《 จีบแก้บน 》♥ บทสิบเจ็ด...บทสุดท้าย [THE END] | 23/3/2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 《 จีบแก้บน 》♥ บทสิบเจ็ด...บทสุดท้าย [THE END] | 23/3/2561  (อ่าน 56054 ครั้ง)

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



งานเขียนที่ผ่านมา
- #พ่อมดเหล้า (จบแล้ว)
- อะม็อกซีซิลลิน : เรื่องสั้น (จบแล้ว)


จีบแก้บน



แฮมสเตอร์ ♥ เขียน



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2018 19:26:34 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2018 20:16:42 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
เจได

“นี่หรอวะศาลเจ้าแม่” ผมถาม ไม่ได้ต้องการคำตอบที่จริงจังนักหรอก เพราะรู้อยู่แล้วว่าที่นี่คือที่ไหนแน่ (ก็ผมเป็นคนขับมาเองนี่หน่า) แต่ที่ถามเนี่ย เพราะไม่อยากเชื่อมากกว่า ว่ามันจะมีอะไรแบบนี้อยู่ในมหา’ลัยด้วย
   
ก็อยู่มาตั้งปีครึ่งแล้วนะ เพิ่งได้มาเอาวันนี้นี่เอง เชยชะมัดเลยกู
   
“เออ ที่เนี่ยแหละ” คนที่ตอบผมคือ ‘ไอ้ยศ’ ครับ ส่วนใหญ่เพื่อนในสาขาจะเรียกมันว่า ‘ไอ้แว่น’ ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอก แค่เพราะว่ามันใส่แว่นคนเดียวในรุ่นก็เท่านั้นเอง
   
แต่ที่ทำให้ไอ้แว่นเป็นที่รู้จักในหมู่มากแบบนี้ ไม่ใช่เพราะแค่ว่ามันใส่แว่นหรอกนะครับ อย่างไอ้ยศน่ะ มันต้องดังในเรื่องอย่างว่า คนเชี่ยไรก็ไม่รู้ เข้ามอมายังไม่ทันจะเริ่มรับน้องเลย แม่ง yed รวดครบสี่ชั้นปีแล้ว เทพจริงๆ
   
“วันนี้คนไม่ค่อยเยอะแฮะ” ส่วนไอ้นี่ชื่อ ‘ตรี’ ครับ ไม่ใช่เอก โท หรือจัตวาอะไรทั้งนั้น ตรีคำเดียวคือจบเลย เป็นหนึ่งในทีมงานแก๊งเพื่อนคุณภาพของผมเอง (คบกันสนิทกันอยู่แค่สามคนเนี่ยแหละ) เอาจริง นี่แบบไม่อวยเพื่อนเลยนะ แต่ผมว่ามันหล่อใช้ได้ ไอ้ตรีน่ะ หล่อกว่าไอ้ยศเยอะมาก ชอบทำหัวสีแดงเป็นพวกวิสลีย์ตลอดเลย จนผมเกือบลืมไปแล้วเนี่ยว่าแม่งก็เป็นคนไทยหัวดำเหมือนๆ กัน แต่ไอ้นี่แม่งปากหมาครับ เป็นพวกหน้าหยกแต่ปากหมา ใครเป็นพวกรับความจริงไม่ค่อยได้นี่อย่ามาคุยกับมันเลย น้ำลายจะฟูมปากตายเอาซะเปล่าๆ ฮ่าๆๆ
   
“ร่มรื่นดีนะ ตอนแรกกูคิดว่าจะเละเทะกว่านี้ซะอีก”
   
คือสารภาพเลยนะว่าตอนแรกที่ไอ้ตรีกึ่งชวนกึ่งรบเร้าให้ผมมาเป็นเพื่อนไอ้ยศเนี่ย ผมจินตนาภาพไว้ว่าเป็นศาลใต้ต้นไทรน่ากลัวๆ มีธูปมีเทียนปักไล่ยุงเป็นกำๆ แล้วก็จะมีพวกผ้าสามสีผูกอยู่ทุกที่ที่คนมันจะผูกได้ แล้วอะไรอีกล่ะ... อ๋อ นึกออกละ มีชุดไทยสไบจับจีบห้อยอยู่เยอะๆ ตบท้ายด้วยรูปปั้นสิงสาราสัตว์ต่างๆ วางเกลื่อนอยู่หน้าศาลอะไรเทือกๆ นั้น
   
แต่พอได้มาจริง... กลับรู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่สงบอย่างน่าประหลาด ไม่มีอะไรรกๆ อย่างที่ผมตั้งแง่เอาไว้ในหัวเลย มีแค่เพียงศาลไม้ทรงไทยขนาดใหญ่ลักษณะแปลกตาที่ตั้งตระหง่านอยู่กึ่งกลางของลานหญ้าขนาดย่อม แล้วโอมล้อมไว้ด้วยหมู่มวลต้นไม้ใหญ่จนแสงแดดไม่สามารถส่องทะลุเข้ามาถึงได้ก็เท่านั้นเอง แถมรอบๆ นี่ก็ยังมีม้านั่งสะอาดๆ ไม่ต่างจากสวนสาธารณะดีๆ ด้วยนะ เรียกว่าฉีกทุกกฎของศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ไทยไปแบบชนิดไม่เห็นฝุ่นเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งป้ายอย่างดีที่เขียนกำกับเอาไว้ว่า...

   
‘ห้ามจุดธูปหรือเทียน เจ้าแม่ไม่ชอบ!’

   
โอ้โห นี่แม่งคืองานแหวกระดับจับ ‘โวลเดอมอร์’ มาปะทะกับ ‘ดาร์ธ เวเดอร์’ ชัดๆ
   
เจ๋งโคตร!
   
“ว่าแต่นี่มึงจะบนจริงๆ หรอวะไอ้ยศ เลิกกินเนื้อวัวตลอดชีวิตนี่มันงานช้างเลยนะมึง”
   
แต่เออ จริงว่ะ ได้ยินที่ไอ้ตรีถามไอ้แว่นยศแล้วก็อดเห็นด้วยไม่ได้ เพราะผมเองก็ไม่ได้รู้สึกเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ที่มาเนี่ย ก็เพราะทนไอ้ตรีรบเร้าไม่ไหว ทั้งๆ ที่ไอ้ยศมันก็บอกว่ามันมาคนเดียวได้แท้ๆ
   
เฮ้ออออออ คืองี้ครับ เรื่องทั้งหมดเนี่ยมันมีอยู่ว่า ไอ้แว่นยศเพื่อนผมมันดันมีความคิดที่อยากจะบนกับศาลเจ้าแม่ของมหา’ลัย ด้วยเหตุผลว่า ณ ปัจจุบันนี้ สิ้นแล้วซึ่งสมญานาม ‘ไอ้แว่นนักเย็_’ หลังจาก ‘หลิน’ สาวขาวหมวยคณะนิติศาสตร์สามารถถอดเขี้ยวถอนเล็บและยึดครองหัวใจของไอ้ยศได้สำเร็จ ชนิดที่ว่าเปลี่ยนจากไอ้เสือพันธุ์ดุให้กลายสภาพเป็นหมาบ้าน ถือเป็นความรักที่ทั้งน่ายินดีและโคตรจะสมน้ำหน้าเพื่อนตัวเองในคราวเดียวกัน เป็นคนดีๆ ไม่ชอบ ชอบเป็นลิง  อะไรนะครับ เกี่ยวกันยังไงน่ะหรอ ก็ ‘หงอ’ ไงครับ ‘หงอคง’ เก็ตไหม ต้องเก็ตสิ!
   
โอเค ต่อนะครับ เรื่องความรักของทั้งคู่ก็ดีมาตลอดนั่นแหละ แต่ปัญหาที่มักทำให้ไอ้ยศกลุ้มอกกลุ้มใจตลอดเลยก็คือ หลินเป็นคนที่ป่วยบ่อยมาก ขี้โรค ไม่แข็งแรงเลยสักนิด เอะอะก็เข้าโรง’บาลเป็นว่าเล่น นี่เปิดเทอมสองมาแค่สองอาทิตย์เอง หาหมอสี่รอบเข้าไปแล้ว ทั้งหวัดเล็กหวัดใหญ่สารพัด อย่าว่าแต่ไอ้ยศเครียดเลย เป็นผมนี่นอนเอาเท้าซ้ายเท้าขวาก่ายหน้าผากพร้อมกันไปแล้ว
   
แต่คนอย่างไอ้ยศมันไม่ยอมหมดหวังครับ ในเมื่อวิทยาศาสตร์พึ่งไม่ได้ มันก็เลยต้องเลือกพึ่งไสยศาสตร์แทน ก็เนี่ยแหละครับ ศาลเจ้าแม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์กระแสรองประจำมหา’ลัยที่พึ่งทางใจของใครหลายๆ คน อ้อ เหตุที่ต้องใช้คำว่า ‘กระแสรอง’ เนี่ย ไม่ได้ตั้งใจจะลบหลู่เจ้าแม่แกหรอกนะ แต่ที่มอผมเขามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์กระแสหลักที่เป็นสัญลักษณ์ประจำมหา’ลัยอยู่แล้ว แบบที่แขกไปใครมาก็ต้องพากันมาไหว้ เพราะฉะนั้นอินดี้ๆ อย่างศาลเจ้าแม่ที่รู้จักกันเฉพาะกลุ่มเนี่ย ยังไงก็คงต้องใช้คำว่า ‘กระแสรอง’ นั่นแหละเหมาะแล้ว แต่อย่าได้ประมาทไปนะครับ ถึงจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์กระแสรอง แต่ถ้าไม่เจ๋งจริง อินดี้ๆ แบบนี้คงไม่สามารถดังขึ้นมาได้
   
คือ...ถ้าจะเล่าก็ดูจะพล่ามเยอะไปนะ แต่ถ้าไม่เล่าคนอ่านก็ไม่รู้เรื่องอีก เฮ้ออออออ ลำบากใจนะเนี่ย แต่เอาวะ ยอมโดนข้อหาเป็นผู้ชายพูดมากก็ได้ เพื่อให้คนอ่านรู้เรื่อง ให้ผมเป็นอะไรก็เป็นได้ทั้งนั้นแหละ : )
   
เรื่องมันมีอยู่ว่า ศาลเจ้าแม่เนี่ยเขามีตำนานครับ ถ้าสังเกตจากสถานที่ตั้งดีๆ จะพบว่าจุดนี้เป็นทางสามแพร่งแบบพอดีเด๊ะ คือเป็นทางลัดตัดแยกไปคณะเกษตรฯ กับโรงเรียนสาธิต (ซึ่งเด็กคณะบริหารอย่างผมไม่เคยผ่านเลย) เมื่อก่อนเนี่ย เขาเล่ากันมาว่า พื้นที่บริเวณนี้มันปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นสักอย่าง จะปุ๋ยอินทรีปุ๋ยเคมีก็ไม่อาจทำให้พืชพันธุ์มีชีวิตอยู่รอดไปได้ จนอยู่มาวันหนึ่ง คณะบดีของมหา’ลัยในยุคนั้นแกดันเกิดนิมิต ฝันเห็นผู้หญิงสวยผมยาวห่มสไบปักทองมาขอความช่วยเหลือให้ช่วยตั้งศาลให้ ณ พื้นที่บริเวณนี้ โดยไม่ต้องจุดธูปจุดเทียนบูชา หรือหาของอะไรมาถวายทั้งนั้น แค่ตั้งศาลและดูแลอย่าให้ทรุดโทรมเท่านั้นพอ แล้วท่านจะมาช่วยเอง
   
แล้วก็อย่างที่เห็นครับ พื้นที่แถบนี้กลายเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นมาได้ในที่สุด ภายหลังจากที่คณะบดีคนเก่าก่อนทำตามที่เจ้าแม่ขอ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิครับ พี่รหัสผมแกยังเล่าให้ฟังอีกว่า พอไม่มีเรื่องเพาะปลูกให้ต้องกังวลแล้ว คนในพื้นที่ ไม่ว่าจะชาวบ้าน นิสิต หรือบุคลากรต่างๆ ก็เริ่มหันมาบนบานศาลกล่าวเรื่องอื่นแทน และหลังจากที่ลองผิดลองถูกกันมาหลายรุ่น ก็ได้ข้อสรุปในการบนศาลเจ้าแม่มาสองข้อ
   
คือหนึ่ง...ห้ามบนเรื่องความรัก เพราะจะไม่มีวันสำเร็จ
   
และสอง...ถ้าไม่ขอแก้บนด้วยอะไรที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องขอแก้บนด้วยอะไรแปลกๆ

   
รับรอง สำเร็จแน่
   
ยกตัวอย่างจากที่พี่รหัสเล่าให้ผมฟังนะ คือเมื่อสามปีก่อน เคยมีรุ่นพี่คณะศึกษาศาสตร์บนกับเจ้าแม่แกไว้ว่า ถ้ากดบัตรคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลีทัน จะหิ้วสแตนดี้ของนักร้องวงนั้นแล้ววิ่งรอบสนามกีฬาหน้ามอทุกวันจนกว่าจะครบตามจำนวนสมาชิก
   
แล้วได้ข่าวว่าวงนั้นมีเมมเบอร์ทั้งหมดสิบสามคน พี่แกนี่แม่งอึดถึกจริงๆ เลยว่ะ
   
ไอ้ยศนี่ก็อีกคน ตั้งใจมาบนขอให้หลินสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วยบ่อยๆ อีก และถ้าสำเร็จ มันจะไม่กินเนื้อวัวตลอดชีวิต แม่งเอ้ย ยอมใจจริงๆ ว่ะ เป็นผมนี่ทำอย่างมันไม่ได้จริงๆ นะ ไอ้การให้เลิกทำอะไรสักอย่างที่เคยทำมาตลอดทั้งชีวิตเนี่ย ยาก ยากมาก ทำไม่ได้หรอกครับ ยกธงขาวเลย
   
“จริงสิวะ ขอแค่ให้หลินหายป่วย ให้เลิกเหล้าเลิกบุหรี่ตลอดชีวิตกูยังทำได้เลย”
   
โห... หล่อใหญ่เลยเพื่อนกู นี่เอาจริงไม่ต้องพึ่งเจ้าแม่เลยนะ แค่ยินที่มันพูด ผมว่าหลินก็คงหายสนิทแล้วล่ะ
   
แต่สำหรับผม ผมเครียดครับ!
   
“มึงจะบ้าหรอ เลิกเหล้าเลิกบุหรี่เนี่ยนะ ประสาทแล้วมึง สองอย่างนี้นี่แม่งชีวิตลูกผู้ชายเลยนะเว้ยไอ้ยศ!” แค่คิดว่าต้องเลิกผมก็อยากตายแล้วเนี่ย แบบว่า...ไปสังสรรค์กับเพื่อนแต่ต้องนั่งกินน้ำเปล่าเงี้ยหรอ? หึ ฝันไปเลย ไม่มีทางเด็ดขาด! “เออ ถ้าให้บนว่าขอไม่กินผักตลอดชีวิตยังว่าไปอย่าง จริงไหมไอ้ตรี”
   
“จริง กูเห็นด้วย มึงมันบ้าไปแล้วไอ้ยศ”
   
“เอาเถอะ พวกมึงอยากด่าอะไรกูก็ด่ามาเลย ไว้รอวันที่พวกมึงสองคนเจอคนที่รักจริงๆ เหมือนอย่างที่กูเจอ เดี๋ยวพวกมึงก็จะเข้าใจเอง ว่าขอแค่ให้เขามีความสุข ให้ทำอะไรพวกมึงก็ยอมทำทั้งนั้นแหละ”
   
“...”
   
“...”
   
เชี่ย... ใบ้แดกคู่เลยสิครับ เจอข้อนี้เข้าไป นี่มึงจะหล่ออะไรขนาดนี้วะเนี่ยไอ้ยศ นิสัยหล่อๆ ของมึงกำลังทำให้คนโสดที่หน้าตาหล่อจริงๆ อย่างกูกับไอ้ตรีดูแย่นะไอ้ห่า
   
แต่เอาเถอะ ผมขอยกมือยอมแพ้ครับ มันอยากทำอะไรปล่อยให้มันทำเลย เชิญแม่งตามสบาย เพราะผมคงไม่มีวันที่จะเข้าใจอะไรก็ตามที่เกิดจากการรักใครสักคนอย่างที่ไอ้ยศพูดหรอก ก็แหม คนอย่างไอ้เจไดเคยมีความรักจริงๆ จังๆ กับเขาที่ไหนกัน ทั้งชีวิตนี้มีแฟนแค่คนเดียวเท่านั้น ชื่อ ‘ปิ่น’ เป็นความรักช่วง ม.ปลาย
   
ที่พูดเนี่ย ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเอานะครับ เรื่องผู้หญิงน่ะผมมีเข้ามาในชีวิตไม่เคยขาดอยู่แล้ว แค่... ยังไม่เจอใครที่มันกระแทกใจจนต้องวิ่งตามก็เท่านั้นเอง... อย่างปิ่นเนี่ย ผมก็ไม่ได้ชอบจริงจังอะไรนะ แต่ที่เลือกคบก็เพราะว่าไอ้ตรีกับไอ้ยศ (คบกันมาตั้งแต่มัธยมแล้วครับ) มันอยากให้ผมลองมีใครสักคนดู เข้าทำนองว่า ‘ถ้าไม่ลองก็คงไม่รู้’ อะไรแบบนั้น
   
แล้วผลเป็นไงรู้ไหม ปิ่นแม่งดันมาเจ้ากี้เจ้าการชีวิตผมทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องเหล้าเนี่ย สมัยนั้นมันจะมีเด็ก ม.ปลาย สักกี่คนที่คอแข็งจนชนแก้วกับรุ่นพี่ได้ติดๆ กันเป็นอาทิตย์วะ แล้วบรรยากาศในวงเหล้าแม่งก็สวนเสเฮฮาจะตาย เป็นประสบการณ์ที่คนไม่ดื่มไม่เข้าใจแน่ จะมาขอให้ผมเลือกระหว่าง ‘เหล้า’ กับ ‘เธอ’ อย่างงั้นหรอ
   
หึ กูก็ต้องเลือกเหล้าสิครับ ถามได้
   
เพราะฉะนั้นถึงได้บอกไง ว่าผมไม่มีทางเข้าใจไอ้ยศได้หรอก ไม่มีทาง
   
“เอาๆ จะไปบนอะไรก็ไปบนไป เดี๋ยวพวกกูรอ” ส่วนไอ้ตรีวิสลีย์เองก็คงพอกันครับ ทำได้มากสุดแค่ตัดบทเท่านั้น เพราะมันก็อยู่ในสถานะโสดไม่ต่างกันกับผม แล้วเท่าที่รู้จักกันมา ก็ไม่มีคนที่มันเคยรักจริงๆ จังๆ เหมือนอย่างที่ไอ้ยศรักหลินด้วย
   
ผมกับไอ้ตรียืนมองไอ้แว่นยศที่คุกเข่าลงพนมมือไหว้ต่อหน้าศาลเจ้าแม่ ไอ้ตรีคิดไงไม่รู้นะ แต่ผมนี่โคตรขัดใจเลย ไม่รู้ว่ะ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่  เหมือนที่เชื่อว่าผีไม่มีจริงนั่นแหละ เพราะถ้าผีจะมีจริง ก็คงเป็นครั้งเดียวที่ผมมีโอกาสได้เห็นมัน แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไม่เคยมีอยู่... แต่กลับ...ติดแน่นในใจไม่หายไปไหนสักที...
   
เฮ้อออ ผมดูเพ้อเนอะ ขอวกกลับมาที่เรื่องบนก็แล้วกันนะครับ
   
ก็นั่นแหละ ส่วนตัวผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่หรอก ผมว่าเรื่องบนนี่มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ หรือไม่ก็เป็นการสร้างที่พึ่งทางใจจนทำให้คนที่บนสามารถทำเรื่องนั้นๆ สำเร็จได้มากกว่า เพราะถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ป่านนี้คนคงสมหวังกันหมดโลกไปแล้ว ไม่ต้องมาทุกข์มาร้อนดิ้นรนกันอยู่แบบนี้หรอก จริงไหม?
   
“เป็นไงมึง สบายใจขึ้นไหม” อันนี้ผมถามไอ้ยศเองครับ หลังจากมันเดินขยับแว่นกลับมาหาผมกับไอ้ตรีแล้ว
   
“ไม่รู้ว่ะ คงต้องรออีกเจ็ดวัน เพราะกูกำหนดเวลาไว้แบบนั้น”
   
โห นี่มึงมีการกำหนดระยะเวลาให้เจ้าแม่ด้วยหรอวะแว่นยศ มึงนี่มันเก่งจริงๆ เลยไอ้ห่า
   
“เออ รอไป ได้ผลว่าไงบอกกูด้วย”
   
“โอเค”
   
กูก็พูดไปงั้นแหละมึงเอ้ย คนอย่างกูน่ะ ยังก็เชื่อหมอมากกว่าเจ้าแม่ว่ะ โทษทีนะเพื่อน
   
แต่ในขณะที่พวกผมสามคนกำลังจะเดินกลับไปที่รถ วอลโว่สีขาวคันหนึ่งก็ขับตรงเข้ามาจอดอย่างรวดเร็ว แต่กลับอยู่ภายในเส้นที่ตีไว้เป๊ะๆ เป็นการจอดแบบม้วนดียวจบที่เท่มาก ไหนๆ ขอดูหน้าคนขับหน่อยเถอะวะ ผมว่าแม่งต้องหล่อเท่พอๆ กับสกิลการขับขี่แหง
   
ปึก!
   
พอเห็นว่าผมหยุดยืนมองไปที่รถคันนั้น ไอ้ยศกับไอ้ตรีก็ทำตาม แล้วหลังจากนั้นประมาณห้าวินาทีเห็นจะได้ เสียงปิดประตูฝั่งคนขับก็ดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของที่เดินอ้อมมาทางศาลเจ้าแม่ ทำให้พวกผมทั้งสามคนมองเห็นเจ้าของรถได้ถนัดตา...
   
ไอ้เหี้ย!
   
“...”
   
ขะ...ขอโทษที่ต้องหยาบคายนะครับ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจะไม่คู่ควรกับคำว่า ‘เหี้ย’ เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ผมก็ไม่รู้จะหาอะไรมาอุทานให้สมกับความตื่นตกใจในเวลานี้ได้มากไปกว่าคำนี้อีกแล้ว...!
   
เมื่อสิ่งที่เป็น...ดันตรงข้ามกับสิ่งที่คิดแบบสุดขั้ว...
   
ไม่มีผู้ชายเท่ๆ อะไรทั้งนั้นครับ มีเพียง... นิสิตชายร่างบางที่ขยับกายเคลื่อนไหวไปยังศาลเจ้าแม่ได้อย่างดูดีและโคตรจะเป็นเป็นธรรมชาติ... ผิวของมันขาวอมชมพูเหมือนเด็กเล็กๆ ดูนวลเนียนไปหมดทุกส่วน...จนแม้แต่ผมที่เป็นผู้ชายเหมือนกันก็ยังหยุดไล่สายตาไปทั่วๆ ตัวของมันไม่ได้...
   
ใบหน้าด้านข้างตอนที่เดินผ่านไป...จะว่าสวยหวานเหมือนผู้หญิงก็ว่าได้ แต่คิดอีกที...จะว่าหล่อแบบสไตล์หนุ่มจีนหนุ่มเกาหลีก็คงไม่ขัดเช่นกัน
   
ผมชอบทรงผมมันนะ ยาวระต้นคอ ทำ wet look แสกกลาง ดูยุ่งนิดๆ คลอเคลียหน้าหน่อยๆ มีเสน่ห์ฉิบหายเลย
   
นี่ผม...มองมันแบบไม่ละสายตามากี่วินาทีแล้ววะเนี่ย...
   
“เชี่ย ผู้ชายอะไรวะ เล่นซะกูตาค้างเลย”
   
อย่าว่าแต่มึงเลยไอ้ยศ ดูไอ้ตรีดิ อ้าปากซะจนยุงจะบินเข้าไปดูดเลือดบนลิ้นมันแล้ว ไหนจะผู้คนโดยรอบที่พร้อมใจกันหันไปมองมันคนนั้นยังกับโดนสะกดอีกล่ะ
   
แม่ง มึงดูดีมากเว้ยไอ้ wet look มึงนี่มันต้องมีฟีโรโมนดึงดูดทุกเพศแหง!
   
“เฮ้ย อึ้งเลยหรอวะไอ้เจได นี่ไม่ใช่ว่าที่มึงไม่เจอผู้หญิงถูกใจสักทีนี่เพราะว่าที่จริงเนื้อคู่มึงเป็นผู้ชายหรอกนะ ฮ่าๆๆๆ”
   
“ก็เหี้ยละ” อึ้งน่ะอึ้งจริงครับ แต่เรื่องเนื้อคู่เป็นผู้ชายนี่ไม่ใช่แล้วเว้ย แม่งมั่ว “นู่น ดูไอ้ตรีนู่น อึ้งแดกกว่ากูอีก ปากค้างตาค้างไปหมดแล้วน่ะ”
   
“ตัวต่อ...”
   
แต่แทนที่ไอ้ตรีมันจะเถียงกลับมาด้วยปากหมาๆ อย่างที่ชอบทำ มันกลับเอ่ยอะไรอย่างอื่นออกมาแทน อย่างอื่นที่ทำให้ผมกับไอ้แว่นยศหันมองหน้ากันด้วยความงง เพราะไม่เข้าใจว่าไอ้ตรีมันหมายถึงอะไร
   
“ตัวต่อ? ตัวต่ออะไรของมึงวะ?”
   
“ก็นั่นไง...ตัวต่อ” คราวนี้ไอ้ตรีวิสลีย์ไม่พูดเปล่า มันชี้ไปที่ไอ้ wet look ที่กำลังคุกเข่าลงพนมมือไหว้ต่อหน้าศาลเจ้าแม่ แม่ง... ทำไมดูดีกว่าตอนเห็นไอ้เพื่อนยศลงไปคุกเข่าเยอะเลยวะ?
   
แล้วนี่ก็เพิ่งจะสังเกตนะเนี่ย ว่าตั้งแต่ไอ้ขาวนี่มา เสียงรอบตัวแทบจะเงียบลงไปเลย เพราะทุกคนมัวแต่มองมันจนลืมคุยกันหมดแล้ว...
   
“ใครวะไอ้ตรี”
   
“ตัวต่อ เดือนคณะศิลปศาสตร์ปีที่แล้วไง มึงไม่รู้จักหรอ”
   
ผมส่ายหน้าแรง “มึงก็รู้นี่ ว่ากูไม่สนเรื่องดาวเดือนอยู่แล้ว” ขนาดรุ่นพี่มาขอให้ไปประกวด ผมยังปฏิเสธไม่เอาท่าเดียว เพราะรู้สึกว่าแม่งไร้สาระจะตาย มาเรียนนะเว้ย ไม่ได้มาประกวดนางงาม บ้าหรอ
   
“เออ กูลืมไป โทษที”
   
แต่ดูจากรูปร่างหน้าตา (ถึงจะเห็นแค่ค่อนหน้าก็เถอะนะ) ก็สมแล้วล่ะที่ไอ้ wet look มันจะได้ตำแหน่งเดือนคณะน่ะ นี่ถ้าไอ้ตรีบอกว่ามันควบตำแหน่งทั้งดาวทั้งเดือนคนเดียวพร้อมกัน ผมยังไม่แปลกใจเลย จริงๆ
   
“เดี๋ยวนะ เดือนคณะศิลปศาสตร์ปีที่แล้ว... ใช่คนที่มีข่าวว่าเคยมาบนที่นี่แล้วสำเร็จใช่ไหมวะ”
   
“เออ คนนั้นแหละ มึงก็เคยได้ยินข่าวด้วยหรอยศ”
   
“เคยๆ แต่กูแค่จำชื่อมันไม่ได้”
   
แต่กูไม่เคยได้ยินครับ ช่วยทำให้กูรู้เรื่องด้วยอีกคนที พลีสสส
   
“มึงนี่ นอกจากเรื่องเรียนกับเรื่องกินเหล้า เคยรู้ห่าอะไรบ้างวะเนี่ยไอ้เจได” พอไอ้ตรีเห็นว่าผมขมวดคิ้วมุ่นอย่างจงใจ มันก็อดที่จะแขวะผมไม่ได้ แต่ก็ยังเล่าให้ฟังนะ เออ ถือเป็นเพื่อนที่ดี
   
“คืองี้ เมื่อปีก่อนอะ เคยมีข่าวดังไปทั้งมอเลยว่าตัวต่อเขามาบนกับศาลเจ้าแม่”
   
“บนอะไรวะ ทำไมคนถึงต้องสนใจขนาดนั้นด้วย”
   
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาบนอะไร เพราะว่าคนอื่นก็ไม่รู้”
   
“อ้าว ไอ้ห่า”
   
“แต่ที่เรื่องมันดัง มันไม่ใช่เพราะเขาบนอะไรเว้ย แต่เป็นเรื่องที่ว่าเขาขอจะแก้บนยังไงกับเจ้าแม่ต่างหาก”
   
“แล้วยังไงวะ ไอ้นั่นมันแก้บนยังไง หิ้วสแตนดี้นักร้องเกาหลีวิ่งรอบสนามหน้ามอหรอ?” เดี๋ยวๆ แล้วนี่ทำไมผมต้องตื่นเต้นอยากรู้เรื่องไอ้ขาวนั่นขนาดนี้ด้วยวะเนี่ย งงตัวเอง!?
   
“เด็ดกว่านั้นเยอะ” โห เด็ดกว่าอีกหรอ ยังไงวะ ใช่แก้ผ้าวิ่งรอบมอรึเปล่า? “ตัวต่อเขาแก้บนกับเจ้าแม้ ด้วยการไม่ขอรักผู้หญิงคนไหนอีกเลยตลอดชีวิต
   
“เหี้ย...”
   
ผมถึงกับหันขวับไปมองไอ้ wet look นั่นทันทีที่ได้ยินจากปากไอ้ตรีว่าไอ้นั่นมันแก้บนกับเจ้าแม่ยังไง นี่แม่ง...ขออะไรเจ้าแม่ไปวะ ทำไมถึงต้องลงทุนแก้บนหนักขนาดนี้ ไม่รักผู้หญิงคนไหนตลอดชีวิตเลยเนี่ยนะ!?
   
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เริ่มเดาถึงสิ่งที่มันขอเจ้าแม่ จู่ๆ คนที่ผมจ้องมองแผ่นหลังของมันอยู่ก็ลุกขึ้นยืน แล้วหันกลับมาทางที่พวกผมสามคนยืนอยู่ ทำให้ผมกับมันที่ยืนอยู่ตรงกันพอดี...สบตาเข้าหากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ...
   
แกร๊ก!
   
“...”
   
กุญแจรถในมือผมหล่นลงพื้นพร้อมกับหัวใจที่กระตุกวูบ...

   
ผมจำได้...
   
ตอนนั้นผมเพิ่งจะเข้ามาเรียนที่นี่ครั้งแรก เป็นหนึ่งวันที่อากาศร้อนจัด และผมต้องยืนรอไอ้ตรีกับไอ้ยศอยู่หน้าห้องน้ำชายในโรงอาหาร
   
มันเป็นจังหวะหนึ่ง... เป็นแค่จังหวะเล็กๆ ที่ผมบังเอิญหันไปสบตากับใครคนนึงที่ยืนอยู่ข้างๆ ตู้ ATM สีม่วงเข้ม
   
ผมเหมือนถูกสะกดนิ่งให้หยุดอยู่กับมัน...ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยที่กำลังล้อกับแสงแดด... จนผมไม่รู้เลยว่าจะได้เจอดวงตาที่สวยขนาดนี้อีกไหม...
   
และยังไม่ทันที่ผมจะได้มองไปยังส่วนอื่น...
   
‘เฮ้ย ไอ้เจได ไปเรียนกัน’
   
เสียงเรียกจากด้านหลังของเพื่อนก็ทำให้ผมเผลอละสายตา... ก่อนที่จะรู้สึกไม่อยากให้อภัยตัวเองอีกเลยเมื่อหันกลับไป... แต่ไม่พบมันอีกแล้ว...


   
“กุญแจมึงอะ”
   
“...”
   
ผมถึงกับหายใจไม่เต็มปอด เมื่อรู้ตัวอีกที...สิ่งที่เคยหายไปในอดีตกลับยืนอยู่ตรงหน้า...ใกล้จนแทบไม่ต้องเอื้อมมือ... หนำซ้ำยังช่วยเก็บกุญแจรถที่เผลอทำตกส่งคืนให้อีก...
   
เชี่ยเอ้ยยย!
   
“รับไปสิ”
   
“อะ...เออ ขอบคุณมาก”
   
“ด้วยความยินดี”
   
ริมฝีปากสีแดงระเรื่อยกยิ้มมุมปาก ทำเอาผมเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ มะ...มันคงไม่ทันสังเกตหรอก...ใช่ไหม?
   
“...”
   
กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวมันยังเตะจมูกผมอยู่เลยนะ แต่มันกลับทำท่าจะเดินจากผมไปอีกแล้ว แม่ง ผมจะทำอะไรได้บ้างวะเนี่ย เรียกมันไว้หรอ? หรือหันไปขอให้เจ้าแม่ช่วยผมดี? เอาไงดีวะ!?
   
“เฮ้ยไอ้เจได เลิกอึ้งได้แล้ว ไอ้ตัวต่อมันขับรถไปนู่นแล้ว ฮ่าๆๆ”
   
เออ จริงด้วย... มันจากผมไปอีกแล้วจนได้... จากไปทั้งๆ ที่ผมแทบจะไม่รู้ตัวเลยสักนิด...
   
และผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สามแน่!
   
“ไอ้ตรี!” ผมรีบหันไปหาไอ้ตรีทันที ไม่สนใจคำแซวของไอ้แว่นยศอีกต่อไป
   
“อะ...อะไรวะ!? เรียกซะกูตกใจหมดไอ้ห่า”
   
“มึงรู้อะไรเกี่ยวกับตัวต่อบ้าง บอกกูมาให้หมดเดี๋ยวนี้!”
   
“ทำไมวะ เกิดอะไรขึ้น นี่กูงงนะ”
   
“กูจะจีบมันมึง ได้ยินไหม กูจะจีบมัน!”



จบตอน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-12-2017 20:21:13 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ 양아치

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ชอบบบบบบบบ
เป็นธรรมชาติมาก เขียนดีมาก
ชอบความตกหลุมรักของพระเอก 555555
อยากรู้ว่าจีบแก้บนนี่ใครเป็นคนจีบ  :impress2:

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
รุกแรงมาก งงเว่อร์
หนูจะจีบเขาก่อนไม่ได้นะ อะไรจะสตั๊นแรงขนาดน้านนนนนน

เชื่อเลยครึ่งหลังดราม่าแน่ เจ้าแม่ช่วยน้องด้วยยยย แงงง

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จะรออ่านนะคะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ตัวต่อ 555 ชื่อน่ารักจังเลยค่ะ

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ตัวต่อ

“อ้าว วันนี้เข้าร้านด้วยหรอจ๊ะน้องต่อ พี่ไม่เห็นรู้เลย”

ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในร้าน ‘ละลาย’ ร้านไอติมโทนสีพาสเทลที่ผมเป็นเจ้าของร้าน จากการช่วยเหลือของพ่อและ...แม่ ‘พี่นิ่ม’ พนักงานประจำสาวสวยบิ๊กไซส์ของร้านก็ทักขึ้น ดูประหลาดใจนิดหน่อย เพราะปกติผมจะส่งข้อความบอกเข้า Line กลุ่ม ‘ไอติมละลาย’ ก่อนทุกครั้งถ้าจะเข้ามา แต่วันนี้ผมไม่ได้ทำแบบนั้น ไม่ใช่ว่าต้องการให้เซอร์ไพรส์อะไร แค่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเข้ามาเหมือนกัน

“พอดีบังเอิญว่าว่างกะทันหันน่ะครับพี่นิ่ม เลยอยากแวะเข้ามาช่วยหน่อย ไม่ได้แวะเข้ามาหลายวันแล้ว”

“ให้พี่เดานะ ‘เจ้าปิง’ มันเทเราไปเที่ยวกับเมียอีกแล้วล่ะสิ”

“โห ถูกเลยพี่นิ่ม” ผมยกนิ้มโป่งให้แทบจะในทันทีที่ได้ยินคำเดาของอีกฝ่าย “เดาถูกกว่านี้ไม่มีอีกแล้วครับ” เมื่อวันนี้จริงๆ มีนัดดูหนังกับไอ้ปิงเพื่อนรัก (แต่ชักจะเกลียดละ) ที่กรุงเทพฯ ตอนหลังเลิกเรียน แต่พอคืนดีกับเมียมันเท่านั้นแหละ คนชวนอย่างมันก็ทิ้งให้เพื่อนอย่างผมต้อง ‘หมา’ ทันที เยี่ยมจริงๆ เลยแม่ง ฮ่าๆๆ

“ชินซะเถอะนะน้องต่อ นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เจ้าปิงมันจะเทเราแน่นอน”

“นั่นสิครับ ฮ่าๆๆ”

ซีเรียสไปก็เท่านั้น ขนาดพ่อแม่ที่เลี้ยงมันมาตั้งแต่เกิดยังทำอะไรไม่ได้เลย แล้วผมที่เพิ่งคบกับมันได้ปีสองปีจะไปดราม่าอะไรได้ไงเล่า ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่านะ ถ้ามันยังมาหาผมในทุกๆ ครั้งที่ผมต้องการมันเมื่อไหร่ ความเป็นเพื่อนของผมกับมันก็ยังเหมือนเดิมนั่นแหละ สบายมาก

“อะนี่จ้ะ ผ้ากันเปื้อน”

“ขอบคุณครับพี่นิ่ม” พอเดินเข้ามาที่หลังเคาน์เตอร์และวางสัมภาระทุกอย่างลงเรียบร้อยแล้ว พี่นิ่มก็ส่งผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อนปักโลโก้ของทางร้านมาให้ นั่นทำให้ผมเริ่มนึกถึงใครอีกคนที่จะต้องใส่ผ้ากันเปื้อนแบบเดียวกันนี้ด้วย “เอ้อพี่นิ่ม แล้วนี่พี่มิกซ์ยังไม่มาอีกหรอครับ?”

“มาแล้วจ้ะ อยู่หลังร้าน พี่ให้ช่วยไปยกไอติมถังใหม่มาเปลี่ยนน่ะ เดี๋ยวก็คงมา”

“อ๋อ” ผมพยักหน้ารับรู้ เพราะตอนแรกคิดว่าพนักงานพาร์ทไทม์ของร้านยังมาไม่ถึง “แล้วนี่เอารสไหนมาเติมครับ ช็อกโกแลตชิพ?”

“ใช่จ้ะ วันนี้ไม่รู้ทำไมขายดีเป็นพิเศษ เออนี่ พี่ว่าจะโทรปรึกษาน้องต่ออยู่พอดี”

“ทำไมหรอครับ”

“ก็เนี่ย ช่วงนี้มีคนมาถามหารสรัมเรซิ่นเยอะมากเลย น้องต่อว่าพี่ควรสั่งเข้ามาดีมั้ย”

รัมเรซิ่นอย่างงั้นหรอ? จำได้ว่าคราวก่อนแทบจะไม่มีคนสั่งเลย ผมก็เลยตัดสินใจเลิกสั่งไปซะ แล้วนี่อะไร พอไม่สั่งปุ๊บ คนถามหาปั๊บ เอาใจยากชิบเลยลูกค้าเนี่ย

“ไม่ดีกว่าครับ” ผมตัดสินใจเด็ดขาด เรื่องทำธุรกิจเนี่ยต้องกล้าตัดสินใจครับ จะมาลังเลไม่ได้ เสียระบบหมด “คราวก่อนโน้นก็ถามหากันแบบนี้ แต่พอสั่งมาทีไรก็ไม่มีคนกิน สู่เอาเงินไปสั่งรสที่ขายได้ชัวร์ๆ มาดีกว่า”

“โอเคจ้ะ งั้นพี่ขอสั่งช็อกโกแลตชิพมาเพิ่มอีกสักถังนะ ช่วงนี้ขายดี ต้องรีบโกย”

“ได้เลยครับพี่นิ่ม ฝากด้วยนะครับ”

“จ้า”

หมดห่วงครับ ตั้งแต่ได้พี่นิ่มเข้ามาเป็นพนักงานประจำของร้านแทนคนเก่าที่ไม่ได้เรื่อง ผมก็รู้สึกว่าสบายใจขึ้นเยอะ เพราะถึงพี่เขาจะอายุมากกว่าผม เป็นคุณแม่ยังสาวที่ต้องเลี้ยงดูลูกตามลำพัง แต่พี่นิ่มก็มักจะให้เกียรติผมในฐานะ ‘เจ้าของร้าน’ เสมอ ไม่ทำตามอำเภอใจตัวเอง แต่ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจอะไรแทน ก็ทำได้อย่างดี ไม่เคยมีปัญหาอะไรตามมา แถมยังคอยเป็นเพื่อนคู่คิดได้อีกต่างหาก เรียกว่าแทบจะหาข้อเสียไม่เจอเลยสักเรื่อง

จนแม้แต่นักธุรกิจใหญ่เจ้าของบริษัทส่งออกอาหารแช่แข็งอย่างพ่อผมยังพูดเลยว่า “นิ่มเนี่ย ถือเป็นเพชรนะตัวต่อ ลูกต้องอย่าปล่อยให้พี่เขาหลุดมือเด็ดขาด” เพราะฉะนั้น ผมต้องดูแลพี่นิ่มให้ดีครับ เธอจะได้อยากทำงานกับผมไปนานๆ เนอะ

“ช็อกโกแลตชิพมาแล้วคร้าบ ขอทางหน่อย ปี๊นๆ”

“จ้าๆ ลงตรงนี้เลย พี่เปิดตู้รอแล้ว”

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเปลี่ยนเรื่องที่คิดอยู่ในหัว เสียงขอทางที่ดังมาจากด้านหลังก็ทำเอาผมต้องรีบถอยไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นร่างสูงกว่าแบกไอติมถังใหม่ด้วยสองแขนแข็งแรงใส่ลงไปแทนช่องของถังเก่าที่พี่นิ่มได้ทำการเคลียร์ออกไปเรียบร้อยแล้ว ดูทะมัดทะแมงสมราคาจ้างชะมัด

เนี่ยแหละครับพี่มิกซ์ พนักงานพาร์ทไทม์ที่ผมถามถึง ผมได้พี่เขามาแทนคนเก่าเมื่อตอนต้นปีนี้เอง บอกตรงๆ แรกๆ นี่ไม่อยากรับเลยนะ เพราะดูจากภายนอกแล้ว พี่เขาไม่ต่างจากพวกนิสิตชายหลายๆ คนในมหา’ลัยเลย คือหน้าตาหล่อ รวย เล่นกล้าม แล้วก็ดูทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการแก้ผ้าถ่ายรูปลงโซเชียลเพื่อโชว์สาว

แต่พอได้ลองเสี่ยงรับเข้ามาพร้อมกับรุ่นน้องอีกคน (ที่ไม่ได้ทำงานวันนี้) กลับกลายเป็นว่าผลงานความขยันของนิสิตประมงปีสามคนนี้นี่แซงหน้าอีกคนแบบลิบลับ จนพี่นิ่มเองถึงกับเปรยว่า “พี่ล่ะอยากให้มีมิกซ์อีกสักสิบคนจัง” ถือเป็นคำพูดที่ทำให้ผมเช็คให้พี่มิกซ์เขาสอบผ่านไปโดยปริยาย

“อ้าว วันนี้เข้าร้านด้วยหรอ ไม่เห็นส่งมาบอกใน Line เลย หรือพี่ไม่ทันสังเกตวะ?”

“เปล่าหรอกพี่มิกซ์” ผมเว้นจังหวะตอบเล็กน้อยเพื่อคลี่ผ้ากันเปื้อนออกใส่ “ต่อเข้ามากะทันหันครับ เลยไม่ได้ Line บอกล่วงหน้า”

แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้โฟกัสอยู่ที่คำตอบของผมแฮะ “มานี่มา เดี๋ยวพี่ช่วย” เพราะแทนที่จะยืนอยู่หน้าผม พี่แกกลับสไลด์ตัวเข้ามาประชิดทางด้านหลัง ช่วยผูกเชือกของผ้ากันเปื้อนให้

ไม่เท่านั้นนะ... “ผมหอมจังแฮะ วันนี้มา wet look เหมือนเดิมเลยนะเรา” ยังมีการยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูแบบที่ให้ได้ยินกันแค่สองคนด้วย จนผมนี่...รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่รดลงบนต้นคอเลยอะ...

ขนลุกแฮะ

ก็ไม่ใช่ไม่รู้นะว่าอีกฝ่ายคิดอะไรด้วย “ขอบคุณที่ชมครับ” แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ผมจะตอบรับได้ไงครับ ก็เลยทำได้เพียงแค่ ‘ทำตัวเป็นปกติ’ ให้เหมือนว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น จะได้ไม่ต้องตกอยู่ในความลำบากใจ แล้วก็ไม่ต้องเสียพนักงานพาร์ทไทม์ดีๆ อย่างพี่มิกซ์ไปด้วย

เฮ้ออออออ รู้งี้นะ ผมไม่ประกาศออกไปหรอกว่าจะไม่ขอรักผู้หญิงคนไหนอีกเลยตลอดชีวิตน่ะ สู้บนเองรู้เองอยู่คนเดียวเงียบๆ ดีกว่า พลาดๆๆๆ

และเพื่อความเนียนที่มากขึ้น ผมทำเป็นสนอกสนใจตรวจเช็คไอติมรสชาติต่างๆ ในตู้ เพื่อที่จะได้สามารถผละออกมาจากอีกฝ่ายได้อย่างไม่มีพิรุธ

ผมแอบได้ยินพี่มิกซ์หัวเราะหึๆ ในลำคอดังไล่หลังมาด้วยนะ แสดงว่าพี่เขาต้องรู้ว่าผมตีเนียนแน่เลยว่ะ แม่ง

“นี่ตัวต่อ...”

โอ๊ยยย เกือบทำหน้าไม่ถูกแล้วไหมล่ะครับ ตอนที่ได้ยินร่างสูงเรียกชื่อและเหมือนว่าจะเดินตามมาน่ะ นี่ดีนะที่ทุกอย่างหยุดลงได้ เพราะลูกค้าโต๊ะหมายเลขแปดยกมือเรียกซะก่อน พี่มิกซ์ก็เลยเป็นอันหยุดชะงักสิ่งที่จะพูด ส่วนผมเองก็ได้ทีหาทางส่งพี่เขาออกไปให้พ้นตัวได้สำเร็จ

“ฝากทีนะครับพี่มิกซ์”

“โอเค... เดี๋ยวพี่ไปดูให้”

ได้โปรด อย่าทำหน้าเซ็งเหมือนว่ากำลังเสียโอกาสที่จะได้พูดอะไรสักอย่างกับผมเลยนะครับพี่ แค่นี้ผมก็อึดอัดมากพอแล้ว ไม่ไหวๆ เฮ้ออออออ

“น้องต่อคะ พี่ฝากเคาน์เตอร์ก่อนนะ ข้าศึกบุกค่ะ เดี๋ยวพี่มา”

“ฮ่าๆๆ ได้ครับพี่นิ่ม”

ผมส่งผ้าแห้งให้พี่นิ่มที่ออกจากซีนไปล้างถ้วยไอติมมาเมื่อกี้อย่างรู้ใจ แล้วปล่อยให้พี่เขาได้ไปเข้าห้องน้ำที่อยู่หลังร้าน ตอนนี้ก็เลยเหลือแค่ผมที่รอรับลูกค้าคนเดียวเพราะเมื่อกี้สังเกตจากที่พี่มิกซ์ไปหาลูกค้าโต๊ะแปด เหมือนว่าคุณแม่จะขอสีเทียนกับสมุดระบายสีให้ลูกสาว พี่เขาก็เลยต้องเดินไปหยิบเอาจากหลังร้านเช่นกัน

ดีๆ ไม่ต้องอยู่สองต่อสองกับพี่มิกซ์ตอนพี่นิ่มไม่อยู่ ค่อยโล่งอกหน่อย

ติ๊งต่อง!

และในตอนนั้นเอง ขณะที่ผมกำลังจะเปิดตู้แช่ไอติมเพื่อจัดถังไอติมรสมะนาวให้เข้าที่เข้าทางมากกว่าที่มันเป็นอยู่ เสียงสัญญาณเตือนที่ติดไว้กับประตูร้านก็ดังขึ้น บ่งบอกให้รู้ว่ามีลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มแล้ว ถึงเวลาที่ผมจะได้รับออเดอร์ใหม่ๆ เสียที

ผมเงยหน้าขึ้นมามองประตูร้านที่อยู่ตรงกับตู้ไอติม... ทันได้เห็นลูกค้าใหม่ตอนที่กำลังเดินเข้ามาพอดี...

“...”

เดี๋ยวนะ นั่นมันอะไรกันวะน่ะ?

ทำไมผมถึงเห็นภาพตรงหน้า...เป็นภาพสโลโมชั่น!?

“...”

ริมฝีปากที่กำลัง ‘อมยิ้ม’ ของอีกฝ่ายดูเด่นชัดมาแต่ไกล... ก่อนที่ทุกส่วนในร่างกายของผู้ชายคนนั้นจะค่อยๆ ชัดขึ้นๆ จนสุดท้ายก็ประจักษ์แก่สายตา...

ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี แต่เอาเป็นว่าผมของเขาคนนั้นตัดสั้น ดูสะอาดเนี้ยบเป็นระเบียบเรียบร้อย ขัดกับตาชั้นเดียวที่ดูมีแววขี้เล่นอยู่มาก ดูเป็น...ผู้ชายตี๋ที่หล่อเข้มคือ...หมายถึง...ดูเป็นผู้ชายหน้าตี๋ที่ผิวขาวจัด แต่ดูไม่ตี๋เกิน เพราะว่าสีผม คิ้ว แล้วก็ไรหนวดทำให้คนตรงหน้าดูคมเข้มเข้ม ดูดี ดูหล่อ ดู...ไม่เหมือนใคร

คือ...บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามัน ‘พิเศษ’ ตรงไหน จริงๆ พวกผู้ชายตี๋ที่ไว้หนวดให้ดูเข้มก็มีถมเถไปนะ แต่สำหรับผู้ชายคนนี้เนี่ย มันดู...มีเสน่ห์แบบหาตัวจับยากอะเหมือนว่าทุกอย่างมันได้จัดวางไว้อย่างถูกที่ถูกทางหมดแล้ว ทั้งหล่อ ทั้งสูงใหญ่ อกผาย บุคลิกภาพภายนอกดูดีเป็นธรรมชาติ แต่กระนั้นก็ยังมีแววขี้เล่นจากประกายในตาและริมฝีปากที่อมยิ้มด้วย แม่ง...เป็นภาพรวมที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดจริงๆ

นี่ถ้าเป็นหนังสักเรื่องนะ ก็คงหนีไม่พ้นต้องเป็นพระเอกประเภทที่ต้องฉายแสงเปิดตัวมาด้วยภาพการเคลื่อนไหวแบบสโลโมชั่นอย่างที่ผมเกิดตาฝาดนั่นแหละ... แล้วทุกคนก็จะพากันมองเหลียวหลังเหมือนอย่างที่ลูกค้าคนอื่นๆ กำลังทำอยู่ด้วย

ส่วนถ้าผมอยู่ในหนังเรื่องเดียวกันน่ะหรอ... ผมก็คือเจ้าของร้านไอติมที่ยืนรอให้ ‘พระเอก’ เข้ามาสั่งไงครับ ฮ่าๆๆ ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้นหรอก แต่ที่ต้องอธิบายถึงความหล่อของอีกฝ่ายซะเยอะขนาดนี้ คงเพราะ...ผมไม่เคยเห็นลูกค้าคนไหนที่หล่อลืมตายได้เท่ากับลูกค้าคนนี้อีกแล้วละมั้ง

น่าจะนะ

“สวัสดีครับ ร้านละลายขอต้อนรับนะครับ เชิญคุณลูกค้าเลือกไอศกรีมได้ตามใจชอบ สนใจรสชาติไหน บอกผมได้เลยนะครับ ยินดีให้บริการครับ : )”

โห ยิ่งใกล้ยิ่งหล่อแฮะ แล้วก็...ทำให้รู้สึกว่าคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้อย่างบอกไม่ถูกด้วย แต่...จำไม่ได้เลยอะว่าเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า?

แต่เอาเถอะ แค่ไม่มัวหลงไปกับความหล่อเทพของอีกฝ่ายจนเผลอพูดต้อนรับลูกค้าติดๆ ขัดๆ ผมก็ถือว่าโอเคแล้วล่ะ

“Sorry. Do I know you?”

เฮ้ย! เดี๋ยวๆๆ ปรับตัวไม่ทันนะเนี่ย หน้าตี๋ของจีนผสมกับความคมเข้มของไทยแบบนี้ จู่ๆ จะมาขมวดคิ้วเอียงคอถามเป็นภาษาอังกฤษใส่ แถมยังใช้สำเนียงบริติชอีกเกือบเป๋เลยนะเว้ย!

“เอ่อ...” แล้วควรตอบไงวะ ไม่ใช่ว่าผมโง่ภาษาอังกฤษนะ เห็นแบบนี้เป็นถึงระดับท็อปคลาสของศิลปศาสตร์ปีสองสาขาภาษาอังกฤษเลยนะครับจะบอกให้ แต่เล่นมาทักยังกับว่าผมดูคุ้นๆ เหมือนอีกฝ่ายจะรู้จักผมมาก่อน ในขณะที่ผมเองก็รู้สึกคุ้นๆ หน้าเขา แต่กลับจำไม่ได้ว่าทำไมถึงคุ้น แล้วควรตอบไงดีอะแบบเนี้ย? เอ่อ... เอาวะๆลองบอกไปก่อนว่าคิดว่าไม่รู้จัก แล้วเดี๋ยวอีกฝ่ายจะว่าไงค่อยว่ากัน “เอ่อ... I think...”

ทว่า...

“Cause you look exactly like my next boyfriend : )”

“หา!?”

ชิบหายแล้ว!

มะ...มันอะไรกันวะเนี่ย!?

“Right?”

“...”

ผมนี่ถึงกับอึ้งเลยครับ ยิ่งตอนที่อีกฝ่ายถามย้ำว่า ‘ถูกไหม?’ ด้วยรอยยิ้มสดใสชวนมองนั่น... ผมยิ่งอึ้งเข้าไปใหญ่เลย...!

ฟะ...แฟนคนต่อไปของมันเนี่ยนะ?

นี่ไม่ได้มีการซ่อนกล้องเล่นตลกอะไรกันอยู่ใช่ไหม!?

“ฮ่าๆๆ กูล้อเล่น : )”

“....” อ้าว!? เอาๆ เอาเข้าไป เมื่อกี้ยังพูดภาษาอังกฤษสำเนียงบริติชเป๊ะอยู่เลย นี่พูดไทยแล้ว เรียกแทนตัวเองว่า ‘กู’ ด้วย แถมยังบอกว่าล้อเล่นอีก เฮ้ย! ผมฝันอยู่เปล่าวะ?

ไหน หยิกตัวเองซิ อา... เนี่ย ก็เจ็บนี่ แสดงว่าไม่ได้ฝันใช่ไหม แล้วนี่มันเรื่องตลกร้ายอะไร ผมควรร้องเรียกให้คนช่วยรึเปล่า??

“อะไรกัน ยังอึ้งอยู่หรอ กูก็แค่ล้อมึงเล่นเอง เนี่ย จะสั่งไอติมแล้ว จะขายไหม”

“...”

“ว่าไง?”

“ขะ...ขาย”

ผมตอบได้ไม่เต็มเสียงเลยครับ สายตาก็ยังคงจับจ้องอีกฝ่ายอย่างประเมินสถานการณ์ นี่มึงจะมาหน้าหล่อแล้วทำตัวไม่น่าไว้ใจไม่ได้นะ ไม่งั้นกูร้องให้คนช่วยจริงด้วย

“เอาเป็น...” แต่ดูท่าว่าไอ้ตี้เข้ม (ไหนๆ มันก็ใช้มึงใช้กูมาละ ผมก็ขอเรียกมันแบบนี้เลยก็แล้วกัน) มันตั้งใจจะสั่งไอติมจริงแฮะ เพราะพอผมบอกขาย มันก็ชี้สั่งไอติมรสที่ต้องการผ่านตู้กระจกทันที “ช็อกโกแลตชิพสองลูก แล้วก็วานิลลาลูกนึง ไม่ใส่ท็อปปิ้ง” ผมก็เลยไม่รอช้า มันสั่งอะไรก็ตักให้ตามนั้น พยายามบอกตัวเองว่าคงเป็นพวก‘ลูกค้ากวนๆ’ เหมือนอย่างที่เคยเจอ ก็ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น...

...ถึงจะยังรู้สึกมีอะไรติดใจอยู่ก็ตาม

ถ้วยไอติมที่ใส่ช้อนเรียบร้อยถูกส่งไปให้ไอ้ตี๋เข้มผู้เป็นลูกค้าพร้อมทั้งแจ้งราคาที่มันต้องจ่ายอย่างไม่ค่อยที่จะสุภาพนัก ความงงๆ กับการคุยมึงกูกันอย่างสนิทสนิทของไอ้หล่อนี่ทำเอาผมไม่สะดวกใจที่จะลงท้าย ‘ครับ’ อีกต่อไป กลายเป็นว่าคำลงท้ายถูกละให้หายไปในลำคอแทนโดยอัตโนมัติ

“อะนี่” แล้วดูมันเถอะ คนบ้าอะไรวะยิ้มอยู่นั่น รับไอติมก็ยิ้ม ยื่นเงินให้ก็ยิ้ม เป็นบ้ารึเปล่าก็ไม่รู้

แล้วคือมันหล่อด้วยไงประเด็น มันมีเสน่ห์อะ เป็นเสน่ห์แบบที่...ทำดาเมจได้กับทุกเพศเลยอะ... แถมยิ่งยิ้มพลังดาเมจก็ยิ่งแรงขึ้น โอ๊ยยยยยย ไม่ไหวๆ รีบรับเงินทอนแล้วก็ไปเลยไป มึงทำกูผิดปกติไปหมดแล้วไอ้ตี๋เข้ม!

ผมเงียบเลยนะ ทำเป็นไม่สนใจคนตรงหน้าเลย พอยื่นเงินทอนให้จบแล้วก็จบกัน มันจะนั่งกินในร้านหรือว่าเอาออกไปกินที่อื่นก็ตามสบาย

“อะไร?”

แต่มันไม่งั้นสิครับ พอเงยหน้าขึ้นมาจากการล้างที่ตักไอติมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับตักให้ลูกค้าคนต่อไปในอนาคต กลับพบว่า... ไอ้ตี้เข้มยังคงยืนอยู่ไม่ไปไหน จนผมถึงกับต้องถามออกไปตรงๆ เลยว่ามีอะไรกับผมกันแน่ ทำไมมันถึงได้ทำหน้าทำตาหล่อๆ ของมันเหมือนกับว่ามีอะไรอยากจะพูดแต่ก็เหมือนจะ ‘ไม่กล้า’ ยังไงยังงั้นไหนจะสายตาคู่นั้นอีก แม่งมองจนผมจะรู้สึกเหมือนถูกทะลุทะลวงเข้าไปในร่างกายหมดแล้วนะ!

“อะไร : )” แล้วดูมัน มาถามกลับด้วยรอยยิ้มกวนๆ อีก ดะ...เดี๋ยวพ่อปาที่ตักไอใส่หัวเลยนี่!

“ก็มึงอะ จ้องกูอยู่ได้ เหมือนมีอะไรอยากจะพูดกับกูสักอย่าง”

“จุ๊ๆๆ พูดมึงกูกับลูกค้าได้เนี่ย แสดงว่ากูกับมึงสนิทกันแล้วสินะ : )”

“เอ้า ก็มึงพูดก่อนอะ จะมาเรียกร้องความสุภาพในฐานะเจ้าของร้านกับลูกค้าไม่ได้นะเว้ย” ถึงแม้ว่าผมจะไม่ควรพูดมึงกูกับลูกค้าจริงๆ ก็เถอะนะ

แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ผมถือว่าไอ้ตี๋เข้มเป็นข้อยกเว้นของผมแล้ว

“ล้อเล่น” ดูมัน ล้อเล่นอีกแล้ว ล้อเล่นเก่งชิบหาย แล้วก็เปลี่ยนเรื่องเฉย “ว่าแต่ ดูออกด้วยหรอว่ากูมีอะไรอยากจะพูดอะ : )”

“เออ กูดูออก” นี่ถ้าไม่ติดว่าจะเป็นการต่อความยาวสาวความยืดนะ ผมจะไล่แม่งไปส่องกระจก จะได้รู้ว่าหน้าหล่อๆ ของมันอ่านออกชัดขนาดไหน ทั้งตาเอย ปากที่ยิ้มเอย เด็กทารกยังอ่านออกอะผมว่า “เพราะฉะนั้นมีอะไรก็รีบๆ พูดมา กูจะทำงานต่อแล้ว”

“พูดได้จริงดิ”

“ได้” ผมตอบมันอย่างที่ไม่คิดจะลังเล มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมคงรับได้ทุกอย่างที่มันพูดแล้วล่ะ

“โอเค คืองี้ คือ...” แต่พอผมให้โอกาสมันได้พูด คนที่เคยกวนๆ และดูมั่นใจกลับดูเกร็งเล็กน้อย ดู...เขินหน่อยๆ เหมือนว่าเป็นเรื่องที่พูดยากมาก จนผมต้องรีบเร่งมัน ไม่งั้นเดี๋ยวถ้ามีลูกค้าใหม่เข้าร้าน หรือว่าพี่นิ่มกับพี่มิกซ์กลับมา มันจะยุ่ง

“คือ?”

“คือ...กูไปบนกับศาลเจ้าแม่มาวะ”

“ศาลเจ้าแม่? ในมอน่ะนะ?”

“เออ ศาลเจ้าแม่นั่นแหละ”

“แล้วไงอะ? เกี่ยวอะไรกับกูด้วย?” หรือมันจะรู้ว่าผมเคยบนกับเจ้าแม่ เลยอยากจะมาขอคำแนะนำเงี้ยหรอ เฮ้ย กูไม่ใช่เซียนอะไรขนาดนั้นนะ จะมาปรึกษาเหมือนกูเป็นกูรูไม่ได้

“เกี่ยวสิ”

“ตรง?”

“ตรงที่กูเอามึงเข้าไปเกี่ยวด้วยไง”

อา... ชักจะแปลกๆ ละ ไอ้ตี้เข้มหน้าหล่อมันดันเอาผมเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องที่มันบนด้วยเนี่ยนะ!?

“มึงไปบนอะไรของมึง”

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก กูก็แค่ขอให้เจ้าแม่ช่วยให้กูได้ A ทุกตัวเมื่อเทอมก่อน”

“ก็ไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับกูนี่” ช่วยมึงเรียนหรือก็เปล่า

“เกี่ยวๆ เพราะกูบอกเจ้าแม่ไปว่า ถ้าหากสำเร็จ กูจะขอแก้บนด้วยการ...”

“...”

“...”

“โอ๊ยยย มึงอย่าเพิ่งมาเว้นจังหวะตักไอ้ติมใส่ปากตอนนี้ได้มั้ยเนี่ย!?”

“โทษที กูกลัวมันละลายก่อนอะ”

“ต่อเลย เดี๋ยวนี้ กูรอฟังอยู่”

“โอเคๆ คือกูก็บอกไปแหละว่าถ้าสำเร็จ กูจะขอแก้บนเจ้าแม่ด้วยการจีบมึงให้ติดให้ได้ ก็เท่านั้นเอง : )”

“บะ...บนเชี่ยอะไรของมึงเนี่ย!!”

บนว่าจีบกูให้ติด แล้วพูดเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เนี่ยนะ อะ...ไอ้หล่อ! ไอ้บ้า!!

“ก็เขาว่ากันว่าถ้าจะบนกับเจ้าแม่ ไม่ขอแก้บนด้วยอะไรที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องบนด้วยอะไรแปลกๆ ไม่ใช่หรอ”

“มึงก็เลยบนขอว่าจะจีบกูเนี่ยนะ!?”

“ใช่ จะจีบให้ติดด้วย”

“แล้วที่มึงขอนี่สำเร็จไหมวะ?”

“สำเร็จสิ ถึงได้มาหานี่ไง : )”

“ชิบหายแล้ว!”

ผมนี่แทบกุมขมับเลยครับ รู้สึกปวดหัวตึบๆ เลยกับทั้งหมดที่ไอ้หล่อตี๋นี่มันพูดออกมา ใครไปแนะนำให้มันบนกับเจ้าแม่แบบนั้น จีบผมเนี่ยนะ! ได้ไงอะ ผมยังไม่รู้จักชื่อมันเลยด้วยซ้ำนะเว้ย!

“มีอะไรกันหรอ?”

เอาแล้วไง เสียงเย็นชามาแบบนี้ จะเป็นใครที่ไหนได้ นอกจากพี่มิกซ์ที่มักจะแสดงความไม่พอใจทุกครั้งที่ได้เห็นผมคุยกับลูกค้าผู้ชายคนอื่น ซึ่งในเวลาปกติมันก็ดีนะเพราะยอมรับอย่างไม่อายว่าผมใช้พี่แกเป็นไม้กันหมาหลายครั้งแล้ว แต่กับคราวนี้มันไม่ใช่ ผมต้องการคุยกับไอ้ตี๋เข้มนี่ให้รู้เรื่องครับ เพราะฉะนั้นผมจะไม่ยอมให้พี่มิกซ์มาขัดจังหวะเด็ดขาด

“พี่มิกซ์ครับ เดี๋ยวเอาสมุดระบายสีไปให้โต๊ะแปดเสร็จแล้ว ต่อฝากเคาน์เตอร์หน่อยนะ”

“จะไปไหนหรอ?”

ผมไม่ตอบอะไรพี่มิกซ์เลยครับ แต่รีบพาตัวเองออกจากเคาน์เตอร์ แล้วทำการคว้าข้อมือใหญ่ๆ ของไอ้ตี๋เข้มเพื่อออกมาคุยกันที่นอกร้าน

“นี่กูยังไม่ได้ทันจะได้เริ่มจีบมึงเลยนะ มึงเริ่มรุกกูก่อนแล้วหรอเนี่ย : )”

ไม่พูดเปล่า ไอ้ตี้เข้มคนเดิมก้มลงมองมือผมที่จับข้อมือมันอยู่ด้วยรอยยิ้ม ทำเอาผมนี่ต้องรีบปล่อยมือตัวเองแบบอัตโนมัติ

“หยุดล้อเล่นก่อนได้ไหม กูอยากจะคุยจริงจังนะ”

“ก็เอาสิ” แล้วจู่ๆ มันก็ยกมือขึ้นกอดอกหน้าตาเฉย ขณะที่ใบหน้าก็ดูเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาซะอย่างงั้น

นี่มัน...เป็นโรคสองบุคลิกอะไรรึเปล่าวะเนี่ย!?

แต่ช่างแม่งเหอะ ผมจะเข้าเรื่องแล้ว ไม่สนแม่งแล้วครับ “มึงเป็นใครวะ?”

“กูหรอ? กูชื่อเจได เรียนอยุ่คณะบริหาร ปีสอง” เออดี ถามตรงตอบตรงแบบนี้ ผมชอบ

ว่าแต่...ชื่อเจไดหรอ เท่ดีแฮะ

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น!

“แล้วมึงรู้จักกูได้ยังไง”

“ก็มึงเป็นถึงเดือนคณะศิลปศาสตร์ปีที่แล้ว ใครจะไม่รู้จักมึงบ้างล่ะ”

เออว่ะ ก็จริงของมันนะ แต่... “แล้วทำไมถึงต้องเป็นกูด้วยที่มึงเอาไปบนอะ คนอื่นก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องกู ไหนว่ามาซิ ทำไมต้องกู”

“ก็กูไม่ได้ชอบคนอื่นไงตัวต่อ กูชอบมึง”

“...”

อะ...อึ้งไปดิ!

เจอคำตอบแบบนี้เข้าไป ผมแม่งร้อนๆ หนาวๆ เหมือนจะเป็นไข้เลยว่ะ แล้วไอ้...ความปั่นป่วนในท้องนี่มันคืออะไรก็ไม่รู้... สับสนโว้ย!

“อึ้งอีกแล้ว กูพูดอะไรไปก็อึ้งตลอด”

“ก็ดูสิ่งที่มึงพูดกับกูสิ!” แม่งดูเหลือเชื่อไปหมดทุกอย่าง เอ๊ะ หรือว่า... “หรือว่าที่มึงพูดเมื่อกี้มึงล้อเล่นวะเจได”

“เรื่องไหน?”

“ก็เรื่องที่บอกว่าชอบกูไง”

“เปล่า อันนั้นกูพูดจริง”

“โอ๊ยยยยยย” ขอกุมขมับครับ ขอกุมขมับบบบบบ

“เฮ้ยตัวต่อ นี่กูจริงจังเลยนะ มึงไม่ต้องเครียดเว้ย นี่มันไม่ใช่เรื่องของมึง มันเป็นเรื่องของกู หัวใจกู แล้วก็เป็นความรับผิดชอบของกูด้วย มึงไม่ต้องคิดมาก”

“มึงก็พูดมาได้ว่าไม่ใช่เรื่องของกู แล้วที่มาหากูเนี่ย เพราะว่ามึงจะมาขอจีบกู ใช่ไม่ใช่?”

“ก็... ใช่แหละ แต่ว่า...”

“นั่นแหละที่กูเครียด กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงไปรู้อะไรมา แต่ถ้ามึงคิดว่าจะจีบกูได้ เพราะกูเคยบนกับเจ้าแม่ไว้ ว่าจะไม่ขอรักผู้หญิงคนไหนในชีวิตอีก มึงคิดผิดแล้ว”

“...”

“กูชอบผู้หญิงเว้ย ไม่ได้ชอบผู้ชาย”

“...”

“การที่กูบอกว่าจะไม่ชอบผู้หญิง ก็เท่ากับว่ากูจะอยู่ของกูคนเดียว มึงเข้าใจไหม”

“...”

ช่วยเข้าใจด้วยเถอะ ที่ผ่านมาผมต้องทนอยู่กับความเข้าใจผิดแบบนี้มานานมากแล้ว ผมบนกับเจ้าแม่จริง แล้วผมก็ขอแก้บนแบบนั้นจริงๆ และที่ผมเลือกที่จะประกาศผ่าน Facebook ในวันนั้น ก็เพราะผมต้องการที่จะให้ผู้หญิงทุกคนได้รู้ ว่าผมจะไม่ยุ่งกับใครอีกแล้ว แม้แต่คนที่คุยๆ กันอยู่ ก็ไม่ต้องคุยกันแล้วด้วย

แต่กลับกลายเป็นว่าผู้ชายทุกคน ผู้ชายอย่างพี่มิกซ์ กลับหันมาสนใจผม พยายามเข้าหาผม จีบผม คิดว่าผมเป็นเกย์ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลย!

“กู...ขอโทษ”

“...”

ผมตัวชา... รู้สึกว่าอารมณ์ที่เคยพุ่งพล่านอยู่ในตอนแรกกลับสู่ความสงบในทันที เมื่อคำขอโทษของอีกฝ่าย...กรีดเข้ามากลางใจผมอย่างรุนแรง...

ทำไมสายตาที่เคยมีแววขี้เล่นของไอ้ตี๋เข้มมันถึงได้แสดงความรู้สึกผิดออกมามากขนาดนั้น จนแม้แต่รอยยิ้มที่มักจะติดอยู่บนใบหน้าของมันตลอด...ก็ยังไม่หลงเหลือ...

ผม...รู้สึกว่าตัวเองกำลังใจหาย...

“กูไม่ได้ต้องการให้มึงรู้สึกแย่เลยนะ”

“...”

“กูแค่ชอบมึง”

“...”

“เลยเอามึงไปเป็นเรื่องที่ต้องแก้บน”

“...”

“เพราะอะไรรู้ไหม?”

“...”

“เพราะว่ากูจะได้มีข้ออ้างในการลุกขึ้นมาจีบมึงสักทีไง”

“...”

“แล้วก็อย่างที่มึงบอกนั่นแหละ ที่กูมาวันนี้ เพราะกูอยากขอให้มึงช่วยเปิดใจให้กูหน่อย”

“...”

“แต่ถ้ามันทำให้มึงรู้สึกแย่แบบนี้”

“...”

“กูไม่เอาแล้ว กูขอลาดีกว่า”

“...”

“ขอบคุณที่เสียเวลามาคุยกับกูนะ”

“...”

“แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้มึงลำบากใจ”

“...”

“ไว้...คราวหน้ากูมาอุดหนุนไอติมมึงอึกเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน”

“...”

“ไปล่ะ”

มันโบกมือลาผม ไม่รอให้ผมได้พูดอะไร

ผมรู้สึกได้ว่าใจตัวเองห่อเหี่ยวไปพร้อมกับความรู้สึกของอีกฝ่าย ถึงมันจะยิ้มปิดท้าย แต่ดูก็รู้ว่ามัน ‘ฝืนยิ้ม’ ออกมา ก็บอกแล้ว...คนอย่างมันน่ะอ่านง่าย...

แม่ง ทำไมถึงยอมแพ้ง่ายขนาดนี้วะ แค่เพียงเพราะไม่อยากให้ผมลำบากใจ ก็เลยยอมถอยไปเองเลยอย่างงี้น่ะหรอ?

หายากแฮะ หายากจริงๆ

นี่คง... เป็นอีกหนึ่ง ‘ความไม่เหมือนใคร’ ของมันสินะ

“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนสิ”

ละ...แล้วผมก็คงบ้าไปแล้วด้วย ที่ท้ายที่สุดก็เรียกรั้งมันไว้แบบนี้เนี่ย!

“ว่าไง?”

ไอ้เจไดเลิกคิ้วขึ้น คงรอฟังสิ่งที่ผมจะพูด ซึ่ง...ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากจะพูดแบบนี้...

“เออ กูให้มึงจีบกูก็ได้วะ”

...แต่ผมก็พูดมันออกไปแล้ว

และนั่นทำให้หัวใจผมที่เคยห่อเหี่ยวกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง...เป็นผลจากการที่ได้เห็นอีกฝ่ายแสดงอาการดีใจระคนตื่นออกมา

มันกลับมายิ้มแล้ว ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมด้วย ไม่เหลือสภาพหมาหงอยเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด

“จริงนะ นี่มึงไม่ได้หลอกให้กูดีใจเล่นใช่ไหม?”

“เออ”

“เยส!”

แล้วมันก็ถึงกับกระโดดเลยครับ น่ะ...นี่มึงจะดีใจอะไรขนาดนี้เนี่ย แค่ได้จีบกูเนี่ยนะ? ไอติมเกือบหกเลยเห็นไหมน่ะ

“แต่... กูช่วยได้แค่เรื่องที่มึงจะจีบกูเท่านั้นนะ ส่วนจะจีบติดไม่ติด อันนั้นเป็นเรื่องของมึง กูไม่เกี่ยว เข้าใจไหม?”

“เข้าใจครับ : )”

“ดี กูกลับไปทำงานต่อละ” มัวแต่มาคุยบ้าอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้เนี่ย เสียเวลาทำงานหมด

“เดี๋ยวก่อนตัวต่อ”

“อะไรอีก?” นี่ชักจะเริ่มหงุดหงิดแล้วนะ ไม่รู้หรือไงว่าผมอยากจะรีบหนีหน้ามันน่ะ!

“ถามได้ไหม ว่าทำไมถึงเปลี่ยนใจ : )”

“ไม่ได้ ห้ามถามมาก” เพราะกูก็ตอบไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ

“โอเค งั้นช่วยรับนี่ไปที กูตั้งใจเอามาให้มึงโดยเฉพาะเลย แปบนะ”

ผมที่กำลังจะเปิดประตูกลับเข้าไปในร้านหันกลับมาสนใจไอ้เจไดแบบจริงๆ จังๆ อีกครั้ง เมื่อเห็นว่ามันทำท่าล้วงกระเป๋ากางเกง คล้ายจะหยิบอะไรบางอย่าง

“นี่ไง”

ก่อนที่ไอ้ตี้เข้มมันจะล้วงมือออกจากกระเป๋าอย่างรวดเร็ว แล้วทำนิ้วเป็นรูป ‘มินิฮาร์ต’ แบบที่เกาหลีเขากำลังฮิตๆ กันอยู่นั่นแหละ

กูก็นึกว่าอะไร แม่ง!

“แหวะ เสี่ยวสัส!”

“เออน่า คราวนี้เอาไปแค่นี้ก่อน ไว้คราวหน้ากูจะหามาให้ใหญ่กว่านี้อีก สัญญา : )”


จบตอน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2017 01:55:17 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ 양아치

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เจไดรุกหนักมากกกกกกกกกก 555555
ตัวต่ออย่าไปยอมง่ายๆ

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
ว๊ายยยยยยยยยยยย หน้าแหก นึกว่าเจไดเป็นนายเอกจ้าาาาาาา

โอเค ยอมรับว่าเจไดน่ารัก และเหมาะกับตัวต่อมากก

เพราะชะนั้น ตัวต่อ อย่าอิดออดลูก ยอมๆ เค้าซะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
555555 โถ่เจได ขอให้จีบติดไวๆน้า

ออฟไลน์ manami_01

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 980
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-1
เจไดลูกก็ตรงไปนะบางที  เล่นซะตัวต่อไปไม่เป็นเลยยย

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
หูยยย จีบเร็วเว่อร์

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

แววดีละ พยายามต่อไป

ออฟไลน์ ตัวแม่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
    • เพจตัวแม่
สู้เค้า

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
**ขอโทษที่อัพช้านะครับ ขอโทษจริงๆ**

Do you know what's on the menu?

[ ตัวต่อ ]

10:05 PM

“ถึงไหนแล้ววะปิง กูรอนานแล้วนะ”

(เออๆ ใกล้ถึงแล้ว ทำไมวันนี้มึงใจร้อนจังวะเนี่ยไอ้ต่อ)

“ก็มึงอะ แทนที่จะคุยกันให้เสร็จๆ ดันบอกจะมาหากูที่บ้านซะงั้น”

(เอ้า ก็คุยแบบเห็นหน้ามันดีกว่านี่หว่า นี่กูวนไปส่ง ‘แพท’ (เมียมันที่เพิ่งคืนดีกัน) เสร็จแล้ว อีกไม่เกินสิบนาทีถึง โอเคไหม?)

“เออๆ รีบมา แค่นี้นะ”

(เออๆ)

แล้วผมก็ทิ้งตัวลงบนโซฟายาวอย่างหงุดหงิด โดยมี ‘สายตาอีกสองคู่’ จับจ้องมา

“อะไร?”

“เรานั่นแหละเป็นอะไร จู่ๆ ก็กลับมากรุงเทพฯ ไม่บอกไม่กล่าว แถมวันนี้ยังดูหงุดหงิดแปลกๆ อีก”

โดยสายตาแรกเป็นของ ‘พี่ผึ้ง’ ที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม เธอเป็นพี่สาวของผมเองครับ เราเกิดห่างกันห้าปี ถือเป็นช่วงอายุที่โตห่างกันมาก เพราะฉะนั้นนอกจากที่พี่ผึ้งจะเป็นพี่สาวอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว ความเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานและกำลังจะมีแพลนแต่งกับแฟนหนุ่มในปีหน้า...ก็ทำให้เธอออกจะเหมือนเป็นผู้ปกครองของผมกลายๆ

“เปล่านี่พี่ผึ้ง ปกติจะตาย”

ผมรีบยกหมอนอิงขึ้นมากอด ตั้งใจให้มันบังสักครึ่งหน้า เผื่อพี่ผึ้งแกจะจับพิรุธผมไม่ได้

“โกหก”

แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จอยู่ดีน่ะนะ เฮ้ออออออ รู้ทันไปหมดทุกอย่าง สมเป็นแม่คนที่สองจริงๆ เลยพี่ผึ้งเนี่ย

“ใช่ พี่ต่อโกหก”

ไหนจะมี ‘ไอ้แตน’ น้องชายตัวแสบวัยมัธยมปลายที่คอยเป็นอีกหนึ่งสายตาที่ช่วยจ้องจับผิดผมอีกล่ะ แล้วแบบนี้ผมจะหนีรอดไปไหนได้

“เปล่าซะหน่อย อย่ามาใส่ร้ายกันนะ ทั้งคู่เลย” แต่ผมก็ยังดึงดันที่จะโกหกอยู่ดี ก็ทำไงได้เล่า จะให้บอกความจริงพี่ผึ้งกับแตนหรอว่านัดไอ้ปิงมาคุยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นน่ะ ได้ที่ไหนกัน

“อะ ถ้าเปล่า แล้วทำไมต้องโทรไปเร่งปิงมันขนาดนั้นด้วย นัดมาคุยอะไรกันไม่ทราบ?”

“ก็...เรื่องเรียนอะพี่ผึ้ง”

“โห คุยเรื่องเรียนกับไอ้พี่ปิงเนี่ยนะ? น่าเชื่อตายล่ะ คนอย่างไอ้พี่ปิงน่ะ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องเหล้าเรื่องผู้หญิงโน่น ผมถึงจะเชื่อ”

“ไอ้แตน เรามันก็อคติกับเพื่อนพี่เกินไป” ถึงมันจะจริงก็เถอะ “ไอ้ปิงมันก็ใฝ่เรียนอยู่นะ ใช่ว่ามันจะสนแต่เรื่องเหล้าเรื่องผู้หญิงซะเมื่อไหร่”

“แต่พี่เองก็เห็นด้วยกับแตนนะ”

“เนี่ยๆ พี่ผึ้งชอบให้ท้ายแตนอะ”

“พี่ไม่ได้ให้ท้าย ต่อแค่โกหกไม่เก่ง แล้วพี่ก็จับเราได้เท่านั้นเอง : )”

ไม่พูดเปล่า พี่ผึ้งยักคิ้วอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ก่อนที่จะเริ่มก้มหน้าอ่าน Vouge อิตาลีในมือต่อไป เป็นการแสดงให้รู้ว่าเธอสามารถต้อนผมให้จนมุมได้แล้ว แค่ยอมถอย เพราะยังไม่อยากเอาให้ถึงตายเท่านั้นเอง

ฮึ้ยยย ผมล่ะอยากเกิดเป็นพี่คนโตบ้างจัง!

“มีเรื่องอะไร บอกผมมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” แต่ดูเหมือนว่าไอ้น้องเล็กมันจะไม่ยอมเลิกราแฮะ “หรือว่าไอ้พี่ปิงมันทำผู้หญิงท้อง?” แล้วก็ยังเดาไปเรื่อย ไม่ได้มีการมองเพื่อนผมในแง่บวกเลยสักนิด

“ใช่ที่ไหนเล่า”

“แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะพี่ต่อ?”

“เรื่องของผู้ใหญ่ไงไอ้เด็กเตี้ย!”

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ปฏิเสธอีกรอบ เสียงของคนที่ผมรออยู่ก็ดังขึ้น เฮ้ออออออ ลองไอ้ปิงเปิดมาแบบนี้แล้วล่ะก็ ยังไงก็ไม่พ้นสงครามน้ำลายกลางห้องนั่งเล่นแหง

“ใครเตี้ย!?”

“มึงไงไอ้น้องแตน : )” นั่นไงล่ะ เกิดสงครามขึ้นจริงๆ ด้วย ไม่รู้ว่าอะไรกันนักหนาสองคนนี้ เจอกันทีไรตีกันทุกที โกรธเกลียดกันมาแต่ชาติปางไหนหนอ ถึงไม่เคยพูดกันดีๆ ได้ “สวัสดีครับพี่ผึ้ง”

“สวัสดีจ้ะ มาซะดึกเลยนะเรา ค้างที่นี่ไหม เดี๋ยวพี่ให้คนจัดห้องให้”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมนอนห้องไอ้น้องแตนมันก็ได้”

“ฝันไปเหอะ!”

“โห ขี้หวงว่ะ : )”

แตนไม่ต่อความอะไรอีก มันจงใจปาหมอนอิงลงบนโซฟาแรงๆ เพื่อแสดงถึงความไม่พอใจในตัวผู้มาเยือน ก่อนจะเดินปึงปังขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง ทำเอาแม่บ้านที่เดินสวนลงมาเกือบหลบมันแทบไม่ทัน โดยมีไอ้ปิงเพื่อนผมหัวเราะไล่หลังตามไป

“เรานี่ก็หาเรื่องแหย่มันจัง ไม่คิดจะญาติดีกันเลยหรือไง”

“ยากครับพี่ผึ้ง ถึงผมอยากจะญาติดีด้วย น้องชายพี่ก็ไม่ยอมญาติดีกับผมหรอก : )”

พอฟังที่ไอ้ปิงพูด พี่ผึ้งก็ส่ายหัวอย่างเอือมๆ ก่อนจะก้มหน้าลงอ่าน Vouge ต่อ ผมก็เลยอาศัยจังหวะนี้รีบลากไอ้ปิงขึ้นมาคุยด้วยกันบนห้องนอนทันที

“ไอ้นี่ก็อีกคน เป็นบ้าอะไรขนาดนั้น แค่เจอผู้ชายมาจีบ ยังไม่ชินอีกหรือไง”

“มันไม่เหมือนกันเว้ย” ผมลากเก้าอี้มาให้ไอ้ปิงนั่ง “ไอ้นี่มันไม่เหมือนใครจริงๆ”

“ยังไงวะ”

“มึงรู้ไหมว่ามันบอกกูว่าไง”

“ว่า?”

“มันบอกว่ามันไปบนศาลเจ้าแม่มา ขอให้มันได้ A ทุกตัวเมื่อเทอมก่อน แลกกับการที่...มันจะจีบกูให้ติด เพื่อเป็นการแก้บนเจ้าแม่ เชี่ยไหมล่ะ”

“เชร้ดดดดดด เด็ดว่ะ”

นี่นึกย้อนไปถึงตอนที่ไอ้ตี๋เข้มเจไดมันบอกผม ผมยังรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่หายเลยนะ แถมรอยยิ้มของมันยังเป็นภาพประเภท ‘ติดตา’ ลบออกจากหัวไม่ได้อีก ไอ้บ้าเอ้ย!

“แล้วไงวะ มันมาขอจีบมึงหรอ”

“เออ มาถึงที่ร้านกูเลย พูดตรงทุกคำ ไม่มีกั๊ก กูนี่อึ้งแล้วอึ้งอีก ใจไม่วายก็บุญแค่ไหนแล้ว”

แต่แทนที่ไอ้ปิงจะเออออไปกับสิ่งที่ผมเล่า หน้าหล่อเข้มแบบไทยๆ ของมันกลับขมวดคิ้วมุ่น ก่อนที่จะเริ่มพูดสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกมา “เอ๊ะ มันก็ปกตินี่หว่า ไอ้คนก่อนที่มาจีบมึงก็รุกแรงจะตายห่า ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย”

อ๋อ ไอ้ปิงคงหมายถึง ‘พี่ชุน’ รุ่นพี่วิศวะปีสี่ที่เอาช่อดอกไม้มาคุกเข่าขอผมเป็นแฟนตรงหน้าตึกคณะเมื่อเทอมก่อนสินะ แม่ง นึกแล้วยังขนลุกไม่หายเลย เล่นใหญ่ซะจนผมนี่แทบแทรกแผ่นดินหนี ไม่รู้พี่เขาไปเอาความกล้ามาจากไหนมากมาย ถึงได้ไม่อายที่จะทำเรื่องแบบนั้นน่ะ

ซึ่งก็จริงของไอ้ปิงแหละ การที่ผมถูกรุกจีบหนักๆ มันไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเลยสักนิด เพราะไม่ว่าจะเล่นใหญ่แบบพี่ชุน หรือยิงตรงแบบเจได ผมล้วนแต่เจอมาแล้วทั้งนั้น แต่...ที่ผมรู้สึก ‘ผิดปกติ’ จนต้องโทรหาไอ้เพื่อนสนิท มันไม่ใช่เพราะคนที่มาจีบหรอกครับ มันเป็นเพราะ...

...ตัวผมเองเนี่ยแหละ!

“เออ เรื่องนั้นน่ะไม่แปลกหรอก”

“อ้าว แล้วอะไรแปลก?”

“กูเนี่ยแหละแปลก” ผมกลั้นใจตอบความจริงออกไป ก่อนที่จะถอนหายใจยาวพลางกุมขมับด้วยความกลัดกลุ้ม

“เฮ้ย เครียดขนาดนั้นเลยหรอวะ นี่มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ผมส่ายหน้า เสียงอ่อย... รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเหมือนคนอ่อนแออย่างน่าประหลาด ทั้งที่ปกติแล้วจะเข้มแข็งกับทุกๆ เรื่อง แต่กับคราวนี้...ผมแม่ง...อ่อนแอไปหมดทุกทางเลย... โดยเฉพาะเรื่องของ ‘หัวใจ’ เนี่ย มันชักจะไม่คงทนถาวรเหมือนอย่างที่ผ่านๆ มาแล้วว่ะ หาคำตอบก็ไม่ได้ด้วยว่าทำไม มีแต่ความสับสนเท่านั้นที่ผมเห็นได้ในตอนนี้ “ไม่รู้ทำไมกูถึงได้ยอมให้มันจีบ ทั้งที่ปกติกูก็ปฏิเสธทุกคนมาตลอด”

“โธ่ กูก็นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็... เฮ้ย! เดี๋ยวๆๆ เมื่อกี้มึงว่าไงนะ!?”

ผมล่ะอยากกัดลิ้นตัวเองตายไปเลยเมื่อต้องพูดถึงความผิดปกติของตัวเองให้ไอ้ปิงฟังอีกรอบ “เออ มึงได้ยินไม่ผิดหรอก กูยอมให้มันจีบ ชัดไหม กูยอมให้มันจีบ!”

“เต็มสองหูกูเลยคราวนี้” ร่างสูงของไอ้ปิงถึงกับเด้งตัวลุกขึ้นยืน ดูก็รู้ว่ามันนั่งไม่ติดเลยเมื่อได้ยินความจริงจากปากผมในข้อนี้ “ทำไมวะ มันเกิดอะไรขึ้น ปกติมึงก็ชอบผู้หญิงนี่หว่า”

“ก็ใช่ไง กูถึงได้กลุ้มอยู่เนี่ย ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับกูกันแน่ อะไรทำให้กูยอมไอ้เจได ยอมให้มันจีบกูซะงั้น ทั้งที่กูก็ปฏิเสธผู้ชายคนอื่นมาตลอดเนี่ย”

“งั้นมึงต้องลองคิดดูให้ดีๆ ไอ้ต่อ ว่าตอนที่มึงยอมมันอะ มันเกิดอะไรขึ้น”

“...” ผมพยายามนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนเย็น ตอนที่ผมยอมให้มันจีบผมอย่างที่มันได้บนกับเจ้าแม่ไว้ แล้วสิ่งที่ชัดเจนขึ้นมาในความทรงจำ...ก็คือใบหน้า ‘ฝืนยิ้ม’ ของไอ้ตี๋เข้มที่ยอมถอยไปอย่างคนยอมแพ้...

“กูว่า...เป็นเพราะมันไม่เหมือนคนอื่นว่ะ” ผมเลยเริ่มพูดออกมาตามที่ตัวเองรู้สึก

“ยังไงวะ?”

“ก็...ปกติมึงก็รู้ใช่ไหม ตั้งแต่เรื่องนั้น ผู้ชายในมอแม่งก็พากันมาจีบกูกันเต็มไปหมด ต่อให้กูพยายามปฏิเสธมากแค่ไหน ก็ไม่เคยมีใครยอมฟังกูเลยสักคน” ดูอย่างพี่มิกซ์สิ ผมอาจจะไม่ได้แสดงออกชัดเจนหรือว่าพูดตรงๆ เหมือนอย่างที่ทำกับพี่ชุนนะ แต่จากที่ผ่านมา ผมทำให้เห็นแล้วว่าผมไม่เล่นด้วย แล้วผลก็อย่างที่เห็น พี่เขาไม่เคยเลิก ยังคงเดินหน้าต่อ แล้วก็เหมือนว่าจะเข้ามาประชิดตัวผมมากขึ้นทุกทีๆ จนผมรู้สึกอึดอัดไปหมดแล้ว “แต่กับไอ้เจได... แค่มันเห็นว่ากูไม่โอเค มันก็ยอมถอยแล้วทั้งที่มันก็แสดงออกเลยนะว่าชอบกูมาก แต่ก็เลือกจะยอมแพ้ แม่ง...ทำกูเพี้ยนเลยอะ กูรู้สึกว่าแม่งไม่เหมือนคนอื่นที่กูเคยเจอมา”


“...”

“แถม...พอกูเห็นว่ามันเศร้า กูก็ใจอ่อนเลยอะ กูยอมมันเลย...แค่เพราะอยากที่จะเห็นมันกลับมายิ้มอีกครั้ง... เหี้ยเอ้ย! นี่กูกำลังรู้สึกอะไรกับมันใช่มั้ยวะเนี่ย!?”

“เฮ้ย ใจเย็น มึงอาจจะแค่สับสนก็ได้ แบบว่า... ไอ้เจไดอะไรนี่อาจแค่มาแปลกกว่าคนอื่น มึงก็เลยรู้สึกว่ามันพิเศษไปจากที่เคยเจอ อาจเป็นแค่นั้นก็ได้ ไม่ได้หมายความว่ามึงจะต้องชอบมันสักหน่อย อะ ถ้าสมมตินะ ให้มึงไปคบเป็นแฟนกับมันตอนนี้เลย มึงเอาไหม?”

ผมส่ายหัวแรง เพราะมั่นใจกับคำตอบของตัวเองมาก “ไม่ว่ะ ไม่ถึงขั้นนั้น”

“เห็นไหม”

“แต่ถึงยังไงกูก็ยอมให้มันจีบกูแล้วนะปิง” แล้วดูท่าว่ามันก็โคตรจะจริงจังซะด้วย “กูกลัวว่าถ้ากูยอมใจอ่อนกับมันไปเรื่อยๆ กูจะเสร็จมันจนได้ว่ะ”

“เฮ้ย ไม่หรอกมั้ง” หรอ มึงพูดว่า ‘ไม่’ ทั้งที่หน้ามึงเองก็แสดงความกังวลซะชัดเจนขนาดนั้นเนี่ยนะไอ้ปิง!

ผมถอนหายใจยาว หมดคำจะพูดครับ ไม่ได้รู้สึกคลายความกังวลขึ้นเลย ทั้งที่คิดว่าการคุยกับเพื่อนจะทำให้ตัวเองรู้สึกเป็น ‘ปกติ’ แท้ๆ

ติ๊ง!

“นี่ไง ไอ้หมูส่งมาละ”

“อะไรวะ?”

แต่แล้วก็ต้องหันกลับไปสนใจไอ้ปิงอีกครั้งเมื่อมันพูดถึงชื่อของ ‘ไอ้หมู’ หรือก็คือเพื่อนอีกคนในกลุ่มของพวกผมที่อยู่ต่างคณะกัน ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอมันเลย เพราะเห็นว่างานที่คณะสถาปัตฯ เยอะมาก ขนาดว่าอยู่หอนอกหอเดียวกันกับผมนะ

ว่าแต่...ไอ้หมูมันส่งอะไรมาวะ?

“ข้อมูลของไอ้เจได”

“เฮ้ย นี่มึงให้ไอ้หมูไปสืบมาให้หรอวะ ทำไมกูไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ขืนมัวแต่รอมึง จะไปทันกินอะไรล่ะครับ”

อ้าว กูผิดซะงั้น

“มา เดี๋ยวกูอ่านให้ฟัง” ไอ้ปิงเดินกลับมานั่งลงตรงข้ามผม ก่อนที่จะเริ่มอ่านข้อมูลของไอ้เจไดที่ไอ้หมูหามาให้ฟัง “มันชื่อว่าเจได...”

“อันนี้กูรู้อยู่แล้ว”

“เออ กูรู้ว่ามึงรู้ แต่ไอ้หมูมันเขียนมาแบบนี้ กูก็อ่านไปตามที่มันเขียน เพราะฉะนั้นอย่าขัด เข้าใจ๊?”

“อา...” กูผิดเองปิง กูผิดเอง

“ชื่อจริงชื่อ ‘ภาพยนตร์ โพธิสุทธ์’ เรียนอยู่ปีสอง คณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ บ้านมันรวยมาก เป็นทายาทสายตรงรุ่นที่ 5 ของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง พ่อมันก็คือ ‘ไกรเดช’ ผู้กำกับภาพยนต์ระดับพันล้าน ส่วนแม่คือคุณ ‘ฝนแก้ว’ เป็นนักพากย์มืออาชีพ มีน้องชายหนึ่งคนชื่อ ‘พอตเตอร์’ ชื่อจริงชื่อ ‘พากย์เสียง’ ยังเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย โรงเรียนนานาชาติ โอ้โห ประวัติ ‘เพื่อนเขย’ กูนี่ไม่ธรรมดาเลยว่ะ”

“เพื่อนเขยบ้านมึงสิ” ผมใช้เท้ายันเก้าอี้ที่ไอ้ปิงนั่งอยู่เข้าให้ทีนึง ข้อหากวนตีน แล้วมันสำนึกไหม? ก็ไม่ หัวเราะใหญ่เลย ไอ้เพื่อนเวร! “อ่านต่อมาเร็วๆ เลย!”

“ฮ่าๆๆ โอเคๆ ก็... ถึงมันจะเป็นทั้งลูกคนรวยแล้วก็คนดังอะนะ แต่ไอ้เจไดนี่มันก็ไม่ค่อยจะชอบออกสื่อสักเท่าไหร่ ไอ้หมูเขียนว่าวงในบอกมาว่า...มันปฏิเสธที่จะลงประกวดเดือนคณะเมื่อปีก่อนด้วย แล้วมันก็ไม่ขอเข้าร่วมกิจกรรมอะไรทั้งนั้น เรียนอย่างเดียว ส่วนใหญ่เวลาไม่มีอะไรทำก็อยู่หอ ไอ้หมูวงเล็บมาด้วยว่ามันอยู่หอในกับเพื่อนสนิทอีกสองคน ชื่อยศกับตรี ส่วนเรื่องที่นอกเหนือจากเรื่องเรียนแล้วทำให้มันยอมออกจากหอได้ก็คือร้านเหล้า มีสายรายงานอย่างไม่เป็นทางการมาว่ามันเป็นหุ้นส่วนร้าน ‘บำเรอ’ (ร้านเหล้าหน้ามอ) แต่ถึงจะเป็นสายเหล้า เทอมก่อนมันก็ยังเรียนได้ 4.00 อยู่ดี เชร้ดดดดดด ไอดอลว่ะ ต่อไปกูจะเอาแม่งเป็นตัวอย่างละ”

“ฝันไปเลยไอ้ปิง คนอย่างมึงอะทำไม่ได้หรอก ไม่แดกเหล้าก็ทำไม่ได้! ว่าแต่... ถ้ามันได้เกรดเฉลี่ย 4.00 จริง งั้นที่ไอ้เจไดมันบอกว่าขอเจ้าแม่ให้ได้ A ทุกวิชาก็เรื่องจริงน่ะสิ”

“เออว่ะ สงสัยกูต้องรีบไปขอเจ้าแม่บ้างแล้ว เรื่องมึงก็สำเร็จ เรื่องไอ้เจไดก็สำเร็จ หึๆ เทอมนี้ล่ะมึง กูจะขอเกรด A สักเจ็ดตัว เอาให้ป๊ากูตกใจจนเป็นลมไปเลย คอยดู”

“...” ไอ้ปิงนี่แม่ง... ผมล่ะอยากจะกลอกตาใส่ไอ้เพื่อนรักจริงๆ เลย คิดแต่ละอย่าง สมแล้วที่แม้แต่ไอ้แตนน้องชายผมก็ยังสบประมาทมันเนี่ย เฮ้ออออออ

“เฮ้ยๆ ข้อมูลอันนี้เด็ดว่ะ มึงน่าจะชอบ”

“อะไรวะ?”

“มันโสด”

“แล้ว?” ทำไมผมต้องชอบด้วยวะ?

“อ้าว ก็มึงจะได้ไม่ต้องกลัวเรื่องเป็นมือที่สามไง ฮ่าๆๆๆ”

“...”

โอเค ผมกลอกตาใส่เพื่อนตัวเองเรียบร้อยครับ หมดคำจะพูด ด่าไปก็เสียปาก เดี๋ยวแม่งเบื่อแม่งก็เลิกกวนผมเองนั่นแหละ ปล่อยวางเถอะ

“มึงๆ ไอ้หมูให้เบอร์ Facebook แล้วก็ LINE ของไอ้เจไดมาด้วยนะ มึงเอาไหม กูส่งให้”

“ไม่อะ”

ติ๊ง!

“แต่กูส่งไปแล้วอะดิ”

“แล้วมึงจะถามกูเพื่อ!?”

ผมปลดล็อกหน้าจอไอโฟนของตัวเองด้วยความปวดประสาท ไม่ได้อยากจะสนใจสิ่งที่ไอ้ปิงมันส่งมาเท่าไหร่หรอกนะ แต่ขืนผมยังทนมองหน้าเพื่อนตัวเองต่อ มีหวังได้หาอะไรปาใส่หัวมันจนกว่าจะตายแหง!

แต่เอ๊ะ นี่ใครส่งคำขอเป็นเพื่อนผมมาเนี่ย?

‘Jedi Pappayon’

นี่มัน!?

“ไอ้ปิง นี่กูไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมวะ!?” ผมรีบหันหน้าจอไอโฟนไปทางไอ้ปิงเพื่อขอคำยืนยันจากเพื่อน และผลคือ...

“ไอ้เจไดตัวเป็นๆ เลยล่ะมึง ฮ่าๆๆ”

“โอ๊ยยยยยย มันไปเอา Facebook กูมาจากไหนวะเนี่ย!”

“โธ่ไอ้ต่อ Facebook มึงอะหาง่ายจะตายห่า มึงเป็นถึงอดีตเดือนคณะปีที่แล้วเลยนะเว้ย ข้อมูลมึงแม่งมีอยู่ทั่วเน็ตนั่นแหละ”

“เออว่ะ จริงด้วย กูลืมไปเลย”

นี่ถือเป็นหนึ่งในข้อเสียของตำแหน่งเดือนคณะในมหา’ลัยดังๆ ใช่ไหมเนี่ย ใครอยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวผมก็หาได้หมดในอินเตอร์เน็ต ไม่มีความเป็นส่วนตัวเลยอะ : (

“เอาไง รับไม่รับ”

“แล้วมึงว่ากูควรรับไหมวะ”

ผมถามไปสายตาก็มองสลับกันระหว่างปุ่ม ‘Confirm’ กับปุ่ม ‘Delete’ ไป หนักใจเป็นบ้า

“แล้วมึงอยากรับไหมล่ะ”

“กู...” ลังเลว่ะ คราวนี้ผมมองหน้าไอ้ปิงสลับกับหน้าจอ... เพราะถ้าผมกดปู่ม Confirm เมื่อไหร่ก็จะเท่ากับว่า...ผมได้เปิดประตูให้ไอ้เจไดอะไรนี่มันเข้ามาในชีวิตผมอีกขั้นหนึ่งแล้ว และต่อจากนี้มันก็จะมีช่องทางในการจีบผมได้สะดวกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่องทางด้วย แต่ถ้าหากเลือกกดปุ่ม Delete เพื่อปฏิเสธมัน...ผมแม่งก็จะกลายเป็นคนผิดสัจจะเรื่องไปรับปากว่าจะให้มันจีบอีก

นี่...มีทางไหนให้ผมสบายใจได้บ้างวะ?

เฮ้อออออออออออออออออออ!

“เออ! กูรับมันเป็นเพื่อนก็ได้วะ” ผมกดปุ่ม Confirm ครับ ก่อนที่จะวางคว่ำหน้าไอโฟนไว้บนโต๊ะคอมฯ ด้วยความร้อนรนอย่างกับเด็กทำผิดแล้วกลัวโดนผู้ใหญ่ตีก็ไม่ปาน “ไหนๆ ก็พูดไปแล้วนี่ว่าจะให้มันจีบ กูจะผิดคำพูดได้ไง”

เนี่ยแหละน้า เขาถึงได้บอกไงครับว่าให้คิดก่อนที่จะพูด เพราะคำพูดถือเป็นสิ่งที่เราจะเอากลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว จำไว้เลย

ส่วนไอ้ปิงมันก็ไม่ได้พูดต่อจากนั้น ทำเพียงแค่ยักไหล่เป็นการตอบรับ ในขณะที่สีหน้าที่มองมาก็เรียบนิ่ง อ่านไม่ออกเลยว่ามันเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของผมกันแน่... แต่ช่างเหอะ ยังไงไอ้ปิงมันก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคนที่ควรจะตัดสินใจได้ดีที่สุดก็คือตัวผมเองเนี่ยแหละ จริงไหม

หลังจากนั้นผมกับไอ้ปิงเราต่างก็แยกกันทำในสิ่งที่เราต้องการ โดยที่ไอ้ปิงเปลี่ยนจากนั่งเก้าอี้ไปเป็นกระโดดขึ้นนอนเล่นโทรศัพท์บนเตียงของผมแล้ว ในขณะที่ผมเดินไปหยิบเอา MacBook มาเปิดไว้บนโต๊ะ เพราะอยากเล่น Facebook จากใน Mac มากกว่าในไอโฟน

แต่เพียงสักพักเดียวเท่านั้น...

“เชร้ดดดดดดดดด ไอ้ต่อ! กูว่าชีวิตมึงมีเรื่องให้สนุกแล้วว่ะ”

ไอ้ปิงหันหน้าจอโทรศัพท์ของมันมาหาผม แต่อยู่ไกลเกินจะเห็นได้ชัด ผมก็เลยต้องรีบพุ่งเข้าไปคว้ามาดูใกล้ๆ เพราะจากประโยคคำพูดของไอ้เพื่อนรักที่ว่า ‘มีเรื่องให้สนุกแล้วว่ะ’ ก็หมายถึง...มีเรื่องให้ชีวิตผมต้องวุ่นวายกว่าเดิมนั่นเอง

ล่ะ...แล้วก็เป็นไปตามคาด!

สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าในขณะนี้คือรูปของไอ้เจไดที่แท็กเข้ามาที่หน้า Facebook ผม ซึ่งมันจะไม่เป็นปัญหาอะไรเลย ถ้าเกิดว่ารูปนั้นไม่ได้เป็นรูปเซลฟี่หน้าหล่อๆ ของมันพร้อมกับทำมือข้างที่เหลือเป็น ‘มินิฮาร์ต’ แบบที่มันทำส่งให้ผมเมื่อตอนเย็น พร้อมแคปชั่น...

‘ให้กูจีบแล้วนะ ♥’

อะ...ไอ้บ้า! หาเรื่องให้กูแล้วไหมล่ะไอ้เจได!

นี่ดีนะที่ผมไม่ได้เป็นเพื่อนกับครอบครัวใน Facebook น่ะ ไม่งั้นมีหวังคงได้ตอบคำถามกันยาวแน่ แม่งเอ้ยยย นี่ไอ้เจไดมันได้คิดบ้างไหมวะ ว่าสิ่งที่มันทำก็คือยิ่งเป็นการไปโหมกระแสเรื่องที่คนอื่นเขาคิดว่าผมเป็นเกย์ให้มันหนักมากขึ้นกว่าเดิมเนี่ย!

“มึง ทำไมคนกดไลค์เยอะขนาดนี้วะปิง”

“ก็ตามความฮอตของมึงนั่นแหละไอ้ต่อ ไหนจะหน้าหล่อๆ ของไอ้เจไดอีก ไลค์เยอะขนาดนี้นี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติแล้ว แต่ที่กูอยากจะให้มึงดูน่ะ คือคอมเมนท์เว้ย”

คอมเมนท์? คอมเมนท์ทำไมวะ?

ผมรีบกดเปิดดูคอมเมนท์ใต้ภาพทันทีว่ามีใครมาแสดงความคิดเห็นอะไรบ้าง แล้วก็ถึงกับต้องเผลอสบถคำหยาบออกมา...!

Dews Mongkon
นี่สรุปว่าตัวต่อเป็นเกย์จริงๆ ใช่มั้ยครับ?

Chun Wattana
ทำไมตอนพี่จีบ ตัวต่อถึงไม่ให้จีบล่ะครับ

Prangthip Aime Sutthiya
เอ้า ไหนว่าเป็นผู้ชายไงน้องต่อ

Chaiwat Ken Sirichai
มึงเป็นใครวะ กล้าดียังไงมายุ่งกับน้องต่อของกู

Den Jurassic Park
เดี๋ยวนี้มึงเปลี่ยนแนวแล้วหรอวะไอ้เจได

Potter Parksiang
นี่พี่เจไดเป็นเกย์หรอพี่!?

Yos Thanakorn
เล่นของเด็ดซะด้วยนะไอ้เจได

Suwanta Ming
กรี๊ดดดดดด คนนึงก็หน้าหวาน คนนึงก็โคตรหล่อ ฟินค่าาาาาา

อ้วนแล้วไง กลิ้งทับมึงได้แล้วกัน
มึงเป็นใคร อย่ามายุ่งกับน้องต่อของกูนะ!

Phop Koomrob/b]
อกหักเลยกู T__T

God Pinnaphong
ผมอยากจีบพี่ต่อนะ แต่คงไม่ทันแล้ว หล่อสู้พี่เจไดไม่ได้ด้วย T__T

Tanjai Jap
สุดท้ายที่บอกว่าจะไม่รักผู้หญิงคนไหนอีก ก็เพราะว่าเป็นเกย์นี่เองสินะ

ไม่มีตังมาหาเฮีย มาให้เลียเดี๋ยวเฮียให้ตัง
กูรักของกูมาตั้งนาน มึงมาจากไหนของมึงวะเนี่ย!?


ผมนี่กุมขมับเลยครับ... เจอแต่ละความเห็นของแต่ละคนเข้าไป โดยเฉพาะ ‘สุดท้ายที่บอกว่าจะไม่รักผู้หญิงคนไหนอีก ก็เพราะว่าเป็นเกย์นี่เองสินะ’ มันยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ผมคิดได้ว่า...ผมตัดสินใจผิดพลาด!

“นั่นมึงจะทำอะไรวะต่อ”

“กูจะโทรหาไอ้เจได”

“เฮ้ย ใจเย็นก่อนไหม”

“ไม่ งานนี้กูกับมันต้องคุยกันให้รู้เรื่อง!”

/ ต่อด้านล่าง /
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2017 23:34:45 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
[ เจได ]

ทันทีที่ผมกดรับสายเบอร์แปลกๆ

(มึงลบรูปออกเดี๋ยวนี้เลยนะเจได!)

เสียงดุๆ แต่น่าฟังจากปลายสายก็ดังขึ้น แสดงถึงความไม่พอใจในสิ่งที่ผมได้ทำลงไปเมื่อไม่กี่นาทีนี้

เชี่ย... ตัวต่อชัวร์!

“รูปอะไรวะ กูไม่เห็นรู้เรื่องเลย : )”

(อย่ามากวน!) โห ดุอีกแล้วเว้ย นี่ถ้าผมกับมันได้เป็นแฟนกันนะ มีหวังเพื่อนแซวว่าผมมีเมียดุแหง (รู้ไหมว่าที่มึงทำไปจะส่งผลกับชีวิตกูยังไงบ้าง มึงดูคอมเมนท์สิ ตอนนี้คนแม่งเข้าใจผิดกันหมดแล้ว)

“เข้าใจผิดเรื่องไหนล่ะ” ผมยังคงกวน “เรื่องกูจะจีบมึงน่ะหรอ? เฮ้ย ถ้าเรื่องนั้นเรื่องจริงนะ มึงเป็นคนอนุญาตกูเอง ลืมหรอ”

(ไม่ใช่เรื่องนั้นโว้ย! แต่การที่มึงออกสื่อแบบนี้ มันทำให้คนเขาเข้าใจผิดคิดว่ากูเป็นเกย์กันไปหมดแล้ว ลบเลยนะเจได ลบเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกูไม่คุยกับมึงจริงๆ ด้วย!)

เชี่ยละ เจอยื่นคำขาดแบบนี้ แสดงว่าผมต้องลบรูปออกจริงๆ หรอวะ? ไม่เอาดิ ไม่อยากลบอะ ชอบให้ชัดเจนแบบนี้มากกว่า ทุกคนจะได้รู้กันไปเลยว่าผมกำลังเดินหน้าจีบไอ้ตัวต่ออยู่ แล้วผมเองก็จะได้รู้ด้วยว่ามีใครที่คิดจะเป็น ‘ศัตรู’ กับผมบ้าง จะได้เล่นงานแม่งให้ถูกตัว

เพราะฉะนั้น ผมต้องรีบแก้เกม : )

“เดี๋ยวๆ ก่อนจะพูดถึงเรื่องนั้น เรามาพูดเรื่องที่มึงโทรหากูก่อนดีไหม : )”

(อะ...อะไร?)

น่านนน มีแอบติดอ่างด้วย แบบนี้ก็เสร็จโจรสิครับไอ้ตัวต่อ : )

“ก็เท่าที่กูจำได้ กูกับมึงยังไม่ได้แลกเบอร์กันเลยนะ นี่มึงแอบไปสืบเรื่องกูมาหรอ?”

(เปล่าเว้ย!)

“ไม่ต้องมาทำปากแข็งเลยไอ้ตัวต่อ ถ้าไม่ได้สืบแล้วมึงจะรู้เรื่องกูได้ไง แน่ะ นี่อยากบอกนะว่ามึงเองก็แอบสนใจกูอยู่เหมือนกันน่ะ!? เฮ้ยถ้าใจเราตรงกัน คบกันเลยก็ได้เว้ย กูไม่ถือหรอก : )”

(มึงนี่มัน... ฮึ้ย!)

นี่ล่ะครับ อาการของคนเถียงไม่ออก เจอผมต้อนจนจนมุมแบบนี้ ยังไงก็คงออกฤทธิ์ได้ไม่มากแล้วแหละ ผมว่าผมรีบเดินเกมต่อเลยดีกว่า

“ไม่เอาๆ อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ ถ้ามึงลองคิดดูให้ดีๆ ไอ้ที่กูทำไปมันก็มีข้อดีอยู่นะ”

(ข้อดีอะไรของมึงวะ?)

“ก็ที่ผ่านมา พวกผู้ชายมันชอบมาตามจีบมึงเพราะคิดว่ามึงเป็นเกย์ใช่ปะ”

(ก็เออน่ะสิ แล้วมึงก็มาทำให้คนเขาเข้าใจผิดเพิ่มขึ้นอีกนี่ไง)

อะ นอกจากจะดุแล้ว ยังขี้แขวะอีกด้วยนะ หมั่นเขี้ยวโว้ยยย

“ก็จริง แต่ข้อดีคือ คราวนี้มีกูเป็นไม้กันหมาให้มึงไง ไม่ดีหรอ”

(ไม่ดีอะ) อ้าว (มึงน่ากลัวกว่าคนอื่นเยอะเลยไอ้เจได) อ๋อ เออว่ะ ก็ถูกของมัน ฮ่าๆๆ : )

“แต่ถ้าเป็นแบบนี้มึงก็รับมือกับกูแค่คนเดียวนะ เทียบกับแต่ก่อนที่ต้องรับมือกับผู้ชายหลายๆ คน ปวดหัวตาย ปวดหัวกับแค่กูคนเดียวเนี่ยแหละ ไม่ต้องกินยาแก้ปวดหลายเม็ด เนอะ”

(เฮ้ออออออ นี่สรุปว่ายังไงมึงก็จะไม่ยอมลบรูปออกจริงๆ ใช่ไหม)

“ก็มันมีข้อดีมากกว่าเสียอะ กูจะลบออกทำไมเล่า”

(ดีกับมึงคนเดียวน่ะสิ)

แหม ไอ้ตัวขาวมึงก็พูดเกินไป “มันก็ดีกับเราทั้งคู่นั่นแหละ มึงอะคิดมาก” กูแค่ได้เปรียบกว่านิดๆ หน่อยๆ เอ๊งงง

(เออ!) มันกระแทกเสียงครับ (ไม่ลบก็ไม่ลบ ตามใจมึงเลย กูขี้เกียจจะพูดแล้ว แต่ขอเตือนไว้เลยนะไอ้เจได ขัดใจกูมากๆ อะ อย่าหวังว่าจะจีบกูติดเลย แค่นี้ล่ะ บาย!) แถมยังมีขู่ด้วย ชอบแฮะ น่าหมั่นเขี้ยวดี ไม่น่าเบื่อ : )

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อนดิ”

(...)

“นี่มึงยังอยู่ไหมเนี่ย” ทำไมเงียบจังวะ หรือกดวางสายไปแล้ว?

(อยู่ มีอะไรก็พูดมา)

“อ้าว กูก็นึกว่ามึงวางสายไปแล้ว คือ... กูอยากชวนมึงออกเดตอะ พรุ่งนี้มึงว่างปะ?”

(พรุ่งนี้กูมีเรียน)

“เรียนบ่ายนี่ เช้าว่าง”

(มึงรู้ได้ไง!?)

“กูก็แอบสืบเรื่องมึงเหมือนที่มึงแอบสืบเรื่องกูนั่นแหละ : )”

“ไอ้...!”

“นะ ไปเดตกัน มึงอยู่หอไหน เดี๋ยวกูไปรับ”

(ไม่ต้อง ไม่เอา กูไม่ไป แค่นี้นะ)

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ ฮัลโหลๆ ไอ้ตัวต่อ!”

นี่มัน... วางสายใส่ผมหรอวะเนี่ย!?

โทรกลับไปก็ดันตัดสายทิ้งอีก เออ! ดี คิดหรอว่าทำแบบนี้แล้วมึงจะรอดน่ะ ยังไงกูก็จะเดตกับมึงให้ได้ เตรียมตัวไว้เลยไอ้...ไอ้น่าหมั่นเขี้ยววว!



[ ตัวต่อ ]

เช้าวันต่อมา ผมขับรถจากกรุงเทพฯ กลับมาถึงหอที่จังหวัดนครปฐมตอนประมาณเก้าโมงครึ่ง ตั้งใจมาเร็วหน่อย เพราะต้องแวะไปเอาเสื้อผ้าที่ส่งซักรีดไว้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เข้าห้อง...

“สวัสดี : )”

“อะ...ไอ้เจได! ขึ้นมาได้ไงเนี่ย!?”

...ก็เจอไอ้ตี๋หนวดยืนดักอยู่ก่อนแล้ว นี่มันขึ้นมาได้ไงกัน!?

“พอดีมีน้องผู้หญิงคนนึงเขาแตะคีย์การ์ดออกจากหอ กูก็เลยเนียนๆ เดินสวนเขาเข้ามา แล้วก็ขึ้นลิฟต์มานั่งรอมึงตามเลขห้องที่สืบได้เนี่ยแหละ เป็นไง กูเก่งใช่ไหมล่ะ : )”

ให้ตายเหอะ ทำไมระบบรักษาความปลอดภัยหอผมมันถึงได้ย่ำแย่ขนาดนี้เนี่ย!?

“ว่าแต่มึงเถอะ ไปไหนมา ตื่นแต่เช้าเลย”

“เรื่องของกู”

ผมใช้มือดันมันออกไปให้พ้นทาง ตั้งใจจะรีบไขประตูเข้าไปในห้องให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่โอ้โห... ทำไมกล้ามเนื้อมันถึงได้เยอะขนาดนี้วะ แข็งปั๋งเลย โดนต่อยจะรู้สึกเจ็บไหมวะเนี่ย?

“อย่าเมินกูดิ กูถามมึงดีๆ นะตัวต่อ ไม่ได้จะชวนทะเลาะ”

แต่คนโดนเมินมันก็ไม่รู้จักยอมแพ้แฮะ เพราะพอผมขยับเข้าหาประตูห้อง มันก็รีบเอาตัวมาขวางไว้ในระยะประชิด ทำเอาผมนี่...รู้สึกประหม่าไปเลยที่ต้องมาเผชิญหน้ากับมันตัวเป็นๆ แบบนี้... แม่ง คนอะไรวะ ตัวใหญ่เป็นบ้า แถมยังหล่อจนน่าใจหายอีกต่างหาก... ไม่เข้าใจเลยว่าหล่อแบบมันทำไมมันถึงต้องมาอยากจีบแค่ผมคนเดียวด้วย หล่อเทพขนาดนี้ จะเอาใครก็ได้แล้วเปล่าวะ...ทำไมต้องกู!?

“เออ กูตอบมึงดีๆ ก็ได้” เพราะขืนยังทำเป็นเฉยเมยต่อไป ยังไงก็ต้องโดนไอ้เจไดมันตื๊อจนกว่าผมจะยอมนั่นแหละ ฮึ้ย! “กูเพิ่งขับรถมาจากบ้าน เมื่อคืนนี้กูไปนอนที่กรุงเทพฯ มา แล้วก็เพิ่งกลับมาถึงหอเนี่ยแหละ”

“อ้าว นี่บ้านมึงก็อยู่กรุงเทพฯ เหมือนกันหรอ คนบ้านเดียวกันนี่หว่า” เอ่อ... ไผ่ พงศธรก็มางี้? “แล้วนี่... มึงกินข้าวยัง?”

“ยัง”

“เฮ้ย ถ้างั้น...”

“แต่กูไม่ไปกับมึงนะ กูจะไปกินคนเดียว จบไหม”

คราวนี้ผมตัดบทจริงจัง เพราะเมื่อคืนนี้ก็ปฏิเสธไอ้เจไดไปแล้ว ไม่อยากให้มันมาตื๊อผมเรื่องนี้อีก

“โอเค...”

ได้ผลครับ ไอ้เจไดยอมหลีกทางให้ผมได้ไขกุญแจเข้าห้องตามที่ต้องการ แต่กลับเป็นผมเองเนี่ยแหละที่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเงียบจนผิดสังเกต ไม่ตามตื๊อต่ออย่างที่ผมคาด

“...”

แล้วภาพที่ได้เห็นก็คือ ชายร่างสูงใหญ่ในชุดนิสิตที่กำลังเดินคอตกจากไป... แม่ง ทำไมมันหมาหงอยอีกแล้ววะ? กะอีแค่ไม่ไปกินข้าวด้วยแค่นี้เนี่ยนะ...ราชสีห์ต้องกลายเป็นไอ้หมาเอ๋งเลยหรือไง ไอ้บ้า!

“...”

“...”

“เออ! กูไปกินข้าวกับมึงก็ได้”

แล้วผมก็เป็นอันจะต้องใจอ่อนกับความหมาหงอยของมันเสียทุกทีสินะ ฮึ้ยยย!

“จริงปะ!?” นั่นไง ไอ้หมาเอ๋งกลับมาเป็นราชสีห์แล้วครับ แถมยังยิ้มดีใจซะออกนอกหน้าเลยด้วย เออ แบบนี้สิ ค่อยสมเป็นมึงหน่อย

“แต่มึงต้องเลี้ยงกูนะ ตกลงไหม”

“ได้เลย กูอะป๋าอยู่แล้ว”

“เออ ให้มันจริงเหอะ” เดี๋ยวจะสั่งจานที่แพงที่สุดในร้านเลย ดูซิว่ามันจะพูดว่าไง “รอแป๊บนึงแล้วกัน ขอกูเก็บของก่อน”

“คร้าบ : )”

พอเก็บของเสร็จ ร่างสูงกว่าก็พาผมไปขึ้นรถบีเอ็มของมัน ก่อนที่จะขับพามากินที่ร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่งอยู่ไม่ไกลจากย่านหอพักหน้ามอเท่าไหร่นัก ร้านนี้คนมากินค่อนข้างเยอะครับ ผมเองก็เคยมากินกับไอ้ปิงอยู่หลายครั้ง เพราะทำเลดี รสชาติก็เยี่ยม แถมราคายังสมเหตุสมผลเป็นมิตรกับนิสิตอีกต่างหาก ใครเขาก็อยากมากินกันทั้งนั้นแหละ

“เมนูจ้ะ เดี๋ยวอีกสักครู่พี่มารับออเดอร์น้า”

“ครับพี่” ไอ้เจไดเป็นฝ่ายรับเมนูสองเล่มมาจากพี่สาวเจ้าของร้าน ก่อนที่มันจะแบ่งมาให้ผมหนึ่งเล่ม “อยากกินอะไรมึงสั่งเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ถ้างั้นกูจะสั่งนี่” ผมแกล้งเปิดชี้ไปที่เซ็ตซูชิที่แพงที่สุดในร้าน วัตถุดิบระดับพรีเมียมทั้งนั้น ดูสิว่ามันจะยังยิ้มออกไหม

“ก็เอาสิ อร่อยนะ เซ็ตนี้มีตับห่านด้วย กูชอบ ว่าจะสั่งอยู่เหมือนกัน” แล้วมันก็ก้มหน้าดูเมนูต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

เออ ไอ้รวย สมแล้วที่เป็นถึงทายาทรุ่นที่ห้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังน่ะ หมั่นไส้!

“...” แต่ในขณะที่ผมกำลังแอบทำปากยื่นปากยาวใส่ไอ้ตี๋หนวดอยู่นั่นเอง ผมก็ทันได้สังเกตเห็น...สายตาของคนในร้านที่กำลังมองมา...

ไม่ใช่แค่มองอย่างเดียวนะครับ แต่พวกนั้นยังพากับซุบซิบนินทากันอย่างออกนอกหน้า ขนาดว่าผมมองอยู่ก็ยังไม่หยุดมองเลย แม่ง...สงสัยนี่คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่คิดว่าผมเป็นเกย์แล้วก็กำลังมากินข้าวสองต่อสองกับผู้ชายอย่างไอ้เจไดสินะ...

“เป็นอะไร?”

“อ๋อ เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” ผมโกหก ไม่อยากให้ไอ้เจไดมันรู้ว่าผมกำลังรู้สึกเป็นกังวลอย่างมากกับสายตาของคนอื่นที่เหมือนจะตัดสินพวกผมสองคนไปเรียบร้อยแล้ว

เกิดไอ้เจไดมันเอาเรื่องนี้มาแซวผมอีกคน ผมคงรู้สึกเสียหน้าแย่ที่โง่ใจอ่อนมานั่งกินมื้อเช้ากับมันเนี่ย : (

เพล้ง!

“เฮ้ย!” ผมนี่ถึงกับสะดุ้ง...! เมื่อจู่ๆ เสียงจานแตกก็ดังขึ้นในระยะใกล้ ทำเอาผมที่ตั้งใจจะก้มหน้าหลบสายตาของคนตรงข้าม จำต้องรีบเงยกลับขึ้นมาเพื่อพบว่า...เจไดกำลังส่งยิ้มตรงมาที่ผม ทว่า...คราวนี้กลับเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เปิดเผย ไม่ปกปิด เหมือนตั้งใจให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการกระทำของมันเอง

“เกิดอะไรขึ้นคะ!?” แล้วไม่ถึงห้าวินาที พี่สาวเจ้าของร้านคนเดิมกับลูกน้องอีกหนึ่งคนก็พากันวิ่งมาที่โต๊ะของเรา “น้องทำจานแตกหรอ?”

“ใช่ครับพี่ พอดีเห็นลูกค้าโต๊ะอื่นเอาแต่มองมาที่โต๊ะผม ผมก็เลยแอบเกร็งๆ เผลอมือลั่นปัดจานตกแตก นี่ดีนะครับเนี่ย ไม่ไปหล่นใส่หัวใครเข้า ไม่งั้นแย่แน่เลย : )”

แม้สีหน้าและท่าทางของไอ้เจไดจะดูเหมือนว่ามันกำลังพูดเล่นกับพี่สาวเจ้าของร้าน แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับดังก้อง คล้ายจงใจจะประกาศให้คนอื่นๆ ได้รู้ ว่าถ้ายังไม่หยุดมองกันอีกล่ะก็ ครั้งต่อไปจานได้ลอยไปใส่หัวพวกมันแน่

แล้วก็ราวกับปาฏิหาริย์ครับ! สิ้นเสียงพูดของไอ้เจไดไม่ถึงสองวิ ลูกค้าคนอื่นๆ ในร้าน (ที่ส่วนใหญ่เป็นนิสิต) ก็หันขวับกลับไปมองทางอื่นอย่างพร้อมเพรียงกัน จนแม้แต่ผมยังอดใจเต้นแรงไม่ได้ ที่พบว่าไอ้เจไดที่เอาแต่กวนๆ ผม สามารถทำให้ทุกคนกลัวได้ขนาดนี้

“ไม่ต้องห่วงนะครับพี่ คิดค่าจานรวมกับค่าอาหารได้เลย ผมมีจ่าย”

“อา... โอเคจ้ะ” ถึงจะยังงงๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พอได้ยินว่าคนทำจานแตกจะรับผิดชอบ พี่สาวเจ้าของร้านก็รีบสั่งให้ลูกน้องมาเก็บกวาด ส่วนตัวเธอก็ขอรับออเดอร์จากพวกเราไป

ไอ้เจไดสั่งหลายอย่างมากครับ ดูท่าทางมันจะหิวไม่ใช่น้อย เพราะมีการขอเมนูไว้ดูต่อด้วย ในขณะที่ผมจิ้มๆ ไปอย่างไม่จริงนัก เพราะอยากที่จะคุยกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมากกว่า

“นี่มึงทำอะไรของมึงเนี่ย” ผมถามขึ้นทันทีหลังจากที่ไม่มีใครมารบกวนแล้ว

“ทำอะไร?”

“ก็เรื่องทำจานแตกไง”

“อ๋อ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่เห็นว่าสายตาพวกมันทำให้มึงดูอึดอัด กูก็เลยจัดการให้ : )”

“แล้วมึงจำเป็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือไง”  รู้นะว่าหวังดี แต่ไม่รู้สิ...มันทำเกินกว่าเหตุไปเปล่าวะ?

“แต่มันก็ได้ผลนี่ จริงไหม : )”

เฮ้ออออออ แต่ดูเหมือนว่าผมจะลืมไปว่ากำลังคุยกับใครอยู่ เพราะถ้ามันกล้าออกสื่อเรื่องจีบผมขนาดนั้น ก็คงจะไม่ใช่คนที่กลัวอะไรอีกแล้วล่ะ

เก่งจริงนะคุณมึง หมั่นไส้!

“เออ ทำเป็นเก่งเข้าไป นี่คงภูมิใจมากสินะที่ทำให้คนอื่นเขากลัวมึงได้น่ะ”

“ก็นิดหน่อย : )”

“นี่ ถามจริงนะ ไม่กลัวคนจะเอาไปพูดต่อหรือไงวะ เดี๋ยวคนก็ได้พาลเกลียดมึงกันหมดหรอก”

ดูสิ ถึงจะไม่ได้มองมาตรงๆ เหมือนตอนแรกแล้ว แต่ผมก็สังเกตเห็นนะว่าทุกคนยังแอบมองมาอยู่เลย แถมบางโต๊ะก็แอบใช้โทรศัพท์ท้ายรูปไปด้วย งานนี่ล่ะ ได้โดนนินทากันสนุกแน่ ผมกับไอ้เจไดเนี่ย

“เฮ้ ไอ้ตัวต่อ ถามกูก็มองหน้ากูสิวะ” เออๆ หันกลับมามองแล้วนี่ไง “งั้นกูขอถามมึงบ้าง ว่าทำไมถึงจะต้องไปแคร์สายตาพวกมันด้วย ทั้งที่พวกมันก็ไม่ได้หวังดีกับมึงเลย อยากเอาเรื่องเดือนคณะอย่างมึงไปนินทากันทั้งนั้น”

“ก็...” จริงๆ ก็ถูกของไอ้เจไดมันนะ ว่าผมไม่ควรที่จะแคร์สายตาของคนพวกนั้นเลย รู้จักก็ไม่รู้จัก พวกมันก็แค่คนที่อยากมีเรื่องไว้คุยกันสนุกปากโดยไม่คิดที่จะสนใจความรู้สึกของคนที่ถูกเอาไปพูดต่อเท่านั้นแหละ แต่ว่า... “นี่มันไม่ใช่นิยายนะเว้ยมึง นี่มันชีวิตจริง คนเราแม่ง...จะไม่แคร์สายตาใครเลยได้จริงๆ หรอวะ?”

“ได้ดิ” อีกฝ่ายตอบอย่างมั่นใจ ดูเท่ชะมัด พ่อแม่ช่างปั้นมันออกมาจริงๆ “แต่มึงต้องหาจุดโฟกัส”

“จุดโฟกัส?”

อะไรวะ?

“ใช่ ก็เนี่ย อย่างตอนนี้มึงอยู่กับกูใช่ไหม มึงก็ไม่ต้องไปแคร์ใครเลยเว้ย แค่เลือกโฟกัสเฉพาะสิ่งที่อยู่บนเมนูนี้ก็พอ” ไม่พูดเปล่า ไอ้ตี๋เข้มเจไดยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่มันจะหยิบเมนูขึ้นมา พร้อมกับชี้ให้ผมดูปกที่ละลานตาไปด้วยอาหารญี่ปุ่นสีสันสดใสในมือ ซึ่ง...ผมไม่เข้าใจสิ่งที่มันจะสื่อเลย?

“กูไม่เข้าใจว่ะ”

“ก็เนี่ย ดูดีๆ สิว่า Do you know what's on the menu?”

อะไรอยู่บนเมนู...งั้นหรอ?

ผมส่ายหน้าว่ะ ยอมแพ้ ขณะที่ไอ้เจไดก็ไม่รีรอที่จะเฉลยคำตอบออกมา

“นี่ไง ที่มึงควรจะโฟกัสมากที่สุดบนเมนูตอนนี้ก็คือ ‘me’ ‘n’ ‘u’ “

“...”

“แค่ ‘กู’ กับ ‘มึง’ เท่านั้นก็พอแล้วไอ้ตัวต่อ : )”

จบตอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-01-2018 01:59:19 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ 양아치

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ชอบบบบบ
เจไดจับจุดอ่อนตัวต่อได้ขาดมาก ใช้ความขี้สงสารของตัวต่อนี่หว่า 555
ตัวต่อไม่ต้องกลัวอ่อนไหวหรอก ได้อ่อนไหวแน่ๆ เพราะพระเอกมาทั้งสาระ มาทั้งมุก ยอมใจ

ปล. น้องชายตัวต่อกับปิงมีซัมติงไรกันเปล่าา  :hao3:

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
คือเอาจริงนะ ชั้นงงมากว่าตัวต่อเล่นตัวทำไม ถ้าพระเอกอ้อยขนาดนี้
ชีวิตจริงคือต้องไปตั้งแต่เจอกันหน้าประตุแล้วปะ

โอ้โหเจได มึงนี่เอาอ้อยมาทั้งสวน คืออยากได้เขามากว่างั้น

เอาจริงนะ สาธุ ขอมีคนนึงไล่ตามแบบอีพระเอกเรื่องนี้ ชั้นก้อนิพพานแล้ว

พระเจ้าช่วยยยยยยยย

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Bk borz.

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เชรดดดดมุขเทพ55555รอตอนต่อไปค้าบบ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ขอปรบมือให้กับการหยอดของเจไดเลย 555555

ออฟไลน์ hoihak

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
อื้อหือมุกนี่ซื้อค่อได้มั๊ยคะ ชอบบบ 55555
เอ้ารุกต่อไปปปป

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
เฮ้ย เรือผีปิงแตน ค่า! ลงเรือ วอนไรทโปรดเห็นใจความขี้ชิปนี้   :mew1: เอ้าผิดๆๆ 5555555555555
อ่านตอนแรก หืม เจได คือรับอ่อ? แต่จะจีบตัวต่อด้วย ไม่รักก็โดนสับขาหลอกมีพระเอกแต่ยังไม่มีบทออกมา (ความคิดมากนี้  :z3:)
ตอนที่2 เอาแล้วววว เจไดของน้อง มาแรงเว้ยความหล่อ รวย ดีงามค่ะ ดูท่ามีหวังด้วยเปิดโหมดหมาหงอยทีไรตัวต่อใจอ่อนตลอดดดดดดด o13
ตอนที่3 อมก.ไรท์คิดได้ไง๊ โอ้ย คนหล่อๆแต่มีมุกเสี่ยวนี่ละลายเว่อร์ ดูใส่ใจรายละเอียด สังเกตอารมณ์ความรู้สึกของตัวต่อด้วยน่าร้ากกกก เชียร์เด้อ  :-[
สนุกมากเลย ชอบตั้งแต่เรื่องอะม๊อกซีซิลีน(ใช่ไหมวะ) นั่นแหละ ชอบ โอ้ย ดีเด้อ ฮือออออออออออออออ มาต่อค่ะ รอออออออออออออ  :katai2-1:

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
เรื่องของชั้น
Gena Desouza



[ ตัวต่อ ]

12:07 PM


“พวกมึง มีอุบัติเหตุหน้ามออีกแล้วว่ะ”

ผมหันโชว์หน้าจอไอโฟนให้ไอ้ปิงกับไอ้หมูดู เป็นข่าวจากเพจหลักของมหา’ลัยที่เพิ่งจะโพสต์แบบสดๆ ร้อนๆ เมื่อกี้นี้ถึงอุบัติเหตุรถชนหน้ามอที่เกิดขึ้น คือมีน้องนิสิตหญิงปีหนึ่งถูกรถสิบล้อฝ่าไฟแดงชนเข้าอย่างจัง คิดว่ายังไงก็คง...ไม่รอดแน่เลย...

สงสารว่ะ : (

“เชี่ย ปีก่อนว่าเกิดบ่อยแล้วนะ ปีนี้แม่งถี่กว่าเดิมอีก” ไอ้หมูเริ่มออกความเห็น

“นั่นดิ เรียนที่นี่แม่งรักษาแค่สภาพนิสิตอย่างเดียวไม่พอนะเว้ย ต้องรักษาชีวิตด้วย จะได้จบไปแบบครบสามสิบสอง” ก่อนจะตามมาด้วยไอ้ปิงที่ดึงมือผมให้เข้าไปใกล้มากขึ้น คงอยากที่จะดูภาพข่าวบนหน้าจอให้ชัดเจนกว่าเดิมสินะ

วันนี้เป็นวันที่พวกเราสามซี้ได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาครับ ด้วยเหตุว่าเมื่อคืนนี้หอนอกที่ผมอยู่เกิดไฟดับขึ้นมากะทันหัน (ดีนะที่เมื่อคืนผมกลับกรุงเทพฯ น่ะ) ไอ้หมูที่อยู่หอเดียวกันก็เลยต้องมาอาศัยห้องเพื่อนถาปัดที่อยู่หอในแทน พอไอ้ปิงรู้ข่าวเข้า เที่ยงนี้มันก็เลยโทรนัดมารวมตัวกินข้าวกันที่ ‘โรงส้ม’ (เป็นโรงอาหารกลางของมหา’ลัยที่ทาด้วยสีส้มทั้งหมดครับ นิสิตในมอเลยเรียกอย่างรู้กันในวงในว่าโรงส้ม) แต่มีแค่ไอ้หมูกับไอ้ปิงนะครับที่กิน ผมมานั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ เท่านั้นแหละ เพราะยังรู้สึกอิ่มจากอาหารญี่ปุ่นที่ไปกินกับไอ้ตี๋หนวดเจไดมาอยู่เลย

“มึงเองก็ระวังไว้ด้วยนะไอ้หมู ยิ่งเป็นพวกเนื้อหุ้มเหล็กอยู่มึงน่ะ” ผมเลือกที่จะเตือนไอ้หนุ่มชาวใต้เป็นคนแรก เพราะมีมันคนเดียวเท่านั้นที่ใช้บิ๊กไบค์เป็นยานพาหนะหลัก ในขณะที่ผมกับไอ้ปิงขับรถยนต์

“เออๆ กูรู้น่า กูน่ะขับระวังอยู่แล้ว สิบล้อแม่งไม่ได้แดกกูหรอกครับเพื่อน”

เออ เก่งเว้ย เก่งจริง เก่งๆ แบบนี้เนี้ย นอนวัดพื้นกันมากี่รายแล้วฮึ?

“อย่าไปเตือนแต่มันไอ้ต่อ มึงเองก็ด้วยแหละ คนอะไรวะ มีรถยนต์ขับดีๆ ไม่ชอบ ชอบใช้มอ’ไซค์”

“เฮ้ย แต่กูก็ใช้แค่ตอนไปเซเว่นเปล่าวะปิง” คือจริงๆ ผมก็มีทั้งรถยนต์ทั้งมอ’ไซค์นั่นแหละครับ ขอพ่อมาไว้ครบเลย ก็แหม บางทีอะ ไปไหนมาไหนใกล้ๆ ให้ขับรถใหญ่ตลอดมันก็ขี้เกียจไง

“แค่เซเว่นก็เหี้ยละ คราวก่อนตอนมึงมาประชุมที่ฝ่าย กูยังเห็นมึงขี่มอ’ไซค์มาอยู่เลย”

“ใช่ๆ คราวก่อนมึงมาประชุมที่ฝ่ายมึงใช้มอ’ไซค์ กูจำได้” อ้าว ไหงจู่ๆ พวกมันมารุมผมกันเฉยเลยอะ!? “แล้วในบรรดาพวกเราสามคนเนี่ย มึงอะน่าเป็นห่วงสุดเลยนะครับไอ้ตัวต่อ” ไม่พอ ผมดันกลายเป็นคนที่น่าเป็นห่วงที่สุดในความคิดของไอ้หมูอีก เยี่ยม!

“ได้ไง?”

“ก็เลือดมึงอะ B Rh- นะครับเพื่อน เกิดมีเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมา คิดหรอว่าโรงพยาบาลแถวนี้เขาจะมีเลือดหายากๆ สำรองเอาไว้ให้มึงน่ะ ฝันไปเลย”

“เออ จริงของไอ้หมู ถ้าเป็นเลือดดาษๆ อย่างพวกกูก็ว่าไปอย่าง”

อะ ถ้าจะพูดกันในประเด็นนี้ล่ะก็ ผมยกธงขาวยอมพวกมันสองคนก็ได้วะ

“โอเค กูยอมแพ้” เสียงอ่อย “เอาเป็นว่ากูจะระวังตัวให้มากก็แล้วกันนะ” เพราะก็จริงของพวกมันแหละ ผมน่ะมันพวกเลือดหายาก คนใกล้ตัวถึงได้คอยเป็นห่วงเรื่องเลือดตกยางออกอยู่ตลอด ไม่ดีเลย

เฮ้อ หมดอารมณ์ครับ ต้องใช้คำนี้เลย คือรู้สึกหมดอารมณ์จริงๆ ที่สุดท้ายแล้วดันกลายเป็นคนที่ไม่สามารถเตือนคนอื่นเรื่องระวังอุบัติเหตุได้...บวกกับความรู้สึกตกค้างจากข่าวสลดที่เพิ่งจะได้อ่านไปก่อนหน้านี้อีก ทำเอาผมล่ะไม่มีอารมณ์อยากจะเล่นโทรศัพท์ต่อเลยเนี่ย

ถ้างั้น...เอาหนังสือที่จะเรียนคาบบ่ายมาเปิดทบทวนบทก่อนหน้าไปพลางๆ ระหว่างรอไอ้สองเพื่อนซี้กินข้าวแทนก็แล้วกันวะ : (

“เฮ้ยต่อ กูมีเรื่องอยากถามมึงหน่อยว่ะ”

แต่ดูเหมือนว่าไอ้ปิงเพื่อนรักที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะจับความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผมได้แฮะ และก็คงไม่อยากให้ผมตกอยู่ในอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ด้วย มันเลย...

“ว่า?”

“Do you know what’s on the menu? ฮ่าๆๆๆ”

“สัส!” ...เลือกที่จะกวนตีนผมซะงั้น! “กูไม่น่าเล่าให้มึงฟังเลยไอ้ปิง!”

“เฮ้ย ต้องเล่าดิ ไม่งั้นกูจะเอาอะไรมาล้อมึงวะ ฮ่าๆๆๆ”

“ไอ้...!”

“เฮ้ยยย ใจเย็นครับเพื่อน ไม่เอาๆ ห้ามลงไม้ลงมือกัน” ฮึ่ย! เกือบไปแล้ว ผมเกือบฟาดหัวไอ้ปิงด้วยหนังสือได้สำเร็จแล้วเชียว ดีนะที่ได้ไอ้หมูเอาแขนมาขวางไว้ก่อนไม่งั้นมีคนได้หัวแตกแหง! “ไอ้ห่าปิง มึงก็ไปแซวมัน คิก...” อ้าว แต่มึงด่าไอ้ปิงแล้วมึงมาขำ ‘คิก...’ ไปกับมันด้วยเนี่ยนะไอ้หมู กูฟาดหัวมึงแทนดีไหมฮึ!?

‘แค่ ‘กู’ กับ ‘มึง’ เท่านั้นก็พอแล้วไอ้ตัวต่อ : )’

แล้วดูเข้า แค่ถูกพูดถึงเท่านั้น... ภาพใบหน้าเปื้อนยิ้มของไอ้ตี๋หนวดก็เด่นชัดขึ้นมาในหัวของผมแล้ว... แม่งงง นี่ไอ้ปิงมันคงไม่รู้จริงๆ สินะ ว่าอะไรก็ตามที่ไอ้เจไดทำหรือว่าไอ้เจไดพูดน่ะ ล้วนแล้วแต่เป็นภาพติดตาชนิดลบออกจากหัวยากทั้งนั้น!

ยิ่งเหตุการณ์เพิ่งจะเกิดมาเมื่อช่วงเช้านี้เองด้วย อย่าว่าแต่แค่ภาพในหัวเลยครับ แม้แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้น...ก็ยังไม่จางหายไปเลยแม้แต่น้อย... ตอนที่มันพูดว่าให้ผมโฟกัสแค่ ‘ผม’ กับ ‘มัน’ ผมรู้สึกเลยนะว่า...หน้าตัวเองนี่คือร้อนโคตร! แถมร่างกายก็ยังวูบวาบๆ ไปหมดทั้งตัวอีก คล้ายกับ...คนที่กำลังถูกกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ช็อตเข้าให้!

แล้วก็ตามประสาไอ้บ้านั่น (เจได) รุกหนักไม่พอ ยังมีการขยี้ผมต่ออีก มันว่า...

‘แน่ะ เขินกูอะดิ’

‘บ้า ไม่ได้เขินเว้ย!’

‘แล้วทำไมต้องหน้าแดงหูแดงด้วยวะ : )’

‘กะ...ก็กูร้อน!’


ทำเอาผมต้องรีบโกหกเสียคำโต ทั้งที่จริงๆ แล้วคือผมไม่อยากที่จะยอมรับเลยว่า... ผมกำลังรู้สึก ‘เขิน’ อย่างที่มันว่าจริงๆ!

ให้ตายสิ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ ว่าตั้งแต่เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ผมยังไม่เคยรู้สึก...หวั่นไหวกับผู้ชายคนไหนมาก่อนเลย (ก็ผมชอบผู้หญิงอะ!) มีไอ้เจไดเนี่ยแหละครับคนแรก... มันทำได้อะ มันทำให้ผมรู้สึกเขินได้ ทำให้ผมรู้สึกสับสนอย่างมาก... แล้วมันก็ทำให้ผมรู้สึกไม่เป็นตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว...

หรือว่า... นี่ผมจะเบี่ยงเบนไปกับมันแล้ววะเนี่ย!?

“อยู่นี่เองน้องต่อ”

“อะ...อ้าวพี่ฝน”

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้หาคำตอบอะไรให้กับตัวเอง จู่ๆ ความคิดของผมก็ถูกขัดขึ้นโดยผู้มาเยือนคนใหม่ ซึ่งก็คือ ‘พี่ฝน’ รุ่นพี่ชมรมปีสาม ‘ฝ่ายกระจายเสียง’ ที่ผมสังกัดอยู่ ทำเอาผมนี่แทบจะลืมเรื่องที่คิดอยู่ในหัวไปเลย...

ก็ดูดิ คนอะไรวะ สวยยังกะนางฟ้า~ ❤

“สวัสดีครับพี่ฝนคนสวยของไอ้หมู~”

“วันนี้สวยโดนใจผมเหมือนเดิมเลยนะครับพี่ฝน~”

โถ... ไอ้พวกหูดำ!

“สวัสดีจ้ะน้องหมู สวัสดีจ้ะน้องปิง : )” แต่ก็เข้าใจพวกมันแหละ ก็พี่ฝนน่ะ หน้าก็สวย เสียงก็หวาน ผู้ชายที่ไหนมันจะไปอดใจไหวเล่า ❤

“พี่ฝนมีธุระอะไรกับไอ้ต่อมันหรอครับ” เอ่อ... เดี๋ยวๆ กูว่าคำถามนี้กูควรเป็นคนถามเองเปล่าวะไอ้หมู?

“อ๋อ คืออย่างงี้ พรุ่งนี้ช่วงเย็นน้องต่อว่างไหม พี่มีเรื่องอยากจะขอรบกวนหน่อยน่ะ”

“พรุ่งนี้หรอครับ? อืม... ก็ว่างอยู่นะครับพี่ฝน มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“พอดีว่าพรุ่งนี้พี่มีงานถ่ายโฆษณาที่กรุงเทพฯ จ้ะ แล้วดันหาคนจัดรายการแทนไม่ได้ ก็เลยว่าจะมาถามเนี่ยแหละว่าน้องต่อสะดวกไหม ถ้าพี่จะให้เราช่วยเข้าฝ่ายไปจัดรายการคู่กับ ‘โจ้’ แทนพี่พรุ่งนี้ช่วงเย็นหน่อย?”

“สะดวกครับ!”

ไม่ต้องลังเลอะไรทั้งนั้น โอกาสมาอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ มันก็ต้องสะดวกอยู่แล้วครับ สะดวกมาก สะดวกที่สุดเลย!

“ฮ่าๆๆ โอเคจ้ะ”  อา... นี่พี่ฝนเขากำลังหัวเราะในความ ‘ตอบไม่คิด’ ของผมใช่ไหมเนี่ย น่าอายจัง... “ถ้าอย่างงั้นพรุ่งนี้เจอกับโจ้ที่ชมรมตอนห้าโมงนะ อย่าสายล่ะ เดี๋ยวพี่บอกมันไว้ให้”

“ได้เลยครับ รับรองว่าผมจะไม่ยอมสายแน่นอน”

“ดีๆ ถ้างั้นพี่ไปก่อนน้า ไว้เจอกันจ้ะ”

“ไว้เจอกันครับ”

และเมื่อพี่ฝนคนสวยเดินลับสายตาไป...

“กูได้จัดรายการแล้วโว้ยยยยยย!”

ผมก็ลุกขึ้นยืนแสดงอาการดีใจออกมาในทันที ทำเอาไอ้ปิงนี่ถึงกับเอื้อมมือมาผลักหัวผมให้นั่งลงอีกครั้งด้วยความอิจฉา ฮ่าๆๆ ใช่ครับ มันอิจฉาผม เพราะมันเองก็อยากจัดรายการเหมือนกัน ผมรู้ : )

“สัสต่อ อิจฉามึงว่ะ ได้พี่ฝนเป็นพี่เลี้ยงดีเจไม่พอ มึงยังได้โอกาสจัดรายการตั้งแต่ปีสองอีกนะ โคตรโชคดี”

นั่นไงล่ะ ผมบอกแล้วครับว่าไอ้ปิงมันอิจฉาผม ฮ่าๆๆ

ก็อย่างว่าแหละนะ ส่วนใหญ่นิสิตที่เข้าชมรมฝ่ายกระจายเสียงของมหา’ลัย ก็ล้วนแล้วแต่หวังว่าจะได้จัดรายการวิทยุเสียงตามสายภายในมอด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถจัดได้ เนื่องจากชมรมของเรามีกฎที่สมาชิกทุกคนในฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละชั้นปีที่ถูกจัดสรรไว้

อย่างตอนเข้ามาปีหนึ่ง นิสิตทุกคนในชมรมก็จะมีหน้าที่เหมือนเด็กฝึกงานครับ คือคอยเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในชมรมและเป็นผู้ช่วยของพี่ๆ อีกสามชั้นปีที่เหลือ จนกระทั้งอาทิตย์สุดท้ายของปีการศึกษา พี่ๆ ทุกคนจะจัดกิจกรรม ‘ทดสอบ’ สำหรับเด็กที่ต้องการจะเป็นดีเจรุ่นต่อไป โดยมีการจำกัดจำนวนเอาไว้เพียงแค่สิบคนเท่านั้น

ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นดีเจ ก็จะมีทางเลือกอยู่ด้วยกันสองทาง คือทำงานอื่นๆ ในฝ่ายแทน (เหมือนกับไอ้หมูที่ขอสมัครเป็นฝ่ายสร้างสรรค์ผลงาน) หรือไม่ก็ออกจากฝ่ายไปเลย เพราะไม่จำเป็นจะต้องเก็บหน่วยกิตกิจกรรมชมรมอีกแล้ว

พอขึ้นปีสอง นิสิตในฝ่ายชั้นปีนี้จะมีหน้าที่สำคัญอยู่ด้วยกันสองอย่าง คือหนึ่ง...ฝึกฝนทักษะการทำงานใน ‘หน้าที่’ ของตัวเองให้เต็มที่ โดยแต่ละคนก็จะมีรุ่นพี่ปีสามมาคอยเป็นพี่เลี้ยงให้ อย่างผมกับไอ้ปิงเนี่ยสอบผ่านเป็นดีเจกันตอนปีหนึ่งใช่ไหม พอขึ้นปีสองก็จะมีตารางที่จัดให้ดีเจในรุ่นแต่ละคนเวียนกันเข้าไปรับชมการออนแอร์และไปเป็นผู้ช่วยดีเจให้กับพี่ดีเจปีสามในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งพี่เลี้ยงดีเจของผมก็คือพี่ฝนนั่นแหละครับ จำได้ว่าวันที่จับฉลากแล้วทุกคนรู้ว่าผมได้คนสวยระดับพี่ฝนเป็นพี่เลี้ยง ไอ้พวกผู้ชายในชมรมแม่งมองผมตาขวางกันหมดเลย ฮ่าๆๆ ส่วนหน้าที่ที่สอง...คือนิสิตปีสองทุกคนในชมรมจะต้องช่วยกันจัดงาน ‘Singing Contest by KJS’ (KJS ก็คือตัวย่อเสียงภาษาไทยของ ‘กระจายเสียง’ นั่นแหละครับ) ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเทอมสอง โดยจะมีพี่ปีสี่เป็นคนคอยจัดหาสปอนเซอร์ให้

ส่วนปีสาม ทุกคนก็คงพอจะเดากันได้เนอะ ว่านิสิตชมรมในชั้นปีนี้จะทำหน้าที่เป็น ‘ตัวจริง’ ทั้งหมดของชมรมฝ่ายกระจายเสียง ในขณะที่คนเป็นดีเจก็จะได้ ‘ฉายา’ ในการจัดรายการตามชื่อรุ่นของตัวเองตามที่พี่ปีสี่มอบให้ อย่างรุ่นพี่ฝนเนี่ย เขาได้ชื่อรุ่นว่า ‘น้ำ...’ ครับ เพราะฉะนั้นคนที่เป็นดีเจก็จะต้องคิดฉายาที่มีคำว่า ‘น้ำ’ อยู่ข้างหน้า ยกตัวอย่างเช่น น้ำตา น้ำส้ม น้ำมะพร้าว เป็นต้น ซึ่งพี่ฝนคนสวยแกก็ง่ายเลยครับ ชื่อเล่นชื่อฝนอยู่แล้วนี่ ฉายาก็เลยตั้งเป็น ‘ดีเจน้ำฝน’ ซะเลย ลงตัวเป๊ะ

นี่แอบได้ยินมานะว่ารุ่นหน้าจะชื่อรุ่น ‘ลูก...’ น่ะ ถ้าเป็นไปตามนั้นจริงล่ะก็ ผมจะขอฉายา ‘ลูกโป่ง’ มาจัดรายการแบบที่ไม่ยอมให้ใครมาแย่งเลย คอยดู

และปีสุดท้าย นิสิตชมรมชั้นปีสี่ จะเป็นชั้นปีที่คอยทำหน้าที่เป็น ‘บอสใหญ่’ ของชมรมครับ เปรียบเสมือนนายทุนที่คอยหาสปอนเซอร์หรือโอกาสต่างๆ ในการทำงานมาให้กับรุ่นน้องๆ เพราะฉะนั้น พวกพี่ปีสี่เขาจะเป็นอำนาจที่คอยควบคุมทุกอย่างภายในชมรมไว้ หากทำดี พี่ๆ เห็นชอบก็รอดไป แต่ถ้าเกิดทำพลาดหรือไม่ถูกใจขึ้นมาเมื่อไหร่ เตรียม ‘ชะตาขาด’ ได้เลย

แค่คิดนี่...ก็ขนลุกไปหมดแล้ว!

“จริงของไอ้ปิง มึงนี่โคตรโชคดีเลยไอ้ต่อ”

แต่จากกฎระเบียบที่เคร่งครัดเอง ก็มีจุดที่ยกเว้นให้เป็น ‘กรณีพิเศษ’ อยู่เหมือนกัน อย่างเคสของผมนี่ไงครับ หากพี่ดีเจปีสามคนใดเกิดไม่สามารถมาจัดรายการได้(เหมือนอย่างพี่ฝน) จะต้องหาคนมาจัดแทนในวันที่จะขาด ซึ่งผู้ที่มาแทนสามารถเป็นได้ทั้งอดีตดีเจอย่างพี่ปีสี่ ดีเจปัจจุบันอย่างพี่ปีสาม หรือว่าจะเป็นดีเจรุ่นน้องที่ดีเจคนนั้นๆ เป็นพี่เลี้ยงอยู่ (เช่นผม) ก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วโอกาสก็ไม่ค่อยจะตกมาถึงปีสองหรอกครับ (ในเมื่อการจัดรายการแทนแต่ละครั้งจะมีเงินค่าจัดให้ ใครๆ ก็อยากจัดแทนทั้งนั้นนั่นแหละ) เพราะแบบนี้ไอ้ปิงกับไอ้หมูมันถึงได้พากันบอกว่าผมโชคดีไง

ฮี่ : D

“งานเนี้ยล่ะมึงเอ้ย ไอ้เจไดแม่งได้นอนหลังฝันหวานแหง ฮ่าๆๆ”

ว่าแต่... ไหงเรื่องนี้มันไปเกี่ยวกับไอ้ตี๋หนวดได้ล่ะเนี่ย!?

“หมายความว่าไงวะ?” นี่ผมรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกไอ้ปิงดึงตัวออกจากฝันอันแสนสุขให้กลับมายังโลกความจริงอันน่าสับสนเลยนะ : (

“อ้าว ก็ไอ้เจไดมันพักอยู่หอในไม่ใช่หรอ ถ้ามึงไปจัดรายการพรุ่งนี้ มันก็ต้องได้ฟังอยู่แล้วนี่ จริงไหม”

“เออว่ะ” ผมลืมนึกเรื่องนี้ไปเลย “แต่แล้วไงอะ ให้กูถอนตัวหรอ มันก็ไม่ใช่เรื่องเปล่าวะ?”

“กูก็ไม่ได้บอกให้มึงถอนตัวนี่ แค่บอกว่าไอ้เจไดมันคงจะนอนหลับฝันดีเพราะฟังมึงจัดรายการเท่านั้นเอง นี่ ไม่แน่น้ามึง บางทีพรุ่งนี้อะ มันอาจจะไปตามชู้ป้ายไฟให้มึงถึงที่ห้องฝ่ายก็ได้ ฮ่าๆๆ”

“ไอ้ปิงงง มึงอย่าพูดแบบนี้ดิวะ กูกลัวนะเว้ย”

ยิ่งมีความเป็นได้อยู่ โอ๊ยยย

“เฮ้ยๆ ไอ้ต่อไอ้ปิง ดูโน้น”

“อะไรวะ?”

แล้วนี่อะไรอีก? จู่ๆ ไอ้หมูก็ร้องขัดขึ้นกลางวง พร้อมกับชี้นิ้วไปยังทิศทางด้านหลังของไอ้ปิง ทำเอาผมต้องรีบเงยหน้าขึ้นมองข้ามไหล่ของเพื่อนตัวเองไป เพื่อที่จะพบกับ...

อะ...ไอ้เจได!

“เชร้ดดด ตายยากเว้ย เพิ่งจะพูดถึงอยู่หยกๆ โผล่มาให้เห็นเฉยเลย”

ใช่ครับ ไอ้เจไดตัวจริงเสียงจริงกำลังยืนอยู่กับเพื่อนอีกสองคนบริเวณหน้าทางเข้าฝั่งซ้ายของโรงส้ม ซึ่งถึงแม้ว่าตำแหน่งของผมกับมันจะอยู่ค่อนข้างที่จะไกลกัน... แต่ความหล่อของมันยังคงสะดุดตาได้เสมอ

แม่ง... คนอะไรวะ ดูดีโดดเด้งออกมาจากผู้คนรอบข้างหมดเลย เหมือนว่าเจ้าตัวไม่คิดที่จะแบ่งพื้นที่ความหล่อให้ใครได้เด่นไปกว่ามันอีกแล้ว...

แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นครับ!

ประเด็นคือพอเห็นหน้ามันปุ๊บ ผมก็รีบหดตัวไหลลงใต้โต๊ะอัตโนมัติ พอๆ กับที่รู้สึกได้ว่า...มีความร้อนเกิดขึ้นที่บริเวณสองข้างแก้มนั่นล่ะ รู้เลยนะครับ... ผมเขินมันอีกแล้ว!

บ้าๆๆๆๆๆๆ!

“ทำไรของมึงวะ”

“กูก็หลบไอ้เจไดไงเล่าไอ้หมู” ซึ่งก็ได้ผลครับ ไอ้เจไดไม่ทันได้สังเกตเห็นผม ก่อนที่หนึ่งในเพื่อนมันจะชี้มือชี้ไม้ไปยังโต๊ะที่วางอยู่ ทำให้พวกมันทั้งสามคนพากันเดินห่างออกไป เป็นคนละทางกับโต๊ะของพวกผมแบบสิ้นเชิง

โล่งงงงงง

“หลบทำไม เมื่อเช้ามึงก็เพิ่งจะไปกินข้าวด้วยกันนี่ ไม่มีอะไรต้องกลัวมันแล้วมั้ง”

“มีสิวะหมู” ผมค่อยๆ เลื่อนตัวกลับขึ้นมานั่งหลังตรง “กู...ยังเข้าหน้ามันไม่ติดว่ะ”

“เข้าหน้ามันไม่ติด? หมายความว่าไงวะ?” คะ...คราวนี้ไอ้ปิงเป็นฝ่ายถามบ้าง ทำเอาผมนี่แทบอยากกัดลิ้นตัวเองตายไปเลยครับ เมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป ฮึ่ยยย

“ไม่มีอะไรๆ พวกมึงกินข้าวต่อเถอะ”

“เล่ามา!” แต่คงไม่ทันแล้วสินะ เจอไอ้หมูใช้แขนล็อคเข้าให้แบบนี้ นี่มันท่าเค้นคอถามชัดๆ!

“ใช่ เล่ามาเลย ห้ามมีความลับกับพวกกูเด็ดขาด ไม่งั้นกูจะให้ไอ้หมูรัดคอมึงจนกว่าจะขาดอากาศหายใจตาย!”

เชี่ย โหดสัส นี่ผม...จนมุมอีกแล้วสิเนี่ย วันนี้นี่มันไม่ใช่วันของไอ้ตัวต่อจริงๆ เลยเว้ย : (

“เออๆ กูเล่าก็ได้!”

“ดีครับเพื่อน”

“กูรอฟังอยู่”

“คือ... คือว่า... คือว่ากู... กูรู้สึกเขินไอ้เจไดมันว่ะ!”

“หา!?”

พอเจอความจริงเข้าไป ไอ้สองเพื่อนซี้ของผมก็ถึงกับร้องเสียงหลงเลยครับ โดยเฉพาะไอ้ปิงนี่คืออาการหนักมาก ถึงกับเผลอทำช้อนหลุดมือเสียงดัง ‘เคร้ง!’ คงจะประหลาดใจกันน่าดูสิท่า เออ กูก็ประหลาดใจตัวเองเหมือนกันนั่นแหละ!

“เชี่ย นี่มึงไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมวะต่อ?”

ผมส่ายหน้า อยากตอบไอ้หมูเหมือนกันว่าผมคงคิดไปเอง แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ไง... มันเกิดขึ้นจริงเว้ย แล้วผมก็โคตรที่จะสับสนเลยด้วย... “กูไม่ได้คิดไปเองว่ะ กู...รู้สึกเขินที่โดนมันจีบจริงๆ”

“แต่มึงชอบผู้หญิงนะเว้ย เรื่องให้จีบมันก็เรื่องนึง แต่กับเรื่องเขินนี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ”

“นั่นดิ” ไอ้ปิงก็เห็นด้วย “ปกติมึงเคยเขินผู้ชายที่เข้ามาจีบที่ไหนกัน? นี่... ไอ้เจไดแม่งเล่นของใส่เพื่อนกูรึเปล่าวะเนี่ย?”

“...” ผมนี่ถึงกับกุมขมับเลยครับ สิ่งที่ไอ้สองเพื่อนซี้พูดทำให้ผมรู้สึกเครียดขึ้นมาจริงๆ แล้วกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่

โอเค ผมรู้นะว่าผมเองก็ทำไม่ถูกเรื่องที่ใจอ่อนยอมให้มันมาจีบผมเพื่อแก้บนเจ้าแม่น่ะ ถือเป็นคนที่เปิดโอกาสให้มันเข้ามาในชีวิตด้วยซ้ำ แต่แม่ง ก็ผมไม่คิดนี่หว่าว่าอีกฝ่ายมันจะทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวได้ขนาดนี้น่ะ! แบบที่...แค่นึกถึง ‘รอยยิ้ม’ ของไอ้บ้านั่น ผมก็...รู้สึกเขินขึ้นมาแล้ว...

โอ๊ย นี่ผมไม่ปกติจริงๆ แล้วนะเนี่ย!

“เชี่ย พวกมึงว่ากูควรทำไงดีวะ” ชักจะซีเรียสขึ้นมาแล้วสิครับ เพราะถ้าเกิดไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง มีหวังผมได้เสร็จไอ้ตี๋เข้มเหมือนอย่างซีรีส์วายที่เห็นๆ กันตามทีวีแหง มันไม่สนุกนะเว้ย!

“หรือมึงควรกลับมาคบผู้หญิงวะ ไหนๆ เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งปีนึงแล้วนะเว้ย เจ้าแม่เขาคงไม่ว่าอะไรมึงแล้วมั้ง”

“มึงก็พูดเป็นเล่นไอ้ปิง” ผมแอบดุ “จริงๆ... เรื่องนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับตัวกูเองด้วยแหละ กูเลือกแล้วอะมึง แล้วกูก็คงจะไม่มีวันเปลี่ยนใจด้วย”

“เฮ้ออออออ งั้นก็ตามใจมึงเหอะ กูไม่ขอออกความเห็นแล้ว” ถึงจะแสดงอาการไม่พอใจออกมา แต่ดูจากแค่สายตาก็รู้แล้วว่าไอ้ปิงน่ะมันทั้งเข้าใจและเห็นใจผมมากขนาดไหน ซึ่งนั่นพอแล้วครับ แค่เพื่อนคนนึงที่เข้าใจ ผมก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว...

“แต่กูว่ากูมีวิธีจัดการกับเรื่องนี้นะ”

“ยังไงวะ” ผมรีบหันหาไอ้หมูที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ไอ้ปิงก็ออกอาการสนใจไม่แพ้กัน

“ในเมื่อไอ้เจไดมันเป็นต้นเหตุที่ทำมึงรู้สึกหวั่นไหว งั้นมึงก็ต้องหาทางเอาตัวออกมาจากมันให้ได้”

“แต่...กูดันรับปากไปแล้วนะว่าจะให้มันจีบอะ แล้วแบบนี้กูจะสลัดมันออกไปได้ยังไงกัน” นี่แค่คิดไปถึงว่า... เจอไอ้เจไดมันทำหน้าหมาหงอยๆ เข้าให้ ใจผมก็อ่อนปวกเปียกไปหมดแล้วเน้อ!

ผมแพ้ทางมันอะ ผมแพ้ทางมัน : (

“ก็ทำให้แผนการของมันสำเร็จสิวะ”

“หมายถึง?”

“เออ อย่าเพิ่งถามมากน่า ตอนนี้มึงรีบ LINE ไปนัดเจอกับมันก่อน เอาเป็นเย็นนี้เลย”

“...”

“แล้วเดี๋ยวกูจะอธิบายแผนการทั้งหมดให้มึงฟังเอง : )”

อา... จะไว้ใจได้ไหววะเนี่ยไอ้หมู?

/ ต่อด้านล่าง /

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2018 02:56:40 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

4:13 PM

ทันทีที่ลงจากรถ ผมก็พยายามมองไปรอบๆ เพื่อหาร่างสูงของคนที่นัดกันไว้ แต่ลงท้ายก็พบว่าไม่มีใครอื่นอยู่ ณ บริเวณศาลเจ้าแม่แห่งนี้เลย ยกเว้นผม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ ผมจะได้มีเวลาไหว้ศาลเจ้าแม่เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจก่อนเริ่มแผนการ

เอาจริงๆ ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะนัดไปเจอกันที่ละลายนะ แต่มาคิดดูอีกที... ไม่ดีกว่า วันนี้เวรพี่มิกซ์เข้าร้านอะ ไม่น่าจะได้คุยกันโดยสะดวกหรอก

“เจ้าแม่ครับ ผมตัวต่อนะครับ นพวินทร์ ทัตพิชา วันนี้ผมไม่ได้จะมาบนอะไร แค่...อยากจะมาขอความเมตตาจากเจ้าแม่ อยากให้เจ้าแม่ได้โปรดช่วยดลบันดาลให้ผมนั้นสามารถทำตามแผนการที่ไอ้หมูแนะนำสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีด้วยเถอะนะครับ สาธุๆๆ~” ด้วยความที่เห็นแล้วว่าไม่มีใครอื่นอยู่ด้วย ผมจึงคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องเจ้าแม่ออกมาเสียงดังฟังชัด หวังให้เจ้าแม่รับรู้คำอธิษฐานได้อย่างเต็มที่ และคอยช่วยเหลือให้ประสบผลสำเร็จตามที่ใจหวัง หรืออย่างน้อยที่สุด...ให้ท่านได้มาเป็นที่พึ่งทางใจให้กับผมในเวลานี้ก็ยังดี เพี้ยง!

“ไอ้ตัวต่อ : )”

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ลุกกลับขึ้นมายืน เสียงรถเลี้ยวเข้าจอดจากด้านหลังก็ดังขึ้น ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงทักทายของอีกฝ่ายที่สดใสซะจน...ผมรู้สึกประหม่าเลย

“อะ...อ้าว...มาแล้วหรอ” โอ๊ย อย่าสั่นสิไอ้ต่อ นี่มึงยังต้องพูดกันมันอีกหลายประโยคเลยนะเว้ย เย็นไว้ๆๆ

“มาแล้วสิ ไม่งั้นจะเห็นกูหรอ” สัส กวนตีน “อะ พอดีเดินผ่านร้านเค้กใต้ตึก เห็นน่ากินดี เลยซื้อมาฝาก : )” แต่ก็ดันเป็นคนดีเกิ๊น ดีซะจน...ผมชักจะหวั่นๆ กับสิ่งที่ตั้งใจว่าจะมาพูดแล้วเนี่ย...

“ขอบใจนะมึง”

มันยิ้มครับ ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแค่ยิ้ม ดูอารมณ์ดีแปลกๆ อะไรของมันเนี่ย?

“ยิ้มอะไรวะ?”

“อ้าว ก็กูดีใจ”

“เรื่อง?” ผมเป็นคนที่ได้เค้กไม่ใช่หรอ ไม่ใช่มันสักหน่อย

“ก็ปกติกูต้องเข้าหามึง แต่คราวนี้มึงเป็นคนนัดกูมาหา กูก็ต้องดีใจสิ : )”

“อา...” นี่มันไม่ได้กำลังคาดหวังว่าผมจะนัดมาคุยอะไรหวานๆ ใช่ไหม เพราะถ้าเป็นแบบนั้น...ท้ายที่สุดมันอาจจะยิ่งผิดหวังหนักกว่าเดิมนะเว้ย

“ว่าไง มีอะไรถึงเรียกกูมา คิดถึงกูหรอครับ : )”

“บ้า!” เนี่ยยย พูดแบบเนี้ย จะไม่ให้เขินได้ไงวะ กะลิ้มกะเหลี่ยเกิ๊น! “กูแค่...แค่อยากจะนัดมึงมาเพื่อบอกว่า...มึงจีบกูติดแล้วนะ!”

“เฮ้ย จริงหรอวะ!?”

น่านนน ลองทำหน้าแบบนี้แสดงว่ามันไม่เชื่อที่ผมพูดสินะ ไม่แปลกๆ เพราะผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ผมพูดเลย!

แม่ง ทำไมไอ้หมูมันถึงคิดว่าคนอย่างผมจะสามารถทำตามแผนนี้ได้อย่างแนบเนียนวะ บอกให้ผมมาบอกไอ้เจไดว่ามันจีบผมสำเร็จแล้วเป็นไปตามที่มันได้ขอแก้บนกับเจ้าแม่ไว้ พอเสร็จก็บอกมันว่าให้มาเป็นแฟนกันเลย ทนคบไปสักวันสองวัน ค่อยบอกเลิก ผลคือไอ้เจไดมันก็จะได้แก้บน ส่วนผมก็จะได้ทำตามที่รับปากไว้ ก่อนจะจบๆ กันไป ไม่ต้องติดค้างอะไรกันอีก

เชี่ยเนอะ เป็นแผนที่เชี่ยมากกกกกกกกก และที่เชี่ยกว่าก็คือ...ผมดันยอมทำตามที่ไอ้หมูแนะนำเนี่ยแหละ!

อะไรมันจะหมดหนทางขนาดนี้วะเนี่ย T__T

“จะ...จริง” ไม่มีพิรุธเลยเนอะ เนี๊ยนเนียน ฮืออออออ “เนี่ย เดี๋ยวเราสองคนเป็นแฟนกันเลยนะมึง แล้ว...ตอนเย็นก็ไปกินข้าวกัน มุ้งมิ้งๆตามประสาคนเป็นแฟนเขาทำกันอะ เนอะๆๆ”

“เดี๋ยวนะ กูว่าชักจะแปลกๆ ละ นี่มึง... ไม่ได้กำลังมีแผนอะไรอยู่ใช่ไหมตัวต่อ?”

“ไม่มี๊!”

“แน่ใจ? นี่คงไม่ใช่ว่ามึงตั้งใจจะทำให้กูเข้าใจว่ากูจีบมึงติดแล้ว จากนั้นก็คบกันไปสักเดือนนึง แล้วค่อยทำมาบอกเลิกกูหรอกนะ?”

“เดือนนึงก็นานเกิ๊น... เอ้ย! กูหมายถึง...”

เชี่ยยย เผลอหลุดปากกก!

“พอๆ เลิกแถเถอะ กูจับมึงได้ละครับ : )”

โอ๊ยยยยยย บอกแล้วใช่ไหมไอ้หมูว่ากูทำไม่ได้! ขนาดพี่ผึ้งยังเคยพูดเลยว่าผมน่ะ “โกหกง่อยสุดในบ้านแล้ว” ไม่เคยเนียน ลอกแลก ไม่เป็นธรรมชาติ!

“เออ กูยอมรับก็ได้ มึงพูดถูก”

“ถ้างั้นกูก็ไม่เอาด้วยหรอก เรื่องอะไรเล่า แบบนี้กูเสียเปรียบชัดๆ”

ไอ้เจไดไม่ได้แสดงอาการโกรธอะไร มันทำเพียงแค่ยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ก่อนที่จะเดินหนีไปนั่งที่ม้านั่งหินอ่อนด้านซ้ายมือ จนผมต้องรีบจ้ำอ้าวตามไป คือถึงกับต้องใช้คำนี้เลยนะ คนอะไรก็ไม่รู้ แข้งขายาวเป็นบ้า ก้าวไม่เท่าไหร่ก็ถึงแล้ว เปรตชัดๆ!

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

“ยังจะต้องคุยอะไรอีก เรื่องแผนที่มึงตั้งใจจะหลอกกูเนี่ยนะ ถามจริง ใครคิดวะ มึงคิดเองหรอ?

ไม่ใช่ ไอ้หมูคิด อย่างกูน่ะ คิดอะไรไม่ออกหรอก สับสนเป็นอย่างเดียวแหละตอนนี้ “เออ กูคิดเอง” แต่จะโบ้ยเพื่อนได้ไงเล่า ยอมรับเองเนี่ยแหละ แมนๆ ดี

“แผนห่วย โกหกก็ไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่นะครับ : )”

อะ ถ้าจะพูดแบบนี้ มึงไม่ต้องยิ้มแล้วก็ได้นะ มึงมองเหยียดกูเถอะ มันจะได้ดูเข้ากันหน่อย ฮึ้ยยย

“แต่กูว่า...มันก็เข้าท่าอยู่นะเว้ย” ผมยังคงไม่ยอมแพ้

“อะ ยังไง?” ส่วนไอ้เจไดก็หันมากอดอก ทำท่าตั้งใจฟัง แต่กลับเหมือน...ผู้ใหญ่รอฟังคำแถจากเด็กด้วยความเหนื่อยใจยังไงก็ไม่รู้อะ แม่งงง

“ก็...มึงจะได้ไม่ต้องลำบากจีบกูไงเจได เนี่ย กูยอมให้มึงจีบติดเดี๋ยวนี้เลย จะได้ถือว่ามึงแก้บนเจ้าแม่สำเร็จแล้ว ดีออก เนอะ”

“ไม่อะ” แต่ไอ้หน้าหนวดกลับส่ายหัว ดูเอาแต่ใจ แต่ก็...ดูดี โอ๊ย! “ไม่ดีสักนิด กูไม่เอาด้วยหรอก ฝันไปเลย” ไม่พูดเปล่า มันลุกหนีครับเดินไปหยุดยืนกอดอกอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เดินตามกันไปกันมาจนจะกลายเป็นหนังอินเดียแล้วนะ!

“เฮ้ยมึง มีเหตุผลหน่อยสิวะ”

“กูเนี่ยนะไม่มีเหตุผล” มันหันกลับมาหาพลางชี้นิ้วเข้าหาตัว ดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่เลย จนผมที่เดินตามไปถึงกับชะงัก... “กูมีเว้ย กูมีเหตุผลที่ตัดสินใจบนกับเจ้าแม่ไปแบบนั้น ซึ่งกูก็บอกมึงไปตั้งแต่แรกแล้วไง ว่ามันเป็นเพราะว่ากูชอบมึง มึงนั่นแหละที่ไม่มีเหตุผลไอ้ตัวต่อ สองวันก่อนบอกให้กูจีบได้ แต่พอมาวันนี้ คิดแผนเขี่ยกูออกไปซะงั้น มึงนั่นแหละที่ไม่มีเหตุผล!” แถมยังขึ้นเสียงใส่ซะจนผมสะดุ้งเชี่ย... คิดว่าตัวเองอารมณ์เสียเป็นคนเดียวหรือไงเล่า!

คิดหรอว่ามันง่ายน่ะ การที่เป็นผู้ชายอยู่ดีๆ แล้วต้องมาหวั่นไหวกับผู้ชายด้วยกันเองน่ะ มึงคิดว่ามันง่ายนักหรอ ไอ้บ้า!

“เออ! กูยอมรับว่ากูผิดเองที่รับปากมึงไปแบบนั้น ทั้งที่จริงๆ กูควรคิดให้ดีก่อนว่ากูเป็นผู้ชาย จะให้ผู้ชายด้วยกันเองอย่างมึงมาจีบไม่ได้”เพราะถ้าไม่มัวแต่ใจอ่อนกับมัน ผมก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่มันลำบากใจแบบนี้หรอก “และเพราะแบบนี้ไง กูถึงได้พยายามจะมีเหตุผลอยู่ กูพยายามแก้ไขให้มันถูกต้องอยู่ มึงเข้าใจกูบ้างสิ!”

“แก้ไขให้ถูก... ด้วยการคิดแผนเพื่อเขี่ยกูออกไปให้พ้นๆ เนี่ยนะ?”

“...” แล้วมึงจะตัดพ้อเพื่อ!? คิดว่ากูรู้สึกดีกับเรื่องนี้นักหรอวะ... “แล้วมึงจะเอายังไงเจได? มึงจะจีบกูไปเรื่อยๆ แบบนี้น่ะหรอ ทั้งที่กูอาจจะไม่มีวันหันมาชอบมึงเลยเนี่ย?”

“ใช่ นั่นแหละคือสิ่งที่กูต้องการ”

“...”

แล้วแบบนี้ผมจะพูดอะไรต่อได้วะ... สิ่งที่มันพูดออกมาน่ะก็เรื่องนึง แต่ก็ยังไม่เท่ากับ...รอยยิ้มฝืนๆ บนใบหน้า ทั้งที่...สายตาไม่สดใสอีกต่อไปแล้ว...

ผมเม้มริมฝีปากแน่น พยายามหันหน้าหนีไปทางอื่น เพราะไม่อยากใจอ่อนกับอีกฝ่าย...

“ตัวต่อ” แต่ร่างสูงกลับรั้งผมไว้ให้หันกลับไปหาด้วยเสียงที่อ่อนลง ดูก็รู้ว่ามันยอมแพ้ผมหมดทุกทางแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด... “กูขอเถอะนะ ให้กูได้อยู่ตรงนี้ ได้จีบมึงไปเรื่อยๆ แบบนี้ ได้ไหม...”

ยิ่งได้ฟังคำอ้อนวอนจากมัน ผมยิ่งรู้สึกสับสนหนักกว่าเดิม... ความรู้สึกตอนนี้เหมือนมีรถไฟหลายขบวนวิ่งชนกันอยู่ในหัวผม ทั้งเละเทะทั้งยุ่งเหยิง ถึงขนาดที่ผมต้องยกมือขึ้นกุมขมับของตัวเอง พลางหันหน้าหนีอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้มันไม่สามารถรั้งผมไว้ได้อีกต่อไป...

“มึงไม่เข้าใจเจได... มึงไม่เข้าใจ...”

“อะไรล่ะที่กูไม่เข้าใจ มึงบอกกูได้ไหม?”

“...”

ไม่ได้...

“ไม่ได้หรอ?”

แล้วจะให้กูบอกมึงยังไง ว่าที่กูต้องหาทางเอามึงออกไปจากชีวิต เพราะว่ากูเขินมึง หวั่นไหวกับมึง แล้วก็รู้สึกไม่เป็นตัวเองเพราะมึงอย่างที่เป็นอยู่เนี่ย!

“...”

“...”

ผมพยายามตั้งสตินะ พยายามใช้ความเงียบเข้าข่มความรู้สึกที่วิ่งพล่านซะจนไร้ทิศทางของตัวเอง จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงความเงียบของอีกฝ่ายที่เงียบไปจนผิดปกตินั่นล่ะ ถึงได้รีบหันกลับมา...

“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนเจได”

“...”

...เพื่อที่จะพบว่ามันได้กลับขึ้นรถของตัวเองไปแล้ว!

“เจได เดี๋ยวๆ มึงฟังกูก่อน ไอ้เจได!”

ผมรีบวิ่งไปที่รถของมัน ตั้งใจที่จะหยุดยั้งมันไว้ แต่ก็ไม่ทัน... มันขับรถออกไปแล้ว...

“โธ่เว้ย!”

ไปโดยที่...ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว...

/ ต่อด้านล่าง /

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

วันต่อมา

ผมติดต่อไอ้เจไดไม่ได้เลยครับ พยายามโทรหาก็แล้ว ส่งข้อความไปตามช่องทางต่างๆ ก็แล้ว ทว่าทุกอย่างกลับเงียบ... ไม่ได้รับอะไรที่เป็นข้อมูลใหม่ๆ กลับคืนมาเลยตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ทำเอาผมนี่นอนแทบไม่หลับ เพราะถึงจะพยายามข่มตาทีไร... ความเศร้าเสียใจบนใบหน้าของไอ้บ้านั่นก็จะตามมาหลอกมาหลอนผมเสียทุกครั้ง...

(ฮัลโหล ว่าไงมึง)

“มึงทวนกูอีกทีซิไอ้หมู ว่าห้องไอ้เจไดมันอยู่ไหน”

(หอสี่ ชั้นสอง ห้องที่สามจากในสุด)

“โอเคมึง ขอบคุณมาก”

(เฮ้ย เดี๋ยวๆ นี่มึงจะเอาจริงหรอวะไอ้ต่อ)

“เออ กูเอาจริง กูอยากเจอมัน อยากคุยกับมึงให้รู้เรื่อง”

(แต่แบบนี้มันเท่ากับว่ามึงไปง้อมันนะเว้ยต่อ)

“ก็ใช่ไง กูเองก็บอกมึงไปแล้วนี่”

ปล่อยให้มันคาราคาซังแบบนี้ไม่ได้จริงๆ ว่ะ ถ้าจะต้องแยกกันไปจริงๆ ผมก็อยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างรู้สึกไม่ดีแบบนี้... เพราะฉะนั้น ผมถึงได้ขอให้ไอ้หมูช่วยสืบห้องพักที่หอในของไอ้ตี๋หนวดเจไดให้ แล้วก็รีบตรงมาหามันแต่เช้า ตั้งใจมาง้อเต็มที่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องทำแบบนี้ด้วย เพื่อนก็ห้ามนะ บอกว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว มันจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก แต่ผมไม่ฟัง... ในหัวมันคิดอยู่อย่างเดียวเลยว่าอยากให้กลับมาคุยกันได้ดีๆ ก่อน แล้วหลังจากนั้นจะว่าไงก็ค่อยว่ากันอีกที

โคตรบ้าเลยว่ะ

(แต่นั่นหมายความว่ามึงอาจจะตัดมันออกไปจากชีวิตไม่ได้แล้วนะเว้ยไอ้ต่อ มึงแน่ใจแล้วใช่ไหม?)

“อืม...” จริงๆ ก็ไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าถามว่าเป็นสิ่งที่รู้สึกว่าควรตัดสินใจมากที่สุดในเวลานี้ไหม คำตอบคือ...ใช่

(โอเค งั้นก็ตามใจมึง กูไม่ห้ามละ มีอะไรก็โทรมาแล้วกัน พร้อมไปหาเสมอ)

“เออ ขอบคุณมากมึง... เฮ้ยๆ แค่นี้ก่อนนะ มีคนออกมาจากห้องว่ะ”

(เออๆ เจอกัน)

“เจอกันมึง”

ผมรีบวางสาย ก่อนจะก้าวยาวๆ เข้าไปหาไอ้คนที่กำลังจะเปิดประตูออกจากห้องที่เป็นเป้าหมายของผมในเช้านี้

“เอ่อ... สวัสดี”

“อา... สวัสดี”

ไม่ใช่หรอกครับ คนที่เปิดออกมาไม่ใช่ไอ้เจได แต่เป็นหนึ่งในเพื่อนมันที่ผมเห็นอยู่ด้วยกันเมื่อวานนี้ที่โรงส้ม ผิวขาว ใส่แว่น สวมเสื้อนิสิตไม่เนี้ยบเท่าไหร่ แต่ก็ดูดีในแบบของมัน และเพราะแบบนั้น การทักทายของเราสองคนจึงออกจะติดๆ ขัดๆ เล็กน้อย ก็นะ คนมันไม่เคยคุยกันมาก่อนเลยนี่หว่า

“กู... ตัวต่อนะ”

“เออ กูรู้จักมึงดี” อา... รู้จักดีในแง่ไหนล่ะเนี่ย? “กูยศ มาหาไอ้เจไดหรอ?”

“ใช่ กูมาหาเจได” แล้วก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาซะงั้น เมื่อคิดว่าคนที่อยากเจออยู่แค่หลังประตูบานนี้เอง แล้วถ้าเจอ... ควรพูดอะไรกับมันบ้างวะเนี่ย?

“มันไม่อยู่หรอก”

“อ้าว” เป๋เลยครับ จากตอนแรกที่รู้สึกตื่นเต้นๆ อยู่ เหมือนใจมันฟีบลงเลย... ก็นึกว่าไอ้ตี๋เข้มมันอยู่ในห้องซะอีก เฮ้อออ “ไปไหนอะ นี่ยังเช้าอยู่เลยนะ”

“ไม่รู้ว่ะ มันไม่ได้กลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว สงสัยไปกินเหล้า แล้วก็นอนแถวๆ นั้นเลย”

“อ๋อ โอเค ขอบคุณนะมึง”

ใจจริงก็อยากถามข้อมูลไอ้คนชื่อยศอะไรมากกว่านี้หรอกนะ โดยเฉพาะตรงที่มันบอกว่า ‘นอนแถวๆ นั้นเลย’ แต่ลงท้ายก็ไม่ได้ครับเพราะรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นมิตรของอีกฝ่าย นี่ไอ้เจไดคง... ไม่ได้ด่าผมให้เพื่อนมันฟังหรอกนะ?

เฮ้ออออออ สงสัยคงต้องกลับมาอีกทีหลังจากจัดรายการเสร็จ น่าจะได้เจอแหละผมว่า

“เดี๋ยวมึง”

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินจากไป เสียงของคนที่คุยกันก่อนหน้าก็ร้องเรียกผมไว้ ดูจริงจังซะจนผมต้องรีบหันกลับมา เพราะไม่อยากเผลอไปทำอะไรให้มันไม่พอใจเข้า ยอมรับเลยครับว่ากลัว

“ว่าไง?”

“มึงเองก็เคยบนกับศาลเจ้าแม่มาก่อนใช่ไหม”

ผมพยักหน้า “ใช่ กูเคยบนมาก่อน” แต่ก็แอบงงนะว่าทำไมจู่ๆ มันถึงชวนผมคุยเรื่องนี้ได้ ไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยสักนิด

“กูเองก็เคยบนเหมือนกัน ขอให้แฟนกูหายป่วย แลกกับการที่กูจะไม่กินเนื้อวัวตลอดชีวิต”

“แล้วสำเร็จไหม?”

“สำเร็จ เหมือนมึงกับไอ้เจไดนั่นแหละ ตอนนี้กูก็เลยไม่กินเนื้อวัวอีกแล้ว”

“อ่าฮะ ยินดีด้วยนะ” ไม่รู้จริงๆ ว่าควรตอบอะไรกลับไป พูดได้แค่ว่ายินดีด้วยเนี่ยแหละ เพราะยังงงๆ อยู่เลยว่าทำไมมันถึงได้เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง?

จนกระทั่งได้ฟังสิ่งที่มาพูดหลังจากนั้น...

“ที่กูต้องการจะบอกมึงก็คือ มันไม่ได้เกี่ยวหรอกเว้ยว่ากู มึง หรือไอ้เจไดไปบนอะไรกับเจ้าแม่ไว้”

“...”

“แต่มันคือความตั้งใจของเราทุกคนที่บน ว่ายังไงก็จะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองสัญญาเอาไว้ให้สำเร็จให้ได้”

“...”

“มึงเองก็น่าจะเข้าใจนะ เพราะมึงเองก็ไม่ยุ่งกับผู้หญิงคนไหนอีกเลยนี่”

“...”

“ไอ้เจไดมันก็เหมือนมึงนั่นแหละ มันตั้งใจไว้แล้ว แล้วมันก็ดีใจมากด้วยตอนที่มึงยอมให้มันจีบเพื่อแก้บนเจ้าแม่น่ะ”

“...”

“กูไม่รู้หรอกนะว่าทำไมจู่ๆ มึงถึงอยากจะตัดเพื่อนกูออกไปจากชีวิต แล้วกูก็จะไม่ถามด้วย”

“...”

“แต่จำเอาไว้นะ ถ้าคราวหลังมึงไม่แน่ใจว่ามึงจะทำได้ ก็อย่าพูดพล่อยๆ อีก คนอื่นเขาจะได้ไม่ต้องมาเสียความรู้กับมึงเหมือนอย่างไอ้เจได”

“...”

“เพราะว่าเพื่อนกูน่ะ มันจริงจังกับมึงมากนะ ตั้งแต่รู้จักกับมันมา กูยังไม่เคยเห็นมันจริงจังกับใครมากเท่ามึงเลย รู้ไว้ซะด้วย”

“...”

...ผมก็พูดอะไรไม่ออกอีกเลย




4:34 PM

หลังเลิกเรียน ผมรีบตรงไปกินข้าวที่โรงส้มทันทีแบบที่ไม่รอเพื่อนคนไหนทั้งนั้น ก่อนที่สุดท้ายจะพุ่งมายังห้องฝ่ายกระจายเสียง ซึ่งวันนี้ดูจะคึกคักมากเป็นพิเศษเลยแฮะ ไม่เคยเห็นว่าจะคึกคักเท่านี่เลยนี่หน่า?

“อ้าวๆ ได้โปรดอยู่ในความสงบกันด้วยนะครับ! เดี๋ยวทางเราต้องรีบเตรียมตัวออนแอร์สำหรับช่วงเย็นกันแล้วน้า รบกวนอย่ายืนขวางประตู แล้วก็ไปนั่งกันให้เป็นระเบียบร้อยตรงนั้นเลย ไปๆๆ”

ผมเห็น ‘พี่อิ๋ว’ ประธานชมรมเดินออกมาจัดระเบียบให้กลับกลุ่มคนที่ยืนออกันอยู่อย่างจริงจัง ส่วนใหญ่ก็เป็นนิสิตผู้ชายครับ ซึ่งก็ไม่แปลกหรอก ห้องฝ่ายเราตั้งอยู่ในเขตชุมชนหอชายนี่ ยังไงก็คงต้องมีผู้ชายมากกว่าอยู่แล้ว

ว่าแต่? มารวมตัวอะไรกันเยอะแยะวะ จะมีคนดังมาที่ฝ่ายวันนี้หรือไง?

“มีเรื่องอะไรกันหรอครับพี่อิ๋ว ทำไมดูวุ่นวายกันจัง”

“เฮ้ยๆๆ น้องต่อมาแล้วเว้ย”

“เชี่ยยย เพิ่งเห็นใกล้ๆ ครั้งแรกนะเนี่ย ขาวจั๊วะเลยโว้ย!”

“น้องต่อหิวไหมครับ พี่มีขนมมาให้ด้วยน้า”

“ผมก็มีครับพี่ต่อ รับไปสิครับ เนี่ยๆ ผมซื้อมาให้เต็มเลย”

“เราก็มีขนมมาฝากนะ”

“พี่ด้วย”

“ผมด้วย”

“เราด้วย”

ก่อนจะตามมาอีกหลายเสียง โดยเฉพาะเสียงพี่อิ๋วที่ดังผ่ากลางขึ้นมาว่า “มึงไงเรื่องวุ่นวาย!” ขณะที่ออกแรงดันผมให้เข้ามาในห้องฝ่าย ถึงได้ทำให้ผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ว่าต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหมด ก็คือผมคนนี้นี่เอง

“พี่ขอโทษด้วยนะต่อ ไม่คิดว่าจะวุ่นวายแบบนี้”

คนแรกในห้องฝ่ายที่ทักผมก็คือพี่โจ้ หรือดีเจ ‘น้ำเหนือ’ ที่ผมจะต้องจัดรายการด้วยในวันนี้ แต่ไหง...พี่เขายิ้มแหยมาแต่ไกลขนาดนั้นล่ะ?

“ทำไมต้องขอโทษด้วยล่ะครับ”

“ก็...”

“ก็ไอ้โจ้เนี่ยแหละ เป็นคนเอารูปต่อไปโพสต์ในเพจฝ่ายเรา เชิญชวนให้คนมาฟังน้องจัดรายการเย็นนี้ เป็นไง สร้างความวุ่นวายให้ฝ่ายเลยเห็นไหม หึ เสร็จนี่มึงเตรียมตัวโดนพี่อิ๋วเชือดได้เลยครับไอ้โจ้”

แต่คนที่ไขข้อข้องใจแทนกลับเป็น ‘พี่บอล’ รุ่นพี่ปีสามฝ่ายเทคนิคที่โคตรฮอต เพราะเป็นถึงอดีตเดือนคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มีรูปในเพจหนุ่มหล่อของมหา’ลัยแฟนคลับเองก็เช่นกัน

“ก็กูไม่คิดว่าคนมันจะขนาดนี้นี่หว่า”

“โห่พี่ นี่ใคร นี่มันไอ้ตัวต่ออดีตเดือนคณะศิลปศาสตร์นะพี่ ใครๆ ก็อยากเจอมันทั้งนั้นแหละ”

ส่วนคนที่เพิ่งจะออกความคิดเห็นเพิ่มเติมนี่คือ ‘ไอ้อ๊อด’ ครับ เป็นดีเจรุ่นเดียวกับผม นั่งอยู่ข้างๆ ‘ฝัน’ ดีเจอีกคนหนึ่งในรุ่นปีสอง สงสัยวันนี้เป็นเวรพวกมันสองคนมาช่วยพี่เดเจปีสามสินะ

“มึงก็พูดเกินไป”

“เอ้า กูพูดจริง นี่ได้ข่าวว่าไอ้เจไดที่หล่อๆ คณะบริหารก็ตามจีบมึงอยู่ไม่ใช่หรอ?”

“...” ห่า... ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยครับ ทำได้แค่ยิ้มแหยๆ ให้มัน รู้แหละว่ามันพูดเล่น แต่ทำไงได้อะ อารมณ์ตอนนี้มันขำไม่ออกแล้วอะ ยิ่งได้คุยกับไอ้ยศเพื่อนไอ้เจไดเมื่อเช้านี้ยิ่งขำไม่ออก... ในเมื่อทุกคำที่อีกฝ่ายพูด มันจริงจนผมไม่อาจที่จะเถียงอะไรกลับไปได้... ก็เลยต้องทำเป็นเดินไปคุยรายละเอียดกับพี่โจ้แทน “พี่โจ้ครับวันนี้ผมต้องทำอะไรบ้างหรอครับ?”

ขอเก็บไว้ก่อนนะไอ้ความรู้สึกผิดน่ะ... เดี๋ยวจัดรายการเสร็จเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน...

“ก็ตามนี้แหละครับน้องต่อ ไม่ต้องซีเรียสนะ เดี๋ยวพี่ช่วย”

“ขอบคุณครับ”

ผมยกมือไหว้พี่โจ้ รู้สึกได้ถึงความใจดีมีเมตตาของอีกฝ่ายที่ตั้งใจอธิบายรายละเอียดให้ผมฟังอย่างใจเย็น ไม่แสดงท่าทีรำคาญใจให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว ดีจัง

“เอ้าๆๆ เริ่มรายการได้แล้วพวกมึง อย่าช้า”

จนกระทั่งพี่อิ๋วกลับมาในห้องฝ่ายพร้อมกับถุงขนมที่น่าจะเป็นของผมอยู่เต็มมือนั่นแหละ พี่โจ้กับผมก็ถูกไล่ให้เข้าไปจัดรายการทันที

“โอเค จะเริ่มแล้วนะ”

“อา... ครับ”

ให้ตายสิ ทำไมตื่นเต้นเฉยเลยวะเนี่ย? ห้องนี้ก็เข้ามาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วนะ แต่ทำไมพอได้มาจัดรายการเองจริงๆ กลับออกอาการสั่นเฉย แม่งงง

“สวัสดีคร้าบบบบบบ สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคนนะครับ วันนี้อยู่กับดีเจน้ำเหนือกันอีกเช่นเคย เพราะว่าดีเจน้ำมะพร้าวติดสอบย่อยนะครับ” อ้าว นี่พี่โจ้แกก็มาจัดรายการแทน ‘พี่เสก’ เหมือนกันหรอเนี่ย? “นี่ๆๆ แต่วันนี้บอกเลยว่าพิเศษมาก เพราะมีดีเจน้องใหม่มาช่วยจัดแทนดีเจน้ำฝนด้วยแหละ อะ เดี๋ยวลองให้น้องเขาแนะนำตัวกันหน่อยนะครับ”

“เอ่อ...” คิวผมแล้วสินะ ใจเย็นไอ้ต่อ ใจเย็นนน มึงทำได้ รับรอง มึงทำได้! “สวัสดีครับ ผม...ดีเจตัวต่อ วันนี้รับหน้าที่แทนดีเจน้ำฝน ยังไงก็...ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

“นี่ เป็นไงครับน้องผม เสียงนุ่มละสิท่า ยังไงก็ฝากดีเจตัวต่อเอาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจกันด้วยเด้อ อิอิ” ขี้เล่นจริงๆ เลยพี่โจ้เนี่ย “เอาล่ะครับ เช่นเคย ก่อนที่จะไปฟังเพลงเพราะๆ กัน ขอให้ดีเจน้ำเหนือคนนี้ได้มอบสาระความรู้ดีๆ ให้กับทุกคนก่อนก็แล้วกันนะครับ”

พี่โจ้ชี้นิ้วให้ผมกดปิดไมค์ของตัวเอง ก่อนที่จะชี้นิ้วต่อไปยังไอโฟนของผมที่วางอยู่ เป็นอันรู้กันว่าผมมีหน้าที่อะไรในระหว่างที่พี่เขาจะต้องอ่านเรื่องราวมีสาระ (ที่ฝ่ายสร้างสรรค์หาข้อมูลมา) ให้ผู้ฟังได้รับรู้ ตามกฎของทางมหาวิทยาลัย ที่ทางฝ่ายจะต้องสอดแทรกความรู้ควบคู่ความบันเทิง ถือเป็นหนึ่งในกฎหลักสำคัญที่ไม่สามารถละเลยได้

ผมเสียบหูฟังเข้ากับไอโฟน ก่อนจะเปิดเข้ายังเพจของฝ่ายกระจ่ายเสียง ซึ่งขณะนี้กำลังไลฟ์สดอยู่ เห็นหน้าของผมกับพี่โจ้แบบเต็มๆ เลยอะ แต่ก็... ดูดีอยู่นะ พอไหวๆ

ส่วนหน้าที่สำคัญของผมตอนนี้ก็คือดูคอมเมนท์ของคนที่เข้ามาชมการไลฟ์สดครับ ดูว่ามีข้อความอะไร หรือว่ามีใครขอเพลงอะไรที่น่าสนใจบ้าง แล้วเลือกจดมา เพื่อที่ว่าทางพี่โจ้กับผมจะได้อ่าน และเปิดเพลงให้ตามคำขอกันต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่...

...มีแต่คนมาขอเพลงให้ผมทั้งนั้น!

ตอกย้ำว่าผมเนี่ย เป็นขวัญใจของพวกนิสิตชายหลายต่อหลายคน แล้วดูแต่ละข้อความสิ ‘มอบให้ตัวต่อของผม’ บ้าง ‘มอบให้น้องต่อคนงาม’ บ้าง ขนลุกโว้ย!

ด้วยเหตุนั้น ผมจึงเลือกทำเป็นมองไม่เห็นซะเลย แล้วคัดเอาแต่เฉพาะข้อความหรือคำขอของคนอื่นๆ ที่ไม่ได้พูดถึงผมเท่านั้น ซึ่งก็มีไม่เยอะนักหรอก แต่ก็ดีแล้ว เพราะถึงยังไงอย่างต่ำทางฝ่ายเราก็เปิดได้ไม่เกินสิบเพลงหรอก ไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้นสักหน่อย

“เอาละครับ ทีนี้เรามาดูข้อความกันบ้างดีกว่าว่ามีใครขอเพลงอะไรเข้ามากันบ้าง”

หลังจากที่พี่โจ้ให้ความรู้กับคุณผู้ฟังเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่เขาก็หันมารับกระดาษจากผมไปถือไว้ ในขณะที่ตาก็หันดูคอมเมนท์ที่เด้งขึ้นอย่างต่อเนื่องในไลฟ์สดของพวกเรา

แล้วในจังหวะนั้นเอง...

Jedi Pappayon
ขอเพลง ‘เรื่องของชั้น’ ของ ‘จีน่า เดอซูซ่า’ ครับ

ข้อความของคนที่ผมพยายามตามหาตัวตั้งแต่เมื่อคืนวานก็เด้งขึ้น ผมรู้สึกตกใจเหมือนเห็นผี ไม่คิดว่าจู่ๆ ไอ้ตี๋หนวดมันจะมาขอเพลงกับเขาด้วย แถมยังไม่ได้บอกว่าขอให้ ‘ผม’ อย่างที่คนออกตัวแรงอย่างมันชอบทำอีก

หรือ...มันจะขอให้คนอื่นล่ะเนี่ย?

“โอ้ววว ขอกันเข้ามาเยอะเลยนะครับ แต่ผมคิดว่าผมได้มาในใจหนึ่งเพลงแล้วล่ะ เป็นเพลงที่ผมเพิ่งจะได้มีโอกาสฟังเมื่อคืนนี้เอง”

“เพลงอะไรหรอครับ” ผมเปิดไมค์ถาม ก็แหม เขาขอให้มาจัดรายการคู่นี่ ปล่อยให้พี่ดีเจน้ำเหนือเขาพูดเองเออเองอยู่คนเดียวได้ไง

“เพลง ‘เรื่องของชั้น’ ของ ‘จีน่า เดอซูซ่า’ ครับ น้องต่อเคยฟังไหม?”

“อา... ไม่เคยครับ ไม่เคยได้ยินชื่อเลย” ผมนี่ต้องข่มอารมณ์ความตกใจของตัวเองอย่างมากเลยนะ เพราะไม่คิดว่าจู่ๆ พี่โจ้จะเลือกเพลงที่เจไดขอ ทั้งที่มันเลื่อนผ่านตาไปแวบๆ เอง นี่พี่โจ้เขาไม่ได้จงใจจะแกล้งผมใช่ไหมเนี่ย!?

“โอ๊ยยย พลาดไม่ได้เด้อ เพลงนี้พี่แนะนำเลย ความหมายดีมาก” ไม่พูดเปล่า ดีเจน้ำเหนือหันไปเตรียมตัวเปิดเพลงอย่างเต็มที่ โดยไม่ลืมที่จะเกริ่นเข้าเพลงอย่างน่าสนใจตามสไตล์ดีเจ “เอาล่ะครับ งั้นผมขอเลือกเพลงนี้เป็นเพลงแรกสำหรับช่วงเย็นๆ ที่อากาศกำลังดีแบบนี้นะครับ เชื่อว่าน่าจะโดนใจใครหลายคนที่กำลังเดินหน้าจีบใครสักคนนึงอยู่ แล้วอยากจะบอกให้เขาได้รู้ ว่าไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ขอแค่รับความรู้สึกดีๆ ของฉันไป เพราะนี่มันเรื่องของฉัน ไม่ใช่เรื่องของเธอ ไปฟังกันเลยคร้าบบบ~”

สิ้นเสียงพูดของพี่โจ้ เสียงเพลงจังหวะสนุกๆ ก็ดังขึ้น ซึ่งไม่ใช่อะไรแบบที่ผมชอบเลยสักนิด เพราะปกติเป็นคนชอบฟังเพลงช้า แต่...พอได้ยินการเกริ่นเข้าเพลงของพี่โจ้ บวกกับที่คนขอเพลงเป็นเจได ก็ทำเอาผมเผลอตั้งใจฟังเพลงนี้ไปโดยไม่รู้ตัว...

ที่ให้เธอไปแค่หวังดี เท่าไรก็เท่าที่ฉันมี
ไม่ได้ต้องการให้สนใจ แค่เพียงต้องการให้รับไป
เรื่องของหัวใจ มันเป็นเรื่องของหัวใจ
เธอไม่ get ก็จบไป ไม่ก็ลืมมันซะ


มันไม่ใช่เรื่องของเธอ นี่เรื่องของฉัน
มันไม่ใช่เรื่องของเธอ ปล่อยมันไป
มันไม่ใช่เรื่องของเธอ นี่มันใจฉัน
สรุปว่าเธอนั้นไม่ต้องเข้าใจ
เธอแค่รับมันไปก็พอ


เนื้อเพลงนี้มัน... ทำให้ผมคิดไปถึงสิ่งที่เจไดเคยพูดตอนที่เราเจอกันครั้งแรก...

‘เฮ้ยตัวต่อ นี่กูจริงจังเลยนะ มึงไม่ต้องเครียดเว้ย นี่มันไม่ใช่เรื่องของมึง มันเป็นเรื่องของกู หัวใจกู แล้วก็เป็นความรับผิดชอบของกูด้วย มึงไม่ต้องคิดมาก’

หัวใจผมเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงประโยคคำพูดนั้น... ประโยคที่ผมเคยไม่เข้าใจและมองข้าม แต่พอมาวันนี้...วันที่ได้รับคำอธิบายเพิ่มเติมจากเพลงที่ยังคงเปิดอยู่... สิ่งที่เคยถูกละเลยและไม่เคยได้รับความเข้าใจกลับฉายชัดขึ้นมาในความรู้สึกอย่างที่ไม่อาจจะกันมันออกไปได้...

ผมเผลอยิ้ม... ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ กลายเป็นคนที่สับสน... กลายเป็นคนที่หวั่นไหว... กับใครบางคนที่ไม่ควรแม้แต่จะรู้สึกด้วย แต่ที่ผมแน่ใจที่สุดก็คือ...ผมรู้ว่าผมเป็นแบบนี้เพราะใคร...

ไม่รอช้า ไม่แม้แต่จะปล่อยให้ตัวเองได้คิด ผมตัดความสับสนทุกอย่างในใจออกไป แล้วคว้าไอโฟนตรงหน้าขึ้นมาส่งข้อความบ้าๆ หาไอ้ตี๋เข้มอย่างที่ไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้ ผมส่งไปว่า...

‘กูเข้าใจมึงแล้ว เอาเป็นว่ากูจะปล่อยให้มันเป็นเรื่องของมึงก็แล้วกัน มึงช่วยหายโกรธกูที แล้วกลับมาจีบกูเหมือนเดิมนะ พลีสสสสสส’

ไม่ถึงสองนาที คนที่หายไปเมื่อคืนนี้ก็โทรกลับเข้ามา ทำเอาผมต้องรีบขอพี่ๆ ไปเข้าห้องน้ำอย่างเร่งด่วน แถมพอออกมา...ก็ต้องรีบเนียนๆ หลบกลุ่มคนที่มาหา แล้วไปยืนอยู่อีกทางที่ร้างผู้คนแทน ลำบากมากเว่อ

“ว่าไง” แต่ในที่สุดก็ได้รับสายสักที

(รู้ตัวไหมว่าส่งอะไรมาเนี่ย?)

“รู้สิ” รู้ด้วยว่ามันดีใจ แต่ทำเป็นเก๊กเสียงจริงๆ จังๆ ไปอย่างงั้นเอง “แล้วไงล่ะ มึงจะหายโกรธกูไหม?”

(ไม่อะ) อ้าว (จะไปหายโกรธได้ไง กูยังไม่ทันจะได้ฟังคำขอโทษจากปากมึงเลย) อ๋อ เรื่องนี้นี่เอง

“โอเค กู...ขอโทษนะ” คราวนี้ผมใช้น้ำเสียงจริงจัง “กูผิดเองที่คิดแผนโง่ๆ แบบนั้น ทั้งๆ ที่กูก็รับปากมึงเองว่ากูให้มึงจีบได้ มึงก็...เลิกโกรธกูเถอะนะ กูผิดไปแล้ว”

(เออ หายโกรธก็ได้)

เฮ้ย ง่ายจังเว้ย “แล้ว... จะยังจีบกูอยู่รึเปล่า?”

(ทำไม อยากให้กูจีบล่ะสิ)

“บ้านมึงสิ! นั่นมันเรื่องของมึงเว้ย ไม่เกี่ยวกับกูสักหน่อย ไม่อยากจีบก็ไม่ต้องจีบ ตามใจมึงเลย”

(เฮ้ยๆ จีบสิจีบ แหม แซวแค่นี้ทำเป็นโมโห)

“ก็มึงกวนตีนอะ!”

(โอเค ไม่กวนแล้วๆ สรุปว่าจีบนะ ยังจีบอยู่ ตกลงไหม?)

“ก็บอกว่าเรื่องของมึงไงเล่า!”

โวยมันนะ แต่ปากกลับยิ้มเฉยเลย... แม่ง ระบบร่างกายผมนี่มันไม่ปกติสักอย่างเลยสินะ!

(แน่ะ ยิ้มอยู่ล่ะสิ)

เหยยย มันรู้ได้ไงวะ!? “บ้าหรอ ทำไมกูต้องยิ้มด้วย” แต่ผมไม่ยอมรับหรอก ก็แค่เผลอยิ้มอะ ไม่ได้เขินอะไรเลยด้วยซ้ำ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สักหน่อย เนอะ

(อย่ามาหลอกกู ก็กูยืนดูมึงยิ้มอยู่เนี่ย)

“หา!?” ผมถึงกับรีบหันไปมองรอบๆ

เชี่ยแล้ว... ไอ้เจไดกำลังยืนดูผมอยู่จริงๆ ด้วย!

“มึงมาได้ไงเนี่ย!?”

“ก็กูตั้งใจว่าจะเดินมาหามึงที่ฝ่าย พอดีว่าอยากเจอหน้า ไม่คิดเล้ยยย ว่าจะได้เห็นคนยืนยิ้มกับโทรศัพท์ด้วย : )”

“กวนตีน!” นี่ครับ ใช้การโวยวายเพื่อกลบเกลื่อน เป็นหนทางที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงปัญหา “กูกลับไปจัดรายการก่อนละ ไว้คุยกัน”

“เดี๋ยวดิ” มันคว้ามือผมไว้ให้หันกลับไปหา แน่ะ ชักเอาใหญ่ละนะ “สรุปคราวนี้ให้กูจีบจริงๆ ไม่มีดราม่าแล้วใช่ไหม : )”

“ก็บอกว่าเออไง อย่าให้ต้องพูดซ้ำหลายๆ รอบเลยนะ กูเหนื่อย” แล้วมันก็จะทำให้รู้สึกแปลกๆ กับตัวเองด้วย ที่ต้องมาพูดว่ายอมให้มันจีบหลายครั้งหลายหนเนี่ย!

“ถ้าไม่อยากจะพูดซ้ำ งั้นมึงมาเกี่ยวก้อยสัญญากับกูก่อนมา”

“สัญญาอะไรของมึง?”

“ก็สัญญา คราวนี้มันไม่พูดเฉยๆ แล้วครับ มันยื่นนิ้วก้อยขวาของมันมาหาผมด้วย แถมยังยิ้มแป้นแล้นใส่ผมอีก คือนี่ถ้ามึงไม่หล่อ มึงทแบบนี้ไม่ได้เลยนะเจได กูบอกเลย ฮึ้ยยย

“เป็นเด็กหรือไง ถึงต้องเกี่ยวก้อยน่ะ”

“เอาน่า ก็ทำให้มันเป็นกิจลักษณะไง กูจะไม่มั่น ว่าไม่ได้ไปบังคับฝืนใจอะไรมึง นะๆ”

“เออๆๆ” ผมตัดรำคาญ ยื่นนิ้วไปเกี่ยวก้อยกับคนตรงหน้า แล้วมันก็พามือผมแกว่งขึ้นลงๆ ยังกะเด็กห้าขวบ ไอ้บ้า! “พอๆๆ กูต้องรีบไปจัดรายการต่อละ ไว้เจอกัน”

พูดจบแค่นั้นผมก็รีบผละออกจากไอ้เจไดทันทีครับ ไม่มัวรีรอให้มันยื้อยุดได้อีกต่อไป แต่หูเจ้ากรรมเนี่ยสิ... จู่ๆ ก็ดันไปโฟกัสเพลง ‘เรื่องของชั้น’ เข้า พอดีกับท่อนจบที่ว่า...

ไม่ต้องรับ ไม่ต้องรู้ ไม่ต้องมีคำถาม
ไม่ต้องคิด ไม่ต้องแคร์ ไม่ต้องหาคำตอบ
ไม่ต้องเยอะ ไม่ต้องแยะ ไม่ต้องสนใจ
คิดอะไร ก็คิดในใจแล้วกัน


เออ ผมจะไม่สนใจแล้ว ไม่เก็บเอาความสับสนอะไรมาทำให้ตัวเองต้องปวดหัวจนกุมขมับอีก อนาคตจะเป็นยังไงก็ช่างมัน ในเมื่อเลือกที่จะรับปากไปแล้ว ก็ต้องทำให้ได้

ส่วนผลต่อจากนั้นน่ะหรอ? อืม... ก็ปล่อยให้มันไหลๆ ไปก็แล้วกันเว้ย!

จบตอน

ตามไฟพลังเพลง >> เรื่องชั้น << คลิกที่นี่ได้เลยครับ : )

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
คนน่ารักมักใจร้ายใช่ไหมคุณ?


[ เจได ]

“ไอ้เจได มีคนโทรหามึงว่ะ ให้กูรับให้ไหม?”

“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวกูออกไปละ”

ด้วยความที่คิดว่าอาจเป็นสายสำคัญและกลัวว่าตัวเองจะพลาด ผมที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จหมาดๆ เลยคว้าใส่มาได้แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวพร้อมภาวนาในใจ ขอให้เป็นไอ้ตัวต่อเถอะ เพี้ยงๆๆ

แต่ปรากฏว่า...

‘Potter’

“ไอ้ห่า กูก็นึกว่าตัวต่อโทรมา” ผมหงุดหงิดนะ แต่ไอ้ยศกลับขำลั่นเมื่อผมหันให้มันดูว่าคนที่โทรมาก็คือไอ้น้องชายหัวแก้วหัวแหวนหัวไม้กายสิทธิ์ของผมเอง แล้วไม่ใช่อะไรนะ คือไอ้นี่โทรมาแต่ละครั้งก็ไม่เคยจะมีเรื่องดีเลยไง ไม่เชื่อเดี๋ยวคอยดูสิ

(สวัสดีครับคุณพี่ชาย)

“เออ สวัสดี มีอะไรครับไอ้น้องเต้อ” ชื่อย่อมันครับ คนอื่นเรียกคุณพอตเตอร์ ชมมันว่าชื่อเท่อย่างงั้นอย่างงี้ ผมหรอ ไอ้เต้อบ้าง ไอ้ช่างทำหม้อบ้าง ไม่เคยเรียกเต็มๆ หรอก

(แม่ถามว่าพรุ่งนี้จะกลับบ้านไหม แม่คิดถึง)

“แล้วทำไมแม่ไม่โทรมาเอง ใช้เต้อโทรมาทำไม”

(ก็แม่เขากลัวว่าถ้าโทรเองแล้วพี่จะหงุดหงิดน่ะสิ)

“เฮ้ออออออ” แม่นะแม่ ชอบเป็นแบบนี้ตลอดเลย ชอบคิดว่าผมไม่รัก เวลาจะพูดจะทำอะไรก็กลัวผมรำคาญไปหมด สงสัยคงเป็นผลจากช่วงที่ผม ‘หัวร้อน’ ง่ายเพราะเครียดเรื่องสอบเข้ามหา’ลัยสมัยมอปลายนั่นแหละ ตอนนั้นเจอแม่จี้มากๆ เข้า ผมเลยระเบิดใส่แกไปทีนึง เท่านั้นแหละครับ แม่แกก็ไม่กล้ารบเร้าอะไรผมอีกเลย

เฮ้อออ สงสัยกลับบ้านคราวนี้คงต้องปรับทัศนคติกันสักหน่อยละ เอาให้รู้กันไปเลยว่าผมโตขึ้นแล้ว จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว แล้วก็จะบอกท่านให้รู้ด้วยว่าผมรักท่านมากๆ

อะไรนะ? อ๋อ ไม่อายหรอกครับ ผมน่ะหน้าด้านอยู่แล้ว ขนาดไอ้เจไดผมยังหวานใส่ไม่ยั้งเลย นี่แม่ทั้งคนนะเว้ย เรื่องบอกรักน่ะสบายมากไม่ต้องรอแค่เฉพาะวันแม่ด้วย : )

(ว่าไง สรุปจะกลับไหมบ้านน่ะ)

“เออ กลับๆ แต่กลับเช้าวันอาทิตย์นะ พรุ่งนี้ขอพักที่หอวันนึง บอกแม่ด้วย”

(ได้ เดี๋ยวเต้อบอกแม่ให้)

“ขอบใจ งั้นแค่นี่ก่อน พี่จะแต่งตัว”

(ไปไหน? กินเหล้าหรอ? Friday Night งี้?)

“เสือกครับ”

(โห! ได้ หยาบคายใช่ไหม เดี๋ยวรู้เลย เต้อจะฟ้องแม่!)

“ฟ้องเลย แม่ไม่ดุพี่หรอก พี่ก็พูดแบบนี้กับเต้อเป็นปกติอยู่แล้วนี่” อย่างกับว่าแม่ไม่เคยได้ยินงั้นแหละ ทำตัวเป็นเด็กขี้ฟ้องไปได้ ไอ้ห่า

(แล้วใครว่าเต้อจะฟ้องเรื่องนี้ล่ะ) อ้าว แล้วมันจะฟ้องเรื่องไหนวะ? (เต้อจะฟ้องเรื่องที่พี่เจไดจีบผู้ชายต่างหาก รับรอง พี่โดนสอบสวนจนเปื่อยแน่)

เชี่ยแล้วไง... ลืมไปเลยว่าไอ้เต้อมันรู้เรื่องนี้ แม่ง!

“หยุดเลยนะไอ้เต้อ” นี่สินะข้อเสียของการมีน้องชายเป็นเพื่อนใน Facebook ความลับรั่วไหลเลย สัสเอ้ย!

(ฮ่าๆๆ ทีเงี้ยทำมาห้าม เมื่อกี้ยังบอกให้ฟ้องแม่อยู่เลย กลัวแล้วล่ะสิ กิ๊วๆๆ)

กิ๊วพ่อง!

เอ๊ย... พ่อไอ้เต้อมันก็พ่อผมนี่หว่า ลืมๆๆ

“ไม่ได้กลัว แค่ไม่อยากให้แม่คิดมากเว้ย” ไม่จริงหรอก เพราะก็แอบหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน ว่าถ้าแม่รู้แล้วจะว่ายังไง ผมล่ะ...กลัวความคิดของแม่ที่สุดเลย มันคาดเดาไม่ค่อยได้ ไม่เหมือนพ่ออะ จะพูดจะทำอะไรผมเดาถูกหมดนั่นแหละ เพราะแบบนี้ผมถึงได้สนิทกับพ่อมากกว่าไง

(โอ้ย แม่ไม่คิดมากหรอกพี่ แต่ถ้าแม่รู้ว่าพ่อรู้แล้ว นั่นน่ะ รับรองคิดมากแน่ อิอิ)

“นี่เต้อรู้หรอ!?”

โห ไอ้เต้อเล่นผมแล้วไม่ล่ะ มันรู้ได้ไงกันวะว่าผมบอกพ่อ แล้วก็เป็นพ่อเองนั่นแหละที่ยุให้ผมจีบไอ้ตัวต่อให้เต็มที่ ถึงขนาดที่พูดว่า...

‘แต่พ่อ ปัญหาคือไอ้ตัวต่อมันไม่ได้ชอบผู้ชายอะ ผมโคตรกลัวจะจีบมันไม่ติดเลย’

‘เฮ้ย อย่าเพิ่งคิดมากเว้ยไอ้เสือ เชื่อพ่อสิ ตื๊อเข้าไป ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกได้ ดูอย่างแม่มึงสิ พ่อยังสอยมาจนได้เลย ก็เพราะเจอลูกตื๊อระดับกัดไม่ปล่อยเนี่ยแหละ’


เนี่ยแหละครับพ่อผม เป็นพ่อที่น่าจะใจดีแล้วก็เข้าใจลูกที่สุดในจักวาลนี้แล้ว ลูกจะทำอะไร จะเป็นอะไร พ่อก็จะให้อิสระอย่างเต็มที่ ต่างจากแม่ที่เข้มงวดซะจนผมเคยเกือบจะเป็นบ้า

แต่ก็รักพอๆ กันนะ ที่หนึ่งในใจทั้งคู่นั่นแหละ ❤

(รู้สิ มีอะไรบ้างที่เต้อไม่รู้)

เออ มึงมันเก่งไอ้เต้อ มึงมันรอบรู้ อภิมหาความขี้เสือก!

“แล้วเต้อจะเอายังไง ต้องการค่าปิดปากหรอ?”

(ใช่ ขอค่าปิดปาก แล้วเต้อจะเงียบสนิทเลย)

นั่นไงล่ะ เจอฤทธิ์ไอ้เต้อเข้าแล้ว แม่งเอ้ยยย

“เอาๆๆ อยากได้อะไรก็ว่ามาเลยไอ้มิจฉาชีพ” ต้องเรียกมันแบบนี้แล้วครับ ขนาดพี่มันยังแบล็คเมล์ได้!

(ไอโฟนรุ่นใหม่หนึ่งเครื่อง เคไหม?)

“ทำไมแค่นี้ไม่ขอแม่”

(ขอแล้ว แม่ไม่อนุมัติ บอกเครื่องเก่ายังดีอยู่)

“ก็ถูกของแม่นี่”

(แต่เต้ออยากได้อะ แล้วเต้อก็ไม่ได้มีอิสระในการใช้เงินเหมือนพี่ด้วย) แหงสิ บ้านผมน่ะ ถ้ายังไม่เข้ามหา’ลัย พ่อแม่จะยังคุมเรื่องการใช้เงินครับ ขนาดเงินปันผลของตระกูลยังไม่ได้แตะเลย เก็บเข้าธนาคารหมดนั่นแหละ (เพราะฉะนั้นมันจะโอเคมากเลย ถ้าพี่ซื้อเป็นของขวัญให้เต้อแทน ดีลไหม?)

แหม ยังจะกล้าถามนะ มึงมัดมือชกกูขนาดนี้แล้วเนี่ย “เออ ดีล”

(เยส!)

“แต่พี่มีข้อแม้นะ”

(อ้าว อะไรอีกอะ)

“ถ้าซื้อให้ ห้ามบอกแม่เรื่องพี่ แล้วก็ต้องตั้งใจเรียนด้วย ตกลงไหม?”

(นี่ใคร นี่เต้อ 4.00 นะ เคยทำให้ครอบครัวผิดหวังหรอ ไม่มี๊)

“เออ ดีแล้ว แค่นี้นะ พี่หนาว ยืนใส่บ็อกเซอร์อยู่ตัวเดียวเนี่ย ขอไปแต่งตัวก่อน ไว้เดี๋ยววันอาทิตย์เอาของไปประเคนให้ ตามนี้”

(บายครับ)

“เออบาย ไอ้น้องเวร!”

(อิอิ)

แล้วผมก็ตัดสายใส่มันเลย เดี๋ยวมันเกิดคิดแผนอะไรขึ้นมาได้อีก มีหวังผมได้หมดเนื้อหมดตัวแน่ ห่าเอ๊ย

“นี่น้องมึงโทรมาแบล็คเมล์มึงอีกแล้วหรอวะ?”

“ก็เออน่ะสิ” แต่ผมก็ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรให้ไอ้แว่นยศฟังนะ เหนื่อย เพราะยังไงมันก็คงรู้ดีอยู่แล้วว่าไอ้เต้อน้องผมน่ะมันแสบแค่ไหน อีกอย่าง ผมต้องรีบแต่งตัวครับ สายละ วันนี้มีนัดไปกินเหล้ากับไอ้ตัวต่อ กว่าจะหาทางลากมันออกมาได้ ใช่เรื่องง่ายที่ไหนเล่า

พูดแล้วก็หมั่นเขี้ยว บางทีนะ อยากคว้าขอมันมาหอมสักฟอด ไม่ก็หอมซ้ำๆ จนกว่ามันจะเลิกชอบผู้หญิงไปเลย ชีวิตผมมันจะได้ง่ายๆ กับเขาสักที

“อ้าว กลับมาแล้วหรอไอ้ตรี” ผมชะโงกหน้าออกมาจากประตูตู้เสื้อผ้าเมื่อได้ยินไอ้แว่นยศเอ่ยทักรูมเมตหัวแดงอีกคนที่เพิ่งจะกลับมา ทั้งที่เลิกเรียนตั้งแต่สี่โมงแล้ว

ก็นะ พวกสโมฯ ก็เงี้ยแหละ วันๆ เอาแต่ทำงานรับใช้คณะ เหนื่อยจะตาย ผมไม่เอาด้วยหรอก มาเรียนนะเว้ย ไม่ได้มาทำงานเพื่อสังคม เสียเวลาเปล่า

“เออ เหนื่อยชิบหาย” ผมผลุบกลับเข้ามาหลังประตูตู้เสื้อผ้าอีกครั้งเพื่อแต่งตัวให้มันเสร็จๆ ได้ยินเสียงบ่นของไอ้ตรีวิสลีย์อยู่เนืองๆ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของมันที่เรียกชื่อผม เป็นจังหวะเดียวกับกับที่ผมเองแต่งตัวหล่อๆ เสร็จเรียบร้อยพอดี “เฮ้ยไอ้เจได ลูกหมีบอกกูว่ามึงขอแคนเซิลเรื่องถ่ายแบบให้คณะหรอวะ ไหนมึงบอกกูว่าคราวนี้จะช่วยไง?”

“กูก็ไปตามที่ลูกหมีนัดแล้วนะ” ลูกหมีคือหนึ่งในทีมงานสโมฯ ของคณะครับ “แต่เปลี่ยนใจที่หลัง”

“ทำไมวะ ปัญหาคืออะไร”

“ปัญหาคือกูไม่พอใจกับคนที่จะมาถ่ายด้วย” ผมจำชื่อของไอ้พวกนั้นไม่ได้แล้ว มีทั้งรุ่นเดียวกันแล้วก็รุ่นพี่ แต่ผมจำได้ดีว่าไอ้พวกนั้นไม่เหมาะกับการถ่ายงานให้คณะเลยสักนิด “นี่มันงานถ่ายแบบนิสิตที่แต่งกายเรียบร้อยเพื่อเป็นแบบอย่างให้คณะนะเว้ยตรี แต่กูไม่เคยเห็นว่าไอ้พวกห่านั่นจะแต่งตัวเรียบร้อยตรงไหนเลย มีแค่ ‘จินนี่’ คนเดียวนั่นแหละที่พอจะเป็นแบบอย่างได้” ถึงจะทำสีผมแรงสมกับสาวฮอตอดีตดาวคณะ แต่เรื่องการแต่งกายเนี่ย ผมเห็นตลอดนะว่าจินนี่เขาแต่งถูกระเบียบมาก เสื้อไม่รัด กระโปรงไม่สั้น ไม่หนีบแตะมาเรียน น่าชื่นชมจะตาย

ส่วนที่เหลือน่ะ ดูก็รู้ว่าคัดจากหน้าตาแล้วค่อยมาบังคับให้พวกมันแต่งตัวเรียบร้อยเอาวันถ่าย โคตรไม่โอเคเลย แบบนี้มันไม่แฟร์กับคนที่เขาแต่งตัวเรียบร้อยมาตลอดทั้งเทอมเว้ย

“แต่ครั้งนี้ทางคณะอยากให้เป็นมึงจริงๆ นะเว้ย เพราะมึงแต่งตัวถูกระเบียบมาตลอด คณบดีก็เลือกชื่อมึงเอง มึงจะปฏิเสธไม่ได้”

เฮ้ออออออ ยุ่งยากจริงโว้ย “งั้นเอางี้ บอกลูกหมี ถ้าอยากให้กูถ่าย ก็เอาแค่กูกับจินนี่สองคนพอ ทีเหลือไม่ต้องเอามา แล้วจะถ่ายกี่มุมกี่ท่ากูยอมถ่ายให้หมดเลย เคไหม?”

ไอ้ตรีถึงกับส่ายหน้า คงเอือมกับความเยอะของผมสินะ แต่มันก็ต้องชินเปล่าวะ ผมทำเพื่อความยุติธรรมนะเว้ย ผมเป็นกระบอกเสียงให้กับคนที่สมควรได้ถ่ายมากกว่าไอ้พวกห่านั่น ผมไม่ผิด

“เออๆ เดี๋ยวกูลองคุยกับลูกหมีให้ แล้วนี่... จะไปไหนกันเนี่ย” พอจบเรื่องงาน ไอ้ตรีวิสลีย์ก็เหมือนจะเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่าผมกับไอ้ยศแต่งตัวพร้อมออกจากห้องมาก ถึงได้ถามออกมา

“คืนนี้คืนวันศุกร์ ก็ต้องไปบำเรอเปล่าวะ” คราวนี้ไอ้ยศเป็นคนตอบครับ ตอบไปก็ฉีดน้ำหอมใส่ตัวไป โห เบาๆ หน่อยเพื่อน น้ำหอมนะไม่ใช่ยากันยุง ฉีดอะไรขนาดนั้น

“ไปๆ ไปอาบน้ำ เดี๋ยวพวกกูรอ” ส่วนอันนี้ผมเป็นคนพูดครับ “นี่ คืนนี้ตัวต่อกับเพื่อนๆ มันไปด้วยนะเว้ย กว่ากูจะหาทางลากออกมาได้นี่คือเลือดตาแทบกระเด็น เพราะฉะนั้นมึงอะต้องไปช่วยกูจีบมันนะ คืนนี้จะขาดตัวช่วยชงอย่างมึงไม่ได้เด็ดขาด” คิดว่ายังไงเอาไอ้ตรีไปด้วยก็ต้องทำคะแนนได้เยอะแน่ ขนาดหลินจีบยากจะตาย เจอไอ้ตรีชงเข้าไป หลินยังยอมคบกับไอ้ยศเลย มันก็ต้องได้ผลกับไอ้ตัวต่อด้วยสิวะ

“ไม่อะ ขี้เกียจ”

อ้าว... “เฮ้ย มึงจะมาขี้เกียจไม่ได้นะเว้ยไอ้ตรี กูต้องการมึงคืนนี้นะเพื่อน”

“บอกว่าไม่ก็ไม่ไง อย่าเซ้าซี้ได้ไหม กูเหนื่อย”

ปัง!

ไม่เพียงแค่ปฏิเสธ ไอ้ตรีวิสลีย์คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วก็พุ่งเข้าห้องน้ำไปเลย เย็นชาชะมัด

“อะไรของมันวะ?” ขนาดไอ้ยศยังงง แล้วผมจะเหลืออะไรล่ะ

“ไม่รู้ว่ะ” หรือมันจะเหนื่อยจริงๆ วะเนี่ย เห็นมะ เห็นตัวอย่างของพวกจริงจังกับงานสโมฯ แล้วมาหงุดหงิดใส่เพื่อนยัง ช่างน่าเตะจริงๆ เฮ้อออ แต่เอาเหอะ “ช่างมันมึง ไม่ไปก็ไม่ไป ปล่อยแม่ง”

“เออๆ”

บางทีไอ้ตรีมันก็คงอยากมีเวลาส่วนตัวบ้างแหละ ผมว่านะ



[ ตัวต่อ ]

บำเรอ


คนเยอะจริงเลยเว้ยบำเรอวันศุกร์เนี่ย

ผมมาถึงช้ากว่าที่ตัวเองตั้งใจไว้เกือบครึ่งชั่วโมงครับ ด้วยเหตุผลที่บอกกับคนอื่นว่าขอทำ essay ให้เสร็จก่อน ไม่อยากลากยาวไปทำเอาเสาร์-อาทิตย์ เพราะมีงานของฝ่ายที่รอจ่ออยู่แล้วในวันพรุ่งนี้ แต่ความจริงคือที่ผมรู้อยู่แค่คนเดียวก็คือว่า essay นะถูกเขียนเสร็จไปตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนแล้ว ส่วนครึ่งชั่วโมงที่เสียไป... ผมเสียไปกับการแต่งตัวต่างหาก

แม่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าผีตัวไหนเข้าสิงผม จู่ๆ ถึงเกิดพิถีพิถันกับการแต่งตัวขึ้นมาซะอย่างงั้น? ทั้งที่ปกติเป็นคนหยิบอะไรได้ก็ใส่ๆ ไปแท้ๆ สิ่งเดียวที่ทุกคนจะรู้ว่าผมยอมเสียเวลาก็คือการทำ wet look กับผมยาวๆ ของตัวเองนั่นล่ะ แต่กับวันนี้...ไอ้ปิงคงไม่เชื่อแน่ ถ้าผมจะบอกมา ผมทำตัวเหมือนผู้หญิงจะไปออกเดท ยืนเอาชุดนั้นชุดนี้มาทาบตัวเองอยู่หน้ากระจกไม่ต่ำกว่าสิบชุด สงสัย...คงเพราะไม่ได้มาร้านเหล้านานล่ะมั้ง ก็เลยไม่รู้ว่าจะใส่อะไรดี คิดว่างั้นนะ

ลงท้ายก็คือผมออกมาพร้อมกับชุดเสื้อแขนยาวสีขาวลายกราฟฟิกสีแดงครับ ท่อนล่างเป็นสกินนี่ยีนส์กับรองเท้าผ้าใบสีขาวเรียบๆ ที่นึกขึ้นมาได้หลังจากแต่งไปว่ามันคือตัวเดียวกันกับตัวแรกที่หยิบขึ้นมาลอง เสียเวลาจริงๆ เลยกู

“นั่นมันตัวต่อนี่หว่า”

“เฮ้ย จริงด้วยว่ะ มาร้านเหล้าด้วยหรอวะเนี่ย?”

“หน้าหวานชิบหาย ขาวด้วย สมแล้วแหละที่มีแต่ผู้ชายอยากได้”

“เออสิ กูยังอยากได้เลย”

แต่ก็คงถือว่าคุ้มค่ามั้ง ดูสิ ทุกคนพากันมองมาที่ผมหมดเลย ถึงส่วนใหญ่จะเป็นพวกผู้ชายที่ทำให้ผมรู้สึกขนลุกไปทั้งตัวก็เถอะนะ แต่ก็ยังดีกว่าตั้งใจแต่งมาแล้วคนทำหน้าแขยงแหละ เนอะ

พยายามคิดในแง่ดีนะเนี่ย

“เฮ้ยไอ้ต่อ ทางนี้มึง”

หลังจากพยายามมองหาโต๊ะของเพื่อนๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ กับเวที อ๋อ ไอ้ปิงนั่นเองที่เรียกผม ทว่า... ความสนใจกับกลายเป็นไอ้เสื้อแขนยาวสีแดงทีหันมา...

ไอ้เจได... มันใส่เสื้อสีแดงเหมือนผมเลยอะ บังเอิญไปไหมเนี่ย!?

แล้วดูเข้า ทำไมมันดูดีขนาดนั้นวะ… แค่เสื้อแขนยาวกับยีนส์เท่านั้นเอง แต่กลับพาสายตาของผู้หญิงนับสิบคู่มากองรวมอยู่ที่มันกันหมดเลย โคตรเทพอะ

“กำลังรออยู่เลย : )”

ยิ่งมันยิ้มแบบนี้ด้วย ผมยิ่งรู้สึกว่ามันดูดีเข้าไปใหญ่ เฮ้อออ ไอ้ตี๋หนวดเอ้ย มึงจะโปรยเสน่ห์ใส่กูทั้งๆ ที่ปกติอยู่เฉยๆ มึงก็มีเสน่ห์อยู่แล้วไม่ได้นะเว้ย!

“นั่งนี่มา” มันชวนผมให้ลงข้างๆ กันครับ แล้วตั้งท่าจะไล่เพื่อนชื่อยศให้ไปนั่งตรงที่ที่ยังว่างอยู่ ซึ่งมีให้เลือกสองที่ คือข้างไอ้ปิง กับข้างไอ้หมู แต่ผมปฏิเสธ

“ไม่เอา กูจะนั่งกับเพื่อนกู” ไม่รู้สิ ไม่ได้รังเกียจที่จะนั่งข้างมันหรอกนะ แต่รู้สึกว่าไว้ใจไม่ได้อะ เกิดมันเมาๆ แล้วหันมาลวนลามผมทำไง ผมยังไม่ฟรีถึงขั้นนั้นเน้อ

แล้วผมก็นั่งข้างไอ้ปิงครับ เพราะรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแพทคอยกรอกหูตลอกว่า “ต่อ เวลาไปร้านเหล้า ต่อต้องนั่งคุมปิงให้แพทนะ ห้ามให้ผู้หญิงเข้าใกล้ปิงเด็ดขาด!” เลยกลายเป็นอะไรที่อัตโนมัติไปเรียบร้อยแล้ว

ซึ่งถามว่าไอ้เจไดพอใจไหม? ไม่หรอก มันเกือบจะทำหน้าบูดใส่ผมเต็ม 100% ด้วยซ้ำ แต่ผมไม่ตามใจมันหรอกนะ แค่เมื่อวานที่ง้อขอให้มันกลับมาจีบผมเหมือนเดิมแค่นั้นก็พอแล้ว มากกว่านี้มันจะได้ใจไปกันใหญ่

“เอ้า มาแล้วหรอต่อ”

“เอ้า พี่ปันปัน!?” ผมนี่ตกใจเลยครับที่เห็นว่าใครเดินมานั่งข้างๆ ไอ้หมู เฮ้ยยย เซอร์ไพรส์มาก นี่มัน ‘พี่ปันปัน’ รุ่นพี่สาวสวยสายโหดปีสามที่เป็นทั้งพี่รหัสของไอ้ปิงแล้วก็เพื่อนของ ‘พี่อุ่น’ พี่รหัสของผมนี่

“ตกใจอะไรขนาดนั้น พี่ไม่ใช่ผีนะ” ปากพูดไปมือก็ชงเหล้าไป โห เท่ว่ะ

“ก็ผมไม่คิดว่าจะเจอพี่นี่หน่า นึกว่าจะมากันแต่เพื่อนๆ”

“อ๋อ พอดีไอ้ปิงมันชวนมาเลี้ยงน่ะ หมายถึง...ให้พี่มาเลี้นยงมันนะ”

“ไม่ดีหรือไงมึง” อันนี้ไอ้ปิงพูด “กินเหล้าฟรียกโต๊ะเลยนะเว้ย”

แล้วทุกคนก็พากันหัวเราะชอบใจใหญ่ มีแต่ไอ้เจไดเนี่ยแหละที่ยังคงนั่งหน้าบูดอยู่ เป็นอะไรของมันนักหนา?

“เอ้า แล้วนั่นน่ะเป็นอะไร หน้าบูดเฉย” พี่ปันปันเป็นคนแรกที่เอ่ยทักไอ้ตี๋หนวดขึ้นมาตรงๆ ถึงจะไม่ใช่พี่คณะของมัน แต่บอกเลยนะว่าพี่ปันปันแกน่ะเป็นผู้หญิงสวยโหดที่น่าเกรงขามมาก เอ่ยทักไอ้เจไดแค่นิดเดียว นิดเดียวจริงๆ อีกฝ่ายก็ดูเชื่องแล้ว

“ก็ไอ้ตัวต่อน่ะสิครับ บอกให้มานั่งข้างผมก็ไม่มานั่ง : (“

อ้าว กูผิดซะงั้น อะไรจะจริงจังขนาดนี้เนี่ย ทำหน้างอนไม่แคร์เสียงเพลงมันส์ๆ จากดีเจเลยนะมึง คิดว่านั่งอยู่กับเด็กเอาแต่ใจใน Yoyo Land ซะอีก แม่ง

“เออๆ ย้ายที่ก็ได้วะ” ที่ยอมเนี่ยก็เพราะว่าไม่อยากให้หมดสนุกกันหรอกนะ

เท่านั้นแหละครับ แค่ผมเปลี่ยนที่นั่งกับยศเท่านั้น จากผู้ชายหน้าบูดก็กลายเป็นหนุ่มหล่อยิ้มสดใสขึ้นมาอัตโนมัติ ผมล่ะอยากจะชกแขนมันแรงๆ สักทีจริงๆ

หมั่นไส้!

“โอเค ลงตัวแล้วเนอะ ห้ามใครหน้าบูดอีกแล้วนะ ไม่งั้นเจ้ตบเด้อ” อา... ดูเหมือนจะพูดทีเล่นทีจริงนะ แต่ผมเชื่อเลยว่าถ้าใครทำหน้าบูดอีกล่ะก็ ไม่พ้นเจอฝ่ามือแม่ปันปันแหง “แล้วกินอะไรล่ะต่อ เหล้าไหมเจ้ชงให้ หรือจะสั่งเบียร์?”

“ขอเป็นคอกเทลดีกว่าครับ ไม่ชอบกินอะไรขมๆ”

“ได้ๆ เดี๋ยวเจ้เรียกพนักงานให้ เฮ้ยน้อง! ขอเมนู!”

โอ้โห ฮาร์ดคอสัส แต่ก็เข้าใจเจ้ปันปันนะ วันนี้คนเยอะมาก เสียงดังขนาดนี้ ไม่ได้เสียงเจ้ปันปัน ไม่มีเด็กเสิร์ฟคนไหนได้ยินหรอก

“สั่งเต็มที่เลยนะ กูเลี้ยงเอง” ไอ้เจไดนี่ก็อีกคน ป๋าจัง แล้วยังจะยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูอีก ไอ้...ไอ้บ้า!

“เออ อย่ามาร้องไห้ทีหลังก็แล้วกันมึง”

“ไม่ร้องหรอกน่า : )”

จริงๆ ก็รู้แหละว่าขนหน้าแข้งมันไม่ร่วงหรอก ดูจากนาฬิกามันสิ ไม่ใช่ทายาทของห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่รวยมากๆ ซื้อเรือนนี้ไม่ได้หรอกนะ เออ ถ้าเป็นนักการเมืองก็ว่าไปอย่าง อุ้ย!

“อ้าว พี่ตัวต่อ!”

“เฮ้ยไอ้จูเนียร์!”

เชี่ย วันนี้นี่มันวันรวมญาติจริงๆ เว้ย เจอแต่คนรู้จักทั้งนั้น ขนาดบริกรของร้านยังเป็น ‘ไอ้จูเนียร์’ น้องรหัสผมเลย

ผมลุกขึ้นกอดกับไอ้จูเนียร์น้องรักด้วยความเคยชิน นี่ถ้าจะพูดถึงความสัมพันธ์ของมันกับผมก็คงต้องย้อนไปตั้งแต่เทอมแรก ตอนเฉลยสายใหม่ๆ ตอนนั้นน้องรหัสผมไม่ใช่มันหรอก เป็นผู้หญิงครับ แต่ซิ่วไปแล้ว ด้วยเหตุผลว่าที่นี่ไมมีห้างใหญ่ๆ ให้เดินเหมือนในกรุงเทพฯ ส่วนไอ้จูเนียร์เองก็เป็นกำพร้า เพราะว่าพี่รหัสที่มีเหลือคนเดียวในสายก็ซิ่วไปเหมือนกัน ผมก็เลยเลือกรับอุปการะมันซะเลย มันน่ารักครับ ไม่ใช่คงมั่งมี แต่ก็ขยันหาเงินมาก แถมยังใจบุญคอยระดมทุนช่วยหมาแมวแถวๆ มหา’ลัยอีกต่างหาก ไม่ให้ผมรักมันได้ไง

“เฮ้ยๆๆ ประเจิดประเจ้อ!”

แต่ความสัมพันธ์ของพี่น้องก็เป็นอันต้องโดนขัดโดยมารอย่างไอ้เจได มันแกะผมกับจูเนียร์ออกจากกัน ก่อนจะรีบเอาตัวเข้ามาแทรกระหว่างกลางแทน

“ทำอะไรของมึงเนี่ย!?” ผมโวย

“ไหนบอกว่าไม่ชอบผู้ชายไง แล้วนี่ใคร ทำไมต้องมายืนกอดกันกลมขนาดนี้ด้วย!?”

“ใจเย็นไอ้น้อง” พี่ปันปันลงมือห้าม “ไอ้สองคนนี้มันเป็นพี่รหัสน้องรหัสกัน อย่าหึงจนหน้ามืด” สม โดนดุเลยเห็นไหม

“อ้าว...”

“เออ ไอ้นี่มันน้องรักกู ช่วยมีสติหน่อย” ขอร่วมประสมโรงด้วยอีกคน ไอ้ร่างสูงตัวใหญ่ๆ นี่มันจะได้รู้สำนึกซะบ้าง

“จริงครับพี่ ผมเป็นแค่น้องรหัสเฉยๆ ไม่ต้องห่วงนะครับ”

“อ๋อ...” เป็นไง จ๋อยเลยสิ รีบถอยกลับไปนั่งแทบไม่ทัน ดีนะได้ยศช่วยตบไหล่ปลอม ไม่งั้นล่ะมึง หมาแน่

“ทำงานที่นี่หรอ?”

“ใช่ครับ เพิ่งมาทำเนี่ยแหละ พอดีร้านกาแฟที่เก่าเขาเจ๊งแล้วพี่ ผมก็เลยต้องหางานใหม่”

“เฮ้ย แล้วโอเคไหม มีอะไรบอกพี่ได้นะ ไปทำงานที่ละลายก็ได้ เดี๋ยวพี่จ้างเอง”

“ไม่เป็นไรครับ ชอบทำงานร้านเหล้ามากกว่า ขอบคุณนะครับพี่ เอ้อ ว่าแต่... นี่พี่อุ่นไม่มาด้วยหรอพี่ปันปัน”

เออนั่นสิ ประโยคหลังนี่ไอ้จูเนียร์หันไปถามพี่ปีสามคนเดียวในกลุ่มครับ ผมเองก็ลืมเรื่องพี่รหัสไปเลย ปกติพี่รหัสผมนี่เขาฉายา ‘อุ่นบำเรอ’ นี่หน่า

“เอาตรงๆ นะ ติดผัว” อู้วววววว “พี่ยิมส์เอารถมาจอรอรับตั้งแต่ยังไม่เลิกเรียน ป่านนี้คงมีความสุขกันอยู่ที่กรุงเทพฯ นั่นแหละ”

ผมกับไอ้จูเนียร์พยักหน้ารับรู้ เข้าใจดีว่าการที่ ‘พี่ยิมส์’ ศิษย์เก่าของที่นี่มาจอดรถรอรับหมายความว่า ‘ยังไงพี่อุ่นก็ไม่สามารถปฏิเสธได้’ แต่ผมก็เข้าใจพี่ยิมส์แกนะ คนนึงเรียนที่นี่ อีกคนเป็นฟิตเนสเทรนเนอร์อยู่ที่กรุงเทพฯ กว่าจะได้เจอกันก็เสาร์-อาทิตย์ ยังไงก็คงต้องใช้เวลาร่วมกันให้คุ้มค่านั่นแหละ

“แล้วนี่จะสั่งอะไรดีล่ะพี่ รีบสั่งเลยนะ คนเยอะมาก”

“ก็ถ้ามึงไม่มัวแต่ถามนู่นถามนี่ พี่มึงคงสั่งเสร็จไปแล้วแหละครับ”

อะ นี่นึกว่าถอยทัพไปแล้วนะ สรุปว่ายังหึงไม่เลิกอีกหรอวะ? เห็นไหม น้องผมหน้าเสียหมดแล้ว ไอ้บ้า!

“อย่าว่าน้องกูนะ” ผมดุใส่ แต่ก็ต้องหันมารีบสั่ง เพราะคิดว่าน้องคงงานยุ่งมากในคืนนี้ ไม่อยากรบกวนนาน “งั้นพี่ขอเป็น B52 แก้วนึงนะ แล้วก็ Around the World หนึ่งเหยือก แค่นี้แหละ”

“โอเคครับ รอหน่อยนะครับ”

“ได้ๆ ไม่เป็นไร” แล้วผมก็กลับมานั่งลงข้างๆ ไอ้เจไดเหมือนเดิมด้วยความรู้สึกที่อยากหาอะไรฟาดมันสักทีสองทีกับความหึงไม่เข้าเรื่องของมัน

“กินโหดจังเว้ย เล่น B52 เลยหรอ เดี๋ยวก็ตายหรอก เป็นห่วงนะ”

“โอ๊ยไอ้เจได เพื่อนกูไม่ใช่เด็กแล้วนะ มันอยากแดกอะไรก็ให้มันแดงไปเถอะ”

“เชี่ย ก็กูเป็นห่วงนี่หว่า เดี๋ยวเมาแล้วใครฉุดมันไปทำอะไรไม่ดีๆ ขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ มึงหรอไอ้ปิง?”

“ไม่มีใครทำอะไรมันหรอกน่า แต่ถ้ากลัวก็อย่าปล่อยให้มันคลาดสายตาก็แล้วกัน”

“เออ ไม่ปล่อยแน่!”

แล้วคนอื่นๆ ก็พากันโห่แซวกับสิ่งที่ไอ้เจไดพูด มีแค่ผมที่ไม่ขอแสดงความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น อยากนั่งฟังเพลงนิ่งๆ ปล่อยให้ลมเย็นๆ พัดเอาความร้อนที่บริเวณสองข้ามแก้มให้หายไปมากกว่า...

“เครื่องดื่มมาเสิร์ฟครับ” แต่ยังไม่ทันที่จูเนียร์จะเดินถึงหลังร้าน บริกรชายอีกคนก็เดินเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ ส่วนใหญ่เป็นคอกเทลทั้งนั้น ใครสั่งวะ?

“น้อง อันนี้พวกพี่ไม่ได้สั่งนะ” ไอ้หมูร้องทัก ขณะที่เจ้ปันปันก็พยักหน้าเห็นด้วย

“นั่นสิ ผิดโต๊ะรึเปล่า?”

“อ๋อ ไม่ผิดหรอกครับพี่ ทั้งหมดนี่มีโต๊ะอื่นเขาสั่งมาให้พี่ที่ชื่อตัวต่อ...”

“ใครวะไอ้พัด? โต๊ะไหนสั่ง?” จริงๆ แล้วชื่อที่น้องบริกรพูดคือ ‘ตัวต่อ’ นะ แต่คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนกลับกลายเป็นเจไดที่เพิ่งจะกระดกเหล้าหมดแก้วไปหมาดๆ นี่ ‘หึง’เป็นชื่อกลางของมันหรือไงวะเนี่ย ผมต้องปรามมันหน่อยแล้วสินะ

ว่าแต่... นี่มันรู้จักขื่อบริกรด้วยหรอวะ?

“ใจเย็นก่อนได้ไหม ฟังน้องเขาพูดให้จบก่อน หัวร้อนอะไรนักหนา”

“...” ดีนะเนี่ยที่มันฟังผม ยอมเงียบจนบริกรพูดจบน่ะ ไม่งั้นวันนี้ก็คงไม่รู้เรื่องกันหรอก

“เอ่อ... หลายโต๊ะครับพี่เจได ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”

“เฮ้ย! เดี๋ยวดิไอ้พัด!”

เจไดตั้งท่าจะตามไปเต็มที่ แต่ผมรั้งมันไว้ “ใจเย็นก่อนมึง พอแล้วน่า เนี่ยๆ มีเหล้าให้กินฟรี ไม่ดีหรือไง” พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบเต็มที่ ทั้งที่จริงๆ ไม่จำเป็นเลยสักนิด แต่ทำไงได้ล่ะ หนึ่งเลยนะ ผมไม่อยากให้มันมีเรื่อง และสอง ผมไม่อยากให้คนอื่นๆ ที่เหลือในโต๊ะหมดสนุกด้วย ถึงแม้ว่าแต่ละคนโดยเฉพาะเจ้ปันปันจะยิ้มกันทุกคนก็เถอะ แต่ใครจะไปรู้เล่า ในใจเขาอาจจะไม่ชอบกันก็ได้

“มาๆ กินกันๆ” พอเห็นว่าไอ้ตี๋หนวดยอมนั่งลง ไม่ตามไปหาน้องบริกรอย่างที่มันตั้งท่า ผมก็ชวนทุกคนในวงดื่มกัน แต่ก็อีกแล้ว...

“เอามานี่เลย” ไอ้เจไดเลื่อนเครื่องดื่มทั้งหมดให้พ้นมือผม

“เฮ้ยอะไรวะ?”

“เดี๋ยวกูกินแทนเอง มึงไม่ได้ต้องยุ่ง”

“แต่นี่เขาสั่งมาให้กูนะเว้ย”

“สั่งมามอมมึงน่ะสิ” ไอ้เจไดเว้นจังหวะกวาดสายตาแสกนไปรอบๆ เหมือนจ้องจะจับผิดให้ได้ว่าโต๊ะไหนเป็นคนสั่งเครื่องดื่มมาเลี้ยงผม ดูท่ามันจะสงสัยอยู่สองสามโต๊ะนะ เห็นหยุดมองนานมาก แล้วพวกนั้นก็หลบตามันกันพัลวันด้วย ชัวร์เลย ต้องเป็นโต๊ะแถวๆ ทางเข้าห้องน้ำแน่ที่สั่งมาเนี่ย

ผู้ชายทั้งโต๊ะ ผมควรดีใจเนอะ?

“กูไม่ยอมให้พวกมันได้ใจหรอก หึ : (” พูดจบแค่นั้น ไอ้เจไดก็กระดกทุกแก้วโชว์ ให้เห็นๆ กันไปเลยว่าคนที่ดื่มคือมันไม่ใช่ผมอย่างที่คนสั่งมาต้องการ เยี่ยม

ไม่พอนะ หลังจากจัดการทุกแก้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไอ้ตี๋หนวดก็นั่งกอดอกปั้นหน้ายักษ์ใส่ทุกโต๊ะที่มองมา ทำเอาคนอื่นๆ ในวงหัวเราะก๊ากไปกับความหึงหวงของมันโดยเฉพาะพี่ปันปันเนี่ย แทนที่จะช่วยห้ามปราม กลับชงเหล้าแถมให้ซะงั้น โอ๊ย แต่ละคน

ดูๆ ดูทำหน้าเข้า หน้ายักษ์กว่านี้มีอีกไหมเนี่ยเจได?

เฮ้ออออออ เอาจริงๆ ตอนแรกก็แอบเหนื่อยๆ ใจกับการแสดงความหึงหวงของไอ้ตี๋หนวดอยู่เหมือนกันนะ แต่พอดูไปดูมาก็... อดตลกไม่ได้แฮะ ฮ่าๆๆ

คิดดูสิ มันจะมีเด็กมหา’ลัยหล่อๆ สักกี่คนกันที่เขาจะมานั่งปั้นหน้ายักษ์เป็นเด็กเอาแต่ใจแล้วยังเป็นธรรมชาติได้อย่างไอ้เจไดเนี่ย : )

อา... นี่ผมกำลังเผลอยิ้มอยู่ใช่ไหมครับ เฮ้อออ ดีนะที่ไม่มีใครสังเกตเห็น โล่งงง

“คือ... มีคนฝาก B52 เพิ่มมาให้พี่ต่ออีกสองแก้วอะพี่” แต่แทนที่ทุกอย่างจะจบ กลับกลายเป็นว่ามีจูเนียร์มาเติมเชื้อไฟเพิ่ม ดูหน้าก็รู้แล้วว่าน้องผมแม่งลำบากใจมาก ดังนั้นพอไอ้หน้ายักษ์จะเปิดปากถาม ผมเลยรีบกวักมือไล่น้องรหัสให้กลับไป

ส่วนไอ้คนขี้หึงพอไม่ได้ถามก็ฟึดฟัดใหญ่ ตั้งท่าจะคว้า B52 อีกสองแก้วที่แถมมาไปดูดเอง แต่ผมห้ามไว้ได้ทัน

“พอก่อนมึง กินเยอะแล้ว เดี๋ยวก็เมาหรอก นี่ดนตรีสดยังไม่ขึ้นเลยนะเว้ย” วันนี้คิวของวง Jurassic Park วงดนตรีชื่อดังประจำมหา’ลัยด้วย วันไหนวงนี้เล่นนะ วันนั้นร้านแตกตลอดแหละ

“ไม่เมาหรอกน่า กูกินได้ ให้กูกินเหอะ ไม่งั้นเหมือนกูโดนลูบคมยังไงก็ไม่รู้”

“ลูบคม? อะไรของมึงวะ?”

/ ต่อด้านล่าง /


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-01-2018 21:30:24 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
“ก็มึงคิดดูนะเว้ย กูนั่งหัวโด่อยู่นี่ พวกมันยังกล้าสั่งเหล้ามาเลี้ยงมึงเลย ท้าทายกันชัดๆ!”

“แต่...”

“ปล่อยมันเถอะต่อ ไอ้นี่มันไม่เมาง่ายๆ หรอก นี่ไอ้เจไดนะ มันมาร้านเหล้าเกือบทุกคืนนั่นแหละ” โห? ทุกวันเลยหรอ ไม่น่าละ ทำไมมันถึงได้รู้จักชื่อน้องบริกรคนนั้น แล้วน้องบริกรก็ดูเหมือนว่ารู้จักมันด้วย แบบนี้นี่เอง “ขนาดเลิกกับแฟนเก่ายังเพราะเรื่องเหล้าเลย... เฮ้ยยย ปาน้ำแข็งใส่กูทำไมเนี่ย ฮ่าๆๆ” ฟังดูเหมือนถามนะ แต่ยศกลับหัวเราะลั่น คงเพราะรู้ตัวดีอยู่แล้วนั่นแหละว่าทำไมเจไดถึงปาน้ำแข็งใส่น่ะ

ว่าแต่... น่าสนใจแฮะ เลิกกับแฟนเพราะเรื่องเหล้างั้นหรอ?

ต้องลองแยบๆ ถามก่อน “อะไร มาที่นี่ทุกคืนเลยหรอ?” จริงๆ ถ้าจำไม่ผิด ก็เหมือนว่าไอ้หมูจะเคยให้ข้อมูลเรื่องนี้กับผมมาตั้งแรกแล้วนี่เนอะ ที่ว่านอกจากเรื่องเรียนก็มีเรื่องเหล้าเนี่ยแหละที่ลากไอ้ตี๋หนวดออกจากหอได้น่ะ

มันพยักหน้า “ใช่ กูชอบบรรยากาศร้านเหล้า มึงล่ะ ชอบไหม?” เออดี ตาของมันตอนถามนี่มองผมนะ แต่มือนี่คือเนียนๆ จับหลอดแล้วก็ก้มลงไปดูด B52 สองแก้วที่มีคนสั่งมาเลี้ยงผมจนหมดจนได้ ยอมใจจริงๆ

ผมจึงส่ายหน้า “ไม่ค่อย แล้ว...”

“แล้วทำไมมึงถึงเลิกกับแฟนเพราะเหล้าวะ?”

สัสปิง กูกำลังจะถามเลย แย่งกูซะงั้น

“ก็... เขาบังคับให้กูเลือกระหว่างเขากับเหล้า กูก็เลยเลือกเหล้า แค่นั้นเอง”

“เชร้ดดดดดด เด็ดว่ะ สายเหล้าที่แท้จริง”

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก มันหลายอย่างอะ”

“แต่กูเองก็ไม่ชอบคนเที่ยวร้านเหล้าทุกคืนเหมือนกันนะ”

ผมแกล้งทำเป็นพูดลอยๆ ทั้งที่จริงๆ ก็ไม่ได้คิดอย่างที่พูดหรอก แค่อยากหาเรื่องแกล้งไอ้คนข้างๆ เท่านั้นเอง

แต่ดูเหมือนว่ามันจะจริงจังแฮะ “งั้นอย่างงี้ต้องเคลียร์ให้รู้เรื่อง”

“เคลียร์อะไร?” ผมแกล้งทำหน้าซื่อ กวนๆ มันไป ก็เห็นมันชอบทำแบบนี้กับผมนี่ ขอทำบ้างไม่ได้หรือไง ฮ่าๆๆ “กูไม่ได้หมายถึงมึงสักหน่อย”

“ไม่จริง มึงหมายถึงกู” ไอ้เจไดเอาแขนพลาดกับขอบเก้าอี้ผม ทำท่าเหมือนอยากจะขยับเข้ามาใกล้กว่านี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ทำ

“หรอ? ถ้างั้นมึงก็คงจีบกูไม่ติดแล้วล่ะมั้ง” ด้วยความหมั่นไส้หรือเพราะอะไรก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่มันทำให้ผมยังคงอยากแกล้งอีฝ่ายต่อไป ไม่ได้นึกเลยว่ามันจะจริงจังกับเรื่องร้านเหล้ามากขนาดนี้

“โห่ อะไรวะ” มันโวยครับ “เข้าร้านเหล้าทุกคืนมันผิดตรงไหนกัน”

“แล้วร้านเหล้ามันดีถึงขนาดที่ต้องมาทุกวันเลยหรือไง”

“ตัวต่อ มึงต้องเข้าใจนะเว้ย ความชอบของคนเรามันไม่เหมือนกัน บางคนชอบไปทะเล บางคนชอบเที่ยวป่า แล้วทำไมกูจะเสพติดบรรยากาศในร้านเหล้าบ้างไม่ได้”

“แต่ถ้าแฟนมึงไม่ชอบจริงๆ มึงก็ต้องยอมเปลี่ยนเพื่อเขาได้รึเปล่าวะ?” นี่ไม่ได้หมายถึงผมนะ หมายถึงแฟนมัน จะเป็นแฟนในอดีตหรือในอนาคตก็ได้ ตามใจเลย ผมแค่มีความเชื่อว่า ถ้าเรารักใครสักคน เราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงเพื่อเขาได้ ดูอย่างแฟนพี่ผึ้งสิ ยอมเลิกบุหรี่เพื่อที่จะได้แต่งงานกับพี่ผึ้งเลยนะ เท่จะตาย

“แต่ถ้าสิ่งที่เขาไม่ชอบเป็นสิ่งที่กูรักล่ะ เป็นสิ่งที่ทำให้กูมีความสุขเงี้ย คนที่เขารักกันจริงๆ จะอยากเห็นกูเป็นทุกข์เพียงเพราะแค่เขาไม่ชอบแค่นั้นเองหรอวะ?”

“...”

“แล้วอีกอย่าง ถึงกลางคืนกูจะชอบแดกเหล้า แต่เวลาอื่นกูก็สามารถดูแลให้เขามีความสุขได้ก็แล้วกันน่า : )”

“นั่นมันก็...”

“สวัสดีคร้าบบบบบบบบบบบบบ”

สายตาผมยังคงจับจ้องอยู่ที่เจไดซึ่งตอนนี้หันไปตามเสียงประกาศออกไมค์ของใครสักคนบนเวทีแล้ว... ผมรู้ว่าที่มันพูดคือสิ่งที่มันต้องการจะบอกผม และผมก็กำลังจะพูดออกไปว่า ‘นั่นมันก็เรื่องของมึง ไม่เกี่ยวกับกู!’ แต่ท้ายที่สุดก็ถูกเสียงรอบข้างกลบเสียหมด ซึ่งก็ดีแล้ว... เพราะการแกล้งโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนความเขินของตัวเองที่ผมชอบทำมันก็ชักจะช้ำแล้วแหละ...

“สวัสดีคืนวันศุกร์นะครับชาวบำเรอทุกท่าน คืนนี้อยู่กับพวกเราวง Jurassic Park กันอีกเช่นเคย อ้าววว ใครพร้อมจะมันส์ขอเสียงหน่อยยยยยย”

“พร้อมแล้วววววววววววววววว”

“พร้อมแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยย”

นี่ไงครับวง Jurassic Park ที่ผมว่า สมาชิกแต่ละคนหน้าตาดีๆ กันทั้งนั้น แถมฝีมือก็โคตรเทพ การันตีตำแหน่งแชมป์จากเวทีดังๆ มากมาย นี่เห็นว่าอีกไม่นานก็จะไอ้ทำงานกับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แล้วด้วย ผมล่ะชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จกับทางของตัวเองจริงๆ เลย

“ถ้างั้นก็มาเริ่มกันเลย มา!”

สิ้นเสียงชักชวนของนักร้องนำ ฝูงคนจำนวนหนึ่งก็รีบไปออกันอยู่หน้าเวที แปรเปลี่ยนพื้นที่โล่งให้กลายเป็นพื้นที่แออัด พากันทั้งโดดทั้งเด้งอย่างเต็มที่ไปกับเพลงสดเพลงแรกของค่ำคืนนี้ สมกับเป็น Friday Night จริงๆ เลย

“นี่ ไม่ไปเต้นกับเขาบ้างหรอ?” ไอ้เจไดหันมาถาม

“ไม่เอาอะ อึดอัด” ผมตอบตามความจริง ทีแรกก็แอบคิดว่าไอ้เจไดมันจะบังคับผมเหมือนกันนะ แต่มันกลับทำเพียงแค่ยิ้มให้ทีนึง แล้วก็หันกลับไปโยกหัวเบาๆ ตามเพลงต่อ

เออว่ะ ไอ้เจไดนี่มันดูดื่มด่ำกับบรรยากาศร้านเหล้าจริงๆ แฮะ ดูมีความสุขซะจนผมยังเผลอยิ้มตามเลย เหมือนเป็น...พลังด้านบวกที่ส่งมาถึงกันได้อะไรแบบนั้น

“อะ...อะไร!?” แต่แล้วผมก็เป็นอันต้องหุบยิ้มครับ เมื่อจู่ๆ ไอ้ตี๋หนวดที่ผมมองอยู่ก็หันกลับมาคว้าข้อมือผมเฉยเลย ตกใจหมด!

“ไปเข้าห้องน้ำกัน”

“เฮ้ย จะบ้าหรอ!?” ผมร้องเสียงดังซะจนคนอื่นๆ ในโต๊ะถึงกับต้องละสายตาจากการแสดงของ Jurassic Park เพื่อมาสนใจ

“อะไรวะ?”

“ก็ไอ้เจไดอะดิจะชวนกูไปเข้าห้องน้ำเฉยเลย” ผมนี่ปากฟ้องไอ้ปิงไปมือก็พยายามแกะข้อมือออกจากการจับกุมของไอ้เจไดไป เหนียวชิบหาย เป็นปลาหมึกหรือไงเนี่ย!

“เฮ้ย มากไปแล้วนะไอ้เจได ปล่อยเพื่อนกูเลย!”

“อะไรเล่า พวกมึงอะคิดมาก กูแค่จะชวนไปเป็นเพื่อนกันเว้ย ไม่ได้ชวนให้ไปทำอะไรกันสักหน่อย”

ไอ้ปิงถึงกับทำหน้าอ๋อเลยครับเมื่อฟังสิ่งที่ไอ้เจไดอธิบาย แต่ผมยังคงขัดขืนต่อ “ไม่เอา กูไม่ไป มึงไปคนเดียวเถอะ” เพราะบอกตามตรงนะ ไม่ไว้ใจว่ะ ถึงหน้ามันจะไม่ได้ดูมีพิรุธอะไรก็เหอะ แต่ใครจะไปรู้เล่า เกิดมันหน้ามืดตามัวขึ้นมา ตัวใหญ่ขนาดนี้ ผมดิ้นไม่หลุดหรอกนะจะบอกให้

“ไปเหอะน่า กูไม่อยากทิ้งมึงไว้คนเดียว”

“คนเดียวอะไรเล่า เพื่อนเยอะแยะ เจ้ปันปันก็อยู่”

“ก็กูไม่อยากให้มึงคลาดสายตาอะ นะๆๆ” มันพยายามทำหน้าหนวดๆ อ้อนผม ไอ้บ้า! มึงจะมาใช้ไม้นี้กับกูไม่ได้นะไอ้หล่อ ดะ...เดี๋ยวกูใจอ่อนนนน!

ด้วยความอับจนหนทาง ผมพยายามหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากพี่ปันปัน ซึ่งเจ้แกก็พร้อมยื่นมือเข้าช่วยเต็มที่ ขอบคุณสวรรรรรค์

“นี่! พอแล้วเจได ท่อไม่ได้ติดกัน”

“แต่...”

“เออ เดี๋ยวเจ้คอยดูไว้ให้ รีบไปรีบมาก็แล้วกัน”

“เจ้ห้ามให้ใครมายุ่งกับไอ้ตัวต่อนะ”

“เออ รู้แล้วน่า ไปๆๆ”

เจ้ปันปันทำท่าโบกมือไล่ ขณะที่ไอ้เจไดก็ทำเป็นยื่นอ้อยอิ่งมองผมต่ออีกสักพัก ถึงจะยอมเดินไปเข้าห้องน้ำแต่โดยดี

โอ๊ยยย ผมล่ะอยากจะบ้า!

ผมว่ามันต้องเริ่มเมาแล้วแน่เลยไอ้เจไดน่ะ ผมสัมผัสได้

“สวัสดีครับน้องต่อ”

“อา...” แต่ก็ดูจะเป็นอย่างที่ไอ้เจไดมันกังวลแฮะ มันเพิ่งจะเดินหายไปเข้าห้องน้ำได้แปบเดียวเอง พี่ผู้ชายหน้าคมผิวเข้มคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาหาผมซะแล้ว ชีวิตตต “สวัสดีครับ”

“พี่ชื่อไอซ์นะครับ”

“เอ่อ... ครับ”

“น้องผู้ชายที่เพิ่งลุกไปนี่เป็นแฟนกับน้องต่อหรอครับ”

“อ๋อ เปล่าหรอกครับ” ผมปฏิเสธ ไม่ได้ว่าจะเปิดโอกาสให้พี่เขาเห็นว่าผมโสดนะ ผมแค่ไม่อยากโกหกเพื่อใช้ใครมาเป็นไม้กันหมาให้กับตัวเอง แล้วเดี๋ยวผมก็ปฏิเสธพี่คนนี้ด้วยเช่นกัน สายตานี่โคตรกะลิ้มกะเหลี่ยเลย ขนลุก!

“ถึงไม่ใช่แฟน แต่มันก็หวงของมันนะพี่ อย่ายุ่งเลยดีกว่า ผมขอเตือน”

แต่ยังไม่ทันที่พี่ไอซ์จะได้พูดอะไรต่อ ยศเพื่อนเจไดก็ผ่ากลางขึ้นมาแบบไม่คิดจะไว้หน้ารุ่นพี่ ใจผมนี่เสียววาบเลย กลัวว่าจะมีเรื่องครับ แต่ผลคือพี่ไอซ์แกทำเป็นหูทวนลมใส่ แล้วเอ่ยปากพูดต่อเหมือนว่าไอ้ยศไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้ ร้ายยย

“ถ้าไม่ได้เป็นแฟน งั้นพี่ขอเบอร์น้องต่อได้ไหมครับ คือ...พี่อยากจีบน้องต่อน่ะครับ”

“อ๋อ อย่าดีกว่าครับ ผมชอบผู้หญิง ไม่ได้ชอบผู้ชาย”

“อ้าว แต่พี่ได้ยินมาว่าน้องต่อให้น้องผู้ชายคนนั้นจีบไม่ใช่หรอ?”

“ก็ใช่ครับ”

“แล้วจะบอกว่าไม่ชอบผู้ชายได้ไงกัน”

“สงสัยมันจะเป็นข้อยกเว้นสำหรับผมมั้งพี่”

ผมตอบตามจริง ไม่รูเหตุผลเหมือนกัน แต่ถ้ามันเป็นผู้ชายคนเดียวที่ผมอนุญาตให้จีบ ก็แสดงว่ามันคงจะเป็น ‘ข้อยกเว้น’ ในชีวิตของผมนั่นแหละ

จริงไหมครับ?

“แต่ว่า...”

ไม่รู้หรอกนะว่าพี่ไอซ์เขาอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ผมหันหน้าหนีแล้วอะ ยังไงก็คงต้องถอยทัพแล้วแหละ

“เฮ้อ ไปสักที”

“อ้าว ไปแล้วหรอครับ” ผมหันกลับมาเมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้ปันปันพูด พี่สาวผมดูโล่งอกมากที่พี่ไอซ์อะไรนั่นเขาไปซะได้ ไม่สิ... ทุกคนในโต๊ะเลยครับที่ดูจะโล่งอกไปพร้อมๆ กัน

“ขืนไอ้เจไดกลับมาตอนยังอยู่นะ รับรองมีเรื่องแน่”

“นั่นสิยศ พี่ก็คิดเหมือนกัน ถึงได้โล่งอยู่นี่ไง”

“ยังไงก็อย่าให้ไอ้เจไดมันรู้เรื่องนี้เข้าล่ะ เดี๋ยวมันก็หัวร้อนอีก”

“มึงนั่นแหละปิง อย่าหลุดปากก็แล้วกัน”

“อ้าว ไหงว่าแต่กูวะไอ้หมู”

“พอๆๆ เจไดมาแล้ว”

ผมเองครับที่เป็นคนห้ามทัพของไอ้ปิงกับไอ้หมูเมื่อเห็นว่าร่างสูงใหญ่กับเสื้อแขนยาวสีแดงสดกำลังเดินกลับมาที่โต๊ะ ดูโดดเด่นซะจนไม่มีใครกินมันลงเลยแฮะ

“มาแล้ว ไม่มีใครมายุ่งกับมึงใช่ไหม”

ผมสายหน้าตาใส ทำเป็นยกเหยือก Around the World ขึ้นมาดูด คือต้องหาอะไรทำครับ อยู่เฉยๆ เดี๋ยวมันจับโกหกผมได้ ผมยิ่งโกหกได้ห่วยแตกจะตาย

“พี่ต่อ มีคนเลี้ยงเหล้าอีกแล้วอะ”

โอ๊ยยย ไอ้พวกนี้นี่ก็ขยันเลี้ยงจังโว้ย ให้ไอ้จูเนียร์น้องผมยกมาเสิร์ฟอีกแล้ว จะไม่ปล่อยให้อยู่กันอย่างสงบๆ เลยหรือไงวะ

“เอามานี่มา” แต่แปลก คราวนี้เจไดมันไม่ได้โวยวายตามหาตัวคนเอามาให้เหมือนเคย ทำเพียงแค่หยิบแก้วขึ้นดื่ม และ...ยกนิ้วกลางโชว์ขึ้นฟ้าเท่านั้นเอง!

เชี่ย... นี่คงเป็นด้านมืดของไอ้เจไดสินะ เฮ้อออ ซึ่งเอาจริงๆ ก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอกนะ ขนาดจานยังปัดแตกได้ ชูนิ้วกลางนี่ถือว่าจิ๊บๆ แล้วล่ะ

“พอเถอะน่า” ผมดึงมือข้างที่โชว์นิ้วกลางของมันลง กลัวว่าเดี๋ยวมันจะกลับหอไม่ได้คืนนี้ โดนคนดักตีหัวตายห่าซะก่อน

ความรู้สึกว่าตอนนี้มันไม่เหมือนว่าผมเป็นคนที่ไอ้เจไดจีบเลยรู้ไหม แต่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็น ‘เมีย’ ที่ ‘ผัว’ ขี้หึงมากๆ แล้วก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากห้ามปราม เพราะกลัวว่าผัวจะโดนคนทำร้ายน่ะ

ประสบการณ์ใหม่สัสๆ เลยกู!

“เอาล่ะครับ ต่อไปเป็นเพลงที่คนในร้านขอมานะครับ ให้กับน้อง...ตัวต่อ ไหนนน น้องตัวต่ออยู่ไหนคร้าบบบบบบ”

อะ กูอีกแล้ว อะไรๆ ก็กู พอแล้วนะ ครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่มาอีกแล้วร้านเหล้าเนี่ย โคตรวุ่นวายเลย

“เฮ้ย มีคนขอเพลงให้มึงอะ” แล้วไอ้นี่เป็นอะไร? เป็นบ้าอะไรขึ้นมา? ทำไมจู่ๆ ไอ้เจไดถึงจับมือผมโชว์ขึ้นเหนือหัว จนแสงสปอร์ตไลท์ของร้านสามารถตามหาตัวผมเจอ

“นี่มึงไม่ได้เป็นคนขอเพลงให้กูใช่ไหมเนี่ย”

“ใช่ที่ไหนเล่า กูเพิ่งกลับมาจากห้องน้ำเมื่อกี้นี้เอง”

“เอ้า แล้วมึงไม่โกรธหรอ?”

นี่ถามจริงจังเลยนะเนี่ย ผิดวิสัยไอ้เจไดเปล่าวะ ขนาดเลี้ยงเล่ายังชูนิ้วกลางใส่เลย นี่ขอเพลงเลยนะ

“ก็ไม่พอใจเท่าไหร่ แต่จะไม่โวยวายแล้ว”

“ทำไมล่ะ?”

“เพิ่งคิดได้... ว่าไม่อยากทำให้มึงอึดอัดน่ะ ขอโทษนะ”

“...”

นี่มัน... รับรู้ความรู้สึกของผมได้อีกแล้วหรอวะเนี่ย?

“อยู่นั่นเอง มีคนขอเพลงนี้ให้น้องครับ ช่วยรับไปด้วยนะจ๊ะ กับเพลงนี้เลย ‘คนน่ารักมักใจร้าย’ คร้าบบบบบบ”

พอได้ยินชื่อเพลง เสียงร้องของผู้ชายเกือบทั้งร้านก็ดังลั่น ดูสะใจกันเหลือเกินสินะที่มีคนขอเพลงนี้ให้น่ะ

ได้! ในเมื่อแสงสปอร์ตไลท์ยังไม่หายไปไหน ผมก็ขอโค้งคำนับให้พวกมันทุกคนเห็นถ้วนหน้าเลยแล้วกัน ว่าได้ กูยอมเป็นคนน่ารักก็ได้ (แม้มันจะไม่ใช่คำที่เอาไว้ชมผู้ชายก็เถอะ!) จะได้ใจร้ายกับพวกแม่งให้หมดเลย!

“ไปกัน” พอแสงสปอร์ตไลท์หายไป ไอ้เจไดก็หันมาชวนผม ดูตื่นเต้นซะเหลือเกิน ไม่ได้จะชวนกูไปเข้าห้องน้ำอีกนะ?

“ไปไหน?”

“ไปเต้นเพลงที่คนขอให้มึงไง”

“อ๋อ” นึกว่าชวนไปเข้าห้องน้ำ “เฮ้ยยย ไม่เอา กูไม่เต้นนนน!”

แต่ไม่ทันแล้วครับ ผมบอกแล้วว่าผมสู้แรงไอ้ตี๋หนวดมันไม่ได้ ยื้อไปก็เปล่าประโยชน์ รู้ตัวอีกทีก็โดนลากไปถึงหน้าเวทีแล้ว แถมยังมาอยู่ตรงกลางฝูงชนด้วย อึดอัดๆๆ

รู้ไหมว่ามีคนตกหลุมรักคุณกี่คนแล้ว จากการที่คุณแค่ยิ้มให้

“เจได...” ผมตั้งใจจะบอกอีกฝ่ายว่าผมไม่ชอบเต้น และผมอยากจะกลับไปที่โต๊ะมากกว่าที่จะยืนอยู่ตรงนี้ แต่ว่า... สิ่งที่ผมได้เห็นตรงหน้ามันทำให้ผมหยุดความคิดของตัวเอง...

ไอ้ตี๋หนวดขี้หึงกำลังมองตรงมาครับ มันยิ้มหวานจนเห็นฟัน ค่อยๆ ปล่อยตัวโยกไปกับเสียงเพลง ยิ่งไปกว่านั้น... ผมไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นใครสักคนทำแบบนี้ คนที่...ขยับปากลิปซิงค์ตามเพลงได้อย่างมีเสน่ห์ พร้อมไปกับการทำท่าประกอบที่ดูก็รู้ว่าจงใจทำให้ผมชัดๆ...

“และยิ่งตอนคุณหันมา จ้องมองตาและทักทายในหัวใจมันแทบละลาย จนเกือบถึงจุดอันตราย และอยากจะขอให้คุณ : )”

มันเริ่มต้นโดยการชี้ตรงมาที่ตาของผม ก่อนจะกลับไปชี้นิ้วที่อกข้างซ้ายของตัวเอง แล้วกลับขึ้นมาวาดหัวใจดวงโตบนอากาศให้ผมดูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบที่ผมชอบ

“หยุดหยุดแค่นี้ก่อน ในใจผมร้อนจนทนไม่ไหว จะรักคุณแล้ว : )”

แล้วท่อนต่อมามันก็พนมมือไหว้ผมเว้ย ทำหน้าเหมือนคนกำลังอ้อนวอน ยังกับว่าผมไปทำให้ใจมันร้อนจนทนไม่ไหวอย่างงั้นแหละ ตลกชะมัด ฮ่าๆๆ แล้วพอถึงตรงที่ขยับปากร้องว่า ‘...จะรักคุณแล้ว’ ไอ้บ้าเจไดก็มุกเดิมครับ ทำเป็นมินิฮาร์ตส่งมาให้ ไหนว่าคราวหลังจะหามาให้ดวงใหญ่กว่านี้ไงเล่า ไอ้ดวงเมื่อกี้ที่วาดให้ยังใหญ่กว่าอีกนะเว้ย ฮ่าๆๆ

 “หยุดหยุดใจไว้บ้าง ห้ามใจเอาไว้ต้องเตือนตัวเอง คนน่ารักมักใจร้ายกันทุกคน : )”

อะ... พอถึงท่อน ‘คนน่ารักมักใจร้าย’ มันชี้มาที่ผมครับ ชี้ค้างเลย แล้วก็ค่อยๆ ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม… ไอ้หน้าหนวดเอ๊ย!

รู้ไหมที่คุณชอบสงสัย ว่าทำไมใคร
ใครใครชอบลืมตอบคำถามของคุณ
ก็เพราะเสียงของคุณ ช่างหวานละมุนอุ่นหัวใจ
ฟังครั้งใด เหมือนเวลาหยุดหมุนไป
ไม่รู้ทำไมอยากจะขอให้คุณ


แต่พอท่อนต่อไปนี่มันไม่ขยับปากร้องตามแล้วครับ มันทำแค่...ก้าวยาวๆ เขามายืนใกล้กับผม... แล้วเราต่างคงก็ต่างเงียบกันไปแบบนั้น...

“...”

“...”

หยุดหยุดแค่นี้ก่อน ในใจผมร้อน
จนทนไม่ไหว จะรักคุณแล้ว
หยุดหยุดใจไว้บ้าง ห้ามใจเอาไว้
ต้องเตือนตัวเอง คนน่ารักมักใจร้ายกันทุกคน


“...”

“...”

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะอธิบายสถานการณ์แบบนี้ว่าอะไรดี จริงๆ มันก็แค่... ยืนจ้องตากัน แล้วก็...ปล่อยให้เสียงเพลงยังคงชัดเจนต่อไปแบบนั้น... แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกเบื่อเลย มันเหมือนกับว่า...เรากำลังสื่อสารอะไรกันสักอย่าง เพียงแค่ไม่ใช่ทางคำพูด..

...หากแต่เป็นทางสายตา

ภายในใจผมสับสนและหวั่นไหว
เวลาที่คุณเข้ามากระซิบใกล้ๆ
คอยเตือนตัวเองท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ


“คนน่ารักมักใจร้าย คนน่ารักมักใจร้ายใช่ไหมคุณ : )”

กว่าที่มันจะขยับปากอีกทีก็ปาเข้าไปท่อนนี้ ไม่ได้ดูเหมือนคนร้องเพลงเลย เหมือนคนกำลังถามคำถามผมด้วยเพลงมากกว่า แล้วตรงท่อนที่ว่า ‘คนน่ารักมักใจร้ายใช่ไหมคุณ’ น่ะ มันยกนิ้วขึ้นมาจิ้มที่สองข้างแก้มของผมครับ

จิ้มที่แก้มนะ... แต่กลับร้อนไปทั้งตัว...

ร้อนอย่างกับไฟ!

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำหน้าแบบไหนอยู่กันแน่ ไม่รู้ด้วยว่าเผลอยิ้มรึเปล่า รู้แค่ว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวหายไปแล้วในวินาทีนั้น เหลือแค่ผมกับมันที่ยืนอยู่ตรงนี้... ถ้าไม่ติดว่า... จู่ๆ ไอ้ตี๋หนวดมันก็ทำท่าเหมือนว่าจะอ้วกออกมาน่ะนะ!?

“เฮ้ยยย ไปห้องน้ำๆๆ”

ผมตั้งท่าจะลากไอ้เจไดไปห้องน้ำ แต่มันกลับกลายเป็นคนที่ลากผมกลับไปที่โต๊ะแทน แรงแม่งเยอะจริงๆ!

“มันจะอ้วกอะยศ” ผมบอกตอนไอ้ยศลุกขึ้นมาช่วยพยุงร่างของเพื่อนมันให้นั่งลง

“แล้วทำไมไม่พาไปห้องน้ำวะ”

“มันไม่ยอมไปอะ”

“ไม่ต้องน่าาา กูขอ... อึก... น้ำขวดนึงพอ ด่วนๆ เลยยย ส่วนมึงอะ มานี่มาาา” เอาเข้าไป น้ำก็จะเอา กูก็จะเอา โลภเหลือเกิน กูไม่นั่งข้างๆ นี่จะตายใช่ไหมฮะ!?

“น้องๆ ขอน้ำขวดนึงจ้ะ”

“ได้ครับ”

พอเห็นพี่ปันปันหันไปสั่งน้ำกับบริกร ผมก็หมดห่วงไปเรื่อง หันกลับมาสนใจไอ้คนเมาต่อ

“ไหนมึงว่ามันคอแข็งไงวะ” อันนี้ไอ้หมูถามครับ แต่สุดท้ายก็เป็นมันเองอีกนั่นแหละที่ตอบคำถามของตัวเองขึ้นมาน่ะ “แต่อย่างว่า แดกหลายแขนงขนาดนี้ ไม่เมาก็แปลกแล้ว”

“อารายยย กูไม่มาววว”

“เฮ้อออ หมดสภาพเลยเพื่อนกู กลับห้องไหม?”

“ไม่เอาๆ กูจาาาอยู่กับตัวต่อออ”

แล้วมันก็หันมาซบไหล่ผม แน่ะๆ เมาแล้วได้ทีเลยนะมึง!

“กลับเหอะ มึงเมาแล้วจริงๆ นะ” พอเห็นว่าไอ้หนวดมันเริ่มดื้อ ผมก็เลยต้องช่วยพูดอีกแรง เผื่อว่ามันจะฟังผมบ้าง

“ไม่อาวววววว” แต่นอกจากที่จะยังดื้อต่อแล้ว ยังรัดแขนผมแน่นขึ้นอีก มึงแม่ง คิดว่าตัวเองแรงน้อยๆ หรอวะ! “ผมจะอยู่กับคุณนะตัวต่อ” แน่ะ เมาแล้วพูดเพราะด้วยนะ ชักอยากจะแกล้งคนเมาซะแล้วสิ

“แน่ใจนะว่าไม่เมา”

“แน่จายยย” อื้อหือ ไม่เมาบ้าอะไรล่ะ เสียงยานคางขนาดนี้ ไอ้บ้า

“ถ้าไม่เมา งั้นเล่นมุกภาษาอังกฤษมาซิ แบบตอนที่มึงเล่นกับกูเรื่อง menu น่ะ”

“ได้เล้ยยยยยยย” เออ เอาสิ เก่งนักก็ยิงมาเลย ดูซิจะคิดออกไหมไอ้ขี้เมา “มึงรู้เปล่า ว่ากูอะ อยากเป็นซุปเปอร์ฮีโร่มากเลยน้าาาาาา”

“ซุปเปอร์ฮีโร่เนี่ยนะ?” ผมอดขำไม่ได้ คนอื่นในวงที่นั่งฟังอยู่ก็ด้วย

“ช่ายยย แล้วมึงลองทายซิ ว่าถ้ากูเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ กูจะใช้ชื่อว่าอะไร”

“กูจะไปรู้หรอ”

“เอาน่าาา ลองทายดูววว”

“เออๆ อืม... Spider-Man ปะ?”

“ไม่ช่ายยย”

“Iron Man ล่ะ?” โทนี่ สตาร์คโคตรรวยเลยนะ ใครก็ชอบ ผมยังอยากเป็นเลย

“ไม่ช่ายยย”

“อ้าว งั้น... Superman อะ?”

“ไม่ช่ายยย มึง...ยอมยางงง”

“อะๆ กูยอม”

“ถ้ากูเป็นซุปเปอร์ฮีโร่น้าาา กูจะใช้ชื่อนี้”

“ชื่อ?”

“Your Mannnnnn : )”

จบตอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2018 02:54:08 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
ถ้าจะมาขนาดนี้แล้วตัวต่อยังไม่ใจอ่อน  :hao7:
โอ้ยยยยยยยยยยยย พระเอกนี่มุกเยอะจริง นิสัยน่ารักด้วย  :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด