ตอนต่อมาแล้วค่า ^____^
ผู้ชายไม้ประดิษฐ์
Chapter 3
Friend or Foe
ราวกับน้ำเสียงของเขาเป็นมือล่องหน ล้วงเข้าไปในกล่องความทรงจำแล้วกระชากเอาเรื่องราวในอดีตมาแบหลาต่อหน้าผม น้ำเสียงเช่นนี้เองที่เขาเอ่ยออกมาในกลางดึกคืนนั้น เอ่ยมาด้วยน้ำเสียงราวกับตนเองอยู่เหนือกว่าทุกสิ่ง แม้ว่าเขาเพิ่งจะลงไปกองอยู่กับพื้นราวผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ ผืนหนึ่งก็ตาม
ครั้งแรกที่เจอกัน แววตาแข็งกร้าวนั้นก็ตรึงให้ขยับเขยื้อนไม่ได้
ประกายตาคมกริบราวกับกรงเล็บของสัตว์ร้ายออกล่าเหยื่อในแสงเงินยวงของเดือนเต็มดวง
แผลแตกที่คิ้วกับเลือดตรงมุมปากทำให้เขายิ่งดูอันตราย หางตาชี้สูงยิ่งขึ้นเมื่อดวงตานั้นหรี่มอง แต่เพราะเขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับถอนหายใจออกมาราวกับเหนื่อยล้าเหลือเกิน ทำให้ผมยื่นมือเข้าไปหาใบหน้าเขาอย่างช้า ๆ
เขาชะงักเพียงนิดเมื่อผมขยับเข้าไปใกล้ แต่เมื่อเห็นผ้าเช็ดหน้าในมือ เขาก็มองผมนิ่งเฉย ปล่อยให้ผมใช้ผ้าเช็ดเลือดให้
เขาสบถเบา ๆ เมื่อถูกแตะที่แผลบวมปูดตรงโหนกแก้ม
“นายควรไปหาหมอ”
“ไม่เป็นไร แผลแค่นี้สบายมาก”
ผมมองสภาพเขาโดยไม่พูดอะไร แต่ทรุดลงนั่งข้าง ๆ บนพื้นดินที่เต็มไปด้วยรอยเท้าของกลุ่มคู่อริของเขา พวกมันมีเกือบสิบคนแต่เขาตัวคนเดียว พวกมันรุมประเคนทั้งหมัดทั้งเท้าใส่เขาที่สู้ได้ไม่นานก็ล้มลงไปนอนรับประทานเกือกอยู่กับพื้นอย่างสิ้นท่า
แม้เห็นเหตุการณ์ แต่จะวิ่งเข้าไปช่วยก็รู้ว่าตัวเองคงกลายเป็นกระสอบทรายให้พวกมันกระทืบเล่น จึงซ่อนตัวอยู่ในระยะปลอดภัยเพื่อคุมเชิงเหตุการณ์ก่อน
ผมรอ รอกระทั่งพวกมันรุมทำร้ายเขาจนสาแก่ใจ พอลับหลังพวกมัน ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเขา
เรานั่งอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้นั้น ปล่อยให้ระหว่างเรามีเพียงลมกลางคืนพัดผ่านใบไม้
เขาหัวเราะหึ ๆ เป็นเสียงหัวเราะราวกับสมเพช
“ปวดฉิบหาย...”
“เราพานายไปหาหมอนะ เขาจะได้...”
“มึงชื่ออะไร”
“หะ...”
“หน้าตาอย่างนี้ อย่าเที่ยวไปไหนคนเดียวล่ะ” เขาพูดเบา ๆ สายตาคมกริบของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าผมไม่วาง “แล้วก็อย่าเข้าใกล้กู”
สถานการณ์กระอักกระอ่วนกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
“เราชื่อ เต๋า...” ผมมองมุมปากเขียวช้ำของเขากระตุกเป็นรอยยิ้มบาง ๆ “ลูกเต๋า”
“กูชื่อเบลด”นึกว่าการพบเจอครั้งนั้นจะเป็นพบแล้วจาก ใครจะคาดว่าเขากลับโผล่มาให้เห็นนับแต่นั้น อาจเป็นอุปาทาน แต่ผมคิดว่าเขามักมาโผล่ในที่ไม่คาดคิดเสมอ ไม่ต้องพูดไกล ดูจากครั้งนี้สิ มีที่อื่นหมื่นแสนแต่เขาเลือกจะมาเจอผมที่มุมห้องน้ำของร้านอาหารอีสานที่ตั้งอยู่ชานเมืองกรุงเทพฯ
บังเอิญกว่านี้มีอีกไหม!
ผมแอบมองเขารับประทานยำฝ่าเท้าด้วยใจระทึกตอนเพิ่งเข้าปีหนึ่งใหม่ ๆ ตอนนี้ขึ้นปีสามแล้วผมก็เห็นหน้านฤเบศบ่อยเสียจนบางครั้งเผลอนึกไปว่าเขาเรียนอยู่คณะเดียวกัน แม้ไม่คุ้นใจแต่เขาคุ้นตา แทบอยากยกตำแหน่งเงาตามตัวให้เขาเต็มทน
“มาได้ไงวะ” ผมโพล่งออกไป พยายามไม่สนกับรอยยิ้มกวนส้นเท้าของเขา ไม่กี่ปีผ่านผัน ผมโยนความสุภาพออกนอกหน้าต่างแล้ว เจอหน้านฤเบศทีไรก็ไม่เคย
‘นาย-เรา’ อีก กระนั้นก็ใช่ว่าผมจะกระโชกโฮกฮาก
“อยากกินบรรยากาศ เลยมาหาอะไรกินแถวนี้” เขาพ่นควันบุหรี่อีก
“พิลึก” ผมบ่น “หลบหน่อย ปวดเยี่ยว”
“ใครขวาง”
อยากกระโดดหนุมานถวายแหวน แต่แร้นแค้นพละกำลัง จึงต้องเดินเบี่ยงตัวหลบเขาไปปลดพันธนาการช้างน้อยออกมา
ชำเลืองด้วยหางตาเห็นนฤเบศยังโพสท่าเป็นสิงห์อมควัน คร้านจะถามไถ่ว่าจริง ๆ แล้วทำไมถึงมานี่กันแน่ เลยทำกิจให้เสร็จแล้วรีบออกไปล้างมืออีกครั้ง
ยังดีที่ดัมพ์ไม่อยู่ด้วย มิฉะนั้นมันกับนฤเบศคงมีปะทะกันสักรอบแน่ สองคนนี้เหมือนสองเสือไม่อาจร่วมป่า อยู่ใกล้กันแล้วมักมีเรื่อง มองหน้านิดหน่อยก็แทบสวัสดีกันด้วยหมัดหรือลำแข้ง แม้ดัมพ์จะได้เชื้อพ่อมามาก จึงตัวสูงใหญ่อย่างแอฟริกัน-อเมริกัน แต่นฤเบศก็ไม่ด้อยกว่า ใบหน้าคมสันของเขาไม่ต่างอะไรกับดาราฮ่องกง ความสูงกับร่างกายก็พอฟัดพอเหวี่ยง
นี่เรียกว่าเพชรตัดเพชรก็ได้
ล้างมือแล้วไม่ต่อความยาวกับเขาอีก ผมเดินออกมาเพราะอากาศร้อนเหลือเกินและกลิ่นที่ห้องน้ำก็เหลือทน เสียงย่ำกรวดก็ดังตามหลังมาด้วย นี่ถ้าเป็นกลางคืนคงมีหลอนกันบ้าง แต่เพราะรู้ว่านฤเบศทิ้งก้นบุหรี่แล้วตามมาทันทีนั่นเอง
ปังปอนด์เดินเหงื่อไหลย้อยออกมาพร้อมกับแทนไท “มึงรอนี่แหละ ไม่ต้องเข้าร้านแล้ว” พอเห็นผมทำหน้าสงสัยก็เอ่ยแถลงไขทันควัน “คุณเพี้ยนมันจ่ายแล้ว”
ผมพยักหน้าด้วยความเข้าใจ เดี๋ยวค่อยหารกันทีหลัง
แทนไทเห็นใครเดินตามหลังผมมา ก็ออกอุทานเสียงเบา “อ้าว ๆ แล้วนี่ใครวะ”
นฤเบศเดินมาถึงในขณะเดียวกับที่ผมหันไปมอง พอสบตากันเขาก็กระตุกยิ้มน้อย ๆ ราวกับยิ้มของเขาเป็นเพชรเป็นพลอย จึงยิ้มกว้าง ๆ ไม่ได้ เขายักคิ้วให้ผมหนึ่งทีก่อนเดินจากไปโดยไม่สนใจทั้งแทนไทและปังปอนด์สักนิด
“อะไรของมันวะ” แทนไทบ่นออกมา
“มันบอกว่ามาทำอะไรนะ” ลูกชายเจ้าของเครือโรงแรมถามมาจากเบาะผู้โดยสารด้านหน้า เอี้ยวคอมามองผมนอนเอกเขนกด้านหลังจนตาแทบเหล่
“กินบรรยากาศ” ผมก็อปปี้เพสต์คำพูดนฤเบศเป๊ะ ๆ
“กูว่าไม่ใช่ หรือมึงว่าไงคุณแกงจืด” มันหันไปถามปังปอนด์อย่างไม่กลัวคอเคล็ด
“จืดอะไร พูดดี ๆ นะ เดี๋ยวก็ขย้อนตำป่าใส่หน้าซะหรอก”
แทนไทรีบขยับออกห่างโดยพลัน “ทำอะไรให้สมกับหน้าตาหน่อยสิคู้น”
พูดจบแทนไทก็หันมาหาผมอีก “มึงว่ามันไม่แปลก ๆ กับมึงเหรอ ไอ้นฤเบศน่ะ”
“แปลกยังไง”
“มันอาจคิดว่ามึงเป็นบิดาบังเกิดเกล้าที่พัดพรากไปนาน?”
“ไอ้นี่เล่นถึงพ่อเขาเลยเหรอ” ผมปราม
แทนไทหัวเราะแหะ ๆ ก่อนเอ่ยอีก “ไม่รู้สิ เห็นมองมึงแล้วทำสายตาอย่างกับอะไร”
คนขับรถกระโดดเข้ามาร่วมวงบ้าง “มันก็เป็นอย่างนี้กับไอ้เต๋าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เพื่อนร่วมสาขาก็ไม่ใช่ จะว่าเพื่อนเก่าจากโรงเรียนเก่ายิ่งแล้วใหญ่ เพิ่งเจอกันตอนมาเรียนที่นี่ไม่ใช่เหรอ ดูมันอยากสนิทกับมึงนะ สองสามปีมานี่ก็เห็นมันมาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ตลอด”
ผมกับแทนไทเรียนบริหารธุรกิจ ปังปอนด์สารสนเทศ ดัมพ์เรียนนิเทศศาสตร์เพราะรู้ตัวตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากเข้าวงการบันเทิง คนนี้เขาแน่วแน่ มองเป้าชัดเจนแล้วทำทุกอย่างเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น ผมยังนับถือมันเลยว่าแม้ตอนที่เริ่มมีงานเข้ามาเรื่อย ๆ และกำลังเริ่มมีชื่อเสียงเช่นนี้ก็ยังคบหาสนิทสนมกับผมไม่คลาย
“เอ...” เพื่อนแทนครุ่นคิด “หรือมันคิดไม่ซื่อกับมึงวะ”
“ก็ห่านแล้วครับ” ผมลูบหัวเกลอรักด้วยมะเหงก
“อย่าเขินน่า” คนขับรถสัพยอก
สองคนหัวเราะคิกคัก จนผมอยากจะขย้อนตำป่าราดใส่พวกมันเสียเอง
“อย่าพูดอย่างนี้ให้ไอ้ดัมพ์ได้ยินเชียวนะ”
“รู้น่า” แทนไททำเสียงเบื่อหน่าย “นั่นก็หวงเกินเหตุ เพื่อนหรือผัววะ”
“กูเห็นหัวมึงเป็นลูกบอลว่ะ แทนไท อยากลองเตะเล่นดูสักที”
“เดี๋ยว ๆ อย่างงี้ก็ได้เหรอเพื่อน กูพูดเล่น ไม่ผัวก็ได้” เกลอไทหน้าตื่น
หลังจากวันนั้นราวเดือนกว่า พลิกฟื้นตื่นจากนอนเพื่อมาเล่าเรียนแต่เช้า กลับพบว่าอาจารย์แปะติดกระดาษเอสี่ไว้บนประตูหน้าห้องเรียนว่าติดสัมมนาต่างจังหวัด ให้นักศึกษาเรียนชดเชยในสัปดาห์ต่อไป หลายคนโอดโอย แต่ทำอะไรไม่ได้ ครั้นจะกลับห้องไปนอนตีพุงก็ยังมีวิชาเรียนคาบบ่ายรออยู่ จึงต้องเตร็ดเตร่อยู่แถวใต้ถุนอาคารเรียนนั่นเอง
แทนไทบ่นปวดท้อง วิ่งเข้าห้องน้ำสองสามรอบตั้งแต่เช้าแล้ว ซึ่งนับว่าโชคดีที่อาจารย์ไม่อยู่ ถามดูก็ได้ความว่ากินข้าวเช้าที่น้องสาวทำให้ คาดว่านี่อาจเป็นกลเหตุของมาราธอนห้องน้ำ แต่มันเป็นคนรักน้องมากจึงพูดเฉไฉไปว่าคงเผลอกินของแสลงที่ไหนเข้าละมั้ง
ผมนั่งรอแทนไทปลดทุกข์อยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนใต้อาคาร นิ้วสไลด์หน้าจอมือถือเล่นแก้เบื่อ เสียงพูดคุยของนักศึกษาคนอื่นดังเข้าหูแต่ไม่ได้สนใจ สักครู่ก็ได้กลิ่นน้ำหอมซึ่งคุ้นชินว่าเจ้าคนนี้ใช้เป็นประจำ หันมองก็เห็นนฤเบศนั่งอยู่ที่กลุ่มม้านั่งเดียวกัน ระหว่างเขากับผมมีโต๊ะหินอ่อนกั้นไว้
เขาแสร้งชำเลืองมองราวกับไม่เต็มใจ รักษามาดคนปากแข็งกลัวดอกพิกุลร่วงเต็มที่ กระนั้นไม่นานก็หลุดคำพูดออกมา
“อยู่คนเดียวเหรอ”
ด้วยกลัวจะโดนหาว่าหยิ่ง จึงตอบกลับไป “อือ”
“มีเรียนไหม”
“อือ”
“แล้วทำไมอยู่นี่”
“อือ”
“ตกลงไม่มีเรียน?”
“อือ”
คราวนี้นฤเบศมองหน้าผมนิ่ง คิ้วกระตุก เอ่ยเสียงเรียบ ๆ “ตอบอือแล้วพ่อฟื้นเหรอ”
ผมแทบสะดุดหัวแม่เท้าตัวเอง ไม่นึกว่าคนนิ่ง ๆ อย่างนฤเบศจะถามด้วยความหมายซึ่งแฝงความนัย ‘หวาน ๆ’ แบบนั้น!
ผมถอนหายใจแล้วตอบออกไป “รอเพื่อนเข้าห้องน้ำอยู่”
เขาทำเสียงรับรู้ในลำคอ
“ไอ้ดำน่ะเหรอ”
“มันชื่อดัมพ์” ผมมองเขาตาขวาง “ไม่ใช่ดัมพ์หรอก แทนไทน่ะ”
เราตกอยู่ในความเงียบ มันเป็นความเงียบที่ผมไม่รู้จะพูดอะไรจึงหันกลับมาเล่นมือถือต่อ ส่วนนฤเบศก็นั่งเฉย ๆ เป็นหุ่นขี้ผึ้งอยู่อย่างนั้น แต่เจ้าความเงียบระหว่างเรานี้มันหนักหนาเสียจนผมทนไม่ไหว ต้องหันไปถามเขาพอให้หายกระอักกระอ่วนบ้าง
“แล้วไม่มีเรียนเหรอ”
เขาหัวเราะหึ “มีเรียนหรือไม่มีไม่ใช่ปัญหา อย่างกูไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้”
ผมแอบกัดฟันอย่างหมั่นไส้ พูดอย่างนี้ก็เรียนเชิญให้รับประทานเอฟเถอะ
พอเห็นผมแสดงอาการ เขาก็กระตุกยิ้มมีค่าดั่งพลอยนั้นอีก ชำเลืองมองผมด้วยสายตาที่เห็นแล้วทั้งหวั่นเกรงและรู้สึกว่าถูกยั่วประสาท
นอกจากนฤเบศจะมีออร่าบางอย่างที่คล้ายจะข่มคนอื่นให้ยอมเขาตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน คนคนนี้ก็ช่างกวนประสาทได้อย่างเจ็บแสบเหลือเกิน
เขาเคยบอกผมว่าอย่าให้เจอว่าไปไหนคนเดียว ทว่าครั้งใดที่เจอกันเพียงลำพัง เขาก็ไม่ทำมากไปกว่าการข่มด้วยท่าที ไม่เห็นเขาจะทำให้อะไรให้ผมเข้าใจเสียทีว่าเหตุใดจึงไม่ควรไปไหนคนเดียว
ด้วยทนไม่ไหว ผมจึงโพล่งถามไป
“แล้วมาทำไม”
เขาคว้าหมากฝรั่งออกมาเคี้ยว “เรื่องของกู”
“อ้าว พูดงี้ก็สวยสิ”
“อารมณ์เสีย?” เขาเอียงคอมอง “ไม่เอาน่า ไม่อยากรังแกมึงนะ”
“มาป้วนเปี้ยนแถวนี้ทำไม คณะตัวเองก็ไม่ใช่”
นี่เกลอแทนไทช็อกไปแล้วหรือเปล่านะ ไม่ยอมออกมาจากห้องน้ำสักที
“คณะกูไม่ค่อยมีของดีให้ดู อยู่ว่าง ๆ เลยแวบมาดูของดีบริหารหน่อย อย่าหวงของหน่อยเลยน่า”
“อยากดูก็ไปสิ มานั่งคุยกับกูทำไม”
เขาเอ่ยแบบกำปั้นทุบดิน “
นี่ก็ของดี”
ผมถึงกับต้องหันไปมองหน้าหมอนี่ให้ชัดๆ นอกจากนฤเบศจะชอบมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวคณะผมตั้งแต่ปีหนึ่ง บ่อยครั้งที่ได้คุยกัน เขาก็มักจะมีคำพูดทำนองนี้ทำให้ผมคลางแคลงใจเสมอ
เชื่อผมเถอะ มันกำลังกวนประสาทผม
“งั้นก็นั่งดูของดีต่อไปคนเดียวเลยนะ กูไปดูเพื่อนก่อน”
ผมพูดเพียงเท่านั้นแล้วก็จากมาทันที ห้องน้ำใต้ตึกคณะบริหารสะอาดพอประมาณ มีนักศึกษาชายคนหนึ่งกำลังล้างมือ พอผมเข้าไปก็มองหน้าผมยิ้ม ๆ พลางพยักพเยิดไปทางห้องห้องหนึ่งที่มีเสียง ‘ระเบิด’ บรรเลงอยู่อย่างครึกโครมเต็มที
“เป็นไงบ้างวะ”
เสียงนั้นยังดังไม่หยุด “ไอ้เต๋าเพื่อนเลิฟ ท้องไส้กูไปหมดแล้ว”
“ไปหาหมอไหม เผื่ออาหารเป็นพิษนะ”
“เออ ๆ เดี๋ยวกูเอาก๊อกนี้ออกก่อน” มันโอดครวญ “ศึกครั้งนี้ช่างใหญ่หลวงนัก”
ผมอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา ซึ่งเรียกเสียงแหวจากเกลอมาหนึ่งคำ “เดี๋ยวกูล้างก้นก่อน จะออกไปเตะมึง”
“เอาน่า ๆ รีบเบ่งเข้า”
โผล่ออกมาจากสถานที่ปลดทุกข์ แทนไทดูหน้าซีด ขาอ่อนระทวย ร้อนถึงผมต้องช่วยพยุงออกมาจากห้องน้ำอย่างทุลักทุเลที่สุด ตัวก็ใหญ่อย่างกับยักษ์ปักหลั่น แต่ทำท่าทางสำออยเสียไม่มี ไปทำอย่างนี้กับผู้หญิงคนไหนเขาคงเมินหนี
ผมตั้งใจว่าจะพาแทนไทไปหาหมอที่โรงพยาบาลใกล้ ๆ แถวนี้ แต่ก็หนักใจอยู่ว่ารถยนต์ของแทนไทจอดอยู่ที่ลานจอดรถ กว่าจะเดินไปถึงก็คงไกล อย่างนั้นก็ให้มันนั่งรออยู่นี่ แล้วผมไปขับกลับมาดีกว่า อย่างไรก็ตาม ความคิดผมสะดุดลงเมื่อเจอนฤเบศยังนั่งหัวโด่อยู่ที่เดิม
“เป็นอะไร” เขาเห็นผมพยุงแทนไทออกมาจึงลุกขึ้นเดินเข้ามาหา
“ท้องเสีย”
แทนไทสะกิดผมใหญ่ว่าไม่ให้พูด โธ่...ไอ้เกลอ ขนาดนี้แล้วยังมากลัวเสียฟอร์ม
“กูโอเค” เพื่อนเอ่ยออกไปเสียงระโหย
“มึงโอเคมาก” ผมประชด “กำลังจะพามันไปหาหมอ”
ผมว่าแล้วรีบยักแย่ยักยันพาแทนไทไปนั่งที่ม้านั่ง
“เพื่อนรออยู่นี่นะ เดี๋ยวกูไปเอารถมารับ” บอกกล่าวพลางยื่นมือขอกุญแจรถจากเกลอ
“รถมึงจอดไหน” นฤเบศเข้ามายืนใกล้ ๆ แล้วถามขึ้น
“ลาน...จอด...รถ” แทนไทตอบอย่างระโหยโรยแรง
“ไกลจากนี่ว่ะ ขืนรอไปเอารถ เพื่อนมึงตายก่อนแน่” คุณแทนไททำหน้าเหยเพราะคำว่าตาย “ไปรถกูดีกว่า จอดอยู่ตรงนี้เอง”
อ้าว แบบนี้ก็เห็นดีกันสิ เรื่องอะไรมาจอดที่คณะคนอื่น ทีเจ้าของคณะกลับต้องไปจอดตั้งไกล
“ไม่เป็นไร ขอบคุณ” ผมตัดบท
“อย่าเรื่องมากน่า”
“ใครเรื่องมาก”
“มึงไง ทำเรื่องง่ายให้ยาก ไปรถกูเร็วกว่า”
ผมอ้าปากจะตอบโต้ แต่แทนไทยกมือขึ้นมาห้ามเสียก่อน “ถ้าพวกคุณจะเถียงกันอย่างนี้ กูขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ทัพหนุนมาประชิดประตูเมืองแล้ว...”
มองหน้านฤเบศ เห็นเขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งราวจะถามว่า จะเอายังไงก็รีบบอกมา ดูเพื่อนสิหน้าเริ่มคล้ำแล้วนั่น ผมเลยพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ แล้วรีบหิ้วปีกเพื่อนแทนด้วยความทุลักทุเลตามหลังพ่อหนุ่มว่างเรียนคนนั้นไป
นฤเบศขับรถผิดจากท่าทางที่เห็นมากนัก ผมอนุมานเอาว่าเขาอาจเป็นคนหัวรุนแรง แม้จะนิ่งแต่บทจะลงมือก็คงไม่ยั้งแน่ ๆ ทว่าเขากลับขับรถอย่างนุ่มนวล จนแทนไทที่นั่งด้านหลังยังยิ้มเซียว ๆ ให้แทนคำขอบคุณ
เมื่อยักแย่ยักยันพาคุณเพื่อนขึ้นรถนั้น ผมคิดว่าจะนั่งกับเพื่อน แต่นฤเบศร้องเสียงเขียวมาจากด้านหน้าด้วยความดุดันว่า ‘ใครบอกให้นั่งหลัง มานี่’
แม้ไม่ได้ดังจนตวาด แต่เสียงเขาก็แหวกอากาศฟาดเปรี้ยงเข้ากกหูผม จนต้องทิ้งเกลอให้นอนแซ่วอยู่กับเบาะท้ายรถ ผิวกายของแทนไทรุม ๆ สงสัยมีไข้ด้วยแน่แล้ว ผมเปิดประตูหน้าแล้วกระโดดขึ้นไปนั่ง หันหลังมามองเกลอก็เห็นเอามือปิดปากไว้ สีหน้าแปลก ๆ
แทนไทบอกเบา ๆ ‘คลื่นไส้ว่ะ’
‘อ้วกใส่รถกู มึงได้ลงไปจูบถนนแน่’
นั่นไง คุณแทนไทถึงกับรีบกลืนอาเจียนกลับไปแทบไม่ทัน
ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าของรถหันมามองผม ดวงตาคมของเขาจดจ้องมาอย่างเอาเรื่อง แม้ไม่ต้องเอ่ยอะไร ผมก็สำเหนียกได้ทันทีว่าต้องจับเอาเข็มขัดมารัดตัวไว้
พอไปถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด นฤเบศก็เอ่ยสั้น ๆ ว่า “รีบพาไปสิ เดี๋ยวเพื่อนก็แย่หรอก”
ราวกับได้ฟังเขาทำนายว่าแทนไทจะวายชีวา ด้วยความกระต่ายตื่นตูม ผมจึงรีบพาเพื่อนเข้าไปรอตรวจ ส่วนสารถีนั้นเห็นจากหางตาว่าควักเอาบุหรี่ออกมาจุดสูบอยู่ข้างรถนั่นเอง
บางทีแทนไทคงทำบุญมาเยอะ นอกจากจะได้เกิดมาในครอบครัวอันมีทรัพย์สมบัติมหาศาล ยังไม่ต้องรอนานด้วย หลังจากยื่นบัตรประชาชนให้ทางเจ้าหน้าที่แล้ว ก็รออีกเพียงชั่วหุงข้าวสุก พยาบาลก็เรียกชื่อคุณแทนไท ผมจึงพยุงเพื่อนรักสุดสวาทเข้าไปพบแพทย์
เมื่อผมหิ้วปีกแทนไทออกมาจากโรงพยาบาล สิงห์อมควันยังไม่ละเลิกจากการดูดบุหรี่ ก้นบุหรี่แดงวาบยามเขาดูดเอาควันเข้าไป แม้มันจะมีกลิ่นปรุงแต่งแค่ไหนแต่ก็ไม่จรุงใจสำหรับผมอยู่ดี
“เรียบร้อยแล้ว?” เขาหันมา พอเห็นผมมองเจ้าบุหรี่น้อยในมือ เขาก็ทำเสียงในลำคอ “ไม่ชอบบุหรี่ละสิ งั้นรอกูสูบเสร็จก่อน”
“ให้เพื่อนกูนั่งรอในรถก่อนได้ไหม” เกรงว่าแทนไทมันจะไม่ไหวเสียก่อนน่ะสิ
“หมอให้กลับบ้านอย่างนี้มันก็โอเคแล้วละ อย่าขี้ตื่นหน่อยเลยน่า”
มองเขาด้วยหางตา แต่ในใจนี่ผมขอให้สำลักควันบุหรี่เสียให้เข็ด
เขาพ่นควันบุหรี่ราวกับจะให้มันก่อเป็นรูปร่างขึ้นมา “รถไม่ได้ล็อก”
รอบอกตอนเรียนจบก็ได้นะ
ด้วยเส้นอารมณ์ใกล้สะบั้นลง ผมจับเปิดประตูแรงกว่าปรกติ เพื่อนแทนค่อยๆ เข้าไปหย่อนตัวนั่งกับเบาะรถ พลางถอนหายใจ
“กูเปิดประตูไว้นะ” จะทำอะไรก็ต้องบอกกล่าวเจ้าของเขาก่อนใช่ไหมล่ะ
นฤเบศขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ ทว่าก่อนเขาจะเอ่ยคำผรุสวาทใด ๆ ออกมาได้ ก็แว่วเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ผมร้องจ้าเสียก่อน
“ว่าไง”
“อยู่ไหนแล้ว” เป็นดัมพ์นั่นเอง “มารอใต้ตึกนานแล้ว”
“โทษทีว่ะ ตอนนี้อยู่โรง’บาล”
เขาเงียบไปไม่นาน แล้วเอ่ยเสียงดัง “เป็นอะไร”
“ไม่ได้เป็นอะไร แทนไทมันท้องเสีย พามาหาหมอ เขาบอกอาหารเป็นพิษ นี่ก็เพิ่งตรวจเสร็จ ได้ยามากิน ว่าจะไปส่งมันที่บ้านอยู่นี่ละ”
เสียงถอนหายใจดังมาตามสัญญาณ “แล้วไป ใจหายหมด”
“เอาน่า ขวัญเอ๊ยขวัญมา”
“ยังจะเล่นอีก แล้วไปยังไงเนี่ย”
“เอ่อ...”
กลิ่นบุหรี่รสเมนทอล ร่างใหญ่ขยับใกล้ ผมมองร่างนฤเบศซึ่งราวกับจะบดบังแสงอาทิตย์ เงยหน้าขึ้นก็เห็นเสี้ยวหน้าขาว เห็นริมฝีปากสวยเม้มแน่น มือซึ่งบัดนี้ไร้บุหรี่เอื้อมมาเร็วเกินกว่าผมจะระวัง เขาคว้าเอาโทรศัพท์เครื่องนั้นไป แนบหู กระตุกยิ้มสะใจ
“ไง”
นฤเบศจ้องหน้าผมเขม็ง มองตรงเข้ามาในดวงตาของผม ตรึงร่างผมให้ขยับไปไหนไม่ได้ แผ่นอกตึงแน่นภายใต้เสื้อนักศึกษาสีขาวขยับเข้ามาใกล้อีก เสียงของเขาราวกับจะดังอยู่ใกล้หูนี่เอง
“มันยอมมากับกูเอง ไม่ได้บังคับว่ะ”
ผมยื่นมือไปจะแย่งคืน ทว่านฤเบศจับแขนผมไว้เสียก่อน เขาบีบแน่น ผมรู้สึกว่าแรงเขาเยอะมาก แต่ก็คงไม่มากไปกว่าผมจะแกะให้หลุดได้ จึงเกร็งแขนสู้แรง
“กูไม่ทำอะไรมันหรอก” เขายิ้มเหี้ยม มองหน้าผมราวกับพยัคฆ์มองจ้องสมันน้อยกลางป่า “ถ้ามันสู้แรงกูได้น่ะนะ”
ใบหน้าของนฤเบศแทบจะติดกับใบหน้าผมอยู่แล้ว กลิ่นบุหรี่แตะจมูก ผมเห็นคิ้วของเขา เห็นสันจมูกของเขา เห็นสันกรามของเขา และเห็นริมฝีปากแยกเผยอออก อวดฟันขาวเรียงกันสวย
“...แต่กูว่ามันคงสู้ไม่ได้ว่ะ”
เพราะใกล้แค่นี้แหละ ผมจึงได้ยินเสียงตะเบ็งอย่างกราดเกรี้ยวดังมาจากโทรศัพท์เครื่องนั้น ดัมพ์ในยามโกรธน่ากลัวยิ่งกว่าเสือเสียอีก มันโกรธเมื่อไร ผมหงอให้มันทุกที
นฤเบศหัวเราะสะใจ
เขากดปิดโทรศัพท์แล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงผม ฉกหน้าลงมาจนชิดว่องไว สิ่งที่เกิดนั้นรวดเร็วจนผมห้ามไม่ทัน พอรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น...
...นฤเบศก็หน้าหันเพราะกินหมัดผมไปเต็ม ๆ แรง เขาเบือนหน้ากลับมามอง ในสายตานั้นมีแววประหลาด ริมฝีปากเขาเผยอจากกันน้อย ๆ คล้ายคนกำลังงุนงง สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อว่าผมจะปล่อยหมัดออกไป เรามองหน้ากันอยู่เช่นนั้นราวกับยาวนานแรมปี แล้วเขาก็ถอนหายใจ หันไปมองแทนไทซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเบาะหลังอย่างกะปลกกะเปลี้ยเหลือทน ผมไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้าอย่างไร แต่แทนไทรีบพาสารร่างของตัวเองออกมาจากที่นั้นโดยเร็ว เจ้าเพื่อนเกลอทิ้งร่างเข้ากับตัวผมอย่างแรง จนเซถลาไปด้วยกัน
ประตูกระแทกปิด นฤเบศเดินไปเปิดประตูฝั่งคนขับ แล้วไม่กี่อึดใจต่อจากนั้น เสียงล้อรถบดกับพื้นถนนก็ดังกรีดขึ้นมาในท่ามกลางแดดเปรี้ยงของเที่ยงวัน ทิ้งให้ผมและแทนไทยืนอยู่ตรงนั้นราวกับไอ้บื้อสองคน
To be Continued.