ตัวต่อ
“อ้าว วันนี้เข้าร้านด้วยหรอจ๊ะน้องต่อ พี่ไม่เห็นรู้เลย”
ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในร้าน ‘ละลาย’ ร้านไอติมโทนสีพาสเทลที่ผมเป็นเจ้าของร้าน จากการช่วยเหลือของพ่อและ...แม่ ‘พี่นิ่ม’ พนักงานประจำสาวสวยบิ๊กไซส์ของร้านก็ทักขึ้น ดูประหลาดใจนิดหน่อย เพราะปกติผมจะส่งข้อความบอกเข้า Line กลุ่ม ‘ไอติมละลาย’ ก่อนทุกครั้งถ้าจะเข้ามา แต่วันนี้ผมไม่ได้ทำแบบนั้น ไม่ใช่ว่าต้องการให้เซอร์ไพรส์อะไร แค่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเข้ามาเหมือนกัน
“พอดีบังเอิญว่าว่างกะทันหันน่ะครับพี่นิ่ม เลยอยากแวะเข้ามาช่วยหน่อย ไม่ได้แวะเข้ามาหลายวันแล้ว”
“ให้พี่เดานะ ‘เจ้าปิง’ มันเทเราไปเที่ยวกับเมียอีกแล้วล่ะสิ”
“โห ถูกเลยพี่นิ่ม” ผมยกนิ้มโป่งให้แทบจะในทันทีที่ได้ยินคำเดาของอีกฝ่าย “เดาถูกกว่านี้ไม่มีอีกแล้วครับ” เมื่อวันนี้จริงๆ มีนัดดูหนังกับไอ้ปิงเพื่อนรัก (แต่ชักจะเกลียดละ) ที่กรุงเทพฯ ตอนหลังเลิกเรียน แต่พอคืนดีกับเมียมันเท่านั้นแหละ คนชวนอย่างมันก็ทิ้งให้เพื่อนอย่างผมต้อง ‘หมา’ ทันที เยี่ยมจริงๆ เลยแม่ง ฮ่าๆๆ
“ชินซะเถอะนะน้องต่อ นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เจ้าปิงมันจะเทเราแน่นอน”
“นั่นสิครับ ฮ่าๆๆ”
ซีเรียสไปก็เท่านั้น ขนาดพ่อแม่ที่เลี้ยงมันมาตั้งแต่เกิดยังทำอะไรไม่ได้เลย แล้วผมที่เพิ่งคบกับมันได้ปีสองปีจะไปดราม่าอะไรได้ไงเล่า ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่านะ ถ้ามันยังมาหาผมในทุกๆ ครั้งที่ผมต้องการมันเมื่อไหร่ ความเป็นเพื่อนของผมกับมันก็ยังเหมือนเดิมนั่นแหละ สบายมาก
“อะนี่จ้ะ ผ้ากันเปื้อน”
“ขอบคุณครับพี่นิ่ม” พอเดินเข้ามาที่หลังเคาน์เตอร์และวางสัมภาระทุกอย่างลงเรียบร้อยแล้ว พี่นิ่มก็ส่งผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อนปักโลโก้ของทางร้านมาให้ นั่นทำให้ผมเริ่มนึกถึงใครอีกคนที่จะต้องใส่ผ้ากันเปื้อนแบบเดียวกันนี้ด้วย “เอ้อพี่นิ่ม แล้วนี่พี่มิกซ์ยังไม่มาอีกหรอครับ?”
“มาแล้วจ้ะ อยู่หลังร้าน พี่ให้ช่วยไปยกไอติมถังใหม่มาเปลี่ยนน่ะ เดี๋ยวก็คงมา”
“อ๋อ” ผมพยักหน้ารับรู้ เพราะตอนแรกคิดว่าพนักงานพาร์ทไทม์ของร้านยังมาไม่ถึง “แล้วนี่เอารสไหนมาเติมครับ ช็อกโกแลตชิพ?”
“ใช่จ้ะ วันนี้ไม่รู้ทำไมขายดีเป็นพิเศษ เออนี่ พี่ว่าจะโทรปรึกษาน้องต่ออยู่พอดี”
“ทำไมหรอครับ”
“ก็เนี่ย ช่วงนี้มีคนมาถามหารสรัมเรซิ่นเยอะมากเลย น้องต่อว่าพี่ควรสั่งเข้ามาดีมั้ย”
รัมเรซิ่นอย่างงั้นหรอ? จำได้ว่าคราวก่อนแทบจะไม่มีคนสั่งเลย ผมก็เลยตัดสินใจเลิกสั่งไปซะ แล้วนี่อะไร พอไม่สั่งปุ๊บ คนถามหาปั๊บ เอาใจยากชิบเลยลูกค้าเนี่ย
“ไม่ดีกว่าครับ” ผมตัดสินใจเด็ดขาด เรื่องทำธุรกิจเนี่ยต้องกล้าตัดสินใจครับ จะมาลังเลไม่ได้ เสียระบบหมด “คราวก่อนโน้นก็ถามหากันแบบนี้ แต่พอสั่งมาทีไรก็ไม่มีคนกิน สู่เอาเงินไปสั่งรสที่ขายได้ชัวร์ๆ มาดีกว่า”
“โอเคจ้ะ งั้นพี่ขอสั่งช็อกโกแลตชิพมาเพิ่มอีกสักถังนะ ช่วงนี้ขายดี ต้องรีบโกย”
“ได้เลยครับพี่นิ่ม ฝากด้วยนะครับ”
“จ้า”
หมดห่วงครับ ตั้งแต่ได้พี่นิ่มเข้ามาเป็นพนักงานประจำของร้านแทนคนเก่าที่ไม่ได้เรื่อง ผมก็รู้สึกว่าสบายใจขึ้นเยอะ เพราะถึงพี่เขาจะอายุมากกว่าผม เป็นคุณแม่ยังสาวที่ต้องเลี้ยงดูลูกตามลำพัง แต่พี่นิ่มก็มักจะให้เกียรติผมในฐานะ ‘เจ้าของร้าน’ เสมอ ไม่ทำตามอำเภอใจตัวเอง แต่ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจอะไรแทน ก็ทำได้อย่างดี ไม่เคยมีปัญหาอะไรตามมา แถมยังคอยเป็นเพื่อนคู่คิดได้อีกต่างหาก เรียกว่าแทบจะหาข้อเสียไม่เจอเลยสักเรื่อง
จนแม้แต่นักธุรกิจใหญ่เจ้าของบริษัทส่งออกอาหารแช่แข็งอย่างพ่อผมยังพูดเลยว่า “นิ่มเนี่ย ถือเป็นเพชรนะตัวต่อ ลูกต้องอย่าปล่อยให้พี่เขาหลุดมือเด็ดขาด” เพราะฉะนั้น ผมต้องดูแลพี่นิ่มให้ดีครับ เธอจะได้อยากทำงานกับผมไปนานๆ เนอะ
“ช็อกโกแลตชิพมาแล้วคร้าบ ขอทางหน่อย ปี๊นๆ”
“จ้าๆ ลงตรงนี้เลย พี่เปิดตู้รอแล้ว”
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเปลี่ยนเรื่องที่คิดอยู่ในหัว เสียงขอทางที่ดังมาจากด้านหลังก็ทำเอาผมต้องรีบถอยไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นร่างสูงกว่าแบกไอติมถังใหม่ด้วยสองแขนแข็งแรงใส่ลงไปแทนช่องของถังเก่าที่พี่นิ่มได้ทำการเคลียร์ออกไปเรียบร้อยแล้ว ดูทะมัดทะแมงสมราคาจ้างชะมัด
เนี่ยแหละครับพี่มิกซ์ พนักงานพาร์ทไทม์ที่ผมถามถึง ผมได้พี่เขามาแทนคนเก่าเมื่อตอนต้นปีนี้เอง บอกตรงๆ แรกๆ นี่ไม่อยากรับเลยนะ เพราะดูจากภายนอกแล้ว พี่เขาไม่ต่างจากพวกนิสิตชายหลายๆ คนในมหา’ลัยเลย คือหน้าตาหล่อ รวย เล่นกล้าม แล้วก็ดูทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการแก้ผ้าถ่ายรูปลงโซเชียลเพื่อโชว์สาว
แต่พอได้ลองเสี่ยงรับเข้ามาพร้อมกับรุ่นน้องอีกคน (ที่ไม่ได้ทำงานวันนี้) กลับกลายเป็นว่าผลงานความขยันของนิสิตประมงปีสามคนนี้นี่แซงหน้าอีกคนแบบลิบลับ จนพี่นิ่มเองถึงกับเปรยว่า “พี่ล่ะอยากให้มีมิกซ์อีกสักสิบคนจัง” ถือเป็นคำพูดที่ทำให้ผมเช็คให้พี่มิกซ์เขาสอบผ่านไปโดยปริยาย
“อ้าว วันนี้เข้าร้านด้วยหรอ ไม่เห็นส่งมาบอกใน Line เลย หรือพี่ไม่ทันสังเกตวะ?”
“เปล่าหรอกพี่มิกซ์” ผมเว้นจังหวะตอบเล็กน้อยเพื่อคลี่ผ้ากันเปื้อนออกใส่ “ต่อเข้ามากะทันหันครับ เลยไม่ได้ Line บอกล่วงหน้า”
แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้โฟกัสอยู่ที่คำตอบของผมแฮะ “มานี่มา เดี๋ยวพี่ช่วย” เพราะแทนที่จะยืนอยู่หน้าผม พี่แกกลับสไลด์ตัวเข้ามาประชิดทางด้านหลัง ช่วยผูกเชือกของผ้ากันเปื้อนให้
ไม่เท่านั้นนะ... “ผมหอมจังแฮะ วันนี้มา wet look เหมือนเดิมเลยนะเรา” ยังมีการยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูแบบที่ให้ได้ยินกันแค่สองคนด้วย จนผมนี่...รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่รดลงบนต้นคอเลยอะ...
ขนลุกแฮะก็ไม่ใช่ไม่รู้นะว่าอีกฝ่ายคิดอะไรด้วย “ขอบคุณที่ชมครับ” แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ผมจะตอบรับได้ไงครับ ก็เลยทำได้เพียงแค่ ‘ทำตัวเป็นปกติ’ ให้เหมือนว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น จะได้ไม่ต้องตกอยู่ในความลำบากใจ แล้วก็ไม่ต้องเสียพนักงานพาร์ทไทม์ดีๆ อย่างพี่มิกซ์ไปด้วย
เฮ้ออออออ รู้งี้นะ ผมไม่ประกาศออกไปหรอกว่าจะไม่ขอรักผู้หญิงคนไหนอีกเลยตลอดชีวิตน่ะ สู้บนเองรู้เองอยู่คนเดียวเงียบๆ ดีกว่า พลาดๆๆๆ
และเพื่อความเนียนที่มากขึ้น ผมทำเป็นสนอกสนใจตรวจเช็คไอติมรสชาติต่างๆ ในตู้ เพื่อที่จะได้สามารถผละออกมาจากอีกฝ่ายได้อย่างไม่มีพิรุธ
ผมแอบได้ยินพี่มิกซ์หัวเราะหึๆ ในลำคอดังไล่หลังมาด้วยนะ แสดงว่าพี่เขาต้องรู้ว่าผมตีเนียนแน่เลยว่ะ แม่ง
“นี่ตัวต่อ...”
โอ๊ยยย เกือบทำหน้าไม่ถูกแล้วไหมล่ะครับ ตอนที่ได้ยินร่างสูงเรียกชื่อและเหมือนว่าจะเดินตามมาน่ะ นี่ดีนะที่ทุกอย่างหยุดลงได้ เพราะลูกค้าโต๊ะหมายเลขแปดยกมือเรียกซะก่อน พี่มิกซ์ก็เลยเป็นอันหยุดชะงักสิ่งที่จะพูด ส่วนผมเองก็ได้ทีหาทางส่งพี่เขาออกไปให้พ้นตัวได้สำเร็จ
“ฝากทีนะครับพี่มิกซ์”
“โอเค... เดี๋ยวพี่ไปดูให้”
ได้โปรด อย่าทำหน้าเซ็งเหมือนว่ากำลังเสียโอกาสที่จะได้พูดอะไรสักอย่างกับผมเลยนะครับพี่ แค่นี้ผมก็อึดอัดมากพอแล้ว ไม่ไหวๆ เฮ้ออออออ
“น้องต่อคะ พี่ฝากเคาน์เตอร์ก่อนนะ ข้าศึกบุกค่ะ เดี๋ยวพี่มา”
“ฮ่าๆๆ ได้ครับพี่นิ่ม”
ผมส่งผ้าแห้งให้พี่นิ่มที่ออกจากซีนไปล้างถ้วยไอติมมาเมื่อกี้อย่างรู้ใจ แล้วปล่อยให้พี่เขาได้ไปเข้าห้องน้ำที่อยู่หลังร้าน ตอนนี้ก็เลยเหลือแค่ผมที่รอรับลูกค้าคนเดียวเพราะเมื่อกี้สังเกตจากที่พี่มิกซ์ไปหาลูกค้าโต๊ะแปด เหมือนว่าคุณแม่จะขอสีเทียนกับสมุดระบายสีให้ลูกสาว พี่เขาก็เลยต้องเดินไปหยิบเอาจากหลังร้านเช่นกัน
ดีๆ ไม่ต้องอยู่สองต่อสองกับพี่มิกซ์ตอนพี่นิ่มไม่อยู่ ค่อยโล่งอกหน่อย
ติ๊งต่อง!และในตอนนั้นเอง ขณะที่ผมกำลังจะเปิดตู้แช่ไอติมเพื่อจัดถังไอติมรสมะนาวให้เข้าที่เข้าทางมากกว่าที่มันเป็นอยู่ เสียงสัญญาณเตือนที่ติดไว้กับประตูร้านก็ดังขึ้น บ่งบอกให้รู้ว่ามีลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มแล้ว ถึงเวลาที่ผมจะได้รับออเดอร์ใหม่ๆ เสียที
ผมเงยหน้าขึ้นมามองประตูร้านที่อยู่ตรงกับตู้ไอติม... ทันได้เห็นลูกค้าใหม่ตอนที่กำลังเดินเข้ามาพอดี...
“...”
เดี๋ยวนะ นั่นมันอะไรกันวะน่ะ?
ทำไมผมถึงเห็นภาพตรงหน้า...เป็นภาพสโลโมชั่น!?
“...”
ริมฝีปากที่กำลัง ‘อมยิ้ม’ ของอีกฝ่ายดูเด่นชัดมาแต่ไกล... ก่อนที่ทุกส่วนในร่างกายของผู้ชายคนนั้นจะค่อยๆ ชัดขึ้นๆ จนสุดท้ายก็ประจักษ์แก่สายตา...
ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี แต่เอาเป็นว่าผมของเขาคนนั้นตัดสั้น ดูสะอาดเนี้ยบเป็นระเบียบเรียบร้อย ขัดกับตาชั้นเดียวที่ดูมีแววขี้เล่นอยู่มาก ดูเป็น...ผู้ชายตี๋ที่หล่อเข้มคือ...หมายถึง...ดูเป็นผู้ชายหน้าตี๋ที่ผิวขาวจัด แต่ดูไม่ตี๋เกิน เพราะว่าสีผม คิ้ว แล้วก็ไรหนวดทำให้คนตรงหน้าดูคมเข้มเข้ม ดูดี ดูหล่อ ดู...ไม่เหมือนใคร
คือ...บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามัน ‘พิเศษ’ ตรงไหน จริงๆ พวกผู้ชายตี๋ที่ไว้หนวดให้ดูเข้มก็มีถมเถไปนะ แต่สำหรับผู้ชายคนนี้เนี่ย มันดู...มีเสน่ห์แบบหาตัวจับยากอะเหมือนว่าทุกอย่างมันได้จัดวางไว้อย่างถูกที่ถูกทางหมดแล้ว ทั้งหล่อ ทั้งสูงใหญ่ อกผาย บุคลิกภาพภายนอกดูดีเป็นธรรมชาติ แต่กระนั้นก็ยังมีแววขี้เล่นจากประกายในตาและริมฝีปากที่อมยิ้มด้วย แม่ง...เป็นภาพรวมที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดจริงๆ
นี่ถ้าเป็นหนังสักเรื่องนะ ก็คงหนีไม่พ้นต้องเป็นพระเอกประเภทที่ต้องฉายแสงเปิดตัวมาด้วยภาพการเคลื่อนไหวแบบสโลโมชั่นอย่างที่ผมเกิดตาฝาดนั่นแหละ... แล้วทุกคนก็จะพากันมองเหลียวหลังเหมือนอย่างที่ลูกค้าคนอื่นๆ กำลังทำอยู่ด้วย
ส่วนถ้าผมอยู่ในหนังเรื่องเดียวกันน่ะหรอ... ผมก็คือเจ้าของร้านไอติมที่ยืนรอให้ ‘พระเอก’ เข้ามาสั่งไงครับ ฮ่าๆๆ ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้นหรอก แต่ที่ต้องอธิบายถึงความหล่อของอีกฝ่ายซะเยอะขนาดนี้ คงเพราะ...ผมไม่เคยเห็นลูกค้าคนไหนที่หล่อลืมตายได้เท่ากับลูกค้าคนนี้อีกแล้วละมั้ง
น่าจะนะ
“สวัสดีครับ ร้านละลายขอต้อนรับนะครับ เชิญคุณลูกค้าเลือกไอศกรีมได้ตามใจชอบ สนใจรสชาติไหน บอกผมได้เลยนะครับ ยินดีให้บริการครับ : )”
โห ยิ่งใกล้ยิ่งหล่อแฮะ แล้วก็...ทำให้รู้สึกว่าคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้อย่างบอกไม่ถูกด้วย แต่...จำไม่ได้เลยอะว่าเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า?
แต่เอาเถอะ แค่ไม่มัวหลงไปกับความหล่อเทพของอีกฝ่ายจนเผลอพูดต้อนรับลูกค้าติดๆ ขัดๆ ผมก็ถือว่าโอเคแล้วล่ะ
“Sorry. Do I know you?”
เฮ้ย! เดี๋ยวๆๆ ปรับตัวไม่ทันนะเนี่ย หน้าตี๋ของจีนผสมกับความคมเข้มของไทยแบบนี้ จู่ๆ จะมาขมวดคิ้วเอียงคอถามเป็นภาษาอังกฤษใส่ แถมยังใช้สำเนียงบริติชอีกเกือบเป๋เลยนะเว้ย!
“เอ่อ...” แล้วควรตอบไงวะ ไม่ใช่ว่าผมโง่ภาษาอังกฤษนะ เห็นแบบนี้เป็นถึงระดับท็อปคลาสของศิลปศาสตร์ปีสองสาขาภาษาอังกฤษเลยนะครับจะบอกให้ แต่เล่นมาทักยังกับว่าผมดูคุ้นๆ เหมือนอีกฝ่ายจะรู้จักผมมาก่อน ในขณะที่ผมเองก็รู้สึกคุ้นๆ หน้าเขา แต่กลับจำไม่ได้ว่าทำไมถึงคุ้น แล้วควรตอบไงดีอะแบบเนี้ย? เอ่อ... เอาวะๆลองบอกไปก่อนว่าคิดว่าไม่รู้จัก แล้วเดี๋ยวอีกฝ่ายจะว่าไงค่อยว่ากัน “เอ่อ... I think...”
ทว่า...
“Cause you look exactly like my next boyfriend : )”
“หา!?”
ชิบหายแล้ว!
มะ...มันอะไรกันวะเนี่ย!?
“Right?”
“...”
ผมนี่ถึงกับอึ้งเลยครับ ยิ่งตอนที่อีกฝ่ายถามย้ำว่า ‘ถูกไหม?’ ด้วยรอยยิ้มสดใสชวนมองนั่น... ผมยิ่งอึ้งเข้าไปใหญ่เลย...!
ฟะ...แฟนคนต่อไปของมันเนี่ยนะ?
นี่ไม่ได้มีการซ่อนกล้องเล่นตลกอะไรกันอยู่ใช่ไหม!?
“ฮ่าๆๆ กูล้อเล่น : )”
“....” อ้าว!? เอาๆ เอาเข้าไป เมื่อกี้ยังพูดภาษาอังกฤษสำเนียงบริติชเป๊ะอยู่เลย นี่พูดไทยแล้ว เรียกแทนตัวเองว่า ‘กู’ ด้วย แถมยังบอกว่าล้อเล่นอีก เฮ้ย! ผมฝันอยู่เปล่าวะ?
ไหน หยิกตัวเองซิ อา... เนี่ย ก็เจ็บนี่ แสดงว่าไม่ได้ฝันใช่ไหม แล้วนี่มันเรื่องตลกร้ายอะไร ผมควรร้องเรียกให้คนช่วยรึเปล่า??
“อะไรกัน ยังอึ้งอยู่หรอ กูก็แค่ล้อมึงเล่นเอง เนี่ย จะสั่งไอติมแล้ว จะขายไหม”
“...”
“ว่าไง?”
“ขะ...ขาย”
ผมตอบได้ไม่เต็มเสียงเลยครับ สายตาก็ยังคงจับจ้องอีกฝ่ายอย่างประเมินสถานการณ์ นี่มึงจะมาหน้าหล่อแล้วทำตัวไม่น่าไว้ใจไม่ได้นะ ไม่งั้นกูร้องให้คนช่วยจริงด้วย
“เอาเป็น...” แต่ดูท่าว่าไอ้ตี้เข้ม (ไหนๆ มันก็ใช้มึงใช้กูมาละ ผมก็ขอเรียกมันแบบนี้เลยก็แล้วกัน) มันตั้งใจจะสั่งไอติมจริงแฮะ เพราะพอผมบอกขาย มันก็ชี้สั่งไอติมรสที่ต้องการผ่านตู้กระจกทันที “ช็อกโกแลตชิพสองลูก แล้วก็วานิลลาลูกนึง ไม่ใส่ท็อปปิ้ง” ผมก็เลยไม่รอช้า มันสั่งอะไรก็ตักให้ตามนั้น พยายามบอกตัวเองว่าคงเป็นพวก‘ลูกค้ากวนๆ’ เหมือนอย่างที่เคยเจอ ก็ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น...
...ถึงจะยังรู้สึกมีอะไรติดใจอยู่ก็ตาม
ถ้วยไอติมที่ใส่ช้อนเรียบร้อยถูกส่งไปให้ไอ้ตี๋เข้มผู้เป็นลูกค้าพร้อมทั้งแจ้งราคาที่มันต้องจ่ายอย่างไม่ค่อยที่จะสุภาพนัก ความงงๆ กับการคุยมึงกูกันอย่างสนิทสนิทของไอ้หล่อนี่ทำเอาผมไม่สะดวกใจที่จะลงท้าย ‘ครับ’ อีกต่อไป กลายเป็นว่าคำลงท้ายถูกละให้หายไปในลำคอแทนโดยอัตโนมัติ
“อะนี่” แล้วดูมันเถอะ คนบ้าอะไรวะยิ้มอยู่นั่น รับไอติมก็ยิ้ม ยื่นเงินให้ก็ยิ้ม เป็นบ้ารึเปล่าก็ไม่รู้
แล้วคือมันหล่อด้วยไงประเด็น มันมีเสน่ห์อะ เป็นเสน่ห์แบบที่...ทำดาเมจได้กับทุกเพศเลยอะ... แถมยิ่งยิ้มพลังดาเมจก็ยิ่งแรงขึ้น โอ๊ยยยยยย ไม่ไหวๆ รีบรับเงินทอนแล้วก็ไปเลยไป มึงทำกูผิดปกติไปหมดแล้วไอ้ตี๋เข้ม!
ผมเงียบเลยนะ ทำเป็นไม่สนใจคนตรงหน้าเลย พอยื่นเงินทอนให้จบแล้วก็จบกัน มันจะนั่งกินในร้านหรือว่าเอาออกไปกินที่อื่นก็ตามสบาย
“อะไร?”
แต่มันไม่งั้นสิครับ พอเงยหน้าขึ้นมาจากการล้างที่ตักไอติมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับตักให้ลูกค้าคนต่อไปในอนาคต กลับพบว่า... ไอ้ตี้เข้มยังคงยืนอยู่ไม่ไปไหน จนผมถึงกับต้องถามออกไปตรงๆ เลยว่ามีอะไรกับผมกันแน่ ทำไมมันถึงได้ทำหน้าทำตาหล่อๆ ของมันเหมือนกับว่ามีอะไรอยากจะพูดแต่ก็เหมือนจะ ‘ไม่กล้า’ ยังไงยังงั้นไหนจะสายตาคู่นั้นอีก แม่งมองจนผมจะรู้สึกเหมือนถูกทะลุทะลวงเข้าไปในร่างกายหมดแล้วนะ!
“อะไร : )” แล้วดูมัน มาถามกลับด้วยรอยยิ้มกวนๆ อีก ดะ...เดี๋ยวพ่อปาที่ตักไอใส่หัวเลยนี่!
“ก็มึงอะ จ้องกูอยู่ได้ เหมือนมีอะไรอยากจะพูดกับกูสักอย่าง”
“จุ๊ๆๆ พูดมึงกูกับลูกค้าได้เนี่ย แสดงว่ากูกับมึงสนิทกันแล้วสินะ : )”
“เอ้า ก็มึงพูดก่อนอะ จะมาเรียกร้องความสุภาพในฐานะเจ้าของร้านกับลูกค้าไม่ได้นะเว้ย” ถึงแม้ว่าผมจะไม่ควรพูดมึงกูกับลูกค้าจริงๆ ก็เถอะนะ
แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ผมถือว่าไอ้ตี๋เข้มเป็นข้อยกเว้นของผมแล้ว
“ล้อเล่น” ดูมัน ล้อเล่นอีกแล้ว ล้อเล่นเก่งชิบหาย แล้วก็เปลี่ยนเรื่องเฉย “ว่าแต่ ดูออกด้วยหรอว่ากูมีอะไรอยากจะพูดอะ : )”
“เออ กูดูออก” นี่ถ้าไม่ติดว่าจะเป็นการต่อความยาวสาวความยืดนะ ผมจะไล่แม่งไปส่องกระจก จะได้รู้ว่าหน้าหล่อๆ ของมันอ่านออกชัดขนาดไหน ทั้งตาเอย ปากที่ยิ้มเอย เด็กทารกยังอ่านออกอะผมว่า “เพราะฉะนั้นมีอะไรก็รีบๆ พูดมา กูจะทำงานต่อแล้ว”
“พูดได้จริงดิ”
“ได้” ผมตอบมันอย่างที่ไม่คิดจะลังเล มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมคงรับได้ทุกอย่างที่มันพูดแล้วล่ะ
“โอเค คืองี้ คือ...” แต่พอผมให้โอกาสมันได้พูด คนที่เคยกวนๆ และดูมั่นใจกลับดูเกร็งเล็กน้อย ดู...เขินหน่อยๆ เหมือนว่าเป็นเรื่องที่พูดยากมาก จนผมต้องรีบเร่งมัน ไม่งั้นเดี๋ยวถ้ามีลูกค้าใหม่เข้าร้าน หรือว่าพี่นิ่มกับพี่มิกซ์กลับมา มันจะยุ่ง
“คือ?”
“คือ...กูไปบนกับศาลเจ้าแม่มาวะ”
“ศาลเจ้าแม่? ในมอน่ะนะ?”
“เออ ศาลเจ้าแม่นั่นแหละ”
“แล้วไงอะ? เกี่ยวอะไรกับกูด้วย?” หรือมันจะรู้ว่าผมเคยบนกับเจ้าแม่ เลยอยากจะมาขอคำแนะนำเงี้ยหรอ เฮ้ย กูไม่ใช่เซียนอะไรขนาดนั้นนะ จะมาปรึกษาเหมือนกูเป็นกูรูไม่ได้
“เกี่ยวสิ”
“ตรง?”
“ตรงที่กูเอามึงเข้าไปเกี่ยวด้วยไง”
อา... ชักจะแปลกๆ ละ ไอ้ตี้เข้มหน้าหล่อมันดันเอาผมเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องที่มันบนด้วยเนี่ยนะ!?
“มึงไปบนอะไรของมึง”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก กูก็แค่ขอให้เจ้าแม่ช่วยให้กูได้ A ทุกตัวเมื่อเทอมก่อน”
“ก็ไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับกูนี่” ช่วยมึงเรียนหรือก็เปล่า
“เกี่ยวๆ เพราะกูบอกเจ้าแม่ไปว่า ถ้าหากสำเร็จ กูจะขอแก้บนด้วยการ...”
“...”
“...”
“โอ๊ยยย มึงอย่าเพิ่งมาเว้นจังหวะตักไอ้ติมใส่ปากตอนนี้ได้มั้ยเนี่ย!?”
“โทษที กูกลัวมันละลายก่อนอะ”
“ต่อเลย เดี๋ยวนี้ กูรอฟังอยู่”
“โอเคๆ คือกูก็บอกไปแหละว่าถ้าสำเร็จ
กูจะขอแก้บนเจ้าแม่ด้วยการจีบมึงให้ติดให้ได้ ก็เท่านั้นเอง : )”
“บะ...บนเชี่ยอะไรของมึงเนี่ย!!”
บนว่าจีบกูให้ติด แล้วพูดเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เนี่ยนะ อะ...ไอ้หล่อ! ไอ้บ้า!!
“ก็เขาว่ากันว่าถ้าจะบนกับเจ้าแม่ ไม่ขอแก้บนด้วยอะไรที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องบนด้วยอะไรแปลกๆ ไม่ใช่หรอ”
“มึงก็เลยบนขอว่าจะจีบกูเนี่ยนะ!?”
“ใช่ จะจีบให้ติดด้วย”
“แล้วที่มึงขอนี่สำเร็จไหมวะ?”
“สำเร็จสิ ถึงได้มาหานี่ไง : )”
“ชิบหายแล้ว!”
ผมนี่แทบกุมขมับเลยครับ รู้สึกปวดหัวตึบๆ เลยกับทั้งหมดที่ไอ้หล่อตี๋นี่มันพูดออกมา ใครไปแนะนำให้มันบนกับเจ้าแม่แบบนั้น จีบผมเนี่ยนะ! ได้ไงอะ ผมยังไม่รู้จักชื่อมันเลยด้วยซ้ำนะเว้ย!
“มีอะไรกันหรอ?”
เอาแล้วไง เสียงเย็นชามาแบบนี้ จะเป็นใครที่ไหนได้ นอกจากพี่มิกซ์ที่มักจะแสดงความไม่พอใจทุกครั้งที่ได้เห็นผมคุยกับลูกค้าผู้ชายคนอื่น ซึ่งในเวลาปกติมันก็ดีนะเพราะยอมรับอย่างไม่อายว่าผมใช้พี่แกเป็นไม้กันหมาหลายครั้งแล้ว แต่กับคราวนี้มันไม่ใช่ ผมต้องการคุยกับไอ้ตี๋เข้มนี่ให้รู้เรื่องครับ เพราะฉะนั้นผมจะไม่ยอมให้พี่มิกซ์มาขัดจังหวะเด็ดขาด
“พี่มิกซ์ครับ เดี๋ยวเอาสมุดระบายสีไปให้โต๊ะแปดเสร็จแล้ว ต่อฝากเคาน์เตอร์หน่อยนะ”
“จะไปไหนหรอ?”
ผมไม่ตอบอะไรพี่มิกซ์เลยครับ แต่รีบพาตัวเองออกจากเคาน์เตอร์ แล้วทำการคว้าข้อมือใหญ่ๆ ของไอ้ตี๋เข้มเพื่อออกมาคุยกันที่นอกร้าน
“นี่กูยังไม่ได้ทันจะได้เริ่มจีบมึงเลยนะ มึงเริ่มรุกกูก่อนแล้วหรอเนี่ย : )”
ไม่พูดเปล่า ไอ้ตี้เข้มคนเดิมก้มลงมองมือผมที่จับข้อมือมันอยู่ด้วยรอยยิ้ม ทำเอาผมนี่ต้องรีบปล่อยมือตัวเองแบบอัตโนมัติ
“หยุดล้อเล่นก่อนได้ไหม กูอยากจะคุยจริงจังนะ”
“ก็เอาสิ” แล้วจู่ๆ มันก็ยกมือขึ้นกอดอกหน้าตาเฉย ขณะที่ใบหน้าก็ดูเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาซะอย่างงั้น
นี่มัน...เป็นโรคสองบุคลิกอะไรรึเปล่าวะเนี่ย!?
แต่ช่างแม่งเหอะ ผมจะเข้าเรื่องแล้ว ไม่สนแม่งแล้วครับ “มึงเป็นใครวะ?”
“กูหรอ? กูชื่อเจได เรียนอยุ่คณะบริหาร ปีสอง” เออดี ถามตรงตอบตรงแบบนี้ ผมชอบ
ว่าแต่...ชื่อเจไดหรอ เท่ดีแฮะ
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น!
“แล้วมึงรู้จักกูได้ยังไง”
“ก็มึงเป็นถึงเดือนคณะศิลปศาสตร์ปีที่แล้ว ใครจะไม่รู้จักมึงบ้างล่ะ”
เออว่ะ ก็จริงของมันนะ แต่... “แล้วทำไมถึงต้องเป็นกูด้วยที่มึงเอาไปบนอะ คนอื่นก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องกู ไหนว่ามาซิ ทำไมต้องกู”
“ก็กูไม่ได้ชอบคนอื่นไงตัวต่อ กูชอบมึง”“...”
อะ...อึ้งไปดิ!
เจอคำตอบแบบนี้เข้าไป ผมแม่งร้อนๆ หนาวๆ เหมือนจะเป็นไข้เลยว่ะ แล้วไอ้...ความปั่นป่วนในท้องนี่มันคืออะไรก็ไม่รู้... สับสนโว้ย!
“อึ้งอีกแล้ว กูพูดอะไรไปก็อึ้งตลอด”
“ก็ดูสิ่งที่มึงพูดกับกูสิ!” แม่งดูเหลือเชื่อไปหมดทุกอย่าง เอ๊ะ หรือว่า... “หรือว่าที่มึงพูดเมื่อกี้มึงล้อเล่นวะเจได”
“เรื่องไหน?”
“ก็เรื่องที่บอกว่าชอบกูไง”
“เปล่า อันนั้นกูพูดจริง”
“โอ๊ยยยยยย” ขอกุมขมับครับ ขอกุมขมับบบบบบ
“เฮ้ยตัวต่อ นี่กูจริงจังเลยนะ มึงไม่ต้องเครียดเว้ย นี่มันไม่ใช่เรื่องของมึง มันเป็นเรื่องของกู หัวใจกู แล้วก็เป็นความรับผิดชอบของกูด้วย มึงไม่ต้องคิดมาก”“มึงก็พูดมาได้ว่าไม่ใช่เรื่องของกู แล้วที่มาหากูเนี่ย เพราะว่ามึงจะมาขอจีบกู ใช่ไม่ใช่?”
“ก็... ใช่แหละ แต่ว่า...”
“นั่นแหละที่กูเครียด กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงไปรู้อะไรมา แต่ถ้ามึงคิดว่าจะจีบกูได้ เพราะกูเคยบนกับเจ้าแม่ไว้ ว่าจะไม่ขอรักผู้หญิงคนไหนในชีวิตอีก มึงคิดผิดแล้ว”
“...”
“กูชอบผู้หญิงเว้ย ไม่ได้ชอบผู้ชาย”
“...”
“การที่กูบอกว่าจะไม่ชอบผู้หญิง ก็เท่ากับว่ากูจะอยู่ของกูคนเดียว มึงเข้าใจไหม”
“...”
ช่วยเข้าใจด้วยเถอะ ที่ผ่านมาผมต้องทนอยู่กับความเข้าใจผิดแบบนี้มานานมากแล้ว ผมบนกับเจ้าแม่จริง แล้วผมก็ขอแก้บนแบบนั้นจริงๆ และที่ผมเลือกที่จะประกาศผ่าน Facebook ในวันนั้น ก็เพราะผมต้องการที่จะให้ผู้หญิงทุกคนได้รู้ ว่าผมจะไม่ยุ่งกับใครอีกแล้ว แม้แต่คนที่คุยๆ กันอยู่ ก็ไม่ต้องคุยกันแล้วด้วย
แต่กลับกลายเป็นว่าผู้ชายทุกคน ผู้ชายอย่างพี่มิกซ์ กลับหันมาสนใจผม พยายามเข้าหาผม จีบผม คิดว่าผมเป็นเกย์ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลย!
“กู...ขอโทษ”
“...”
ผมตัวชา... รู้สึกว่าอารมณ์ที่เคยพุ่งพล่านอยู่ในตอนแรกกลับสู่ความสงบในทันที เมื่อคำขอโทษของอีกฝ่าย...กรีดเข้ามากลางใจผมอย่างรุนแรง...
ทำไมสายตาที่เคยมีแววขี้เล่นของไอ้ตี๋เข้มมันถึงได้แสดงความรู้สึกผิดออกมามากขนาดนั้น จนแม้แต่รอยยิ้มที่มักจะติดอยู่บนใบหน้าของมันตลอด...ก็ยังไม่หลงเหลือ...
ผม...รู้สึกว่าตัวเองกำลังใจหาย...
“กูไม่ได้ต้องการให้มึงรู้สึกแย่เลยนะ”
“...”
“กูแค่ชอบมึง”
“...”
“เลยเอามึงไปเป็นเรื่องที่ต้องแก้บน”
“...”
“เพราะอะไรรู้ไหม?”
“...”
“เพราะว่ากูจะได้มีข้ออ้างในการลุกขึ้นมาจีบมึงสักทีไง”
“...”
“แล้วก็อย่างที่มึงบอกนั่นแหละ ที่กูมาวันนี้ เพราะกูอยากขอให้มึงช่วยเปิดใจให้กูหน่อย”
“...”
“แต่ถ้ามันทำให้มึงรู้สึกแย่แบบนี้”
“...”
“กูไม่เอาแล้ว กูขอลาดีกว่า”
“...”
“ขอบคุณที่เสียเวลามาคุยกับกูนะ”
“...”
“แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้มึงลำบากใจ”
“...”
“ไว้...คราวหน้ากูมาอุดหนุนไอติมมึงอึกเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน”
“...”
“ไปล่ะ”
มันโบกมือลาผม ไม่รอให้ผมได้พูดอะไร
ผมรู้สึกได้ว่าใจตัวเองห่อเหี่ยวไปพร้อมกับความรู้สึกของอีกฝ่าย ถึงมันจะยิ้มปิดท้าย แต่ดูก็รู้ว่ามัน ‘ฝืนยิ้ม’ ออกมา ก็บอกแล้ว...คนอย่างมันน่ะอ่านง่าย...
แม่ง ทำไมถึงยอมแพ้ง่ายขนาดนี้วะ แค่เพียงเพราะไม่อยากให้ผมลำบากใจ ก็เลยยอมถอยไปเองเลยอย่างงี้น่ะหรอ?
หายากแฮะ หายากจริงๆ
นี่คง... เป็นอีกหนึ่ง ‘ความไม่เหมือนใคร’ ของมันสินะ
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนสิ”
ละ...แล้วผมก็คงบ้าไปแล้วด้วย ที่ท้ายที่สุดก็เรียกรั้งมันไว้แบบนี้เนี่ย!
“ว่าไง?”
ไอ้เจไดเลิกคิ้วขึ้น คงรอฟังสิ่งที่ผมจะพูด ซึ่ง...ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากจะพูดแบบนี้...
“เออ กูให้มึงจีบกูก็ได้วะ”
...แต่ผมก็พูดมันออกไปแล้ว
และนั่นทำให้หัวใจผมที่เคยห่อเหี่ยวกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง...เป็นผลจากการที่ได้เห็นอีกฝ่ายแสดงอาการดีใจระคนตื่นออกมา
มันกลับมายิ้มแล้ว ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมด้วย ไม่เหลือสภาพหมาหงอยเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด
“จริงนะ นี่มึงไม่ได้หลอกให้กูดีใจเล่นใช่ไหม?”
“เออ”
“เยส!”
แล้วมันก็ถึงกับกระโดดเลยครับ น่ะ...นี่มึงจะดีใจอะไรขนาดนี้เนี่ย แค่ได้จีบกูเนี่ยนะ? ไอติมเกือบหกเลยเห็นไหมน่ะ
“แต่... กูช่วยได้แค่เรื่องที่มึงจะจีบกูเท่านั้นนะ ส่วนจะจีบติดไม่ติด อันนั้นเป็นเรื่องของมึง กูไม่เกี่ยว เข้าใจไหม?”
“เข้าใจครับ : )”
“ดี กูกลับไปทำงานต่อละ” มัวแต่มาคุยบ้าอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้เนี่ย เสียเวลาทำงานหมด
“เดี๋ยวก่อนตัวต่อ”
“อะไรอีก?” นี่ชักจะเริ่มหงุดหงิดแล้วนะ ไม่รู้หรือไงว่าผมอยากจะรีบหนีหน้ามันน่ะ!
“ถามได้ไหม ว่าทำไมถึงเปลี่ยนใจ : )”
“ไม่ได้ ห้ามถามมาก” เพราะกูก็ตอบไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ
“โอเค งั้นช่วยรับนี่ไปที กูตั้งใจเอามาให้มึงโดยเฉพาะเลย แปบนะ”
ผมที่กำลังจะเปิดประตูกลับเข้าไปในร้านหันกลับมาสนใจไอ้เจไดแบบจริงๆ จังๆ อีกครั้ง เมื่อเห็นว่ามันทำท่าล้วงกระเป๋ากางเกง คล้ายจะหยิบอะไรบางอย่าง
“นี่ไง”
ก่อนที่ไอ้ตี้เข้มมันจะล้วงมือออกจากกระเป๋าอย่างรวดเร็ว แล้วทำนิ้วเป็นรูป ‘มินิฮาร์ต’ แบบที่เกาหลีเขากำลังฮิตๆ กันอยู่นั่นแหละ
กูก็นึกว่าอะไร แม่ง!
“แหวะ เสี่ยวสัส!”
“เออน่า คราวนี้เอาไปแค่นี้ก่อน ไว้คราวหน้ากูจะหามาให้ใหญ่กว่านี้อีก สัญญา : )”จบตอน