี่เขมตลอดเวลา

        และจะไม่กังวลมากขนาดนี้ หากต้นมะลิไม่หักโค่น ในเวลาที่ไล่เลี่ยกับฝันร้ายที่เพิ่งผ่านไป

        พี่เขมคงกำลังจะกลับมาสยามแล้ว แม้ชาตินี้จะได้กลับมาพบพานอีกหรือไม่...แต่ยมขอให้พี่เขมอย่าได้รับอันตรายใดๆเหมือนในฝันเลย

         ฝันที่พี่...จากยมไปต่อหน้าต่อตา!



กะปิตันพาเรือมาเทียบท่าสยามหลังจากเวลาผ่านไปนานเกือบเดือน บริเวณท่าเรือเต็มไปด้วยบรรดาขุนน้ำขุนนางร่ำรวยที่มารอรับบุตรกลับบ้าน ตอนนี้เหล่านักเรียนทุนต่างพากันทะยอยลงจากเรือช้าๆ     

 “คุณเขมๆ” คุณบูรพาสะกิดคุณเขมที่กลายเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เดินทางกลับจากอังกฤษ “คุณพ่อของผมรออยู่ตรงนู้น คุณเขมจะไปกับผมไหมขอรับ?”     

  ยังไม่ทันที่คุณเขมจะตอบ คนที่ชักชวนเขาตอนแรกกลับทำหน้าหมองลงแทนที่ความร่าเริงเมื่อครู่ ดวงตากรีดงดงามเบิกโพลง หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำยามที่พยายามจับจ้องผู้ที่ทำให้ตนต้องเป็นอย่างนี้   

   'ทำไมเหมือนเจอเจ้าเด็กนั่นอยู่แถวนี้นะ!?'   

   “คุณบูรพาเป็นอะไรรึเปล่าขอรับ?”     

 เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนชายไม่ค่อยสู้ดีจึงเอ่ยถาม หากคุณบูรพาเพียงแต่ยิ้มฝืดๆส่งให้ หากคุณเขมมองไม่ผิด เหมือนดวงตากรีดสวยคู่นั้นกลับมองหาอะไรบางอย่างแต่ไม่พบอยู่ด้วย   

    “ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ผมคงคิดไปเองเท่านั้น”   

     คุณเขมไม่ได้ถามอะไรต่อ ได้แต่เดินตามร่างสง่างามไปพบกับครอบครัวของคุณบูรพา บิดาของคุณบูรพาคือขุนภิรมย์ เป็นขุนนางชั้นสูงจากเมืองสุพรรณบุรี เป็นคนร่างสูงใหญ่ น้ำเสียงดุดันน่ายำเกรง ภรรยาของท่านชื่อคุณบุหลัน ซึ่งงดงามคนละแบบกับคุณเขลางค์ แต่ที่เหมือนกันก็คงจะเป็นตอนที่คุณบุหลันกอดบุตรชายและปล่อยให้ออดอ้อนเสียเต็มที่                      “ลูกคิดถึงคุณแม่เหลือเกินขอรับ คิดถึงเพลงที่คุณแม่ร้องกล่อม คิดถึงฝีมือทำขนมบุหลันดั้นเมฆของคุณแม่ คิดถึง...”     

   “ฮื้อ...พอแล้วลูกบูรพา” คุณบุหลันปรามบุตรชายที่แสนประจบให้หยุดพูด แต่มือก็ยังสวมกอดคุณบูรพาแน่นไม่ต่างกับเจ้าลูกตัวดี  “ดูซินั่น พ่อเขมมองใหญ่แล้วน่ะ”     

   “เออแล้วนี่ คุณพ่อของพ่อเขมรออยู่ตรงไหนกันรึ?” ครานี้เป็นขุนภิรมย์ที่เอ่ยถาม     

  “ผมยังไม่พบคุณพ่อเลยขอรับคุณอา คงจะยังมาไม่ถึงกระมังขอรับ”     

 “น่าเสียดาย นี่ถ้าหากไม่ติดว่าต้องรีบกลับสุพรรณล่ะก็...อาอยากพบคุณพระวินิตราชศักดิ์ผู้เก่งกาจจนเป็นที่กล่าวขานนัก”       

  ขุนภิรมย์พูดด้วยความสัตย์จริง...ความเก่งและความรู้ในการรับราชการของคุณพระวินิตราชศักดิ์เป็นที่ลือเลื่องไปทั่วพระนครกับหัวเมืองใกล้เคียง แม้อาจไม่ได้เทียบตำแหน่งพระยาใหญ่โต แต่เพราะวิสัยซื่อสัตย์และเด็ดเดี่ยวนั้น ทำให้คุณพระเป็นที่เคารพยำเกรงของใครต่อใครที่ได้พบเจอ   

     “อย่าลืมสัญญานะขอรับ คุณเขม” ก่อนจาก คุณบูรพาก็ไม่วายมากระซิบข้างหูคุณเขมเบาๆไม่ให้ผู้ใหญ่ทั้งสองได้ยิน ร่างสูงทำได้เพียงพยักหน้า กลบซ่อนใบหน้าที่แดงสุกกล่ำคล้ายตำลึงไว้       

 อีกแล้วรึ?                 



หลังจากขุนภิรมย์พาคุณบูรพากลับไปแล้ว ร่างสูงเดินฝ่าฝูงชนที่ยังคงมารอรับบุตรหลานกันพลุ่งพล่าน แต่เพราะจังหวะดีคุณเขมจึงพบคุณพระวินิตราชศักดิ์กับคุณเขลางค์กำลังยืนสนทนากับพระยามนตรี พร้อมชายหนุ่มอีกคนซึ่งถ้าจำไม่ผิด...น่าจะเป็นคุณดอมผู้เป็นบุตรชายคนรองของท่าน   

  “คุณพ่อ คุณแม่” ริมฝีปากหยักศกคลี่ยิ้ม ช่างน่าเสียดายที่ครานี้กลับไม่เห็นแม้แต่บ่าวไพร่ในเรือนมาคอยติดตามอย่างเคย แต่ไม่เป็นกระไรหรอกมัง ยมคงคอยเขาอยู่ที่เรือนแล้ว         

      คนดี...พี่กลับมาแล้ว พี่จะได้พบเจ้าแล้ว     

  “กรี๊ดด!! ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วย! โจรขโมยกระเป๋าฉัน!!”       คุณเขมหันไปมองตามเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวแปลกหน้า เมื่อเห็นว่าใครต่อใครต่างพากันหวาดกลัวไม่กล้าเข้าไปช่วยจับโจร ชายหนุ่มตัดสินใจวิ่งตามร่างของโจรที่วิ่งหนีไปไกลถึงท่าเรือร้าง มันพยายามแทงคุณเขมด้วยมีดสั้นที่พกติดตัว แต่ร่างใหญ่กว่าหลบทัน ก่อนจะสู้กับมันอย่างได้เปรียบและชิงกระเป๋าคืนมาได้ในที่สุด   

      พลั่ก!!     

    ของแข็งบางอย่างฟาดลงบนท้ายทอยของคุณเขมเต็มแรง ขณะที่คุณเขมใกล้สิ้นสติเต็มที ภาพของเด็กน้อยที่ตั้งใจจะกลับไปพบก็ลอยเข้ามาในหัวอีกครั้ง   

     ภาพสุดท้าย...คือภาพที่คุณเขมกอดยมแนบแน่น ก่อนจากไกล... 

      ศีรษะของคุณเขมกระแทกบนพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียง วัตถุเล็กๆทรงกลมกระเด็นออกจากกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายที่เจ้าตัวเก็บไว้ตลอดเวลา เพชรน้ำงามที่คุณเขมสั่งทำเพื่อคนที่รักสุดหัวใจสะท้อนเตะตาสองโจรชั่ว มันคนหนึ่งก้มเก็บแหวนขึ้นมามองเพราะอ่านตัวอักษรสลักไม่ออก แต่สักพักก็ไม่ได้สนใจอีก

    “ท่าทางแหวนวงนี้น่าจะขายได้ราคางามว่ะ ไปกันได้แล้วไอ้เกลอ ทิ้งมันไว้ที่นี่แหละ เอากระเป๋าไปด้วย”

    อย่า...อย่าเอาไป...

     ในห้วงคะนึงของคุณเขมมืดดับ เสียงในความทรงจำเฮือกสุดท้ายดังก้อง ก่อนสติจะวูบลงจนเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า

‘พี่เขม...สัญญากับยมนะ ว่าจะมียมเพียงคนเดียว’

      ‘พี่สัญญา...’



       เพล้ง!!

      เศษจานแตกกระแทกร่วงลงพื้นครัวอย่างที่ไม่เคยเป็น ยมหอบหายใจหวั่นๆก่อนจะกลั้นใจค่อยๆเก็บเศษจานทีละชิ้น คุณโดมเพิ่งออกไปทำงาน ส่วนพี่จันทร์ก็เพิ่งมารับตัวหนูขมกลับจึงไม่มีใครอยู่ ทำให้เสียงตกแตกเมื่อครู่ยังคงดังก้องในหัวไปมาราวกับเสียงเตือน

      “ตกแตกได้ไงกันนะ?” ยมพึมพำ จำได้ว่าจานใบนี้ก็ไม่ได้วางริมขนาดที่มันจะตกลงมาแตกได้ จะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งที่สองที่ข้าวของพัง เมื่อวันก่อนต้นมะลิก็ถูกพายุพัดจนพังเหลือทิ้งไว้เพียงซาก วันนี้ก็มาเป็นจานชามในห้องทำครัวอีก

      “อึ๊ก!”

     หยดสีแดงไหลออกจากนิ้วเรียวปริ่มๆเมื่อยมเอื้อมหยิบเศษจานชิ้นสุดท้าย เด็กหนุ่มกลั้นใจหยิบมันไปทิ้งแล้วดูดนิ้วห้ามเลือดไม่ให้ไหลไปมากกว่านี้

     ทำไมกัน...รู้สึกไม่ดีเลย?

    หยาดเหงื่อไหลท่วมใบหน้ามากกว่าทุกที...ในใจก็รู้สึกโหวงๆไม่ต่างจากวันที่ต้นมะลิถูกภัยธรรมชาติหักโค่นจนพัง

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย...ขออย่าให้พี่เขมพบกับอันตรายเลย


**ขอบคุณทุกคอมเม้นเลยน้าาา เยิ้ฟฟฟ


ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่20--
«ตอบ #35 เมื่อ29-01-2018 16:24:17 »

เรือนร้าว20
ตอน เธอ...คือใคร

“พ่อเขมฟื้นหรือยังหมอ?”   

  หมอหนุ่มทำได้เพียงส่ายหน้า ผ่านไปสามวันนับจากเหตุการณ์ในวันนั้นคุณเขมยังไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที จนคุณพระเกรงว่าบุตรชายอาจได้รับอันตราย   

  “บริเวณศีรษะและท้ายทอยได้รับการกระทบกระเทือน อีกทั้งยังค่อนข้างใกล้กับจุดชีพจร ผมคงต้องจำเป็นที่จะเรียนคุณพระว่า...เอ่อ...”   

  “อะไรรึ?”   

  “คุณเขมอาจมีโอกาสฟื้นตัวช้ามาก หรืออาจไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยครับ”   

   “หมายความว่า...ผมอาจเสียพ่อเขมไปอย่างนั้นรึ?”     

   คุณหมอหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะเลี่ยงขอตัวไปดูคนไข้ห้องอื่น     

 “พ่อเขม...พ่อจะทำอย่างไรดี?”         

บุตรชายที่ฝากความหวังในการสืบวงศ์ตระกูล บุตรที่เฝ้าเลี้ยงดูจนเป็นถึงนักเรียนนอกเป็นที่ชื่นชมของผู้ได้พบเห็น ตอนนี้กลับไม่เห็นหนทางที่จะฟื้นขึ้นมาเสียเลย         

จะทำเช่นไร?



  “คุณพี่เจ้าคะ พ่อเขมเป็นอย่างไรบ้าง?”       

ทันทีที่คุณพระวินิตราชศักดิ์กลับมาถึงเรือน คุณเขลางค์ก็ปรี่เข้ามาถามอาการของบุตรชายจากผู้เป็นสามีทันที คนเป็นแม่นั้นร้อนรนอยากจะตามไปดูอาการของลูกตั้งแต่แรกหากแต่ร้องไห้จนเป็นลมไปเสียก่อน 

  “แม่เขลางค์ คือว่า...”       

เพลานี้คุณพระแทบไม่อาจสบสายตากับผู้เป็นภรรยาได้ คุณเขลางค์นั้นต่อให้ภายนอกดูเป็นคนเข้มแข็งและมีอำนาจเพียงใด แต่ถ้าเป็นเรื่องลูกซึ่งนับว่าเป็นเรื่องอ่อนไหวของผู้เป็นแม่แล้ว ยามนี้คุณหญิงวินิตราชศักดิ์อ่อนแอเหลือเกินจนเฟื้องต้องคอยดูแลตลอดเวลา     

 “คุณพี่บอกน้องมาเถิดเจ้าค่ะ น้องเป็นห่วงลูก”   

  “พ่อเขม...” เสียงทุ้มของคนเป็นพ่อเริ่มสั่นเครือ เจ็บปวดยามที่จำต้องบอกสิ่งที่ไม่อยากบอกกับภรรยา "หมอบอกว่า...พ่อเขมอาจจะฟื้นตัวได้ช้ามาก หรือ...อาจมีโอกาสไม่ฟื้นขึ้นมาอีก”     

 สิ้นคำ...คุณเขลางค์ก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายบ่าวทาส อีเฟื้องคอยพัดวียื่นยาหอมให้นายของมันไม่ห่าง แม้แต่เดือนที่นั่งหมอบอยู่ไม่ไกลยังนึกสงสารคุณหญิงจับใจ

    แม้จะมีนิสัยใจคอโหดเหี้ยม...แต่อย่างไรก็มีข้อดี นั่นก็คือรักลูก     

  “พ่อเขมลูกแม่!!...แม่ยังไม่ทันได้กอดรับขวัญ ก็ถูกอ้ายโจรชั่วทำร้ายถึงชีวิต ฮือ!!”       

 “ว้าย! คุณเขลางค์เจ้าขา!!” อีเฟื้องรับร่างของนายหญิงที่เป็นลมลงไปอีกครั้ง คุณพระปรี่มาดูอาการของภรรยาเอกท่ามกลางความแตกตื่นของเหล่าทาสไพร่     

  “แม่เขลางค์!”



เด็กหนุ่มก้มลงกราบต่อหน้าพระพุทธรูปภายในวัดโบสถ์เก่าแก่แห่งหนึ่งของเชียงใหม่ คุณโดมชำเลืองมองคนตัวน้อยที่หลับตาพลางประนมมืออธิษฐานบางอย่างด้วยใจที่แน่วแน่     

“สบายใจขึ้นบ้างไหมยม?”       

พักหลังมานี้ร้อยโทหนุ่มสังเกตได้ว่ายมเริ่มพูดน้อยลงเข้าไปทุกที ขนาดมีหนูขมมาคอยพูดคุยเป็นสีสันของบ้านก็ยังไม่ทำให้จิตใจยมดีขึ้นได้เลย จนถึงวันหยุดคุณโดมจึงพาออกมาทำบุญที่วัดหมายจะให้ยมรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง     

“จ้ะ”  เด็กหนุ่มยิ้มส่งให้ "ยมสบายใจขึ้น ที่ได้อธิษฐานบางสิ่งต่อคุณพระคุณเจ้า"   

“ยมอธิษฐานสิ่งใดรึ?”      ยมไม่ตอบ หากแต่นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ตนรู้สึกเจ็บที่ใจมาตลอดหลายวันนับตั้งแต่ฝันครั้งนั้น     

 ทุกครั้งที่เจอเรื่องร้าย...ภาพของพี่เขมก็จะวนเวียนเข้ามาบ่อยครั้งจนยมอดกังวลไม่ได้   

 ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย...หากพี่เขมพบเรื่องร้ายถึงชีวิตอย่างที่ลูกกังวลตลอดมา ขอให้พี่เขมปลอดภัยจากอันตรายทีเถิด ไม่ว่าต้องแลกด้วยชีวิตของยม ยมก็ยอม’



     เรากลับมาที่เรือนคุณพ่อได้อย่างไร?

     คุณเขมมองรอบด้านที่คุ้นเคยด้วยความพิศวง น่าแปลกที่ไม่มีเหล่าข้าทาสในเรือนเดินกันให้วุ่นเหมือนเคย ร่างสูงเดินกลับมาที่เรือนส่วนของตนเองหมายจะถามเพลิงและมั่นให้รู้ความ

      “เพลิง มั่น...พวกเจ้าอยู่ไหนกัน?”

     ไม่มีเสียงตอบรับจากคนสนิททั้งสอง คุณเขมส่ายศีรษะปิดตาด้วยความงงงวยที่ไม่มีใครอยู่ที่เรือนสักคน หากแต่เมื่อลืมตาขึ้นมา ก็พบร่างของใครบางคนกำลังเด็ดดอกมะลิลาใส่กระจาดใบเล็กอย่างเพลิดเพลิน ครั้นเมื่อเด็กคนนั้นหันมาพบกับคุณเขมโดยบังเอิญ ก็ส่งยิ้มทักด้วยความคิดถึง

      “พี่เขม พี่เขมกลับมาแล้ว”

     ใบหน้าที่ควรจะงดงามหมดจดตรงหน้าแม้เป็นชาย กลับถูกบดบังแทนที่ด้วยรอยแผลเหวอะหวะ แต่ก็ไม่ได้กลบรอยยิ้มน่ามอง กับดวงตาหวานล้ำอย่างจับจ้องคุณเขมด้วยความคิดถึงอย่างไม่ปกปิด

       หารู้ไม่ว่าคำถามที่ได้รับกลับคืนมันเจ็บปวด...แทนที่เด็กน้อยจะได้ยินคำว่า ‘พี่คิดถึงเจ้า’ อย่างที่ควรจะเป็น

      “เธอ...คือใคร?”

      คำถามแรกที่ชายหนุ่มเอ่ยถ้อย ทำให้ดวงตาเปล่งประกายนั้นหมองลง รอยยิ้มค่อยๆหุบ เด็กน้อยปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาช้าๆ

       “เหตุใดพี่เขมถามยมเช่นนั้นเล่า? หรือพี่เพียงเย้าเล่นเท่านั้น?”

       “ฉัน...” มือใหญ่กุมศีรษะตนเองด้วยรู้สึกวิงเวียนไม่ทราบสาเหตุ

        เหมือนเคยพบ...เคยเห็นที่ใดมาก่อน...

        รู้สึกผูกพัน แต่กลับจำไม่ได้ว่าเคยพบพานกับเด็กคนนี้ตั้งแต่เมื่อใด

        แล้วเขา...กับเด็กคนนี้ เคยพบกันมาก่อนรึ?

        “ฉันกับเธอเคยพบกันอย่างนั้นรึ?”

        “พี่เขม...” เสียงหวานพูดเสียงสั่นเมื่อได้ยินคำตอบจากชายคนรัก “พี่สิ้นรักยมแล้วรึ?”

       “ฉันกับเธอน่ะหรือ...รักกัน?” ตอนนี้คุณเขมปวดศีรษะไปหมด เด็กที่บอกว่าชื่อยมจึงปรี่เข้ามาดูอาการด้วยความเป็นห่วง

       “พี่เขม...เจ็บหรือจ๊ะ?”

      น่าอัศจรรย์...ยามที่มือน้อยสองข้างแตะขมับเบาๆ ความเจ็บปวดของร่างสูงก็มลายหายไปเสียสิ้น ความอบอุ่นจากคนตรงหน้าที่ได้รับ ทำให้มือใหญ่เผลอกอบกุมเจ้าคนตัวน้อยไว้

       ถึงจะไม่คุ้นเคยกับคนตรงหน้า...แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามีความผูกพัน คล้ายกับว่าเคยรักกันเมื่อนานมาแล้ว รึเปล่า?

       “ฉันน่ะรึ...คนรักของเธอ”

     น่าแปลก...ที่ไม่รู้สึกรังเกียจรอยแผลบนใบหน้า ซ้ำยังยื่นมือไปลูบแผ่วเบาคล้ายจะปลอบใจสงสาร เด็กคนนี้คงผ่านเรื่องร้ายมาสินะ

     “พี่เขมจำยมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” ยมฝืนยิ้ม แววตาน้อยๆสั่นคลอน คละเคล้าไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด “แค่พี่เขมไม่เป็นอันตราย ยมก็ดีใจ”



      “คุณพระขอรับ คุณเขมขยับตัวแล้วขอรับ!”       

กลองปลุกคุณพระวินิตราชศักดิ์ที่นอนอยู่ใกล้ๆบุตรชายไม่ห่าง ร่างที่ไม่ไหวติงมาราวๆสามวันเริ่มกระดิกนิ้ว ริมฝีปากซีดคล้ายจะพึมพำอะไรซักอย่างไม่อาจจับใจความได้     

 “ไปตามหมอมาเร็วไอ้กลอง เร็วเข้าสิ!”     

  ครั้นเมื่อบ่าวคนสนิทวิ่งออกไป คุณพระก็เข้ามาดูอาการของบุตรชายใกล้ๆ ท่านคลี่ยิ้มด้วยความยินดีไม่น้อย หากคุณเขลางค์อยู่ตรงนี้ก็คงจะดีใจไม่ต่างกับตน

   “คุณพ่อ...”   

“พ่อเขมฟื้นแล้ว!” คุณพระเอ่ยออกมาด้วยความยินดีมากล้นเมื่อเห็นดวงตาของบุตรชายปรือขึ้นน้อยๆเรียกตน เป็นเวลาเดียวกันกับที่กลองเดินนำคุณหมอเข้ามาด้านในห้องพักคนไข้ 

   “คุณหมอมาแล้วขอรับ”   

 “ปาฏิหาริย์แท้ๆ...” คุณหมอกล่าวอย่างเหลือเชื่อ เพราะเพิ่งเคยพบเห็นคนไข้อาการสาหัสที่จู่ๆกลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว “อาการนี้กว่าคนไข้จะฟื้นได้ต้องใช้เวลาหลายวัน เท่าที่หมอดูอาการก็มีเพียงบวมช้ำเล็กน้อยเท่านั้น แล้วไม่ทราบว่าคุณเขมมีอาการปวดหัวบ้างไหมครับ?”     

  คุณเขมพยักหน้าตอบรับ เพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นจากภาพที่เห็นก่อนจะลืมตา ก็มีอาการคล้ายจะปวดศีรษะได้ตลอดเวลา         

 “อาการปวดหัวของพ่อเขม จะมีผลอะไรไหมหมอ?” คุณพระเอ่ยถามด้วยความสงสัย       

  “ผมขออนุญาตพิสูจน์อะไรหน่อยนะครับ”     

    คุณหมอหนุ่มหันมามองคุณเขม แล้วเริ่มถามคำถามแรกอย่างจริงจัง

 “ผมจะขอถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของคุณนะครับ"     

  “ครับ”       

  “ข้อแรก...สิ่งที่คุณเขมชอบทำยามว่าง คืออะไรครับ?”   

  “ผมชอบอ่านหนังสือ แล้วก็ปลูกต้นสมุนไพร”       

เมื่อเห็นว่าคนไข้ตอบคำถามได้โดยไม่ต้องใช้ความคิด คุณหมอถึงยิงคำถามเรื่อยๆ คุณเขมก็สามารถตอบได้ทุกข้อ จนมาถึงข้อสุดท้าย...         

“แล้วก่อนที่คุณเขมจะฟื้นขึ้นมา คุณเขมเห็นภาพอะไร แล้วคนที่คิดถึงเป็นคนสุดท้ายคือใครครับ?”   

 “ภาพสุดท้าย...อึก...” ร่างสูงยกมือกุมขมับ ภาพนั้นมันเลือนราง แม้แต่เสียงที่ก้องในหัวก็เบาแผ่วจนไม่อาจจับใจความออก       

“หมอว่า...หมอพอจะทราบแล้วครับคุณพระ”  คุณหมอหนุ่มหันมาพูดกับผู้มีศักดิ์ “คุณเขมไม่สามารถจดจำภาพสุดท้ายที่นึกถึงได้ เพราะช่วงนั้นศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนพอดี และมีผลทำให้คุณเขมไม่สามารถจำคนในภาพนั้นได้ชั่วคราว รวมถึงความทรงจำที่มีต่อคนๆนั้นด้วย”     

  “หมายความว่าพ่อเขมจำคนสุดท้ายที่นึกถึงไม่ได้รึ?”       

  “ใช่ครับ” คุณหมอหนุ่มพยักหน้า “แต่ถ้าหากโดยรวมคุณเขมยังสามารถจำคนรอบตัว หรือจำความรู้ความสามารถที่มีได้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วครับ พักฟื้นอีกสองวันคงออกจากที่นี่ได้”       

  เมื่อหมอหนุ่มตรวจดูอาการเสร็จ จึงให้คุณเขมทานยาลดอาการบวมช้ำและนอนหลับพักผ่อน ในขณะที่คุณพระยังคงคิดไม่ตกเลยว่าคนสุดท้ายที่คุณเขมนึกถึง...คือใคร     

  พ่อเขมนึกถึงใครกัน?           



 หลังจากคุณเขมฟื้นขึ้นมาท่ามกลางความเป็นความตาย สร้างความปีติยินดีให้กับทุกคนอย่างยิ่งโดยเฉพาะคุณเขลางค์ คุณเขมเริ่มต้นตั้งใจทำงานรับราชการตั้งแต่ตำแหน่งเล็กๆ ทั้งที่คุณพระวินิตราชศักดิ์สามารถฝากพระยามนตรีเข้าทำงานในตำแหน่งใหญ่โตก็ย่อมได้ ซึ่งคุณพระเองก็ไม่ได้ขัดข้อง อีกทั้งค่อยเบาใจเมื่ออาการป่วยในตอนนั้นไม่ได้มากระทบหน้าที่การงานของบุตรชายแต่อย่างใด     

 คุณเขมตั้งใจใช้ความรู้ความเก่งในการทำงานอย่างขยันขันแข็ง...โดยเริ่มจากตำแหน่งขุนเป็นอันดับแรก จนต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นหลวงเขมราฐ ด้วยเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนให้ในหลวงทรงก่อตั้งสถานเสาวภา เพื่อให้ประชาชนได้รับ'วัคซีน' ป้องกันโรคร้ายที่อาจเข้ามาระบาดในสยามแลประเทศใกล้เคียง     

   เป็นที่น่าภาคภูมิใจสำหรับบิดา...ที่แม้จะทำงานได้เพียงไม่ถึงปี กลับได้เลื่อนขั้นเป็นหลวงเร็วกว่าตนในตอนหนุ่มเสียอีก       

 “มาแล้วรึพ่อเขม...” คุณพระวินิตราชศักดิ์เรียกบุตรชายที่ตอนนี้เรียกได้ว่า ‘โก้’ อย่างเต็มตัว เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่คนชมชอบ ไหนจะรูปลักษณ์ หน้าที่การงานที่คาดว่าน่าจะไปได้ไกลมากกว่านี้ รวมทั้งรถยนต์ยุโรปคันโก้ที่สั่งซื้อมาตามความต้องการของคุณพระที่อยากให้บุตรชายเดินทางไปทำงานได้สะดวก เพราะตอนนี้ถนนหนทางเริ่มดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ผู้ดีส่วนมากจึงริเริ่มที่จะนิยมมีรถขับกันนักต่อนัก     

  เห็นทีจะเหลือก็เพียง...คู่ครองที่เหมาะสม     

 “ขอรับคุณพ่อ...” ชายหนุ่มตอบบิดา แต่แล้วก็ต้องทำหน้าฉงนเมื่อพบผู้ใหญ่แปลกหน้าทั้งสองคน รวมถึงหญิงสาวที่แต่งองค์ทรงเครื่องงดงามนั่งอยู่ใกล้ๆ     

  “พ่อเขม ไหว้คุณพระอรรถกรกับคุณหญิงชวนชมเสียสิ”   

 เมื่อผู้น้อยไหว้เคารพแขกผู้ใหญ่ทั้งสอง คุณพระอรรถกรก็เริ่มแนะนำหญิงสาวหน้าแฉล้มที่นั่งอยู่ใกล้ๆคุณหญิงชวนชม ซึ่งคุณเขมก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบอยู่ไม่น้อย     

 “จำได้หรือไม่พ่อเขม นี่แม่จำปาลูกสาวของอา”     

 “ไหว้พี่เขาสิจ๊ะลูก” มารดาของหญิงสาวแตะหลังแม่จำปาน้อยๆ เธอค่อยๆประนมมือแล้วคลี่ยิ้มพองามส่งให้        “น้องเคยพบกับพี่เขมล่าสุดที่งานภูเขาเมื่อสี่ปีก่อน พี่เขมจำได้ไหมคะ? ตอนนั้นน้องพาแม่จำปีมาซื้อน้ำตาลปั้นเจ้าเดียวกัน”               

 “ครับ”         

คุณเขมตอบแม่จำปาพอเป็นมารยาทหากแต่เขากลับจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ...อย่าว่าแต่ร้านน้ำตาลปั้นเจ้าใดเลย ตนยังจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าเคยไปงานภูเขาทอง แล้วไปกับผู้ใด   

    ในเมื่อปกติเขาไม่ใช่คนชอบเที่ยวงานรื่นเริงเพียงลำพัง     

  ครั้นพอจะนึกถึง...ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะอีกแล้ว แต่จะให้หุนหันออกไปทันทีบิดาอาจจะเสียหน้าแขกผู้ใหญ่ คุณเขมจึงจำต้องรอฟังผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกัน       

“พ่อเขม...” คุณพระวินิตราชศักดิ์เอ่ยชื่อบุตรชายอีกครั้ง “พ่อเขมก็เจริญในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าพ่อตอนหนุ่มๆเสียอีก พ่อภูมิใจในตัวพ่อเขมนะ”     

   “ขอรับ คุณพ่อ”         

“แล้วไหนๆพ่อเขมก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแล้ว...” คุณเขลางค์พูดสมทบ พลางลุกขึ้นไปแตะไหล่แม่จำปาเบาๆด้วยความเอ็นดู “แม่ก็อยากให้พ่อเขมได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่ครอบครัวด้วยเช่นเดียวกัน”       

   “คุณพ่อ คุณแม่ หมายความว่า?”         

คุณเขมสับสนไปหมด ทั้งท่าทีของคุณเขลางค์ที่ท่าทางจะรักใคร่เอ็นดูแม่จำปาเสียเต็มประดา ไหนจะท่าทีบิดม้วนเขินอายของหญิงสาวอีก       

  ไม่ใช่อย่างที่คิดใช่ไหม?       

   “ใช่พ่อเขม...” คุณพระวินิตราชศักดิ์ยิ้มน้อยๆ “พ่อจะให้พ่อเขม หมั้นหมายกับแม่จำปาเอาไว้ก่อน”         



ข่าวเรื่องการหมั้นหมายของบุตรชายคุณพระวินิตราชศักดิ์ กับบุตรีของคุณพระอรรถกรกำลังเป็นที่กล่าวขานอย่างยินดี เพราะต่างฝ่ายต่างเกิดมามีชาติตระกูลสูงส่ง มีความรู้ความสามารถที่เรียกได้ว่าแทบจะเท่าเทียมกัน อีกทั้งตอนนี้แม่หญิงทั้งพระนครต่างพากันริษยาแม่จำปาที่ได้ครอบครองหัวใจของคุณเขมที่ทั้งรูปงามและรวยทั้งทรัพย์สินความรู้     

 แต่คุณเขมกลับไม่ยินดียินร้ายกับข่าวนี้เท่าใดนัก   

 เพราะภาพเลือนราง กับน้ำเสียงเศร้าสร้อยแหบแห้งของเด็กหนุ่มคนนั้น ยังดังก้องไปทั้งความทรงจำน่ะสิ     

น่าเสียดาย...ที่แม้แต่ชื่อ คุณเขมก็ไม่อาจจะจดจำได้เลย   

   ทั้งที่อยากจำไว้เป็นความทรงจำแท้ๆ   

  “เธอเป็นใครกันแน่?”     

ร่างสูงนอนก่ายหน้าผากพึมพำ อาการปวดหัวตลอดสามเดือนยังไม่หายสนิท แต่คุณเขมเลือกที่จะโกหกบิดาว่าไม่มีอาการอะไรเพราะไม่ต้องการให้คนรอบตัวเป็นห่วง     

   ‘คุณพ่อขอรับ ลูกยังไม่รู้จักน้องจำปาดีเลย จะให้ลูกหมั้นกับน้องได้อย่างไร?’     

  ‘เช่นนั้นก็ทำความรู้จักน้องไว้เสียสิ พ่อเขมเองก็ยังไม่มีใคร ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน’   

   ถึงคุณพระจะกล่าวเช่นนั้นก็เถอะ...แต่อย่างไรคุณเขมกลับไม่อาจลบภาพที่รางเลือนนั้นไปได้อยู่ดี   

   และไม่รู้สึกได้เลยว่า...ตนจะสามารถรักแม่จำปาเพื่อแทนที่คนในภาพได้     

การแต่งงาน มันต้องมาจากความรักไม่ใช่หรือ?   

 “ไอ้เพลิง ข้าว่าคุณเขมคงจะลืมยมแล้วกระมัง”     

 สองบ่าวคนสนิทของคุณเขมนั่งจับเข่าเข้าหากัน เพราะตั้งแต่คุณเขมหายจากอาการป่วยจากโรงหมอในครั้งนาน นายของตนกลับไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนจะเดินทางไปอังกฤษ เพลิงเองก็ปักใจเชื่อว่าอุบัติเหตุสมองกระทบกระเทือนในครั้งนั้น...อาจส่งผลให้คุณเขมลืมยมก็เป็นได้     

 “ข้าก็ว่าเช่นนั้นแหละวะไอ้มั่น” เพลิงถอนหายใจ พลางนึกสงสารในชะตาชีวิตของคนทั้งสอง “คุณเขมลืมใครไม่ลืม กลับลืมเมียตัวเอง แล้วป่านนี้ยมจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ข้าล่ะสงสารทั้งสองคนจริงๆ”     

  “แต่ข้าว่ายมอยู่...ก็คงเหมือนตายทั้งเป็น” มั่นกล่าวออกมาตามที่ใจนึก “คุณเขมลืมยมอย่างนั้น หากยมรู้คงทรมาน มันรักของมันล่ะนะ”   

    “แต่ข้ามีความหวังว่ะไอ้มั่น...” ใบหน้าคล้ำกรานจากแดดหลับตาพึมพำ “ข้ายังมีความหวัง หากคุณเขมกับยมเป็นเนื้อคู่กันจริง อย่างไรทั้งสองคนก็ต้องได้พบกัน”   

     “แล้วเอ็งจะบอกความจริงคุณเขมอย่างไรวะ?”   

   “ข้าบอกแน่...” เพลิงยื่นมามาโยกศีรษะอดีตเพื่อนสนิทที่ตอนนี้กลายเป็นคนรักเบาๆ ให้คลายกังวล “แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป หากไม่ใจเย็น...เรื่องนี้อาจบานปลายและลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โต เอ็งเข้าใจใช่ไหมมั่น?”       

   คนตัวเล็กกว่าพยักหน้ารับ ก่อนจะซุกใบหน้าเข้าหาอกแกร่งแม้ภายในใจลึกๆจะกังวลเหลือเกิน     

    แต่ก็อย่างที่เพลิงบอก...หากคู่กันแล้ว ก็ต้องไม่แคล้วกัน!         





เนื่องจากไรท์เป็นเพียงนศ. แถมไม่ได้เรียนสายวิทย์มา หากข้อมูลการแพทย์ผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัยด้วยนะคะ

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่20--
«ตอบ #36 เมื่อ29-01-2018 16:48:47 »

 o13 o13 o13

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่21--
«ตอบ #37 เมื่อ30-01-2018 21:05:42 »

เรือนร้าว21
ตอน ใจที่บอบช้ำ

“อ้าว! นั่นคุณโดมใช่ไหมน่ะ?”  เสียงของตำรวจอาวุโสทำให้คุณโดมที่กำลังอ่านสำนวนคดีเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนที่ร่างสูงจะไหว้ผู้มียศสูงกว่า                     

 “ท่านสารวัตรมาธุระด่วนที่เชียงใหม่หรือครับ?”     

 “ผมเพิ่งทำธุระเสร็จ กำลังจะกลับที่พักแล้วก็มาพบคุณพอดี” ท่านสารวัตรจากพระนครบอก “ไม่ได้พบคุณโดมตั้งนาน สบายดีรึ?”

 “ขอตอบตรงๆแล้วกันครับ ค่อนข้างเหนื่อย แต่ตอนนี้ได้พักมากขึ้นเพราะโจรเริ่มอาละวาดน้อยลงแล้ว” คำพูดตรงไปตรงมาทำเอาสารวัตรหนุ่มใหญ่หัวเราะน้อยๆ

   “หึๆ คุณนี่ยังพูดตรงเสมอนะ” มือหยาบกร้านแตะไหล่กว้างอย่างเป็นกันเอง “ผมกำลังจะไปหาอะไรทานแถวนี้ คุณโดมไปกับผมนะ ผมมีเรื่องจะพูดด้วย”

 “ครับท่าน” ร้อยโทหนุ่มรับคำ แม้จะสงสัยกับคำพูดของผู้เป็นหัวหน้าว่าเรื่องที่จะพูดจะใหญ่สักแค่ไหน นายตำรวจต่างยศระดับพากันมานั่งในมุมร้านเล็กๆซึ่งขายจำพวกอาหารเหนือข้างทาง รวมถึงขนมนมเนยที่หาทานได้ทั่วไป ทั้งสองสั่งของกินมาสองสามอย่างก่อนที่จะเริ่มเปิดประเด็นพูดคุยกัน

   “ผมขอพูดกับคุณโดมเรื่องงานก่อนก็แล้วกัน” ท่านสารวัตรวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากว่าคุณโดมสามารถปราบโจรที่ชุกชุมได้จนหมดแล้ว คุณจะทำงานที่นี่ต่อ หรืออยากย้ายกลับไปทำงานที่พระนครเล่า?”

   “ผม...” ร้อยโทหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อต้องมฟังคำถามที่ตัดสินใจลำบากเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนตนคงตอบกลับไปว่าอยากกลับพระนครเพราะไปเจอยม

    แต่ในเมื่อตอนนี้...คนที่ตนชอบอยู่ใกล้แค่นี้ ใกล้แค่เอื้อม

    แม้ความหวังที่จะให้ยมรับรักกลับ ช่างริบหรี่เหลือเกิน

   “เอาเถอะคุณโดม ผมไม่ใช่คนตัดสินใจเรื่องนี้ คนตัดสินใจเรื่องที่จะย้ายไม่ย้ายของคุณในตอนนี้ ก็คือสารวัตรกอบกู้คนเดียว” หมายถึงสารวัตรประจำกรมตำรวจเชียงใหม่ที่ตนเพิ่งเข้าไปพบ

     “ครับ”

     “อ้อ...ผมมีอีกเรื่องจะมาแจ้ง ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร แต่เป็นเรื่องน่ายินดีมากนะ”

    “เรื่องอะไรครับ?”

   “คุณโดมรู้จักกับคุณพระวินิตราชศักดิ์ แล้วรู้จักคุณเขมบุตรชายของท่านไหมเล่า? เห็นว่าตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษ ก็ตั้งหน้าตั้งตารับราชการจนตอนนี้ได้เป็นหลวงแล้วนะ เก่งเกินอายุมากจริงๆ”

     เมื่อได้ฟังสิ่งที่อดีตหัวหน้าของตนพูด คุณโดมก็ขมวดคิ้วเป็นปมด้วยรู้สึกไม่ชอบใจในชื่อนี้เท่าใด เพราะมันเป็นชื่อของคนที่ยมรัก!

      “ครับ ผมเคยพบอยู่ครั้งหนึ่ง แต่นานมากแล้วทีเดียว”

       และเป็นวันแรก...ที่ได้พบกับยมเช่นเดียวกัน

       “กำหนดการยังไม่แน่นอน แต่เร็วๆนี้ ผมว่าคุณโดมเตรียมหาวันลงไปพระนครด้วยล่ะ”

        “ท่านสารวัตรหมายความว่าอย่างไรครับ?”

        “ก็คุณเขมกำลังจะหมั้นกับคุณจำปา บุตรสาวของคุณพระอรรถกรเร็วๆนี้น่ะสิ”



คุณโดมขับรถกลับบ้านด้วยใจที่ห่อเหี่ยว ใบหน้าคมคายราวกับอึดอัดใจไม่อยากจะบอกเรื่องที่ได้รับฟังมาจากอดีตหัวหน้างานของตน     

  ใจหนึ่งไม่อยากบอก...เพราะถ้ายมรู้ ยมอาจจะเสียใจจนขาดใจตาย     

  หากแต่อีกสำนึกกลับสั่งให้คุณโดมเห็นแก่ตัว!

   จะตัดสินใจเช่นไร?       

“เฮ้อ!”       

ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความลำบาก ตอนนี้ยมกำลังนั่งกอดเข่าฟังหนูขมนั่งพูดคุยเจื้อยแจ้ว มีแต่เสียงหัวเราะสดใสของเด็กทั้งสองวัยดังรอบสวน

ความคิดที่เห็นแก่ตัวที่เข้ามาชั่ววูบพลันมลายไปสิ้น

 ก็เคยสัญญากับตัวเองมิใช่รึโดม...ว่าอยากเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของยมตลอดไป     

 อยากให้รอยยิ้มนั้นหายไปหรือไร?       

 “คุณโดมกลับมาแล้วหรือจ๊ะ?”       

เสียงใสทักถาม ส่วนเจ้าหนูจำไมที่คุยแจ้วกับพี่ชายใจดีก็หยุดปากเงียบกริบ แก้มป้อยๆพองลมเมื่อรู้ชะตากรรม         

 “ว่าอย่างไรตุ้ยนุ้ย...” คุณลุงตำรวจปากเสียในความคิดของหนูขมหัวเราะน้อยๆ ในมือมีห่ออะไรบางอย่างติดมาด้วย “อาซื้อขนมมาให้เยอะแยะเลยนะ ไม่สนใจรึ?”     

  หนแรกเด็กน้อยไม่มีท่าทีสนใจ จึงทำเป็นหน้านิ่งแล้วซบไหล่ออดอ้อนพี่ยมต่อ แต่สักพักนางจันทร์แม่ของเจ้าหนูมารับเท่านั้นล่ะ...         

 “พี่ยม...” เด็กน้อยกระตุกชายเสื้อพี่ชาย ยมไม่รอให้เด็กน้อยพูดต่อด้วยรู้ทันว่าจะให้ตนทำอะไร

   “หนูขม ฟังพี่นะ” ยมเอื้อมมือกุมหัวไหล่น้อยเบาๆ “หากอาโดมให้ของ หนูขมต้องไหว้ขอบคุณ ไม่ใช่แค่อาโดมนะ รวมถึงผู้ใหญ่คนอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นหนูขมจะมานึกเสียดายทีหลัง หนูขมเข้าใจที่พี่พูดไหม?”

    “เข้าใจจ้ะพี่ยม” เจ้าหนูพยักหน้ารับ คุณโดมได้ฟังก็หัวเราะนิดๆก่อนจะยื่นขนมส่งให้หนูขม

      “เอ้านี่ อาให้นะ”

     “ขอบคุณจ้ะอาโดม” หนูขมจรดมือไหว้ขอบคุณงามๆ แล้วรับขนมมาไว้ในมือ จากนั้นมารดาของเจ้าหนูจึงเข้ามาพูดคุยกับทั้งสองคนเล็กน้อยก่อนจะจูงมือหนูน้อยพากลับบ้านไป ครั้นเมื่อเหลือกันอยู่สองคน ใบหน้าคมคายที่ฝืนยิ้มมาตลอดกับหุบรอยยิ้มนั้นลง ดวงตาคมคายมองคนตัวเล็กที่กำลังจ้องเจ้าตัวเล็กเดินจูงนางจันทร์ผู้เป็นแม่กลับบ้าน สิ่งที่อดีตหัวหน้าตำรวจพูดนั้นยังคงก้องในหัว

      หากยมมารู้ความจริงทีหลัง มันจะมีค่าเท่ากันรึเปล่านะ?

     อึดอัดเหลือเกิน

  “คุณโดมหน้าตาดูไม่สบายใจเลย หากมีอะไรบอกยมได้นะจ๊ะ” ยมหันมาพบคุณโดมที่ทำสีหน้าพะอืดพะอมคล้ายทุกข์ร้อนพอดี จึงอดที่จะเป็นห่วงผู้มีพระคุณไม่ได้     

 “ยม...”  ร้อยโทหนุ่มเบือนหน้าหนีคนตัวเล็ก อย่างไรก็บอกไม่ได้จริงๆ ยมต้องเสียใจเป็นที่สุด     

  “คุณโดม...”  ยมยื่นมือมาแตะฝ่ามือหยาบเบาๆ “ยามยมเดือดร้อนอะไร คุณโดมยังคอยเป็นที่ปรึกษา แล้วยังคอยช่วยยมเสมอมา พูดมาเถิดจ้ะ ยมอยากจะรับฟัง”     

  “ฉัน...” สีหน้าของคุณโดมอึดอัดเต็มทน จนเด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกว่ารบเร้าผู้มีพระคุณมากไป   

 “ยมขอโทษที่ทำให้คุณโดมรำคาญใจจ้ะ” ร่างเล็กทำท่าจะลุกจากไป ใบหน้าคมคายเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม เผลอพลั้งในสิ่งที่อึดอัดออกมา     

 “เขมกำลังจะแต่งงาน”   

     !!!     

“คุณโดม...ว่าอย่างไรนะจ๊ะ?”   

 พูดไปแล้ว...พูดออกไปแล้ว   

  ความอึดอัด และความเห็นแก่ตัวที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจสั่งให้ร้อยโทหนุ่มพูดออกไป

  อย่างไรความจริงก็คือความจริง ที่ยมต้องรู้เข้าซักวัน     

   “คุณโดม มันไม่จริงใช่ไหมจ๊ะ?”

   “วันนี้ฉันพบหัวหน้าของฉัน มาทำธุระที่กรมตำรวจเชียงใหม่...” กัดฟันและข่มใจพูด ความตั้งใจที่จะปกปิดตั้งแต่แรกพังทลายลงเมื่อความคิดสั่งให้ชายหนุ่มตัดสินใจบอกความจริง

       “เขามาส่งข่าวว่า...เขมเขากำลังจะหมั้นหมายกับคุณจำปา บุตรีของคุณพระอรรถกรเพื่อนคุณอาวินิต”

      ดังมีมีดอันแหลมคมมาปักเสียบทรวงกลางหัวใจ หยดน้ำจากดวงตาไหลอาบแก้ม ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งเข้าไปเก็บตัวเงียบตัวเงียบในห้องเพียงลำพัง

      ปัง!!

     เสียงประตูปิดลงดังสนั่น พร้อมๆกับเสียงปล่อยโฮสุดจะเจ็บปวดของเด็กหนุ่ม มือน้อยกุมแผ่นอกด้านซ้ายด้วยความทรมานคล้ายถูกของมีคมกรีดเข้าที่หัวใจ

      “ฮึก ฮือ...พี่เขม พี่ลืมสัญญาของเราจริงๆหรือ?”

      ร่างของยมค่อยๆทรุดพิงฝาผนังห้อง น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลตอกย้ำความเจ็บช้ำ ใจหนึ่งแสนเจ็บที่คนรักผิดคำสัญญาก่อนจากไกลในคืนนั้น

       ส่วนอีกใจ...กลับไม่อาจปักใจเชื่อสนิทจากคำคนที่เล่าต่อๆกันมาอยู่ดี

       “ฮึก ฮือ ยมไม่เชื่อ ไม่เชื่อ โฮ ไม่เอาแบบนี้!!”

       กำปั้นเล็กทุบลงกับพื้นแรงๆจนรู้สึกเจ็บ แต่ก็ยังไม่เท่าความทรมานที่ได้ยิน แม้ยังไม่ได้เห็นกับตา...แต่เหตุใด มันจึงจะขาดใจได้ถึงเพียงนี้

       หัวใจทั้งดวงในอก แทบจะสลายออกเป็นเสี่ยงๆ

       คนใจร้าย!! ไหนคำสัญญา? คำสัญญาที่พี่เขมสัญญากับยม ว่าจะมียมเพียงคนเดียว

       “ฮือ พี่เขมสิ้นรักยมจริงๆหรือ?”

       แม้จะไม่อาจปักใจเชื่อ หากเพียงแค่ภาพของพี่เขมยามเคียงข้างกับหญิงอื่นที่มียศฐาสูงศักดิ์เสมอ ดูแล้วช่างเหมาะสมที่จะได้เคียงคู่ ก็คล้ายมีมีดมากรีดเฉือนหัวใจเจ้าตัวน้อยให้แทบดับดิ้น

          ปวดใจเหลือเกิน ใจจะขาดอยู่แล้ว!

         หรือวันเวลาที่ยมรอคอยพี่ มันไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว?

      “ฮือ ฮึก พี่เขม พี่เขม..."

       เสียงสุดท้ายแหบแห้งจนไร้คำที่จะเปล่งออกมาอีก จนม่านน้ำตานั้นสลัวไปหมด สติสัมปัญชัญญะดับวูบลง ร่างน้อยทรุดสลบลงกับพื้นอย่างอ่อนล้าจากการร้องไห้อย่างหนัก พอๆกับร่างสูงที่ยืนพิงกำแพงอยู่ด้านนอก

      นี่เขาทำอะไรลงไป?

     กว่าจะคิดได้ ก็สายเสียแล้ว!       



รถยนต์สีขาวแบบยุโรปจอดเทียบใกล้ๆเรือนไทยเก่าแก่ของคุณพระอรรถกร คุณเขมเดินอ้อมไปเปิดประตูให้สุภาพสตรีที่นั่งอยู่ข้างคนขับตามธรรมเนียมแบบฝรั่ง นั่นทำให้แม่จำปาได้แต่ยิ้มด้วยความเขินเพราะคิดว่าว่าที่คู่หมั้นของเธอกำลังเอาอกเอาใจ

         “ขอบคุณพี่เขมมากนะคะ ที่มาส่งน้อง”

         “ครับ น้องจำปา” คุณเขมคลี่ยิ้มส่งให้เธอพอเป็นพิธี “นี่ก็ใกล้มืดแล้ว รีบขึ้นเรือนเถิดนะครับ”

       “ค่ะ ไว้วันพรุ่ง น้องจะทำขนมไปให้พี่เขมนะคะ”

       “ไม่ต้องลำบากหรอกครับน้องจำปา พี่เกรงใจ” คุณเขมพูดออกไปด้วยใจจริง และคนอื่นอาจมองหญิงสาวไม่งามเอาได้

       “แต่น้องเต็มใจทำให้ค่ะ” แม่จำปายิ้มสดใสส่งให้ชายหนุ่ม ใบหน้างดงามปกปิดความเขินอายไม่มิด “พรุ่งนี้เจอกันนะคะ น้องขึ้นเรือนก่อน”

     หลังจากร่างอรชรของแม่จำปาขึ้นเรือนเป็นที่เรียบร้อย คุณเขมไม่ได้ขับรถยนต์กลับเรือนของบิดาทันที อาการปวดหัวเล็กน้อยยังคงเป็นเรื่อยๆอย่างไม่มีท่าทีจะหาย จึงแวะเทียบท่าใกล้ๆตลาดกลางคืนที่ใจกลางพระนคร ร่างสูงสง่าก้าวลงมาจากรถอีกครั้งก่อนจะเดินหายเข้าไปปะปนกับฝูงชน นี่เป็นครั้งแรกกระมังที่คุณเขมมาเดินเที่ยวเพียงลำพังโดยไร้ผู้ติดตาม หากแต่หาใช่เพราะชอบตามวิสัย แต่เพื่อให้อาการปวดหัวหายไปเล็กน้อยก็ยังดี

       คุณเขมเดินมาเรื่อยๆก็มาหยุดตรงบริเวณลานกว้าง มีกลุ่มคนแต่งกายแสดงอุปรากรจีน พวกเขาขีดเขียนใบหน้าขาววอก ตามซอกตานั้นมีทั้งสีเขียวแดง โดยเฉพาะตัวแสดงสตรีนั้นค่อนข้างจะแต่งหน้าจัดเต็มกว่าผู้แสดงชาย เสียงที่พูดออกมาแต่ละคนแปร่งๆเป็นจีนแต้จิ๋วกำลังแสดงละครที่เป็นนิยมของจีน และเป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านเช่นกัน

          ไม่ต้องบอกก็รู้...ก็งิ้วนั่นแหละ!

          “รับน้ำตาลปั้นไปทานระหว่างชมงิ้วไหมจ๊ะ? ราคาไม่แพงนา”

          น้ำตาลปั้น...

       คุณเขมหันไปมองต้นเสียง พ่อค้าเร่ส่งน้ำตาลปั้นรูปดอกไม้สีสวยส่งให้เด็กผู้หญิงที่อ้อนขอผู้เป็นแม่กิน อาการปวดศีรษะที่เหมือนจะดีขึ้นกลับมาอีกครั้ง!

         *“นั่นน่ะน้ำตาลปั้น”  คุณเขมมองยมที่จ้องขนมที่ถูกปั้นเป็นรูปต่างๆแปลกตาด้วยความเอ็นดู*

“ยมไม่เคยเห็นขนมแบบนี้เลยจ้ะพี่เขม”

“งั้นยมรอพี่ตรงนี้นะ”

          “ยม...”

         ได้ยินแค่ชื่อ...แต่ภาพในอดีตตอนนั้นเลือนรางจนมองไม่เห็น และจำไม่ได้อีกด้วย ว่าคนชื่อยมคนนั้นมีความสัมพันธ์กับตนแบบใด

         ยม...เป็นใครกัน?

        ถ้าถามเพลิงกับมั่น สองคนนั่นจะรู้จักไหมนะ?

        เมื่อกลับมาถึงเรือน ร่างสูงก็ก้าวลงจากรถแล้วเดินกลับไปยังเรือนของตนเพื่อเรียกตัวบ่าวคนสนิททั้งสองคนเพื่อถามความ แต่ยังไม่ทันจะพ้นเรือนใหญ่ของบิดา เสียงทุ้มทรงอำนาจของคุณพระวินิตราชศักดิ์ก็ดังขึ้น

        “อ้าวนั่น พ่อเขม ทำไมวันนี้กลับมืดค่ำเช่นนี้เล่า?”

        “พอดีลูกเพิ่งกลับจากไปส่งน้องจำปาขอรับ เห็นมืดค่ำแล้วให้น้องกลับเองคนเดียวคงไม่ดี”

        “อ้อ ดีๆ” คุณพระยิ้มอย่างพึงใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ถ้าอย่างนั้นพ่อเขมกลับไปพักผ่อนเถอะ วันพรุ่งจะได้ไปทำงานแต่เช้า”

        “เอ่อ...คุณพ่อขอรับ!”

        ยังไม่ทันที่ผู้เป็นบิดาจะก้าวขึ้นเรือน คุณเขมตัดสินใจเรียกคุณพระด้วยอยากรู้อะไรบางอย่างที่คาใจ คุณพ่ออาจจะรู้จักคนที่ชื่อยมก็ได้

        “มีอะไรรึเปล่าพ่อเขม?”

        “คือ...คุณพ่อรู้จักคนที่ชื่อยมไหมขอรับ?”

        “ถามพ่อทำไมพ่อเขม?”

     “คือ...” คุณเขมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามผู้เป็นบิดาถึงสิ่งที่อยากใคร่รู้ “อยู่ๆลูกก็รู้สึกคนชื่อคนนี้ขึ้นมา เหมือนเคยรู้จักมาก่อน คุณพ่อพอจะทราบบ้างหรือไม่ขอรับ?”

     “อือม์ นั่นสิ พ่อเขมจากเรือนไปถึงสี่ปี คงจะลืมพวกบ่าวทาสในเรือนไปบ้าง” คุณพระใคร่ครวญอย่างไม่นึกสงสัยอะไรในตัวคุณเขมอีก “ยมมันเป็นทาสในเรือนของแม่เจ้านั่นแหละ ท่าทางมันซื่อๆเรียบร้อย จนกระทั่งเมื่อปีก่อน แม่ของเจ้าจับได้ว่ามันขึ้นไปขโมยแหวนของพ่อเขม มันกลัวความผิดถึงได้หนีออกจากเรือนไป”

       ยม...คือเด็กทาสในเรือนที่ขโมยของ?

       หรือจะไม่ใช่คนในความทรงจำ...

      “พ่อเองก็ไม่ได้เชื่อสนิทใจหรอกนะ เห็นมันใสซื่อ ไม่มีพิษไม่มีภัย แต่ช่างเถิด...เรื่องมันก็นานนักหนาแล้ว ครั้นจะตามหาเพื่อเค้นความก็คงใช่เรื่อง”

      คุณพระถอนหายใจเบาๆ ฝ่ายคุณเขมเองก็ผิดหวังด้วยนึกว่าจะได้รับคำตอบที่กระจ่าง หรือเขาควรจะลืมคนในความทรงจำคนนั้นเสียที...

      แต่ครั้นพอจะลืม อาการปวดหัวนั่นจะต้องกำเริบทุกคราไป

       “ลูกขอตัวขึ้นเรือนก่อนนะขอรับคุณพ่อ”

       “ไปเถิดพ่อเขม พ่อเองก็จะไปพักแล้วเหมือนกัน”

      ร่างสูงเดินกลับมายังเรือน กลิ่นหอมของต้นมะลิลาที่ปลูกห้อมล้อมส่งกลิ่นโชยกรุ่น มือใหญ่เอื้อมมันขึ้นเด็ดดม จู่ๆอาการปวดหัวที่กำเริบนั้นเริ่มจะทุเลาลง

      ภาพเลือนร่างของคนตัวน้อยในความทรงจำ ที่ยื่นมือมาแตะขมับให้เขาผ่อนคลาย

      ต้องมีซักวัน...ที่ฉันจะจำเธอให้ได้



      “ยม ฉันซื้อกับข้าวกับปลามาให้ยมแล้วนะ หิวรึเปล่า?”

      ร้อยโทหนุ่มเคาะประตูเรียกคนที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ด้านใน ไม่มีเสียงตอบรับ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันชั่วครู่ก่อนที่คุณโดมจะกล่าวขึ้นมาอีก

      “ถ้าหิวก็ไปทานในครัวนะยม วันนี้ฉันต้องไปบุกจับขาใหญ่อาจกลับมืดค่ำหรืออาจเป็นวันพรุ่ง หากยมเบื่อก็ออกไปหาหนูขมได้นะ”

      บอกกล่าวเพียงนั้นร้อยโทหนุ่มก็เดินออกจากบ้านไปด้วยใจที่ห่อเหี่ยวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่วันที่ยมรู้ข่าวที่คุณเขมกำลังจะหมั้นหมายกับคุณจำปา เด็กหนุ่มก็เอาแต่เก็บตัวเงียบ ยามที่คุณโดมพยายามจะเคาะประตูเรียก ก็มักจะได้ยินเสียงร้องไห้พร่ำเรียกหาชื่อคนรักเสียงแหบแห้ง น่าเวทนายิ่งนัก

    หวังว่ายมจะทำใจได้สักวัน...นานแค่ไหน เขาก็จะรอ

    เวลาดำเนินไปจากเวลาเย็นจนรัตติกาลย่ำเยือน แม้จะหิวท้องไส้กิ่วเพียงใดยมก็ไม่ได้ไปแตะต้องข้าวปลาที่คุณโดมหามา ยมลงกลอนประตูบ้านแล้วเดินออกมาเรื่อยๆเพื่อไม่ให้ตนเองฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ เด็กหนุ่มร้องไห้จนน้ำตามันเหือดแห้งไปเอง ดวงตาหวานบวมช้ำอย่างหนักด้วยแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ภายในจิตใจว้าวุ่นไปด้วยความน้อยใจที่พี่เขมลืมสัญญา

    พี่เขมลืมสัญญาของเราแล้ว...จริงๆหรือ? ยมไม่อยากเชื่อเลย

    “อ้าว! นั่นพ่อยมใช่ไหมนั่น?”

    กว่าจะรู้ตัวอีกที ยมก็มาหยุดอยู่ที่เรือนหลังเล็กเก่าแก่ของป้าแจ่ว แม้หลังมันจะเล็ก หากแต่สมาชิกในเรือนอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า ดีกว่าเรือนปั้นหยาหลังใหญ่ที่ตนเพิ่งเดินออกมาด้วยความรู้สึกว้าเหว่เป็นไหนๆ

    “หนูขมอยู่ไหมจ๊ะป้าแจ่ว?”

    “แม่จันทร์พาหนูขมเข้านอนแล้ว พ่อยมมามืดไปนิด” หญิงชราพูดพลางบ้วนหมากทิ้งลงพื้น “แต่ไหนๆก็มาแล้ว มานั่งเล่นให้ผ่อนคลายอารมณ์ก่อนเถอะ ดูหน้าตาพ่อยมไม่ค่อยสู้ดีเลย”

      เด็กหนุ่มพยักหน้า ด้วยเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคยกันดีทำให้ยมสามารถนั่งชมจันทร์ได้อย่างสบายใจโดยมีหญิงชรานั่งเคี้ยวหมากอยู่ใกล้ๆ ดวงตาน้อยมองพระจันทร์ที่มักจะเป็นกำลังใจให้ยมอยู่เสมอ

      กำลังใจ...ให้ยมยังมีชีวิต เพื่อรอคอยพี่เขมเพียงคนเดียว

     “เจ้าหมึก! นี่เอ็งพาเพื่อนมาก๊งเหล้าอีกแล้วเรอะ?”

     เสียงป้าแจ่วโวยวายลูกชายทำลายบรรยากาศที่เงียบงัน เมื่อพ่อของหนูขมเดินกอดโอ่งใบเล็กเล็กไว้ใส่สุราดื่มกินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนอีกประมาณสองสามคน

      “ไอ้ไปล่มันเพิ่งได้งานน่ะแม่ ก็ต้องฉลองกันหน่อย อย่าบ่นน่าแม่”

     “หือ! ข้าเห็นไม่ว่าเพื่อนคนไหนได้งานเอ็งก็หาเรื่องตั้งก๊งเหล้าฉลองทุกครั้งไปมิใช่รึห้ะไอ้หมึก?”

     เจ้าลูกชายตัวดียักไหล่ไม่สนใจคำพร่ำบ่นของคนเป็นแม่ อีกทั้งยังตั้งวงโดยมีสุราอาหารที่ซื้อมาจากข้างนอกวางไว้ ป้าแจ่วได้แต่ส่ายหน้าเอือมๆที่พักนี้หมึกเริ่มจะตั้งวงเหล้าบ่อยมากไป

      “ยมเอ้ย! เดี๋ยวป้าจะกลับเข้าไปข้างในก่อนนะ พวกเอ็งก็อย่าเสียงดัง โดยเฉพาะเอ็งไอ้หมึก ตั้งวงไม่เกรงใจลูกเต้าเล้ย!!”

      เมื่อป้าแจ่วกลับเข้าไปด้านใน ยมเองก็ทำท่าจะกลับเรือนปั้นหยาเช่นเดียวกัน หากแต่เสียงของหมึกเรียกตัวเด็กหนุ่มไว้

      “ว่าอย่างไรยม? หน้าตาเอ็งดูหมองไปนะ สนใจมากินเหล้าย้อมใจกับพวกข้าไหมวะ?”

     ถ้าเป็นเมื่อก่อน...ยมคงปฏิเสธทันควันเพราะรู้ดีว่าสุราเมรัยทำให้คนดื่มกินไม่มีสติ แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มกลับคิดหนัก

      “หากดื่มแล้ว จะลืมทุกข์ได้จริงๆหรือจ๊ะ?”

     “ก็แน่สิวะ!” หมึกตอบแล้วกระดกเหล้าเข้าปากอีกครั้ง “ข้าไม่รู้หรอกว่าเอ็งไปทุกข์อะไรมา แต่ข้ารับรอง เอ็งดื่มแล้วจะลืมเรื่องไม่ดีได้หมดเลยโว้ย”

      หรือว่าเหล้า...จะทำให้เราลืมทุกข์จากคนใจร้ายชั่วคราว?

      เอาก็เอา...

     “ฮื้อ!ขมจังเลยพี่หมึก”

      เมื่อได้ลิ้มลองก็แทบอยากจะบ้วนทิ้ง แต่หมึกกลับยัดให้ยมกระดกไปจนหมด อีกทั้งยังให้ยมดื่มแก้วสองแก้วตามต่ออีกต่างหาก

     “แรกๆก็อย่างนี้แหละโว้ย เดี๋ยวสักพักเอ็งจะชิน”

     หากยมไม่เจ็บช้ำน้ำใจมาก่อนหน้า ก็คงจะขอหยุดไว้เพียงแก้วแรกและขอตัวกลับบ้านด้วยสติที่สมบูรณ์ แต่ความเจ็บช้ำครั้งนี้สั่งให้ยมเชื่อหมึก

      ดื่มกินเหล้า...เพื่อให้ลืมทุกข์ แม้เพียงชั่วคราวก็ยังดี

     แก้วแล้วแก้วเล่า...จนผ่านไปถึงสองยาม แก้มของยมแดงอย่างเห็นได้ชัดด้วยฤทธิ์สุราเริ่มออกเต็มที่ ในขณะที่หมึกกับเพื่อนยังคงคอทองแดงดื่มกันไม่เลิก พอเหล้าหมดก็จะเวียนกันออกไปซื้อมาเพิ่ม

      “ไม่อาว...พอแล้ว” ยมพูดเสียงยานคางเมื่อหมึกส่งแก้วเหล้ามาให้อีก เพียงแค่นี้ก็จะประคองสติให้อยู่กับตัวแทบไม่ไหวแล้ว

      “ไอ้หมึก เด็กมันไม่เอาก็พอเหอะโว้ย มึงก็มาก๊งกับพวกกูต่องาย”

      “เออๆ ก็ได้วะ เอ้าชน...”

      เสียงแก้วเหล้ากระทบกันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่เป็นเวลาเดียวกับที่ป้าแจ่วเดินออกมาจากเรือนแล้วเห็นยมแทบจะฟุบหลับคาเสื่อ เท่านั้นเอง...อารมณ์โกรธของหญิงชราถึงได้พุ่งขึ้นมา

      “ไอ้หมึก! นี่เอ็งมอมเหล้าพ่อยมรึห้ะ? พ่อยมยังเด็กเอ็งไปมอมเหล้าเขาอย่างนี้ได้ยังไง!”

     “ป้าแจ่ว หยุดก่อนครับ!”

     ร้อยโทหนุ่มเข้ามาห้ามหญิงชราที่กำลังตีสั่งสอนลูกชายด้วยความโกรธ คุณโดมเพิ่งกลับมาจากจับเสือใหญ่ พอกลับมาเห็นประตูลงกลอนก็พอจะทราบได้ในทันทีว่ายมต้องมาอยู่ที่นี่

      “คุณโดมก็ดูมันสิ มอมเหล้ายมจนเมาไปหมด ยมยังเด็กอยู่เลยนะ”

     “ไม่เป็นไรครับป้า เดี๋ยวผมพายมกลับเอง” พูดจบ ร่างสูงก็เข้าไปโอบอุ้มยมที่ตอนนี้เมามายเต็มที่ เด็กหนุ่มดิ้นแรงจนคุณโดมเกือบอุ้มไม่อยู่ แต่ก็พากลับมาถึงเรือนปั้นหยาจนได้

     “แหวะ!!”

     เพราะไม่เคยดื่มมาก่อน ยมจึงอาเจียนออกมาอย่างง่ายดาย ทำให้เนื้อตัวของคนเมากับคนอุ้มสกปรกเลอะเทอะพอสมควร พอเข้ามาในห้องของยมได้ คุณโดมก็ค่อยๆวางร่างเล็กลงบนฟูกนอน แล้วถอดเสื้อที่เปื้อนไปด้วยอ้วกออก ตามด้วยเสื้อผ้าของตัวเองจนเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวด้านใน

     “เช็ดตัวก่อนนะยม” มือใหญ่บิดผ้าชุบน้ำหมาดๆ ก่อนจะเช็ดไล่ไปตามร่างกายขาวเนียนของคนตัวเล็ก คุณโดมคอยจับจ้องอาการของยมตลอดเวลาเผื่อยมอยากจะอาเจียนออกมาอีก

       “พี่เขม ฮึก ทำไมทำกับยมแบบนี้?”   

 แม้ตอนนี้คนตัวเล็กแทบไร้สติ หากแต่ยังคงเปล่งชื่อของคนในหัวใจไม่ขาดสายเช่นเดียวกับน้ำตาที่หลั่งรินด้วยความเจ็บปวด ร้อยโทหนุ่มมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย   

 ทั้งสงสารหัวใจที่ปวดร้าวของยม   

   และความรู้สึกเกลียดต้นเหตุที่ทำให้คนที่ตนรักต้องร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่า     

 “ยมรักฉันบ้างไม่ได้เลยรึ?” เสียงทุ้มต่ำกล่าวถ้อยรำพันแผ่วเบา อย่างไรยมก็คงไม่มีทางได้ยิน “ถ้ายมรักฉันสักนิด ฉันจะไม่ทำให้ยมต้องเจ็บ”     

 “ฮือ...พี่เขม พี่เขมลืมสัญญาที่ให้กับยมได้ยังไง...”     

   คุณโดมมองเด็กน้อยที่เมามายด้วยความปวดใจ และรู้ตัวดีว่าตนคงไม่อาจแทนที่คุณเขมได้   

   “ยม...”   

  “พี่เขม...” ยมเผยอยิ้มเรียกหาคนรักทั้งที่ตายังปิดสนิท คล้ายกับลืมเรื่องที่กำลังทุกข์สาหัสไปหมดสิ้น “พี่เขมกลับมาหายมแล้วหรือจ๊ะ?”   

   พลัน...ความเห็นแก่ตัวในก้นบึ้งหัวใจกลับสั่งให้คุณโดมก้มลงมองสัมผัสที่ริมฝีปากนุ่มตรงหน้า     ก่อนจะก้มลงมอบจูบให้กับยมแทนคนที่เด็กหนุ่มละเมอเรียกหา

​             

  แม้จะไม่ใช่คนในหัวใจ...แต่ขอเป็นตัวแทนก็ยังดี       

“อื้อ!!พี่เขม อย่าแกล้งยม...”   

 เสียงครางดังระงมเรียกชื่อคนรัก แม้ไม่ได้ช่วยให้คุณโดมหยุดการกระทำที่เห็นแก่ตัว แต่สิ่งที่อยู่ภายใต้แผ่นอกด้านซ้ายนั้นกลับเจ็บร้าวและปวดแสบ       

ก็เป็นแค่ตัวแทน     

  “อ๊ะ!”       

ร่างเล็กเกร็งกระตุกเมื่อรู้สึกว่าผ้าโจงกระเบนถูกถอดออกจนเปลือยเปล่า คุณโดมสอดนิ้วเข้าไปเบิกช่องทางคับแน่นที่มีเพียงคุณเขมเท่านั้นที่ได้ล่วงล้ำ แต่บัดนี้ร้อยโทหนุ่มกำลังจะได้ครอบครองคนตัวน้อยที่เฝ้าคิดถึงมาตลอดหลายปี

     โดยไม่ได้สนใจเลยว่าการกระทำแบบนี้...จะสร้างบาปกรรมและความเจ็บช้ำทั้งตัวเองไปตลอดชีวิต   

   “อื้อ! พี่เขม”     

    รักเขมมากขนาดนั้นเลยหรือยม?     

    เป็นฉันบ้างไม่ได้เลยรึ?   

   แม้จะเจ็บจนไม่อยากจะสานต่อ...แต่ด้านมืดในใจกลับสั่งให้ร่างสูงค่อยๆถอดกางเกงออกแล้วสอดใส่ความเป็นชายเข้าไปในช่องทางคับแคบ เด็กหนุ่มที่ไม่มีสติหลงเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียวก็เผลอไผลตามสัมผัสที่ได้รับ เพราะคิดว่าพี่เขมกำลังแกล้งตน     

"พี่เขมจ๋า...อื้อ! อย่าแกล้งยม"       

 "อ่า!"

   ขณะที่ฝ่ายหนึ่งคิดว่ากำลังสุขสมกับคนรัก หากอีกฝ่ายกลับจงใจมีความสัมพันธ์กับร่างตรงหน้าอย่างเจ็บปวด ที่ต้องมาเป็นเพียงตัวแทนของเขม ไม่ใช่คนที่ยมรัก โดม...แกรู้ใช่ไหม? แกก็แค่ตัวแทน

   ตัวแทน...ที่รักยมไม่น้อยไปกว่าเขมเลย!



**สุดท้ายเมิงก็บอกยมอยู่ดีนี่หว่า...อีคุณโดม!!!


ออฟไลน์ snpmrth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่21--
«ตอบ #38 เมื่อ31-01-2018 01:25:19 »

ปวดใจเหลือเกินเจ้าค่ะ ฮือ

ออฟไลน์ pookyss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่21--
«ตอบ #39 เมื่อ31-01-2018 16:36:08 »

่อ่านรวดเดียวเลย
รอตอนต่อไปนะคะ
 :mew3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่21--
« ตอบ #39 เมื่อ: 31-01-2018 16:36:08 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่22--
«ตอบ #40 เมื่อ02-02-2018 21:30:45 »

เรือนร้าว22
ตอน อภัย
    “ว่าอย่างไรจ๊ะพ่อบูรพา? เพิ่งกลับมาจากเมืองฝรั่งดูงามขึ้นเป็นกอง” 

     เสียงแม่ค้าในตลาดโห่แซ็วเกรียวกราว เมื่อบุตรชายของขุนภิรมย์แห่งเมืองสุพรรณที่เขาว่ากันว่ารูปงามยิ่งกว่าใครมาเดินเล่นในตลาดยามเช้าเพียงลำพัง ด้วยคุณบูรพาไม่ชอบให้มีใครมาติดตามจึงไม่ขอมีบ่าวรับใช้เหมือนเช่นคุณบริพัตร์ผู้เป็นน้องชาย       

   “พอดีบูรพาอยากทานน้ำพริกเคียงข้าวสวยร้อนๆของพี่แฟง อยู่เมืองฝรั่งมานานได้ทานแต่นมเนยไม่ถูกจริตเท่ากับข้าวกับปลาของพี่จ้ะ”

คนหน้าสวยยิ้มหวานส่งให้คนขาย นอกจากอาหารฝีมือคุณบุหลัน ก็ยังมีร้านข้าวแกงข้างทางของพี่แฟงที่ตนชอบแวะเวียนมาทานหลังซ้อมดนตรีเสร็จเป็นประจำนี่ล่ะที่ถูกปากรองมาจากรสมือของมารดา       

 “ยังปากหวานเหมือนเดิมนะจ๊ะพ่อบูรพา ไม่บอกก็รู้ จะให้พี่เพิ่มไข่ต้มให้ด้วยก็บอกมาเถอะน่า” พี่แฟงพูดดักอย่างรู้ทัน ชายหนุ่มจึงรีบยิ้มหวานอ้อนทันที       

  “พี่แฟงก็...รู้ทันบูรพาตลอดเลยนะจ๊ะ”       

  “แต่พี่ก็ต้องให้ล่ะนะ อ้อนซะขนาดนี้” หญิงสาวตักข้าวเคียงน้ำพริกปลาทู แล้วยังมีไข่เป็ดต้มสองฟองใส่จานมาให้ด้วย     

   “ขอบใจจ้ะ คนสวยของบูรพา” คุณบูรพายิ้มหวานเหมือนเด็กที่ได้รับของกินสมใจอยาก ก่อนจะค่อยๆตักข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย โดยมีพี่สาวใจดียังวางจานผักไว้ทานเคียงเผื่อดับความเผ็ดร้อนของน้ำพริกอีกด้วย       

ขนมปังจืดๆของนอกรึ...จะสู้รสเผ็ดของน้ำพริกเคียงข้าวสวยร้อนๆของสยาม       

 “เอ๊ะ! ทุกทีที่ตลาดนี้ขายเพียงแต่ของกินของใช้ แล้วเหตุใดวันนี้จึงมีคนนำของมีราคามาขายด้วยเล่า?” เสียงพี่แฟงหันไปถามเพื่อนสนิทที่กำลังขายผลไม้อยู่ใกล้ๆ 

   “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นคนอื่นเขาว่าพ่อค้าคนนี้ขนของมีค่ามาจากพระนคร ของแต่ละอย่างนี่แพงๆทั้งนั้นเลยล่ะ”     

 ‘ถึงว่า...คนไม่ค่อยเวียนมาซื้ออยู่แผงเดียว’

      คุณบูรพาคิดในใจก่อนที่จะทานข้าวจนอิ่มหมีพีมัน เมื่อยื่นอัฐส่งให้แฟงแล้วจึงจะกลับเรือนเสียเลย โดยที่ทางกลับนั้นต้องผ่านแผงพ่อค้าขายของมีราคาที่แฟงพูดถึงก่อนหน้านั้น ที่แผงเรียงรายเต็มไปด้วยของสวยงามมากมาย แต่ราคาแลดูแพงหูฉี่นัก       

 “วุ้ย!! กำไลวงเล็กแค่นี้ขายตั้งร้อยห้าสิบบาท ทองเก๊รึเปล่าก็ไม่รู้!!”         

หญิงคนนั้นวางกำไลทองวงเล็กคืนที่เดิมด้วยอารมณ์หงุดหงิด แต่สิ่งที่ทำให้คุณบูรพาขมวดคิ้วด้วยความฉงน คือแหวนเพชรวงเล็กที่อยู่ใกล้ๆกำไลวงนั้น ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบมองใกล้ๆ แหวนวงนี้เป็นเพชรน้ำงามมีราคา อีกทั้งยังมีชื่อสลักไว้เสียด้วยสิ       

  ทำไมถึงคุ้นชื่อนี้เหลือเกิน?             



“แหวนเพชรน้ำงาม มีชื่อสลักไว้เสียด้วย”

“คุณบูรพา!” ร่างสูงสะดุ้งเมื่อเสียงของเพื่อนสนิทในยามนี้ทักขึ้น คุณบูรพาจับจ้องแหวนเพชรวงเล็กในมือของสหายหนุ่มที่หยิบขึ้นมาดูต่างหน้าคนรักแล้วยิ้มน้อยๆ

“เด็กคนนั้นโชคดีเสียจริงๆ ที่คุณเขมรักมากถึงขนาดนี้ เฮ้อ!” คนหน้าสวยถอนใจเฮือกใหญ่ พลางหวนนึกถึงเมื่อหลายปีก่อน ที่ได้พบกับใครซักคน

“เอาน่าขอรับ...” คุณเขมปลอบใจเพื่อนสนิท “ซักวันผมเชื่อว่าจะต้องมีคนที่รักคุณบูรพา เช่นเดียวกับที่ผมรักยมขอรับ”



“ลุงได้แหวนนี้มาจากไหนกัน? แหวนวงนี้เป็นของเพื่อนผม มันมาอยู่กับลุงได้อย่างไร!?”       

เมื่อระลึกได้แล้วว่าตนเคยเห็นแหวนวงนี้ที่ใด คุณบูรพาก็ไม่รีรอที่จะซักถามพ่อค้าทันที แม้ในใจอาจคิดไปแล้วว่าคนๆนี้อาจจะขโมยแหวนมาจากเพื่อนของตนก็ได้   

   “แล้วพ่อหนุ่มจะทำน้ำเสียงเคืองทำไมกัน? แหวนวงนี้มีคนมาขายต่อให้ตอนข้าไปพระนคร ข้าไม่ได้ขโมยมาจากเพื่อนเอ็งเสียหน่อย”   

   “แล้วลุงได้แหวนวงนี้มาจากใคร?” เมื่อได้ฟังความจากปากพ่อค้า คุณบูรพาจึงค่อยปรับเสียงให้ใจเย็นลง เพื่อได้ฟังความที่กระจ่างมากกว่านี้       

“ข้าก็รับมาขายต่อๆกันมาน่ะซี่ แต่ถ้าพ่อหนุ่มจะเอาก็ต้องจ่ายนา อย่างไรมันก็คือของซื้อของขาย”   

 ‘งก!’   

  นี่คือความคิดแรกที่คุณบูรพาอยากจะเปล่งด่าคนขายคนนี้ แต่ครั้นจะต่อปากต่อคำก็คงจะมีเรื่องไม่จบไม่สิ้น และอาจไม่ได้แหวนวงนี้ไปคืนให้คุณเขม     

  แสดงว่าจะต้องเกิดเรื่องเลวร้ายกับชายหนุ่ม จนทำให้แหวนวงนี้ถูกฉกชิงไปโดยง่าย เพราะคุณเขมหวงแหวนวงนี้ยิ่งกว่าสิ่งใด     

 “สี่สิบบาทขาดตัว ว่าอย่างไรพ่อหนุ่ม ถ้าไม่เอาก็วาง!”



 ความเจ็บปวดที่กลางกายทำให้ยมขมวดคิ้ว พอลองขยับร่างกายความแสบสันก็วิ่งแล่นเข้าหาเต็มเปา เด็กหนุ่มตัดสินใจค่อยๆลืมตาขึ้นมองรอบๆ ก่อนจะค่อยเอนกายขึ้นลุกนั่งทั้งที่รู้สึกปวดแสบที่ช่องทางด้านหลัง

     แต่ไม่มีสิ่งใดเจ็บ...ยิ่งไปกว่าร่างกำยำเปลือยเปล่าที่นอนอยู่ข้างๆ! 

“คะ...คุณโดม...”     น้ำตาที่ไหลรินออกมาอีกครั้ง หาใช่ความเจ็บจากคนรัก   

 แต่เจ็บ...ที่ผู้มีพระคุณซึ่งยมไว้ใจเสมอมา ได้ทำความไว้วางใจที่มีของเด็กหนุ่มหักสะบั้นลง     ร่างเล็กค่อยๆขยับตัวลงจากเตียงแม้จะเจ็บกลางกายเหลือคณา เดินอย่างไร้เรี่ยวแรงหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายตามพื้นสวมใส่แล้วเดินไปยังหลังบ้าน ปล่อยตัวให้ทรุดลงร้องไห้ด้วยความเจ็บช้ำ       

 ไม่มีใครรักและหวังดีกับตนอย่างแท้จริงซักคนเลย!! ไม่มี!!   

    ทั้งคนที่ยมเคารพในฐานะผู้มีพระคุณ       

 ทั้งคนที่รอคอยด้วยความรัก...และสัญญาที่มีต่อกัน     

  นี่มันเวรกรรมอะไรของตนกัน? อยากตายเหลือเกิน จะมีชีวิตไปทำไมถ้าไม่มีใครที่รักจริงๆ     

   “ฮือ...อยากตาย อยากตาย”     

ริมฝีปากพึมพำถ้อยคำที่เจ็บปวด ปรายตามองสายน้ำที่ไหลเอื่อยยามเช้าแล้วคิดอยากจะเดินลงน้ำตายให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาทรมานถึงเพียงนี้     

    สัญญานะ...   

   พี่สัญญา...   

     “ฮือ! คนใจร้าย...นี่ยมยังคงมีชีวิตเพื่อคำสัญญาน่ะเหรอ...”     

สองแขนโอบกอดถามคำถามตัวเอง แค่คำสัญญาที่ไม่เคยจางหายไปจากใจ ทำให้เด็กหนุ่มถีบตนเองพ้นจากความตายได้ทุกครั้ง     

 แต่ครั้งนี้คนให้สัญญา....กลับทำให้ยมอยากจะตายเสียเอง

     แม้จะเจอเรื่องร้ายที่ซ้ำเข้ามา แค่ยามที่ยมนึกถึงพี่เขม ก็ทำให้ยมยืนหยัดที่จะขอมีชีวิต เพื่อพบหน้าพี่อีกครั้ง แม้นว่าอาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม...   

   เด็กหนุ่มประคองร่างกายที่เจ็บช้ำครั้งแล้วครั้งเล่ากลับเข้าไปในเรือน ก็เห็นคนที่ทำลายความไว้ใจของตนหักสะบั้นเดินออกมาจากห้องนอนด้วยสีหน้าที่มีเหงื่ออาบเต็มพลั่ก เวลานี้ยมไม่อาจจะสบสายตากับผู้มีพระคุณได้เลย     

  “ยม...”      เสียงร้อยโทหนุ่มเรียกแผ่วเบาด้วยความรู้สึกผิดที่ท่วมท้น เขามันเลวเหลือเกิน...ทั้งที่ยมยังไม่ทันได้ลืมคุณเขม ก็ยังไปรังแกใจดวงน้อยให้บอบช้ำเข้าไปอีก ทั้งที่ตนสาบานกับตนเองทุกเมื่อเชื่อวันว่าจะไม่ยมต้องเศร้าหรือร้องไห้เพราะเขา   

   แต่นี่...มันยิ่งกว่าทำให้ยมต้องร้องไห้เสียอีก   

  “คุณโดมไม่ต้องคิดมากหรอกนะจ๊ะ” เด็กหนุ่มฝืนพูดออกมาจนได้ “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ยมจะถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ของเรายังเหมือนเดิม เช่นพี่....เช่นน้อง...”       

พูดออกไปตามที่ใจคิด...แม้แทบจะมองหน้าไม่ติด หากอย่างไรแล้วคุณโดมก็คือผู้มีพระคุณที่ช่วยยมมาหลายครั้ง หากไม่มีคุณโดม...ตนเองคงจะเร่ร่อน จนอาจไปตายเอาข้างทางน่าอนาถ       

 และถ้าเป็นเพียงความผิดพลาดที่คุณโดมอาจไม่ได้ตั้งใจ แล้วทำไมยมจะให้อภัยไม่ได้     

“ยม...ยมรักฉันบ้างไม่ได้เหรอ?”      คุณโดมเอื้อมเข้าไปจับมือทั้งสองของเด็กหนุ่มไว้ แต่ยมกลับทำเพียงก้มหน้าก่อนจะให้คำตอบที่ปวดใจต่อคุณโดมอีกครั้ง                     

  “ก็ยมบอกคุณโดมไปแล้วนี่จ๊ะ ว่าชาตินี้ ยมรักพี่เขมได้เพียงคนเดียว”   

   เด็กหนุ่มเอ่ยเพียงนั้นก็ค่อยๆจับมือของร้อยโทหนุ่มออก แล้วกลับเข้าไปด้านในห้องเพื่อสงบจิตใจ ใบหน้าคมคายหันมองคนตัวเล็กหายเข้าไปพลางคะนึงคิด...   

     ความเห็นแก่ไม่เคยส่งผลดีแก่ใคร ซ้ำยังทำให้คนๆนั้นต้องทรมานเป็นทวี   

   แต่จะเจ็บอย่างไร เขาก็รักยมอยู่ดี...       

อยากรัก และอยากให้ยมรักตอบเพียงเศษเสี้ยวก็ยังดี     

  “ฉันขอโทษนะยม แต่ที่ฉันทำไป เพราะฉันรักเธอจริงๆ”



       ค่ำคืน ณ เรือนของคุณพระวินิตราชศักดิ์ คุณเขมนอนก่ายหน้าผากด้วยความเหนื่อยล้าจากงานที่ทำ งานราชการใครเขาว่าสบาย ไหนจะรับงานซ้ำๆเดิมๆมาครุ่นคิดหารือ ไหนจะต้องไปตามหัวเมืองบ่อยครั้ง แต่ก็ยังไม่เท่ากับความกดดันและความอิจฉาริษยาจากขุนนางเก่าแก่ที่ไม่มีความก้าวหน้าในชีวิตราชการ

       โดยเฉพาะกับคุณดอม...บุตรชายของพระยามนตรีที่บางครั้งจะชอบเข้ามาพูดคุยเสียดสีบ่อยครั้ง แต่คุณเขมก็โต้กลับไปได้เช่นเดียวกัน

“งานหลวงใหญ่ครานี้...คุณเขมต้องคิดอ่านการณ์ดีๆนะขอรับ ไม่เช่นนั้นจะเสียงานเสียการ เสียถึงคุณอาวินิตด้วย”

“แล้วคุณดอมเคยเห็นผมทำงานพลาดไหมเล่าขอรับ?”

แม้ไม่อยากจะตอบถ้อยคำดูอวดเก่งเช่นนั้นเท่าใด หากแต่ขีดจำกัดของคนเราก็ต้องมีถึงขีดสุดเช่นเดียวกัน

  “หึ! นอกจากผมจะไม่เคยทำพลาดแล้ว ยังได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ให้ทำงานใหญ่เสียด้วย แล้วคุณดอมเล่าขอรับ? ได้ทำอะไรให้คุณอามนตรีภูมิใจบ้างหรือยัง?”

คุณดอมไม่ได้ตอบ แต่คุณเขมก็คาดเดาสายตาที่ถูกมองจากคนที่คอยเหน็บแนมตนออก สายตาของคุณดอมมองคุณเขมด้วยความอิจฉาริษยาอย่างปิดไม่มิด

ใครว่ามีเพียงนารีที่เคียดแค้นริษยาซึ่งกันและกันแล้วจะมองด้วยสายตาแบบนี้

ผู้ชาย...ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าใดเลย

    ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงใหญ่หมายจะลงไปเดินเล่นให้บรรเทาความตึงเครียด กลิ่นดอกมะลิลายังหอมโชยต้องปลายจมูกแม้ยามกลางคืน อยู่ๆภาพดวงตาคู่หนึ่งก็ปรากฏต่อหน้า ดวงตาคู่นั้นหลานล้ำ...แต่ก็ดูมีแววเศร้าโศก เคล้าด้วยน้ำตาตลอดเวลา

        อยากจะจำเธอให้ได้...เพราะฉันมีความรู้สึกว่า ฉันเคยรักกับเจ้าของดวงตาคู่นี้

         “เอ๊ะนั่น! พี่เดือนใช่หรือไม่?”

      คุณเขมเอ่ยทักทาสสาวที่น่าจะมีอายุแก่กว่าตนประมาณสองสามปีขณะที่เดินเล่นมาเรื่อยๆ เดือนหยุดหมอบอยู่เพียงแค่นั้นเมื่อถูกบุตรชายของคุณพระทักเรียก

        “คุณเขมยังไม่นอนหรือเจ้าคะ?”

       “เขมยังไม่ง่วงหรอกนะ แล้วพี่เดือนเล่า? ดึกดื่นป่านนี้ยังไม่กลับไปพัก”

     “เอ่อ...” นางทาสสาวอึกอัก จะให้ตอบคุณเขมได้อย่างไรเล่าว่าคุณเขลางค์เรียกให้ตนไปทำเรื่องน่าอดสูบนเรือน

       ส่วนสาเหตุที่เดือนไม่อาจหนีไปจากหญิงใจร้ายคนนั้นได้ก็คือ...

      “ถ้าเอ็งไม่อยากมีจุดจบเหมือนอีทอง เอ็งห้ามหนีไปจากข้า! อ้อ...จำที่เอ็งสัญญาไว้ด้วย ทุกครั้งที่รับใช้ข้า พวกอ้ายอีทั้งหลายที่ยังอยู่ที่นี่ จะรอดพ้นจากหวายของข้าเท่ากับจำนวนครั้งที่เอ็งมารับใช้ จำไว้!”

    หลังจากที่เรือนนี้ไม่มียม คุณเขลางค์บังคับให้ตนมาบำเรอกามแลกกับรอยหวายของพวกข้าทาสในเรือน แม้เดือนเองก็เคยอยากจะไปฟ้องทางการเพียงใด แต่เธอก็เป็นเพียงทาสชั้นต่ำ แม้นปริปากกล่าวถึงความชั่วของคุณหญิง ขี้คร้านอาจมีแต่คนคิดว่าโกหกที่บังอาจใส่ความภริยาของคุณพระผู้มีความอ่อนหวานเรียบร้อยต่อใครที่ได้พบเห็น

        ดังนั้น ทางเดียวที่จะพ้นกรรมจากหญิงชั่วคนนี้ คือความตาย!

        แต่ก่อนตาย...เดือนก็หวังอยากให้คุณเขลางค์ได้พบกับผลกรรมที่ก่อ ทั้งกับอีทอง....นางทาสที่เคยบำเรอคุณเขลางค์แลกอัฐไปให้ผัวแล้วถูกจับได้จึงถูกจ้างวานฆ่าปาดคอ รวมถึงทุกคนในเรือน ที่ถูกหญิงชั่วคนนี้ทารุณไม่ต่างจากสัตว์!

        “เอาเถอะพี่เดือน เอ้อ...เขมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

        “คุณเขมมีอะไรจะถามบ่าวรึเจ้าคะ?” เดือนเงยหน้าขึ้นตอบ อย่างน้อยยังดีที่บุตรชายกลับได้นิสัยอ่อนโยนและถ่อมตนมาจากบิดา มิเช่นนั้นเดือนคงได้หวาดระแวงทั้งแม่...ทั้งลูก

        “พี่เดือนรู้จักคนที่ชื่อยมหรือไม่?”     

         หากว่าคนที่ชื่อยมเคยเป็นทาสในเรือนนี้ อาจจะรู้จักกับเดือนก็เป็นได้ เขาจะได้รู้เสียทีว่าตนมีความสัมพันธ์กับคนชื่อยมเช่นไร

         “คุณเขม...” นางทาสสาวนึกประหลาดใจที่อยู่ๆได้ยินคำถามเช่นนั้น ก็พอจะได้ยินมาอยู่เหมือนกันว่าคุณเขมได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะจากปากต่อปากที่ได้ฟังมา แต่ก็ไม่คิดเลยว่า...จะลืมชื่อคนสำคัญที่สุดไปเสียได้

         นึกสังหรณ์ใจแปลกๆตั้งแต่คุณเขมไม่กล้าปฏิเสธการหมั้นกับคุณจำปาอะไรนั่นแล้ว

         “คนที่ชื่อยม เป็นคนที่สำคัญกับชีวิตของคุณเขมมากนะเจ้าคะ หากยมรู้ คงจะเสียใจนัก”

           เดือนเอื้อนเอ่ยออกมาตามที่ใจนึก เพราะขนาดวันที่คุณเขมจากยมไปโดยไม่ได้บอกลา ตนยังจำภาพที่ยมวิ่งร้องไห้ตามคุณเขมออกไปทั้งที่ยังมีไข้ได้ไม่ลืม ถ้าไม่รักและบูชามากเหลือเกิน...ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว

          “แล้วยม มีความสัมพันธ์เช่นใดกับเขมรึ?”

          “ยมเป็น...”

          “อีเดือน!!”

         เสียงพญามัจจุราชทำให้นางทาสสาวหุบปากเงียบเพราะหวาดกลัว ส่วนคุณเขลางค์เมื่อเห็นว่าคุณเขมยืนอยู่ด้วยจึงปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

         “พ่อเขม ดึกดื่นเช่นนี้ทำไมยังไม่นอนลูก?”

         “ลูกนอนไม่ค่อยหลับขอรับ จึงออกมารับลมเสียหน่อย เจอพี่เดือนเดินผ่านมาจึงพูดคุยเล็กน้อยขอรับคุณแม่”

         คุณเขมพูดปัดเรื่องของยม เพราะยังจำได้ดีว่าผู้เป็นบิดาเคยกล่าวว่าคุณเขลางค์กล่าวหาว่ายมขโมยของ หากได้พูดออกมาคุณแม่อาจอารมณ์ไม่ดี

         “ไปนอนได้แล้วลูก อีกเดี๋ยวแม่ก็จะกลับขึ้นเรือนแล้วเหมือนกันจ้ะ”

        ชายหนุ่มจำต้องลามารดากลับขึ้นเรือนตนเองอย่างเสียไม่ได้ เมื่อพ้นจากของลูกชาย คุณเขลางค์ก็ปรายตามองเดือนเป็นสัญญาณว่าให้ตามไป นางทาสก้มต่ำหลบซ่อนแววตาทุกข์โศก

        คืนนี้คุณพระคงไม่อยู่...คุ้มกะลาหัวตนเองอีกแล้วสินะ เพราะถ้าอยู่ คุณเขลางค์คงไม่ลงมาตามตนเองถึงตรงนี้

        เมื่อร่างของเดือนก้าวพ้นธรณีประตูเรือนคุณหญิง มือน้อยค่อยๆปิดประตูลงกลอนตัวสั่นเทายามที่เพิ่มหันไปสบสายตาของคุณหญิงวินิตราชศักดิ์

        “บอกมาอีเดือน...เอ็งกำลังคิดจะทำอะไร!?”

       “โอ๊ย!!บ่าวเจ็บเจ้าค่ะคุณเขลางค์ บ่าวเจ็บ...” เดือนร้องโอดโอยเมื่อเส้นผมถูกกระชากอย่างแรง หญิงอำมหิตปรายมองทั่วเรือนร่างของคู่นอนก่อนจะโยนคนตัวเล็กกว่าลงบนเตียงแล้วขึ้นคร่อม

        “ที่เอ็งพูดกับพ่อเขม...เอ็งคิดจะจับลูกข้าใช่ไหม!? ห้ะ!!”

        “เปล่านะเจ้าคะ คุณเขมเพียงแวะพูดคุยกับบ่าว บ่าวไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ”

        เพี๊ยะ!!

      หยาดน้ำเล็กๆกระเด็นออกจากดวงตาพร้อมกับใบหน้าที่ถูกตบตีครั้งแล้วครั้งเล่า เสื้อผ้าถูกกระชากออกเสียดสีเนื้อตัวบาดเจ็บ ปล่อยให้หญิงชั่วคนนี้ย่ำยีอย่างสาแก่ใจด้วยความทุกข์ทรมาน ความสัมพันธ์แต่ละครั้งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความรัก แต่มันมาจากความจำยอม

       “คนต่ำๆอย่างเอ็ง ไม่มีวันจะได้ไปเป็นเมียคนอื่น โดยเฉพาะลูกข้า จำไว้!!”



 คุณเขมเดินทางมาพร้อมกับพระยาสุรศักดิ์ที่ปากเกร็ด หลังจากที่พบปะประชุมกับเหล่าขุนนางเป็นที่เรียบร้อย จากที่ตั้งใจจะกลับเรือนโดยไว พระยาเก่าแก่ที่เป็นเคารพยำเกรงต่อคนรุ่นใหม่ก็พาบุตรชายของคุณพระวินิตราชศักดิ์มายังเรือนริมน้ำแห่งหนึ่งดูเก่าแก่ แต่ก็ไม่ได้บั่นทอดทัศนียภาพความงดงามล้อมรอบลงไปเลย

       เรือนที่แห่งนี้เป็นเรือนหลังเล็ก อาจไม่ได้โอ่อ่าเท่าเรือนของคุณพระ แต่กลับสงบร่มรื่นด้วยไกลจากตัวเมืองพอควร อีกทั้งยังติดริมน้ำที่เชื่อมไปสายเดียวกับแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้วย ทำให้ครั้งแรกที่คุณเขมได้มาเห็น ความรู้สึกชอบที่แห่งนี้จู่ๆก็พลันเข้ามาในความคิด

         ความคิด...ที่อยากสร้างอนาคตครอบครัวกับใครซักคน ที่ไม่ใช่แม่จำปา

         “เรือนหลังนี้มีอายุมาตั้งแต่ฉันมีอายุเพียงยี่สิบกว่าๆ” พระยาสุรศักดิ์...ขุนนางเก่าแก่ที่ย่ำเข้าสู่วัยชราเอ่ยบอกคุณเขม “แต่พอแม่ใจเมียฉันเสีย ฉันรู้สึกว่าเรือนหลังนี้มันกว้างเกินไปที่จะอยู่ หากคุณเขมรู้จักผู้ใดที่กำลังหาซื้อบ้านช่อง ก็เสนอเรือนริมน้ำที่นี่ได้นะ ฉันคิดไม่แพงหรอก”

        แววตาของท่านพระยาหมองลง หากมองไม่ผิด...ก็คงคิดถึงภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของท่านกระมัง

        “ท่านพระยาขอรับ...”

        “มีอะไรรึ? หลวงเขมราฐ”

        “ถ้าหากผมอยากจะซื้อเรือนริมน้ำแห่งนี้ไว้เอง จะได้หรือไม่ขอรับ?”

        “คุณหลวงจะซื้อไว้เป็นที่พัก หรือเรือนหอกับแม่จำปากันเล่า?”

         คุณเขมนิ่งไปชั่วครู่ พลางคิดว่าหากได้มาใช้ชีวิตร่วมกับคนรักที่แท้จริง ณ เรือนแห่งนี้ คงจะมีความสุขมากไม่น้อย

        คนรักที่แท้จริง...รึ?

        กว่าจะได้กลับจากธุระเข้าจริงก็นับว่ามืดมากแล้ว ที่เรือนของคุณพระวินิตราชศักดิ์มีเพียงบ่าวเก่าแก่อาศัยเดินวนเวียนไปมา คุณเขมเดินกลับเข้ามาในเรือน ก็พบหนังสือเล่มเก่าถูกวางอยู่บนโต๊ะอ่านเขียน

       เงาะป่า...

       “บ่าวรอคืนให้คุณเขมมานานแล้วขอรับ ที่ไม่ได้คืนตั้งแต่แรกก็เพราะเกรงจะเป็นเรื่องใหญ่”       

เสียงบ่าวคนสนิทดังขึ้น สาเหตุที่เพลิงกับมั่นเพิ่งได้นำหนังสือมาคืนให้คุณเขมก็เพราะรู้ความจากเดือนว่านายของตนพอจะรู้แล้วว่าเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับยม...

        คุณเขมหยิบหนังสือมาพิจารณาพักหนึ่ง หนังสือแบบเรียนภาษาเรื่องเงาะป่า คลับคล้ายกับว่ามีบางสิ่งที่สำคัญหากเปิดดูเนื้อหาด้านใน มือใหญ่เปิดหนังสือก็พบกระดาษแผ่นเล็กที่มีข้อความถึงใครซักคน

     ถึง ยม

พี่อยากจะให้จดหมายความในแก่เจ้ามานานแล้ว ตลอดสามปีที่ผ่านมา...พี่ไม่เคยคิดมองเจ้าเป็นทาสเป็นบ่าวอย่างที่ผู้อื่นมอง แรกพบที่พี่เห็น พี่ก็เอ็นดูเจ้าเหลือเกิน จนเกิดเป็นความรักตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

แต่ยามที่พี่ให้แหวนเจ้าครานั้น พี่ก็รู้ตัวแล้วว่ามิใช่รางวัลที่เจ้าเพียงทำข้าวหุงถูกปาก

หากเป็นแหวน...ที่พี่อยากมอบให้เจ้าด้วยหัวใจ

พี่ดีใจเหลือเกินที่หัวใจของเจ้าคิดตรงกับพี่

เดือนหน้าพี่จะกลับมาหาเจ้าทันทีที่พี่สอบไล่เสร็จ รอพี่หน่อยนะ...พี่จะกอดเจ้าให้หายคิดถึง  และจะกลับมาฟังเจ้าอ่านเงาะป่าให้ฟังอีกครั้ง

พี่รักเจ้าเสมอ

เขม 



    “นี่...อย่าบอกนะว่า...”   

   “อย่างที่คุณเขมคิดขอรับ” ทาสหนุ่มเอ่ยเฉลยไขข้อสงสัย “ยม...เป็นคนรักของคุณเขม”     

   “คนรักของฉัน? อึก!”       

  อาการปวดศีรษะกลับมาอีกครั้งจนคุณเขมต้องยกมือขึ้นกุมขมับ ภาพเลือนรางในครั้งนั้นโผล่ขึ้นมาอีกครา ครั้งนี้คล้ายจะชัดขึ้น...จนเกือบจะมองเห็นภาพเจ้าของดวงตาเศร้าคู่นั้นชัดเจน

        ทำไมรู้สึกเจ็บปวด...ที่บังอาจลืมคนรักที่ชื่อยมคนนั้น

         เจ็บ...ที่ความอ่อนแอ ทำให้ลืมคนรักไปเสียได้

  เมื่อนั้น           

ซมพลาระทึกอกหมกไหม้

เสียวจิตพิษแล่นตลอดใน         

โลหิตหลั่งไหลวายปราณ

    เสียงบทกลอนที่เปล่งอ่านให้ใครฟังแล่นเข้ามาในหัว เป็นบทที่ซมพลาดิ้นรนด้วยเจ็บปวดจากลูกดอกอาบยาพิษ ตายไปพร้อมกับนางลำหับคนรัก โดยมีเสียงคนได้ฟังตอบกลับเมื่อได้สดับฟังกลอนบทนี้

     “เศร้าเหลือเกินจ้ะพี่เขม”

      ก๊อกๆ!!!

     ดังอุปสรรคมาขัดขวางความทรงจำอีกครา มีเสียงหนึ่งดังขึ้นหน้าประตูเรือน ภาพที่คุณเขมกำลังจะได้เห็นพลันหายไปอย่างน่าเสียดาย   

   กำลังจะได้เห็นหน้า'คนรัก'อยู่แล้วแท้ๆ   

   “พ่อเขม...พ่อมีเรื่องจะพูดด้วย”   

 หลังจากเพลิงลุกไปเปิดบานประตูให้คุณพระเข้ามา ร่างสูงใหญ่ของบิดานั่งลงใกล้กับคุณเขม ก่อนจะกล่าวเรื่องสำคัญกับบุตรชายทันที   

 “อะไรหรือขอรับคุณพ่อ?”   

 “วันนี้พ่อไปเจรจาเรื่องหมั้นกับคุณพระอรรถกรมา ได้ฤกษ์ได้ยามที่เหมาะควรแล้ว”   

 "แต่ คุณพ่อ..." คุณเขมกำลังจะเอ่ยค้าน แต่ก็ถูกบิดาพูดดักเสียก่อน ดวงตาของคุณพระวินิตราชศักดิ์ปรายมองลูกชาย ด้วยความจริงจังและเด็ดขาดกว่าที่เคยเป็น     

 “อีกเจ็ดวัน พ่อจะจัดพิธีหมั้น พร้อมกับพิธีแต่งงานไปด้วยเสียเลย!”


ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่22--
«ตอบ #41 เมื่อ02-02-2018 22:24:11 »

สงสารน้องยมพี่เขมก็กำลังจะจำได้อยู่แล้วเชียว

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่22--
«ตอบ #42 เมื่อ02-02-2018 23:42:19 »

มีความปวดกระเพาะเลยอ่า

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่23--
«ตอบ #43 เมื่อ04-02-2018 09:03:14 »

เรือนร้าว23
ตอน หวน

   เช้าวันแต่งงานของคุณเขมกับคุณจำปา ร่างสูงในเสื้อราชปะแตนมีศักดิ์กอดหนังสือเงาะป่าไว้แน่นราวกับคล้ายได้กอดคนรัก แม้ไม่อาจจะจำใบหน้ากับความทรงจำที่มีต่อคนชื่อยมได้ แต่ความอบอุ่นยามที่นึกถึงและได้กอดหนังสือเล่มนี้ ทำให้รู้สึกสบายใจแม้ยามที่ตึงเครียดหนักหนา   

   “ฉันขอโทษที่จำเธอไม่ได้...”

   เสียงทุ้มรำพึงกับตัวเอง โทษตัวเองซ้ำๆที่ไม่อาจจำคนๆนั้นได้ “ขอโทษที่ฉันไม่เข้มแข็งพอที่จะปฏิเสธคุณพ่อ ฉันไม่เหมาะจะคู่ควรกับเธอซักนิด”       

 น้ำตาเจ้ากรรมไหลเอ่อออกจากขอบตาร้อนผ่าว ขนาดไม่อาจจำยมคนนั้นได้ยังรู้สึกเจ็บที่ใจจนต้องเอามือไปกุมแผ่นอกด้านซ้ายไว้   

 ความเข้มแข็งที่เคยมี...มันหายไปไหนเสียหมดเล่า?   

 “ไอ้เพลิง...” มั่นสะกิดตนรัก เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง "เราหมดหวังที่จะให้คุณเขมกลับมาจำยมได้แล้วใช่ไหม?”   

 “เฮ้อ!”  เพลิงถอนหายใจดังเฮือก กุมมือของมั่นแน่นด้วยความตันใจ     

   หากเป็นคุณเขมคนก่อน คงจะกล้าฝ่าฟันอุปสรรค และปฏิเสธการแต่งงานอย่างหนักแน่น ไม่รู้เป็นเวรกรรมแต่ชาติปางไหนของเจ้านายกับเจ้าทาสยมตัวน้อย ฝ่ายหนึ่งต้องพลัดพรากจากเรือนไม่รู้จุดหมาย อีกฝ่ายกลับแทบไม่เหลือความทรงจำกับคนรัก...แม้จะเริ่มจำได้เลือนราง แต่ก็ไร้ประโยชน์

      ขอโทษนะยม...แต่ข้าพยายามสุดความสามารถแล้วจริงๆ

      พิธีหมั้นถูกจัดขึ้นในตอนเช้าที่เรือนใหญ่ของคุณพระวินิตราชศักดิ์ แขกเหรื่อที่มาล้วนเป็นขุนน้ำขุนนางที่คุ้นหน้าคุ้นตา ฝีมืออาหารว่างทั้งคาวหวานรับรองแขกเหรื่อล้วนเป็นฝีมือของคุณเขลางค์กับทางด้านของเจ้าสาวสวยงามวิจิตร  คุณพระที่นั่งเคียงภรรยามองดูบุตรชายกับแม่จำปาที่สวมสไบปักดิ้นไหมเงินงดงามสมกับเป็นเจ้าสาวในวันนี้ 

     “สวมแหวนให้น้องสิลูกพ่อเขม”       

      หญิงสาวเขินอายตัวม้วนเมื่อถูกฝ่ายชายค่อยๆช้อนมือขึ้นเบาๆ ก่อนที่แหวนใกล้จะถูกบรรจงสวมใส่ที่นิ้วนาง

       ปัง!!!

      เสียงวงมโหรีหยุดเล่น เมื่อเสียงยิงปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องตกใจของแขกเหรื่อ คุณเขมหันไปมองก็พบว่าชายสองคนที่แต่งกายซ่อมซอถูกใครบางคนยิงจนเลือดอาบ แล้วล้มตึงแน่นิ่งลงไป

      “พ่อ...พ่อดอม...”

      เสียงพระยามนตรีพึมพำตกใจและเสียใจระคน เมื่อในมือของบุตรชายคนเล็กนั้นถือปืนหันตรงกับทิศที่แขกไม่ได้รับเชิญสองคนพอดิบพอดี

      “ไม่ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ไม่ ไม่!!!”

      คุณดอมส่ายหน้าด้วยความกลัวแรงๆ ทำท่าจะวิ่งออกไปจากงาน ไม่มีใครเข้าไปจับตัวคนยิงเว้นเสียแต่คุณเขม ที่อาศัยจับตัวบุตรชายของพระยามนตรีไว้ได้ในขณะที่กำลังวิ่งลงไปทางบันไดเรือน

      “คุณดอม หยุดเถอะนะขอรับ วางปืนลงแล้วค่อยๆพูดจากัน”

     “ไม่!! ที่ผมต้องทำเช่นนี้ ก็เพราะคุณนั่นแหละคุณเขม!!”

    คุณดอมหันขวับมองคุณเขมด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวและริษยามาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ให้ตายเขาก็จะไม่ยอมพูดความจริง ว่าแท้จริงแล้วเขานั่นแหละที่ส่งคนมาทำร้ายคุณเขมอาการสาหัส หากกลับถูกหักหลังจากคนที่ตนว่าจ้างไปเสียได้

        ปัง!!!

    “พ่อเขม!!!”

    คุณพระวิ่งเข้ามาหาคุณเขมพร้อมคุณเขลางค์ กระสุนจากปืนสีดำมะเมื่อมในมือคุณดอมต้องถูกแขนด้านซ้ายของชายหนุ่ม แต่นั่นกลับทำให้ร่างสูงแน่นิ่งไป ศีรษะนั้นกระแทกลงบนพื้นเรือนสลบไปพร้อมๆกับร่างของคุณดอมที่วิ่งหลบหนีลงจากเรือนไม่คิดชีวิต

     “ใครก็ได้....พาพ่อเขมไปโรงหมอที!!”



     เราอยู่ที่ไหน?

     รอบๆมีเพียงแสงสีขาวล้อมกายสูง ก่อนจะแปรเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ตรงหน้า โดยที่ตนยังคงยืนอยู่บนผาสูง มีอีกหนึ่งชีวิตกำลังยืนหันหลังประชิดขอบผามากเกินจนคุณเขมเริ่มระแวง

     “เธอ!!”

    คนๆนั้นหันมาส่งยิ้มให้คุณเขม ทั้งสองสบสายตากันอีกครั้ง อีกครั้ง

   “เธอคือยมใช่ไหม?”

   “พี่เขม...”

    คนตรงหน้าส่งยิ้มให้คุณเขมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะทิ้งตัวหงายลง รอบด้านเบาหวิวไร้สิ่งกระแทกจนร่างเล็กนั้นตกลงไปในมหาสมุทรกว้างใหญ่

      “ไม่!!!”

     บางสิ่งสั่งให้ร่างสูงกระโดดลงจากผาสูงชันตามลงไปอย่างไม่กลัวตาย แม้รอบๆนั้นจะเต็มไปด้วยความมืด แต่สองแขนนั้นยังคงแหวกว่ายเพื่อตามหายมให้พบ

     ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาประดังในหัว

      ไม่อยากสูญเสีย ไม่อยากเสียคนๆนี้ไป

       เธออยู่ไหน กลับมาหาฉันเถิดนะ...



    “คุณเขมเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”

     ชายหนุ่มหน้าแฉล้มพรวดเข้ามาพบคุณพระวินิตราชศักดิ์ที่ทำได้เพียงกุมขมับด้วยความตึงเครียด ใบหน้าวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองคนถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

   “พ่อหนุ่มเป็นใครกันรึ?”

    “กระผมชื่อบูรพา เป็นเพื่อนของคุณเขมตอนที่เรียนอังกฤษด้วยกันขอรับ”

   “อย่างนั้นรึ” คุณพระยังไม่คลายกังวล “พ่อเขมปลอดภัยแล้ว เห็นว่ายังสลบอยู่เลย มานั่งก่อนสิ อีกสักพักหมอคงออกมา”

     คุณบูรพาพยักหน้า ก่อนจะขยับตัวนั่งใกล้ๆกับคุณพระวินิตราชศักดิ์ ใบหน้าวัยกลางคนถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดระบายความในใจออกมา

    “ความจริงอาไม่ควรเร่งจัดงานให้พ่อเขมเช่นนี้ ฤกษ์ยามก็ไม่ค่อยจะดี แม้พ่อเขมจะไม่ได้บาดเจ็บหนักก็เถอะ แต่...”

     “ในเมื่อฤกษ์ยามนี้ไม่ค่อยจะดี แล้วคุณอาบังคับคุณเขมให้แต่งงานยามนี้ทำไมกันขอรับ?”

      คุณบูรพาถามหยั่งเชิง  เมื่อยามได้ยินว่าคุณเขมกำลังจะเข้าพิธีกับคนที่ไม่ได้ชื่อยมอย่างที่เคยพูด ชายหนุ่มก็นึกฉงนจึงเดินทางมาพิธีหมั้นเพื่อเค้นความให้แน่ชัด แต่ก็ต้องมาพบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นมาเสียก่อน

     “คือ...” คุณพระมีท่าทีอึกอักจนคุณบูรพาเริ่มจับอาการได้ อาการนี้ที่เรียกว่า ‘พิรุธ’ นั่นแล

    “พูดมาเถิดขอรับ ผมเป็นเพื่อนสนิทของคุณเขม รู้เรื่องของคุณเขมทุกอย่าง หรือแม้แต่เรื่องของเด็กที่ชื่อยม คนรักของคุณเขม”

     คุณพระมองคุณบูรพาด้วยความอึ้ง พ่อหนุ่มผู้นี้คงจะเป็นเพื่อนที่พ่อเขมไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่ง ถึงได้วางใจเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังได้ถึงเพียงนี้

    นั่นสิ...จะปิดพิรุธไปได้อีกนานแค่ไหนกัน

    “อา...”



 เจ็ดวันก่อนที่จะถึงวันแต่งงาน คุณพระวินิตราชศักดิ์ไปพบคุณพระอรรถกรเพื่อดูฤกษ์ยามวันหมั้นหมายของบุตรชายกับแม่จำปา ซึ่งทางฝ่ายสาวเจ้านั้นต้องการให้มีงานให้เร็วที่สุด เพราะเห็นว่าปีนี้คุณจำปาใกล้จะอายุครบยี่สิบแล้ว จึงอยากให้บุตรีคนเดียวของตระกูลได้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที

     “ก็ดีเหมือนกันนะเจ้าคะ หมั้นเช้า แต่งบ่าย น้องจะได้หมดห่วงแม่จำปาเสียที” คุณหญิงจำปาสนับสนุนออกหน้า มีเพียงคุณพระวินิตราชศักดิ์เท่านั้นที่เห็นว่างานออกจะกะทันหันไปเสียหน่อย

      “คุณพระ คุณหญิง เพียงงานหมั้นก็กะทันหันถึงเพียงนี้ หากจะให้แต่งไปด้วย กระผมเกรงว่าภายในเวลาเพียงเจ็ดวัน ฤกษ์ยามอาจจะไม่ใคร่ดีนัก เพราะจะเตรียมการไม่ทันเอา”

      “โอ๊ย! กะทันหันอะไรกันเจ้าคะพี่วินิต อาหารคาวหวานเอยงานพิธีเอย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ชวนชมกับคุณพี่เขลางค์เถิดเจ้าค่ะ แล้วก็แขกที่เชิญมา ก็ล้วนเป็นขุนน้ำขุนนางมียศเสียทั้งนั้น ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ” คุณหญิงชวนชมพูดเองเออเองเสร็จสรรพ โดยมีคุณพระอรรถกรเออออตามเสียด้วย

    “เรื่องนี้แม่ชวนชมได้พูดกับแม่จำปาแล้ว แม่จำปาไม่มีปัญหาอะไร เหลือก็แต่ฝ่ายชายนี่ล่ะ คุณพระวินิตอย่าลืมไปบอกพ่อเขมนะขอรับ”

     คุณพระวินิตราชศักดิ์ทำได้เพียงนิ่งเงียบเมื่อได้ฟังฝ่ายนั้นพูดเองเออเองเสร็จสิ้น กังวลถึงเรื่องฤกษ์ยามที่กะทันหันเกินไปจากเดิม เขาว่ากันว่าอาจเป็นฤกษ์ยามที่ไม่ใคร่จะเหมาะเท่าใดนัก

       กลับไปถามความเห็นพ่อเขมก่อนก็แล้วกัน

       หากพ่อเขมไม่เต็มใจ...ค่อยว่ากันอีกที

    กว่าจะกลับมาถึงเรือนก็ดึกดื่นมากแล้ว คุณพระไม่ได้กลับขึ้นเรือนใหญ่ทีเดียว แต่กลับเดินตรงไปยังเรือนของบุตรชายที่คาดว่าน่าจะกลับมาจากธุระที่ปากเกร็ดกับพระยาสุรศักดิ์แล้ว

     ‘ตะเกียงยังไม่ดับ แสดงว่าพ่อเขมยังไม่นอน’

     เมื่อเดินขึ้นเรือนแล้วทำท่าจะเคาะประตูเรียก คุณพระก็ขมวดคิ้วเพราะได้ยินเสียงของคนสนิทบุตรชายพูดอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับยม

     นี่พ่อเขมสงสัยอะไรให้ตัวยมอีกแล้วรึ?

     “นี่...อย่าบอกนะว่า...”

“อย่างที่คุณเขมคิดขอรับ” ทาสหนุ่มเอ่ยเฉลยไขข้อสงสัย “ยม...เป็นคนรักของคุณเขม”

“คนรักของฉัน? อึก!”

    มีแต่เสียงของเพลิงกับมั่นที่เรียกนายของมันอย่างเป็นห่วงคล้ายกับว่าคุณเขมกำลังเจ็บอะไรสักอย่าง พลันอยู่ๆคำพูดของหมอหนุ่มในวันที่คุณเขมประสบอุบัติเหตุก็แล่นขึ้นมา

     คุณเขมไม่สามารถจดจำภาพสุดท้ายที่นึกถึงได้ เพราะช่วงนั้นศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนพอดี และมีผลทำให้คุณเขมไม่สามารถจำคนในภาพนั้นได้ชั่วคราว รวมถึงความทรงจำที่มีต่อคนๆนั้นด้วย

       หรือว่า...คนสุดท้ายที่พ่อเขมนึกถึง ก็คือเจ้ายม!!

        เจ้ายม...มันเป็น...

        แสดงว่าก่อนพ่อเขมจะเดินทางไปอังกฤษ จะต้องไปแอบรักกับเจ้ายมเป็นแน่ นานขนาดนี้เจียวรึ!?

       นึกโกรธที่บุตรชายคนเดียวของตระกูลวินิตราชศักดิ์กล้ากระทำสิ่งเสื่อมเสีย ริอาจไปรักทาสในเรือนก็ว่าแย่นักหนา แต่ทาสคนนั้นมันดันเป็นชาย!!

       อีกทั้งยังเป็นหัวขโมย...ที่ขโมยของๆคุณเขมอีกต่างหาก

    แต่...

    หากพ่อเขมลืมยมไม่เหลือแม้ความทรงจำเพียงเสี้ยวเกี่ยวกับยม ก็ควรฉวยเอาโอกาสนี้ให้พ่อเขมแต่งงานกับแม่จำปาให้เร็วที่สุด เป็นเพียงทางเดียวเท่านั้น

     แม้วันนี้ทั้งสองอาจจะยังไม่รักกัน แต่ในวันหน้าอาจจะผูกใจรักกันก็ได้

     พ่อไม่อยากบังคับ...แต่พ่อไม่ต้องการให้เจ้านึกถึงยมและกลับไปตามหายมอีก หากสังคมรู้จะพากับติฉินนินทา เสื่อมเสียไปทั้งตระกูล รวมถึงอนาคตที่ยาวไกลของตัวคุณเขมเอง

       พ่อขอโทษ...ที่พ่อต้องเห็นแก่ตัว



     “แล้วคุณอาไม่คิดบ้างหรือขอรับ? ว่าหากคุณเขมเกิดจำยมได้ขึ้นมาซักวันในวันที่จำต้องใช้ชีวิตกับคุณจำปา คุณเขมจะทุกข์แค่ไหนที่ต้องเลือก ระหว่างภรรยาที่จำต้องตบแต่ง กับคนที่คุณเขมรักมากที่สุดแม้จะผิดประเพณี”

      คุณบูรพาพรั่งพรูความอึดอัดหลังจากที่ได้ฟังในสิ่งที่คุณพระยอมสารภาพมาทั้งหมด

    ยมหนีไปจากเรือนเพราะถูกเข้าใจว่าขโมยของ ส่วนคุณเขม...หลังจากที่แยกกันได้ไม่นานก็ถูกโจรทำร้ายจนไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับยม

      คุณเขมไม่ได้ทอดทิ้งยม เพียงแค่หลงลืมไปชั่วคราว...เพราะเป็นคนสุดท้ายที่นึกถึง

    เผลอๆ คงจะนึกถึงทุกลมหายใจเสียด้วย

      “แต่อา...อาไม่อยากให้พ่อเขมต้องเสียชื่อเสียงเพราะขี้ปากคนนินทา หากวันนั้นมาถึง”

     “คุณอาขอรับ...” ชายหนุ่มเข้าไปจับมือชายกลางคนที่ยามนี้แสดงด้านอ่อนแอออกมาให้เห็น “เรื่องงานก็ส่วนงาน เรื่องส่วนตัวนั่นก็อีกเรื่อง ขี้ปากคนนินทาก็เช่นกัน พวกเขาก็นินทาไปตามประสาเมื่อเห็นคนทำผิด แต่ผมเชื่อนะขอรับ คุณเขมเป็นคนเก่งอนาคตไกล ความรักของเขาจะเป็นแรงผลักดันพาคุณเขมก้าวข้ามมันไปได้”

    “แต่เจ้ายม...มันเป็นผู้ชาย”

    “ความรักไม่จำกัดเพศหรอกนะขอรับ...” คุณบูรพากุมมือ มองคุณพระด้วยสีหน้าจริงจังกว่าเดิม “ทุกคนมีความรักทั้งสิ้น ความรักไม่เคยจำกัดว่าผู้ชายต้องรักผู้หญิงเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว คุณเขมจะรักยมจนถึงขั้นจะสร้างครอบครัวด้วยกันหรือขอรับ?”

   “พ่อบูรพาหมายความว่าอย่างไรรึ?”

    คุณบูรพาหยิบถุงใบเล็กจากชายพกที่เหน็บไว้อย่างดี ชายหนุ่มเทสิ่งนั้นในมือ คุณพระเบิกตาขึ้นเมื่อเห็นว่ามันคือแหวนเพชรน้ำงามที่สลักชื่อเป็นภาษาฝรั่งไว้

    “แหวนวงนี้...คุณเขมตั้งใจออมเงินส่วนตัวซื้อเพื่อกลับมามอบให้คนที่เขารัก ซึ่งมันควรจะถึงเวลานั้นได้แล้ว คุณเขมเป็นคนเก่ง พิสูจน์หน้าที่การงานจนได้ตำแหน่งใหญ่โตเป็นที่น่าภูมิใจ ส่วนเรื่องส่วนตัว หากตัดปัญหาคนนอกไปได้ คุณเขมจะได้ใช้ชีวิตกับคนที่เขารักได้อย่างมีความสุข”

   “ความสุขของพ่อเขม...”

   คุณพระพึมพำ ไม่นานคุณหมอที่ดูอาการของคูรเขมก็เดินออกมาให้คุณพระสามารถเข้าเยี่ยมคนเจ็บได้ เพียงแต่อย่าส่งเสียงรบกวนเพราะยังคงสลบจากบาดแผลอยู่

    “พ่อบูรพาเข้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวอาตามเข้าไปทีหลัง”

    “ขอรับคุณอา”

    ภายในห้องคนเจ็บ ร่างของคุณเขมยังคงสลบยาวนานแต่ก็ปลอดภัยดีเพราะวิถีกระสุนถูกเพียงต้นแขนไม่ได้ร้ายแรง แม้ดูผิวเผินสงบนิ่งไม่ไหวติง หากใบหน้าคมคายนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อไคลคล้ายกับกำลังเผชิญกับสิ่งใดก็ไม่ปาน

      “กำลังนึกถึงคนนั้นสินะ คุณเขม”

      คุณบูรพาก้าวเข้าไปไกลเบาที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวน เขาแบมือของคุณเขมออกแล้ววางแหวนน้ำงามล้ำค่าที่สู้อุตส่าห์ดั้นด้นนำมาคืนให้เพราะความเข้าใจผิดในคราแรก แต่ตอนนี้รู้แล้ว...ว่าคุณเขมต้องการแหวนวงนี้คืนมากเพียงใด

     แล้ววางมือที่กำแหวนข้างนั้น วางไว้บนแผ่นอกแกร่งด้านที่มีหัวใจเต้นระรัวอยู่ใต้นั้น

      มีความรู้สึกได้เลยว่า...อีกไม่นานเจ้าของแหวนที่แท้จริง กำลังจะกลับมาพบคุณเขมอีกครั้ง

     การที่คุณเขมลืมยมในครั้งนี้ยาวนานสาหัสนัก และก็ต้องเป็นตัวคุณเขมเอง ที่จะต้องจำยมให้ได้ จำคนรัก จำทุกอย่างที่เป็นของคุณเขม

      “ผมหวังว่าถ้าได้พบกันครั้งหน้า ผมจะได้ไปเล่นไวโอลินที่งานแต่งคุณเขมกับยมเสียทีนะขอรับ”



 ภายใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง คุณเขมแทบหมดสิ้นความหวังในการตามหายม แต่แล้วเหมือนมีบางสิ่งหนักอึ้งราวกับก้อนหินไหวนาบบนหน้าผากก็ไม่ปาน สองมือกุมศีรษะขมับ เจ็บปวดเหลือเกิน ราวกับวิญญาณจะถูกฉีกกระชากอย่างไรอย่างนั้นแหละ

      จำครั้งแรกที่เราพบกันได้ไหมพี่เขม?

      เสียงแว่วสะท้อนจากที่ไหนซักที่ ตอกย้ำให้ชายหนุ่มที่เกือบจะไร้ความหวังกลับมาจดจำบางสิ่งที่เคยลืมไป

    ครั้งแรกที่เราได้พบ...

    ยม...เด็กกำพร้าไร้พ่อแม่ ทำให้ต้องเร่ร่อนขอทานไร้ที่อยู่คุ้มกะลาหัว จนได้รับความเมตตาจากคุณหลวงวินิตในตอนนั้นให้มาเป็นเด็กรับใช้ในเรือน ความจริงตอนนั้นคุณหลวงไม่ได้อยากจะรับเพราะทางหลวงเพิ่งประกาศเลิกทาสได้ไม่นาน ไหนจะทาสเก่าแก่ที่ไร้ที่ไปอีก

    แต่เมื่อเจ้ายมตัวน้อยไร้ซึ่งที่ไปเงยหน้า สบตากับคุณเขมที่จ้องมองด้วยความเอ็นดูก่อนหน้า แววตาเศร้าคู่นั้นวิงวอนขอร้องซึ่งคุณเขมพอจะดูออก

    “วันนี้เป็นวันที่ลูกอายุครบสิบห้า ลูกไม่ต้องการของขวัญอะไร นอกจากได้ช่วยเด็กคนนี้ไม่ให้ต้องลำบากอีก”

      ทั้งที่คุณเขม...ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ แต่ก็จะทำ

      ความเอ็นดู และความเมตตาในครั้งนั้น ค่อยๆหล่อหลอมเกิดเป็นความรักในใจของคนทั้งคู่ จากแต่แรกฐานะนายกับบ่าว แปรเปลี่ยนมาเป็นรักที่ต้องหลบซ่อน

      แต่คุณเขมก็สัญญา ว่าซักวันจะมารับยมไปอยู่ด้วย

     จำได้หรือยัง?

      อ๊ากกก!!!

     ขณะที่เจ็บใกล้เจียนตายเต็มที สองมือน้อยของคนที่หนีหายไปจากคุณเขมก็กลับเข้ามาประคองคนรักอย่างทะนุถนอม แม้ใต้มหาสมุทรนั้นจะมืดไร้แสงสว่าง แต่สองหัวใจกลับมองทะลุความมืดนั้นส่งผ่านซึ่งกันและกัน

     ยม...ใครทำใบหน้าของยมเป็นแบบนี้?

     ชายหนุ่มตั้งคำถามเมื่อลืมตาขึ้นมา ใบหน้าของคนที่เขารักที่สุดมีรอยแผลเหวอะ มือใหญ่นั้นประคองดวงหน้าของเจ้าตัวน้อยก่อนจะกดจูบลงบนแผลนั้นอย่างไม่รังเกียจ อีกฝ่ายคลี่ยิ้มออกมาอย่างยินดีด้วยรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง

      พี่เขม...พี่เขมจำยมได้แล้ว จำได้เสียที



     “ยม ยม!!”

  คุณเขมทะลึ่งลุกพรวดขึ้นมา เหงื่อกาฬไหลอาบใบหน้าคมหายพลางหอบเหนื่อยคล้ายกับได้เวียนว่ายอยู่ในมหาสมุทรนับสิบครั้ง น้ำตาไหลเอ่อออกตาเมื่อนึกถึงภาพแรกที่นึกถึงยามตื่น

    “ยม ยมอยู่ไหน?”

    ภาพของยมที่มีแผลตราบนหน้าน่าเวทนา อยากจะคว้าเจ้าตัวน้อยที่แสนคิดถึงมาตลอดมากอดแนบกาย อยากจะฆ่าคนที่ทำร้ายยมต้องเจ็บให้เจ็บยิ่งกว่า!

     แต่ยม...ยมอยู่ไหน ตั้งแต่กลับมาถึง เขายังไม่ได้เจอยมเลย

    “แหวน...”

   มือด้านซ้ายประคองสิ่งที่อยู่ในกำมือออกพบแหวนน้ำงามที่ซื้อให้ยมตั้งแต่อยู่อังกฤษ แหวนที่ถูกขโมยไปในครั้งนั้นได้กลับมาหาคุณเขมอีกครั้ง ไม่ผิดเป็นแน่

     แหวนเพชรน้ำงาม...ที่สลักตัวอักษรสามตัว YOM

     แหวนที่ใช้ดูต่างหน้า...ยามที่คิดถึงยม อยากเห็นหน้ายม

     แหวน...ที่อยากจะขอยมมาใช้ชีวิตด้วยกัน

    “ยม เจ้าอยู่ไหนน่ะ? ยม”

    “พอฟื้นก็เอาแต่เรียกหาเจ้ายมเลยนะพ่อเขม”

    เสียงทุ้มใหญ่ของผู้เป็นบิดาดังนั้น ใบหน้าคมคายที่เวลานี้เต็มไปด้วยคราบน้ำตาหันไปมองคุณพ่อที่มองตนเองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม

     “มีอะไรอยากจะพูดหรือไม่?”

    “คุณพ่อ...”

    “พ่อรู้เรื่องของเจ้ากับยมหมดแล้ว เล่ามาพ่อเขม ก่อนที่เจ้าจะถูกทำร้ายจนความจำเสื่อมเกี่ยวกับยม เจ้าไปรักกับยมตั้งแต่เมื่อไหร่?”

      “ขอรับ” ในเมื่อคุณเขมตั้งใจจะสารภาพอยู่นานแล้ว เขาก็จะตอบ ความทรงจำของเขากับยมได้คืนมาแล้ว แต่ก็ไม่ลืมเช่นกันว่ายามนี้เขามีหน้าที่การงานที่ดี พอเชิดชูตระกูลให้คุณพ่อภูมิใจ

     “ลูกกับยมรักกัน ลูกรักยมตั้งแต่วันที่ยมก้าวเข้ามาที่เรือนของคุณพ่อ แล้วยม...ยมก็เป็นเมียของลูกแล้วด้วย”

    “พ่อเขม!”

   เพี๊ยะ!!

   “พูดออกมาได้ไม่อายปาก! พ่อไม่เข้าใจเลย ว่าสิ่งใดดลใจให้เจ้ารักยมขนาดนี้ ทั้งที่มัน...”

     แม้ในใจพยายามจะยอมรับ แต่มันก็กะทันหันเกินไปที่จะปรับตัว

     บุตรชายคนเดียว...มันรักกับเด็กผู้ชาย!

   “ลูกต้องการพบยม...” แม้จะเจ็บจนชาตรงแก้มไปหมด แต่คุณเขมก็ยังไม่ละความพยายาม “ยมอยู่ที่ใดขอรับ” 

   “พ่อเคยบอกเจ้าไปแล้วพ่อเขม ว่าเจ้ายมมันขโมยแหวนนพรัตน์ของเจ้า พอถูกจับได้แล้วหลบหนี รู้เช่นนี้แล้วเจ้ายังจะรักมันลงไหมเล่า?”

     แหวนนพรัตน์วงนั้น?

    *“นั่นเจ้าปรุงอะไรอยู่น่ะ?”*

คุณเขมในวัยสิบห้าปีเอ่ยถามเด็กน้อยที่กำลังหยิบจับสมุนไพรอย่างคล่องแคล่วก่อนจะผัดไปกับข้าวในกระทะส่งกลิ่นหอม ตามด้วยใส่ลูกเอ็นผัดอีกเล็กน้อยแล้วนำมาใส่จานเพื่อไม่ให้ข้าวแฉะจนเกินไป

“บ่าวทำข้าวหุงเครื่องเทศขอรับ เอาข้าวสวยมาผัดกับใบกระวาน ยี่หร่า อบเชย พริกไทยดำ กานพลู ลูกเอ็น บ่าวเห็นป้าฟักทำให้คุณเขลางค์ทานจึงจำมาฝึกทำบ้างขอรับ”

“กลิ่นหอมจังเลยยม ขอฉันชิมได้ไหม?”

“เอ่อ...ขอรับ...” ยมใช้ช้อนตักข้าวหุงพอดีคำส่งให้คุณเขม วินาทีนั้นเองมือของคุณเขมเผลอสัมผัสกับมือของยมโดยไม่รู้ตัว

แต่ด้วยวัยเพียงเก้าขวบ...ยมจึงไม่ได้คิดอะไรเหมือนกับตอนนี้นัก

“รสชาติดีทีเดียวนะยม หอมกลิ่นสมุนไพรในปาก ถูกปากฉันนัก”

คุณเขมวางช้อนลง ก่อนจะถอดแหวนจากนิ้วส่งให้เด็กน้อยตรงหน้า

“ฉันไม่มีอัฐิจะให้ เจ้ารับแหวนวงนี้ไปเป็นรางวัลก็แล้วกัน”

“เอ่อ อย่าดีกว่าขอรับ คะ...คือ บ่าวเกรงว่าคุณเขลางค์จะคิดว่าบ่าวขโมยของๆคุณเขมน่ะขอรับ”

“เจ้าก็อย่าให้คุณแม่เห็นสิ” คุณเขมจับมือเล็กแบออก ก่อนจะวางแหวนบนมือให้ยมรับไว้

“ต่อไปนี้เวลาฉันกลับมาจากโรงเรียน ยมต้องทำข้าวหุงไปให้ฉันบนเรือนทุกครั้งเลยนะ”

แหวนวงนั้นที่เขาตั้งใจมอบให้เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้ยมถูกกล่าวหาจนต้องระเห็จออกจากเรือนเลยอย่างนั้นหรือ?

   หากย้อนเวลากลับไปได้...เขาจะไม่มองแหวนวงนั้นให้ยม ถ้ายมต้องมาเดือดร้อนเพราะแหวนวงเดียว

   ความจริงมันก็เป็นความผิดของพี่ด้วย พี่ขอโทษนะยม พี่ขอโทษ

   “แหวนวงนั้น ลูกเป็นคนมอบให้ยมเองขอรับคุณพ่อ เป็นรางวัลที่ยมปรุงข้าวหุงอร่อยถูกปาก และลูก...ลูกอยากมอบให้เป็นของแทนใจด้วย”

   ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้ เขาก็จะช่วยยมให้พ้นผิด ยมเป็นเด็กซื่อบริสุทธิ์ คุณเขมไม่ยินยอมให้ใครต่อใครต้องเข้าใจผิดเช่นนี้ต่อไปเป็นแน่

    “ลูกยังเด็ก ไม่คิดเลยว่าแหวนวงนั้นจะทำให้ยมต้องเดือดร้อนในภายหลัง ยมต้องถูกกล่าวหาทั้งที่ไม่ใช่คนผิด ยิ่งเป็นคนที่ลูกรักด้วยแล้ว ลูกยอมไม่ได้ขอรับ”

    “เฮ้อ!!” คุณพระถอนหายใจเสียงดัง พูดสิ่งใดไม่ออกอีก ร่างของบิดาหันหลังให้บุตรชายเพราะยังไม่อาจยอมรับได้จริงๆ แม้จะได้ฟังความจริงจากปากแล้วก็ตาม ทั้งที่ลึกๆคุณพระก็รู้สึกผิดที่เผลอเข้าใจว่ายมมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อยเช่นนั้น

   “คุณพ่อขอรับ” ร่างสูงก้าวลงจากเตียงคนเจ็บ ก่อนจะนั่งลงบนพื้นกราบแทบเท้าของบิดา “ลูกช่างเลว ที่ไม่อาจแต่งงานกับน้องจำปาตามที่คุณพ่อต้องการ ลูกขอกราบขอขมาที่ทำให้คุณพ่อต้องเสียใจ แต่ลูกก็พิสูจน์หน้าที่การงานให้คุณพ่อได้เห็นแล้วว่าลูกก็ทำความภูมิใจให้ตระกูลได้ แต่เรื่องของความรัก ลูกขอโอกาสเถิดขอรับ ลูกขอออกไปตามหายม ลูกอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มียม”

     คำพูดจากหัวใจบอกผ่านเสียงเศร้าเครือ ความทรมานที่เขาต้องลืมยมทำให้คุณเขมรู้ตัวมากขึ้นว่าหากชาตินี้เขาไม่ได้เคียงคู่กับยมเพียงคนเดียว เขาก็แทบจะขาดใจเสียให้ได้

     ขอโอกาส...ให้ลูกเลวคนนี้ได้รักกับยมด้วยเถิด



    “พี่เขม...”

    ซากต้นมะลิลาในคราวนั้นยมไม่อาจทิ้งได้ลง แม้จะถูกหักโค่นจนไม่เหลือดอกมะลิลาผลิบานให้ได้ยลโฉม แต่มันก็คือเครื่องหมายแทนใจให้ยมระลึกถึงพี่เขมได้อยู่ดี

     ดูเหมือนจมปลักอยู่กับอดีต

    ยมยอมรับข้อนั้น...แต่เป็นอดีตที่ยมไม่อาจลืมออกไป

    “พี่เขมรู้ไหมจ๊ะ? ว่าเมื่อคืนยมฝันถึงพี่ด้วยนะ ฝันว่าพี่กอดยม พี่มารับยมไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคน เรามีเรือนหลังเล็กอาศัยอยู่ด้วยกันสองคน”

     เด็กหนุ่มฝืนยิ้มและพร่ำให้ซากต้นมะลิฟัง แม้รู้ทั้งรู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้...ความจริงกับความฝันมันช่างแตกต่างกันมากต่างหาก

    แค่คิด...ก็ไม่มีน้ำตาให้ไหลแล้ว

   มันเจ็บไปหมด

   “คิดถึงพี่...”

   ร้อยโทหนุ่มที่แอบมองอยู่ไม่ไกลมองยมด้วยความสงสาร เขาได้รับข่าวจากบิดาเมื่อหลายวันก่อนว่าวันหมั้นของคุณเขมถูกเลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่คุณโดมไม่มีความกล้าพอที่จะบอกยม เพราะกลัวว่าหากยมเจ็บช้ำเหมือนในครั้งนั้น ยมอาจจะคิดอะไรตื้นๆถึงชีวิตก็ได้

     จิตใจยิ่งอ่อนไหว จนเข้าขั้นอ่อนแอเหลือเกิน

    “ยม...” คุณโดมเรียกชื่อเด็กหนุ่มเบาๆ ยมหันมาสบตาแล้วยิ้มน้อยๆส่งให้ ดวงตาคมเข้มมองซากดอกมะลิที่กองไว้ตรงหน้าแล้วทอดถอนใจ

    “ซากมันแห้งเหี่ยวหมดแล้ว ทิ้งไปเถอะเดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่”

     “อย่านะจ๊ะ” เด็กหนุ่มร้องห้าม “อย่าทิ้งนะจ๊ะคุณโดม ซากต้นมะลิต้นนี้ทำให้ยมรู้สึกว่ามีพี่เขมอยู่ด้วย”

    “ยม...”

     มือสากยื่นไปบีบมือเล็กนุ่มนวล แต่สิ่งที่ได้รับกลับกลายเป็นว่ายมแกะออกไม่ยอมให้แตะต้อง ตั้งแต่วันนั้นที่มีความสัมพันธ์กับคุณโดม ยมก็เริ่มกลัวการถูกสัมผัสทีละนิดเพราะไม่ใช่สัมผัสที่เต็มใจ เด็กหนุ่มยันกายลุกหมายจะไปตระเตรียมสำรับเย็นแต่ก็ถูกร้อยโทหนุ่มรั้งไว้

      “เดี๋ยวสิยม!”

     “คุณโดม ปล่อยนะจ๊ะ!”

   ข้อมือเล็กถูกพันธนาการเหนียวแน่น ก่อนที่กายเล็กทั้งร่างจะถูกกระชากให้เข้ามาแนบชิดกับแผงอกแกร่ง คุณโดมฝังจมูกสันโด่งลงบนแก้มข้างที่เนียนไร้บาดแผลแล้วกระซิบถามเสียงแผ่ว

    “ได้โปรด รักฉันบ้างได้ไหม? อย่ามัวแต่จมปลักกับอดีตที่เขาไม่เห็นค่าของยมเลยนะ”

    คำรักที่คุณโดมพร่ำบอก ทนไม่ได้อีกแล้วที่จะถูกเฉยชา ต้องทำเป็นเหมือนเพียงพี่น้องทั้งที่ใจรักมากกว่านั้น แม้ทุกครั้งและรวมถึงครั้งนี้ จะยังถูกผลักไสจากคนตรงหน้าก็ตาม

     “ใช่ ยมจมปลักอยู่กับอดีต แต่นั่นเป็นเพราะยมรักพี่เขมมากแม้ในวันนี้เขาจะไม่เห็นค่าของยมแล้ว ครั้งหนึ่งยมเคยลองพยายามตัดใจ แต่ยมก็ยิ่งเจ็บ ยมลืมพี่เขมไม่ได้จริงๆ”

    เด็กหนุ่มกล่าวเสียงสะอื้นแม้ไม่มีน้ำตาจะให้ไหลแล้ว คุณโดมคว้าร่างน้อยมากอดปลอบ ยมดิ้นหมายจะผลักไสออกเพราะรู้สึกไม่ชอบสัมผัส

      “ทำไมยม? รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยรึ?”

     “ยมไม่ได้รังเกียจ” ร่างของยมก้าวถอยห่างทีละนิด “แต่ยมไม่ชอบสัมผัสนี้ ไม่ใช่สัมผัสพี่เขม”

    “แต่ฉันรักยม”

  ร่างสูงวิ่งเข้ามากอดรวบรัดเด็กหนุ่มไว้ในอ้อมกอด ใบหน้าคมคายพรมจูบพร่ำบอกรักไปทั่วในขณะที่ยมพยายามผลักไสด้วยความกลัว

      คุณโดมในเวลานี้ไม่ใช่ผู้มีพระคุณเหมือนในตอนนั้น ไม่ต่างกับคนที่เคยทำร้ายเขาเลย!

     “พ่อโดม!!”

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่24--(7/02/2561)
«ตอบ #44 เมื่อ07-02-2018 19:49:53 »

 เรือนร้าว24
ตอน เจ็บ

 เพี๊ยะ!!   

 “ฉันไม่คิดเลยว่าจะมีลูกกล้าทำสิ่งอัปยศต่อตระกูลได้ถึงเพียงนี้!”      พระยามนตรีตบใบหน้าสั่งสอนลูกชายด้วยความอับอาย ก่อนจะหันไปตะคอกเด็กหนุ่มที่ยืนทำสีหน้ากระอักกระอ่วนใกล้ๆ

    “ไอ้เด็กอัปลักษณ์ จะไปไหนก็ไป อย่ามาให้ฉันเห็นหน้า!” 

    “คุณพ่อ!”   

    “ยมไปเรือนป้าแจ่วนะจ๊ะ”

   เด็กหนุ่มบอกคุณโดมน้ำเสียงขมขื่นเมื่อถูกตะคอก นานแล้วที่ห่างหายจากการถูกกระทำเช่นนี้ ร่างเล็กเดินก้มตัวผ่านพระยามนตรีอย่างรวดเร็วเพื่อรีบไปจากที่ตรงนี้

    “ยม ยม!”

    “ไม่ต้องสนใจมัน เข้าไปคุยกับพ่อข้างในเดี๋ยวนี้!!”

    พระยามนตรีเดินนำบุตรชายเข้าไปในเรือนปั้นหยา พระยามนตรีมองรอบด้านด้วยสายตาหยามเหยียด...นี่หรือบ้านที่คุณโดมบอกสุขสบายหนักหนา เมื่อเทียบกับบ้านของตนก็ไม่ต่างกับกระต๊อบหลังเล็กดีๆนี่เอง

      “นี่รึ? บ้านที่เจ้าบอกพ่อว่าสุขสบายนักหนา หึ!” ท่านพระยาเหยียดยิ้มดูถูก

     “คุณพ่อมีธุระอันใดก็ว่ามาเถิดขอรับ”

    “ทีแรกฉันก็จะมาบอกเรื่องด่วนอยู่หรอก” พระยามนตรีตอบน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าโกรธจัด ภาพที่บุตรชายคนโตยืนกอดกับเจ้าเด็กหน้าผีนั่นยังตรึงตา “แต่พอมาถึง กลับต้องมาเห็นภาพบัดสีวิปลาส ยิ่งเห็นว่าแกกำลัง...หึ! แกไปทำอย่างนี้กับผู้หญิงฉันยังไม่รู้สึกอับอายขนาดนี้เลยเจ้าโดม!”

    “ลูกรักยมขอรับคุณพ่อ!”

     คุณโดมยืนยันเสียงหนักแน่น ผู้เป็นบิดานิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนที่จะถลาเข้าไปชกลูกชายด้วยความโกรธเท่าทวี

   “ตระกูลฉันไม่เคยมีใครวิปริตผิดเพศ แล้วฉันก็ไม่เคยสั่งไม่เคยสอนให้แกชอบผู้ชาย หึ! เห็นทีกลับพระนครคราวนี้ ฉันจะไม่ให้กลับมาเชียงใหม่ได้อีก ลูกคนเล็กก็ชั่วช้า คนโตยังจะมาผิดเพศไปเสียอีก”

     กลับพระนคร ลูกคนเล็กชั่วช้า?

     เจ้าดอมไปทำอะไรผิด?

     “คุณพ่อ หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”

   “นี่ล่ะ เรื่องที่ฉันจะมาบอก” น้ำเสียงตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด แต่เสียงนั้นคล้ายกับเสียใจและผิดหวังด้วยสั่นเครือ “เจ้าดอม...มันฆ่าคนตาย”

     “อะ...อะไรนะขอรับ?”

   “ที่งานหมั้นของพ่อเขม...” ร่างของท่านพระยายืนหันหลัง หลบซ่อนแววตาผิดหวังไม่ให้บุตรชายคนโตเห็น “มีชายแปลกหน้าสองคนขึ้นมาบนเรือนกลางงาน แต่ก็ถูกเจ้าดอมชักปืนขึ้นมายิง อีกทั้งยังยิงพ่อเขมจนบาดเจ็บอีกต่างหาก”

     “แล้วเขมเป็นอะไรมากไหมขอรับ?”

     “พ่อเขมน่ะไม่เป็นอะไรมาก ปลอดภัยแล้ว” ยังคงฝืนพูดทั้งที่แทบจะอกแตกตายกับการกระทำของลูกคนเล็ก “ทางการจับเจ้าดอมข้อหาฆ่าคนตายได้แล้ว แต่ไม่ยอมสารภาพถึงสาเหตุที่ทำ แกเป็นตำรวจและยังเป็นพี่มัน ฉะนั้น...แกต้องรีบกลับพระนครไปกับฉันเดี๋ยวนี้!”

      คุณโดมเดินมายังเรือนหลังเล็กของป้าแจ่วอย่างห่อเหี่ยว เมื่อถูกพระยามนตรีบังคับให้กลับลงไปพระนครเร่งด่วนบัดเดี๋ยวนี้ ครั้นจะพายมไปด้วยก็เห็นจะไม่ดี ด้วยหนึ่ง...พระยามนตรีเกลียดหน้ายมยามนี้ยิ่งนัก

     และสอง...เขาไม่ต้องการให้ยมลงไปพบเขม

     ดังนั้นคนที่จะไว้ใจได้มากที่สุด...ก็คงจะเป็นบรรดาญาติมิตรเคียงใกล้ และยังเป็นเรือนที่บางครั้งยมก็แวะเวียนมาค้างกับหนูขมเป็นประจำ

      “ยมล่ะครับ?"     

    ร้อยโทหนุ่มเดินมาถามหญิงชราที่นั่งตำหมากบนแคร่ไม้ไผ่ด้วยใจพะวง ที่ยามนี้เขาจำต้องเป็นฝ่ายทิ้งยมไปเสียเอง     

 “เล่นกับหนูขมจนหลับไปแล้วน่ะพ่อ จะให้ป้าเข้าไปตามไหมเล่า?” หญิงชราทำท่าจะลุกไปตาม แต่ก็ถูกคุณโดมห้ามไว้

     “ไม่ต้องครับป้า ผมเพียงแค่...จะขอฝากยมไว้กับป้าได้ไหมครับ?”

   เพราะไม่รู้ว่า...อีกนานแค่ไหนที่เขาจะได้กลับขึ้นเหนือมาอีกครั้ง

   ความจริงเขาจะพายมไปด้วยก็ได้ แต่เพราะความเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากจะเสียยมให้กับเขม ทำให้เขาเลือกที่จะทำเช่นนี้

     อย่างไรคุณเขมก็มีคู่หมั้น...ถึงจะพายมลงไปด้วย ยมก็คงจะเจ็บช้ำเสียเปล่าๆ

    “แล้วพ่อจะไปไหนกันรึ? นานไหม?”

   “ผมต้องลงไปพระนครด่วน อาจจะเจ็ดวัน หรือประมาณหนึ่งเดือนครับ”

   หรือหากชะตาไม่เข้าข้าง...

  ก็อาจจะนานโขกว่าพอควร

    “นานเช่นนั้นเจียวรึ?”

   “ครับ ก่อนไป ผมขอเข้าไปหายมครู่หนึ่งได้ไหม?”

   เมื่อเจ้าของเรือนพยักหน้าอนุญาต ร่างสูงก็รีบเดินเข้าไปแทบจะทันที ตอนนี้คนตัวเล็กกำลังนอนกอดเจ้าหนูขมไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น มือใหญ่เอื้อมไปลูบเส้นผมเจ้ายมแผ่วเบา

     ไม่อยากเสีย...คนตรงหน้าให้คนอื่น

     “รอฉันก่อนนะ แล้วฉันจะกลับมา”

    หากได้กลับมา...เขาจะไม่ยอมเสียยมไปจริงๆ และจะอยู่กับยมตลอดไปแม้ใจจะเจ็บ

    เจ็บที่ไม่เคยได้ความรักตอบ





   “อะไรนะ! นี่แม่ไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม!?”

   คุณเขลางค์แทบลมจับเมื่อได้ยินสิ่งที่ออกจากปากของบุตรชาย เพราะทันทีที่คุณเขมกลับมาจากรักษาตัว เรื่องถอนหมั้นก็เป็นเรื่องแรกที่ออกจากปากของคุณเขมทันที

   “ลูกจะไม่แต่งงานกับน้องจำปาขอรับคุณแม่ ลูกไม่เคยรักน้อง แต่งงานไปก็ทรมานด้วยกันเสียเปล่า”

   “แล้วฝ่ายน้องเขาจะคิดอย่างไรเล่า? คุณพระอรรถกรเป็นเพื่อนของคุณพ่อ พ่อเขมทำเช่นนี้ก็เท่ากับทำลายชื่อเสียงของคุณพ่อเช่นกันนะลูก!!”

  ร่างของมารดายืนหันหลังให้บุตรชาย คุณพระเองก็ได้แต่ถอดถอนใจอยู่ใกล้ๆ พลางส่งสายตาให้คุณเขมสารภาพความจริงบางอย่างกับคุณเขลางค์

     “แต่ลูกมีคนที่ลูกรักแล้วขอรับคุณแม่”

    คุณเขมตัดสินใจบอกความจริงไม่ผิดบัง ตั้งแต่ความทรงจำเกี่ยวกับยมกลับคืนมา ความเข้มแข็งที่เคยมีก่อนหน้าก็เหมือนจะได้คืนมาพร้อมๆกันอีกด้วย

     ยมเองก็จะได้พ้นข้อครหาว่าเป็นโจรลักขโมย

    “ใคร!?” ใบหน้าสวยงามแทบจะหันขวับมามองบุตรชาย “บอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะพ่อเขม หากไม่ใช่แม่จำปา ลูกรักผู้ใดกันแน่?”

    “ลูก...รักยมขอรับคุณแม่” บอกความจริงไปในที่สุด ความจริงที่ควรบอกมานานถึงความสัมพันธ์ของเขากับยม ไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าคุณเขลางค์จะคิดอย่างไร

     “อะ...อะไรนะ?” คุณเขลางค์นิ่งอึ้งไปซักพักเพราะสิ่งที่ไม่เคยคิดกลับเกิดขึ้น “พ่อเขมไม่ได้หมายถึง...”

    “ยมไม่ได้ขโมยแหวนนพรัตน์ แต่แหวนวงนั้นลูกเป็นคนให้ยมเอง คุณแม่ขอรับ คุณแม่กำลังเข้าใจยมผิด”

    เพี๊ยะ!!

    “ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่” แววตาของคุณเขลางค์แปรเปลี่ยนเป็นโกรธจัดเมื่อได้รู้ความจริง แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดนางก็ยังเกลียดไอ้เด็กยม

     แล้วสิ่งที่คาดไม่ถึง สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิด...มันจะมาเกิดขึ้นที่ลูกชายของตน!!

    โกรธจนแทบอยากจะกรีดร้องออกมาให้ดังลั่น

     “ต่อไปนี้ ฉันไม่ใช่แม่ของแก”

    “คุณแม่ คุณแม่ขอรับ!”

    ร่างของคุณเขลางค์เดินหายเข้าไปในห้องพัก คุณเขมตามไปเคาะเรียกเท่าใดก็ไม่ยอมเปิดออกหรือปริคำพูดออกมาซักคำ

    “พ่อเขม แม่เขาคงโกรธและทำใจไม่ได้ ลุกขึ้นมาก่อนเถิด”

  คุณพระเรียกบุตรชาย คุณเขมจึงได้แต่ลุกขึ้นแต่ก็ยังหันไปมองที่ประตูเรือนด้วยความเสียใจที่คุณแม่ไม่ยอมรับฟัง เขายอมถูกตบหน้าอีกร้อยครั้งหากมารดารับฟังในสิ่งที่เขาเป็นบ้าง

    “ความรักระหว่างเพศเดียวกัน เป็นเรื่องที่ใครๆก็ยอมรับไม่ค่อยได้” ผู้เป็นบิดาได้แต่พูดปลอบ เพราะกว่าที่ท่านจะทำใจได้ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร และยิ่งได้เห็นความมั่นคงของบุตรชายที่มีต่อยมแล้ว ก็ยากที่จะเอาเรือไปขวาง

     “ให้เวลาแม่เขาอีกหน่อยเถิด พ่อเชื่อว่าอย่างไรแม่เจ้าก็ต้องเข้าใจซักวัน”



    คุณเขมพาบิดามาเยี่ยมคุณดอมหลังจากถูกศาลพิพากษาคดีความร้ายแรง ความจริงแล้วโทษของคุณดอมนั้นร้ายแรงถึงขั้นถูกประหารชีวิต แต่ไม่มีใครได้ล่วงรู้เลยว่าพระยามนตรีนั้นได้ใช้เส้นสายขอลดโทษให้บุตรชายคนเล็ก โทษจึงลดเหลือเพียงจำคุกสิบห้าปี แต่เพราะผู้ต้องหาให้การสารภาพจึงลดโทษเหลือลงมาเพียงเจ็ดปีครึ่งเท่านั้น และยังต้องออกจากราชการที่ทำอยู่ ซึ่งนับว่าเป็นโทษที่เบาบางที่สุดสำหรับการฆ่าคนตายโดยเจตนาแล้ว

    “น่าเสียดายอนาคตพ่อดอมนะ” คุณพระเอ่ยกับคุณเขม “เพราะใจที่ริษยาเพียงเรื่องเล็กน้อย ทำให้ชีวิตต้องเป็นเช่นนี้ในที่สุด”

    คุณเขมพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้พูดอะไร เพราะตอนที่เข้าเยี่ยมนักโทษนั้นมีเพียงบิดาที่เข้าไปพร้อมกับพระยามนตรี ด้วยพอจะรับรู้ว่าคุณดอมเกลียดตนเพียงใด

      คำสารภาพที่กล่าวต่อหน้าศาล...คุณดอมจ้างวานคนมาลอบทำร้ายเพราะริษยาที่พระยามนตรีเคยลั่นวาจาจะฝากฝังคุณเขมให้เข้ารับราชการ แต่เพราะไม่มีอัฐอีกครึ่งมอบให้เป็นค่าจ้างเนื่องด้วยเสียทรัพย์ส่วนตัวจำนวนมากจากการแพ้พนันเพื่อนกวีด้วยกัน พวกนั้นจึงข่มขู่คุกคามจนคุณดอมระแวง จนในวันแต่งงานของคุณเขมสองโจรนั้นหมายจะมาเปิดโปงความจริง คุณดอมจึงเผลอลั่นไกปืนพกด้วยความกลัวจนโจรสองคนนั้นดับ

     จะโกรธก็โกรธอยู่หรอกที่ได้ทราบความจริงเช่นนี้...

    แต่ในเมื่อคนผิดได้รับโทษแล้ว ก็ถือว่าจบเรื่องกันไปเสียที

   “อ้อพ่อเขม...” คถุณพระขานเรียกอีกครั้ง “พ่อจะไปพูดธุระกับพระยามนตรีเสียหน่อย พ่อเขมไปรอพ่อที่รถก่อนก็ได้นะ เพิ่งทำงานเมื่อวานมาเหนื่อยๆ”

     “ขอรับคุณพ่อ”

   หลังจากแยกกัน ขณะที่คุณเขมกำลังเดินกลับมายังรถที่จอดนอกเรือนจำ ก็พบกับรถสีดำเมื่อมขับสวนเข้ามา ซึ่งชายหนุ่มพอจะจำได้ว่าเป็นรถของผู้ใด

    หากจำไม่ผิด...คุณเขมเคยพบเจ้าของรถคันนี้มาแล้วครั้งสองครั้งที่ศาล แล้วคนๆนั้นก็มาจะปรายตามองเขาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเช่นกัน

     “ดูเหมือนเขมจะอยากทักทายพี่นะครับ”

     ร่างสูงก้าวลงมาจากรถหลังจากจอดเทียบเสร็จ ชายสองคนต่างยืนประจันหน้าด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าใดนัก เขาทักทายคุณเขมด้วยน้ำเสียงยียวน แม้เวลาจะผ่านไป คุณโดมก็ยังจะพอจำคนที่ยมเฝ้ารอมาตลอดชีวิตได้ แม้หน้าตาผิวพรรณอาจผ่องขึ้นและร่างอาจจะสูงใหญ่กว่าตนเล็กน้อยต่างจากเมื่อห้าปีก่อนก็ตาม

       “อย่างนั้นหรือครับ? คุณโดม”

       “ไม่ต้องเรียกห่างเหินขนาดนั้นก็ได้นะ”

     คุณเขมหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาที่จ้องมองอย่างไม่เป็นมิตรระคนด้วยความยียวนคู่นั้น เหมือนเคยเห็นจากที่ไหนซักแห่งเมื่อนานมาแล้ว

      “มิได้ครับ ผมค่อนข้างถือ หากไม่ใช่คนสนิทก็จะเรียกละไว้ว่าคุณ”

   “หึ...” คุณโดมกระตุกมุมปากเหยียดๆ “ถึงว่าเล่า ยมถึงได้เรียกเขมว่าพี่ได้เต็มปากเต็มคำ”

  “อะไรนะ!?” ร่างสูงเข้าไปประชิดร้อยโทหนุ่มใกล้ๆ จำได้แล้ว...คนๆนี้ใช่ไหมที่เคยสนิทชิดใกล้กับยมก่อนจะเดินทางไปอังกฤษ “คุณจะบอกอะไรผม พูดมาเลยจะดีกว่า!”

    “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่...” ยังคงพูดติดยียวนเช่นเดิม มองบุตรชายของพระวินิตราชศักดิ์อย่างเกลียดชังแกมริษยาที่ได้เป็นเจ้าของหัวใจของยม

    “ก็แค่อยากจะบอกว่า นายน่ะเป็นอดีต แต่ตอนนี้ยมเป็นเมียฉันแล้ว”

    ดั่งฟ้าผ่าลงมากลางใจคุณเขม เสี้ยวหนึ่งแทบจะทำให้ทรุดลงกับที่ แต่สิ่งที่ออกมาจากคุณโดมนั้นชัดถ้อยชัดคำจนคุณเขมทนไม่ไหวชกใบหน้าคมของคุณโดมเข้าเต็มแรง

   พลั่ก!!!

   “คุณทำอะไรยม คุณทำอะไรเมียผม!!! แล้วคุณเอาเมียผมไปไว้ที่ไหน!?”

   คุณโดมถมเลือดทิ้งเพราะถูกชกเต็มเหนี่ยว เขาไม่ได้สวนกลับเพราะตั้งใจให้ทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้

   ในเมื่อยมไม่มีทางลืม...เขาก็ต้องให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด

   ยามเมื่อรักใคร ก็ต้องเห็นแก่ตัวกันทุกคน แม้ว่าทางนั้นจะเลวจะผิดมากแค่ไหนก็ตาม

   พลั่ก!!

   ร้อยโทหนุ่มต่อยสวนกลับไปบ้างจนร่างตรงหน้าล้มลง แต่ก็ยังตวัดขึ้นมองด้วยสายตาอาฆาตแค้นในคำพูดที่ได้ฟัง

   “ไม่เอาสิเขม อย่าเลือดร้อน...” คุณโดมยักคิ้วยียวน คุณเขมลุกจากพื้นขึ้นพรวดถลาเข้ามาดึงคอเสื้อหมายจะเตรียมชกอีกครั้งให้หายแค้น

  “คุณ!!”

  ต่างฝ่ายต่างกระชากคอเสื้ออย่างไม่มีใครยอมใคร เตรียมเงื้อหมัดขึ้นจะชกคนที่เกลียดกันอีกครั้ง คนที่เดินผ่านแถวนั้นหันมองแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามเพราะกลัวโดนลูกหลง

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะพ่อเขมพ่อโดม!” คุณพระวิ่งเข้ามาห้ามศึก ตามด้วยพระยามนตรีที่เดินเร็วตามมาติดๆ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดต้องลงไม้ลงมือกันอย่างนี้?”

    “ว่าอย่างไรพ่อโดม…ทำไมถึงมาทะเลาะกับพ่อเขมที่นี่!?” พระยามนตรีถามสมทบ ตามองบุตรคนโตเคืองไม่น้อย

    “มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยขอรับคุณพ่อ คุณอา” ร้อยโทหนุ่มเหลือบไปมองคุณเขมที่ได้แต่ตวัดมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจ “พอดีผมพูดไม่ถูกหูเขมเท่าใดนัก แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วขอรับ จริงไหมเขม?”

      “ขอรับ”

    แม้จะไม่พอใจและค้างคาในสิ่งที่คุณโดมพูดนัก แต่ก็จำต้องรักษามารยาทต่อหน้าพระยามนตรีไว้ แต่เขาสัญญากับตัวเองว่าจะต้องกลับมาเค้นความจริงจากคุณโดมให้ได้ว่ายมอยู่ที่ไหน

     “แล้วพ่อโดมเล่ามาทำอะไรที่นี่ ไหนว่ากลับไปพบหัวหน้าที่กรมตำรวจมิใช่รึ?” ท่านพระยาเอ่ยถามบุตรชาย

      “ผมเพียงจะมาเรียนคุณพ่อว่า ผมจะกลับเชียงใหม่เย็นนี้เสียเลยขอรับ แล้วผมจะลงมาหาเจ้าดอมเท่าที่จะมาได้”

       “แต่ฉันไม่อนุญาต!” พระยามนตรีเข้ามากระชากแขนบุตรชาย “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกจะกลับไปทำไม แต่ไม่ต้องห่วง แกจะไม่มีวันได้กลับไปอีก”

       “หมายความว่าอย่างไรขอรับคุณพ่อ?” 

       “ก็หมายความว่าถ้าแกก้าวออกจากพระนครเมื่อใด” พระยามนตรีกระซิบข้างหูบุตรชายอย่างเหี้ยมโหดไม่ให้คุณพระกับคุณเขมได้ยิน “เถ้ากระดูกของแม่แกที่ฉันเก็บไว้ แกจะไม่มีวันได้กลับเข้าไปหาอีก”

      “คุณพ่อ!!”

      เถ้ากระดูกของคุณอันนาที่ถูกเก็บไว้ในโกศใบเล็กถูกตั้งไว้กลางบ้าน เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คุณโดมยังคงกลับมาพระนครสม่ำเสมอเพื่อมากราบไหว้มารดาที่จากตนไปนานแล้ว เพราะไม่อาจนำไปด้วยได้เนื่องจากถูกพระยามนตรีสั่งห้ามเด็ดขาด

      “หากไม่อยากให้ฉันทำอะไรโกศแม่แก ก็กลับบ้านพร้อมฉันเดี๋ยวนี้!”

     พระยามนตรีหันไปลาคุณพระเป็นครั้งสุดท้ายและพาคุณโดมกลับทันที ทำให้คุณเขมไม่ได้สังเกตเลยว่าดวงตาที่ยียวนใส่เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด แต่สิ่งที่คุณเขมพอจับใจความได้นั้นคือคำพูดของพระยามนตรียามที่คุณโดมจะมาลากลับ

‘อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกจะกลับไปทำไม…’

    ดูมีลับลมคมใน...หรือว่ายมจะอยู่ที่นั่น!?

     “พ่อเขม...” คุณพระเอ่ยเรียกบุตรชาย “ปกติเจ้ามิใช่คนเลือดร้อน เรื่องเมื่อครู่ที่เจ้าวิวาทกับพ่อโดม พ่อไม่เชื่อหรอกนะว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย”

     “คุณพ่อ...”

     “เรื่องนั้นเกี่ยวกับเจ้ายมใช่ไหม?”

    “ขอรับ”

    คุณเขมเล่าความจริงที่เกิดขึ้นให้คุณพระฟัง ทำเอาผู้เป็นบิดาได้แต่อึ้งในเรื่องที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น และเพิ่งได้รู้ว่าคุณโดมนั้น สนิทกับยมมานานเพียงใดแล้ว

    “ลูกจะไปตามหายมขอรับคุณพ่อ” คุณเขมขออนุญาตคุณพระ “ลูกขอไปตามหายมที่เชียงใหม่นะขอรับ เป็นไปได้ลูกจะเดินทางวันพรุ่งเสียเลย”

     “แต่เจ้าไม่เคยไปเชียงใหม่มาก่อนนะพ่อเขม” คุณพระปรามบุตรชาย “แล้วเจ้าแน่ใจได้อย่างไร ว่าพ่อโดมจะพายมไปไว้ที่นั่น”

      “ลูกจะเสี่ยงขอรับคุณพ่อ” คุณเขมสบตาคุณพระด้วยความมาดมั่น เขาพรากจากยมมานานมากแล้ว ไม่ว่าจะไกลสุดหล้าฟ้าเขียว เขาจะตามหัวใจของเขากลับคืนมาให้จงได้

        “ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ลูกก็จะพายมกลับมาให้จงได้ขอรับ”



  หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องราววุ่นวาย คุณเขมก็พาผู้เป็นบิดาขับรถยนต์กลับเรือน คุณพระวินิตราชศักดิ์เอามือก่ายหน้าผากคิดบางอย่างเรื่อยเปื่อย จะว่าไปหลังจากที่คุณพระยังไม่ให้คำตอบเรื่องที่คุณเขมจะไปตามยม อยู่ๆก็พลันคิดถึงเรื่องของคุณเขลางค์ขึ้นมาอีกครั้ง       

    ‘เหตุใดแม่เขลางค์ถึงจงเกลียดจงชังยมขนาดนั้น แม้จะรู้ว่ายมไม่ได้เป็นคนทำผิดก็ตาม’       

     เอี๊ยดดดด!!!

      “เกิดอะไรขึ้นพ่อเขม!?”

      “มีคนวิ่งตัดหน้ารถขอรับคุณพ่อ...” คุณเขมรีบเปิดประตูจะลงไปดูทันที “คุณพ่อรอประเดี๋ยวนะขอรับ”

       “เดี๋ยวพ่อเขม พ่อลงไปด้วย” คุณพระเปิดประตูรถตามลงมา

       ร่างที่ทรุดลงกับพื้นหน้ารถยนต์นั้นสกปรกมอมแมม มันกำลังชันเข่าร้องโอดโอยด้วยความเจ็บจากอุบัติเหตุเมื่อครู่

        “เจ้า เจ้าเป็นอะไรไหม?”

        ’ฮื้อ!”

        มันค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณี แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง

       “คุณพระ คุณเขม...” มันเรียกชื่อชายหนุ่มเสียงแหบแห้ง แล้วยังเหลือบไปมองชายวัยห้าสิบผู้เป็นอดีตนาย “ในที่สุดบ่าวก็ได้พบคุณเขม แล้วก็คุณพระด้วย หึๆๆ”

      “นี่เจ้า...”

       “คุณเขมจำไอ้เข้มไม่ได้รึขอรับ?” มันค่อยๆฝืนความเจ็บลุกยืน ให้คุณเขมมองมันใคร่ครวญ

       “ไอ้เข้มที่มันเคยรังแกยมจนคุณเขมสั่งลงโทษอย่างไรเล่าขอรับ”

     “ไอ้เข้ม! นี่เอ็งอย่างนั้นรึ?” คุณพระขมวดคิ้วถามฉงน “ไหนแม่เขลางค์ว่าเอ็งขโมยสมบัติพ่อเขมแล้วหนีไปอย่างไรเล่า แล้วทำไมถึง...”

       “หึๆ ฮ่าๆๆๆ” อดีตบ่าวในเรือนหัวร่อดังลั่น นึกสมเพชที่นายทั้งสองช่างไม่รู้อะไรเสียเลย

      แต่ก็ถึงเวลาที่ควรจะรู้ความจริงของนางหญิงแพศยาคนนั้นได้เสียที!

     “นี่คุณพระเชื่อคำพูดของนังผู้หญิงกาลีคนนั้นด้วยรึขอรับ จนป่านนี้แล้วยังไม่รู้ความจริงอีก บ่าวล่ะสงสารเสียจริง โดยเฉพาะคุณพระนะขอรับ หึๆๆๆ”

       “ไอ้เข้ม!” คุณเขมทนไม่ไหวจนต้องขึ้นเสียงใส่ “อย่าเรียกคุณแม่แบบนั้นนะ คุณแม่ของฉันเป็นคนดีเพียบพร้อม อย่าได้เรียกคุณแม่เช่นนั้น

        “เฮ้อ!”

       ไอ้เข้มแสร้งถอนใจเหนื่อยหน่าย เงียบไปพักหนึ่งแล้วหยิบถุงใบเล็กสกปรกที่เหน็บติดตัวส่งให้กับคุณเขม เมื่อคุณเขมเปิดออกจึงพบอัฐในนั้นเป็นจำนวนค่อนข้างมาก

      “ไอ้ถุงอัฐถุงนั้นน่ะ...” น้ำเสียงเล่าเย้ยหยันถึงความรู้ไม่เท่าทันของทั้งสอง “มันคือถุงอัฐที่นังเขลางค์ติดสินบนบ่าวฆ่าไอ้ยม!”

      “อะ...อะไรนะ?” คุณเขมถามย้ำอีกครั้ง ส่ายหน้าไม่เชื่อ “เอ็งโกหก ยมยังไม่ตาย ยมแค่หายจากเรือนไปก็เท่านั้น เอ็งอย่าพูดอะไรพล่อยๆนะไอ้เข้ม!!!”

     “พ่อเขม ใจเย็นก่อนลูก” คุณพระต้องรีบปรามบุตรชายที่อารมณ์ร้อนเพราะเรื่องที่เกี่ยวกับยมหลายครั้งหลายครา “ไหนเอ็งเล่ามาซิไอ้เข้ม เอ็งต้องการจะมาบอกอะไรพวกข้ากันแน่!”

      “หึๆ” มันหัวเราะราวกับคนจิตไม่สมประกอบ “ถ้าเช่นนั้น ก่อนที่บ่าวจะเล่าเรื่องของไอ้ยม บ่าวขอเล่าความจริงให้คุณพระฟังก่อนนะขอรับ ว่าความจริงแล้วนั้น นังคุณเขลางค์อะไรนั่น...มันชอบเฆี่ยนตีบ่าวไพร่เด็กๆในเรือน อีกทั้งยังลอบนำนางทาสสาวๆมาเล่นเพื่อนบนเรือนเป็นประจำยามที่คุณพระต้องไปว่าราชการ!”


ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่25--(09/02/2561)
«ตอบ #45 เมื่อ09-02-2018 07:01:45 »

 เรือนร้าว25
ตอน ผลกรรม   
   “คุณเขลางค์อย่าเจ้าค่ะบ่าวกลัวแล้ว”

     เสียงของนางทาสดังมาจากเรือนหลังเล็กที่ไอ้เข้มกำลังจะเดินผ่าน ด้วยความสงสัยว่าเป็นเสียงผู้ใดจึงแอบแง้มมองผ่านหน้าต่างไม่ให้คนข้างในเห็น แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบร่างของนางเดือนดิ้นขลุกขลักอยู่บนตักของคุณหญิงวินิตราชศักดิ์

    “เอ็งอย่าร้องสิอีเดือน เดี๋ยวอ้ายอีด้านนอกมันจะได้ยิน!” คุณเขลางค์ก้มหอมแก้มเดือนชื่นใจ แสยะยิ้มจนนางทาสสาวตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว “ขนาดป่วยตัวยังหอมขนาดนี้เจียวรึ ข้าชอบ”

    “ฮึก คุณเขลางค์...” สองมือไหว้ท่วมหัวลนลาน เนื้อตัวบวมช้ำไปทั้งตัวเป็นสาเหตุของพิษไข้ เธอไม่มีแรงจะขัดขืนผู้หญิงใจยักษ์คนนี้ได้เลย “บ่าวไม่สบายจริงๆเจ้าค่ะ ปล่อยเถอะเจ้าค่ะเดี๋ยวยมมันเข้ามาเห็นนะเจ้าคะ”

    “หึๆ ข้าก็ไม่ได้จะมาทำอะไรเอ็งหรอก” คุณเขลางค์วางขวดเล็กรูปทรงประหลาดลงข้างๆขันน้ำ “ก็แค่จะเอายาฝรั่งมาให้เอ็งกิน เอ็งจะได้หายเร็วๆ”

   “บ่าว บ่าวรับไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”

    “แต่เอ็งต้องกิน...” โน้มใบหน้าสวยคมเข้าไปใกล้เจ้านกน้อยในกรงแล้วกล่าวเสียงเหี้ยม “เอ็งจะได้หายมารับใช้ข้าเร็วๆ”

   “อื้อ!! ฮึก...”

    เดือนหลับตาปี๋เมื่อริมฝีปากของคุณเขลางค์บดเบียดลงมาอย่างรุนแรงเอาเป็นเอาตาย ได้แต่นิ่งงันตัวสั่นในความอัปยศอีกครั้งเพราะไม่อาจขัดขืนหรือทำอะไรได้เลย จะไปฟ้องร้องบอกใครก็คงไม่มีคนเชื่อ จึงจำต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไป

    “นี่คุณเขลางค์กับพี่เดือน เป็น...”

ไอ้เข้มค่อยๆถอยห่างออกมาเงียบๆแล้วพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา แอบยกมุมปากยิ้มขำเมื่อได้รู้ความจริงบางอย่างตามประสาวัยรุ่นคึกคะนอง

สนุกซะแล้ว...



     “ไม่จริง...” คุณพระส่ายหน้ารัว แทบจะทรงตัวไม่อยู่จนคุณเขมต้องคอยรับไว้ “เอ็งโกหกข้าใช่ไหมไอ้เข้ม?”

     “บ่าวไม่โกหกเรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานหรอกขอรับ” ไอ้เข้มเดาะลิ้นบอก “นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่นังคุณหญิงมันจ้างให้บ่าวทำร้ายยมจน...มันต้องตาย”

      น้ำเสียงท้ายๆของมันเบาลงอย่างรู้สึกผิด ยิ่งเมื่อได้เห็นแววตาที่คุณเขมมองมาที่ตนอย่างเคียดแค้นระคนกับเสียใจ ถ้าหากมันย้อนเวลากลับไปได้ มันจะไม่ยอมร่วมมือกับคุณเขลางค์ทำร้ายยมเป็นอันขาด มันเล่าเรื่องที่ร่วมมือกับคุณเขลางค์จนยมถึงแก่ความตายในครั้งนั้นจนถึงตอนที่มันถูกอีเฟื้องทำร้ายและถีบตกลงไปในน้ำ แต่โชคดีที่แผลไม่ลึก มันจึงพอตะเกียกตะกายว่ายน้ำขึ้นฝั่งได้ แม้จะตกระกำลำบากถึงขั้นต้องเร่ร่อนขอทาน แต่มันก็รอคอยวันที่จะได้ชำระแค้นกับคุณเขลางค์สักวันหนึ่ง

      “ตกลงเรื่องเป็นเช่นใดกันแน่? ยมยังมีชีวิต หรือว่าตายไปแล้ว”

      สับสนไปหมด...เขาควรจะเชื่ออย่างไหนกัน? แต่ถ้าหากยมตายไปแล้วจริงๆ เหตุใดความฝันที่ผ่านมาคุณเขมจึงยังฝันเห็นคนรักพร่ำเตือนคำสัญญาว่าให้มารับไปอยู่ด้วยกัน

       “ตอนนี้บ่าวคิดว่า...คุณพระรีบกลับเรือนไปเห็นความจริงเถิดนะขอรับ แล้วคุณพระกับคุณเขมอาจจะได้รับคำตอบที่ค้างคาอยู่ก็เป็นได้”

        มันแสยะยิ้มส่งท้ายก่อนจะวิ่งหายไปเร็วๆ เข้าข้างทางที่มืดมิดไม่เห็นตัว ราวกับคนผ่านมาแล้วผ่านไป คุณพระมองตามด้วยความอ่อนแรง ไม่ค่อยอยากจะเชื่อในสิ่งที่มันว่ากล่าวเท่าใดนัก

    เรื่องที่คุณหญิงเล่นเพื่อนกับทาสในเรือนนั้น...อาจยากที่จะเชื่อ

   แต่เรื่องที่คุณเขลางค์สั่งฆ่ายมแล้วปกปิด เรื่องนี้ค่อนข้างน่าคิด แต่ถ้าหากเป็นเรื่องจริงเล่า?

  “พ่อจะไปถามความจริงแม่เขลางค์!”

    ครั้นเมื่อคุณเขมจอดรถยนต์สีขาวเทียบหน้าเรือน คุณพระก็รีบลงจากรถตรงไปที่เรือนของคุณเขลางค์ทันที โดยไม่ทันสังเกตอีเฟื้องที่เพิ่งกลับจากบ่อนตรงกลับเรือนนายของมันเช่นเดียวกันยืนปิดปากลนลานเมื่อเห็นคุณพระกลับมาเร็วก่อนเวลา

    “ตาเถร! ต้องรีบไปเตือนคุณเขลางค์ อื้อ!!!”

    ใบหน้าท้วมถูกมือปริศนาขนาดใหญ่อุดไว้สุดแรง แม้อีเฟื้องจะดิ้นหนีขนาดไหนก็ไม่เป็นผลจนสลบลงที่ตรงนั้น ส่วนเจ้าของมือปริศนานั้นแสยะยิ้มสาแก่ใจแล้วมองไปยังทิศของเรือนคุณหญิงวินิตราชศักดิ์

    วันนี้จะเป็นวันที่นายของมึงชะตาขาด...อีแก่ใจชั่ว!!!

      คุณพระค่อยๆเดินขึ้นเรือนให้เบาที่สุดด้วยความปวดร้าวจากคำพูดทีได้รับฟังมาจากไอ้เข้ม แล้วเสียงของคนสองคนที่ดังลั่นเรือนนั้นยิ่งเป็นเหมือนมีดเล่มคมปักกลางใจ เสียงด้านในที่ชัดเจนเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี เสียงของนางทาสสาวที่ตนเห็นมาตั้งแต่อ่อน ครางเรียกชื่อภรรยาของตนกระเส่า       

  "อ๊ะ...อ๊าา คุณเขลางค์ อื้อ!!"       น้ำตาแห่งบุรุษเพศไหลรินอาบแก้ม ใจหนึ่งไม่อาจปักใจเชื่อว่าภรรยาของตนจะกล้าทำอะไรเช่นนี้ คุณพระฝืนผลักประตูเข้าไปด้วยใจที่สั่นคลอน...และใจสลายยามได้เห็นภาพตรงหน้า     

ภาพของเมียรัก กำลังจูบอยู่กับนางทาสสาวชื่อเดือน!!   

   “คุณพี่!!”   

 คุณเขลางค์คว้าเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างรวดเร็ว ในขณะที่เดือนได้แต่ร้องไห้เมื่อความจริงถูกเปิดโปงอย่างกะทันหัน คุณพระมองคนทั้งสองสลับกันด้วยใจสลาย   

  “ทำไม...แม่เขลางค์ทำกับฉันเช่นนี้?”     

น้ำเสียงสั่นถามด้วยความเสียใจในขณะที่ฝ่ายผิดได้แต่ทำสีหน้าพะอืดพะอม คุณพระรักคุณเขลางค์มากจนไม่ยอมมีบ้านเล็กบ้านน้อยเช่นเรือนอื่น แต่นี่หรือ...สิ่งที่ได้รับตอบ?   

 คนทรยศ... 

   “นานเท่าใดแล้วแล้ว?" คุณพระเอ่ยถามด้วยความปวดใจ "นานเท่าใดที่แม่เขลางค์ทรยศความรักของฉัน?"     คุณหญิงวินิตราชศักดิ์ช้อนตาขึ้นมองสามี แววตาที่ควรจะรู้สึกผิดคู่นั้นกลับกลายเป็นว่าโกรธเคืองเสียแทน 

   “น้องไม่เคยทรยศต่อคุณพี่ มีแต่คุณพี่และคุณพ่อที่ทำน้อง!”     

 “หมายความว่าอย่างไร?”     

สับสนไปเสียหมด...     เขาไปทรยศแม่เขลางค์ตั้งแต่เมื่อใดกัน     

“คุณพี่จำแม่กอบัวได้ไหมเล่าเจ้าคะ?”     

แม่กอบัวรึ?     

บุตรสาวคนเดียวของพระยาศรีมรรคา...ขุนนางผู้ภักดีอันเป็นที่ถูกกล่าวขานนับแต่แผ่นดินของพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อน หญิงสาวหน้าตาหวานเหมือนน้ำผึ้งเดือนห้า แววตาเศร้าแต่ก็น่าค้นหาคู่นั้น สมัยก่อนตัวติดกับคุณเขลางค์ตลอดเวลาก่อนที่จะแต่งงาน ในงานแต่งก็ยังได้พูดคุยสองสามคำก่อนที่จะไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย   

  “เกี่ยวอะไรกับแม่กอบัว?” คุณพระวินิตราชศักดิ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย เรื่องของเดือนยังไม่ทันคลายก็มีเรื่องอีกคนที่ไม่น่าเกี่ยวอะไรด้วยมาข้องโยง   

 “เพราะแม่กอบัว ที่ทำให้น้องต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้!” น้ำตาไหลอาบแก้มหญิงชั่ว ผู้เป็นสามีได้แต่ขมวดคิ้วฉงน ในใจตอนนี้รวดร้าวเกินกว่าจะรับไหว แต่ก็ต้องฝืนถามออกไปอีกครั้ง     

 “อย่างไรกันแน่!? เกี่ยวอะไรกับแม่กอบัว ฉันสับสนไปหมดแล้ว!”   

  “น้องกับแม่กอบัว เรารักกัน!” คุณเขลางค์พูดสวนขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว ร้องไห้ด้วยความเจ็บช้ำเมื่อนึกถึงความหลัง   

 “แต่เราถูกจับแยกจากกัน เพราะไอ้น้องชายทรยศมันฟ้องคุณพ่อ น้องถูกบังคับให้ต้องแต่งงานกับคุณพี่เพื่อกลบข่าวที่น้องไปมีความรักที่ผิดประเพณีกับบุตรีของพระยาศรีมรรคา!”     

  ข่าวลือสตรีสูงศักดิ์ทั้งสองเมื่อยี่สิบปีก่อนที่ว่ากันว่าหลบหนีการคลุมถุงชน บ้างก็ว่าเล่นเพื่อนกันจนกล้าทำผิดประเพณี คุณพระในตอนนั้นไม่ใคร่ปักใจเชื่อเพราะรักในตัวคุณเขลางค์มาก     

  ไม่คิดเลย...ว่าหญิงที่รักเดียวจะทำกับตนได้ถึงเพียงนี้     

 ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันจนมีพ่อเขมเป็นโซ่ทองคล้องใจ แม่เขลางค์ไม่เคยนึกรักตนแม้สักนิด แต่กลับมีใจปฏิพัทธ์ต่อหญิงด้วยกัน   

 “อย่าบอกนะว่าที่แม่เขลางค์นอนกับอีเดือน...เป็นเพราะ...”   

   “ใช่เจ้าค่ะคุณพี่" ร่างระหงเข้าไปโอบนางทาสที่ตัวสั่นด้วยความเจ็บช้ำพูดไม่ออก  “อีเดือนมันก็ที่แค่ระบาย แต่มันสวยและซื่อสัตย์กว่าคนอื่นหน่อย น้องก็เลยใช้งานนานกว่าคนอื่นๆ คุณพี่จำอีทองได้หรือไม่เล่า นั่นก็หนึ่งในที่ระบาย แต่มันกลับหนีไปกับผัว น้องจึงต้องคว้าอีเดือนมาแทนอย่างไรเจ้าคะ!!”   

 นางทาสได้แต่ร้องไห้เจ็บปวด บางครั้งที่ตนอยากป่วยตายจะได้พ้นทุกข์เหมือนอีทอง แต่ยาฝรั่งจากหญิงอำมหิตก็มักจะถูกส่งมาบังคับให้กินเพราะจะได้หายเพื่อมาบำเรอกามกิจ เป็นที่ทรมานกายและใจเกินทน   

 “ว่าอย่างไรเจ้าคะคุณพี่ มีอะไรจะถามอีกไหมเจ้าคะ?” คุณเขลางค์เหยียดยิ้มสามีอย่างที่ไม่เคยเป็น กายของคุณพระทรุดลงกับพื้น กุมแผ่นอกด้านซ้ายด้วยความเจ็บใจ     

“มีขอรับคุณแม่!”     

“พ่อเขม..."   

  ดวงตาของคุณเขมแดงก่ำ เสียใจที่ได้รับรู้ธาตุแท้ของมารดาบังเกิดเกล้า ใบหน้าคมคายมองคุณเขลางค์ด้วยความสงสัยที่ค้างคาเช่นเดียวกับบิดา   

 “ยมไปทำอะไรให้คุณแม่นักหนา ลูกรู้หมดแล้วว่าคุณแม่เป็นคนทำร้ายยมแล้วยังป้ายความผิด เดิมทีลูกอยากจะฆ่าคนที่ทำร้ายยมเหลือเกิน แต่ก็ไม่เคยคิด ว่าคนๆนั้นจะเป็นแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง!” 

   แววตาแรกที่คุณเขลางค์เหลือบมองบุตรชายนั้นสั่นระริกเมื่อเห็นความเจ็บปวดในแววตาของคุณเขม แต่แล้วก็กลับกลายเป็นเสียงสะอื้น      เสียงสะอื้นที่แยกไม่ออกว่าร้องไห้ หรือหัวเราะสาแก่ใจกันแน่

    “ก็มันอยากหน้าเหมือนไอ้ราชฟ้าทำไมกัน!”     

    คุณเขมขมวดคิ้วฉงนเมื่อได้ฟังคำตอบ ในขณะที่คุณพระค่อยๆระลึกเมื่อยี่สิบปีก่อน   

  เจ้าราชฟ้า...น้องชายต่างมารดาของคุณเขลางค์ จะว่าไปแล้วก็มีหน้าตาหวานละม้ายคล้ายยม ที่ไม่เหมือนจุดเดียวก็เห็นจะเป็นดวงตาของยมที่กลมโตและสะดุดตากว่า แต่รู้สึกว่าจะเสียชีวิตเพราะโรคประหลาดก่อนที่คุณเขมจะเกิดเสียอีก     

   “ยิ่งเห็นหน้าไอ้ยม มันเหมือนกับว่ามีไอ้ราชฟ้าตามมาหลอกหลอนตลอดเวลา ทั้งๆที่มันตายไปแล้ว ข้าเกลียดมันเพราะมันคนเดียวที่ทำให้ความรักของข้าพังทลายลง!! ข้าก็เลยฆ่ามันไงล่ะ ก่อนตายข้ายังทำให้หน้าของมันไม่ต่างจากผีด้วย สนุกจะตาย ฮ่าๆๆๆ!!!”

   คุณเขมร้องไห้หนักขึ้นเมื่อได้รู้ว่านอกจากคุณเขลางค์จะเป็นคนที่วางแผนฆ่าหัวใจของตนอย่างเยือกเย็นไร้สำนึก ยังได้รู้ความจริงบางอย่างอีกว่า...

     จิตใจมารดาที่เขารักมากที่สุด...ทั้งโหดเหี้ยมอำมหิต เหมือนไม่ใช่มนุษย์เดินดินปกติอีกต่อไปแล้ว

    ผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่แม่ที่รักเขา ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนโยนที่คอยกอดจูบรับขวัญหลังจากที่ตนกลับจากโรงเรียน ไม่ใช่ผู้หญิงที่คอยพะวงและห่วงยามที่คุณเขมเจ็บไข้ได้ป่วยแม้เพียงเล็กน้อย

    และที่สำคัญ...

     ยมถูกคุณแม่ฆ่าตายแล้วจริงๆน่ะหรือ?...ถูกฆ่าเพียงเพราะความแค้นส่วนตัว จนต้องมาทำลายชีวิตของคนที่ไม่รู้ความอะไรด้วย

       แม้จะเจ็บปวดกับเรื่องที่ตั้งรับไม่ทันและเกินจะรับไหว แต่ก็ต้องเข้ามาประคองร่างของบิดาที่เจ็บช้ำไม่แพ้กันให้ค่อยลุกยืน ก่อนหันไปพูกกับนางทาสสาวที่ยังคงตัวนิ่งงันด้วยความกลัวรอบด้าน 

    “พี่เดือน รีบใส่เสื้อแล้วออกไปก่อนเถิดนะ”     

  “เจ้าค่ะ”     

เดือนคว้าเสื้อผ้าใกล้ๆมาสวมใส่ลวกๆแล้วรีบวิ่งปาดน้ำตาออกจากห้องโดยไม่เหลียวหลังกลับมา คุณเขมหันมามองมารดาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะประคองบิดาออกไป   

   ประตูหลังนั้นถูกปิดลง คุณเขลางค์ปล่อยตัวพิงลงบนกำแพงห้อง น้ำตาไหลที่ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย อีกไม่นานอีเดือนก็คงจะไปจากตน คุณพระไม่เหลือความเชื่อใจ หรือแม้แต่ลูกที่รักเหมือนดวงใจก็ไม่คิดเคารพ   

   “ฮือ!!เพราะพวกมึงทีเดียว อีเดือน ไอ้ยม ทั้งลูกทั้งผัวถึงได้เกลียดกู!!”

   จู่ๆไฟจากแสงไต้ก็พลับดับไม่มีสาเหตุ ร่างระหงที่นั่งกอดเข่ากลอกตามองไปรอบๆ ก่อนจะกรีดร้องเมื่อเห็นภาพหลอนตรงหน้า     

 “กรี๊ดดดดดด!!!!”   

  ภาพของอีทอง...อดีตนางทาสที่เคยบำเรอกามให้ตน หน้าของมันเต็มไปด้วยเลือดและแผลพุพองหน้าสยดสยอง   

  “มึงไม่ต้องไปโทษใครหรอกอีเขลางค์!!” ร่างนั้นชี้นิ้วมาทางคุณเขลางค์ที่ตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว จนร่างระหงต้องยกมือท่วมหัววิงวอนขอชีวิต 

   “อะ อีทอง อย่าทำอะไรข้าเลยข้ากลัวแล้ว กรี๊ดดดด!!”   

 นางหลับตาปี๋เมื่อผีอีทองยื่นมือมาบีบคอเต็มแรง อดีตทาสเรือนคุณพระวินิตราชศักดิ์มองคุณเขลางค์ด้วยใจที่อาฆาตแค้น     

 “มึงบังคับให้กูบำเรอทั้งที่ไม่เต็มใจ พอผัวกูจะพากูหนีไปจากมึงมึงก็ส่งอีเฟื้องไปฆ่ากูตายกลางทาง อีกทั้งยังทิ้งศพกูไว้ให้แร้งกาจิกทึ้ง วิญญาณของกูไม่ได้ไปผุดไปเกิด ก็เพราะมึง!!!”   

   “อึ่ก...ขะ...ข้าขอโทษ ปะ...ปล่อย...” 

   “แล้วมึงยังมีหน้าไปทำร้ายคนอื่น วิญญาณกูไม่ได้ไปผุดไปเกิดก็ไม่เป็นไร แต่กูต้องทวงความยุติธรรมให้ทุกคนที่ถูกมึงทำร้าย แล้วกูก็รอวันที่มึงไม่เหลือใคร เพื่อจะได้ซ้ำเติมมึง ฮ่าๆๆๆ!!”     

“ฮึก...ฮือ...” เพราะถูกบีบคอทำให้พูดออกมาลำบาก ภาพลวงตาผีอีทองแสยะยิ้มกว้างก่อนจะเอื้อนเอ่ยบางอย่างออกมา   

  “น่าเสียดายที่กูเป็นเพียงแต่ภาพที่มึงเห็น เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน มึงทำสิ่งใดกับใครไว้ กูจะให้มึงเห็นอีกครั้ง หึๆๆๆๆ”   

  ภาพของอีทองหายไปทันทีที่กล่าวจบ แต่แล้วภาพในอดีตที่ตนทำร้ายก็กลับย้อนเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง     ภาพที่ตนทำร้ายบ่าวทาสในเรือนอย่างโหดร้ายทารุณ

ภาพที่ตนฆ่าคนบริสุทธิ์มากมายรวมถึงยมที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เพราะเพียงแค่มีหน้าตาเหมือนน้องชายที่ชิงชังเพียงเท่านั้น     

 “คุณเขลางค์ทำยมทำไมขอรับ...” ภาพที่ยมมีใบหน้าเหวอะหวะผุดขึ้นมาทำให้คุณเขลางค์กรีดร้องด้วยความกลัว         

  “ท่านพี่เขลางค์ฆ่าราชฟ้าทำไม...”   

  “ทำร้ายบ่าว ฆ่าบ่าวทำไม?”   

 “กรี๊ดดดดดดดด!!!!!! ฮือ อย่า! อย่าเข้ามา!!!!”     

“คุณเขลางค์ คุณเขลางค์เจ้าคะ!!”    อีเฟื้องเปิดประตูเรือนพรวดเข้ามาประคองนายของมันที่นั่งชันเช่ากุมศีรษะกรีดร้องราวคนเสียสติ กว่าจะรู้ว่าคุณพระมาเห็นความจริงทั้งหมด ตนก็เพิ่งฟื้นหลังจากถูกใครบางคนทำร้ายจนสลบเหมือด

    “ไป!!! ไปให้พ้น ไปให้พ้นนะ!!”

     ร่างท้วมนั้นก็ถูกผลักออกอย่างแรงพร้อมเสียงตวาดขับไล่ มันอยากจะเข้าไปดูอาการนายของมันอีกครั้งแต่ก็กลัวถูกผลักออกมาเต็มแรงเหมือนเมื่อครู่อีก ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตนใดบันดาลให้คุณเขลางค์เห็นภาพหลอนจนคลุ้มคลั่งได้ถึงปานนี้

      “ใครก็ได้ ใครก็ได้ช่วยคุณเขลางค์ของข้าที!!”

      ดังคำขอความช่วยเหลือนั้นสลายไปกับอากาศ เพราะแทบทั้งคืนนั้น...คุณเขลางค์ต้องจมอยู่กับภาพหลอนอันเลวร้าย จิตและสติเฮือกสุกท้ายที่มีค่อยๆหลุดลอยและไม่รับรู้สิ่งใดอีกเลย



  หลังจากส่งบิดากลับไปพักผ่อนที่เรือนใหญ่แล้ว คุณเขมก็เดินโซเซกลับมาที่เรือนของตน ร่างสูงปล่อยตัวคุกเข่าต่อหน้าต้นมะลิลาที่ส่งกลิ่นหอม ยิ่งทำให้คุณเขมปล่อยโฮออกมาอย่างมาอายผู้ใดอีกต่อไป

       “ยม พี่ขอโทษ พี่มันโง่เองที่ปล่อยให้ยมอยู่กับอันตรายมาตลอด พี่ขอโทษ!!!”

      แม้จะยังไม่แน่ใจว่ายมยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ร่างสูงกลับกอดต้นมะลินั้นแนบแน่น ยามนี้ในใจเอาแต่พร่ำโทษตัวเองที่เชื่อว่ายมรอตนอยู่ในที่ปลอดภัยมาตลอด และยิ่งได้รู้ว่าคนที่ทำร้ายยมมาตลอด...กลับเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของตัวเอง

       เจ็บปวดเหลือเกิน...เจ็บจนไม่รู้จะพูดระบายสิ่งใดออกมา ในใจมีเพียงคำว่าขอโทษ และสัญญาว่าหากยมยังมีชีวิตอยู่...คุณเขมจะไม่พายมกลับมาที่นี่อีก

        แต่ถ้ายมตายไปแล้วจริงๆ...

        คุณเขมก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่เช่นเดียวกัน

     “คุณเขมขอรับ” เพลิงรีบเข้ามาดูอาการของผู้เป็นนาย “บ่าวทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แล้ว คุณเขมเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”

     “ไอ้เพลิง ข้าว่าพาคุณเขมกลับขึ้นเรือนก่อนเถอะ” มั่นตามมาสมทบ เพลิงพยักหน้าเห็นด้วยจึงพยายามจะเข้าประคองคุณเขม แต่ร่างสูงนั้นกลับยังไม่ยอมปล่อยอ้อมแขนจากต้นมะลิลาต้นเล็ก แม้จะถูกแมลงเหลือบไรกัดต่อยก็หาได้สนใจไม่

       “เพลิง มั่น ยมตายแล้วจริงๆหรือ? คุณแม่ฆ่ายมตายไปแล้วจริงๆใช่ไหม?”

       “ยมยังไม่ตายขอรับคุณเขม...” เพลิงตอบไปตามตรง เพราะไม่อาจทนเห็นสภาพน่าเวทนาของนายได้อีกต่อไป บ่าวทั้งสองมองนายของมันด้วยแววตาที่สงสารจับใจ

        “ก่อนที่ยมจะถูกฝัง บ่าวไปช่วยมันไว้ได้ทันขอรับ”

       คำพูดนั้นทำให้คุณเขมเบิกตาด้วยความยินดี ถลาเข้ามาจับไหล่กว้างของมั่นแล้วไต่ถามอย่างยินดีนัก “แล้วตอนนี้ยมอยู่มี่ไหนกันแน่? อย่าบอกนะว่าอยู่กับคุณโดมบุตรของพระยามนตรี!”

      “ทีแรกนั้น...บ่าวได้ฝากให้ยมอยู่กับญาติของไอ้มั่น” เพลิงเป็นฝ่ายตอบ เพราะไม่อยากให้คนรักพูดถึงญาติที่ตายไปแล้ว

       “แต่ลุงของมันถูกโจรปล้นทรัพย์แล้วฆ่าตาย นับตั้งแต่วันนั้น บ่าวก็ไม่ได้เจอยมอีกแล้วขอรับ ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่ถ้าหากคุณเขมเชื่อว่ายมมันอยู่อยู่กับคุณโดมจริง บ่าวก็โล่งใจที่อย่างน้อยมันยังปลอดภัย”

       ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่คุณโดมอะไรนั่นกล่าวมา...ก็ไม่ได้โกหกแต่อย่างใดน่ะสิ

      ขอแค่ยมยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นเหมืนกับน้ำทิพย์รดชโลมใจคุณเขมแล้ว ไม่ว่าตอนนั้นต่อให้ยมผลักไสหรือจะยังรัก รู้เพียงว่าตอนนี้จะต้องไปตามหาหัวใจของเขาอีกดวงให้พบ หรือไม่ว่ายมจะเป็นของคุณโดมอะไรนั่น คุณเขมก็จะไม่สนใจอดีตที่เจ็บปวดทั้งนั้น

      รอพี่ก่อนนะยม พี่กำลังจะไปหาเจ้าแล้ว



**ตอนหน้าคุณเขมจะได้พบน้องแล้วค่ะ เขีัยนให้พบสักทีเหอะ เพราะถ้าไม่รวมเรื่องความฝันอิคุณเขมไม่ได้เจอน้องมาหลายตอนละนะ55555

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่26--(11/02/2561)
«ตอบ #46 เมื่อ11-02-2018 18:57:36 »

เรือนร้าว26
ตอน ใจสองดวง...ที่กลับมาพบ

 การเดินทางที่ยาวนานมาเชียงใหม่ค่อนข้างยาวนานด้วยไม่เคยเดินทางมาก่อน แต่คุณเขมก็อาศัยถามทางมาเรื่อยๆและสอบถามเส้นทางการเดินทางจากเพื่อนร่วมงานมาบ้าง เมื่อมาถึงเชียงใหม่จึงจบลงด้วยเช่าบ้านหลังเล็กเพื่อใช้เป็นที่พำนักระหว่างออกตามหาคนรัก ส่วนตัวคุณพระเองนั้นไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใดแล้ว เพราะ...

    “พ่อไม่อยากทำร้ายพ่อเขมเหมือนที่ทำร้ายแม่ของเจ้า ไปเถิด...ไปตามหาหัวใจของเจ้าให้พบ ไม่ต้องห่วงทางนี้”

      ห่วงทางนี้ที่ว่านั่นคือ...คุณหญิงวินิตราชศักดิ์ที่เงียบซึมเซาไม่ยอมออกมาจากเรือนนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง ครั้นคุณพระจะส่งตัวให้ทางการนั้นก็เป็นเหมือนเป็นการซ้ำเติม จึงได้แต่ให้บ่าวทาสในเรือนคอยดูแลไม่ให้คุณเขลางค์ก้าวออกจากเรือนเป็นอันขาด   

  “เฮ้อ...” คุณเขมเอนกายลงนอนสักพักด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง เขาหยิบแหวนที่ได้คืนมาขึ้นมอง เพชรเม็ดงามสลักเด่นเคียงชื่อคนรักแวววับทำให้น้ำตาของคุณเขมไหลออกมาอีกครั้ง 

   “พี่กำลังทำตามสัญญาของเราแล้ว พี่มารับแล้ว รอพี่ก่อนนะยม”



     “พี่ยมจ๋า!!”

     เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าเด็กน้อยเรียกยมพี่ชายที่แสนดี ร่างป้อมๆนั้นถลากอดรัดพี่ยมที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้รอบสวนอย่างเพลิดเพลิน สีหน้าของยมที่เคยซีดเซียวนั้นดีขึ้นเล็กน้อย หากขอบตายังคล้ำเพราะคิดถึงคนที่อยู่ในใจอยู่ดี

     “หนูขม! ออกจากบ้านมาคนเดียวได้ยังไงกันหื้ม?” เมื่อมองซ้ายขวาไม่เห็นพี่หมึกพี่จันทร์ที่จะต้องเดินมาส่งหนูขมเป็นประจำ ยมก็แอบดุเด็กน้อยไปนิดหน่อยเพราะนับวันหนูขมยิ่งกล้าทำอะไรแสบๆมากขึ้นทุกที เช่นออกจากบ้านคนเดียวโดยไม่ได้บอกใครแม้จะไม่ได้ไกลก็ตามที

      “หนูขมบอกย่าแล้วจ้ะ ว่าจะออกมาหาพี่ยม” เจ้าหนูขมยิ้มแฉ่ง ทำท่าจะจูงมือพี่ชายออกไป “ย่าก็เลยให้หนูมาชวนพี่ยมไปกินข้าวด้วย”

      “ก็แล้วไป...” ยมลูบศีรษะเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู จึงปิดประตูลงกลอนทั้งในและนอกเพื่อป้องกันโจรขึ้นบ้านแล้วจูงมือหนูขมเดินออกไปพร้อมกัน ยมจะลงกลอนเป็นประจำยามที่ต้องออกไปข้างนอกตัวบ้าน

       โดยไม่รู้เลยว่า...นั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ยมได้มองเรือนปั้นหยาหลังนี้

     บรรยากาศเรือนหลังเล็กของป้าแจ่วแม้จะคับแคบ แต่กลับร่มรื่นด้วยพฤษชาติมากมายหลายพันธุ์ ยมบิข้าวเหนียวทานเคียงกับน้ำพริกหนุ่มอันเป็นอาหารหลักของคนภาคเหนือ ความสุขเล็กๆน้อยๆที่ได้รับนี้ทำให้เด็กหนุ่มมีสีหน้าที่ดีขึ้นมาบ้าง

     “ย่าจ๋า...” หนูขมกลืนหมูทอดดังอึ๊ก ก่อนจะกอดแขนคนเป็นย่าออดอ้อน “หนูขมอยากไปเที่ยวงานวัดที่ตลาด ย่าพาหนูไปหน่อยน้าๆๆ”

      “เอาอีกแล้ว ไปฟังเจ้าบึกมันโม้มาอีกแล้วใช่ไหมหนูขม?” ป้าแจ่วส่ายหน้า ข้างๆบ้านนี้มักลูกอายุโตกว่าหนูขมสักสองสามปีมักจะไปเที่ยวที่นู่นที่นี่แล้วกลับมาเล่าให้หนูขมฟังเป็นประจำ จนหลานของตนนั้นเกิดอยากรู้อยากเห็น และอยากจะไปเที่ยวตามที่เขาเล่ากันบ้าง

    ก็อยากจะตามใจหลานเหมือนอย่างเคยอยู่หรอก

    แต่ยิ่งอายุมาก สังขารก็ไม่ค่อยจะดี เริ่มเจ็บออดๆแอดๆตามประสาคนวัยชรา

   “ยมพาหนูขมไปก็ได้จ้ะป้า เคยไปหลายครั้งอยู่เหมือนกัน พอจะจำเส้นทางได้”

     ที่แห่งนี้...ใกล้สุดจะมีวัดวาอารามตั้งติดกับตลาดยามเย็น จึงมักใช้เป็นสถานที่จัดงานวัดประจำปีอีกด้วย เห็นว่าช่วงนี้เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเขาพูดกันว่าละครเร่ที่นำมาแสดงนั้นสนุกน่าประทับใจ ไหนจะอาหารคาวหวานและของสวยงามอีกต่างหาก ยมจำเส้นทางได้เพราะคุณโดมเคยพาไปซื้อของทำกับข้าวที่นั่นเป็นประจำ

     นึกถึงชื่อนั้นขึ้นมา...แล้วรู้สึกแปลกๆอย่างไรชอบกล แม้จะระลึกเสมอว่าคุณโดมคือผู้มีพระคุณ แต่เหตุการณ์ตอนนั้นก็ยังคงตามหลอกหลอนยมไม่เลิกรา

       “เย่! พี่ยมใจดีที่สุดเล้ย!!” คราวนี้หนูขมเข้ามากอดพี่ชายใจดีแล้วถูหน้าป้อมๆออดอ้อนแทน ทำเอาย่าแจ่วหมดความหมายไปเลยทีเดียว เสียงแจ้วที่คอยอ้อนนั้นทำให้ยมอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วไม่ได้นึกถึงคุณโดมอีก



   ตลาดยามเย็นแห่งนี้ที่ปกติก็ว่าครึกครื้น ยิ่งจัดงานทำบุญประจำปีแล้วยิ่งมากด้วยผู้คนที่พากันเดินพลุ่งพล่านเป็นเท่าตัว ยมเดินจูงมือหนูขมเดินมาเรื่อยๆ มองสินค้าตามทางที่เต็มไปด้วยอาหารคาวหวาน บางครั้งก็เจอเสื้อผ้าแพรพรรณสวยๆงามๆ แต่ก็ยังไม่ได้ซื้ออะไร จนกระทั่ง...

      “ขนมน่ากินจังเลยจ้ะพี่ยม”

     หนูขมชี้ไปยังร้านที่วางขนมข้าวแต๋นวางเรียงรายดูน่ารับทาน ใกล้ๆยังมีขนมอื่นไม่ว่าจะเป็นขนมกล้วย ขนมแตงไทย หรือขนมมันสำปะหลังที่สามารถทำให้เด็กๆถึงกับน้ำลายหกได้ ยมมองถุงอัฐใบเล็กที่ป้าแจ่วให้ยมพกติดตัวเพราะรู้ดีว่างานวัดที่มากด้วยของกินมากมายเช่นนี้ หนูขมจะต้องร้องกกินขนมอย่างแน่นอน

        “อ่า...งั้นหนูขมรอพี่ตรงนี้ก่อนนะ ห้ามไปไหนเข้าใจไหม?”

       “จ้ะ!”

   เด็กน้อยรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ยมจึงเดินไปยังร้านขนมร้านที่หนูขมอยากกิน ผู้คนต่างมองใบหน้าที่มีแผลเหวอะของยมด้วยสีหน้าต่างกันออกไป บางคนก็มองด้วยความสงสารเวทนา บ้างก็มองด้วยความหวาดกลัว หรือบ้างก็มองด้วยความสมเพชระคนกับความแขยง แต่เด็กหนุ่มกลับชินกับสายตาเหล่านั้นเสียแล้ว

        “หนูขม...รอพี่นานไหม?”

        เมื่อกลับมาตรงที่เดิมที่ควรมีเด็กน้อยยืนรออยู่ ยมกลับพบแต่เหล่าผู้คนที่ยืนปะปนเดินผ่านกันไปมาจนลานตา แต่กลับไม่พบแม้แต่เงาของหนูขม  จึงเป็นไปได้ว่าหนูขมอาจถูกเบียดจนพลัดหลงไปที่อื่นเสียแล้ว

       “หนูขม!”



     “อ่า ขอบคุณมากครับ”

        คุณเขมโค้งตัวขอบคุณชายชราที่ให้คำแนะนำเมื่อครู่ เพราะขณะที่กำลังขับรถเที่ยวตามหายมนั้นก็รถเกิดมาน้ำมันหมดเสียกะทันหัน อาศัยถามชาวบ้านแถวนี้จึงได้รู้ว่ามีร้านขายน้ำมันเติมอยู่ท้ายตลาดที่กำลังจัดงานวัดรื่นเริง ซึ่งถ้าไม่ฝ่าฝูงชนไปเดี๋ยวนี้ก็ต้องรองานจะจบวันพรุ่งแทน ซึ่งคุณเขมไม่อาจรอนานกว่านั้นได้

     “ฮือ!!”

     หลังจากที่ต้องฝ่าคนจำนวนมากเข้าไปซื้อน้ำมันมาคอยเติมแล้วจะกลับไปที่รถยนต์ คุณเขมก็เจอกับเด็กน้อยน่ารักคนหนึ่งกำลังยืนร้องไห้น่าสงสาร ไม่มีใครเข้ามาช่วยซักคน นี่คงจะพลัดหลงกับพ่อแม่ระหว่างมาเที่ยวงานวัดกระมัง ถ้าหากไม่ช่วยตอนนี้...เด็กคนนี้อาจถูกคนใจร้ายหลอกไปขายก็ได้

      “หนู หนูหลงทางรึ?” ร่างสูงนั่งยองใกล้ๆ เจ้าเด็กน้อยหยุดร้องไห้มองชายแปลกหน้าอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก ซึ่งคุณเขมเองก็พอจะดูออก

      “น้าไม่ได้มาหลอกอะไรหนูหรอกนะ พอดีน้าเห็นหนูร้องไห้ หนูหลงทางกับพ่อแม่ใช่ไหม?” คุณเขมถามน้ำเสียงนุ่มนวลเพื่อให้เด็กน้อยไว้ใจ หนูน้อยพยักหน้าเป็นคำตอบ

      “หนูหลงกับพี่ชายของหนูจ้ะ หนูให้พี่ไปซื้อขนมให้ ฮึก รู้ตัวอีกทีก็ถูกเบียดก็มาจนหลงกับพี่จ้ะน้า ฮึก ฮือ!!” เด็กน้อยเล่าพลางสะอื้นไห้ คุณเขมเอื้อมมือใหญ่เช็ดน้ำตาให้เบาๆ ความอบอุ่นจากฝ่ามือนั้นแผ่ซ่าน รอยยิ้มนั้นคลี่บางๆอ่อนโยน จนหนูน้อยเริ่มไว้ใจคนตรงหน้า

       “ไม่ต้องร้องแล้วนะ น้าจะพาไปหาพี่ชายของหนูเอง จับมือน้าไว้นะ”

       คนตัวโตลุกขึ้นแล้วยื่นมือส่งให้เด็กน้อย ดวงตาแป๋วที่แดงก่ำจากการร้องไห้จ้องมองคุณน้าแสนดี ก่อนจะยื่นมือส่งให้อย่างไว้ใจ

       หนูขมชอบน้าคนนี้จัง...

     คุณเขมพาเด็กน้อยเดินตามหาพี่ชายมาเรื่อยๆ จนมาหลงพบกับคณะละครเร่ ดูก็รู้เลยว่าชาวบ้านส่วนมากไม่ค่อยชอบด้วยรู้ตอนจบของเรื่องราวดี ดูจากตัวละครที่แสดงเป็นเงาะซาไกชายหญิงคู่หนึ่งผ่านบทละครนิพนธ์อันงดงาม กล่าวถึงความรู้สึกของซมพลาที่รักลำหับอย่างสุดหัวใจ

        เพราะฉะนี้พี่จึงกล้าว่าเต็มปาก    จะขอฝากรักน้องอย่าหมองหมาง

เจ้าจงใคร่ครวญคิดอย่าจิตจาง            พี่ขอวางชีพไว้ในกัลยา

        บทกลอนนี้...เป็นบทเดียวกับที่เขามอบให้ยมก่อนจาก

        คุณเขมชำเลืองมองนางลำหับเขินอายยามที่ได้ฟังความรู้สึกของซมพลาเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินต่อเพื่อพาเด็กน้อยไปส่งให้พี่ชาย เป็นเวลาเดียวกับที่บทกลอนความรู้สึกของลำหับได้แถลงขึ้น

      คิดถึงบุญคุณมีช่วยชีวิต       จะจงจิตรักเจ้าไม่จางหาย

เป็นสัจจากว่าชีวิตจะวอดวาย    ข้าบรรยายตอบเสร็จจงเมตตา

    พลัน...หลังจากคำตอบของนางลำหับจบลง จู่ๆเด็กน้อยก็ปล่อยมือจากคุณเขมวิ่งไปหาใครซักคนอย่างยินดี สงสัยจะเจอพี่ชายของเขาแล้วกระมัง

   “พี่ยมจ๋า!!”

    เด็กน้อยวิ่งเข้าไปกอดรัดพี่ชายด้วยความดีใจ ร่างนั้นกอดเด็กน้อยตอบแล้วพูดบอกเป็นห่วงเด็กน้อยและขอโทษซ้ำๆที่ดูแลไม่ดี สักพักเมื่อคนๆนั้นเงยหน้าขึ้นสบตาคุณเขมที่เดินตามเด็กน้อยมา แววตาสองดวงสบประสานกัน แววตาคู่นั้น...

     ไม่ผิดแน่!

    “ยม!”

   คุณเขมไม่ได้ฝันไป คนที่เฝ้าติดตามหามาตลอดกลับมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว น้ำตาแห่งความปรีดาไหลอาบแก้ม หัวใจเต้นรัวคล้ายเสียงกลองเหมือนยามที่บอกรักยมครั้งแรก คนตรงหน้าเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน

    คิดถึง...

     “พี่เขม...”   

     ยมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?   

   น้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงตาน้อยสั่นระริกด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย   

  ทั้งน้อยใจ...เสียใจ...โกรธ...ผิดหวังมากเหลือเกินที่คนตรงหน้าทำผิดสัญญาที่ให้ต่อกัน แต่ความยินดีนั้นก็มีมาก ที่การรอคอยของตนไม่สูญเปล่าอีกต่อไปแล้ว!

     “ฮึก!! พี่เขม”

     “ยม!”

     สองร่างสองหัวใจวิ่งเข้าหากัน ร่างสูงกอดคนตัวเล็กแนบแน่นไม่เหลือช่องว่าง อ้อมแขนแกร่งลูบแผ่นหลังปลอบโยนเจ้ายมตัวน้อยที่สะอื้นตัวโยน  ต่างฝ่ายต่างร้องไห้อย่างหนักจนพูดไม่ออก ถ้อยที่อยากพร่ำบอกจุกอยู่ในลำคอด้วยยินดีเกินที่จะกล่าวในยามนี้ คนตัวน้อยเองที่ความยินดีและคิดถึงมีมากกว่า ความน้อยใจเหล่านั้นจึงถูกกลืนหายไปแทบจะทันที สายตารอบด้านมองมาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป จะมีก็แต่หนูขมที่ได้แต่ยืนเกาหัวแกร๊กๆด้วยความงุนงง

     พี่ยมรู้จักคุณน้าใจดีด้วยเหรอ?

      “ฮึก!! พี่เขม ยมคิดถึงพี่เหลือเกิน ฮือ คิดถึง...คิดถึงมาตลอด...”

     “พี่ก็คิดถึงเจ้านะยม” ลูบเส้นผมสะอาดคนรักแผ่วเบา แล้วจูบซับน้ำตาน้อง ไล่ต่ำลงจนถึงบริเวณแผลเหวอะ คุณเขมกดจูบแผ่วเบาอย่างไม่รังเกียจ เพราะครั้งหนึ่งในความฝันชายหนุ่มเองก็เคยจูบย้ำๆที่บาดแผลนี้มาแล้ว

      “คนดี รอพี่นานไหม? พี่ขอโทษนะที่ให้รอ พี่มารับยมแล้ว พี่กลับมาตามคำมั่นสัญญาของเรา”

    เด็กน้อยของคุณเขมพยักหน้ารัวรับรู้ ใบหน้าคมคายจูบซับหน้าผากคนรักโดยไม่สนใจสายตาที่มองมา ราวกับว่าที่ตรงนี้มีเพียงเขากับยมเพียงสองคนก็เท่านั้น

     ในที่สุด...ใจทั้งสองดวงที่พลัดพรากจากกันมาแสนนานก็ได้กลับมาพบกันเสียที!
-------------------------------------------------------------50%--------------------------------------------------

**ในที่สุดก็มาพบกับซะที กรี๊ดดดดด



 

ออฟไลน์ snpmrth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านแต่ละบรรทัดใจตื่นเต้นไปหมดเลยค่ะ ฮือ
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ
 o13

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 เรือนร้าว26 (อัพครบ)
ตอน ใจสองดวง...ที่กลับมาพบ
 “โชคดีนะจ๊ะที่พี่เขมมาเจอหนูขมเข้าพอดี ไม่อย่างนั้นยมคงกลับไปสู้หน้าย่าของหนูขมไม่ได้เป็นแน่”

      พอคุณเขมเติมน้ำมันรถเสร็จจึงหันกลับมาส่งยิ้มให้ แล้วเข้ามาลูบใบหน้าของคนรักแผ่วเบา ยินดีเหลือเกินทีภาพตรงหน้านั้นไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป

      “น้าคนนี้รึเปล่า? คนที่พี่ยมร้ากก กิ้วๆ” หนูขมลากเสียงยิ้มแซ็ว ยิ่งทำให้พี่ชายของเด็กน้อยหน้าแดงเรื่อด้วยความขวยเขิน ร่างสูงหัวเราะแล้วนั่งยองลูบศีรษะป้อยๆอย่างเอ็นดู

     “ชื่อหนูขมหรือ? ช่างพูดช่างเจรจาเสียจริง หึๆ”

     เจ้าหนูจำไมยิ้มแฉ่ง ดีใจนะที่พี่ยมรักกับคุณน้าคนนี้ หนูขมยอมให้พี่ยมอยู่กับน้าคนนี้สองคนก็ได้ ก็บอกแล้ว...ถ้าพี่ยมรักใคร หนูขมก็รักด้วย!

    คุณเขมขับรถมาส่งหนูขมที่เรือนของป้าแจ่วตามทางที่คนรักบอก แล้วจึงถือโอกาสแนะนำตัวกับหญิงชราเสียเลย ทีแรกเมื่อยมจะขยับปากบอกสถานะ คุณเขมก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

    “ผมเป็นคนรักของยมครับ”

    ทำเอาคนชราแทบลมจับที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเมื่อได้ฟังที่มาที่ไปทั้งหมด ป้าแจ่วจึงได้แต่ยินดีก่อนจะพาหนูขมไปเข้านอนเพราะตอนนี้ก็ค่ำมืดมากแล้ว ส่วนคุณเขมเองก็พาคนรักกลับมายังบ้านเช่าหลังเล็ก บ้านหลังนี้ค่อนข้างเล็กและมืดจนคุณเขมต้องจุดตะเกียงเพิ่มความสว่างรอบๆ มือใหญ่อบอุ่นนั้นกุมมือคนรักจูงเข้ามาด้านในห้องนอน แล้วเคลื่อนไปตามโครงหน้าของคนรักไม่รู้เบื่อ

   “หากนี่เป็นความฝัน...พี่ก็ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลยยม”

  เจ้าตัวน้อยประคองมือคนที่รักสุดชีวิตนุ่มนวล กดจูบแผ่วเบาลงอย่างออดอ้อน ความอบอุ่นนี้...ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนอีกแล้ว

    “ถ้าฝันนี้ยมได้อยู่กับพี่ไม่ต้องพรากกันอีก ยมก็ไม่อยากตื่นขึ้นมาเหมือนกันจ้ะ”

    “คนดี...” ริมฝีปากอุ่นก้มลงพรมจูบคนตัวน้อย กระซิบเสียงแผ่วราวกับบอกรักครั้งแรกในครั้งนั้น “พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน เป็นตายอย่างไรพี่จะไม่ปล่อยเจ้าไปอีกแล้ว”

      “พี่เขมจ๋า...” เจ้ายมน้อยเรียกชื่อออดอ้อน ริมฝีปากที่พรมจูบตามโครงหน้านั้นเลื่อนมาประทับบนกลีบปากนุ่มที่คุณเขมโหยหา ทั้งสองร่างแนบชิดไม่ยอมห่าง กระทั่งร่างสูงโอบอุ้มคนตัวเล็กออกเดินไปยังเตียงนอน

       ร่างน้อยถูกวางลงบนเตียงนุ่มอย่างทะนุถนอมแม้ริมฝีปากจะยังไม่ยอมผละจากกัน ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดตักตวงความหวานอย่างตะกละตะกลามไม่รู้อิ่มจนคนตัวน้อยถึงกับหอบตัวโยนเมื่อพี่เขมยอมผละออกจากกลีบปากแดงสดแต่โดยดี 

    “เมียรักของพี่...”เขากระซิบข้างหูแผ่วๆ แล้วขบกัดที่ติ่งหูเบาๆหยอกล้อ   

   “อื้อ!! อย่าแกล้งยม...” เจ้าตัวน้อยหน้าแดงอิดออด คุณเขมยิ้มให้ภาพน่ารักตรงหน้าก่อนจะก้มลงหอมแก้มด้านที่มีแผลนุ่มนวล     

 “พี่เขมไม่รังเกียจยมหรือจ๊ะ?”   

  ยมหน้าเจื่อนลง แผลบนใบหน้าน่าเกลียดทำให้ใครๆก็ไม่อยากเข้าใกล้ แม้แต่พี่เขมเองยมยังต้องทำใจว่าถ้าหากได้พบกันอีกครั้ง พี่เขมจะรังเกียจแผลใบหน้าไหม

   ริมฝีปากหยักศกก้มจูบย้ำบนแผลนั้นอ่อนโยนแทนคำตอบ แววตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจที่ทำให้เจ้าตัวน้อยต้องเจ็บปวดขนาดนี้   

 “พี่ขอโทษนะยม เจ็บมากไหม? พี่ขอโทษจริงๆที่ไม่ได้อยู่ปกป้องน้อง พี่ขอรับผิดทั้งหมดแทนคุณแม่ของพี่เอง”

     คุณเขมจูบบนแผลนั้นอีกครั้ง สำหรับเขา...ไม่ว่ายมจะเป็นอย่างไร เด็กน้อยก็ยังคงงดงามสำหรับเขาเสมอ เป็นสัจจริงไม่ได้โกหกแต่อย่างใด ส่วนเจ้ายมเบิกตากว้างเมื่อคุณเขมรู้ว่าบาดแผลนี้เกิดจากสิ่งใด

    “พี่เขมรู้?”

    “แต่นี้ไปน้องไม่ต้องเจ็บปวดแล้วนะ ต่อไปพี่จะปกป้องยมเอง ไม่ว่าจะผ่านเรื่องร้ายสิ่งใดมา เราจะเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ ตกลงไหมคนดีของพี่?”

    แววตาหวานล้ำมองคนรัก สองมือน้อยสัมผัสไปตามใบหน้าคมคายที่ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป น้ำตาที่เคยเจ็บปวดหายไป มีแต่น้ำตาแห่งความยินดี ยินดีที่ได้สบสายตาคนรัก ได้จับมือไปด้วยกันอีกครั้ง

    แต่บาดแผลในใจนี่สิ พี่เขมจะรับยมได้ไหม?

    “พี่เขม...” ยมร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ภาพที่เจ้าตัวน้อยต้องตกเป็นของคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ ถ้าพี่เขมรู้พี่เขมจะโกรธ จะยังรักยมอยู่หรือไม่?

      “ร้องไห้ทำไมอีกหื้มคนดี?” เอื้อมมือเช็ดน้ำตาน้องเบาๆ ทะนุถนอมราวแก้วงามล้ำค่า “อย่าร้องไห้อีกเลยนะยม พี่เจ็บปวดที่เห็นน้ำตาของน้อง”

      นั่นสิ...แล้วตัวเองจะไปนึกถึงความทรงจำแสนเลวร้ายทำไมกันเล่า?

      ก็ในเมื่อปัจจุบันตรงหน้า ก็ทำให้หัวใจของยมเปี่ยมสุขจนไม่อาจบรรยายถ้อยใดๆออกมาได้

      “ยมจะไม่ร้องไห้แล้วจ้ะ” กล้าเอื้อมใบหน้าไปจูบแก้มพี่เขมเป็นครั้งแรก แต่แล้วก็ต้องเขินตัวม้วนจนพูดไม่ออก คนรักหัวเราะเบาๆ

      “หึๆ เจ้าตัวน้อยของพี่ พี่รักน้องนะ”

      ถ้อยคำแสนหวานพรั่งพรูออกมาเรื่อยไปจนเจ้ายมน้อยเขินตัวม้วน สองมือเอื้อมไปสัมผัสบนใบหน้าของคนรักแล้วสบตาดวงตาสีนิลชวนมอง     

   “ยมดีใจ...ที่การรอคอยของยมไม่เสียเปล่า”   

   “ขอบคุณนะ...” กุมมือน้อยขึ้นมาจุมพิตขอบคุณย้ำๆ “ขอบคุณที่รอพี่ ขอบคุณที่ไม่เลิกรักพี่”     

   “อื้อ!!” ใบหน้าคมคายเลื่อนลงมาจูบซับซอกคอ มือใหญ่ทำท่าจะถลกเสื้อขึ้น หากแต่คนตัวน้อยร้องห้ามไว้

     “เดี๋ยวก่อนจ้ะพี่เขม”

     ร่างน้อยดันร่างคนรักออกแล้วลุกขึ้นนั่ง สองมือน้อยสั่นๆเอื้อมจับชายเสื้อเขินอาย แต่เพราะความต้องการให้คนตรงหน้าตีตรายมอีกครั้ง ยมจึงสลัดความอายทั้งหมดแล้วค่อยๆปลดอาภรณ์กั้นขวางจนกายท่อนบนเปลือยเปล่า อวดเรือนร่างขาวนวลอาบแสงเทียนที่สาดส่องน่าเชยชม

      ไม่ทันไร...คุณเขมที่ไม่อาจอดทนต่อความปรารถนาได้ก็พุ่งเข้าหาเจ้าตัวน้อยที่ยามนี้ต้องการสัมผัสจากคนรักไม่ต่างกัน  ริมฝีปากร้อนพรมจูบทั่วทั้งโครงหน้าคนรักอย่างหลงใหลโดยมองข้ามบาดแผลน่าเกลียดนั้นได้อย่างง่ายดาย

    “ตรงนี้เย็นเฉียบเลย ตื่นเต้นหรือคนดี?” จูบซับปลายจมูกคนรัก ก่อนจะมาจบที่ริมฝีปากนุ่มที่เผยอรอรับสัมผัสอยู่แล้ว จูบอันดูดดื่มไม่มีใครยอมใครคราแล้วคราเล่า จากอ่อนโยนอ่อนหวานจึงเปลี่ยนเป็นความเร่าร้อนรุนแรงได้โดยง่ายดาย

      “แฮก แฮก!”

       เจ้ายมตัวน้อยหอบตัวโยนอีกครั้งจากจูบอันร้อนแรงที่คนรักมอบให้ คุณเขมก้มจูบแก้มนิ่มด้วยพึงพอใจอีกหนไม่รู้เบื่อ   ริมฝีปากอุ่นไล่ลงต่ำเรื่อยๆ จูบซับซอกคอแล้วขบเม้มจนเกิดรอยแดงชวนใหลหลง   

        "อ๊ะ อ๊า!!!"   

    เสียงหวานครวญครางเมื่อริมฝีปากหนาหยุ่นพรมจูบเวียนตามแผ่นอกเนียน จวบจนยอดอกสีเรื่อถูกลิ้นร้อนครอบครองดูดดุนจนแข็งสู้ ทั้งขบกัดพลัดกับเลียวนรอบฐานอก ความซ่านเสียวมารวมอยู่ตรงนั้นจนเจ้าตัวน้อยต้องจิกมือลงบนผ้าปูเตียงแน่น แอ่นอกรับสัมผัสที่เต็มใจจากคนที่รักที่สุดในชีวิต   

     อา!สัมผัสที่อบอุ่นอ่อนโยน...ของพี่เขม       

  “อื้อ!! อ๊า!”

        ดิ้นเร่าๆยามที่ถูกตีตราสัมผัสทั่วแผ่นอกสองข้าง ยอดอกสีสดแข็งชันและเปียกชื้นจากการถูกรังแกย้ำๆ คุณเขมยังตีตราลงต่ำไปยังหน้าท้องแบนราบ ใกล้บริเวณส่วนอ่อนไหวของกายเจ้ายมจนเสียดวูบที่ท้องน้อย

       “พี่เขม...”

      ร่างสูงผละออกมาชั่วครู่ บรรจงปลดเปลื้องอาภรณ์จนเปลือยเปล่าเผยสัดส่วนที่แข็งแรงมากด้วยกล้ามเนื้อสมเป็นชายชาตรี ใบหน้าของยมแดงระเรื่อคิดในใจ...เมื่อเทียบกับพี่เขมแล้วทำไมตนเองนั้นผอมและดูเก้งก้างเสียเหลือเกิน หากยังไม่ทันได้คิดไปมากกว่านั้น หน้าท้องแบนราบหดเกร็งด้วยชายผ้าถูกกระตุกออกจนตอนนี้เรือนร่างของยมไร้อาภรณ์ใดๆมาปกปิดขวางกั้น

      คุณเขมเบิกตากว้างมองคนรัก เวลาผ่านไปถึงห้าปี หากแต่เรือนกายของยมยังคงสวยงามแม้อาจจะเติบใหญ่ไปตามกาลเวลา ส่วนยมเองก็ได้แต่ก้มหน้าอย่างเขินอาย เรียวขานั้นถูเสียดสีไปมาด้วยความเย็นเยือก หารู้ไม่ว่ายิ่งเพิ่งความหลงใหลต่อคุณเขมมากขึ้นเป็นทวี

       “พี่เขม อื้อออ...อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!!!!”

       เจ้าตัวน้อยยิ่งร้องครางเมื่อใบหน้าคมคายครอบครองส่วนอ่อนไหวของร่างกาย แอ่นร่างขยับไปตามจังหวะที่คนรักมอบให้ ความรู้สักปวดหนึบก่อนหน้านี้จางหายเมื่อความสุขที่แทบจะล้นทะลักเข้ามาแทนที่ ลิ้นชื้นนั้นไล้เลียรอบปลายยอดระรัว  ใบหน้าหวานแหงนขึ้นเปล่งเสียงร้องไม่หยุดหย่อนอย่างสุขสม และความรู้สึกชวนสะดุ้งก็เข้ามาอีกครั้งเมื่อนิ้วร้ายเริ่มกรายหายเข้าไปในช่องทางสีหวานแล้วค่อยๆขยับทีละน้อย

     “อื้อออ!! อ๊า!!!!”

      ในที่สุดหยาดแห่งความสุขสมก็พุ่งทะลักออกมาเปื้อนใบหน้าคมคาย ส่วนหนึ่งตกลงมาเปื้อนหน้าท้องเนียน อีกส่วนริมฝีปากร้อนนั้นก็ลงมากลืนกินหยาดเล่านั้นราวกับเป็นธารหวานจากเกสรดอกไม้ก็ไม่ปาน เจ้าตัวน้อยหน้าแดงรอบที่เท่าใดก็ไม่รู้ด้วยไม่ชินกับภาพตรงหน้าเอาเสียเลย

     “คนบ้า...อ๊ะ!!”

     ยังไม่พอใจ นิ้วร้ายนิ้วที่สองก็แทรกเข้ามายังช่องทางด้านหลังเพื่อเชยชมความบริสุทธิ์ของคนใต้ร่าง มืออีกข้างก็ยกสะโพกให้ลอยสูงขึ้นเพื่อจะได้เชยชมความงามตรงนั้นอย่างถนัดถนี่

       “อย่าเกร็ง ผ่อนคลาย อ่า...ดีมากครับ”

      คุณเขมเอ่ยชมเมื่อช่องทางนั้นค่อยๆปรับสภาพไม่ให้เกร็งได้ มือน้อยขยุ้มจิกเส้นผมสะอาดระบายความหวาบหวาม ร่างของยมเกร็งกระตุกอีกคราเมื่อนิ้วร้ายนั้นดึงออก เปลี่ยนเป็นลิ้นชื้นที่ตวัดเลียช่องทางสีหวานแทน

        “อื้ออ!! พี่เขม มันสกปรกนะจ๊ะ พอเถอะจ้ะ ฮึก!!!”

       ลิ้นสากนั้นยังไม่หยุดปรนเปรอช่องทางด้านหลัง อีกทั้งนิ้วยาวทั้งห้ากลับยื่นไปรูดรั้งกลางกายเพิ่มความกระสันเพิ่มเป็นทวี ไม่นานเจ้าตัวน้อยก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าคนรักพร้อมแล้ว คุณเขมจึงค่อยๆปลดผ้าท่อนล่าง เผยความเป็นชายที่ยมเคยได้สัมผัสมาแล้ว ถึงกระนั้นยมเองก็ยังคงไม่คุ้นชินกับมันเท่าใดนัก

       ของพี่เขม...ใหญ่ขึ้นรึเปล่านะ?

      อ๋า! คิดอะไรลามกเสียจริงไอ้ยมเอ๊ย!!

      “พร้อมจะเป็นของพี่อีกครั้งหรือยังคนดี?” กระซิบเสียงนุ่มจนใจของเจ้ายมแทบจะล้นออกมา คนตัวเล็กพยักหน้า แต่ก็ยังไม่กล้ามองของพี่เขมเต็มตาอยู่ดี

       ยมอายนะ...คนบ้า

       เฮือก!!!

    ความรู้สึกเจ็บแปลบถาโถมเมื่อคุณเขมค่อยๆสอดใส่ความเป็นชายเข้ามาทีละนิด แม้จะเจ็บจนน้ำตาไหล แต่เพราะว่าเป็นสัมผัสจากคนรัก ยมจึงเม้มปากเพื่ออดทนต่อความเจ็บนั้นซึ่งจะแปรเปลี่ยนเป็นอีกความรู้สึกในไม่ช้า

       “ชู่ว์!ผ่อนคลายอีกนิด อ่า...นั่นแหละครับคนดี”

       กระซิบปลอยโยนน้องแล้วจูบซับน้ำตาให้ นิ้วเรียวยาวส่งขึ้นไปคลึงยอดอกสีสดเพื่อให้คนรักบรรเทาความเจ็บ พร้อมกันนั้นก็หยัดความเป็นชายเข้าไปจนสำเร็จ

       “อึก!!อ๊า!!!”

        “อ่า ยมอย่ารัดพี่แน่นสิครับ” คำพูดหยาบโลนทำให้ยมต้องตีแขนแกร่งด้วยความเขินอาย แต่ก็ปล่อยตัวไม่ให้เกร็ง เมื่อเห็นว่าน้องค่อยๆผ่อนคลายแล้วจึงลองขยับทีละนิด

        “อ๊ะ อ๊ะ พี่เขม อย่าแกล้งยม อื้อออ!!!”

       “หึๆ พี่ไม่ได้แกล้ง” ก้มจูบน้องอีกครั้ง “พี่เอาจริง”

       แล้วขยับช้าๆเพื่อให้คนรักค่อยๆปรับตัว จนเมื่อเห็นว่าน้องไม่เจ็บอีกทั้งยังแหงนหน้าครางเสียงหวานด้วยความรู้สึกดี จึงค่อยขยับเร็วมากขึ้น

          “อ๊ะ อ๊า!!!”

          “คนดี ไปพร้อมกันนะ”

          สองขาขาวเรียวกอดรัดเชิงกรานของคนรักไว้ ในขณะที่สองแขนนั้นเอื้อมมากอดคอคุณเขมแน่น ยิ่งกระสันมากขึ้นเมื่อมือใหญ่นั้นลงต่ำมารูดรั้งกลางกายเล็กขึ้นลง แต่ก็ไม่ลืมเพิ่มจังหวะขยับให้เร็วขึ้นเช่นกัน เสียงหวานที่เอาแต่เรียกชื่อยิ่งทำให้คุณเขมได้ใจ

        “พี่เขม...พี่เขมจ๋า อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!!!”

        “ยมจ๋า อ่า!”

       เอี๊ยด...เอี๊ยด!!

       เสียงเตียงไม้นั้นขยับเสียงดังตามความแรงที่คุณเขมถาโถมใส่เจ้ายมตัวน้อย ร้อนแรงขนาดที่ว่าแสงไต้ในตะเกียงที่จุดไว้ยังร้อนสู้ไม่ได้ถึงขั้นดับ แต่ก็หาได้เป็นอุปสรรคต่อสองร่างที่กอดรัดไม่ ร่างสูงยังคงกระแทกกลางกายแล้วเรียกชื่อเด็กน้อยที่เขารักอย่างโหยหา แล้วก้มลงจูบริมฝีปากมอบสัมผัสที่ร้อนแรงให้น้องอีกครั้ง

      มอบความรักให้น้อง ครั้งแล้ว...ครั้งเล่า

     “อ่ะ...อ๊า!!!”

     จวบจนร่างบอบบางเกร็งกระตุก ปลดปล่อยความสุขที่ได้รับออกมาอีกครั้ง กายสูงโถมเข้าหาแล้วซบลงบนไหล่เนียนหอบเหนื่อย หยาดเหงื่อกาฬอาบไปทั่วร่างกำยำ แต่ก็ยังไม่วายโน้มริมฝีปากหอมหน้าผากมนเจ้าตัวน้อยอีกครั้ง คุณเขมค่อยๆถอนความเป็นชายอันใหญ่โตออกแล้วนอนกอดคนตัวเล็กแนบชิด อีกทั้งสายตาอันร้อนแรงที่มองคนรักทะลุรัตติกาลทำให้คนตัวน้อยขวยเขินมากกว่าเดิมเสียอีก

       “รัก...” จูบริมฝีปากลงไปเบาๆ จนเจ้าตัวน้อยอดคิดไม่ได้เลยว่าแก้มจะช้ำไปหรือยัง มือใหญ่เอื้อมลูบเส้นผมอย่างทะนุถนอมคนรักที่เป็นยิ่งกว่าหัวใจและชีวิต

      “พี่รักเจ้าเหลือเกินยมเอ๋ย รักยิ่งกว่าชีวิตของพี่เสียอีก”

      “ยมก็เหมือนกันจ้ะ” กอดพี่เขมกลับ ร่างสูงที่สัมผัสได้ ไม่ใช่เพียงภาพในฝันซ้ำๆเดิมๆ ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป เป็นพี่เขมที่คอยฟังคำรักของยมเหมือนเมื่อตอนนั้น “ยมยังคงมีชีวิตและลมหายใจ เจ็บช้ำปางตายเพียงใด ยมก็จะรอพี่เขม ยมจะไม่ยอมตายจนกว่าจะได้เจอพี่อีกครั้ง”

     “ชื่นใจเหลือเกิน”

      “พี่เขมจ๊ะ?” อยู่ๆเจ้าตัวน้อยก็เอ่ยถามขึ้นมา ด้วยเรื่องที่คนรักของตนเคยหมั้นหมายกับบุตรสาวของผู้มีศักดิ์ยังคงเป็นที่คาใจไม่คลาย “ตอนที่ยังไม่พบกับพี่ ยมทราบเรื่องที่พี่แต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น พี่เขมรู้ไหมว่าตอนนั้น ยมเสียใจมากขนาดไหน”

       “เรื่องนี้พี่อธิบายได้” กอดร่างเล็กกันไม่ให้เจ้ายมกระเถิบห่าง “ฟังพี่สักนิด แล้วยมจะเข้าใจพี่”

       คุณเขมเล่าเรื่องตั้งแต่ครั้งที่ถูกทำร้ายตั้งแต่กลับมาถึงสยาม พระวินิตราชศักดิ์เล่าให้ฟังว่าคุณเขมสูญเสียความทรงจำถึงเรื่องยมชั่วคราว และถูกบีบให้หมั้นกับคุณจำปาโดยที่คุณเขมเองนั้นก็ไม่เต็มใจ จะว่าโชคดีก็ได้ที่ยังไม่ทันได้ตบแต่งเสร็จสรรพ ชายหนุ่มก็ถูกทำร้ายจนปางตาย แต่ก็รอดตายราวปาฎิหาริย์ราวกับว่าความฝันในครั้งนั้นได้ช่วยชีวิตไว้

      “ในความฝัน พี่มักเห็นคนๆหนึ่งเป็นภาพเลือนราง พี่รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่จำคนๆนั้นไม่ได้ เขาร้องไห้ให้พี่เห็น ตัดพ้อเสียใจน้อยใจจนพี่เจ็บ แต่คราที่พี่คิดว่าพี่จะสิ้นลม คนๆนั้นก็มาฉุดรั้งให้พี่กลับมามีชีวิตเหมือนกัน”

     คนๆนั้น...รึ?

    “แล้วคนที่พี่พบในฝันคนนั้น ก็คือยม”

    !!!

   “ยมจึงเป็นเหมือนลมหายใจของพี่ เป็นเจ้าชีวิตสำหรับพี่นะ”   

   “พี่เขม...”

   เจ้าตัวน้อยกอดพี่แน่นขึ้นหลังจากได้เข้าใจความจริงทุกอย่าง พี่เขมไม่ได้ลืมคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะไม่มีใครอื่น พี่เขมยังคงรักษาสัจจะที่ให้ไม่เปลี่ยนแปลง

     ขอบคุณจริงๆจ้ะ ...ขอบคุณที่ยังรักยม

    “มีอีกหนึ่งอย่าง ที่พี่จะเล่าให้ยมฟัง”

    ร่างสูงเอี้ยวกายลุกขึ้นจุดตะเกียงอีกครั้งเพื่อหยิบบางสิ่งที่เก็บไว้ใต้หมอน คุณเขมประคองมือน้อยนั้นช้อนขึ้นจูบซับอ่อนโยน

    “แม้พี่ไม่อาจนำแหวนนพรัตน์มาคืนเจ้าได้...” คุณเขมเอ่ยถ้อยอ่อนหวาน ถ้อยนั้นยิ่งทำให้เจ้าตัวน้อยเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าพี่เขมคงจะทราบความจริงว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ จึงได้แต่หน้าแดงอย่างปิดไม่มิดเมื่อเห็นว่าสิ่งตรงหน้าเป็นแหวนเพชรน้ำงามที่สลักตัวอักษรฝรั่งไว้

     “แต่แหวนเพชรนี้ ในคราแรกถูกฉกชิงโดยที่พี่ไม่อาจปกป้องมันไว้ได้ แต่ยามที่พี่ตื่น พี่ก็พบแหวนวงนี้อยู่ในมือ พี่จึงรู้ได้ว่าพี่ควรสวมให้ยมทันที เพราะยมคือคู่ชีวิตของพี่คนเดียวตลอดไป”

      “พี่เขม...”

     คู่ชีวิต...ของพี่เขม

    “แต่งงานกับพี่นะยม”

    “พี่เขม!”

    ยมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินถ้อยแปลกประหลาด ชายกับชายจะสามารถแต่งงานเหมือนชายหญิงสามัญได้อย่างไรกัน?

     “พี่ซื้อเรือนหอของเราไว้แล้ว เป็นเรือนเก่าริมน้ำของท่านพระยาที่พี่เคารพที่ปากเกร็ด คุณพ่อเองก็เข้าใจความรักของเรา อีกทั้งคุณบูรพาเพื่อนของพี่จะมาเล่นไวโอลินในงานแต่งเล็กๆของเราด้วย ยมเอ๋ย ความรักของเราเป็นรักที่บริสุทธิ์ ไม่ได้ทำร้ายผู้ใด ได้โปรดเชื่อใจพี่เถิด ไม่ว่าต่อไปจากเจออุปสรรคขวากหนามเพียงใด พี่จะเป็นคนปกป้องน้องจวบลมหายใจสุดท้าย”

     ในเมื่อพี่เขมพูดกล่าวออกมาถึงขนาดนี้ แล้วยมจะปฎิเสธได้อย่างไรล่ะจ๊ะ

    ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น...จะทำอะไรก็ควรรีบทำ นั่นสิ! กว่าจะได้พบก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากพี่เขมปรารถนาสิ่งใด ยมก็ยินดีมอบให้พี่เขม อย่าว่าแต่ร่างกายเลย ทั้งหัวใจและวิญญาณ ยมก็มอบให้คนตรงหน้าแล้วตั้งแต่ก่อนจากในครานั้น

     “ยมจะแต่งงานกับพี่จ้ะ”   

    “ยมเอ๋ย...รู้ไหมว่าพี่ชื่นใจนักที่ได้ยินคำตอบนี้จากน้อง”   

    ริมฝีปากหยักศกคลี่ยิ้ม แล้วบรรจงสวมแหวนวงนั้นที่นิ้วนางข้างซ้าย ขณะสวมแหวนแต่งงานมือใหญ่นั้นเห่อร้อนและสั่นเทาราวกับหนุ่มหัดรัก แล้วจูบแหวนวงนั้นหลังจากที่ได้บรรจงสวมให้คนรักจนเสร็จ

   และไม่รอให้เจ้าตัวน้อยได้กล่าวสิ่งใดอีก กายสูงนั้นขึ้นคร่อมยมอีกครั้งแล้วบดเบียดริมฝีปากร้อนแรง ตีตราจับจองกายน้อยอย่างโหยหา มอบความสัมพันธ์ทางกายและใจอันร้อนแรงในค่ำคืน อีกครั้ง...และอีกครั้ง

     และจวบจน...แสงไต้ที่เพิ่งถูกจุดนั้นดับลงอีกครั้ง ก่อนที่อรุณรุ่งสางวันใหม่จะมาเยือนเสียอีก!

    ดั่งจันทร์เป็นพยานในความรัก     หทัยภักดิ์คนดีของพี่เอ๋ย

คำสัญญาของเราไม่ละเลย             พี่ได้กอดแนบยมเจ้าคนดี

    ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร        ไม่สิ้นสุดความรักที่พี่มี

ต่อให้ม้วยลมหายใจชีวี                 ขอปกป้องแก้วตาพี่ตลอดไป



**กรี๊ดดดดด!!!ตบมือสิคะรออะไรรรร พระนายได้พบกันแล้วค่ะ มีกามเทพหนูขมคอยนำพาาา ขอเสียงแม่ยกเขมยมหน่อยเร้ววววว

**เอ็นซีนี่แบบ...สูบวิญญาณไรท์ไปเต็มๆ ปกติไรท์สายอ่านมากกว่า พอมาเขียนเองละแบบ ถึงกับต้องไปคว้าน้องยีนส์ใกล้ๆมาอ่าน55555(ไรท์เขียนเอ็นซีไม่เก่งไง-...-)

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
  แสงในยามเช้าตรู่สาดส่อง ดวงตาหวานล้ำดวงน้อยค่อยๆลืมตา ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางๆ ยื่นมือไปลูบสันกรามใบหน้าของคนรักเบาๆ ความรักที่สัมผัสได้ ไม่ใช่เพียงภาพในฝันอีกต่อไป   

   “พี่เขมของยม...”     

เสียงหวานกระซิบเบาๆข้างหูร่างหนา ก่อนจะยื่นไปหน้าหอมแก้มคุณเขมแล้วกลายเป็นฝ่ายเขินอายเสียเอง                     

 “ลวนลามพี่หรือคนดี?”   

“หวา!!”   

   รีบชักมือกลับ แต่ถูกมือใหญ่คว้าอย่างรวดเร็วแล้วยกขึ้นจูบซับ     

 “พี่เขม ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กันจ๊ะ?”     

 “พี่ตื่นตั้งแต่มีเด็กซนมาจับหน้าพี่แล้ว” แกล้งจูบมือน้องย้ำๆ “แต่พี่อยากรู้ ว่ายมจะสัมผัสอะไรพี่อีก”   

  “พี่เขมบ้า!! ปล่อยเลยนะจ๊ะ!”       เจ้าตัวน้อยตีแผ่นหลังเปลือยเปล่าดังเพี๊ยะ ฉวยผ้าห่มมุดตัวหนีคนรักซ่อนหน้าแดงก่ำ คุณเขมหัวเราะก่อนจะตามไปกอดเจ้ายมแนบแน่น ยมตัวน้อยหันมาหรี่ตามองคนรักด้วยความเคือง แต่ก็ยอมให้คุณเขมฉวยโอกาสหอมแก้มอีกรอบ     

 “ไม่เอาแล้วจ้ะ พี่เขมไปอาบน้ำได้แล้วนะ ยมลุกไม่ไหวขอเวลาสักพัก” 

     คนตัวโตยิ้มกรุ้มกริ่ม โชคดีที่แค่ตะเกียงแสงไต้ดับ หากคุณเขมไม่ยั้งแรงละก็ อาจจะตามมาด้วยเตียงไม้ที่คงจะหักตามก็เป็นได้ แล้วจะไม่ให้เจ้าตัวน้อยระบมช่วงล่างได้อย่างไรกัน     

“พี่ขอโทษนะคนดี” กระซิบเสียงอ้อน “ให้พี่อาบน้ำให้ยมนะครับ” 

   “มะ...ไม่เอา...” แก้มน้อยขึ้นสีเรื่อ เพราะกลัวพี่เขมจะรุนแรงใส่อีก คุณเขมหัวเราะเบาๆก่อนจะฉวยโอบอุ้มร่างน้อยขึ้นแนบอกทั้งผ้าคลุมกาย   

   “อาบน้ำอย่างเดียว เอ...หรืออยากให้พี่ทำอย่างอื่นด้วย หื้ม?”     

  จมูกโด่งนั้นคลอเคลียแก้มนิ่มที่เห่อร้อนจนยมต้องซุกหน้า บอกพี่เสียงสั่น       

“อาบอย่างเดียวแน่นะจ๊ะ?”   

  “ก็ยมเจ็บขนาดนี้ พี่จะรังแกยมได้อย่างไรกัน”

   “...” เจ้ายมตัวน้อยก้มหน้างุด อย่างไรพี่เขมก็คือพี่เขม ทั้งอบอุ่น อ่อนโยนไม่ต่างจากเมื่อห้าปีก่อนไม่มีผิด คนๆนี้ที่ยมรัก ต่อให้ต้องทนกับสิ่งใดที่สาหัส...ณ เพลานี้ช่างคุ้มค้าสมกับวันเวลาที่รอคอยเหลือเกิน         



สามวันผ่านไป...คุณเขมมักพายมมาแวะเวียนหาหนูขมบ้างด้วยคนรักร้องขอ หนูขมเองก็ดูจะถูกอกถูกใจคุณน้ารูปงามใจดีคนนี้เป็นพิเศษ เป็นเวลาเดียวกับที่นายหมึกต้องหยุดงานมาดูแลนางจันทร์ที่เกิดอาการป่วยครั่นเนื้อครั่นตัว จึงได้รู้ว่าชายหนุ่มมีตระกูลสูงผู้นี้แสนดีกับลูกชายของพวกตนอย่างไร     

 “หนูขมเคยหลงทาง แต่น้าเขมคนนี้ช่วยหนูตามหาพี่ยม น้าเขมใจดีมากเลย วันนี้ยังซื้อขนมมาให้หนูขมอีก”                    เสียงเจื้อยแจ้วที่เล่าเรื่องความใจดีของน้าเขม ทำให้นางจันทร์เกิดความคิดบางอย่าง...เพราะเมื่อได้รู้ความจริงว่าคุณเขมคือคนรักของยม เป็นคนๆนี้ที่ยมเฝ้ารอคอยมาตลอด และดูเหมือนว่า หนูขมจะถูกอกถูกใจกับอัธยาศัยคุณน้าใจดีเสียด้วยสิ          แต่แล้วไม่นาน...กาลที่ต้องลาจากก็เวียนมาถึง ในวันนี้เอง!   

  “นี่จะกลับกันไปแล้วรึ? เหตุใดถึงกะทันหันอย่างนี้เล่าพ่อยม?”     

  หญิงชราเอ่ยถามคนทั้งสอง เพราะตอนนี้ยมพร้อมกับชายหนุ่มรูปงามที่ชื่อว่าคุณเขมกำลังมายืนบอกลาตนอยู่ตรงหน้า โดยมีนายหมึกกับนางจันทร์ยืนจับไหล่ของลูกชายตัวน้อยที่ทำท่าจะเบะปากร้องไห้เมื่อได้ยินคำบอกลาจากพี่ชายที่แสนดี           

  “พอดีพี่เขมยังมีงานที่ต้องไปกลับไปทำด่วนที่พระนครน่ะจ้ะ ยมไม่อยากให้พี่เขมเสียงาน”        เด็กหนุ่มบอกไปตามจริง เพราะผ่านไปสามวันคุณเขมนึกได้ว่ายังมีงานด่วนที่ต้องไปจัดการที่กระทรวง

และแน่นอนว่าในฐานะคนรัก...ยมจะติดตามพี่เขมไปด้วยทุกที่ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นที่ใด     

“อย่างไรยมขอบคุณป้าแจ่วที่เมตตายม ไม่รังเกียจยมนะจ๊ะ” มือทั้งสองไหว้ผู้ใหญ่ด้วยความจริงใจ ก่อนจำต้องเอ่ยชื่อคนๆขึ้นมาอีกครั้ง เผื่ออย่างน้อย ผู้มีพระคุณของยมจะได้สบายใจที่ต่อไปยมได้อยู่กับคนที่รัก หมดทุกข์โศกเสียที   

   “ถ้าหากคุณโดมกลับมาที่นี่ ยมฝากป้าแจ่วบอกลาแทนด้วยนะจ๊ะ”     

 ป้าแจ่วพยักหน้ารับรู้หลังยมยื่นกระดาษใบเล็กส่งให้ ไม่บอกก็พอจะทราบว่าคือจดหมายบอกลา แม้คุณเขมจะไม่ชอบชื่อคุณโดมอะไรนั่นเท่าใดนัก แต่กลับไม่ได้แสดงอาการหึงหวงออกมา ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของตนเองที่ทิ้งยมไปจนยมต้องลำบาก แล้วเขาก็เป็นคนที่ช่วยยม...ทำให้ยมยังมีลมหายใจได้คอยคุณเขมเช่นเดียวกัน เท่ากับคุณโดมก็มีพระคุณต่อทั้งยม และคุณเขมเช่นเดียวกัน 

    “พี่ยมจ๋า!!”       

 เด็กน้อยวิ่งเข้ามากอดพี่ชายที่รักเป็นที่สุด หนูขมไม่อาจทนเห็นพี่ชายจากไปอย่างนี้ได้ ใจจริงนั้นอยากขอตามไปด้วย แต่หนูขมก็ยังมีพ่อกับแม่ที่อยู่ทางนี้เช่นกัน   

   “หนูขม...”      ยมนั่งยองมองเด็กน้อย เจ้าหนูร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตาแป๋วนั้นแดงก่ำตนอดสงสารไม่ได้ 

   “อยู่กับหนูไม่ได้หรือ ฮึก!! พี่ยมคอยอยู่เป็นหนูตอนที่พ่อกับแม่ไม่อยู่ พี่ยมตามใจหนูขมทุกอย่าง หนูขมไม่อยากให้พี่ยมไป”     

 แม้ตัวจะยังกอดรั้งไม่ยอมให้พี่ยมไป แต่สายตาแป๋วแหววนั้นก็เบนไปวิงวอนต่อคุณน้าใจดีที่โอบร่างของยมข้างๆ                “น้าจ๋า อย่าเอาพี่ยมไปเลยนะจ๊ะ หนูขมก็ไม่อยากให้น้าไปเหมือนกัน” 

   นายหมึกกับนางจันทร์ได้แต่หันหน้ามองกันแล้วทอดถอนใจ ตลอดเวลาที่พวกตนสองคนเอาแต่คร่ำเคร่งทำงานหามรุ่งหามค่ำ ทิ้งลูกไว้กับคนเป็นย่า พอได้มียมมาอยู่เป็นเพื่อนจึงย่อมผูกพันเป็นธรรมดา เมื่อสองผัวเมียทราบเรื่องราวทั้งหมดจากป้าแจ่ว จึงพอจะรู้ว่าอย่างไรซักวันยมก็จะต้องกลับไป หนูขมก็คงจะเหงาเหมือนก่อนหน้าที่จะได้เจอกับพี่ยม                         หวังว่าสิ่งที่ตัดสินใจตั้งแต่เมื่อคืน...จะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด   

   “คุณเขมจ๊ะ ฉันกับพี่หมึกตัดสินใจแล้วจ้ะ ว่าจะยกหนูขมให้เป็นลูกบุญธรรม”

     “พี่จันทร์...”   

    เด็กหนุ่มอ้าปากค้างอย่างไม่คาดคิด แม้แต่เจ้าหนูที่กำลังร้องไห้ยังหยุดชะงักเมื่อได้ฟังสิ่งที่ออกจากปากของมารดา นางจันทร์คุกเข่าลงเข้ามากอดลูกชาย     

 “แม่ขอโทษที่ไม่มีเวลาอยู่กับหนู แต่แม่เชื่อว่าหากหนูได้ไปอยู่กับสองคนนี้ หนูน่าจะมีความสุขมากกว่านี้”       คนเป็นมารดาน้ำตาไหลอาบแก้ม ใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกชายเธอที่ไม่ค่อยมีเวลาได้กลับมานอนกอดเพราะเอาแต่ทำงานเลี้ยงชีพ หากได้ไปอยู่กับคนที่รักลูกของเธอจริงๆ หนูขมน่าจะมีความสุขกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ แม้เธอจะเพิ่งจะพบคุณเขมได้ไม่กี่ครั้ง แต่หากเป็นคนที่ยมรักมากขนาดนี้ เขาก็อาจจะรักหนูขม...เหมือนที่ยมรักก็ได้ 

   “แม่ไม่รักหนูแล้วหรือจ๊ะ?”     

เด็กน้อยสะอื้นอีกครั้งจนยมแทบจะร้องตาม หนูขมเพียงแค่ไม่อยากให้พี่ยมต้องไปเท่านั้นเอง ไม่คิดว่าแม่จะยกให้หนูขมเป็นลูกของคนอื่น ถึงคนๆนี้จะเป็นคุณน้าใจดีก็ตาม   

 “พ่อกับแม่รักหนูเสมอ แต่หนูขม...บ้านของเรายากจนมาก พ่อกับแม่ก็ผัวหาบเมียคอน ไม่มีเวลาเลี้ยงดูหนู พอแม่เห็นหนูผูกพันกับยม แม่ก็อยากให้หนูได้อยู่กับคนที่เอาใจใส่หนูได้มากกว่าพ่อกับแม่”   

  นางค่อยๆลุกยืน ดันร่างป้อมของหนูขมเบาๆส่งให้คนสองคนที่ตนปักใจ และพร้อมจะฝากชีวิตของลูกไว้ได้                    “พี่ฝากลูกของพี่ด้วยนะยม ถือว่าเห็นแก่ความสุขของหนูขม ฝากเติมเต็มความรักให้หนูขมต่อไปนะ” แล้วหันมองคุณเขมที่จ้องมองสบตาเข้ากับหนูน้อยพอดี

 “ฉันฝากลูกของฉันด้วยนะจ๊ะ หากวันไหนที่ไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำหนักเหมือนยามนี้แล้ว ฉันจะลงไปเยี่ยมลูกของฉันบ้าง”     

แม้ยมอาจยังสับสนและงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วเกินความคิด คุณเขมก็หันมองคนรักแวบหนึ่งเพื่อตั้งใจจะสื่อว่า...เขาเข้าใจจุดประสงค์มารดาของเด็กคนนี้แล้ว

     “ผมเข้าใจแล้วครับ” แล้วนั่งยองสบสายตากับเด็กน้อยอีกครั้ง มือใหญ่เอื้อมไปลูบขวัญโดยที่หนูขมยืนนิ่ง ดังมีสายใยที่มองไม่เห็นเชื่อมสามชีวิตให้คล้องร่วมกัน  ทั้งป้าแจ่วกับนายหมึกมองภาพนั้นอย่างแปลกใจ เพราะหากเป็นคนแปลกหน้าใดที่แม้แต่จะเข้ามาใกล้ เจ้าหนูจะปฏิเสธและหนีท่าเดียว     

  “หนูขม ไปอยู่กับพ่อนะลูก พ่อจะเลี้ยงหนูเอง”     

  ดั่งมีสายใยบางๆที่มองไม่เห็น แววตาที่หนูขมเชื่อใจตั้งแต่แรกพบ ถ้าหากเป็นน้าคนนี้ที่พี่ยมรัก หนูขมก็จะรักด้วย  เจ้าหนูหันไปมองรอบๆ มีพ่อหมึก แม่จันทร์ รวมทั้งย่าแจ่วต่างพยักหน้าส่งให้กลายๆ

      หรือว่าชะตาบันดาล...ให้เด็กคนนี้ได้เป็นโซ่ทองคล้องรักของคุณเขมกับยม

    “หนูขมจะไปกับพ่อจ้ะ”





     ตลอดการเดินทางแม้คุณเขมจะรู้สึกเมื่อยล้า แต่ยามที่ได้หันไปมอบใบหน้าของคนรักที่อยู่เคียงข้าง ร่างสูงจึงบังคับพวงมาลัยมาถึงยังบ้านหลังใหม่ที่ปากเกร็ดจนได้ คุณเขมไม่ต้องการให้ยมกลับไปที่ๆปวดร้าวแห่งนั้นอีก 

      เรือนไทยติดริมน้ำที่มีการทำความสะอาดไปบางส่วนตั้งเด่นตระหง่าน มือใหญ่โอบเอวคนรักเดินเข้ามาทัศนาใกล้ๆ เรือนนี้อาจหาได้ใหญ่โตเท่าเรือนของคุณพระที่พระนครนัก แต่ด้วยความร่มรื่นย์รอบๆ ทำให้ยมรู้สึกหลงรักที่แห่งนี้ตั้งแต่แรกเห็น   

   “ชอบไหมคนดี?” คุณเขมกระซิบถามคนตัวน้อยที่ยามนี้จับจ้องเรือนหอหลังงามไม่วางตา เจ้ายมพยักหน้ารับ                   

   “ชอบที่สุดเลยจ้ะ ไม่กว้างเกินไป แต่ก็ไม่ได้คับแคบ หนำซ้ำริมน้ำยังมีสายบัวน่าลงไปเก็บด้วย”   

   ได้ฟังเช่นนี้...คุณเขมก็สบายใจ เพราะในใจยังรู้สึกผิดที่ไม่ได้พายมมาดูด้วยตั้งแต่แรก โชคดีที่คนรักของเขาเป็นคนชอบอะไรเหมือนๆกันแทบทุกอย่าง   

   “แล้วหนูขมล่ะลูก...” ร่างสูงหันไปถามลูกชายตัวน้อยที่กำลังจูงมือยมเช่นเดียวกัน “หนูขมชอบที่นี่ไหมครับลูก?”   

  “ชอบจ้ะพ่อเขม...พ่อยม ชอบมากๆเลย!”       หนูขมตอบเสียงเจื้อยแจ้วแล้วยิ้มแป้น คำว่าพ่อเขมพ่อยมที่ได้ฟังทำเอาเจ้ายมเอียงอาย เพราะตั้งแต่พี่เขมประกาศว่าจะรับหนูขมเป็นบุตรบุญธรรม ราวกับชะตาขีดให้หนูขมมาเป็นส่วนหนึ่งของความรัก...เจ้าหนูที่มักต่อต้านคนแปลกหน้าจึงยินยอมให้คุณน้าใจดี ได้เปลี่ยนสถานะมาเป็น ‘พ่อเขม’   

 และเปลี่ยนจากเรียกพี่ยม มาเป็น ‘พ่อยม’ !   

 ‘ยมเป็นคนรักของพ่อ ครั้นจะให้เรียกแม่ยมก็ดูพิกล ต่อไปหนูขมต้องเรียกว่าพ่อยมแทน เข้าใจไหมลูก?’   

  ‘จ้ะ พ่อเขม...พ่อยม’     

เด็กหนอเด็ก...

 หนูขมเศร้าอยู่นานที่ต้องจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่พอได้พูดคุยกับพ่อเขมเพียงไม่กี่คำกลับเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย ความร่าเริงจึงกลับมาหาเจ้าหนูได้อย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยเศร้ามาก่อนเสียอย่างนั้น     

  “ห้องหับยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย คืนนี้เรานอนด้วยกันสามคนไปก่อนนะยม”   

    ด้วยเรือนหลังนี้คุณเขมซื้อไว้ตั้งแต่ยังจำยมไม่ได้จึงถูกทำความสะอาดไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ตอนนั้น...รู้เพียงแค่ว่าจะซื้อไว้เพื่อรอใครซักคนที่ตามหา ซึ่งคนๆนั้น ได้กลับมาจับมืออยู่ด้วยกัน ณ ตรงนี้แล้ว     

  “เย่ๆ พ่อเขมพ่อยมนอนกอดหนูขมๆ เอ๊ะ! ผีเสื้อสวยจังเลยยย...”     

 เจ้าเด็กน้อยกระโดดไปมาอย่างร่าเริง แล้วหันไปพูดคุยกับผีเสื้อตัวน้อยที่เกาะอยู่บนดอกไม้งามใกล้ๆแทน ตอนนี้ทั้งสามมานั่งชมความงามของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลเอื่อย คุณเขมมองมือใหญ่ที่กำลังกุมมือคนรักแนบแน่นแล้วส่งยิ้มให้กับหัวใจที่ได้กลับคืนมา       

“พี่ดีใจที่สุดเลย ที่ในที่สุดเราก็ได้สร้างครอบครัวด้วยกันตามความตั้งใจ ไม่คิดเลยการไปตามหายมครั้งนี้ เราจะได้ลูกชายของเรากลับมาด้วย”       

 “ยมก็เหมือนกันจ้ะ...” ซุกหน้าเข้าหาแผงอกแกร่งออดอ้อน ซ่อนหน้าแดงก่ำที่เขินอายไม่ให้พี่เขมมอง “ยมดีใจ ที่การรอคอยของยมไม่เสียเปล่า ดีใจ...ที่พี่เขมเองก็มั่นคงกับยม เหมือนที่หัวใจของยมมั่นคงต่อพี่” 

     ไม่มีเสียงใดๆตอบรับ มีเพียงรอยยิ้มที่คลี่บางเบา เขาก้มจูบขมับคนตัวน้อยเบาๆก่อนจะค่อยๆล้มตัวลงนอนบนตักนุ่มนิ่มของเจ้ายมตัวน้อย     

  “เดี๋ยวเย็นนี้พี่ว่าจะเข้ากระทรวงเสียหน่อย อยากนอนพักเอาแรงสักครู่ พี่เหนื่อยเหลือเกิน”     

  “เช่นนั้นขึ้นไปนอนบนเรือนแทนดีไหมจ๊ะ? พี่เขมจะได้นอนสบายๆ”     

   “อือม์...ก็ดีเหมือนกัน”  ร่างสูงค่อยๆผุดลุกขึ้น ที่จริงตักของคนรักนุ่มกว่าหมอนที่เคยหนุนนอนเสียอีก แต่เพราะกลัวเจ้าตัวน้อยจะเมื่อยเอาจึงพยักหน้าและจูงมือน้อยขึ้นไปบนเรือน       

  “หนูขม ขึ้นไปนอนกับพ่อไหมลูก?”           

คุณเขมเอ่ยชวนลูกชายตัวน้อยที่ยังนั่งจ้องผีเสื้อไม่วางตา เจ้าหนูส่ายหน้าพร้อมให้เหตุผลว่าไม่อยากขัดจังหวะของพ่อทั้งสอง ทำเอายมนั้นแทบจะเอาค้อนให้กับความแก่แดดแก่ลมของเจ้าหนูเสียจริง!   

      สายลมพัดผ่านหน้าต่างขึ้นมายังห้องนอนด้านบน ในห้องนอนที่ถูกทำความสะอาดและปูฟูกเสร็จสรรพ คุณเขมตระกองกอดเจ้าร่างน้อยให้ล้มตัวนอนลงด้วยกัน ริมฝีปากหยักศกยังไม่วายแอบพรมจูบใบหน้าน้องอย่างแนบเนียน จนคนถูกจูบหน้าแดงเป็นลูกตำลึง     

    “อื้ออ!! พี่เขม ไหนว่าง่วงนอนมิใช่หรือจ๊ะ?”       

 “หึๆ” จูบน้องอีกครั้งหนึ่งแล้วคว้าร่างคนรักเข้ามากอด “ก็ยมน่ารักขนาดนี้ พี่ก็อดใจไม่ไหวน่ะสิ”   

   “บ้า!!”     

 ยมทุบอกแกร่งไปหนึ่งที คุณเขมหัวเราะออกมาอีกครั้ง นานแล้วที่ไม่ได้ยิ้มหรือหัวเราะบ่อยครั้งเช่นนี้ ดวงตาคมเข้มจับจ้องวงหน้าหวานอีกครั้งแล้วค่อยๆปิดตาลงอย่างเหนื่อยล้า 

      “ฝันดีจ้ะ...พี่เขม”       คนตัวเล็กลอบจูบแก้มสากแผ่วเบา ก่อนจะซุกหน้าเข้าหาคนรักแล้วหลับไปด้วยกันในที่สุด โดยไม่ทันเห็นเจ้าหนูขมที่แอบตามขึ้นมาส่องความเป็นไปของพ่อทั้งสอง     

   “อุ๊ย!! คิกๆ”     

 เจ้าหนูยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะเบาๆ เพราะเกรงว่าจะทำให้พ่อเขมที่กำลังนอนกอดพ่อยมตื่นเสียก่อน แม่จันทร์สอนไว้ว่าทำเสียงดังรบกวนคนนอนหลับเป็นสิ่งไม่ดี       

โดยเฉพาะคนที่เป็น...สามีภรรยา!!



     ชีวิตคู่ของคุณเขมเรียบง่าย ดำเนินไปตามปกติสุข คนเป็นสามีออกไปทำงานที่พระนครเช่นเดิม เพราะมีรถยนต์การเดินทางจึงสะดวกรวดเร็ว ส่วนยมก็เลี้ยงดูหนูขมที่เรือน ปัดกวาดเช็ดถูรอบๆเล็กน้อยแก้ว่าง ทำกับข้าวกับปลาคอยต้อนรับสามี ความรักของพวกเขาอาจไม่เหมือนความรักของคนอื่นนัก แต่เชื่อได้เลยว่า ไม่มีหัวใจของผู้ใดจะสุขไปกว่าคนสองคนที่สบสายตาให้กัตลอดเวลา

     จวบจนวันหนึ่งที่คุณเขมเรียกยมและหนูขมมาพูดคุยกันถึงเรื่องแต่งงานกันในเรือนแห่งนี้

     “ความจริงเราแค่ได้อยู่ด้วยกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับได้แต่งงานแล้วนะจ๊ะ”

     “แต่ยมเป็นคนที่พี่รักมากที่สุด...” จับมือน้องน้อย แล้วจับจ้องวงหน้าด้วยแววตาจริงจัง “พี่อยากทำให้ทุกอย่างถูกต้อง พี่อยากรับขวัญ อยากให้ยมมีความสุขกับสิ่งที่พี่ตั้งใจจะทำให้ยม”

      ถ้อยที่แสนหวานกับแววตาคมเข้มที่มองมาด้วยความจริงใจ ทำให้ยมไม่ออกปากค้านออกมาอีก ในหัวใจของยมอบอุ่นพองโต...เมื่อได้รับขวัญจากคนรัก

     รอบๆเรือนไม่ได้จัดประดับตกแต่งพิธีรีตองอันใดมากตามที่ยมร้องขอ มีเพียงครอบครัวอันมีสมาชิกสามคน มีเพียงหนูขมลูกชายตัวน้อยเป็นพยานความรัก และแขกคนสำคัญเพียงไม่กี่คน

      “พี่เพลิง พี่มั่น พี่เดือน!!”

    “ยม...”

    เด็กหนุ่มโผเข้ากอดพี่ๆทั้งสามที่ให้ความเอ็นดูตนมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ตอนที่เพลิงทราบข่าวว่าคุณเขมกำลังจะจัดงานแต่งงานเล็กๆกับยม จึงไม่รอช้าที่จะพามั่นกับเดือนเดินทางมาหายมเพื่อยินดีที่นายของตนตามหาหัวใจจนพบเสียที

    “พี่ดีใจเหลือเกินยม ดีใจที่ยมยังมีชีวิตอยู่ พี่เป็นห่วงเอ็งมากรู้ไหม?” เดือนยิ้มออกมาด้วยความปีติ เรื่องร้ายกลายเป็นดี ดีใจที่เด็กน้อยที่เธอรักเหมือนน้องชายยังมีชีวิต อีกทั้งยังเป็นผู้บริสุทธิ์ หาได้เป็นขโมยอย่างที่เคยถูกครหาไม่

    “ข้าเองก็ดีใจ หมดทุกข์หมดโศกเสียทีนะเจ้ายม แล้วข้าต้องขอโทษด้วยที่วันนั้น...”

    “ช่างมันเถิดจ้ะพี่เพลิง...” ยมชิงตัดบท “เรื่องมันผ่านมาแล้ว ลืมมันไปเถิดจ้ะ”

    “ก็ดีแล้วล่ะที่เอ็งลืมเรื่องร้ายๆไปได้”

    เสียงผู้มีศักดิ์และอำนาจ ทาสทั้งสามก้มหมอบ รวมถึงยมที่ค่อยๆก้มหมอบเช่นเดียวกันอย่างงุนงง เมื่อคุณพระวินิตราชศักดิ์ได้มาปรากฏยังที่เรือนแห่งนี้

     “คุณพระ!”   

   “อือม์...ข้าเอง” คุณพระตอบเสียงเรียบมีอำนาจ ท่านมองยมด้วยความเวทนา รอยแผลเหวอะบนใบหน้าอันเกิดจากฝีมือภริยาทำให้ยมที่ควรจะมีหน้าตาน่ารักเสียโฉม 

       คิดถูกแล้วที่เมตตา...เจ้ายมช่างน่าสงสารเหลือเกิน

     “พี่เข้าไปตรวจงานในกระทรวงมหาดไทย จึงรับคุณพ่อมาด้วยเสียเลย เกรงว่าหากไปรับที่เรือนอาจจะวุ่นวาย” คุณเขมบอกคนรักให้คลายสงสัย แต่กระนั้นเจ้ายมก็ยังคงก้มต่ำ ไม่ค่อยกล้าขึ้นสบตาผู้เป็นนายเท่าใดนัก

     “เอ็งไม่ต้องตกใจหรอกที่เห็นข้า ข้ารู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว”

    เห็นเจ้ายมยังหน้าตาเลิ่กลั่ก คุณพระจึงบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลง คุณเขมเองก็เข้ามาจับมือคนรักไว้แล้วบีบเบาๆ หนูขมเห็นพ่อเขมกำลังกอดพ่อยมจึงวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้ามากอดบ้าง     

 “เอ๊ะ! แล้วเด็กคนนั้นลูกเต้าเหล่าใครกันรึ?”     

 ผู้มีศักดิ์พลันเห็นเด็กชายวัยประมาณห้าหกขวบยืนมองตาแป๋วด้วยอยากรู้ว่าแขกผู้มาเยือนคือใคร คงเป็นผู้มีศักดิ์สูงมาก พ่อยมถึงได้ก้มหมอบกราบอย่างนอบน้อม   

  “ยม พาหนูขมมาหาคุณปู่สิครับ”

 คุณเขมเรียกคนรัก ยมพยักหน้าก่อนจะจูงมือลูกชายตัวน้อยให้เดินมาหาใกล้ๆ   

  “คุณพ่อขอรับ เด็กคนนี้คือลูกของเราสองคน หนูขม กราบคุณปู่สิลูก”   

   “ทำอย่างนี้นะลูก”   

   เจ้าหนูเดินต้อยๆมาก้มลงกราบบนตักของชายวัยใกล้ชราตามที่พ่อยมเป็นคนแนะนำ โดยมีพ่อเขมคอยอธิบายเรื่องความผูกพันระหว่างยมกับหนูขมที่ทำให้คุณเขมไม่สามารถแยกทั้งสองคนได้ จึงตัดสินใจรับหนูขมเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่ตอนนั้น     

 “หากพ่อกับแม่ของเขาเป็นผู้เอ่ยปากยกให้พ่อเขมก็ต้องดูแลเด็กคนนี้ให้ดี ยมก็ด้วย เข้าใจไหม?”     

“ขอรับคุณพระ” 

 “ไหน...ขอดูหน้าหลานปู่ชัดๆหน่อยซิ”       

“ปู่จ๋าปู่รูปงามจังเลยจ้ะ” หนูขมยิ้มแป้นประจบ คุณพระกลั้วหัวเราะลูบศีรษะป้อยเบาๆ

  “ฮ่ะๆ หลานคนนี้ ช่างพูดช่างจาน่าเอ็นดูเสียจริง”

      ดูเหมือนคุณปู่จะติดใจเจ้าหลานชายคนใหม่เสียแล้ว คุณเขมกับยมเห็นเช่นนั้นจึงค่อยเบาใจ ก่อนจะแนะนำแขกที่คนที่ตนรับมางานแต่งเช่นเดียวกัน

      “ยม นี่คุณบูรพา เพื่อนที่พี่บอกว่าจะมาเล่นดนตรีงานแต่งของเรา”

      “ยมไหว้จ้ะ”

     เด็กหนุ่มจรดมือพุ่มไหว้ คุณบูรพารับไหว้แล้วยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินเข้าไปเชยชมคนรักของคุณเขมที่เจ้าตัวพร่ำว่าคิดถึงนักคิดถึงหนา ตาก็เหลือบมองนิ้วเรียวที่ได้สวมใส่แหวนเพชรวงนั้นเป็นที่เรียบร้อย

    เด็กคนนี้สินะ...คู่ชีวิตของคุณเขม

    “น้องยมนี่ตาสวยหวานจังเลยนะครับ ผิวก็เนียน ไม่แปลกที่จะทำให้คุณเขมหลงใหลขนาดนี้”

    ถ้าไม่ติดว่าใบหน้าครึ่งซีกมีแผลเหวอะ...ยมก็คงจะเป็นเด็กหนุ่มที่รูปงามกว่านี้

   คุณบูรพาคิดอย่างนึกเสียดาย แต่เพราะวันนี้เป็นวันดี ชายหนุ่มจึงหาเรื่องพูดคุยเพื่อไม่ให้ยมรู้สึกเกร็ง ด้วยตอนนี้เด็กหนุ่มได้แต่ตัวแข็งทื่อยามที่ถูกมองวงหน้า

    “เสียงก็ไพเราะชวนฟัง หากน้องยมอยากจะเรียนขับร้องกับพี่ พี่ยินดีสอนให้ดีไหมครับ พี่ไม่คิดอัฐนะ”

     “จริงหรือจ๊ะ?”

      ดวงตาหวานเบิกกว้าง เพราะใครๆต่างก็เคยบอกให้ยมหัดขับร้องเพลง แต่เพลงที่ยมร้องได้มีเพียงเพลงนกกาเหว่าที่จำได้ว่าก่อนที่จะพรากจากพ่อแม่แล้วมาเป็นทาส เป็นเสียงของแม่ที่ใช้เพลงนี้ร้องกล่อมบ่อยๆ

       วัดเอ่ย…วัดโบสถ์…ปลูกข้าวโพด สาลี…ลูกเขยตกยาก…แม่ยายก็พรากลูกสาวหนี …

ส่วนข้าวโพดสาลี …ป่านฉะนี้ก็โรยรา…

       ที่สำคัญ...ยมเคยร้องให้พี่เขมฟังครั้งหนึ่งก่อนจาก คุณเขมยังชมว่าขับร้องได้ไพเราะไม่แพ้เสียงคนขับขานมโหรีในวัง และอยากฟังเพลงอื่นจากยมอีก นี่คงเป็นโอกาสดีที่ยมจะได้ฝึกเพื่อร้องเพลงอื่นนอกจากนกกาเหว่าให้คนรักฟัง

       “จริงสิครับ น้องยมอยากร้องเพลงอะไร พี่จะสอนไม่มีกั๊กเลยนะ” คุณบูรพาเข้ามาลูบแก้มนิ่มไปมาด้วยความเอ็นดู โดยไม่ทันได้สัมผัสถึงรังสีบางอย่างที่อยู่ข้างคนตัวเล็ก

      “อะแฮ่ม!” คนหึงหวงกระแอมขึ้น ทำเอาเพื่อนสนิทถึงกับยิ้มแหย “คุณบูรพา กรุณาปล่อยมือออกจากแก้มของยมด้วยนะครับ”

       คุณบูรพาหัวเราะ ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าคุณเขมกำลัง ‘หวงเมีย’

       วงมโหรีที่คุณบูรพาได้รับสืบทอดมาจากคุณตาบรรเลงบทเพลงขับไม้บัณเฑาะว์ เสียงเพลงนั้นไพเราะเด่นชัดได้ด้วยผู้ตีระนาดและสีซอสามสายสามารถบรรเลงได้ไม่มีผิดเพี้ยน คุณพระนั่งลงบนตั่งไม้สัก มองบุตรชายที่กำลังกุมมือเจ้ายมไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยอย่างรับรู้ว่า...ต้องเป็นเด็กคนนี้เท่านั้น ที่ได้ครอบครองหัวใจของคุณเขม

       “เจ้ายมเอ๋ย ต่อไปเจ้าหาได้เป็นบ่าวไพร่ไร้ศักดินา เจ้าคือคนรักของลูกข้า ดังนั้น เจ้าเองก็เปรียบเสมือนลูกชายของข้าอีกคนเช่นเดียวกัน จำไว้นะ ความรักของเจ้ากับพ่อเขมอาจไม่เหมือนผู้ใด ฉะนั้น...เจ้ากับพ่อเขมต้องประคองความรักไปด้วยกัน หนักนิดเบาหน่อย ก็ต้องให้อภัย เข้าใจไหม?”

     “ขอรับคุณพระ”

        คุณพระเอื้อมเจิมมงคลแฝดให้ยมพร้อมทั้งอวยพร เดิมทีแม้อาจไม่ค่อยเห็นด้วยว่าความรักของผู้ชายสองคนจะยั่งยืนหรือเหมาะสม แต่ทั้งคุณเขมกับยมก็ได้พิสูจน์ให้เห็น ว่าต่อให้ต้องพลัดพรากจากกัน แต่หัวใจที่มั่นคงจะนำทั้งสองให้กลับมาพบกันอีกครั้ง

        “พ่อเขม ความรักของเจ้ามั่นคง เจ้าพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าสามารถนำหน้าที่ได้ดี สมกับเป็นตระกูลวินิตราชศักดิ์ที่ใฝ่ดีทุกด้าน ในเมื่อเจ้าได้คนรักของเจ้ากลับคืนสมปรารถนา ก็จงดูแลความรักของเจ้าให้ดีจนลมหายใจสุดท้ายนะ”

        คุณเขมสดับคำบิดาที่เจิมมงคลแฝดบนหน้าผากให้ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง หันมองคนรักที่หันมามองเช่นเดียวกัน

       “ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ลูกจะขอดูแลยมตลอดไป ตราบจนลมหายใจสุดท้ายขอรับ”

       ทั้งสองก้มกราบผู้เป็นบิดานอบน้อมเพื่อแสดงความเคารพที่มีต่อบิดา คุณพระลูบขวัญของคนสองคนเพื่อเจิมให้พรและรับขวัญ งานแต่งที่ไม่ได้เอิกเกริก มีเพียงเสียงดนตรีขับขานบรรเลง แขกคนสำคัญที่มาเป็นพยานความรักของคนทั้งสอง คำอวยพรจากผู้ใหญ่ในเรื่องการใช้ชีวิตคู่

       เพียงเท่านี้...ก็ยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน
-----------------------------------------------------------50%------------------------------------------------------

 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เรือนร้าว(YAOI)--อัพตอนที่27(50%)--(23/02/2561)
« ตอบ #49 เมื่อ: 23-02-2018 13:38:16 »





ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
สนุกค่ะ อ่านรวดเดียวยาวเลย

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
อ่านรวดเกียว มันมีความดราม่าหนักหน่วงมาก ยมโคตรอึดที่มีชีวิตอยู่รอพี่เขมจนสมหวัง คุณเขลางค์เป็นบ้าใช่ไหม พระรองก็น่าสงสารได้แค่ตอนฉวยโอกาส ชีช้ำมาก ๆ

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เรือนร้าว27(อัพครบ)
ตอน ครอบครัวของเรา
    ยามค่ำคืน...วงมโหรีหยุดเล่นนานแล้ว ทว่ากลับมีเสียงดนตรีไพเราะจากคุณบูรพาที่บรรเลงกล่อมขับขาน เป็นเสียงซอฝรั่งหรือไวโอลินที่ชายหนุ่มได้ให้สัญญาว่าจะมาเล่นในงานแต่งของคุณเขมเพื่อนสนิท ยมแนบอิงศีรษะลงกับบ่ากว้างมองฝีไม้ลายมือเพื่อนของพี่เขมอย่างชื่นชม คุณบูรพา...ไม่สิ พี่บูรพาคนนี้ช่างเก่งกาจรอบด้าน ทั้งยังมีความมั่นอกมั่นใจสูง หากเด็กหนุ่มมีความมั่นใจได้สักครึ่งหนึ่งของพี่ชายคนนี้ ก็คงจะดีไม่น้อยเลย

       อย่างเช่น...ตอนที่คุณบูรพาสอนยมร้องเพลงลาวคำหอมยามบ่าย ระหว่างที่คุณพระขอตัวบุตรชายสนทนาเรื่องงานที่กระทรวงมหาดไทยสักครู่

        “ยามเมื่อลม...พัด...หวน...”

“ทรงกลด...สวยสด โส...ภา แสงทองส่องหล้า ขวัญตา...เรียม...เอย”

ยามที่คุณบูรพาเปล่งเสียงร้องตั้งแต่คำแรก ไหนจะท่อนที่ต้องเอื้อนก็ช่างไพเราะไปเสียหมด แต่เห็นใจดีก็เถอะ กว่ายมจะพอร้องเอื้อนได้ก็ถูกดุเสียหลายรอบ แต่ดีหน่อยตรงที่ยมจำเนื้อเพลงได้รวดเร็ว เป็นที่ถูกอกถูกใจอาจารย์หนุ่มหน้าสวยคนนี้นัก

“เก่งมากครับน้องยม ไว้วันพรุ่งพี่จะสอนร้องเพลงเขมรไทรโยค เพลงนี้ต้องเอื้อนเยอะมากทีเดียว ยมจะได้เก่งๆ ร้องเพลงเอาใจให้คุณเขมหลงหัวปักหัวปำไปเลย”

“พี่บูรพาพูดอะไรกันจ๊ะ?” เพราะคุณบูรพาขอร้องแกมบังคับให้เรียกพี่ ยมจึงจำต้องเรียกอย่างเสียไม่ได้ด้วยเคยชิน “อีกอย่าง ยมยังเอื้อนไม่เก่งเท่าพี่เลย พี่บูรพาเก่งจังเลยจ้ะ”

“ยมก็ชมพี่เกินไป” เอื้อมมือไปหยิกแก้มน้องด้วยความเอ็นดู แต่เพราะมือหนักไปหน่อยจึงเผลอทำให้เด็กหนุ่มร้องออกมานิดๆ

  “โอ๊ย! เจ็บจ้ะพี่บูรพา”

“เฮ้ยยม...พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ” คนแกล้งรีบปล่อยมือ ทำอะไรไม่ถูก ยิ่งได้ยินเสียงโวยมาแต่ไกลยิ่งเหงื่อแตกพลั่ก

“นั่นคุณบูรพาทำอะไรยมขอรับ!”

ตั้งแต่ตอนนั้นล่ะ ที่คุณเขมไม่ยอมปล่อยให้ยมคลาดสายตา เพราะกลัวเพื่อนสนิทจอมแกล้งจะเล่นแผลงๆอะไรใส่เมียรักอีก

     “หาว...”

    หนูขมอ้าปากหาววอดๆ ขณะนั่งตักคุณพระชมคุณอาบูรพาเล่นดนตรีฝรั่ง คนเป็นปู่นึกหัวร่อริกอยู่ในใจ เออเสียงไวโอลินนอกจากจะไพเราะเสนาะผู้ฟัง แล้วยังเป็นยานอนหลับชั้นดีให้เด็กเล็กง่วงนอนอีกด้วย

    “พ่อเขม ประเดี๋ยวพ่อจะพาหนูขมไปนอนก่อนนะ เจ้ากับยมก็นั่งฟังพ่อบูรพาเล่นซอฝรั่งไปแล้วกัน”

    หลังจากคุณพระพาหลานชายเข้านอน เพลิง มั่น เดือนไม่อยากอยู่เป็นส่วนเกินจึงค่อยๆเดินออกไปเงียบๆ เหลือเพียงยมที่ยังคงนอนซบคนรักฟังดนตรีไพเราะอย่างไม่รู้เบื่อ กระทั่งเพลงแรกจบ คุณบูรพาก็บรรเลงเพลงลาวสวยรวย...อันเป็นบทเพลงที่อยู่ในบทละครลิลิตพระลอ หากแต่ครานี้ถูกถ่ายทอดออกมาให้ฟังผ่านซอฝรั่งเพื่อให้คนสำคัญงานแต่งได้ฟัง หากจับทำนองได้ ก็จะมีเนื้อเพลงที่กล่าวถึงความรักของนายแก้วนายขวัญกับนางรื่นนางโรย...พี่เลี้ยงของพระลอและพระเพื่อนพระแพง ความว่า

...สองพี่เลี้ยงแม่เอ๋ยหลากจิต สงสัยคิดประหลาดใจ

หรือพระลอ หน่อไท้ ท่านแสร้งเป็นพราหมณ์ปลอมเอย

ศิษย์ทั้งคู่เที่ยงพี่เลี้ยงพระลอแล้ว เห็นหาแคล้ว หาแคล้วปู่ทาย

สมหมายแล้วเอย สาวมองเมินหาหนุ่มอะคร้าว เห็นใครน้าวเพิงพุ่ม

สองพี่เลี้ยงสองเมียงตะคุ่ม สุมทุมพฤกษาโพ้นเอย โน่นนายขวัญนั่นนายแก้ว

แน่แล้วบ่ สงกา เหลียวหวนหลบ หวนหลบเลี่ยงหน้า ซ่อนหาอยู่ไวไวเอย

สองนวลแม่เอ่ยรื่นโรย สาวชายโชยตามจับ...

สองพี่เลี้ยง สองเมียงขยับ ผลับหายบ่ให้เห็นเอย

ล่อสาวสองเผลอไล่เผลอ แต่หมายมุ่งตามไป เห็นหลงไกล หลงไกลได้ช่อง ปล่อยให้สองเจอะเอย...

    “เพลงก็ไพเราะ คนบรรเลงก็รูปงาม” ยมเอ่ยลอยๆ แต่นั่นกลับทำให้คนตัวใหญ่ขมวดคิ้ว แต่แล้วก็กลับกลายเป็นหัวร่อ มือก็โอบคนรักให้แนบชิดจนไม่เหลือช่องว่าง

     “ไม่ต้องชมคุณบูรพาบ่อยขนาดนั้นก็ได้ อ้อ แต่พี่ก็ไม่ได้นึกหวงยมแล้วล่ะ ตั้งแต่...”

    “พี่เขม หยุดพูดเลยนะจ๊ะ เดี๋ยวพี่บูรพารู้เข้าความก็แตกกันพอดี”

    ยมร้องห้าม คุณเขมหัวเราะก่อนจะแกล้งหอมเย้าคนรัก กระตุกมุมปากน้อยๆพลางนึกถึงเหตุการณ์ย่ำค่ำก่อนที่คุณบูรพาจะขึ้นมาบรรเลงไวโอลินบนเรือน เรื่องมันเกิดขณะที่เจ้ายมเสร็จธุระปวดเบา แล้วไปเห็นภาพที่เด็กไม่ควรเห็นขณะเดินกลับขึ้นไปบนเรือน

      “ทำไมพี่บูรพาถึงสนิทกับเด็กคนนั้นขนาดนี้ หน้าตาก็มีแผลไม่เห็นน่าชม ทิ้งไม่ชอบ!”

เจ้ายมอาศัยหลบพุ่มไม้แถวนั้นเพื่อสังเกตการณ์ นั่นพี่บูรพากำลังพูดคุยกับผู้ใดไม่เคยพบเห็น เป็นชายหนุ่มผิวคล้ำกร้ามแดด ตัวสูงใหญ่กว่าพี่เขมเพียงนิด ท่าทางจะเป็นคนอารมณ์ร้อน ดูจากที่กำลังบีบรัดแขนคุณบูรพาจนเจ้ายมนึกเจ็บแทน

“อย่ามาว่ายมอย่างนั้นนะบุญทิ้ง! นั่นน่ะคนรักของคุณเขมเพื่อนของพี่ แล้วนี่มาได้อย่างไร พี่บอกแล้วไม่ใช่รึว่าให้รอ อีกสามวันพี่ก็จะกลับสุพรรณแล้ว”

“ก็ทิ้งคิดถึงพี่นี่จ๊ะ” เจ้าคนที่ชื่อบุญทิ้งกล่าวน้ำเสียงอ่อนยวบ แล้วสวมกอดออดอ้อนคุณบูรพาที่ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายไม่พอใจแทน “ทิ้งทนคิดถึงพี่ไม่ไหว ก็เลยแอบตามพี่มาตั้งแต่หน้ากระทรวงแล้วก็อาศัยถามคนแถวๆนี้เอา แอบมองพี่ตั้งแต่ตอนที่พี่มาถึง ทิ้งไม่ชอบเลยที่พี่สนิทกับเด็กนั่นมากกว่า”

“หึงไม่เข้าเรื่องอีกแล้วนะทิ้ง ไม่เอาน่า รอพี่เล่นดนตรีแล้วเราค่อยกลับพร้อมกันนะ”

คุณบูรพาใช้น้ำเย็นเข้าลูบเพื่อให้คนรักเชื่อฟัง ซึ่งนั่นเป็นวิธีที่ได้ผลชะงัก บุญทิ้งพยักหน้ากลายๆว่าตกลง แต่ยังไม่ทันที่คนหน้าสวยจะได้เดินจากไปไหน เจ้าเด็กยักษ์คนนั้นก็ฉวยร่างของคุณบูรพามาใกล้ก่อนจะบดเบียดริมฝีปากมอบจูบอันร้อนแรง ซึ่งคนถูกรุกรานก็ไม่ปฏิเสธ หลับตาพริ้มเต็มใจรับสัมผัสทั้งใบหน้าแดงก่ำ

“พี่บูรพามีคนรักแล้วรึนี่?”

ยังไม่ทันที่ยมจะได้คิดไปมากกว่านี้ คุณเขมที่เห็นเมียรักกำลังแอบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ก็มาสะกิดร่างเล็กเบาๆ เจ้ายมสะดุ้งเกือบร้องออกไปจนคุณเขมต้องจุ๊ปากไม่ให้มีเสียงเล็ดรอด

“พอแล้วนะทิ้ง พี่ไปแล้ว ทำตัวดีๆแล้วพี่จะให้รางวัลตกลงไหม?” คุณบูรพากอดคอกว้างกำชับแล้วเดินจากไป บุญทิ้งมองตามคนงามขึ้นเรือนด้วยรอยยิ้มจนสุดสายตา ก่อนจะไปหาที่กำบังหลบระหว่างรอคนรักเสร็จธุระบ้าง

“พี่เขม...คนๆนั้นเป็นคนรักของพี่บูรพาหรือจ๊ะ?” ยมเอ่ยถามอย่างสงสัย คุณเขมกลั้วหัวเราะพลางเดาะลิ้น

“ก็คงใช่นั่นแหละ หึๆ”

ยมหรี่ตาเล็กน้อย น้ำเสียงพี่เขมฟังดูร้ายๆแกมเหมือนพอใจอะไรสักอย่าง ไม่มีท่าทีประหลาดใจเรื่องที่คุณบูรพาแอบมาพลอดรักกับคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย

คนขี้หวง...ไม่ได้ต่างจากคนที่ชื่อบุญทิ้งอะไรนั่นเลย!



**โอ๊ยยยยยย ขอโทษนะคะที่หายไปนาน อัพแบบงงๆเช่นกัน ไรท์เมาน้ำทะเลอ่ะรีดดด ก๊ากกกก

**เค้าแต่งงานกันแล้วว เพื่อนเจ้าบ่าวนี่แรดเนอะ โปรยเสน่ห์มากไปผัวมาตามเลยเนี่ย5555


ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เรือนร้าว28
ตอน สองชีวิต
     แสงจันทร์คืนนี้อบอุ่น ภายในเรือนหลังเล็กที่ทุกชีวิตต่างหลับใหล จะยังเหลือเพียงเจ้ายมตัวน้อยที่ยืนชมจันทร์ นึกขอบคุณพระจันทร์อีกครั้งที่นำพาเขาจนได้มาพบกับพี่เขม ก่อนจะหวนนึกถึงผู้มีพระคุณที่ถึงแม้จะเคยทำร้ายยม แต่อย่างไรบุญคุณของเขาก็ท่วมหัวเกินกว่าจักหมางเมินลงได้ แม้จะมิได้มีหัวใจรักดังเช่นพี่เขม แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงให้ความเคารพนับถือไม่น้อย

     คุณโดม...

    “ยมจ๋า มายืนชมจันทร์หรือ? คืนนี้อากาศหนาวมานอนห่มผ้าเถิด”   

   คุณเขมเพิ่งเดินสำรวจความเรียบร้อยรอบเรือน ส่วนเจ้าลูกชายตัวน้อยนั้นไม่ต้องเป็นห่วงด้วยนอนกอดกับคุณปู่อยู่ที่ห้องรับรองอีกห้อง ร่างสูงเข้าสวมกอดเจ้าตัวน้อยแน่น ยมเอนศีรษะแนบชิดออดอ้อน มือใหญ่เชยคางมนให้ขึ้นสบตาน้อยๆ   

  “คิดอะไรอยู่หื้ม?”       เด็กหนุ่มอึกอักไปเล็กน้อย แต่ก็ตัดสินใจพูดตามที่พี่เขมต้องการ   

  “อยู่ๆ ยมก็คิดถึงคุณโดมขึ้นมาน่ะจ้ะ ยมไม่ได้บอกลาเขาเลย อย่างไรเขาก็เป็นผู้มีพระคุณ”

      คุณโดมอีกแล้วหรือ? ชายหนุ่มไม่เคยใคร่ฟังนามนี้เอาเสียเลย แต่เพราะไม่อยากให้เจ้ายมตัวน้อยไม่สบายใจจึงระงับอาการหึงหวงไว้     

   “แต่อย่างน้อยยมก็ได้ทิ้งจดหมายไว้แล้วมิใช่หรือ? เอาเถิด...หากมีโอกาส พี่จะเข้าไปขอบคุณเขาเสียสักครั้ง เพราะเขาทำให้พี่ได้พบยมเร็วขนาดนี้”     

  ยมไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ทั้งยังรู้สึกผิดลึกๆที่ทำให้จู่ๆพี่เขมทำสีหน้าหงอยลง เด็กหนุ่มจึงรีบตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องพูดทันที

       “ไปอาบน้ำได้แล้วจ้ะพี่เขม เหนื่อยมาทั้งวัน ยมจะได้อาบต่อ เหม็นเหงื่อจะแย่”

      “พี่เหม็นขนาดนั้นเชียวหรือหื้ม?” คนตัวสูงโน้มจมูกฉกฉวยความหอมที่พวงแก้ม “แปลกนะ ยมก็ยังไม่ได้อาบน้ำ แล้วทำไมตัวยังหอมอยู่เลย”

      “พี่เขม...” เด็กหนุ่มทำหน้าเอียงอาย แต่แล้วก็ต้องเหวอเมื่อร่างถูกอุ้มลอยลิ่ว ก่อนจะถูกวางบนฟูกนุ่มนิ่ม ดวงตาทั้งสองสบกันครั้งแล้วครั้งเล่าลึกซึ้ง ความคิดถึงและถวิลมาที่ต้องอดทนเฝ้าคอย จนในวันนี้ที่ทั้งสองได้กลับมารักกันอีกครั้ง

      “พี่รักยมมากนะ คนดี พี่จะไม่มีวันทิ้งน้องไปอีก ไม่มีวัน!”

    โน้มริมฝีปากจูบแนบสนิท เจ้ายมตัวน้อยหลับตาพริ้มรับสัมผัส นิ้วมือข้างที่ยังสวมแหวนเพชรไม่ยอมถอดลูบแผ่นหลังกว้างอยากบอก...

       ยมดีใจ ที่เราไม่ต้องพรากจากกันอีกแล้ว

       “คนดี”

       ร่างสูงดันเจ้าตัวน้อยให้นอนราบบนเตียง มองดวงตาหวานด้วยทะนุถนอม หวงแหนเหลือเกิน เขาไม่มีวันให้ดวงใจของเขาไปเป็นของคนอื่นเด็ดขาด ยมเป็นของพี่เขมคนนี้มาตั้งแต่แรก...แล้วจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป

      “อืม...”

      ริมฝีปากที่ประทับทาบลงไปส่งลิ้นเกี่ยวกระหวัดรุนแรง ก่อนศีรษะทุยจะก้มพรมจูบลงต่ำ สองร่างกอดรัดไม่ห่างกาย ความซ่านเสียวค่อยๆทวีขึ้นยามที่ริมฝีปากร้อนครอบครองกลางกายเล็ก เบิกทางอีกซักเล็กหน่อยก่อนที่ทั้งสองร่างจะสอดประสานเป็นของกันและกันอีกครั้ง...และอีกครั้ง

      เอี๊ยด...เอี๊ยด!!!

       เสียงเตียงไม้ที่เพิ่งถูกเปลี่ยนแข็งแรงพอที่จะรับแรงกระแทกรุนแรงได้ก็จริง แต่ไฟจากตะเกียงก็พลันดับ ลำบากคุณเขมต้องลุกไปจุดอีกครั้งก่อนจะกลับมานอนกอดร่างน้อยชมจันทร์ด้วยกันบนเตียงนุ่ม คืนนี้พระจันทร์ช่างงดงาม...แสงจันทร์อบอุ่นราวกับเป็นผ้าห่มอาบร่างแก่คู่แต่งงานใหม่

      “ตอบเอยตอบถ้อย...”

     เสียงนุ่มทุ้มกระซิบข้างหู เจ้ายมคลี่ยิ้มบางๆเขินอายเมื่อจู่ๆคนรักก็พูดถึงบทเพลง ‘ความรัก’ จากบทละครเวนิสวานิชที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้นำมาแปลเป็นภาษาสยาม ยมเพิ่งได้อ่านก็รู้สึกชื่นชอบบทเพลงที่หวานซึ้งถ้อยนี้นัก

      “เกิดเมื่อเห็นน้องน้อยอย่าสงสัย ตาประสบตารักสมัครไซร้ เหมือนหนึ่งคนดีของพี่สำราญครัน”

      “หือ? เนื้อผิดนะจ๊ะ...” เด็กรู้ทันเอ่ยแย้ง “ต้องเป็น ‘เหมือนหนึ่งให้อาหารสำราญครัน’ มิใช่หรือจ๊ะ?”

      “พี่เพียงอยากเห็นยมมีความสุข” คุณเขมจูบหน้าผากมน สบสายตารักใคร่ “พี่จะทำให้ยมเป็นคนที่มีความสุขที่สุด ไม่ว่ายมต้องการสิ่งใด พี่ก็จะหามาให้ แม้แต่ดาวกับเดือน”

       “พี่เขม...” เด็กน้อยรับรู้ได้ถึงความรักที่แผ่ซ่านเต็มประดา “สิ่งเดียวที่ยมต้องการ คือได้อยู่กับพี่ตลอดไปเท่านั้น”

   รักที่หวานชื่น กลิ่นอายความรักตลบอบอวล เร่าร้อน รุนแรง ที่แม้แต่พระจันทร์อันเป็นพยานในรักยังต้องเขินอาย คู่แต่งงานใหม่จับมือกันไม่ยอมปล่อย คนพี่นอนกอดน้องจวบจนฟ้าสาง พร่ำรักพร่ำสัญญาไม่พรากจาก ก่อนที่วันใหม่จะย่ำเข้ามาเพื่อเริ่มต้นชีวิตคู่อีกครั้ง

       จะเหลือเพียงอีกหนึ่งชีวิต...ที่โดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน!



 พระยามนตรีต้องตามขุนนางผู้ใหญ่คนอื่นไปยังหัวเมืองบ่อยครั้ง แต่ยังไม่วายให้บ่าวไพร่เก่าแก่คอยติดตามจับตาดูคุณโดมไว้ แต่เพราะอาศัยว่าเป็นตำรวจต้องผจญกับผู้ร้ายและอันตราย ทำให้พวกนั้นไม่ค่อยกล้าตามติดร้อยโทหนุ่มขณะปฏิบัติหน้าที่เท่าใดนัก อย่างวันพรุ่งเขาก็ต้องนำกำลังไปบุกทลายตรอกผีเสื้อหลังจากได้รับข่าวมาว่าเริ่มมีการค้าสิ่งเสพติดผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง อีกทั้งยังริเริ่มขายโสเภณีให้กับพวกฝรั่งดั้งด้วยวิธีที่รุนแรงอันเกินจะรับได้ไหว

          ในหน้าที่เป็นถึงนายตำรวจผู้มีชื่อเสียง เป็นร้อยโทดนัย มนตรีพาณิชย์ ที่ได้รับความไว้วางใจจากรอบด้าน

         แต่ครั้นกลับมา จากสถานะตำรวจยศสูง ไม่ต่างอะไรกับนักโทษที่ถูกเด็กรับใช้ในบ้านเดินตามติดทุกฝีก้าว ตามคำสั่งของพระยามนตรีผู้เป็นใหญ่

      “จะไปไหนก็ไป ฉันจะเดินเล่นที่สวนนี่ล่ะ อีกซักพักถึงจะเข้าบ้าน”

      คุณโดมเอ่ยปากไล่เด็กรับใช้ในบ้านอย่างตัดรำคาญ สายตาที่มองมาดุดันน่ากลัวทำเอาเด็กสาวทรงผมสั้นเท่าติ่งหูต้องรีบห่างออกมาอย่างรวดเร็ว นับแต่วันที่ต้องถูกกักบริเวณร้อยโทหนุ่มก็เปลี่ยนไปราวคนละคน จากคนที่เคยทะเล้นและเป็นกันเองไม่ว่ากับชนชั้นใด กลับกลายเป็นคนพูดน้อยและหงุดหงิดง่าย และยังชอบปลีกวิเวกไปนั่งชมดอกไม้ฝรั่งในสวนเพียงลำพัง

       “น่ารำคาญเสียจริง!”

     ร่างสูงเร่งฝีเท้าเดินมายังสวน เขาเอนหลังกับต้นไม้ใหญ่ที่ใต้ต้นเต็มไปด้วยดอกไลเซนทัสสีขาวบริสุทธิ์ เขายิ่งมองแล้วก็ยิ่งคิดถึง สายตามองพระจันทร์ที่ว่างามที่สุดในรอบหลายเดือน

     หากเขมได้ยินในสิ่งที่เขาพูดกับบิดาในวันนั้น...เขาจะนึกไปตามหายมถึงเชียงใหม่ไหมหนอ?

     มีความเป็นไปได้...เพราะแม่จำปาที่เคยมีข่าวว่าหมั้นหมายกับเขมในครานั้น เมื่อหลายวันก่อนก็ได้ข่าวว่าเธอได้เดินทางกลับไปเรียนต่อที่ปีนัง ด้วยอับอายที่ต้องเป็นหม้ายขันหมาก ไม่กล้าสู้หน้าผู้คนในแวดวงชั้นสูงอีกต่อไป รั้นแต่จะถูกนินทาเสียเปล่า

     เช่นนั้นปานฉะนี้...เขมก็อาจจะไปรับยมแล้ว หรือไร?

      ใบหน้าคมคายกระตุกยิ้ม...

     แต่เชียงใหม่รึก็กว้างใหญ่ ขอให้เขมตามหายมไม่เจอ หากมีโอกาส เขาจะหนีกลับไปหายมที่คอยอยู่ที่เรือนปั้นหยาแห่งนั้น เขาเพียงทำให้คุณพ่อตายใจเท่านั้นว่าจะไม่ไปไหน

     คุณพ่อคงไม่ใจคอโหดร้าย ทำลายโกศของคุณแม่ได้ลง

    “ฉันคิดถึงเธอ...ยม”

    แล้วร้อยโทหนุ่มผู้เก่งไปเสียทุกอย่างจะรู้บ้างไหมหนอ? ว่าคนที่เขารักแสนรัก บัดนี้เจ้าของชื่อที่ยมพร่ำหาได้มารับและครองคู่ด้วยกันอย่างหวานชื่นเสียแล้ว!



      “กรี๊ด!! ฉันไม่ไป ฉันไหว้ล่ะอาซ้อ ฉันไม่อยากทำแล้ว”

      ที่ตรอกผีเสื้อ หญิงสาวท่าทางน่าสงสารคนหนึ่งกำลังถูกชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สองคนบังคับให้ขึ้นเกวียนไปพร้อมกับคนอื่นๆ เธอร้องไห้ด้วยรู้ดีว่าหากแม้นเธอถูกนำขึ้นเกวียนไปเมื่อใด เธอจะไม่มีโอกาสหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์อย่างที่ตั้งใจ

      “ลื้ออย่ามาทำกระแดะหน่อยเลยอาอุ่น ลื้อมันไม่ใช่สาวบริสุทธิ์อีกแล้ว พวกลื้อ! เอามันใส่เกวียนไปให้ได้!!”

        “ไม่!! ปล่อยนะ ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย!!!”

       ไม่มีวัน...คนอย่างอีอุ่นจะไม่มีวันยอมไปเป็นอีตัวอยู่ถิ่นแดนอื่นเป็นแน่ เพียงอดีตที่ผ่านมาจำต้องทำงานสิ้นคิดเช่นนี้ก็รู้สึกขยะแขยงตัวเองเต็มที ครั้นพอจะเลิกทำก็ถูกฉุดกระชากลากถูบังคับ เธอยอมตายเสียดีกว่า!!

        ปัง!!!

    ในขณะที่หญิงสาวกำลังแทบหมดสิ้นหนทาง เสียงปืนลั่นไกก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของคนที่อยู่บริเวณตรอกผีเสื้อ แม่เล้าร่างอวบอ้วนอ้าปากค้าง จะขยับขาหนีก็ถูกนายตำรวจผู้หนึ่งมาจับกุมไว้ได้ทันท่วงที

     “เราได้รับแจ้งมาว่าที่ตรอกผีเสื้อมีการค้าประเวณีผิดกฎหมาย อีกทั้งยังลักลอบค้าฝิ่นเข้ามาสยาม วายุ ขจร คุมตัวทุกคนไปสอบปากคำ!”

      ร่างของร้อยโทหนุ่มยืนตระหง่าน สั่งประกาศิตแก่ลูกน้อง อุ่นสบโอกาสที่ชุลมุนนั้นวิ่งหนีฝ่าฝูงชนที่รายล้อม แต่ก็หาได้รอดพ้นสายตาคมของร้อยโทหนุ่มผู้นำไม่

      “เฮ้อ! คงตามมาไม่ทันแล้วกระมัง!”

      หญิงสาวหอบตัวโยน ยืนพิงกำแพงอย่างอ่อนล้าเพื่อพักเหนื่อย อย่างน้อยเธอก็คงได้หลุดพ้นวงจรอุบาทว์นั่นอย่างแท้จริงแล้วสินะ หากรู้ว่าจะต้องเป็นเช่นนี้...เธอจะไม่ยอมมาเกลือกกลั้วกับอาชีพนี้เป็นแน่ต่อให้มันจะจำเป็นอย่างไรก็ตาม

     แต่ยังไม่ทันจะก้าวต่อ เธอก็รู้สึกว่าทั้งร่างเหมือนถูกหมุนให้ไปชนกับอะไรบางอย่างเข้าดังปั๊ก!!!

     “ว้าย!!”

    อุ่นหลับตาปี๋ เมิ่อค่อยๆลืมตาก็พบกับนายร้อยโทหนุ่มผู้นำจับและทลายตรอกผีเสื้อที่เธอเคยทำงานอยู่ ร่างบอบบางคิดจะวิ่งหนีอีกครั้ง แต่ก็ถูกรั้งไว้แน่น

     “คุณตำรวจคะ อย่าจับฉันเลย ฉันถูกบังคับ ฉันไม่อยากทำอาชีพนี้ตั้งแต่แรก อย่าให้ฉันต้องติดคุกติดตะรางเลยนะคะ ฉันไหว้ล่ะ”

     แววตาของเธอตื่นกลัว ยกมือไหว้ท่วมหัวพลางร้องไห้น่าสงสาร ทำเอาร้อยโทหนุ่มหัวใจกระตุก เหมือนเห็นภาพที่อยู่ในความทรงจำซ้อนทับ

     เขาเอื้อมมือไม่ให้หญิงสาวแปลกหน้าต้องกราบไว้เขา

       “อย่า! กรุณาอย่าไหว้ผม”

      แม้จะพยายามพูดเสียงเข้ม แต่ก็สั่นไหวไม่น้อย คนตรงหน้าไม่มีท่าทางเสแสร้งหรือใช้มารยาหญิงหลอกล่อเพื่อเอาตัวรอด กลับตัวสั่นเทาราวกับลูกนกปีกหัก เหมือนเหลือเกิน...เหมือนเสียจริง ท่าทีที่หวาดกลัวแบบนั้น

      ท้ายที่สุด...คุณโดมจึงสั่งให้วายุและขจรนำทีมพาผู้ต้องหากลับไปยังกรมตำรวจแทน บัดนี้เขากับหญิงสาวแปลกกำลังเผชิญกับความกดดันภายในรถยนต์ เพราะเธอเอาแต่นิ่งเงียบ สะอึกสะอื้นอย่างกล้าๆกลัวๆ

       “ผมชื่อโดม...”  เป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน เพื่อให้หญิงสาวไม่รู้สึกเกร็ง “คุณชื่ออะไร? ผมจะได้เรียกถูก”

       “ฉัน...ชื่ออุ่นค่ะ” ตอบเสียงสั่น เธอทำใจให้ไม่กลัวคนๆนี้ไม่ได้เลย

      “ทำไมคุณมาทำงานที่ตรอกผีเสื้อได้ล่ะ?”

       บรรยากาศที่เงียบงันมาเยือนอีกครั้ง แม้มันจะเป็นปมฝังใจ แต่สุดท้ายคำพูดที่เจ็บปวดก็ค่อยๆออกมาจากปากของแม่อุ่น

       “ฉันไม่ได้เต็มใจมาทำงานอย่างนี้หรอกค่ะ”     

   หญิงสาวก้มหน้าก้มตา เธอกลัวสายตาคมเข้มที่มองมาเหลือเกิน กลัวว่านายตำรวจตรงหน้าจะจับตัวเข้าคุกติดตะราง แต่ก็กลั้นใจเล่าถึงสาเหตุที่ต้องมาทำงานที่น่าอดสูเช่นนี้     

    อุ่นเคยอยู่กับย่าเพียงสองคน พ่อแม่ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นแตกเนื้อสาวย่าก็มาป่วย เพราะไม่มีเงินที่แม้แต่จะซื้อข้าวสาร เธอจึงต้องมาทำอาชีพสิ้นคิดเพื่อนำเงินมารักษาย่า แต่คนเราล้วนต้องมีดับ หญิงสาวเพิ่งจะเสียย่าไปเมื่อสองวันก่อน พอจะเลิกทำอาชีพนี้ด้วยละอายแก่ใจพวกมันกลับไม่ยอมปล่อย หนำซ้ำยังจะส่งเธอไปขายถึงต่างแดน!

       “ทุกวันนี้ฉันได้แต่ขยะแขยงตัวเอง แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อฉันยากจน ไม่รู้หนังสือ ฉันยังไม่รู้เลยค่ะว่าจะทำกินอะไรต่อ เงินที่หามาก็ถูกอาซ้อโกงไปจนเกือบหมด ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเพียงสิบบาทเท่านั้น”     

   คุณโดมมองหญิงสาวที่กำลังร้องไห้ตรงหน้าด้วยความสงสาร ชะตาชีวิตแม่อุ่นคนนี้อาภัพเหมือนยมไม่มีผิด แต่ต่างกันตรงที่...เธอคนนี้คงไม่เหลือใครแล้วอย่างที่พูดมาจริงๆ     

 “ผมไม่เอาความอะไรคุณหรอกนะ...” ร้อยโทหนุ่มยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งให้ แม่อุ่นลังเลน้อยๆก่อนจะเอื้อมมารับด้วยท่าทียังกล้าๆกลัวๆ

       “ขอบคุณนะคะ” เธอซับน้ำตาเบาๆ แต่พอจะส่งคืนให้ผู้เป็นเจ้าของกลับถูกปฏิเสธ

       “คุณเก็บไว้เถอะ ไม่เป็นไร”

      คุณโดมไม่ได้ถามอะไรเพื่อให้หญิงสาวรู้สึกอัดอึดอีก เพราะหลังจากนั้นร้อยโทหนุ่มก็กลับไปที่กรมตำรวจเพื่อเตรียมเรื่องฝากขังผู้ต้องหาอันได้แก่อาซ้อแม่เล้า รวมถึงคนในตรอกผีเสื้อด้วย ทีแรกแม่อุ่นพะว้าพะวงด้วยคิดว่าจะถูกจับขัง แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่...เขากลับขับรถพาเธอออกไปเรื่อยๆ จนหญิงสาวรู้สึกฉงนยิ่งนัก

      “คุณจะพาฉันไปไหนกันคะ?”

     ร้อยโทหนุ่มนิ่งไปพักหนึ่ง นับแต่เขาได้เห็นแม่อุ่นคนนี้เป็นครั้งแรก เขาก็รู้สึกเหมือนมียมมาอยู่ตรงหน้า เหมือนคืนวันเก่าๆก่อนที่เขาจะถูกยมเกลียดหวนคืนมา

     “ฉันอยากให้เธอได้เจอคนๆหนึ่ง...”

    “คุณจะไม่ส่งฉันให้ทางการใช่ไหมคะ?” แม่อุ่นยังคงไม่เลิกระแวง แต่คุณโดมกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดีออกมา

     “นี่เธอ ฉันเป็นตำรวจนะ ถ้าฉันจะส่งเธอให้ทางการฉันทำตั้งแต่กลับไปที่กรมตำรวจเมื่อครู่แล้ว”

     “เขาเป็นใครหรือคะ?”

     คุณโดมถอนหายใจซักครู่ ตามองดอกไลเซนทัสที่ใกล้จะแห้งเหี่ยวอยู่หน้ากระจกรถ เหตุการณ์คล้ายราวกับซ้ำรอยเดิม ยังจำได้อยู่เลยว่าครั้งนั้น...เขาได้ช่วยยมจากเถ้าแก่ชั่วช้าตัณหากลับ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาตกหลุมรักเจ้าเด็กหนุ่มที่ชื่อยม ทั้งดวงตาที่หมองเศร้าคิดถึงใครซักคน บางครั้งก็ฝืนยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ ต่อให้กลัวสิ่งใดก็จะไม่ร้องไห้ต่อเมื่อถึงจุดที่กลัวที่สุดแล้วจริงๆ

      วางแผนไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวาน หลังจากทลายตรอกผีเสื้อซึ่งเป็นงานใหญ่เพื่อกวาดล้างอบายออกจากแผ่นดิน เขาตั้งใจฉวยโอกาสนี้กลับไปรับยมมาอยู่ด้วยกัน เขาฝืนความทรมานนี้ไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ต่อให้ยมจะเกลียดเขา เขาก็ขอเพียงแค่ได้อยู่กับยมก็เป็นพอ

       ภาวนาอย่าให้เขม...รับตัวยมตัดหน้าเขาไปก่อนเลย

      “เขาชื่อยม คนที่ฉันรักมากที่สุด”






เพิ่มเกร็ดความรู้ซักนิสสส(หลังจากไม่มีมานานมว๊ากกกก) เกี่ยวกับเพลงที่ราชาเพลงแปลงเขมได้ร้องจีบน้อง เป็นเพลงที่อยู่ในบทละครเวนิสวานิช บทประพันธ์ของวิลเลี่ยม เชคสเปียร์ ตอนที่นางปอร์เชียต้อนรับบัสสานิโย และรัชกาลที่หกท่านนำมาแปลเป็นภาษาสยามด้วยมีเนื้อเรื่องที่น่าติดตามและความรักของหนุ่มสาวที่งดงาม

 เนื้อเพลง แปลความว่า...



ความเอยความรัก เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน

 เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ หรือเริ่มในสมองตรองจงดี

แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที่

ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย

ตอบเอยตอบถ้อย เกิดเมื่อเห็นน้องน้อยอย่าสงสัย

ตาประสบตารักสมัครไซร้ เหมือนหนึ่งให้อาหารสำราญครัน

แต่ถ้าแม้สายใจไม่สมัคร เหมือนฆ่ารักเสียแต่เกิดย่อมอาสัญ

 ได้แต่ชวนเพื่อนยามาพร้อมกัน ร้องรำพันสงสารรักหนักหนาเอย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2018 20:51:20 โดย Amazing princess »

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เรือนร้าว29
ตอน ความจริงที่โหดร้าย

    เรือนปั้นหยาที่ไม่ได้กลับมานานถึงสามเดือนเงียบเหงาจนผู้เป็นเจ้าของนึกใจหาย เห็นประตูลงกลอนไว้ก็ยิ่งแน่ใจว่าคนที่เคยอยู่เฝ้าให้คงไม่อยู่ วันเก่าไหลเวียนมาสะท้อนความจำแม้จะผ่านไปไม่นานนัก คุณโดมยังจำวันแรกที่พายมมาใช้ชีวิตด้วยกันได้ไม่ลืม

      ครั้นนึกถึงสิ่งไม่ดีที่เคยทำกับเด็กหนุ่มแล้ว...     

    ยมคงรังเกียจที่แห่งนี้...จนแทบจะไม่อยากอยู่ ป่านนี้ก็คงออกไปนั่งเล่นอยู่บ้านฝั่งโน้นกระมัง     

    มือใหญ่ไขบานประตูให้แม่อุ่นเดินเข้าไป ก่อนจะกำชับเธอว่า

     “แม่อุ่นรอฉันที่นี่ประเดี๋ยวนะ ฉันจะไปตามคนของฉันก่อน”

     ไม่รอให้หญิงสาวฉงนไปมากกว่านี้ ร้อยโทหนุ่มรีบเดินไปยังอีกจุดหมายทันที ทั้งที่ยังเหนื่อย เขาไม่ได้หยุดแวะพักเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะใจของเขารู้แค่ว่า...ต้องเจอยมให้ได้

   บ้านไม้หลังเล็กของป้าแจ่ว เขาพบหญิงชราผู้เป็นเจ้าของเรือนหลังเล็กตามคาด แต่คนที่เขาเฝ้าคิดถึงน่ะสิ...เหตุใดกันถึงไม่ได้อยู่ด้วย     

  “ป้าแจ่ว ยมล่ะครับ ยมมาที่นี่รึเปล่า?”   

  เขาชะเง้อหารอบๆเผื่อจะได้พบคนที่เขาเฝ้าคิดถึงมาตลอด       

“พ่อยมไม่อยู่แล้วล่ะพ่อโดม...” หญิงชราส่ายศีรษะ      “มีคนมารับพ่อยมไปแล้ว เห็นว่าชื่อคุณเขม เป็นคนรักของพ่อยมเขา”       

คนเข้มแข็งในยามนี้แทบจะทรุดเข่าลงกับพื้น กลั้นน้ำตาไว้สุดกำลังเมื่อได้สดับฟังเช่นนั้น จนตอนนี้ดวงตาคมเข้มเริ่มพร่ามัวแทบสิ้นสติ     

 ยมไปจากเขา...แล้ว   

 “พ่อยมเขายังฝากจดหมายทิ้งไว้ให้พ่อโดมด้วยนะ”     

มือหยาบกร้านรับจดหมายนั้นมาทั้งที่ยังสั่นระริก ในที่สุดสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดก็มาถึง สิ่งชั่วช้าที่เขาเคยทำไว้กับยม ได้บันดาลผลกรรมอันทำให้ใจของเขาปวดร้าวราวกับมีมีดมาปักตรงกลาง   

    “ป้าแจ่ว แล้วหนูขมล่ะครับ? ผมอยากพูดด้วยเสียหน่อย”   

   เด็กคนนี้รักยมมาก ตัวติดกับยมแทบจะตลอดเวลา ขอแค่ได้พูดคุย หวังว่าเสียงเจื้อยแจ้วที่คอยพูดถึงพี่ชายที่แสนดีจะทำให้ใจของเขาดีขึ้นในยามนี้บ้าง     

 แต่ความหวังก็มลายไปกับตา!!!     

 “หนูขมติดพ่อยมน่ะพ่อโดม คุณเขมจึงขอไปเป็นลูกบุญธรรมเสียเลย เห็นว่าถูกชะตาไม่น้อยเหมือนกัน”

     คุณโดม...

ยมขอโทษที่ไม่ได้รอบอกลาด้วยตัวเอง แต่คุณโดมไม่ต้องเป็นห่วงยมนะจ๊ะ ยมได้เจอพี่เขมแล้ว พี่เขมอธิบายเรื่องทั้งหมดที่ยมเข้าใจผิดไปให้ฟัง เราสองคนเข้าใจกันแล้ว ที่ยมไม่ได้อยู่รอเพราะพี่เขมมีงานด่วนที่พระนคร สิ่งใดที่ยมเคยทำให้คุณโดมขุ่นข้องหมองใจ ขอให้คุณอภัยให้ยมด้วย หากมีโอกาส ยมคงได้ตอบแทนบุญคุณที่คุณโดมช่วยเหลือยมเสมอมา

     “ยม...”   

   คุณโดมกำจดหมายในมือแน่น น้ำตาไหลอาบแก้มสากด้วยหัวใจที่แหลกสลาย ช่วยบอกเขาทีว่าเขาฝันไปใช่หรือไม่ ยมลาจากเขาไปพร้อมกับคนที่รอคอย       

 ส่วนเขา...คงไม่ต่างจากคนไร้ค่า ที่หมดประโยชน์แล้วไม่ได้รับแม้แต่เสียงบอกลา มีเพียงจดหมายที่ทิ้งไว้ให้รับสารก็เท่านั้น     

   เขาเสียยมไปแล้ว...

    “ฉันเสียเขาไปแล้วแม่อุ่น เสียไปแล้ว!”   

    คุณโดมร้องไห้โฮไม่อาย หญิงสาวมองเขาด้วยความสงสารจับจิต แม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน...แต่เธอกลับรู้สึกสงสารคนตรงหน้าเหลือเกิน เวลานี้เขาคงต้องการใครซักคนอยู่เคียงข้าง   

   “...” แม่อุ่นจับมือหนา ส่งสายตาให้กำลังใจ “เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ? ว่าเกิดอะไรขึ้น”   

    คุณโดมยื่นจดหมายส่งให้ หญิงสาวส่ายหน้าบ่งบอกว่าไม่รู้หนังสือ ร้อยโทหนุ่มจึงกล้ำกลืนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง     

  “มีคนมารับเขาไปแล้ว ฉันเป็นเพียงแค่คนดูแลเขา เขามีคนที่เขารักหมดหัวใจ”   

   เท่านี้อุ่นก็พอจะจับใจความทั้งหมดได้ เพียงเพราะคนๆเดียว ที่ทำให้ร้อยโทหนุ่มผู้งามสง่า ดุดัน ต้องมานั่งกอดเข่าร้องไห้   

   คนๆนั้นช่างโชคดีเหลือเกิน ที่ได้ความรักจากใครซักคน เธอนี่สิ...ทั้งชีวิตนอกจากย่าแล้ว ไม่เห็นจะมีใครบอกรักเสียสักคน ชีวิตที่เคยสกปรกโสมม ได้รับความเมตตาจากนายตำรวจฉุดขึ้นมาจากนรกก็นับว่าเป็นบุญอันใหญ่หลวงแล้ว

    “แล้วคุณโดมจะทำอย่างไรต่อไปหรือคะ?”

   เขายังไม่ตอบแม่อุ่นทันที มือหยาบกร้านนั้นกอดจดหมายไว้ไม่คลาย เขมมารับยมไปเช่นนี้ แล้วเขาจะพายมกลับมาอยู่ด้วยกันเช่นเดิมได้อย่างไร

     ไม่สิ...เขาไม่เคยมีสิทธิ์ในตัวยมด้วยซ้ำ เขามีหน้าที่ดูแลยมจนกว่าเขมจะมารับไป ก็เท่านั้น การที่เขารักคนที่มีเจ้าของอยู่แล้วช่างเจ็บปวดเหลือเกิน

     ฝ่ามือจากหญิงสาวที่ร้อยโทหนุ่มช่วยชีวิตไว้ประกบ คุณโดมรู้สึกได้ถึงกำลังใจจึงได้แต่ฝืนคลี่ยิ้มบางๆส่งให้ แย่จริง! นี่เขาเผลอแสดงท่าทีอ่อนแอต่อหน้าคนที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นานอย่างนั้นรึ?

   “แม่อุ่นรู้ไหม? ว่าคนๆนั้นเหมือนแม่อุ่นมากขนาดไหน?” เฉไฉไม่ตอบคำถาม แต่กลับยิงคำถามออกมาเสียแทน

    “คะ?” แม่อุ่นขมวดคิ้วฉงน

   “เขาชอบให้กำลังใจ เขาจะคอยถามฉันยามที่ฉันไม่สบายใจเสมอ...”

   แต่ไม่เคยจับมือ...

   เอาแต่ไว้ตัวออกห่าง...ยิ่งนับจากวันที่เขาทำร้าย ยมยิ่งไว้ตัวออกห่าง อะไรก็เรียกแต่ชื่อคุณเขม ปากก็บอกไม่เคยโกรธเกลียด แต่การกระทำนั้นรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด

   ร้อยโทหนุ่มจับมือหญิงสาวที่หวังดีกับเขาเบาๆ...อย่างน้อยยามนี้ เขาก็ต้องการใครซักคนมาอยู่เคียงข้าง

   “เขาเคยลำบากจนฉันต้องช่วยเหลือ ฉันผูกพันกับเขา และเกิดเป็นความรัก รู้ทั้งรู้...ว่าเขาไม่มีวันรักฉันตอบ”

    นับจากนี้ที่ไม่มียม...

    ที่ๆว่างเปล่า มีเพียงความทรงจำที่ดีก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายเกลียด

   คุณโดมพักที่เชียงใหม่ได้เพียงคืนเดียวทั้งที่ยังคงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ตัดสินใจขับรถกลับพระนครทันที ตลอดทางไม่รู้สิ่งใดดลใจให้หญิงสาวมองจับจ้องอาการของเขาตลอดเวลา เขานิ่งซึม น้ำตาคลอเบ้าคล้ายจะร้องออกมาเสียให้ได้

     “คุณอยากจะร้อง ก็ร้องออกมาอีกเถอะค่ะ ถ้ามันจะทำให้คุณดีขึ้น”

    ร้อยโทหนุ่มส่ายหน้า แสร้งทำเป็นฝืนยิ้ม “ครั้งเดียวฉันก็อายแม่อุ่นจะแย่”

     ทั้งที่เพิ่งได้รู้จัก แม้จะทำเป็นเก่ง ดูไม่ทุกข์ร้อนและยิ้มแย้ม แต่รอยยิ้มของเขามันถูกแสร้งเพื่อกลบความเศร้า เศร้าที่คิดถึงคนๆนั้นมากเหลือเกิน

     “แล้วถ้าฉันเป็นเพื่อนของคุณล่ะคะ?” หญิงสาวจับมือแกร่ง ร่างสูงหยุดชะงักไม่ขับเคลื่อนยานพาหนะต่อ

     “ฉันรู้ว่าฉันต่ำต้อยเกินกว่าจะเป็นเพื่อนของคุณ แต่คุณเป็นผู้มีพระคุณสำหรับฉันเหมือนกัน ชาตินี้อาจทดแทนเสียไม่หมดด้วยซ้ำ สิ่งใดที่ฉันพอจะช่วยคุณได้ ฉันก็...”

      “ฮึก!”

     เขาเผลอรั้งร่างของหญิงสาวเข้ามากอด กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ใครจะไปคิดเล่าว่านายตำรวจหนุ่มผู้แข็งแกร่งคนนี้จะมาร้องไห้ต่อหน้าหญิงสาวได้ถึงสองครั้ง ทั้งที่เพิ่งรู้จักเพียงวันเดียว ดวงตากลมเบิกโพลงตกใจสิ่งที่เหนือความคาดหมาย

   แต่สองมือกลับกอดตอบเขาด้วยใจที่สงสาร...

   ชีวิตเธอก็เจ็บ ชีวิตเขาก็คงจะปวดร้าวน่าดู คนเจ็บทั้งสองได้มาพบกัน ต่างระบายความรู้สึกผ่านอ้อมกอดของความเป็นมิตรที่เพิ่งก่อตัว

     ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณผ่านอะไรมาบ้าง ไม่เป็นไรนะคะ ฉันจะอยู่กับคุณเอง ผู้มีพระคุณของฉัน

    “บ้านแม่อุ่นอยู่ที่ไหน? ฉันจะไปส่ง”

     คุณโดมเข้ากรมตำรวจเพียงไม่นานหลังมาถึงพระนครเพื่อดูสำนวนคดี ก่อนจะขับรถมาตามทางโดยยังมีหญิงสาวนั่งเป็นเพื่อนไม่ห่าง

    “เอ่อ...คือ...”

   ไม่กล้าบอก...ว่าเธอไม่มีแม้กระทั่งที่จะซุกหัวนอน ตั้งแต่ย่าของเธอจากไป แม่อุ่นถูกโกงค่าตัวจนไม่มีเบี้ยอัฐจ่ายจนบ้านถูกยึด ตรอกผีเสื้อที่เคยไปอาศัยแม้จะเป็นฝันร้ายก็ถูกทลายลง เอาอย่างไรดี?

    ไม่อยากให้คนที่แสนดีอย่างเขามาลำบาก...เพราะเธอเป็นภาระ

     “ถ้าฉันจะขอกลับไปที่บ้านของฉันเสียสักครู่ แม่อุ่นคงไม่ว่ากระไรใช่ไหม?”

    หญิงสาวพยักหน้า จวบจนคุณโดมขับรถกลับมายังที่ๆเรียกว่าบ้าน รอบด้านบริเวณกว้างโอ่โถง ตัวบ้านแม้จะรูปทรงดูแปลก แต่ก็ดูอบอุ่นน่าอยู่ไม่น้อย อย่างเธอคงทำได้เพียงชะเง้อมองก็เท่านั้นเอง

     “สวยจังเลยค่ะ”

     ใช่...บ้านสวย แต่มันไม่ต่างจากกรงทองสำหรับฉันนักหรอก แต่ผู้หญิงกับของสวยงามมักเป็นของคู่กัน ไม่แปลกใจที่แววตาของเธอดูตื่นเต้นกับสถานที่ตรงหน้า

    “อยากจะลงไปเดินเล่นเสียหน่อยไหมเล่า?”

    “ได้หรือคะ?”

     เขาไม่ตอบ เพียงแต่ลงจากรถเพื่ออ้อมมาเปิดประตูรถให้เธอ “เชิญครับ”     

    แม่อุ่นทัศนารอบๆหลังจากคุณโดมอนุญาตให้เข้ามาดูด้านในได้ หญิงสาวดูตื่นตากับดอกไม้นานาพันธุ์ ตลอดชีวิตเธอยังไม่เคยได้พบสิ่งสวยงามเหล่านี้มาก่อน ทว่ายังไม่ทันจะได้ชื่นชมหรือเอ่ยสิ่งใด สิ่งที่ทำลายความสุขของทั้งสองคนก็มาเยือน...

    “กลับมาแล้วรึ?”   

  เสียงทรงอำนาจของพระยามนตรีดังก้อง ร่างของหญิงสาวสะดุ้ง แต่คุณโดมจับมือเธอไว้แน่นบอกเป็นเชิงว่าอย่าได้กลัว   

   “นึกว่าจะกลับไปกกกอดไอ้เด็กนั่น แล้วทำไมถึงไปคว้าผู้หญิงที่ไหนมาแทนเล่า?” 

    จากเสียงทรงอำนาจ...แปรเป็นเสียงเหี้ยมเกรียม คุณโดมเบิกตากว้าง หาได้กลัวน้ำเสียงจากบิดาไม่ เขาหวาดกลัวสิ่งที่อยู่ในมือของบิดาต่างหาก   

  โกศของคุณแม่อันนา!!   

  “ฉันเคยเตือนแล้วนะ ว่าถ้าก้าวออกจากพระนครแม้แต่ก้าวเดียว...”   

  เพล้ง!   

โกศแก้วที่บรรจุอัฐของมารดาถูกปล่อยกระแทกลงพื้นต่อหน้าต่อตา เศษธุลีบางส่วนปลิวหายไปกับลม               

 “มัม!!”   

  ร้อยโทหนุ่มวิ่งถลาเข้าไปโกยเถ้าธุลีของมารดาอันเป็นที่รักเท่าที่พอไหว สองมือประคองไม่ให้แม้เพียงเศษเสี้ยวหายไปด้วยความเจ็บปวด เขาหันขวับมองพระยามนตรีที่กระทำสิ่งโหดร้ายต่อเขาอย่างไม่รู้สึกรู้สา ช่างจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเหลือเกิน!   

  “คุณทำอย่างนี้กับมัมได้อย่างไร!?” คนๆนี้โหดร้าย จนเขาไม่อาจจะเรียกว่า’พ่อ’ได้อีกต่อไป

“มัมเกี่ยวอะไรด้วย? ผมแค่คิดถึงยม คุณต้องมาลงที่ผม ไม่ใช่มัม!”     

“มันผิดตั้งแต่ฉันรับลูกของนังฝรั่งหยำฉ่ามาเลี้ยงแล้วต่างหาก!” พระยามนตรีชี้หน้า แม่อุ่นเข้ามาประคองคุณโดมที่ได้แต่มองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ     

 “ก็ก่อนที่นังอันนามันจะมาเป็นเมียฉัน มันติดท้องแกมาด้วย ฉันก็เลยจำใจต้องเลี้ยงแกอย่างช่วยไม่ได้”         

ความจริงมิได้สวยงามเสมอ...เรื่องนี้ก็เช่นกัน พระยามนตรีเกิดถูกตาต้องใจอันนา...ลูกสาวเจ้าของร้านตัดเสื้อฝรั่ง โดยไม่สนใจว่าเธอกำลังตั้งท้องอยู่กับคนรักที่กำลังจะแต่งงาน ใช้กำลังทุกทางเพื่อให้ได้เธอมาครอง ไม่มีใครกล้ายื่นเข้าช่วยเหลือเพราะพระยามนตรีขึ้นชื่อเรื่องอิทธิพลนัก       

“มะ...ไม่จริง!” คุณโดมพึมพำ เมื่อได้รับรู้ความจริงที่ถูกปิดไว้ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิด   

 “ยังไม่พอ ขนาดมันมีฉันเป็นผัวมันยังหาเรื่องกลับไปหาผัวเก่ามัน ก็พ่อแท้ๆของแกน่ะแหละ ฉันก็เลยสั่งสอนอะไรแม่แกนิดๆหน่อยๆ”

    “คุณ คุณทำอะไรแม่ผม!!”   

“หึ!” พระยามนตรีกระตุกยิ้ม “ในเมื่อมันหลายใจ ฉันก็เลยจ้างคนให้ไปสนองมันให้ โชคร้ายที่มันได้โรคติดมาด้วย ฉันรังเกียจ แต่ฉันก็รู้ว่าอย่างไรมันก็ต้องตาย ฉันหยามมันทุกทาง รวมถึงแต่งงานกับคนที่มีฐานะทัดเทียมกับฉัน เพื่อหยามหน้ามันจนมันตาย!”   

  คุณโดมพูดอะไรไม่ออก ดวงตาคมเข้มสั่นไหว คลอเบ้าไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด มิน่าเล่า ยามที่เขาไม่ทำตามที่พระยามนตรีผู้นี้ต้องการ เขาจะถูกด่าทอด้วยวาจาที่เจ็บแสบ เพราะเขา...หาใช่สายเลือดของคนๆนี้   

คนที่มากด้วยยศศักดิ์...แต่ใจคอหยาบช้าต่ำทรามกว่าโจร!!   

 ต่อหน้าผู้อื่นพูดยอดีอย่างนั้นอย่างนี้   

ลับหลังเขาก็ไม่ต่างกับที่ระบาย ถูกหยามจากคนที่เคยเรียกว่า’พ่อ’

   “ไม่เคยคิดเลย ว่าฉันจะมีลูกวิปริต นึกอุตริเป็นพวกลักเพศเช่นแก!”   

  “ผมก็ไม่คิดเลยว่าตำรวจอย่างผม จะเคยมี’พ่อ’ที่ใจคอโหดร้ายได้ถึงขนาดนี้!”   

 “แกจะจับฉันก็ได้นะ” พระยามนตรีเหยียดยิ้ม มองร่างในเครื่องแบบกำลังค่อยๆใช้มือโกยเศษธุลีมารดาเข้ามาใกล้กลัวลมพัดมารดาไปจากเขา   

 “ผมไม่จับคุณหรอกครับ ถือว่าเป็นบุญคุณที่คุณเลี้ยงผมมา ขอให้เราจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้”   

 “หึ!” ร่างท้วมเดินกลับเข้าไปในบ้าน หลบซ่อนแววตาบางอย่างไว้ไม่ให้คุณโดมเห็น แม่อุ่นมองผู้มีพระคุณด้วยหัวใจที่สงสารยิ่งนัก   

 แควก!!   

หญิงสาวฉีกชายเสื้อจนพอที่จะห่อหุ้มเถ้าธุลี ลำพังผ้าเช็ดหน้าที่คุณโดมให้เธอคงไม่พอที่จะเก็บได้เพียงพอ ร่างสูงก้มกราบอย่างสุดจะเสียใจ แม่อุ่นสะกิดแล้วยื่นเศษผ้าส่งให้   

 “รีบเก็บอัฐแม่ของคุณก่อนเถอะค่ะ ก่อนที่ลมจะพัดปลิวเอา”  เขาพยักหน้าขอบคุณ ก่อนจะค่อยโกยเศษ ธุลีเข้าเนื้อผ้าแล้วโอบกอดไว้ด้วยเสียใจอย่างสุดซึ้ง ความจริงที่ไม่ทันได้ตั้งรับช่างเจ็บปวดเหลือเกิน     

“มัมครับ ทำไมผมไม่เคยรู้เลยว่ามัมจะถูกทำร้ายขนาดนี้”     

ร้อยโทดนัย มนตรีพาณิชย์...ผู้ไม่เคยปล่อยคนชั่วลอยนวล ยามนี้อ่อนแอเหลือเกิน คนที่ทำร้ายแม่ของเขาหาใช่บิดาผู้ให้กำเนิดก็จริง แต่บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนก็ท่วมท้น จนไม่อาจจะหักใจจับตัวอดีตผู้เป็นบิดาได้   

 มิน่าเล่า ตั้งแต่เด็กจนโต เขาถึงได้ต่อต้านสิ่งที่บิดาพยายามยัดเยียดให้ทุกอย่าง เลือกเรียนตำรวจ แทนที่จะเรียนด้านรัฐศาสตร์เพื่อรับราชการในกระทรวงตามที่ต้องการ ที่แท้พระยามนตรีก็หวั่นเกรงภัยที่อาจมาถึงตัวนั่นเอง   

 ต่อไปเขาไม่ใช่ดนัย มนตรีพาณิชย์   

 จะเป็นเพียง’ไอ้โดม’ ไอ้โง่ที่เสียความรู้สึกให้กับคนที่รักและเทิดทูน   

  ตอนนี้ไอ้โง่อย่างเขาทำได้เพียงค่อยๆประคองมารดาขึ้น โดยมีหญิงสาวที่อยู่เคียงข้างช่วยพยุงขึ้นมา   

“แม่อุ่น...” คุณโดมเหลือไปเห็นชายเสื้อฉีกขาด เป็นสีเดียวกับที่ห่อหุ้มธุลีของคุณอันนา โชคดีที่เสื้อตัวใหญ่โคร่งจึงไม่ได้เห็นเนื้อหนังมังสาได้ชัดเจน   

 “โกศแตกแล้ว แล้วผ้าเช็ดหน้าที่คุณให้ฉันก็เล็กเกินกว่าจะห่อหุ้มได้ เอ่อ...”   

“ขอบคุณนะแม่อุ่น” เขายิ้มบางๆส่งให้เธอ อย่างน้อยหญิงสาวที่เขาเคยช่วยไว้ก็ยังพอเป็นที่พึ่งยามที่เจ็บที่สุดในชีวิต   

 “แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อหรือคะ?”     แม่อุ่นถามหลังจากที่ร้อยโทหนุ่มให้เธอมานั่งบนยานพาหนะทรงกระดองเต่าเป็นที่เรียบร้อย     

“ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วแม่อุ่น...” แม้จะพยายามกลั้นน้ำตาไว้ แต่ความจุกอกก็ทำให้หยาดนั้นคลอเบ้า เกินกว่าจะรับจนต้องปบ่อยให้ไหลอาบแก้มช้าๆ

     “คุณโดมจะกลับไปเชียงใหม่หรือคะ?”     

เขาส่ายหน้า ที่ๆไม่มียม...ต่อให้กลับไปก็มีแต่จะเจ็บมากขึ้น

    “ฉันคิดว่าก็คงจะไปเช่าเขาอยู่ อ้อ! บ้านแม่อุ่นอยู่ไหนล่ะ? ฉันจะไปส่ง”    แววตาของเธอสั่นริก วูบไหว เศร้าหมองกะทันหัน

    “คุณกรุณาพาฉันไปส่งข้างหน้าได้ไหมคะ?”

    “บ้านของคุณอยู่แถวนั้นรึ?”

     “เอ่อ...” หญิงสาวอึกอึกอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้คุณโดมพอจะรู้แล้วว่าเธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้

    “เราเป็นเพื่อนกันนะคุณ คุณบอกผมเองไม่ใช่หรือ?”   

“ความจริงแล้ว ฉันไม่มีบ้านหรอกค่ะ...” แม่อุ่นตอบเสียงสั่น “พอย่าฉันเสีย บ้านก็ถูกยึดจนต้องไปซุกหัวนอนที่ตรอกผีเสื้อ ฉันไม่อยากเป็นภาระของใคร กรุณาให้ฉันไปตามทางของฉันเถอะค่ะ”     

 คุณโดมเก็บซ่อนความอ่อนแอไว้อีกครั้ง เขารู้ดีว่าณ ตอนนี้ ไม่มีผู้ใดจะยากลำบากไปกว่าหญิงสาวที่เป็นเพื่อนยามยากกับเขา แม้จะรู้จักกันได้ไม่นานนัก แต่เขาก็รู้ทันที หญิงคนนี้ไม่มีวิสัยมารยาหญิง เธอซื่อ บริสุทธิ์ น่าสงสาร...เหมือนคนๆนั้น

     “ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ”

     “แต่ว่า...”     

   “ต่อไปแม่อุ่นจะไม่ลำบากแล้วนะ...” ร้อยโทหนุ่มบีบมือเล็กเบาๆ “เราจะอยู่ด้วยกัน คุณจะได้ทำงานสุจริต ลืมอดีตของคุณไปเสีย เริ่มต้นใหม่กับผม”   

 “แล้วคุณจะให้ฉันอยู่ในฐานะอะไรคะ?”     

 แม่อุ่นกังวล เธอเป็นหญิง ต่อให้อดีตจะเป็นโสเภณีน่ารังเกียจ แต่นั่นแหละที่ยิ่งทำให้เธอกังวลว่าอาจทำให้คุณโดมมัวหมอง คนต่ำต้อยอย่างเธอ...เป็นได้เพียงคนรับใช้ก็ดีถมแล้ว   

   “ภรรยา...” เขาตอบโดยไม่คิด “คุณจะอยู่...ในฐานะภรรยาของผม”   

    “ได้อย่างไรกันคะ?” หญิงสาวเบิกตาอย่างตกใจ “เราไม่ได้รักกัน คุณเองก็มีคนที่คุณรัก”

     ทำไมตัวเองถึงนึกปวดใจเล่า?

     “ผมไม่อยากให้ใครมองคุณไม่ดี” คุณโดมอธิบาย “แม้คุณจะอยู่ในฐานะภรรยาของผม แต่ผมสัญญาว่าเราจะอยู่กันเช่นเพื่อน ผมจะไม่แตะเนื้อต้องตัวคุณแม้ปลายเล็บ”

      เพราะคุณรักคนนั้นของคุณมากใช่ไหมคะ?

      ทั้งที่ควรจะดีใจที่จะเจอชายที่ให้เกียรติเธอมากขนาดนี้ แต่เหตุใดจึงนึกปวดใจนักเล่า อีอุ่น...อย่าได้นึกว่าเป็นความรักเจียว หล่อนเพิ่งจะรู้จักเขาเองมิใช่หรือ?

  บ้านเช่าหลังใหม่ที่คุณโดมมาเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ใหญ่โต ออกจะเล็กกว่าเรือนปั้นหยาเสียด้วยซ้ำ ต่อแต่นี้เขาจะสามารถอยู่ได้ด้วยเงินเดือนตำรวจ มิใช่ทรัพย์สินติดตัว อีกทั้งยังขอให้หญิงสาวช่วยประหยัด เก็บหอมรอมริบ ซึ่งแม่อุ่นก็ยินดี

     ใครจะไปคิดเล่า...ว่าชีวิตของเขาจะพลิกผัน อยู่ที่ๆของตัวเองไม่ได้ จนต้องออกมาระเห็จเช่าบ้านพร้อมกับหญิงสาวที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงวันเดียว

      “พอดีดอกไม้บนรถของคุณมันเฉาแล้ว ให้ฉันนำไปทิ้งให้ไหมคะ?”

      แม่อุ่นเพิ่งทำความสะอาดภายในรถยนต์จนเสร็จหลังจากปัดกวาดเช็ดถูรอบบ้านเช่า คุณโดมปฎิเสธพร้อมบอกให้เธอส่งซากดอกไลเซนทัสให้ พลันภาพคืนวานเก่าๆก็กลับมาหาเขา

     ชาตินี้ต่อให้ฉันจะไม่ได้พบเธอ แต่ฉันก็จะไม่มีวันตัดใจจากเธอเด็ดขาด ฉันช่างเป็นคนมีกรรม...ที่ไปรักคนที่มีเจ้าของเช่นเธอ...ยม

     แววตาเศร้า โหยหา อาลัยอาวรณ์ แม่อุ่นตระหนักได้ทันที เขาคงกำลังคิดถึงคนที่ปรารถนาจะได้พบเป็นแน่

     ไม่อยากเห็นคุณโดมเศร้าเพราะคนๆนั้นเลย


ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เรือนร้าว30
ตอน กอดฉัน

     ตลาดยามเย็นย่านปากเกร็ดคึกคักไม่แพ้พระนคร ผู้จับจับจ่ายซื้อสินค้าตามประสายาก เสียงแม่ค้าเร่เรียกให้ซื้อสินค้าของตน แม่ค้าบางคนก็ถ้อยอัธยาศัยดีหมายให้ซื้อสินค้าจากตนให้เยอะที่สุด แต่บ้าง...ก็ทำเสียงคล้ายไม่เต็มใจอยากจะขายเท่าใดนัก

        “ป้าจ๊ะ พริกแดงกำนี้ขายอย่างไร?”         

 เจ้ายมเดินจ่ายตลาด จูงมือเด็กน้อยที่ในมือถือขนมเคี้ยวตุ้ยๆ แต่ตาแป๋วของเด็กวัยหกขวบก็พอจะสังเกตได้ถึงสายตาไม่เป็นมิตรยามที่มองพ่อยมของตน       

  “กำละสามสลึง” นางตอบห้วนๆ ร่างอวบโบกพัดจนไขมันที่แขนกระเพื่อมไม่แยแส     

    “ที่อื่นเขาขายกำละสลึงเอง ลดให้นิดหนึ่งได้ไหมจ๊ะ?”

ยมเอ่ยถาม เผื่อว่าจะได้ลองต่อราคาดูบ้าง แต่สิ่งที่ได้รับคือสายตาที่ตวัดมองมาด้วยหยามเหยียด 

“ไม่มีปัญญาซื้อก็ไปไกลๆ ไอ้พวกลักเพศ!!”   

   “ป้ายักษ์อย่าว่าพ่อยมนะ!!”   

     หนูขมเองก็ไม่ยอม แม้เด็กตัวแค่นี้ไม่มีทางรู้ว่าคำว่าลักเพศหมายถึงอะไร แต่ก็คงไม่ใช่คำที่ดีเป็นแน่     

   “ต๊ายย!! ไอ้เด็กนี่ปากเสียนัก แม่จะตบให้ฟันร่วง”     

   “อย่าจ้ะ! ไปแล้วจ้ะไปแล้ว”     

   ไม่รอให้เขาด่าว่าไปมากกว่านี้...ยมก็รีบจูงมือลูกน้อยไปจากตรงนี้ทันที ไม่ได้กลัวจะถูกต่อว่าหรอก แต่กลัวป้าขายพริกท่าทางน่ากลัวนั่นจะทำร้ายลูกเอาจริงๆ ให้ตายเถิด...ขู่ได้แม้กระทั่งเด็กตัวเล็ก     

 “ไปไกลๆไป๊!! ไอ้หน้าผี!” 

    ความจริงก็น่าจะชินตั้งนานแล้ว เพราะนี่หาใช่ครั้งแรก   

  นับแต่เขาแต่งงานกับพี่เขม ใช้ชีวิตคู่เฉกเช่นคู่รักอื่นสามัญ เรื่องความรักของชายสองคนมาใช้ชีวิตด้วยกันก็เป็นที่ซุบซิบนินทา ยิ่งฝ่ายหนึ่งเป็นถึงบุตรชายของคุณพระผู้พร้อมสรรพทั้งรูปและหน้า ในขณะที่อีกคนตรงข้าม ทั้งอัปลักษณ์ ทั้งไม่มีชาติตระกูล ไม่มียศศักดิ์ แผลเป็นบนใบหน้าทำให้ชาวบ้านละแวกนั้นรังเกียจจนไม่อยากคบหาด้วย       

 “กลับมาแล้วหรือยม?”       

เพลิงมั่นเข้ามาช่วยถือข้าวของในมือ ตั้งแต่วันที่แต่งงานคุณพระอนุญาตให้ทั้งสองมาอยู่ดูแลที่นี่ ช่วยยมดูแลบ้านช่องยามที่คุณเขมไปทำงาน ส่วนเดือนขอลากลับเรือนคุณพระ ด้วยเหตุผลที่ว่า ยังคงเป็นห่วงคนทางนั้น     

 ปีนี้เด็กน้อยมีอายุครบหกขวบเต็ม ผู้เป็นปู่จึงจัดการให้หลานชายได้เข้าเรียนชั้นประถมตามที่หลวงออกกฎทันที แต่ช่วงนี้โรงเรียนปิดเทอม เจ้าหนูจึงได้อยู่เป็นเพื่อนพ่อยมอีกคน     

 “หน้าซึมมาเชียวยม ถูกพวกนั้นมันว่าเอาล่ะสิ พี่น่าจะไปด้วยตั้งแต่แรก”     

  มั่นลูบแขนน้องชาย ยมได้แต่ฝืนยิ้มน้อยๆ แม้จะไม่เป็นไร...หากใจลึกๆกลับรู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี ทุกวันนี้เขาไม่อะไรจากตัวประหลาดให้ใครต่อใครตราหน้า   

  “พี่มั่นไม่ค่อยสบาย ให้พี่เพลิงอยู่ดูแหละดีแล้วจ้ะ ยมไม่ได้ลำบากอะไร” เด็กหนุ่มยิ้มส่งให้มั่นที่ทำหน้าเจื่อน หมายให้สบายใจ “จะเย็นแล้ว ยมขอไปทำกับข้าวกับปลาก่อนนะจ๊ะ”

     เด็กหนุ่มจูงเจ้าหนูเดินเข้าไปในห้องทำครัว ให้หนูขมช่วยเด็ดล้างดอกโสนเพื่อนำพาผัดไข่ตามที่ตกลงไว้โดยมีพี่เพลิงคอยสอนอีกที ส่วนพี่มั่นก็ถูกบังคับให้กลับไปนอนในห้อง

      น่าเสียดายที่ไม่ได้ซื้อพริกสดมา เพราะวันก่อนพี่เขมบ่นว่าอยากกินผัดเผ็ดมะเขือเปราะ สุดท้ายแล้วกับข้าวเย็นวันนี้จึงมีแต่เพียงดอกโสนผัดไข่ ปลาทูทอดเกรียมๆ และหมูโสร่ง ซึ่งแต่ละอย่างไม่มีส่วนผสมของพริกแม้แต่น้อย

       “พี่เพลิงจ๊ะ ยมปวดหัวนิดหน่อย ถ้าพี่เขมมาก็เอาออกไปตั้งได้เลยนะจ๊ะ”

       ไม่พูดพร่ำ...เด็กหนุ่มก็เดินขึ้นเรือนทันที เอนกายลงบนเตียงหนุ่ม แม้ข้างๆจะว่างเปล่าเพราะคนรักยังไม่กลับจากทำงาน แต่กลิ่นหอมนั้นก็ยังติดไม่เจือจาง เพียงแค่นั้นก็ทำให้ยมหลับสบายเหลือเกิน

        ‘เราผิดขนาดนั้นเลยหรือไร?’

        ยมคิดในใจ ปกติแล้วความรักของผู้ชาย ผู้หญิงสองคนมักถูกมองต่างกันออกไป บ้างก็ถูกมองเป็นเรื่องน่าขับ บ้างก็ยอมรับแม้จะเป็นเพียงส่วนน้อย ความรักรูปแบบนี้ส่วนมากจึงต้องหลบๆซ่อนๆ แต่หาใช่กับที่แห่งนี้ ที่ๆยมควรจะมีความสุข หากถูกพวกชาวบ้านหรี่มองยามที่เห็นพี่เขมเดินจับมือมากับเขา โดยมีหนูขมยิ้มแป้นคอยพูดซ้ำๆ

        ‘พ่อเขม พ่อยมจ๋า จะหวานมากเกินไปแล้วน้า’

       ความรักของเขากับพี่เขม...ถูกมองว่าแปลก ไม่คู่ควร สายตาที่มองมาจึงย่อมเหยียดหยาม ซึ่งยมเองก็น่าจะชินได้แล้ว

       ทั้งที่ควรจะมีความสุขที่มีพี่เขมอยู่เคียงข้าง...

       แต่ไฉน...กลับทุกข์เพราะคำคนอื่น

     ยมรักพี่เขมสุดหัวใจ ยมจะอดทนต่อไป ความรักของยมไม่เคยมีสิ่งใดมาทำให้สั่นคลอนพังทลายได้ ขนาดความตายยมยังรอดได้หลายครั้งหลายคราจนได้พบพี่ ดังนั้นแค่คำคน ยมก็จะทน

      ร่างน้อยหลับตาลงเงียบๆ กลิ่นหอมนั้นทำให้เจ้ายมหลับสบาย จนไม่ทันสังเกตว่าฟูกส่วนที่ว่างเปล่าอ่อนยวบ คุณเขมลูบใบหน้าที่หลับสนิทของคนรักที่ยามนี้ไร้ความกังวลใดๆ มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากเสยแผ่วเบา จมูกสันโด่งจูบหน้าผากเจ้าตัวน้อยอย่างทะนุถนอม

     เขาเพิ่งกลับมาได้สักพัก หนูขมก็ฟ้องเรื่องที่ยมถูกแม่ค้าขายพริกในตลาดรังแกพร้อมตั้งคำถามว่า ‘ลักเพศ’ คืออะไร จึงไม่รอช้าที่จะขึ้นมาหาคนรัก แต่ก็พบว่ายมได้หลับไปแล้ว

      ดวงหน้าไร้น้ำตา ไร้รอยริ้วคิ้วขมวด แลดูเพลินตา คุณเขมมองเจ้าตัวน้อยด้วยใจที่สงสารนักหนา

       “คนดีของพี่เข้มแข็งนัก อย่าได้ร้อง พี่อยู่กับยมทุกลมหายใจ”



สายน้ำไหลเอื่อย ฟองคลื่นระริ้วคล้ายทะเลแผ่วๆตามกระแสลมพัดหวน เจ้ายมตื่นขึ้นมาก็พบคุณเขมกำลังนอนหลับอยู่ข้างๆ เห็นว่ากำลังนอนสบายไม่อยากปลุก ร่างเล็กจึงค่อยๆปลีกตัวออกมารับลมเย็นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มองเห็นฝูงปลาแหวกว่ายผ่านน้ำใสประดุจกระจกใสแจ๋ว แล้วนึกถึงกาพย์กลอนที่พี่เขมชอบอ่านให้ฟังบ่อยๆยามเหงา

  พิศพรรณปลาว่ายเคล้า            คลึงกัน

ถวิลสุดาดวงจันทร์                          แจ่มหน้า

มัตสยาย่อมพัวพัน                          พิศวาส

ควรฤพรากน้องข้า                  ชวดเคล้าคลึงชม

         บทโศก...ไม่ต่างจากเงาะป่าแม้แต่น้อย

         พี่เขมนำหนังสือเงาะป่ามาคืนยมนานแล้ว แต่เพราะเห็นว่าเจ้าตัวน้อยพออ่านออกเขียนได้ จึงขยันหาหนังสืออื่นมาให้อ่าน ซึ่งยมเองก็ชื่นชอบไม่น้อย อีกทั้งยังคอยสอนหนูขมให้อ่านเพื่อจะได้มีวิชาติดตัวตามที่โรงเรียนเปิดภาคการศึกษาใหม่ จะได้ไม่น้อยหน้าผู้ใด

       “ยมครับ พี่นึกว่ายมหายไปไหนเสียอีก”

     เจ้ายมสะดุ้ง แม้คุณเขมจะไม่ได้ว่ากระไร แต่นั่นก็ทำให้เจ้าตัวน้อยก้มหน้า คุณเขมนั่งลงข้างๆ กุมมือดวงใจของเขา เขาช่างเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องเสียจริง

    จะทำอย่างไร ยมถึงจะมีความสุขที่สุดได้หนอ?

    “คนดีของพี่ พี่ขอโทษนะครับที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างยามที่ยมถูกรังแก”   

   ร่างสูงกอดเจ้าตัวน้อยแนบแน่น ริมฝีปากอบอุ่นกดจูบบาดแผลบนใบหน้าอย่างทะนุถนอม เขาเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ คุณเขมอยากให้ยมมีความสุข แต่ยามนี้หาใช่...เจ้ายมตัวน้อยกำลังเศร้าที่ต้องเผชิญกับคำคน 

   “พี่เขมไม่ผิด...” ศีรษะอีกคนเอนซบ อิงแอบหาความอบอุ่นใจจากพี่ “ความจริงแล้ว ยมไม่คู่ควรกับพี่ตั้งแต่แรก”   

   “อย่าพูดอย่างนั้นนะครับยม” มือใหญ่พลั้งเผลอจับเรียวมือน้อยอย่างแรง “ทำไมยมพูดเช่นนี้เล่า เราต้องฝ่าอะไรมาตั้งมากมายกว่าจะมาพบ ยมอย่าพูดว่ายมไม่คู่ควรกับพี่”   

 “ยะ...ยมเจ็บ...” ยมดิ้นจะเอามือออก คุณเขมรู้ตัวว่าเผลอไปจึงค่อยๆคลายแล้วลูบมือน้อยนั้นอ่อนโยนขอโทษ     

 “พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ” พึมพำซ้ำๆ จูบมือนั้นหวังให้คลายเจ็บ มองดวงตาหวานที่มีน้ำตาคลอน้อยๆ “อย่าร้องไห้นะครับ พี่ผิดไปแล้ว” 

   “ไม่ได้ร้อง...” เจ้ายมปาดน้ำตา จริงๆเลย...หากเป็นเรื่องพี่เขมทีไร แม้เรื่องน้อยนิดก็พาลน้ำตาไหลได้เสียแล้ว     

   “ยมอดทนอีกนิดนะครับ อีกไม่นานคนเหล่านั้นก็จะไม่สนใจเราอีกแล้ว ทุกวันนี้พี่เองก็ต้องอดทนกับสายตาที่เขามองพี่เหมือนกัน ชีวิตคู่เราไม่เหมือนที่อื่น ชายสองคนรักกันเปิดเผย ย่อมเป็นที่ถูกนินทา” 

   ไม่ต่างกัน...ทั้งสองต้องทนถูกมองสายตาแปลกๆ โชคดีที่ไม่ได้กระทบกับงานของคุณเขมเท่าใดนักด้วยไม่มีผู้ใดรับรู้ แต่กับพวกชาวบ้านตลาดที่เขารับรู้ปากต่อปากนี่แล ที่มีแต่ทำให้พวกเขาเป็นกังวล     

“พี่เขม...” ร่างเล็กขยับชิดคุณเขม “กอดยมหน่อย กอดยม”

     คนตัวใหญ่คว้าคนรักกอดแนบชิด มือใหญ่ปลอบลูบแผ่นหลังไม่ให้เป็นทุกข์ เหตุใด...ชีวิตของเขาและยมควรจะมีความสุข ลำพังตัวคุณเขมจะไม่เก็บคำนินทาของคนอื่นมาใส่ใจ      เขาสงสารเจ้ายมตัวน้อย ไม่อยากให้ร้องไห้ ไม่อยากให้ต้องเก็บคำคนมาคิดมาก หัวใจเด็กคนหนึ่งผ่านสิ่งสาหัสมากนักต่อนัก ภายนอกดูจะรับไหว แต่ทำไมจะไม่รู้ว่าภายในเจ้ายมนั้นทุกข์ใจเพียงใด     

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นยมเก็บมาคิด คุณเขมต้องปลอบขวัญอยู่เนืองๆไม่ให้คิดมาก จะทำอย่างไรดี ที่จะทำให้ยมไม่ร้องไห้อีก     

ยามเมื่อลมพัดหวน...ร่างหนึ่งกอดให้ความอบอุ่นคนตัวเล็ก จูบหน้าผากมนบอกว่าเขาจะอยู่เคียงข้างไม่ยอมห่าง       

อย่ากังวล พี่จะอยู่ข้างๆน้อง     

อย่าร้องไห้ พี่กอดน้องอยู่

             ...ยมเอยยมตัวน้อย         

อย่าละห้อยเศร้าโศกศัลย์

          ใจพี่จักขาดพลัน                 

ยามเห็นเจ้าทุกอกตรม...

ฟ้าสาง...เปลือกตาน้อยๆลืมขึ้นช้าๆ หัวใจของเจ้ายมยินดีที่คุณเขมยังคงนอนกอดเคียงข้างเหมือนเช่นทุกวัน เด็กหนุ่มยิ้มสดใสเป็นคนละคน ดีใจมากกว่าที่ได้ตื่นมามองใบหน้าคมเข้มไม่รู้เบื่อ 

   “Good morning ครับ ที่รักของพี่” อดีตนักเรียนนอกยิ้มส่งให้ เจ้ายมยิ้มเอียงอาย แก้มขึ้นสีเรื่อ   

 “ตื่นนานแล้วหรือจ๊ะพี่เขม? อ๊ะ!” ร่างน้อยดีดตัวขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่ากำลังนอนทับแขนแกร่งต่างหมอน “พี่เขมเมื่อยไหมจ๊ะ? ยมนวดให้จ้ะ”   

  เด็กน้อยคว้าแขนแกร่งข้างนั้นรีบบีดนวดกลัวพี่เมื่อย คุณเขมนึกอมยิ้มเอ็นดูคนตรงหน้าน้อยๆ ความจริงแล้วตัวเขาไม่ได้เมื่อยอะไรนักหนาดอก แต่เห็นเจ้าตัวตั้งใจจึงไม่ขัด   

  “ดีขึ้นบ้างไหมจ๊ะ?” หันมาถาม มือนิ่มคู่นี้ก็ยังคงบีบนวด   

“แค่มือของยมสัมผัส พี่ก็คลายเมื่อยเป็นทิ้งเลยล่ะครับ”     

เจ้ายมตัวน้อยยิ้มบางๆ เขินอายก็เขินเสียเหลือเกิน แต่ยังไม่ทันได้เขินไปมากกว่านี้คุณเขมก็โน้มริมฝีปากประทับลงบนกลีบปากนุ่มหยุ่น   

 “อือม์”     

คนตัวเล็กหลับตาพริ้มรับสัมผัส จนคุณเขมผละออก ใบหน้าเจ้ายมตัวน้อยแดงก่ำ ไม่กล้าสบตาคนรักที่มองมาด้วยสายตากรุ้มกริ่ม     

“ยมว่ายมไปเตรียมสำรับเช้าให้พี่เขมดีกว่าจ้ะ”     

พูดเสียงสั่น...ก่อนจะจ้ำอ้าวลงจากเตียงนุ่มแล้วเดินหนี เอามือปิดปากด้วยความอาย คุณเขมกลั้วหัวเราะให้กับท่าทางน่ารักของเด็กน้อย     

 มื้อเช้าเป็นข้าวหุงปรุงอย่างเทศ เคียงกับอีกอย่างสองอย่าง เพื่อเป็นกำลังใจให้พี่เขมทำงาน ตอบแทนที่เบี้ยอัฐทุกบาททุกสตางค์คุณเขมมอบให้ยมดูแลไม่อิดออด ยามทำงานเสร็จคุณเขมไม่เคยเที่ยวเตร่ สังสรรค์กับเพื่อน ยกเว้นถึงคราวที่คุณเขมบอกว่าทนลูกตื้อของเพื่อนร่วมงานไม่ไหว ซึ่งยมเข้าใจว่าเป็นสังคมของการทำงานจึงมิได้ว่ากระไร

    หลังจากคุณเขมรับมื้อเช้าเป็นที่เรียบร้อยเตรียมออกไปทำงาน พร้อมปิ่นโตมื้อกลางวันในมือเหมือนทุกวัน เจ้ายมตัวน้อยก็เรียกคนพี่ขณะกำลังจะเดินไปเปิดประตูรถ   

 “พี่เขมจ๊ะ กระดุมบนยังติดไม่เรียบร้อยเลยจ้ะ”   

 ร่างน้อยปรี่เข้ามาบรรจงติดดุมเงินช้าๆตั้งอกตั้งใจ คุณเขมคลี่ยิ้มกับอากัปกิริยาคนตัวน้อย ไม่ว่ายมจะทำอะไร...ในสายตาก็น่ารักไปเสียหมด

     น่ารัก...

    “อื้อ!”

     ยมร้องเมื่อแก้มข้างหนึ่งถูกอีกฝ่ายก้มหอมดังฟอด คุณเขมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้าวขึ้นรถแล้วเอ่ยถ้อยที่ทำให้เจ้ายมหน้าแดงเป็นตำลึงสุกออกมา

      “พี่รักยมที่สุดเลยนะครับ”

       หนึ่งสิ่งที่เจ้ายมรักคุณเขมมากขึ้นทุกวัน และรักเหลือเกิน คือคำบอกรักที่ได้ฟังไม่รู้เบื่อ และเป็นคำบอกรัก ที่ออกมาจากใจของคุณเขม

      “ยมก็...”

      “พ่อยมจ๋า!!!”

      เด็กน้อยจอมซนเดินเตาะแตะมาหา คุณเขมหัวเราะก่อนจะโบกมือน้อยๆลาเจ้าตัวเล็ก

       “หนูขม พ่อไปทำงานก่อนนะลูก แล้วตอนเย็นจะซื้อขนมมาฝาก”

กระทรวงมหาดไทย...ที่ๆคุณเขมต้องเข้าออกทำงานชวนเหน็ดเหนื่อย เขาถอนใจยามที่เห็นแต่เพื่อนร่วมงานเอาแต่แก่งแย่งริษยากัน เหมือนสมัยที่คุณดอมยังอยู่ เขามักจะถูกเหน็บทุกครั้งที่มีโอกาส คุณเขมจึงต้องอดทนเพื่อมิให้งานที่ได้รับมอบหมายพลาด จวบจนได้รับตำแหน่งเป็นหลวงเขมราฐ ตำแหน่งนี้...มิได้สร้างความชื่นชมให้คุณเขมแม้แต่น้อย

แม้จะมิได้ทำงานแพทย์โดยตรงตามฝัน แต่ในฐานะข้าราชการ เขาสนับสนุนทุกอย่างที่เกี่ยวกับการแพทย์ แม้จะไม่มาก แต่ก็ภูมิใจยิ่งนัก ด้วยคนเรียนแพทย์ยังน้อยในสยาม อาชีพที่คนนิยมเห็นจะเป็นเสมียนเสียมากกว่า วันนี้ก็ไม่ต่ำกว่าสิบชีวิตที่พากันแก่งแย่งเพื่อให้ได้งานนี้

      นิยมจนขนาดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังต้องทรงพระราชนิพนธ์ ‘โคลนติดล้อ’ ตอน ความนิยมความเป็นเสมียน ในพระนามแฝงอัศวพาหุ เพราะตอนนี้หลายอาชีพที่สำคัญนักหนาต่อการพัฒนาสยาม...ยังขาดแคลนนัก

       “พ่อนาก วันนี้ไปรับประทานกุ๊กช้อปฝั่งกระนู้นกันเถิดขอรับ ได้ยินมาว่าพ่อครัวฝรั่งทำอาหารอร่อยนัก”

      “จะดีหรือขอรับ เงินเดือนเสมียนอย่างเรา แค่อาหารของเขาจานเดียว อย่างถูกก็ตั้งสิบห้าบาทแล้ว”

       ขนาดคุณเขมได้รับพระราชทานเงินเดือนถึงหกร้อยบาท ยังไม่เคยจะไปเหยียนสถานที่ๆเรียกกุ๊กช้อปอะไรนั่นสักครั้ง คงจะเป็นดังที่พระราชนิพนธ์ของท่านกล่าวไว้จริง เงินเดือนเสมียนอยู่ที่ประมาณยี่สิบสามสิบบาท แต่พวกเขาไม่สน...ขอเพียงได้ทำงานได้สตางค์ หาความสำราญเท่านั้นก็เพียงพอ

        หากย้อนเวลากลับก่อนกลับไปเรียนอังกฤษได้ คุณเขมอยากเรียนแพทย์ อยากนำวิทยาการความรู้แพทย์มาช่วยชีวิตรักษาคน มิใช่ว่าอาชีพราชการไม่ดี...แต่สำหรับคุณเขม กลับรู้สึกเบื่อหน่ายเสียเหลือเกิน

        “เฮ้! เขมรึเปล่า?”

       ขณะที่กำลังจะหาบรรยากาศดีๆ รับประทานกับข้าวที่เมียรักลงมือทำให้ พลันคุณเขมก็รู้สึกคุ้นเคยกับเสียงของใครที่เรียกตนแว่วๆ สำเนียงนั้นแปร่งๆ พูดภาษาสยามไม่ชัดถ้อย ครั้นเงยหน้า...ก็พบกับชายหนุ่มตาน้ำข้าวร่างสูงโปร่งพอกับคุณเขม ผมหยักศกสีบลอนด์ เจ้าของใบหน้าฝรั่งยักคิ้วให้เป็นนัย

        “จอห์น...จอห์นใช่ไหม?”

       เขามีเพื่อนที่อังกฤษไม่กี่คน จอห์นคือคนที่สนิทด้วยมากที่สุด

        “เยส ไอดีใจที่ยูจำไอได้” จอห์นฉีกยิ้มกว้าง “How are you?”

        “ผมสบายดี ดีใจที่ได้พบ ว่าแต่มาทำอะไรที่นี่รึ?”

       สุดท้าย...คุณเขมก็พาเพื่อนตาน้ำข้าวเข้ามาพูดคุยด้านในกระทรวง ช่วงนั้นหลายๆคนออกไปรับประทานมื้อกลางวันเสียเกือบหมด สนทนาอังกฤษไปคุณเขมจึงได้รู้ว่าตอนนี้จอห์นได้ทำงานเป็นผู้ช่วยของท่านเอกอัครทูตพักหนึ่ง และได้แต่งงานกับมายา...ลูกสาวเจ้าของร้านขายยาฝรั่งใกล้ๆกงสุล จอห์นเริ่มเบื่อหน่ายที่ต้องเดินทางห่างภรรยาบ่อยครั้ง จึงลาออกมาช่วยเธอดูแลร้านแทน

     “วันก่อนไอพบกับมิสเตอร์ครูว์ บอกว่าเขมไม่ค่อยได้ส่งข่าวมา พอไอรู้ข่าวว่ายูทำงานที่นี่จึงได้มาหา”

     “ตั้งแต่ผมกลับมา มีเรื่องมากมายที่ผมต้องสะสาง” คุณเขมวางปิ่นโตลงบนโต๊ะไม้ “ขอโทษที่ไม่ได้ไปงานแต่งคุณนะจอห์น”

      “โอ้ อย่าคิดมากเลยเขม”  จอห์นยักไหล่ “เพราะไอกับมายาจัดงานแต่งเล็กๆ ในโบสถ์สองคน ไม่แปลกใจที่ยูจะไม่ทราบข่าว ว่าแต่ยูเถอะ ได้แต่งงานกับคนรักหรือยัง?”

        คุณเขมไม่ตอบ แสร้งทำเป็นตรวจดูเอกสารราชการ หากจอห์นดูออกทันที กับข้าวในชามทรงแปลกๆสองชั้นตรงนั้น ก็คงจะเป็นของคนรักทำให้ด้วยสินะ

      “เอาเป็นว่ายูแต่งงานกับคนที่ยูรักแล้ว” คนทะเล้นสรุปเสร็จสรรพ ก่อนจะรื้อบางอย่างออกจากกระเป๋าหนังส่งให้ รูปทรงเป็นกระปุกใส่บางสิ่งไว้ภายใน “ของฝากของยู ทองคำสกัดที่มายาคิดขึ้นเอง ลองใช้แล้วผิวจะสะอาดเกลี้ยงเกลา”

         คุณเขมรับกระปุกนั้นมา เปิดดูก็พบของเหลวสีทองภายใน กลิ่นไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก ก็คงจะปลอดภัยน่ะแหละ

          “ขอบใจนะ ผมจะเอาไปให้คนรักของผมใช้”



ตอนหน้ามาดูพี่เขมใช้ทองคำขัดหลังน้องกันนะค้าาา จะมาเป็นแบบไหนกันน้ออออออ

กาพย์ที่น้องยมนึกถึงตอนดูปลา ไรท์เอามาจากกาพย์เห่เรือนะค้าเพื่อสงสัยกันน

ใครจำจอห์นไม่ได้ ให้กลับไปอ่านสมัยที่พี่เขมยังเรียนอยู่อังกฤษ โผล่มาฉากเดียวเหมือนคุณบูรเป๊ะ ไรท์ขี้เกียจหาอิมเมจ เชิญรีดจิ้นตามสบายเลยเน้อออ55555


ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เรือนร้าว31
ตอน เพราะเธอ...คือชีวิตของฉัน

       รถยนต์สีขาวหยุดเทียบทันทีที่ถึงหน้าเรือน คุณเขมเอนหลังหลับตา วันนี้มีเรื่องมากมายทั้งดีและร้าย เขาได้พูดคุยกับจอห์นหลายเรื่อง หนุ่มตาน้ำข้าวยังได้ชวนเขาให้ไปทำงานด้วยกันที่อังกฤษ กงสุลแห่งสหราชอาณาจักรกำลังต้องการครูสอนภาษาและวัฒนธรรมของสยาม และตัวมายาภรรยาของจอห์นกำลังต้องการผู้ช่วยดูแลร้ายขายยารักษาโรค หากคุณเขมสนใจจะทำ จอห์นสามารถช่วยเหลือได้ทันทีโดยแทบไม่ต้องรีรอ

           ซึ่งคุณเขมเองก็สนใจไม่น้อย...

          เพราะเคยอยู่อังกฤษนานถึงห้าปี สังคมที่นั่นไม่ค่อยมีการแก่งแย่งเท่าใดนัก ด้านการแพทย์และวิชาการอื่นที่ใช้พัฒนาประเทศก็เจริญมากกว่า ที่สำคัญ...ครอบครัวของมิสเตอร์ครูว์เองก็อบอุ่น มีเพื่อนบ้าน มีอะไรก็ปรึกษาและไปมาหาสู่ได้ ไม่สนใจว่าครอบครัวไหนจะแปลกประหลาดแต่อย่างใด ขอเพียงมีไมตรีจิตและอัธาศัยตามคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า

         เขาเห็นภาพของยมและหนูขมได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เป็นครอบครัวที่อบอุ่น ไม่ว่าหนูขมอยากจะเรียนอะไร คุณเขมจะส่งเสียทุกอย่างเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะทำได้

         ยมของพี่จะได้ไม่ต้องทนกับคำคนจนร้องไห้อีก

        ส่วนอีกเรื่องที่เขาพานพบอีกเรื่อง...มิใคร่สู้ดีนัก

“น้องไหว้ค่ะ แหม! ไม่คิดเลยนะคะว่าจะได้พบพี่เขมที่นี่”

ใช่...ขณะกำลังจะกลับหลังตรวจดูเอกสาร คุณเขมบังเอิญพบแม่จำปาเดินควงมากับหนุ่มสำอางคนหนึ่งดูโก้เก๋ หญิงสาวเปลี่ยนไปนับจากวันที่เขาเอ่ยวาจาถอนหมั้นอย่างไม่ใยดี สาวน้อยเรียบร้อยที่เคยเห็นมานานนม เปลี่ยนเป็นสาวสวยที่มีความมั่นใจในตัวเอง

“น้องจำปา สบายดีหรือครับ?”

“นับตั้งแต่วันที่น้องเป็นหม้ายขันหมาก ก็ฟูมฟายเอาเรื่องอยู่เหมือนกันค่ะ...จนน้องได้มาพบกับพี่ศักดิ์ เขาดีกับน้องมาก ไม่นานเราจึงแต่งงานกัน นี่ก็เพิ่งกลับมาจากน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ฮังการีนะคะ”

สบสายตากับคู่ควงด้วยสายตาหวานเชื่อม ก่อนจะหันกลับมามองด้วยสายตาที่หยามเหยียดใส่คุณเขม

“แล้วพี่เขมล่ะคะ? ชีวิตคู่ของพี่เขมกับคนรักเป็นเช่นไรบ้าง ถ้าฟังมาไม่ผิด พี่เขมรักกับเด็กผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ใช่หรือไม่คะ?”

ประโยคหลังหญิงสาวเน้นเสียงหนัก พาลให้คนสัญจรไปมาแถบนั้นหันมามองด้วยความสนใจ คุณเขมอับอายเป็นอย่างมาก โชคดีของเขาเหลือเกินที่ไม่เคยนึกรักผู้หญิงคนนี้

ทว่าตอนนี้...เสียงรอบข้างวิพากษ์เขาเซ็งแซ่เสียเหลือเกิน

“นั่นน่ะหรือ หลวงเขมราฐ ที่เขาว่าชอบพอกับเด็กผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้”

“เห็นว่าเด็กนั่นหน้ายังกะผี ไม่รู้คว้าเอามาเป็นเมียได้อย่างไร? โสเภณีตามซ่องยังงามเสียกว่า”

“วิปริต ลักเพศเนาะหล่อน”

ชายหนุ่มกำมือแน่น เจ็บใจ อยากจะหันไปต่อว่าเสียงนกเสียงการอบด้านเหลือเกิน เขาไม่เคยทำให้ผู้ใดเดือดเนื้อร้อนใจ เหตุใยเล่าจึงถูกต่อว่าต่อขานราวกับเขาได้สังหารชีวิตคนๆหนึ่ง



      คุณเขมคิดจะลาหยุดสักสองสามวัน เพื่อจัดการยื่นเรื่องขอทำงานไปยังกงสุลตามที่จอห์นแนะนำ ส่วนเรื่องที่สนใจจะเป็นผู้ช่วยมายานั้นจอห์นเองก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะรู้ดีว่าคุณเขมเองก็สนใจด้านการแพทย์และยารักษาโรคมากกว่าวิชารัฐศาสตร์การปกครองที่จำฝืนเรียนมากกว่าเสียอีก

     ที่สำคัญ...เขาอยากอยู่กับยม อยากมีเวลาได้อยู่กับยม เด็กน้อยเหมือนเป็นแรงผลักดันให้เขาไม่ย่อท้อ และเป็นความสุขของเขา มานานแล้ว

      “ยม ยมครับ หนูขมลูก พ่อซื้อขนมขี้หนูมาฝากหนูขมด้วย”

      ร่างสูงตะโกนเรียกคนรัก เพลิงและมั่นที่กำลังทำความสะอาดรอบๆได้ยินเสียงนายของมันก็รีบเข้ามานั่งคุกเข่าใกล้ๆ

      “หนูขมเพิ่งเล่นกับบ่าวเหนื่อยๆ ตอนนี้ก็เลยหลับปุ๋ยอยู่บนเรือน ส่วนยม...กำลังว่ายน้ำเก็บสายบัวอยู่ขอรับ”

      คุณเขมรีบเดินไปท่าน้ำไม่รีรอ ก็พบเจ้าตัวน้อยกำลังเล่นน้ำแหวกว่ายอย่างสบายใจ กองสายบัวงามๆถูกเก็บขึ้นมาบนเรือพายไม้ ท่าทางของยมมีความสุขมาก วงหน้างามคลี่ยิ้มสดใสด้วยสดชื่นจากกระแสธาราเย็น

      “ยมครับ ตอนนี้เย็นแล้ว ขึ้นจากน้ำได้แล้วนะครับ”

     คุณเขมเรียกเมียรักที่ยังคงดำผุดดำว่ายอย่างสำราญใจ ครั้งแรกที่มาอยู่ยมว่ายน้ำไม่เป็น...แต่เพราะสายน้ำที่นี่สวยงามใสเย็นน่าแหวกว่าย ยมจึงอ้อนให้คุณเขมสอนว่ายน้ำจนพอดำผุดดำว่ายเป็น เท่านั้นเอง...เจ้าตัวน้อยก็ชอบว่ายน้ำไปเก็บสายบัวเป็นประจำ ทำเอาคุณเขมพาลเป็นห่วงอยู่เสมอ

      “พี่เขมจ๊ะ น้ำเย็นมากเลย ลงมาเล่นด้วยกันเถิดจ้ะ”

      เจ้ายมยังคงเล่นตีฟองคลื่นเหมือนกับเด็กๆ ภาพสดใสนั้นทำให้คุณเขมนึกเอ็นดูเป็นอย่างมาก แต่ก็เกรงว่ายมจะไม่สบาย เขาห่วงสุขภาพของคนรักมากกว่า

      “ขึ้นมาได้แล้วนะครับ พี่มีเรื่องอยากจะพูดด้วย เชื่อพี่นะครับ”

      เด็กน้อยทำหน้ายู้ ทำทีจะยอมว่ายกลับมาขึ้นฝั่ง ทว่า...

      “พี่เขม! พี่เขมช่วยด้วย!!”

      ร่างน้อยตีแขนสองข้างบนผิวน้ำไปมาจนเกิดระลอกคลื่น ดิ้นตะเกียกตะกายคล้ายจะจมน้ำ ประคองร่างของตัวเองไม่ให้จมลง เด็กน้อยร้องให้คุณเขมรีบมาช่วยด้วยความหวาดกลัว ซึ่งแน่นอนว่าอีกฝ่ายรีบกระโดดลงน้ำว่ายเข้าไปหายมแทบจะทันที

      “ยม ทนไว้ พี่มาแล้วยม!”

     ทันทีที่แหวกว่ายเข้าไปใกล้และคว้าร่างเล็กไว้ได้ทัน เจ้าตัวน้อยที่ทำท่าจะจมน้ำเมื่อสักครู่กลับหัวเราะสดใสเมื่อแหล้งคนรักได้สำเร็จ ในขณะที่คุณเขมที่รู้ว่าถูกหลอกเข้าเต็มเปาทำหน้าเครียด

      “คิก! พี่เขมอย่าทำหน้าอย่างนี้สิจ๊ะ”

      “...”

      คุณเขมหันหลังให้ เจ้ายมกลัวคนพี่จะโกรธฐานที่แกล้งเรียกร้องความสนใจเสียขนาดนั้น จึงทำใจกล้าซบใบหน้าลงบนแผ่นหลังจนคนพี่ต้องแอบปรายตามองพร้อมรอยยิ้มที่แอบคลี่น้อยๆ

     “อย่าโกรธยมนะจ๊ะ ดีกันๆ”

      เด็กน้อยเกาะลาดไหล่กว้าง ซบหน้าออดอ้อน ก็แค่อยากให้พี่เขมลงมาเล่นน้ำด้วยกันเท่านั้นเอง

     “เฮ้อ!”

 คุณเขมเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนใจออกมา ยมเป็นเด็กดี...พอทำผิดครั้งแรกจึงทำใจไม่ได้ที่จะโกรธใส่คนรัก ตั้งแต่อยู่ด้วยกันคุณเขมไม่เคยขึ้นเสียงใส่ยม อาจมีเถียงบ้างตามประสา แต่ก็ยิ่งทำให้ความรักของคนสองคนเข้าหวานชื่นและเข้าใจกันมากขึ้น

      “ยมครับ ยมอย่าทำแบบนี้สิครับ พี่เป็นห่วงนะ” คุณเขมเป็นห่วงยมมากเกินกว่าที่จะโกรธหรือดุซักคำ “คราวหลังอย่าทำอีกนะครับ...นะ”

     “จ้ะ ไม่ทำแล้ว” เจ้ายมกอดอ้อนคนตัวใหญ่ที่ตอนนี้เนื้อตัวเปียกปอนไม่ต่างกัน “ยมแค่อยากเล่นน้ำกับพี่เขมบ้างเท่านั้นเอง พี่เขมทำงานเหนื่อยๆ เล่นน้ำแล้วจะได้ชื่นใจ”

     ใบหน้าคมเข้มยื่นริมฝีปากงับจมูกของเด็กน้อยเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว ยมทำหน้ายู่เล็กน้อยแม้จะไม่ได้เจ็บอะไร

     “บทลงโทษที่แกล้งพี่” แล้วขยับไปหอมแก้มดังฟอด แล้วคลี่ยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อได้แกล้งเจ้าตัวน้อยจนอายตัวม้วน “ชื่นใจที่สุด”

      “อื้อ!” ซุกใบหน้าลงบนแผงอกแกร่ง ซ่อนใบหน้าที่ตอนนี้ร้อนผ่าวเขินอาย แต่ก็ถูกมือใหญ่เชยขึ้นมาให้สบตาอย่างทะนุถนอม

    “พี่รักยมที่สุด” ประกบริมฝีปากลงมาจูบย้ำ “รักที่สุดรู้ไหม”

    “จ้ะ” คราวนี้ใจกล้า เป็นฝ่ายหอมแก้มคนตัวใหญ่บ้าง “ไถ่โทษที่แกล้งพี่”

     เมื่อคนตัวใหญ่ไม่โกรธงอนแต่อย่างใด คุณเขมเห็นว่ามาถึงขนาดนี้แล้วจึงเล่นน้ำกับเด็กน้อยซักพัก ทำเอาหอบในน้ำไปไม่น้อยเพราะร่างเล็กเอาแต่ว่ายน้ำหนีให้คุณเขมว่ายตามไป เสียงหัวร่อซิกลั่นไปทั้งท่าน้ำจนเพลิงกับมั่นอดยิ้มตามไม่ได้

    “ข้าดีใจที่เห็นคุณเขมกับยมมีความสุขว่ะไอ้เพลิง”

    “ข้าก็ไม่ต่างกันเว้ย” เพลิงยีหัวคนรัก กอดร่างของมั่นแล้วยิ้มตามภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่เป็นสุข ยามที่ทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน แต่ยามที่ใจเปี่ยมสุข...มันช่างอิ่มเอมไปเสียทุกอย่างนัก

      “ลุงเพลิงลุงมั่นทำอาไย?”

      เสียงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณเขมทำให้สองบ่าวสะดุ้ง รีบหันหลังบังไม่ให้เด็กน้อยเห็นภาพที่พ่อทั้งสองกำลังจู๋จี๋กันท่ามกลางสายน้ำ กลัวร้องงอแงขัดจังหวะแหงๆ

     “ไม่มีอะไรขอรับคุณหนู หิวไหมขอรับ บ่าวเตรียมขนมนมเนยไว้เต็มเลยขอรับ”

     “ไม่เอา หนูรู้นะว่าพ่อเขมพ่อยมว่ายน้ำกันอยู่นู่น” นิ้วป้อมๆชี้น่าเอ็นดู “แต่หนูไม่ขัดจังหวะหรอก ลุงเพลิงลุงมั่นมาเล่นขี่ม้าส่งเมืองกับหนูหน่อย”

       สุดท้ายสองลุงก็ต้องไปยอมเป็นม้าให้เจ้าเด็กน้อยขี่เล่นสนุกสนาน ปล่อยให้พ่อทั้งสองของหนูขมได้ว่ายน้ำทวนกระแสกันไปมาจวบจนใกล้เวลาอาทิตย์อัสดง



   แสงเงินแสงทองยามเย็นสาดส่องจากทุกสารทิศ คุณเขมให้เมียรักรีบขึ้นจากน้ำเพราะเกรงจะได้ป่วยไข้ เจ้ายมไม่งอแงจึงยอมแต่โดยดี แต่ก็ไม่ได้ขึ้นเรือนไปแต่งตัวอย่างใด เพียงแต่พลัดผ้านุ่งผืนใหม่ที่เตรียมไว้เท่านั้น

 ทองคำสกัดกลิ่นหอมอ่อนๆถูกมือใหญ่บรรจงทานวดไปตามแผ่นหลังเปลือยเปล่า ยมหลับตาพริ้มสบายตัว ร่างนอนนอนคว่ำอยู่บนท่าน้ำไม่ทำบนเรือนเพราะกลัวจะหกเลอะเทอะ คราแรกยมจะเป็นฝ่ายทำให้แต่คุณเขมไม่ยอม อ้างอยากให้ยมได้ผ่อนคลาย

       นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่เจ้ายมตัวน้อยไม่รู้ตัวหรอกว่ายามที่เขาละเลียดขัดทองคำไปตามแผ่นหลังนวลเนียน แสงจากอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยจะกระทบทำให้ผิวของยมเปล่งปลั่งน่ามองกว่าเดิมเสียอีก

       “สบายตัวเหลือเกินจ้ะ” ยมพูดขึ้นทั้งที่ยังหลับตา สองมือของคุณเขมก็นวดไหล่บางให้คนรักคลายเมื่อย

        “จอห์นบอกว่าใช้แล้วจะสบายตัวและผิวพรรณเปล่งปลั่ง เอ่อ พี่หมายถึงเพื่อนพี่ที่ให้มาน่ะ”

       “เพื่อนพี่เขมเป็นฝรั่งหรือจ๊ะ?”

       “จอห์นเป็นเพื่อนกับพี่สมัยเรียนอังกฤษน่ะ” คุณเขมยังคงนวดตามลำตัวร่างเล็ก ต้องทิ้งทองคำไว้ชั่วครู่เพื่อให้มันบำรุงผิวพรรณของยมให้เต็มที่ ระหว่างนี้จึงสบโอกาสเล่าเรื่องที่ได้พูดคุยกับเพื่อนตาน้ำข้าวให้ยมฟัง

       “เขามาหาพี่ที่กระทรวง เล่าชีวิตที่อังกฤษหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยให้ฟัง แล้วเขาก็ชวนพี่ไปทำงานที่อังกฤษด้วยกัน...”

       ยังไม่ทันที่คุณเขมจะพูดจบ ร่างของเจ้าตัวน้อยก็ผุดมาเกาะแขน ส่ายศีรษะไม่ยินยอม ส่วนคุณเขมเองก็รู้จึงดันให้เมียรักนอนลง เพื่อพูดสิ่งที่เหลืออยู่ให้จบ

      “พี่จะไป และพี่จะพายมกับหนูขมไปด้วย ทางคุณพ่อพี่จะฝากเพลิงมั่นดูแลท่าน ให้ทั้งสองเขียนจดหมายมาเป็นระยะ สองคนนั้นอ่านออกเขียนได้อยู่แล้ว”

    “แล้วเขาชวนให้พี่ไปทำงานอะไรหรือจ๊ะ?”

   “เขาชวนพี่ไปทำงานเป็นครูสอนภาษาที่กงสุลอังกฤษ ว่าพรุ่งนี้จะเขียนจดหมายยื่นเรื่อง หากที่นั่นเขารับพี่ เราจะได้ไปอังกฤษด้วยกัน คนที่นั่นอัธยาศัยเป็นมิตร ยมต้องมีความสุขแน่ๆ”

     สักพัก...คุณเขมจึงค่อยวักน้ำเอาทองคำออก เออหนอ ทองคำสกัดกับสมุนไพรฝรั่งได้ผลจริงแท้ ผิวของยมเปล่งปลั่งน่าลูบไล้ตั้งแต่ใช้ครั้งแรก เห็นทีจากนี้ไปเขาคงต้องจับยมขัดหลังบ่อยๆแล้วกระมัง

     “พี่เขมไม่เห็นต้องทำเพื่อยมขนาดนี้เลย อยู่ที่นี่แม้คนรอบข้างเขาไม่รักยม ยมมีพี่เขมรักคนเดียวก็เกินพอ”

     ร่างน้อยออดอ้อน ซบใบหน้าลงบนแผ่นอกแกร่งเปลือยเปล่า ไม่รู้ตัวซักนิดเลยว่ามือใหญ่ได้สัมผัสกับผิวขาวเนียนอยู่นานแล้ว จมูกโด่งก้มลงสูดกลิ่นหอมจากคนรัก ชื่นใจถ้อยหวานจากเจ้ายมเหลือเกิน

       “อ๊ะ!”

      ยมร้อง เมื่อทั้งร่างถูกสองมือโอบอุ้มขึ้นเรือน ไม่มีเสียงพูดโต้ตอบกัน มีเพียงใบหน้าที่แดงก่ำที่พยายามซ่อนจากสายคมแม้ไม่มิด ส่วนหนูขมที่พลันหันมาเห็นภาพของพ่อทั้งสองพอดิบพอดี

        “ลุงเพลิงลุงมั่น อย่าเพิ่งเสียงดัง”

        เจ้าหนูจำไมร้องห้าม เพราะเมื่อตะกี้นี้หนูขมอยากเล่นซ่อนหา ลุงเพลิงจะเป็นฝ่ายหาแต่ลุงมั่นไม่ยอมจะเถียงกันจนพ่อทั้งสองเกือบได้ยิน

        “ทำไมล่ะขอรับคุณหนูขม?” มั่นเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย

        “ก็ตะกี้หนูเห็นพ่อเขมอุ้มพ่อยมขึ้นเรือน สงสัยพ่อยมจะง่วงนอน ฉะนั้นห้ามเสียงดัง”

        ไม่พอ นิ้วป้อมๆนั้นยังจุ๊ปากเป็นเชิงบอกให้เงียบจริงๆ เพลิงหันมาหัวเราะกับมั่น ภาพที่คุณเขมเอาอะไรขัดถูให้ยมยังชัดเจน ยมมันไม่ได้ง่วงอะไรหรอก ก็แค่...

        แค่คิดอีกครั้งก็อดหัวเราะซิกไม่ได้แล้ว

       “ลุงๆหัวเราะอะไรกันหรือจ๊ะ?”  เด็กน้อยเอียงคอถามงงๆ

      “ไม่มีอะไรขอรับคุณหนู” สองคนหัวเราะแห้งๆแล้วเงียบ ก่อนที่เสียงโครกครากจะดังมาจากท้องป่องๆของเจ้าหนูน้อย

       “หนูหิวแล้ว พาหนูไปกินข้าวหน่อยได้ไหมจ๊ะ”

       “ขอรับ”

      เพลิงเข้ามาอุ้มเด็กน้อยพาไปหาอะไรกินในห้องทำครัวพร้อมมั่น ปล่อยให้พ่อทั้งสองของหนูขมได้มีความสุขหลังกิจวัตรอาบน้ำอาบท่าท่ามกลางสายน้ำเจ้าพระยา





   ร่างน้อยนวลเนียนถูกบรรจงเช็ดตัวให้แห้งหมาด แสงอัสดงกระทบสาดส่องผิวขาวให้ยิ่งผ่องชวนมอง และจะไม่มีผู้ใดได้เห็น...นอกจากคุณเขมเท่านั้น

   “พี่จะขัดหลังให้ยมบ่อยๆ” นิ้วเรียวทั้งห้าสัมผัสไล้ไปตามแผ่นหลังสวย สูดกลิ่นหอมอย่างหลงใหล เอาแต่พร่ำเพ้อในความงามของคนตรงหน้าไม่หยุด ส่วนคนถูกชมน่ะหรือ...แก้มแดงยิ่งกว่าลูกตำลึงสุกเสียอีก

       “พี่เขมจะสัมผัสแค่แผ่นหลังยมหรือจ๊ะ”

       เขินอายยิ่ง...แต่ก็พูดออกไปแล้ว เด็กน้อยทำใจข่มอายด้วยการเอนกายนอนลงให้คุณเขมตามมาคร่อมทับไว้

        ก่อนที่ริมฝีปากของคนตัวใหญ่จะโน้มลงมาทาบทับ เป็นแสงสว่างของยมอีกครั้ง

        “อืม” ยมหลับพริ้มรับสัมผัสจากคนพี่ รสจูบนั้นยังร้อนแรงไม่มีเปลี่ยน ใบหน้าคมก้มต่ำเรื่อยๆ ไม่วายขมเม้มตามซอกคอระหงและตีตราทั่วแผ่นอกบาง

        เฮือก!

        “อ๊า!”

         ลิ้นแกร่งตวัดเลียยอดอกสีหวานสองข้าง ร่างน้อยร้องครวญคราง แอ่นกายรับสัมผัสหวาบหวาม ไม่รู้ตัวเลยว่าโจงกระเบนถูกกระตุกออกไปตั้งแต่เมื่อใด

         “ยมครับ พลิกตัวหน่อย”

        เด็กน้อยพยักหน้า ยอมให้คุณเขมพลิกกายนอนคว่ำอย่างว่าง่าย สองมือร้อนสัมผัสทั่วแผ่นหลังเนียน สูดกลิ่นกายอย่างหลงใหลอีกครั้ง ชวนให้นึกถึงวันแรกที่เคยได้พานพบ ตอนนั้นยมยังเป็นเด็กตัวน้อยที่ผิวคร้ามแดดตรากตรำ จนบางครั้งคุณเขมต้องแอบให้ยมมาพักผ่อนที่เรือนเพื่อจะได้คลายเหนื่อย เป็นอย่างนี้ก่อนที่คุณเขมจะรู้ใจตัวเองเสียอีกว่ารักยม ทำให้เมื่อผิวของยมห่างแดดจึงดูไม่ดำ ไม่เหมือนทาสอื่นที่ทำงานตรากตรำทั่วไป

        ผิวของเจ้ายมตัวน้อย...ชวนให้นึกถึงบทชมโฉมนางในวรรณคดีนางหนึ่ง

        ดูผิวสินวลละอองอ่อน            มะลิซ้อนดูดำไปหมดสิ้น

สองเนตรงามกว่ามฤคิน                 นางนี้เป็นปิ่นโลกา

           “อ๊ะ!”

          ร่างเล็กเกร็ง เมื่อทุกส่วนความเป็นชายถูกคนรักสัมผัส ตีตราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขาอ่อนถูกขบเม้มเป็นรอยจ้ำ มือข้างหนึ่งก็รูดรั้งกลางกายเล็กชวนให้เจ้ายมตัวน้อยร้องครางเสียงหวาน นั่นทำให้คุณเขมยิ่งได้ใจ เร่งมือเร็วฉับจนร่างน้อยกระตุกและปลดปล่อยออกมาเต็มฝ่ามือ

           “เด็กน้อย”

        “อ๊ะ อ๊า!” กลีบปากสวยเม้มเข้าหากันเมื่อช่องทางเย็นๆถูกลิ้นร้อนตวัดแผ่ซ่านให้ความอบอุ่น ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยนิ้ว ทีละนิ้ว

         “พร้อมจะเป็นของพี่อีกครั้งหรือยังครับ”

         เจ้ายมไม่ตอบ เสใบหน้าไปทางอื่นซ่อนความขวยเขินไว้ ยามที่มีความสัมพันธ์อย่างนี้ทีไรพี่เขมจะชอบถามย้ำอย่างนี้ร่ำไป ราวกับว่ายังคงเป็น ‘ครั้งแรก’ ของเขาทั้งสองคน

         “อ๊ะ อ่า”

        “อือม์ ไปพร้อมกันนะครับ”

        สองมือประสาน คนพี่ให้ความอบอุ่น ปกป้องคุ้มครองเจ้าตัวน้อย ร่างทั้งสองก็เหมือนกัน เป็นของกันและกัน อีกครั้ง และอีกครั้ง เช่นต่อจากนี้ที่ชีวิตคู่จะมีความสุขโดยแท้จริง



         แชะ แชะ!

        “หนูขม ยิ้มหน่อยครับลูก”

   หลังจากคุณเขมได้ยื่นจดหมายขอทำงานที่กงสุลอังกฤษ ก็รอการตอบรับ ในที่สุดสองสามเดือนถัดมาจึงได้รับการตอบกลับ ทางนั้นยินดีให้คุณเขมมาทำงานเป็นครูภาษา เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยที่คุณเขมเป็นถึงนักเรียนทุนดีเด่นจากสยาม จอห์นจึงอาสาช่วยเหลือในฐานะเพื่อนชาวอังกฤษในการพาครอบครัวไปอยู่ด้วยกัน ทั้งเรื่องที่พัก เรื่องโรงเรียนฝรั่งให้หนูขม คุณเขมจึงได้ยื่นเรื่องลาออกจากงานที่กระทรวงมหาดไทย เรื่องนี้คุณพระก็รับรู้หากไม่ได้ว่ากระไรนัก

    “สุดแล้วแต่ใจพ่อเขมเถิด เป็นหัวหน้าครอบครัว ก็ต้องทำให้พวกเขามีความสุขจริงไหม”

      จอห์นกลับไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยที่อังกฤษแล้ว กำหนดการคืออีกสามสัปดาห์ข้างหน้า ระหว่างนี้คุณเขมจึงพายมกับลูกชายตัวน้อยไปเที่ยวในตัวพระนคร พาไปเที่ยววัดพระแก้ว ไปทานขนมอร่อยๆ และมาจบที่ร้านถ่ายรูปแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงแถวๆฝั่งธนบุรี

         “หนูขมเก็บภาพนี้ให้ดีนะลูก”

        หลังจากได้รูปถ่ายใบเล็กๆมา คุณเขมก็มอบให้เจ้าลูกชายตัวน้อยเก็บไว้ อีกใบก็ให้ยมเป็นที่ระลึก ก่อนที่พ่อทั้งสองจะพาเจ้าเด็กน้อยเดินรอบๆรัตนโกสินทร์ให้สำราญ

         “น้ำตาลปั้นจ้า รับซักชิ้นไหมจ๊ะ อร่อยมากเลยนะ”

         “พ่อเขมจ๋า หนูขมอยากกินเจ้านั่น”

         นิ้วป้อมๆชี้ขนมสีสวยที่เขาขายกันที่ลานแสดงอุปรากรจีนหรือที่เรียกว่างิ้ว คุณเขมลูบศีรษะแล้วหัวเราะเจ้าเด็กน้อยอย่างเอ็นดู

          “หนูขม พ่อกับพ่อยมยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลยนะครับลูก ทานข้าวก่อน แล้วเดี๋ยวพ่อค่อยซื้อขนมให้อีกนะครับ”

         “จริงนะจ๊ะพ่อเขม” เจ้าหนูยิ้มแก้มปริ ตาลุกวาว ยมได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ทุกวันนี้ฝ่ายที่ตามใจหนูน้อยไม่ใช่ยมอีกแล้ว หากเป็นคุณเขมต่างหาก

         แต่หลังจากทานมื้อกลางวันเสร็จ คุณเขมก็ไม่ได้ย้อนกลับมาซื้อน้ำตาลปั้นตามที่สัญญาไว้กับลูกน้อย

         ถ้าพ่อของเด็กน้อยทั้งสองรู้ชะตาชีวิตในอีกสามสัปดาห์ถัดมา เขาจะตามใจหนูขม ขนมสักกี่ชิ้น พวกเขาก็จะตามใจลูกชายตัวน้อย

         และหากฉุกใจซักนิด พวกเขาจะได้เห็นรถยนต์สีดำเมื่อมคุ้นตาจอดอยู่ไม่ห่าง คนในรถมองสามชีวิตในร้านก๋วยเตี๋ยว ภาพนั้นยมกำลังหัวเราะอย่างมีความสุขกับคนที่รักมากเหลือเกิน ชวนให้คนที่จ้องมองมองด้วยความเคียดแค้น เจ็บปวดเกินจะรับไหว

         เขาไม่มีวันเสียยมให้คนอื่น ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน

**ใกล้จบแล้วค่าา ไม่มีคนเม้นเลยง่าา เค้าตั้งใจแต่งมากเลยน้าTT

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
คุณปรินเซสเขียนงานใช้ได้นะครับ อย่าเพิ่งน้อยใจไป (หัวเราะ) ผมเห็นความตั้งใจของคุณปรินเซสผ่านหลายๆจุดในงานนะครับ ไม่ต้องห่วง อย่างพวกอารมณ์ของตัวละครในช่วงที่พลัดพรากกัน กับความอัดอั้นตันใจของตัวละครอย่างคุณโดมหรือคุณดอม ฉากบรรยายพวกนี้ ถ้าผู้แต่งไม่คิดให้หนักแล้วเขียนออกมาดีๆ มันจะถ่ายทอดออกมาไม่ชัดเจนครับ ซึ่งเรื่องนี้สื่ออารมณ์ได้ดีนะครับ

ถ้าจะมีข้อสังเกต ผมก็ยังเห็นอยู่หลายจุดนะครับ อย่างช่องโหว่แรกคือ พล็อตดูจะพื้นฐานไปหน่อย การที่รักกันเสร็จแล้วถูกกีดกัน ห่างกัน สุดท้ายกลับมา อีกฝ่ายดันมีคนมารัก มันดูละครน้ำเน่าแบบแปลกๆไปนิดนึง แต่อาจจะหยวนๆให้ได้เนื่องจากท้องเรื่องมันสมัยโบราณ พวกพล็อตแหวกแนวอะไรมากนี่คงจะยัง adapt ไม่ได้ แต่การที่เป็นพล็อตพื้นฐาน แน่นอนว่ามันจะทำให้คนอ่านเดาทางเรื่องได้ ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้คนอ่านประทับใจ ก็จะเป็นเรื่องของรายละเอียดประกอบเรื่องมากกว่าการดำเนินพล็อตแล้วล่ะครับ ถ้าเขียนออกมาแล้วพื้นหลังของเรื่องมีมิติ ก็จะทำให้คนอ่านรู้สึกว่าน่าติดตามมากขึ้น แต่เรื่องนี้ฉากอธิบายพื้นหลังค่อนข้างน้อยถึงปานกลางนะครับ มันยังไม่ดึงดูดเท่าที่ควร อย่างฉากเที่ยวงานวัดอะไรพวกนี้ ก็มีเพื่อเสริมบทให้พล็อตดำเนินไปมากกว่าจะอธิบายความเป็นอยู่ของคนในสมัยนั้นหรือรายละเอียดเพิ่มเติมต่างๆ ถ้าจะให้ผมแนะนำ คิดว่าคุณปรินเซสอาจจะต้องฝึกฝนเรื่องของการอธิบายฉากรอบข้างเพิ่มเติม แล้วก็เขียนพล็อตที่ซับซ้อนมากขึ้น (พล็อตหลักอาจจะไม่ซับซ้อนมากก็ได้ แต่มันมีหลายๆปมค่อยๆทยอยขมวดเข้ามาระหว่างดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ เหมือนนิยายเรื่องยาวที่มักจะมีปมประเด็นต่างๆใส่เข้ามาหลังจากที่ดำเนินพล็อตไปเรื่อยๆน่ะครับ)

จุดต่อมาที่ผมคิดว่าต้องคอมเมนท์ คือเรื่องของการจัดย่อหน้า การเว้นย่อหน้ามันดูแปลกๆครับ อาจจะต้องจัดให้บรรทัดมันอยู่ตรงกัน เพื่อความเป็นระบบในการอ่าน ตรงไหนจะย่อหน้าเข้าไป ก็ต้องมีระยะที่แน่นอน ผู้อ่านจะได้รู้ว่า อันนี้คือย่อหน้าใหม่ อันนี้คือร่ายกาพย์กลอน จำนวนของบรรทัดที่เว้นก็มีความสำคัญนะครับ ถ้าจะเปิดฉากใหม่ ก็ควรใช้เส้นคั่นไปเลย ถ้าอ่านแล้วสบายตา มันก็จะทำให้อ่านได้ดีขึ้น

แต่นอกนั้นผมโอเคนะครับ เรื่องตัวละครนี่ดีเลย ตัวละครทุกตัวมีมิติมาก มีนิสัยที่แตกต่างกัน และมีเหตุผลมารองรับการกระทำทุกๆอย่าง ตั้งแต่ภรรยาคุณพระ พ่อของคุณโดม หลายๆคน ฉากบรรยายอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของแต่ละตัวละครถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก การกระทำของแต่ละตัวละครก็มีเหตุผลสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นตัวดีหรือตัวร้าย อันนี้ถือว่าดีเลยครับ พยายามเพิ่มขึ้นอีกนิด น่าจะเขียนนิยายแนวสมัยปัจจุบันออกมาได้น่าสนใจทีเดียวครับผม

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เรือนร้าว32
ตอน โศกนาฏกรรม

      ค่อนรุ่ง สองร่างที่นอนกอดกันดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา ทุกทียมจะนอนหลับสบายเพราะมีคณเขมนอนกอดอยู่เคียงข้างไม่ห่างกาย ทว่ายามนี้กลับหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนที่สักพักจะดีดกายลุกขึ้นมาทั้งใบหน้าที่อาบเหงื่อ

      เฮือก!!!

       ยมไม่ได้ฝันร้ายมานานแล้ว ในฝัน...เด็กหนุ่มกำลังเดินจับมือกับพี่เขมอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่แล้วพี่เขมก็ปล่อยมือ ก่อนจะห่างออกไปช้าๆ ราวกับมีใครเอาเชือกมามัดให้ร่างสูงเหมือนถูกกระชากลากถูไปที่ไหนสักแห่ง ร่างเล็กพยายามรั้งพี่ไว้ แต่สุดความสามารถที่จะสู้ ทำได้เพียงร้องเรียกพี่เขมซ้ำไปซ้ำมาจนตื่น

      “ยมครับ เป็นอะไรหรือเปล่า”

     ขณะจะพลิกกายกอดเมียรักก็พบว่าว่างเปล่า เห็นร่างของเด็กน้อยนั่งชันเข่าข้างๆด้วยอาการหวาดกลัว เมื่อยมรู้สึกได้ว่าพี่เขมยังไม่ได้ไปไหน สองมือที่เอื้อมสัมผัสใบหน้าคมคายสั่นเทา แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยฝันก็ไม่เป็นจริง

        “ไหนคนดี เป็นอะไรไปบอกพี่สิ ฝันร้ายหรือครับ มาให้พี่กอดมา”

        ร่างน้อยอิงแนบหาไออุ่นจากคนพี่ ก่อนจะเล่าความฝันที่เพิ่งเกิดให้ฟัง ภาพที่พี่เขมคล้ายถูกบางอย่างฉุดกระชากยังติดตา จนยมกลัวว่าพี่เขมจะไปจากตนจริงๆ

        “เป็นแค่ฝันนะครับคนดี พี่อยู่กับยมตลอดนะครับ” ริมฝีปากอุ่นชื้นจูบหน้าผากมน จนเด็กน้อยรู้สึกดีขึ้นและค่อยๆลืมฝันร้ายนั้นไปเอง สองมือลูบเส้นผมสะอาดปลอบขวัญให้กลับคืนสู่คนรัก

       “ไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะครับ เดี๋ยวเตรียมของใส่บาตรไม่ทันนะ ยมจะได้สบายใจขึ้นด้วย”

       ยมพยักหน้า ก่อนจะเดินไปอีกห้องที่ลูกชายตัวน้อยกำลังนอนหลับปุ๋ยเพื่อปลุกให้มาใส่บาตรด้วยกันเหมือนอย่างเคย รอยยิ้ม ความสัมพันธ์ของสามพ่อลูกที่ทำกิจวัตรด้วยกันอบอุ่นเหมือนทุกวัน ก่อนที่คุณเขมจะพาครอบครัวเดินทางไปอังกฤษทางเรือยามค่ำ เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง



    “ยมครับ เก็บของเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”

     “จ้ะ”

     คุณเขมรับข้าวของที่จะเดินทางไปอังกฤษไว้เบาะหลังพอด้านหนึ่งโดยมีเพลิงมั่นคอยช่วย ตอนแรกหนูขมงอแงจะนั่งตักพ่อยม แต่เพราะพ่อเขมบอกว่าจะไปกราบลาคุณปู่ที่พระนครอีกครั้งก่อน ใช้เวลานาน เนื่องจากคุณพระวินิตราชศักดิ์เกิดเป็นไข้หวัดใหญ่ ป่วยหนักจนไปทำงานที่กระทรวงแทบไม่ไหว ชายหนุ่มเองก็หวาดหวั่นว่าจะนำยมไปด้วยดีหรือไม่ เพราะยมมีอดีตที่ไม่ดีกับที่แห่งนั้นเท่าใดนัก

     “ยมรอในรถได้จ้ะ” ยมจับมือใหญ่ เพราะตอนแรกคนรักบอกจะให้รอที่นี่แล้วจะกลับมารับ “ยมไม่อยากให้พี่เขมเสียเวลาเทียวไปเทียวมาเท่าใดนัก”

      ไม่เป็นไร...แค่มีพี่เขมอยู่ข้างๆ ยมก็ไม่กลัว

      จากนี้ไปพวกเราสามคนพ่อลูก จะได้ไปเริ่มใช้ชีวิตใหม่...ด้วยกัน

      “เดินทางปลอดภัยนะขอรับคุณเขม ยม แล้วก็คุณหนูขม”

       สองคนสนิทเอ่ยลา คุณเขมให้ทั้งสองคนเฝ้ารักษาที่นี่ แหละให้เงินบางส่วนไว้เดินทางไปเทียวดูคุณพระแทนตนในพระนคร รวมถึงค่าจับจ่ายใช้สอยอื่นจนกว่าจะกลับมาอีกครั้ง

       รถเคลื่อนลับไปไกล แต่เพลิงกลับทำสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก

       “ไอ้เพลิง เป็นอะไรไปวะ ใช้ให้ไปช่วยเก็บผักขายต่อแค่นี้ทำบูดบึ้งเรอะ”

       “ไม่ใช่อย่างนั้นไอ้มั่น” เพลิงปฏิเสธ “ข้ารู้สึกแปลกๆ ข้ารู้สึกว่าข้าจะไม่ได้พบคุณเขมกับยมอีกว่ะ”

      “ไอ้นี่! ปากเสียจริง” มั่นฟาดแขนคนรักดังเพี๊ยะ “เวลาผ่านไปเร็วจะตาย ประเดี๋ยวอีกทีคุณหนูขมก็เติบโต คุณเขมก็พายมกลับมาแล้ว เอ็งไม่ต้องกังวลนา ไปๆ ไปเก็บผัก ตลาดจะวายอยู่แล้ว”

        ข้าภาวนาขอให้เป็นอย่างที่เอ็งกล่าวเถอะ ไอ้มั่น

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

      คุณเขมขับรถพาลูกเมียกลับมาที่เรือนวินิตราชศักดิ์ในเวลาไม่นานนัก ยมมองอาณาบริเวณที่เคยจากมา แม้จะจากมาเพียงปีกว่า แต่ทุกสิ่งอย่างเริ่มเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ไม่ค่อยมีบรรดาไพร่ในเรือนมากเหมือนเมื่อก่อน เรือนใหญ่ของคุณพระยังคงดูยิ่งใหญ่เหมือนเดิม ยามที่ได้เห็น...รู้สึกได้ถึงบารมี อำนาจที่สืบมารุ่นสู่รุ่น และเป็นที่แรก ที่ทำให้เจ้ายมตัวน้อยได้เจอคุณเขมเป็นครั้งแรก

        แรกเจอ...ที่ไม่เคยลืม

        แรกพบ...ที่ทำให้เจ้าทาสตัวน้อยหลงรักคุณเขม เทิดทูนบูชาเสียเหลือเกิน

       “รอพี่นะครับ พี่ไปพบคุณพ่อแล้วจะมา หนูขม อยู่เป็นเพื่อนพ่อยมนะลูก”

       คุณเขมไม่กล้าเสี่ยงพาเด็กน้อยขึ้นเรือนไปด้วย เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมา ลำพังตัวเขาอาจพอหลบหลีกเอาตัวรอดได้ทัน เมื่อเด็กน้อยรับคำ ร่างสูงจึงเปิดประตูลงจากรถ นานแล้วที่ไม่ได้กลับบ้าน แล้วจะต้องจากไปอีกหน น่าใจหาย...

        โดยหารู้ไม่ ว่ามีสายตาของใครบางคนจ้องมองมา และจะเกิดเหตุร้ายต่อครอบครัวของคุณเขมในไม่ช้า

         “จะเดินทางค่ำวันนี้แล้วใช่หรือไม่ แค่ก!”

         ร่างของคุณพระเอนอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียวไม่มีแรง คิ้วขมวดเข้าหากันตลอดเวลา พักนี้ท่านฝันร้ายตลอดเวลา เกรงจะเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง

        อย่างก่อนที่จะได้ตื่นขึ้นมาเจอคุณเขม...ก็ฝันว่าตนเองนั้นถูกเพชรฆาตร่างยักษ์ ควักเอาดวงตาดวงใจออกไป!!

        “ขอรับคุณพ่อ ลูกอยากจะมากราบลาคุณพ่อก่อนเดินทาง”

        “แล้วยมกับหนูขมเล่า? พ่ออยากเจอหลาน”

        “เอ่อ...คือ...” คุณเขมอึกอัก คุณพระจึงได้เข้าใจว่าให้สองคนนั้นมาเสี่ยงในเรือนแห่งนี้ไม่ได้ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

        แต่จะไม่พูดเรื่องความฝันเด็ดขาด ท่านไม่ต้องการให้บุตรชายเป็นกังวล

       “อย่างไรพ่อขอให้พ่อเขมเดินทางปลอดภัยเถิด”

       ชายหนุ่มรับพรจากบิดา แล้วตัดสินใจถามถึงผู้เป็นมารดา ต่อให้คุณเขลางค์จะใจร้ายแค่ไหน อย่างไรก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบุพการี และรักคุณเขมไม่ต่างจากคุณพระเหมือนกัน

        “คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างขอรับคุณพ่อ”

       “เฮ้อ!” บุรุษใกล้สูงวัยถอนใจรวยริน ยามนึกถึงคู่ยากที่อยู่กินด้วยกันมา “แม่ของเจ้า ปิดตายทุกอย่าง พยายามให้หมอรักษาอาการก็ไม่ยอม พ่อทำได้เพียงให้อีเฟื้องคอยส่งอาหารให้แม่เขลางค์ก็เท่านั้น พ่อทำใจส่งแม่เจ้าให้ทางการไม่ได้จริงๆ”

        คนเก็บตัว ซึมเซาอยู่ในเรือนปิดตายเงียบๆคนนั้น อย่างไรก็เป็นคนที่คุณพระวินิตราชศักดิ์รัก ทำใจยากนักที่จะส่งให้ทางการสอบจนเป็นเรื่องใหญ่โต

        “ลูกขอกราบลาคุณแม่ ผ่านคุณพ่อนะขอรับ”

      ร่างสูงก้มลงกราบที่ปลายเท้าของบิดา จากไกลไปถึงแดนไกล อีกนานเท่าใดก็ไม่ทราบที่จะได้กลับมาถิ่นสยามอีก

        “แล้วลูกจะเขียนจดหมายมาบ่อยๆขอรับ”

       ขณะรอคนรักขึ้นไปร่ำลาคุณพระ ยมมองหนูขมที่กำลังเพลิดเพลินกับตุ๊กตาหลากสีที่พ่อเขมซื้อให้อย่างเพลิดเพลิน จนไม่ทันได้สังเกตรถสีดำเมื่อมที่เข้ามาจอดเทียบใกล้ๆ ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะปรี่เข้ามาเคาะกระจก โดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันตั้งตัว

      “ยม ยม!”

      ยมหันมาเจอร่างคุ้นตาก็ได้แต่เบิกตากว้าง เกิดคำถามมากมาย คุณโดมรู้ได้อย่างไรว่าเขามากับพี่เขม...ที่นี่?

     “คุณโดม!”

      “ยม ขอร้องล่ะ ขอฉันได้คุยกับเธอเถอะนะ ฉันคิดถึงยม!”

     “พ่อยม เกิดอะไรขึ้นหรือจ๊ะ”

       อีกฝ่ายยังไม่ยอมทุบกระจกรถง่ายๆ ยมหันรีซ้ายขวาด้วยความห่วงลูก ลงไปพูดคุยประเดี๋ยวคงไม่เป็นกระไรมัง จะได้ขอบคุณทุกสิ่งโดยไม่ติดค้างใดๆอีกกับอีกคน...ด้วยวาจาของเด็กหนุ่มเอง

       “หนูขม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าลงมาจากรถนะลูก” หันมากำชับลูกน้อย อย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อน จนกว่าพี่เขมจะกลับมา

      “จ้ะ!”     

      แม้เด็กน้อยรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าคนที่เรียกพ่อยมคือลุงโดม แต่เจ้าหนูเลือกที่จะฟังสิ่งที่พ่อยมสั่ง แต่กระนั้นตาก็จับจ้อง รอจนกว่าพ่อยมจะกลับขึ้นรถมาอย่างปลอดภัย

      หมับ!

       ทันทีที่ยมก้าวลงจากรถของคุณเขม ร้อยโทหนุ่มก็ถลาเข้ามากอดร่างเล็กไว้แน่น เขาตามหายมานานเหลือเกิน ตามหาทั่วทั้งพระนคร และกลับมาเรือนนี้บ่อยๆเผื่อว่าคุณเขมจะพากลับมา แต่ก็หาได้พบไม่ จนกระทั่งเขาได้เห็นยมแถวๆร้านถ่ายรูปที่ย่านฝั่งธน ยมดูมีความสุขกับคุณเขม มีชีวิตใหม่กับหนูขม สามชีวิตนั้นมีความสุข ในขณะที่เขาต้องทรมานทุกวัน

        อาศัยสืบจากเพื่อนที่ทำงานที่เดียวจากคุณเขม จึงรู้ว่าคุณเขมได้ลาออกจากกระทรวงมหาดไทย พาครอบครัวเดินทางไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งที่อังกฤษ เขารู้ว่าอย่างไรคุณเขมต้องกลับมา จึงได้มาดักรอจนสบโอกาส

        “คุณโดม ปล่อย ปล่อยเถอะจ้ะ”

        ยมดิ้นไม่ยอม จนร่างสูงทนไม่ไหวต้องปล่อย เขามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่ตัดพ้อ อย่างไรเสีย ยมคงจะเกลียด เกลียดเขามากสินะ

        “ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่คนดีในสายตายมอีก”  คุณโดมจับมือยมไม่ปล่อย “แต่ขอร้อง ฉันคิดถึงยมมากเหลือเกิน”

        ภาพที่ยมพยายามสะบัดมืออกห่างร้อยโทหนุ่ม ทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของคนที่แง้มเปิดบานไม้มองลงมา จากเรือนที่อยู่ถัดเรือนของคุณพระวินิตราชศักดิ์ สายตาคู่นั้นมองอย่างเคียดแค้น สติสัมปชัญญะปั่นป่วน รุนแรง บ้าคลั่ง มันสั่งให้ระลึกเรื่องที่ผ่านมา!

          ไอ้ยม ไอ้ราชฟ้า!! นี่มึงยังกลับมาจองเวรกูอีกรึ!?

          สองมือค้นบางอย่างในลิ้นชักไม้เก่าผุพัง จนพบวัตถุบางอย่างที่ทำให้ถึงกับกระตุกยิ้มชั่วร้ายออกมา

        ในเมื่อมันกลับมาได้ ก็ฆ่าทิ้งอีกหนปะไร!

         “ทุกสิ่งทุกอย่างทีคุณโดมดีกับยมเสมอมา” ยมกระพุ่มสองมือไหว้ ด้วยหัวใจสัตย์จริง อย่างไรเขาก็มีบุญคุณต่อยมมาก ทำให้ยมได้มีชีวิต เขาช่วยยมไม่ให้ตกนรกทั้งเป็น เขาให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่พักพิงจนยมได้เจอคุณเขมในที่สุด

       “ยมขอบพระคุณทุกอย่าง สิ่งใดที่ยมทำให้คุณโกรธหรือไม่พอใจ ยมขอให้คุณอภัยให้ยมเถอะจ้ะ”

       “ไม่ยม...” สองมือใหญ่บีบไหล่เด็กหนุ่มแน่น “ฉันรักยม ขอร้อง ไปกับฉันเถอะนะ ฉันรักยมไม่แพ้เขม เรากลับไปเริ่มต้นด้วยกันเหมือนตอนนั้น”

         ทุกถ้อย ทุกวาจาที่ไปไม่ถึงผู้แอบดูอยู่บนเรือน แต่มันไปถึงอีกชีวิตที่แอบฟังอยู่ไม่ไกล เธอฟังทุกถ้อยอย่างเจ็บปวดก่อนจะค่อยๆจากไปเงียบๆอย่างอ่อนแรง

        “แต่ยมไม่เคยรักคุณ” ยมพูดถ้อยออกมาตรงๆ แม้จะต้องทำให้คนตรงหน้าต้องเจ็บ “ยมรักพี่เขมคนเดียว ยมเคารพคุณโดมเหมือนพี่ชายที่แสนดี ขอร้อง อย่าพรากยมไปจากพี่เขมอีกเลย”

         สองมือกราบกรานขอร้อง น้ำตาไหลออกมาแทบจะเป็นสายเลือด นั่นทำให้อีกฝ่ายกระตุกวูบไหว ใจหนึ่งอยากครอบครอง อีกใจก็สงสารเห็นใจ รู้สึกผิดบาปที่จะต้องพรากคนรักกัน

        “คุณโดม คุณเป็นคนดีสำหรับยมเสมอมา คุณโดมรู้มาตลอดว่าที่ยมยังมีชีวิต ก็เพื่อที่จะรอพี่เขมคนเดียว แต่คุณโดมจะเป็นพี่ชายที่แสนดีของยม ยมจะไม่ลืมทุกอย่างที่คุณมอบให้”

        “ฉัน...”

         “ยม!!”

       “พี่เขม!”

       ร่างสูงแยกยมออกมาสวมกอดอย่างหวงแหน ใบหน้าของคุณเขมดุดันพร้อมจะเอาเรื่อง เขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทราบได้อย่างไรว่าเขาจะกลับมา แต่อย่างน้อยก็โชคดีที่ร้อยโทหนุ่มไม่ได้ทำสิ่งใดอุกอาจหรือทำให้ยมบาดเจ็บ มิเช่นนั้นคุณเขมคงเจ็บปวดเกินจะนับ

        “คุณมาทำไม”

         “พี่เขม ใจเย็นก่อนจ้ะ” เมื่อเห็นว่าคนรักทำท่าจะเอาเรื่องอีกฝ่ายก็ร้องห้าม คุณโดมยิ้มน้อยๆ มองสองมือสองแขนที่กอดตระกองเจ้ายมอย่างหวงแหน ก็รู้สึกอิจฉาที่เขาไม่มีโอกาสจะได้ทำเช่นนี้กับยม ไม่มี

        “ขอสารภาพตามตรงนะ ว่าฉันเองก็รู้สึกกับยม อย่างที่นายก็รู้สึกน่ะแหละ...”

        “คุณ!!”

        “ฉันรู้ ฉันแพ้นายตั้งแต่ยังไม่เริ่ม” ร่างสูงยักไหล่ ภายนอกดูไม่คิดอะไร แต่หากลึกลงไปสุดจะช้ำหนัก อยากจะเข้าไปแย่งยมจากคนตรงหน้า แต่ก็ไม่ใจมารพอที่จะเข้าไปฉุดกระชากตามใจหมาย

         “แต่ฉันขออะไรจากนายหน่อยได้ไหม ฉันอยากรู้ ว่านายจะปกป้องยมเหมือนที่ฉันทำได้รึเปล่า”

         “หมายความว่าอย่างไร”

         ไม่พูดพร่ำทำเพลง หมัดแรกก็ถูกเสยเข้ามายังใบหน้าคมคาย คุณเขมชกกลับตามสัญชาตญาณ ยมเองก็พยายามห้าม เลิ่กลั่กไปหมด ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะลุกลามใหญ่โตเช่นนี้ได้

        “พี่เขม คุณโดม หยุด หยุดเถอะนะจ๊ะ”

        สองชีวิตที่ต่างทะเลาะรุนแรงไม่หยุด ในขณะที่ยมจะก้าวไปตามคนในเรือนมาช่วยห้าม พลันกลับเหมือนถูกสาปให้ก้าวไม่ออกคล้ายรูปปั้น

        “คุณเขลางค์...”

        “ใช่ กูเอง” ในมือถือปืน เตรียมจ่อยิงคนที่ตนแสนเกลียดชังมาตลอดชีวิต “มึงตายซะเถอะไอ้ยม!”

         “อย่า!”

         เสียงของมารดาทำให้คุณเขมรีบผลักร่างของคุณโดมออก เขาไม่สนใจศักดิ์ศรีที่ถูกท้าทาย เขากลัวยมจะเป็นอันตราย ร่างสูงเข้ามากอดคนรักไว้เสมือนที่กำลัง ทำให้ไม่ทันเห็นว่าวิถีกระสุนจากวัตถุมะเมื่อมในมือ จะเป็นบ่วงเพชฌฆาตมาพรากคุณเขมให้รับเคราะห์แทนยม

           ปัง!!!       

     “นั่นมันเสียงปืนนี่ไอ้กลอง!” คุณพระเอ่ยกับคนสนิท เป็นกังวลตั้งแต่เหมือนได้ยินเสียงคนทะเลาะวิวาทหน้าเรือน  กลองพยักหน้า     

 “ขอรับ เสียงมาจากหน้าเรือนขอรับ หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณเขม”       

“รีบไปเร็วไอ้กลอง”       

  คุณพระฝืนอาการป่วยไว้ลุกจากเตียง เพราะรู้สึกมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง       

 ดวงตาดวงใจ...ที่ถูกฉกชิงไปต่อหน้าต่อตาในความฝันเมื่อคืน!

       ปัง!!!!     

  เจ้ายมหลับตาปี๋ ความรู้สึกเจ็บที่ถาโถมสู่กายนั้นร้าวราน น้ำตาไหลด้วยตกใจเสียงปืนที่เพิ่งถูกสั่งให้ลั่นไก โลหิตสีแดงเปื้อนทั่วทั้งฝ่ามือเล็ก ดวงตาคู่น้อยสั่นระริกเบิกกว้าง     

  ไม่ได้รู้สึกเจ็บเพราะถูกปืนยิง!   

  “ยม ไม่เป็นอะไร ใช่ไหม...”   

   ร่างสูงที่โอบกอดคนตัวน้อยทรุดตัวลง อ้อมแขนที่ปกป้องคุ้มครองไร้เรี่ยวแรง ริมฝีปากหยักศกคลี่ยิ้มบางๆ ที่หัวใจของเขานั้นปลอดภัย น้ำตาลูกผู้ชายเอ่อปีติ สายตาคมเข้มจับจ้องคนที่เป็นยิ่งกว่าชีวิตของตน

      เจ็บเหลือเกิน ทำไมมันถูกตรงที่ใกล้ๆหัวใจเล่า       

   “พี่เขม!!!!!”   

  ยมแผดเสียงพร่ำขานชื่อคนรัก ร่างน้อยถลาเข้ามากอดร่างที่หายใจรวยริน คุณโดมต้องเข้ามาประคองคนตัวเล็กไว้ แต่ก็ถูกผลักไสออก     

“อย่า!!อย่ามายุ่งกับยม! ปล่อย ฮือ ฮึก!!!”     

“ยม...”   

  คุณโดมมองคนที่เขารักกำลังโอบกอดศัตรูหัวใจอย่างเจ็บปวด ความผิดทั้งหมดมาจากเขา

   เพราะเขา...เขาคนเดียว!!   

   “พ่อเขม!!”     

 คุณพระที่ได้ยินเสียงปืนดังลั่นรีบวิ่งลงมาดูพร้อมกับบ่าวสองสามคน  ดวงตาเหี่ยวย่นสั่นไหวเมื่อเห็นร่างของบุตรชายนอนหอบหายใจอยู่ในอ้อมกอดของยม เสื้อราชปะแตนสีไข่ไก่เปื้อนไปด้วยหยาดโลหิตอาบชุ่ม     

  “กรี๊ดดดดดดดดด!!!! พ่อเขม แม่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ ไม่...”       

   เสียงกรีดร้องของต้นเหตุทำให้คุณพระเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่าง ร่างสกปรกมอมแมมของคุณเขลางค์ยังคงจับปืนแน่น ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามด้วยกลัวได้รับอันตราย     

  “รีบพาพ่อเขมไปโรงหมอเร็ว!!” คุณพระหันไปเอ่ยกับคุณโดม ร้อยโทหนุ่มพยักหน้าก่อนจะรีบเข้าไปพยุงร่างของคุณเขมพร้อมกับยมขึ้นรถ       

 “พี่เขม พี่เขมแข็งใจไว้นะจ๊ะ”       

รถออกตัวไปแล้ว คุณพระได้แต่มองตามด้วยความเป็นกังวล ขอให้คุณพระคุณเจ้าที่เคารพนับถทอตลอดมาคุ้มครองให้บุตรชายถึงมือหมอให้เร็วที่สุดเถิด   

 “ไอ้ยม กูไม่ยอม กูจะฆ่ามึง!!”   

  เสียงเกรี้ยวกราดประกาศก้องอาฆาต ใครว่าคนเสียสติจะลดทอนความพยาบาทได้ลง คุณเขลางค์ชักปืนขึ้น แม้คนที่ตนเกลียดจะไม่อยู่ตรงนี้แล้วก็ตาม     

 “แม่เขลางค์ ฉันขอร้อง หยุดความอาฆาตไว้เพียงเท่านี้เถิด!!” 

   “ไม่!! คนที่ทำให้ชีวิตกูวอดวาย มันต้องตาย ต้องตาย ฮ่าๆๆๆๆ”     

“คุณเขลางค์อย่ายิงคุณพระนะขอรับ!” ไอ้กลองร้องห้าม เอาตัวมาบังไว้ แต่ยังไม่ทันที่ปืนจะถูกลั่นไกอีกครั้ง     

ส๊วบ!!

    โลหิตไหลอาบไล่ลงจากลำคอสู่ลาดไหล่ทีละน้อย แทรกซึมลงลึกผ่านเสื้อผ้าลูกไม้งาม ริมฝีปากแดงเผยอค้าง เบิกตาโพลงมองคนที่บังอาจทำร้ายตน   

 “อะ...อีเดือน”   

“เจ้าค่ะ บ่าวเอง” น้ำเสียงนางทาสพูดเสียงเรียบ กดมีดคมให้ลงลึก เธอทนเห็นคุณเขลางค์ก่อบาปกรรมต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว   

 “หยุดก่อกรรมได้แล้วเจ้าค่ะ คุณเขลางค์”   

  ปั๊ก!! 

 “อย่า!!”     

    ลมหายใจสุดท้ายของหญิงชั่วดับลงทันทีที่มีดเล่มคมถูกปักลงท้ายทอย ต้องเส้นชีพจรเข้าอย่างจัง เดือนผลักร่างที่ไร้วิญญาณนั้นลงบนพื้นอย่างขยะแขยง นางทาสร้องไห้ก่อนจะหันมาก้มกราบคุณพระที่ได้แต่นิ่งงัน สับสน เสียใจกับเหตุเลวร้ายที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งรับ     

    “บ่าวขอให้คุณพระอโหสิกรรมบ่าวด้วยนะเจ้าคะ สิ่งใดที่บ่าวทำให้คุณพระขัดเคืองโกรธ บ่าวขอขมาคุณพระไว้ตรงนี้ ก่อนที่บ่าวจะหมดลมหายใจ”     

   หลังกล่าวขออโหสิกรรม เดือนก็ใช้มีดเล่มเดียวกับที่ปลิดชีวิตคนชั่ว ปาดคอเลือดพุ่งกระฉูด ล้มแน่นิ่งตามคุณเขลางค์ไปไม่กี่เสี้ยววินาที คุณพระปรายมองร่างทั้งสอง แม้สุดจะเสียใจเหลือแสนที่ต้องสูญเสีย

 แต่อย่างน้อย...คุณเขลางค์ก็ได้สิ้นกรรมเสียที สิ้นสุดความทุกข์ สิ้นสุดความแค้นที่เกาะกินหัวใจ   

 ร่างของภริยาที่หมดลมหายใจ   

 ร่างของคนที่ตนเคยรักมากที่สุด     

ร่างของมารดา...ที่บาปกรรมบันดาลให้ฆ่าบุตรตนเองกับมือ!     

“ไอ้กลอง เอ็งนำร่างของอีเดือนเตรียมนำไปประกอบพิธีที่วัด”     

 “ขอรับ”   

 เมื่อบ่าวคนสนิทแบกร่างไร้วิญญาณของเดือนไปแล้ว พลันเห็นร่างของหลานชายกำลังทุบกระจกรถด้วยความหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิด ก็รีบไปรับตัวหนูขมลงจากรถทันที

      “ฮึก ฮือ! คุณปู่ คุณปู่...”

      “หนูขม ลงมาหาปู่”

       คุณพระเรียกน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่ให้ขวัญของหนูน้อยกระเจิงไปมากกว่านี้  เด็กน้อยพยักหน้า ลงจากรถแล้วสวมกอดผู้เป็นปู่ดังหมับ เจ้าหนูร้องไห้หวาดกลัว เสียขวัญเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่พ่อถูกยิงต่อหน้าต่อตา

      “ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก ไม่มีอะไรแล้ว”

       “ฮึก! พ่อเขม พ่อเขมเจ็บ...” เจ้าหนูสะอื้น คุณพระต้องปลอบขวัญอยู่นานว่าคุณเขมจะไปถึงหมอทัน และจะปลอดภัยกลับมาหา หนูขมร้องไห้จนเผลอผลอยหลับไปในอ้อมกอดของคุณปู่ตรงนั้นเอง

     “พวกเอ็ง พาหลานข้าขึ้นไปนอนบนเรือนข้าแล้วดูแลให้ดี ขอข้าจัดการธุระตรงนี้ก่อน” หันไปสั่งทาสสองสามคนที่มุงดูเหตุการณ์อย่างกล้าๆกลัวๆ แม้จะตกใจกับเรื่องที่เกิดไม่น้อยเช่นกันแต่ก็รับคำสั่งคุณพระโดยดี

      “เจ้าค่ะ”

      หลังจากพวกนางอุ้มร่างของเด็กน้อยพาขึ้นไปบนเรือนใหญ่แล้ว  คุณพระก็ทรุดกายลงจับมือคุณเขลางค์ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย ใบหน้างดงามที่หลงรักตั้งแต่แรกเห็นซีดเซียวลง ริมฝีปากเริ่มแห้งคล้ำ บ่งบอกได้ว่า...พระยมได้มารับวิญญาณของคุณเขลางค์ไปชดใช้กรรมแล้ว   

  “แม้แม่เขลางค์จะทำร้ายฉัน แต่ขอให้รู้ไว้เถิดว่า หญิงเดียวที่ฉันจะรักตลอดไป ก็คือแม่เขลางค์ จำไว้นะ ฉันจะจดจำแม่เขลางค์ตลอดไป”     

น่าเสียดาย...ที่คนที่ถูกพร่ำบอกนั้น ไม่สามารถตื่นขึ้นมาฟังได้ ชั่วนิรันดร์!



 “ใกล้จะถึงโรงหมอแล้ว นายแข็งใจไว้นะเขม!”     

 คุณโดมเร่งเหยียบเพื่อให้ถึงที่หมายให้เร็ว ดวงตาคมเข้มมองสะท้อนกระจก เห็นภาพของยมที่ร้องไห้จะขาดใจจับมือคุณเขมแนบแน่น เอาแต่พร่ำให้คนรักแข็งใจกับความเจ็บปวดทางกายไว้     

  “พี่เขม พี่เขมอดทนไว้นะ จะถึงโรงหมอแล้วจ้ะ”     

  “ยม...”       

  เหตุใด...เปลือกตาที่ฝืนลืมมองคนรัก ถึงได้หนักอึ้งราวมีหินมหึมากดทับ       ยังไม่ค่ำเลย เหตุใดรอบๆเริ่มมืดสลัว     

    อา อุตส่าห์เฝ้าอดทนมาถึงขนาดนี้ แต่เหตุใด...ครานี้มันทรมานไปหมด คล้ายหัวใจถูกฉีกกระชาก เหมือนมีบ่วงบาศก์บางอย่าง กำลังจะมาฉวยเอาวิญญาณของเขาไป       

  น้ำตาของเจ้าคนตัวน้อยไหลลงมาเปื้อนใบหน้าคมสันที่ไร้เรี่ยวแรง คุณเขมทนไม่ได้ ฝืนเอื้อมมือไปสัมผัส     

    เช็ดน้ำตาให้ยมตัวน้อย ทั้งที่แทบจะไม่มีแรง     พี่ทำเจ้าร้องไห้อีกแล้ว พี่ขอโทษนะคนดี พี่ขอโทษ      หากแม้ต้องกระสุนปืนนัดเดียวคงพอฝืนไปถึงโรงหมอไหว     

 แต่ถูกยิงถึงสองนัดรวด ยิ่งใกล้จุดสำคัญแล้ว คุณเขมก็รู้สึกได้เลยว่า...เวลาของเขานั้นใกล้หมดแล้ว     

“ยม พี่ พี่ไม่ไหว”   

  “ไม่เอา ยมรู้ว่ายมเห็นแก่ตัว แต่พี่เขมต้องมีชีวิต ยมอุตส่าห์ดิ้นรนจากความตายเพื่อรอพี่ ขอร้อง อย่าให้ความตายมาพรากพี่ไปจากยมเลย”     

 ยมวิงวอนขอร้องเจียนใจจะขาด น้ำตาลูกผู้ชายของคุณเขมเอ่อไหลจากหางตาสงสารเจ้าตัวน้อยนัก เขาเองก็ไม่อยากให้ความตายมาพราก คนเราทุกคนย่อมมีวันดับ แต่ก็ไม่มีใครต้องการให้มันเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ คุณเขมกุมมือยมกลับ สบสายตามองด้วยความรักที่มีให้กัน ความรักที่หอมหวานเจือเจ็บปวด ความรักที่มั่นคงแต่ถูกทิ่มแทงจนรวดร้าว แม้ตัวจะใกล้ตายอย่างไร...แต่หัวใจที่มั่นคงจะเชื่อมเพื่อนำพาคนสองคนมาพบกันจนได้     

 “พี่รักยม...รักที่สุดในชีวิต”     

“ฮึก!!” ยมจูบซับมือใหญ่ กลั้นเสียงสะอื้น “ใครบอก ยมรักพี่ รักพี่มากกว่า”   

 “คนดีของพี่...”      พูดได้เพียงนั้น เสียงที่จะเปล่งกลับแหบแห้งจนไม่มีเสียงใดออกมา คุณเขมทำได้เพียงจดจำใบหน้าของคนที่เขารักตลอดไป     

 จะรักยมทุกชาติ...ทุกภพ     

  ชาตินี้เขาแสนเลวที่ทอดทิ้งหัวใจ ปล่อยให้ยมต้องชอกช้ำ

    มองไปนอกรถซึ่งใกล้ย่ำเย็น เขาเห็นพระจันทร์ค้างฟ้าที่เริ่มส่องแสงท่ามกลางหมู่เมฆ ตั้งจิตอธิษฐานเป็นครั้งสุดท้าย   

 ‘พระจันทร์ได้โปรดเป็นพยาน ชาตินี้แม้ความตายจะพรากเราจากกัน แต่ชาติหน้าจะตามหาให้พบ จะไม่ยอมให้ความตายมาพรากเราสองไปอีก’     

 เฮือกสุดท้ายหลังอธิษฐาน คุณเขมจึงหลับตาลงผ่อนคลาย มือที่กุมมือน้อยร่วงลงบนตักเจ้ายม ไร้เรี่ยวแรง คำอธิษฐานครั้งสุดท้ายก็เช่นกัน

     ‘ชาติหน้า พี่จะทำให้ยมเป็นคนที่มีความสุขที่สุด’   

 “พี่เขม...”   

 เพราะเห็นคนรักแน่นิ่งไป เด็กหนุ่มใจไม่สู้ดีและหวั่นไหว หัวใจเต้นช้าคล้ายจะขาดรอนๆ นิ้วชี้ค่อยๆเอื้อมไปอังจมูกโด่ง...     

ที่ไม่มีลมหายใจแล้ว   

 “ไม่!!!!!!ไม่จริง!!”   

 พี่เขมแค่สลบเพราะเจ็บใช่ไหม!!     

ยมบดเบียดริมฝีปากคุณเขมดูดดื่ม หวังให้คนที่รักที่สุดตื่นขึ้นมาพูดคุยเหมือนวันเก่าก่อน เหมือนวันวานที่พี่จะแกล้งหยอกล้อยม   



  ‘พี่เขม...’

หอมแก้มก็แล้ว เขย่าตัวก็แล้ว คนตัวสูงก็ไม่ยอมตื่นเสียที ใจจริงเจ้าตัวน้อยก็ไม่ได้อยากปลุกรบกวนการนอนหลับ หากไม่ติดว่าสายโด่งจนเลยเวลามื้อเช้าแล้ว ยมก็คงปล่อยให้คุณเขมนอนต่ออีกซักพัก

เด็กน้อยทำใจกล้า ตัวสั่นเล็กน้อย แต่ก็ลงสัมผัสริมฝีปากหยักศกของคนรักหยั่งเชิง

ยมทำขนาดนี้...ถ้าพี่ไม่ตื่น ยมจะไม่ปลุกแล้วนะ

“ชื่นใจจัง พี่รอให้ยมจูบอยู่นี่แหละถึงจะตื่น หึๆ”

“คนบ้า!!” 



 ไหนว่าจูบแล้ว...พี่จะตื่นขึ้นมามองยม พูดคุยกับยมอย่างไรเล่า!   

  คุณโดมเบรกยานพาหนะทรงกระดองเต่าดังเอี๊ยด เขาเอื้อมมือมาอังจมูกและจับชีพจร ทั้งสองที่ที่สัมผัสแน่นิ่ง ไม่ขยับไหวติง      เขมได้จากยมไปแล้ว     

“ยม ฉันขอโทษ ฉันพาเขมไปถึงมือหมอไม่ทัน เขมไม่หายใจแล้ว”   

 “พี่เขม!!!!”     

ร่างน้อยประคองกอดคนรัก ซุกใบหน้าลงบนอกแกร่งที่แน่นิ่งไปแล้วร้องไห้น้ำตาเจียนจะเป็นสายเลือด มือยังกุมมือพี่เขมไม่ห่าง มืออบอุ่นที่ปกป้องคุ้มครอง ยามนี้เย็นเชียบเฉกเช่นศพทั่วไป     

บอกเขาทีเถิด...ว่านี่เป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น     

ตื่นขึ้นมา...ก็จะได้เห็นพี่เขมนอนกอดปลอบใจ     

 ได้โปรด ตื่นขึ้นมา ได้โปรด!!!     

แต่อนิจจา...เจ้าแห่งความตายไม่เมตตา ท่านทำตามที่ชะตาฟ้าลิขิต ด้วยการนำลมปราณของคุณเขมเดินจากยมไปช้าๆ     

ห่างออกไป...จนเลือนลาง และลาลับ!!

 

ออฟไลน์ Amazing princess

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เรือนร้าว33
ตอน ลมหวน

   งานฌาปนกิจของคุณเขม คุณเขลางค์ และเดือน ถูกจัดขึ้นพร้อมๆกัน และดำเนินมาจนใกล้ครบหนึ่งเดือน แขกเหรื่อที่มางานทั้งหลายจะคุ้นกับเด็กหนุ่มหน้าตาเศร้าหมอง ไม่พูดไม่จา คอยยื่นธูปให้เพื่อเคารพดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับทั้งสาม และเมื่อคุณพระขอให้ยมปลีกออกไปพักเหนื่อย ก็จะออกไปนั่งร้องไห้อยู่ไม่ไกลจากศาลาฌาปนกิจ

     “ยม”

     เสียงนุ่มทุ้มเรียก จนแวบแรกยมนึกว่าเป็นเสียงของคุณเขม แต่ไม่ใช่...

      “พี่บูรพา ฮึก!”

     คุณบูรพากอดร่างเด็กหนุ่มที่ตนเอ็นดูเหมือนน้องชายคนหนึ่งแน่น เขาเพิ่งทราบข่าวว่าคุณเขมเสียชีวิต จึงรีบเดินทางมาร่วมงานเพื่อเคารพศพเพื่อนชาย และอยากมาดูอาการของยม ซึ่งไม่ผิดไปจากที่คิด

      สภาพยมผอมแห้งอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาบวมช้ำ น้ำเสียงที่เคยหวานแหบแห้ง อีกนิดอาจจะถึงขั้นเอื้อนเอ่ยต่อไม่ไหว ตามลำตัวหนาวเหน็บคล้ายมีไข้ ทราบจากคุณพระด้วยว่ายมไม่ยอมพักผ่อน นับแต่วันที่คุณเขมจากไป ยมเอาแต่เฝ้าร่างไร้วิญญาณของคุณเขมไม่ห่าง ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน

      “ถ้าพี่เขมรู้ว่ายมทรมานตัวเอง เขาจะเป็นทุกข์มากนะ กินอะไรเสียหน่อยเถอะ” คุณบูรพายื่นขนมนมเนยที่หิ้วมาฝากยม หากอีกฝ่ายส่ายหน้า

      “ยมกินไม่ลงจ้ะ แค่จะกลืนน้ำลาย ยังเจ็บไปหมด”

      “โธ่ยม”

      เขาปลอบขวัญยมอยู่นาน แม้จะไม่ค่อยได้พบกัน แต่คุณบูรพาก็รู้ได้ทันทีว่าหัวใจของยมนั้นยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเพียงใด คุณเขมถึงได้รักยมมากจนถึงกับยอมสละชีวิตเพื่อให้คนรักยังคงมีชีวิตอยู่ แต่กระนั้นยมกลับทรมานตัวเอง เรียกได้ว่าแทบจะตายตามคุณเขมเสียให้ได้

     “ยมอย่าลืมนะ ยมยังมีหนูขม ลูกยังต้องการพ่อ ยมทรมานตัวเองอย่างนี้ ไม่สงสารลูกบ้างรึ”

     คุณบูรพากล่าวทิ้งท้าย ลูบหัวเจ้ายมตัวน้อยแล้วลุกจากไปเพื่อเคารพศพคุณเขมบ้าง ยมเหลือบมองขนมสีสวยที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ให้ก่อนจะหยิบมันขึ้นมา

      เขาจะมีชีวิต....จะต่อชีวิตไปได้อีกนานแค่ไหน

      ขนมรังไรที่ค่อยๆเอาเข้าปาก ยมไม่ได้รับรู้ถึงความหวานของมันแม้แต่น้อย ทั้งรู้สึกขมปร่า ฝาดคอ ยามกลืนก็เหมือนมีมีดนับพัดคอยบาด แค่จะต่อชีวิตตัวเอง...ยังรู้สึกทรมานจับใจ

       “ฮึก! ยมคิดถึงพี่”

     ขนมรังไรมากสี ขนมโปรดของพี่เขมหลักจากรับของคาว วันนั้นเรายังพลัดกันป้อน พลัดกันชิม ใช้เวลาด้วยกันก่อนที่พี่จะจากยมไปอังกฤษ

      “ยมรู้ไหม เขามีกลอนกล่าวถึงขนมรังไรด้วยนะ”

*     *รังไรโรยด้วยแป้ง     เหมือนนกแกล้งทำรังรวง

โอ้อกนกทั้งปวง            ยังยินดีด้วยมีรัง

         หากเปรียบเป็นนก เมื่อก่อนยมก็มีความสุขที่ได้อยู่ในรัง เคียงเป็นคู่สองกับพี่

        แต่ยามเมื่อพ่อนกถูกนายพรานยิงตายจากไป ทิ้งให้เขาอยู่กับลูก หัวใจของนกน้อยไร้ที่พึ่งพิง ไร้คู่รักปีกป้องพำนักกาย คล้ายถูกทิ้งอยู่ในป่ามืดลำพัง

          ทรมานเหลือเกิน

           อีกนานเพียงใด...จะผ่านมันไปได้

         เวลาที่แสนทรมาน จวบจนย่ำค่ำ ทุกคนกลับออกจากงานไปหมดแล้ว คุณพระเองก็พาหนูขมกลับไปพักผ่อนที่เรือนใหญ่ แม้ท่านจะอนุญาตให้ยมกับหนูขมได้พักอยู่ที่เรือนเก่าของคุณเขม โดยมีเพลิงกับมั่นกลับมาช่วยดูแลหลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตของคุณเขม แต่กระนั้นที่พักพิงให้เจ้ายมได้หลับนอนสนิทจริง คือเสื่อที่ปูอยู่ข้างโลงศพคุณเขม

       “พี่เขมจ๊ะ ยมมาอ่านหนังสือให้พี่ฟัง พี่เขมจะได้ไม่เหงา”

       กำปั้นน้อยๆที่สั่นเครือหนาวเหน็บ เคาะโลงศพสองสามครั้ง ยมไม่สนใจความเชื่อเรื่องโลงศพอย่างที่เขาว่าต่อๆกันมา สนเพียงแค่ว่าพี่เขมจะไม่เหงา เพราะยมจะคอยอยู่ข้างๆ จะไม่ห่างพี่เขมไปไหน ทีแรกก็ถูกคุณพระห้ามปรามเพราะเกรงว่ายมจะจับไข้ แต่อย่างไรยมก็จะหนีกลับนอนใกล้กับโลงศพของบุตรชายตนทุกครั้ง ยากที่จะห้ามปรามได้อีก ทำได้เพียงดูแลหนูขมที่ยามนี้เริ่มเข้มแข็ง แม้จะโศกเศร้าแต่ก็ยังกิน นอน เล่น ตามประสาเด็ก จึงเป็นเรื่องที่ยมพอจะโล่งใจได้บ้าง

        เพราะถ้าลูกเป็นอะไรไปอีกคน ยมก็จะรู้สึกมีตราบาปในใจเพิ่มขึ้น

        ทุกถ้อย ทุกตัวอักษรจากหนังสือ ยมฝืนพูดทั้งที่น้ำเสียงแหบแห้งไม่มีแรง นับแต่ลำหับตอบถ้อยรับรักซมพลา จนถึงตอนที่ซมพลาถูกพี่ชายของฮเนาใช้ลูกดอกอาบยาพิษสังหารจนถึงแก่ความตาย ซมพลาร่ำลาและบอกรักลำหับเป็นครั้งสุดท้าย

        “หากยมเป็นลำหับ ก็คงจะตายตามพี่ไปเหมือนกัน”

        แต่ทุกวันนี้ ก็ไม่ต่างจากตายทั้งเป็นไปแล้ว

        “วันนี้คุณบูรพามาหายม บอกให้ยมเข้มแข็ง ให้นึกถึงลูกเข้าไว้ วันนี้ยมจะกลับไปนอนกับลูกนะจ๊ะ วันพรุ่งยมจะมาหาพี่ใหม่”

       เด็กหนุ่มเอื้อมมือสัมผัสโลงศพสีขาวแผ่ว น้ำตาไม่มีจะให้ไหล มันจุก แน่น อึดอัดคล้ายหายใจไม่ออก ยิ่งกว่าตอนที่พี่เขมจากยมไปคราวนั้นเสียอีก

       “ฮือ คิดถึงพี่เหลือเกิน ฮึก!”

    ร่างน้อยค่อยยันกายลุกอย่างยากลำบาก เดินกลับบ้าน ไม่ทันเห็นว่าคนในรถที่จอดมองอยู่ไม่ไกลเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด คุณโดมมองยมด้วยความรู้สึกผิดบาป จะอาสาไปส่งยมที่เรือนวินิตราชศักดิ์ เขายังละอายแก่ใจตัวเอง ไม่กล้าเลย

       หากวันนั้นเขาไม่จ้องที่จะแย่งยมไปจากเขม ไม่หาเรื่องเขมให้เวลายืดเยื้อ เขมก็คงจะพายมกับหนูขมไปใช้ชีวิตด้วยกัน

       บาปกรรมที่เขาเป็นต้นเหตุ จะไม่มีวันลืมเลือน

       ขอโทษ...ขอโทษจริงๆ

      คุณโดมขับรถกลับไปยังบ้านเช่าเพื่อดูแลอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังรอเขาเช่นกัน เขาต้องแวะร้านยาที่ใกล้จะปิดเต็มที มือใหญ่เคาะเรียกคนที่กำลังนอนซมด้วยพิษไข้ด้านใน

         “แม่อุ่น ฉันมาแล้ว”

      เมื่อเห็นว่าประตูไม่ได้ลงกลอนคุณโดมจึงผลักเข้าไป เขาตกใจเพราะวันนี้ใบหน้าของหญิงสาวย่ำแย่กว่าวันก่อนๆ อาการของแม่อุ่นกำเริบนับแต่วันที่เขาออกไปดักรอยมที่เรือนวินิตราชศักดิ์ พอกลับมาจึงพอว่าสภาพของหญิงสาวคล้ายถูกตบตี มีรอยขีดข่วน พออีกวันจึงมีไข้หวัดตามมา ซักถามอะไรก็ไม่ยอมพูด เอาแต่อมพะนำไม่อยากให้เขารับรู้

    “แม่อุ่น ให้ฉันพาแม่ไปโรงหมอเถอะนะ อาการแม่อุ่นหนักเหลือเกิน”

    “อย่าค่ะ ไม่เป็นไร” หญิงสาวปฏิเสธ สองมือห่มผ้ามิดชิดคล้ายปิดบังอะไรไว้ ไม่ว่าคุณโดมจะขอร้องอย่างไรเธอก็ไม่ยอมพบหมอเด็ดขาด

    “ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปต้มยาแก้ไข้มาให้”

     เมื่อร่างสูงออกไปต้มยาด้านนอก แม่อุ่นก็สะอื้นออกมาน้อยๆ นับตั้งแต่เธอได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณโดมคนนี้ หลังๆมาเขาออกไปข้างนอกบ่อยขึ้น และไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเธอตามที่ได้ลั่นวาจาจริง จนกระทั่งวันหนึ่งเธอบังเอิญออกไปจ่ายตลาด เห็นรถยนต์สีดำคุ้นตาขับเคลื่อนไปที่ไหนสักแห่ง เธอตามไป ก็พบว่าชายที่เธอแอบรักตั้งแต่แรกเห็นกำลังพร่ำบอกรักต่อเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่ง

      ฉันคิดถึงยมมากเหลือเกิน

      คนที่เขารักจนถึงกับยอมตัดขาดจากทุกอย่าง คือเด็กคนนี้เองน่ะหรือ

       “คุณโดม” หญิงสาวพึมพำ น้ำตาจะไหลเสียให้ได้ ทำไมเธอถึงมีกรรม ต้องแอบรักคนที่ไม่ได้รักเธอด้วย

      “ยมขอบพระคุณทุกอย่าง สิ่งใดที่ยมทำให้คุณโกรธหรือไม่พอใจ ยมขอให้คุณอภัยให้ยมเถอะจ้ะ”

       “ไม่ยม...” สองมือใหญ่บีบไหล่เด็กหนุ่มแน่น “ฉันรักยม ขอร้อง ไปกับฉันเถอะนะ ฉันรักยมไม่แพ้เขม เรากลับไปเริ่มต้นด้วยกันเหมือนตอนนั้น”

         ทุกถ้อย ทุกวาจา...ไปถึงอีกชีวิตที่แอบฟังอยู่ไม่ไกล แขนขาแทบไม่มีแรงพักพิง เธอฟังทุกถ้อยอย่างเจ็บปวดก่อนจะค่อยๆจากไปเงียบๆอย่างอ่อนแรง

         แม่อุ่นเดินเตลิดไปตามทาง ไม่อยากรีบกลับบ้าน เธอไม่อยากรู้ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อ หญิงสาวรู้เพียงแต่ว่า...เธอเจ็บปวดเหลือเกิน

        “ถ้าฉันเลือกได้ ฉันก็ไม่อยากหวั่นไหว รักคุณหรอกค่ะคุณโดม”

         คุณโดมชอบเด็กผู้ชาย แต่เธอเกิดเป็นหญิง ซ้ำร้ายยังเป็นหญิงอาภัพ พ่อแม่ทิ้ง ถูกชะตาชีวิตบังคับให้เป็นหญิงโคมเขียว พอหัวใจของเธอปรารถนาจะเลือกคนที่รัก เขาก็ไม่รักเธอ เขาเป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยเหลือไม่ให้เธอต้องเจอนรกก็เท่านั้น

        สองเท้าเดินหลงมา รู้ตัวอีกครั้งเธอก็อยู่ในที่เปลี่ยว และไม่ใช่ทางกลับบ้านเช่า รู้เช่นนั้นหญิงสาวจึงรีบหันกลับ ทว่า...

        “จะไปไหนจ๊ะคนสวย”

       ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ กักขฬะประมาณสี่ห้าคนเข้ามาดักหน้าเธอ หญิงสาวหันรีซ้ายขวาไม่พบผู้ใดก็เริ่มหวั่นกลัว สองมือจึงไหว้ท่วมหัวหวังให้พวกมันเมตตา

        “พี่จ๋า อย่าทำอะไรฉันเลยนะจ๊ะ กลัวแล้ว”

        “กลัวทำไมล่ะจ๊ะคนสวย พี่ว่า เรามาทำอะไรสนุกๆกันดีกว่า”

        เมื่อเห็นว่าอย่างไรมันคงไม่เมตตา แม่อุ่นจึงหนีตายท่าเดียว หากแต่เพราะทางเริ่มมืดจึงทำให้หญิงสาวหกล้มด้วยมองไม่เห็นทาง

        “อย่านะ! ปล่อย!”

         ร่างบางถูกฉุดรั้งไม่ให้ดิ้นหนี ส่วนคนที่เป็นหัวโจกก็ชกเข้าที่ท้องน้อยจนเธอจุก พูดอะไรไม่ออก ส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากผู้ใดไม่ได้

         “อุ้มไปพงหญ้าข้างทางนู่น! พยศงี้กูชอบ”

         สิ่งที่แม่อุ่นรังเกียจ มันได้วกกลับมาหาหญิงสาวอีกครั้ง เธอกรีดร้องเมื่อผ้าซิ่นถูกถลกขึ้นสูงก่อนจะสลบวูบในที่สุด

         หญิงสาวฟื้นขึ้นมาอีกครั้งค่อนรุ่ง ยังไม่มีคนเดินผ่านมา เธอไม่พบคนพวกนั้นแล้ว หญิงสาวรีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยทั้งๆที่เจ็บแสบสันความเป็นหญิงถึงที่สุด ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยตบตี ตามเนื้อตัวของระบมหนัก อย่างไรก็ดี เธอขออย่างเดียว อย่าให้พวกนั้นมันมีโรคร้ายมาเข้าร่างกายของเธอ เหมือนอย่างที่โสเภณีที่ตรอกผีเสื้อบางคนเคยประสบ

         แต่โชคชะตากลับโยนเคราะห์กรรมมาให้เธอครั้งแล้วครั้งเล่า

         ในช่วงแรกเธอมีแผลอะไรบางอย่างขึ้นตามตัว แต่มันก็หายไปเอง

         หากเมื่อผ่านไปหลายสัปดาห์ ตามฝ่ามือและฝ่าเท้ามีผื่นแปลกๆขึ้น มันมาพร้อมไข้หวัดที่เธอเป็น แม้คุณโดมจะไปซื้อยาหลายขนานมาต้มให้กินก็ไม่ดีขึ้น แม่อุ่นร้องไห้คนเดียวยามที่คุณโดมบอกว่าต้องไปธุระข้างนอก

         เธอเคยเห็นอาการอย่างนี้...ที่คนในตรอกผีเสื้อ

         และไม่เคยมีใครรอดจากโรคนี้สักคน

        พวกนรกนั่น! เอาเชื้อโรคบ้านี่เข้ามาในร่างกายของเธอ!!!

         “เวรกรรมอะไรของฉัน”

       ดังนั้นหากคุณโดมพาเธอไปพบหมอ ก็คงจะไม่เกิดประโยชน์อะไร เธอบอกให้เขาเลิกซื้อยาให้เสียที แต่คุณโดมไม่ฟัง หญิงสาวรู้ชะตากรรมเพียงแค่ว่า

       โรคร้ายนี้ กำลังจะคร่าชีวิตเธอ



    ผ่านไปนานแล้วที่ยมเอาแต่เก็บตัวในเรือนของคุณเขมยามกลางวัน คุณพระพยายามคลายความโศกเศร้าที่ต้องเสียบุตรชายและภรรยาไปในคราวเดียวกันด้วยการสอนหนูขมอ่านหนังสือ โรงเรียนของเด็กน้อยใกล้เปิดเทอมแล้ว คุณพระยังตั้งชื่อใหม่ให้หลานรักและสอนให้เขียนชื่อจริงอยู่บ่อยๆ

      เด็กชายยุทธศาสตร์ วินิตราชศักดิ์

      เพราะขมเป็นชื่อที่ฟังดูแล้วออกจะขื่นขม แต่กระนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเสียทีเดียว ด้วยเด็กชายดูจะคุ้นชินกับชื่อขมเสียมากกกว่า จึงให้เรียกเป็นชื่อเล่นได้ แต่ชื่อจริงขอให้เป็นชื่อที่ดูสมเป็นศิริมงคล แม้หนูขมจะมิใช่สายเลือดวินิตราชศักดิ์ แต่คุณพระก็เอ็นดูหลานรักคนนี้มาก และได้ให้สัญญากับคุณเขมว่าตนจะสานให้หนูขมได้เรียนสูงที่สุด ตามที่คุณเขมตั้งใจไว้ก่อนจะสิ้นลม

      หนูขม ไปหาพ่อยมลูก

      “เอ๊ะ!”

      เด็กน้อยวางดินสอลง เหมือนได้ยินเสียงของพ่อเขม เรียกให้ไปหาพ่อยมเลย

     “ยุทธศาสตร์ เป็นอะไรไปรึ” คนเป็นปู่เอ่ยถาม เมื่อเห็นอาการของหลานรักเปลี่ยนไป

     “หนูได้ยินเสียงพ่อเขม” ร่างป้อมวางดินสอ ลุกขึ้นยืน “หนูจะไปหาพ่อยมจ้ะ”

        ร่างอิดโรย ไม่มีแรง มองมีดเล็กในจานผลไม้ที่เพลิงเพิ่งจะยกมาให้อย่างใคร่ครวญ ทุกวันนี้เหมือนหายใจทิ้งไปวันๆ กลืนกินอะไรไม่ลง ยามนิทราก็มักจะฝันเห็นภาพที่คุณเขมตายไปต่อหน้าซ้ำๆ จนต้องตื่นขึ้นมาพบกับความว่างเปล่า รู้แค่ว่ามีเพียงลูกน้อยที่เป็นเสมือนแก้วตาดวงใจไม่ให้ตนตายก็เท่านั้น

        แต่อยู่ไป ก็ทรมานเสียเปล่า

        มือผอมหุ้มกระดูกเอื้อมคว้ามืดเล็กกำแน่น ดวงตามองคนบนฟ้าที่ลาล่วงไปนานนับเดือนแล้ว กลิ่นอายรอบเรือนแม้จะถูกทำความสะอาดใหม่อีกครั้ง แต่กลิ่นความทรงจำเก่าๆ ยังคงตรึงให้เจ้ายมตัวน้อยถวิลหาคุณเขมตลอดเวลา

       ยมจะไป จะไปหาพี่

      ความคิดที่ดังก้อง ชัดเจน เหมือนวิญญาณจากแห่งหนไกลจากรับรู้  จึงได้บันดาลให้มือไม้เด็กหนุ่มอ่อนแรง

      ยามเมื่อลมพัดหวน...แรงหนึ่งปัดมีดกระเด็นลงบนพื้นไม้เก่าดังแกร๊ก

      “พี่เขม พี่เขมห้ามยมทำไม...”     

เด็กหนุ่มกอดตัวเองถามสุญญากาศ มองมีดเล่มเล็กที่ถูกลมพัดปลิวจนร่วงตกจากมือเสียงดัง เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ ทำไมไม่ยอมให้เขาตาย!!     

  ยมเจ็บ ยมปวด โลกที่ไม่มีพี่เขมช่างว่างเปล่า เสียแรงที่อดทนรอมานาน ผ่านความทรมานก็สาหัส หลายครั้งที่ความตายจะมาพลัดพรากยมไปจากคุณเขม แต่ยมก็ดิ้นรนต่อสู้ไม่ยอม     

 แต่ความตาย...กลับมาพรากพี่ไปจากยมเสียเอง!!       

“ฮือ!”     

 ยมนั่งลงร้องไห้ มือเรียวสั่นเทากำลังจะเอื้อมไปหยิบมีดเล่มคมหมายจะกรีดข้อมืออีกครั้ง พี่เขมอย่าห้ามยมอีกเลย ยมอยู่ไม่ไหว ไม่อยากอยู่อีกแล้ว     

“พ่อยม!!”   

  เสียงเจื้อยแจ้วทำให้ความตั้งใจของยมหยุดชะงัก เขาเช็ดน้ำตา รีบหันไปหาลูกน้อยแล้วกลบเกลื่อนความเจ็บที่มี อย่างน้อยก็ให้หนูขมรู้ไม่ได้เป็นอันขาด!   

 “หนูขม มีอะไรรึเปล่าลูก?”     

 ยมคว้าร่างป้อมมาจับแขนสอบถามเบาๆ     

“หนูได้ยินเสียงพ่อเขมให้หนูมาหาพ่อยม เสียงพ่อเขมดูกังวลมาก หนูก็เลยรีบมาหากลัวพ่อยมเจ็บ แต่เห็นพ่อยมไม่เป็นอะไรหนูก็ดีใจ”       

พี่เขมจริงๆสินะ ที่ห้ามยมไว้       

สายลมที่พัดมีดให้ตกร่วงเมื่อครู่ ก็ฝีมือพี่ใช่หรือไม่?     

ยมมองแววตาเด็กน้อยที่มองเขาด้วยความห่วงใย พ่อขอโทษ...ขอโทษนะลูกที่ทำให้ลูกเป็นกังวลขนาดนี้!       

“แล้วมีดเล่มนั้น?” เด็กชายชี้นิ้วไปยังมีดที่ตกอยู่ด้านหลัง ยมต้องรีบแก้ตัวทันที     

 “อ้อ พอดีพ่อแค่จะปอกแก้วมังกรแล้วทำมีดหล่น หนูขมจะกินกับพ่อไหมลูก? เดี๋ยวพ่อปอกให้”     

 “พ่อยมไม่โดนมีดบาดใช่ไหมจ๊ะ?” เด็กน้อยยังคงถามด้วยความเป็นห่วง ดวงตาดวงจ้อยก็ควานหาบาดแผลบนมือพ่อ น้ำใสๆเริ่มเอ่อคลออีกครั้ง จุกอกกับภาพเด็กน้อยตรงหน้า   

     เขาไม่คู่ควรจะเป็นพ่อของหนูขมแม้แต่น้อย

       ในคืนนั้น หนูขมขอคุณปู่กลับมานอนกอดพ่อยมหลังถูกเอาตัวไว้หลายคืนแล้ว พ่อลูกได้นอนกอดกันอีกครั้ง ยมมองลูกชายตัวน้อยที่ยังจ้องตนตาแป๋ว ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน โถลูก! นี่คงจะกลัวพ่อทำร้ายตัวเองกระมังหนา

       “หนูขม นอนได้แล้วลูก นอนจ้องพ่อนานแล้วนะ” ยมลูบศีรษะป้อย เด็กน้อยนอนกอดพ่อราวกับกลัวพ่อจะหายไปไหน

       “พ่อยมหลับตาก่อนสิ เดี๋ยวหนูหลับตาม”

       “จ้ะ”

     ยมฝืนหลับตาลงทั้งที่ไม่อยากฝัน แต่เพื่อลูกน้อยแล้ว เขาจะทำ อย่างน้อยแม้จะไม่ใช่พ่อที่คู่ควร แต่เขาจะไม่ให้หนูขมต้องเป็นกังวลไปมากกว่านี้

      เด็กชายตัวน้อยแสนสดใส ไร้เดียงสา ที่ตอนนั้นช่างเรียกช่างคุยกับพี่ยม ติดพี่ชายคนนี้แจหลังจากรู้ว่าพี่ยมทำของโปรดให้หนูขมกินได้ตั้งหลายอย่าง ผูกพันจนเกิดกว่าจะแยกจาก ดังนั้นพอคุณเขมจะมารับตัวยมไป หนูขมจึงได้เรียกเขาว่าพ่อยม แทนพี่ยมที่เคยเรียก บางทีก็เรียกทั้งพ่อเขมพ่อยม...เป็นที่น่าเอ็นดูของพ่อทั้งสองยิ่งนัก

      แม้วันนี้จะไร้ซึ่งพ่อเขมที่ปกป้องคุ้มครองครอบครัว เป็นเสาหลัก

     เหลือทิ้งพ่อยมไว้ เพียงลำพัง

     สองพ่อลูกนอนจับมือ นอนกอดอย่างนี้ จนวันเวลาผันผ่าน มากพอที่ลมหวนจะพาวิญญาณหนึ่งได้กลับมากระซิบบอกลาเจ้าตัวน้อยในคืนเดือนมืดพอดิบพอดี

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด