พิมพ์หน้านี้ - ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 5 - To Ride or Go Against the Tide [14-08-2018]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Wordslinger ที่ 02-01-2018 16:48:28

หัวข้อ: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 5 - To Ride or Go Against the Tide [14-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 02-01-2018 16:48:28
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

* * * * * * *




หรือผู้ชายจะเป็นได้เพียงไม้ประดิษฐ์?


♚ ♚ ♚ ♚



ผลงานที่ผ่านมา


01 - Because of YOU (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=1694.msg40611#msg40611) [จบ]
02 - ถนนสายนี้มีความรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2807.msg96196#msg96196) [จบ]
03 - หัวใจสีฟ้าคราม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=5712.msg251937#msg251937) [จบ]
04 - รักนะ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=14457.msg855992#msg855992) [จบ]
05 - ทุ่งรักทุ่งสวาท (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25607.msg1471961#msg1471961) [จบ]
06 - รวมเรื่องสั้นแห่งความรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=20031.msg1221095#msg1221095) [จบ]
07 - สื่อใจ...สายใยรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=11268.msg641775#msg641775) [จบ]
08 - My dragon's Heart (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19317.msg1172719#msg1172719) [จบ]
09 - เธอคือ...สุดที่รัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=17028.msg1023362#msg1023362) [จบ]
10 - หอกข้างแคร่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=24140.msg1418770#msg1418770) [จบ]
11 - ใต้ร่มพญาไทร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25007.msg1452557#msg1452557) [จบ]
12 - นาคบาศ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29396.msg1660326#msg1660326) [จบ]
13 - เรื่องของคิงกับรักจริงของนายโลมา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19201.msg1166309#msg1166309) [จบ]
14 - น้ำพริกถ้วยเก่า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25218.msg1463394#msg1463394) [จบ]
15 - One Sweet Couple (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32474.msg1921671#msg1921671) [จบ]
16 - ร้อนรักหนุ่มบ้านทุ่ง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40352.msg2559550#msg2559550) [จบ]
17 - *Ain't He Sweet?* (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34050.msg2064267#msg2064267) [จบ]
18 - รักเกิดที่บ้านทุ่ง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35767.msg2209046#msg2209046) [จบ]
19 - หนุ่มสวนแตงกับตานีดงนั้น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40972.msg2619924#msg2619924) [จบ]
20 - พนาสวาท (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50604.msg3250709#msg3250709) [จบ]
21 - ♔รักรสโรตี♚ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46769.msg3053126#msg3053126) [จบ]
22 - ≈♔วังนที♚≈ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62298.msg3710533#msg3710533) [On-going]
23 - Handcuffed ♥ จับหัวใจใส่กุญแจมือ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64360.msg3751937#msg3751937) [On-going]


หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 1 - Friends with Benefits [02-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 02-01-2018 16:49:55

สารบัญ
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 1 - Friends with Benefits [02-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 02-01-2018 17:02:40
Ωผู้ชายไม้ประดิษฐ์Ω



Chapter 1

Friends with Benefits


อากาศกลางเดือนเมษายนร้อนราวกับมีใครเอามีดไปเฉาะดวงอาทิตย์ ทำให้ระอุไอร้อนจากภายในไหลทะลักออกมา ยังผลให้เปลวร้อนแผ่กระจายมาถึงโลกมากกว่าปรกติ มองไปทางไหนก็เห็นแต่เปลวแดดเต้นอยู่ยิบ ๆ

พัดลมตั้งพื้นดังอยู่หึ่ง ๆ แต่แทนที่จะส่งลมอันเย็นสบายออกมา กลับมีแต่ลมร้อนราวกับนั่งอยู่หน้าเตาไฟ เหงื่อที่น่าจะแห้งระเหยไป กลับยิ่งผุดออกมาอาบตัวจนเหนียวเหนอะหนะ ดังนั้นพัดไม้ไผ่สานในมือผมจึงทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน

เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือร้องให้ต้องขยับกายลุกไปรับอย่างเกียจคร้าน ให้จินตนาการถึงงูหลามหลังกระซวกไก่บ้านไปประมาณครึ่งโหล แม้เมื่อมีคนเอาไม้มาตีไล่ มันก็จะค่อย ๆ เลื้อยไปอย่างเชื่องช้าเต็มที

“ที่อุดรเป็นไงบ้างวะ กรุงเทพฯร้อนตับแลบ” เพื่อนปุจฉา

“ไม่ต่างกันหรอกมึง กูนอนถ่างขาผึ่งพัดลมอยู่เนี่ย” ผมวิสัชนา

“ระวังไข่แห้งนะ”

“ทะลึ่ง”

“ขอบคุณที่ชม เออ...เมื่อวานกูไปรดน้ำสาวมา ถึงใจชะมัด ทั้งรดน้ำสาว ทั้งโดนสาวรดน้ำ มึงไม่น่ากลับบ้านเลยว่ะ เสียดายจริง ๆ ถ้ามึงอยู่ด้วยจะได้มาสนุกด้วยกัน”

“กูต้องกลับมาช่วยแม่ที่ร้านนี่หว่า”

“แหม เพื่อนกูช่างเป็นลูกกตัญญู”

“ใครจะไปบ้านรวยเหมือนมึงกันล่ะ”

“เออ ไอ้คนขยัน”

“ทางนี้ก็ไม่มีคนช่วย แม่กูทำงานงก ๆ กูสงสารแม่”

“คุยกับมึงแล้วกูรู้สึกตัวเองเหี้ยมาก ๆ ไม่ไปช่วยที่บ้านดูแลธุรกิจโรงแรมเลย ไม่ไหวละ เดี๋ยวว่าง ๆ กูไปช่วยบ้างดีกว่า”

“ว่าง ๆ ใช่ไหม”

“แน่นอน”

“งั้นกูว่าแม่มึงคงต้องทำเหมือนที่เคยทำต่อไปแล้วละ”

สหายสบถรัวเป็นเพลงแร็ป ผมขำแล้วบอกว่าอีกไม่หลายวันเจอกันที่เมืองกรุง

ถือโอกาสเทศกาลสงกรานต์กลับบ้านมาหาแม่ จับรถโดยสารชั้นหนึ่งมีแอร์เย็นสบายขึ้นมาแดนที่ราบสูง ผจญอากาศร้อนไม่ต่างอันใดกับเมืองฟ้าอมร ว่าจะปลีกเวลาไปเล่นสงกรานต์กับเพื่อนสักวันหนึ่ง โดยขอแม่แล้วว่าวันที่เหลือลูกจะช่วยอย่างเต็มที่

เราอยู่กันสามคนแม่ลูกเท่านั้น พี่สาวอายุห่างจากผมหลายปี ตอนนี้ก็ช่วยงานที่ร้านอาหารของแม่ ส่วนพ่อนั้นไม่อยู่กับเรา อนิจจังของโลกคือทุกอย่างย่อมไม่อยู่ยั้งยืนยง ผมจึงพยายามลบภาพพ่อจนกลายเป็นภาพรางเลือน หลบอยู่ในซอกลึกมุมลับของสมอง โดยปรกติเราก็ไม่พูดถึงพ่อกันเท่าไหร่ ตอนนี้สิ่งที่รักที่สุดคือคุณแม่ยังสาวและสวย เจ้าของร้านขายอาหารรสเด็ด

แม่เปิดร้านขายอาหารปรุงประณีต มีทั้งเมนูคิดค้นขึ้นมาเองและเมนูยอดนิยม ในร้านมีลูกจ้างสามสี่คนกับพ่อครัวอีกหนึ่งซึ่งช่วยแม่กับพี่สาว อาจด้วยรสมือดี ร้านเราจึงมีลูกค้าไม่ขาด มีรายได้พอจ่ายลูกจ้างและเก็บเข้าธนาคารไว้สำหรับอนาคต

ผมคุ้นเคยกับพี่ ๆ ที่ร้านพอสมควร บวกกับแม่เคยสอนสั่งเรื่องเกี่ยวกับร้านบ้างพอประมาณ จึงสามารถทำนั่นนี่ได้ไม่บกพร่อง บ้างก็หยิบจับถ้วยโถโอชามไปล้างหลังร้าน บ้างก็แอบแย่งงานพี่แคชเชียร์ บ้างก็กลายเป็นเด็กส่งข้าว ควบขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปรับรังสีดวงอาทิตย์ให้ผิวเป็นน้ำผึ้งไหม้อย่างบียอนเซ่ บ้างก็เป็นเด็กก้นครัว ช่วยหั่นผัก ชำแหละปลาไปตามเรื่องตามราว เหนื่อยก็นั่งพักจิบน้ำเย็น ๆ เป็นคุณชาย

สรุปโดยย่อ เราอยู่อย่างสมถะ รายได้ก็เพียงพอกับการอยู่การกินในพื้นที่ ค่าครองชีพไม่สูงเมื่อเทียบเท่ากับในเมืองหลวง และเพียงพอให้แม่ส่งเข้าบัญชีผมเดือนละพอประมาณไม่ฟุ่มเฟือย

อย่างที่บอกไว้แล้วว่าวันนี้ผมลากิจจากแม่ได้ครึ่งวัน หลังเที่ยงจึงกลับบ้านมานอนผึ่งพัดลม เพราะแม่บอกว่าไม่อยากให้เปิดแอร์ประหยัดไฟ นอนไปได้ไม่นานก็มีเพื่อนจากกรุงเทพฯ โทร.มานี่แหละ เพื่อนคนนี้มีนามเพราะพริ้งว่าแทนไท เป็นลูกเจ้าสัวเจ้าของโรงแรมห้าดาวในเมืองฟ้าอมร

คุยกันได้สักพักก็บอกให้มันวางสาย เนื่องจากผมได้ยินเสียงรถยนต์ดังครึกโครมอยู่หน้าบ้าน บอกเป็นสัญญาณว่าใครหลายคนกำลังโห่ฮาอยู่ข้างนอกนั่น

พอกระโดดผลุงลุกขึ้นไปเยี่ยมหน้ามองจากหน้าต่าง ก็เห็นว่าเป็นฝูงลิงกังในเวอร์ชั่นเพื่อนสมัยเรียนมัธยม ผมในชุดเตรียมพร้อมเสื้อลายดอกกางเกงขาสั้นก็วิ่งเริดออกไปหลังจากล็อกบ้านเรียบร้อย

เสียงเฮฮาร้องรับ พวกมันแต่ละคนเปียกลู่หูเหี่ยวเป็นที่เรียบร้อย แถมยังถูกสาดแป้งจนขาววอกไปทั้งหน้าทั้งตัว กระทั่งคนนั่งอยู่หลังพวงมาลัยยังมีรอยแป้งเป็นรูปฝ่ามือสีขาววาดตั้งแต่ไหปลาร้าขึ้นมาถึงขมับซ้ายขวา

ในหมู่เพื่อนหลายหลากซึ่งจะไม่ขอเอ่ยนาม มีใครคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนร่วมเดินทางจากเมืองฟ้าอมร และทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถกระบะคันเก่าบรรทุกถังน้ำขนาดใหญ่ให้ชายวัยฉกรรจ์หลายนายปีนป่ายอยู่ด้านหลังคอยสาดน้ำเล่นสงกรานต์ เขาที่พูดถึงคือดัมพ์ ดัมพ์สมัยอยู่นี่เคยชื่อดำ แต่พอไปเรียนในกรุงกลับเปลี่ยนชื่อเป็นดัมพ์ แต่ผมจะเรียกดำบ้าง หรือดัมพ์บ้างก็แล้วแต่อารมณ์จะอำนวย เขานับเป็นสหายยาวนานที่สุด และน่าจะรู้ใจกันมากที่สุด เรียกว่าเรารู้กันหมดจดถึงไส้ถึงพุง

ไอ้ดำเป็นลูกครึ่งไทยอีสานกับแอฟริกัน-อเมริกัน แม่เล่าให้ฟังว่า แม่ของดำเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋านั่งรถลงไปหางานทำที่พัทยา ทั้งที่ฐานะทางบ้านก็นับว่ามีอันจะกิน ตายายโทร.ไปบอกให้กลับมาบ้าน แม่ของดำก็ยังยืนกรานจะเดินทางตามใจตนเอง แต่พอผ่านไปได้ราวปีครึ่ง หล่อนก็กลับบ้านมาพร้อมกับท้องซึ่งโตอย่างน่ากลัวว่ามันจะแตกออกเหมือนกับแตงโมถูกทุบ

หล่อนจะท้องกับใคร ช่วงนั้นไม่มีใครรู้ และหล่อนก็มิได้บอกเล่าเก้าสิบกับใครแม้แต่แม่ของหล่อนเอง ทว่าความลับก็คงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อหล่อนคลอดบุตรชายออกมา ซึ่งทำให้ทั้งชุมชนอยู่ไม่สุข ต้องเปิดปากนินทากันเป็นคุ้งเป็นแคว

“ดำเมี่ยงอย่างกับกา ดำเหมือนกับพระสังข์ตอนไม่ถอดรูปเงาะ!”

ใครบางคนว่าอย่างนั้น ดังนั้นด้วยรูปลักษณ์ซึ่งมากับเขาแต่กำเนิด ดำจึงได้ชื่อว่าดำ ใครพบเจอเขาเป็นครั้งแรกก็จะเห็นพ้องว่าช่างตั้งชื่อได้เหมาะกับหน้าตาผิวพรรณเสียเหลือเกิน

แม่ของดำบอกเล่าในภายหลังว่า พ่อของดำเป็นนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันผิวสี รู้จักกันเพราะเขาเป็นลูกค้า ติดพันกันอยู่ช่วงหนึ่งหล่อนก็ตกหลุมรักเขา แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็หายเข้ากลีบเมฆ หล่อนตามหาเขาอยู่พักหนึ่งตามที่ที่หล่อนเจอเขา ด้วยหวังว่าจะได้พบพานกันอีก แต่ก็เหมือนโชคชะตาให้หล่อนได้มาเจอเขาเพียงเท่านั้น ผลของการพบเขาคือท้องที่เริ่มโต และความคะนึงหาบิดามารดาที่อยู่ทางบ้านอย่างหนัก

ความจริงดำไม่ได้น่าเกลียดเลย แม้ใบหน้าจะมีเค้าของชาวต่างชาติ และผิวซึ่งดำอย่างบ่งบอกเชื้อชาติ เขาก็นับว่าเป็นคนหล่อคนหนึ่ง ชะรอยว่าพ่อชาวผิวสีของดำนั้นจะหน้าตาหล่อเหลาทีเดียว จึงได้ถ่ายทอดใบหน้าอันดูดีมาให้ดำด้วย และสิ่งที่ดำได้รับมาจากบิดาซึ่งไม่เคยได้เห็นหน้ากันมาก่อนเลยนั้น มิใช่เพียงแต่รูปร่างและหน้าตาเท่านั้น แต่เขายังเป็น ‘ลูกพ่อ’ เต็มตัวอีกด้วย เรียกว่าเกินไม้เกินมือจะถูกกว่า

ผมซึ่งเป็นเพื่อนกับดำนั้น แม้จะแอบเห็นเพียงวับ ๆ แวม ๆ ว่าเขาเต็มแน่นด้วยคุณภาพตอนอาบน้ำด้วยกัน แต่ก็ไม่ชัดเจนเท่ากับเมื่อตอนเราเรียนอยู่มัธยมปลาย เมื่อดำเป็นคนชักชวนให้ผมได้รู้สายทางของตัวเอง

ตอนนั้นผมได้รู้ ‘ความชอบ’ ของตัวเองก็ด้วยความอยากลองเป็นเหตุ และเพราะความอยากลองเป็นเหตุนี้เอง ทำให้ผมได้เห็นว่า ความเป็น ‘ลูกพ่อ’ ของดำนั้นมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน ผมขอการันตีได้เลยว่า คำโจษขานเรื่องความใหญ่ยิ่งของคนผิวสีนั้นไม่เกินจริงไปเสียเลย

เราทดลองก้าวผ่านเส้นกำหนดของสังคมซึ่งได้ระบุว่าชายควรคู่กับหญิง ดัมพ์ทำให้ผมเห็นว่าจูบไม่ประสาของเรานั้นมันลบภาพสาว ๆ ออกไปจากหัวผมหมดทีเดียว แม้ว่าเราจะยังไม่ได้ก้าวไปจนสุด เพราะเรายังเป็นเพียงวัยรุ่นเริ่มเรียนรัก และผมเองก็ยังกลัวว่าหลังจากนั้นอะไรจะตามมา เราจึงยั้งไว้เพียงการจูบและสัมผัสภายนอกเท่านั้น

กระทั่งเมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีสองนี้เอง ที่เราได้ไปจนสุดทางจริง ๆ และผมก็ได้รู้ว่าดัมพ์นั้นเป็น ‘ลูกพ่อ’ ของเขาแท้ ๆ เพราะมันทำให้ผมต้องนอนซมด้วยพิษไข้อยู่ตั้งสองวันสองคืนกว่าจะลุกไปเรียนได้ และแม้จะลุกเดินเหินได้ก็ไม่ปรกติเสียทีเดียว เพื่อน ๆ ต่างถามไถ่ด้วยความห่วงใยว่าผมป่วยไข้เป็นอะไรหรือ และบางคนซึ่งแม้จะห่วง แต่ความห่วงมันอยู่ลึกถึงก้นบึ้งก็มักจะเย้าเสียมากกว่าว่าอะไรหักคาติดอยู่ที่ก้นหรือไง จึงได้เดินเหมือนท่าเป็ดอย่างนั้น

เป็นโชคดีเหลือเกินที่ไม่มีใครระแคะระคายถึงความจริง และผมกับดำก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรให้คนอื่นสงสัย จะมีก็แต่เพื่อนที่พักอยู่คอนโดเดียวกันที่เหมือนจะรู้แต่ก็ไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ 

ดัมพ์ออกจากรถมาตบหัวผมแล้วเดินเลยไปลากเอาสายยางมาเปิดน้ำใส่ถังหลังรถ เขากอดคอผมแล้วยืนคุยเรื่อยเปื่อย ดวงตาของดัมพ์ส่องประกายแวววาวออกมา ผิวสีแทนเรียบเนียนของเขาหมดจด ขนตางอนหนา แอ่นโค้งเป็นรูปสวย จมูกโด่งนั้นทำให้ใบหน้าของเขาน่ามองเป็นอย่างยิ่ง เมื่อไม่กี่ปีมานี้ผมยังเห็นว่าเขาเป็นตัวตลกเพราะผิวสีคล้ำอยู่เลย แต่มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าดัมพ์เป็นที่ชื่นชมของสาวและไม่สาวหลายคนเช่นกัน ผมเองแม้จะเฉยเพราะเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่า มันหน้าตาดี

“อีกสองอาทิตย์กลับกรุงเทพฯนะ” ดัมพ์บอกขณะยักคิ้วให้เพื่อนบนรถ

“อ้าว” ผมร้องอุทาน “ไหนว่าจะอยู่จนเปิดเทอม กูยังไม่หายคิดถึงแม่เลย”

“พี่แววโทร.มาบอกว่ามีงานเดินแบบเข้ามาตอนนั้นพอดี งานนี้เบี้ยวไม่ได้ เห็นบอกเงินดีมาก รายได้เรื่องเรียนกูทั้งนั้น” อาจเพราะสถานการณ์ในครอบครัวของดัมพ์เป็นเช่นนั้น เขาจึงเข้าใจโลกมากกว่าผม แม้ครอบครัวมีเงินทองให้ใช้จ่าย แต่ดัมพ์ก็ยังอยากจะหารายได้เอง

ได้ฟังคำเพื่อนแล้วอยากจะออกงิ้ว แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะมันหุ่นยักษ์ปักหลั่น จึงได้แต่เข่นเขี้ยวมองมันอย่างกินเลือดกินเนื้อ ดัมพ์หัวเราะเสียงดัง พลางลูบหัวผมเล่นเป็นสนุก แต่ผมไม่สนุกด้วยเพราะแรงที่ลูบเล่นไม่เห็นจะด้อยกว่าการกระแทกด้วยฝ่าเท้าตรงไหน

ออกปากชิชะใส่หน้าเกลอ แล้วจึงผละออกไปกระโดดขึ้นท้ายรถ โดนพวกมันจับสายยางฉีดใส่จนเสื้อตัวสวยเปียกแนบเนื้อ กลัวเพื่อนเห็นหุ่นจึงสะบัดเสื้อให้น้ำกระเด็นออก พวกมันโห่ฮาไปตามเรื่อง ไม่นานพวกเราก็เติมน้ำใส่ถังจนเต็ม แล้วก็ได้เวลาออกไปสนุกสงกรานต์กันเสียที


ผมกลับบ้านเอาเมื่อเย็นแก่ แม่ยังไม่กลับเพราะปรกติก็ถึงบ้านเกือบห้าทุ่มอยู่แล้ว ผมเดินโซเซเพราะเหนื่อยอ่อน เจอทั้งน้ำทั้งแป้ง ไม่ต้องพูดถึงอากาศร้อนจัดราวจะเผาโลก อีกทั้งอาการรื่นเริงเหมือนโด้ปยา พอความสนุกสนานสิ้นลง ความเหนื่อยก็เข้ามาแทนที่ ผมลากสังขารตัวเองเข้ามาในบ้านได้ ก็รีบสลัดผ้าเข้าห้องน้ำทันที อุณหภูมิน้ำอุ่นพอประมาณ รู้สึกกล้ามเนื้อเมื่อยล้าจะคลายลงเล็กน้อย เมื่อเรียบร้อยจึงคว้าเอาผ้ามาเช็ดตัวลวก ๆ พอไม่ให้น้ำหยดใส่พื้นบ้าน นุ่งผ้าไว้หลวมๆ หวังใจว่าจะเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหับประตูนอนพัก แต่แล้วก็ชนโครมเข้ากับร่างใครบางคน เงยหน้ามองจึงเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคย

ไอ้ดัมพ์หรือดำยืนมั่นคงอยู่ตรงหน้า หน้ามันแดงเพราะร้อนแดด เสื้อใส่เล่นสงกรานต์ถูกขยำไว้เป็นขดในมือ เปลือยท่อนบนมองผมตาเขม็ง

“ไหนว่าจะกลับบ้าน”

ดัมพ์ส่ายหัว “ไม่ไหว ขับรถมาทั้งวัน ขอนอนนี่ได้ไหม”

“เอาสิ” ผมเบี่ยงตัวหลบให้มันเดินเข้าห้องน้ำ “วางเสื้อไว้ในถังนะ เดี๋ยวซักให้”

“ขอผ้าเช็ดตัวหน่อย”

“อาบไปก่อน ค่อยเอาลงมาให้”

“แม่ล่ะ”

“ยังไม่กลับจากร้าน หลังห้าทุ่มนู่นแหละ” คิดอีกสองวินาทีแล้วจึงเอ่ยถาม “หิวว่ะ กินอะไรไหม เดี๋ยวทำให้”

“อะไรก็ได้”

กินง่ายอย่างนี้สิค่อยน่าเลี้ยงหน่อย ผมรีบเดินขึ้นห้องนอนด้วยความสดชื่นเล็กน้อย หลังใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย จึงคว้าเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่พร้อมเสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงบ็อกเซอร์ตัวจิ๋วลงมาให้สหายเปลี่ยน วางไว้บนเก้าอี้หน้าห้องน้ำแล้วจึงเลี่ยงไปห้องครัว เตรียมอาหารง่าย ๆ มีไข่เจียวพร้อมกับผัดผักรวมมิตรรสหวานเปรี้ยว ตั้งข้าวให้หุงแล้วจึงไปนั่งเปิดโทรทัศน์ดูข่าว

อากาศตอนเย็นค่อยเย็นสมชื่อ ผมเปิดหน้าต่างรับลม พร้อมเปิดพัดลมให้อากาศล่วง

ไม่นานนักดัมพ์ก็เดินผ่านเอาผ้าเช็ดตัวไปตากหลังบ้าน เสื้อพอดีตัวแต่บ็อกเซอร์คับเล็กน้อยพอให้เห็นเป้าปูดโป่งได้ชัดเจน ข่าวจบและกำลังเริ่มละคร ดัมพ์เดินมานั่งบนโซฟาด้วยกัน กลิ่นครีมอาบน้ำหอมกรุ่นโชยจากกาย เขานอนหลับตาขณะผมดูละคร ไม่นานเสียงหม้อหุงข้าวก็ดังติ๊ง จึงสะกิดให้เพื่อนลุกเดินตามกันมาห้องครัว

ผมเพิ่มอาหารมื้อง่าย ๆ ด้วยผักต้มพร้อมน้ำพริกสำเร็จรูป กินไปก็เผ็ดไปแต่อร่อยสมใจนัก ดัมพ์มองผมแล้วยิ้มขำ จึงได้รับส้อมชี้หน้า “ขำอะไร”

“ชอบกินเผ็ดจังนะ กินแล้วก็เผ็ด”

“อ้าว ของเผ็ด กินแล้วมันก็ต้องเผ็ดสิ”

“เผ็ดแล้วก็ทำเสียงซะ”

“เสียงอะไรวะ”

“เสียงเหมือนกิจกรรมเข้าจังหวะไง”

“ทะลึ่ง!”

“แสดงว่าคิดเหมือนกัน” เมื่อเห็นผมหน้าแดง ไอ้ดำก็หัวเราะเสียงดังจนผมต้องปราม

“มารยาทนะมารยาท เขาห้ามหัวเราะเสียงดังตอนกินข้าว”

“ทำไม”

“หัวเราะเสียงดังทำให้ต้องอ้าปากกว้าง เขากลัวข้าวหล่นลงหลอดลม เดี๋ยวก็สำลักตาย”

“มีเหตุผล ต่อไปจะไม่ขำเสียงดังแล้ว”

คนผิวคล้ำยักคิ้วแล้วตักเอาแตงกวาเข้าปาก พร้อมกับข้าวอีกคำโต เมื่อข้าวหมดก็ยกจานเอ่ยขออีก

“ไปตักเองสิ”

บอกแล้ว ถ้าหวังว่าดัมพ์จะลุกละก็คงไม่สมดังนึก มีแต่สายตาวิงวอนพร้อมกับคำพูดฉอเลาะ “นะ”

เท่านี้ผมก็ยกตูดตัวเองคว้าจานไปตักข้าวให้จนพูน เกลอเห็นข้าวเหมือนเจ้าตูบเห็นอาหาร ยิ้มดีใจจนออกนอกหน้า อย่ากระนั้นเลย ขอสละไข่เจียวที่เหลือให้ก็แล้วกัน

“เอ้า เอาไปหมดเลย”

“ไม่กินกับน้ำพริกเหรอ” เขาหมายถึงไข่เจียวที่ผมตักให้

“ไม่เอา กูอิ่มแล้ว เดี๋ยวกินผักต้มจิ้มน้ำพริกเล่นก็ได้”

“ขอบคุณครับ”

หลังมื้ออาหารเรานั่งดูละครกันจนสามทุ่มกว่า จนรู้สึกว่าหนังตาจะหนักอึ้งเกินห้ามไหว จึงชวนให้ดัมพ์ไปแปรงฟันขึ้นนอน

ห้องนอนผมอยู่ชั้นสอง ผิดกับห้องแม่ที่อยู่ชั้นล่างกับพี่สาว เดิมพ่อกับแม่ก็นอนห้องนอนใหญ่ชั้นบนเหมือนกัน แต่เมื่อพ่อไม่อยู่ แม่ก็อพยพย้ายลงไปเป็นประชากรชั้นล่างทันที

ผมนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้วเมื่อดัมพ์เข้ามาในห้องแล้วปิดประตูตาม เขาถอดเสื้อออกทางหัว กล้ามหน้าอกและหน้าท้องเลื่อนขึ้นลงตามการยกแขน

“ถอดทำไม”

“ร้อน...”

“อ้าว เฮ้ย!” ขยับลุกนั่งทันที “แล้วนั่นอะไร ร้อนขนาดต้องถอดข้างล่างด้วยเรอะ”

“เออ ทำอย่างกับไม่เคยเห็น”

ทั้งเสื้อและกางเกงถูกวางอย่างไม่ไยดีบนเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วเขาเดินไปปิดไฟให้ห้องตกอยู่ในความมืด ผมทันเห็นบางอย่างบนร่างเปลือยล่อนจ้อนของดัมพ์ซึ่งทำให้ในอกปั่นป่วนและท้องน้อยราวกับมีแมลงบินว่อนอยู่เต็มไปหมด

เตียงยวบเพราะน้ำหนักเพิ่มขึ้น พร้อมกับไอร้อนจากร่างอีกคนขยับโอบผมไว้ ผมขยับตัวอย่างอึดอัด แล้วจึงพบว่าดัมพ์อยู่บนตัวผมเรียบร้อยแล้ว มือราวคีมเหล็กจับเอามือสองข้างของผมรวบไว้เหนือศีรษะ พร้อมกับมืออีกข้างปลดกระดุมเสื้อนอนของผมออกอย่างเชื่องช้า ใจเย็น ชำนิชำนาญ

ผมหายใจขาดห้วงเมื่อใบหน้าของดัมพ์ขยับลงใกล้ พร้อมกับลมหายใจเป่ารดใบหน้า เมื่อรู้ชะตากรรมตัวเองแล้ว จึงได้แต่เงยหน้าขึ้นรับจุมพิตร้อนแรงจากสหายสนิท ดัมพ์จูบราวกับสัตว์ป่า เขากัดปากผมจนได้เลือด มือที่ว่างจากการจับกุมก็ถอดกางเกงผมออก แล้วจึงเลื่อนกายเข้าแทนที่ว่างหว่างกลาง ผมสัมผัสถึงอวัยวะบางอย่างตื่นตัวเต็มที่จ่อติดชิดใกล้

“ปล่อยมือเถอะ” ผมเสียงหวิว

เขาทำตาม แล้วผมจึงเอื้อมมือลงไปจับดัมพ์ไว้ทั้งแก่นกาย “อย่าเพิ่งนะ กลัวเจ็บ”

“อืม ไม่ได้ทำนานแล้ว เดี๋ยวเอาโลชั่นก่อน”

เขาลุกไปเพียงครู่ กลับมาก็ลูบเอาของเหลวมาไล้ตรงด้านล่าง ก่อนจะค่อยสอดนิ้วเข้ามาอย่างชำนาญ ผมร้องออกมาหนึ่งคำเบา ๆ แต่ด้วยความคุ้นเคยจึงไม่เจ็บ ความรู้สึกอื่นพุ่งสะท้านทรวงอก ดัมพ์เตรียมอยู่นาน จึงได้เอาอะไรนั่นจ่อตรงแล้วค่อย ๆ ดันเข้ามาด้านในอย่างใจเย็น

ก็เพราะเคยคุ้น และไม่ใช่ครั้งแรกที่เราทำเช่นนี้ ทำให้ผมเพียงแต่ร้องออกมาเสียงดังเพราะจุก ไม่ใช่เจ็บ ขนาดของเขาใหญ่โตตามเลือดพ่อ ผมรู้สึกคับแน่นไปหมด จนต้องบอกให้เขาผ่อนปรน แล้วรอคอยให้ห้วงจังหวะหายใจเข้าที่ก่อน จึงบอกให้เขาขยับกายได้

เขาทำราวกับไม่เหน็ดเหนื่อยจากการเล่นสงกรานต์ แยกขาผมออกกว้างราวกับจะเข้ามาภายในกายให้มากที่สุด ดัมพ์ส่งเสียงครางอย่างสุขสมขณะเสือกกายเข้ามา ผมเองก็ร้องไม่ต่างกัน

มองหน้าเพื่อนสนิทในความสลัว เห็นเพียงรอยยิ้มจากเค้าหน้าหล่อเหลาและรสจุมพิตเผ็ดร้อน


To be Continued

เรื่องเก่า ปัดฝุ่นนิด ๆ หน่อย ๆ หวังว่าเพื่อน ๆ อ่านแล้วจะชอบนะคะ
ต้อนรับปีใหม่กันด้วยเรื่องราวของหนุ่ม ๆ สวัสดีปีใหม่นะคะ  ^_____^
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 1 - Friends with Benefits [02-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 02-01-2018 18:05:30
สวัสดีปีใหม่ค่ะ

แค่เห็นชื่อตอนก็อ๋อยยยยย  :m25:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 1 - Friends with Benefits [02-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: pockypocky ที่ 02-01-2018 19:39:18
ทำไมรู้สึกได้ถึงเค้าลางดราม่าล่ะคะ ฮืออออ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 1 - Friends with Benefits [02-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 02-01-2018 19:48:36
จิ้มๆๆๆๆ
ตามติด
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 1 - Friends with Benefits [02-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 04-01-2018 09:36:55
 :-[ :-[ :-[
แซ่บลืมค่าคุณแป้งจี่
แนวรักเพื่อนแบบนี้ไม่มีพลาดแน่นอน
แต่กลัวใจจะดราม่าเหลือเกิน
ใครคิดเกินก่อนนี่ท่าจะเจ็บเอาเรื่อง  :ling3:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 1 - Friends with Benefits [02-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 04-01-2018 14:41:14
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 1 - Friends with Benefits [02-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 04-01-2018 18:02:07
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 1 - Friends with Benefits [02-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-01-2018 20:28:02
ตอนแรกก็เรียกเลือดแล้ววว
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 2 - A Smirk behind the Smoke [05-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 05-01-2018 20:03:32


ผู้ชายไม้ประดิษฐ์



Chapter 2
A Smirk behind the Smoke


ป่าภาคอีสานเป็นป่าโปร่งแล้ง ไม้ยืนต้นส่วนใหญ่มักยืนแห้งใบราวกับเป็นคนแก่ ไร้ความสดชื่น ไร้สีเขียว อากาศร้อนอบอ้าว เห็นพยับแดดเต้นเป็นยะยิบอยู่ไกล ๆ ยามฤดูแล้งคราวใด ใบก็จะปลิดขั้วจากต้นหล่นลงพื้น กลายเป็นปุ๋ยแก่พื้นดิน ช่วงเวลาเหล่านี้เมื่อยามเยาว์เรามักจะหลบแม่ไปนอกเมืองเพื่อยิงกิ้งก่า

กิ้งก่าภาษาถิ่นคือกะปอม มีหลายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นประเภทสีเขียวฟ้าม่วงสีสวยยามต้องแดด หรือเป็นประเภทชนชั้นกลางอย่างสีน้ำตาลก็ดี แต่เด็กบ้านนอกคอกนามักมีความสุขกับการออกป่าล่ากะปอม ไม่ว่าจะเอามาเลี้ยงในกรง หรือเอามาลงหม้อ มันเหมือนเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่เขากินกันจริง ๆ ใครใคร่กิน...กิน ใครไม่ใคร่กิน...ไม่กิน มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง ผมก็เคยลองชิม แต่ไม่เห็นว่าเป็นจานภัตตาคารอะไร

เรามักซ้อนมอเตอร์ไซค์ออกไปนอกตัวเมือง จอดรถแถวชายป่าสักแห่ง แล้วก็วิ่งกันไปตามราวป่ามองหากะปอม นั่นเป็นช่วงเวลาแห่งเยาว์วัยอันแสนสนุกเคล้าทุกข์กับความเดียงสา ผมมักกลับถึงบ้านยามสายัณห์ด้วยตัวคลุกฝุ่น ใบหน้ามอมแมม เสื้อผ้าไม่ต่างกับผ้าขี้ริ้ว แม่จะยืนรอหน้าบ้าน พร้อมไม้เรียวในมือ ใบหน้าอย่างกับยักษ์วัดแจ้ง

ค่ำคืนหลังจากนั้นผมจะนอนกับฟูกและหันบั้นท้ายบวมจากฤทธิ์ไม้เรียวให้พัดลมเป่า

รอยยิ้มเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ เด็กชายตัวสูง ผอม ถอดเสื้อตัวดำสู้แดด คือภาพติดตาของดัมพ์ซึ่งผมมักเห็นผุดโผล่ขึ้นมายามหลับตาหรือยามใดใฝ่ฝันหา

แอร์เย็นจนขนลุก ทำให้ต้องกระชับผ้าห่มกับตัวให้แน่นขึ้น พลางจับชายผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ใครอีกคนนอนหลับสบายอยู่ที่นั่งติดกัน ร่างใหญ่ใช้ศีรษะวางบนไหล่ผม เสียงลมหายใจไม่ใช่เสียงกรนดังอยู่ใกล้หู ลมหายใจอุ่น ๆ ลูบไล้อยู่กับลำคอ ไม่ได้สยิวหรือแสยง แต่กลับรู้สึกถึงหัวใจเต้นตุบ ๆ มองเงาสะท้อนจากกระจกหน้าต่างเห็นใบหน้าชายหนุ่มกำลังแย้มยิ้มมีความสุข

หากจะเอ่ยถึงความสัมพันธ์ของผมกับดัมพ์ จริง ๆ แล้วเรามิใช่คนรัก แต่เป็นคนชิดใกล้ ใกล้ในความหมายของร่างกาย และใกล้ในความหมายของหัวใจ

อย่างที่เล่ามา นับแต่เดินได้ ผมกับดัมพ์ไม่เคยห่างกัน

คนหลับขยับตัว ศีรษะตัดผมติดหนังหัวแนบชิดเข้ามาอีก ผมไม่ขัดขืน แต่ปล่อยให้เขานอนในท่าที่ชอบ แล้วมองจ้องใบหน้าคมเข้มกับขนตางอนยาวในม่านความมืด เบื้องนอกคือฉากราตรีแล่นผ่าน

เราถึงห้องที่กรุงเทพฯเมื่อเกือบแปดโมงเช้า ปังปอนด์กำลังขยี้ตางัวเงียเมื่อเราเปิดประตูเข้าไป ชายหนุ่มอยู่ในชุดขาสั้นบ็อกเซอร์พร้อมกับเสื้อกล้ามสีขาวยับย่น ผิวขาวของปังปอนด์มีรอยแดงเกิดจากการละเมอเกายามหลับ

“ตื่นได้แล้วไอ้ปัง” ดัมพ์ว่า พลางทิ้งตัวลงนอนที่โซฟา “เมื่อยฉิบหาย”

“อย่ามาพูดดี กูนี่ควรเมื่อย อุตส่าห์เป็นหมอนให้คุณหนุนทั้งคืนนะครับ” ผมกระแทกคนตัวใหญ่ด้วยกระเป๋าเสื้อผ้า เขาร้องแอ้กแต่ก็นอนเฉยไม่ขยับเขยื้อน “ไปอาบน้ำก่อนดีกว่าไหม แล้วค่อยนอนต่อ”

“ขี้เกียจ ขอนอนตรงนี้เลยละกัน”

“อย่ามาขี้เกียจตอนนี้ รีบ ๆ ลุกเลย” ผมดึงแขนเกลอให้ลุกนั่ง

“ไอ้ดัมพ์ ไปอาบน้ำเหอะมึง” ปังปอนด์เห็นพ้อง

“ไม่เอา กูจะนอน”

“ลุกเลย อะไรวะ เพิ่งกลับมาก็มาแย่งที่นอนกู” ปังปอนด์ถือแก้วนมทำท่าจะสาดใส่คนตัวดำนอนบนโซฟา “เดี๋ยวปั๊ดสาดด้วยนม”

“อะไรวะ พวกนี้” ดัมพ์ทำสีหน้าเหม็นเบื่อ ก่อนจะลุกแล้วเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าห้องนอนตัวเองไป

ปังปอนด์ดื่มนมรวดเดียวหมดแก้ว เรอหนึ่งคำ เอาแก้วไปรองน้ำเก็บไว้ล้างที่ซิงก์ ก่อนจะกลับมาทิ้งตัวลงนอนที่โซฟาอีกรอบ สายตาประกายวิบวับราวกับไม่ใช่คนง่วงนอน “เต็มที่ละสิ”

“อะไรเต็มที่”

“อย่ามาทำไขสือ กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง” พ่อหนุ่มเอ่ยอ้างคำภาษิต “ใครเขารู้กันทั้งเมืองว่า...”

“เพ้อเจ้อ” ด้วยหมั่นไส้ในสีหน้าของเจ้าตัวผอม ในวินาทีต่อมา เขาจึงถูกกระแทกสีข้างด้วยก้นของผมเอง

“ไอ้...” เพราะหน้าเขียวและเดี๋ยวเดียวก็หน้าเหลือง ทำให้ปังปอนด์ได้แต่เหลือบมองผมอย่างอาฆาตแต่ก็ไม่อาจห้ามให้ผมนอนทับตนเองได้ “เดี๋ยวเถอะ...”

ผมขำ และนอนเบียดเกลอให้ขยับแบ่งพื้นที่เพียงพอต่อสองคน ปังปอนด์บ่นอุบ “ไอ้ดำก็แล้ว ไอ้นี่ก็อีกคน”

“ถ้าพูดสองแง่สองง่ามเรื่องกูกับดัมพ์อีก” ผมชี้นิ้วขู่มัน “กูกระโดดกัดคอขาด”

“เป็นแวมไพร์เหรอ” ทำเสียงกวนส้นก่อนจะปล่อยก๊าก แล้วรีบกระถดตัวหนีก่อนผมจะกระทำการกระชากคอมันได้ แต่คงเพราะผมตามติดประชิดหนัก ปังปอนด์หนุ่มจึงกระโดดแผล็วลงจากโซฟา แล้วแล่นถลาไปห้องน้อยที่หลับนอน ก่อนเสียงประตูจะปิดดังปัง

โดยไม่ลืมทิ้งเสียงยั่วล้อไว้ข้างหลัง “จับได้ให้ตีก้น”

“อย่าเปิดประตูออกมานะมึง จะเตะก้นให้”

ผมได้แต่ส่ายหัวแล้วเดินเข้าห้องตัวเอง

ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องอื่นก็คงต้องอรรถาธิบายให้เป็นที่กระจ่างว่า ห้องซึ่งเราเช่ากันอยู่นี้เป็นห้องชุดขนาดสองห้องนอน เรียกว่าเป็นแบบธรรมดาแต่อาจแพงกว่าปรกตินิดหน่อย หากจะให้นักศึกษาธรรมด๊าธรรมดามาเช่าอยู่กัน ก็เห็นจะไม่ใช่ แต่ด้วยปัจจัยหลายประการเอื้ออำนวย ทำให้เราได้มาลงหลักกันที่นี่ นั่นก็เพราะปังปอนด์รู้จักกับเจ้าของคอนโดนี้ จึงเช่าได้ในราคาไม่แพงนัก ส่วนผมก็ได้รับอนุญาตจากแม่ให้โกอะเฮด ประจวบเหมาะกับดัมพ์มีงานถ่ายแบบพอดี มีรายได้พอจะเหลือจากส่งให้ที่บ้านบ้างแล้ว จึงเป็นอันตกลงกันว่า เกลอเก่าคือเราสองคน กับเกลอใหม่คือปังปอนด์ตกลงใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย

‘ใช้ชีวิตร่วมกัน’ อาจฟังดูโรแมนติกหรืออีโรติกก็แล้วแต่ ทว่ามันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ เพราะเรากินที่ห้องนี้ นอนที่ห้องนี้ ทำการบ้านงานโพรเจ็กต์ก็ที่ห้องนี้ เรียกว่าวันหยุดคราใดก็ซุกหัวกันอยู่ในนี้อย่างไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน จนไม่นานพวกเราก็เรียกมันว่าบ้านหลังที่สองได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

ห้องชุดนี้มีสองห้องนอนก็จริง แต่เพราะความไม่ลงตัวของจำนวนผู้อาศัย ทำให้เราต้องเลือกข้าง ข้างหนึ่งคือห้องใหญ่ และอีกข้างคือห้องเล็ก ไอ้ดัมพ์กระแทกเท้าซ้ายจะเอาห้องใหญ่ ส่วนหนุ่มหน้าใสอย่างปังปอนด์ก็ยันเท้าขวาจะเอาห้องเดียวกัน ทำให้เหลือห้องเล็กตกเป็นเด็กกำพร้าไม่มีใครต้องการ แล้วนั่นจึงเป็นโอกาสให้ผมตะครุบเอาไว้ ในเมื่อพวกคุณเห็นห้องน้อยห้องนี้ไม่มีค่า อย่ากระนั้นเลย กระผมจะยึดไว้เป็นรังรักของทูนหัวยาใจในอนาคตเสียเอง แต่อย่าได้นิ่งนอนใจว่าเรื่องมันจะง่ายถึงขนาดนั้น เพราะสองหนุ่มต่างก็อยากจะได้ห้องใหญ่ และต่างก็เห็นว่าห้องใหญ่นี้มัน ‘ใหญ่’ เกินกว่าชายโดดเดี่ยวจะนอนได้ จำเป็นจะต้องมีอีกหนึ่งชายมาร่วมเรียง และความจริงก็คือ ชายอีกหนึ่งที่ว่าต้องมิใช่ชายปอนด์กับชายดัมพ์ ซึ่งคุณก็คงเห็นแล้วว่า ชายโชคร้ายนั่นย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผม

พูดให้ง่ายเข้าไปอีกก็คือว่า ดัมพ์อยากได้ห้องใหญ่ และอยากให้ผมอยู่กับมันด้วย

ในขณะเดียวกัน ปังปอนด์ก็อยากได้ห้องใหญ่ และอยากให้ผมอยู่กับมันด้วย!

เห็นไหมครับ นี่แหละคือปัญหา

แต่ท้ายที่สุด เมื่อเกมเป่ายิ้งฉุบไม่อาจคลี่คลายความบาดหมางได้ ก็จำเป็นต้องพึ่ง ‘การจับไม้สั้นไม้ยาว!’

สรุปเอาแต่เม็ดในเลยก็คือ ผมได้นอนห้องเดียวกับดัมพ์ และผมไม่แสร้งพูดหรอกว่าผมไม่ดีใจ เพราะจะอย่างไร ดัมพ์ก็อยู่กับผมมานาน เราเห็นไส้เห็นพุงกันหมดจด ดังนั้นมันจะง่ายสำหรับเรามากกว่าไปอยู่กับเพื่อนใหม่อย่างปังปอนด์แน่นอน

และนี่อาจเป็นสาเหตุว่าทำไมแม้ขณะนี้เอง ปังปอนด์ยังมีท่าทีแข็ง ๆ ต่อดัมพ์อยู่ดี แต่กับผมแล้ว ปังปอนด์เป็นเพื่อนที่ดีมาก เขาเกื้อกูล แบ่งปัน และเอาใจใส่

ภูมิหลังของปังปอนด์นั้น เป็นละอ่อนจากทางเหนือ ฟังว่าเป็นบุตรชายเจ้าของสวนลำไยสวนใหญ่หลายสิบไร่ เคยแอบยลอาณาจักรละอ่อนผ่านทางคอมพิวเตอร์แล้วให้ตะลึงพรึงเพริด ด้วยว่ามันงดงามราวภาพวาด ฉากต้นลำไยหลายร้อยต้นซึ่งเรียงเป็นทิวแถวเรียบร้อย ยังไม่น่าหยุดหายใจเท่ากับทิวเทือกสีจางอันเป็นฉากหลังซึ่งเห็นอยู่ไกล ๆ ห่มคลุมด้วยผืนหมอกจาง ๆ พลิ้วระเรื่อยราวกับเครื่องห่มนางรำ สวยงามอย่างน่าผวาเยือกจนต้องจินตนาการถึงอากาศหนาวเย็น การจิบกาแฟ และอ้อมกอดของคนรักสักคน

ละอ่อนปังปอนด์สัญญาเป็นแม่นมั่นว่าจะพาแอ่วเหนือ

ละจากนิมิตฝันวันวาน ผมเปิดประตูห้องเข้าไป พบเจอกับซากมนุษย์นอนแผ่หลาเต็มเตียง ด้วยท่านอนพิสดารอันกินเนื้อที่สองเตียงอย่างเรี่ยมเร้ ราวกับมีผู้บังคับสายเชือกอยู่เหนือศีรษะให้เท้าผมกระตุกอยากกระโดดเตะคนนอนหลับตาพริ้ม แต่ด้วยความเมื่อยล้าจากการเดินทาง และมันยังเป็นวันปิดภาคเรียน และเพราะเกรงว่าคนกำลังนอนคงต้องการกำลังวังชาเพื่อออกไปเดินแบบตามนัดในเวลาไม่นานของวันนี้ ผมจึงกระทำการอุกอาจพิฆาตกางเกงยีนของเกลอให้หลุดสิ้นทั้งอินทรีย์ อีกเสื้อยืดที่สวมอยู่บนตัว จนปล่อยเหลือไว้เพียงตัวเปล่าเล่าเปลือยยกเว้นบ็อกเซอร์ตัวจิ๋วซึ่งไม่ช่วยปิดบังความโป่งพองตรงจุดกลางหว่างขาของเขาได้เลย

หลังเก็บเสื้อผ้าดัมพ์ใส่ตะกร้า จึงหอบเอาผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ จัดการชำระความอ่อนเปลี้ยจากการอุทิศตนเป็นหมอนให้คนหนุนมาทั้งคืน พอเข้าห้องนอนมาสวมเสื้อคอย้วยกับกางเกงบอลตัวเก่าเรียบร้อย ผมก็ล้มตัวลงนอนข้าง ๆ หนุ่มผิวดำ ถึงนิทรารมย์เมื่อหัวถึงหมอนนั้นเอง

ฟื้นตื่นเมื่อบ่ายก็พบว่าที่นอนติดกันว่างเปล่า ลูบดูไม่มีไออุ่นทิ้งไว้ก็สรุปเอาได้ว่าคงลุกไปนานแล้ว เดินออกมารินนมกินที่ตู้เย็น เห็นโน้ตแผ่นเล็กติดไว้บอกเป็นความว่าไปเดินแบบ คงกลับเอาตอนค่ำ

พอโผล่หน้าเข้าไปในห้องเล็ก เพราะประตูห้องไม่ได้หับไว้ ก็พบมนุษย์ร่างเล็กกำลังหลังค่อมกดเม้าส์อย่างเมามัน หน้าจอปรากฏเป็นภาพกราฟิกทหารสู้รบกับเหล่าซอมบี้ผีดิบ

“หิวข้าวจังปัง” ผมปล่อยเสียงเสนาะหู

“ก็ยืนจังงังอยู่นั่นแหละ ไม่รีบอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือทำอะไรสักอย่างกับความเน่านั้น”

เขาบ่นแล้วหันไปเล่นเกมต่อโดยพลัน ผมจึงได้แต่กระทำการตามถูกสั่ง เมื่อแล้วเสร็จก็เห็นว่าละอ่อนยังนั่งหลังค่อมอยู่ที่เดิม พอผมอ้าปากจะเอ่ยบอกให้เปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง ละอ่อนก็สบถเสียงดังว่า “Shit!” ติดหน้าผมเต็ม ๆ

“ไอ้เต๋ามึงตาย!” เขาพ่นบ่นคำหวาน “รู้ทั้งรู้ว่ากูขวัญอ่อน เดินเข้ามาข้างหลังเงียบ ๆ ทำไม กูไม่ใช่ไอ้ดัมพ์นะ”

จะดัมพ์อะไรไม่รู้ละ เพราะในวินาทีนั้น ผมก็แว่วเสียงมือถือตัวเองแผดร้องราวกับเด็กทารกหิวนม จึงวิ่งแจ้นไปโจนตะครุบหยิบขึ้นมาแนบหู

“ไอ้ห่าเต๋า!”

ระรื่นหูคือเสียงโหวกเหวกของอีกเกลอ

“อ้าว ไม่ได้ช่วยแม่บริหารโรงแรมเหรอ”

“เต๋า!” เขาโอดครวญ “กูเป็นเพื่อนรักมึงนะ”

“ก็...เออ” ด้วยไม่รู้ว่าเพื่อนกำลังจะลากไปทะเลซีกไหนจึงได้แต่เออออตาม

“แล้วทำไมคำแรกที่มึงพูดตอนรับสายถึงเป็น...” เขาดัดเสียง “...‘ไม่ได้ช่วยแม่บริหารโรงแรมเหรอ’ กูเป็นเพื่อนรักมึงนะ ช่วยทักด้วยอะไรที่เพราะหูกว่านี้ได้ไหม อย่างเช่น ‘ไทจ๊ะ เต๋าเอาปลาร้ามาฝากตั้งหลายไห ไหใหญ่ ๆ ทั้งนั้นเลย คนรถแทบไม่อยากให้เอาขึ้น บ่นยี้ว่าเหม็นจัง แต่เต๋าก็ขอร้องจนได้ เพราะเห็นว่าไทชอบกินตำลาวใส่ปลาร้าเป็นตัว ๆ เป็นชีวิตจิตใจ’ อะไรเทือกนี้!”

“ที่บ้านไม่ได้ทำปลาร้า” ผมตอบน้ำเสียงระอา

“แล้วทำอะไร”

“ปลากะพงราดพริก”

“เออ ทำให้กูกินบ้างนะคราวหลัง”

“เข้าเรื่องได้รึยัง”

“ก็มึงอะ!” เขาพูด “กลับมาทั้งทีก็ไม่บอกกู ไหนว่าจะกลับตอนเปิดเทอมไง นี่กะว่าจะกลับมาก่อนเพื่อมากกกันในรังรักกับไอ้ดัมพ์ตัวดำนั่นละสิ!”

“อย่าดราม่าคุณแทนไท”

“ฮึ้ย อย่าให้กูหล่อล่ำดำใหญ่อย่างมันบ้างนะ แล้วจะรู้รสแทนไท”

“เอาเนื้อ ๆ”

“เดี๋ยวกูไปรับ”

“เออ”

ละอ่อนเหนือโผล่หน้ามาถามขณะกำลังดึงเสื้อคลุมหัว “ใครวะ”

“ไอ้คุณแทนไท”

“ไอ้เพี้ยนนั่นเหรอ”

“คุณชายไฮเปอร์หรอก”

“กูว่ามันบ้า” ละอ่อนเหนือดึงกางเกงยีนขาด ๆ ขึ้นไปกลัดกระดุมแล้วรูดซิป “แล้วมันโทร.มาทำไม”

“เดี๋ยวมันมารับ”

“ดี จะได้ไม่ต้องขับรถ ยิ่งขี้เกียจอยู่”

ไอ้คุณแทนไทเป็นลูกผู้ลากมากดี เพราะเป็นลูกชายเจ้าของเครือโรงแรมชื่อดัง แต่เขาทำตัวติดดินและมาคบหากับพวกเราเหล่าคนชนบทเพราะชอบพอกัน ทั้งด้านนิสัยใจคอและความประพฤติ เรียกว่าเคมีเข้ากัน

เมื่อแรกรู้จัก ผมมีความคิดในหัวตัวเองว่าคนที่มันขับรถหรูจะมองเราอย่างกับของปล่อยจากก้นไก่หรือไม่ แต่นั่นเป็นเพียงความคิดที่ใครบางคนเอาใส่หัวผมไว้แต่เล็กแต่น้อย มีเหตุการณ์หลายอย่างทำให้ผมต้องมองคุณแทนไทในมุมใหม่ จนเรากลายเป็นเพื่อนกันในที่สุด เป็นเพื่อนเรียน เป็นเพื่อนนั่งอ่านหนังสือด้วยกัน เป็นเพื่อนตบหัวกันได้อย่างไม่โกรธ และเป็นเพื่อนนั่งแซ็วสาวเป่าปากเชิญชวนฝ่าเท้าแฟนหนุ่มของเจ้าหล่อน

เขียนเป็นย่อความก็คือ กลุ่มเราหนุ่มเหน้าทั้งสี่ต่างกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่าเราจะมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ก็ไม่ผิดจากจุดประสงค์เท่าใดนัก

ยืนตรงรีเซปชั่นหน้าลิฟต์ตากแอร์เย็น ๆ รอแทนไท พลางพูดคุยหยอกเอินกันตามประสา ละอ่อนเหนือเล่าสู่กันฟังว่า ผลิตผลลำไยปีที่แล้วทำเงินให้คุณพ่อจนยัดเข้าธนาคารไม่หวาดไม่ไหว ต้องรีบเอาทรัพย์ไปละลายแม่น้ำทิ้งด้วยการแพลนพาบุตรคือปังปอนด์กับแป้งร่ำไปเยือนแดนซูชิในไม่ช้านี้

ไม่นานแทนไทก็มาถึง เขาอยู่ในชุดเสื้อผ้าราคาแพงตามที่มารดาซื้อหามาให้ ปากเขาเคยบ่นปาว ๆ ว่าแม่ซื้ออะไรมาก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายมันก็ใส่อยู่ดี กระนั้นแทนไทก็หลงใหลเสื้อผ้าราคาไม่แพงเช่นกัน ที่ประตูน้ำหรือจตุจักรเขาก็ไปหาซื้อมาหมด แล้วแต่ชิ้นไหนถูกใจและใส่สบายแฮ

“โย่!” คุณแทนไทพูด พร้อมกับดึงผมเข้าไปมอบอ้อมกอดพี่หมีให้ “กลับอุดรแป๊บเดียว ดำเป็นเมี่ยงเลยนะมึง สรุปนอนตากพัดลมจนไข่แห้งเลยหรือ”

“ปาก!” ผมมองสาวหน้าสวยนั่งอยู่ที่รีเซปชั่น “อายเค้า”

“อายทำไม ใคร ๆ ก็มีไข่”

“ใคร ๆ ก็มี แต่ก็ไม่ยานเหมือนของมึง”

“อ๋อ” แทนไทไล่ลูกเสียงในคอ “นี่แอบลักหลับกู?”

“ไอ้!”

“คุณเพี้ยน เลิกเพ้อเจ้อแล้วก็รีบไปเหอะ กูหิว” ปังปอนด์ว่า

อยากให้มาเห็นสายตาอาฆาตตวัดวับไปที่ละอ่อนเหนือจริง ๆ ราวกับคุณแทนไทจะกระโดดขย้ำคอ “ไอ้จืด”

“รถมึงอยู่ไหน เอากุญแจมา กูขับเอง”

“ชะช้า” แทนไทชี้หน้า “ช่างกล้า...”

“กูหิว”

ด้วยเสียงที่แข็งเป็นก้อนหินของปังปอนด์ กับสายตาบอกว่ากูจะกัดหอคอยมึงถ้าไม่รีบบึ่ง ณ บัดนี้ ทำให้แทนไทอ้าปากค้างแล้วงับขากรรไกรปิด ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวไปในทันที

อีสานพันเปอร์เซ็นต์คือร้านซึ่งหนุ่มลูกชายเจ้าของโรงแรมพาพวกเรามา ผมมั่นใจว่าคุณแม่ของแทนไทคงเลี้ยงเด็กหนุ่มให้เติบโตมาด้วยอาหารประเภทที่คนมีเงินเขารับประทานกัน แต่มันอาจจะมียีนส์เด่นหรือยีนส์ด้อยตรงไหนที่หงิกงอผิดรูปก็สุดรู้ได้ ทำให้คนจะสืบทอดตระกูลเบี่ยงเบนแบบแหกโค้งออกมาได้ขนาดนี้

“ตำป่าเผ็ด ๆ สองจานนะมึง อย่าลืมติ๊กให้กูด้วย”

ละอ่อนน้อยหน้ายุ่งกับแผ่นเมนู แต่ก็ทำตาม “ไอ้เต๋ามึงเอาอะไร”

“คอหมูย่าง กับซุปหน่อไม้” แม่ทำให้กินประจำตอนเป็นเด็ก เรียกว่าเติบโตมาเพราะอาหารภัตตาคารสองจานนี้ก็ไม่ผิด “เอาข้าวเหนียวด้วย”

อากาศข้างนอกร้อน แต่เพราะร้านที่มานั่งนี้เป็นสัดส่วนจากร้านอื่นรอบด้าน แถมเขายังปลูกต้นไม้เขียวขจี ภายในร้านก็เปิดพัดลมให้โกรกอีก ดังนั้นอากาศจึงไม่ร้อนมากนัก แต่อนิจจา เมื่ออาหารหลายจานที่เราสั่งไปได้ถูกลำเลียงมาที่โต๊ะเท่านั้น ผมก็รู้สึกว่าอากาศมันร้อนขึ้นมากะทันหัน แต่นั่นมิใช่ปัญหา เพราะเราเริ่มลงมือพิพากษาทันที

เผ็ดแค่ไหนโยนมาเรากินหมด แม้แต่หนุ่มหน้าตาจืดอย่างปังปอนด์ยังขย้ำไม่ย่อหย่อน ไม่ว่าจะเป็นตำป่าเอย ซุปหน่อไม้เอย ต้มแซบเอย หรือแม้แต่คอหมูย่างก็ดี ก็ต่างถูกจับยัดลงท้องไปหมดสิ้น

คุณแทนไทเอากระดาษทิชชูปิดปากแล้วเรอเบา ๆ หากไม่มีพัดลมอาจจะมีหลากกลิ่นลอยมาในอากาศ ฝ่ายหนุ่มเหนือก็ทำเหนียมอาย เอากระดาษปิดปากแล้ว...เรอบ้าง

ผมทำหน้าเหม็นเบื่อเกลอทั้งสองก่อนจะลุกขึ้นมาเพื่อเดินไปล้างมือล้างปากที่บริเวณห้องน้ำ ร้านนี้ตั้งอยู่นอกเมือง เรียกว่าเราขับรถกันออกมาไกลมาก ช่างขัดกันกับระดับความหิวตอนก่อนจะออกมายิ่งนัก อีกฝั่งถนนเป็นทุ่งนาซึ่งตอนนี้หญ้าเขียวขึ้นกันเต็ม มองเห็นตึกอุตสาหกรรมอยู่ไกลลิบ ๆ

ห้องน้ำเป็นอาคารเล็ก ๆ แยกออกมา รองเท้าผมบดกับกรวดเกิดเสียงแกรกกราก ดวงอาทิตย์คอยจดจ้องจากด้านบน จึงต้องรีบจ้ำอ้าวไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด

หลังล้างหน้าล้างปากเสร็จ ผมนึกอยากจะยิงกระต่ายน้อย จึงเดินอ้อมไปด้านหลังเนื่องจากโถฉี่อยู่อีกด้าน แต่เมื่อไปถึงมุมที่ต้องเลี้ยวไปด้านหลังนั้นเอง ก็เห็นใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้นพอดี

ผมคงเดินเลยผ่านไปโดยไม่ไยดี หากว่าใครคนนั้นไม่ใช่ใครคนนี้ ใครคนที่ผมรู้จัก

นฤเบศ

เขายืนสูบบุหรี่ ใบหน้าขาวมีคิ้วเข้มบนหน้าผาก ดวงตาคมกำลังหรี่เล็กมองเขม้นมาที่ผม ราวกับจะค้นหาเหตุผลว่าทำไมผมจึงมาเดินท่อม ๆ อยู่แถวนี้ ปากได้รูปเป็นกระจับอ้าออกเล็กน้อยเพื่อปล่อยควันให้พุ่งผ่าน พร้อมกับดวงตาคมกริบนั้นจับตรึงร่างผมให้นิ่งอยู่กับที่

“ไง”

เสียงบาดใจดังผ่านอากาศ ผมบรรยายไม่ถูก บอกได้แต่เพียงว่า เสียงเขาเหมือนมีกังวานก้อง มันเหมือนเป็นกระดิ่งดังสะท้อนและมีความหยิ่งทระนงอยู่ในนั้น ราวกับว่าเขาเป็นนายเหนือหัวและคนฟังเป็นข้าทาสที่ต้องหมอบกราบ รอคอยการถูกโบยตีจากเจ้าชีวิต

ผมเหงื่อไหลลงขมับ เขาขยับปากก่อรูปเป็นคำ

“เตือนแล้วว่าอย่าไปไหนคนเดียว”


To be Continued.

ป.ล. เพื่อน ๆ คนไหนใช้ทวิตเตอร์ สามารถเข้าไปแสดงความเห็นได้ที่แฮชแท็ก #ผู้ชายไม้ประดิษฐ์  ได้เลยนะคะ
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 2 - A Smirk behind the Smoke [05-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 05-01-2018 20:58:49
เอ๊ะยังไง
ทำไมไปไหนคนเดียวไม่ได้
จะทำอะไรรรรรรรรร เรื่อวนี้ต้องถึงหูดำแน่!  :m31:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 2 - A Smirk behind the Smoke [05-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-01-2018 21:26:51
ใคร???
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 2 - A Smirk behind the Smoke [05-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 06-01-2018 00:37:20
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 2 - A Smirk behind the Smoke [05-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-01-2018 10:28:33
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 2 - A Smirk behind the Smoke [05-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 06-01-2018 15:15:36
คือ........
ต้องต่อเลย
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 2 - A Smirk behind the Smoke [05-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 06-01-2018 15:29:02
ค้างงงงง เขาคือใครกัน ตามดำด่วนนน
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 3 - Friend or Foe [06-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 06-01-2018 20:24:34
ตอนต่อมาแล้วค่า ^____^


ผู้ชายไม้ประดิษฐ์



Chapter 3
Friend or Foe



ราวกับน้ำเสียงของเขาเป็นมือล่องหน ล้วงเข้าไปในกล่องความทรงจำแล้วกระชากเอาเรื่องราวในอดีตมาแบหลาต่อหน้าผม น้ำเสียงเช่นนี้เองที่เขาเอ่ยออกมาในกลางดึกคืนนั้น เอ่ยมาด้วยน้ำเสียงราวกับตนเองอยู่เหนือกว่าทุกสิ่ง แม้ว่าเขาเพิ่งจะลงไปกองอยู่กับพื้นราวผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ ผืนหนึ่งก็ตาม

ครั้งแรกที่เจอกัน แววตาแข็งกร้าวนั้นก็ตรึงให้ขยับเขยื้อนไม่ได้

ประกายตาคมกริบราวกับกรงเล็บของสัตว์ร้ายออกล่าเหยื่อในแสงเงินยวงของเดือนเต็มดวง

แผลแตกที่คิ้วกับเลือดตรงมุมปากทำให้เขายิ่งดูอันตราย หางตาชี้สูงยิ่งขึ้นเมื่อดวงตานั้นหรี่มอง แต่เพราะเขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับถอนหายใจออกมาราวกับเหนื่อยล้าเหลือเกิน ทำให้ผมยื่นมือเข้าไปหาใบหน้าเขาอย่างช้า ๆ

เขาชะงักเพียงนิดเมื่อผมขยับเข้าไปใกล้ แต่เมื่อเห็นผ้าเช็ดหน้าในมือ เขาก็มองผมนิ่งเฉย ปล่อยให้ผมใช้ผ้าเช็ดเลือดให้

เขาสบถเบา ๆ เมื่อถูกแตะที่แผลบวมปูดตรงโหนกแก้ม

“นายควรไปหาหมอ”

“ไม่เป็นไร แผลแค่นี้สบายมาก”

ผมมองสภาพเขาโดยไม่พูดอะไร แต่ทรุดลงนั่งข้าง ๆ บนพื้นดินที่เต็มไปด้วยรอยเท้าของกลุ่มคู่อริของเขา พวกมันมีเกือบสิบคนแต่เขาตัวคนเดียว พวกมันรุมประเคนทั้งหมัดทั้งเท้าใส่เขาที่สู้ได้ไม่นานก็ล้มลงไปนอนรับประทานเกือกอยู่กับพื้นอย่างสิ้นท่า

แม้เห็นเหตุการณ์ แต่จะวิ่งเข้าไปช่วยก็รู้ว่าตัวเองคงกลายเป็นกระสอบทรายให้พวกมันกระทืบเล่น จึงซ่อนตัวอยู่ในระยะปลอดภัยเพื่อคุมเชิงเหตุการณ์ก่อน

ผมรอ รอกระทั่งพวกมันรุมทำร้ายเขาจนสาแก่ใจ พอลับหลังพวกมัน ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเขา

เรานั่งอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้นั้น ปล่อยให้ระหว่างเรามีเพียงลมกลางคืนพัดผ่านใบไม้

เขาหัวเราะหึ ๆ เป็นเสียงหัวเราะราวกับสมเพช

“ปวดฉิบหาย...”

“เราพานายไปหาหมอนะ เขาจะได้...”

“มึงชื่ออะไร”

“หะ...”

“หน้าตาอย่างนี้ อย่าเที่ยวไปไหนคนเดียวล่ะ” เขาพูดเบา ๆ สายตาคมกริบของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าผมไม่วาง “แล้วก็อย่าเข้าใกล้กู”

สถานการณ์กระอักกระอ่วนกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

“เราชื่อ เต๋า...” ผมมองมุมปากเขียวช้ำของเขากระตุกเป็นรอยยิ้มบาง ๆ “ลูกเต๋า”

“กูชื่อเบลด”



นึกว่าการพบเจอครั้งนั้นจะเป็นพบแล้วจาก ใครจะคาดว่าเขากลับโผล่มาให้เห็นนับแต่นั้น อาจเป็นอุปาทาน แต่ผมคิดว่าเขามักมาโผล่ในที่ไม่คาดคิดเสมอ ไม่ต้องพูดไกล ดูจากครั้งนี้สิ มีที่อื่นหมื่นแสนแต่เขาเลือกจะมาเจอผมที่มุมห้องน้ำของร้านอาหารอีสานที่ตั้งอยู่ชานเมืองกรุงเทพฯ

บังเอิญกว่านี้มีอีกไหม!

ผมแอบมองเขารับประทานยำฝ่าเท้าด้วยใจระทึกตอนเพิ่งเข้าปีหนึ่งใหม่ ๆ ตอนนี้ขึ้นปีสามแล้วผมก็เห็นหน้านฤเบศบ่อยเสียจนบางครั้งเผลอนึกไปว่าเขาเรียนอยู่คณะเดียวกัน แม้ไม่คุ้นใจแต่เขาคุ้นตา แทบอยากยกตำแหน่งเงาตามตัวให้เขาเต็มทน 

“มาได้ไงวะ” ผมโพล่งออกไป พยายามไม่สนกับรอยยิ้มกวนส้นเท้าของเขา ไม่กี่ปีผ่านผัน ผมโยนความสุภาพออกนอกหน้าต่างแล้ว เจอหน้านฤเบศทีไรก็ไม่เคย ‘นาย-เรา’ อีก กระนั้นก็ใช่ว่าผมจะกระโชกโฮกฮาก

“อยากกินบรรยากาศ เลยมาหาอะไรกินแถวนี้” เขาพ่นควันบุหรี่อีก

“พิลึก” ผมบ่น “หลบหน่อย ปวดเยี่ยว”

“ใครขวาง”

อยากกระโดดหนุมานถวายแหวน แต่แร้นแค้นพละกำลัง จึงต้องเดินเบี่ยงตัวหลบเขาไปปลดพันธนาการช้างน้อยออกมา

ชำเลืองด้วยหางตาเห็นนฤเบศยังโพสท่าเป็นสิงห์อมควัน คร้านจะถามไถ่ว่าจริง ๆ แล้วทำไมถึงมานี่กันแน่ เลยทำกิจให้เสร็จแล้วรีบออกไปล้างมืออีกครั้ง

ยังดีที่ดัมพ์ไม่อยู่ด้วย มิฉะนั้นมันกับนฤเบศคงมีปะทะกันสักรอบแน่ สองคนนี้เหมือนสองเสือไม่อาจร่วมป่า อยู่ใกล้กันแล้วมักมีเรื่อง มองหน้านิดหน่อยก็แทบสวัสดีกันด้วยหมัดหรือลำแข้ง แม้ดัมพ์จะได้เชื้อพ่อมามาก จึงตัวสูงใหญ่อย่างแอฟริกัน-อเมริกัน แต่นฤเบศก็ไม่ด้อยกว่า ใบหน้าคมสันของเขาไม่ต่างอะไรกับดาราฮ่องกง ความสูงกับร่างกายก็พอฟัดพอเหวี่ยง

นี่เรียกว่าเพชรตัดเพชรก็ได้

ล้างมือแล้วไม่ต่อความยาวกับเขาอีก ผมเดินออกมาเพราะอากาศร้อนเหลือเกินและกลิ่นที่ห้องน้ำก็เหลือทน เสียงย่ำกรวดก็ดังตามหลังมาด้วย นี่ถ้าเป็นกลางคืนคงมีหลอนกันบ้าง แต่เพราะรู้ว่านฤเบศทิ้งก้นบุหรี่แล้วตามมาทันทีนั่นเอง

ปังปอนด์เดินเหงื่อไหลย้อยออกมาพร้อมกับแทนไท “มึงรอนี่แหละ ไม่ต้องเข้าร้านแล้ว” พอเห็นผมทำหน้าสงสัยก็เอ่ยแถลงไขทันควัน “คุณเพี้ยนมันจ่ายแล้ว”

ผมพยักหน้าด้วยความเข้าใจ เดี๋ยวค่อยหารกันทีหลัง

แทนไทเห็นใครเดินตามหลังผมมา ก็ออกอุทานเสียงเบา “อ้าว ๆ แล้วนี่ใครวะ”

นฤเบศเดินมาถึงในขณะเดียวกับที่ผมหันไปมอง พอสบตากันเขาก็กระตุกยิ้มน้อย ๆ ราวกับยิ้มของเขาเป็นเพชรเป็นพลอย จึงยิ้มกว้าง ๆ ไม่ได้ เขายักคิ้วให้ผมหนึ่งทีก่อนเดินจากไปโดยไม่สนใจทั้งแทนไทและปังปอนด์สักนิด

“อะไรของมันวะ” แทนไทบ่นออกมา


“มันบอกว่ามาทำอะไรนะ” ลูกชายเจ้าของเครือโรงแรมถามมาจากเบาะผู้โดยสารด้านหน้า เอี้ยวคอมามองผมนอนเอกเขนกด้านหลังจนตาแทบเหล่

“กินบรรยากาศ” ผมก็อปปี้เพสต์คำพูดนฤเบศเป๊ะ ๆ

“กูว่าไม่ใช่ หรือมึงว่าไงคุณแกงจืด” มันหันไปถามปังปอนด์อย่างไม่กลัวคอเคล็ด

“จืดอะไร พูดดี ๆ นะ เดี๋ยวก็ขย้อนตำป่าใส่หน้าซะหรอก”

แทนไทรีบขยับออกห่างโดยพลัน “ทำอะไรให้สมกับหน้าตาหน่อยสิคู้น”

พูดจบแทนไทก็หันมาหาผมอีก “มึงว่ามันไม่แปลก ๆ กับมึงเหรอ ไอ้นฤเบศน่ะ”

“แปลกยังไง”

“มันอาจคิดว่ามึงเป็นบิดาบังเกิดเกล้าที่พัดพรากไปนาน?”

“ไอ้นี่เล่นถึงพ่อเขาเลยเหรอ” ผมปราม

แทนไทหัวเราะแหะ ๆ ก่อนเอ่ยอีก “ไม่รู้สิ เห็นมองมึงแล้วทำสายตาอย่างกับอะไร”

คนขับรถกระโดดเข้ามาร่วมวงบ้าง “มันก็เป็นอย่างนี้กับไอ้เต๋าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เพื่อนร่วมสาขาก็ไม่ใช่ จะว่าเพื่อนเก่าจากโรงเรียนเก่ายิ่งแล้วใหญ่ เพิ่งเจอกันตอนมาเรียนที่นี่ไม่ใช่เหรอ ดูมันอยากสนิทกับมึงนะ สองสามปีมานี่ก็เห็นมันมาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ตลอด”

ผมกับแทนไทเรียนบริหารธุรกิจ ปังปอนด์สารสนเทศ ดัมพ์เรียนนิเทศศาสตร์เพราะรู้ตัวตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากเข้าวงการบันเทิง คนนี้เขาแน่วแน่ มองเป้าชัดเจนแล้วทำทุกอย่างเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น ผมยังนับถือมันเลยว่าแม้ตอนที่เริ่มมีงานเข้ามาเรื่อย ๆ และกำลังเริ่มมีชื่อเสียงเช่นนี้ก็ยังคบหาสนิทสนมกับผมไม่คลาย

“เอ...” เพื่อนแทนครุ่นคิด “หรือมันคิดไม่ซื่อกับมึงวะ”

“ก็ห่านแล้วครับ” ผมลูบหัวเกลอรักด้วยมะเหงก

“อย่าเขินน่า” คนขับรถสัพยอก

สองคนหัวเราะคิกคัก จนผมอยากจะขย้อนตำป่าราดใส่พวกมันเสียเอง

“อย่าพูดอย่างนี้ให้ไอ้ดัมพ์ได้ยินเชียวนะ”

“รู้น่า” แทนไททำเสียงเบื่อหน่าย “นั่นก็หวงเกินเหตุ เพื่อนหรือผัววะ”

“กูเห็นหัวมึงเป็นลูกบอลว่ะ แทนไท อยากลองเตะเล่นดูสักที”

“เดี๋ยว ๆ อย่างงี้ก็ได้เหรอเพื่อน กูพูดเล่น ไม่ผัวก็ได้” เกลอไทหน้าตื่น


หลังจากวันนั้นราวเดือนกว่า พลิกฟื้นตื่นจากนอนเพื่อมาเล่าเรียนแต่เช้า กลับพบว่าอาจารย์แปะติดกระดาษเอสี่ไว้บนประตูหน้าห้องเรียนว่าติดสัมมนาต่างจังหวัด ให้นักศึกษาเรียนชดเชยในสัปดาห์ต่อไป หลายคนโอดโอย แต่ทำอะไรไม่ได้ ครั้นจะกลับห้องไปนอนตีพุงก็ยังมีวิชาเรียนคาบบ่ายรออยู่ จึงต้องเตร็ดเตร่อยู่แถวใต้ถุนอาคารเรียนนั่นเอง

แทนไทบ่นปวดท้อง วิ่งเข้าห้องน้ำสองสามรอบตั้งแต่เช้าแล้ว ซึ่งนับว่าโชคดีที่อาจารย์ไม่อยู่ ถามดูก็ได้ความว่ากินข้าวเช้าที่น้องสาวทำให้ คาดว่านี่อาจเป็นกลเหตุของมาราธอนห้องน้ำ แต่มันเป็นคนรักน้องมากจึงพูดเฉไฉไปว่าคงเผลอกินของแสลงที่ไหนเข้าละมั้ง

ผมนั่งรอแทนไทปลดทุกข์อยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนใต้อาคาร นิ้วสไลด์หน้าจอมือถือเล่นแก้เบื่อ เสียงพูดคุยของนักศึกษาคนอื่นดังเข้าหูแต่ไม่ได้สนใจ สักครู่ก็ได้กลิ่นน้ำหอมซึ่งคุ้นชินว่าเจ้าคนนี้ใช้เป็นประจำ หันมองก็เห็นนฤเบศนั่งอยู่ที่กลุ่มม้านั่งเดียวกัน ระหว่างเขากับผมมีโต๊ะหินอ่อนกั้นไว้

เขาแสร้งชำเลืองมองราวกับไม่เต็มใจ รักษามาดคนปากแข็งกลัวดอกพิกุลร่วงเต็มที่ กระนั้นไม่นานก็หลุดคำพูดออกมา

“อยู่คนเดียวเหรอ”

ด้วยกลัวจะโดนหาว่าหยิ่ง จึงตอบกลับไป “อือ”

“มีเรียนไหม”

“อือ”

“แล้วทำไมอยู่นี่”

“อือ”

“ตกลงไม่มีเรียน?”

“อือ”

คราวนี้นฤเบศมองหน้าผมนิ่ง คิ้วกระตุก เอ่ยเสียงเรียบ ๆ “ตอบอือแล้วพ่อฟื้นเหรอ”

ผมแทบสะดุดหัวแม่เท้าตัวเอง ไม่นึกว่าคนนิ่ง ๆ อย่างนฤเบศจะถามด้วยความหมายซึ่งแฝงความนัย ‘หวาน ๆ’ แบบนั้น!

ผมถอนหายใจแล้วตอบออกไป “รอเพื่อนเข้าห้องน้ำอยู่”

เขาทำเสียงรับรู้ในลำคอ

“ไอ้ดำน่ะเหรอ”

“มันชื่อดัมพ์” ผมมองเขาตาขวาง “ไม่ใช่ดัมพ์หรอก แทนไทน่ะ”

เราตกอยู่ในความเงียบ มันเป็นความเงียบที่ผมไม่รู้จะพูดอะไรจึงหันกลับมาเล่นมือถือต่อ ส่วนนฤเบศก็นั่งเฉย ๆ เป็นหุ่นขี้ผึ้งอยู่อย่างนั้น แต่เจ้าความเงียบระหว่างเรานี้มันหนักหนาเสียจนผมทนไม่ไหว ต้องหันไปถามเขาพอให้หายกระอักกระอ่วนบ้าง

“แล้วไม่มีเรียนเหรอ”

เขาหัวเราะหึ “มีเรียนหรือไม่มีไม่ใช่ปัญหา อย่างกูไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้”

ผมแอบกัดฟันอย่างหมั่นไส้ พูดอย่างนี้ก็เรียนเชิญให้รับประทานเอฟเถอะ

พอเห็นผมแสดงอาการ เขาก็กระตุกยิ้มมีค่าดั่งพลอยนั้นอีก ชำเลืองมองผมด้วยสายตาที่เห็นแล้วทั้งหวั่นเกรงและรู้สึกว่าถูกยั่วประสาท

นอกจากนฤเบศจะมีออร่าบางอย่างที่คล้ายจะข่มคนอื่นให้ยอมเขาตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน คนคนนี้ก็ช่างกวนประสาทได้อย่างเจ็บแสบเหลือเกิน

เขาเคยบอกผมว่าอย่าให้เจอว่าไปไหนคนเดียว ทว่าครั้งใดที่เจอกันเพียงลำพัง เขาก็ไม่ทำมากไปกว่าการข่มด้วยท่าที ไม่เห็นเขาจะทำให้อะไรให้ผมเข้าใจเสียทีว่าเหตุใดจึงไม่ควรไปไหนคนเดียว

ด้วยทนไม่ไหว ผมจึงโพล่งถามไป

“แล้วมาทำไม”

เขาคว้าหมากฝรั่งออกมาเคี้ยว “เรื่องของกู”

“อ้าว พูดงี้ก็สวยสิ”

“อารมณ์เสีย?” เขาเอียงคอมอง “ไม่เอาน่า ไม่อยากรังแกมึงนะ”

“มาป้วนเปี้ยนแถวนี้ทำไม คณะตัวเองก็ไม่ใช่”

นี่เกลอแทนไทช็อกไปแล้วหรือเปล่านะ ไม่ยอมออกมาจากห้องน้ำสักที

“คณะกูไม่ค่อยมีของดีให้ดู อยู่ว่าง ๆ เลยแวบมาดูของดีบริหารหน่อย อย่าหวงของหน่อยเลยน่า”

“อยากดูก็ไปสิ มานั่งคุยกับกูทำไม”

เขาเอ่ยแบบกำปั้นทุบดิน “นี่ก็ของดี

ผมถึงกับต้องหันไปมองหน้าหมอนี่ให้ชัดๆ นอกจากนฤเบศจะชอบมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวคณะผมตั้งแต่ปีหนึ่ง บ่อยครั้งที่ได้คุยกัน เขาก็มักจะมีคำพูดทำนองนี้ทำให้ผมคลางแคลงใจเสมอ

เชื่อผมเถอะ มันกำลังกวนประสาทผม

“งั้นก็นั่งดูของดีต่อไปคนเดียวเลยนะ กูไปดูเพื่อนก่อน”

ผมพูดเพียงเท่านั้นแล้วก็จากมาทันที ห้องน้ำใต้ตึกคณะบริหารสะอาดพอประมาณ มีนักศึกษาชายคนหนึ่งกำลังล้างมือ พอผมเข้าไปก็มองหน้าผมยิ้ม ๆ พลางพยักพเยิดไปทางห้องห้องหนึ่งที่มีเสียง ‘ระเบิด’ บรรเลงอยู่อย่างครึกโครมเต็มที

“เป็นไงบ้างวะ”

เสียงนั้นยังดังไม่หยุด “ไอ้เต๋าเพื่อนเลิฟ ท้องไส้กูไปหมดแล้ว”

“ไปหาหมอไหม เผื่ออาหารเป็นพิษนะ”

“เออ ๆ เดี๋ยวกูเอาก๊อกนี้ออกก่อน” มันโอดครวญ “ศึกครั้งนี้ช่างใหญ่หลวงนัก”

ผมอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา ซึ่งเรียกเสียงแหวจากเกลอมาหนึ่งคำ “เดี๋ยวกูล้างก้นก่อน จะออกไปเตะมึง”

“เอาน่า ๆ รีบเบ่งเข้า”

โผล่ออกมาจากสถานที่ปลดทุกข์ แทนไทดูหน้าซีด ขาอ่อนระทวย ร้อนถึงผมต้องช่วยพยุงออกมาจากห้องน้ำอย่างทุลักทุเลที่สุด ตัวก็ใหญ่อย่างกับยักษ์ปักหลั่น แต่ทำท่าทางสำออยเสียไม่มี ไปทำอย่างนี้กับผู้หญิงคนไหนเขาคงเมินหนี

ผมตั้งใจว่าจะพาแทนไทไปหาหมอที่โรงพยาบาลใกล้ ๆ แถวนี้ แต่ก็หนักใจอยู่ว่ารถยนต์ของแทนไทจอดอยู่ที่ลานจอดรถ กว่าจะเดินไปถึงก็คงไกล อย่างนั้นก็ให้มันนั่งรออยู่นี่ แล้วผมไปขับกลับมาดีกว่า อย่างไรก็ตาม ความคิดผมสะดุดลงเมื่อเจอนฤเบศยังนั่งหัวโด่อยู่ที่เดิม

“เป็นอะไร” เขาเห็นผมพยุงแทนไทออกมาจึงลุกขึ้นเดินเข้ามาหา

“ท้องเสีย”

แทนไทสะกิดผมใหญ่ว่าไม่ให้พูด โธ่...ไอ้เกลอ ขนาดนี้แล้วยังมากลัวเสียฟอร์ม

“กูโอเค” เพื่อนเอ่ยออกไปเสียงระโหย

“มึงโอเคมาก” ผมประชด “กำลังจะพามันไปหาหมอ”

ผมว่าแล้วรีบยักแย่ยักยันพาแทนไทไปนั่งที่ม้านั่ง

“เพื่อนรออยู่นี่นะ เดี๋ยวกูไปเอารถมารับ” บอกกล่าวพลางยื่นมือขอกุญแจรถจากเกลอ

“รถมึงจอดไหน” นฤเบศเข้ามายืนใกล้ ๆ แล้วถามขึ้น

“ลาน...จอด...รถ” แทนไทตอบอย่างระโหยโรยแรง

“ไกลจากนี่ว่ะ ขืนรอไปเอารถ เพื่อนมึงตายก่อนแน่” คุณแทนไททำหน้าเหยเพราะคำว่าตาย “ไปรถกูดีกว่า จอดอยู่ตรงนี้เอง”

อ้าว แบบนี้ก็เห็นดีกันสิ เรื่องอะไรมาจอดที่คณะคนอื่น ทีเจ้าของคณะกลับต้องไปจอดตั้งไกล

“ไม่เป็นไร ขอบคุณ” ผมตัดบท

“อย่าเรื่องมากน่า”

“ใครเรื่องมาก”

“มึงไง ทำเรื่องง่ายให้ยาก ไปรถกูเร็วกว่า”

ผมอ้าปากจะตอบโต้ แต่แทนไทยกมือขึ้นมาห้ามเสียก่อน “ถ้าพวกคุณจะเถียงกันอย่างนี้ กูขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ทัพหนุนมาประชิดประตูเมืองแล้ว...”

มองหน้านฤเบศ เห็นเขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งราวจะถามว่า จะเอายังไงก็รีบบอกมา ดูเพื่อนสิหน้าเริ่มคล้ำแล้วนั่น ผมเลยพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ แล้วรีบหิ้วปีกเพื่อนแทนด้วยความทุลักทุเลตามหลังพ่อหนุ่มว่างเรียนคนนั้นไป


นฤเบศขับรถผิดจากท่าทางที่เห็นมากนัก ผมอนุมานเอาว่าเขาอาจเป็นคนหัวรุนแรง แม้จะนิ่งแต่บทจะลงมือก็คงไม่ยั้งแน่ ๆ ทว่าเขากลับขับรถอย่างนุ่มนวล จนแทนไทที่นั่งด้านหลังยังยิ้มเซียว ๆ ให้แทนคำขอบคุณ

เมื่อยักแย่ยักยันพาคุณเพื่อนขึ้นรถนั้น ผมคิดว่าจะนั่งกับเพื่อน แต่นฤเบศร้องเสียงเขียวมาจากด้านหน้าด้วยความดุดันว่า ‘ใครบอกให้นั่งหลัง มานี่’

แม้ไม่ได้ดังจนตวาด แต่เสียงเขาก็แหวกอากาศฟาดเปรี้ยงเข้ากกหูผม จนต้องทิ้งเกลอให้นอนแซ่วอยู่กับเบาะท้ายรถ ผิวกายของแทนไทรุม ๆ สงสัยมีไข้ด้วยแน่แล้ว ผมเปิดประตูหน้าแล้วกระโดดขึ้นไปนั่ง หันหลังมามองเกลอก็เห็นเอามือปิดปากไว้ สีหน้าแปลก ๆ

แทนไทบอกเบา ๆ ‘คลื่นไส้ว่ะ’

‘อ้วกใส่รถกู มึงได้ลงไปจูบถนนแน่’

นั่นไง คุณแทนไทถึงกับรีบกลืนอาเจียนกลับไปแทบไม่ทัน

ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าของรถหันมามองผม ดวงตาคมของเขาจดจ้องมาอย่างเอาเรื่อง แม้ไม่ต้องเอ่ยอะไร ผมก็สำเหนียกได้ทันทีว่าต้องจับเอาเข็มขัดมารัดตัวไว้

พอไปถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด นฤเบศก็เอ่ยสั้น ๆ ว่า “รีบพาไปสิ เดี๋ยวเพื่อนก็แย่หรอก”

ราวกับได้ฟังเขาทำนายว่าแทนไทจะวายชีวา ด้วยความกระต่ายตื่นตูม ผมจึงรีบพาเพื่อนเข้าไปรอตรวจ ส่วนสารถีนั้นเห็นจากหางตาว่าควักเอาบุหรี่ออกมาจุดสูบอยู่ข้างรถนั่นเอง

บางทีแทนไทคงทำบุญมาเยอะ นอกจากจะได้เกิดมาในครอบครัวอันมีทรัพย์สมบัติมหาศาล ยังไม่ต้องรอนานด้วย หลังจากยื่นบัตรประชาชนให้ทางเจ้าหน้าที่แล้ว ก็รออีกเพียงชั่วหุงข้าวสุก พยาบาลก็เรียกชื่อคุณแทนไท ผมจึงพยุงเพื่อนรักสุดสวาทเข้าไปพบแพทย์


เมื่อผมหิ้วปีกแทนไทออกมาจากโรงพยาบาล สิงห์อมควันยังไม่ละเลิกจากการดูดบุหรี่ ก้นบุหรี่แดงวาบยามเขาดูดเอาควันเข้าไป แม้มันจะมีกลิ่นปรุงแต่งแค่ไหนแต่ก็ไม่จรุงใจสำหรับผมอยู่ดี

“เรียบร้อยแล้ว?” เขาหันมา พอเห็นผมมองเจ้าบุหรี่น้อยในมือ เขาก็ทำเสียงในลำคอ “ไม่ชอบบุหรี่ละสิ งั้นรอกูสูบเสร็จก่อน”

“ให้เพื่อนกูนั่งรอในรถก่อนได้ไหม” เกรงว่าแทนไทมันจะไม่ไหวเสียก่อนน่ะสิ

“หมอให้กลับบ้านอย่างนี้มันก็โอเคแล้วละ อย่าขี้ตื่นหน่อยเลยน่า”

มองเขาด้วยหางตา แต่ในใจนี่ผมขอให้สำลักควันบุหรี่เสียให้เข็ด

เขาพ่นควันบุหรี่ราวกับจะให้มันก่อเป็นรูปร่างขึ้นมา “รถไม่ได้ล็อก”

รอบอกตอนเรียนจบก็ได้นะ 

ด้วยเส้นอารมณ์ใกล้สะบั้นลง ผมจับเปิดประตูแรงกว่าปรกติ เพื่อนแทนค่อยๆ เข้าไปหย่อนตัวนั่งกับเบาะรถ พลางถอนหายใจ

“กูเปิดประตูไว้นะ” จะทำอะไรก็ต้องบอกกล่าวเจ้าของเขาก่อนใช่ไหมล่ะ

นฤเบศขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ ทว่าก่อนเขาจะเอ่ยคำผรุสวาทใด ๆ ออกมาได้ ก็แว่วเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ผมร้องจ้าเสียก่อน

“ว่าไง”

“อยู่ไหนแล้ว” เป็นดัมพ์นั่นเอง “มารอใต้ตึกนานแล้ว”

“โทษทีว่ะ ตอนนี้อยู่โรง’บาล”

เขาเงียบไปไม่นาน แล้วเอ่ยเสียงดัง “เป็นอะไร”

“ไม่ได้เป็นอะไร แทนไทมันท้องเสีย พามาหาหมอ เขาบอกอาหารเป็นพิษ นี่ก็เพิ่งตรวจเสร็จ ได้ยามากิน ว่าจะไปส่งมันที่บ้านอยู่นี่ละ”

เสียงถอนหายใจดังมาตามสัญญาณ “แล้วไป ใจหายหมด”

“เอาน่า ขวัญเอ๊ยขวัญมา”

“ยังจะเล่นอีก แล้วไปยังไงเนี่ย”

“เอ่อ...”

กลิ่นบุหรี่รสเมนทอล ร่างใหญ่ขยับใกล้ ผมมองร่างนฤเบศซึ่งราวกับจะบดบังแสงอาทิตย์ เงยหน้าขึ้นก็เห็นเสี้ยวหน้าขาว เห็นริมฝีปากสวยเม้มแน่น มือซึ่งบัดนี้ไร้บุหรี่เอื้อมมาเร็วเกินกว่าผมจะระวัง เขาคว้าเอาโทรศัพท์เครื่องนั้นไป แนบหู กระตุกยิ้มสะใจ

“ไง”

นฤเบศจ้องหน้าผมเขม็ง มองตรงเข้ามาในดวงตาของผม ตรึงร่างผมให้ขยับไปไหนไม่ได้ แผ่นอกตึงแน่นภายใต้เสื้อนักศึกษาสีขาวขยับเข้ามาใกล้อีก เสียงของเขาราวกับจะดังอยู่ใกล้หูนี่เอง

“มันยอมมากับกูเอง ไม่ได้บังคับว่ะ”

ผมยื่นมือไปจะแย่งคืน ทว่านฤเบศจับแขนผมไว้เสียก่อน เขาบีบแน่น ผมรู้สึกว่าแรงเขาเยอะมาก แต่ก็คงไม่มากไปกว่าผมจะแกะให้หลุดได้ จึงเกร็งแขนสู้แรง

“กูไม่ทำอะไรมันหรอก” เขายิ้มเหี้ยม มองหน้าผมราวกับพยัคฆ์มองจ้องสมันน้อยกลางป่า “ถ้ามันสู้แรงกูได้น่ะนะ”

ใบหน้าของนฤเบศแทบจะติดกับใบหน้าผมอยู่แล้ว กลิ่นบุหรี่แตะจมูก ผมเห็นคิ้วของเขา เห็นสันจมูกของเขา เห็นสันกรามของเขา และเห็นริมฝีปากแยกเผยอออก อวดฟันขาวเรียงกันสวย

“...แต่กูว่ามันคงสู้ไม่ได้ว่ะ”

เพราะใกล้แค่นี้แหละ ผมจึงได้ยินเสียงตะเบ็งอย่างกราดเกรี้ยวดังมาจากโทรศัพท์เครื่องนั้น ดัมพ์ในยามโกรธน่ากลัวยิ่งกว่าเสือเสียอีก มันโกรธเมื่อไร ผมหงอให้มันทุกที

นฤเบศหัวเราะสะใจ

เขากดปิดโทรศัพท์แล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงผม ฉกหน้าลงมาจนชิดว่องไว สิ่งที่เกิดนั้นรวดเร็วจนผมห้ามไม่ทัน พอรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น...

...นฤเบศก็หน้าหันเพราะกินหมัดผมไปเต็ม ๆ แรง เขาเบือนหน้ากลับมามอง ในสายตานั้นมีแววประหลาด ริมฝีปากเขาเผยอจากกันน้อย ๆ คล้ายคนกำลังงุนงง สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อว่าผมจะปล่อยหมัดออกไป เรามองหน้ากันอยู่เช่นนั้นราวกับยาวนานแรมปี แล้วเขาก็ถอนหายใจ หันไปมองแทนไทซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเบาะหลังอย่างกะปลกกะเปลี้ยเหลือทน ผมไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้าอย่างไร แต่แทนไทรีบพาสารร่างของตัวเองออกมาจากที่นั้นโดยเร็ว เจ้าเพื่อนเกลอทิ้งร่างเข้ากับตัวผมอย่างแรง จนเซถลาไปด้วยกัน

ประตูกระแทกปิด นฤเบศเดินไปเปิดประตูฝั่งคนขับ แล้วไม่กี่อึดใจต่อจากนั้น เสียงล้อรถบดกับพื้นถนนก็ดังกรีดขึ้นมาในท่ามกลางแดดเปรี้ยงของเที่ยงวัน ทิ้งให้ผมและแทนไทยืนอยู่ตรงนั้นราวกับไอ้บื้อสองคน


To be Continued.
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 3 - Friend or Foe [06-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 06-01-2018 21:21:53
เล่นอะไรกันหว่าาา
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 3 - Friend or Foe [06-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 06-01-2018 22:36:29
เดาไม่ออก ตามๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 3 - Friend or Foe [06-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 06-01-2018 22:58:05
 :hao4: :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 3 - Friend or Foe [06-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Fujung ที่ 06-01-2018 23:03:09
สถานการณ์ตอนนี้ดูไม่ค่อยจะดีนะคะคุณกิตติคะ
ซัมติ้งเว่อๆตอนนี้อะ คือเลือกไม่ถูกเลยว่า
จะสายฝอหรือสายเกา ดูมันก็ดูงานดีทั้งคู่อะนะ
เอาเป็นว่าขอ2เลยละกัน ใครจะวันคู่กันคี่กับเลือกมา
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 3 - Friend or Foe [06-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-01-2018 23:34:34
เปิดตัวหนุ่มในสังกัดชัดๆ 5555
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 3 - Friend or Foe [06-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 07-01-2018 03:22:40
รักความเกรี้ยวกราดของแต่ละคนเหลือเกิน
สงสารก็แต่แทนไท ขี้ทั้งตอน555555
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 3 - Friend or Foe [06-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 07-01-2018 03:44:17
สถานการณ์ตอนนี้น่าจะเกิดศึกชิงนาย
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 3 - Friend or Foe [06-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 07-01-2018 08:26:39
คือ งงกับความสัมพันธ์แหะ มันพันๆกันไงมะรู้
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 07-01-2018 10:54:54
มาต่อกับตอนใหม่เลยค่า
แป้งจี่ฯ ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้นะคะ ตอนนี้ได้กดบวกคะแนนและบวกเป็ดให้ทุกท่านแล้ว
สำหรับเนื้อเรื่อง ตอนนี้อาจจะดูยุ่งขิงอิรุงตุงนังนิดหนึ่ง แต่คิดว่าตอนหลัง ๆ ก็จะค่อย ๆ เข้าร่องเข้ารอยแล้วค่า
ยังไงก็หวังว่าเพื่อน ๆ อ่านแล้วจะชอบนะคะ ^____^



ผู้ชายไม้ประดิษฐ์




Chapter 4
Like a Moth to a Flame


ผมตัวติดกับดัมพ์มาแต่ไหนแต่ไร เราออกเที่ยวซอกแซกไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ในตัวจังหวัด ตามแต่สองขาเราจะไปถึงได้ พออายุมากขึ้นหน่อย ดัมพ์ร้องขอมอเตอร์ไซค์จากยายได้ก็เที่ยวตะลอน ๆ ไปตามรอบนอกตัวจังหวัด ดีหน่อยว่าตั้งแต่เกิดมาก็อยู่ที่นั่น จึงพอรู้ทางหนีทีไล่ไม่ให้เจอด่าน

ทุ่งนาทุ่งไร่เขียวขจีด้วยข้าวใหม่ ลอมฟางที่ชาวบ้านสุมไว้เก็บเป็นปุ๋ยนาในอีกฤดูไถหว่านซึ่งจะเวียนมาบรรจบในอีกฝนหน้า สิ่งเหล่านี้เป็นภาพจำที่คอยหวนกลับมาหาทุกครั้งยามรำลึกถึงช่วงชีวิตที่ได้ใช้ด้วยกันมาครั้งเยาว์วัย

อาจเป็นความสัมพันธ์แน่นแฟ้นนี้เอง ที่ทำให้ผมไม่ห่างดัมพ์ได้ ไม่อาจเอาตัวออกห่างจากเขา และไม่กล้าจะร้องขอใด ๆ เกี่ยวกับฐานะของเรา ด้วยกลัวเส้นเปราะบางซึ่งกั้นระหว่างความเป็นเพื่อนและสิ่งที่ล้ำลึกกว่าจะหักพังลงไป และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น เราสองอาจกลายเป็นคนแปลกหน้า แม้เมื่อเกิดเหตุการณ์อันเป็นผลมาจากฮอร์โมนของช่วงวัย ผมก็โอนอ่อนไปกับเขา พอเขาเรียกร้องความสุขทางกาย ผมก็พร้อมจะน้อมเสนอ และทดลองไปด้วยกัน

จำได้ว่าครั้งแรกที่เราได้ ‘สัมผัส’ กันนั้น เป็นคืนหนึ่งเมื่อเราเรียนอยู่ ม.ปลาย

ดัมพ์มักจะหาเรื่องมานอนค้างบ้านผมประจำ จนยายมันระอาเกินกว่าจะห้ามปราม ส่วนแม่ของดัมพ์ก็ไม่ได้สนใจมันไปกว่าการเป็นคนร่วมชายคา ดัมพ์จะไปไหนแม่ของมันก็ไม่หือไม่อือ ผมยังสงสัยว่าวันหนึ่ง ๆ ดัมพ์กับแม่ได้คุยกันบ้างหรือไม่

เตียงห้องนอนผมใหญ่พอรับหนุ่มน้อยสองคน จำได้ว่าอากาศคืนนั้นเย็นทีเดียว หน้าหนาวภาคอีสานก็ถือว่าอยู่อันดับต้น ๆ หน้าต่างเปิดไว้ ผ้าม่านบางเบาที่ติดไว้ก็ไหวพะเยิบพะยาบ ลมพัดล่วงเข้ามา ดัมพ์สูดปากบ่นหนาวเหลือเกิน ร้องไล่ให้ผมไปปิดหน้าต่าง

‘เดี๋ยวลมไม่ล่วง’

‘ดีกว่านอนหนาวนะ’

ในความสลัวของค่ำคืน ผมเห็นเพียงดวงตาอันขาวจัด และฟันขาวเรียงกันสวยของเขา

‘ปิดหน้าต่างให้หน่อย’

คนตัวใหญ่ ๆ แม้จะเป็นเด็กหนุ่ม ก็ใช่จะทำเสียงอ้อน ๆ แล้วน่ารักนะ ผมส่ายหัวระอา ก่อนฝืนใจลุกจากเตียง เท้าแตะพื้นก็สัมผัสถึงความเยียบเย็น เขย่งเท้าไปถึงหน้าต่าง ปิดโครมได้ก็รีบกระโดดเหย็ง ๆ กลับมากระโดดขึ้นเตียง

ค่ำคืนเงียบสงัด นาน ๆ ครั้งจึงได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของแก๊งเด็กแว้นกระหึ่มอยู่ทางหน้าปากซอย แม่หลับไปนานแล้ว พี่แต้มก็คงกำลังนอนเหยียดแขนขาเอาแรงไปสู้งานวันต่อไป

เราไม่ได้พูดอะไรกัน มีเพียงความเงียบห่มคลุม

‘ดัมพ์ หลับยัง’

คำตอบคือการขยับตัวเล็กน้อยกับเสียงอือเบา ๆ ก่อนจะเงียบไปอีก เห็นดังนั้นจึงกำหนดใจให้หลับไปเหมือนกัน

ขณะกำลังเคลิ้มอยู่นั้นเอง ผมก็หายใจสะดุดด้วยมีอะไรบางอย่างแตะเข้าที่ต้นขา มันเป็นการสัมผัสเพียงบางเบาจนแทบไม่รู้สึก หากไม่ใช่ด้วยความอุ่นของผิวกายมนุษย์ผมก็คงร้องโวยวายออกมาแล้ว

ผิวสัมผัสนั้นเป็นดัมพ์ไม่ผิดแน่ มือของเขาแตะอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ คราวแรกด้วยนิ้วเดียวแล้วตามด้วยสองนิ้ว ก่อนฝ่ามือสาก ๆ จะค่อยลูบไล้บริเวณต้นขาของผม กางเกงบ็อกเซอร์ร่นขึ้นมาถึงไหนต่อไหน มือของดัมพ์ราวเป็นเหล็กร้อนหรือก้อนถ่านติดไฟ มันส่งความร้อนจากจุดสัมผัสไปทั่วต้นขาของผม ทั้งใจที่ตระหนกกับการที่เกลอมากระทำอุกอาจ และความรู้สึกแปลก ๆ ที่พลุ่งพล่านอยู่ในท้องน้อย กระตุ้นให้ร่างกายบางส่วนของผมลุกตื่น ผมหายใจกระชั้นถี่ยามที่มือของดัมพ์ลูบไล้เข้ามาใกล้อีก

แล้วเขาก็หยุดอยู่ตรงนั้นเป็นนาน ก่อนจะค่อยเลื่อนขึ้นสูงกว่านั้นอีก

อาจเพราะวัยอยากรู้อยากลอง และฮอร์โมนกำลังพุ่งพล่าน ทำให้ผมไม่ต่อต้าน อกใจเต้นโครมครามขณะดัมพ์สัมผัสผมอย่างไม่ประสา ความจริงเราสองคนก็ไม่ประสากับเรื่องพวกนี้หรอก ทว่าผมไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกดีจริง ๆ แม้ดัมพ์เองก็ทำเสียงพอใจทุกครั้งที่ผมเกร็งตัว

น่าตระหนกว่าเราไม่เห็นว่ามันผิดสักนิด

ค่ำคืนนั้นภายในห้องปิดหน้าต่างมิดชิด ผมยื่นมือออกไปด้วยหัวใจกระเจิดกระเจิง สอดมือผ่านกางเกงบ็อกเซอร์ซึ่งย้วยจนน่าขว้างทิ้งของดัมพ์ เพื่อสัมผัสกับบางอย่างที่กำลังเรียกร้องและโหยหาจนสั่นระริก 


ผมไม่เคยลืมคืนนั้นได้เลย จนแม้ตอนนี้คิดขึ้นมาเมื่อใด ความรู้สึกก็ยังตีปีกจนอกเต้นเช่นเดิม แม้เราจะตกอยู่ในความมืด แต่สิ่งที่สัมผัสได้ก็ชัดเจนในมโนทัศน์จนไม่อาจลืม

ดัมพ์นำพามือของผมให้ ‘สัมผัส’ กับความเป็นลูกพ่อของเขา สัมผัสนั้นแปลกกว่าการจับต้องของตัวเอง ในวินาทีที่มือสัมผัสกับของสงวนเขา ก็คล้ายกับว่าอะไรบางอย่างได้ลุกตื่นขึ้นภายในตัวผม คล้ายมีแสงส่องเข้ามาภายในหัวใจและเห็นว่าอะไรอยู่ปลายทาง

นั่นคงเป็นโมงยามที่ผมได้รู้ว่า อะไรคือเส้นทางแห่งหัวใจตัวเอง


เก็บชิ้นส่วนภาพจำใส่ไว้ในกระเป๋าก่อน ตอนนี้เราอยู่บนรถยนต์ของปังปอนด์ เจ้าของรถนั่งหน้าบึ้งอยู่ข้างคนขับตอนหน้า ชะรอยไอ้ดัมพ์คงไปลากคอเขามาจากห้องเรียนแน่ ๆ เห็นอย่างนี้แม้ปังปอนด์จะเซียนเกมแต่เขาก็รักเรียนมาก ๆ นะ

“ไอ้นี่มันหมาลอบกัด” พวงมาลัยรถแทบจะหักคามือของพ่อคนผิวเข้ม “ไม่แน่จริงนี่หว่า กลัวกูกระทืบมาก ๆ ละสิถึงได้เผ่นไปก่อนกูจะมาถึง”

“ไม่หรอก” เสียงแผ่ว ๆ ดังจากคุณแทนไทที่นอนแซ่วเป็นซากอยู่ด้านหลังรถกับผม “มันไปเพราะอย่างอื่นมากกว่า” คุณชายผู้ยึดเอาห้องน้ำเป็นสรณะเหล่สายตามองผมด้วยความหมายในดวงตา

นึกไม่ออกเลยว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่รู้ตัวอีกทีก็ปล่อยหมัดออกไปแล้ว ไม่เคยคิดว่าสักวันจะกล้าถึงขนาดต่อยหน้านฤเบศ นี่ถ้าเขาสวนกลับผมคงลงไปนอนหมอบกระแตอยู่กับพื้นเป็นแน่

“แล้วไปยังไงมายังไงถึงได้มากับนฤเบศได้เนี่ย”

ปังปอนด์เอี้ยวตัวมาถาม

“มันอยู่แถวนั้นพอดีน่ะ” ผมพยายามไม่พูดอะไรมาก ด้วยเกรงภูเขาไฟดัมพ์จะระเบิดกว่านี้

“เออ จริง ๆ มันก็ไม่เลวนะ มีน้ำใจพาคุณเพี้ยนมาส่งโรง’บาลด้วย เป็นกูนะจะทิ้งให้นอนเฝ้าห้องน้ำนั่นแหละ”

“ใจร้ายกับกูจังครับ คุณจืด” คุณแทนไทประท้วงเสียงระโหย

“นอนเงียบ ๆ ไปเลย สังขารไม่ให้ยังจะพูดมาก”

“มันไม่ได้ทำอะไรมึงใช่ไหม” ประโยคนี้ส่งตรงแบบเดลิเวอรี่จากดัมพ์มาหาผมเอง

“เปล่า”

“ก็ดี เห็นอยู่ ๆ มันก็พูดในสายมึง เสียงแม่งทำให้ตีนกระตุกตลอด” ดัมพ์บ่นพึมพำ “แตะเพื่อนกูเมื่อไหร่ ไม่ได้เรียนจบแน่ ๆ”

“อย่าปากเก่งไป” ผมเบรก “ลืมแล้วเหรอว่าฝันจะเป็นอะไร อย่าเอาเรื่องพวกนี้ไปแลกกับมันเลย”

“ไอ้เต๋าพูดถูก มึงโคตรใจร้อน” ตรงกว่าไม้บรรทัดก็คำพูดคำจาของปังปอนด์นี่ละ

ดัมพ์แสยะยิ้มเหี้ยมให้ปังปอนด์ “สงสัยรถมึงอยากจูบเสาไฟ”

“เฮ้ย ๆ อย่าเชียวนะ สงสารคุณเพี้ยนมัน ยิ่งร่อแร่อยู่” นี่ก็สนใจเสียเมื่อไหร่

“อย่าพาดพิงผมครับคุณ ผมป่วย”

คุณแทนไททิ้งหัวลงมานอนตักผม ร้องเสียงอย่างกับลูกหมาตัวเล็ก ๆ หิวนมแม่

“นอนตักไอ้เต๋า เดี๋ยวก็โดนดีหรอก” ปังปอนด์เอ่ยขึ้นลอย ๆ แหม วันนี้ช่างพูดจริง ๆ

“ไม่เป็นไร” คุณแทนไทเอ่ยงึมงำ “กูเป็น ‘น้อย’ มัน”

พูดแบบนี้สงสัยไม่อยากกลับถึงบ้าน


ถนนสู่ดวงดาวของดัมพ์นั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย แม้มีงานเข้ามา แต่ก็ด้วยความช่วยเหลือวิ่งเต้นของพี่แวว ซึ่งเป็นคนดูแลมันกับ ‘เด็ก ๆ’ ในสังกัดอีกหลายคน มันเป็นเพียงหมากหนึ่งตัวบนกระดานที่คนในวงการคิดจะวางตรงไหนก็ได้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน

ดัมพ์บ่นกับผมบ่อย ๆ ว่าหน้าตาอย่างมันไม่ค่อยพิมพ์นิยมในตลาดเมืองไทยสักเท่าไร ฟังเท่านั้นผมก็ตีความเอาได้ว่า เกลอแต่วัยเด็กของผมนี้หวังสูงจะคว้าดาวทั้งทางช้างเผือก ไม่ใช่เพียงเสี้ยวฟ้าที่เรามองเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้เท่านั้น

ฝันโกอินเตอร์ของดัมพ์อาจดูทะเยอทะยาน แต่ความหวังสูงนี้ไม่ใช่หรือที่จะเป็นแรงผลักดันให้เขาทำทุกอย่างเพื่อก้าวขึ้นไปอยู่ตรงนั้นให้ได้

กระนั้นก็ใช่ว่าดัมพ์จะไม่มีโอกาส ด้วยความที่หน้าตาของดัมพ์เป็นลูกผสมนี่เอง ทำให้น่ามอง ยิ่งโตยิ่งเห็นความมีเสน่ห์ แม้เมื่อตอนเด็กจะตัวสูงเก้งก้างผิวดำไม่น่ารัก แต่พอดูแลตัวเองแล้วก็ดูดีกว่าใคร ยิ่งใครมีรสนิยมชอบหนุ่มผิวเข้มนะ รับรองว่ามองจนเหลียวหลังแน่

เชื่อเถอะ ประสบการณ์ตรงนี้มาจากผมเอง ขนาดรสนิยมผมไม่ใช่คนผิวเข้ม ผมยังโงหัวไม่ขึ้นเลย

หัวใจผมใช่ว่าจะเข้มแข็ง มันก็กลัวเหมือนกันว่าหากวันที่ดัมพ์จะโบยบินไปบนดาวระยิบอยู่บนเวิ้งฟ้านั้นแล้ว ผมที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังจะเป็นยังไง


ดัมพ์กับผิวหมาดน้ำก้าวเข้ามาในห้องพร้อมผ้าเช็ดตัวผูกไว้หมิ่นเหม่บนเอวชะลูด ท่อนล่างของดัมพ์นั้นผอมกว่าด้านบน อย่างใครเขาเรียกตูดปอดยอดขุนพล ช่วงไหล่กว้าง หนา มีกล้ามเนื้อแน่นตึง

เขาปิดประตูล็อกกลอนตามหลัง

“อย่าเพิ่งปิดสิ เดี๋ยวว่าจะไปห้องปังปอนด์” ผมท้วง

“ช่างมันเถอะ สนใจกูดีกว่า” ดัมพ์ยิ้มแฉ่งอวดฟันขาว สายตาวิบวับ

ใครจะรู้ความหมายสายตาแบบนี้ของดัมพ์ดีกว่าผมล่ะ

ผมหลบสายตาร้อนแรงของเขา เอ่ยอ้อมแอ้ม “ไม่เอาน่า จะอ่านหนังสือ”

“ไว้อ่านวันหลัง”

“อะไรเล่า”

ดัมพ์โถมตัวลงมาที่เตียงซึ่งผมกำลังนอนแผ่หลาอ่านหนังสืออยู่

“เปียกหมดแล้ว”

“เดี๋ยวก็แห้ง”

“ไม่ดี”

“ดีสิ”

“คึกอะไร” เสียงผมอู้อี้ด้วยถูกเขาโถมตัวลงมาโครมเดียว

เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ วงแขนโอบผมไว้ไม่ให้หนีไปได้ เขาจับหนังสือวางไว้ห่าง ๆ ก่อนค่อย ๆ เลื่อนหน้าเข้ามาชิดอีก ลมหายใจร้อนผ่าว ผมเผลอกลืนน้ำลาย ก่อนจะร้องออกมา

“กัดทำไม”

“หมั่นเขี้ยว” ดัมพ์หัวเราะหึ ๆ อยู่กับคอของผม เมื่อกี้เขากัดไปคำใหญ่เลย “แล้วมาทำเป็นอิดออด ทั้งที่รอเหมือนกัน”

“รออะไรเล่า ไม่ได้รอ”

“ก็รอนี่ไง”

พร้อมกับคำว่า ‘นี่’ เขากระชากผ้าเช็ดตัวอันเป็นปราการสุดท้ายโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ผมเห็นเขาตื่นตัวพร้อมอยู่แล้ว “นี่ไม่คิดอะไรอย่างอื่นเลยเหรอ”

“ผู้ชายกว่าครึ่งก็คิดเรื่องนี้ทั้งนั้นแหละ”

“ลามกว่ะ”

“ลามกแล้วดีมั้ย หือ”

“ไม่เช็ดตัวให้ดี เดี๋ยวก็หนาวหรอก” ผมจับลำแขนซึ่งกล้ามขึ้นเป็นมัด ๆ นึกหมั่นเขี้ยวไม่แพ้กันจึงอ้าปากงับเอากล้ามแข็ง ๆ ตรงแขนของเขา

ดัมพ์หัวเราะอย่างชอบใจ “กัดไม่ดีหรอก ทำอย่างอื่นดีกว่า”

กำลังจะประท้วงว่าคุณก็เพิ่งกัดคอผมไปนะเว้ย แต่ก็ถูกปิดปากด้วยปากเสียก่อน ดัมพ์จูบนุ่มนวลผิดวิสัย ก่อนจะโหมกระหน่ำตะกรุมตะกรามราวคนหิวโซ

ยิ่งสัมผัสกันและกัน ผมยิ่งถลำลึก

ยิ่งเติมเต็ม ยิ่งโหยหา ราวกับใจผมเป็นหลุมดำอันไร้ก้น ดูดกลืนเข้าไปเท่าไรก็หายลับ

ผมสนองตอบดัมพ์ไปด้วยความดุดันเท่ากัน กอดรัดเขา เรียกร้องจากเขา ให้ตัวเองเป็นของเขาในทุก ๆ ส่วน และครอบครองเขาเท่าที่จะเอื้อมมือคว้าได้

อย่างน้อย...ตอนนี้เขาก็เป็นของผม


To be Continued.

ป.ล. ตอนนี้อาจสั้นนิดนึง เดี๋ยวมาพบกับตอนหน้ายาว ๆ เลยนะคะ
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 07-01-2018 11:20:23
ลุ้นมากๆเลย ทั้งคู่เหมือนจะชัดเจนแต่ก็คลุมเครือ อยากอ่านมุมดัมพ์บ้างอ่า
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-01-2018 11:38:55
 :L2: :pig4:
เราก็บวกด้วย
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 07-01-2018 12:44:21
มันเหมือนจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้เลยอ่ะ
ตามติดๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 07-01-2018 16:38:01
เป็นนิยายที่อ่านตอนเค้าสวีทกันแล้วกลัวเหลือเกิน
กลัวต้องแยกกันนนน ฮือออออ
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 07-01-2018 17:04:55
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 07-01-2018 17:23:04
มันเหมื่อนจะมีจุดพลิกผัน  เหมือนจะมีอะไรซ่อนอยู่

รอๆๆๆ ค่ะ    :3123:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-01-2018 19:20:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 07-01-2018 19:46:13
ยังเป็นความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Fujung ที่ 07-01-2018 20:34:33
คนที่รักก่อนมักเจ็บกว่าเสนอนะหะ
เรื่องนี้พี่แนะให้ไปปรึกษา พี่อ้อยพี่ฉอด

ขอเก็บข้อมูลอีกนิดละกัน ว่าควรวางธงไว้ฝั่งไหน
เราก็ไม่อยากเจ็บอะนะ :katai5:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 08-01-2018 01:49:43
ว้ายยยยยย เรื่องนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆๆๆๆ ชั้นสัมผัสด้ายยยยยยย กรี้สสสสส
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: aorpp ที่ 08-01-2018 04:27:30
ใครจะเป็นพระเอกของเรื่องนี้น้าาาา
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 08-01-2018 23:46:13
แค่ชื่อคนแต่งก็การันตีผลงานได้ระดับหนึ่งแล้วครับ พี่แป้งจี่ Wordslinger ของเรา คงไม่ทำให้ผิดหวังกันแน่ๆ และจากที่ผมอ่าน บทบรรยายดำเนินก็ค่อนข้างสดใสโดดเด่น มีติดตลก ทำให้อ่านได้ง่าย เพลินตา แต่เนื้อเรื่องเองก็ค่อนข้างหนักอยู่เหมือนกันนะครับ

จากที่ผมเคยอ่านงานของพี่แป้งจี่ โครงสร้างงานของเขาจะได้อารมณ์ต่างจังหวัด เก็บรายละเอียดฉากประกอบได้ดี มีบทบรรยายแบบใกล้ชิดสนิทสนม หรือเป็นการเล่าเรื่องแบบที่ค่อยเป็นค่อยไป การบรรยายแบบนี้ทำให้มีข้อดีสามารถใส่ข้อมูลเข้ามาได้เรื่อยๆ และสามารถปรับสภาพอารมณ์ที่เราจะสื่อให้คนอ่านได้ ทำให้เล่นกับพล็อตได้เยอะ เข้ากับพล็อตได้ทุกรูปแบบ และจากสามตอนแรกที่ผมประเมินได้ว่าเนื้อเรื่องน่าจะค่อนข้างหนัก ก็ถือว่าเป็นแนวใหม่ของพี่แป้งจี่เลย น่าติดตามมาก

และที่สำคัญที่สุด เรื่องนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ตัวพระทำให้ผมตะลึงลานได้ขนาดนี้นะครับ นฤเบศออกมาได้แค่ ๓ ตอน แต่ดีกรีความเท่และภาพลักษณ์บุคลิกของเขาทะลุร้อยไปแล้วล่ะมั้งสำหรับผม (หัวเราะ) ด้วยฝีมือการเขียนและทักษะการใช้ภาษาในการบรรยายของพี่แป้งจี่ นี่แหละครับ คือ พระเอกสายร้าย ที่มีบุคลิกราวกับเสือที่คอยขย้ำเหยื่อโดยที่เขาไม่คิดปกปิดมัน และมีมาดของความนิ่งอย่างกับน้ำแข็งเพราะรู้จักตัวเองดีและยอมรับมัน นี่คือพระเอกสายร้าย เจ้าชายมาเฟีย อย่างที่มันที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ตัวละครที่ขยันพล่ามมากแต่การกระทำไร้สติ แบบในนิยายมาเฟียเกลื่อนตลาด

บุคลิกของพระเอกที่นิ่ง แต่ร้ายและหยิ่งผยองในฝีมือของตัวเอง พยายามแข็งแกร่งได้ด้วยตัวเอง แม้จะถูกกระทำแต่ก็ไม่ยอมแพ้ แถมยังรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นยังไง มีรัศมีของความเป็นผู้นำฉายชัดแบบที่คนอื่นมักจะศิโรราบ นี่เป็นบุคลิกของพระเอกที่ผมชื่นชอบที่สุด

ตัวละครแบบนฤเบศจะไม่ยอมการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ไม่ชอบรุมคน เขาจะกล้าชนและกล้าสู้ แม้จะแพ้ก็จริง แต่ใจเค้าจะไม่มีวันยอมแพ้ ไม่ยอมให้ใครมาออกรับแทนเขา บวกกับบุคลิกเสน่ห์แนวร้ายที่มีมหาศาลของเขา และเมื่อมันออกมาด้วยฝีมือบรรยายระดับพี่แป้งจี่ ไม่แปลกที่การกระทำทุกอย่างของนฤเบศนี่ขโมยซีนให้ผมตะลึงได้ทุกครั้งครับ ทั้งฉากแรกที่โผล่มาแวบเดียว พ่นควันบุหรี่แล้วพูดสั้นๆนี่ อื้อหือ เท่สุดอะไรสุด และฉากที่เต๋าบังเอิญต่อยสวนไปด้วยความตกใจ และมันทำให้นฤเบศเกิดความโกรธที่พลุ่งพล่านจนต้องไปหาที่ระบายออก แต่เขากลับไม่พูดอะไรและนิ่งเพราะรู้ตัวเองดีว่าจะเผลอทำให้เต๋าได้รับอันตราย แค่นี้ผมก็เทใจให้ไปแทบหมดก๊อกแล้วครับ

ในทางกลับกัน ผมกลับรู้สึกว่าฉากรักระหว่างดัมพ์กับเต๋าดูไม่ค่อยร้อนแรงเท่าไหร่ มันอาจเป็นเจตนาของพี่แป้งจี่ก็ได้นะครับ เพราะความสัมพันธ์ของสองคนนี้เกิดจากความอยากรู้อยากลอง แต่ระดับของเซ็กซ์ที่ผมอ่าน มันยังไม่ถึงขั้นระดับไฟร้อนของกามราคะหรือความหลงในเสน่ห์นะครับ คือ กราฟความรู้สึกของผมที่อ่านฉากคือมันวาบหวามนะ แต่ยังไม่เร้าอารมณ์ถึงขั้น ผมคาดเดาว่ามันอาจจะเป็นที่บทบรรยายที่ยังไม่เข้าถึงอรรถรสของกามกิจก็ได้ ถ้าเราเข้าถึงการตีอารมณ์ของคนอ่านให้พุ่งสูงกว่านี้ได้ ก็จะเป็นทักษะที่เยี่ยมยอดครับ

ดังนั้น คำถามคือ บทอัศจรรย์ระหว่างดัมพ์กับเต๋า ผมควรจะรู้สึกถึงขั้นนั้นไหม ถ้าใช่ ก็อาจจะต้องรบกวนพี่แป้งจี่ดูตรงบทอัศจรรย์นี้ด้วยนะครับ แต่ถ้าไม่ใช่ บทบรรยายเดิมก็โอเคแล้ว (เช่นเดียวกัน ถ้าในอนาคต ความสัมพันธ์ที่ร้อนแรง ก็อาจจะต้องมีบทบรรยายที่หนักหน่วงร้อนแรงกว่านี้นะครับ)
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-01-2018 21:22:31
ดูท่าแล้วน่าจะหนักหน่วงมากๆแน่เลยค่ะ นี่แอบเชียร์ดัมพ์นะคะ ลุ้น  :hao5:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: pipoo ที่ 13-02-2018 01:49:49
สนุกๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 16-03-2018 19:36:24
คิดถึง นฤเบศ แล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 20-03-2018 00:54:50
มาต่อเถ้ออออออออออ TT
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 4 - Like a Moth to a Flame [07-01-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 29-07-2018 00:03:15
 :mew2: เข้ามาดันกระทู้ไว้ก่อน กลัวหายไปเพราะไม่ได้มาต่อนาน เรื่องของสามหนุ่มสามมุมกำลังเขียนนะคะ พร้อมเมื่อไหร่จะเอามาลงให้อ่านทันทีเลยค่า แป้งจี่ฯ รักทุกคนนนนนน
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 5 - To Ride or Go Against the Tide [14-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 14-08-2018 23:41:08
ใช่ค่ะ...หลายเดือนผ่านไป ก็เพิ่งเอาตอนใหม่มาลง ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากว่าแป้งจี่ฯ ต้องขอโทษทุกๆ คนที่รออ่านด้วยนะคะ ได้โปรดอย่าโบยตีเลยค่ะ  :z3:

ถ้าเพื่อนคนไหนลืมเนื้อเรื่องไปแล้ว ก็อาจกลับไปอ่านตั้งแต่ตอนที่หนึ่งใหม่ได้นะคะ และต่อไปนี้จะพยายามมาให้สม่ำเสมอค่า ^____^



Chapter 5

To Ride or Go against the Tide


ชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัย ‘บางคน’ จะมีอะไร นอกจากอ่านหนังสือบ้างเป็นบางโอกาส ปั่นงานส่งจนแทบไม่ทันในบางครั้ง ติดเกมในโทรศัพท์จนลืมกินลืมนอน ออกไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนแล้วเมามายกลับมาห้อง และติดผู้ชาย


ใช่ครับ ‘บางคน’ นั้นก็คือผมนี่เอง


ความรู้สึกที่ผมมีต่อดัมพ์อาจเปรียบได้กับตื่นขึ้นมาตอนเช้า เดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า แปรงฟัน และทำความสะอาดร่างกายก่อนไปเรียน มันเป็นสิ่งที่กระทำจนเคยชิน ทราบว่ามีอยู่ และจะต้องมีต่อไป ไม่มีวันที่จะหยุดจนกว่าวันหนึ่งลมหายใจจะหมดไป


ผมรู้มานานแล้วละว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร แต่อย่างที่เคยบอกมาแล้ว ผมไม่เคยพูดอะไรกับดัมพ์ มันเองก็ไม่เคยพูดอะไรเช่นกัน เรามองตากันก็เข้าใจ เห็นมุมปากกระตุกยิ้มก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แค่เขายิ้มพร้อมประกายวิบวับในดวงตาผมก็เดินตามเข้าห้องนอนแล้ว ความสัมพันธ์ทางกายของเราเหมือนเป็นการหายใจ มันเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่มีการขัดขืน


อย่างไรก็ตาม...การสัมผัสลึกซึ้งก็ยังเกิดขึ้นเบื้องหลังประตูปิดล็อกลงกลอนอยู่ดี คนอื่นไม่รู้ว่าเราลึกซึ้ง มีแต่เพื่อนสนิทที่ได้แต่พูดออกมาในเชิงล้อเลียน...แต่จริงๆ แล้วพวกมันก็ไม่แน่ใจเช่นกัน เรียกว่าหากจะฟันธงก็ยังชะงักมีดไว้ก่อน ไม่กล้าฟันลงไปจริงๆ



ช่วงนี้ผมสังเกตว่างานของดัมพ์ค่อนข้างชุกมากกว่าแต่ก่อน ยิ่งวันก็ยิ่งได้เจอกันน้อยลง แต่ยังดีที่ดัมพ์ยังตามเรื่องเรียนไม่บกพร่อง ดังนั้นผมจึงตัวติดกับแทนไทยิ่งกว่าหมากฝรั่งติดพื้นรองเท้า บางครั้งคุณแทนไทเกลอแก้วก็มาค้างที่ห้องด้วย ซึ่งวันไหนเป็นอย่างนั้นผมก็รู้สึกว่าไม่ต้องทำความสะอาดหูเลย เพราะคุณแทนไทกับคุณปังปอนด์ก็เหมือนลิ้นกับฟัน อยู่ใกล้กันเป็นฉะกันตลอด


ทว่าวันนี้พออาจารย์ปล่อยพวกเราออกมาสู่อิสระราวกับปล่อยนกโบยบิน คุณแทนไทก็บินไปทันที บอกว่าวันนี้มารดาให้กลับรวงรัง ไม่เช่นนั้นจะตัดเงินค่าขนม ผมจึงต้องยืนแกร่วอยู่คนเดียวตรงใต้อาคารเรียน ปังปอนด์ส่งไลน์มาบอกแล้วว่าให้ผมกลับก่อนได้เลย ส่วนดัมพ์นั้นไม่แน่ใจว่าวันนี้มีงานหรือไม่ ทว่าก่อนที่ผมจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความนั้นเอง คนอยู่ในใจก็โทร.มาพอดี


(กลับหรือยัง) ดัมพ์น้ำเสียงใสแจ๋ว


“ยังเลย แทนไทเพิ่งทิ้งไปเนี่ย”


(งั้นรอก่อน เดี๋ยวไปหา อยู่ที่ตึกคณะใช่ไหม)


ผมตอบไปว่าใช่ ไม่นานจากนั้นเกลอหัวใจก็เดินมาหา ดัมพ์ในชุดนักศึกษาดูน่ามองอย่างยิ่ง แม้ว่าเส้นผมจะยุ่งนิดหน่อย แขนเสื้อพับขึ้นมาไว้ตรงข้อศอก นักศึกษาสาวหลายคนที่กำลังนั่งจับกลุ่มทำงานกันอยู่แถวนั้นต่างหันมามอง คงเพราะออร่าของคนในวงการบันเทิงกระมัง


คงมีแค่ผมที่ไม่เห็นความต่างของดัมพ์เป็นสิ่งแปลก แต่สีผิวและหน้าตาของเขาก็บอกยี่ห้อคนต่างชาติ ซ้ำยังเป็นต่างชาติผิวสี เคยมีคนเข้าไปทักเขาเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยนึกว่าเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนในโครงการอะไรสักอย่างของมหาวิทยาลัย


“รีบวิ่งมาเลยนะเนี่ย”


ดัมพ์ยิ้มกว้าง เห็นฟันขาวเรียงสวย


“หอบเชียว อย่าเพิ่งเป็นลมนะ”


“โห ไม่อ่อนขนาดนั้นครับคุณ”


เราออกเดินไปตามทางเท้าเพื่อไปหน้ามหาวิทยาลัย


“หิวหรือยัง กินอะไรกันไหม”


ดัมพ์เอ่ยถามขณะใช้หลังมือเช็ดเหงื่อตรงขมับ


“แถวนี้ไหมล่ะ ร้านตามสั่งเจ้าประจำไหม”


“อืม” เขาคิ้วขมวด “ไม่ดีกว่า เดี๋ยววันนี้พาไปข้างนอก”


“นี่ก็ข้างนอก”


“ที่ใหม่ๆ ไง” เขาหันมายิ้มให้ผม ดวงตาหวานเชื่อม “ไปกันสองคน”



ดัมพ์อยู่ในชุดกางเกงยีนส์และเสื้อยืดยี่ห้อแพง เสื้อผ้าพวกนี้เขาซื้อเองบ้าง พี่แววซื้อให้บ้าง โดยบอกว่าต้องใส่เสื้อผ้าสวยๆ มีระดับ ทำงานวงการบันเทิงต้องใช้หน้าตาเป็นหลัก จะมาไก่กาไม่ได้


ผมเองพอเห็นดังนั้นก็รีบหยิบเอาชุดที่คิดว่าค่อนข้างดูดีสักหน่อยออกมาจากตู้ อย่างน้อยตอนยืนอยู่ด้วยกันจะได้ดูไม่ต่ำต้อยด้อยค่า


เรามาถึงที่หมายด้วยรถแท็กซี่ ดัมพ์ออกค่าโดยสารขามา ผมเลยต้องออกขากลับ พอมองเห็นร้านเท่านั้นแหละ ผมก็ต้องชะงัก เพราะเป็นร้านหรูในย่านธุรกิจ มองจากภายนอกก็รู้แล้วว่าคนเดินดินทั่วไปไม่ค่อยเข้ามากินนักหรอก


“เดี๋ยว” ผมรั้งแขนดัมพ์ไว้ “เดือนนี้ต้องประหยัดหน่อยแล้วว่ะ เข้าร้านนี้จะดีเหรอ”


“ดีสิ” ดัมพ์ยังคงยิ้ม “วันนี้ถูกหวย”


“เฮ้ย จริงดิ”


เขาอมยิ้ม “วันนี้กินได้เต็มที่”


“นี่ไม่ได้อำ?”


“เอาเหอะน่า” ดัมพ์ยกมือวางบนหัวของผม ดันให้เดินเข้าไปในร้าน “วันนี้มีเงินเลี้ยงก็แล้วกัน แต่ของดส้มตำของชอบมึงไว้ก่อนนะ วันนี้เป็นอาหารญี่ปุ่น”


“หูย...ท่าจะแพงน่าดูเลย”


“แพงแล้วไง วันนี้มากับป๋า”


ดัมพ์ดันผมเข้าไปในร้านจนได้ จะขืนแรงช้างสารของมันก็กระไรอยู่ จึงปล่อยเลยตามเลย ก็ป๋าบอกว่ามีสตางค์จ่าย อีหนูอย่างผมก็จะปฏิเสธทำไม มีน้ำให้ตามก็ต้องตามไป


ก้าวเข้ามาในร้านก็ราวกับก้าวผ่านประตูของโดราเอม่อน เมื่อกี้ยังอยู่บางกอกเมืองฟ้าอมร ตอนนี้มาอยู่แดนอาทิตย์อุทัยแล้ว ดัมพ์อมยิ้มตลอดเวลาที่พนักงานสาวสวยในชุดยูกาตะเดินนำไปยังที่นั่งของเรา ที่นี่มีฉากกั้นโต๊ะแต่ละชุดเพื่อความเป็นส่วนตัวเท่าที่จะมีได้


เมื่อนั่งกับที่เรียบร้อยแล้ว ดัมพ์ก็บอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


“อยากกินอะไร สั่งได้เลย”


ผมหรี่ตามอง “ไปรวยมาจากไหนเนี่ย”


“บอกตอนนี้ก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ เอาเป็นว่าสั่งได้ตามใจ เอาให้พุงกางเลย”


ดังนั้นผมจึงสั่งเท่าที่คิดว่าจะรับประทานได้หมดสำหรับสองคน ตอนที่ออกจากห้องก็แปลกใจว่าแค่ออกไปกินข้าวเย็นทำไมจะต้องแต่งตัวพิถีพิถันขนาดนั้น พอมาถึงที่จึงรู้ว่าเพราะเหตุนี้เอง


“เอาแค่นั้นเหรอ”


“เดี๋ยวกินไม่หมด”


“งั้นกูสั่งอีกนะ หิวมาก”


แล้วเกลอในดวงใจก็สั่งมาอีกสามสี่อย่าง ผมมองราคาในเมนูแล้วก็รู้สึกเหงื่อเย็นๆ ไหลลงแผ่นหลัง ทั้งเนื้อทั้งตัวมีถึงพันหรือเปล่ายังไม่แน่ใจ แค่คำนวณจากทุกเมนูที่เราสั่ง ผมก็แทบจะหมดลมหายใจอยู่ตรงนี้


เมื่อพนักงานในชุดสวยเดินห่างไปแล้ว ดัมพ์ก็เท้าแขนกับโต๊ะ จ้องหน้าผมเขม็ง


เกิดอาการประหม่าเล็กน้อย จึงเอ่ยแก้เก้อ “อะไร”


เขาเงียบ เอาแต่ยิ้ม ราวกับว่าการยิ้มเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้


“ยิ้มอยู่ได้ เป็นบ้าเหรอ”


เขาหลุดเสียงหัวเราะออกมา ตาคมๆ ภายใต้ขนตาดกหนาเป็นแพยามนี้มีประกายระยับราวกับเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยๆ วิ่งเล่นไล่จับตั๊กแตนในวารวันผันผ่าน


“ไม่บ้า แต่พามาฉลอง”


“ฉลองอะไร”


“คิดว่าฉลองอะไรล่ะ”


“เดี๋ยว อย่าบอกนะว่า...” ผมอ้าปากหวอ ในสมองเริ่มประมวลว่าอะไรทำให้เขาอารมณ์ดีขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าฝันที่วาดหวังมานานได้เป็นจริงแล้วละก็ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องอะไรอีก


“กูได้เล่นละครแล้ว!” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความดีใจ ใบหน้าของเขาราวกับจะเปล่งประกายออกมาเพราะความสุขนั้น


คำพูดประโยคนั้นของดัมพ์อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก นี่ใช่ไหมสิ่งที่เขาฝันไว้ นี่สินะสิ่งที่เขาวางแผนเตรียมการไว้อย่างดีสำหรับอนาคตของตัวเอง ความรู้สึกของผมตอนนี้สับสนนิดหน่อย คล้ายกับไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นการหยอกเล่นหรือเปล่า แต่แล้วก็กลับรู้สึกลิงโลดราวกับว่าตัวเองได้ทำสำเร็จตามฝันเสียเอง แต่มันจะแปลกอะไร ในเมื่อในความคิดของผม...เราเป็นคนคนเดียวกัน สิ่งที่ดัมพ์หวังผมก็จะร่วมดีใจไปกับเขาด้วย


แม้ว่าในใจลึกๆ แล้วจะเกิดความกลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ว่านี่เขาก็จะไกลออกไปจากผมอีกก้าวหนึ่งแล้วใช่ไหม


ที่ผมหวังไว้ลึกๆ ว่าอยากให้เขาอยู่ด้วยกันตลอดไปนั้นคงเป็นจริงไม่ได้


“ดีใจด้วยนะเว้ย”


“ขอบใจนะ” เขาเอ่ยออกมา มองหน้าผมด้วยดวงตาสุกใส “ฉลองกับเต๋าคนแรกเลย เราโตมาด้วยกัน มากกว่าพี่น้องซะอีก พอได้อย่างฝันไว้ก็นึกถึงมึงเลยนะ”


เมื่อก่อนดัมพ์ได้รับเพียงงานเดินแบบหรือโฆษณาเล็กๆ น้อยๆ เขาบอกเสมอว่าทางค่ายยังไม่ค่อยโปรโมตเท่าไหร่ มาตอนนี้ได้รับงานละครก็เหมือนกับการได้รับแรงผลักให้กระโดดลอยขึ้นไปในอากาศ จะเป็นดาวค้างฟ้า หรือแสงวาบของดาวสิ้นอายุขัยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและความตั้งใจของดัมพ์เองแล้ว


อาหารมื้อนั้นรู้สึกว่าอร่อยเป็นพิเศษ ดัมพ์กินได้เยอะกว่าปรกติ ไม่สนใจสักนิดว่าหุ่นจะเสียหรือเปล่า อย่างว่าแหละ...ดัมพ์ออกกำลังกายบ่อยๆ ที่ห้องยังมีอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ สำหรับรีดไขมันเลย


“นี่...” เขาคีบเนื้อปลาดิบมาให้ผม “กินเยอะๆ ป๋าเลี้ยง”


“หมั่นไส้ป๋าว่ะ” ผมคร้านจะเถียง เลยได้แต่คีบเนื้อปลานั้นจิ้มกับวาซาบิแล้วยัดเข้าปาก “อื๊อ”


ดัมพ์หัวเราะก๊าก “จิ้มเยอะไปไง”


“มือมันพลาด”


“เผ็ดส้มตำยังกินได้” เขาว่า


“อันนั้นได้รสปลาร้ากลบเผ็ดนี่หว่า”


“จริงเหรอ” เขาทำเสียงล้อเลียน “ว่าแต่...”


“อะไร”


ดัมพ์ยื่นหน้าใกล้ ริมฝีปากบนล่างของเขาแนบกันสนิท วาดเป็นรูปโค้งของรอยยิ้ม กอปรกับแววตาพราวระยับนั่นอีก เสน่ห์ที่เขาหว่านมาจึงโดนตัวผมตั้งแต่หัวจดปลายเท้า


เสียงกระซิบกระซาบของเขาเรียกให้ในท้องของผมปั่นป่วนไปหมด


“คืนนี้อย่าลืมร้องอย่างนี้บ้างสิ”


“ระ...ร้องยังไง”


“อื๊อ”


จะอุทานเป็นตัวเงินตัวทองก็ไม่ได้ เลยหันหน้าหนีไปมองชิ้นปลาดิบ ราวกับว่าชังน้ำหน้าของดัมพ์เสียแล้ว มือผมกำตะเกียบแน่นจนกลัวมันจะหักคามือ ความพิเรนทร์ของเพื่อนตัวเองนี่ไม่มีจุดสิ้นสุด ราวกับความเค็มของน้ำทะเลก็ไม่ปาน


“เขินเลย” ดัมพ์หัวเราะราวกับเด็กๆ


“ไอ้...”


ขืนปล่อยให้เขารุกอย่างนี้ มีหวังเมืองของเราต้องพ่ายเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย เราต้องเป็นฝ่ายบุกบ้าง ผมคีบเอาข้าวปั้นหน้าปลาดิบได้ก็ยัดเข้าปากเขาทันที ดัมพ์ซึ่งกำลังหัวเราะชอบใจตั้งตัวไม่ทันเลยต้องรับเอาเข้าปากอย่างช่วยไม่ได้


“แล้วตกลงละครเรื่องอะไรวะ”


“เกี่ยวกับทะเลทรายแล้วก็หน่วยอินเทอร์โพล”


“อิน...อะไรนะ”


“ตำรวจสากลน่ะ กูหน้าแบบนี้ไง เลยได้เล่นเป็นฝรั่ง”


“ต้องมีบทบู๊รึเปล่า”


“แน่นอนสิครับ”


ผมมองแขนของดัมพ์ซึ่งใหญ่เท่าลำคอผม มองแผ่นอกบึกบึนที่เสื้อยืดไม่อาจปกปิดได้ จะว่าไปเขาก็เหมาะกับบทนี้จริงๆ


“จะรอดูนะ”


“แน่นอนอยู่แล้ว วันไหนออนแอร์ต้องมานั่งดูด้วยกันหน้าทีวีเลย”


แม้จะพูดอย่างนั้น เราก็รู้ว่าละครที่เขาได้ร่วมเล่นนี้คงจะยังไม่เปิดกล้องเร็วๆ นี้หรอก กระนั้นก็เป็นนิมิตหมายที่ดีไม่ใช่หรือว่าเส้นทางบันเทิงได้เปิดกว้างให้เขาแล้ว เทพธิดาแห่งโชคชะตาก็กำลังโปรยยิ้มให้เขา ผมได้แต่มองดัมพ์เคี้ยวข้าวด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข ดีใจกับเพื่อน แม้ว่าในเส้นทางการเป็นดวงดาวอาจไม่มีผมได้เดินเคียงข้าง



“เห็นเอ็มวีนี้ไหม”


คุณแทนไทแทบจะทิ่มโทรศัพท์มือถือเข้าตาผม นี่ถ้าไม่ถองสีข้างให้มันขยับออกห่าง ผมคงเจ็บตาแน่ๆ


“เห็นแล้ว”


“แหม่...” แทนไททำเสียง “เพื่อนเรานี่มันซู้ดยอดจริงๆ รู้สึกจะเริ่มดังแล้วนะ งานเข้ารัวๆ ทั้งเดินแบบเอย ทั้งเล่นเอ็มวีเอย อีกหน่อยก็คงได้เล่นละครแล้วว่ะ”


ไอ้คุณแทนไทยังไม่รู้หรอกว่าเพื่อนของมันจะได้เล่นละครแล้ว ด้วยดัมพ์ยังไม่อยากบอกใครนอกจากผม ตอนนี้ก็ค่อยๆ สุมงานเข้ามาเรื่อยๆ เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น พอเปิดกล้องนั่นแหละกระมังเขาถึงจะบอกคนอื่นๆ


“จะว่าไป...วันก่อนเห็นมันเอารูปเดินแบบมาให้ดู ถอดเสื้อด้วยนะ หูย...น้ำลายหก”


“แทนไท...”


“จ๋า”


“น้ำลายหก?”


เพื่อนยกมือยอมแพ้ “โอเค กูพูดไปงั้นแหละ ก็มันมีกล้ามไง จะสื่อว่าแบบ...กล้ามเป็นมัดๆ สาวๆ เห็นคงน้ำลายไหล”


“มึงก็มีเป็นมัดๆ เหมือนกันนะ”


แทนไทยิ้มกว้าง จับไหล่ผมอย่างดีใจ “จริงเหรอวะ แหม...ที่กูลุกมาวิ่งแต่เช้าทุกวันนี่ก็ได้ผลงั้นสิ”


“คือ...กล้ามท้องมึงเป็นมัดๆ เลย” ผมเหล่มองท้องเพื่อนที่เริ่ม ‘สูง’ ออกมาด้านหน้า “แบบข้าวต้มมัดน่ะ”


มีหรือมันจะสะทกสะท้าน “อยากจับไหมที่เลิฟ อะ...จับเลยๆ”


“ไม่อยากจับโว้ย พุงทั้งนั้น” ผมผลักมันออกอย่างไม่เห็นค่า “วิ่งทุกวันจริง แต่กินเยอะฉิบหาย”


“อ้าว คนมีตังค์”


“วู้ ขี้เกียจเถียง”


แทนไททำหน้าเซ็ง “วันนี้คุณจืดเขาไม่มานั่งกับเราเหรอวะ”


“มันก็มีเรียนของมันไหมล่ะ”


ความจริงพวกเรากำลังช่วยกันเตรียม PowerPoint ในหัวข้อเกี่ยวกับการตลาดยุคใหม่ แต่เพราะความตัวเป็นขนของแทนไท และความคิดของผมที่เอาแต่จะแล่นไปหาดัมพ์ ทำให้งานเราไม่คืบหน้าไปถึงไหน สุดท้ายก็เปิดดูเอ็มวีที่ดัมพ์ได้เล่นประกบกับนักแสดงสาวสวยคนหนึ่ง


“มันไม่มาก็ไม่มีคนด่ากู” แทนไทบ่น “กูอยากโดนด่า”


“กูด่ามึงก็ได้”


แทนไททำปากเบ้ ราวกับเด็กทารกเอาแต่ใจ “มึงด่าไม่ได้อารมณ์! แห้งแล้ง!”


“ไร้สาระ!”


แทนไทส่ายหน้าไปทางขวา


“เพ้อเจ้อ!”


ส่ายหน้าไปทางซ้าย


“โว้ย จะให้ด่าถึงบุพการีเลยไหม” ผมเบื่อจะทำตามความต้องการของเพื่อน เชิญส่ายหน้าให้คอหักไปเลย


“ถึงเพื่อนจะเลียนคำด่าของคุณจืดเขา แต่ก็ไม่ใช่คุณจืด ยังไงก็ไม่เหมือน”


“แหม...อย่างนี้ละเรียกหา ทีอยู่ต่อหน้าละเงียบเชียวนะ”


“เงียบที่ไหนวะ กูก็ตอกกลับเหอะ”


“แต่คำตอบกลับของมึงหงอมากๆ”


ผมเอ่ยบริภาษแทนไท แต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก เห็นเพื่อนเงียบเป็นเป่าสากจึงหันมอง แทนไทนั่งนิ่งเงยหน้าขึ้นประจัญสายตากับใครบางคนซึ่งกำลังยืนสูงอย่างกับเสาไฟฟ้าอยู่ใกล้ๆ ชุดโต๊ะหินอ่อนที่เรานั่ง


“มึงมาทำไม” ถึงประโยคจะดูหาเรื่อง แต่น้ำเสียงของแทนไทก็สงสัยจริงๆ


นฤเบศหันมามองผมแล้วตอบราวกับพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ “มาดูของดี”


“ของดีอะไรวะ” บอกว่าแทนไทงงเป็นไก่ตาแตกยังน้อยไป


นฤเบศไม่สนใจกับเพื่อนตาแตกของผม แต่เดินมานั่งเก้าอี้ที่ใกล้กัน เขาคว้าเอาไอติมแท่งรสผลไม้สีต่างๆ จากในถุงพลาสติกที่ถือมาด้วยออกมาแกะห่อออกกิน พิจารณาจากใบหน้าและบุคลิกแล้ว ดูไม่เหมาะกันมากๆ กับสิ่งที่ถืออยู่ในมือ


“ที่คณะไม่มีที่นั่งกินไอติมเหรอ” ทนไม่ไหว ปากไปเองก่อนเลย


“มี”


“แล้วทำไมมากินถึงนี่”


“กินที่นั่นแล้วไม้ไอติมติดคอ”


“บ้านคุณเขากินไอติมทั้งไม้เหรอ”


“จะลองไหม”


ไม่พูดเปล่า นฤเบศยื่นไอติมซึ่งผมเห็นกับตาตัวเองว่าเขาเพิ่งเลียไปแล้วหลายแผล็บนั้นมาข้างหน้าผม จ่อติดจนชิดริมฝีปากเลย


“โห...” หูได้ยินเสียงแทนไทอุทาน แต่ไม่ได้หันไปดูว่าทำสีหน้าอย่างไร ผมเบือนหน้าหนี “ไม่เอา”


“หรือจะเอาไอติม ‘อย่างอื่น’”


เน้นเสียงขนาดนี้ ไม่ต้องตีความเป็นอื่นหรอก ความหมายหนีไม่พ้นเรื่องใต้เข็มขัดแน่ๆ “ทุเรศ”


ผมฟาดคำหยาบออกไป แต่นฤเบศก็คือสิ่งเดียวกับหินผา คือไม่สะทกสะท้าน เขาดึงไอติมกลับไปอมทั้งอัน แล้วกัดออกไปคำใหญ่ “ปากเก่งว่ะ”


“บริหารไม่เก่งแต่ปากนะ” ผมวางปากกาลงกับโต๊ะ กำหมัดเตรียมพร้อม


เขาเลียริมฝีปากที่เลอะไปด้วยน้ำไอศกรีม “ไม่รู้ละ ยังไงก็ต้องลองดูที่ปากก่อนละว่าเป็นยังไง จะ ‘เก่ง’ หรือเปล่า หืม...ลูกเต๋า” เขาลากเสียงตรงชื่อเล่นของผมอย่างมีความหมาย


แทนไทร้องเฮ้ยออกมาได้เพียงสามส่วนสี่ของคำ มือของผมก็ปลิวหวือออกไปเสียแล้ว จุดหมายปลายทางคือซีกซ้ายของใบหน้านฤเบศ เขามองผมนิ่งแต่มือที่วางเท้าโต๊ะเฉยอยู่เมื่อครู่ก็ฉกขึ้นมาราวกับเป็นอสรพิษ รับหมัดผมไว้ในกำมืออย่างทันท่วงที ในขณะที่มือขวาก็ยังจับไอศกรีมตะบวยนั่นใส่ปากกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยเหลือเกิน


“หึ...” ขอให้สำลักไอติมตาย “ยังต้องฝึกอีกเยอะนะ”


เขาบีบมือผมแน่น แรงที่บีบมานั้นทำเอาเจ็บร้าวไปทั้งมือ นิ้วของเขาราวกับเป็นคีมเหล็กซึ่งหนีบมือผมไว้ไม่ให้หลุดออกได้ ผมเกร็งมือสู้ เขาก็ยิ่งเพิ่มแรงขึ้น มืออีกข้างจะขว้างหมัดออกไป แต่เพราะผมไม่ถนัดฝั่งนั้นเขาจึงรับมันไว้ได้อย่างง่ายดาย โดยเขาจับที่ข้อมือแล้วบีบอย่างแรงราวกับจะหักให้สะบั้น


มีหรือผมจะส่งเสียงให้เขารู้ว่าเจ็บ ผมส่งสายตามองเขา โกรธที่เขาพูดจาหาเรื่อง อารมณ์คุกรุ่นกำลังขยายในอก หงุดหงิดที่สู้แรงไม่ได้ นฤเบศในวันที่เจอกันครั้งแรกนั้น แม้จะพ่ายแพ้อย่างหมดสภาพในการชกต่อยเพราะอีกฝ่ายพวกมากกว่า ทว่าเขาก็ดูไม่กวนอารมณ์แบบนี้ ไม่หาเรื่องกันแบบนี้ พอตอนนี้เห็นเขาทำตัวอย่างอันธพาลเลยฉิวไปหมด “แทนไท ช่วยกูสิวะ!”


หันไปถลึงตาใส่เพื่อนผู้นั่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งอยู่เป็นครู่แล้ว


“ไอ้นฤเบศ ปล่อยเพื่อนกู”


“เหอะ”


เขาแค่นเสียงหนึ่งคำ ก่อนจะปล่อยมือผมเป็นอิสระ ลุกขึ้นยืน “วันหลังมาใหม่”


แล้วเขาก็จากไปกับสายลมและแสงแดดของกรุงเทพมหานคร


ถ้าให้พูดจริงๆ นะ ผมอยากจะบอกว่าไม่เคยเข้าใจการกระทำของผู้ชายคนนี้ ไม่เคยเข้าใจสิ่งที่เขาอยากบอกผ่านคำพูดคำจา ไม่เคยเข้าใจสายตาที่ส่งผ่านมา ไม่รู้ด้วยว่าเขาได้อะไรจากการมากวนอารมณ์ผมแบบนี้


ไอ้แทนไทกระโจนมานั่งฝั่งเดียวกับผม รีบจับมือผมดู “เป็นไงบ้าง”


“ไม่รอให้มันต่อยหน้ากูก่อนล่ะ”


“โอ๊ย” แทนไทร้อง “มันไม่ทำหรอก”


“ไม่ทำแป๊ะสิ ดูมือกูก่อน”


“อ้าว มึงเป็นคนเริ่มนี่”


“ก็มันพูดจาหาเรื่องกูนี่”


“เอาน่า ถ้ามันจะเล่นมึงจริงๆ กูซัดมันไปแล้ว ไม่ปล่อยให้กินไอติมเฉยอยู่หรอก”


“คุย!”


“อ้าว นฤเบศลืมไอติมว่ะ ถุงเบ้อเริ่มเลย”


อดีตเพื่อนสนิทของผมหันไปคว้าเอาถุงพลาสติกของนฤเบศบนโต๊ะ เปิดดูเห็นไอศกรีมห่อใหญ่ๆ หลายห่อ “โห...แม็กนั่มทั้งนั้น แล้วทำไงดีเนี่ย เจ้าของก็เปิดตูบแน่บไปแล้ว”


“เอาไปทิ้งเลย” ผมไม่สน


“เสียของ!” แทนไทโอดครวญ “เดี๋ยวกูกินเอง”


“ที่บ้านรวยนักหรือไง กินทิ้งกินขว้าง” ผมด่าคนที่จากไปเมื่อครู่ พลางหยิบปากกาขึ้นมาขีดเส้นใต้เนื้อหาที่ต้องสรุปนำเสนอ


แทนไทไม่สนฟ้าสนแดดใดๆ แกะห่อไอศกรีมแท่งหนึ่งออกแล้วรีบกัดกินทันที เหอะ...ขอให้จี๊ดขึ้นสมองหน่อยเถอะ ตะกละจริงๆ เพื่อนเรา


กลืนคำแรกลงไปแล้ว อดีตเพื่อนสนิทที่ไม่คิดช่วยเพื่อนตอนเข้าตาจนก็นิ่งไป สีหน้าราวกับคนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก


“เต๋า...”


“ว่า...”


“ไอ้นฤเบศ...”


“ทำไม มันกลับมาเหรอ” ผมมองซ้ายขวา แอบอยู่หลังต้นไม้เหรอ หรือว่าตรงถังขยะนั่น


“ไอ้นฤเบศ...หรือว่ามัน...”


“ทำไม” สงสัยใส่ยาพิษไว้ กินเข้าไปคำเดียว เพื่อนผมเสียสติเลย พูดจาไม่รู้เรื่อง


แทนไทหันมามองหน้าผม แล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงต่ำราวกับว่ามันเองก็ไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังพูด “กูว่ามัน...ซื้อไอติมมาให้มึง”


+*+*+*+*+*+*+*

แล้วเจอกันตอนใหม่นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 5 - To Ride or Go Against the Tide [14-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ygff0429 ที่ 15-08-2018 00:26:38
เชียร์นฤเบศได้มั้ยยยยย ชอบผู้ชายแบบนี้อ่ะ
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 5 - To Ride or Go Against the Tide [14-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 15-08-2018 14:01:58
เชียร์นฤเบศด้วยคนจ้า ชอบๆ
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 5 - To Ride or Go Against the Tide [14-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-08-2018 14:24:36
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 5 - To Ride or Go Against the Tide [14-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 16-08-2018 00:09:57
สเน่ห์แรงจังเลยนะเต๋า :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 5 - To Ride or Go Against the Tide [14-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-08-2018 11:06:54
ใครจะชัดเจนกับลูกเต๋าก่อน...........ระหว่างดัมพ์ กับนฤเบศร์   :z3: :z3: :z3:
ใจลูกเต๋าน่ะ ไปทางดัมพ์
แต่ดัมพ์ ใจมุ่งก้าวหน้าทางสายงาน เลยได้แต่นิ่งๆไว้   :เฮ้อ:
ห่างๆอย่างนี้นฤเบศร์ เข้าหาทำคะแนนเพิ่มนะ   :hao3:
แต่ดูดีทั้งคู่  ขอสองละกัน   :-[
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 5 - To Ride or Go Against the Tide [14-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 07-11-2018 22:47:23
คิดถึง นฤเบศ ค่ะ หายไปนานละ
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 5 - To Ride or Go Against the Tide [14-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 29-11-2018 08:53:13
 :L2:
หัวข้อ: Re: ♚ผู้ชายไม้ประดิษฐ์♚ - 5 - To Ride or Go Against the Tide [14-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-03-2019 21:34:31
 :pig4:
 :L2: