บันทึกของทอม Day 3o : Trick or Treat จบแล้วค่ะ #novelber2017 - 14/03/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บันทึกของทอม Day 3o : Trick or Treat จบแล้วค่ะ #novelber2017 - 14/03/2018  (อ่าน 5348 ครั้ง)

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2018 07:13:34 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
       Day 1 Forest

แม้ว่าเข็มนาฬิกาจะยังไม่แสดงว่าเป็นเวลา 6 โมงเย็นแต่สำหรับประเทศที่มีอุณหภูมิเพียง 15 องศาคงไม่แปลกที่แสงอาทิตย์จะหายไปและถูกทดแทนด้วยแสงของพระจันทร์อย่างรวดเร็วจนทำให้ใครหลายคนต้องคอยยกนาฬิกาที่ข้อมือหรือที่มือถือขึ้นมาเพื่อเช็คเวลาให้แน่ใจอีกครั้งว่านี่ยังไม่ใช่ยามดึกสงัดอย่างที่ตาเห็น หนึ่งในนั้นที่เอาแต่มองนาฬิกายู่เรื่อยก็คือ ‘ทอม’ ผู้ที่เพิ่งย้ายมาทำงานที่เมืองนี้ได้ไม่นาน แต่เหตุผลที่ทำให้ทอมต้องดูเวลาบ่อยครั้งอาจจะไม่เหมือนคนอื่นเพราะเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความมืดแต่เขากำลังเช็คให้แน่ใจเขายืนอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้วต่างหาก

ทอมย้ายมาอยู่เมืองที่มีอากาศหนาวยาวนานมากกว่าอากาศร้อนอย่างที่เขาคุ้นเคยตั้งแต่เด็กได้เพียงแค่ 2 เดือนทำให้ตอนนี้เขาถึงกับยืนสั่นแม้ว่าเขาจะห่อหุ้มร่างกายด้วยเสื้อผ้าที่หนามากแล้ว คิดแล้วก็ถอนใจพร้อมกระชับเสื้อหนาวให้มั่นขึ้นเขายังต้องอยู่ที่นี่ไปอีก 10 เดือนก็ได้แต่ภาวนาให้ตัวเองสามารถปรับตัวได้โดยเร็วโดยที่ไม่แข็งตายไปเสียก่อนแล้วกัน

"ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าเราจะสามารถเช็คตารางรถเมล์ได้จากไหนอีกไหมครับ? พอดีผมลองเช็คดูในแอปพริเคชั่นแล้วในนั้นขึ้นแค่ว่า real data not available นะครับ"

และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้ทอมต้องดูนาฬิกาแทบจะทุกนาทีหลังจากที่ยืนรอมานานจนเบื่อจนพยายามคิดโน้นนี้ไปเรื่อยจนเขาแน่ใจแล้วว่าเขาแทบไม่เหลืออะไรให้คิดอีกแล้วเขาจึงตัดสินใจเดินไปหยุดขวางตรงหน้าของหญิงสาวผู้สูงอายุคนนึงที่กำลังจะเดินผ่านหน้าเขาไปเอาไว้

"คุณไม่ได้ดูข่าวเมื่อเช้านี้เหรอคะ?"

"ไม่ได้ดูครับ ไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?"

"วันนี้รถเมล์ไม่ให้บริการถนนเส้นนี้ค่ะ”

 "ครับ?"

"เห็นว่าเขาต้องการประท้วงเกี่ยวกับเรื่องค่าแรงหรือสวัสดิการของผู้ให้บริการอะไรนี่ล่ะค่ะดิฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่"

"ขอบคุณมากครับ"

"ไม่เป็นไรค่ะ"

สิ้นคำบอกเล่าเขาถึงได้มองไปรอบๆ อย่างพินิจพิจารณามิน่าเล่าที่ป้ายรถเมล์ป้ายนี้ถึงได้มีเขายืนอยู่เพียงลำพังทั้งที่ปกติแล้วโอกาสที่จะให้นั่งรออย่างสบายยังยากที่จะหาเจอสักครั้ง เอาละเมื่อรู้แล้วว่ารถเมล์ไม่ใช่ทางเลือกในการเดินทางกลับบ้านเขาจึงเริ่มหาเส้นทางของการเดินทางใหม่โดยใช้เจ้ามือถือเป็นเครื่องนำทางให้กับเขา

             'บ้าเอ้ย' ทอมสถบออกมาอย่างลืมตัวเมื่อเส้นทางในมือถือบอกว่าทางที่ดีที่สุดคือเขาต้องเดินไปตามถนนมากกว่า 5 กิโลไปต่อรถไฟเพื่อไปลงสถานีที่ใกล้ที่พักของเขามากที่สุดแล้วเดินจากสถานีอีก 500 เมตร
ทอมตัดสินใจปิดมือถือละทิ้งข้อมูลทั้งหมดที่เพิ่งได้มาแล้วเดินตรงไปที่จุดบริการให้คนเรียกแท๊กซี่

             สายลมเย็นทำให้ทอมใจสงบลงและเริ่มออกเดินจากที่ตามทางเขาเดินเพียงคนเดียวบนทางเท้ายิ่งใกล้จุดที่ให้เรียกแท๊กซี่เขาก็เห็นผู้คนหนาตามากขึ้นจนเวลาที่เขามองตรงไปทางด้านหน้าเขาแอบเทียบกลุ่มคนที่ยืนออและเดินอยู่นั้นเปฌนเหมือนกับกลุ่มต้นไม้เล็กใหญ่ที่ขึ้นเรียงกันอย่างหนาทึบใน 'ป่าใหญ่'

             ปึก ปึก

             "ขอโทษครับ"

             "ขอโทษครับ"

             ทอมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องเอ่ยขอโทษกับคนข้างหน้าอยู่หลายครั้งทั้งที่การที่เขาเดินไปกระแทกคนข้างหน้านั้นมันเกิดจากที่เขาโดนเบียดและโดนดันมาจากคนข้างหลังอีกทีทั้งที่เขาเองก็พยายามเว้นช่องห่างกับคนข้างหน้าไว้ประมาณครึ่งช่วงแขนเลยด้วยซ้ำ

อาจจะเพราะเมื่อคืนเขาเพิ่งได้ดูสารคดีสัตว์ป่าในตอนที่เขากำลังกำลังเก็บล้างจานหลังอาหารมื้อค่ำภาพเหล่านั้นเลยยังติดตาทำให้เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองเขาเห็นภาพของชัยชนะในการแย่งชิงรถแท๊กซี่จากคนที่เชื่องช้าโดยคนที่รวดเร็วและแซงคิวได้เป็นภาพของเสือชีต้าร์ที่วิ่งไปถึงฝูงกวางก่อนสัตว์ตัวอื่นและแย่งเอาเนื้อกวางอันโอชะมากินให้อิ่มท้องก่อนสัตว์ตัวอื่นที่เชื่องช้ากว่า เช่นกระทิงป่าเป็นภาพซ้อนขึ้นมา

             ทอมเห็นภาพของคุณลุงคนแก่ที่กำลังเอาไม้เท้าสะกิดเด็กวัยรุ่นที่แซงหน้าแกไปนั้นซ้อนทับกับภาพของกระทิงป่าที่โดนวิ่งแซงกำลังไล่ขวิดตัวที่แซงมันไปแล้วไปแย่งเหยื่อจากมัน ส่วนเด็กที่ยืนเล่นมือถืออย่างเฉยเมยนั้นเป็นเสือตัวที่เอาแต่ก้มหน้าห้มตากัดกินเหยื่อโดยไม่สนใจว่าตัวเองกำลังโดนขวิดจากอีกตัว เขาเห็นภาพของหญิงสาวสองคนกำลังแย่งยุดรถแท๊กซี่โดยที่มือทั้งสองคนไม่ปล่อยออกจากประตูรถทั้งยังตะโกนต่อว่ากันด้วยเสียงอันดังนั้นเป็นภาพเดียวกับภาพที่เสือชีต้าร์สองตัวกำลังต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงเพื่อที่จะแย่งเนื้อกวางจากตัวที่ล้มลงตรงหน้าของเสื้อสองตัวนั้นพอดี

"เอ้า พ่อหนุ่มสรุปจะไปเรียกแท๊กซี่ไหมเนี่ยเดินช้าเหลือเกินคนข้างหลังแถวยาวไปถึงต้นถนนฝั่งนั้นแล้วเห็นไหม?"

              "งั้นเชิญลุงก่อนเลยครับ"

             คุณลุงอีกคนที่เดินตามทอมมาทางด้านหลังมากำลังสั่งให้เขาเร่งเดินอีกครั้งหลังจากที่พยายามผลักหลังเขามาหลายรอบแล้ว ความจริงตอนที่โดฺนต่อว่าเขาอยากจะตอบกลับไปเหลือเกินว่า 'ต่อให้เขาออกวิ่งก็คงได้เท่านี้เช่นกันเพราะคนข้างหน้านั้นก็ไม่ได้ขยับมากสักเท่าไหร่' แต่แล้วเขาก็ไม่อธิบายแล้วปล่อยให้คุณลุงคนนั้นเดินมาแทนที่จะได้เห็นภาพด้วยตัวเอง

             "เดินเร็วๆ หน่อยสิ"

แต่ดูเหมือนว่าทอมจะคิดผิดไปเมื่อคุณลุงยังคงส่งเสียงบอกให้คนข้างของข้างหน้าเร่งเดินอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ พอมองดูแถวรอแท๊กซี่อยู่นี้จะว่าไปพวกเขาก็เหมือนฝูงกวางที่พยายามหาทางเอาตัวรอดใน 'ป่าใหญ่' เมื่อหลายภาพที่เกี่ยวกับเรื่องในป่าเริ่มมากขึ้นเขาจึงสบัดหัวไล่ความคิดเปรียบเทียบเมืองที่แสนศิวิไลนี้เข้ากับป่าทึบที่กว้างใหญ่นั้น


"ไปไหนครับ?"

"ตึกรีจิสตรงถนนพิสครับ"

              ทอมทิ้งตัวลงนั่งกับเบาะหลังรถอย่างเหนื่อยล้าหลังจากที่เขาต้องยืนขาแข็งรอคิวมา 40 นาที เขาเหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่างดูแสงสีตอนกลางคืนพร้อมกับคิดถึงรายการและหนังที่เขาจะดูเพื่อผ่อนความเหนื่อยจากการทำงานและเดินทางและแน่นอนว่าคืนนี้ช่องสารคดีสัตว์ป่าคงไม่ได้เป็นตัวเลือกในการที่จะอยู่เป็นเพื่อนเขาในยามค่ำคืนของคืนนี้อย่างแน่นอน
 

TBC

สวัสดีค่ะ เรื่องนี้เราแต่งตามหัวข้อ Twitter #Novelber2017 มี 30 ตอน จาก 30 หัวข้อค่ะ ความจริงเราแต่งจนมาถึงวันที่ 19 แล้วค่ะ แต่ไม่ได้เอามาลงที่นี่เพราะตอนนั้นยังไม่รู้แนวทางของเรื่องที่แน่ชัดว่าจะไปทางไหนดี แต่ตอนนี้รู้แล้วค่ะ แหะๆ

ฝากติดตามด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2018 07:29:35 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 2 - รีโมทคอนโทรล Rewrite

ตอนที่ทอมชะโงกไปดูมิทเตอร์รถเขาก็แอบเสียอารมณ์เล็กๆ ที่พวกคนขับรถต่างรวมใจกันประท้วงหยุดงานเพราะมันทำให้ค่าเดินทางสูงขึ้นกว่าทุกวันแพงก็แพงแถมกว่าจะได้รถก็รอคิวนานทั้งทีเวลาแบบนี้เขาควรกำลังทานอาหารค่ำอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ที่ใดสักที่ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือร้านอาหารแต่วันนี้เขากลับต้องมาท้องร้องด้วยความหิว



แต่ความหงุดหงิดนั้นก็หายไปเมื่อเขาใช้เวลาเดินทางจากจุดรอรถมาจนถึงสะพานกลับรถใกล้กับที่พักของเขาเพียง 20 เท่านั้นและก็พบว่าเป็นช่วงเวลานี้นั้นแหละที่เขาไม่ต้องนั่งหงุดหงิดกับการจราจรที่ติดขัดอย่างที่เคยเป็นทอมเลยไม่รู้ว่าเขาควรที่จะขอบคุณการประท้วงนั้นจนทำให้ผ่านช่วงเวลาน่าโมโหในท้องถนนที่เกิดขึ้นเป็นประจำดีหรือไม่



“เดี๋ยวจอดตรงทางหน้าปากซอยเลยครับ”



มื้อเย็นที่คิดเอาไว้ตั้งแต่ช่วงบ่ายว่าจะทำหมูทอดง่ายๆ เพราะต้องการกำจัดพวกเนื้อหมูที่เขาหมักค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานก่อนที่มันจะเสียก็เปลี่ยนเป็นซื้ออะไรง่ายๆ ที่หน้าปากซอยกินเป็นมื้อค่ำแทน ถึงแม้ว่ารถจะไม่ติดและใช้เวลาเพียงไม่นานแท๊กซี่ก็พาเขามาถึงที่หมายแต่ถ้าเขาต้องหิ้วท้องที่ร้องอย่างหนักมานั่งทำมื้อเย็นต่อทอมคาดว่ากว่ามื้อเย็นจะเสร็จเขาคงได้กินหมูดิบเพราะคงรอให้มันสุกไม่ไหว



กลิ่นหอมโชยออกมาจากกล่องที่ถูกบรรจุสปาเก็ทตี้มารินาล่าที่เขาแวะซื้อมาจากร้านเจ้าประจำที่ตั้งอยู่ทางเข้าหน้าปากซอยที่พักทำให้แค่เปิดประตูเข้ามาในห้องคอนโดขนาดกลางเขาก็รีบถอดพวกเครื่องป้องกันความหนาวทิ้งแบบลวกๆ เพิ่มความสบายอีกนิดด้วยการปลดกระดุมเสื้อกับกางเกงคลายความอึดอัดนั่งลงกับพื้นหน้าทีวีเอื้อมมือไปหยิบรีโมทคอนโทรลทีวีที่ถูกวางไว้กับพื้นห้องมาเปิดแล้วเลือกช่องเพื่อเพิ่มอรรถรสของอาหารมื้อค่ำ



ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงเรียกเข้าที่ดังหลายครั้งจากแอปพลิเคชั่นไลน์ดึงความสนใจจากหน้าจอโทรทัศน์ที่กำลังฉายซีรี่ย์สืบสวนสอบสวนที่เขาชื่นชอบแต่ยังที่ทอมได้หยิบมันขึ้นมาอ่านเนื้อความที่ถูกส่งมาเสียงโทรเข้าก็ดังแทรกขึ้นมาทำให้หน้าข้อความนั้นมันดับหายไป



“ฮัลโหลครับพ่อ”



“เป็นยังไงบ้าง? หายไปหลายวันเลยลูก”



“ผมสบายดีเรื่อยๆ ไม่มีอะไรครับ”



“ดีแล้วแต่ทีหลังอย่าหายไปหลายวันสิพ่อนะไม่เท่าไหร่แต่ย่าเราเป็นห่วงเรามากเห็นแกบ่นว่าปกติเราต้องส่งข่าวคราวมาบ้าง งั้นเดี๋ยวเราคุยกับย่าเขาหน่อยนะเขาจะได้หายกังวล พ่อกำลังเดินไปหาย่าอีกห้อง”



“ได้ครับพ่อ”



ดูท่าการโทรมาของพ่อในครั้งนี้ทอมคงไม่สามารถตัดจบบทสนทนาลงในช่วงเวลาอันสั้นแน่นอนเขาจึงหันไปหยิบรีโมทคอนโทรลของเครื่องอัดที่ต่อเข้าไว้กับทีวีกดบันทึกซีรี่ย์ให้เรียบร้อยจะได้เก็บเอาไว้ดูวันหลังได้เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาก็จัดการหรี่เสียงทีวีให้เบาลง



“แม่ครับ ทอมอยู่ในสายครับ”



“ตาทอมติดต่อมาแล้วเหรอ?”



รอยยิ้มของทอมปรากฎอยู่บนใบหน้าทันทีที่เสียงของคุณย่าคนที่ดูแลเขามาตั้งแต่เขามาตั้งแต่ยังเด็กทะลุเข้ามาในสายแต่ในขณะเดียวกันการได้ยินเสียงที่แสนดีใจของย่าเมื่อรู้ว่าเขาโทรมามันทำให้เขารู้สึกผิดเหมือนกันที่ทำให้คนสูงวัยเป็นกังวล



ถ้าจะให้ทอมหาข้อแก้ตัวดีๆ สักข้อกับการที่ทำให้คนแก่ต้องมานั่งกังวลเรื่องของเขาก็คงต้องโทษที่ช่วง 2 -3 วันมานี้เขาโดนขอให้ย้ายไปช่วยอีกแผนกแทนแผนกที่เขาได้ทำเรื่องขอมาแลกเปลี่ยนเขาก็เลยค่อนข้างวุ่นวายทั้งเรื่องเอกสารที่ต้องเรียนรู้ใหม่แล้วไหนจะต้องส่งต่องานจากแผนกเก่าให้กับเจ้าหน้าที่ที่ต้องมารับช่วงต่อจากเขาอีกแล้วก็ด้วยความยุ่งนี้เองที่ทำให้เขาลืมที่บ้านไปเสียสนิท



“สวัสดีครับย่า”



“หายไปตั้งหลายวันรู้ไหมว่าย่าเป็นห่วง?”



“ผมหายไป 2 วันเองนะครับ”



“ยังจะมาต่อปากต่อคำกับย่าอีก”



“ขอโทษครับย่าพอดีช่วงนี้ผมยุ่งนิดหน่อยครับ”



“ถ้ามันยุ่งมากนักทำไมไม่กลับมาบ้านเราละ?”



“ผมกลับไม่ได้ครับผมบอกย่าแล้วไงว่าผมได้เซ็นสัญญาไปแล้ว”



“ก็กลับมาเลย เรื่องงานนั้นนะ...”



“แม่ครับเราพูดกันแล้วไง”



“เธอนี่ก็จริงๆ เลยปล่อยลูกไปที่ไกลๆแบ...”



ทั้งที่หน้าต่างในห้องทุกบานก็ถูกปิดสนิทแต่ความหนาวที่อยู่ข้างนอกนั้นก็ยังคงสามารถทะลุกำแพงเข้ามาได้ ทำให้ทอมเอาไหล่หนีบกับโทรศัพท์เอาไว้ข้างหูแล้วเอาทั้งสองมือค้นหารีโมทคอนโทรลของเครื่องทำความร้อนมาปรับอุณหภูมิให้อุ่นขึ้น



2 เดือนนิดๆ ที่เขาต้องมาอยู่ไกลบ้านทำให้ทอมเกือบลืมเสียงเถียงกันระหว่างย่ากับพ่อที่มักจะดังคลอในบ้านอยู่ทุกวัน ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ใบบางครั้งเขาเคยรู้สึกรำคาญเสียงเหล่านั้นแต่มาในวันนี้เขากลับรู้สึกว่าเขาคิดถึงเสียงเหล่านี้เหลือเกินถ้าทำได้เขาก็อยากย้อนเวลากลับไปแล้วกดอัดเสียงเหล่านี้เก็บเอาไว้ในมือถือจะได้เปิดฟังเวลาที่เขารู้สึกเหงาหรือคิดถึงบ้านหรือไม่อย่างน้อยตอนที่เสียงเหล่านี้ดังขึ้นเขาก็จะไม่ทำหน้าเบื่อหน่ายหรือเดินหนีแบบที่เขาเคยทำ



“ไม่รู้แหละตาทอมถ้าครั้งหน้าหายไปนานแบบนี้อีกย่าจะบินไปตามเรากลับมาจริงๆ ด้วย”



“งั้นแบบนี้ผมต้องรีบหายไปอีกเพื่อให้ย่ามาหาผมดีไหมครับ?”



“ตาทอม!!”



“ผมล้อเล่นครับย่า อย่าอารมณ์เสียไปผมจะพยายามไม่หายไปนานแบบนี้อีกนะครับ”



“ให้มันจริงเถอะไม่ใช่หลอกคนแก่ไปวันๆ”



“ผมไม่หลอกย่าหรอกครับ”



“ทางนั้นดึกแล้วละสิไปพักผ่อนเถอะลูก”



“ย่าอย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะครับ”



“จ๊ะ รักหลานนนะ”



“ทอมลูก คุยกับพ่อแป้ป”



ก่อนที่ทอมจะกดวางสายแล้วไปอาบน้ำเตรียมพักผ่อนหลักจากที่เหนื่อยมาทั้งวันเสียงที่เปลี่ยนมาเคร่งขรึมของพ่อก็ทำให้เขาชะงักมือแล้วเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง



“ครับพ่อ?”



“วันนี้แฟรงค์มาที่บ้าน”



“....”



“เขามาถามว่าลูกอยู่ไหน”



“......”



“ก่อนไปทำงานที่นั้นลูกไม่ได้พูดกับเขาให้เรียบร้อยก่อนใช่ไหม?”



“....”



“ทอม?”



“ผม...ไม่ได้บอกอะไรเขาครับ...แล้วพ่อได้พูดอะไรกับเขาไหม?”



“พ่อไม่ได้พูดอะไรบอกแค่ว่าลูกไม่อยู่ที่บ้านแล้วถ้าเกิดเขามีอะไรก็ให้เขาไปถามจากลูกเอาเอง”



“ผมขอโทษครับพ่อ”



“พ่อไม่ได้ว่าที่เขาจะมาที่บ้านเรานะทอม พ่อแค่อยากให้เคลียร์เรื่องให้มันจบอย่าให้คาราคาซังแบบนี้”



“แล้วผมจะหาเวลาคุยกับแฟรงค์ให้เข้าใจดูครับ”



“ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน”



“ขอบคุณครับพ่อ”



พ่อวางสายไปนานจนหน้าจอทีวีที่เคยฉายซีรี่ย์ที่เขาชอบเปลี่ยนมาเป็นรายการขายของยามดึกเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ตามแต่ตัวเขายังคงนั่งอยู่ที่โซฟไม่ขยับไปไหน ทอมนั่งมองรายการขายของนั้นด้วยสายตาที่ว่างเปล่าแม้ว่าโทรทัศน์จะกำลังเล่นอยู่แต่ภาพที่กำลังฉายชัดในหัวของเขาคือภาพในอดีตระหว่างเขากับแฟรงค์



ภาพที่ฉายชัดขึ้นมาในสมองของทอมนั้นมันมีทั้งภาพที่ทั้งสองคนยิ้มให้กัน กอดกัน บอกรักกัน ภาพที่เขาทั้งสองคนช่วยกันทำความสะอาดบ้านหลังที่เกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของเขาทั้งสองแต่ภาพเหล่านั้นไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ภาพของความสุขแต่มันยังฉายไปถึงภาพที่เขากับแฟรงค์กำลังยืนร้องไห้แต่เหตุผลที่มาของน้ำตาของคนทั้งสองมันต่างกัน



“ไม่เอาทอมผมไม่มีวันเลิกกับคุณ อย่าได้พูดคำว่า‘เลิก’ ออกมาอีก”



“แฟรงค์ผมไม่ได้ขอให้เราเลิกกันแต่ผมก็ไม่สามารถอยู่กันแบบนี้ได้อย่างน้อยให้เวลาผมได้คิดได้โปรดให้ช่องว่างกับผม”



“คุณต้องการเวลาไปเพื่ออะไร? คนรักกันก็ต้องเคลียร์กันอยู่ด้วยกัน ทอมที่รักคุณฟังผมนะยังไงผมก็เลือกคุณอยู่แล้วผมรักคุณทอมคุณก็รู้เพราะว่าคุณรู้ใจของผมดีกว่าใคร”



“แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือสิ่งที่เรียกว่าคุณรักผมแบบนั้นหรือไง?”



“มันก็แค่ความผิดพลาดเพียงเท่านั้น!! ก็แค่เผลอไม่ใช่ความรักมันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ!!”



การพูดจาของเขาทั้งสองไม่เคยเจอจุดความต้องการที่ตรงกันแล้วก็คงไม่แปลกที่มันทำให้เขาสองคนต้องทะเลาะกันเรื่องเดิมๆ ในทุกวันจนทอมเองก็เริ่มที่จะกลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถรับสถานการณ์นี้ได้อีกนานและถ้าถึงเวลานั้นเขาอาจจะพูดคำว่า ‘เลิก’ ออกไปอย่างที่แฟรงค์กลัวเพราะแบบนี้เขาถึงรีบตกลงข้อเสนอกับโครงการแลกเปลี่ยนการทำงาน 1 ปีต่างเมืองจากหัวหน้าของเขา



ซ่า รายการขายสินค้าที่ฉายอยู่ที่หน้าจอของโทรทัศน์ถูกทดแทนด้วยภาพเม็ดละเอียดขาวดำแสดงให้รู้ว่าเวลานี้ดึกเกินกว่าที่สถานีไหนจะทำงานทอมจึงหยิบรีโมทมาปิดเครื่องอัดวีดีโอและโทรทัศน์



“อ้าว”



แต่กลายเป็นว่ารีโมทที่เขาหยิบขึ้นมาในตอนแรกเป็นรีโมทที่ใช้กับเครื่องทำความร้อนแทนพอดูที่โต๊ะก็เห็นว่ามันถูกวางเรียงกันทั้งสามอันจึงแต่ที่น่าเสียดายสำหรับเขาก็คือแม้ว่าเขาจะมี ‘รีโมทคอนโทรล’ ล้อมตัวอยู่ถึง 3 อัน แต่ไม่มีอันไหนเลยที่เขาสามารถใช้มันปิดภาพที่กำลังเล่นอยู่ในหัวสมองของเขาได้และก็ไม่มีอันไหนเลยที่เขาสามารถใช้มันเพื่อกรอกลับไปในอดีตแล้วกดลบเรื่องราวที่ไม่ต้องการจะจำหรือกดเพื่อข้ามเหตุการณ์ที่เลวร้ายเหล่านั้น



บางทีถ้าเขาสามารถกดบังคับให้ความทรงจำเหล่านั้นให้กระโดดข้ามไปมาได้ความเจ็บปวดความเสียใจมันคงอยู่กับเขาไม่นานหรืออย่างน้อยถ้าเขาสามารถกด fastforward เรื่องความทุกข์ไปข้างหน้าได้เขาก็คงไม่ต้องมานั่งทนและรับมือกับความเสียใจอยู่แบบนี้เมื่อไหร่กันนะที่จะมีคนสร้าง ‘รีโมทคอนโทรล’ ที่ทำเรื่องแบบนี้ได้สักที



เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาตี 3 ของเช้าวันใหม่ซึ่งเขาคิดว่ามันก็ควรแก่เวลาที่ควรจะข่มตานอนเสียทีเพราะการประชุมใหญ่ยังรอเข้าอยู่ในตอนเช้า ก่อนนอนทอมเอื้อมมือไปปิดไฟตรงหัวเตียงที่ถูกประดับด้วยกรอบรูปที่ได้รับมาจากย่าและแน่นอนว่ามันคือรูปของครอบครัวเล็กๆ ของเขาที่ประกอบไปด้วย ย่า พ่อ และ แฟรงค์ จำได้ว่าวันที่ถ่ายรูปนี้เป็นวันที่เขามีความสุขมากที่สุดเพราะมันเป็นวันแรกที่ย่าพูดยอมรับแฟรงค์เป็นคนในครอบครัว



พอคิดมาถึงตรงนี้ว่าแล้วเรื่อง “รีโมทคอนโทรล” อะไรนั้นทอมว่าให้มันทำแค่หน้าที่เท่าที่มันทำอยู่เท่านี้ก็คงพอแล้วละเพราะถ้าเขาเอาแต่กรอเรื่องไม่ดีอย่างเช่นเรื่องที่ย่าไล่ตะเพิดเขาออกจากบ้านในวันที่เขาเอาแฟรงค์ไปเปิดตัวแล้วเอาแต่กรอเดินหน้ามาหาเรื่องราวตอนที่ย่ายอมรับแฟรงค์แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถรู้สึกดีใจที่ในที่สุดคนในครอบครัวทุกคนก็ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นในวันนั้นได้มากเท่าวันนี้ไหม?



TBC

โปรดติดตามวันต่อไป
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ถึงคุณ ♥►MAGNOLIA◄♥ ขอบคุณมากค่ะ // โค้งงามๆ  :L2:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2018 07:40:28 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 3 - กรีดร้อง Rewrite

“เดี๋ยวผมลงไปเอง คุณไม่ต้องลงไปหรอกใครก็ไม่รู้”

“แต่ผมลงไปจะสะดวกกว่านะ”

“แล้วถ้าคนในรถนั้นไม่ได้มาดีละ?”

“จะบ้าเหรอแฟรงค์นี่มันหมู่บ้านเรานะคงไม่มั้ง”

“เดี๋ยวผมลงไปเอง”

“แต่…”

ตอนที่เขากับแฟรงค์กำลังจะเอารถเข้าไปจอดในบ้านก็เห็นว่ามีรถคันนึงจอดขวางประตูรั้วหน้าบ้านเอาไว้เขาผู้ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งของผู้โดยสารเตรียมตัวลงไปพูดให้เจ้าของรถคันนั้นขยับรถแต่แฟรงค์กลับห้ามเขาเอ่ยปากห้ามและขอจะลงไปเองทั้งที่เขาลงไปมันน่าจะสะดวกกว่าอีกอย่างสีหน้าของแฟรงค์แสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างมากเขาจึงไม่อยากให้แฟรงค์เป็นคนลงไปเจรจาด้วยกลัวว่าจากเรื่องจอดรถขวางหน้าบ้านอาจจะบานปลายเป็นเรื่องอื่นได้ยิ่งกับคนอารมณ์ร้อนอย่างแฟรงค์ด้วยแล้วเขาไม่ควรเสี่ยง

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ปลดสายเข็มขัดนิรภัยเสร็จเสียงปิดประตูจากทางด้านคนขับก็ดังขึ้นทอมได้แต่ส่ายหัวกับความเป็นห่วงเขาที่มากเกินไปของ ‘แฟรงค์’ คนรักของเขา

ทอมเอี้ยวตัวไปทางเบาะหลังรวบเอาถุงวัตถุดิบสำหรับอาหารมื้อค่ำวันนี้เอาไว้ด้วยกันแล้วเอามาวางรวมกันไว้ที่วางเท้าของตัวเองจะได้เร็วขึ้นตอนเอาของเข้าบ้าน เงยหน้าขึ้นมาอีกทีทอมก็เห็นผู้หญิงเจ้าของรถพยายามเปิดประตูลงมาจากรถโดยที่แฟรงค์กำลังพยายามที่จะดันประตูบานนั้นปิด

ทอมไม่รู้ว่าสองคนนั้นยื้อยุดกันแบบนั้นกันอยู่นานแค่ไหนเพราะเพลงจากสถานีวิทยุที่เปิดดังอยู่ในรถนั้นมันกลบเสียงของการพูดคุยของ 2 คนทางด้านนอกจนหมดที่เขาไม่ได้สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่หน้าบ้านเพราะทอมคิดเพียงว่ารถคันนั้นคงมาหาใครสักคนในหมู่บ้านและมารอผิดบ้านเท่านั้นแต่จากสิ่งที่เขาเห็นเขาคิดว่าคงต้องลงไปแก้สถานการณ์ตรงหน้าก่อนที่มันจะบานปลายไปมากว่านี้

“แฟรงค์ฉันมาถึงที่นี่แล้วนะเราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”

“ลิสผมบอกให้กลับไปไง”

“มีอะไรกันรึเปล่าครับ? แฟรงค์?”

“ไม่มีอะไรผู้หญิงคนนี้กำลังจะเลื่อนรถให้เราแล้วทอมคุณไปเตรียมเลื่อนรถเข้าบ้านได้เลยเดี๋ยวผมต้องช่วยผู้หญิงคนนี้โบกรถ”

“ได้สิ”

ทอมยอมเดินกลับมาเลื่อนรถตามที่แฟรงค์บอกโดยที่ไม่มีข้อโต้เถียงใดๆ ทั้งที่ในหัวสมองของเขากำลังเริ่มตั้งคำถามเพราะถ้าเขาฟังไม่ผิดเหมือนจะได้ยินผู้หญิงคนนั้นเรียกชื่อของแฟรงค์และเหมือนแฟรงค์เองก็รู้จักชื่อของผู้หญิงคนนั้นเช่นกันถ้าแค่มาจอดรถผิดบ้านทั้งสองคนจะรู้จักกันได้ยังไง


“ยังไม่ลงมือเหรอคุณ รอให้ผมช่วยอะไรนะสิ มาๆ บอกมาเลยลูกมือพร้อมแล้วครับ”

กว่าทอมจะรู้ตัวว่าตัวเองเอาแต่ยืนนิ่งเกาะซิ้งค์ล้างจานโดยที่เปิดน้ำให้ไหลผ่านผักที่เตรียมเอามาล้างทิ้งไว้ก็ตอนที่เสียงของแฟรงค์ดังเข้ามาทำลายความคิดที่อยู่ในหัวของเขา

“ทำไมนานจังคุณ?”

“พอดีผู้หญิงคนนั้นขอถามทางนะ”

“เขาต้องการจะไปไหนเหรอครับ?”

“แล้วคุณจะไปอยากรู้เรื่องของเขาทำไม? มาทำมื้อเย็นดีกว่าผมเริ่มหิวแล้วละ”

“คุณรู้จักเธอเหรอ?”

“ผมจะไปรู้จักได้ยังไง? อะไรกันทอมคุณถามเรื่องเธอมากขนาดนั้นหรือว่าคุณสนใจเธอเหรอ? มานี่เลยมาให้ผมลงโทษซะดีๆ”

“ไม่เอาๆๆๆ ฮาๆๆๆ ไม่เอาแฟรงค์ไม่เล่นไหนว่าหิวไงไม่ปล่อยไม่ได้กินนะ”

แฟรงค์ดึงตัวเขาเข้าไปกอดรัดเอาไว้แน่นพร้อมกับไล่หอมไปทั่วช่วงหัวไหล่แถมยังแกล้งปล่อยลมหายใจแรงๆให้กระทบกับใบหูและช่วงต้นคอซึ่งมันเป็นที่แฟรงค์ก็รู้ดีว่ามันคือจุดอ่อนในร่างกายของเขาทำให้เขาต้องปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่และก่อนที่เขาจะขาดใจจากแรงจักจี้เขารีบยกมือขึ้นทุบหลังของแฟรงค์ให้หยุดพร้อมส่งสัญญาณขอยอมแพ้

“คราวนี้จะเลิกสนใจคนอื่นได้หรือยังครับ?”

“โอเคๆ ไม่ถามแล้วครับ”

“งั้นมาเริ่มเลยดีกว่าผมช่วย”

เรื่องราวของผู้หญิงคนนั้นจางหายไปจากความคิดของทอมตามช่วงเวลาที่ผ่านไปจนเขาเองก็เกือบลืมถึงความข้องใจนั้นไปแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องมาเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งที่หน้าบ้านที่เดิมเพียงแค่เปลี่ยนสถานการณ์ว่าครั้งนี้มีเพียงเขาที่ออกมารดน้ำต้นไม้ที่หน้าบ้านโดยที่ไม่มีแฟรงค์ยืนอยู่ด้วยกันและผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้มาจอดรถขวางทางแต่อย่างไร

“คุณคงชื่อทอมใช่ไหมคะ?”

“ครับ คุณ?”

“ดิฉันลิสค่ะคุณพอจะจำดิฉันได้ไหมคะ?”

“ผมคิดว่าผมคุ้นหน้าคุณอยู่บ้าง....เอ่อคุณคือคนที่มาจอดรถที่หน้าบ้านวันนั้นใช่ไหมครับ?”

“ใช่ค่ะ ความจำของคุณดีจัง”

“ไม่ทราบว่าคุณมีอะไรให้ผมช่วยครับ?”

“ดิฉันมาเรื่องของแฟรงค์ค่ะ”

“แฟรงค์อยู่ในบ้านครับงั้นรอสักครู่นะครับเดี๋ยวผมจะเข้าไปเรียกแฟรงค์ให้”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ดิฉันต้องการที่จะพูดกับคุณ”

“ผม?”

“ค่ะ”

“งั้นเข้ามาในบ้านก่อนดีไหมครับ?”

“ถ้าแฟรงค์อยู่ด้วยดิฉันคงไม่ได้พูด ขอดิฉันพูดตรงนี้แล้วกันค่ะ”

“เชิญครับ”

“คือดิฉัน...”

“ทอมเข้าบ้าน ส่วนเธอจะมาที่นี่อีกทำไมก็บอกไปแล้วไงว่าอย่ามาที่นี่อีก!!”

เสียงตะโกนของแฟรงค์ที่เหมือนเสียง ‘กรีดร้อง’ด้วยความไม่พอใจดังออกมาจากข้างในบ้าน เสียงที่ดังออกมาโดยที่ไม่ได้ทันตั้งตัวทำให้ทอมตกใจจนสายยางที่อยู่ในมือตกลงพื้น

“แล้วถ้าฉันไม่มาเมื่อไหร่เราจะคุยกันรู้เรื่องคุณจะปล่อยให้เรื่องนี้มันคาราคาซังไปนานอีกแค่ไหน?”

“เดี๋ยวผมจัดการเองนั้นแหละอย่ามาวุ่นวายที่นี่”

“จัดการ จัดการอะไรนี่มันกี่อาทิตย์ กี่เดือนเข้าไปแล้วและที่อยู่ในนี้ละจะเอายังไง!!”

ผู้หญิงที่ชื่อลิสตะโกนกลับใส่แฟรงค์พร้อมกับเอามือทุบที่หน้าท้องของตัวเอง แฟรงค์ยืนมองภาพนั้นนิ่งอยู่กับที่แต่กลับเป็นเขาเสียเองที่ทนดูไม่ได้เปิดประตูบ้านออกไปวิ่งเขาไปจับมือของลิสให้เลิกทำร้ายตัวเอง

“มานี่ทอมออกมาอย่าไปยุ่งกับคนบ้า”

“มันเกิดอะไรขึ้นแฟรงค์?”

“ที่รักคุณเข้าบ้านไปก่อนผมสัญญาว่าผมจะอธิบายให้คุณได้รู้นะครับผมสัญญา ส่วนเธอถ้าเกิดอยากจะยืนทำร้ายตัวเองอยู่หน้าบ้านคนอื่นเพื่อประจานตัวเองแบบนี้ก็ตามสบาย”

แฟรงค์เดินตามมาดึงตัวเขาให้กลับเข้าไปในรั้วบ้าน ทอมอยากจะยั้งตัวเองเอาไว้แต่สายตาที่เต็มไปด้วยความขอร้องของแฟรงค์ทำให้เขาเลือกที่จะทำตามที่คนรักเอ่ยปากขอโดยการปล่อยมือจากลิส แต่เมื่อมือของเขาหลุดออกจากมือของเธอความสงสัยที่เขามีมาตลอดก็ได้รับคำเฉลย

“คุณไม่อยากรู้เหรอว่าฉันมาที่นี่ทำไม?” มันคือคำที่ทำให้ขาของเขาหยุดก้าวเดินและยืนนิ่งเพื่อรอฟังประโยคถัดมา

“อย่าไปฟังเขาทอมที่รักได้โปรดอย่าฟังเดินตามผมมา”

“ฉันท้องกับเขา ฉันท้องกับแฟรงค์คุณได้ยินไหมทอมฉันท้องกับเขา!!”

“หุบปากแล้วไปจากที่นี่ซะ!!”

“ไม่ไปฉันไม่ไป ได้ยินไหมในนี่มีลูกของแฟนคุณอยู่ได้ยินไหม!!”

“ทอมฟังผมนะ ฟังผม ผมยังไม่รู้เลยว่าในนั้นเป็นลูกของผมจริงไหมอาจจะไม่ใช่ลูกของผมก็ได้อย่าไปฟังเขา ที่รักได้โปรดมองหน้าผมมองมาที่ผมและฟังผมเชื่อผมสิ”

“นี่นายหาว่าฉันส่ำส่อนหรือไง? กล้าดียังไง!!! ยังไงงงงงง!!!!!!!”

เสียงตะโกนใส่กันของทั้ง 2 คนที่ดังข้ามตัวของเขาไปมามันไม่ต่างอะไรกับเสียงที่ทั้งสองกำลัง ‘กรีดร้อง’ และระบายความไม่พอใจใส่กัน จากประโยคที่เขาได้ยินแฟรงค์คงไม่พอใจที่ลิสจะมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขาส่วนลิสเธอคงไม่พอใจที่แฟรงค์ไม่ยอมรับว่าเป็นพ่อของเด็กในท้องของเธอ แล้วเขาละเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้คนที่กำลังเจ็บปวดกับความจริงที่เพิ่งได้รู้ความจริงที่ว่าคนรักของเขาเคยไปนอกกายกับคนอื่นเคยทำอะไรที่ลับหลังเขาโดยที่ยังเรียกเขาว่าที่รักเขาสามารถไประบายหรือกรีดร้องความไม่เป็นธรรมนี้ได้ที่ไหนบ้าง?

ติ๊ดๆๆๆๆๆ

เสียงนาฬิกาดังปลุกให้ทอมสะดุ้งตื่นในยามเช้าปกติเขาจะงัวเงียและเคืองนาฬิกาอยู่เล็กน้อยที่ปลุกเขาจากฝันแต่เช้านี้เขาไม่รู้สึกโกรธที่นาฬิกาส่งเสียงให้เขาตื่น ทอมรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ดวงตาเขายกมือขึ้นมาแล้วปาดหยดน้ำที่เหลืออยู่ที่ข้างแก้มออกไปแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามปาดมันเท่าไหร่หยดน้ำมันก็ไม่หมดไปเสียทีมันคอยที่จะเอ่อไหล่เพิ่มขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!”

ทอมพลิกตัวหันหน้าเข้ากับหมอนแล้วตะโกนอัดเสียงของตัวเองลงไปในนั้นพร้อมกับปล่อยให้น้ำตามันไหลโดยที่ไม่พยายามที่เช็ดมันอีกต่อไป

และนี่มันก็เป็นครั้งแรกนับจากเหตุการณ์ในวันนั้นที่ทอมได้ปลดปล่อยเสียง ‘กรีดร้อง’ เสียงที่บ่งบอกว่าเขาเจ็บปวดจากการถูกหักหลัง ว่าเขาอึดอัดที่ต้องซ่อนเสียงเหล่านั้นเอาไว้ข้างในและแสดงออกมาว่าไม่เป็นไรแบบที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ปลดปล่อยความเจ็บปวดออกมาด้วยเสียงกรีดร้องเสียที


TBC

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2018 08:57:34 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 4 (7) Rewrite


“ย่าเข้าไปนอนแล้วเหรอ?”



“ครับ ผมเข้าไปส่งคุณย่าที่ห้องแล้ว...เรื่องของทอม คือผม…”



“แฟรงค์ฟังพ่อนะ”



“ครับ”



“พ่อบอกเราไม่ได้จริงๆ ว่าทอมเขาอยู่ที่ไหน ถ้าเราจะมาที่นี่เพื่อเยี่ยมพ่อกับย่าพ่อไม่เคยห้ามเราอยู่แล้วแต่ถ้าเราจะมาเพียงเพราะต้องการมาถามเรื่องของทอมอันนี้พ่อจนปัญญา”



“ผมเข้าใจครับผมแค่อยากลองพยายามดูอีกสักครั้ง”



นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แฟรงค์โดนปฎิเสธเรื่องข้อมูลที่อยู่ของทอมแต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อเขายังคงกลับมาที่บ้านหลังนี้ด้วยความหวังที่ว่าสักวันพ่อของทอมจะใจอ่อนยอมบอกว่าตอนนี้ทอมอยู่ที่ไหนและให้โอกาสได้เจอกับทอมอีกครั้ง



มีหลายครั้งที่แฟรงค์อยากจะใช้วิธีลัดโดยการถามเอากับย่าของทอมแต่แฟรงค์ก็รู้ดีว่าถ้าเขาทำแบบนั้นทอมคงไม่มีวันให้อภัยการกระทำนี้ไปตลอดโทษฐานที่ทำให้ญาติผู้ใหญ่ที่ทอมรักต้องกังวลและร้อนใจ



“พ่อบอกทอมไปแล้วว่าให้เคลียร์กับเราให้เข้าใจ พ่อก็ไม่รู้ว่าทำไมยังเป็นแบบนี้”



อีกอย่างแค่นี้แฟรงค์ก็รู้สึกละอายใจที่ทำให้พ่อของทอมเข้าใจผิดว่าลูกชายของตัวเองหนีปัญหาและทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง ทั้งที่ความเป็นจริงเขากับทอมได้เคลียร์ถึงปัญหานี้เป็นที่เรียบร้อยเพียงแต่เขาเองที่ไม่สามารถรับเงื่อนไขอันนั้นของทอมได้และก็เป็นเขาเองอีกนั้นแหละที่ไม่ยอมรับการตัดสินใจของทอมทำให้เรื่องราวมันเคลียร์ไม่ลงตัวจนทอมต้องหนีไป



“พ่อครับถ้าเกิดผมจะขอเข้าไปนั่งเล่นในห้องนอนของทอมก่อนที่จะผมจะกลับได้ไหมครับ?”



“จะต้องขอทำไมลืมไปแล้วเหรอว่าก่อนหน้านี้เราเข้าออกบ้านหลังนี้บ่อยแค่ไหนอีกอย่างพ่อบอกแล้วไงว่าพ่อเองก็เห็นแฟรงค์เป็นลูกชายอีกคนของพ่อเพราะงั้นต่อให้เราจะอยากค้างที่นี่เรายังทำแบบนั้นได้เลย”



“...”



“ต่อให้อะไรเกิดขึ้นจำเอาไว้นะว่าเราก็คือลูกของพ่อไม่เปลี่ยนแปลง”



“ขอบคุณครับ”



แฟรงค์รู้สึกได้ถึงแรงตบเบาๆ ที่บ่าข้างซ้ายพร้อมกับการบีบให้กำลังใจเขาจึงยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพ่อของคนที่เขารักหลังจากที่ตลอดการสนทนาที่ผ่านมาเขาเอาแต่ก้มหน้าหลบสายตา



“พ่อไม่รู้หรอกนะว่าอะไรคือสาเหตุทำให้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น ทอมเขาไม่ได้อธิบายอะไรแต่พ่อเชื่อว่าถ้าเราสองคนรักกันจริงเราสองคนจะต้องผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้”



น้ำตาของแฟรงค์กำลังลื้นขึ้นมาที่ขอบตาเพราะเขาไม่คิดเลยว่าเขาจะได้กำลังใจจากพ่อของคนที่เขาทำให้เจ็บจนต้องหนีไปแม้ว่าความผิดพลาดนั้นเขาจะไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นก็ตาม พ่ออาจจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแต่พ่อก็น่าจะรู้ว่าลูกชายของตัวเองกำลังเสียใจขนาดรู้แบบนั้นแต่พ่อยังคงดีกับเขาไม่เปลี่ยนจากเมื่อก่อนเลยสักนิด



“ขอบคุณครับพ่อ”



เมื่อได้กำลังใจที่ดีก็ได้เวลาที่จะพาตัวเองขึ้นไปทางด้านบนของบ้านระหว่างทางแฟรงค์หยุดแวะดูกรอบรูปที่ถูกประดับเอาไว้ที่ข้างฝา ทุกครั้งที่มาบ้านหลังนี้เขาไม่เคยได้ใช้เวลาสังเกตุรูปเหล่านี้มาก่อนเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่ารูปที่ติดเอาไว้เกือบครึ่งที่ฝาบ้านจะต้องมีเขาอยู่ในรูปนั้นด้วย ตั้งแต่รูปที่ทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย รูปรับปริญญา รูปไปเที่ยวต่างจังหวัดกับมหาวิทยาลัย นั้นสินะ ‘7 ปี’ ที่ผ่านมามันดูเหมือนผ่านมาไม่นานแต่พอมาได้มาดูรูปเหล่านี้แฟรงค์ก็ได้ให้คำตอบกับตัวเองแล้วว่าชีวิตที่ผ่านมาความทรงจำที่ดีๆ ทั้งหมดของเขามันได้อยู่ที่นี่หมดแล้ว



ตลอดเวลาเกือบ 3 เดือนที่เขาไม่ได้นอนเคียงข้างไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับทอมตลอดเวลาที่เขาออกตามหาตลอดเวลาที่ทอมหายไปตลอดเวลานั้นไม่มีวันไหนที่ผ่านไปไม่มีวันไหนที่เขาจะสามารถล้มตัวลงนอนได้อย่างเต็มอิ่ม แต่ไม่น่าเชื่อว่าแค่เขาได้เข้ามาอยู่ในห้องที่มีกลิ่นอายของทอมหลงเหลืออยู่ใจของเขาก็สามารถสงบลงได้แม้มันจะไม่มากแต่ก็ไม่เต้นด้วยความบ้าคลั่งเหมือนอย่างเคย



แฟรงค์ล้มตัวนอนลงที่เตียงของทอมหวังที่จะซึมซับเอาสิ่งที่ทอมยังหลงเหลือเอาไว้ที่เตียงนี้ติดตัวกลับไปเพราะเขากลัวเหลือเกินว่าถ้านานเกินกว่านี้เขาจะลืมสิ่งที่เป็นตัวตนของทอมเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากลืมมากที่สุด



‘คุณไปอยู่ที่ไหนกัน?’ มันเป็นคำถามที่แฟรงค์ถามตัวเองอยู่ทุกวันและมันก็ทรมาณที่เขาไม่เคยได้รับคำตอบสำหรับคำถามนี้ เขาออกตามหาในทุกที่ที่เขาเคยไปกับทอมไม่ว่าจะตามชานเมืองหรือแม้กระทั่งไปดักรอเจอที่หน้าบริษัทเขาก็ทำมาแล้วแต่เขาก็ไม่เจอทอมเลยสักที่ เขาลองไปถามคนที่ทำงานของทอมก็ได้คำตอบมาเพียงแค่ว่าทอมไม่ได้ทำงานประจำอยู่ที่นั้นแล้วแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าทอมย้ายไปประจำที่ไหน เขาตอนนี้หมดปัญญาแล้วว่าจะไปตามหาทอมได้ที่ไหนอีก



ในระหว่างที่แฟรงค์กำลังนอนมองไปรอบห้องของทอมสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นปฎิทินตั้งโต๊ะที่ถูกวางเอาไว้ที่โต๊ะหัวเตียง ปฎิทินที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนจากปากกาจากลายมือของทอมแฟรงค์มองลายมือนั้นด้วยรอยยิ้มเขาหยิบมันขึ้นมาอ่านในสิ่งที่ทอมเขียน ในนั้นเต็มไปด้วยตารางนัดและสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันทอมก็เป็นซะแบบนี้ปฎิทินตั้งโต๊ะกับทอมคือสิ่งที่ขาดกันไม่ได้เขาเคยบอกให้ทอมลองเปลี่ยนมาจดทุกอย่างในมือถือแทนการเขียนลงปฏิทินจะได้เปิดดูได้ทุกเมื่อที่ต้องการแฟรงค์จำได้ว่าเห็นทอมพยายามลองทำได้อยู่แค่อาทิตย์เดียวมั้งหลังจากนั้นเจ้าตัวก็กลับมาเขียนตารางชีวิตลงปฎิทินตั้งโต๊ะเหมือนเดิม



แฟรงค์เปลี่ยนจากนอนมานั่งพิงกับหัวเตียงพร้อมกับเอาปฏิทินมานั่งอ่านอย่างจริงจังด้วยความอยากรู้ว่าเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมาทอมทำอะไรบ้าง แล้วสายตาของแฟรงค์ก็เคร่งเครียดเมื่อเขาเห็นข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นในปฎิทิน ‘ส่งเอกสารตอบรับโครงการแลกเปลี่ยน’



“ผมมาขอพบกับหัวหน้าแผนกครับ”



“ไม่ทราบว่าได้นัดเอาไว้รึเปล่าคะ?”



“เปล่าครับ”



งั้นก็ต้องทำนัดก่อนนะคะ”



“แต่ผมมีเรื่องด่วนครับ”



“ไม่ได้จริงๆ ค่ะ”



“งั้นขอทำนัดพบที่เร็วที่สุดด้วยครับ”



แฟรงค์ตรงมาที่ทำงานของทอมในวันรุ่งขึ้นเขาพยายามถามถึงเรื่องโครงการแลกเปลี่ยนนี้กับเพื่อนร่วมงานของทอมแต่ก็ไม่มีใครบอกอะไรเขาได้บอกแค่ว่าเป็นโครงการของบริษัทที่มีการแลกเปลี่ยนพนักงานกับบริษัทในเครือแต่ก็ไม่รู้ว่าทอมได้ไปที่เมืองไหนหรือประเทศอะไรคนเดียวที่รู้ข้อมูลพวกนี้ก็คือหัวหน้าแผนกแฟรงค์จึงขึ้นมานั่งรอหัวหน้าของทอมตั้งแต่เช้าแต่เขาก็ไม่เห็นวี่แววของหัวหน้าเจอแต่ผู้ช่วยเขาตัดสินใจเลิกรอและขอเข้าพบแต่แล้วคำตอบที่ได้มาก็คือต้องทำนัดเพียงเท่านั้นและวันนี้หัวหน้าของทอมก็ไม่มีคิวว่างที่จะเจอกับเขาได้



 

“เฮ้ย แฟรงค์รึเปล่า?”



เสียงเรียกตะโกนชื่อของเขาที่ดังมาจากอีกฝั่งถนนทำให้แฟรงค์หยุดเดินและหันกลับไปมองหาต้นเสียงแล้วเขาก็พบว่าเจ้าของต้นเสียงคือเพื่อนสนิทของทอมที่เขาเคยเจอตอนที่มารับทอมที่บริษัท



 “นายมาทำอะไรที่นี่?”



“ไบรอัน”



“มีอะไรๆ เฮ้ยๆ อะไร”



แฟรงค์รู้สึกเหมือนตัวเองเจอทางออกเขารีบข้ามถนนไปหาไบรอันและลากไปที่ด้านข้างของตึกเพื่อที่จะถามเกี่ยวกับทอม



“ไบรอันบอกผมทีว่าทอมเขาไปไหน ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”



“เดี๋ยวๆๆๆๆๆ แฟรงค์หยุดเขย่าผมแล้วไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่าไหม? ผมเหลือเวลาอีก 10 นาทีก่อนเข้างาน”



“เอาสิ”



แฟรงค์ปรามความตื่นเต้นของตัวเองแล้วเดินตามไบรอันไปทางด้านหลังของบริษัทนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนที่เป็นที่นั่งพักของพนักงานให้เรียบร้อยแล้วค่อยเอ่ยถามเกี่ยวกับทอมอีกครั้ง



“ทอมเขา…”



“ถ้าทอมเขาไม่บอกคุณผมว่าผมก็คงไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นคนพูด”



“แต่ผมต้องการเจอเขาจริงๆ”



“แต่ทอมอาจจะยังไม่พร้อม”



“ผมรู้แต่ผมไม่อยากให้มันนานมากไปกว่านี้คุณพูดแบบนี้รู้เรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหม?”



“ทอมก็มีพูดกับผมบ้าง เฮ้อ มันก็จะหนักหน่อยนะ 7 ปีแล้วนิเนอะสำหรับคู่ของคุณนะ ไม่แน่นะมันอาจจะเป็นอาถรรพ์ 7 ปีก็ได้เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”



“อะไรคืออาถรรพ์7 ปี?”



“คุณไม่เคยได้ยินเหรอที่เขาว่ากันว่าคู่ไหนที่คบกันมาถึงเจ็ดปีแล้วปีที่ 7 มักจะเป็นที่ต้องเป็นปีที่มีปัญหาและส่วนมากก็ต้องเลิกกัน”



“ผมไม่เชื่ออะไรพวกนั้นหรอก”



“ก็แค่เล่าให้ฟังถ้ายังไงก็ผมก็ขอให้คุณผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้แล้วกันผมคงทำได้แค่เอาใจช่วยขอโทษนะที่ผมช่วยได้เท่านี้”



“ไม่เป็นไรผมเข้าใจ”



อาถรรพ์ 7 ปี งั้นเหรอไม่มีทางซะหรอกที่เขาจะยอมแพ้กับความรักของเขาเพียงแค่ความเชื่อเหล่านั้น เพราะสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดก็คือคนเรามีสองมือ มือข้างหนึ่งอาจจะทำตามสิ่งที่สวรรค์สร้างสั่งเอาไว้ ส่วนอีกมือนั้นมันคือสิ่งที่เขาต้องสร้างเองเพื่อประคับประคองสิ่งที่สวรรค์สรรสร้างมาและครั้งนี้เขาก็จะใช้มืออีกข้างนี้นี่แหละประคองความรักของเขาไปให้ได้เขาจะไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด



แฟรงค์หยิบมือถือขึ้นมากดส่งข้อความไปหาทอมอีกครั้งเหมือนที่เขาเคยทำมาตลอดทุกวันเกือบสามเดือนที่ผ่านมา เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าทอมจะยังสามารถรับข้อความของเขาได้หรือเปล่าเพราะไม่ว่าเขาจะส่งไปเท่าไหร่เขาก็ไม่เคยได้รับข้อความกลับมาไม่ขึ้นว่าอ่านด้วยซ้ำแต่เขาก็แค่อยากลองอีกสักครั้ง



แฟรงค์ : ‘ผมไม่รู้นะว่าคุณยังได้รับข้อความของผมอยู่ไหม แต่สิ่งที่ผมอยากให้คุณรู้คือผมไม่มีวันยอมแพ้และผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไปจากผม 7 ปีที่ผ่านมาความรักที่สวยงามแบบนั้นผมรู้ว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันพังลงแต่ผมขอโอกาสสร้างมันกลับขึ้นมาอีกครั้งผมขอโอกาสแสดงให้คุณเห็นว่าผมรักคุณมากแค่ไหนผมจะตามหาคุณจนเจอที่รักโปรดรอผม’


TBC  :pig2:

ถึงคุณ Zetnezz  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2018 09:09:32 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 5 หนังสือพิมพ์: Rewrite

“สวัสดียามเช้าค่ะคุณทอมวันนี้รับเป็นแฟลตไวท์เหมือนเดิมรึเปล่าคะ?”



“วันนี้ผมขอเป็นดับเบิ้ลช๊อตครับ”



“ครั้งแรกเลยนะคะที่ดิฉันเห็นคุณสั่งกาแฟเข้มแบบนี้”



“วันนี้ถ้าไม่ได้กาแฟแรงๆ ผมคงอยู่ไม่ถึงเย็นแน่ครับ”



“ช่วงนี้งานหนักมากใช่ไหมคะ? ดิฉันเข้าใจค่ะยิ่งช่วงใกล้จะสิ้นปีแบบนี้เห็นประจำค่ะไม่ใช่แค่คุณทอมค่ะพนักงานบริษัทหลายคนเลยที่เดินหน้าตาเหนื่อยเข้ามาในร้านแบบคุณทอม งั้นเดี๋ยวจะเพิ่มความเข้มให้เป็นพิเศษแล้วกันนะคะจะได้มีแรงถึงเย็น”



“ขอบคุณครับ”



บาลิสต้าสาวยิ้มกว้างพร้อมพยักหน้าเห็นด้วยให้กับความคิดของตัวเองและส่งสายตาเห็นอกเห็นใจให้ทอม คิดแล้วสภาพอดนอนของเขาคงจะหนักเอาการถึงได้รับการเห็นใจมากขนาดนี้ แม้จะรู้สึกท้อใจกับสภาพของตัวเองแต่อย่างน้อยถ้ามองในแง่ดีสภาพแบบนี้นี่แหละที่ช่วยให้เขาก็ได้กาแฟรสเข้มกว่าเดิมในราคามาตราฐานมาทำให้ตาสว่างได้ก็แล้วกัน



ทอมกวาดตามองไปทั่วด้านหน้าของร้านที่มีแผงหนังสืออยู่ตรงมุมร้านในนั้นแม้จะเป็นมุมเล็กๆ แต่ก็จะมีหนังสือหลายอย่างวางอยู่ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ไปจนถึงนิตยสารแฟชั่น แต่สิ่งที่เขามองหาและซื้อทุกเช้าก็คือหนังสือพิมพ์ที่มาจากหัวของ Post Post ที่เขาซื้อของหัวสำนักพิมพ์นี้มันไม่ใช่เพราะว่าข่าวของที่นี่ถูกต้องหรือว่าเยอะกว่าเล่มอื่นที่วางอยู่ด้วยกันแต่มันเป็นเพราะเขาติดเกมส์ที่อยู่ในหนังสือพิมพ์นั้นต่างหากไม่ว่าจะเป็น crosswords หรือ filling in the blank หลังจากเขามองหาเพียงครู่เขาก็เจอสิ่งที่เขาต้องการ



“ขอโทษครับ” // “ขอโทษครับ”



เสียงขอโทษดังขึ้นมาพร้อมกันจากคน 2 คน คนนึงก็คือตัวเขาเองที่ดันไปจับลงบนมือของผู้ชายอีกคนที่กำลังหยิบหนังสือพิมพ์เล่มเดียวกับเขา แม้เขาจะไม่รู้จักคนที่ต้องการสิ่งเดียวกันเป็นการส่วนตัวแต่ก็คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีเพราะคนนี้ก็คือคนที่เขามักจะเจอแทบทุกเช้าที่ร้านกาแฟร้านนี้ ทอมเป็นคนที่ยอมผละมือออกมาแม้จะนึกเสียดายเมื่อเห็นว่าเล่มนั้นมันคือเล่มสุดท้ายบนแผงนี้และเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นก็จะสังเกตุเห็นเหมือนกันจึงยังไม่ยอมหยิบมันไปจ่ายเงินสักที



“เชิญคุณครับ” ทอมดูจากสถานการณ์เมื่อกี้มือของเขาอยู่ทางด้านบนของชายคนนี้มันก็สามารถตีความได้เพียงอย่างเดียวว่าเขาเอื้อมมือไปถึงหนังสือพิมพ์ทีหลัง



“เอ่อ เจนครับ คุณมี Post Post เหลือเล่มเดียวเหรอครับ?”



“อ้าวคุณจอห์น สวัสดีค่ะต้องขอโทษด้วยค่ะวันนี้มีเพียงเท่าที่เห็นเลยค่ะ”



“โอ้...”



ผู้ชายคนนั้นหันมามองเขาอีกครั้งหลังจากที่ได้รับคำตอบจากบริต้าสาวว่าไม่มีเหลือแล้วทอมเผยมือออกไปทางด้านหน้าเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่าคนนั้นสามารถหยิบไปได้เลย



“ขอบคุณครับ งั้นคุณ…”



“ทอมครับ”



“ครับคุณทอม คุณแน่ใจนะครับ?”



“คุณเอาไปเถอะครับผมมาที่หลัง”



“ถ้าให้ผมเดาคุณทอมคงชอบเล่มเกมส์ที่อยู่ในเล่มนี้”



“และถ้าให้ผมเดาคุณจอห์นก็คงจะชอบเล่มเกมส์เดียวกันกับผม”



“ใช่ครับผมนะต้องซื้อเล่มนี้ทุกเช้าก็เพื่อที่เกมส์เท่านั้นแหละครับ”



“ครับ”



“...หายากนะครับที่จะเจอคนที่ยังชอบเล่นเกมส์ที่อยู่บนกระดาษแบบนี้ คนส่วนใหญ่รอบข้างผมตอนนี้ใครๆ ก็ชอบที่จะเล่นในมือถือมากกว่ามีคนหาว่าผมเป็นพวกยุคหินด้วยซ้ำ”



“ผมคงเสพติดในกลิ่นของหมึกมั้งครับเลยทำใจไปเล่นในมือถือไม่ได้เสียทีอีกอย่างเวลาผมได้กลิ่นของมันผมว่าสมองผมว่าผมแก้เกมส์ได้เร็วกว่าในมือถือ”



“เหมือนกันเลยครับ ผมน่ะยังแอบหยิบขึ้นมาดมกลิ่นของมันก่อนอ่านอยู่บ่อยๆ เลย แต่ต้องแอบทำนะครับกลัวคนอื่นหาว่าผมโรคจิต”



“ไม่ต้องห่วงครับคุณจอห์นคุณไม่ได้เป็นคนเดียวถ้าคนโรคจิตผมคงเป็นโรคเดียวกับคุณสำหรับผมกลิ่นของมันค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่อยากจะเลียนแบบครับ”



“คุณทอมค่ะกาแฟได้แล้วค่ะ หวังว่ามันจะเข้มพอที่จะทำให้คุณสู้งานได้ทั้งวันนะคะ” เสียงของบาลิต้าสาวทำให้ทอมหยุดบทสนทนาที่เขารู้สึกว่ามันไหลลื่นเป็นพิเศษกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน



“ขอบคุณครับ” ทอมยิ้มลากับบาลิสต้าก่อนที่จะหันกลับไปหาคนรู้จักคนใหม่ของเขา



“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณจอห์น”



ทอมเดินจากออกมาด้วยกาแฟแก้วเล็กโดยที่ไม่มีหนังสือพิมพ์เล่มโปรดติดตัวมาด้วยถ้าเป็นเช้าอื่นเขาอาจจะรู้สึกผิดหวังเล็กๆ แต่เช้าวันนี้เขากลับรู้สึกว่าไม่เป็นไรอาจจะเป็นเพราะเขาได้แลกเปลี่ยนบทสนทนากับคนที่สนใจในสิ่งเดียวกัน



“เดี๋ยวครับคุณทอม!!”



เสียงเร่งฝีเท้าจนเหมือนเกือบวิ่งดังมาพร้อมกับชื่อของเขา ทอมจึงหันกลับไปพร้อมกับเอามือตบดูของในกระเป๋าเสื้อและกางเกงเผื่อว่าเขาจะลืมวางอะไรไว้ที่ร้านจนทำให้คุณจอห์นต้องวิ่งตามกลับมาคืนให้กับเขาแต่เขาว่าเขาเองก็ไม่น่าลืมอะไร



“ครับ?”



“คุณเดินไปทำงานทางนี้เหรอครับ?”



“ใช่ครับ”



“ทางเดียวกันเลยงั้นเราเดินไปพร้อมกันดีไหมครับ?”



“เอาสิครับ”



ตลอดการเดินทางจากร้านกาแฟไปที่ทำงานทั้งสองต่างแลกเปลี่ยนความชอบของกันและกันและมันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าความสนใจของเขาทั้งสองคนมีส่วนที่คล้ายกันมากโดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นมันเกี่ยวกับของสิ่งที่ทำมาจากกระดาษ ความง่วงความมึนที่เกิดจากการนอนไม่พอเมื่อคืนเริ่มจางไปซึ่งทอมเองก็ตอบไม่ได้ว่ามันเป็นผลจากกาแฟที่บาลิสต้าจงใจทำให้มันเข้มหรือเป็นเพราะบทสนทนาที่เหมือนได้คุยกับคนที่รู้จักกันมานานแบบนี้



“ถึงที่ทำงานผมแล้วครับ ครั้งนี้ผมคงต้องขอตัวจริงๆ นะครับ”



“คุณทำงานที่ตึกนี้?”



“ครับ”



”…คุณทอมครับ”



“ครับ?”



“นี่ครับของคุณ”



“ไม่เอาครับคุณจอห์นคุณเป็นคนที่หยิบมันได้ก่อนเพราะฉะนั้นเล่มนี้มันควรเป็นของคุณครับ”



“เอาไปเถอะครับ คุณบอกผมเองว่าคุณจะแก้เกมส์ได้เร็วกว่าถ้าคุณได้กลิ่นของมัน”



“มันก็จริง แต่...”



“ไม่มีแต่ครับผมก็แค่อยากดมกลิ่นมันและตอนนี้กลิ่นของมันก็ติดเต็มมือผมไปหมดแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกนอกจากกลิ่นผมยังได้ของแถมเป็นสีของหมึกติดมือมาด้วย เพราะงั้นเดี๋ยวผมไปโหลดเกมส์ของวันนี้ในมือถือก็เล่นได้แล้วครับ”



“แม้คุณจะพูดแบบนี้แต่ผมก็ยังคง”



“เถอะนะครับยืนเถียงกันแบบนี้ผมสายกันพอดี”



“งั้นผมไม่เกรงใจนะครับ?”



“ครับ”



“งั้น” ทอมหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองออกมาเพื่อที่จะหยิบเงินค่าหนังสือพิมพ์ให้กับคุณจอห์น



“ไม่ต้องหรอกครับ”



“ถ้าเป็นแบบนี้ ผมรับเอาไว้ไม่ได้หรอกครับ”



“เอางี้ งั้นวันนี้คุณเอาไปแก้เกมส์ตอบคำถามผมก็จะไปเล่นที่ทางสำนักพิมพ์โหลดเอาไว้ที่เว็บไซต์แล้วเรามาดูคำตอบจากเล่มในวันพรุ่งนี้กันครับถ้าผมชนะคุณก็เลี้ยงกาแฟผมพรุ่งนี้เช้าเป็นการตอบแทนดีไหมครับ? แต่ถ้าคุณชนะคุณก็ไม่ต้องจ่ายค่าหนังสือพิมพ์คืนให้กับผม”



“เอ่อ…”



“ตกลงตามนี้นะครับ พรุ่งนี้เจอกันตอนเช้าที่ร้านเดิมครับ”



คุณจอห์นวิ่งหายไปจากเขตการมองเห็นของเขาแล้วทั้งที่เขายังไม่ได้ถามเลยด้วยซ้ำว่าแล้วคุณจอห์นจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะไปร้านนั้นกี่โมง? แต่คิดไปก็เท่านั้นจะให้ติดต่อโทรไปบอกก็ทำไม่ได้เพราะเขาไม่ได้แลกเบอร์ติดต่อกันเขาจึงได้แต่หยักไหล่ให้กับตัวเองพร้อมกับคิดว่าถ้าพรุ่งนี้โชคชะตาทำให้เขาได้เจอกับคุณจอห์นอีกครั้งจริงละก็หลังจากนี้เขาคงมีเพื่อนเพิ่มมาในชีวิตอีกคน



แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขาก็คงต้องขอบคุณเจ้า ‘หนังสือพิมพ์’ เล่มนี้ที่เป็นเอกลักษณ์เลยสามารถดึงคนที่มีความสนใจคล้ายกันมารู้จักกันได้ เขาจับมันกระชับเอาไว้กับมือแล้วตั้งมั่นว่ากลับบ้านคืนนี้เขาต้องรีบจัดการมื้อเย็นแล้วรีบแก้เกมส์ให้ชนะแล้วละก็ค่ากาแฟน่ะมันแพงมากกว่าราคาหนังสือพิมพ์อยู่ไม่น้อยเลยนะ


TBC

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ  :pig2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2018 10:05:53 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 6 – น้ำกัดเท้า

“หยุดกดได้แล้ว!! ลิสคุณจะมาที่นี่อีกทำไม?!!? ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ!!”             

แฟรงค์ส่งเสียงตะโกนใส่คนที่อยู่หน้าบ้านของเขาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความหัวเสียแต่จะไม่ให้เขารู้สึกแบบนี้ได้อย่างไรในเมื่อสิ่งที่ปลุกเขาให้ลืมตาตื่นมาในเช้าวันใหม่คือเสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังรัวจนหนวกหูอยู่หลายนาทีแถมยังเกิดจากฝีมือของผู้หญิงที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุด ผู้หญิงที่เขาตราหน้าว่าเป็นคนทำลายความสุขของเขามาตลอดในช่วง 2 – 3 เดือนหลังมานี้ เขาไม่ได้หลับลึกเขาตื่นลืมตาตั้งแต่เสียงกริ่งบ้านดังครั้งแรกเขาลุกขึ้นมาเปิดผ้าม่านดูว่าเป็นใครก่อนที่จะหันตัวกลับไปนอนคลุมโปงเพื่อตัดความน่ารำคาญอยู่ที่เตียง แต่ไม่ว่าเขาจะกลับเข้าไปคลุมโปงและพยายามข่มตาเพื่อนอนต่อยังไงก็ตามเขาก็ไม่สามารถหลับตาลงได้อีกครั้งเพราะเสียงกริ่งนั้นมันไม่ได้ถูกลดเสียงลงตามจำนวนครั้งที่กดแต่กลับเพิ่มความถี่ในการกดมาขึ้น เขาสบัดผ้านวมที่คลุมโปงอยู่ออกตัดสินใจเลิกหลบหน้าเมื่อความอดทนของเขาสิ้นสุดลง
             
“นี่นายเมาเหรอแฟรงค์? กลิ่นเหล้านาย..”

“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของผม คุณเถอะจะมาที่นี่อีกทำไม?”

“ก็ถ้าฉันไม่มานายจะยอมไปเจอฉันไหมละ? ที่ทำงานนายก็ไม่ยอมให้ฉันเข้าไปอย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่านายสั่งอะไรไว้กับ รปภ ที่บริษัทแล้วแบบนี้ฉันเหลือทางเลือกอะไรอีกบ้างถ้าไม่มาหานายที่นี่ไหนนายบอกฉันมาสิ?”       

“ก็บอกไปแล้วไงว่าถ้าผมพร้อมผมจะไปหาคุณเอง การที่ผมไม่ได้ไปก็หมายความว่าผมยังไม่พร้อมมันเข้าใจยากตรงไหนกับความหมายที่ผมสื่อออกไปนะหะ!!”

“แล้วเมื่อไหร่นายจะพร้อม ฉันต้องแบกหน้าไว้คนเดียวอีกนานแค่ไหน?!!”

“หน้าของคุณคุณก็แบกเอาเองก็ใครทำให้เรื่องมันยุ่งแบบนี้ถ้าวันนั้นคุณไม่มาตั้งแต่แรกเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ไหม?? ถ้าไม่มาผมคงเคลียร์กับคนของผมรู้เรื่องไปแล้ว กลับไปซะมาพูดตอนนี้มันก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แฟรงค์และลิสมีการพูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ความต้องการในบทสรุปของทางแก้ของเขากับลิสมันต่างกันมากเกินไปการพูดคุยที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งมันจึงวนอยู่ในจุดเดิมและมันก็ไม่เคยเดินทางไปถึงการแก้ไขของปัญหาได้สักที

 

“อย่ามาพูดเหมือนฉันผิดอยู่ฝ่ายเดียวนะ ฉันไม่ได้เป็นคนบังคับให้นายมามีอะไรกับฉันสักหน่อยไม่ได้แม้แต่จะมอมเหล้านายด้วยซ้ำวันนั้นที่นายพาฉันเข้าโรงแรมก็เต็มใจแล้วก็มีความสุขดี หรือจะต้องให้ฉันพูดไหมว่านายมีความสุขมากแค่ไหน? ต้องให้ฉันบรรยายถึงเสียงที่ออกมาจากลำคอของนายเองในวันนั้นไหม??!!??”

“แล้วหลังจากที่ทุกอย่างมันจบลงคุณเห็นรึเปล่าว่าสภาพของผมเป็นยังไงเห็นใช่ไหมว่าผมทุกข์แค่ไหนที่เรื่องมันเกิดขึ้น เท่าที่ผมรู้มันไม่มีอะไรที่ผมสามารถเรียกได้ว่าความสุขเลยสักนิด!!! กลับไปซะ!!!”

“เหรอ? แล้วถ้าไม่ได้มีความสุขล้นแบบนั้นน้ำเชื้อมันจะดีจนฉันท้องได้แบบนี้ไหมละ?!!”

ขาที่กำลังจะหมุนตัวเพื่อที่จะก้าวกลับเข้าไปในตัวบ้านของเขาต้องหยุดชะงักลงเมื่อประโยคคำถามนั้นมันซ้อนทับขึ้นมากับประโยคของใครคนนึง

“ถ้าไม่ได้ชอบเขาคุณจะทำแบบนั้นลงไปได้ยังไงแฟรงค์?”

“ถ้าคุณไม่ได้ชอบเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาบ้างเขาจะท้องลูกของคุณได้ยังไง?”
 

“มันก็แค่พลาดไปเท่านั้นแหละมันก็พลาดไปเท่านั้น คุณฟังคำพูดของผมแล้วจำใส่ใจเอาไว้เลยนะว่าเรื่องที่เกิดกับคุณมันก็แค่การผิดพลาดในการตัดสินใจของผมมันพลาด ผมพ่ายแพ้ให้กับความมักง่ายของตัวเอง และก็ผิดพลาดจนมันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา”

 

แฟรงค์เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าประโยคนี้ที่เขาพูดออกจากปากของเขาไปนั้นเขากำลังอยากให้ใครได้ฟังกันแน่ระหว่างผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงนี้หรือว่าคนที่ตอนนี้กำลังหนีหน้าหายไปจากเขา

“ต่อให้มันคือการผิดพลาดแต่ความผิดพลาดนี้ก็บ่งบอกแล้วว่านายไม่รักคนของนายอย่างที่นายเคยพร่ำบอกเอาไว้เพราะถ้านายรักเขาจริงไอ้เรื่องผิดพลาดพวกนี้คงไม่เกิดขึ้น!!”

“ผมรักเขา อย่าพูดอะไรดีกว่าถ้าคุณไม่รู้!!”

“เหอะ รักงั้นเหรอ? อะไรที่นายบ่งบอกว่ารัก?”

“ผมใช้ชีวิตอยู่กับเขาไงนั้นแหละที่พิสูจน์ว่าผมรักและพร้อมจะมีชีวิตอยู่กับเขาแล้วก็ไม่ใช่คุณ”

“เหอะ ถ้ารักเขาจริงทำไมนายถึงไม่เคยพาเขาไปร่วมงานการกุศลที่ไหนเลยละเวลาที่บริษัทนายมีงานแล้วเวลาไปต่างจังหวัดร่วมกับบริษัทอื่นทำไมนายไม่เคยเอาเขาไปเปิดตัวเลยละ หะ? ตอบมาสิทำไมทุกครั้งที่ฉันไปกับเพื่อนของฉันทำไมฉันไม่เคยเจอเขาคนนั้นของนายเลยละ!!”

“...”

“นายเอาแต่เก็บเขาไว้ใกล้ตัว แอบการมีตัวตนของเขาเอาไว้ทำเหมือนว่าเขาเป็นเชื้อราที่ทำให้เกิด ‘โรคน้ำกัดเท้า’ ที่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะรู้ว่ามีมันอยู่แต่ก็อายเลยปกปิดมันเอาไว้ด้วยรองเท้า”

“....”

“นายรักงั้นเหรอ? ฉันว่าแต่นายรักตัวเองมากกว่า เพราะนายกลัวว่าคนอื่นในที่ทำงานจะรับไม่ได้ว่านายมีความรักไม่เหมือนคนอื่นนายกลัวคนอื่นจะต่อต้านกลัวจะหลุดจากว่าที่ผู้จัดการ นายกลัวนายพลาดเพราะไอ้โรคน้ำกัดเท้าของนายใช่ไหมละ? นายเลยต้องทนเก็บงำและซ่อนมันเอาไว้แบบนั้น”

“หุบปาก!!”

“ทำไมแทงใจดำหรือไง?”

“กลับไป ออกไปจากหน้ารั้วบ้านของผมซะ!!”

“ไล่กันนักฉันไปก็ได้แต่ฉันกลับมาอีกแน่!!”

“....”

“อ้อ แต่ก่อนไปขอเตือนไว้อย่างนะว่าไอ้ ‘โรคน้ำกัดเท้า’ ของนายนะเก็บไว้ยังไงมันก็ไม่มิดหรอกสักวันกลิ่นมันก็ต้องโชยออกมาจากร้องเท้าของนายจนคนอื่นได้รับรู้ว่านายเป็นยังไงนั้นแหละ”

 

ลิสยอมไปจากหน้าบ้านของเขาแล้วแต่คำพูดของลิสมันเหมือนด้ายที่ตรึงแฟรงค์เอาไว้จนเขาไม่สามารถขยับไปไหนได้ไม่จริงเขาไม่เคยคิดว่าทอมคือเชื้อรา ทอมไม่ใช่คนที่เขาต้องซ่อนเอาไว้ มันก็แค่ยังไม่ถึงเวลาที่จะบอกใครต่อใครก็เท่านั้นมันแค่ยังไม่ถึงเวลา

สำหรับแฟรงค์ถ้าใครสักคนในชีวิตจะเป็นเชื้อราที่เป็นต้นเหตุของ ‘โรคน้ำกัดเท้า’ เขาว่าคนๆ นั้นน่าจะเป็นผู้หญิงคนเมื้อกี้ที่กำลังทำลายชีวิตคู่ทำลายความสุขของเขาไม่ใช่ทอม

ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่กำลังทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวดคันอยู่ในหัวใจอย่างทรมาณเพราะไม่สามารถเอื้อมมือเข้าไปเกาเพื่อบรรเทาความทรมาณนี้ได้และมันยังโชว์ถึงความผิดพลาดที่เหม็นโชยเพื่อประจานในความมักง่ายของเขา

ใช่แล้วถ้าเขายังปล่อยเชื้อรานี้ให้มันเจริญเติบโตมันก็จะคอยแต่จะกัดกินเท้าของเขาไปเรื่อยๆจนเป็นโรคน้ำกัดเท้าและฝังอยู่กับตัวเขาไปตลอดถ้าเขาไม่รับรักษาถ้าจะหยุดมันเขาควรที่จะหยุดตั้งแต่ตอนนี้ ใช่แล้ว เขาควรที่จะกำจัดเชื้อรานี้ทิ้งไปโดยเร็วเสียที

TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 7 – Motion (กริยาท่าทาง// การกระทำ)

“สวัสดียามเช้าครับคุณทอม”

“คุณมาเจอผมได้จริงๆ ด้วย แม้เราจะไม่ได้นัดกัน”

“แน่นอนสิครับ ผมก็ต้องมั่นใจว่าผมจะได้ค่าหนังสือพิมพ์คืนผมถึงกล้าที่จะพูดกับคุณไปแบบนั้น”

“งั้นสงสัยว่าคุณคงจะได้ค่าหนังสือพิมพ์บวกกับค่ากาแฟจริงๆนั้นแหละครับ ผมยอมแพ้ครับ”

เขายื่นหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อวานคืนให้กับคุณจอห์นคุณจอห์นรับมันคืนไปจากมือของเขาด้วยสีหน้าของความไม่เข้าใจเป็นอย่างแรกแล้วทันทีที่คุณจอห์นเปิดไปหน้าของเกมส์นั้นสีหน้าของความแปลกใจก็ปรากฎตามขึ้นมา

“คุณแกล้งยอมแพ้รึเปล่าครับ?ทำไมมันถึงได้ว่างขนาดนี้?”

“...”

“เอ๋ หรือว่าคุณไม่ว่าง? ถ้าเป็นแบบนั้นผมถือว่าผลการแข่งยังไม่เป็นทางการนะครับมันคงไม่ยุติธรรมถ้าผมจะว่างเล่นอยู่คนเดียว”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับผมลองเล่นดูแล้วแต่ผมทำไม่ได้ ดูสิครับตรงมุมกระดาษยังมีรอยปากาหลงเหลืออยู่เลย”

“ถ้าเป็นแบบนี้...งั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ เพราะงานนี้ผมชนะคุณขาดลอย”

คุณจอห์นยื่นหน้าจอมือถือที่โชว์ถึงการเติมคำในช่องว่างมาจนครบแทบทุกช่องเมื่อเขาเห็นถึงความเอาจริงเอาจังในการแข่งขันแล้วเขาก็ไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะของเขาเอาไว้ได้

             

“ผมเปิดรูปอะไรผิดรึเปล่า?”

“ไม่หรอกครับคุณก็เปิดรูปตารางเติมคำนั่นให้ผมดูแหละครับ”

“แล้วไป โล่งใจผมนึกว่ามือจะพลาดแล้วไปเปิดอะไรที่ไม่สมควรให้คุณดูเสียอีกเห็นคุณขำแบบนี้ใจหายหมดงั้นคุณขำอะไรน่ะครับ?”

“ผมขำความคิดตัวเองนิดหน่อยน่ะครับคุณไม่ได้ทำอะไรตลกหรอก”

“แต่มันก็ต้องเกี่ยวกับผม?”

“ผมว่าเราไปสั่งกาแฟกันดีกว่าสายกว่านี้เดี๋ยวจะคิวยาว”

“ฮ่าๆๆๆๆๆ”

“มีอะไรรึเปล่าครับคุณจอห์น?”

    ขณะที่เขาสองคนกำลังต่อแถวเพื่อสั่งกาแฟจากร้านเจ้าประจำอยู่ๆ คุณจอห์นที่ยืนอยู่ข้างกันกับเขาก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดังเขาสะดุ้งตกใจจนกระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในมือของเขาเกือบหล่นลงที่พื้น

    “คุณอยากรู้เหรอครับว่าผมหัวเราะอะไร?”

“ก็...ครับ เมื่อกี้ผมก้มลงหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ผมพลาดอะไรไปรึเปล่าครับ?”

“ถ้าคุณอยากรู้ คุณก็บอกเรื่องที่คุณหัวเราะออกมาก่อนสิครับเอามาแลกกัน”

“โอเคๆ”

“คุณจะเล่าแล้ว?”

“ผมจะบอกว่า...งั้นผมไม่อยากรู้ก็ได้ครับ”

“คุณทอมนี่นะ ผมล่ะยอมแพ้จริงๆ ผมเองก็ไม่รู้เรื่องที่คุณหัวเราะก็ได้ครับ”

จ้างให้เขาก็ไม่มีวันที่จะบอกกับคุณจอห์นว่าตัวเขาคิดอะไรอยู่ในตอนนั้นถึงได้หัวเราะออกมาเพราะมันคงหน้าอายน่าดูที่คนอย่างเขาแอบคิดอะไรไปไกลมากแต่จะว่าไปก็เป็นเพราะ ‘ท่าทาง’ของคุณจอห์นเองนั้นแหละที่ชวนทำให้เขาคิด ไหนจะเมื่อเช้าที่มารอเขาที่ตรอกที่เขาใช้เดินมาเป็นประจำก่อนที่จะถึงร้านกาแฟโดยที่เขาก็ไม่เคยบอกว่าเขาเดินมาทางนี้ไหนจะเรื่องที่อยู่ๆ ก็มายกหนังสือพิมพ์ให้เขา เพราะแบบนี้เมื่อเช้าเลยมีอยู่แวบนึงที่เขาแอบแปลการกระทำทั้งหมดคุณจอห์นว่าคุณจอห์นกำลังสนใจในตัวเขา

แต่ความคิดนั้นก็ล้มลงไม่เป็นท่าในนาทีที่คุณจอห์นยื่นหน้าจอโทรศัพท์ออกมาเพราะถ้าคุณจอห์นสนใจในตัวเขาจริง คุณจอห์นเองก็ควรที่จะออมแรงยอมแพ้และขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงกาแฟเขาในเช้านี้สิไม่ใช่เล่นเอาชนะอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่ออมมือเลยสักนิด

“คุณยิ้มได้แล้ว”

“ครับ?”

“นี่เป็นรอยยิ้มแรกของคุณเลยนะครับสำหรับเช้านี้”

“ปกติผมก็ไม่ได้เป็นคนยิ้มเก่งอยู่แล้ว”

“แต่วันนี้ตาของคุณเศร้ากว่าทุกวันยิ่งรวมกับรอยขีดในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ขีดเบาๆ วนอยู่ที่เดิมแบบนั้นแล้ว ถ้าให้ผมเดาผมว่าคุณคงกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่”

“คุณเป็นจิตแพทย์ หรือ หมอดูครับ?”

“หว่า ผมโดนเลี่ยงไม่ตอบคำถามอีกแล้วสินะครับ”

เขาได้แต่ยิ้มตอบให้กับคุณจอห์นโดยที่ไม่เอ่ยพูดอะไรออกมา บทสนทนาระหว่างเขาทั้งสองคนคงไม่สามารถไปได้ต่อและคงเกิดความเงียบที่อึดอัดถ้าเกิดคุณจอห์นรอเค้นคำตอบเอาจากเขาแต่มันตรงกันข้ามเพราะทันที่เขาเงียบไม่ตอบอะไรออกไปคุณจอห์นกลับสามารถเปลี่ยนเรื่องคุยไปได้อย่างไม่สะดุดไม่ว่าจะเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศจนลามไปจนถึงเรื่องของหนังและอาหารที่ชอบ

“ผม...ก็มีเรื่องให้คิดจริงๆ อย่างที่คุณว่าครับ”

ทั้งๆ ที่คุณจอห์นก็เปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอื่นไปแล้วแต่ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้เขาอยากที่จะพูดถึงเรื่องนี้กับคุณจอห์นคุณที่เขาเพิ่งรู้จักได้เพียงแค่24 ชั่วโมงเท่านั้น

เขาพยายามหาคำตอบให้กับ ‘การกระทำของตัวเอง’ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดกับตัวของเขาเองได้ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าเมืองนี้เขามองไปก็ไม่เห็นใครอื่นหรือเหตุผลที่ว่า “ท่าทางและการกระทำ” ของคุณจอห์นมันทำให้เขารู้สึกสบายใจมากกว่าใคร

“ถ้าคุณพร้อมที่จะเล่าคุณรู้ไหมครับว่าผมพร้อมที่จะฟัง?”

“ปัญหาคือผมยังไม่พร้อมจะบอกใคร ขอโทษนะครับ”

“แต่คุณก็เริ่มแบกเอาไว้ไม่อยู่”

“ผมควรที่จะเริ่มกลัวคุณรึเปล่า? ทำไมคุณดูเดาอะไรเก่งไปหมดสรุปแล้วคุณคือใครกันแน่ครับ?”

“ผมก็แค่พนักงานบริษัทธรรมดานี้แหละครับ เพียงแค่สังเกตุจากท่าทางของคุณ”

“แค่นั้น?”

“ใช่ครับ ไม่รู้ว่าคุณทอมเคยได้ยินคำพูดที่คนในเมืองนี้ชอบพูดกันไหมว่า‘การกระทำ’ และ ‘ท่าทาง’ ของคนเรามันจะส่งเสียงดังมากกว่าคำพูด”

“เคยได้ยินอยู่บ้างครับ”

“นั้นแหละครับและตอนนี้ท่าทางที่ออกมาจากตัวคุณทอมก็กำลังฟ้องว่าคุณทอมกำลังมีเรื่องให้คิดและกำลังจะแบกเรื่องนั้นมันไม่ไหวอีกแล้ว”

“ไว้ผมพร้อม”

“ครับ ไว้เมื่อคุณทอมพร้อม”

“ขอบคุณครับนะครับคุณจอห์น”

“ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ”


TBC

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 8 –การเอาใจใส่

“สวัสดียามเช้าครับคุณทอม”
 
“สวัสดีครับคุณจอห์น”

“เดี๋ยวนี้เราเจอกันทุกเช้าเลยนะครับ”

“เมื่อก่อนเราก็เจอกันครับ”

“ผมรู้แต่ผมหมายถึงว่าเราเจอกันทุกวันเลยนะครับเดี๋ยวนี้”

“เมื่อก่อนเราก็เจอกันทุกวันครับ”

“แต่ผมว่าเมื่อก่อนผมเห็นคุณเพียงแค่บางเช้าเท่านั้นนะครับไม่ใช่ทุกเช้าแบบนี้?”

“แต่ผมเห็นคุณทุกเช้า”

“ครับ?”

“โห หน้าคุณทอมแสดงออกถึงความไม่เชื่อในคำพูดของผมออกมาชัดเจนมาก จริงๆ นะครับเรานะเจอกันทุกเช้า งั้นเอางี้พูดเฉยๆ คงไม่เชื่อ งั้นเอาแบบนี้แล้วกันครับ คุณมักจะมาถึงที่ร้านตอนประมาณ7 โมง 15 ของทุกวัน คุณจะสั่งแฟลตไวท์ทุกเช้าและหลังจากสั่งเสร็จคุณก็ต้องเดินมาที่มุมหนังสือและหยิบเอาหนังสือพิมพ์เล่มนั้นตลอด อ้อ ตอนนั้นคุณยังใช้เป้สะพายหลังอยู่เลยคุณเพิ่งเปลี่ยนมาเป็นกระเป๋าสะพายข้างเมื่อประมาณ2 อาทิตย์ที่แล้วนี่เอง”

“...”

“คราวนี้คุณเชื่อผมรึยังครับ?”

เขารู้ตัวดีว่าถ้าตอนนี้ตรงหน้าของเขามีกระจกวางอยู่ภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกบานนั้นคงจะเป็นภาพของเขาที่กำลังอ้าปากค้างพร้อมด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเพราะเขากำลังอยู่ในช่วงอาการตกใจจากข้อมูลที่เขาเพิ่งได้ยินมา

“คุณทอม?”

“แต่ผมไม่เคยเห็นคุณเลยนะ ไม่สิผมต้องพูดว่าผมเห็นคุณในแค่บางวันเองครับ”

“ก็ไม่แปลกหรอกครับที่ผมเห็นคุณทอมเพราะว่าคุณทอมต่างจากคนอื่นนะครับผมเลยเห็นได้ง่าย”

“เพราะเส้นผมของผมเป็นสีน้ำตาลเลยแตกต่างจากคนอื่นใช่ไหมครับ?”

“ไม่ใช่ครับเพราะแววตาที่เศร้าของคุณต่างหากที่มันต่างจากคนอื่น”

“แววตาผม...”

“ผมว่าผมไม่พูดแล้วดีกว่าเดี๋ยวคุณกลัวผมจนเลิกคบผมแย่เลยทีนี้”

นั้นสิถ้าเป็นคำพูดพวกนี้ออกมาจากคนอื่นเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกแบบไหนมากกว่ากันระหว่างประหลาดใจที่มีคนคอยสนใจเขาแบบนี้หรือว่ารู้สึกกลัวและกังวลที่มีคนคอยติดตามและสังเกตุเขาตลอดเวลากันแน่

“อะ นี่ครับ”

“อะไรเหรอครับ?”

“หนังสือพิมพ์ของวันนั้นนั่นแหละครับวันที่คุณไม่ได้เล่นเกมส์”

“โอ้...”

“ส่วนคำเฉลยของเกมส์ผมตัดมันแล้วเสียบเอาไว้ที่แผ่นหลังสุดของหนังสือพิมพ์แล้วนะครับ”

“ขอบคุณนะครับ”

ใจของเขาที่ห่อเหี่ยวจากแรงกดดันของเมสเสจที่เขาได้มาตลอด2-3 วันนี้มันเบาบางลงเมื่อเขาได้รับ ‘การเอาใจใส่’ เล็กๆ น้อยๆ จากคนที่เขาเพิ่งรู้จักเพียงไม่นานแล้วเช้าวันนี้ก็ไม่ได้ต่างจากเช้าของวันก่อนๆ หลังจากที่ทั้ง 2 ได้กาแฟตามสั่งพร้อมกับหนังสือพิมพ์ที่ชอบกันคนละเล่มเขาก็เดินพูดคุยกันถึงเรื่องทั่วไปจนมาถึงตึกที่พวกเขาทำงาน

“จะว่าไปผมก็ไม่รู้เลยว่าคุณจอห์นทำงานอยู่ที่ตึกไหน”

“ไม่ไกลจากตรงนี้หรอกครับ ถามแบบนี้คุณทอมเกิดคิดอยากเดินไปส่งผมบ้างเหรอครับ?”

“ด้วยอากาศเกือบจะเหลือเลขเดียวแบบนี้ผมว่าผมเข้าไปข้างในตึกแล้วเชิญให้คุณจอห์นเดินต่อไปคนเดียวแล้วกันนะครับ”

“ฮ่าๆๆๆ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ครับ”

“ครับแล้วเจอกัน”

“อีกอย่างนึง...นี่ครับ”

“แท่งช็อคโกแลต?”

“พอดีเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาผมเห็นว่าคุณดูไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ก็เลยคิดว่าคุณควรได้รับอะไรหวานๆ เผื่อคุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ชอบของหวานอยู่แล้วมันน่าจะช่วยได้เยอะ”

“คุณไม่ลืมที่ผมพูดเมื่อวาน?”

“เรื่องที่คุณไม่สบายใจ...แน่ละครับว่าไม่ลืม”

“เรื่องที่ผมชอบกินช็อคโกแลตต่างหาก”

ใช่แล้วเมื่อวานตอนที่เดินผ่านร้านขายขนมที่กำลังเตรียมเปิดตัวเขาเพียงแค่ชี้นิ้วไปที่ร้านนั้นเขาพูดแค่ว่าไว้ร้านนั้นเปิดเมื่อไหร่เขาจะมาลองกินช็อคโกแลตเพราะมันเป็นขนมที่เขาชอบมากที่สุดมันเป็นแค่เพียงคำพูดลอยๆ ขึ้นมาเท่านั้นเขาไม่คิดเลยว่าคุณจอห์นจะจำมันได้

“ครับ ผมจำได้”

“คุณจอห์น”

“ครับ?”

ตลอดการเดินจากร้านกาแฟมาถึงที่หน้าตึกที่เขาทำงานคำพูดของคุณจอห์นเมื่อตอนเช้ามันยังคงดังอยู่ในความคิดแต่เขาก็พยายามที่จะปัดมันออกไปแต่พอเขามาเจอเข้ากับการเอาใจใส่ทั้งความชอบทั้งคำพูดเพียงเล็กน้อยของเขาอีกครั้งมันก็ทำให้เขาไม่สามารถปัดมันทิ้งออกไปได้หรือปล่อยให้มันผ่านไปแบบไม่รับรู้ถึงความพิเศษเหล่านี้อีกแล้ว

เขารู้ว่าสิ่งที่เขาได้รับมาจากคุณจอห์นมันคือความปรารถนาดีและตัวเขาเองที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในเมืองที่เขาไม่คุ้นเคยมาก่อนมีหรือที่จะอยากปฎิเสธความหวังดีนี้ถ้าเกิดเขาได้รับมันมาจากเพื่อนหรือคนที่สนิทกัน

แต่ไม่ว่าเขาจะมองจากมุมไหนสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็น่าจะเกิดจาก ‘การเอาใจใส่’ คอยดู คอยสังเกตพฤติกรรมต่างๆ และการที่ใครสักคนจะใช้เวลาเพื่อสังเกตุคนๆนึงได้มากขนาดนี้แถมเป็นคนที่ไม่รู้จักกันเสียอีกมันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรอื่นไปได้เลยนอกเสียแต่ว่า

“คุณจอห์น...ชอบผมรึเปล่าครับ?”

เขารู้ว่าการถามคำถามแบบนี้ออกไปเขาอาจจะเสี่ยงต่อการเสียคนรู้จักที่หวังดีต่อเขาได้ถ้าเกิดคุณจอห์นไม่ได้ชอบเขาไม่ได้มีรสนิยมแบบเดียวกันหรือถ้าเกิดนี่คือพื้นฐานนิสัยของคุณจอห์นที่มีให้กับทุกคนอยู่แล้วมันคงจะเป็นคำถามที่เสียมารยาทมากที่สุดแต่ว่าตอนนี้ตัวเขาเองก็มีเรื่องให้คิดมากมายและเขาก็ยังไม่พร้อมถ้าจะต้องมีเรื่องให้ต้องขบคิดเพิ่มขึ้นอีกเรื่องเขาเลยถามเอาคำตอบจากปากดีกว่าที่เขาต้องกลับไปขบคิดด้วยตัวเอง

“ถ้าผมชอบหรือไม่ชอบคุณทอม การพูดคุยระหว่างเรามันจะมีอะไรที่เปลี่ยนไปไหมครับ?”

“ก็...”

“คุณทอม ถ้าคุณกลัวว่าการเอาใจใส่ของผมมันจะนำไปถึงการทวงถามการตอบแทนจากคุณในอนาคตผมก็บอกได้เพียงว่าขอให้คุณสบายใจได้เลยผมไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน”

“แล้วคุณ?”

“ที่ผมทำไปทั้งหมดอาจจะเป็นเพราะผมกำลังชดใช้ในสิ่งที่ผมพลาดไปมั้งครับ”

“...”

“ผมเคยทิ้งคนนึงให้เขาเศร้าโดยที่ผมไม่ได้ช่วยอะไรเขา ผมทิ้งเขาเอาไว้กับความเศร้านั้นจนมันต้องเกิดเรื่องราวร้ายแรงในตอนท้าย”

“...”

“ตอนนั้นถ้าผมให้ความเอาใจใส่เขาคนนั้นมากกว่านี้อีกสักนิดเรื่องมันคงไม่ร้ายแรงมากขนาดนั้นเหตุการณ์ในตอนนั้นถ้าเพียงผมดีกว่านั้นอีกสักนิดมันทำให้ผมรู้สึกผิดมาจนถึงวันนี้พอผมเห็นคุณที่เป็นเหมือนภาพซ้อนของคนนั้นผมเลยไม่อาจห้ามตัวเองให้เข้ามาหาคุณได้ผมคงแค่อยากแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองทำผิดไป”

“แบบนี้นี่เอง”

“ผมขอโทษด้วยนะครับที่เหมือนมาใช้คุณเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น”

มาถึงตรงหน้าสีหน้าของคุณจอห์นคนที่คอยพูดแต่เรื่องที่ทำให้เขาสบายใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและล่องลอยความเศร้าก็เกิดขึ้นเมื่อคุณจอห์นต้องพูดเรื่องเก่าเรื่องนั้น

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องขอโทษอะไรผม”

“ขอบคุณครับ”

ทอมมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นด้วยความบังเอิญในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยลาแล้วเขาก็ได้เห็นถึงแววตาความรู้สึกผิดการโทษตัวเองและแน่นอนว่ามันไม่ได้ถูกส่งมาให้กับเขาแต่มันเป็นความรู้สึกที่ติดค้างกับตัวของคุณจอห์นที่กำลังส่งไปให้กับคนๆ นั้นแล้วแววตานี้มันก็ช่างเหมือนกับแววตาของแฟรงค์ตอนที่กำลังรู้สึกผิดและขอโอกาสจากเขาไม่ต่างกันเลย

“อย่าโทษตัวเองเลยครับ คนๆนั้นคงไม่อยากให้คุณเป็นแบบนี้”

“ไม่จริงหรอกครับผมทำผิดเอาไว้มากขนาดนั้นเขาไม่มีวันให้อภัย”

“เย็นนี้คุณจอห์ว่างไหมครับ?”

“ว่างครับคุณทอมมีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่า?”

“เย็นนี้เรา...ไปหาที่นั่งคุยกันดีไหมครับ?”

ในเมื่อหลายวันมานี้เขาได้รับการเอาใจใส่จากคุณจอห์นจนทำให้เขาสามารถลืมเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปได้ชั่วคราวเขาว่ามันก็ถึงเวลาที่เขาจะตอบแทนโดยการเอาใจใส่ความรู้สึกของคนที่เขารู้จักบ้างแล้วละ

TBC

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 9 : แฟนเก่า

"ขอโทษด้วยครับที่ผมลงมาสาย คุณจอห์นมารอผมนานรึยังครับ?"

"ไม่นานครับไม่นาน"

"สรุปแล้วเราจะไปร้านไหนกันดีครับ? คุณจอห์นได้เลือกร้านเอาไว้รึยัง?"

"หมายความว่ามื้อนี้คุณทอมให้ผมเป็นเลือกร้านคนเดียวจริงๆ?"

"ครับ ก็คุณจอห์นเป็นเจ้าถิ่นน่าจะรู้จักร้านอาหารดีกว่าผม"

เมื่อเช้าเขาสองคนนัดกันเอาไว้ตอน 6.15 PM ที่หน้าตึกที่ทำงานของเขาแต่เขาก็ยังสายสำหรับการนัดครั้งนี้ไปถึง 10 นาทีเพราะการประชุมของวันนี้จบปิดงานได้ช้ากว่าที่คิดทั้งที่ความจริงแล้วไอ้ 15 นาทีนั้นมันมีไว้สำหรับการเดินจากตึกของคุณจอห์นมาถึงที่นี่ โชคดีที่ตึกของเขาสามารถให้คนนอกเข้ามานั่งรอในอาคารได้เขาเลยไม่ต้องคอยกังวลเรื่องความหนาว ถ้าเกิดคุณจอห์นต้องรอเขาทางด้านนอกของตัวอาคารเขาคงรู้สึกผิดมากกว่าแค่มาสายแน่นอน

"งั้นเดี๋ยวผมพาไปร้านซุปร้านนึงแถวไชน่าทาวน์แล้วกันครับ อากาศแบบนี้ได้ของร้อนคงจะดี คุณโอเคไหมครับ?"

"ตกลงครับ"

ไชน่าทาวน์อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของเขามากเท่าไหร่ถ้าเดินก็คงใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงแต่เขาทั้งสองคนเลือกที่จะเดินทางกันด้วยรถบัสประจำทางแทนการเดินเนื่องจากอากาศที่เหลือเพียง 9 อาศาเท่านั้น

"เชื่อแล้วครับว่าเป็นร้านเด็ดอย่างที่คุณบอกเอาไว้จริงๆ"

ร้านอาหารนี้ถูกตกแต่งในสไตล์ของร้านที่มาจากเมืองจีนโดยทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นทางด้านนอกของร้านที่ใช้ตัวอักษรจีนเขียนชื่อร้านแล้วถูกวงเล็บไว้ด้วยภาษาอังกฤษ โคมไฟที่ถูกแขวนเอาไว้ทั้งสองข้างของประตูหน้าร้านก็เป็นสไตล์ของเมืองจีนมองแล้วเหมือนพวกเขากำลังเดินเข้าโรงเตี้ยมชื่อดังที่เมืองจีนไม่ใช่ที่เมืองนอกแบบนี้

โต๊ะเก้าอี้ที่ใช้ทางด้านในร้านทำมาจากไม้ทั้งหมดแถมชุดของพนักงานเสริ์ฟก็ยังใส่ชุดแบบจีนที่มีการดัดแปลงให้เข้ากับงานที่ต้องคล่องตัว สิ่งแวดล้อมทั้งหมดมันสามารถทำให้ผู้ที่มาที่ร้านสามารถนึกถึงบรรยากาศของเมืองจีนได้ไม่ยากเลย

การตกแต่งที่โดดเด่นแบบนี้เขาเองเลยไม่แปลกใจที่ในร้านแน่นขนัดไปด้วยผู้คนแถมแถวที่รอคิวทานอาหารยังต่อยาวออกมาหน้าถนน

"ไม่ต้องห่วงครับผมได้โทรมาจองเอาไว้แล้ว เรามีที่นั่งแน่นอน"

"แล้วตอนแรกคุณบอกให้ผมช่วยเลือกระหว่าง 2 ร้าน ถ้าผมเลือกไปอีกร้านนึงคุณจะทำยังไงกับร้านนี้? ถ้าเราไม่มาเขาไม่เก็บโต๊ะรอเราเก้อเหรอครับ?”

"ถ้าคุณเลือกอีกร้านผมก็คงต้องโทรมาบอกยกเลิกกับที่นี่เหมือนที่เมื่อสักครู่ผมโทรไปยกเลิกกับอีกร้านครับ"

คุณจอห์นคงจะใช้ช่วงเวลาที่เขากำลังมองสำรวจร้านอยู่โทรไปยกเลิกกับอีกร้าน เรามาก่อนถึงเวลาที่จองเอาไว้ไม่นานเลยใช้ช่วงเวลารอเพียงครู่เดียวเท่านั้นชื่อของเราก็ถูกเรียกให้เข้าไปในร้าน

"อาหารเป็นยังไงบ้างครับ?"

"เป็นอาหารจีนที่ไม่เหมือนกับทางเมืองของผมเลยครับ แต่ว่าก็อร่อยดีครับ"

"ค่อยโล่งอกหน่อย ผมแอบกังวลว่าคุณจะทานไม่ได้"

อาหารจานหลักหมดไปอย่างรวดเร็วโดยที่เขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าเพราะความหิวหรือเพราะอาหารที่อยู่ตรงหน้ามันอร่อยมากกันแน่

"เรื่องเมื่อเช้า..."

"ครับ"

"เขาคนนั้นเป็นคนคิดมากครับ" ระหว่างที่โต๊ะของเขากำลังรอของหวานมาเสริ์ฟคุณจอห์นก็เป็นคนเปิดประเด็นเรื่องเมื่อเช้าขึ้นมา

"ตอนนั้นรู้ทั้งรู้แต่ผมก็ยังคงปล่อยให้เขาคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานหรือเรื่องของผม"

"..."

ทอมได้แต่พยักหน้าว่าเขายังรับรู้และรับฟังอยู่แต่ที่เขาไม่ได้พูดออกความเห็นของเขาออกไปเพราะเขาคิดว่ามันยังไม่ถึงจังหวะที่เขาจะสามารถพูดอะไรออกไป

"เขาคอยระแวงผมอยู่ตลอดเวลา ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมเขาต้องคอยระแวง ทำไมเขาไม่เคยเชื่อว่าผมรักเขา แต่ที่น่าตลกที่สุดในความสัมพันธ์ของผมกับเขาคุณรู้ไหมครับว่ามันคืออะไร?”

“...” เขาไม่ได้ตอบเป็นคำพูดออกไปเขาเพียงแค่ส่ายศรีษะแทนคำตอบของเขา

“คือผมเองก็ไม่เคยถามกับเขาว่าทำไม ผมเอาแต่เก็บคำถามเหล่านั้นเอาไว้ในใจของผมเองแล้วก็ปล่อยให้เรื่องราวระหว่างเรามันคาราคาซังอยู่แบบนั้น"

“...”

"และเพราะความคิดบ้าๆ ที่ว่าถ้าเขารักผมจริงเขาต้องเข้าใจผมและเชื่อใจผม และยอมรับได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ความเชื่อมั่นที่ผิดๆ นั้นของผมมันทำให้ในที่สุดผมต้องเสียเขาไป"

"..."

"ผมเสียเขาไปทั้งๆ ที่เรายังไม่เข้าใจกัน ไม่ได้พูดกัน"

"คุณก็เลยโทษตัวเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาว่าเป็นเพราะคุณปล่อยให้เขาคิดมากคุณเลยเสียเขาไป คุณเลยอยากมาแก้ตัว ... กับผม?"

"ใช่ครับ วันที่ผมเห็นคุณเป็นครั้งแรกแววตาของคุณในวันนั้นไม่ต่างจากเขาในวันสุดท้ายที่ผมเห็นเขา แววตาของคนคิดมากคนที่ไม่มีทางออกหลังจากนั้นผมเลยเฝ้าสังเกตุคุณตลอดมา”

"แล้วคุณได้ลองปรับความเข้าใจกับเขาหรือยังครับ? ผมว่าคุณกำลังแก้ไขเรื่องที่ถูกแต่ผิดคน คุณน่าจะไปขอโอกาสจากเขาและทำดีกับเขาไม่ใช่กับผม"

ที่เขาพูดออกไปไม่ใช่ว่าเขารู้สึกโกรธคุณจอห์นเพียงแต่เขาต้องการให้คุณจอห์นได้ทำเรื่องที่ถูกต้องและไม่หลงทางเพราะเขาไม่ได้คิดว่าเขาคือทางออกของปัญหานี้

"มันไม่มีโอกาสนั้นสำหรับผมแล้วละครับ มันสายเกินไปแล้ว ผมไม่สามารถกลับไปขอโอกาสแก้ตัวกับเขาได้แล้ว"

"เขามีคนใหม่แล้วเหรอครับ?"

"เปล่าครับ"

"..."

"เขาจากผมไปแล้วครับ 'แฟนเก่า' ของผมเขาหนีการคิดมากของตัวเอง หนีผม และไม่เปิดโอกาสให้ผมได้แก้ไขกับสิ่งที่เกิดโดยการหลับและจากโลกนี้ไปตลอดกาลครับ"


TBC

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 10 – Coming of age

“แฟรงค์ผมขอคุยด้วยหน่อยสิ”

“มีอะไรด่วนไหมไรอัน? ผมต้องรีบเตรียมเสนอการประชุมบ่ายนี้”

“ก็ให้ลูกน้องของคุณทำไปก่อนได้ไหม?”

“แต่ฉันต้องเป็นคนเสนอโปรเจ็คนี้ให้ลูกน้องทำแล้วฉันจะไปพูดอะไรได้ ว่าแต่รอหลังประชุมไม่ได้เหรอไงรีบอะไรปานนั้น?”

“เรื่องของลิส”

แฟรงค์หยุดมือที่ง่วนกับเอกสารกองมหึมาที่ถูกตั้งอยู่ตรงหน้าของเขาแล้วละสายตาไปมองผู้ที่บุกรุกเข้ามาในห้องส่วนตัวของผู้ช่วยหัวหน้าแผนกอย่างเขาโดยที่ไม่ได้มีแม้แต่การเคาะบอกหรือขออณุญาตแต่อย่างใด

 “อ้อ เรื่องนี้นี่เอง”

 ไรอันคือหนึ่งในพนักงานของบริษัทแห่งนี้เขาและไรอันรู้จักกันจากงานๆ นึงที่เขาต้องทำรวมกับฝ่ายอื่น ถ้าถามกันเรื่องความสนิทเขากับไรอันก็แค่ทักทายเวลาเจอหน้ากันแต่ไม่ได้ถึงขั้นว่าจะนัดเจอกันนอกเวลางาน

แต่แล้วก็เหมือนว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับอฟรงค์เมื่อจู่ๆ คนที่ไม่ได้สนิทเป็นพิเศษกลับกลายเป็นคนที่พาลิสมาที่ทำงานพามาให้เขารู้จัก เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่เขารู้จักกับลิสคือการไปสัมนาต่างจังหวัดซึ่งปีนั้นดันเป็นปีที่แผนกเขาเป็นหัวหน้างานไรอันจึงต้องเข้ามาหาเขาเพื่อแจ้งความจำนงขอเอาเพื่อนไปร่วมทริปด้วยซึ่งทางเขาและบริษัทก็ไม่ได้ว่าอะไรลิสถึงได้ร่วมไปกับทริปของที่ทำงานในครั้งนั้นด้วย

เขารู้ว่าตลอดว่าลิสมองเขาด้วยสายตาแบบไหนแต่เขาก็ไม่เคยเล่นด้วยหรือเปิดโอกาสให้กับลิสเขาเว้นระยะห่างอยู่เสมอ แต่ในวันงานเลี้ยงฉลองปิดโปรเจคใหญ่ของแผนกวันที่เขารู้สึกโล่งอกที่เขาทำสำเร็จ วันที่เขาเพิ่งจะคลายเครียดกับการอย่างชิงตำแหน่งหัวหน้ากับคนที่มีคุณสมบัติอีกเป็นสิบลิสก็มาร่วมงานด้วยเช่นกัน ลิดบอกกับเขาว่ามาร่วมงานเพราะว่าต้องมาดูแลไรอันเขาแค่พยักหน้ารับและเริ่มดื่มต่อ หลังจากรู้ตัวว่าเมาเขาพยายามพาตัวเองกลับบ้านแต่มันไม่เป็นไปตามที่คิดเขาเมาเกินกว่าจะสามารถควบคุมสติได้และนั้นมันก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องทุกอย่างในวันนี้

“ถ้าเรื่องนั้นผมว่าเดี๋ยวหลังเลิกงานเราค่อยคุยกันก็ได้”

“แล้วคุณก็จะรีบหนีหายไปใช่ไหม?”

“เฮ้ย ทำไมพูดแบบนี้!!”

 “หรือว่าไม่จริง? ลิสเล่าให้ผมฟังหมดแล้วทั้งเรื่องที่เธอต้องมาแบกหน้ารับเรื่องพวกนี้อยู่คนเดียว เรื่องที่คุณเอาแต่วิ่งหนีเธอจนตอนนี้เธอไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนเธอต้องมาวิ่งวุ่นตามให้พ่อของเด็กมารับผิดชอบทั้งๆ การที่เธอจะท้องได้มันไม่ใช่เพราะตัวเธอเพียงคนเดียวสักหน่อย!!”
“...”

“เด็กมันโตขึ้นทุกวัน แล้วลิสก็ตัวแค่นั้นท้องมันป่องฟ้องออกมาแล้วคุณจะให้เธอทำยังไง!!”

“ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าข้างเธอไปแล้ว แบบนี้ผมมีอะไรต้องพูดอีกไหม? หรือแค่จะมาเพื่อสั่งสอนกัน?”

“ตอบมาสิว่าแล้วมันจริงอย่างที่เธอพูดไว้ไหมละ?!!?”

แฟรงค์อยากที่จะตะโกนว่า ‘ไม่จริง’ ปฎิเสธใส่หน้าของไรอันแต่เขาก็ทำไม่ได้เพราะสิ่งที่ไรอันพูดมาทั้งหมดมันคือเรื่องจริง เขายอมรับว่าเขาหนีเพราะเขายังไม่พร้อมที่เผชิญหน้ากับเรื่องนี้ตอนนี้ไม่สิมันไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากจะสนใจเพราะเรื่องที่เขาสนใจคือเรื่องของอีกคน

“ไรอันผมรู้ว่าคุณอาจจะโกรธแทนเพื่อนของคุณแต่ผมบอกลิสไปแล้วว่าจะจัดการทุกอย่างหลังจากเรื่องมันเข้าที่กว่านี้ ผมบอกเธอไปหลายครั้งแต่เธอก็ไม่เคยฟังผมเลย”

“มันจะอยากอะไรกับอีแค่ยอมรับ”

“สำหรับคนอื่นผมไม่รู้แต่สำหรับผม ผมไม่สามารถตัดสินใจเรื่องพวกนี้ได้เพียงคนเดียว!! อีกอย่างถ้าลิสรู้สึกว่าการมีลูกมันทำให้เธอไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนฝากบอกเธอด้วยแล้วกันว่าให้วางเอาไว้ที่เดิมนั้นแหละ”

“เฮงซวย!!”
“คุณไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า อย่าให้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณต้องมาพังเพราะลิสไปอีกคน”

“อ้อ เหมือนไอ้ความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างคุณกับทอมนะเหรอ?”

“อย่าเอาเขามาเกี่ยวด้วยเขาไม่เกี่ยว!!”

“ผมไม่น่าแนะนำให้ลิสมารู้จักกับคนห่วยๆ อย่างคุณเลยจริงๆ ไม่แปลกที่ตอนนี้คุณจะวิ่งเป็นหมาบ้าไล่ตามคนนั้นเพราะถ้าเป็นผม ผมก็ไม่เอาคุณเหมือนกัน!!”

ผลั่ก สิ้นเสียงตะโกนของไรอันก็เกิดเป็นเสียงของการต่อยตีของคนทั้งสองดังขึ้นมาจนเพื่อนร่วมแผนกต้องเปิดประตูเพื่อเข้ามาแยกคนทั้งสองออกจากกัน

“ทำไม!! พอพูดความจริงเข้าหน่อยก็รับไม่ได้รึไง? ไอ้คนขี้ขลาด ไอ้คนไร้ความรับผิดชอบ ไอ้สารเลว”

ไรอันที่กำลังถูกลากให้ออกจากห้องโดยเหล่าลูกน้องของเขายังไม่หยุดความพยายามที่จะตะโกนด่าเขา แม้ว่าตอนนี้จะไม่สามารถเห็นตัวของไรอันแล้วแต่เสียงของไรอันยังดังไปทั่วทั้งแผนกงาน


“ทำไมมานั่งในรถแบบนี้ไม่เข้าบ้านละ?”


เกาะๆ เสียงเคาะกระจกรถเรียกให้เขาหลุดออกจากภวังค์ หลังจากเลิกงานเขาขับรถตรงมาที่บ้านของพ่อทอมแต่ในช่วงที่เขาจะลงไปกดกริ่งเพื่อให้คนในบ้านมาเปิดประตูให้จู่ๆ ความละอายก็พุ่งขึ้นสูงจนเขาไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปในบ้านหลังนี้แต่เขาอยากหาที่พักสมองหลังจากวันนี้เจอแต่เรื่องหนักๆ มาแล้วเขาก็คิดที่ไหนที่จะทำให้เขาสบายใจไม่ออกอีกแล้วยกเว้นที่บ้านหลังนี้เขาจึงเลือกที่จะมานั่งอยู่ในรถรอเวลาให้ตัวเองสบายใจขึ้นแล้วค่อยจากไป
 

เขาเอารถมาจอดฝั่งตรงข้ามบ้านแถมเยื้องออกไปนิดหน่อยเพื่อที่จะไม่ได้เป็นจุดสังเกตุของคนในบ้านทอมมากนักแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถรอดสายตาของพ่อทอมไปได้


“ผม...”


“อยากพูดให้พ่อฟังไหม?”

“ผม...”

“พ่อกำลังจะไปเดินเล่นที่สวนในหมู่บ้าน อยากไปด้วยกันไหมละ?”

“ไปครับ”

ตลอดเวลาที่เดินไปที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านเขาได้แต่เดินเงียบๆ ตามหลังของพ่อทอมไป แผ่นหลังของพ่อทอมไม่ได้ดูกว้างใหญ่แต่มันเต็มไปด้วยความอบอุ่นอาจจะเป็นเพราะพ่อต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับทอมตั้งแต่แม่ของทอมเสียไปด้วยอุบัติเหตุตอนนั้นทอมเพิ่งจะ 12 ปีได้เองมั้งถ้าความจำของเขาไม่คลาดเคลื่อน


เพราะพ่อทอมมีแผ่นหลังที่ดูแล้วอบอุ่นแบบนี้สินะทุกครั้งที่ทอมมีปัญหาจึงต้องกลับมาเติมพลังให้ตัวเองที่บ้านของพ่อทุกครั้ง งั้นในเมื่อพ่อเคยพูดว่าเขาก็เป็นเหมือนลูกของพ่ออีกคนนึงถ้าตอนนี้เขามีปัญหาละ

“ผมทำผิดต่อทอมครับพ่อ”

“พร้อมที่จะพูดให้พ่อฟังแล้วเหรอ?”

“ครับ ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นผมที่ผิดครับ ผมไปทำให้ผู้หญิงคนนึงเขาท้อง ผมนอกใจทอมครับ”

พ่อของทอมหยุดเดินไปทางด้านหน้าแล้วเดินถอยหลังมาเพื่อให้ได้ยืนอยู่พื้นที่ข้างกันกับเขา พ่อไม่ได้พูดอะไรพ่อแค่มาหยุดยืนแล้วทอดสายตามองออกไปทางด้านหน้าเท่านั้น

“ผมพยายามอธิบายกับทอมแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เกิดจากความรักและผมไม่ได้ต้องการผู้หญิงคนนั้น ทุกอย่างมันเป็นเพียงความพลั้งเผลอและความมักง่ายของผม แต่ทอมไม่ฟังผมเลยครับพ่อ ทอมไม่ฟังผมเลยเรามีแต่ทะเลาะกันจนในที่สุดทอมเขาก็หนีผมไป”

“เราไม่ต้องการผู้หญิงแล้วเด็กที่กำลังจะเกิดขึ้นละ?”
“ผม...ผมก็ไม่รู้ครับ”

“แล้วทางผู้หญิงฝั่งนั้นว่าอย่างไรบ้าง?”

“ผมยังไม่ได้คุยกับเธอเรื่องลูกครับ ผมไม่กล้าที่จะตัดสินใจผมไม่กล้าทำอะไรเลย ผมอยากให้ทอมอยู่ตัดสินใจกับผมเพราะผมยังต้องมีเขาในชีวิตของผม ผมจึงเอาแต่หันหลังให้กับเธอคนนั้น”

“แฟรงค์ฟังพ่อนะ เรากำลังพูดถึงอีก 1 ชีวิตที่กำลังจะเติบโตขึ้นมาและ 1 ชีวิตนั้นก็กำลังจะเติบโตได้ก็เพราะเรา เพราะฉะนั้นไม่ว่าแฟรงค์จะคิดอย่างไรกับการมีเขาแฟรงค์ต้องคุยให้รู้เรื่อง”

“ผม....”

“เด็กกำลังจะโตขึ้น ตัวแฟรงค์เองก็สมควรที่จะโตขึ้นได้แล้ว เรากำลังจะเป็นพ่อคนแล้วนะ”

“แต่ผมไม่อยากเสียทอมไป”

“พ่อไม่เชื่อว่าทอมจะหันหลังให้กับเราเพียงเพราะเรื่องของเด็กคนนึง เขาคงต้องการแค่เวลา”

“ครับ” สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกันแค่เขาเล่าเพียงเท่านี้พ่อยังรู้เลยว่าคำขอก่อนที่ทอมจะหนีไปจากเขาทอมขออะไรเอาไว้

 “แฟรงค์เองก็ต้องการเวลาเหมือนกัน เอาเวลาที่มีนี้ไปเคลียร์เรื่องให้เรียบร้อยอย่าให้มันสูญเปล่าทำให้การเดินทางของเวลามันมีคุณค่า”

“ครับ ขอบคุณครับพ่อ”

“อีกอย่างนะ”

“ครับ?”

“อย่าไปรู้สึกไม่ดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยแฟรงค์ให้ถือซะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมามันคือบทเรียนในชีวิตที่จะทำให้เราเติบโตขึ้น”

“ครับ”

“ส่วนเรื่องของทอม ถ้าเรื่องนี้ผ่านไปได้พ่อเชื่อว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนมันก็จะเติบโตและแข็งแรงขึ้นไปอีกขั้น เพราะฉะนั้นอย่าเอาแต่เสียใจซะละ”

“ผมขอโทษนะครับพ่อ”

“ไม่มีใครจะเติบโตขึ้นมาโดยที่ไม่ก้าวพลาดเชื่อพ่อสิว่าไม่มี”

TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 11 ผ้าปูโต๊ะ

“แฟรงค์!!”

“สวัสดีลิส”

“ทำไมจะมาหาแล้วไม่บอกกันก่อนฉันจะได้ลงมาเร็วกว่านี้”

“ไม่เป็นไรผมก็เพิ่งมาไม่นาน”

หลังจากที่เมื่อวานแฟรงค์ได้พูดคุยกับพ่อของทอมเขาก็กลับไปนั่งคิดทบทวนกับตัวเองกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดและหลังจากที่ได้ทบทวนวันนี้หลังจากเลิกงานเขาจึงตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาไม่ใช่วิ่งหนีมันแล้วเอาทอมมาอ้างอย่างที่ผ่านมา

“นายลงทุนมารอฉันที่บริษัทแบบนี้แสดงว่านายพร้อมที่จะพูดเรื่องของเราแล้วใช่ไหม?”

“ใช่”

“งั้นเราจะพูดกันที่ไหนดี? ที่บ้านของฉันไหม? ฉันจะได้โทรบอกพ่อกับแม่”

“ก่อนที่จะพูดเรื่องของเรา ผมอยากชวนคุณไปซื้อของกับผมก่อนไม่รู้ว่าคุณพอไหวไหม?”

“นายจะซื้ออะไรเหรอ?”

“ผ้าปูโต๊ะนะ”

“ผ้าปูโต๊ะ?”

“ใช่แค่ผ้าปูโต๊ะผืนเดียวเท่านั้น”

“ได้สิแค่เลือกผ้าปูโต๊ะเอง”

หลังจากตกลงกันเรียบร้อยเขาก็ขับรถพาลิสไปที่ร้านขายของชุดตกแต่งบ้านโดยเฉพาะ พอไปถึงที่ร้านพวกเขาทั้งสองคนก็เดินตรงไปที่ชั้นของผ้าต่างๆ

“ฉันรู้แล้วว่าทำไมนายถึงชวนฉันมาเลือกไม่ถูกละสิ ไม่เป็นไรฉันเลือกเก่งไว้ใจฉัน ว่าแต่ขอดูรูปโต๊ะของนายหน่อยสิ?”

แฟรงค์หยิบมือถือขึ้นมาเปิดรูปโต๊ะที่เป็นโต๊ะหกเหลี่ยมที่ถูกตั้งเอาไว้ติดกับประตูของตอนเข้าบ้านขนาดปานกลางบนโต๊ะนั้นมีแจกันประดับอยู่หนึ่งอันให้ลิสดู ลิสก้มมองรูปนั้นเพียงไม่นานเธอก็พยักหน้ารับและบอกให้เขาปิดรูปนี้ลงได้

“ว่าแต่นายอยากได้สีประมาณไหนละมีคิดเอาไว้ในใจไหม?”

“ไม่มีผมขอแค่มันเข้ากับโต๊ะและโทนบ้านก็พอ”

“โอเค งั้นฉันเลือกเลยนะ”

“อื้ม”

เธอเดินตรงไปมุมที่มีผ้าม้วนผืนใหญ่วางโชว์อยู่แล้วค่อยๆ หยิบเลือกดูทีละชิ้นแต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่มีอยู่ที่มุมนั้นมันไม่สามารถทำให้เธอพอใจได้เท่าที่ควรเธอจึงเรียกพนักงานมาเพื่อที่จะขอดูตัวอย่างของเนื้อผ้าที่มีขนาดที่กว้างพอที่จะปูไปที่โต๊ะได้เพิ่มเติม ยิ่งเรียกดูตัวเลือกก็ยิ่งมากขึ้นมือถือของเขาที่ถูกเก็บลงไปในตอนแรกมันถูกเรียกหาและให้เปิดรูปขึ้นมาดูอีกหลายครั้งจนตอนนี้มือถือของเขาได้ไปในมือของลิสเพื่อเปิดรูปเปรียบเทียบโทนสีให้เข้ากับบ้านเป็นที่เรียบร้อย

“เอาผืนนี้แหละค่ะ”

แฟรงค์เหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือเขาจึงรู้ว่าลิสใช้เวลาผ่านไปมากกว่าสองชั่วโมงกว่าที่ลิสจะสามารถเลือกผืนที่รู้สึกถูกใจและลูกสึกว่ามันเข้ากับโต๊ะตัวที่เธอเห็นได้

“คุณหิวข้าวรึยัง?”

“หิวมาก งั้นเราจะทานที่ร้านใกล้ๆ หรือว่าเราจะซื้อไปทานที่บ้านกันดี?”

“แถวนี้แล้วกันแล้วเราค่อยกลับไปคุยกันที่บ้าน…ผม”

ตลอดระยะเวลาของการทานมื้อค่ำไปจนถึงตลอดทางของการเดินทางมาที่บ้านหูของแฟรงค์จะฟังเรื่องราวของแผนการที่ถูกวางเอาไว้จากปากของลิส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานแต่งว่าจะจัดที่ไหน เมื่อไหร่ เรื่องของลูกรวมไปถึงที่อยู่หลังการแต่งงาน

“อย่างบ้านหลังนี้ถ้านายชอบมันเราจะอยู่ที่นี่ก็ได้นะฉันย้ายออกมาเอง”

“บ้านหลังนี้ผมกับทอมช่วยกันผ่อนมา”

เธอเงียบไปอึดใจก่อนที่จะเอ่ยประโยคต่อมา

“งั้นนายก็ขายบ้านหลังนี้แล้วแบ่งเงินกันกับทอม ช่วงแรกยังไงไปอยู่คอนโดฉันก่อนก็ได้ถ้าไม่พร้อมซื้อที่ใหม่”

“เข้ามานั่งข้างในก่อนสิผมอยากให้คุณลองปู ‘ผ้าปูโต๊ะ’ ที่เพิ่งซื้อมาดูนะ ว่าแต่คุณอยากปูเองหรือให้ผมทำ?”

“ฉันทำเองก็ได้ เป็นคนเลือกขอเป็นคนปูด้วยแล้วกัน”

“อะหะ”

“ว่าแต่ทำไมอยู่ดีๆ เกิดอยากปูมันขึ้นมาละความจริงแค่มีแจกันประดับเอาไว้แค่นี้ก็สวยดีอยู่แล้วนะ”

“ผมแค่อยากให้คุณเห็นอะไรนิดหน่อยนะ”

“เห็นอะไร?”

แม้ว่ามือของเธอยังคงจัดผ้าปูโต๊ะให้เรียบร้อยแต่ใบหน้าของเธอนั้นกำลังหันกลับมามองที่เขาด้วยสายตาที่เริ่มมีความกังวลฉายอยู่ในนั้น

“ลิสคุณว่าผ้าปูโต๊ะที่คุณเลือกมันสวยไหม?”

“สวยสิถ้าไม่สวยฉันจะเลือกมาทำไม”

“คุณลองมายืนที่ตรงผมยืนดูสิ”

ลิสยอมเดินถอยห่างออกมาจากโต๊ะตัวนั้นที่ตอนนี้ถูกประดับด้วยผ้าปูโต๊ะที่ใครๆ ก็มักจะคิดว่ามันเป็นของที่คู่กันโดยที่มีแจกันประดับอยู่ทางด้านบนทับลงไป

“คุณว่ามันยังสวยอยู่ไหม?”

“นี่มันอะไรกันแฟรงค์ ทำไมนายต้องสนใจกับไอ้ผ้าปูโต๊ะกับโต๊ะตัวนี้มากมายไหนนายว่าคุณจะพูดเรื่องของเรา? หรือว่านายก็แค่จะถ่วงเวลา”

“ผมพูดแน่เรื่องของเรา แต่คุณลองตอบข้อนี้ให้ผมหน่อยจะได้ไหม?”

เธอยอมเงียบและฟังในสิ่งที่เขาขอโดยการที่มองไปรอบที่เธอกำลังยืนอยู่อีกครั้ง

“จะว่าไปพอมาวางบนโต๊ะแบบนี้มันก็ไม่สวยนะมันดูไม่เข้ากับห้อง เอาจริงถ้าไม่มีเหมือนเดิมก็น่าจะสวยกว่าแบบนี้ มันดูเยอะไปหมดดูอึดอัดไหนจะแจกันไหนจะผ้าม่านที่ใกล้กันนั้นอีก”

“มันก็เหมือนกับเรื่องของเรานั้นแหละ”   

“แต่ แต่มีผ้าปูโต๊ะอยู่ยังไงซะมันก็ดูดีแม้จะไม่เข้าไปบ้างเพราะมันคือของคู่กัน”

“ของที่ใช้คู่กันไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีเสมอกันบางครั้งการไม่มีอาจจะดูสบายตามากกว่า”

“แฟรงค์!! นายว่าฉันเหรอ?”

“ผมไม่ได้ว่าคุณ ผมแค่อยากเปรียบให้คุณเห็นว่าโต๊ะตัวนี้มันมีแจกันประดับเอาไว้อยู่แล้วและมันก็เข้ากับห้องนี้มากกว่าผ้าปูโต๊ะผืนนั้น”

“ถ้าจะพูดเรื่องนี้แบบนี้ฉันขอกลับก่อนดีกว่านายกับฉันคงยังไม่พร้อมที่จะพูดในเรื่องเดียวกัน”

“ลิสเดี๋ยวก่อนสิผมถามหน่อยว่าถ้าคุณไม่ได้ท้องคุณเคยมีความคิดถึงขั้นจะแต่งงานกับผมรึเปล่า? คุณเคยอยากคิดจะคบกับผมไหม?”

“ฉันคิดสิก็ฉันเคยบอกแล้วไงว่าฉันชอบคุณตั้งแต่แรกแล้ว” เสียงตอบของเธอนั้นเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจแต่เธอยังคงเชิดหน้าตรงและพยายามตอบในสิ่งที่เธอคิดว่ามันควรจะเป็นไป

“แล้วหลังจากคุณรู้ว่าผมมีแฟนอยู่แล้วละ?”

“แต่แฟนคนนั้นไม่เหมาะกับนาย แฟรงค์ คิดดูนะถ้านายได้คบกับฉันนายก็ไม่จำเป็นที่ต้องกังวลเรื่องชีวิตรักของนายเรื่องที่ทำงานก็ไม่ต้องปิดบังใครอีกต่อไป”

“ผมแต่งกับคุณผมได้เรื่องหน้าตาแล้วคุณได้อะไร?”

“ฉัน”

“คุณแค่อยากรักษาหน้า ไม่อยากเสียหน้าที่เรื่องมันผิดพลาดมาขนาดนี้ถูกไหม?”

“ฉัน....”

“คุณบอกว่าผมเหมาะกับคุณมากกว่าคนที่ผมรัก งั้นถ้าไม่พูดเรื่องความเหมาะแล้วพูดถึงเรื่องความรักเพียงเรื่องเดียวบ้างละคุณรู้ใช่ไหมว่าผมรักเขา?”

“...”

“แล้วคุณจะรับได้ไหมที่จะมีผมอยู่ในชีวิตเพื่อรักษาหน้าตาแต่ใจของผมไม่ได้อยู่ที่คุณเลย”

“ฉัน…”

“ลิสคุณฟังผมนะ...เรื่องลูกคุณไม่ต้องห่วงยังไงผมก็ไม่มีวันที่จะทิ้งเขา เขาคือส่วนนึงของผมผมพร้อมที่จะเป็นพ่อและเต็มใจเป็นที่สุดที่จะทำหน้าที่นี้ผมจะดูแลเขาเต็มความสามารถที่ผมมี”

“แต่สำหรับเรื่องของเราผมคงต้องขอบอกตรงนี้ว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้ผมรักคนของผมมากจริงๆ คุณเองถ้าเปิดใจก็น่าจะรู้ตรงนี้ดีว่าเรื่องของเรามันคืออะไรและเดินมาจนถึงจุดนี้ได้อย่างไร”

“…”

“อีกอย่างต่อให้ผมไปอยู่กับคุณผมก็อยู่ได้แค่ร่างกายของผมแต่ในใจของผมคงคิดถึงเขาเสมอ”

“…”

“ถ้าคุณเห็นด้วยกับผม ผมก็พร้อมเสมอที่จะนั่งลงคุยกันเรื่องลูกเราสามารถวางแผนเรื่องลูกด้วยกันได้”


ลิสเดินออกไปจากบ้านของเขาแล้วเธอกลับไปโดยที่ยังไม่ได้บอกกับเขาว่าจะสามารถรับข้อเสนอของเขาได้ไหม? เขาก็ได้แต่หวังว่าลิสจะเก็บเรื่องเอาผ้าปูโต๊ะผืนนั้นที่เขาพับเก็บลงตู้ไปแล้วเอาไปคิดและเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะอธิบายกับเธอ


TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 12 พายุ

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นลิสเธอก็ไม่ติดต่อเขากลับมาอีกเลย ช่วงสองสามวันแรกแฟรงค์ยังสามารถพยายามใจเย็นปลอบตัวเองว่าเธอคงต้องการเวลาในการตัดสินใจ แต่จากวันผ่านไปเป็นอาทิตย์ความใจเย็นของเขาก็เริ่มหมดลงเขาจึงเริ่มเป็นฝ่ายที่ติดต่อเธอไปก่อนแต่แล้วเธอกลับเลี่ยงการติดต่อจากเขาทุกทางไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์ที่กดสายเขาทิ้งจนในวันนี้มันได้ก้าวหน้ามาเป็นการบล็อคเบอร์ของเขา เวลาที่ไปหาเธอที่หน้าออฟฟิตเขาก็โดนยามที่หน้าบริษัทของเธอขอร้องให้ออกห่างจากตัวตึก

ยิ่งนานวันเท่าไหร่ฉากหน้าที่แฟรงค์คอยยิ้มให้กับเพื่อนร่วมงานก็เริ่มที่จะหลุดแสดงออกถึงพายุของอารมณ์ที่อยู่ภายในใจของเขาออกมาจนตอนนี้เพื่อนร่วมงานของเขาส่วนใหญ่เริ่มที่จะหลบหน้าและไม่อยากพูดคุยงานกับเขา แฟรงค์รู้ตัวและรู้ทุกการกระทำของตัวเองและเขาก็ไม่ได้อยากพาลกับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่คำตอบจากลิสมันจะเป็นเหมือนคำตัดสินอนาคตของเขาเพราะฉะนั้นเขาจึงร้อนใจอยากได้คำตอบจากเธอและความร้อนใจนี้เองที่ทำให้เขาเริ่มสูญเสียการควบคุมอารมณ์

“คุณแฟรงค์ค่ะ มีคนมาขอพบค่ะ เขาบอกว่าเขาชื่อ ลิสซ่า ค่ะ”

“คุณให้เขาเข้ามาได้เลยครับ”

แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะพังลงเธอก็เป็นฝ่ายติดต่อมาหาเขา เขาเคยคิดว่าความร้อนใจจะหมดลงถ้าเขาได้รับคำตอบของเธอแต่พอถึงวันที่เขาอดทนรอมาตลอดมาถึงเข้าจริงๆ ปรากฎว่าเขากลับยิ่งรู้สึกกระวนกระวายมากกว่าเดิมและมีความรู้สึกที่อยากยืดวันที่ได้รับคำตอบออกไป

ถ้าเธอตกลงและยอมรับได้ในเงื่อนไขนั่นก็หมายความว่าเขาจะมีโอกาสได้ไปปรับความเข้าใจกับทอมแล้วขอโอกาสให้เขาได้แก้ตัวอีกสักครั้งแต่ถ้าเธอปฎิเสธเงื่อนไขที่เขาให้มันก็จะมีเพียงทางเลือกเดียวคือเขาต้องแต่งงาน ถ้าเป็นแบบหลังโอกาสที่เขาจะได้ความรักของเขากลับคืนมาอีกครั้งมันคงจะริบหรี่เพราะทอมคงไม่ยอมที่จะเป็นมือที่สามของครอบครัวใคร เขาจึงได้แต่เฝ้าภาวนาให้เธอเข้าใจและยอมรับในเงื่อนไขนั้น เขาเดินวนอยู่ในห้องรอให้ใครอีกคน


“ลิสอยากได้อะไรไหม? เดี๋ยวผมบอกให้ผู้ช่วยเอาเข้ามาให้”

“ไม่เป็นไรฉันมาพูดไม่นาน”

“โอเค”

เธอไม่ได้ลงนั่งตามคำเชิญของเขาแต่เลือกเดินไปที่มุมหน้าต่างของห้องที่มีโต๊ะเล็กวางอยู่ เธอเอามือสัมผัสที่ขอบโต๊ะนั้นที่ถูกประดับด้วยกรอบของบัตรประกาศนียบัตรอะไรสักอย่างเขาเองก็จำไม่ได้เช่นกันรู้แต่ว่าทอมเป็นคนเอามาวางเอาไว้ให้

“นายไม่ชอบผ้าคลุมโต๊ะสินะเพราะไม่ว่าจะเป็นโต๊ะตัวไหนที่นายมีฉันก็ไม่เห็นนายใช้มัน น่าแปลกที่ฉันไม่เคยสังเกตุมาก่อน”

“ผมว่ามันไม่เหมาะกับผม”

สิ้นคำของเขาเธอก็ละสายตาจากเขาและมองออกไปนอกหน้าต่าง ในแววตาของเธอในวันนี้มันไม่เหมือนกับหลายครั้งก่อนที่เขาและเธอเจอกันครั้งนี้มันไม่ใช่แววตาที่มีแต่การดึงดันและความไม่ยอมแพ้  ในวันนี้สายตาของเธอแม้มันจะมีความเศร้าความอ่อนล้าแต่มันยังมีความอ่อนแสงลงของความอยากเอาชนะเหมือนกับว่าเธอพร้อมที่จะวางมือกับอะไรสักอย่างแล้ว

“นายรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องการนายมาอยู่ข้างกายฉัน”

“ผมไม่รู้”

“การที่มีนายอยู่ประดับว่าเป็นสามีของฉันมันคงช่วยในเรื่องหน้าตาของฉันที่มันถูกแขวนประดับอยู่ในวงสังคม การท้องไม่มีพ่อมันยากมากสำหรับฉันที่ต้องเผชิญ”

“…”

“แต่ฉันคงจะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตถ้าฉันจะต้องอยู่กับคนที่มีหน้าที่อมทุกข์ตลอดเวลาที่เจอหน้ากัน และลูกที่เกิดขึ้นมาก็คงไม่มีความสุขเหมือนกัน แล้วถ้าเราเลิกกันนายกลับไปหาคนของนายพร้อมกับคำว่าหย่า เรื่องเหล่านั้นนายรู้ไหมว่ามันยากที่จะรับมือมากกว่าท้องไม่มีพ่อเสียอีก”

พูดมาถึงตรงนี้เธอก็วางมือของเธอลงไปที่ท้องที่เริ่มโป่งนูนออกมาแล้วค่อยๆ ลูบไปรอบท้องของเธอด้วยสีหน้าของความอ่อนโยน

“หลังจากที่ได้คิดอย่างถี่ถ้วนจากสิ่งที่นายพูด ฉันจะไม่ขอหรือบังคับให้นายมาแต่งงานกับฉันอีก”

“ลิสคุณ..”

“แต่เรื่องของเด็กคนนี้ ฉันไม่ต้องการให้เขาไม่มีพ่อและฉันไม่ต้องการให้เขาต้องมารับรู้ข่าวอะไรที่ทำให้เขาเสียใจ”

“ไม่ว่าจะยังไงเด็กคนที่กำลังจะเกิดมาเขาก็เป็นลูกของผมและคุณ ข้อนี้มันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลยลิสคุณไม่ต้องห่วงว่าผมจะทอดทิ้งเขาหรือคุณให้ลำบาก”

“นายก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่ได้ห่วงเรื่องความลำบากฉันมีเงินมากพอที่จะเลี้ยงดูเขา แต่ถ้าเราไม่แต่งงานกันไม่ได้อยู่กันเป็นครอบครัว แล้วมันจะเป็นยังไงนายจะดูแลเขายังไง? และมันจะเรียกว่าครอบครัวได้ยังไง?”

“ผมพร้อมจะทำหน้าที่พ่อของผม ผมจะดูแลเขาให้เติบโตเราจะช่วยกันเลี้ยงเขาขึ้นมาแม้ว่าเราจะไม่ได้ใช้ชีวิตเป็นครอบครัวเหมือนกับครอบครัวอื่น”

“…”

“ผมจะไม่หันหลังให้กับคุณในวันที่คุณมีปัญหาหลังจากวันนี้ผมสัญญาว่าจะไม่หนีหน้าคุณอีก วันนี้เราสองคนอาจจะนึกภาพครอบครัวแบบนั้นกันไม่ออกแต่ผมเชื่อว่ามันจะมีทางไปของมันตามวันและเวลา และแน่นอนเด็กคนนี้จะไม่ต้องมานั่งเสียใจจากข่าวที่ไหนเพราะเราจะไม่มีความลับต่อเขาและผมเชื่อมั่นว่าลูกต้องเข้าใจ”

“ก็ขอให้นายทำอย่างที่รับปากไว้ให้ได้ก็แล้วกัน”

“ขอบคุณมากนะลิส ขอบคุณที่เข้าใจกัน”

“ฉันมาเพียงแค่นี้แหละ”

แฟรงค์ขออาสาไปส่งเธอที่บริษัทแต่เธอก็ได้ปฎิเสธความช่วยเหลือนั้นจากเขา เขาจะไปส่งเพราะว่าเธอเริ่มมีอาการแพ้ท้องเลยไม่ได้ขับรถมาด้วยตัวเอง

ด้วยความกังวลว่าเธอจะกลับไปบริษัทของตัวเองอย่างไรเขาจึงลองเดินตามเธอมาจนถึงทางด้านหน้าของบริษัทแล้วเขาก็ได้เห็นว่าไรอันกำลังเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่งเมื่อได้เห็นอย่างนั้นแล้วเขาจึงรู้สึกโล่งใจและเดินกลับขึ้นไปทำงานของตัวเองอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อพายุอารมณ์และเรื่องราวที่เหมือนอยู่ท่ามกลางพายุต่างๆ จะผ่านไปได้แบบเรียบง่ายเหมือนว่าที่ผ่านมามันไม่ได้เคยสร้างเสียหายอะไรเอาไว้


“ซื้ออะไรมาเยอะแยะเรา”

“จะมาฝากท้องมื้อเย็นถ้าผมมามือเปล่าผมกลัวย่าไม่ให้ผมเข้าบ้านน่ะครับ”

“พูดไปเราทำไมย่าจะไม่ให้เราเข้ามาละ?”

“คุณย่าหิวยังครับผมจะได้เอาไปให้เด็กในครัวตั้งโต๊ะ”

“ไม่รอตาเบริ์ตก่อนเหรอ?”

“พ่อกำลังเข้ามาครับผมเพิ่งวางสายจากพ่อเมื่อกี้”

“งั้นก็ตั้งโต๊ะเลยแล้วกัน”

“ครับ”

หลังจากที่ลิสกลับไปเขาเอาแต่ใจจดจ่อเฝ้ารอให้ถึงเวลาเลิกงานเสียทีเพราะคนแรกที่เขาอยากบอกข่าวดีนี้ด้วยก็คือพ่อของทอมคนที่พูดให้เขายอมรับกับความจริง พอได้เวลาเลิกงานเขาจึงแวะเข้าตลาดเพื่อหาซื้อกับข้าวและขนมหวานที่เป็นของถูกปากของย่าทอมก่อนที่จะตรงไปที่บ้านหลังนั้น

เมื่อบ่ายเขาได้แจ้งกับพ่อของทอมเอาไว้คร่าวๆ ในโทรศัพท์แล้วว่าวันนี้เขามีเรื่องที่อยากจะคุยด้วยเพราะงั้นหลังจากมื้อเย็นจบลงเขานั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าบ้านเพื่อให้พ่อขึ้นไปส่งคุณย่าขึ้นห้องนอนให้เรียบร้อยแล้วก็ใช้เวลาเพียงไม่นานที่พ่อก็กลับลงมาหาเขาที่นั่งรออยู่

“อ่ะ ว่าธุระของเรามาได้เลยแฟรงค์”

“เรื่องที่ผมมาปรึกษาพ่อวันนั้น”

“เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ทางผู้หญิงคนนั้นเขายอมรับเงื่อนไขของผมครับ เขายอมล้มเลิกเรื่องงานแต่งระหว่างเราและก็ยินยอมให้ผมมีส่วนร่วมในการเลี้ยงลูก”

“พ่อยินดีด้วยที่เรื่องราวสามารถจบลงได้ตามความต้องการทั้งสองฝ่าย”

“ขอบคุณนะครับพ่อที่พูดให้ผมเข้าพุ่งชนปัญหาไม่วิ่งหนีมัน”

“งั้นตอนนี้ก็สบายใจได้แล้วสิ”

“ยังหรอกครับ ตอนนี้ผมก็มีอีกเรื่องเดียวที่ยังต้องจัดการ”

“เรื่อง?”

“ปรับความเข้าใจกับทอมครับ ก่อนที่ทอมจะหนีผมไปความสัมพันธ์ของผมกับเขามันแย่มาก ผมก็ได้แต่หวังว่าทอมจะใช้เวลาอีกไม่นานที่จะอยู่เพียงคนเดียวและยอมกลับมาให้ผมได้อธิบายสิ่งต่างๆ และหวังว่าเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง”

“ถ้าทอมเขากลับมาแฟรงค์อยากจะพูดอะไรกับเขา?”

“ผมก็คงอธิบายถึงสิ่งที่เกิดว่ามันเกิดจากอะไรแล้วก็คงบอกกับเขาทุกอย่างถึงข้อตกลงที่ผมกับผู้หญิงคนนั้นมีร่วมกันและหลังจากนั้นผมคงให้เขาตัดสินใจว่าเขาอยากที่จะให้อภัยผมไหม”

“แล้วถ้าทอมยังไม่ยอมกลับมาหาเราอย่างที่เราต้องการละ?”

“ผมก็คงไม่บังคับแต่ผมก็คงไม่ยอมแพ้”

“ไม่ยอมแพ้? แล้วถ้าเกิดทอมเขามีคนใหม่?”

“ไม่รู้สิครับ เขาคือความรักของผมครับพ่อ ผมคงทำใจไม่ได้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะรับมือกับเหตุการณ์นั้นอย่างไร”

พ่อของทอมไม่ได้แนะนำถึงสิ่งที่ผมต้องทำต่อไป ไม่ได้ห้ามให้ผมหยุดตามตื้อลูกชายของเขาถ้าเกิดลูกชายของเขามีคนใหม่ พ่อของทอมทำแค่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วปล่อยให้ผมนั่งมองเหม่อออกไปที่หน้าบ้านจนยุงเริ่มมีปฎิกริยากับพวกเราทั้งสองคนนั้นแหละพ่อถึงได้ทำลายความเงียบนี้ลง

“คืนนี้เราจะค้างที่นี่ไหม?”

“ค้างครับ ยังไงผมขอรบกวนด้วยครับ”

“งั้นตามสบายเลยนะ พ่อขอตัวก่อนแล้วกัน”

“ครับพ่อ”


แฟรงค์ยังนั่งอยู่ที่เดิมอีกสักพักก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านตอนที่เขากำลังจะเปิดประตูเข้าห้องของทอมเขาก็เห็นว่ามีมุมของกระดาษยื่นออกมาที่ใต้โซฟาพอก้มลงไปหยิบขึ้นมาเขาถึงได้รู้ว่ามันคือซองจดหมายสงสัยว่ามันคงจะหล่นตอนที่พ่อรวบเอาพวกหนังสือพิมพ์และจดหมายขึ้นไปทางด้านบน

หน้าซองถูกจ่าถึงพ่อของทอมเขาจึงตั้งใจเอามันไปวางเอาไว้ที่โต๊ะทานข้าวเผื่อที่ว่าตอนเช้าพอพ่อลงมาจะได้เห็นจดหมายฉบับนี้ แต่เมื่อเขาผลิกซองจดหมายกลับไปดูอีกด้านว่าใครส่งมาด้วยความเคยชินของตัวเองเขาถึงได้เห็นชื่อผู้ส่งว่าคนนั้นที่ส่งจดหมายมาคือใคร

“ทอม”

ใช่ชื่อที่อยู่บนนั้นคือชื่อของทอมพร้อมทั้งรายละเอียดที่อยู่ โดยไม่ต้องคิดอีกรอบว่าทอมจะยังอยู่ที่นั้นไหม? ถ้าเขาไปเขาจะเจอรึเปล่า? เขาก็ตัดสินใจไปแล้วว่าเขาจะไปเขาจะคว้าโอกาสที่มี เขาหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรายละเอียดนั้นเก็บเอาไว้ ‘พายุเรื่องของลิส’ ได้ผ่านไปแล้วเขาก็ได้แต่หวังว่าฟ้าหลังฝนมันจะสดใสแบบที่ใครๆ ได้เคยกล่าวเอาไว้ก็เท่านั้น


TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 13 - Frostbite

จดหมายฉบับนี้ทำให้แฟรงค์เดินวนไปมาระหว่างโต๊ะอาหารกับโซฟาอยู่หลายครั้ง ใจนึงเขาอยากทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องโดยการที่เอาจดหมายฉบับนี้ไปวางไว้ที่โต๊ะพร้อมกับบอกของพ่อทอมว่าเขารู้เรื่องแล้ว แต่อีกใจเขาก็กลัวว่านี่อาจจะเป็นเพียงโอกาสเดียวสำหรับเขาถ้ากิดว่าพ่อไม่เห็นด้สยที่เขาจะตามไปละเขาจะทำยังไง?

หลังจากที่เดินวนอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่นานในที่สุดก่อนที่เขาจะเดินขึ้นไปที่ห้องนอนของทอมเขาก็ตัดสินใจเอาจดหมายสอดกลับเข้าไปใต้โซฟาเหมือนเดิมและทำให้ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน ใช่ว่าเขาอยากโกหกคนที่รักเขาเหมือนลูกแต่เขากลัว กลัวว่าถ้าพ่อเกิดบอกกับทอมให้รู้ตัวว่าเขารู้ที่อยู่แล้ว ทอมก็จะหนีจากเขาไปเหมือนที่ผ่านมา

เพราะนอนไม่หลับกับความรู้สึกผิดที่ต้องโกหกแฟรงค์จึงออกจากบ้านของทอมตั้งแต่เช้าทั้งที่ยังไม่มีใครตื่นแล้วใช้วิธีส่งเมสเสจบอกลาพ่อของทอมแทนโดยระบุว่าเขามีประชุมด่วนที่บริษัททั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาเข้าไปเพื่อทำเรื่องขอลาหยุดต่างหาก

แฟรงค์คิดว่าเขาทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วแต่เอาเข้าจริงกว่าเขาจะได้เดินทางไปเมืองที่ทอมทำงานอยู่เขาต้องเสียเวลาไปถึง 3 อาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขอลางานแล้วไหนจะเดินเรื่องขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปที่นั้น

“เฮ้ยยๆๆๆๆๆ  ได้แล้ว ได้แล้ว”

แล้วการรอคอยก็สิ้นสุดจนได้เมื่อเขาได้เปิดอีเมลล์เช้าวันนี้ ที่จริงการที่ลืมตาตื่นแล้วหยิบเอามือถือว่าเช็คอีเมลล์มันเป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอดช่วงนี้ ด้วยความหวังที่ว่าจะได้เห็นผลการอณุมัตวีซ่าให้กับเขา ทุกวันก่อนหน้านี้มันจะจบลงด้วยความห่อเหี่ยวใจเพราะอีเมลล์ที่เขาได้รับมันไม่เคยมีอีเมลล์ที่เขาต้องการแต่เช้าวันนี้มันแตกต่างจากเช้าวันอื่นเมื่อกล่องขาเข้าของอีเมลล์ปรากฎผลการได้รับอณุมัตวีซ่า

เพราะรอผลมานานเขาจึงไม่อยากเสียเวลาไปอีกสักวันเดียวเขารีบโทรไปหาเอเจ้นท์เพื่อจองตั๋วเครื่องบินที่ระบุการเดินทางเป็นเย็นวันนี้ สำหรับเขาแล้วมันไม่มีการเตรียมตัวไม่ต้องจัดกระเป๋าแค่โยนเอาของใกล้ตัวลงไปให้ครบเท่านั้น เขาตื่นเต้นกับการเดินทางนี้ถึงขนาดที่เขาไปถึงสนามบินก่อนที่เค้าท์เตอร์จะเปิดให้เช็คอินเสียด้วยซ้ำ เขารู้สึกว่าเขากำลังทำตัวเหมือนคนที่กำลังจะเดินทางไปต่างเมืองเป็นครั้งแรกที่กำลังตื่นเต้นไปเสียทุกอย่างทั้งๆ ที่จริงแล้วครั้งนี้มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเดินทางออกจากเมืองเกิดโดยใช้เครื่องบินเสียหน่อย

“ตอนนี้เรากำลังลดระดับเครื่องลงเพื่อ....”

เสียงประกาศของกัปตันทำให้อาการสลึมสลือหลังจากลืมตาตื่นในช่วงตี 5 ของเช้าวันใหม่หายเป็นปลิดทิ้งเขาเอามือลูบผมที่ฟูไม่เป็นทรงให้เข้ารูปเข้ารอยก่อนที่จะเก็บหนังสือที่อ่านก่อนนอนลงกระเป๋าเป้ซึ่งมันคือกระเป๋าใบเดียวที่เขามีติดตัวมากับการเดินทางในครั้งนี้

มันเป็นการลางานที่กระทันหันเขาจึงทำเรื่องลางานได้เพียงแค่ 3 วัน เพราะฉะนั้นแม้มันจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเยือนเมืองนี้แต่เขาก็ไม่ได้มีแผนเที่ยวอยู่ในหัวเลยสักนิดเพราะสิ่งเดียวที่เขาอยากทำคือตามหาทอมให้เจอแล้วเขาอยากใช้เวลา 3 วันที่มีอยู่กับทอมและขอให้ทอมยอมให้โอกาสกับเขาอีกครั้งให้สำเร็จ

“ไปไหนครับ?”

“ไปที่อยู่ตามนี้ครับ”

เขายื่นแผ่นกระดาษที่ถูกจดที่อยู่ตามหน้าซองจดหมายนั้นให้กับคนขับรถแท๊กซี่ที่สนามบิน คนขับมองเขาอย่างช่างใจเพียงครู่ก่อนที่จะดับเครื่องลง

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?”

“มาที่นี่ครั้งแรกเหรอครับ?”

“ครับ”

“คุณรู้ไหมว่าที่อยู่ที่คุณให้มามันไกลออกไปจากสนามบินมาก ถ้านั่งแท๊กซี่คุณจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงผมหมายถึงว่าถ้ารถไม่ติดละนะ เพราะงั้นก่อนที่ผมจะพาคุณไปผมต้องมั่นใจก่อนว่าคุณจะมีเงินจ่ายค่ารถให้กับผม”

“มะนแพงมากเลยหรือครับ?”

“ก็ประมาณ 500 เหรียญ”

“โอ้ ผมไม่รู้มาก่อนเลยครับผมไม่ได้มีพกติดตัวมากมายขนาดนั้น ขอโทษด้วยนะครับ”

เขาก้าวลงจากรถแท๊กซี่ด้วยความมึนงง นั้นสิก่อนที่เขาจะมาทำไมเขาไม่ศึกษาข้อมูลมาก่อนเขาปล่อยให้ 3 อาทิตย์ผ่านไปโดยที่เอาแต่มองจ้องมองปฎิทิน เขายืนจูนความคิดของตัวเองให้ดีอีกครั้งก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในสนามบินและขอข้อมูลจากประชาสัมพันธ์ในนั้น

‘ถึงซะที’ เขาลงเครื่องตั้งแต่หกโมงเช้าแต่กว่าที่เขาจะไปต่อรถไฟตามด้วยต่อรถเมล์รวมไปถึงหลางทางระหว่างทางแล้วด้วยเขาก็มาถึงที่หมายเอาซะเกือบบ่ายสี่โมงเย็น เพราะฉะนั้นตอนที่เขาเดินมาถึงตึกที่เป็นเป้าหมายเขาถึงขนาดตะโกนออกมาด้วยความดีใจ เขามองดูตึกตรงหน้าที่เป็นเหมือนตึกห้องพักที่มีขนาดไม่ใหญ่แลดูเหมือนคนในตึกนี้จะอยู่แบบตัวคนเดียวมากกว่าจะอยู่เป็นครอบครัวด้วยซ้ำ เขาสูดลมหายใจเข้าให้ลึกเพื่อเรียกกำลังของตัวเองอีกสักครั้งแล้วค่อยเดินตรงเข้าไปด้านในของตึก

“ขอโทษนะครับไม่ทราบว่า คนที่ชื่อว่าทอม ทิมสัน พักอยู่ที่ห้องนี้รึเปล่าครับ?”

“ไม่ทราบว่าคุณคือใครคะ?”

“ผมคือเพื่อนต่างเมืองของเขาครับ”

“วันนี้คุณทอมยังไม่กลับเข้ามาค่ะ แต่อีกเดี๋ยวก็คงมาถึงคุณจะนั่งรอตรงนี้ก่อนก็ได้นะคะ”

“ขอบคุณครับ”

ความโล่งใจที่ทอมของเขาได้อาศัยอยู่ที่นี่ตามที่เขาหวังเอาไว้มันปัดเป่าความเหนื่อยออกไปจนหมด เขานั่งลงที่เก้าอี้รับรองแขกที่ด้านในของตึกอยู่เพียงประมาณสิบนาทีแล้วเขาก็คิดว่าเขาอยากจะเซอร์ไพรส์อะไรทอมเสียหน่อย

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ามีร้านขายของสดแถวนี้บ้างไหมครับ?”

“อีกสองช่วงตึกจะมีร้านขายของสดอยู่ค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ”

ใช่แล้วเขาคิดที่จะทำอาหารมื้อเย็นนี้ให้กับทอม ทอมเป็นคนที่เนี้ยบไปทุกเรื่องแต่เรื่องที่ทอมใส่ใจน้อยที่สุดก็คืออาหาร แค่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารทอมก็หยิบเอาเข้าปากได้แล้ว วันนี้เขาจึงอยากจะทำอะไรอร่อยๆ ให้ทอมได้กิน

ใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็กลับมาถึงหน้าปากซอยที่คุ้นตา เขาอยากจะรีบเดินต่อเพราะมันก็เริ่มเย็นมากแล้วเขากลัวว่าจะคลาดกับทอมแต่อากาศของที่นี่เปลี่ยนแปลงเร็วจนเขาไม่ทันได้ตั้งตัว ตอนเช้ามาถึงยังเย็นแบบพอดีๆ อยู่เลย ช่วงบ่ายมีฝนเพียงเล็กน้อยโชคดีที่เขาอยู่บนรถโดยสารเลยไม่ต้องเปียกฝนแต่พอตกเย็นเข้าหน่อยอากาศก็หนาวจนเขาที่มีแต่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ติดตัวถึงกับสั่นและมือยังชาจนเขาแทบจะไม่สามารถหิ้วถุงที่บรรจุไปด้วยเครื่องปรุงและของสำหรับมื้อเย็นนี้ได้

เขาตัดสินใจหยุดแถวหน้าปากซอยวางถุงเหล่านั้นลงก่อนที่มันจะหลุดออกจากมือที่เริ่มแข็งจนเริ่มขึ้นข้อเขียวของเขา เขาเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาอังเอาไว้กับปากของตัวเองแล้วเป่าลมร้อนจากปากพยายามทำให้มือนั้นอุ่นมากขึ้นแล้วค่อยเอามาลูบไปตามแขนของตัวเองหวังไว้ว่ามันจะอุ่นพอที่ทำให้เขาเดินไปถึงตึกของทอมได้

“ทอม”

เสียงเรียกของเขามันคงจะเบามากจนเหมือนเสียงของคนละเมอคนที่เขามาหาถึงไม่ได้ยินมัน เขาลองจ้องมองภาพตรงหน้าอีกครั้งให้แน่ใจว่าเขาตาไม่ฝาดไปเอง ตรงที่หน้าปากซอยของอีกฝากถนนเขาเห็นทอมกำลังเดินเคียงข้างมากับคนใครอีกคนที่เขาไม่รู้จักโดยที่คนๆ นั้นกำลังถอดถุงมือให้กับทอมและทอมก็มอบรอยยิ้มที่สดใสนั้นให้กลับเป็นของขอบคุณ

ภาพสนิทสนมของคนทั้งสองที่เขาเห็นมันทำให้เขาหวนคิดไปถึงคำพูดของพ่อของทอม ‘ถ้าทอมเขามีคนอื่นละ?’ หรือว่าพ่อต้องการที่จะบอกอะไรกับเขา เขามาตรงนี้ช้าเกินไปรึไง? ไหนทอมบอกว่าต้องการเวลา? จริงๆ แล้วมันก็แค่นี้ใช่ไหม ทอมไม่คิดที่จะให้โอกาสเขาตั้งแต่แรกใช่ไหม? ความคิดที่เกิดขึ้นในหัวของเขาทั้งหมดมันทำให้สวนทางระหว่างมือของเขากำลังอุ่นขึ้นกับหัวใจของเขาที่ตอนนี้มันแข็งชาเหมือนกับถูกความเย็นของชั้นอากาศนี้เขาไปทำให้มันแข็งตัวและกำลังจะแตกสลายลงในที่สุด

สายตาของเขามันถูกค้างเอาไว้ที่ตรงนั้นที่คนสองคนนั้นได้เดินผ่านไปแล้ว สายตาที่นิ่งค้างทำให้เขาเห็นว่าไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่กำลังใจสลายเพราะภาพภาพนั้น ตรงนั้นตรงที่มุมมืดใต้เสาไฟที่ไม่มีไฟส่องออกมายังมีผู้ชายอีกคนนึงที่กำลังมองตามสองคนนั้นไปด้วยสายตาที่กำลังเจ็บปวดไม่ต่างจากเขาเช่นกัน

ดูแล้วคนตรงนั้นคงจะรู้จักทอมกับผู้ชายอีกคน สมองอีกซีกสั่งให้เขาถามให้รู้เรื่องเขาจึงก้มลงเก็บของที่เขาวางเอาไว้แล้วเดินตรงไปหาผู้ชายคนนั้นเพื่อถามเอาเรื่องราวเพราะสายตานั้นยังไงซะคนตรงนั้นก็ต้องรู้จักคนทั้งสอง

“ขอโทษนะครับ คุณรู้จักสองคนนั้นด้วยเหรอครับ?”

น่าแปลกแค่เพียงข้ามถนนมาที่ฝั่งนี้เขารู้สึกได้ถึงความเย็นและความชื้นของอากาศที่สูงขึ้นอย่างฉับพลันสูงขึ้นกว่าเมื่อกี้ ผู้ชายคนนี้ค่อยๆ หันหน้ามามองเขาพร้อมกับพยักหน้าให้กับเขาเล็กน้อย

“ผมอยากรู้เกี่ยวกับพวกเขาครับ คุณพอจะบอกผมได้ไหม?”

“อยากรู้เหรอครับ?”

“ครับผมอยากรู้”

“งั้น…”

แล้วหลังจากนั้นเขาสาบานว่าเขาไม่เคยรู้สึกหนาว เย็น และกลัวไปจนถึงขั้วหัวใจแบบนี้มาก่อน เขาว่าตอนนี้หัวใจของเขามันได้แข็งไปตามอากาศนั้นจริงๆ แล้วละ

‘ทอมคุณจะรู้ไหม คุณจะรู้ไหม? ว่าผมกำลังจะแตกลสลายอยู่ตรงนี้’

TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 14 – เสียงกระซิบ

“กลับไป”

“...”

“กลับไป!!”

‘เฮือก!!’

เขาเบิกตาตื่นพร้อมกับเสียงลมหายใจที่พ่นเร็วในกลางดึกโดยอัตโนมัตเขาเอามือจับกดลงไปตรงที่ตำแหน่งหัวใจของตัวเองเพื่อเป็นการระงับการเต้นเร็วที่เกิดจากความตื่นกลัว หลังจากที่เขากระพริบตาให้สติของตัวเองกลับมาครบถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์ได้อีกครั้งเขาถึงได้รู้สึกว่าที่ทางแผ่นหลังของเขามันถูกอาบไปด้วยเหงื่อแม้ว่าอากาศในยามดึกของคืนนี้มันจะหนาวมากจนเกือบจะติดลบก็ตาม คอของเขาเองก็แห้งพากจนแทบจะกลืนน้ำลายไม่ได้จากที่พยายามจะข่มตาหลับลงอีกครั้งเขาจึงเปลี่ยนเป็นตวัดผ้าห่มออกแล้วเดินไปรินน้ำดื่มในครัว

‘เฮ้อ’ เขาพ่นลมหายใจหลักจากที่ยืนเอาไอเย็นจากตู้เย็นจนรู้สึกดีขึ้นแล้วค่อยปิดประตูตู้เย็นลง ก่อนที่จะหมุนตัวกลับเข้าที่ห้องนอนเขาเดินเลยไปที่โต๊ะอ่านหนังสือหยิบเอานิยายเล่มล่าสุดที่เขาอ่านค้างเอาไว้ก่อนที่จะเข้านอนติดมือกลับไปที่เตียงด้วยเพราะดูทรงแล้วคืนนี้ก็น่าจะเหมือนทุกคืนที่กว่าจะหลับตาลงได้อีกครั้งก็เกือบรุ่งเช้า

หลายคืนที่ผ่านมาเขามักจะสะดุ้งตื่นกลางดึกเสมอเขาเองก็พยายามหาทางแก้มาหลายทาง ทั้งพยายามอุ่นนมร้อนดื่มก่อนนอนก็แล้ว เลิกดูพวกหนังสืบสวนสอบสวนก็แล้วแต่มันก็ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นเลย

หนังสือที่อยู่บนตักของเขาถูกเปลี่ยนหน้าไปมาแบบไม่ได้ถูกอ่านเพราะในหัวของเขาตอนนี้กำลังพยายามคิดย้อนกลับไปในความฝัน เขาจำความรู้สึกก่อนที่จะตกใจสะดุ้งตื่นได้ลางๆ ว่าเหมือนตัวเองกำลังอยู่ที่ไหนสักที่หรือสักเหตุการณ์แล้วเหมือนมีคนเข้ามากระซิบที่ข้างหูของเขาด้วยคำพูดอะไรบางอย่างจากเสียงกระซิบมันดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงตะโกนใส่หน้าของเขาและเสียงนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องตกใจจนต้องสะดุ้งตื่น

ที่น่าแปลกใจคือเขาสามารถจำความรู้สึกที่เกิดขึ้นแต่กลับจำเรื่องราวอะไรในนั้นไม่ได้สักอย่างภาพที่เห็นในฝันยิ่งพยายามนึกมันก็ยิ่งพล่ามัวเหมือนถูกหมอกจางๆ คลุมเอาไว้จนพาลทำให้เขาปวดหัวเสียทุกครั้งที่พยายามจะนึกให้ออกเหมือนเช่นในตอนนี้ที่เขาต้องวางหนังสือลงแล้วเอามือกดนวดที่ศีรษะของตัวเอง


“เมื่อคืนนอนไม่หลับอีกแล้วเหรอครับ?”

“หน้าผมฟ้องขนาดนั้นเลยเหรอครับคุณจอห์น?”

“เปล่าครับ”

“งั้นผมก็ค่อยสบายใจหน่อยไม่อยากหน้าโทรมไปทำงาน”

“หน้าคุณไม่ฟ้องแต่ตาของคุณ”

“เฮ้อ...มันไม่ตลกเลยนะครับคุณจอห์น”

หลังจากวันนั้นเขากับคุณจอห์นยังเจอกันในตอนเช้าเหมือนเช่นเคยที่ไม่เปลี่ยนไปเลยมีแต่ความเพิ่มเติมขึ้นนั้นก็คือความสนิทที่เพิ่มขึ้นมากกว่าในช่วงแรกที่เขาสองคนได้คุยกัน ความสนิทมันเกิดขึ้นได้ในมื้อเย็นวันนั้นก็เพราะมันไม่ได้จบแค่เพียงคุณจอห์นที่เล่าเรื่องราวของตัวเองแต่เขาเองก็ได้เปิดเผยถึงปัญหาของชีวิตรักของตัวเองให้คุณจอห์นให้ฟังเช่นกัน

“อย่าปล่อยให้เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วเสียใจทีหลังแบบผม”

เขายังจำคำเตือนของคุณจอห์นหลังจากที่ฟังเรื่องของเขาจบในวันนั้นได้เป็นอย่างดี ความจริงถึงคุณจอห์นไม่พูดเตือนเขาแต่หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวความรักของคุณจอห์นมันก็ทำให้เขาฉุกคิดถึงเรื่องราวของตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน สิ่งแรกที่มันแวบขึ้นมาในหัวก็คือถ้า ณ วันนี้ถ้าเขาเกิดจากไปแบบที่แฟนของคุณจอห์นจากไปแฟรงค์ก็อาจจะมีความรู้สึกไม่ต่างจากคุณจอห์นในวันนี้

ความไขว้เขวที่คิดว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ถูกที่หนีออกมาตั้งหลักพร้อมกับให้เวลากับแฟรงค์ในการคิดทบทวนให้ดีมันเริ่มสั่นคลอนเพราะมันอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดก็ได้แต่ยังไงเสียเขาขอเวลาที่จะคิดทบทวนอีกสักหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้ง

“คุณจะลองไปหาหมอไปขอยามาทานไหม?”

“ยานอนหลับนะเหรอครับ?”

“ผมก็ไม่รู้ก็ลองไปคุยดูก่อนไหมคุณนี่มันก็จะครบอาทิตย์อยู่แล้วนะที่เป็นแบบนี้ คุณจะไม่ไหวเอานะสิ”

“เอาไว้ไม่ไหวจริงๆก่อนดีกว่าครับ ผมไม่อยากพึ่งยาเลย”

“ถ้างั้นก็พยายามหาเวลานอนงีบก่อนตอนดึกดูแล้วกันนะครับเผื่อจะช่วยให้หายเพลียได้ดูแลตัวเองด้วย”

คุณจอห์นยกมือขึ้นมาตบเขาที่ต้นแขนทางด้านซ้ายเบาๆเหมือนเป็นการให้กำลังใจกัน เขาที่รับรู้ถึงกำลังใจนั้นกำลังเงยหน้าขึ้นไปยิ้มเป็นการขอบคุณแต่กลับต้องชะงักและรีบหลับตาให้สนิทเมื่อจู่ๆ ลมก็พัดหอบเอาฝุ่นปลิวขึ้นมา แต่ในที่สุดเขาก็ต้องลืมตากว้างมารับเอาฝุ่นพวกนั้นให้เข้าไปในดวงตาเมื่อมีเสียงที่เขารู้สึกคุ้นเคยมากระซิบอยู่ที่ข้างหูว่า ‘ออกไปซะ’

‘โอ๊ย’ เขาร้องเสียหลงเมื่อฝุ่นที่เขาพยายามจะหลับตาหนีดันปะทะเข้ากับดวงตาของเขาเต็มๆ

“เป็นอะไรไปครับคุณทอม?”

“ตาผม”ความเจ็บที่ดวงตาทำให้เขาลืมเสียงกระซิบนั้นไปเสียหมด ลืมไปกระทั่งว่าเสียงมันช่างคล้ายกับเสียงที่เขาได้ยินทุกคืนมากขนาดไหน

“เจ็บมากไหมคุณ?”

“ครับ”

“ผมว่าผมพาคุณไปล้างตาดีที่โรงพยาบาลดีกว่า”               

“ไม่เป็นไรครับที่บริษัทผมมีห้องพยาบาลผมรบกวนให้คุณไปส่งผมที่นั้นได้ไหมครับ?”

“ได้สิครับ”

โชคดีที่ตาของเขาไม่เป็นอะไรมากแค่เพียงล้างตาความเจ็บแสบของฝุ่นที่บาดเข้ากับดวงตาของเขาก็หายไปหมอประจำห้องพยาบาลจึงอณุญาตให้เขากลับขึ้นไปทำงานได้


“ผมไม่ได้รู้สึกไปคนเดียวใช่ไหมครับว่าวันนี้มันหนาวมากกว่าทุกวัน?”

 เย็นวันนี้คุณจอห์นขออาสาไปคนส่งเขาที่บ้านเพราะกลัวว่าอาการบาดเจ็บที่ตาของเขาจะทำให้ตัวเขาเดินทางกลับบ้านลำบากแม้ว่าเขาจะได้อธิบายไปทางโทรศัพท์ว่าอาการของเขาไม่เป็นอะไรแต่ก็ดูเหมือนว่าคุณจอห์นจะแปลข้อความเหล่านั้นเป็นว่าเขากำลังเกรงใจมากกว่าไม่เป็นอะไรเขาจึงปล่อยให้เลยตามเลย

“เพราะคุณจอห์นมารอผมนานรึเปล่า?”

“แต่ผมก็รอคุณด้านในนะ”

“งั้นคุณเอาถุงมือผมไปใส่เถอะครับ”

“ไม่เป็นไรคุณคุณใส่เอาไว้เถอะคุณก็คงจะหนาวเหมือนกัน”

“ไม่มากเท่าคุณแน่นอนครับ” เขาถอดถุงมือออกแล้วยื่นมันให้กับคุณจอห์น คุณจอห์นพอได้ถึงมือก็ดูเหมือนว่าจะอุ่นขึ้นก็เริ่มออกเดินทางกัน

เวลาช่วงนี้เป็นเวลาเลิกงานทำให้ร้านอาหารที่อยู่บริเวณนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่ต่อแถวเพื่อจะได้ลิ้มรสอาหารเย็นเขาสองคนที่ไม่ได้ทำการจองคิวเอาไว้ล่วงหน้าทำได้แค่ไปลงชื่อและนั่งต่อคิวอยู่ที่ทางหน้าร้าน

“ผมว่าไปทานอะไรที่ห้องของผมดีกว่าครับ”

เขาตัดสินใจเลิกรอและชวนคุณจอห์นหาซื้ออะไรไปทานที่ห้องของเขาแทนไม่ใช่ว่าเขาทนรอไม่ได้แต่คุณจอห์นที่นั่งรอด้วยกันกับเขาตอนนี้กำลังนั่งสั่นด้วยความหนาวจนริมฝีปากและผิวหน้าต่างซีดขาวไปหมด

“มันจะรบกวนคุณเปล่าๆ”

“แต่ถ้านั่งรอแบบนี้คุณจะไม่ไหวเอานะสิไปครับ”

“งั้นถ้าไม่กวนคุณมากจนเกินไป ไปครับเราไปซื้ออะไรทานที่ห้องคุณกัน”

เขากับคุณจอห์นแวะซื้ออาหารตามสั่งที่ตรงป้ายรถเมล์ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปที่ซอยที่พักของเขาไม่รู้ว่าอากาศมันเย็นลงอย่างกระทันหันหรืออย่างไรจู่ๆ มือของเขาก็เย็นแข็งทำให้ถุงอาหารที่อยู่ในมือเกือบล่วงลงพื้น

“คุณเอากลับไปใส่เถอะครับ”

“ไม่เป็นไรครับคุณจอห์นเดี๋ยวก็ถึงห้องผมแล้ว”

“ถ้าไม่งั้นก็เอาถุงอาหารมาให้ผมถือครับคุณไม่น่าไหว”

“งั้นผมขอใส่ถุงมือดีกว่าครับ”

ในขณะที่เขากำลังจะใส่ถุงมือที่รับกลับคืนมาจากคุณจอห์นเขารู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังมองเขามาจากทางด้านหลังด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเขาจึง ใช้หางตามองไปทิศทางที่เขารู้สึกแต่กลับกลายเป็นว่าเขาก็จะไม่เห็นว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้น

“มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“เปล่าครับไม่มีอะไร”

น้องที่อยู่ตรงประชาสัมพันธ์ของตึกพยายามควักมือเรียกเขาเอาไว้เหมือนส่งสัญญาณว่าให้รอก่อนเพราะเธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่เขาหยุดยืนรออยู่ 5 นาทีก็ดูเหมือนว่าธุระในสายของเธอจะไม่จบลงง่ายๆ ความจริง 5นาทีเป็นเวลาที่ไม่นานแต่เพราะตอนนี้มันก็เย็นมากแล้วและเขาเองก็หิวข้าวมากเขาเลยส่งสัญญาณกลับไปว่าเดี๋ยวเขาจะกลับลงมา

“นี่คุณเปิดเครื่องทำความร้อนยังครับ?”

“เปิดแล้วนะครับคุณไม่รู้สึกอุ่นขึ้นมาเลยรึครับ?”

“ครับอากาศไม่ต่างจากข้างนอกเลย สงสัยคุณเป็นคนขี้ร้อนแน่เลย”

“คุณก็คงจะขี้หนาวมากแน่เลย”

เสียงหัวเราะที่ไม่เคยได้เกิดขึ้นในห้องนี้ทำให้บรรยากาศในห้องดูอบอุ่นจากความหนาวเย็นอยู่เล็กน้อยแต่เพียงไม่นานหลังจากมื้อเย็นจบลงคุณจอห์นก็รีบขอตัวกลับไปที่พักของตนเองด้วยเหตุผลที่ว่าห้องของเขามันหนาวจนเกินไป

จะว่าไปแล้วเขาก็เริ่มรู้สึกเหมือนกันว่าอุณหภูมิภายในห้องนี้มันแทบจะไม่แตกต่างจากข้างนอกเลยเขาเลยตั้งใจที่จะตื่นเช้าให้มากกว่าเดิมในวันพรุ่งนี้สักหน่อยจะได้มีเวลาไปแจ้งเรื่องกับทางตึกเพราะอาจจะเป็นไปได้ว่าเครื่องทำความร้อนในห้องของเขาเสีย

หลังจากที่เขาล้างจานทำความสะอาดเก็บข้าวของเรียบร้อยอากาศในห้องก็ไม่ชวนให้เขาทำอะไรยกเว้นการห่อตัวเองเอาไว้ในผ้าห่มแล้วจิบนมอุ่นๆนั่งดูละครที่โซฟาหน้าทีวีเขากะว่าหลังจากละครจบเขาจะลุกขึ้นไปอาบน้ำชำระร่างกายแต่กลายเป็นว่าเขาเคลิ้มหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้

เสียงทีวียังส่งมาแผ่วๆให้เขาพอได้ยินการพูดคุยแม้ว่าเขาจะไม่สามารฟังเข้าใจได้ก็ตามแต่แล้วเสียงทีวีนั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนว่ามีใครสักคนกำลังมานั่งพูดที่ข้างหูของเขา

“อย่ามายุ่งกับเขา”

“...”

“ผมรักเขา”

“...”


“หรือว่าเราจะแลกคนรักกันดี”

“...”

“คนของคุณอยู่ในมือของผม”

“...”

“ออกไปจากชีวิตเขาซะไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน”

“ออกไปจากชีวิตเขาซะ!! ได้ยินไหม!!”

“ใครนะ!!”

เสียงตะโกนที่ถูกแปลเปลี่ยนมาจากเสียงกระซิบนั้นมันทำให้เขาสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมาครั้งนี้มันไม่เหมือนกับครั้งไหนๆ ทุกคำพูดนั้นที่เขาได้ยินเขาจำมันได้เขาจำได้แม้กระทั่งลมหายใจที่กระทบกับหูของเขาเลยด้วยซ้ำแถมเสียงนี้ที่เขาได้ยินมันก็คือเสียงที่เขาได้ยินอยู่ทุกคืนเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

 

เขามองไปรอบห้องก็ไม่เห็นใครแถมทีวีที่เปิดอยู่ก็เป็นรายการเกมส์โชว์ของเด็กซึ่งไม่น่ามีอะไรที่ออกมาเป็นคำพูดที่เขาได้ยินเมื่อกี้ได้

แล้วเสียงที่เขาได้ยินเมื่อกี้มันเป็นเสียงกระซิบของใครกัน? ที่สำคัญ ‘แฟรงค์’ ละเขาจะเป็นอะไรไหมนะ?

TBC

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
 Day 15 กักขัง


"พ่อหนุ่มคนนั้นนะ ปล่อยวางเสียบ้างนะ"

“…”

“ถ้ายังเก็บเขาแบบนี้เท่ากับเธอกำลังทำให้เขาไปไหนไม่ได้นะ”

ระหว่างที่จอห์นกำลังกอดตัวเองอย่างแน่นหนาเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายของตัวเองจากอากาศที่หนาวเย็นและกำลังรีบวิ่งตรงจากสถานีรถไฟเพื่อกลับบ้านเขาก็ต้องหยุดวิ่งแล้วหันไปมองตามเสียงพูดที่ลอยเข้ามาหาเขา แล้วเขาก็เห็นคนสูงอายุคนนึงกำลังนั่งพิงกับพื้นที่ซอกตึกหันหน้ามาทางเขา

"พูดกับผมเหรอครับ?"

"ถ้ายัง ‘กักขัง’ เขาคนนั้นเอาไว้ในใจแบบนี้ต่อไปมันจะมีแต่เรื่องวุ่นวายเข้ามา ระวังเอาไว้"

"ผมไม่ดูดวงครับ"

เขารู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองที่ยอมหยุดยืนฟังเรื่องไร้สาระจากผู้ชายที่ดูเหมือนเป็นพวกไร้บ้านแล้วยังมาหาเงินจากเขาเพียงแค่พูดอะไรขึ้นมาเรื่อยเปื่อยเพื่อเรียกร้องความสนใจเท่านั้น

วันนี้มันวันอะไรของเขากันนอกจากจะหนาวจนเหมือนว่าตัวเองกำลังจะเป็นไข้ยังต้องเจอคนข้างถนนที่เขาไม่รู้จักและพยายามอวยพรให้ชีวิตเขาพังซ้ำเข้าไปอีก ชายคนนั้นไม่สนถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ของเขาเพราะยังคงส่งเสียงดังไล่ตามหลังเขามา แต่เขาไม่มีกระจิตกระใจที่จะฟังหรือเถียงกับชายคนนั้นเขาจึงเลือกเดินจ้ำจากมาอย่างรวดเร็วกลับเข้าที่พักของเขา


"คุณจอห์นผมว่าคุณควรไปหาหมอที่โรงพยาบาลคลีนิคอาจจะไม่ใช่ทางออกของอาการคุณ"

"มันดูแย่ขนาดนั้นเลยรึครับ?"

"ครับ วันนี้ผมว่ามันไม่หนาวถึงขนาดต้องใส่โอเว่อร์โค้ท"

เมื่อเช้าเขาตื่นสายกว่าปกติการรีบออกจากบ้านทำให้เขาไม่ได้สังเกตุคนรอบตัวของเขาเลยว่าไม่มีใครสักคนที่จะแต่งตัวป้องกันความหนาวเต็มสูตรแบบเขา คนอื่นใส่กันแค่แจ๊คเก็ทคลุมเท่านั้นมีเพียงเขาที่ใส่โอเว่อร์โค้ทตัวยาวออกมาจากบ้าน

อาการหนาวเหมือนจับไข้ของเขาที่เป็นมาตั้งแต่วันก่อนมันไม่ดีขึ้นและดูเหมือนว่ามันจะแย่ลงด้วยซ้ำเพราะไม่ว่าเขาจะปรับอุณหภูมิในห้องให้สูงขึ้นจากเครื่องทำความร้อนเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่พอ ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นไข้เพราะช่วงนี้อากาศกำลังเปลี่ยนแปลงเขาจึงไปหาหมอที่คลีนิคแถวบ้านแต่ว่าวันนั้นเขาก็เสียเวลาไปเปล่าเมื่อคุณหมอบอกว่าร่างกายของเขาแข็งแรงดีเลยไม่ได้จ่ายยาให้กับเขา

"ถ้าอีกวันไม่ดีขึ้นสงสัยผมคงต้องไปที่โรงพยาบาลตามที่คุณบอกแล้วละครับ"


“ฮัลโหลครับ?”


เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาส่งเสียงร้องเป็นการเตือนว่ามีคนอยากที่จะติดต่อเขาอยู่หลายครั้งตั้งแต่เช้าที่เขาปล่อยทิ้งไว้ให้ดัง ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัวหรือว่าไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นมารับแต่กว่าที่เมื่อคืนเขาจะข่มใจให้หลับแล้วเอาชนะกับความหนาวที่รุมเร้าเขาอย่างหนักนี้ได้ก็ผ่านช่วงเวลาตี 1 ไปนานมากแล้ว เขารู้ตัวของเขาดีว่าเขาคงไม่จะไม่สามารถลุกไปทำงานได้ไหวในวันรุ่งขึ้นดังนั้นก่อนหน้าเขาจึงตัดสินใจล้มตัวลงนอนเขาได้กดส่งอีเมลล์สั้นๆ ไปลางานกับหัวหน้าแผนกเป็นที่เรียบร้อย แต่ถ้าให้เดาเขาว่าเสียงที่ดังมาจากมือถือนั้นน่าจะเป็นเสียงเรียกจากคนที่ทำงานเขาจึงพยายามเป็นอย่างมากที่จะทำตัวเพิกเฉยกับเสียงเรียกนั้น แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้เมื่อฝ่ายที่โทรเข้ามามีความอดทนที่มากกว่า


“คุณโอเครึเปล่า? ผมไม่เห็นคุณมาที่ร้านก็เลยลองโทรมาถามดู คุณโอเคไหมครับ?”

“คุณทอม?”

“ครับผมทอมเอง”

แค่รู้สึกตัวตื่นลืมตาความหนาวก็จู่โจมเข้าเล่นงานเขาอีกครั้ง ช่วงที่เขาตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์เขาแค่รู้สึกถึงลมเย็นที่เหมือนจะผ่านเข้ามาในห้อง แต่กลับกลายว่ายิ่งใช้เวลาคุยกับคุณทอมมากเท่าไหร่ความหนาวก็ยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้นจนตอนนี้เริ่มมีไอออกมาจากปากของเขาเวลาที่เขาพูด สงสัยมันเป็นเพราะว่ามือของเขายื่นออกไปนอกผ้าห่มนานเกินไปเขาจึงดึงมือเข้ามาแล้วคลุมโปงตัวเองทั้งตัวอยู่ในผ้าห่ม

“วันนี้ผมคงไม่ได้ไปครับ ผมเพิ่งล้มตัวลงนอนได้ไม่นานเอง”

“งั้นคุณพักผ่อนเถอะครับ ผมขอโทษด้วยที่รบกวน ดูแลตัวเองด้วยครับ”

“ขอบคุณครับที่เป็นห่วง”

“เดี๋ยวครับ คุณอยากไปหาหมอไหม?”

“ผมว่าเย็นนี้ผมจะไป”

“ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม?”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไปคนเดียวได้”

“ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยโทรมาได้เลยนะครับ”

“ขอบคุณครับ”

เขาพยายามหลับตานอนหลังจากที่วางสายของคุณทอมไปแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามพลิกซ้ายพลิกขวามากเท่าไหร่เขาก็ไม่สามารถหลับตาลงเขาจึงลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและออกไปโรงพยาบาลตั้งแต่ตอนนี้

“ผลจากการตรวจคุณไม่มีอาการของคนเป็นไข้แต่อย่างไรค่ะ ถ้ายังไงหมอคงต้องขอเจาะเลือดและรอผลมาส่งนะคะจะได้สามารถหาสาเหตุของอาการหนาวเย็นของคุณได้”

เพราะยังหาสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกหนาวตลอดเวลาได้เขาจึงไม่ได้ยาอะไรติดมือกลับมา คุณหมอให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำร่างกายให้อบอุ่นมากขึ้นในช่วงนี้มาแทนการเปิดเครื่องทำความร้อนที่มากขึ้นเพราะตอนนี้ผิวที่ตัวของเขาเริ่มแห้งจนมีหลายที่ที่เริ่มแตกเป็นขลุยและเริ่มเป็นสะเก็ดแผลแล้ว

“ผมไปหาหมอมาแล้วนะครับ”

“คุณหมอว่ายังไงบ้างครับ?”

“ยังไม่ทราบสาเหตุครับแต่เจาะเลือดไปแล้ว คุณหมอบอกให้ผมสร้างความอบอุ่นให้ตัวเองผมเลยกำลังจะไปสวนสาธารณะเพื่อไปวิ่งออกแรงสักหน่อยครับ”

“น่าสนใจนะครับ ตั้งแต่มาที่เมืองนี้ผมยังไม่เคยได้ไปออกกำลังกายที่ไหนเลย”

“มาด้วยกันไหมครับ?”

“ผมยังไม่เลิกงานเลย คุณไปเถอะ”

“เอางี้ผมก็ไม่อยากออกวิ่งคนเดียวเหมือนกันกลัววิ่งเพียง 5 นาทีก็หยุดเอาซะแล้ว ผมจะไปที่สวนไฮปาร์คไม่รู้ว่าคุณสะดวกไหม?”

“สะดวกครับผมเคยได้ยินชื่อ”

“คุณกลับไปเตรียมตัวที่บ้านก่อนก็ได้แล้วพอใกล้ถึงแล้วโทรมาแล้วกัน บ้านผมอยู่ตรงข้ามสวนเอง”

“เอางั้นเหรอครับ?”

“แบบนั้นแหละครับ แล้วเจอกัน”

เมื่อครู่ตอนที่เขากดโทรศัพท์เพื่อโทรรายงานผลตรวจกับคุณทอมก็ด้วยเหตุผลเดียวว่าเมื่อเช้าเขารู้สึกได้ถึงมิตรภาพความเป็นห่วงเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้นเขาเลยคิดว่าเขาควรที่จะบอกผลให้กับเจ้าตัวได้รู้สักหน่อยก็เท่านั้นแต่ผลที่ได้กลับมามันดีเกินคาดกลายเป็นว่าเขาไม่ต้องไปวิ่งออกกำลังกายเพียงคนเดียวดีจริงเพราะถ้าให้เขาออกวิ่งคนเดียวมีหวังเขาอาจจะได้หยุดหลังจากที่ออกวิ่งเพียงไม่นาน


“คุณทอมคุณหอบลมหนาวมาด้วยทำไมครับเนี่ย”

แม้ว่าเวลานี้มันจะเป็นช่วงเย็นหลังเลิกงานก็ตาม แต่เพราะที่สวนแห่งนี้มักจะมีผู้คนมาออกกำลังกายจึงมีเสาไฟมากมายที่ถูกติดตั้งให้เปิดเอาไว้เพื่อเป็นแสงสว่างของผู้คนภายในสวนนี้ ตอนที่เขามานั่งรอคุณทอมเขายังไม่รู้สึกว่าอากาศมันจะหนาวเย็นถึงขนาดที่เขาต้องรูดซิปจนมิดคอ แต่พอคุณทอมเดินเข้ามาภายในสวนอากาศก็เปลี่ยนแปลงกระทันหันจนเขาต้องรูดซิปขึ้นมาจนสุดแถมยังรู้สึกเสียใจที่เขาเลือกใส่ขาสั้นมาแทนขายาว


“คุณจะขึ้นไปทานอะไรบนห้องก่อนไหมครับ? น้ำหรือขนม?”

“ก็ดีครับผมอยากล้างหน้าล้างตาเล็กน้อยด้วย”

“ได้สิครับ”

สรุปผลของการวิ่งออกกำลังกายมันเป็นไปอย่างที่เขาคิด 2 คนยังไงก็ดีกว่าคนเดียวเพราะวันนี้เขาวิ่งได้ถึง 40 นาทีซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำมานานแล้วตั้งแต่เขาใช้ชีวิตคนเดียว หลังจากสี่สิบนาทีผ่านไปคุณทอมเหนื่อยหอบแถมยังร่ำๆ ว่าจะปาเสื้อทิ้งตั้งแต่ 20 นาทีแรกส่วนเขาแค่รูดซิปเสื้อนอกให้มันลงมาที่กลางตัวได้ก็ถือว่าเขาเก่งมากแล้ว

“ทำตัวตามสบายเลยนะครับห้องน้ำอยู่ทางด้านในห้องนอนเสร็จแล้วคุณออกมารอผลที่โต๊ะทานข้าวได้เลยนะ ผมขอเข้าไปอุ่นแซนวิชก่อน ว่าแต่คุณอยากได้ชา หรือ โกโก้ดี?

“ผมขอโกโก้ดีกว่าครับ”

แต่ไม่ทันที่น้ำจะเดือดและพร้อมจะชงเครื่องดื่มหรือว่าแซนวิชที่เขาจับมันยัดมันเข้าไมโครเวฟจะอุ่นเสียงตะโกนร้องแบบคนตกใจสุดชีวิตของทอมก็ดังออกมาจากทางห้องนอนของเขา

“มีอะไรรึเปล่าคุณทอม? มีอะไรครับ?”

หน้าของคุณทอมซีดจนแถบจะไม่เหลือสีเลือดที่เคยสูบฉีดจากการออกกำลังอยู่ มือของคุณทอมสั่นระริกปลายนิ้วของคุณทอมชี้ไปที่จอโน๊ตบุ้คของเขาที่ถูกตั้งเอาไว้ที่โต๊ะทำงาน

บนหน้าจอนั้นมีวีดีโอที่ถูกเล่นค้างเอาไว้ มันคือวีดีโอที่เขาเพิ่งเปิดขึ้นมาดูอีกครั้งเมื่อเช้าเนื่องจากวันนี้เขาไม่ได้ไปทำงานเขาเลยถือโอกาสจัดการกับไฟล์ที่อยู่ในเครื่องให้เรียบร้อยส่งสัยว่าเขาคงจะเปิดดูแล้วลืมปิดมัน วีดีโอที่โชว์อยู่ในนั้นมีเพียงแค่ใบหน้าของที่โชว์หน้าต่อหน้ากล้องแต่มีเสียงพูดของใครบางคนเป็นแบคกราวน์อยู่ทางหลังกล้องซึ่งนั้นก็คือเสียงที่ออกมาจากคนที่กำลังบันทึกวีดีโอนี้เอาไว้นั้นเอง

“ไหนยิ้มให้กล้องหน่อยสิครับ?”
“จะยิ้มหวานไปไหม? จะแอบเอาไปอ่อยใคร”
“อ่อยคุณ”
“ให้มันจริงเถอะ”

แล้วภาพก็ถูกตัดไปเป็นภาพมืดสนิทถ้าคนที่ไม่รู้มาก่อนอาจจะคิดว่าวีดีโอนี้จบลงแล้วแต่สำหรับเขาคนที่อยู่ในนั้นรู้ดีว่ามันยังถ่ายอยู่เพียงแค่กล้องตัวนั้นได้หล่นไปอยู่ที่พื้น แล้วที่เขาไม่ตัดส่วนนี้ทิ้งตั้งแต่แรกเพราะในความมืดนิทนั้นมันมีเสียงหัวเราะที่สดใสของคน 2 คนดังรอดเข้ามาในตัวกล้องและนั้นก็คือเหตุผลที่ตัวกล้องยังไม่ได้หยุดทำการบันทึก

“ผมรักคุณนะเดฟ”

และนั้นก็คือเสียงสุดท้ายที่อยู่ในวีดีโอก่อนทุกอย่างจะหยุดลง


“คนชื่อเดฟคือใครครับ?”

“คุณกดมันเล่นได้ยังไงใครอณุญาตคุณ”

“ผมเปล่ามันเปิดเล่นของมันเอง”

“โกหก!!”

“คุณจอห์นผมเปล่าจริงๆ แต่ช่างมันเถอะเดี๋ยวผมอธิบายแต่ตอนนี้ผมอยากรู้ว่า เดฟ คือใคร?”

“วันนี้คงไม่เหมาะที่จะอยู่ทานของว่าง ผมว่าคุณกลับไปก่อนเถอะครับ”

“เดี๋ยวคุณเดี๋ยว ผมต้องการรู้เขาคือใคร เขาใช่คนที่คุณเล่าให้ผมฟังไหม เดี๋ยวคุณจอห์น”

“ปังๆๆๆ เดี๋ยวคุณ ผมอธิบายได้แต่คุณต้องคุยกับผมก่อน”

ในเมื่อพูดขอร้องดีๆ คุณทอมไม่ยอมทำตามในสิ่งที่เขาขอเขาจึงลงมือลากคุณทอมออกมาที่หน้าประตูส่วนอีกมือเขาก็คว้าหยิบเอาของคุณทอมออกมาด้วย เมื่อคุณทอมพ้นเขตของประตูห้องเขาก็ยัดของทุกอย่างลงไปในมือของคุณทอมโดยที่ไม่สนว่ามันจะอยู่ในมือนั้นหรือว่าตกลงที่พื้นเขาก็ปิดประตูบานนั้นลง

เขาเดินกลับเข้าไปที่ห้องนอนมองดูหน้าจอที่ถูกเปิดทิ้งค้างเอาไว้ด้วยความโมโห เขาโมโหที่มีคนรู้เรื่องราวของเขาและเดฟ วันนั้นเขาไม่น่าอ่อนแอแล้วเล่าเรื่องนี้ให้กับคุณทอมได้ฟัง เขาลงไปนั่งลงตรงหน้าจอและกดมันเล่นซ้ำอีกครั้งโดยเฉพาะประโยคที่ว่า “ผมรักคุณนะเดฟ”

นอกจากไฟล์นี้เขายังมีอีกหลายไฟล์ที่บันทึกเรื่องราวความรักระหว่างเขากับเดฟเอาไว้ตั้งแต่วันที่เดฟจากไปไม่มีไฟล์ไหนเลยที่เขากดลบ เพราะเขาไม่ต้องการที่จะลืมคนๆ นี้ เขาต้องการให้เดฟยังอยู่ในดวงใจของเขาตลอดไปและเขาก็ไม่ต้องการให้ใครมารู้จักเดฟเพราะเขากลัวเหลือเกินว่าจะมีแต่คนมาบอกให้เขาลืมเดฟ ปล่อยเดฟไป อย่าขังเดฟเอาไว้ในใจแบบนี้ เหมือนกับหลายคนในอดีตที่คนรู้จักเขา

‘ไม่มีวัน’ นี่คือคำมั่นที่เขาพูดกับตัวเองเสมอไม่มีวันที่เขาจะลืมเดฟและไม่มีวันที่เขาจะปล่อยเดฟไป ในเมื่อเขายังคือคนที่เดฟจดจำก่อนที่จะจากโลกนี้ไปเพราะฉะนั้นก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไปเขาจะมีแค่เดฟในใจเท่านั้น

เขาจะ ‘กักขัง’ เดฟเอาไว้แบบนี้ให้ไม่ลืมกับความผิดที่เขาทำเอาไว้กับเดฟ


TBC


ถึงคุณ monoo  :pig4:

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
รอตอนต่อไปนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 16 Hope

มันแปลกแปลกมากจริงๆ ที่วีดีโอนั้นเล่นได้ด้วยตัวเองจู่ๆ เสียงคนหัวเราะอย่างมีความสุขก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบและแสงสลัวที่รอดส่องเข้ามาตามทางจากหลอดไฟของห้องนั่งเล่น เสียงหัวเราะนั้นมันดังขึ้นในช่วงจังหวะที่เขากำลังจะก้าวเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ทางด้านในของห้องนอนและจะให้เขาไปสาบานที่ไหนก็ได้ว่าเขาไม่ได้แม้แต่จะเดินไปเฉียดกับโน๊ทบุ้คเครื่องนั้นของคุณจอห์นสักนิด อีกอย่างโต๊ะตัวนั้นก็อยู่กันคนละด้านกับทางเข้าห้องน้ำเลยด้วยซ้ำถ้าคุณจอห์นจะมีเหตุผลสักหน่อยตอนที่คุณจอห์นเดินเข้ามาก็ต้องเห็นสิว่าตัวของเขายืนติดกับผนังกำแพงของอีกฝั่งที่ตรงข้ามกับเครื่องนั้นขนาดไหนและด้วยระยะเวลาเพียงเท่านั้นถ้าเขาเป็นคนไปเล่นวีดีโอนั้นขึ้นมาจริงเขาจะกระโดดไปอยู่อีกฝั่งทันได้อย่างไงอีกอย่างแล้วมันจะมีเหตุผลอะไรที่จะจูงใจให้เขาเดินไปเปิดโน็ทบุ๊คและกดเล่นวีดีโอเล่น

‘ผี’ มันเป็นเพียงคำเดียวในตอนนี้ที่จะสามารถอธิบายกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตลอด 30 กว่าปีมานี้เขาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกผีพวกวิญญาณเลยสักนิดแต่วันนี้แค่เพียงวีดีโอนั้นเล่นขึ้นมาด้วยตัวเองพร้อมกับเสียง เสียงที่เขาจำได้ว่ามันคือเสียงที่คอยแต่จะไล่ให้เขาออกไป เขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนความเชื่อของเขาที่มีมาตลอดแต่มันจะเป็นไปได้จริงๆ เหรอ? แล้วถ้าคุณเดฟอะไรนั้นคือจิตวิญญาณจริงทำไมคุณเดฟถึงต้องเลือกเขา? คุณเดฟต้องการอะไร?

ตั้งแต่เดินทางออกมาจากห้องพักของคุณจอห์นในสมองของเขาไม่สามารถหยุดคิดเรื่องที่เกิดขึ้นได้เลยมันมีแต่ประโยคคำถามที่อัดอยู่ในนั้นมากมายเขาเดินจมอยู่ในความคิดของตัวเองจนเกือบจะเดินเลยที่พักของตัวเองไปแล้วถ้าไม่ได้ผู้ดูแลตึกเรียกเอาไว้

“คุณทอมค่ะ คุณทอม นั้นจไปไหนคะ? แวะคุยกันสักหน่อยได้ไหมคะ?”

“ครับ มีอะไร..อ๋อ ใช่วันนั้นผมลืมไปเลยที่บอกว่าจะลงมา ผมขอโทษนะครับ ไม่ทราบคุณมีอะไรรึเปล่า?”

“เมื่อวันก่อนที่ดิฉันเรียกคุณเอาไว้ก็เพราะจะแจ้งว่ามีคนมาหาคุณค่ะ”

“มาหาผม?”

“ใช่ค่ะ เขาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนที่มาจากต่างเมือง เขามานั่งรอคุณที่ใต้ตึกนี่แหละค่ะ”

“แล้วตอนนี้เขา?”

“วันก่อนเขามานั่งรอได้ครู่เดียวก็มาถามทางเพื่อไปซื้อของสด ไม่รู้ว่าคุณได้เจอเขารึยังคะ? กลัวจะคลาดกันน่ะค่ะ”

“เขาได้บอกไหมครับว่าเขาชื่ออะไร?”

“เปล่าค่ะ พอดีดิฉันเองก็ไม่ได้ถามเสียด้วย”

“งั้นคุณช่วยดูรูปนี้ได้ไหมครับ? แล้วบอกผมทีว่าใช่เขารึเปล่า”

“ค่ะ”

แค่เพียงคำบอกเล่าจากผู้ดูแลตึกก็ไม่รู้ว่าเขาเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าคนๆ นั้นต้องเป็นคนที่เขาคิด อาจจะเป็นเพราะชีวิตของเขาไม่ได้มีเพื่อนที่สนิทกันถึงกับจะมาเยี่ยมกันด้วยระยะทางที่ไกลแบบนี้หรือถ้าจะมาเพ่อนของเขาก็น่าจะบอกเขาก่อน เขารีบหยิบมือถือออกมาเปิดรูปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายทั้งแปลกใจ ทั้งสับสน แต่ที่สำคัญเขาแอบมีความ ‘หวัง’ ว่าให้คนๆ นั้นเป็นแฟรงค์เพราะในช่วงเวลาแบบวันนี้คงไม่มีใครที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาและเข้าใจเขาได้ดีไปกว่าแฟรงค์อีกแล้ว

“คนนี้ใช่ไหมครับ?”

“ใช่เลยค่ะ ว่าแต่คุณทอมได้เจอเขารึยังคะ?”

“ยังครับ ผมไม่เจอเขาเลย เขามาตั้งแต่กี่โมงครับ แล้วเขาออกไปเมื่อไหร่?”

คำถามอีกมากมายถูกถามออกไปสู้ผู้ดูแลตึก ในตอนแรกที่รู้แน่แล้วว่าคนที่มารอเขาคือแฟรงค์ความดีใจที่ความหวังของเขาสมหวังคือความรู้สึกรู้สึกแรกที่เขารับรู้แต่ตอนนี้ตอนที่เขาไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าแฟรงค์กำลังอยู่ที่ไหนความโมโหก็เริ่มเข้ามาแทนที่ของความดีใจ เขาทั้งโมโหทั้งตัวเองที่ไม่ยอมกลับลงมาทางด้านล่างในวันนั้น โมโหที่ทำไมคนดูแลตึกไม่เดินเข้ามาบอกหรืออย่างน้อยก็เดินขึ้นไปบอกเขาที่ห้องก็ได้ไม่ใช่รอจนถึงวันนี้

“แบบนี้ เขาจะเป็นอะไรรึเปล่าคะ?”

คำพูดของผู้ดูแลตึกยิ่งทำให้เขาใจเสียและนึกหวั่นใจ แต่ไม่หรอกแฟรงค์ไม่น่าจะเป็นอะไรคงแค่มาแล้วไม่เจอเขาก็เลยไปเที่ยวที่อื่นเพื่อฆ่าเวลามากกว่าและคงจะติดผมวันนี้แฟรงค์เลยยังไม่กลับมา

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะปลอบใจตัวเองแบบนั้นแต่เขาก็เอาแต่ยืนกดโทรศัพท์ลองโทรออกหาแฟรงค์แม้ว่าไม่ว่าเขาจะกดอีกกี่รอบเสียงที่ได้ยินกลับมาก็เป็นเพียงแค่ให้ฝากข้อความเอาไว้

ท่าทางของเขาคงจะดูไม่เป็นมิตรเอามาก ผู้ดูแลตึกจึงดูกล้าๆ กลัวๆ ที่จะสะกิดแขนของเขา แต่เมื่อเขาเห็นท่าทางเหมือนว่าเธอมีอะไรจะพูดเขาจึงได้ลดหูโทรศัพท์ลงและหันหน้ากลับไปหาเธอ

“ครับ?”

“เขากลับไปแล้วรึเปล่าคะ? ยังไงคุณลองติดต่อกับทางญาติของเขาอีกเมืองดีไหมคะ?”

‘ไม่มีทาง’ ทั้งไม่มีทางที่แฟรงค์จะกลับไปแฟรงค์ถ้าได้ตัดสินใจมาถึงที่นี่ คนอย่างแฟรงค์ถ้าตัดสินใจแล้วไม่มีวันที่จะหันหลังกลับไปโดยที่ไม่ได้พูดคุยกัน และก็ไม่มีทางที่เขาจะติดต่อกับครอบครัวทางนั้นได้เลยเพราะแฟรงค์ไม่เหลือใครอื่นแล้วยกเว้นก็เพียงแต่ ‘พ่อของเขา’ พอคิดมาถึงตรงนี้เขาจึงกล่าวขอบคุณกับผู้ดูแลตึกแบบลวกๆ ก่อนที่จะรีบขึ้นไปที่ห้องของตัวเองแล้วโทรสายตรงหาพ่อ

“ว่าไงทอมเป็นอย่างไรบ้างลูก?”

“พ่อครับ พ่อให้ที่อยู่ผมกับแฟรงค์เหรอครับ?”

“เปล่านะ ทำไมเหรอ?”

“แฟรงค์มาที่นี่ครับพ่อเขามาหาผม!!”

“เขาน่าจะไปบอกข่าวกับเรา”

“ข่าวอะไรครับ?”

“เรายังไม่เจอกันเหรอ?”

“ยังครับเรายังไม่เจอกัน ว่าแต่พ่อช่วยบอกผมได้ไหมครับว่าแฟรงค์เขามาที่นี่เพื่อจะบอกข่าวอะไร?”

“พ่อว่าเรื่องนี้ เราคุยกันเองดีกว่า ถ้าเขาตัดสินใจไปถึงที่นั้นแล้วก็แสดงว่าเขาอยากพูดด้วยตัวเองลูกก็รู้จักเขาดี ว่าแต่โทรมาแบบนี้มีปัญหาอะไรกันรึเปล่า? โอเคไหมลูก?”

“ผมไม่เจอกับเขาครับ พ่อครับ พ่อติดต่อเขาได้ไหม?”

“เดี๋ยวๆ หมายความว่ายังไงไม่เจอกันแล้วลูกรู้ได้ยังไงว่าเขาไปหา?”

“เรื่องมันยาวครับพ่อเอาไว้เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง ว่าแต่ก่อนหน้านี้พ่อติดต่อเขาได้บ้างไหมครับ? ผมโทรเข้ามือถือของเขาไม่มีคนรับสายเลย”

“พ่อเองก็ไม่ได้คุยกับเขามาสองสามวันแล้ว”

“งั้นพ่อช่วยโทรหาเขาให้ผมทีได้ไหมครับ?”

“ทอมลูกโทรไปแล้วไม่ติดใช่ไหม? แบบนี้ต่อให้พ่อลองโทรไปมันก็คงออกมาเป็นผลลัพท์เดียวกันเพราะพ่อเชื่อมั่นว่าเบอร์ที่ลูกมีกับเบอร์ที่พ่อมีคงเป็นเบอร์เดียวกัน”

“แต่อย่างน้อยผมก็อยากให้พ่อลอง” เพื่อว่าแฟรงค์จะบล็อกเบอร์ของเขา เขารู้ว่ามันคือความคิดที่เป็นไปได้น้อยมากถ้าแฟรงค์จะมาถึงที่นี่แฟรงค์จะบล๊อกเบอร์ของเขาทำไม แต่อย่างน้อยมันก็ยังเป็นอีกหนึ่งความหวังเล็กๆ ของเขา

“เอาแบบนี้งั้นเดี๋ยวพ่อจะลองโทรไปให้ตามที่ลูกขอแล้วถ้ายังติดต่อเขาไม่ได้พ่อจะโทรไปหาที่ทำงานของแฟรงค์ให้แล้วจะลองถามดูว่ามีใครติดต่อเขาได้บ้างมั้ยในสองสามวันที่ผ่านมา แต่ต้องเป็นพรุ่งนี้เช้านะตอนนี้มันดึกมากแล้วคงไม่มีคนรับ”

“ผมเข้าใจครับพ่อขอบคุณมากครับ”


อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงตอนเช้าจะมาถึงเขาไม่คิดแล้วรอคำตอบแบบนั้นเขาต้องเป็นบ้าแน่ๆ เขาจึงอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายของตัวเองสดชื่นกว่านี้ลดความเหนื่อยล้าจากการวิ่งแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกตามหาแฟรงค์ด้วยตัวเอง ผู้ดูแลตึกบอกกับเขาว่าแฟรงค์ออกไปซื้อของสดร้านที่ไปคงไม่ไกลจากนี้มากเท่าไหร่เขาเลยว่าจะลองไปเดินถามคนอื่นๆ ที่อยู่ระแวกนี้ดูว่ามีใครเห็นแฟรงค์บ้าง

“คุณทอมค่ะ ทางนี้ค่ะๆ”

แต่ไม่ทันที่เขาจะก้าวพ้นขอบประตูของลิฟท์โดยสารเสียงของผู้ดูแลตึกก็ตะโกนเรียกชื่อของเขาด้วยเสียงที่ค่อนข้างเป็นกังวลแถมยังมีตำรวจยืนอยู่ที่ทางเข้าหน้าตึกอีก

“เกิดอะไรขึ้นครับคุณ?”

“คือว่า...”

“คุณรู้จักผู้ชายในรูปนี้ไหมครับ?”

หนึ่งในตำรวจที่ยืนอยู่ยื่นรูปถ่ายหน้าของใครบางคนออกมาแม้สภาพที่เห็นจะต่างจากเดิมที่เขาได้เห็นครั้งล่าสุดไปมาก แต่เขาก็ยังสามารถแน่ใจได้ว่าคนในรูปนั้นเป็นใครบางคนที่เขาจำได้ดีและเป็นใครบางคนที่เขากำลังตามหา

“ครับผมรู้จักเขาครับ”

“งั้นผมขอเชิญคุณไปกับเราหน่อยครับ”

“คุณพอจะบอกผมได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”

“ในรถแล้วกันครับ”


“ทางเราได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลว่าได้รับแอดมินคนไข้คนนี้จากการส่งตัวของคนขับรถแท๊กซี่รายนึงที่ขับรถเฉี่ยวคนไข้เข้าทางคนขับแจ้งเราว่าคนไข้ได้กระโดดลงมาที่หน้าถนนด้วยตัวเอง”

“แฟรงค์เขาไม่น่าจะทำแบบนั้น”

“ตอนนี้ทุกอย่างยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนครับแต่หลักฐานที่เรามีในมือตอนนี้ก็คือกล้องหน้ารถของทางคนขับและดูเหมือนว่าเขาพูดความจริง”

“ครับ” แม้ว่าเขาจะตอบกลับด้วยความสงบแต่มือของเขาที่กำแน่นเข้าหากันอยู่นั้นกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“เราไม่สามารถติดต่อคนที่เกี่ยวข้องกับคนไข้ได้เลยแต่ในกระเป๋ากางเกงทางเราพบที่อยู่ของคุณเราเลยมาลองสอบถามและคนดูแลตึกคุณยืนยันว่าเขารู้จักกับคุณ”

“ครับ”

ตอนที่ตำรวจนำเขามาส่งที่โรงพยาบาลเข่าของเขาแทบทรุดเมื่อมองเข้าไปในห้องคนไข้รวมแล้วเขาพบว่าแฟรงค์กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ที่เตียงโดยที่มีผ้าพันแผลติดอยู่ตามตัว แต่ที่เขาสนใจมากกว่าผ้าพันแผลนั้นก็คือ

“ทำไมต้องมีที่ล็อคข้อมือติดเข้ากับเตียงด้วยครับ?” เขาหันไปถามกับนางพยาบาลที่พาเขามาที่ห้องพักคนไข้ห้องนี้พร้อมกับเอกเอกสารเกี่ยวกับการยอมรับเข้ารับรักษามาให้เขากรอก

“คนไข้พยายามทำร้ายตัวเองตลอดเวลาค่ะ ทางเราเลยต้องทำแบบนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวคนไข้เอง”

“ผมขอเปลี่ยนเป็นห้องเดี่ยวได้ไหมครับ?”

“ได้ค่ะเดี๋ยวดิฉันจะเช็คให้ว่ายังมีห้องว่างอยู่ไหม”

โชคดีที่โรงพยาบาลนี่ยังมีห้องพักเดี่ยวสำหรับคนไข้เหลือ หลังจากที่ทำเรื่องย้ายแฟรงค์เป็นที่เรียบร้อยเขาก็นั่งลงตรงข้างเตียงแล้วเริ่มพิจารณาร่างกายของคนที่เขารักที่ตอนนี้มันบอบช้ำและดูอ่อนแรงมากกว่าครั้งล่าสุดที่เขาเจอมากขนาดไหนอีกครั้ง  เขาพยายามรวมรวบสมาธิแล้วคิดว่าตัวเองต้องทำอะไรเป็นอย่างแรก ณ ตอนนี้ แล้วเขาก็พบว่าสิ่งที่เขาต้องทำคือโทรหาพ่อแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ให้ไปตามหาใครแต่คงต้องรบกวนให้พ่อรายงานกับทางบริษัทของแฟรงค์ เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าแฟรงค์ลางานมาได้นานแค่ไหน? จะหมดวันลาแล้วรึยังแต่จากที่เขาเห็นเขาไม่คิดว่าแฟรงค์จะกลับไปได้ภายในวัน 2 วันนี้แน่นอน

“ว่าไงลูก? เจอกันแล้วรึยัง?”

“พ่อครับ ผมเจอเขาแล้ว”

“ดีแล้ว พ่อเองก็เป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น คุยกันดีๆ ละ”

“พ่อครับ พรุ่งนี้ พ่อโทรไปลางานให้แฟรงค์เพิ่มได้ไหมครับ?”

“นานแค่ไหนละลูก?”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับพ่อ ตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาลครับ”

“แฟรงค์เป็นอะไรมากไหม? อยากให้พ่อไปหาไหม?”

“ตอนนี้ผมว่าพวกเราโอเคครับ”

“แน่นะ”

“ครับพ่อ”

“งั้นถ้ามีอะไรให้พ่อช่วยโทรมาได้เลยนะ”

“ขอบคุณครับพ่อ....พ่อครับ”

“ว่าไงลูก?”

“ผมผิดรึเปล่าครับที่หนีเขามาแบบนี้ ถ้าผมไม่เป็นคนขี้ขลาดหนีปัญหามาแฟรงค์คงไม่เจ็บตัวแบบนี้ใช่ไหมครับ?”

“...”

“ถ้าผมยอมฟังเขา ยอมอยู่ด้วยกัน ยอมพูดคุยกันมันจะไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหมครับ?”

“ทอม พ่อจะไม่บอกนะว่าใครผิดใครถูกในเรื่องนี้พ่อบอกได้แค่ว่าอดีตคือสิ่งที่เรากลับไปแก้ไขไม่ได้เพราะฉะนั้นการที่ลูกเอาแต่คิดว่า ‘ถ้าตอนนั้นไม่’ สำหรับพ่อมันไม่ช่วยอะไร”

“...”

“สิ่งที่ลูกต้องมีตอนนี้คือ ‘ความหวัง’ หวังที่ให้เขากลับมาพ่อเชื่อว่าความหวังคือสิ่งที่จะให้เราผ่านวันนี้ไปได้ด้วยความคิดด้านบวกและความคิดด้านบวกมันก็จะเป็นแรงใจของทั้งลูกและแฟรงค์ถ้าลูกจิตใจแข็งแรงลูกก็จะพร้อมดูแลเขาจริงไหม?”

“ครับพ่อ”

เขาวางสายจากพ่อไปแล้วและตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เขาจะได้ดูแลคนตรงหน้าของเขาแบบที่พ่อได้บอกเอาไว้ ใช่เขาต้องมี ‘ความหวัง’ เพราะตอนนี้เขาเองก็ ‘ปรารถนา’ ที่จะฟังในสิ่งที่แฟรงค์เดินทางเพื่ออยากมาบอกเขาเหลือเกิน

สิ่งที่เขาสังเกตุเห็นตั้งแต่แรกที่มาเจอแฟรงค์คือแฟรงค์จะนอนตัวกระตุกอยู่แทบตลอดเวลา แม้มันจะเป็นการกระตุกเพียงเล็กน้อยแต่เขาก็สังเกตุเห็นมันได้แต่ถ้าเขาได้จับมือหรือสัมผัสตัวของแฟรงค์อาการกระตุกนั้นก็จะเบาบางหรือหายไป ดังนั้นจากความตั้งใจที่จะลากเก้าอี้มาเฝ้าข้างเตียงเขาก็เปลี่ยนเป็นปีนขึ้นไปนอนบนเตียงข้างๆ กับแฟรงค์โดยที่ยอมผิดกฏของโรงพยาบาลถึง 2 ข้อ นั้นคือแกะที่ล๊อคข้อมือข้างนึงออกและการล้มตัวลงนอนเตียงเดียวกับคนไข้  เขาขึ้นไปนอนกอดแฟรงค์เอาไว้บนเตียงหวังเพียงว่าอ้อมกอดของเขาจะทำให้แฟรงค์นอนหลับได้สบายมากกว่านี้ เ

ขาหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนโดยที่ไม่รับรู้ถึงสายตาของใครบางคนที่ยืนดูพวกเขาอยู่ที่ข้างเตียง


TBC

ถึงคุณแมวดำ  ขอบคุณมากนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 17 ขยำ

อากาศในวันนี้ดีมากกว่าทุกวันมันไม่หนาวจนเขาต้องคอยเอามือปิดหูและก็ไม่ร้อนจนรู้สึกเหนอะหนะนอกจากอากาศจะดีแล้วบรรยากาศรอบตัวของเขาในตอนนี้ก็ยังโล่งสบายเพราะสวนที่เขากำลังนั่งสูดเอาอากาศเข้าปอดอยู่นั้นโล่งจนเขาไม่เห็นใครเลยสักคนทั้งที่ปกติแล้วเมืองนี้เป็นไปได้ยากมากที่จะหาสวนโล่งแบบนี้ สงสัยอาจมีการจัดงานใหญ่ที่ไหนสักแห่งคนก็เลยแห่ไปแต่ที่นั้นไม่มาเดินเล่นที่สวนนี้

จะว่าไปสวนสาธารณะที่นี่มันช่างคุ้นตาแต่เขากลับนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเขาเคยเห็นมันที่ไหนหรือชื่อว่าอะไรแต่ช่างเถอะเขายังเหลือเวลาอยู่ที่เมืองนี้อีกตั้งหลายเดือนยังมีเวลาให้คิดอีกถมเถไปไม่ก็ค่อยถามคุณจอห์นเอาวันหลังก็ได้ ในเมื่อตอนนี้เขาได้มาเจอกับช่วงเวลาสงบที่หาได้ยากแบบนี้เขาขอเก็บเกี่ยวเอาความสบายใจเอาไว้ก่อนดีกว่า

‘แฟรงค์’

ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ปากของเขาจะหลุดชื่อนี้ขึ้นมาโดยที่ไม่ตั้งใจแต่เพราะในขณะที่สายตาของเขาที่กำลังมองซึมซับบรรยากาศเขาก็เห็นร่างของคนๆ นึงเดินผ่านแนวสายตาของเขาไป ร่างนั้นช่างคุ้นตาจนเขาต้องมองตามโดยไม่ละสายตาแล้วในที่สุดเขาก็รู้ว่าร่างนั้นเหมือนใครไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือทรงผมคนนั้นช่างเหมือนแฟรงค์เหลือเกิน

เพราะเหมือนจึงต้องเดินไปดูให้แน่ใจว่าใช่หรือไม่เขาจึงลุกและเดินตามแผ่นหลังนั้นไปจากเดินก็กลายเป็นวิ่งเหมือนแผ่นหลังนั้นเริ่มไหลออกไปเรื่อยๆ และไม่ว่าเขาจะพยายามวิ่งให้เร็วเท่าไหร่ทั้งที่แฟรงค์ก็ดูเหมือนเดินธรรมดาแต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเดินไม่ถึงตัวของแฟรงค์สักที

“แฟรงค์”

ยิ่งเดินตามก็ยิ่งแน่ใจว่าคนตรงหน้าต้องเป็นแฟรงค์แน่ๆ เขาจึงตะโกนเรียกแฟรงค์ดูอีกหลายครั้งไล่ตั้งแต่เสียงโทนที่เบาที่เหมือนเสียงกระซิบจนเพิ่มโทนเสียงให้เป็นเสียงของการตะโกนแต่แฟรงค์ก็ยังเอาแต่เดินตรงไปทางด้านหน้าโดยที่ไม่กลับมาหันมองที่เขาเหมือนดั่งกับว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้

เขาเดินตามแฟรงค์มาเรื่อยๆ จนเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหลุดออกมาจากสวนนั้นตั้งแต่ตอนไหนแล้วแสงอาทิตย์หายไปตั้งแต่เมื่อใดเพราะสิ่งเดียวที่เขาให้ความสนใจก็คือแผ่นหลังของคนตรงหน้าเท่านั้น แต่จู่ๆ แผ่นหลังแผ่นนั้นก็หายไปจากขอบสายตาของเขาหลังจากที่เดินผ่านตรอกซอยเล็กๆ จนมาหยุดที่หน้าบ้านหลังนึง

“แฟรงค์ คุณอยู่ในนั้นรึเปล่า?”

เขาลองเรียกแฟรงค์อยู่ที่หน้าบ้านหลังนั้นอยู่สักพักแต่ก็ไร้เสียงคนตอบกลับมาจะหันไปถามผู้คนแถวนี้ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของใครถนนตรงนี้ก็ว่างเปล่าจนเขาเองเริ่มรู้สึกแปลกใจว่าสรุปแล้วเมืองนี้คือเมืองที่เขาอาศัยอยู่จริงใช่ไหม? ทำไมเมืองที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนวันนี้ผู้คนเหล่านั้นต่างหายไปจนเหมือนว่าเมืองนี้เป็นเมืองร้าง ถ้าจะบอกว่ามีงานใหญ่ประจำปีมันก็ออกจะแปลกไปสักหน่อยไหมถ้าทุกคนในเมืองนี้ต่างพร้อมใจกันไปที่งาน?

แต่ในเมื่อเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบรับลองเอามือขยับที่กลอนประตูก็เปิดเข้าไปไม่ได้ลองเดินรอบๆ นอกบ้านก็ไม่เห็นแสงไฟรอดมาจากข้างในสิ่งเดียวที่คิดได้ก็คือไม่มีใครอยู่ในบ้านหลังนี้และนั้นก็หมายความว่าแฟรงค์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้เช่นกัน เขาจึงหันหลังและเตรียมเดินออกหาแฟรงค์ในระแวกใกล้ๆ นี้ คิดว่าเขาคงคลาดกับแฟรงค์ตรงไหนสักตรอกก่อนเลี้ยวแถวนี้

คลิ้ก เสียงกลอนประตูที่เหมือนถูกสะเดาะดังขึ้นจากบ้านทางด้านหลังของเขาเสียงนั้นดึงความสนใจของเขาให้หันกลับไปที่บ้านหลังเดิม เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าหูของเขาแว่วกัยเสียงปลดกลอนนั้นรึเปล่าแต่เพื่อให้ปมดความสงสัยเขาจึงลองเอามือผลักไปเบาๆ ที่บานประตูแล้วก็พบว่าในตอนนี้มันสามารถเปิดออกกว้างได้

บ้านด้านในเป็นบ้านสองชั้นที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายเพียงทางด้านล่างมืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงของพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินส่องผ่านผ้าม่านเข้ามา เขาพยายามเดินมองหาสวิตช์ไฟเพื่อจะได้เพิ่มการมองเห็นของเขาให้ดีขึ้นแต่แล้วความสนใจของเขาในการเพิ่มแสงสว่างก็ถูกแย่งไปจากเสียงคนพูดอยู่ทางด้านบน

“สวัสดีครับ?”

เขาลองส่งเสียงเป็นการนำทางขึ้นไปทางด้านบนแต่ก็ไม่ได้ยินคนตอบรับ ‘จะขึ้นไปดีไหมนะ?’ คือคำถามที่วนเวียนอยู่ในสมอง เสียงตะโกนเรียกชื่อว่า ‘เดฟ’ ซึ่งเป็นชื่อที่เขาจำได้ไม่ลืมทำให้เขาลืมคิดถึงเรื่องมีมารยาทในการอยู่ในบ้านของคนไม่รู้จักแล้วเดินตรงไปที่บรรไดที่เป็นทางขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน

‘อึก’

เพียงก้าวขึ้นบรรไดได้เพียงแค่สองขั้นเขาก็ต้องหยุดการก้าวเดินของตัวเองลงเพราะเขารู้สึกเหมือนว่ามีคนกำลังเดินตามเข้ามาทางด้านหลังลมหายใจของเขาถี่กระชันขึ้นเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของใครอีกคนอยู่ไม่ไกลออกไปแต่เพียงแค่เขาจะหันหน้าไปดูว่าเป็นใครที่อยูทางด้านหลังของเขาก็มีลมที่พัดแรงวูบนึงพัดมาปะทะกับตัวของเขาจนเขาเซและล้มลงไปนั่งที่ขั้นบรรได

ทันทีที่ลมวูบนั้นพัดผ่านไปเขาก็ไม่รู้สึกเป็นตัวของตัวเองอีกต่อไปมันเหมือนกับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขา แม้เขาจะรู้สึกทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการเดินหารมองเห็นการได้กลิ่นแต่เขากลับไร้การควบคุมมันโดยสิ้นเชิง เขาพยายามที่จะบังคับให้ขาของเขานั้นหยุดก้าวเดินขึ้นไปทางด้านบนแล้วออกไปจากบ้านหลังนี้กลับไปที่สวนแห่งนั้นแต่เขาก็ทำมันไม่ได้

“เดฟ คุณไปไหนมา?”

“คุณกลับมาได้แล้วเหรอ? คุณเลิกเป็นลูกแหง่ของที่บ้านได้แล้วเหรอ?”

เสียงที่เปล่งออกไปจากปากของเขาก็ไม่ใช่เสียงของเขาแต่มันเป็นเสียงของคนที่ชื่อว่าเดฟ น้ำตาที่กำลังไหลออกมาจากตาอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ใช่น้ำตาที่ออกมาจากความรู้สึกของเขาเช่นกันแต่มันเป็นความรู้สึกของใครอีกคนที่กำลังอยู่ในร่างกายของเขา

“ผมมาหาก็พูดแต่เรื่องดีๆ ไม่ได้เหรอเดฟ เรื่องที่บ้านของผมเราก็พูดกันแล้วนิว่ามันต้องใช้เวลา นานๆ ผมจะมาทีคุณอย่ามาชวนทะเลาะได้ไหม?”

“เวลาอีกแล้ว!! แล้วต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนผมต้องตายไปเลยไหม!!”

“ฟังกันก่อนสิเดฟ”

“ฟังอีกแล้วผมต้องเป็นฝ่ายที่ฟังไปตลอดเลยรึเปล่า? จะต้องให้ผมฟังคุณมานั่งแก้ตัว เอาตัวรอดที่ไม่สามารถออกมาเลี้ยงดูตัวเองได้อีกนานแค่ไหน!! แล้วคุณต้องเกาะพ่อแม่ที่แสนมั่งมีนั้นไปอีกนานแค่ไหนกัน!!”

“คุณจะลามปามมากไปแล้วนะ นั่นแม่ผมนะ!!  โธ่โว้ย ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะเป็นแบบนี้ผมไม่มาให้เสียเวลาหรอก เอาไว้คุณมีสติมากกว่านี้แล้วเราค่อยมาคุยกันแล้วกัน”

“ถ้าออกไปจากบ้านหลังนี้ผมจะถือว่าคุณไม่รักผมอย่างที่คุณพูดเอาไว้”

“...”

“แต่คุณเลือกที่จะปกป้องตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะไม่มีกิน”

“ถ้าคุณคิดได้แค่นี้ผมก็ไม่มีอะไรที่จะพูดกับคุณ”

“จอห์น!!”

แม้ปากคู่นี้จะเอ่ยปากไล่แต่เพียงแค่คุณจอห์นหันหลังกลับเดฟก็พุ่งเข้าไปคว้าแขนของคุณจอห์นเอาไว้พร้อมกับสายตาที่อ้อนวอนและขอลุแก้โทษที่พูดเรื่องเหล่านั้นออกไป แต่กลับกลายเป็นคุณจอห์นที่แกะมือคู่นี้ออกจากแขนตัวเองกับมือ

“เดฟ ผมเหนื่อย เอาไว้เราทั้งสองดีขึ้นกว่านี้แล้วเราค่อยคุยกัน คุยไปตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่องหรอก ก็เหมือนกับทุกทีที่คุยกันทีไรเราก็ไม่เคยเข้าใจกัน”

“อย่าไปนะ ฟังผมก่อน อย่าเพิ่งไป”

“…”

คุณจอห์นก้าวเดินออกไปจากห้องนี้แล้วเหลือเพียงแค่เขาที่ไม่ยอมเดินไปไหนยังยืนอยู่ที่เดิมและจากความรู้สึกที่เขากำลังสัมผัสอยู่ไม่ใช่ว่าคนในร่างนี้ที่ใช้ร่างกายร่วมกับเขาไม่อยากเดินตามไปแต่เพราะหัวใจดวงนี้มันกำลังเจ็บช้ำอย่างหนักจนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะก้าวตาม

ถ้อยคำแต่ละถ้อยคำที่ออกมาจากปากของคุณจอห์นมันมีผมต่อใจดวงนี้มากเหลือเกิน ถ้อยคำเหล่านั้นมันเหมือนมือที่มองไม่เห็นกำลังเข้ามาขยำหัวใจที่เปรียบเหมือนกับมะพร้าวที่พอถูกขยำสิ่งดีๆ เช่นกะทิก็จะล่วงหล่นไปและเหลือเพียงแต่ความทรงจำที่เลวร้ายนั้นก็คือกากที่ใช้ไม่ได้ฝังอยู่ในใจดวงนี้เท่านั้นเอง ทำไมกันนะแม้เขาจะได้ยินการถกถัยงกันระหว่างคน 2 คนเป็นครั้งแต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนว่าคนๆ นี้ต้องทนรับกับคำพูดเหล่านี้มาหลายครั้ง

คุณจอห์นเองจะรู้บ้างไหมว่าเขากำลังจะทำให้ใจของคุณเดฟนั้นเหลือเพียงแค่กากที่แทบจะไม่เหลือสิ่งดีๆ เอาไว้หล่อเลี้ยงให้มันอยู่ต่อไปได้เพราะมันได้ถูกขยำทำลายด้วยคำพูดจนช้ำไปหมดแล้ว

‘อึก’

ตัวของเขาเหมือนถูกกระชากแย่งออกจากกันอย่างแรก คุณเดฟได้เลิกใช้ร่างกายร่วมกับเขาแล้วแต่เขากลับยังรู้สึกถึงเหนื่อยล้าความเสียใจความเศร้าใจของคุณเดฟเอาไว้ คุณเดฟคุณไปเจออะไรมาบ้างนะ ทำไมใจของคุณถึงได้บอบช้ำมากขนาดนี้

ตึงๆๆๆๆ ปัง

เสียงเหมือนมีของตกและไปหยุดที่ชั้นล่างทำให้เขาวิ่งออกมาจากห้องและออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงที่เขาได้ยินอยู่ตอนนี้ทำให้เขานึกถึงคำพูดของคุณจอห์นที่ว่าคนรักของคุณจอห์นได้หนีจากตัวเองไปและจากไปอย่างถาวร หรือว่าคุณเดฟจะ..


“เฮือกกก ไม่นะ”

ดวงตาของเขาเบิกโพรงพร้อมกับรู้สึกเหมือนว่าเขาได้ตกลงจากที่สูงที่ไหนสักที่

เมื่อกี้เขาฝันใช่เขารู้ตัวว่าเขากำลังฝันเพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับคนสองคนนั้นหรือมันก็เป็นเพียงแค่จินตนาการที่เขาคิดเอาเองแบะคนเดียวที่จะสามารถตอบเขาได้ก็คือคุณจอห์นเท่านั้น

กึกๆๆๆๆๆ

เสียงเตียงเหล็กของโรงพยาบาลส่งเสียงดังขึ้นทำให้เขาได้สติเต็มตาและมองดูคนข้างกายที่เขากอดเอาไว้ แฟรงค์กำลังใช้มือข้างที่เขาปลดล้อคออกให้กำต้นแขนของเขาเอาไว้แน่นและทั้งตัวของแฟรงค์กำลังสั่นกระตุกแบบที่นางพยาบาลคนนั้นแจ้งอาการเอาไว้กับเขา แถมมันยังเหมือน เหมือนกับการกระตุกเกร็งของร่างกายคุณเดฟในฝันในตอนที่คุณเดฟได้ตกลงไปที่ชั้นล่างของบ้าน ทำไมละทำไมทั้งสองคนถึงมีภาพซ้อนทับเหมือนกันเช่นนี้ หรือว่าที่แฟรงค์โดนแท๊กซี่ชน แฟรงค์เองก็ตั้งใจที่จะจากเขาไปแบบคุณเดฟ

“แฟรงค์ๆ มองผมสิตื่นมามองผม แฟรงค์ได้โปรด”

เขาพยายามเขย่าตัวของแฟรงค์เรียกสติของแฟรงค์ให้กลับมาให้ลืมตามองเขาสักนิดก็ยังดีแต่ดูเหมือนว่าการเรียกของเขาจะไม่เป็นผลเขาจึงตัดสินใจกดออดเรียกพยาบาลเข้ามาดูอาการของแฟรงค์ ใช้เวลาเพียงไม่นานพยาบาลก็เข้ามาในห้องพร้อมกับหลอดและเข็มฉีดยาในมือ

“เดี๋ยวครับ!!”

ก่อนที่ยาเข็มนั้นจะปักลงไปที่ข้อแขนของแฟรงค์เขาเห็นว่าแฟรงค์ลืมตาขึ้นแล้ว เขายังเห็นอีกด้วยว่าแฟรงค์กำลังมองมาทางเขาด้วยสายตาที่เจ็บปวด แต่ในสายตาของความเจ็บปวดนั้นมันยังมีสายตาขอความช่วยเหลือเจือปนอยู่ด้วย แต่เขาช้าเกินไปเพราะนางพยาบาลได้ทำการปักยาเข็มนั้นลงไปที่ข้อแขนของแฟรงค์แล้วแฟรงค์จึงได้หลับตาลงและทุกอย่างก็กลับมาสงบอีกครั้ง

“ผมบอกว่า…”

เขาหัวเสียที่ทำไมนางพยาบาลไม่ฟังคำพูดของเขาหรือแม้กระทั่งไม่สังเกตุอาการของแฟรงค์ก่อนที่ฉีดยาเข็มนั้นลงไป แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักคำพูดที่จะต่อว่าเพียงแค่นางพยาบาลคนนั้นหันมาโดยที่มีใบหน้าที่เหมือนกับคุณเดฟมากแม้กระทั่งไฝใต้ตาที่ยังมีจุดเดียวกัน

“คะคุณ?”

เขาสบัดหัวและพยายามจ้องมองอีกทีเมื่อพยาบาลคนนั้นเอ่ยปากพูดกับเขา เมื่อเขาลองมองอย่างพิจารณาอีกครั้งเขาก็พบว่าใบหน้าของคุณเดฟนั้นได้หายไปแล้วเหลือเพียงแค่หน้าของพยาบาลที่เขาเห็นตอนที่เข้ามาในห้อง

“ไม่มีอะไรครับ”

“งั้นเดี๋ยวดิฉันจะเข้ามาเช็ดตัวและเปลี่ยนสายน้ำเกลือให้ ส่วนคุณถ้าอยากได้อะไรแจ้งทางเราได้นะคะ”

“ขอบคุณครับ”

เขายิ้มขอบคุณให้กับนางพยาบาลอีกครั้งก่อนที่เธอจะออกไปจากห้อง แต่แล้วรอยยิ้มของเขาก็ต้องหายไปแล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่มีแต่ความหวาดกลัวเข้ามาแทนที่

ความหวาดกลัวเกิดในช่วงที่เธอหันกลับตัวจะออกไป แสงไฟทางด้านนอกประตูทำให้เขาเห็นเงาสองเงากระทบที่พื้นมันคงไม่แปลกถ้ามันมีไฟส่งมาแล้วเป็นมุมที่ทำให้เงาแยกออกมาเป็นหลายเงาได้แต่ที่เขาตื่นกลัวกับสิ่งที่เห็นมากขนาดนี้ก็เพราะหนึ่งในเงาเป็นเงาที่สูงกว่าอีกเงา แถมในเงานั้นมันไม่มีหมวกพยาบาลอยู่ทางด้านบนแต่เป็นทรงผมไม่ได้รวบและปล่อยสยายละที่ต้นคอที่สำคัญเงานั้นมันเป็นเงาของผู้ชายไม่ใช่เงาของนางพยาบาลสาวที่สวมกระโปรงคนนี้แน่นอน

TBC  :pig4:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0

Day 18 อันตราย

“ดิฉันเข้าไปนะคะ”

“เชิญครับ”

นางพยาบาลคนเดิมเดินกลับมาที่ห้องอีกครั้งและครั้งนี้เธอกลับมาเพื่อมาทำความสะอาดร่างกายให้กับแฟรงค์รวมถึงเปลี่ยนน้ำเกลือที่สำคัญนอกจากที่เธอจะดูแลปหรงค์แล้วเธอยังเข้ามาเพื่อช่วยทำแผลที่แขนข้างที่เขาโดนแฟรงค์จับเอาไว้แน่นตอนแรกเขาก็ไม่รู้สึกอะไรแต่ตอนนี้มันเริ่มเป็นแผลเขียวช้ำเด่นขึ้นมา ในเมื่อตอนนี้ในห้องก็มีเพียงเขาและนางพยาบาลเขาจึงฉวยเวลานี้ในการสอบถามเกี่ยวกับอาการของแฟรงค์ตั้งแต่วันที่เข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาล

“ว่าแต่ทำไมต้องฉีดยาให้เขาด้วยครับ?”

“ความจริงเราฉีดยาให้ผู้ป่วยแค่วันแรกที่เราพยายามทำให้เขาสงบลงเท่านั้นค่ะวันนั้นเราได้พยายามทุกหนทางแล้วแต่เราไม่สามารถควบคุมเขาได้ค่ะ แต่หลังจากที่เราได้ล็อกเขาไว้เราก็เลิกใช้ยากับคนไข้”

“เพียงแต่วันนี้ที่ดิฉันต้องใช้อีกครั้งก็เพราะคุณปล่อยมือของเขาออกจากที่ล็อกและถ้าดิฉันไม่ฉีดยาให้เขาสงบลงเขาคงไม่ปล่อยแขนข้างนี้ของคุณออก”

“ไม่ถึงขนาดนั้นมั้งครับ” เสียงของเขาเบาลงจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบเมื่อความรู้สึกผิดมันตีตื้นขึ้นมาจากความหวังดีที่ไม่อยากให้แฟรงค์อึดอัดกับที่ล็อกแขนนั้นกลายเป็นการทำให้แฟรงค์ต้องรับยาเข้าไปในร่างกายโดยที่ไม่จำเป็น

“ถ้าคุณไม่เชื่อดิฉันคุณลองไปคุยกับบุรุษพยาบาลที่ข้อมือเกือบหักในวันนั้นดูแล้วกันนะคะ”

“อาการนี้เกิดจากอะไรครับ?”

“ทางเราก็ยังไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไรเท่าที่เรารู้คือหลังจากที่เขามีอาการกระตุกที่กล้ามเนื้ออย่างรุนแรงได้ไม่นานเขาจะเริ่มทำร้ายตัวเองไม่ก็คนที่เขาจับเอาไว้ได้ค่ะ”

“มันจะเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นรึเปล่าครับ?”

“ถ้ามาจากสมองทางเราได้ตรวจโดยละเอียดแล้วก็พบว่าเซล์สมองทุกส่วนปกติดีนะคะ แต่จากอาการที่เกิดขึ้นทางทีมแพทย์ก็มีการเตรียมเรื่องการตรวจอีกครั้งอยู่เหมือนกันค่ะ”

“ครับ”

“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

นางพยาบาลออกไปแล้วเหลือเพียงแค่เขากับแฟรงค์ที่อยู่ในห้องนี้ เขาใช้เวลาที่นั่งอยู่ตรงนี้ทบทวนว่าสิ่งที่เขาเห็นมาทั้งหมดนี้มันคืออะไร? มันคือภาพลวงตาจากจินตนาการของเขาหลังจากที่เขาได้ยินเสียงจากวีดีโอในโน้ตบุ๊คนั้นใช่ไหม? แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมทุกอย่างมันดูจริงมากเหลือเกินทุกอย่างที่เขาเห็นและได้ยินดูเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงเกินกว่าที่เขาจะคิดว่ามันคือการจินตนาการของเขาเอง

เขารู้ว่าคนเดียวที่จะตอบคำถามนี้ของเขาได้ก็คือคุณจอห์นแล้วเขาก็รู้ว่าเขาควรจะไปตามหาคุณจอห์นมากกว่ามานั่งคิดทุกอย่างเอาเองแบบนี้แต่เขาจะทิ้งแฟรงค์ที่เป็นแบบนี้อยู่คนเดียวได้ยังไง? อีกอย่างเมื่อวานตอนที่ออกมาจากห้องของคุณจอห์นเขาคิดว่าคุณจอห์นคงไม่พร้อมที่จะพูดถึงเรื่องของคุณเดฟสักเท่าไหร่อย่าว่าแต่พูดถึงเรื่องของเดฟเลยเรื่องที่เข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนไปเล่นคลิปวีดีโอนั้นเขาไม่รู้เลยว่าคุณจอห์นจะยอมรับโทรศัพท์จากเขารึเปล่าถ้าเขาโทรไปตอนนี้ นั้นก็หมายความว่าเขาต้องไปดักรอและพยายามทำให้คุณจอห์นเปิดปากคุยกับเขาให้ได้ แล้วมันต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กันละ

‘เฮ้อ’ เขาถอนหายใจระบายความอึดอัดเพราะไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่มันก็ดูจะเป็นเหมือนทางตันไปเสียหมด

“ทอม”

เสียงของแฟรงค์ที่เรียกชื่อของเขาแม้ว่ามันจะเบาจนแทบไม่ได้ยินแต่เขาคนที่นั่งรอให้แฟรงค์ฟื้นอย่างใจจดจ่อมีหรือที่จะไม่ได้ยินมัน เสียงนั้นทำให้เขาหยุดคิดเรื่องราวที่เป็นกังวลออกไปทั้งหมดแล้วยิ้มให้กับคนที่อยู่บนเตียงเรื่องราววิญญาณพราะตอนนี้คนที่เขาอยากคุยด้วยมากที่สุดได้อยู่ตรงนี้และได้ตื่นลืมตาขึ้นมาเรียกชื่อของเขาแล้ว

“แฟรงค์ แฟรงค์ คุณตื่นแล้ว เป็นยังไงบ้าง?” แฟรงค์มองมาที่เขาและปลายตากลับไปมองที่ข้อมือของตัวเอง

“ผมลืมไป...มาผมแกะมันออกให้ คุณคงเจ็บมาก”

“อย่าแกะ”

“ทำไม?”

“ถ้าคุณถอดมันออกผมอาจจะทำร้ายคุณอีก”

“ตลอดเวลาคุณรู้ตัวเหรอแฟรงค์?” แฟรงค์พยักหน้าให้เขาเป็นการตอบรับ

“ผมรู้ตัวแต่ผมไม่สามารถที่หยุดตัวเองได้ ผมรู้สึกโกรธตัวเอง ยิ่งตอนที่ผมทำร้ายคุณผมรู้สึกเจ็บปวดเจ็บใจที่ไม่สามารถหยุดมันได้”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่คุณรู้สึกยังไงบ้างตอนนี้”

“ผมเจ็บตัวไปหมดเลยทอม”

“อาจจะเป็นเพราะคุณเพิ่งโดนรถเฉี่ยวมา”

“แบบนั้นเหรอ?”

“แต่มันไม่เป็นไรแล้วแฟรงค์ ไม่เป็นไรแล้วเพราะตอนนี้คุณเองได้อยู่ในความดูแลของหมอแล้ว มาให้ผมแกะออกให้คุณดีกว่า”

“เหมือนมีคนควบคุมผม” มือของเขาชะงักค้างอยู่ในกลางอากาศเพียงครู่ก่อนที่จะเริ่มแก้มัดให้แฟรงค์ตามที่ตั้งใจเอาไว้

“ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมว่าคุณอย่าแก้มัดผมเลยทอม”

“ถ้าคุณรู้ตัวผมก็ไม่จำเป็นที่ต้องกังวล”

เขาขัดความต้องการของแฟรงค์โดยการที่แกะที่ล้อกแขนออกทั้งสองข้างออก ตลอดระยะเวลาที่เขาก้มหน้าก้มตาแกะสิ่งเหล่านั้นออกปากของแฟรงค์ก็เอาแต่พูดคำว่า ‘อย่า’ พร้อมด้วยสายตาของความหวาดกลัวและความกังวล

“เห็นไหมไม่มีอะไรสักหน่อยแฟรงค์? คุณไม่ต้องกังวล”

“แต่ผมทำร้ายคนอื่น”

“มันผ่านไปแล้วแฟรงค์”

เขานั่งลงบนเตียงและเริ่มนวดเบาๆ ที่ข้อมือให้กับแฟรงค์ เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักแฟรงค์ถึงค่อยดูโล่งใจและเลิกเกร็งข้อมือของตัวเองเมื่อเห็นว่าถึงแม้ไม่มีเครื่องมือที่มัดตัวของตัวเองเอาไว้แฟรงค์ยังคงสามารถควบคุมตัวเองให้ไม่ทำร้ายเขาได้


“ผมเห็นเขา”

“คุณหมายถึงเดฟ?”

“อื้ม ว่าแต่คุณรู้จักเขา?”

“ผม…ไม่แน่ใจเหมือนกัน เขาอาจจะเป็นคนรู้จักของคนที่ผมรู้จักอีกที”

“ทอมคงหมายถึงคุณจอห์น?”

“คุณรู้จักคุณจอห์น?”

“วันที่ผมไปหาคุณที่ที่พักวันแรกวันนั้นผมเห็นเขาอยู่กับคุณ ว่าแต่คุณกับเขา...”

“เราเป็นเพื่อนกัน”

“ครับ”

แฟรงค์ยกมือขึ้นมาลูบที่ใบหน้าของเขาพร้อมกับยิ้มให้เขาเหมือนกับได้ยกความไม่สบายใจออกไปจากอกที่รู้ว่าเขากับคุณจอห์นเป็นแค่เพื่อนกัน เขายิ้มตอบรับพร้อมกับจับประกบลงไปที่มือของแฟรงค์ เขาลดมือคู่นั้นลงมาแล้วบรรจงจูบไปที่มือข้างนั้นของแฟรงค์

“ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนี้หรือเรื่องของลิส”

“เอาไว้หลังจากที่คุณหายแล้วดีกว่า ผม…”

ยังไม่ทันที่เขาจะพูดให้จบประโยคว่าเขาจะไม่หนีหายไปไหนเขาไม่หลบหน้าไว้แฟรงค์หายดีแล้วในวันนั้นเขาก็จะพร้อมฟังในสิ่งแฟรงค์อธิบายสายตาของแฟรงค์ที่มองเขาก็เปลี่ยนไป จากสายตาที่มองเขาด้วยความรักเปลี่ยนมาเป็นสายตาของความหวาดกลัวและในที่สุดก็เป็นสายตาของความโกรธเคือง

มือของเขาที่ถูกแฟรงค์จับเอาไว้มันแน่นมากขึ้นแรงที่ถูกส่งมามันเหมือนกับข้อนิ้วของเขากำลังจะแตกออกจากกันเขาพยายามที่จะแกะให้มือของเขาหลุดออกจากการเกากุมของแฟรงค์แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ

“แฟรงค์ นี่ผมเองนี่ผมคุณได้ยินผมไหมได้ยินผมไหม?”

เขาเอาแต่พูดประโยคเดิมซ้ำๆ เพราะเขาไม่ต้องการที่จะกดปุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือจากพยาบาล ไม่ใช่ว่าเขากลัวที่จะโดนตำหนิในเรื่องที่เขาปลดที่ที่ล็อกนั้นออกแต่เขากลัวเหลือเกินกลัวว่าแฟรงค์จะโดนฉีดยานั้นเข้าร่างกายอีกครั้งและถ้าแฟรงค์ต้องมารับยาที่ดูเหมือนว่าจะอันตรายแบบนั้นเพราะว่าเขาเป็นต้นเหตุเขายอมที่เจ็บจนกระดูกหักไปเลยยังดีกว่า

“มัดผม”

และแล้วการที่เขาพร่ำเอาแต่เรียกชื่อของแฟรงค์ก็ได้ผลเมื่อในที่สุดสายตาของแฟรงค์เพียงวูบนึงก็กลับมาเป็นสายตาของตัวเองที่มองเขาด้วยความเป็นห่วงและมีคำขอโทษอยู่ในนั้น แฟรงค์ใช้ช่วงเสี้ยวเวลาที่เหมือนจะกลับมาเป็นตัวของตัวเองยอมผ่อนแรงที่จับเขาเอาไว้เขาจึงสามารถดึงมือของตัวเขาเองออกมาได้และตอนนั้นเองที่แฟรงค์สั่งให้เขาลงมือมัดแฟรงค์อีกครั้ง

เขาไม่รู้ว่าแฟรงค์กำลังต่อสู้กับอะไรแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าแฟรงค์จะสามารถเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหนเขาจึงไม่มีเวลาลังเลจึงตัดสินใจลงมือมัดแฟรงค์ตามคำขอ

‘อึก’ เสียงร้องที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดกับเสียงที่ข้อมือกำลังกระแทกที่ล็อคกับขอบเตียงนั้นมันเป็นเหมือนมีดที่กำลังกรีดลงไปในหัวใจของเขา ยิ่งแฟรงค์ทรมาณเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บที่หัวใจมากขึ้นเท่านั้น

“ผมอยู่นี่นะแฟรงค์ผมอยู่ตรงนี้”

เขามัดแฟรงค์ไว้เรียบร้อยเขาจึงโน้มตัวลงไปกอดแฟรงต์เอาไว้ทั้งน้ำตา น้ำตาของความเสียใจที่เขาเป็นต้นเหตุให้แฟรงค์ต้องมาที่นี่ ต้นเหตุที่ทำให้แฟรงค์ต้องเจอเรื่องแบบนี้

เขารวบตัวของแฟรงค์มากอดเอาไว้โดยไม่สนว่าแรงกระตุกที่มาจากแฟรงค์นั้นจะกำลังทำให้ตัวของเขาเหวี่ยงไปชนกับเหล็กตามขอบเตียงเพราะเขาอยากให้แฟรงค์รับรู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้และเขาก็เชื่อมั่นว่าอ้อมกอดนี้ทำได้

กว่าทุกอย่างจะสงบลงก็ใช้เวลาอยู่เกือบ 15 นาที แฟรงค์เองหลังจากร่างกายเลิกต่อต้านก็หลับตาลงอีกครั้งด้วยความเหนื่อยอ่อน ส่วนขำเห้นว่าทุกอย่างสงบลงเขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรหาคนที่เขาไว้ใจมากที่สุดคนที่เขาต้องาการเป็นที่พึ่งมากที่สุดและเป็นคนเดียวที่เขาเชื่อว่ามีแค่พ่อเท่านั้นที่จะช่วยเหลือเขาได้

“ฮัลโหล พ่อครับ”

“พ่อกำลังจะโทรหาเราเลย เป็นยังไงแฟรงค์โอเคไหม?”

“ไม่เลยครับพ่อไม่โอเค พ่อสามารถบินมาที่นี่ได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่ครับ?”

“วีซ่าที่ทำเอาไว้ครั้งที่แล้วตอนไปส่งลูกยังคงใช้ได้อยู่ เรื่องตั๋วก็ไม่น่ามีปัญหายังไงพอจะลองจองให้เดินทางภายในพรุ่งนี้เย็น แต่ยังไงพอขอไม่รับปากนะพ่อคงต้องขอเวลาหามาดูแลคุณย่าก่อน”

“ผมเข้าใจครับ งั้นผมรบกวนด้วยนะครับพ่อ”

“แล้วเจอกันลูก”

ตอนนี้เขาไม่เชื่อว่าเรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องที่มาจากจินตนาการของเขาเท่านั้นมันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้นและเขาก็ต้องการคำตอบพร้อมกับทางแก้ไข

คนในโรงพยาบาลนี้อาจจะมองว่าแฟรงค์คือบุคคลอันตรายต่อคนอื่นแต่สำหรับเขาตอนนี้แฟรงค์คือคนที่ตกอยู่ในอันตรายมากกว่าใครแล้วเขานี่แหละที่จะไม่ยอมให้อันตรายตัวนี้มันทำร้ายแฟรงค์ไปมากกว่านี้เขาจะปกป้องคนที่เขารักให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

รอเขาก่อนนะแฟรงค์รอเขาอีกเพียงไม่นานเขาสัญญาว่าเขาจะไม่ปล่อยให้แฟรงค์ต้องทนทรมาณหรือต้องต่อสู้กับสิ่งอันตรายนี้เพียงคนเดียว เขาสัญญา

TBC

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คนมีปัญหาสี่คน
เอ๊ย.....สามคน กับหนึ่งวิญญาณ มาพบกัน

เดฟ ที่ไม่รู้จักทอม กับแฟรงค์ ก็มารู้จักผ่านจอห์น
แถมมาเข้าสิงนางพยาบาล ฉีดยานอนหลับให้แฟรงค์อีก

บางทีก็แอบคิดแบบ ถ้าแฟรงค์มาแล้วคุยกับทอม
เรื่องก็จบไปแล้ว  ไม่ต้องไปกระโดดให้รถชนรถเฉี่ยว
เอ๊.....หรือเดฟเข้าสิงแฟรงค์ตอนนั้น  o22 o22 o22

เหมือนกับ ถ้าแฟรงค์ ไม่มักง่าย
เรื่องมันคงไม่เกิด ไม่เลยเถิดไปนอกโลก เอ๊ย....นอกประเทศ
ว่าแฟรงค์อีกและ  :angry2: :angry2: :angry2:

ขอบคุณไรท์มาก อ่านทีจุใจเลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2017 16:07:40 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 19 Frost

ตอนที่เขาลงไปยืนรอรับพ่อที่หน้าโรงพยาบาลสิ่งแรกที่เขาเห็คือเขาเห็นพ่อก้าวลงจากรถแท๊กซี่ด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะเชื่องช้าทั้งที่มีเพียงแค่กระเป๋าสะพายข้างใบใหญ่ติดตัวมาใบเดียวภาพนั้นมันทำให้เขายืนนิ่งเป็นหุ่นแช่แข็งเหมือนโดนสาบเอาไว้ เขาเอาแต่เรียกร้องความช่วยเหลือจากพ่อโดยที่ผ่านมาเขาไม่เคยมองพ่อให้ดีไม่เคยเห็นเลยว่าพ่อของเขาแก่ลงมากแค่ไหน แล้วในวันนี้เขายังให้พ่อที่แก่ลงมากเดินทางมาหาเขาอย่างกระทันหันเพียงคนเดียวอีกความรู้สึกผิดที่ตีตื้นขึ้นมาทำให้เขาก้าวขาไปทางด้านหน้าไม่ออกไม่กล้าแม้จะสบตาไปตรงๆ ที่หน้าของพ่อ

“ผมขอโทษครับพ่อ พ่อต้องมาลำบากเพราะผม”

“พูดอะไรแบบนั้นแฟรงค์เองเขาก็ไม่มีใครที่ไหนแล้วเขาก็เหมือนเป็นลูกของพ่อคนนึงเหมือนกัน”

“ครับพ่อ”

เขาเล่าเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นให้พ่อได้ฟังไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุของแฟรงค์หรือเรื่องสิ่งที่เหนือกว่าธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับเขาทั้งสองคนในช่วงที่พวกเขากำลังเดินไปที่ห้องพัก ตอนแรกเขาก็กลัวว่าพ่อจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดและคิดว่าเขาเครียดถึงจินตนาการกับเรื่องเหล่านี้ แต่เปล่าเลยสิ่งที่พ่อทำกลับตรงกันข้ามพ่อนอกจากจะไม่ว่าเขาว่าเพ้อเจ้อแล้วยังตั้งใจฟังในทุกคำพูดของเขา

“แฟรงค์เป็นหนักขนาดนี้เลยรึเนี่ย?”

“ครับพ่อ ตั้งแต่เข้ามารับการรักษาตัวแฟรงค์จะเป็นแบบนี้ตลอดตื่นมาไม่นานแล้วก็หลับต่อ พยาบาลบอกว่าน่าจะเป็นผลมาจากอาการกระตุกที่ผมเล่าให้พ่อฟังนั่นแหละครับ”

“เรื่องของคนที่ชื่อเดฟที่ลูกพูดถึง…”

“ที่ผมเรียกพ่อมาด่วนเพราะผมต้องไปหาคำตอบแล้วผมก็คงทิ้งแฟรงค์ไปแบบนี้ไม่ได้ ผมคงต้องทิ้งพ่อไว้ที่นี่กับแฟรงค์”

“ไม่เป็นไรทอมไม่ต้องห่วงทางนี้นะ”

“ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไร เชื่อพ่อทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี”

นี่คือคำปลอบใจที่พ่อพูดซ้ำๆ ตั้งแต่ที่พ่อเห็นสภาพของแฟรงค์ในห้องพักจนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าพ่อต้องการที่บอกใครกันแน่ระหว่างเขาหรือตัวพ่อเอง

“ลูกไปทำในสิ่งที่ลูกคิดว่าจำเป็นเถอะไม่ต้องห่วงทางนี้พ่อดูแฟรงค์ได้”

“ขอบคุณครับพ่อ”


ผ่านมาหนึ่งวันที่เขาไม่ได้ไปทำงานนั้นหมายความว่ามันคือหนึ่งวันที่เขาไม่ได้ไปที่ร้านกาแฟร้านนั้นแต่คุณจอห์นก็ไม่ได้ติดต่อเขามาซึ่งมันมีทางเป็นไปได้อยู่สองทาง หนึ่งคือคุณจอห์นยังไม่หายโกรธเรื่องที่คิดว่าเขาเป็นคนไปรื้อของส่วนตัว สองคุณจอห์นไม่สบายแล้วไม่ได้ไปทำงานเหมือนกับวันที่เกิดเรื่อง แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหนเขาก็จะไม่ยอมอยู่เฉยๆ แล้วนั่งรอการติดต่อจากคุณจอห์น

รู้ทั้งรู้ว่าช่วงเวลาสองทุ่มมันไม่เหมาะที่จะบุกไปหาคนที่เพิ่งจะสนิทกันแต่ในเมื่อเขาได้พยายามโทรศัพท์ไปหาคุณจอห์นเพื่อขอนัดอยู่หลายครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จไม่มีการรับสายจนถึงขั้นปิดเครื่องมันจึงทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นมากนักยกเว้นมาถึงหน้าที่พักของคุณจอห์นโดยที่ไม่ได้นัดเอาไว้

เกาะๆๆๆๆๆ “คุณจอห์นผมรู้ว่าคุณอยู่ในห้อง เปิดประตูให้ผมทีผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณ”

หลังจากที่เขาเดินวนอยู่หน้าอพาร์ตเมนต์ของคุณจอห์นเพราะไม่มีการ์ดที่จะเข้าไปทางด้านในของตึกได้อยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง ถุงใส่ของของหญิงชราจู่ๆ ที่เดินผ่านหน้าเขาไปก็ขาดออกทำให้ของทุกอย่างที่อยู่ในนั้นล่วงลงที่พื้นตรงหน้าของเขา โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดเขาวิ่งเข้าไปช่วยเธอเก็บก่อนที่ของทุกอย่างที่เธอซื้อมาจะล่วงลงถนนที่เต็มไปด้วยนถวิ่ง ตอนแรกที่เขาช่วยเขาไม่ได้คิดหวังผลมันเป็นไปตามสัญชาตญาณแต่เมื่อผู้หญิงคนนี้ออกตัวว่าพักอยู่ที่ตึกนี้เขาก็จะถือว่ามันคือการขอบคุณจากหญิงชราคนนี้แล้วกัน

“คุณอาศัยอยู่ตึกนี้ด้วยเหรอคะ? ดิฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“ผมเพิ่งเข้ามาพักกับเพื่อนที่ห้อง 503 ได้ไม่นานครับ มาแบบ เอ่อ พักชั่วคราวถ้าคุณไม่เชื่อว่าผมอยู่ตึกนี้จริงเดี๋ยวผมแค่ส่งของเข้าไปให้ในตึกแล้วคุณปิดประตูเลยก็ได้ครับ หรือไม่คุณสามารถล่วงเอาคีย์การ์ดที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงทางด้านขวาของผมออกมาแตะที่ประตูก็ได้ครับ”

เพราะเขาให้ความช่วยเหลือเขาจึงได้ความไว้ใจจากหญิงชราคนนี้เพิ่มขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์แต่เธอมันก็ยังมีส่วนที่ยังไม่เชื่อใจเหลืออยู่อาจเพราะเธอไม่คุ้นหน้าค่าตาของเขามาก่อน

“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะดิฉันก็แค่ถามดูไม่คุ้นหน้าเฉยๆ”

ขอบคุณที่ทักษะในการแสดงละครของวิชาเลือกในมหาวิทยาลัยของเขายังดีอยู่เขาถึงสามารถผ่านการจับผิดและเข้ามาภายในตึกนี้ได้อย่างง่ายได้ ก่อนที่จะขึ้นมาเขาไม่มีความแน่ใจเลยซ้ำว่าคุณจอห์นจะอยู่ที่ห้องรึเปล่าเขาจึงคิดแผนยาวไปถึงว่าถ้าจะต้องยืนให้คุณจอห์นกลับมาเขาต้องไปรอที่ไหนเพื่อไม่ให้คนบนชั้นนี้สงสัยเขา

แต่พอได้มาถึงที่หน้าห้องจริงเขาก็เบาใจเมื่อแสงไฟที่สามารอดออกมาที่ใต้ประตูห้องพร้อมกับไอร้อนที่เป็นสัญญาณว่าคุณจอห์นได้เปิดเครื่องทำความร้อนเอาไว้เขาจึงยังยืนเคาะประตูอยู่แบบนี้ไม่ไปไหน แล้วในที่สุดความพยายามของการรอคอยของเขาก็เป็นผลเมื่อคุณจอห์นยอมเดินมาเปิดประตูให้เขา

“คุณมีอะไรรึครับคุณทอม?”

หน้าตาของคุณจอห์นซีดเซียวเหมือนคนไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลาหลายวันแถมคุณจอห์นยังใส่เสื้อกันหนาวในห้องที่แค่เขาก้าวเท้าเข้ามาเขาก็อยากที่จะถอดแจ็คเก็ตตัวนี้ออกแล้ว แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือแววตาที่ไม่มีความสดใสเหลืออยู่ในนั้นเลย สภาพของคุณจอห์นทำให้เขาเกือบลืมว่าเขามาที่นี่ทำไม

ขาของเขาเกือบก้าวเข้าไปในห้องไม่ออกเมื่อแววตาของคุณจอห์นที่ใช้มองเขาในตอนนี้มันดูเย็นชาไร้ความรู้สึกจนเหมือนเขากำลังมองลงไปในธารน้ำแข็งมากกว่าดวงตาของคนที่มักจะมีแต่ความอบอุ่นและความสุขมอบให้กับเขา

“คุณดูไม่สบาย”

“นิดหน่อยครับ”

“งั้นผมขอรบกวนเวลาคุณเพียงไม่นานครับ ผมขอเข้าประเด็นเลยแล้วกัน ผมอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคนที่ชื่อเดฟครับ”

“ผมไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเขา”

“แต่..”

“ถ้าคุณจะมาเพราะเรื่องนี้ผมว่าคุณเดินทางมาเสียเวลาเปล่า และต่อไปนี้ผมไม่คิดว่าผมกับคุณมีเรื่องจำเป็นที่จะต้องเจอกันอีก”

“คุณจอห์นคุณฟังผมก่อนผมขอเวลาเพียงแค่ห้านาทีเท่านั้นถ้าห้านาทีนี้ผมยังไม่สามารถทำให้คุณฟังผมต่อได้ผมจะไม่รบกวนเวลาคุณอีกเลย”

“…”

คุณจอห์นไม่ได้ตอบรับกับคำขอของเขา ไม่ได้พยักหน้าไม่เอ่ยอณุญาตแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้พูดปฎิเสธออกมาดังนั้นเขาขอเข้าข้างตัวเองโดยการที่คิดว่าคุณจอห์นพร้อมที่จะฟังในสิ่งที่เขาพูดแล้วกัน

“ผมเคยได้ยินเสียงของเขามาก่อนครับ...เสียงของคนชื่อเดฟ”

“ก็แน่นอนวันนั้นคุณเป็นคนเล่นวีดีโอนั้นด้วยตัวเองคุณก็ต้องได้ยิน”

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ผมเดินไปเล่นวีดีโอนั้นคุณอาจจะฟังว่ามันบ้าหรือเป็นข้อแก้ตัวที่ไม่เหมาะสมเอาซะเลยเพราะในห้องนั้นมันมีเพียงผมแค่คนเดียวแต่ผมขอย้ำอีกครั้งว่าผมไม่ได้เป็นคนเดินไปเล่นวีโอนั้น”

“…”

“และรวมไปถึงว่าไม่ใช่ครับวันนั้นไม่ใช่วันแรกที่ผมได้ยินเสียงของเขา ไม่รู้ว่าคุณจะพอจำได้ไหมที่ผมมักจะพูดเสมอว่าผมนอนไม่หลับจนผมเองยังคิดที่จะคอยไปหาหมอเพื่อรักษาอาหารนอนไม่หลับของผม”

“ครับ”

“ความจริงแล้วมันไม่ใช่ว่าผมนอนไม่หลับ ผมกลับครับแต่มีคนทำให้ผมตื่น”

“...”

“ช่วงหลังมานี้ผมมักจะฝันซึ่งพอตื่นผมก็จำไม่เคยได้เลยว่าผมฝันอะไร ภาพทุกอย่างในฝันมันเบลอไปหมด ผมเคยพยายามนึกแต่นึกเท่าไหร่ผมก็นึกไม่ออก”

“…”

“แต่สิ่งนึงที่ผมจะจำได้คือมันจะมีเสียงนึงในตอนท้ายของความฝันเป็นสียงที่ทำให้ผมตื่นเป็นเสียงที่คอยบอกให้ผมออกไป กลับไป”

“...”

“แล้วผมก็จำได้ดีว่ามันคือเสียงของคุณเดฟ”

“คุณโกหก”

“ผมจะโกหกคุณแล้วได้อะไรขึ้นมา? เสียงนั้นคือเสียงของคุณเดฟจริงๆ ผมได้ยินเสียงนั้นมาหลายคืนรวมเป็นอาทิตย์ๆ คุณว่าผมจะจำเสียงนั้นไม่ได้เลยรึไง?”

“คุณอาจจะสับสนเพราะนอนไม่พอ พอคุณได้ยินเสียงนั้นคุณก็ทึกทักเอาเองว่าเป็นเดฟ”

“ไม่ใช่ครับผมรู้ตัวดีว่าผมได้ยินอะไร คุณจอห์นกรุณาเถอะครับกรุณาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมได้ฟังทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ชื่อเดฟเพราะตอนนี้คนที่ผมรักที่สุดเขาต้องทนอยู่กับความทรมาณ คนที่ชื่อเดฟกำลังทำร้ายคนที่ผมรัก”

ผลั่ก กำปั้นของคุณจอห์นแนบลงที่ใบหน้าของเขา เขาเซไปทางด้านหลังเล็กน้อยก่อนที่ทรงตัวให้กลับมานั่งดีๆ ได้ โดยที่ไม่มีคำเตือนล่วงหน้าคุณจอห์นก็ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วก็ปล่อยหมัดตรงเข้ากับใบหน้าของเขา

“เดฟไม่มีวันทำร้ายใครไม่มีวัน!!”

“เขาไม่มีวันทำร้ายใคร หรือ คุณแค่ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ทำ!!!”

“ออกไปซะ ออกไปจากห้องผม!!!”

“ก็เพราะคุณเป็นอย่างนี้ยังไงละจอห์นเราเลยไม่เคยพูดกันรู้เรื่องสักที”

คำพูดออกมาจากปากของผม เสียงเป็นของผม มือที่ยื่นไปลูบเบาๆ ที่แก้มของคุณจอห์นนั้นก็ของผมแต่มันไม่ใช่ผมที่กำลังควบคุมให้มันเป็นไปแบบนั้น ครั้งนี้มันเหมือนกับครั้งในฝันนั้นแตกต่างเพียงว่าครั้งนี้ที่เกิดขึ้นผมยังคงตื่นอยู่ ผมยังคงอยู่ในร่างกายยังคงมีความคิดแต่คนอีกคนที่เข้ามาใช้ร่างกายร่วมกับผมกลับมีอำนาจคอยบ่งการให้ร่างกายของผม

“คุณทอม!!!”

“ทำไมบี้ถึงเรียกชื่อคนอื่นมาแทนชื่อผมละ?”

“บี้ คุณไปเอาชื่อนี้มาจากไหนทอมจากไหน คุณไปรู้อะไรมา!!!”

“บี้ ทำไมบี้จำผมไม่ได้ละครับ?”

“บอกให้หยุดพูดไง บอกให้หยุดพูดไง มึงเป็นใคร มึงเป็นใคร!!!”

‘อึก’ เขากำลังดิ้นรนหาทางเอามือของคุณจอห์นออกไปจากลำคอของเขา เขาจะบอกกับคุณจอห์นอย่างไรดีว่าคนคนนั้นได้ออกไปจากตัวของเขาไปเรียบร้อยเราไม่ได้ใช้ร่างกายเดียวกันแล้ว

แต่แรงของคุณจอห์นมันก็มีมากเหลือเกินเกินกว่าที่แรงของเขาจะต่อสู้ได้ ก่อนที่ลมหายใจของเขาจะหมดลงในสมองของเขามีหลายเรื่องที่วนเวียนอยู่ในนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาไม่น่าเลยบุกมาที่นี่โดยที่ไม่คิดแผนให้ดีกว่านี้เพราะนอกจากจะไม่ได้อะไรกลับไปแล้วเขาอาจจะต้องทำให้พ่อเสียใจ ‘พ่อ’ ที่ยอมมาหาเขาแบบไม่มีเงื่อนไขและแฟรงค์ที่กำลังรอความช่วยเหลือจากเขาอีก ทั้งคู่ต้องรู้สึกเสียใจมากแค่ไหนกันนะที่เหตุการณ์มันออกมาในรูปแบบนี้

“ขอโทษครับพ่อ”

แค่กๆ เขาสามารถสูดลกหายใจเข้าปอดได้อีกครั้งเมื่อมือที่เหมือนคีมเหล็กของจอห์นได้หลุดออกจากคอของเขา เขารีบถอยหนีออกมาจากคุณจอห์นจนมาใกล้กับประตูของห้องพักตอนที่คุณจอห์นกำลังนั่งแช่แข็งเหมือนกับคนที่ถูกสาป

“คุณเป็นบ้าอะไรผมไม่รู้แต่ตัวตนเมื่อกี้ไม่ใช่ผม ผมรู้ว่าพูดไปคุณก็ไม่เชื่อแต่ผมก็ขอย้ำว่านั้นไม่ใช่ผม ถ้าคุณจะหยุดคิดสักนิดผมที่เพิ่งรู้จักกับคุณจะไปรู้ได้ยังไงว่าใครใช้ บี้ เป็นตัวแทนระหว่างคุณกับเขา”

“…”

“ความจริงผมมีอยู่ฝันนึงแต่ผมก็รู้ว่ามันคือฝันจากอะไรผมเลยไม่เคยพูดกับคุณ แต่ถ้ามันจะช่วยให้คุณฟังผมบ้างผมก็จะพูดออกมา...คนที่ชื่อเดฟเขาเสียชีวิตเพราะตกจากที่สูง ถ้าไม่ชั้นสองของบ้านก็บรรไดของบ้านใช่ไหมครับ?”

สายตาที่คุณจอห์นมองเขามันกำลังเบิกกว้างมากขึ้นและค้างแข็งอยู่แบบนั้น แล้วนี่ก็เป็นบทสนทนาแรกของวันที่เขาสามารถทำให้คุณจอห์นหันมาสนใจในคำพูดของเขาได้

“วันนั้นคุณทะเลาะกันเรื่องที่บ้าน เรื่องแม่ของคุณ ใช่ไหมครับ?”

“คุณรู้ได้ยังไง?”

“เพราะผมเห็นมันไงคุณจอห์นผมเห็นเหตุการ์ณในวันนั้น คราวนี้คุณเชื่อผมบ้างรึยัง?”

เราต่างคนต่างยืนในมุมของตัวเองโดยที่ใช้ความเงียบเป็นตัวทำให้เราทั้งสองคนสงบสติลงไม่ว่าเขาที่กำลังตื่นกลัวหรือคุณจอห์นที่กำลังนิ่งค้างเหมือนกำลังหลุดเขาไปในโลกของตัวเองที่ไม่ใช่ตรงนี้

“สายตาของคุณเปลี่ยนไป”

“ครับ?”

“สายตาของคุณที่เรียกผมบี้มันเปลี่ยนไปมันเหมือนเป็นสายตาของเดฟที่ใช้มองผมอยู่เสมอ แต่ผมก็ยังคงไม่เชื่อผมคิดว่าคุณกำลังล้อผมเล่น ตอนที่ผมเอ่อ บีบคอของคุณ มันมีช่วงจังหวะที่สายตาของคุณก็กลับมาเป็นคนเดิมพร้อมกับพูดขอโทษคุณพ่อ เดฟไม่มีพ่อ”

“คุณเลยปล่อยมือ?”

“ครับ”

“คราวนี้คุณเชื่อเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังรึยัง?”

“ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเดฟไม่มีวันทำร้ายใคร เขาไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ผมพร้อมที่จะรับฟังคุณ”

“แค่นั้นที่ผมต้องการ”

เมื่อในที่สุดคุณจอห์นก็ยอมนั่งลงแล้วฟังเรื่องราวที่ออกมาจากปากของเขาบรรยากาศที่ร้อนเพราะเครื่องทำความร้อนก็ดูเหมือนว่าจะเย็นขึ้น พร้อมกับกำแพงธารน้ำแข็งที่อยู่ในดวงตานั้นก็กำลังจะละลายลง

การที่คุณจอห์นยอมรับฟังในสิ่งที่เขาพูดมันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มเท่านั้น เพราะสิ่งที่เขายอมลงทุนบุกมาถึงนี้ก็เพราะเขาต้องทำให้คุณจอห์นยอมละลายกำแพงที่หัวใจและยอมลบภาพของคุณเดฟที่มีคุณสมบัติของคนอ่อนโยน ใจดีที่ถูกผนึกเป็นเหมือนน้ำแข็งอยู่ในนั้นออกให้ได้ คุณจอห์นจะได้ยอมช่วยเหลือเขากับแฟรงค์เสียที

TBC

ถึงคุณ

♥►MAGNOLIA◄♥ จริงค่ะ ชี้ตัวเลย แฟรงค์คือต้นเหตุค่ะ   :serius2:

fc_fic ขอบคุณนะคะ ^^  :pig4:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เอาใจช่วยทอม ช่วยแฟรงค์  :mew1: :mew1: :mew1:

จอห์น ก็ตัวปัญหา สร้างปัญหาเหมือนกัน  เอาแต่ใจตัวเอง :z6: :z6: :z6:
ให้เดฟฟังตัวเองอย่างเดียว  แต่ไม่ฟังเดฟเลย  :fire: :fire: :fire:
ทอม พูดอะไรก็ไม่ฟัง
เป็นจอห์น นี่แหล่ะ ที่พาปัญหามาให้ทอม กับแฟรงค์ 
จอห์น รีบๆไปหาเดฟเลยไป เอ๊ย........รีบไปบวชเลยไป
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 20 รถของเล่น

“แล้วที่คุณมาที่นี่มาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟังคุณอยากให้ผมช่วยอะไรครับ?”

“บอกตามตรงว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับคุณจอห์นว่าผมต้องการอะไรจากคุณ ผมแค่คิดว่าคุณเดฟน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ผมไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับคุณเดฟสักอย่างผมเลยไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร ผมเลยอยากที่จะคุยกับคุณเพื่อว่าถ้าผมได้รู้จักเขาเพิ่มผมอาจจะหาทางออกได้”

“คุณคิดจริงๆเหรอว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเดฟต้องการที่จะทรมาณแฟนของคุณ? ผมคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะรู้จักกัน”

“ครับพวกเขาไม่น่าจะรู้จักกันอันนี้ผมมั่นใจ”

“แต่คุณก็ยังอยากให้ผมเล่าเรื่องของเดฟให้คุณฟังเผื่อว่าคุณจะเจอจุดเชื่อมโยง?”

“ถ้าคุณโอเค ผมก็จะยินดีมากครับ”

ในที่สุดความพยายามของเขาก็เป็นผลเมื่อคุณจอห์นยอมเปิดปากเล่าเรื่องของคุณเดฟให้เขาฟังหลังจากที่เขาเล่าเรื่องต่างๆออกไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องความฝันหรือสิ่งที่เขาเห็นรวมไปถึงเหตุการณ์ที่คุณเดฟกับคุณจอห์นทะเลาะกันในบ้านหลังนั้น

“เดฟคือแฟนของผมครับ”

ก่อนที่คุณจอห์นจะยอมเล่าเรื่องราวต่างๆ คุณจอห์นได้เดินกลับเข้าไปในห้องนอนแล้วหยิบเอากล่องเก็บของที่ถูกล็อคกุญแจอย่างแน่นหนาติดมือออกมาด้วย กล่องใบนั้นเต็มไปด้วยสิ่งของหลายสิ่งแต่สิ่งแรกที่คุณจอห์นหยิบออกมาจากกล่องใบนั้นก็คือรูปใบนึงที่คุณจอห์นถ่ายคู่กับผู้ชายคนนึง ผู้ชายคนนั้นที่แม้จะมีหางตาตกดูเหมือนเป็นคนอมทุกข์แต่ประกายในดวงตาและรอยยิ้มที่ยกขึ้นจนเห็นฟันนั้นมันทำให้คนๆ นี้ดูสดใสขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

“นี่คือคุณเดฟเหรอครับ?”

“ใช่ครับ”

อาจจะเพราะเขาเคยได้ยินเสียงของเจ้าตัวมาก่อนเลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคุ้นเคยเวลาที่ได้เห็นหน้าของเจ้าของเสียงนั้นเขานั่งมองดูรูปอยู่นานกว่าที่จะละสายตากลับมาที่คุณจอห์นได้อีกครั้ง

“ผมรู้จักกับเดฟครั้งแรกตอนที่ผมอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 ตอนนั้นเขามาเป็นพนักงานชั่วคราวที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย คุณเชื่อไหมว่าครั้งแรกที่ผมเห็นเขาผมก็รู้สึกชอบเขาเลยนะ ผมบอกกับตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าจะจีบคนนี้ ฮึไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรมาดลใจให้ผมชอบคนที่ใบหน้าแทบจะไม่มีรอยยิ้มประดับอยู่เลยนั่นได้”

“...”

“เชื่อไหมเห็นเป็นคนเงียบๆ แบบนั้นผมใช้เวลาตั้งหลายเดือนแนะคุณทอมกว่าที่เขาจะยอมเปิดใจคุยกับผม”

“...”

“ก่อนวันที่เราจะตกลงเป็นแฟนกันเขาขอเวลาผมในเย็นวันนึงให้มาเจอกันหลังเลิกงาน พอเราเจอหน้ากันเขาก็บอกกับผมว่าเขาเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เกิดเขาไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อกับแม่ เขาเล่าเรื่องความลำบากในวัยเด็กของตัวเองให้ผมฟังหลังจากเล่าจบ เขาก็ถามผมว่าผมแน่ใจแล้วนะว่าผมยังอยากเป็นแฟนกับเขาอยู่”

“แน่นอนว่าคุณต้องตอบรับ”

“ใช่ครับผมรับตกปากรับคำโดยไม่ต้องคิด ก็ผมจีบเขามาตั้งนานแค่ถามว่าแน่ใจนะว่าจะคบมีหรือว่าผมจะตอบว่าไม่ ความจริงตั้งแต่เขาโทรมานัดผมก็รู้แล้วว่าเขากำลังจะตอบตกลงคบ ผมจึงรอฟังแค่คำถามนั้นพอเขาถามว่ารับได้ไหมผมก็รีบพยักหน้ารับกับเงื่อนไขทุกอย่างของเดฟโดยที่ไม่ได้ใส่ใจฟังอะไรที่เขาพูดมาเลยสักนิดเพราะผมรอฟังแค่คำๆ นั้น”

แววตาที่คุณจอห์นใช้เวลาที่เล่าเรื่องของคุณเดฟมันเป็นแววตาของคนที่เปี่ยมไปด้วยความสุขซึ่งเป็นแววตาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน คุณจอห์นเล่าเรื่องด้วยแววตานั้นจนมาถึงตอนที่เขาไม่ได้ฟังอะไรจากคุณเดฟเลยนั้นแหละแววตาที่เคยมีความสุขนั้นก็เริ่มหม่นแสงลง

 

“เพราะผมไม่ได้ตั้งใจฟังผมเลยไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วเดฟเขาขออะไรผมเอาไว้หรือเคยเล่าอะไรให้ผมได้ฟัง ผมมันแย่มากเลยใช่ไหมครับ?”

“...”

“ดังนั้นตลอดเวลาที่คบกันผมไม่เคยทำในสิ่งที่เขาเคยขอเอาไว้ได้เลยเพราะผมไม่เคยรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผม...”

“ตอนนั้นคุณคงแค่อยากให้เขามาเป็นคนรักผมเชื่อว่าต่อให้คุณฟังครบทุกเงื่อนไขหรือฟังมันทุกเรื่องราวคุณก็ยังคงพยักหน้าตอบรับกับเงื่อนไขนั้นอยู่ดี”

“แต่เพราะไม่ได้ใส่ใจมันเลยทำให้ผมรู้สึกแย่ทุกครั้งที่เราต้องทะเลาะกันในเรื่องที่ผมคิดมันไม่ใช่เรื่อง แล้วพอทะเลาะกันบ่อยเข้าผมก็ไม่อยากเจอหน้าเขา ผมเลิกสนใจเขาบางครั้งผมถึงขนาดยกเลิกนัดกระทันหันหรือในบางวันผมก็ทิ้งเขาไว้คนเดียวแล้วผมก็ไปสนุกกับเพื่อน”

“....”

“แต่ไม่ว่าเราจะทะเลาะกันขนาดไหนหรือผมจะหายกัวไปนานเท่าไหร่เดฟก็ให้โอกาสผมเรื่อยมา”

“แล้วมันไม่ดีเหรอครับ?”

“เพราะผมเลยเคยชินกับการได้โอกาสจากเขาเลยไม่คิดจะปรับปรุงตัวเองหรือปรับตัวเข้าหาเขา หลังๆ พอเดฟเขาไม่ยอมผมก็โมโหใส่เขา ผมละเลยเขาหนักขึ้นทั้งๆ ที่เขาย้ำกับผมหนักหนาว่าเขาเป็นเด็กกำพร้า แต่ผมก็ยังไม่สนใจแถมยังเบื่อและนึกรำคาญด้วยซ้ำที่เขาเอาแต่ย้ำคำนี้ ผมรำคาญที่เขาเอาแต่เรียกร้องความสนใจ”

 “เป็นธรรมดาครับคุณจอห์นเด็กกำพร้านะเขา...”

“เขาอะไรครับคุณทอม?”

“เดี๋ยวนะครับเรื่องเด็กกำพร้านะครับคุณบอกว่าคุณเดฟเป็นเด็กกำพร้า”

“ใช่ครับ”

“แฟรงค์เองเขาก็เสียพ่อแม่ไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่เด็กเหมือนกัน”

“คุณคิดว่ามันมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เหรอครับ?”

“ผมก็ไม่แน่ใจครับก็แค่พูดในสิ่งที่เขาสองคนมีคล้ายกันถ้ายังไงคุณลองเล่าเรื่องส่วนตัวของคุณเดฟให้ผมอีกสักนิดได้ไหมครับ? เช่นเขาเคยไปที่ไหนมาบ้าง”

 คุณจอห์นยอมตกลงเล่าเรื่องส่วนตัวทั้งหมดของคุณเดฟให้เขาฟังไม่จะเป็นสิ่งที่ชอบสิ่งที่ไม่ชอบที่ๆ เคยไปเที่ยวด้วยกันและมีความทรงจำที่ดีร่วมกันแต่นอกจากเรื่องเด็กกำพร้าแล้วเขาก็ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องระหว่างคุณเดฟกับแฟรงค์อีกเลย

“ผมขอโทษด้วยคุณทอมผมคงช่วยคุณได้เท่านี้”

“แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วครับ”

เขามองดูนาฬิกาก็เห็นว่าเขาทิ้งพ่อให้ดูแฟรงค์คนเดียวมานานมากแล้วเขาจึงขอตัวกลับ แต่ก่อนที่เขาจะลุกยืนขึ้นเขาก็เก็บรูปคู่ใบนั้นลงไปในกล่องและในช่วงจังหวะนั้นเองที่มือของเขาได้ไปสัมผัสเข้ากับโลหะชิ้นนึงเข้าเขาเลยหยิบมันขึ้นมาดู

“คุณทอมชอบมันเหรอครับ?”

“น่ารักดีครับผมไม่เคยเห็น ‘รถเด็กเล่น’ ที่ทำจากเหล็กทั้งคันแบบนี้เลย”

“มันเป็นของเก่าแล้วครับต้องใช้วิธีไขลานมันถึงจะวิ่งได้แต่ตอนนี้เป็นสนิมหมดแล้วต่อให้ไขก็คงไม่วิ่งแล้ว จะว่าไปรถเด็กเล่นคันนั้นเป็นคันที่เดฟเขาหวงมากเลยครับใครแตะของเขาไม่ได้เลยล่ะ ตาจะคอยจ้องตามไม่วางตา”

เมื่อได้รู้ว่าเจ้าของหวงเจ้าของชิ้นนี้มากขนาดไหนแม้ว่าเจ้าของที่ว่าจะไม่อยู่ตรงนี้แต่เขาก็วางเจ้ารถของเล่นนั้นลงกับโต๊ะที่ตั้งวางกั้นระหว่างเขากับคุณจอห์นอย่างเบามือแต่จะว่าไปเหล็กนี่มันเก็บความเย็นดีจริงๆ นะขนาดในห้องที่มีอุณหภูมิสูงขนาดนี้เจ้ารถนี้ยังคงความเย็นอยู่ได้

 “เขาเคยบอกว่าที่เขาหวงมากเพราะมันเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขาได้จากคนที่รักเขานั่นก็คือผม”

“คุณเดฟ...”

“เดฟเคยเล่าว่าก่อนหน้านี้ของเล่นที่เขามีไม่เคยมีชิ้นไหนเป็นของเขาจริงๆ เลยสักชิ้นเพราะกฎหลักของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าคือทุกคนต้องแบ่งปันกันเล่น”

“คุณเดฟช่วงนั้นเขาคงจะลำบากน่าดูนะครับ”

“ก็คงงั้นแหละครับเขาจึงติดนิสัยขี้หวงมาแต่ไหนแต่ไรถ้าอะไรที่เป็นของเขาละก็ไม่มีวันเสียหรอกที่เขาจะทิ้งขว้างแล้วเขาก็จะไม่ยอมเสียมันไปง่ายๆ ด้วย ขนาดรถคันนี้มันวิ่งไม่ได้แล้วเขายังไม่ยอมโยนมันทิ้งเลย”

“งั้นผมว่าผมเก็บมันให้เข้าที่ดีกว่าครับ”

เขาเอื้อมมือเตรียมไปจับรถเด็กเล่นไขลานคันนั้นเข้าไปในกล่องแต่แล้วทั้งเขาและคุณจอห์นต่างหยุดนิ่งในสิ่งที่กำลังทำแล้วมองตามเจ้ารถเด็กเล่นคันนั้นที่เคลื่อนตัวช้าๆ จากตรงที่เขาวางเอาไว้ตรงไปที่ทางฝั่งตรงข้ามและหยุดลงที่สุดขอบโต๊ะฝั่งที่คุณจอห์นนั่งอยู่

“คุณก็เห็นว่าผมไม่ได้...”

เขาหยุดการเอ่ยปากแก้ตัวของตัวเองเอาไว้เมื่อเขามองเห็นคุณจอห์นโน้มตัวลงมาหยิบเจ้ารถเด็กเล่นไขลานคันนั้นขึ้นไปแนบเอาไว้กับที่อกของตัวเองแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาจากตาทั้งสองข้างเงียบๆ เขาคิดว่าเขาเข้าใจว่าทำไมคุณจอห์นถึงเป็นแบบนี้เพราะถ้าเป็นเขาที่ต้องมาเห็นอะไรแบบนี้เขาก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน มันคงเต็มไปด้วยความคิดถึงความเศร้าจนกลั่นออกมาเป็นน้ำตา เขาจึงนั่งเงียบแล้วปล่อยให้เวลาให้ผ่านไปรอจนคุณจอห์นจะรู้สึกดีขึ้น

“ผมอยากเจอคุณแฟรงค์”

“ทำไมจู่ๆ? คุณถึง”

“ผมไม่รู้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เมื่อกี้ผมมั่นใจว่าคุณไม่ได้แม้กระทั่งแตะต้องมันและต่อให้คุณทำเจ้ารถคันนี้มันก็วิ่งไม่ได้อยู่ดีเพราะฉะนั้นผมถึงอยากเจอเขา”

“ได้ครับคุณจอห์นไปครับเราไปเจอแฟรงค์กับครับ ขอบคุณ”

TBC

ถึงคุณ
fc_fic ขอบคุณนะคะ  :L1:

♥►MAGNOLIA◄♥ โธ่ คุณจอห์นโดนไล่ไปตาย เอ๋ย ไปบวชซะแล้ว... 555555+  :3123:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด