ณ ปลายทางที่รอ
[4]
แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่ลอดผ่านผ้าม่านในยามเช้าตกกระทบไปยังเตียงกว้าง ปลุกคนที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้นมา
ดวงตาใสกลมซื่อกะพริบตาสองสามทีเพื่อปรับภาพเช้าวันใหม่ให้ชัดขึ้น ก่อนจะลุกนั่งพิงหัวเตียง
สองแขนเรียวบิดขี้เกียจซ้ายทีขวาทีไล่อาการขบเมื่อยจากงานเมื่อคืน กว่าจะได้กลับบ้านก็ดึกดื่น
แต่ถึงอย่างนั้นงานในชมรมก็ดำเนินมาจวบจนจะเสร็จแล้ว เมื่อวานหลังจากที่นั่งกินข้าวเย็นกับเพื่อนๆในชมรม
คนตัวโตก็โดนเพื่อนเรียกกะทันหัน แม้จะเห็นสีหน้าไม่ชอบใจที่โดนเรียกตัวในตอนนั้นของเจ้าตัว แต่ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ไปไม่ได้ เพราะงั้นเมื่อวานนทีเลยกลับบ้านคนเดียวในรอบหนึ่งเดือน
หนึ่งเดือนที่ไม่รู้ว่าไปสนิทกับคนตัวโตขนาดกลับบ้านกันได้.... หยอกล้อกันได้
หนึ่งเดือนกับการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่าง
ได้ใกล้มากขึ้น ได้พูดมากขึ้น ได้บอกฝันดีกันทุกคืน
จะเป็นไปได้ไหม หากมันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
ม่านสีน้ำเงินทึบสีโปรดของเจ้าของห้องถูกมือเรียวสวยแหวกออกมา หน้าต่างที่ไร้ซึ่งผ้ากั้นทำให้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์สาดเข้ามาภายในห้องได้อย่างเต็มที่ แม้แสงแดดที่สาดเข้ามาจะร้อนไปนิด แต่มันก็อบอุ่น
ดวงตากลมโตมองหลังคาของบ้านตรงข้าม เผลอทำให้คิดถึงคนที่อาศัยอยู่ในนั้น ป่านนี้คนตัวโตนั่นจะตื่นนอนหรือยังน่ะ
หรือกำลังคลุมโปงนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆไม่ยอมตื่นกัน มองไปยังรอบๆเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างได้อย่างชัดเจน แม้บางสิ่งบางอย่างจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังมีอย่างหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนไป รู้สึกอย่างไร ก็ยังคงรู้สึกอย่างนั้น
ไม่เคยเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
นทีถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะปิดม่านสีน้ำเงินทึบนั่นไว้ตามเดิม วันนี้อากกาศน่าจะดี เพราะงั้นนทีเลยตัดสินใจจะออกไปวิ่งข้างนอกนั่นสักหน่อย ร่างสูงโปร่งตามมาตรฐานชายไทยละสายตาจากบ้านตรงข้ามเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะลงไปยังชั้นล่าง วันนี้วันเสาร์พี่สาวเพียงคนเดียวของเขาไปอบรมที่ต่างจังหวัดคงอีกหลายวันกว่าจะได้กลับบ้าน ดังนั้นอาทิตย์นี้เห็นทีก็คงต้องอยู่คนเดียวอีกตามเคย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะก็อยู่อย่างนี้มาตั้งนานแล้ว พ่อกับแม่ก็อาศัยอยู่ในต่างประเทศ
ปีละสองสามครั้งถึงจะกลับมาเยี่ยมเขากับพี่สาว
คิดถึง
โหยหา
และยังรอเสมอ
ท้องฟ้าแจ่มใส เมฆสีขาวบริสุทธิ์ลอยล่องอยู่บนฟ้า คนท่าทางซื่อๆสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกความสดชื่นให้กับตัวเองก่อนจะค่อยๆออกเท้าวิ่งเบาๆตามถนนในหมู่บ้านจัดสรรค์ ต้นไม้น้อยใหญ่ที่อยู่ริมทางยิ่งเพิ่มออกซิเจนทำให้อากาศยิ่งบริสุทธ์มากขึ้น สองเท้าวิ่งมาเรื่อยๆก็เจอสวนสาธารณะ ภาพคุณตาคุณยายรำไทเก็กกันอย่างมีความสุขอยู่ใกล้ๆกันนั้น หยุดขานทีให้มองภาพเหล่านั้นอยู่นานสองนาน ก่อนที่นทีจะยิ้มน้อยๆให้กับภาพเหล่านั้นพร้อมทั้งยกมือถือถ่ายบันทึกเอาไว้
เพื่อบันทึกรอยยิ้มที่สวยงามเหล่านั้น
เพื่อบันทึกความทรงจำที่ดีที่ได้พบเจอในทุกวัน
วิ่งมาได้สักพัก เหงื่อก็เริ่มโทรมกาย แผ่นหลังบางเปียกชื้นจนต้องนั่งพักให้หายเหนื่อยบนเก้าอี้ในสวนสาธารณะ
นทีเลือกจุดที่มีต้นไม้ใหญ่คอยบังแดด เส้นผมที่เริ่มยาวก็ปรกลงมาจนแทบจะปิดหน้า นทีปัดมันออกมาอย่างนึกรำคาญ
เห็นทีคงต้องไปตัดผมซะแล้วละ เขาเองก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าไปร้านตัดผมครั้งล่าสุดตอนไหน เพราะมัวแต่ยุ่งๆกับเรื่องเรียนและเรื่องค่ายอาสาที่จะไป
ถ้าคนตัวโตนั่นไปด้วย ก็คงจะดีไม่น้อย
“ ไง”
นทีมัวแต่คิดเรื่องของคนตัวโตจึงไม่ทันได้ยินว่ามีคนเดินมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน และนั่นแหละคนที่นั่งข้างเขา
ก็เป็นคนเดียวกันที่อยู่ในห้วงความคิด คนท่าทางซื่อๆเพียงแค่หันไปยิ้มโชว์แก้มบุ๋มทั้งข้างของตัวเองอย่างที่ทำเป็นประจำเมื่อมีคนมาทัก แต่นั่นก็ตรึงสายตาของใครบางคนให้มอง
หยดเหงื่อ
รอยยิ้ม
แสงสว่าง
หลอมรวมให้ดูมีเสน่ห์
เชนท์กระแอมไปเบาๆหันหน้าไปทางอื่นแล้วพิงตัวเอนไปกับพนักของเก้าอี้ตัวยาว ยืดมือไปข้างหน้า
ทั้งที่ในใจก็เริ่มรู้สึกคันยุยิบจนอยากจะเกา แต่ก็ทำได้แค่สั่งให้ร่างกายทำอย่างอื่นแทน
“มาไม่ชวนเลยน้า” คนพูดพูดโดยไม่หันหน้ามองคนฟัง คล้ายจะพูดให้ตัวเองได้ยินแต่ก็เจาะจงให้ใครข้างๆได้ยิน
คนท่าทางซื่อๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไงกับคนตัวโตนี้ดี อาจเป็นเพราะเมื่อวานในห้องชมรมคำพูดกำกวนของคนข้างๆทำให้เขาต้องเก็บมาคิดเนิ่นจนกว่าจะข่มหลับตาให้นอนได้ พอตื่นเช้าขึ้นมาในใจก็ยังคงว้าวุ่นจนต้องออกมาวิ่ง แต่พอใจเริ่มสงบ
ใครบางคนกลับกวนให้ตะกอนที่สงบนิ่งอยู่ก้นแก้วให้ฟุ้งกระจายหลอมรวมกับน้ำสีใส
มันยุ่งเหยิง
มันขุ่นมัว
ไม่ชัดเจน
“ เป็นอะไร ทำไมเงียบ”
“ เปล่า”
“ รู้มั๊ย นทีนะ เป็นคนที่โกหกไม่เก่งเลยน่ะ”
“.....”
“ สายตาของคนที่พูดว่าเปล่า เขาไม่ล่อกแล่กแบบนี้หรอก ”
รู้ว่าเป็นคนโกหกไม่เก่ง ไม่ว่าจะคำพูด ความรู้สึก หรือสายตา แต่จำเป็นมั๊ยที่มือของเชนท์จะต้องประคองใบหน้าเขาเพื่อพิสูจน์ดวงตาล่อกแล่กนี้ นทีมองผู้ชายผู้ซึ่งกุมหัวใจของเขาไว้เนิ่นนาน ใบหน้าที่ชิดใกล้ห่างกันเพียงแค่คืบทำให้หัวใจดวงน้อยๆเต้นระส่ำ มือเท้าเย็นเฉียบ หากแต่ใบหน้ากลับเห่อร้อน ริ้วแดงๆเริ่มปรากฏจนเชนท์อดที่จะลูบมันไม่ได้ ดวงตากลมโต จมูกรั้นๆ แก้มที่มีลักยิ้ม มันช่างเหมาะกับคนๆนี้จริงๆ
“ ตาสวยจัง”
เฮือก !
“ระ เรากลับก่อนน่ะ” นทีผวาเกะมือเชนท์ทั้งสองข้างออกจากใบหน้าของตัวเอง เตรียมจะลุกแต่มือใหญ่ๆของเชนท์ก็รั้งมือเขาไว้ก่อน
“ ชอบเชนท์ก็พยายามหน่อยสิ” “...”
“ ไม่ยากหรอก”*****************************************************************
“ น”
“...”
“ นท”
“ ...”
“ นที”
เฮือก !
เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือก กะพริบตาปริบๆสะบัดความคิดที่เตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหนให้กลับมาสู่ปัจจุบัน
หันไปมองเพื่อนที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างๆ แล้วนึกกระดากในใจ
เผลออีกแล้ว
เผลอคิดถึงคนบางคนที่ไม่ได้เจอหน้าร่วมอาทิตย์นับจากวันนั้น
“ ชอบเชนท์ก็พยายามหน่อยสิ”
“ ไม่ยากหรอก”พูดแล้วก็วิ่งกลับไป หายไป ไม่เจอ ....
ปล่อยให้เขาต้องมาคิดฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว
“ เป็นอะไร เราเรียกตั้งนาน” ประธานชมรมหยิบขนมป็อกกี๊รสสตรอเบอร์รี่ขึ้นมากัดพลางถามเพื่อนที่นั่งเหม่อลอยอยู่ตั้งนานสองนาน จนต้องเรียกซ้ำๆอยู่หลายรอบ กว่าเพื่อนของเขาจะรู้สึกตัว เนยสังเกตมาสักพักแล้วว่าชวงนี้นทีเหม่อบ่อยมาก
เหมือนกับว่ากำลังมีเรื่องทุกข์ใจในใจอะไรสักอย่าง
“ เปล่า ” นทีเลือกที่จะปฏิเสธเพื่อนออกไป แต่สีหน้าอึกอักนั่นก็ปิดเนยไม่ได้ ประธานชมรมถอนหายใจออกมาเบาๆ
หยิบขนมป็อกกี๊ที่เคลือบสีชมพูกดไปที่แก้มใสตรงรอยบุ๋มนั่นก่อนจะกัดกิน ไปอย่างเงียบๆ
“นทีนะ โกหกไม่เก่งหรอกเชื่อเราสิ ” นทีเม้มปากตัวเองเบาๆก้มหน้างุดเมื่อนึกถึงคนที่เคยพูดประโยคนี้
คนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปอยู่ไหน กำลังทำอะไร
“เราแค่กำลังสับสน”นทีเอ่ยเสียงเบา แต่ภายในใจกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาไม่รู้ว่าที่เชนท์พูดนั้นมันหมายความว่ายังไง ไม่รู้...มันสับสนไปหมด
“เรื่องเชนท์ใช่มั๊ย?” เนยเลียบเคียงถาม นทีเงยหน้ามองประธานชมรมด้วยสีหน้าอึกอักที่จะตอบแต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับเพราะทนต่อสายคาคาดนั้นจากเพื่อนไม่ได้
“ชอบเขาแล้วละสิ” นทีอยากจะปฏิเสธออกไปว่าไม่ แต่ถึงแม้จะพูดออกไปเนยก็ไม่เชื่ออยู่ดีเพราะเขาโกหกไม่เก่ง จึงทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับยอมรับในสิ่งที่เพื่อนพูด
“บอกเราหน่อยได้มั๊ยว่านทีชอบเชนท์ตอนไหน” เขายิ้มอ่อนๆให้เพื่อน รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อยเมื่อเนยเล่นถามกันอย่างนี้
“ก็ตั้งแต่มัธยมต้น...ละมั้ง” เนยตาโตเมื่อได้ฟัง ก็นั่นนะตั้งนานแล้วน่ะถ้านับๆดูแล้วก็ประมาณแปดปีได้เลย เนยขยับเข้าใกล้นทีก่อนจะชนไหล่นทีเบาๆพร้อมกับเอ่ยแซ็ว
“แหมมม... รักจริงหวังแต่งเลยป่ะเนี่ย”
“บ้า ไม่ใช่สักหน่อย”นทีพูดอ้อมแอ้มเกาแก้มด้วยความเขินแล้วลุกขึ้นไปนั่งเก้าอี้อีกฝั่งของโต๊ะพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบอาการเขินของตัวเอง
“ นี่ เขินเหรอ นั่นแน่เขินใช่ป่ะล่ะ” เนยใช้มือตัวเองจิ้มๆไปที่แขนของนที ลำคอที่เริ่มแดงนั่นบ่งบอกได้อย่างเลยละว่านทีกำลังเขินอยู่
“ ชอบเขานานขนาดนั้นนะ นทีทำได้ไง ถ้าเป็นเราน่ะเลิกชอบไปตั้งนานแล้วไม่อดทนชอบนานเท่านทีหรอก”
สายตาของนทีก็ทอดมองไปข้างหน้ามองคู่รักนักศึกษาหลายคู่กำลังเดินเคียงกันบ้างก็ช่วยแฟนถือของเล็กๆน้อยให้
บ้างก็หยอกล้อกันนทียิ้มกับภาพเหล่านั้นออกมาก่อนจะพูดออกมา “ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ชอบมานานขนาดนั้น รู้ตัวอีกทีก็ไม่สามารถเลิกชอบได้เลย”
นทีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนที่ตัวเองกำลังพูดอยู่นั้น ใครบางคนที่หายหน้าหายตาไปร่วมอาทิตย์เดินเข้ามาอย่างเงียบๆก่อนที่คนๆนั้นจะสะกิดประธานชมรมแล้วจุ๊ปากบอกให้เงียบๆ เนยเองก็พยักหน้ารับทำท่ารูดซิปปากให้
“.....”
“เราก็แค่ชอบในมุมของเรา ไม่ได้หวังให้เชนท์มาชอบหรอก” นทียิ้มเฝื่อนก้มหน้ามองมือตัวเอง” แต่ตอนนี้เรากลับไม่รู้สึกแบบนั้นแล้วสิ”
“ เอ๊า ทำไมอ่ะ” เนยถามออกไปเรื่อยๆ กลั้นยิ้มแทบตายให้ตายเถอะเขารู้สึกเขินแทนนทีมากเลยละตอนนี้ เพราะเชนท์เองก็ยืนฟังไปด้วยอมยิ้มไปด้วย สองคนนี่ตกหลุมรักซึ่งกันและกันชัดๆ แล้วยังจะให้เขามานั่งเป็นกามเทพให้นี่น่ะ
“ก็เราเริ่ม...รู้สึกโลภ...อยากมีเชนท์อยู่ข้างๆ” มือสองข้างบีบเข้าหากันแน่น นทีเคยคิดเคยวาดฝันว่าอยากมีเชนท์อยู่ข้างๆมีเชนท์เป็นคนรัก แต่เพราะเขารู้ รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ผู้ชายสองคนจะรักกันได้ยังไง และเชนท์ก็ไม่มีทางชอบผู้ชาย
ข้อนี้นทีรู้ดี...แต่ความรู้สึกข้างในมันกลับบังคับไม่ได้ บังคับให้เลิกชอบ บังคับให้เลิกโลภไม่ได้....
เนยผุดลุกขึ้นจากเอ้ากี้แล้วเดินไปอยู่ตรงหน้านที ยื่นมือไปกุมมือเพื่อนก่อนที่จะพูดประโยคให้กำลังใจปนอิจฉาเล็กๆ
“
มันไม่ผิดหรอกที่นทีจะคิดแบบนั้น เพราะถ้าเป็นเรา เราก็อยากมีคนคนนั้นไว้อยู่ข้างกายเหมือนกัน เรื่องความรักมันไม่ใช่ความโลภ ถ้าตราบใดที่นทีไม่ได้ทำให้ใครต้องมาเดือดร้อน และความรักของนทีที่เราได้สัมผัสมามันคือรักที่ไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน คือรักที่บริสุทธิ์ มันคือความรู้สึกดีๆที่นทีมีต่อเชนท์และมันก็ไม่ผิดหากนทีอยากจะแชร์ความรู้สึกดีๆนี้ให้เชนท์ได้รับรู้และอยากมีเขาอยู่ข้างๆ เรานะอิจฉาเชนท์มากเลยรู้มั๊ยที่นทีมั่นคงต่อความรู้สึกมานานขนาดนี้ เห้อรู้สึกไม่อยากยกนทีให้เชนท์เลยอ่ะ”
“พูดอะไรของเนยเนี๊ยะ” นทีทำหน้าสงสัย ประธานชมรมไม่ตอบแต่พยักเพลิดหน้าไปยังคนที่กำลังยืนฟังอยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆแต่หน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มนั่น นทีหันไปมองตามที่เพื่อนบอกก่อนที่จะรู้สึกเหมือนว่าทั้งโลกหยุดหมุน ราวกับเวลาหยุดเดิน
เชนท์มาแอบฟังตั้งแต่เมื่อไหร่...งั้นก็แสดงว่าที่เขาพูดออกไปทั้งหมดเชนท์ก็รู้แล้วงั้นสิ
เนยน่ะเนย ทำอย่างนี้กับเราได้ยังไง
วินาทีที่หันหน้าแล้วเจอใบหน้าคมคายของคนตัวโตนั่นทำเอานทีลมหายใจสะดุด มองคนตรงหน้าอย่างอยากไม่เชื่อสายตา
อยู่ๆมาพูดให้คิดแล้วหายไป นึกจะโผล่มาตอนไหนก็โผล่ นทีกำลังรู้สึกน้อยใจ ใจดวงน้อยๆกำลังบีบรัดจนมันรู้สึกหน่วงไปหมด
เขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกน้อยใจอะไรแบบนี้เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน แค่เพื่อนนทียังไม่รู้เลยว่าคนตัวโตนั่นจะให้เขาเป็นได้หรือเปล่า แต่ทำไมไม่รู้ตอนนี้นทีถึงได้รู้สึกอย่างนั้น ไม่อยากจะเห็นหน้าคนตัวโตนี่ คนที่นิสัยไม่ดี นึกอยากจะพูดอะไรก็ก็พูด นึกอยากจะมาก็มานึกอยากจะไปก็ไป ซ้ำยังแอบฟังคนอื่นเขาคุยกันอีก
“เราไปก่อนนะ เคลียร์ดีๆล่ะ” เนยยิ้มให้แล้วตบบ่าเขาเบาๆจากนั้นก็วิ่งปร๋อหายไปทิ้งให้นทีนั่งอึ้งมองคนที่อยู่ในบทสนทนาเมื่อครู่ก่อนที่จะค่อยๆเปลี่ยนสีหน้าเป็นบึ้งตึงเบือนหน้าหนีคนตัวโตนั่นพร้อมทั้งลุกขึ้นเตรียมจะหนีออกไปจากที่นี่
เชนท์รีบวิ่งมาเข้าขวางคนที่ชอบเอาแต่หนี เขายอมรับว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาตัวเองทำให้นทีต้องคิดมากกับคำพูดของเขาตอนที่อยู่ในสวนสาธารณะนั่น วันนั้นในตอนนั้นเขาไม่ได้พูดเพื่อจะแกล้งนทีเลเยแม้แต่น้อย หากแต่คำพูดเหล่านั้นที่พูดออไปเขาได้กลั่นกรองมันออกมาจากหัวใจก่อนหน้านี้แล้ว
แปลกมั๊ยหากเขาจะรู้สึกดีกับคนข้างบ้านตั้งแต่วันที่เขาเดินเข้าไปทักในคืนนั้น คืนที่เขารอคนๆนี้เพื่อจะเอ่ยคำขอโทษหลังจากที่เสียมารยาทตอนที่อยู่ในร้านกาแฟนั่น และในวันต่อๆมาความรู้สึกดีๆของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นชอบ และชอบมากขึ้นทุกวัน
ยิ่งได้คุยกันยิ่งรู้สึกสบายใจ มันเป็นความสบายใจที่เขาเองก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องเป็นนที ทำไมต้องเป็นคนข้างบ้านเขา คนที่เขาคิดว่าตัวเองลืมมาตลอดว่าเคยมีคนๆนี้อยู่ข้างบ้าน แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่ได้ลืม ไม่เคยลืมเลยสักนิด เพราะในทุกๆวันของเย็นวันศุกร์เชนท์ก็จะแอบเฝ้ารอคนๆนี้กลับจากโรงเรียนทุกสัปดาห์
ไม่ใช่นทีคนเดียวหรอกที่รู้สึกแบบนั้นเพราะตอนนี้เขาเองก็รู้สึกแบบเดียวกันกับนที อยากอยู่ข้างๆ อยากจะจับมือไปด้วยกันในทุกๆวัน หัวเราะไปด้วยกัน ยิ้มไปด้วยกัน นทีคือคนที่เชนท์อยากจะแชร์ทุกอย่างในชีวิตของเขาไปด้วยกัน
หนึ่งสัปดาห์ที่หายไปไม่ได้ติดต่อไม่ได้มาเจอกันก็เพราะไอ้ตั้มมันขอ หากว่าเขาชอบนทีจริงๆภายในหนึ่งเดือนเขาต้องห้ามเจอนที ห้ามติดต่อนทีทุกวิถีทาง ถ้าเขาทำไม่ได้ไอ้ตั้มก็จะเดินหน้าจีบนทีและไม่สนด้วยแม้จะรู้ว่านทีชอบเชนท์
แต่สุดท้ายไอ้ตั้มก็ทนไม่ไหวเพราะมันบอกว่าเขากำลังทำเหมือนคนที่ไม่มีลมหายใจทั้งๆที่ยังหายใจ ก็เลยยอมแพ้ ยอมให้เขามาเจอกับคนที่ตัวเองคิดถึงสุดหัวใจ
แล้วมาวันนี้ถ้อยคำทุกประโยคที่นทีพูดออกมานั้นเขารับรู้มันด้วยหัวใจ และเขาจะไม่ยอมให้เวลาหนึ่งสัปดาห์ที่เสียไปต้องสูญเสียไปเปล่าๆ
“เชนท์ขอโทษครับ” เชนท์รวคนหน้าบึ้งเข้ามากอดจมอกตัวเองก่อนจะเอ่ยมันด้วยความรู้สึกผิดไปทั่วหัวใจ
เขาเกลี่ยเส้นผมนุ่มๆนั่นที่ปกปิดใบหน้าแสนน่ารักของเจ้าตัวเผยให้เห็นคนตาโตกำลังเม้มปากตัวเองแน่น
เชนท์ไม่สนแล้วว่าตอนนี้จะมีคนมองมาที่เราสองคนมากน้อยแค่ไหน
เขาสนเพียงอย่างเดียวคือไม่อยากให้คนตรงหน้านี้เข้าใจผิดคิดว่าเขาหายไปแล้วไม่รับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเอง.....แต่ไม่ใช่กับนที คนในอ้อมกอดเขากำลังก้มหน้างุดซ้ำมือก็ยังกำชายเสื้อเขาไว้แน่น เชนท์เลยตัดสินใจกุมมือนทีแล้วพาไปยังหลังตึกของคณะสถาปัตย์ฯ
นทีมองมือใหญ่ของเชนท์ที่กุมมือเล็กๆของเขาไม่วางตา ในใจรู้สึกสับสนไปหมดคำขอโทษที่คนตัวโตพูดเมื่อครู่ช่างอ่อน
โยนเหลือเกิน อ่อนโยนจนนทีไม่กล้าขัดขืนยามที่มือใหญ่นี้กุมมือเขาเดินออกมาจากตึกคณะท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมคณะหลายคู่ที่มองมายังเรา
แผ่นหลังกว้างชองเชนท์ที่นทีมองเห็นอยู่ไกลๆ ทว่าตอนนี้มันอยู่ใกล้แค่เอื้อม ใกล้จนอยากอยากจะสัมผัสมันเหลือเกิน
ผิดมั๊ยหากวันนี้เขาอยากรู้สึกโลภ.....รู้สึกหวงแหนมือนี้ .....รู้สึกหวงแหนแผ่นหลังกว้างนี้ และผิดมั๊ยหากเขาอยากจะเดินกุมมืออย่างนี้กับเชนท์ไปตลอด นทีหลับตาแน่นเมื่อเชนท์หยุดเดินแล้วหันมามองเขา มือใหญ่ของเชนท์ยังคงกุมมือนทีแน่นนิ้วโป้งของเชนท์ลูบไล้บนมือเขาเบาๆราวกับต้องการปลอบ
“เชนท์ผิดเชนท์ขอโทษครับ ที่พูดไปวันนั้นไม่ได้ต้องการจะแกล้งนทีเลย” เชนท์เอ่ยมันออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “และขอโทษที่หนีหายไปไม่ได้มาหา ไม่ได้ติดต่อ ” เขาวาดนิ้วตัวเองไล้ไปทั่วดวงหน้าเล็กนี้อย่างอ่อนโยนและในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็ลูบมือเขาไม่หยุด
“ลืมตามองเชนท์หน่อยน่ะค่ะคนดี ลืมตามองความจริงที่เชนท์กำลังจะพูด” น้ำเสียงออดอ้อนเว้าวอนให้เขาลืมตา นทีจำต้องทำตามอย่างไร้ข้อกังขา ยามที่เปลือกตาทั้งสองข้างเปิดออกมาใบหน้ายิ้มแย้มของคนตัวโตนั่นก็โน้มลงเข้ามาใกล้กับใบหน้าของเขาจนนทีต้องหลุบตาต่ำทำเป็นมองพื้นหญ้าแทน แต่เชนท์ก็ไม่ปล่อยให้คนขี้อายนี้หลบตาเขาหรอก เขาประคองใบหน้าเล็กแสนน่ารักนั่นให้เงยหน้ามองเขา ให้เงยหน้าขึ้นมาสบตาและฟังคำพูดของเขา
“ เชนท์รู้ว่าตอนนี้นทีอาจจะกำลังสับสนและคลางแคลงใจในการกระทำของเชนท์ แต่ทุกคำทุกประโยคต่อไปนี้ที่เชนท์จะพูดออกไป ขอให้นทีรับรู้เอาไว้ว่ามันคือความจริงทุกประการ..... เชนท์ชอบนที ชอบมาก ชอบที่ไม่ใช่ในฐานะเพือน แต่ชอบในฐานะของผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบผู้หญิงคนหนึ่งเพียงแต่คนที่เชนท์ชอบไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นนที ที่พูดไปวันนั้นไม่ได้จะกลั่นแกล้งนทีเลย เชนท์คิดดีแล้วกลั่นกรองมันมาดีแล้วถึงได้พูดออกไป และที่หายไปวันนั้นไม่ติดต่อไม่มาหานที ก็เพราะไอ้ตั้มมันขอเอาไว้ มันรู้ว่านทีชอบเชนท์แต่มันไม่แน่ใจว่าเชนท์ชอบนที ทั้งๆที่เชนท์ก็บอกมันไปแล้ว..... เพราะงั้นมันก็เลยห้ามเชนท์ให้มาเจอนทีเพื่ออยากจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่เชนท์บอกมันไป....เป็นความจริง ” หัวใจดวงน้อยๆของนทีที่บีบรัดจนรู้สึกหน่วง รู้สึกน้อยใจก่อนหน้านี้กลับพองโตขึ้นมาราวกับได้รับน้ำเย็นมารินรดให้ชุ่มฉ่ำไปทั่ว ความสับสนที่มีก็ฟุ้งกระจายมลายหายไปเมื่อเชนทร์พูดประโยคแสนยืดยาวนี้ออกมา
กระบอกตาทั้งสองข้างก็เห่อร้อน นทีพยายามอย่างยิ่งที่จะสกัดกลั้นเสียงสะอื้นที่จุกแน่นอยู่ในลำคอไม่ให้เล็ดรอดออกมา
แต่สุดท้ายแล้วก็ห้ามไม่ได้ น้ำตาใสๆที่เอ่อคลอเต็มดวงตานั่นก็ค่อยๆไหลลงอาบสองข้างแก้ม เสียงสะอื้นน้อยๆก็ดังออกมาให้ได้ยินผะแผ่ว ทั้งหมดมันคือความรู้สึกตื้นตันใจ คาดไม่ถึง ไม่คิดว่าคนตัวโตนั่นจะรู้สึกเหมือนกันกับเขา
.....การแอบรักที่ยาวนานมาหลายปีกำลังจะสิ้นสุดลงแล้วใช่มั๊ย.....
.....มันกำลังจะเป็นความรักของเราสองคนแล้วใช่มั๊ย......
เชนท์ยื่นหน้าตัวเองเข้าหาใบหน้านวลนั่นก่อนจะจูบซับน้ำตาใสๆนั้นเบาๆด้วยความอ่อนโยน
นทีเบี่ยงหน้าหนียามที่ริมฝีปากร้อนของอีกฝ่ายสัมผัสใบหน้าของตัวเอง ลมหายใจอุ่นๆของคนตัวโตนั่นก็เป่ารดตามดวงหน้า
นทีจำต้องหดคอและหรี่ตาด้วยความรู้สึกแปลกๆนั่นไม่ได้ แต่เชนท์นะไม่ยอมให้เขาหนีหรอกเขาประคองใบหน้าอีกฝ่ายไว้แน่นแต่ก็ไม่ได้ทำให้นทีรู้สึกเจ็บ จากนั้นก็บรรจงจูบหน้านทีซ้ำๆเน้นๆไปหลายรอบก่อนที่มือใหญ่ๆนั่นจะปล่อยให้ใบหน้านทีเป็นอิสระ
คนบ้า! นทีสบถในใจ
เชนท์ยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นว่าคนที่เขาเพิ่งฉวยโอกาสกำลังยืนหน้าแดงเช็ดหน้าเช็ดตาด้วยมือสองข้างของตัวเอง
ปากบางๆก็พึมพำว่าเขาไม่หยุด เชนท์อดไม่ได้ที่จะรวบเอวคอดของนทีแล้วจัดการบีบจมูกรั้นๆของเจ้าตัวก่อนที่ใช้จมูกตัวเองถูไถกับกับจมูกเล็กๆนั่นด้วยความมันเขี้ยว นทีพยายามดันอกคนตัวโตออกเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังตะเสียเปรียบ แต่ดูเหมือนว่าแรงมดของเขาจะสู้แรงช้างอย่างเชนท์ไม่ได้
“ เชนท์ปล่อยเรา” เขาทุบอกแน่นๆเสียงดังอั๊ก
.....แค่บอกชอบ แต่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ทำไมจะต้องมารุ่มร่ามใส่กันด้วย ฮึ่ย...
เชนท์ตัวงอเล็กน้อยเบ้ปากด้วยความเจ็บนิดๆ ลูบอกตัวเองป้อยๆทำหน้าทำตาราวกับว่าเจ็บหนักเสียเต็มประดา
เหอะ!
สมน้ำหน้า
“นทีจ๋า ”คนตัวโตเรียกนทีเสียงหวาน “เชนท์ขอโทษครับ ก็นทีอยากน่ารักทำไมล่ะ” นทีกอดอกมองคนตัวโตที่โทษเขาตาเขียวปั๊ด แน่ะ! มีส่งยิ้มให้อีก
“ เชนท์อย่าเข้าใกล้เรา” นทีก้าวถอยหลังออกมาเล็กน้อยออกปากสั่งเมื่อเห็นว่าคนตัวโตนั่นเริ่มไม่อยู่นิ่งทำท่าจะกระโจนเข้าหาเขา
“ นที๊” เชนทร์โอดครวญเสียงดัง แต่ก็ยอมทำตามทำสั่งของคนตรงหน้าโดยดี ใบหน้าคมคายส่งประกายความออดอ้อนอยากจะเข้ามาใกล้ๆ แต่นทีไม่ยอมหรอก
“เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ทำไมต้อง เอ่อ ต้อง ทำแบบนั้นกันด้วย” นทีแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองเสียให้รู้รอดเมื่อพูดประโยคน่าอายนั่นออกไป แต่ก็ยังดีกว่าให้คนตัวโตนั่นทำอะไรตามใจชอบโดยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร แม้จะรู้ว่าเราสองคนชอบกัน แต่ทำแบบนี้ไม่ได้ มันไม่เคลียร์
เชนท์กดยิ้มมุมปากเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้าคมคายเจ้าเล่ห์นั่นทำเอานทีรู้สึกร้อนๆหนาวๆยังไงบอกไม่ถูก ขายาวๆของคนตัวโตก็สาวเท้ามาเรื่อยๆในขณะเดียวกันนทีเองก็ถอยหลังไปทีละก้าวจนในที่สุดแผ่นหลังบางของนทีก็สัมผัสกับผนังที่เคลือบด้วยสีเปลือกไข่จนไม่สามารถก้าวไปข้างหลังได้แล้ว ซ้ำตอนนี้เชนท์ก็ใช้มือทั้งสองข้างของตัวเองกักขังเขาไว้เรียบร้อยแล้ว
ให้ตายเถอะ ไม่น่าขุดหลุมฝังตัวเองเล๊ยนที!!!
นทีหลับตาและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาสบตากับคนตัวโตนั่นด้วยความท้าทาย
“งั้นก็เป็นซะสิ”เชนท์ยิ้มเจ้าเล่ห์แนบลำตัวไปกับคนตรงหน้าเบียดเข้าไปใกล้พร้อมทั้งสูดดมกลิ่นหอมๆจากซอกคอขาวอย่างหลงไหล
“ไม่เป็น ” นทีพูดเสียงเข้ม เอียงหน้าไปอีกทางเมื่อคนตัวโตนั่นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทั้งพยายามผลักคนตัวโตให้ออกห่างตัวเขา นึกเสียใจที่บังอาจไปท้าทายคนตัวโตนั่นจนเป็นเขาเองที่เริ่มจะหาทางออกไม่เจอ ลำตัวที่แนบกันของเราทำเอานทีรู้สึกปั่นป่วนมวนท้องแปลกๆ
ให้ตายเถอะเชนท์ทำไมเป็นคนแบบนี้น่ะ!
“ ได้ไง ก็เราต่างชอบกัน ก็ต้องเป็นแฟนกันสิ”เชนท์เถียง
นทีกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินคนตัวโตพูดแบบนั้นก่อนจะค่อยช้อนตาขึ้นมองดวงหน้าคมคายที่อยู่ใกล้กัน“เชนทร์ชอบเราจริงๆเหรอ ไม่ใช่เพราะสงสา......”นิ้วเรียวของคนตัวโตกดปากเขาเบาๆแล้วพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่นทีจะพูดจบ
“ เชนท์ไม่เคยพูดโกหก ไม่ว่ากับเรื่องอะไรก็ตาม และยิ่งเป็นความรู้สึกของตัวเองเชนท์ไม่เคยโกหกหรือต้องฝืนทำด้วยซ้ำ ที่เชนท์พูดไปทั้งหมด บอกว่าชอบคือชอบจริงๆ ไม่ได้สงสารอะไรทั้งนั้น”
“แต่เชนท์เพิ่งรู้จักเรา”
เชนท์ยิ้มนัยส์ตาของเขาทอประกายความอ่อนโยนทอดส่งไปยังคนตรงหน้าก่อนจะพูดว่า”เราอาจจะรู้จักมาทั้งชีวิตแล้วก็ได้น่ะ อย่าลืมสิว่าบ้านเราอยู่ข้างกัน”ผมนุ่มๆของคนท่าทางซื่อๆกระจัดกระจายไปทั่วแผ่นหัวเพราะคนตัวโตนั่นยีมันนฟูไปหมด
นทีฉีกยิ้มไปกับคำพูดและการกระทำที่อ่อนโยน หัวทุยๆของนทีซบลงไปกับอกแน่นของเชนทร์ก่อนที่จะพูดเสียงดังให้เราสองคนได้ยิน
“เราขอเวลาหน่อย หลังจากกลับค่ายแล้วเราค่อยให้คำตอบน่ะ”
“ เชนท์ไม่อยากฟังคำปฏิเสธหรอกน่ะ” เขากดจมูกไปกับผมนุ่มๆนั่น
“ อันนี้ก็ต้องรอดูความประพฤติของเชนท์ก่อน”
เชนท์ยักไหล่”ได้...ไม่มีปัญหา ....พอถึงวันนั้นนทีก็อย่าหนีเชนท์ไปก็แล้วกัน” นทีเงยหน้ามองคนพูดแล้วยักไหล่ท่าเดียวกันกับเชนท์ก่อนจะพูดประโยคที่พาให้เราทั้งคู่หัวเราะไปพร้อมๆกัน
” ได้ ....แน่นอนอยู่แล้ววันนั้นนะเราจะเป็นคนลากเชนท์มาฟังเอง ”
“ แล้วตอนนี้ เราสองคนเป็นอะไรกัน”เชนท์ถามพลางเกลี่ยแก้มใสของนทีเบาๆอย่างหวงแหน
“ คนพิเศษ เราสองคนเป็นคนพิเศษของกันและกัน” เรายิ้มให้กันและกันออกมาท่ามกลางแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ในยามเย็นที่ประกายความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าสู่ใจเราทั้งสอง เชนท์ขยับตัวออกมาเล็กน้อยเพื่อให้คนโดนกกกอดอยู่นานสองนานนั้นได้รับอิสระ มือใหญ่ของเชนท์คว้ามือเล็กๆนั่นมากุมไว้อีกครั้งก่อนที่ทั้งคู่จะเดินลัดเลาะออกไปจากสถานที่แห่งนี้เพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังจุดหมายปลายทางที่รอ.....บ้านของเรา
อีกตอนเดียวก็จะจบแล้วน้า อิอิ
ใครบอกนทีซืื่อ 5555 อิเชนท์ก็น่ามือไวจริมๆ อิอิ