บันทึกของทอม Day 3o : Trick or Treat จบแล้วค่ะ #novelber2017 - 14/03/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บันทึกของทอม Day 3o : Trick or Treat จบแล้วค่ะ #novelber2017 - 14/03/2018  (อ่าน 5333 ครั้ง)

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 21 – กลิ่นสาป

“คุณแฟรงค์อยู่โรงพยาบาลนี้เหรอครับ?”

 “ใช่ครับมีอะไรรึเปล่าครับคุณจอห์น”

 “ตอนที่เดฟเขาต้องมาผ่าพิสูจน์...ศพก็ใช้โรงพยาบาลนี้ครับ”

“คงเป็นเรื่องบังเอิญนะครับ ผมว่าเราขึ้นไปข้างบนดีกว่า”

“ครับ

ทอมสังเกตุได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของคนข้างตัวตั้งแต่รถแท๊กซี่เลี้ยวเข้ามาจอดที่ทางเข้าของโรงพยาบาลแต่เขาไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเพราะเรื่องนี้ปากที่เอ่ยปลอบไปว่าเรื่องบังเอิญมันก็คือคำปลอบที่เขาใช้ปลอบทั้งคุณจอห์นและตัวเองเพราะความบังเอิญที่ว่ามันเริ่มจะมากจนเกินไปจนทำให้เขาหายใจไม่สะดวก


กลิ่นฉุนเหม็นอับลอยออกมาจากห้องพักของแฟรงค์ที่ถูกเปิดประตูทิ้งเอาไว้โดยที่มีเจ้าหน้าที่ 2-3 คนกำลังเดินเข้าออกจากห้องเป้นว่าเล่น ทอมรีบวิ่งไปที่ห้องด้วยความกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแฟรงค์

“พ่อทำ...หืมกลิ่นอะไรอะครับพ่อ?”
 
 “พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันตอนเราไปแรกๆ ก็ยังไม่มีกลินอะไรนะแต่พอเริ่มมานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาก็เริ่มมีกลิ่นตอนแรกนึกว่าเป็นเพราะโซฟามันเก่าแต่พอลองสังเหตุดูพ่อว่ากลิ่นมาจากเตียงพ่อเลยขอให้พยาบาลเข้ามาเช็ดตัวและเปลี่ยนผ้าปูแต่มันก็ไม่ดีขึ้นแถมตอนนี้พอลูกเข้ามากลิ่นยังแรงขึ้นกว่าเดิมอีก”

“นานยังครับพ่อ?”

“ประมาณ 20 นาทีที่แล้วนี่เอง”
 
“เดฟ” เสียงของคุณจอห์นดังขึ้นแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนาระหว่างเขากับพ่อ

“ครับ?”

“น้ำหอมของเดฟผมได้กลิ่นน้ำหอมของเขา”

พ่อมองหน้าของผมเหมือนต้องการคำตอบว่าคนๆ นี้เป็นใครและทำไมถึงได้กลิ่นที่แตกต่างออกไปจากเรา 2 คนมากขนาดนี้จากลิ่นเหม็นสาปทำไมถึงกลายเป็นกลิ่นของน้ำหอมไปได้
 
“คุณจอห์นครับนี่พ่อของผมครับ”

“สวัสดีครับคุณลุง”

“สวัสดีครับคุณจอห์นผมเคยได้ยินชื่อของคุณจากเจ้าทอมมาเหมือนกันขอบคุณมากนะครับที่เป็นเพื่อนดูแลช่วงที่เขามาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง”

“ด้วยความยินดีครับ”

“เมื่อกี้คุณว่าคุณได้กลิ่นน้ำหอมของคุณเดฟ?”

 ทอมรู้ว่ามันค่อนข้างเป็นการเสียมารยาทที่ขัดบทสนทนาขึ้นมากล้างป้องแต่มันเป็นสิ่งที่เขาสงสัยมากที่สุดและเขาก็คิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้
 
“ครับผมได้กลิ่นตั้งแต่เริ่มเดินออกจากลิฟท์ นี่เป็นกลิ่นโปรดของเขา”

“แต่ ผมว่ามันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม” ทอมหันหน้าไปมองทางพ่อเล็กน้อยก่อนที่จะพูดต่อ “ผมว่ามันเป็นกลิ่นเหม็น”

 “กลิ่นมันอาจจะแรงไปจนฉุนก็ได้”

“..แต่...”

“นั้นคือคุณแฟรงค์?”

“ใช่ครับคนที่นอนอยู่บนเตียงคือแฟรงค์”

“ผมไม่คิดว่าผมจะรู้จักเขาและผมก็ไม่คิดว่าเดฟจะรู้จักเขาเหมือนกันผมไม่คุ้นหน้าเขาเลย”

คุณจอห์นเดินเข้าไปสำรวจแฟรงค์ใกล้ๆ ที่ข้างเตียงพร้อมกับปฎิเสธกับข้อสันนิษฐานที่เราสองคนคิดเอาไว้ว่าคุณเดฟกับแฟรงค์อาจจะเคยไปเจอกันที่ไหนสักที่หรือรู้จักกันด้วยเรื่องงานเลยทำให้ 2 คนนั้นสามารถสื่อถึงกันได้
 
“คุณช่วยออกมากับผมและพ่อที่หน้าห้องหน่อยได้ไหมครับ?”
“...”

“คุณจอห์นครับ?”

เมื่อคุณจอห์นไม่มีปฎิกริยาตอบรับกับคำเรียกเขาจึงเดินไปแตะที่ข้อศอกของคุณจอห์นในช่วงเสี้ยววินาทีที่ปลายนิ้วมือของเขาได้สัมผัสกับกับข้อศอกของคุณจอห์นมันเหมือนมีแรงไฟฟ้าอะไรสักอย่างช๊อตตรงบริเวณนั้น ไม่น่าเชื่อว่าแรงช็อตจากตรงบริเวณเล็กๆ นั้นมันจะสามารถดีดตัวของเขาให้ออกห่างจากพื้นที่ข้างๆ ของคุณจอห์นได้

“คุณโอเคไหมคุณทอม?”

คุณจอห์นเดินเข้ามาจะช่วยพยุงให้เขาลุกยืนขึ้นแต่แรงดีดที่ทำให้เขาล้มลงมานั่งที่พื้นมันทำให้เขาเกิดความขยาดเขาจึงปฎิเสธความหวังดีนั้นแล้วลุกขึ้นยืนและเดินออกมาห่างจากห้องพักด้วยตัวเอง

“คุณจอห์นครับกลิ่นที่ผมกับพ่อได้มันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมครับ มันเป็นกลิ่นเหม็น”

“จริงคุณ ผมเองก็ได้กลิ่นเดียวกับลูกของผม”

“แต่ผม...” คุณจอห์นแสดงสีหน้าที่ทอมเองก็อ่านไม่ออกอยู่สักพักก่อนที่จะพยักหน้าทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาและพ่อต้องการจะสื่อ

“งั้นก็เป็นผมคนเดียวใช่ไหมครับที่ได้กลิ่นนั้น?”
“ผมคิดว่าใช่”

“โอเค สมมุติว่าผมเชื่อทั้งหมดที่คุณพูดออกมาและจมูกของผมเพี้ยนไปจริงๆ เดฟเขาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร? แล้วทำไมเขาไม่มาหาผมทำไมเขาถึงมาหาพวกคุณ?”

“ผมก็...”

ตึกๆๆ

“ผู้ป่วยชักมาช่วยกันจับเร็ว”

เสียงวิ่งกับตะโกนของนางพยาบาลที่วุ่นวายนั้นดึงดูความสนใจให้ทอมมองตามทางที่นางพยาบาลทางฝั่งนี้ เดินไปแล้วเขาก็เห็นว่าพวกเธอกำลังตรงไปที่ห้องของแฟรงค์ เขารีบวิ่งกลับไปที่ห้องพักโดยที่มีพ่อกับคุณจอห์นวิ่งตามเขามาติดๆ

ภายในห้องพักมีนางพยาบาล 2 คนกำลังช่วยกันจับแฟรงค์คนละข้างโดยมีคนที่เตรียมจะฉีดยาให้กับแฟรงค์แต่มันก็ทำได้ค่อนข้างยากลำบากเมื่อแฟรงค์ตัวกระตุกอย่างรุนแรงจนไม่มีส่วนไหนของร่างกายอยู่นิ่ง

“รบกวนอย่าฉีดยานั้นให้เขาเลยครับ”

“ปล่อยให้คนไข้ชักแบบนี้มันจะไม่ดีต่อร่างกายนะคะ”

มันก็จริงการชักแบบนี้มีผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดีแต่ดวงตาของแฟรงค์ที่มองมาที่เขากำลังเบิกออกกว้างเมื่อเห็นว่าเขาหยุดห้ามการฉีดยานั้นมันทำให้เขาต้องเอ่ยพูดอีกครั้ง

“ผมขอละครับถ้าเขายังไม่ดีขึ้นภายใน3 นาที ผมสัญญาว่าผมจะไม่ขัดขวางการทำงานของคุณ”

“แต่..”

“ผมเป็นญาติกับคนไข้ผมคิดว่าผมมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจใช่ไหมครับ?”

“ได้ค่ะ งั้นถ้ามีอะไรกดเรียกพวกเราเลยค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

แววตาของแฟรงค์ที่ส่งมานั้นเต็มมันไปด้วยคำขอบคุณแต่น่าแปลกที่ทำไมทอมรู้สึกเหมือนกำลังสบตากับคนแปลกหน้า แถมแววตานั้นมันก็เปลี่ยนเป็นแววตาของความโศกเศร้าเวลาที่เห็นใครอีกคนวิ่งเข้ามาสมทบกับเขาที่ทางด้านหลัง

“เดฟ....” เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับคุณจอห์นที่อยู่ๆก็เรียกแฟรงค์ว่าเป็นเดฟ

“เดฟ ทำไมเดฟทำแบบนี้ ทำแบบนี้ทำไมทำไมมีอะไรไม่เข้ามาคุยผมโดยตรงเดฟ...”

“เดี๋ยวคุณจอห์นใจเย็นๆ มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่ยงไม่เย็นไม่แล้ว ผมต้องการคำตอบจากเขา ตอบมาสิเดฟ ตอบมา”

“นี่คือแฟรงค์ไม่ใช่เดฟอะไรของคุณ!! ถ้าคุณไม่ออกไปผมจะกดเรียกให้ยามมาลากตัวคุณออกไป”

ทอมผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคุณจอห์นยังพอฟังเขาแล้วยอมออกไปรอทางด้านนอกที่เขาต้องการให้คุณจอห์นออกไปก็เพราะยิ่งคุณจอห์นเสียงดังใส่คนบนเตียงมากเท่าไหร่แววตาที่โศกเศร้านั้นก็ยิ่งหลั่งน้ำตาออกมามากเท่านั้น

“เขาไม่ฟังผมเลย”

“...”

“เขาไม่ฟังผมเลย เขาไม่เคย”

แล้วนั้นมันก็เป็นคำพูดประโยคสุดท้ายก่อนที่แฟรงค์จะหลับตาลงอีกครั้ง เมื่อคนบนเตียงหลับลงพ่อก็เดินเข้ามาตบบ่าเพื่อให้กำลังใจพร้อมกับให้สติว่ายังมีใครอีกคนยังรอเขาอยู่ที่ทางด้านนอกห้องพัก

“ทำไมคุณถึงเรียกเขาว่าเดฟ?”

“ผมจำแววตานั้นได้ดีว่ามันคือแววตาของเดฟที่เขาใช้มองผมทุกครั้งเวลาที่เราทะเลาะกันแววตาที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อ อีกอย่าง....”

“อีกอย่าง?”

“ช่างมันเถอะครับ”

“ผมรู้ว่าบางทีคุณก็อยากเก็บบางเรื่องให้เป็นเรื่องส่วนตัวแต่คุณก็เห็นแล้วใช่ไหมว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราต้องพูดกัน ‘ทุกอย่าง’ “
 
“แล้วคุณคิดว่าถ้าผมบอกออกไปมันจะช่วยอะไรได้ย่างนั้นเหรอครับ!!”

“มันก็อาจจะช่วยได้หรือช่วยไม่ได้เลยแต่มันก็ดีกว่าที่เราไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยหรือยังไง??!!”

ทั้งชั้นตกอยู่ในความเงียบหลังจากที่เขาได้ตะโกนเอาความคับแค้นใจออกไป คุณจอห์นก้มหน้าเงียบใช้ความคิดไปสักครู่ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดในสิ่งที่เหลือออกมาให้เขาได้รู้

“การกระตุกนั้น...มันเหมือนกับแรงกระตุกเฮือกสุดท้ายก่อนที่เดฟจะเสียชีวิต”

“คุณเห็น?”

“ครับ”

“แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อภาพที่ผมในฝันเหมือนคุณออกจากบ้านไปแล้วคุณออกไปก่อนที่เขาจะเสีย”
“ตอนนั้นมันเป็นภาพนิ่งหรือภาพที่เขากำลังกระตุกอยู่ละครับ?”

“ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นเฮือกสุดท้ายก่อนที่คุณเดฟจะนิ่งไป”

“หึ นั้นคงเป็นตอนที่ผมวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากคนแถวนั้น เพราะตอนที่เขาตกบรรไดลงมาผมยังไม่ได้ออกจากบ้านหลังนั้นครับ”

“คุณหมายความว่ายังไง??”

“หลังจากที่เรามีปากเสียงครั้งล่าสุดเรื่องแม่ของผมเดฟเขาวิ่งตามผมมาทันครับ เรายื้อยุดกันที่ตรงบรรไดผมสะบัดมือของเขาออกเพราะผมยังไม่พร้อมที่จะคุยแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย”

“...”

“ผมสบัดเขาแรงมากจนเกินไปเขาเลยพลาดล่วงตกลงไป..”

“คุณจอห์น...”

“แต่ แต่ คุณเข้าใจไหมว่าผมไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุคุณทอมมันเป็นอุบัติเหตุ ผมไม่ได้จะทำให้เขาตกลงไป”

“แล้วคุณบอกเรื่องอุบัติเหตุนี้กับใครไหม?” เสียงของเขาเบาหวิวและรอคอยคำตอบอย่างคาดหวัง
“ผมมีเหตุผลที่ไม่สามารถพูดได้ว่าผมอยู่กับเขาในตอนนั้น”

“แล้วทำไมคุณถึงบอกผมว่าเขาฆ่าตัวตายละ ทำไม? คุณรู้ไหมว่าความหมายมันต่างกัน?”

อารมณ์ของเขาพุ่งขึ้นสูงจนเขาไม่สามารถควบคุมโทนเสียงของตัวเองให้สงบเงียบดั่งเดิมได้ นี่นะเหรอคำพูดของคนที่พร่ำบอกว่ารักคนของตัวเองมากแค่ไหนเสียใจแค่ไหนที่คนของตัวเองจากไป

“มันจะต่างกันยังไงเพราะยังไงผมก็เสียเข้าไปอยู่ดี!!”

“ก็ต่างกันระหว่างว่าคนนึงตายอย่างเต็มใจกับอีกคนตายเพราะผิดพลาดยังไงกันเล่า!!”

“วันนี้ถ้าผมเชื่อคุณว่ามันคืออุบัติเหตุ คุณบอกผมได้ไหมว่าทำไม?”

“เปล่าผมไม่ได้พูดกับใคร แม่ผมไม่ให้ผมพูดกับใครถึงเรื่องนั้น”


สิ่งที่เขาได้ยินมันทำให้เขาต้องทรุดลงนั่งกับเก้าอี้ข้างคุณจอห์น  ’กลิ่นสาป’ ที่เหม็นเน่าในวันนี้คงโฉยออกมาให้รู้ถึงความลับที่เหม็นเน่าที่ถูกซ่อนเอาไว้สินะ



TBC

ถึงคุณ

fc_fic  :กอด1:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
".......ผมไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุ  คุณทอมมันเป็นอุบัติเหตุ ผมไม่ได้จะทำให้เขาตกลงไป"

ใช่มันเป็นอุบัติเหตุ..........แต่ทำให้คนตาย ทำให้เดฟตาย....
แล้วจอห์นก็นิ่งไม่บอกใคร เพราะแม่ตัวเองบอกให้นิ่งไว้
ถามจริงจอห์น นายไม่รู้ความแตกต่างหรอ
ถึงสะบัดแบบไม่ตั้งใจ แต่ทำให้เดฟตาย นี่มันใกล้เคียงกับฆาตกรรมเลยนะ
จอห์นนายชุ่ยจริงๆ เอาแต่ใจไม่รับฟังความเห็นของคนรัก
แล้วยังปกปิดสาเหตุการตายที่มาจากตัวเองอีก
นี่ละมั้ง ที่เดฟ....อยากให้จอห์นยอมรับว่า
เดฟตาย........เพราะจอห์น  :mew2: :mew2: :mew2:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 22 Thunderstorm

 “จริงๆ นะครับคุณทอมผมไม่ได้ตั้งใจจะผลักเขาลงมา คือผม..”

 “ผมรับทราบแล้วครับว่ามันเป็นอุบัติเหตุคุณไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเลยคุณไว้ใจได้ว่าผมจะไม่ตัดสินคุณเนื่องจากผมเองก็ไม่ได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น”

“ขอบคุณครับ”

“เมื้อกี้คุณจอห์นบอกว่าในเสี้ยวนึงคุณเห็นแฟรงค์เป็นคุณเดฟถ้าเป็นแบบนั้นจริง คำสุดท้ายที่แฟรงค์ เอ่อ ผมหมายถึงคุณเดฟ พูดออกมาก็คือ ‘เขาไม่ฟังผมเลย’ มันมีอะไรที่คุณรู้สึกว่าเกี่ยวข้องระหว่างคุณกับเขาบ้างไหม?”

 “ไม่มีนะครับ...เราไม่เคยพูดกันเรื่องนั้น”

  “...”

“ยังไม่ต้องรีบตอบผมขนาดนี้ก็ได้ครับ ผมอยากให้คุณได้ทบทวนอีกสักครั้ง”

หลังจากนั้นทอมกับคุณจอห์นก็ต่างนั่งจมอยู่ในความคิดของตัวเองเขาก็ไม่รู้ว่าคุณจอห์นกำลังคิดอะไรหวังแค่ว่าจะกำลังคิดในเรื่องที่เขาขอออกไปส่วนเขาก็พยายามรวบรวมเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน
 
 “พ่อว่าลูกกับคุณจอห์นไปพักกันก่อนดีกว่าวันนี้ทั้งคู่คงเหนื่อยกันมากแล้ว”

เสียงของพ่อทำลายความเงียบของทั้งสองคนลงพร้อมทั้งยังดึงให้ทั้งสองคนกลับมาสู่ความเป็นจริงหลังจากที่ต่างคนต่างอยู่แต่ในห้วงความคิดของตนเอง
 
“ถึงต่อให้นั่งกันไปแบบนี้จนถึงเช้าพ่อว่ามันก็คงไม่ช่วยอะไรสู้นอนเอาแรงแล้วค่อยหาทางกันใหม่ดีกว่า”

“งั้นคุณจะค้างที่นี่หรือจะกลับบ้าน? มันจะเช้าแล้วคุณอยู่ที่นี่ก็ได้นะครับ”

ทอมเห็นด้วยกับพ่อของเขาที่ว่าต่อให้นั่งไปเรื่อยๆ ตรงนี้ก็ไม่ช่วยอะไรเขาจึงลุกขึ้นบิดไล่ความเมื่อยขบก่อนที่จะหันไปสอบถามความต้องการของคุณจอห์นด้วยเห็นว่ามันเป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว

“ผมกลับดีกว่าครับในนั้นนอน 3คนคงไม่สะดวก”

“งั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่ง”

“ไม่เป็นไรผมไปเองได้”

“ยังไงผมก็ต้องลงไปซื้อของใช้ที่ร้านสะดวกซื้อด้านล่างอยู่แล้ว”

“งั้น ผมลาละครับคุณลุงเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาใหม่”

ตลอดช่วงการเดินของเราทั้งสองคนถ้าไม่นับจากเสียงที่ส้นเท้ากระทบกับพื้นก็ถือได้ว่ามันเป็นการเดินด้วยกันที่เงียบที่สุดเท่าที่เขาสองคนรู้จักกันมา

 “ผมลองคิดดูแล้ว เรื่องที่เกิดทั้งหมดเดฟเขาคงโกรธ...เขาคงอยากให้ทุกคนรู้ว่าไม่ใช่ว่าเขาคิดสั้นแต่เป็นผมเองนี่แหละที่ทำให้เขาตาย”

ก่อนที่เขาสองคนจะเดินไปถึงหน้าประตูทางออกคุณจอห์นก็เอ่ยปากพูดในสิ่งที่เขาคิดและการพูดนั้นแหละที่ทำให้การก้าวเท้าของเขาสองคนช้าขึ้นโดยอัตโนมัต

“เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานทำไมคุณถึงคิดว่าคุณเดฟต้องการให้คุณเปิดเผยมันในตอนนี้”
 
“แต่อาการชัก...ถ้าเดฟไม่ต้องการให้ผมพูดเรื่องนี้เขาจะทำให้ผมเห็นภาพนั้นอีกทำไม? มันเป็นท่าเดียวกับตอนที่เดฟพยายามหายใจเฮือกสุดท้ายของตัวเอง...ผมจำท่าทางนั้นได้ไม่มีวันลืม”

“แล้วทำไมตำรวจถึงสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตายละครับ?”

“ตอนที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุผมให้การไปว่าเดฟตกลงมาจากบรรไดด้วยตัวเอง”

“ทำไม...คุณถึงให้การไปแบบนั้นละครับ? ผมถามได้ไหม?”

คุณจอห์นเงียบเพื่อครุ่นคิดก่อนที่จะยอมเปิดปากเล่าให้เขาได้ฟัง

 “เพราะแม่ผมให้การกับตำรวจไปแบบนั้น ถ้าผมมากลับคำให้การทีหลังมันจะกลายเป็นว่าแม่ของผมให้การเท็จอีกอย่าง...”

เปรี้ยง ยังไม่ทันที่คุณจอห์นจะพูดได้จบประโยคสายฟ้าก็ฟาดผ่าลงมาหน้าทางประตูเข้าออกของโรงพยาบาล เสียงของฟ้าร้องมันดังเสมือนว่ามันได้เกิดขึ้นที่ข้างหูของเขาทั้งๆ ที่มันเกิดห่างจากเขาไปตั้งไกลแถมยังมีตัวประตูของโรงพยาบาลกั้นเอาไว้โชคดีที่ทั้งเขาและคุณจอห์นยังเดินไปไม่ถึงจุดนั้นพวกเขาเลยไม่เป็นอันตรายจากภัยธรรมชาตินี้

แต่แล้วขาของพวกเขาทั้งสองที่เดินช้าลงก็กลับกลายมาเป็นการหยุดก้าวเดินพวกเขาไม่ได้หยุดเดินเพราะกลัวเสียงหรือแสงจากฟ้าผ่าแต่เพราะเสียงฝนที่ถูกสาดลงกระทบกับกระจกของประตูโรงพยาบาลเป็นเสียงดังแล้วไหนจะเป็นแรงของลมที่กำลังพัดหอบเอาทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะเป็นใบไม้หรือรวมไปถึงถังขยะใบเล็กปลิวให้ว่อนนั่นต่างหากที่ทำให้พวกเขาหยุดเดิน

 “สงสัยว่าพายุจะเข้าเมื่อเช้าก็ไม่ได้ดูพยากรณ์อากาศเสียด้วย”

“คุณคงกลับไปสภาพนี้ไม่ได้แน่ พักที่นี่แล้วกันครับอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว”

 “งั้นผมขอรบกวนด้วยนะครับ”
   
   ตั้งแต่ที่ได้ฟังข้อสัณนิฐานว่าคุณเดฟน่าจะอยากให้คนอื่นรู้ถึงสาเหตุการตายทอมก็มีคำถามนึงที่ลอยอยู่ในความคิดตลอดเวลาเขาใช้เวลาทบทวนอยู่นานจนในที่สุดเมื่อทั้งสองได้กลับเข้ามาในห้องพักเขาจึงได้เอ่ยปากถาม

“แล้วถ้าคุณเดฟต้องการให้คุณพูดเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆคุณจะสามารถทำมันให้เขาได้ไหม?”

เปรี้ยง ทอมไม่รู้ว่าคุณจอห์นตอบว่าอะไรเพราะเสียงฟ้าผ่าครั้งที่สองนี้มันดังกว่าครั้งแรกอยู่มากแถมมันยังทำให้ไฟในโรงพยาบาลตกไปช่วงนาทีก่อนที่ไฟสำรองของโรงพยาบาลจะถูกนำขึ้นมาใช้ ความโกลาหลของพายุมันกลบเสียงคำตอบของคุณจอห์นไปจนหมดรวมไปถึงอารมณ์ของเขาที่อยากรู้คำตอบนั้น

ก่อนล้มตัวลงนอนทอมมองออกไปที่นอกหน้าต่าง สายฝนที่รุนแรงประกอบกับความมืดของท้องฟ้าให้เขาไม่เห็นตึกรามบ้านช่องแบบที่เขาเคยเห็นจากตรงมุมนี้ แต่อย่างน้อยในความบ้าคลั่งของพายุลูกนี้ถ้าเขาตั้งใจมองออกไปดีๆ เขาก็ยังเห็นว่ามันมีแสงสว่างส่องอยู่ไม่ไกล มันคงเป็นแสงไฟมาจากเสาไฟที่อยู่ที่ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลสักต้นแม้จะไม่ใช่แสงสว่างที่ชัดเจนแต่อย่างน้อยในค่ำคืนที่มืดมิดนี้เขายังสามารถเห็นว่าเม็ดฝนและลมมันถูกพัดไปทางไหนถ้าเขาต้องออกไปเผชิญกับฝนเขาคงเดินได้ถูกทาง

TBC

ถึงคุณ

fc_fic  :3123:

♥►MAGNOLIA◄♥ จอห์นเขาร้ายนะคะผู้หมวด  :katai4:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
รู้สึกว่าที่ฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ
นี่เป็นเสียงรับฟังจากเดฟ  o22 o22 o22

ทอม ก็มีส่วนเหมือนจอห์น ที่ไม่ยอมรับฟังคำพูดจากแฟรงค์
ตอนแฟรงค์จะพูดก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
เอาไว้ก่อนๆ แล้วแฟรงค์จะได้พูดตอนไหน  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 23 แวมไพร์

“คุณนอนไม่หลับเหมือนกันใช่ไหมคุณทอม?”
 
“ครับ”

เมื่อทอมรู้ว่ายังมีใครอีกคนในห้องที่ยังไม่ง่วงนอนแม้ว่านาฬกาจะตีเข็มบอกว่ามันเป็นช่วงเวลาตี 3 กว่าของวันใหม่แล้วเขาจึงเลิกข่มตาเลิกนับแกะปลอบตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนที่ปูที่พื้นข้างเตียงมานั่งพิงกำแพงห้องข้างๆ คุณจอห์น
 
“พวกเรานี่เหมือนพวกแวมไพร์กันเลยนะครับ ดึกๆ ไม่นอน”

“นั่นสิผมไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาตั้งกี่คืนแล้วผมยังนับไม่ถ้วนเลยคุณทอมทำงานก็ไม่ได้ไปทำเพราะสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยจะว่าไปก็เหมือนพวกแวมไพร์ที่ชอบเก็บตัวในบ้านเลยนะครับแถมสภาพของผมตอนนี้ก็เหลือดื่มเลือดเพียงอย่างเดียวผมก็จะเหมือนแวมไพร์แบบสมบูรณ์แบบแล้วครับ”

“ผมเกือบขำแล้วครับ อีกนิดคุณจอห์น”

“นี่ผมพูดจริงนะครับผมคงเป็นแวมไพร์โดยสมบูรณ์แบบแล้วละเพียงแค่ผมไม่ได้ดื่มเลือดเป็นอาหารแต่ผมสูบเอาความรักความจริงใจความเชื่อใจของอีกคนมาเป็นอาหารแทน ขนาดเขาตายไปแล้วผมยังสูบเอาชื่อของเขามาใช้เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องตกที่นั่งลำบากเลย”

“คุณจอห์น”

“ไม่ต้องปลอบผมหรอกครับคุณทอมผมรู้ตัวเองดีว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง”

ทอมละสายตาจากคุณจอห์นมองทอดไปยังร่างที่ตอนนี้หลับสนิทที่เตียงเห็นแบบนี้มุมปากของทอมก็ยกยิ้มขึ้นได้ อย่างน้อยในเรื่องราววุ่นวายแฟรงค์ก็ยังได้พักผ่อนได้ดีกว่าคืนแรกๆ ที่ผ่านมา

“เอ้อ คุณจอห์นผมว่าผมจะถามเกี่ยวกับเรื่องอาการของคุณ เป็นยังไงบ้างคุณดีขึ้นไหมครับ? วันนี้ผมไม่เห็นคุณบ่นหนาว”

“ผมไปขอเจ้านี่กับหมอมาครับ” คุณจอห์นเปิดเสื้อให้ดูแผ่นทำความร้อนที่ถูกแปะเอาไว้ตามตัว

 “ดีแล้วครับ”
 
“คุณทอม...”
 
“ครับ?”

“คุณไม่ต้องห่วงไปนะ คุณแฟรงค์จะต้องหายดีเพราะถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เดฟ....เขาทำเพราะต้องการแบบนั้นผมก็จะยอมเดินเข้าไปหาตำรวจ...ผมยอม”

“...”

ทอมยอมรับว่าสิ่งที่ได้ยินมาทั้งหมดมันก็ดูเหมือนว่าคุณเดฟต้องการที่จะให้คุณจอห์นทำแบบนั้นแต่ทำไมกันนะในส่วนลึกของความรู้สึกของเขา เขากลับไม่คิดว่านั่นคือสิ่งที่คุณเดฟต้องการ มันเหมือนว่ายังมีจิ๊กซอว์บางตัวไม่ได้ถูกเอามาต่อรวมกับภาพรวมทั้งหมดมันดูไม่สมบูรณ์มันต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันสักอย่างระหว่างคุณเดฟกับแฟรงค์และเขากับคุณจอห์นมันต้องมีอะไรสักอย่าง

“คุณจอห์นถ้าผมจะบอกว่ามันไม่น่าใช่ล่ะ?”

“หมายความว่ายังไงครับ?”

“ไม่รู้ สิ ช่างเถอะครับเอาไว้ให้ผมแน่ใจผมจะบอกกับคุณอีกทีส่วนเรื่องนั้นเรื่องที่คุณจะไปบอกกับตำรวจ...ผมว่าคุณหยุดเอาไว้ก่อนก็ดีครับ”

 “คุณอยากให้ผมโกหก?”

 “คุณบอกว่าคุณเดฟรักคุณมาก?”
 
“ครับ ถ้าเขาไม่ได้เกลียดผมไปเสียก่อนในวันสุดท้ายของชีวิตเขา”

“ถ้าเขารักคุณมากผมไม่คิดว่าเขาจะอยากให้คุณต้องเดินเข้าไปรับผิดหรือผิดใจกับแม่ของคุณ”

“เดฟนะเหรอ ไม่หรอก เขาเกลียดแม่ของผมจะตาย ก่อนที่จะเสียไปเขายังหาว่าผมเป็นลูกแหง่ติดแบมือขอเงินแม่อยู่เลย เขาเกลียดครอบครัวของผมจะตาย”

เปรี้ยง เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นขึ้นจนแฟรงค์ลืมตาตื่นแต่เพียงครู่เดียวคงเป็นเพราะจากฤทธิ์ยาสำหรับการรักษาแผลทำให้แฟรงค์หลับตาลงได้ง่าย
เปรี้ยง

“ทอม”

“ผมอยู่นี่ครับ”

ฟ้าผ่าติดกันขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ครั้งนี้แฟรงค์สะดุ้งขึ้นมาสุดตัวพร้อมกับตะโกนเรียกชื่อของเขา ทอมรีบลุกขึ้นเดินไปหาแฟรงค์แต่แล้วขาของเขาก็ต้องหยุดเคลื่อนไหวเมื่อสายฟ้าผ่าครั้งที่ 3 ที่เกิดขึ้นมันมีแสงสว่างที่มากพอ มากจนทำให้ทอมเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่มีขนาดตัวปานกลางกำลังยืนอยู่ใกล้ที่หัวเตียงของแฟรงค์ผู้ชายคนนั้นทอมจำได้ว่าคือคุณเดฟกำลังมองจ้องคุณจอห์นที่หลับฟุบอยู่ที่พื้น สายตาของคุณเดฟนั้นมันช่างเศร้าโศกเต็มไปด้วยความตัดพ้อทอมมองกลับไปที่แฟรงค์ถึงได้ รู้ ว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่เห็นแฟรงค์เองก็เป็นอีกคนที่เห็นภาพเดียวกันกับเขาและแฟรงค์ก็กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยความตื่นกลัวทอมจึงก้าวไปที่เตียง

‘อึก’

การก้าวเดินของทอมต้องหยุดชะงักลงเมื่อสายตาของอีกคนรับรู้การขยับตัวและเปลี่ยนทิศทางของการสนใจจากคุณจอห์นมาเป็นที่เขาคุณเดฟมองเขาสลับกับแฟรงค์ด้วยสายตาที่ทอมเองก็ไม่สามารถตีความได้และก่อนที่เขาจะตีความออก

“อ๊ากก”

“แฟรงค์!!”

แฟรงค์เริ่มชักอีกแล้วแต่มันไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา ครั้งนี้แฟรงค์มีสติรับรู้ได้ทุกอย่างแต่ทอมก็ไม่รู้ว่ามันคือเรื่องที่ดีจริงไหมเพราะกลายเป็นว่าแฟรงค์ต้องมารับรู้ แรงกระตุกแรงกระแทกแรงครูดที่ข้อมือทั้งหมดและแฟรงค์ก็กำลังเจ็บปวดกับการรับรู้มัน ทอมพยายามที่จะก้าวขาเดินเข้าไปหาแฟรงค์แต่ทุกครั้งที่คุณเดฟมองกลับมาที่เขา ขาของเขาก็
ถูกตรึงเอาไว้กับที่

“อ๊ากกกก ทอมมมมมมม!!!”

เสียงร้องของแฟรงค์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแม้จะดังแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถทำให้พ่อกับคุณจอห์นตื่นขึ้นช่วยพวกเขาได้
 
“พอได้แล้ว เลิกทำแบบนี้สักที พวกผมไปทำอะไรให้? คุณเกลียดแม่ของเขา คุณก็ไปลงกับคนที่คุณเกลียดสิไม่ใช่กับผม!!คุณเกลียดคุณจอห์นคุณก็ไปทำกับเขาสิ!!”

การตะโกนของเขายิ่งเหมือนเป็นการโหมไฟใส่เมื่อยิ่งเขาตะโกนถึงความเกลียดชังที่คุณเดฟมีให้กับแม่ของคุณจอห์นเท่าไหร่ แรงชักของแฟรงค์ก็หนักขึ้นตามเท่านั้น

 “คุณอยากได้อะไรคุณก็ไปบอกเขาเองอย่ามายุ่งกับพวกผม อย่ามายุ่งกับแฟนของผมได้ยินได้อย่ามายุ่งกับแฟนของผม!!”

เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความโกรธที่เขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรแฟรงค์ที่กำลังนอนทรมานอยู่ตรงหน้ามันทำให้สายตาของคุณเดฟเปลี่ยนไป ที่สำคัญมันทำให้ขาของเขาสามารถขยับได้อีกครั้งทอมไม่รอช้าที่จะก้าวเข้าไปดูแฟรงค์โดยที่ไม่สนใจใครอีกคนที่ยังยืนอยู่ตรงมุมห้อง

“แฟรงค์ แฟรงค์ คุณโอเคไหม?”

“ทอม”

แฟรงค์ทิ้งตัวลงบนฟูกอย่างหมดแรงพร้อมกับหอบหายใจหนักทอมรีบแกะที่มัดเหล่านั้นออกและโผตัวเข้ากอดแฟรงค์เอาไว้ทั้งตัว
   
 “ทอม มันเกิดอะไรขึ้น ผม... ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว คุณเห็นเหมือนผมใช่ไหม? ใช่ไหม?”

 “ชู่ ไม่เป็นไรแล้วแฟรงค์ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว”

เงยหน้าขึ้นมาอีกทีคุณเดฟก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นมองดูพวกเขาอีกแล้วเขากอดแฟรงค์เอาไว้แนบอกจนแฟรงค์หลับไป แล้วคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ทอมยอมทำผิดกฎของโรงพยาบาลโดยการล้มตัวลงนอนกอดแฟรงค์เอาไว้ที่เตียงทั้งคืน

“คุณแฟรงค์สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้วค่ะ”

“จริงเหรอครับ?”

“จริงค่ะ เดี๋ยวเชิญญาติที่ห้องจ่ายเงินได้เลยค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

นั่นคือคำยืนยันจากคุณหมอเจ้าของไข้หลังจากที่ตอนเช้าได้มีการตรวจร่างกายโดยรวมอีกครั้งทอมถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ผลทุกอย่างออกมาโอเค ผ่านมาหลายวันในที่สุดวันนี้ทอมก็รู้ สึกเหมือนว่าเรื่องราวที่ไม่ดีเหมือนพายุฝนต่างๆ กำลังผ่านพ้นและต้อนรับพวกเขาด้วยแสงอาทิตย์เสียที

TBC

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 24 แปลงร่าง

“งั้นเรากลับบ้านกันเถอะครับอุบ แฟรงค์ คุณ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

ตั้งแต่ตอนที่แฟรงค์ก้าวเดินออกมาจากห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะกลับที่พักของเขาทอมต้องพยายามอย่างมากที่จะกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้เพราะเขาไม่อยากให้แฟรงค์เดินออกจากห้องนี้ไปโดยที่ไม่มีความมั่นใจแต่ความพยายามนั้นของเขาก็ต้องสิ้นสุดลงและเผลอหัวเราะออกเสียงตอนที่แฟรงค์พยายามเอื้อมมือไปช่วยพ่อของเขาหิ้วเป้แล้วค้างแขนเอาไว้กลางอากาศไปไม่ถึงเป้ใบนั้นด้วยความตึงของเสื้อตรงช่วงหัวไหล่

“คุณหัวเราะอะไรทอม?”

ทอมเกือบรีบเอ่ยปากขอโทษและรู้สึกผิดที่หัวเราะแต่พอเขาลองสังเกตุดีๆ ว่านอกจากคิ้วของแฟรงค์ขมวดติดกันจนจะเป็นรูปโบนั้นยังมีริ้วสีแดงขึ้นสีตรงแก้มทอมก็ไม่คิดว่าการขอโทษมันจำเป็นในตอนนี้

“เปล๊า”

 “มันตลกใช่ไหม?เอ่อ ขอโทษครับพ่อผมไม่ได้หมายถึงว่าชุดของพ่อตลกแต่พอมันมาอยู่ในตัวผมมันแบบทุกอย่างมันรั้งไปหมดมันดูเข้ารูปผมไม่ค่อย..”

“ไม่เป็นไรแฟรงค์พ่อเข้าใจ  ทอมพอแล้วน่าไปแซ็วแฟรงค์อยู่ได้”

ตอนที่หมอแจ้งข่าวทอมก็เสนอตัวแล้วว่าจะออกไปซื้อเสื้อผ้าให้ใหม่แต่ทั้งสองคนก็เอาแต่จะรีบออกจากที่นี่ก็เลยบอกว่ไม่ต้องใส่ด้วยกันได้ซึ่งทอมพยายามกางเสื้อยืดมาดูเท่าไหร่เขาก็ว่ามันไม่น่าได้ มันก็ใช่ที่หลายปีที่แล้วพ่อกับแฟรงค์ใส่เสื้อผ้าไซส์เดียวกันได้แต่ตอนนี้พ่อของเขาแก่ตัวลงขนาดเสื้อผ้าก็ต้องหดลงตามไซส์ของตัวเป็นเรื่องธรรมดาแล้วเขาผิดตรงไหนที่เขาขำกับภาพที่เขาเห็น?

 “โอเคๆ ผมหยุดก็ได้ขอโทษครับ แต่ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหม?”

 “ทอม!!”

 “โอเคๆๆ”


“นี่ละครับที่พักของผม”

ตอนลงมาจากรถแท๊กซี่ทอมพยายามโชว์ที่พักของเขาแต่ดูท่าทั้งสองจะเหนื่อยเกินกว่าที่จะชื่นชมเพราะแค่พยักหน้ารับและเดินตรงดิ่งไปที่หน้าลิฟท์

“งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ”

“ครับ”

“แฟรงค์แล้วคุณ?”

ทอมหันกลับไปหาแฟรงค์ที่กำลังเดินสำรวจห้องของเขาด้วยความสนใจ สีหน้าของแฟรงค์ดูโล่งใจและเขาก็รู้ว่าเพราะอะไร

“ไม่ได้แอบใครไว้ในห้องหลอกนะ”

“ผมก็แค่ดูห้องเฉยๆ”

“ครับๆ คุณก็ดูห้องให้พอนะเดี๋ยวผมไปเตรียมข้าวเช้าให้คุณกับพ่อก่อน”

“ผมช่วย”

“ไม่ต้องคุณพักเถอะผมทำของง่ายๆ เอง”

“งั้นผมคงต้องยอมให้พ่อครัวใหญ่โชว์ฝีมือ”


คลืนๆ เสียงสั่นของโทรศัพท์ที่วางตรงเค้าท์เตอร์ครัวดังขึ้นระหว่างที่เขากำลังเตรียมอาหารเช้าทอมชะเง้อหน้าไปดูก็เห็นว่าเป็นสายเรียกเข้าของคุณจอห์นทอมเลยวางมือที่กำลังวุ่นวายแล้วกดรับสาย

“ฮัลโหลครับ”

“พวกคุณออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอครับ? ผมมาแล้วไม่เจอใคร”

 “คุณกลับไปที่โรงพยาบาลเหรอ? ขอโทษทีผมตั้งใจเอาไว้ว่าผมจะบอกคุณตอนสายกว่านี้สักหน่อย ครับตอนนี้ทุกคนมาอยู่ที่ห้องผมแล้ว”

 “งั้นถ้ามีอะไรคืบ...”

“ให้ผมช่วยอะไรไหม? คุณจะได้ไปอาบน้ำ”

เสียงสดใสของแฟรงค์ตะโกนแทรกเข้ามาโทรศัพท์พอได้อาบน้ำคงจะสบายตัวขึ้นถึงได้อารมณ์ดีแบบนี้แล้วพอแฟรงค์เดินเข้ามาในสายตาทอมก็คิดอะไรขึ้นมาได้

 “คุณมาที่ห้องผมหน่อยสิครับคุณจอห์น”

เสียงที่เรียกชื่อของอีกฝ่ายทำเอาแฟรงค์ขมวดคิ้วทอมยื่นมือไปนวดคลึงที่ตรงหว่างคิ้วนั้นให้กับแฟรงค์พร้อมกับขยับปากแบบไม่ส่งเสียงไปว่า ‘เดี๋ยวก็หน้าย่นหมดหรอก ย่นแล้วแก่นะ’ แฟรงค์ถึงได้ยอมคลายปมคิ้วนั้นลง

“ผมนึกว่าวันนี้เราจะได้อยู่กันอย่างครอบครัว”

“ผมก็อยากให้เป็นแบบนั้น”

“แล้วทำไม?”

“คุณไม่อยากให้เรื่องเหล่านี้มันจบไปเหรอแฟรงค์? ผมอยากนะผมไม่อยากเห็นคุณต้องเจ็บปวดแบบนั้นอีกแล้ว”

“โอเคๆ ผมยอม”

คุณจอห์นมาถึงห้อง 30 นาทีต่อมาซึ่งโชคดีว่าพวกเขาได้จัดการมื้อเช้าเรียบร้อยกันแล้วตรงหน้าพวกเราทั้ง 4 คนเลยมีชา 4 แก้วเป็นเครื่องดื่มแล้วการพูดคุยก็เริ่มขึ้น

“แฟรงค์ตั้งแต่ก่อนเขาโรงพยาบาลคุณจำอะไรได้บ้างไหม?”

“ผมเจอคุณเดฟที่หน้าปากซอยเขายืรมองคุณ 2 คนที่เดินมาด้วยกันผมจำได้ว่าผมเดินเข้าไปทักเขาก่อน”

 “คุณเห็นเดฟแบบพูดคุยได้?...ขอโทษครับ”

คุณจอห์นถามขัดขึ้นมากลางปล่องทำให้แฟรงค์หยุดเล่าพอรู้ตัวว่าตัวเขาเองกำลังขัดการเล่าคุณจอห์นจึงเอ่ยคำขอโทษเราทั้งหมดส่ายหน้าให้กับคุณจอห์นว่าไม่เป็นไรแล้วพยักหน้าให้แฟรงค์เล่าต่อ

 “ใช่ ผมเห็นผมพูดกับเขาได้”

“คุณคุยอะไรกับเขาบ้าง?”

“ผมถามเขาว่ารู้ไหมสองคนนั้นเป็นอะไรกันเขาถามผมกลับว่าผมอยากรู้ใช่ไหม? พอผมบอกว่าใช่ตอนนั้นมันก็เหมือนทุกอย่างดับวูบไปหมดผมจำอะไรหลังจากนั้นไม่ได้จำได้แค่ว่าผมหนาวมาก”

 “หนาว” ทอมหันไปมองหน้าคุณจอห์นซึ่งคุณจอห์นก็กลับมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เบิกกว้างเหมือนคำว่าหนาวจากแฟรงค์จะเป็นเหมือนคำตอบสำหรับเรื่องอาการป่วยที่คุณจอห์นและเขาสงสัยมานาน

 “รู้สึกตัวอีกทีตัวเองก็ตื่นมาอยู่ที่สวนสักที่ตอนนั้นผมยังมึนแถมของก็หายไม่มีอะไรติดตัวสักอย่างไม่สิตอนนั้นผมยังมีที่อยู่ของทอมอยู่ในกระเป๋ากางเกงผมเลยเอาที่อยู่ไปเดินถามทางคนแถวนั้นดูแต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีใครยอมคุยกับผมแถมบางครั้งตอนที่เดินเข้าไปก็มีคนเดินหนี”

“…”

 “ตอนแรกก็นึกว่าเขากลัวผมแต่มารู้ว่าไม่ใช่ก็ตอนที่มีเด็กผู้หญิงชี้นิ้วมาที่ทางด้านหลังของผมแล้วกรีดร้องก่อนที่จะวิ่งหนีไปตอนนั้นผมรู้ตัวแล้วว่ามันต้องมีอะไรที่ไม่ปกติอยู่ทางด้านหลังแต่ก็ยังไม่กล้าพอที่จะหันกลับไปผมจึงยังคงเดินถามทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...”

 “แฟรงค์หยุดเล่าแล้วหายใจก่อนครับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ”

ทอมเอื้อมมือไปกุมมือของแฟรงค์พิ่มแรงบีบให้กำลังใจในตอนนั้นแฟรงค์คงตื่นตระหนกมากที่ต้องไปเจออะไรแบบนั้นเพราะเพียงแค่เล่าถึงมันตัวของแฟรงค์ก็เกร็งไปหมดจนเขาทนฟังต่อไม่ได้จึงต้องบอกให้หยุดเล่าเรื่องเหล่านี้ แต่แฟรงค์ก็ใช้เวลาพักและปรับความเกร็งตัวเพียงไม่นานก็กลับมาเล่าเรื่องอีกครั้ง

 “อากาศก็เริ่มหนาวมากขึ้นมากจนผมเหมือนกำลังโดนแช่แข็งผมจึงเดินไปที่มินิมาร์ทเพื่อหาซื้อซองร้อนมาพกติดตัว...ประตูทางเข้ามินิมาร์ทเป็นประตูกระจกบานเลื่อนแต่ประตูบานนั้นไม่ยอมเลื่อนแถมยังมีเงาดำอีกเงาคอยตัดผ่านที่หางตาแถมยังเคลื่อนไหวอยู่ตลอด”

 “ผมไม่แน่ใจว่าเงานั้นมาจากคนที่จะเข้ามินิมาร์ทรึเปล่าผมเลยเคลื่อนตัวออกจากหน้าประตูเพื่อให้เขาเห็นว่าประตูมันเสียไม่ใช่เพราะผมเอาแต่ยืนขวางแต่แล้ว...แต่แล้วก็ไม่มีใครเดินผ่านตัวของผมไปพอผมหยุดเงานั้นก็หยุดพอผมเดินเงานั้นก็เดิน ด้วยความโมโหปนกับความหนาวผมจึงเงยหน้าขึ้นมาผม...เห็นเงาสะท้อนที่อยู่ในนั้นเป็นเงาสะท้อนของคนที่กำลังก้มหน้าลง”

 “เมื่อผมเห็นเงานั้นผมก็เคลื่อนตัวหนีให้เขาผ่านอีกแต่ว่าเขาก็ยังคงเอาแต่เคลื่อนตัวตามผมอยู่อย่างนั้นผมทนไม่ไหวผมเลยหันหลังกลับไป...แต่คราวนี้ผมไม่เจอใครยืนอยู่ข้างหลังผมแถมความหนาวนั้นยังค่อยๆ จางไป ผมมั่นใจว่าไม่มีทางที่ใครสักคนจะวิ่งได้เร็วขนาดนั้น ความตกใจทำให้ผมรีบเดินออกจากตรงนั้น”

 “แต่สุดท้ายเงาดำนั้นก็กลับมาอยู่ที่ทางข้างหลังของผมอีกครั้ง...ผมพยายามที่จะไม่หันหลังกลับไปแต่...ความเย็น...ใช่ความเย็นที่แผ่มาจากทางด้านหลังมันหนาวมาก หนาวกว่าครั้งแรกมือของผมที่ถือกระดาษที่อยู่ของคุณเอาไว้มันสั่นเพราะความหนาวกระดาษแผ่นนั้นจึงล่วงลงพื้นและปลิวไปทางด้านหลัง”

 “ผมหันไปก้มเก็บกระดาษแผ่นนั้นกลัวว่าลมจะพัดมันปลิวไปไกลมันทำให้ผมเห็นเขา ผมเห็นผู้ชายคนนั้นเดฟ”แฟรงค์หยุดเรื่องเล่าเอาไว้ตรงนี้พร้อมกับเลื่อนสายตาไปทางคุณจอห์นที่สะดุดลมหายใจที่ได้ยินชื่อนั้น

 “คุณเล่าต่อเถอะผมโอเค”

 “แต่ภาพที่ผมเห็นเขาครั้งใหม่นี้มันไม่เหมือนกับภาพแรกที่พบเจอเขาครั้งนี้หน้าตาของเขาเต็มไปด้วยเลือด เลือดที่เอาแต่ไหลออกจากมุมปากและดวงตาของเขามันมีแต่เลือด ผมตกใจเลยรีบวิ่งออกมาโดยที่ไม่ได้ดูรถทำให้...”

“ไม่จริงไม่จริง มันต้องมีอะไรที่ผิดพลาด ไม่จริง!!”

 “เดี๋ยวสิคุณจอห์นแฟรงค์ยังเล่าไม่จบฟังต่อก่อนสิคุณ”

 “ต่อให้เล่าต่อมันก็ไม่ใช่อยู่ดีคุณแฟรงค์เห็นเดฟครั้งแรกก็เพราะว่ามาดักเจอเราสองคน” คุณจอห์นหันไปสบตากับแฟรงค์โดยตรงพร้อมกับตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง

 “คุณเหนื่อยจากการเดินทางคุณเข้าใจผิด คุณหึงแล้วคุณก็คิดไปเอง!!”

 “เฮ้ยแต่ผม...”

 “เดฟไม่ได้เป็นคนแบบนี้เขาไม่เคยจะทำร้ายใคร!! ยิ่งกับคนไม่รู้จักอย่างคุณเขายิ่งไม่มีวันเข้าไปยุ่ง!!”

 “อย่ามายุ่งกับผม!!”

ปัก!! คุณจอห์นปัดมือของทอมออกเมื่อเขาพยายามที่จะปลอบให้คุณจอห์นใจเย็นลงกว่านี้แต่แรงนั้นมันแรงเกินไปทำให้มือของเขาที่ถูกสบัดออกนั้นมันปัดไปโดนพ่อ แฟรงค์ลุกขึ้นยืนแต่พ่อดึงแขนแฟรงค์เอาไว้ได้ทันทำให้ทั้งสองคนไม่ต้องประจันหน้ากัน

“คุณจอห์น” //“เฮ้ยคุณมันจะมากเกินไปแล้วนะ”

 “ผมขอตัว”

หน้าของคุณจอห์นบ่งบอกถึงความตกใจคงไม่คิดว่าแรงสบัดมันจะแรงขนาดนั้นยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรคุณจอห์นก็เดินออกไปจากห้อง

ทอมไม่ได้เดินตามออกไปเพราะเขาเองก็ไม่เคยเห็นคุณจอห์นในอารมณ์นี้มาก่อนคุณจอห์นที่เคยเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นคนนั้นอยู่ที่ไหนเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องวุ่นวายนี้ขึ้นคุณจอห์นก็ ‘แปลงร่าง’เปลี่ยนไปเป็นอีกคนที่เขาไม่รู้จัก

หรือว่าที่จริงแล้วตัวตนที่แท้จริงของคุณจอห์นคือคนนี้คนที่เขาไม่คุ้นเคยแต่ที่ผ่านมาได้พยายามแปลงร่างเป็นคนใหม่ที่มีความอบอุ่น แบบนี้เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือคุณจอห์นตัวจริงแล้วใครคือคนที่‘แปลงร่าง’ มา

แล้วคุณเดฟละตัวตนที่แท้จริงคือคนไหนระหว่างคนที่คุณจอห์นพร่ำบอกว่าเป็นคนที่เก็บตัวเงียบเป็นคนจิตใจดีหรือ กับคนที่เขาและแฟรงค์รู้จักคนที่พร้อมจะทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ? คุณเดฟคือคนไหนกันแน่?


โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 25 Cliché
“แล้วแบบนี้เราสองคนจะเอายังไงกันต่อ? ดูท่าแล้วคุณจอห์นเขาคงไม่อยากที่จะฟังในสิ่งที่ลูกอยากจะบอก”

หลังจากที่คุณจอห์นพลุนพลันออกจากห้องไปห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอยู่สักพักจนกระทั่งพ่อทำลายความเงียบด้วยประโยคคำถามแต่ความเงียบก็ไม่ได้จากพวกเราไปง่ายๆ เมื่อคำถามของพ่อนั้นมันก็ดันเป็นคำถามที่เขากับแฟรงค์เองก็ไม่มีคำตอบ

“เรื่องเหล่านี้มันจะหายไปไหมถ้าลูกสองคนไม่ได้อยู่ที่นี่?”

“ไม่รู้สอครับพ่อ ผมไม่รู้เลย”

ที่ทอมบอกว่าไม่รู้เขาไม่ใช่แค่ไม่รู้ว่าถ้าแฟรค์กลับไปแล้วเรื่องเหล่านี้จะจบลงไหมแต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาสมควรตามเรื่องพวกนี้ต่อไปไหมเรื่องคุณเดฟมันจะช่วยให้อาการของแฟรงค์ดีขึ้นจริงรึเปล่าแล้วต่อให้เขารู้ว่าคุณเดฟต้องการอะไรแล้วมันจะช่วยอะไรแฟรงค์ได้ไหม

“แต่วันนี้ผมว่าผมโอเคตั้งแต่เช้ามาผมก็ยังไม่มีอาการอะไรเพราะงั้นผมว่าอย่าเพิ่งเครียดกันไปเลยครับ” แฟรงค์บีบมือเขาเพื่อยืนยัน

“ก็ดีเครียดมากไปเดี๋ยวก็ได้มีใครคนนึงไม่สบายอีก พ่อเบื่อโรงพยาบาลแล้วนะพ่อขอบอกเอาไว้ก่อนเลย อีกอย่างพ่อว่าวันนี้เราก็พักเรื่องพวกนี้เอาไว้ก่อนแล้วกันเหนื่อยกันมาตั้งหลายวันแล้ว”

พ่อตบบ่าของเราทั้งสองคนแล้วบีบไหล่ให้ผ่อนคลายซึ่งเขาเองก็เห็นด้วยกับพ่อเพราะต่อให้คิดต่อไปมันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

“เอ่อ ทอมผมอยากจะ…”

“งั้นวันนี้อยากออกไปเที่ยวที่ไหนกันไหมครับ? เดี๋ยวผมพาไป”

“ถ้าเรื่องไปเที่ยวพ่อขอบายเราสองคนไปกันเถอะพ่อขอนอนพักดีกว่าออกไปเที่ยวก็คงเที่ยวได้ไม่นานเดี๋ยวไม่สนุกเปล่าๆ”

“พ่อเป็นอะไรมากไหม?”

“ไม่ได้เป็นอะไรแค่เหนื่อยนะ นอนก็หายแล้วละ”

“งั้นพวกผมอยู่บ้านดีกว่าครับ”

“ไม่ต้องหรอกแฟรงค์ไปเดินเล่นกับทอมเถอะ ไหนๆก็มาแล้วอยู่ได้อีกไม่นานเดี๋ยวก็ต้องกลับไปทำงาน”   

“งั้นมื้อกลางวันพ่ออยากทานอะไรครับ? เดี๋ยวผมไปสั่งให้ร้านหน้าปากซอยให้เขามาส่งให้”


หลังจากที่พ่อสั่งมื้อกลางวันเสร็จพ่อก็เดินเข้าไปในห้องเพื่อเอนหลังนอน ส่วนทอมเขาเดินไปหยิบหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวของเมืองนี้มายื่นให้กับแฟรงค์พร้อมกับบอกให้แฟรงค์เลือกดูว่าอยากจะไปที่ไหน แฟรงค์ยอมรับหนังสือจากมือของเขาไปก็จริงแต่กลับวางลงที่โต๊ะหน้าโซฟาแทนการเปิดดูเนื้อหาที่อยู่ด้านใน

“ไม่ดูละว่าอยากไปที่ไหนถึงผมว่าที่ได้สักพักแล้วแต่ผมก็เพิ่งจะมีเวลาว่างได้ออกเที่ยวก็วันนี้นี่แหละเพราะฉะนั้นผมก็ยังไม่เคยไปไหนเหมือนกัน”

“ผมอยากคุยกับคุณ” แฟรงค์กระตุกที่ข้อมือของเขาเบาๆ เพื่อให้เขาลงนั่งที่โซฟาข้างกายของแฟรงค์

“พ่อนอนอยู่ในห้อง เอาไว้ทีหลังดีกว่า” เขายอมลงนั่งตามแรงกระตุกเบาๆ นั้นแม้ว่าจะเริ่มมีความรู้สึกอึดอัดพุดขึ้นมาจนทำให้ไม่อยากจะอยู่กับแฟรงค์ลำพังแค่สองคนก็ตาม

“เราลงไปหาที่ข้างล่างคุยกันก็ได้ถ้าไม่อยากกวนพ่อ”

“แต่คุณมาแค่ไม่กี่วันเองนะแฟรงค์คุณไม่อยากไปชมเมืองหรือไง?” ในเมื่อแฟรงค์ไม่ยอมเป็นคนอ่านเนื้อหาทอมเลยจัดการหยิบหนังสือมาเปิดดูสถานที่ที่คิดว่าแฟรงค์จะชอบไป

“นี่ไงแฟรงค์คุณชอบไปสวนสัตว์ไม่ใช่เหรอที่นี่คนสามารถ…”

ปึก แฟรงค์เอื้อมมือมาปิดหน้าหนังสือนั้นลงพร้อมกับหยิบมันออกไปจากมือของเขาและวางมันสู่ที่โต๊ะตัวเดิม

“ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเที่ยวคุณก็น่าจะรู้ทอม ผมมาที่นี่เพื่อที่จะมาคุยกับคุณ เราต้องคุยกัน”

“…”

“ทอมที่รักทำไมละทำไมคุณถึงไม่อยากพูดเรื่องนี้กับผมทำไม?”

“…”

“ผมกับลิสเรา…”

“ไม่ได้รักกัน”

“ใช่ทอมที่รักคุณก็รู้ ผมไม่ได้รักเขา”

“ไม่ผมไม่รู้แฟรงค์ ผมไม่รู้อะไรเลยแต่ที่ผมพูดออกไปเพราะผมรู้ว่าคุณต้องพูดประโยคนี้ประโยคที่มันซ้ำซาก ประโยคขึ้นต้นที่คุณจะยกเอามันขึ้นมาเสมอที่เราจะพูดเรื่องนี้กันผมเลยจำมันได้เพราะคุณเอาแต่พูดประโยคนี้”

“ที่ผมเอาแต่พูดประโยคเดิมๆ ซ้ำๆ ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริงไงทอม มันเป็นสิ่งที่ผมสามารถยืนยันกับคุณได้ตลอดเวลาว่าผมไม่ได้รักเขา”

“มันเป็นเรื่องจริงหรือว่าคุณแค่ท่องจำมันมา? พอเถอะ ผมยังไม่อยากฟังมัน”

“ทำไมละทอมทำไม?”

“ผมบอกแล้วไงว่าผมยังไม่พร้อมที่จะรับรู้อะไรและผมก็ขอเวลา”

“คุณก็เอาแต่พูดประโยคนี้ ขอเวลาและไม่พร้อม เท่าไหร่ละทอมเวลาเท่าไหร่ที่คุณต้องการ เท่าไหร่ที่จะพอให้คุณ เท่าไหร่ที่ถ้าผมให้ไปแล้วคุณจะกลับมาฟังแล้วเมื่อไหร่กันที่คุณจะพร้อมแล้วเปิดใจฟังผมบอกผมสิบอกผม”

“ผมจะไปรู้ได้ยังไงแฟรงค์ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่และเท่าไหร่มันถึงจะพอ? ที่ผมรู้ก็คือต่อให้ตอนนี้คุณพูดอะไรออกมาผมก็มีแต่คำถามและไม่สามารถเชื่อในสิ่งที่คุณพูด”

“…”

“แค่คุณบอกว่าคุณไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้นผมยังไม่เชื่อเลยแล้วคุณคิดว่าถ้าคุณพูดเรื่องอื่นขึ้นมาผมจะเชื่อในสิ่งที่คุณพูดไหม?”

“…”

“ถ้าคุณไม่อยากไปไหนคุณก็พักอยู่ที่ห้องไปแล้วกันเดี๋ยวผมจะออกไปซื้อของมาทำอาหารกลางวันให้”

ทอมรวบเอากระเป๋าสตางค์พร้อมกุญแจห้องเตรียมออกไปข้างนอก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าแฟรงค์มาที่นี่ทำไม เขารู้ว่าแฟรงค์คงมีอะไรอยากจะบอกอะไรกับเขาเพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็เท่านั้น

ทอมก็แค่อยากใช้ช่วงเวลาที่แฟรงค์อยู่ที่นี่มีความทรงจำที่ดีด้วยกันเพราะถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมต้องการให้แฟรงค์แต่งงานอย่างที่ยืนกรานมาตลอดอย่างน้อยเขาจะได้มีความทรงจำดีๆ หล่อเลี้ยงเขาให้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ เขาขอแค่ยืดเวลาในการฟังคำตัดสินออกไปทำไมแฟรงค์ถึงให้เขาไม่ได้ทำไมถึงยังเอาแต่ดื้อดึงจะพูดในสิ่งที่เขาไม่อยากที่จะฟัง

แล้วทำไมเขากับแฟรงค์ต้องมานั่งพูดอะไรที่ซ้ำซากแบบนี้อยู่ตลอดเวลาทำไมถึงไม่สามารถหลุดบทสนทนาที่วนไปแบบไม่มีทางออกนี้ได้สักที

“คุณไม่เคยฟังผมเลย” // ‘เขาไม่เคยฟังผมเลย’

เสียงสองเสียงที่ก้องขึ้นมาในห้องพร้อมกันมันทำให้ทอมชะงักเท้าที่ที่กำลังจะก้าวเดินออกไปจากห้องแล้วหันกลับไปมองแฟรงค์ที่กำลังนั่งมองมาทางเขาจากโซฟา

“เวลาที่ผมจะพูดอะไรคุณก็เอาแต่หนีคุณไม่เคยอยู่ฟังประโยคถัดไป” // ‘เวลาที่ผมจะพูดอะไรเขาก็เอาแต่หนีจนผมไม่สามารถพูดอะไรให้เขาได้ฟัง’

“ผมนึกว่าการพูดคุยคือส่วนหนึ่งของคนรักกัน” // ‘ผมเคยบอกเขาแล้วว่าความรักสำหรับผมคือการเปิดใจคุยกัน’

“ผมถามจริงๆ คุณเคยอยากให้โอกาสผมบ้างไหม? คุณเคยอยากเริ่มต้นใหม่กับผมบ้างไหม?” // ‘ผมอยากรู้จริงๆ ว่าเขาเคยคิดจะฟังความคิดกับความรู้สึกของผมบ้างไหม?’

“ต้องให้ผมทำอย่างไรคุณถึงจะฟังผม? // ‘ขนาดผมกำลังจะหมดลมลงตรงหน้าเขา เขายังไม่ฟังผมเลย’

“แฟรงค์!!”

ทอมปล่อยของทุกอย่างที่อยู่ในมือล่วงลงสู่พื้นวิ่งเข้าไปรวบกอดแฟรงค์เอาไว้เมื่อเห็นว่าแฟรงค์ลุกเดินจากโซฟาโดยที่สายตายังมองมาทางเขาแต่มันเป็นสายตาที่เลื่อนลอยแบบไม่มีการโฟกัสกำลังเดินถอยหลังไปที่ประตูระเบียงและเปิดมันออก

หมับ ทอมคว้าตัวของแฟรงค์เอาไว้ได้ทันก่อนที่แฟรงค์จะปีนขึ้นไปบนขอบระเบียง ทอมรั้งให้ร่างกายของแฟรงค์นั่งลงที่พื้นเขากอดแฟรงค์เอาไว้ทั้งตัวพยายามดึงตัวของแฟรงค์เข้ามาใกล้พร้อมกับคิดแค่ว่าถ้าเขาแค่เขาช้าอีกเพียงก้าวเดียว

“แฟรงค์ทำแบบนี้ทำไม ทำไม?”

“เขาไม่ฟังผม”

“คุณเดฟอย่าพรากเขาไปขอร้องอย่าพรากเขาไปจากผม แฟรงค์มองผมสิมองผมถ้าคุณมองมาที่ผมผมสัญญาผมจะยอมฟังแล้วผมจะฟังทุกอย่างที่คุณพูด ผมขอโทษ”

คำพูดของเขาทำให้สายตาของแฟรงค์กลับมามองที่เขาได้อีกครั้งด้วยตัวตนของแฟรงค์

“เขาอยู่ที่นี่ใช่ไหม? ผมรู้สึกถึงเขา”

“ใช่เขาอยู่ที่นี่”

ทอมว่าตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมคุณเดฟถึงได้เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของแฟรงค์และนั้นก็ไม่ใช่เพียงเพราะทั้งคู่ต่างเป็นเด็กกำพร้าเหมือนกันมันไม่ใช่แค่นั้น

“ผมขอโทษที่พูดทุกอย่างออกไปแบบนั้น ผมไม่สามารถห้ามในสิ่งที่ผมคิดได้เลยผมขอโทษทอมถ้าคุณยังไม่พร้อม ผม...”

“ไม่เป็นไรแฟรงค์คุณไม่ต้องขอโทษ ผมอยากฟังเรื่องของคุณ ผมพร้อมแล้ว”

ใช่เขาพร้อมแล้วเขาพร้อมที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไรก็ตาม เขาจะไม่ยอมให้ความกลัวที่คิดไปเองของเขามาทำให้ชีวิตของแฟรงค์ต้องพัง เขาจะไม่ยอมจมปรักอยู่แค่เพียงคำพูดวนเวียนในเรื่องเดิมๆ และวนอยู่ในปัญหาที่ไม่มีทางออกแบบนี้อีกแล้ว


TBC

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: บันทึกของทอม Day 25 Cliché #novelber2017 - 13/02/2018
«ตอบ #40 เมื่อ15-02-2018 07:45:14 »

มันสั้นไปนิดสำหรับเราแต่โอเคอยู่เข้าใจว่าจะพิมแต่ละหน้าใช้เวลา
นาน

รอนะจ๊ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: บันทึกของทอม Day 25 Cliché #novelber2017 - 13/02/2018
«ตอบ #41 เมื่อ19-02-2018 07:09:49 »

Day 26 ข่าวลือ
 
“ทอมที่รักคุณเงียบแบบนี้ผมใจไม่ดีเลย”

หลังที่ทอมได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากปากของแฟรงค์ตั้งแต่วันแรกที่สองคนนั้นเจอกันจนมาถึงวันก่อนที่แฟรงค์จะมาหาเขาที่เมืองนี้เขาก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถคิดถึงคำพูดที่ใช้แทนความรู้สึกของเขากับเรื่องราวนี้ได้

 “ผมไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไร”

จากแค่นั่งเฉยอยู่ในอ้อมกอดและฟังเรื่องราวตอนนี้เขากลับเอาหัวที่หนักอึ้งของเขาถูไปตามหัวไหล่ของแฟรงค์แล้วแฟรงค์คงรู้ถึงความหนักใจของเขาจึงเพิ่มแรงที่โอบกอดเขาเอาไว้ให้แน่นขึ้นพร้อมกับเอาปลายคางมาถูลงด้านบนของศรีษะของเขาไปตามแรงโยก

 “ไม่เป็นไรทอมไม่เป็นไร แค่วันนี้คุณยอมฟังผมก็ดีใจมากแล้ว”

เขากับแฟรงค์นั่งกันอยู่ที่ระเบียงตั้งแต่ช่วงสายจนเวลาเริ่มเข้าช่วงบ่ายของวันปล่อยให้ความคิดที่ยังไม่ถูกจัดให้เป็นระเบียบปลิวไปตามแรงลม

“คุณรู้ไหมทำไมผมถึงไม่เคยอยากที่จะฟังคุณ?”

“ทำไมเหรอครับ?”

“เพราะผมกลัวแฟรงค์ผมกลัวว่าคุณจะขอให้ผมอยู่เคียงข้างคุณโดยที่ยังมีเขาคนนั้น ผมกลัวคุณต้องแต่งงานเพราะลูกถ้าเป็นแบบนั้นผมคงทำใจไม่ได้”

“โธ่ ที่รัก”

เขาทั้งสองคนนั่งกันอยู่ตรงนี้จนมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นบอกว่าอาหารกลางวันสำหรับพ่อมาส่งทางด้านล่างของตึกแฟรงค์ถึงได้ยอมละอ้อมกอดและอาสาลุกไปทำอะไรง่ายๆ เป็นมื้อกลางวันสำหรับเขาทั้งสองคนในขณะที่เขาหลังจากลงไปเอาข้าวทางด้านล่างของตึกก็ตรงไปที่ห้องแล้วหวังว่าจะปลุกให้พ่อขึ้นมาทานข้าว

 “พ่อครับ...อ้าวผมก็นึกว่าพ่อนอนอยู่”

 “นอนไปแล้วเพิ่งตื่นมานั่งอ่านหนังสือไม่นานเอง”

 “งั้นออกไปทานข้าวกลางวันกันเถอะครับพ่อข้าวมาแล้ว”

พ่อปิดหนังสือที่กำลังนั่งอ่านอยู่ที่หัวเตียงลงแล้วตบมือลงบนเตียงที่ข้างๆ และพ่อจะทำแบบนี้ทุกครั้งถ้ามีเรื่องต้องการจะคุยกับเขา 

“เป็นยังไงบ้างลูกได้คุยกับแฟรงค์รึยัง?”

 “พ่อได้ยินเหรอครับ?”

 “เปล่าพ่อไม่ได้ได้ยินที่ลูกสองคนคุยกันแต่พ่อรู้เรื่องที่แฟรงค์จะมาพูดกับลูก”

 เสียงที่เขาใช้เปล่งประโยคนี้มันชั่งเบาจนเหมือนว่าเขาต้องการที่จะพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา

 “แฟรงค์บอกว่าเขาจะช่วยคุณลิสเลี้ยงลูกถ้าเกิดผมยินยอมแบบนี้ถ้าผมไม่ยินยอมเพราะผมกลัวว่าเขาสองคนจะมีเหตุการ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกก็เท่ากับว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้เด็กคนนั้นมีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ใช่ไหมครับพ่อ?”

 “...”

 “วันนั้นแฟรงค์เขาเล่าอะไรให้พ่อฟังบ้างครับ? แล้วพ่อ...เชื่อเขาไหม?”

 “รู้ไหมสำหรับพ่อแล้วอะไรที่น่ากลัวที่สุดสำหรับการใช้ชีวิต?” พ่อยกมือขึ้นมาลูบหัวของเขาก่อนที่จะเอ่ยคำถามที่เขาไม่รู้ถึงที่มาของคำถามนั้นเลยด้วยซ้ำเขาจึงใช้เวลาคิดก่อนที่จะตอบคำถามของพ่อ

“พ่อหมายถึงชีวิตคู่เหรอครับ?”

“พ่อหมายถึงเรื่องทั่วๆไปนะ”

“อื้มม....”

นั้นสินะสำหรับพ่อแล้วอะไรคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการใช้ชีวิต? การไม่มีเงินเหรอ? ก็ไม่น่าใช่การที่อยู่โดยไร้ญาติขาดมิตร? มันก็ไม่ใช่อีกนั้นแหละ แล้วนั้นสิมันคืออะไรเมื่อพ่อเห็นว่าเขาเงียบไปนานพ่อจึงเป็นคนเฉลยคำตอบขึ้นมาเอง

“สำหรับพ่อคือเรื่องการไม่คุยกันต่อหน้ารู้ไหมว่าทำไม?”

“...” ทอมส่ายหน้าเป็นคำตอบ 

“การไม่คุยกันมันไม่ได้ช่วยให้ความอยากรู้ของเราน้อยลงนิจริงไหมลูก?”

 “...”

 “งั้นก็หมายความว่าเราก็ต้องไปตามหาสิ่งที่เราอยากรู้จากที่อื่นในกรณีของลูกตอนนี้ลูกกำลังมาหาข้อมูลเพิ่มเติมจากพ่อว่าพ่อรู้ไหมว่าแฟรงค์เขาคิดยังไงแล้วถ้าเกิดคนนั้นไม่ใช่พ่อละลูกจะเชื่อที่คนอื่นพูดทั้งหมดเหรอ? ถ้าเขาบอกว่าแฟรงค์คิดแบบนี้บอกเขาแบบนี้ลูกก็จะเชื่อคนอื่นคนนั้นเหรอ?”

 “...”

 “การที่ลูกฟังคนอื่นมันต่างอะไรที่ลูกไปฟังเอา ‘ข่าวลือ’ ที่คนอื่นเขาแค่ได้ยินมาแถมบางทีข่าวลือนั้นอาจมีการแต่งเติมเสริมแต่งความเห็นของเขาลงไปด้วย”

 “ผมก็แค่...ไม่สามารถฟังเขาได้คนเดียวผมกลัวเขาโกหก ผมกลัวเขาปิดบังเหมือนที่ผ่านมา ถ้าเป็นแบบนั้นการฟังเขาแค่เพียงคนเดียวก็เท่ากับว่าผมกำลังปิดตาของตัวเองผมกลัวว่าผมจะโง่และตัดสินใจพลาด”

 “ฟังพ่อนะทอมเรื่องแบบนี้ไม่มีใครสามารถเข้าใจและรู้เรื่องราวทั้งหมดไปได้ดีไปกว่าคนที่ได้อยู่ในเรื่องราวอย่างเรื่องนี้ก็มีเพียงแค่ลูกแฟรงค์และคุณลิสเพราะฉะนั้นถ้าลูกอยากรู้ความจริงไม่อยากตัดสินใจผิดพลาดลูกก็ต้องทำใจให้เป็นกลางลองเปิดใจรับฟังเรื่องจากเขาทั้งสองคนและลองเอามาคิดกันว่าควรทำอย่างไรต่อไป”

 “...”

 “แล้วถ้าถึงเวลานั้นเวลาที่ลูกได้ฟังความจริงจากปากของทุกคนโดยที่ไม่ผ่านการแต่งเติมมาจากใครคนอื่นแล้วลูกยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไปวันนั้นพ่อสัญญาว่าพ่อจะเป็นคนที่อยู่ข้างๆ ลูกช่วยลูกคิดเอง”

 “ขอบคุณครับพ่อ”

 “ไปกินข้าวกันเถอะป่านนี้ข้าวเย็นหมดแล้วมั้ง”

หมับก่อนที่เขาจะปล่อยพ่อไปทานมื้อกลางวันเขาก็คว้าพ่อมากอดเอาไว้และทันทีที่เขาได้ความอบอุ่นจากพ่อเขาก็คิดได้ว่ามันนานมากแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้กอดพ่อแบบนี้ โชคดีของเขาจังที่เขามีใครสักคนเข้าใจและคอยให้คำแนะนำ ทอมซึบซับเอาความอบอุ่นนี้เอาไว้ก่อนที่จะออกไปประเชิญกับความเป็นจริง

หลังจากมื้อกลางวันผ่านพ้นไปพ่อก็เอ่ยปากขอตัวออกไปเดินเล่นแถวที่พักคนเดียวโดยให้ข้ออ้างว่าถ้าพวกเขาไปด้วยพ่อจะไม่กล้าเดินตามใจตัวเองและต้องคอยมาพะวงพวกเขาที่ต้องมาเดินตามมีแต่แฟรงค์ที่คอยตื้อพ่อว่าอยากจะไปด้วยเพราะเป็นห่วงถ้าพ่อต้องเดินคนเดียวกลัวว่าจะหลง

 “ทอมคุณเราตามพ่อไปกันเถอะ”

“ไม่เป็นไรหรอกให้พ่อไปคนเดียวเถอะ”

แต่เพราะทอมรู้ว่าพ่อต้องการเปิดทางให้เขาได้เคลียร์เรื่องนี้ให้จบเขาเลยไม่ได้ขวางพ่อเอาไว้ได้แต่ส่งมือถือของตัวเองที่เช้คดูแล้วว่ามีแบตเหลือมากกว่าครึ่งให้พ่อพร้อมกับกดเบอร์ของหอพักเอาไว้เป็นเบอร์แรก

 “เดินเข้าไปในซอย5 นาที มีร้านกาแฟอร่อยมากขอบคุณครับพ่อ” พ่อหัวเราะเสียงดังใส่เขาก่อนที่จะเดินออกไป

 “แฟรงค์...คุณให้ผมคุยกับคุณลิสได้ไหม?”

“ได้สิได้คุณสามารถโทรตรงจากเครื่องของคุณหรือของผมก็ได้”

แค่เพียงพ่อออกไปจากประตูห้องทอมก็ไม่รอช้าหยิบโทรศัพท์ของแฟรงค์ขึ้นมากดโทรตรงไปที่เบอร์ของคุณลิสพร้อมกับเดินออกมาที่ระเบียงโดยที่ไม่ให้แฟรงค์ออกมาด้วยเพียงเสียงเรียกเข้าดังขึ้นไม่กี่ครั้งคุณลิสก็กดรับสายของเขา

 “สวัสดีแฟรงค์คุณมีอะไร?”

 “สวัสดีครับผมทอมนะครับผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ...”

 “...”

 “เรื่องของคุณกับแฟรงค์และลูกของคุณทั้ง2 คนไม่ทราบว่าคุณสะดวกคุยไหมครับ?”

 “ได้ค่ะ”

เรื่องเล่าที่ออกมาจากปากของคุณลิสไม่มีส่วนไหนที่แตกต่างจากสิ่งที่ออกมาจากของแฟรงค์สักนิดทอมใช้เวลาคุยเพียงไม่นานก็วางสายจากเธอ สายตาที่แฟรงค์มองมาที่เขาจากในห้องเป็นสายตาของคนรอคอยคำตอบแต่ไม่ใช่สายตาของคนที่เป็นกังวล ถ้าให้พูดแล้วหลังจากวันนั้นที่เขาจับได้ว่าแฟรงค์กำลังโกหกเขาก็ไม่เคยเห็นสายตาแบบนั้นของแฟรงค์อีกเลยสายตาของคนกลัวและกังวลว่าจะมีใครรู้ความลับของตัวเอง

และด้วยสายตาอันนี้วันนี้ของแฟรงค์นี่เองที่ทำให้เขามั่นใจได้ว่าแฟรงค์ไม่ได้ปิดบังอะไรเขาอีกแล้วคราวนี้ก็เหลือแค่เขาแล้วละว่าจะสามารถให้อภัยกับคนรักของเขาที่ทำพลาดไปได้รึไม่

‘คุณเดฟ’

ม่านตาของเขาขยายพิ่มขึ้นเมื่อภาพในสายตาของเขาในตอนนี้ที่เก้าอี้โซฟาตัวนั้นไม่ได้มีเพียงแค่แฟรงค์อยู่เพียงคนเดียวแต่ยังมีใครอีกคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของแฟรงค์และกำลังมองตรงมาที่เขาภาพนั้นที่เขาเห็นทำให้เขารีบวิ่งกลับเข้าไปทางด้านในห้องเพราะเขากลัวเหลือเกินว่าคุณเดฟจะทำร้ายแฟรงค์เหมือนที่ผ่านมาแต่เขาก็ต้องชักมือออกจากที่จับบานเลื่อนของประตูระเบียงเพราะมันหนาวจัดเหมือนเขากำลังสัมผัสไปที่ก้อนน้ำแข็ง

แต่เมื่อเขาได้มองเข้าไปทางด้านในอีกทีเขาก็รู้สึกได้ว่าวันนี้มันไม่เหมือนกับวันอื่นบรรยากาศที่อยู่รอบตัวของคุณเดฟนั้นมันไม่ได้เป็นบรรยากาศของการจ้องจะทำร้ายกันอย่างที่ผ่านมาแต่มันเป็นบรรยากาศของความยินดี

 “คุณโอเคไหมทอม?”

แฟรงค์คงเห็นเขายืนนิ่งที่หน้าประตูแต่ไม่ยอมเปิดเข้ามาเสียทีถึงได้เดินมาเปิดประตูและดึงตัวเขาเข้ามาทางด้านในเขากำลังจะเอ่ยปากบอกกับแฟรงค์ว่าเขาเห็นคุณเดฟอยู่ตรงนั้นแต่พอเขาเข้ามาด้านในตัวห้องคุณเดฟก็หายไปจากตรงนี้แล้ว

 “ไม่มีอะไร...ผมโอเค”

 “แล้วทอมคุณ...”

 “เอาเป็นว่าตอนนี้ผมเชื่อในสิ่งที่คุณพูดแฟรงค์ผมเชื่อคุณ”

 “ขอบคุณครับ ขอบคุณ”

แฟรงค์ดึงตัวเขาเข้าไปกอดเอาไว้แน่นด้วยความดีใจ น้ำตาที่ไหลออกมาจากความโล่งอกของแฟรงค์กำลังเปียกชื้นไปเต็มพื้นที่ที่หัวไหล่ของเขาแต่ทอมก็ไม่คิดที่จะเช็ดมันออกเขาปล่อยให้แฟรงค์ได้ระบายความอึดอัดความกังวลลงที่ไหล่ของเขา

 “แต่ผม...ยังไม่ได้แน่ใจ100 เปอร์เซ็นต์เรื่องว่าผมจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม”

 “ทอม คุณหมายความว่าคุณจะเลิก..?” แรงกอดมันถูกรัดแน่นขึ้นจนเขาเกือบหายใจไม่ออก

“ผมไม่ได้พูดว่าจะเลิกแฟรงค์” ทอมเอามือข้างนึงที่กำลังกอดตอบยกขึ้นลูบหัวของแฟรงค์เพื่อให้แฟรงค์ใจเย็นลง

 “แต่การให้ผมลืมไปทุกอย่างแล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยทำเหมือนว่าที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนั้นผมไม่รู้ว่าผมจะทำได้ดีแค่ไหนอีกอย่างคุณต้องเลี้ยงดูลูก”

 “...”

“แฟรงค์คุณต้องให้เวลาผม ผมอาจจะไม่สามารถลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในภายในวันนี้อาทิตย์นี้แต่ผมจะพยายาม...คุณละคุณจะพยายามอดทน จะรอจนกว่าผมจะกลับมาเป็นทอมคนเดิมของคุณได้ไหม?”

 “ได้สิได้ ได้สิที่รักผมรอได้แค่เพียงคุณบอกว่าคุณยอมให้โอกาสผมผมยอมได้หมด”

 “อีกเรื่อง...เรื่องลูก...ผมโอเคนะและผมก็ยินดีที่คุณจะช่วยกันกับลิสเลี้ยงดูผมไม่มีปัญหาขอแค่เพียงคุณรับปากว่าคุณจะไม่...ทำแบบนั้นกับผมอีก”

 “ผมรับปาก ผมรับปาก ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก ผมจะไม่มีวันทำพลาดแบบนั้นเป็นครั้งที่สองแล้วทอมที่รักมันจะไม่มีวันนั้น”

ในขณะที่เขายังอยู่ในอ้อมกอดของแฟรงค์สายตาของเขาก็หันไปเจอกับสายตาของพ่อที่กำลังยืนดูเหตุการณ์อยู่ที่หน้าประตูห้องเขาขยับปากเป็นคำว่า ‘ขอบคุณครับ’ แบบไม่มีเสียงส่งออกไปให้กับพ่อ พ่อพยักหน้ารับรู้ก่อนที่ชูแก้วกาแฟอีก 2แก้วขึ้นโชว์ให้เขาดู

 “แฟรงค์ พ่อกลับมาแล้วแนะ”

แฟรงค์ยอมปล่อยอ้อมกอดเดินไปล้างหน้าล้างตาแล้วก็เดินกลับมาร่วมวงบทสนทนาที่พ่อกำลังเล่าเกี่ยวกับการเดินเล่นให้ฟัง ทอมเอ่ยขอบคุณพ่ออีกครั้งแต่เขาไม่ได้ขอบคุณกาแฟที่ได้ฝากมาแต่เขาขอบคุณที่พ่อพลักดันให้พูดคุยกับความจริงแทนที่จะไปพึ่งการตัดสินใจจากข่าวลือ


TBC

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 27 น้ำมันพราย
 
“พ่อกลับเมื่อไหร่ก็ได้เพราะพ่อไม่ได้จองตั๋วขากลับไว้”

 “งั้นพ่อจะเดินทางกลับพร้อมผมไหมครับ? หรือว่าพ่ออยากอยู่ต่อกับทอมก่อน?”

ทำไมนะช่วงเวลาที่มีความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมออย่างเช่นในตอนนี้ที่เขาเพิ่งจะได้ปรับความเข้าใจกับแฟรงค์และเพิ่งได้นั่งพูดคุยพร้อมหน้ากันทั้ง 3 คนก็ถึงเวลาที่ความสุขของเขากำลังจะผ่านไปเมื่อโทรศัพท์ของแฟรงค์มีสายเรียกเข้าจากที่ทำงานเพื่อถามถึงตารางการเดินทางกลับละวันที่แฟรงค์พร้อมเริ่มงานเพราะนี่ก็เลยเวลาที่แฟรงค์ขอลาเอาไว้มาหลายวันแล้ว

“แล้วเราจะกลับวันไหนละ?”

“ก็คงต้องเร็วที่สุดครับพ่อเป็นไปได้อาจจะต้องเป็นพรุ่งนี้เพราะถ้ากลับช้ากว่านี้ผมอาจจะโดนไล่ออก”

การไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันอย่างมีความสุขก็เป็นเรื่องนึงที่แอบเสียดายแต่เรื่องที่ทอมเสียดายที่สุดคือเขาไม่มีโอกาสได้พาทั้งพ่อและแฟรงค์ไปเที่ยวตามสถานที่สำคัญๆ ในตัวเมืองเลยทั้งที่สองคนอุตส่าห์มาทั้งทีกลับได้อยู่แค่ที่โรงพยาบาลกับที่ห้องของเขา

“อย่าทำหน้าแบบสิคุณทำหน้าแบบนี้ผมไม่อยากกลับพอดี” แฟรงค์หันมาโยกหัวของเขาเล่นเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มนั่งเงียบตั้งแต่ที่ทั้งสองคนเริ่มคุยกันเรื่องวันกลับบ้าน

“แฟรงค์ต้องรีบกลับไปทำงานแล้วพ่อละครับไม่อยู่เที่ยวต่อเหรอ? อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว”

“อย่ามาลงที่พ่อไม่ต้องมาอ้อนแบบนี้ถ้าพ่ออยู่เที่ยวต่อแล้วใครจะอยู่กับย่าเรา? ที่ไหว้วานเขาไว้ก็กระทันหันบอกเขาไว้ว่าไม่เกินสามสี่วัน อีกอย่างหายมาหลายวันแบบนี้กลับไปยังไม่รู้จะเดินเข้าบ้านได้หรือเปล่าเลยย่าเรานะสั่งเปลี่ยนกุญแจบ้านไปหมดแล้วรึยังก็ไม่รู้”

ก็จริงอย่างที่พ่อว่าหายมาทั้งสองคนแบบนี้ไม่รู้ว่าป่านนี้ย่าจะน้อยใจเขากับพ่อไปถึงไหน ในเมื่อเขาไม่สามารถรั้งคนทั้งสองเอาไว้ได้เพราะต่างคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเขาก็ไม่ควรทำตัวเป็นเด็กขี้เหงาแล้วทำให้ทุกคนลำบากใจโดยการทำตัวเลิกหงอยแล้วก็เริ่มช่วยแฟรงค์โทรติดต่อหาตั๋ว

โชคดีที่ช่วงนี้ไม่ใช่หน้าท่องเที่ยวของเมืองนี้ทำให้หาตั๋วเดินทางได้ไม่ยากเพราะฉะนั้นแม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงเกือบเย็นแต่เขาก็ยังสามารถหาตั๋วสำหรับทั้งสองคนในเวลาเที่ยงของวันพรุ่งนี้ได้และแม้ว่าจะจองแบบกระทันหันราคาที่ได้มาก็ไม่แพงไปกว่าราคามาตรฐานมากนัก

หลังจากจัดการเรื่องของตั๋วเสร็จทอมก็ทิ้งให้ 2 คนนั้นจัดข้าวของเตรียมตัวเดินทางส่วนเขาก็ปลีกตัวมาโทรไปจองโต๊ะที่ร้านอาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้ ที่ทอมเลือกร้านนี้ไม่ใช่แค่เพราะร้านดังแต่อาหารยังอร่อยแถมยังตั้งอยู่ใจกลางเมืองพอดีอย่างน้อยช่วงก่อนทานอาหารทั้งสองอาจคนจะได้เดินดูอะไรแถวในเมืองบ้าง

“สรุปแล้วลูกคิดว่าคุณเดฟเขาต้องการจะให้ลูกฟังในแฟรงค์อยากจะพูดกับลูก?”

อาหารคาวผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่ใช่เพราะว่าพวกเรารู้สึกหิวมากแต่มันเป็นเพราะอาหารร้านนี้อร่อยสมคำร่ำลือในช่วงที่เรากำลังนั่งพูดคุยไปเรื่อยเปื่อยเพื่อรอของหวานมาเสริฟพ่อก็เอ่ยปากถามเรื่องของคุณเดฟขึ้นมา

“ผมคิดว่านะครับพ่อ”

“งั้นแบบนี้เขาก็จะไม่มาวุ่นวายกับลูกทั้งสองคนแล้วใช่ไหม?”

“ก็คงงั้นมั้งครับ”

“ดีแล้วๆ ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ ทอมพ่อขอเตือนนะลูกก็อย่าเข้าไปยุ่งเรื่องพวกนี้อีกเพราะนอกจากพ่อว่ามันจะมีแต่เรื่องแปลกๆแล้ว คุณจอห์นอะไรนั้นดูท่าแล้วเขาก็คงไม่อยากที่จะพูดเรื่องนี้เท่าไหร่นัก”

“ครับพ่อ”

“ทอมคุณมีอะไรรึเปล่า?”

“เปล่าๆผมไม่เป็นไร”

“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลยทอม”

“ไม่มีอะไรหรอกเออ ว่าแต่นี่กลับไปถึงโน้นคุณก็ต้องเริ่มงานเลยเหรอ...”

อย่างที่พ่อพูดก็ถูกเรื่องมันจบลงได้ด้วยดีแบบนี้แล้วเขาก็ไม่สมควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้อีกแต่สายตาของคุณเดฟที่มองมาที่เขาเมื่อช่วงสายนั้นมันทำให้เขาไม่สามารถที่จะทิ้งเรื่องนี้ไปเฉยๆ ได้เขาไม่สามารถที่จะเก็บเรื่องราวทั้งหมดนั้นเอาไว้ที่ตัวเพียงคนเดียวปล่อยเอาไว้แบบนั้น

“ว่าแต่รับปากพ่อก่อนทอมว่าลูกจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องราวนั้นอีก”

“โธ่ พ่อครับจนผมมาพูดเรื่องอื่นแล้วพ่อก็ยังจะกลับมาเรื่องนี้ผมว่าพ่อกับย่าเนี่ยน่าจะนิสัยเหมือนกันมากเลยนะครับ”

“พูดอย่างนี้เราหมายความว่ายังไงทอมหาว่าพ่อแก่รึไง?”

“เปล๊าน่าผมเปล่าแฟรงค์คุณว่าพ่อผมแก่ไหมละ?”

“ทอม อย่าเอาผมเข้าไปยุ่งสิครับ”

ทอมพยายามเปลี่ยนบทสนทนาบนโต๊ะอาหารให้เป็นเรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับคุณเดฟเพราะเขาไม่อยากที่จะโกหกพ่อแล้วเขาก็ไม่อยากรับปากแต่ทำไม่ได้ละก็โชคดีที่ทุกคนยอมลื่นไหลไปกับบทสนทนาใหม่นั้น

 
“ดูแลตัวเองดีๆละ”

“เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับพ่อแฟรงค์ฝากพ่อด้วยนะ”

“ได้เลยครับ”

“ถึงแล้วโทรมาด้วย”

“คุณจะยอมรับโทรศัพท์จากผมแล้วเหรอ?”

“อื้ม”

“งั้นผมไปแล้วครับ”

ตั้งแต่วันที่พ่อกับแฟรงค์กลับไปวันนี้ก็เข้าวันที่ 3 แล้วที่เขาไม่สามารถติดต่อคุณจอห์นได้ไม่ว่าจะพยายามโทรไปหาเท่าไหร่ก็จะเป็นสัญญาณปิดเครื่องในตอนเช้าก็ไม่เจอคุณจอห์นที่ร้านกาแฟเหมือนเคย จะไปหาที่ทำงานเขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าคุณจอห์นทำงานอยู่ที่ตึกไหนและพอหลังเลิกงานเขาไปรอคุณจอห์นที่ใต้ตึกที่พักเขาก็ไม่เคยเจอกับคุณจอห์น

 ‘เฮ้อ’ ลมหายใจถูกปล่อยทิ้งเพราะดูเหมือนว่าวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ความตั้งใจของเขามันสูญเปล่าเขานั่งรอมาตั้งแต่ตอนยังไม่หกโมงครึ่งจนตอนนี้เวลาก็ผ่านไปถึง2 ทุ่มแต่เขาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคุณจอห์น

 “นั้นมัน...”

ก่อนที่ทอมจะถอดใจกลับห้องเพื่อไปตั้งหลักใหม่หางตาของเขาก็เห็นใครบางคนที่เขาเคยเห็นหน้าพอจ้องมองดีๆ ถึงเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นคือคุณแม่ของคุณจอห์นนั้นเอง ขาของเขามันก้าวออกไปเร็วอย่างใจคิดไปหยุดที่หน้าของแม่ของคุณจอห์น

“สวัสดีครับผมชื่อทอมเป็นเพื่อนกับจอห์นครับ”

“สวัสดีค่ะไม่เห็นเคยเห็นหน้ามาก่อนเลยรู้จักกับตาจอห์นด้วยเหรอจ๊ะ?”

“ครับผม”

“แล้วคุณรู้จักดิฉันได้ยังไงคะ?เหมือนว่าเราจะไม่เคยเจอกันมาก่อนใช่ไหมจ๊ะ?”

“เอ่อ พอดีจอห์นเอารูปคุณน้ามาให้ดูครับผมเลยจำได้”

ไม่ใช่หรอกคุณจอห์นไม่เคยเอารูปของแม่ตัวเองมาให้เขาดูแต่ในภาพฝันที่นั้นทอมจำได้ว่าเขาเห็นรูปของผู้หญิงคนนี้ที่ถ่ายคู่กับคุณจอห์นถูกแขวนติดเอาไว้ในบ้านหลังนั้นและตอนที่สองคนนั้นทะเลาะกันคุณเดฟได้ชี้รูปนั้นโดยระบุว่าเปนแม่ของคุณจอห์น

“อ้อแบบนี้นี่เอง ว่าแต่เรามาเยี่ยมตาจอห์นเหรอจ๊ะ?”

“ครับผมมาเยี่ยมเขา”

“งั้นขึ้นไปพร้อมฉันก็ได้จ๊ะ”

“ขอบคุณครับ”

เปิดห้องมาทอมก็ผงะไปกับไอร้อนที่ตีออกมาตามลมจนเขาต้องปลดกระดุมเม็ดเสื้อบนออกเพื่อให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น

“นั่งรอตรงนี้ก่อนก็ได้จ๊ะเดี๋ยวแม่เข้าไปเรียกตาจอห์นออกมาให้”

“ครับ”

‘คุณเดฟ’ ขาของทอมที่กำลังก้าวไปนั่งที่โซฟาชะงักข้างไว้เมื่อภายในห้องนี้ไม่ได้มีเพียงเขาคุณจอห์นและแม่ของคุณจอห์นแต่ยังมีคุณเดฟที่นั่งอยู่ตรงโซฟาอยู่ด้วย แต่การที่เขาเห็นว่าคุณเดฟในวันนี้มันไม่ได้ทำให้เขากลัวเหมือนอย่างเคยอาจจะเพราะเขารู้แล้วว่าคุณเดฟมีความตั้งใจดีกับเรื่องของเขาที่เขาชงักก็เพียงแค่ตกใจเพราะไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ว่าจะได้เจอ เมื่อทอมปรับความตกใจของตัวเองได้แล้วเขาจึงเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับคุณเดฟ

 “สวัสดีครับ”

คุณเดฟไม่มีปฎิกริยาตอบรับจากการทักทายคุณเดฟยังคงเอาแต่จ้องมองไปที่ประตูบานนั้นจนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าคุณเดฟได้ยินเสียงของเขารึเปล่าเขาจึงคิดจะลองเรียกอีกครั้งแต่เสียงที่รอดออกมาจากในห้องนอนก็ทำให้ทอมเบี่ยงความสนใจเข้าไปทางด้านในแทน

เสียงที่รอดออกมามันเบาจนทอมไม่สามารถฟังเป็นศัพท์ได้สักคำเขาซึ่งกำลังตัดสินใจว่าจะเดินไปฟังที่หน้าประตูดีหรือจะนั่งรออยู่ตรงนี้เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็นเมื่อจู่ๆ ประตูห้องนอนบานนั้นก็ถูกแย้มออกและปรากฎภาพที่คุณจอห์นผู้ซึ่งถูกมัดอยู่กับเตียงกำลังโดนกรอกอะไรสักอย่างเข้าปาก

“เฮ้ย”

ความมีมารยาทถูกปัดตกทิ้งไปกับภาพนั้นทอมลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปในห้องไปยืนกั้นระหว่าง 2 คนเอาไว้โดยที่ไม่ได้สนว่าคนที่กำลังกรอกอะไรสักอย่างเข้าปากนั้นจะเป็นถึงแม่ของคุณจอห์นเองก็ตาม

“นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นครับ?”

“เธออย่ามายุ่งมันไม่ใช่เรื่องของเธออกไปฉันจะรักษาลูกของฉัน”

“ยาเหรอครับ?”

“ใช่ยา”

“ไม่ใช่ทอมนั้นไม่ใช่ยา”

“มันคือยาแกกินเข้าไปซะจะได้หายๆ ซะทีไอ้พวกผีบ้ามันจะได้ไม่ต้องเข้ามาใกล้แกอีก”

“เดฟเขาไม่ใช่ผีบ้า!!”

“ขนาดมันตายไปแล้วแกยังหลงมันอยู่อีกเหรอไงหะ?? ฉันอยากจะรู้จังว่ามันใช้น้ำมันพรายของสำนักไหนกันมันถึงสามารถทำให้แกเป็นขนาดนี้ได้ตายไปแล้วยังทำให้หลงอยู่ได้”

“แม่อย่ามาพูดแบบนี้นะ”

“กินน้ำนี้เข้าไปซะกินเข้าไปไอ้น้ำมันพรายของต่ำพวกนั้นมันจะได้ออกไปจากแกซะที”

“ไม่มีใครทำอะไรผมทั้งนั้นนอกจากแม่ก็เพราะแม่ไม่ใช่เหรอไงที่ทำให้ผมต้องโกหกคนอื่นทำให้เดฟเขาต้องตายแบบไม่ได้รับความเป็นธรรมก็เป็นเพราะแม่ไม่ใช่รึไง??!!??”

เพี้ย!!

“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!!”

หลังจากที่ฝ่ามือของคุณแม่ฟาดลงบนใบหน้าของลูกตัวเองเสียงทะเลาะทุกอย่างก็เงียบลงความเงียบเข้าปกคลุมเป็นเวลานานและมันก็นานพอที่จะทำให้ทอมสังเกตุเห็นว่าคุณเดฟกำลังยืนมองดูเหตุการณ์ด้วยสายตาที่เศร้าสร้อยอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน

“ฉันจะไม่ถือสาสิ่งที่แกพูดออกมาแล้วกันเพราะแกกำลังไม่สบายวันนี้ฉันกลับก่อนละ”

คุณแม่กลับออกไปแล้วและเมื่อทอมได้มองออกไปที่หน้าประตูคุณเดฟก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน ทอมนั่งลงที่เตียงแล้วจัดการแก้มัดข้อมือทั้งสองข้างที่ถูกผูกติดกับเตียงออกให้คุณจอห์น

“ขอบคุณครับคุณทอม”

“คุณอยากทานอะไรไหม? น้ำ?”

“ไม่เป็นไรครับผมโอเค”

“คุณจอห์นครับ”

“...”

“ผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณ”


TBC

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 28 Beasts

“คุณจะมาพูดเรื่องที่เดฟเขาทำร้ายคุณแฟรงค์อีกแล้วใช่ไหม? ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมว่าคุณกลับไปก่อนเถอะครับ ผมไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรจริงๆ”

“งั้นผมถามได้ไหมว่าทำไมคุณถึงเชื่อว่าเขาไม่คิดจะทำร้ายแฟรงค์?”

“เพราะว่าเดฟไม่มีวันที่จะทำร้ายใครนะสิ ถ้าคุณรู้จักเขาคุณก็จะคิดแบบผม”

“แต่ดูเหมือนว่าแม่ของคุณไม่ได้จะคิดแบบนั้น ใช่ไหมครับ?”

คุณจอห์นมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจทอมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าคำถามนี้มันไม่น่าฟังแต่เขาก็ไม่หลบตาและไม่คิดที่จะถอนคำถามของตัวเอง

“ครับ แม่ไม่เคยเปิดใจมองเดฟตั้งแต่วันแรกที่ผมพาเดฟมาให้รู้จักจนถึงวันสุดท้ายแม่ไม่เคยเปิดใจมองคนนั้นในฐานะคนรักของผมเลย”

“ทำไมคุณแม่คุณถึงไม่ชอบคุณเดฟเหรอครับ?”

“จะมีพ่อแม่สักกี่คนที่ยอมให้ลูกของตัวเองพาผู้ชายอีกคนเข้าบ้านในฐานะของคนรัก อ้อ ลืมไปผมคงต้องยกเว้นที่บ้านของคุณเอาไว้เพราะดูแล้วเขาคงยอมรับในตัวตนของคุณ”

“เพราะแบบนี้คุณเลยออกมาอยู่คนเดียว?”

“ไม่ใช่หรอกครับผมออกมาหลังจากเดฟเขาเสีย ที่ผมตัดสินใจย้ายออกเพราะแม้ว่าเดฟจะไม่อยู่แล้วแม่ก็ยังคงมองว่าเดฟเป็นเหมือนพวกสัตว์ร้ายที่เข้ามาทำลายชีวิตของผม”

“...”

“ตอนที่เดฟยังอยู่แม่เที่ยวไปเล่าให้ใครต่อใครฟังว่าเดฟเข้ามาหาผมเพราะผลประโยชน์ น่าขำนะครับทั้งที่ครอบครัวของเราไม่ได้รวยมากมายทำไมแม่ถึงคิดแบบนี้ได้ก็ไม่รู้”

“อีกเรื่องแม่ไปปักใจเชื่อจากใครมาก็ไม่รู้ว่าเดฟทำของใส่ผม เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดฟเขายังไม่เสียเลยครับ”

“...”

“แล้วก็น่าแปลกที่ญาติของผมส่วนใหญ่เชื่อเรื่องไร้สาระพวกนี้ทำให้มีหลายคนมองเดฟในแง่ร้ายมองเดฟเป็นพวกมีจิตใจต่ำช้าเพราะไปเล่นมนต์ดำอะไรพวกนั้น หึ ทั้งที่ไม่มีใครเคยเข้ามาคุยกับเราเลยสักคน”

“…”

“คุณรู้ไหมที่น่าขำกว่านั้นพอผมพยายามอธิบายว่าเป็นผมที่ดึงเดฟเข้ามาในชีวิตกลับไม่มีใครเชื่อคำพูดของผมเลยว่าผมเป็นคนเดินเข้าไปจีบเขา”

“…”

“แต่แม้ว่าเดฟจะเจออะไรแบบนั้นแต่เขากลับไม่เคยโกรธหรือโมโหที่บ้านผมและยังคงอยู่เคียงข้างผมเสมอมา เดฟเขาไม่เคยถอดใจ แต่มันกลายเป็นผมนี่และที่เริ่มเหนื่อยและท้อผมที่เริ่มตีตัวออกห่างจากเขาและก็กลายเป็นผมนี่แหละที่แปลงร่างเป็นสัตว์ร้ายและสัตว์เดรัจฉานที่เอาแต่ทำร้ายความรู้สึกของเขา”

“…”

“ขนาดวันที่เขาเสียผมยังทำให้เขาเจ็บช้ำโดยการที่ไม่ยอมแก้ข่าวให้เขาว่ามันเป็นอุบัติเหตุไม่ใช่ว่าเขาต้องการฆ่าตัวตายผมยังทำแบบนั้นให้เขาไม่ได้เลย”

”คุณจอห์น เรื่องที่ผมจะมาพูด…”

“คุณทอม ผมไม่รู้นะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณ คุณแฟรงค์ และเดฟ แต่ที่ผมรู้ก็คือผมไม่อยาก…”

“แค่คุณหัดเป็นผู้ฟังบ้าง”

“คุณว่ายังไงนะ?”

“ตั้งแต่ผมเข้ามาคุณเอาแต่ส่ายหน้าไม่รับฟังในสิ่งที่ผมอยากจะพูด”

“ก็เพราะว่าคุณจะเอาแต่พูดเรื่องไม่ดีของเขานะสิ!!”

“งั้นก็หมายความว่าคุณจะไม่ฟังเรื่องที่คุณไม่อยากฟังใช่ไหม?!!”

“ใช่”

“ก็เพราะแบบนี้ไงละคุณเดฟเขาถึงต้องมายุ่งกับพวกผมก็เพราะว่าคุณเป็นแบบนี้ยังไงละ!!”

“มันไปเกี่ยวอะไรกับคุณ!!”

“ก็เพราะว่าคุณไม่เคยฟังเขาเลยไม่เคยฟังเขาเลย!!!”

“…”

หลังจากที่ต่างคนต่างตะโกนใส่กันดูเหมือนประโยคสุดท้ายของทอมจะเป็นประโยคที่ทำให้เขาชนะเพราะมันสามารถทำให้คุณจอห์นสามารถเงียบลงและหยุดเป็นผู้พูดและเริ่มเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ฟังสักที เมื่อทอมเห็นว่าคุณจอห์นยอมอ่อนลงเขาจึงเริ่มต้นพูดในสิ่งที่เขาตั้งใจ

“คุณจำได้ใช่ไหมว่าผมมาที่นี่เพราะอะไร?”

“ได้สิคุณหนีปัญหาหัวใจของคุณมา”

“เมื่อวันก่อนผมเห็นคุณเดฟในห้องของผม วันนั้นผมกับแฟรงค์ทะเลาะกันผมเลี่ยงที่จะไม่ฟังที่แฟรงค์พูดเหมือนเคยเหมือนก่อนที่จะหนีมาแล้วนั้นก็เป็นตอนที่ผมได้ยินสิ่งที่คุณเดฟคิดเสียงของคุณเดฟแทรกเข้ามาตลอดเวลาที่ผมกับแฟรงค์คุยกัน ผมเลยค่อนข้างมั่นใจว่าเขามาหาผมเพราะเขาแค่ต้องการช่วยเขาต้องการให้ผมฟังแฟรงค์บ้างสองคนนั้นเขามีเรื่องที่คล้ายกันนั้นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณเดฟเลือกที่จะทำเรื่องเหล่านี้”

“เดฟเขาพูดว่าอะไรบ้างครับ?”

“เขาบอกว่าคุณไม่เคยฟังเขาเลย คุณไม่ฟังเขา”

คุณจอห์นเดินไปที่กล่องที่เต็มไปด้วยสิ่งของที่เต็มไปด้วยตัวตนของคุณเดฟ คุณจอห์นหยิบมันขึ้นมาก่อนเอาไว้แนบอกส่งเสียงที่แสดงถึงความเสียใจพร้อมกับหยาดน้ำตาที่บ่งบอกถึงความอ่อนแอ

“เดฟ ผมขอโทษ เดฟ ผม”

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนทอมไม่ได้ใส่ใจเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิมให้เวลาแก่คุณจอห์นเขารอเสียงของความเสียใจเบาลงหยาดน้ำตาได้เริ่มแห้งไปจากใบหน้าของคุณจอห์นบ้างแล้วเขาจึงเริ่มพูดต่อ

“ผมไม่คิดว่าคุณเดฟจะโกรธคุณในเรื่องของวันนั้นเท่าที่ผมสัมผัสเท่าที่ผมเจอเขาผมไม่ได้คิดว่าเขาอยากให้คุณกลับไปแก้ไขอะไรในวันนั้น คุณรู้จักคุณเดฟดีกว่าใครผมว่าความจริงแล้วคุณก็น่าจะรู้”

“…”

“ความจริงตอนที่คุณทะเลาะกับคุณแม่ ผมก็เห็นเขานะเขาอยู่ที่นี่เขาเศร้ามากนะกับเรื่องที่เกิดขึ้นผมว่าเขาคงไม่อยากเป็นตันเหตุของการทะเลาะระหว่างคุณกับแม่”

“คุณเชื่อแบบนี้รึครับ?”

“ผมมาก็เพื่อเรื่องนี้ ผมไม่อยากให้คุณเข้าใจคุณเดฟผิดและไม่อยากให้อะไรมันแย่ไปกว่านี้ เพราะผมจำได้ว่าคุณยังคงคิดจะไปเปลี่ยนคำให้การกับตำรวจ ซึ่งผมไม่คิดว่ามันจะเป็นความตั้งใจของคุณเดฟ”

“…”

“แต่อย่างที่บอกผมก็ได้แต่เดา เพราะผมไม่ใช่คนใกล้ชิดกับเขา”

“ขอบคุณมากนะครับที่มาบอกผมเรื่องนี้ มันมีความหมายกับผมมากจริงๆ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“…”

“เอ่อ ว่าแต่คืนนี้ คุณอยู่คนเดียวได้ไหมครับ? อยากให้ผมอยู่เป็นเพื่อนไหมครับ?”

“ไม่เป็นไรครับ ผมว่าผมอยากอยู่คนเดียวมากกว่า”

“งั้น มันก็ดึกแล้วยังไงผมขอกลับก่อนนะครับ”

“ครับคุณทอม”

“คุณทอมครับ” ในขณะที่ทอมกำลังจะปิดประตูห้องและเดินจากมาเสียงของคุณจอห์นก็เอ่ยเรียกเอาไว้

“ครับ?”

“คุณจะเจอกับเดฟอีกไหมครับ?”

“อันนี้ผมก็ตอบไม่ได้ครับ มันแล้วแต่เขาไม่ใช่แล้วแต่ผม”

“ถ้าคุณเจอเขา ถ้าเป็นไปได้คุณช่วยบอกให้เขามาหาผมบ้างได้ไหม? บอกให้เขากลับมาหาสัตว์ร้ายที่เอาแต่ทำร้ายชีวิตของเขาได้ไหมครับ?”

“ถ้าผมบอกได้นะครับ”

“ขอบคุณครับ”

ทอมก็ได้แต่หวังว่าคุณเดฟจะแอบฟังบทสนทนาของเขาอยู่แถวนี้และรับรู้ในความต้องการของคุณจอห์น และก็ยังหวังเพิ่มลงไปอีกว่าคุณเดฟจะยอมให้โอกาสและตามใจคุณจอห์นอีกสักครั้ง



TBC

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: บันทึกของทอม Day 28 Beasts #novelber2017 - 07/03/2018
«ตอบ #45 เมื่อ12-03-2018 06:33:41 »

“ทำไมคุณไม่เคยมาหาผมเลยละเดฟ?”

จอห์นไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณทอมกลับไปเขาสมควรรู้สึกอย่างไรดีระหว่างดีใจที่ในวันนี้เขาก็ได้รู้ว่าเดฟยังอยู่รอบตัวเขาหรือว่าเสียใจที่แม้ว่าจะอยู่ใกล้กันแต่ว่าเดฟกลับไม่เคยมาให้เขาได้เห็นให้เขาได้หายคิดถึงเลยสักครั้ง

“คุณโกรธผมเหรอเดฟที่ผมไม่ยอมฟังคุณพูด? ทำไมคุณไม่มาบอกกับผมละมาบอกกับผมสิเดฟแล้วผมจะยอมฟังคุณทุกอย่าง ตอนนี้ผมจะนั่งฟังคุณ”

นั้นสิมันตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาเลิกฟังความคิดเห็นของเดฟ มันนานแค่ไหนแล้วที่เขาเอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ยิ่งเดฟไม่เคยตำหนิและเอาแต่ยอมให้ เขาก็ยิ่งได้ใจยิ่งเดฟไม่เคยว่าที่ผ่านมาเขาเลยไม่เคยใส่ใจที่จะมองกลับไปเลยไม่รู้ว่าการไม่ฟังของเขานั้นมันทำให้เดฟเสียใจมากขนาดไหน

“คุณมาหาผมสักครั้ง...ได้ไหม?”

จอห์นรู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำตัวเป็นเด็กเล็กที่ทำอะไรโดยที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองเช่นที่เขาเอาแต่พูดขอร้องให้เดฟมาเจอเขาทั้งๆ ที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดฟมีจริงตามคำบอกเล่าของคุณทอมไหม? หรือว่าเดฟจะอยู่ที่ไหนจะยังอยู่ในนี้จะสามารถได้ยินในสิ่งที่เขากำลังพูดขอร้องนี้หรือไม่

แม้จะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะได้ผลแต่จอห์นยังคงร้องหาอย่างเอาแต่ใจเพราะเดฟมักจะตามใจเขาเสมอ แต่ความเอาแต่ใจของเขาในวันนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้เขาสมหวังเมื่อไม่ว่าเขาจะเรียกร้องผ่านไปแล้วครึ่งคืนเดฟก็ไม่อ่อนข้อและยอมมาหาเขา

“จอห์นคุณขึ้นไปนอนดีๆ สิครับ”

“…”

“จอห์นผมไม่สามารถอุ้มคุณได้นะ เพราะงั้นคุณช่วยตื่นมาขยับตัวสักนิดได้ไหม?”

“…”

“จอห์นผมรู้นะว่าคุณตื่นแล้ว”

“…”

“ถ้าคุณไม่ยอมลืมตาผมจะไม่พูดด้วยแล้วนะ”

“เดฟ!!”

ตอนแรกที่ได้ยินเสียงของเดฟจอห์นนึกว่าตัวเองฝันไปเขาจึงไม่ยอมลืมตาตื่นเพราะเขากลัวเหลือเกินว่าเสียงนั้นของเดฟจะหายไปเพียงแค่ลืมตา แต่คำขู่นั้นของเดฟทำให้เขายอมเสี่ยงลืมตาตื่นและเขาก็พบว่าเดฟกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ แ
วืด วืด ความดีใจที่เห็นว่าเดฟอยู่ตรงนี้ทำให้จอห์นเอื้อมมือทั้งสองข้างไปข้างหน้าด้วยความตั้งใจที่จะคว้าเดฟเข้ามากอดเอาไว้ด้วยความคิดถึงแต่ไม่ว่าเขาจะเอื้อมมือออกไปกี่ครั้งจอห์นก็สัมผัสได้เพียงลมหนาวเย็นกับความว่างเปล่าที่หลงเหลืออยู่ในอ้อมกอดเท่านั้น

“ทำไมละทำไม”

“คุณก็รู้จอห์นว่าคุณไม่สามารถกอดผมได้”

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้!!”

แม้จะรู้ว่าการไขว่คว้าไปข้างหน้าจะมีแต่ความว่างเปล่าแต่เขาก็ไม่สามารถที่จะยอมรับมันได้โดยง่ายจอห์นยังไม่ยอมแพ้ยังคว้าไปทางด้านหน้าแม้ทุกครั้งเขาจะต้องทนเห็นมือของตัวเองผ่านร่างของเดฟอยู่ซ้ำๆ แล้วยิ่งทำเท่าไหร่มันก็ยิ่งตอกย้ำว่าเดฟไม่ใช่คนที่เขาสามารถแตะต้องได้ในตอนนี้แต่ทำไมละทำไมเขาจะไม่สามารถกอดคนที่เขารักได้ละ

“พอแล้วจอห์น พอแล้ว”

“ผม ผม”

“จอห์นอย่าเป็นแบบนี้เลย”

เดฟเอื้อมปลายนิ้วของตัวเองมาเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลลงอาบข้างแก้มให้กับเขา แม้มือของเดฟจะไม่สามารถสัมผัสกับผิวแก้มของเขาได้โดยตรงแต่ความเย็นที่ไหลผ่านข้างแก้มนั้นมันก็เย็นมากพอที่จะสามารถทำให้น้ำตาที่อยู่ที่แก้มมันแห้งไปได้บ้าง

“คุณหนาวหรือเดฟทำไมมือของคุณถึงเย็นแบบนั้น? คุณกำลังหนาวเหมือนผมเลยใช่ไหม?”

“ใช่ผมหนาวและที่คุณหนาวก็เพราะว่าผมอยู่ใกล้คุณ”

“หมายความว่า?”

“ครับ”

“ฮ่าๆๆๆ ผมนี่มันโง่จริง”

แม้ว่าเขาจะไม่ต้องถามให้จบประโยคเดฟก็สามารถเข้าใจคำถามของเขาและตอบคำถามของเขาด้วยการพยักหน้า จอห์นหัวเราะเยาะตัวเองที่ชั่งโง่ที่สุดที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเอาแต่พยายามทำตัวเองให้อุ่นโดยที่ไม่เคยรู้หรือเอะใจสักนิดเลยว่าทำไมเขาถึงเป็นคนเดียวที่หนาวแบบไม่มีสาเหตุและไม่มียารักษาอาการของเขาได้

งั้นที่แล้วมามันไม่เท่ากับว่าเขาได้ไล่เดฟไปให้ไกลตัวหรือยังไง เขาลืมไปได้ยังไงเดฟคือคนที่รักหน้าหนาวเป็นชีวิตจิตใจขนาดวันที่เดฟจากไปยังเป็นวันที่อากาศติดลบมากกว่าลบสิบด้วยซ้ำ

“ไม่จอห์นคุณไม่ได้โง่เลยคุณไม่ได้โง่เลย”

เมื่อรู้ว่าต้นเหตุของความหนาวของเขาคืออะไรเขาก็ลุกขึ้นไปปิดเครื่องทำความอุ่นนั้นลง

“ปิดทำไม? เดี๋ยวคุณจะหนาวเอานะจอห์น”

“ไม่เป็นไรผมโอเค”

แม้ว่าตัวของทั้งสองคนจะไม่สามารถสัมผัสกันกอดกันได้แถมการอยู่ใกล้กับเดฟมันจะทำให้เขาอยู่ท่ามกลางน้ำแข็งแต่เขาก็ยังเลือกเดินมานั่งใกล้กับตัวของเดฟให้มากที่สุดปล่อยให้ความหนาวเข้ามาคลอบคลุมเขาให้ได้มากที่สุด

“วันนั้นที่คุณวิ่งตามผมมาที่บรรไดคุณต้องการพูดอะไรกับผมเหรอ?”

“ผมแค่อยากวิ่งมาขอโทษคุณ อยากให้คุณยกโทษที่ผมพูดไม่ดีแบบนั้น ใส่คุณ”

“ขอโทษผม? ผมสิต้องเป็นฝ่ายขอโทษคุณที่ผมทิ้งให้คุณอยู่ที่บ้านหลังนั้นเพียงคนเดียวตั้งนานผมไม่ได้ไปหาคุณเลย”

“ผมเข้าใจ”

รอยยิ้มของเดฟที่ส่งมาให้มันบ่งบอกว่าเดฟได้เข้าใจเขาจริงๆ ตามที่พูดคำว่าเข้าใจของเดฟไม่ได้ถูกใช้เพียงแค่ปลอบใจเขาเพียงเท่านั้น

“ผมเข้าใจว่าคุณต้องเจออะไรบ้างจอห์น ผมรู้ว่าคุณกดดันมากแค่ไหนเพียงแต่วันนั้นผมแค่รู้สึกอิจฉาคู่รักคู่อื่นที่เขาสามารถคบกันได้อย่างเปิดเผย ผมเลยพูดไม่ได้ใส่คุณเรื่องแม่ผมขอโทษ”

“ผมก็ต้องขอโทษที่ไม่เคยหยุดรอฟังคุณเลย และการไม่ฟังของผมเนี่ยละที่ทำให้ผมต้องเสียคุณไปผมนี่มัน…”

“คุณจำคำพูดของผมวันที่เราครบรอบหนึ่งปีที่คบกันได้ไหม? ที่ผมบอกว่าผมจะรักคุณไปจนวันตาย”

“จำได้สิ วันนั้นผมยังหัวเราะไม่เชื่อคุณอยู่เลยว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกัน”

“งั้นก็เลิกโทษตัวเองได้แล้วจอห์น เรื่องวันนั้นมันคืออุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอกจริงไหม? อีกอย่างผมได้ทำตามที่พูดเอาไว้ มันอาจจะเป็นชะตาของผมก็ได้”

“ชะตา?”

“ที่ต้องรักคุณจนวันตายไงทางเบื้องบนเขาอาจจะกำหนดมาแล้วว่าให้เป็นแบบนี้”

“อย่างนั้นเหรอ คุณว่าแบบนั้นเหรอ?”

เขาทั้งสองคนปล่อยให้ความเงียบที่ไม่มีความอึดอัดเข้ามาปกคลุมแทนเสียงพูดคุย ไม่น่าเชื่อว่าความหนาวที่เขาไม่เคยทนได้ในตอนนี้จอห์นกลับรู้สึกว่ามันคือความเย็นสบายที่เขาไม่อยากที่จะเสียมันไป

“คุณต้องปล่อยวางเรื่องของผมนะจอห์น”

เขาสองคนนั่งข้างกันไปจนถึงเกือบรุ่งสาง และเมื่อแสงสีส้มเริ่มให้เห็นที่ขอบฟ้าเดฟก็ทำลายความเงียบนี้ลง 

“ไม่ ผมไม่มีวันลืม ผมจะไม่ลืมเรื่องของคุณ”

“ผมบอกให้ปล่อยวางแต่ผมไม่ได้บอกให้ลืม”

“ผมกลัว ผมกลัวว่าผมจะลืมว่าเราเคยรักกันยังไง”

“ผมอยากให้คุณจำเรื่องดีๆ ของเราเอาไว้เท่านั้น ทำให้ผมได้ไหม?”

“ผมจะพยายาม”

เดฟยิ้มให้กับเขาก่อนที่บางส่วนของร่างกายของเดฟจะเริ่มเลือนและจางลงและเหมือนว่าเดฟจะพร้อมกลืนไปกับอากาศในไม่อีกกี่นาทีข้างหน้า

“เดฟ เดฟ ทำไมคุณ?”

“ผมต้องไปแล้วจอห์น”

“ไม่ผมไม่ให้คุณหายไป ผมไม่ให้คุณไป”

“จอห์นผมไม่ได้ไปไหนเลย ผมยังอยู่ในนี้เสมอ”

ไอของความเย็นเข้ามาเกาะอยู่แถวตำแหน่งของหัวใจของเขาพร้อมกับสายตาของเดฟที่จ้องมองอยู่ตรงนั้นก่อนที่ร่างทั้งร่างของเดฟจะค่อยๆ เลือนหายและกลืนทั้งหมดไปกับอากาศ

“เดฟคุณจะอยู่ในนี้เสมอและผมก็จะรักคุณไปจนวันตายเช่นกัน”

เสียงกระซิบที่แผ่วเบาของเขาที่ต้องการบอกกับเดฟมันช่างขัดกันเสียงตะโกนร้องที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดที่ก้องดังไปทั้งห้องนอนอยู่หลายชั่วโมงของเขาเหลือเกิน


โปรดติดตามวันต่อไป

อีกแค่วันเดียว บันทึกของทอม ก็จะจบเดือนแล้วค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Day 3o : Trick or Treat

“ทอมทางนี้”

เสียงตะโกนเรียกชื่อของเขาตรงขาเข้าของสนามบินมันไม่ได้ดังไปกว่าชื่อของคนอื่นแต่ทอมก็ได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจนเพราะคนที่เรียกชื่อเขานั้นคือคนที่เขารอคอยที่อยากจะเจอหน้าที่สุดตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานั้นก็คือแฟรงค์คนที่กำลังถือป้ายชื่อแผ่นใหญ่ในมือ

“ไหนว่าจะเอาดอกไม้ช่อใหญ่มารับผม?”

“กลัวว่าถ้าเอามารับจริงผมก็ต้องเป็นคนถือกลับไปด้วยตัวเองถ้าเป็นแบบนั้นผมไม่เอามาดีกว่า”

"โธ่ไม่แน่จริงนิน่า”

“ครับๆ ผมนะไม่แน่จริง ผมมันคนขี้ขลาดครับกระเป๋าหนักไหมให้ผมช่วยเข็ญดีไหม?”

“ไม่เป็นไรไม่หนักเลยว่าแต่พ่อกับย่าละ?”

“รอที่บ้านครับ”

“ไปงั้นเรากลับบ้านกัน”

ทอมมองทั้งสองข้างทางนอกหน้าต่างรถด้วยความคิดถึง เส้นถนนที่แฟรงค์ขับผ่านมันสามารถทำให้เขานึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เป็นฉากๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านนั้นที่เขาเคยหยุดกินข้าวหรือร้านสะดวกซื้อที่เขาเคยสร้างวีรกรรมกดน้ำอัดลมเอาไว้ความคิดถึงที่เกิดขึ้นไม่น่าเชื่อว่าเขาไม่ได้อยู่เมืองนี้แค่เพียงปีเดียวเท่านั้น

“ไหนๆมาให้ย่ากอดหน่อยสิมาให้ย่ากอดหน่อย”

พอแฟรงค์เลี้ยวรถเข้ามาในตัวบ้านคนแรกที่ทอมเห็นก็คือย่าที่นั่งอยู่บนรถเข็ญรอเขาที่หน้าประตูบ้านดูท่าแล้วย่าคงอยากจะไปรับเขาที่สนามบินแต่พ่อคงจะห้ามเอาไว้อีกตามเคยเมื่อเห็นว่าย่ารอเขาอย่างใจจดจ่อทอมก็ไม่ต้องรอให้แฟรงค์ดับเครื่องแค่พอล้อจอดสนิททอมก็รีบเปิดประตูรถเดินลงมาหาย่าที่ยิ้มกว้างรอเขาอยู่แล้ว

 “สวัสดีครับย่าโอ้โห ย่าใครครับเนี้ยไม่ดูแก่ขึ้นเลยนี่ผมหายไปตั้งนานย่ายังดูสวยเหมือนเดิมเลยครับ”

“ไม่ต้องมาปากหวานเลยเรานะทิ้งย่าไปตั้งนาน”

“ต่อไปนี้ผมไม่ไปไหนแล้วครับย่า”

“เอ้ามัวแต่คุยกันอยู่หน้าบ้านไม่เข้ามาข้างในกันละแม่ก็แทนที่จะให้หลานเข้าบ้านก่อน”

“ครับๆ”

มื้อเย็นผ่านไปด้วยความอิ่มเอมใจเพราะไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวเราะหรือเสียงเถียงกันของคนที่อยู่ในโต๊ะมันต่างเป็นเสียงที่เติมเต็มความคิดถึงของเขาดังนั้นการได้ทานข้าวพร้อมหน้ากับคนที่เขารักทั้งหมดทอมว่ามันช่างเป็นการต้อนรับกลับมาที่เมืองนี้อย่างอบอุ่นและรู้สึกไม่เสียใจเลยที่เขารีบเดินทางกลับทันทีที่หมดสัญญาแลกเปลี่ยนที่นั้นหมดลง

“งั้นเดี๋ยวผมกลับก่อนแล้วกันนะ” หลังจากที่แฟรงค์ช่วยเขาขนของขึ้นมาบนห้องแฟรงค์ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างก่อนที่จะเปลี่ยนใจเป็นขอกลับบ้าน

“มีอะไรรึเปล่า?”

“เปล่า”

“หน้าคุณไม่บอกแบบนั้น”

“คุณจะกลับไปที่บ้านของเราใช่ไหม?”

“ผมไม่เคยย้ายออกไปไหนเพราะนั้นมันบ้านของเรา...”

“ทอมมันยังเป็นบ้านของเราอยู่ใช่ไหม?” เสียงของไม่มั่นใจของแฟรงค์ทำให้ทอมคิดว่าเขาควรที่จะบอกกับแฟรงค์สักทีว่าหลายเดือนที่ผ่านมาเขาคิดยังไงเขาไม่ควรเก็บเอาไว้อีกแล้ว

“แฟรงค์คุณพอมีเวลาคุยกับผมไหม?”

“มีสิ”

“เรื่องของเรา...”

แค่คำแรกที่ขึ้นประโยคแฟรงค์ก็เกร็งตัวเองจนเส้นสันกรามที่ใบหน้าขึ้นสันชัดกว่าทุกครั้งจนทอมแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะโน้มตัวไปกอดปลอบแต่ถ้าเขาทำแบบนั้นในวันข้างหน้าแฟรงค์อาจจะลืมความรู้สึกนี้ซึ่งเขาไม่อยากให้แฟรงค์ลืมมัน

“คุณจะทำให้ผมเชื่อได้ยังไงว่าคุณจะไม่หลอกผมอีกและเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก?”

“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะสามารถทำให้คุณเชื่อได้ยังไงเพราะต่อให้ผมพูดไปมันก็เป็นเพียงแค่คำพูด”

“แต่ผมก็อยากฟัง”

“เอาเป็นว่า ณวันนี้ผมรู้แล้วว่าชีวิตของผมต้องการอะไรและรักใคร ที่สำคัญผมไม่อยากจะเสียคุณไปทอมผมบอกคุณได้เท่านี้”

“แฟรงค์คุณรู้ไหมว่าเมื่อวันฮาโลวีนที่ผ่านมามีเด็กกลุ่มนึงเดินเจอผมที่ท้องถนนเด็กพวกนั้นคงจะไม่สามารถไปเคาะบ้านหลังไหนได้ในระแวกนั้นเพราะต่างเป็นคอนโตตึกสูงทั้งนั้น เด็กกลุ่มนั้นเลยมาล้อมผมเอาไว้พร้อมกับให้ผมเลือกว่าจะ Trick or Treat แฟรงค์คุณคิดว่าผมเลือกอะไร?” ทอมเดินไปขอบหน้าต่างของห้องแล้วมองออกไปที่ท้องฟ้าที่กำลังมืดสนิทพร้อมกับนึกย้อนกลับไปในคืนนั้น

“ท้องถนนเหรอ? คุณคงเลือก Trick เพราะว่าคุณไม่มีขนมอะไรอยู่ในมือแน่นอนคุณเป็นคนไม่ชอบพกขนมเอาไว้ในกระเป๋า”

“คุณตอบถูกข้อนึงเรื่องที่ผมไม่พกขนมในกระเป๋าแต่คุณตอบผิด ณ วันนั้นผมเลือก Treat ล่ะ คุณรู้ไหมว่าทำไม?”

“ไม่รู้”

“เพราะว่าผมไม่อยากถูกหลอกอีกแล้ว” พอพูดมาถึงตรงนี้ทอมก็หันกลับมามองเข้าไปในดวงตาของแฟรงค์

“แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวแฟรงค์ผมคิดว่าผมไม่สามารถถูกหลอกได้อีกแล้วผมเลยควักเงินออกจากกระเป๋าสตางค์แล้วบอกให้เด็กไปซื้อขนมที่อยากทานเอง”

“ทอม...ผม ผม...”

“เพราะงั้นถ้าเราจะคบกันต่อผมขอคุณเพียงเรื่องเดียว”

“ครับ?”

“ผมขอได้ไหมต่อไปนี้มีอะไรขอให้พูดกับผมตรงๆอย่าใช้ ‘ทริคอะไรก็ตามมาหลอกผมอย่าให้ผมต้องรู้เรื่องเป็นคนสุดท้าย’ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมขอให้เราแก้มันไปด้วยกันได้ไหม? ช่วยบอกให้ผมรู้ได้ไหม?”

“ได้สิได้ ทำไมจะไม่ได้ละ ผมสัญญาผมสัญญาว่าผมจะไม่มีวันโกหกคุณอีกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะบอกคุณทุกอย่าง”

แฟรงค์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามารวบตัวของเขาเข้าไปในอ้อมกอดอ้อมกอดที่เขาไม่ได้สัมผัสมันมานาน อ้อมกอดที่เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ดีใจโล่งอก และที่สำคัญเขาสัมผัสได้ถึงความรักผ่านจากอ้อมกอดนี้

เขาทั้งสองคนยืนซึมซับอ้อมกอดของความคิดถึงแล้วค่อยแปลเปลี่ยนเป็นการแสดงออกว่าต่างฝ่ายต่างคิดถึงกันมากแค่ไหนแต่ก่อนที่เขาจะเปิดรับต่อการแสดงความรักและความต้องการจากแฟรงค์เขาต้องรีบพูดอีกเรื่องที่สำคัญขึ้นมา

“เดี๋ยวๆแฟรงค์ ยังมีอีกเรื่อง”

ลมหายใจของแฟรงค์ที่ร้อนระอุสะดุดลงเมื่อเขายกมือขึ้นห้ามริมฝีปากของแฟรงค์ที่กำลังจะครอบครองมาที่ริมฝีปากของเขาแฟรงค์หลับตาลงเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเอง

“ครับว่า?”

“อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ ผมจะถามว่าน้องฟลุ๊คเป็นอย่างไรบ้าง?”

“วันก่อนผมไปรับแกมาดูแกก็แข็งแรงดี” สายตาของแฟรงค์ที่เครียดขึงจากการที่ถูกขัดจังหวะดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อเขาพูดถึงชื่อนี้

“วันไหนจะเป็นเวรคุณที่จะได้ไปดูแกอีก?”

“วันพุธหน้าครับ”

“ผมไปรับแกด้วยได้ไหม?”

“ทอม”

ฟลุ๊คคือชื่อลูกชายของแฟรงค์กับลิสที่ตอนนี้ลืมตามาดูโลกได้2 เดือนกว่าแล้ว เขาและครอบครัวรับรู้เกี่ยวกับเด็กคนนี้มาตลอดตั้งแต่วันแรกที่คลอดและพ่อกับย่าเห่อน้องฟลุ๊คเหมือนหลานแท้ๆของตัวเองซะด้วยซ้ำ

“คุณแน่ใจว่าคุณพร้อมที่จะไปเหรอครับ?ผมไม่อยากให้คุณรู้สึกไม่ดี”

“ผมแน่ใจสิ ผมอยากไปขอบคุณเธอที่มอบสิ่งมีชีวิตที่มีค่าให้กับครอบครัวของเรา”

หลังจากวันคลอดลิสขอคุยกับแฟรงค์และครอบครัวของเขาโดยที่ไทม่มีใครคาดฝันว่าเธอจะขอให้แฟรงค์รับเลี้ยงเด็กคนนี้เอาไว้และเธอขอให้ทางเรารับเด็กคนนี้มาอยู่ในความดูแลอย่างเต็มตัวหลังจากที่เด็กคนนี้หย่านม

เธอไม่ได้รังเกียจลูกของตัวเองเพียงแต่เธออยากที่จะเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้งและเพราะแบบนี้ลิสกับทางบ้านจึงได้ตกลงเวรที่จะแลกกันดูแลโดยที่ฟลุ๊คแกจะอยู่กับทางบ้านของเขา 5 วันและอยู่ทางลิส 2 วันเพื่อเป็นการทำให้แกชินที่จะอยู่กับทางนี้มากกว่าทางนั้น

“ได้สิถ้าคุณมั่นใจผมก็สามารถพาคุณไปได้”

“ขอบคุณครับ”

จะว่าไปการที่เขาโดน Trick ในครั้งนี้มันก็ไม่ได้แย่ไปซะทีเดียวเขาอาจจะมีเรื่องเสียใจแต่มันก็หนึ่งในบทเรียนของชีวิตรักที่เขาเจอและก็เรียนรู้ที่จะข้ามผ่านมันมาได้ด้วยการให้อภัยและโอกาสนอกจากนั้นมันยังนำเรื่องราวมากมายที่เขาไม่เคยได้รู้สึกหรือไม่เคยเชื่อมาก่อนให้เขาได้สัมผัสไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณเดฟหรือความรักที่แฟรงค์มีให้เขา

แต่ถ้าเป็นไปได้ครั้งนี้เขาขอเป็นเพียงครั้งสุดท้ายที่เขาจะต้องโดน Trick จากคนรักหลังจากวันนี้ไปถ้าเป็นไปได้เขาขอโดนแค่ Treat ดีๆ จากคนรักก็พอแล้ว


THE END #novelber2017 บันทึกในความทรงจำ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ naezapril

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 120
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ขอบคุณครับบบบบ

ออฟไลน์ Raina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
เดฟน่ากลัวอ่า ถึงบอกว่าพยายามจะช่วยก็ตาม แต่เดฟทำให้แฟรงค์ถูกรถชน ทำให้มีอาการชักจนต้องโดนจับมัดโดนฉีดยา เป็นการช่วยเหลือที่ hardcore มากกกก  :m8:

อ่านแล้วสงสารทอม ทุกคนทำเหมือนทอมเป็นคนผิดที่ไม่ยอมรับฟัง แต่จริงๆแฟรงค์เป็นฝ่ายผิดนะ นอกใจแฟน ทำคนอื่นท้องแล้วทำท่าจะไม่ยอมรับผิดชอบ ถ้าเราเป็นทอม ก็คงไม่อยากคุยด้วยเหมือนกัน

สะดุดเรื่องแม่ของจอห์นนิดนึง แรงผู้หญิงที่อายุเยอะแล้วไม่น่าจะจับผู้ชายกรอกยาได้น้า

ไม่ค่อยเห็นนิยายแนวนี้ สนุกดีค่ะ  :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด