Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)  (อ่าน 32021 ครั้ง)

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Listen to my heart ........♥ 14 : เพราะฉันนั้น...
«ตอบ #30 เมื่อ08-01-2018 14:29:54 »

ตอนที่ 14 เพราะฉันนั้น...
 
 
 

 
 
ร่างสูงโดดเด่นเดินเข้ามาในร้านสร้างความสนใจให้ใครหลายคนต้องหันมอง ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล จมูกโด่งสันกับริมฝีปากได้รูปน่าสัมผัส เขาจัดได้ว่าเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งที่ซ่อนความลึกลับไว้ทำให้ดูน่าค้นหา
อธินก้าวผ่านโซนต่างๆ ไปโดยไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่หันมามอง
หลังจากวางสายจากคนของเขาที่โทรเข้ามารายงานความคืบหน้า ความโกรธแค้นที่สั่งสมมาเนิ่นนานดั่งภูเขาไฟที่กำลังคุกรุ่น บัดนี้ใกล้ถึงเวลาระเบิดออกมาเต็มที
ไอ้เวรนั่นกล้าเข้ามายุ่งกับคนของเขาถึงที่ เห็นทีว่าเรื่องมันคงจะไม่จบลงง่ายๆ
มาถึงอธินก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบเหล้าที่ชงไว้รออยู่ก่อนแล้วขึ้นดับความร้อนรุ่นในกายแก้วแล้วแก้วเหล้า ไม่ฟังเสียงร้องห้าม
“เฮ้ย!! ใจเย็นๆ ก่อนสิครับคุณชาย!”
สายตาคมกริบตวัดมองไม่พอใจที่ถูกเรียกด้วยชื่อนั้น
“ทะเลาะกับเมียมารึไง?” คนถูกต่อว่าด้วยสายตาได้แต่งึมงำเบาๆ ด้วยความน้อยใจ ใช่สิ เขามันก็แค่แฟนเก่า ทำอะไรไปก็คงไม่ถูกใจสักอย่าง
มองร่างสูงที่สนใจเหล้ามากกว่าเพื่อนฝูงแล้วถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า ก็เลยหาเรื่องคุยหวังทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น
“แล้วนี่ไม่คิดจะพาน้องเค้ามาแนะนำให้เพื่อนรู้จักบ้าง”
“พามาก็ความแตกกันหมดสิวะ” มอสแย้งขึ้นทันควัน
อธินหันไปปรามเพื่อนอย่างหัวเสียเพราะไม่ต้องการให้ใครพูดถึงมันอีก ยิ่งตอนนี้เขารู้มาว่าไอ้เวรนั่นคอยวนเวียนคนของเขาไม่ห่าง คิดว่ามันต้องหาทางทำให้ปั้นรู้ความจริงขึ้นมาสักวัน
และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขากระวนกระวายใจอยู่ตอนนี้
“เกิดไรขึ้นวะมอส”
“เลิกทำตัวน่ารำคาญได้แล้ววินซ์” อธินดุร่างเล็กตรงหน้าที่ยังคงซักไซ้ไม่เลิก เล่นเอาคนที่น้อยใจอยู่แล้วยิ่งเตลิดไปกันใหญ่ แค่ถามถึงแฟนหน่อยเดียวกลับโมโหขึ้นมาราวกับเขาทำอะไรผิดนักหนา
“ท่าทางเจ้าตัวเขาไม่อยากให้ฉันพูด” มอสเอ่ย
นึกถึงตอนสมัยก่อนดวงตาคู่นั้นก็วาวโรจน์ ที่เขาเคยกลายเป็นแพะรับบาปถูกไอ้เด็กปีหนึ่งนั่นเค้นเอาความจริงแทบเป็นแทบตายในคืนนั้นแล้วยังแค้นไม่หาย ไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ แผลเป็นที่หลังมือยังเจ็บแปลบอยู่เลย ทั้งที่มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว จริงอยู่ที่เขาควรจะโกรธหลังจากถูกไอ้เด็กนั่นเล่นงานจนสะบักสะบอม แต่ไม่เลย เมื่อได้รับเงินชดเชยก้อนโตจากเพื่อนรัก ทุกสิ่งก็หายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และความเป็นเพื่อนก็ยังคงดำเนินมาได้จนถึงทุกวันนี้
            “ดูท่าทางนายเครียดๆ นะธิน” สาวร่างบางนั่งลงข้างๆ อย่างถือสิทธิ์ มือเรียวไล้สัมผัสไปบนแผงอกแกร่ง ซึ่งบัดนี้มันกำลังร้อนรุ่มไม่ต่างจากไฟ
            “หลีกไปเถอะเจนนี่ เธอก็รู้ว่าฉันไม่มีรสนิยมชอบผู้หญิง!!” อธินปฏิเสธหญิงสาวที่เข้ามาคลอเคลียอย่างไร้เยื่อใย สำหรับเขาแล้วถ้าไม่ใช่คนที่ต้องการก็ไม่มีทางจะคิดเป็นอย่างอื่นไปได้
เจนนี่หัวเราะน้อยๆ ในความตรงไปตรงมาของผู้ชายตรงหน้าแต่ก็ยังไม่วายหยอกล้อ
            “หึหึ รู้ล่ะน่า! แค่ล้อเล่นหน่อยเดียว จริงๆ แล้วอยากแนะนำเด็กน่ารักๆ ให้นายรู้จักสักคนมากกว่า เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้นมา”
            “ไม่ต้อง!” เขายังคงปฏิเสธ นาทีนี้เป็นใครเขาก็ไม่ต้องการอีกแล้ว มีแต่น้องปั้นคนเดียวเท่านั้นที่เขารักและต้องการครอบครอง ต่อให้คนอื่นวิเศษวิโสมาจากไหนก็ไร้ค่าในสายตาอยู่ดี
“รักเดียวใจเดียวจริงๆ เลยน้า ว่าแต่วินซ์เถอะ เมื่อก่อนไปทำอะไรไว้เหรอ? ถึงได้ถูกทิ้งไปง่ายๆ แบบนี้”
ประโยคย้อนถามของอีกฝ่ายเล่นเอาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าขึ้นสีด้วยความโกรธ เจ้าของชื่อพยายามระงับอารมณ์เมื่อถูกถามถึงเรื่องในอดีต
            “เกิดเรื่องใหญ่แล้วว่ะ!!” เสียงตึงตังดังมาตลอดทางเดินพร้อมร่างของเพื่อนที่วิ่งเข้ามาสีหน้าตาตื่น
            “ค่อยๆ พูดก็ได้ มีอะไร?” เขาเข้ามาในคลับยังไม่ถึงชั่วโมงก็เกิดเรื่องให้ตามล้างตามเช็ดอีกแล้ว
            “ไอ้ธนากับไอ้บอมถูกเล่นงานอยู่หลังร้าน”
            “อะไรนะ!!”
อธินรีบออกไปดูทันทีโดยไม่ฟังอะไรต่อจากนั้น เขาเป็นห่วงเพื่อนมากกว่าสิ่งใด ต่อให้พวกมันทำผิดหรือสร้างปัญหาวุ่นวายแค่ไหนมันก็อดไม่ได้อยู่ดี
            พอไปถึงในที่เกิดเหตุ เห็นสภาพของพวกมันนอนกองอยู่บนพื้นไม่เจอคู่กรณีที่คงจะหนีไปแล้ว ชายหนุ่มได้แต่สบถออกมาด้วยความไม่พอใจ
“ฝีมือใคร!”
            “มัน มันเป็นเด็ก!...”
            “เด็กงั้นเหรอ?...” เค้นเสียงต่ำทบทวนคำพูดนั้นอีกครั้ง ดวงตาคบกริบกวาดมองความเสียหายไปทั่วบริเวณ ถึงจะเป็นเด็กแต่ท่าทางคงจะแสบใช่ย่อย เห็นกระถางต้นไม้ที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะชมเชยถึงความใจเด็ดของมัน หลังจากฟังคำบอกเล่าจากคนเคราะห์ร้าย
          คนเดียวงั้นเหรอ...ร้ายไม่เบาเลยนี่
“คราวหลังคิดจะไปมีเรื่องกับใครก็หัดระวังตัวไว้บ้าง พวกแกคงไม่โชคดีแบบนี้ทุกครั้งหรอกนะ” 
            เขาเตือนด้วยความหวังดีเมื่อเห็นสภาพของเพื่อนอีกสองคนที่เละไม่เป็นท่า ที่พวกมันวางตัวเป็นใหญ่ได้อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมีคนของเขาคอยหนุนหลัง ถึงเขาจะไม่ชอบให้พวกมันไปหาเรื่องใครก่อนแต่พอเกิดเรื่องแบบนี้ก็อดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้
            “พาไปส่งโรงพยาบาล” ครั้งนี้เขาไม่คิดจะซักไซ้อะไรให้มากความว่าใครผิดใครถูก ถ้าเรื่องเกิดจากการที่พวกมันไปหาเรื่องคนอื่นก่อน ก็สมแล้วที่ควรจะได้รับบทเรียนกลับมาเสียบ้าง
เขาเองปวดหัวเต็มทนกับสภาพสังคมในกลุ่มเพื่อนเช่นนี้ ใช้อำนาจของเขาเป็นที่กำบังแล้วสร้างปัญหาไม่รู้จักหยุดหย่อน ถ้าไม่ใช่เพราะข้อแลกเปลี่ยนเมื่อห้าปีก่อนเขาคงสลัดพวกมันทิ้งไปตั้งนานแล้ว
หลังจากที่พวกมันถูกไอ้รดิศเล่นงานอย่างหนัก ผิดไปจากแผนที่เคยวางไว้ เขาจำเป็นต้องรับผิดชอบโดยการรับข้อเสนอของพวกมันทั้งหมดอย่างเลี่ยงไม่ได้ และรวมไปถึงการให้คนของเขาจำนวนหนึ่งคอยเป็นพรรคพวกหนุนหลังให้เพื่อป้องกันเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม เขาปล่อยพวกมันให้ใช้อำนาจของเขาอย่างเต็มที่ และเขาคงไม่ปล่อยให้ใครมีโอกาสได้ทำผิดซ้ำซากอยู่แบบนี้เด็ดขาด ถ้าไม่ใช่เพราะคำขู่ที่ว่าจะบอกความจริงทั้งหมดให้น้องปั้นรู้
ซึ่งนั่นเป็นจุดอ่อนสำคัญของเขาเลยทีเดียว
 
 
“รีบหนีเร็วเข้า!!” เดียร์สะบักสะบอมกลับมาที่โต๊ะร้องบอกให้สองแสบในกลุ่มรีบเผ่น เดียร์เหลียวซ้ายแลขวา ไม่แน่ใจว่าไอ้สามคนนั่นมันมีพวกมาเพิ่มรึเปล่า แต่ที่รู้ๆ คือพวกเขาต้องรีบชิ่งก่อนจะถึงเวลานั้น
“แล้วมึงไปมีเรื่องกับใครมา”
“เรื่องนั้นค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้รีบออกไปจากที่นี่ก่อน”
สองเพื่อนซี้รีบวิ่งตามแบบไม่ต้องรออธิบายอะไรเพิ่มเติม รู้กันดีในกลุ่มอยู่แล้วว่าถ้าคืนไหนเผลอไปมีเรื่องกับใครเข้า หากสถานการณ์ไม่สู้ดีนักก็ให้หนีเอาตัวรอดไว้ก่อน ใช่ว่าจะกลัวขึ้นมาหรืออะไรเพียงแค่เขาไม่อยากให้เสี่ยงนอกเหนือจากความจำเป็น
เมื่อวิ่งออกมาไกลมากแล้วและหันมองไปด้านหลังไม่เห็นว่ามีใครตามมา หัวหน้าแก๊งค์ตัวดีถึงได้หยุดฝีเท้า
“แฮ่กๆ มึงไปมีเรื่องกับใครมาวะ” ภูเข่าอ่อนทรุดนั่งลงกับพื้น ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดเหงื่อบนหน้า เขาเหนื่อยจนแทบขาดใจ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลยสักนิดพอบอกให้หนีเท่านั้นสมองก็ทำตามโดยไม่มีเงื่อนไข
“กูไม่รู้” คนนำส่ายหน้าด้วยความอ่อนแรงไม่แพ้กัน ก่อนจะทรุดนั่งลงกับพื้นตามมาอีกราย
“เชี่ยเอ้ย!!!”
“ไม่ต้องห่วงหรอก กูจัดการไปเรียบร้อยละ”
“สงสัยจริงๆ ว่าแม่งพวกไหน”
“เหอะ!! ก็แค่ไอ้พวกขี้เมาแล้วทำตัวเป็นใหญ่ เที่ยวระรานไปทั่วก็เพราะมีพวกหนุนหลัง” เดียร์สรุป
“แต่ก็ดีแล้วที่มันไม่ยกพวกมาตอนที่มึงอยู่คนเดียว”
“กูไม่กลัวหรอก!”
“เออ กูรู้ว่ามึงเก่ง ไหนกูขอดูแผลคนเก่งหน่อยสิ” คนพูดไม่พูดเปล่า เนใช้มือข้างหนึ่งเชยคางเพื่อนตัวดีขึ้นมาสำรวจรอยช้ำที่แก้ม
“โอ้ยย มึงก็เบาๆ หน่อยสิวะ”
“เจ็บมากรึเปล่า?” เสียงอ่อนโยนถามขึ้นด้วยความห่วงใย เขาเห็นเลือดไหลออกมาด้วย ให้ทายว่านั่นคงโดนมาไม่ต่ำกว่าสามหมัด ไหนจะรอยแตกตรงหางคิ้วนั่นอีก
“พอทนได้”
“ไปทำแผลห้องกูก่อนไหม?” เจ้าตัวส่ายหัวก่อนจะขอแยกกันตรงนี้ ร่างเพรียวบางเดินไปบนถนนที่มีฉากหลังเป็นแสงไฟสีส้มอ่อนอย่างเดียวดาย
 
 
 
บรรยากาศอบอุ่นและเป็นมิตรในร้านกาแฟแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง สถานที่เดิมถึงแม้เวลาจะผ่านมาห้าปีข้าวของทุกชิ้นในร้านยังคงถูกวางไว้ที่เดิมเสมอ แม้กระทั่งลูกค้าของร้านส่วนใหญ่เองก็มักจะเป็นคนเดิมที่แวะเวียนเข้ามาเป็นประจำ
หัวข้อสนทนาจากโต๊ะตัวหนึ่งที่แยกออกมาอยู่ในมุมส่วนตัวยังคงเป็นเรื่องราวของคนๆ เดิม แววตาอ่อนโยนบวกกับน้ำเสียงที่มั่นคงจริงจังกลั่นออกมาจากความรู้สึกของคนพูดทุกคราวที่เอ่ยชื่อใครคนหนึ่ง
“กูมีอะไรกับเขาแล้ว” นนท์ตกใจจนเกือบทำแก้วในมือหล่นลงพื้น ส่วนบีมเขาสำลักกาแฟจนเลอะเสื้อไปเรียบร้อยเมื่อได้ฟังประโยคสุดท้ายของเรื่องทั้งหมด
“เมื่อกี้มึงพูดว่าไงนะ!!” สองหนุ่มขยับเก้าอี้เข้ามาจนชิดขอบโต๊ะ ต้องการฟังสิ่งที่มันเพิ่งพูดไปอีกรอบอย่างตั้งใจ
“พวกมึงได้ยินไม่ผิดหรอก”
“มึงไปทำแบบนั้นกับน้องปั้นได้ยังไง ก็ไหนว่าน้องเขามีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ?”
บีมยิงรัวรวดเดียวต้องการเอาคำตอบ เขารู้ว่ามันรักน้องปั้นมาก ไม่คิดว่ามันจะกล้าทำเรื่องแบบนั้นกับคนที่มีเจ้าของแล้ว 
“คืนนั้นปั้นเมามาก กูก็เลย...อย่างที่บอกไปนั่นแหละ”
“ฉวยโอกาสเนี่ยนะ แทนที่มึงจะยับยั้งชั่งใจให้มากกว่านี้” นนท์อยากบีบคอคนพูดออกมานัก มันพูดออกมาหน้าไม่อาย ต่อให้อธิบายยังไงมันก็ผิดอยู่เต็มประตู
“บอกตรงๆ เลยนะ ตอนนี้กูโคตรผิดหวังในตัวมึงจริงๆว่ะ”
“ห่วงก็แต่ความรู้สึกของน้องเขา มึงนี่น้าไอ้ดิศ”
“น้องปั้นเป็นยังไงบ้าง”
“นี่แหละที่กูกลุ้มใจอยู่ แถมยังโดนเขาเกลียดจนแทบไม่อยากจะมองหน้า”
“ก็สมแล้วที่มึงโดนแบบนี้น่ะ เป็นใครใครก็โกรธ” ไม่มีใครเห็นใจเขาสักคน รดิศรู้ดีว่าทำไม่ถูกต้อง แต่มันก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว สำหรับเขาเขายินดีรับผิดทุกอย่าง ให้ทำอะไรก็ยอม
“น้องปั้นมีแฟนแล้ว มึงไปทำแบบนั้นไม่คิดบ้างเหรอว่าเขาจะรู้สึกยังไง เกิดแฟนเขารู้นะไม่ใช่มึงคนเดียวที่เดือดร้อนน้องปั้นเองก็อาจจะโดนหางเลขไปด้วย”
คำพูดของบีมทำเอาคนฟังนั่งหน้าเครียด สำหรับเขาเองต่อให้เจอกับเรื่องราวหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ไม่เป็นไร แต่กับปั้นแล้วเขากลัวว่าผลลัพท์ของมันจะย้อนกลับไปทำร้ายอีกฝ่ายเหลือเกิน
ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ห่วงก็แค่ความรู้สึกของคนๆ เดียวเท่านั้น
กลัวว่าต้องเสียน้ำตาเพราะเขาอีก

 
 
......................................................

แวะเอาพี่อธินมาให้ทุกคนทำความรู้จักในอีกมุมหนึ่งค่ะ  อิอิ
จากที่ดูนิสัยลึกๆของพี่แล้ว ตัวตนที่อยู่กับปั้นนั้นคนละเรื่องกันเลย แต่ก็มีหลุดออกมาเป็นระยะๆ ด้วยนะ
หลังๆ ยิ่งตอนโกรธเนี่ย   แต่สำหรับคนนี้จะร้ายแค่ไหนอย่างไรก็ให้อภัยจ้า เค้ายอมมมมมม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2018 15:06:44 โดย Alchemist_toey »

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนที่ 15 บางสิ่งที่เปลี่ยนไป
 
 
 

 
 
 
 
            “เป็นมันจนได้สินะ” ข่าวล่าสุดจากลูกน้องคนสนิททำให้เขาเดือดเป็นไฟแต่ก็ยังคงนิ่งรักษาอาการไว้ ไม่เพียงแต่ความโกรธเคืองเท่านั้นที่ภายในใจรู้สึกแต่มันยังมีความกลัวที่ว่าเขาอาจจะเสียคนรักไป
เขารู้จุดประสงค์ของมันดี
            ถ้าจะใช้ความจริงในอดีตกำจัดเขาไปในคราวนี้ล่ะก็...ง่ายดายเหลือเกิน
            “นั่นนายจะกลับแล้วเหรอ”
            “หลีกไปน่า!” อธินตะเพิดไล่อย่างหัวเสียทำเอาอดีตคนรักของเขาผงะนิ่งไป ใบหน้าขาวซีดมองตามแผ่นหลังสูงใหญ่นั่นด้วยความน้อยใจที่ไม่เคยเป็นคนมีค่าในสายตาเลย
            เขาเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ภายในนั้น เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าจะสตาร์ทรถขับออกไปได้ ภายใจร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
            กลัวเหลือเกินว่าหัวใจของปั้นอาจจะยัง...ไม่ลืมมัน
 
 
เขากลับมาถึงห้องด้วยสภาพหัวใจที่อิดโรย ตลอดห้าปีผ่านมานี่เป็นวันแรกที่เขารู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองมากที่สุด ถ้าทุกอย่างพังทลายลงก็เท่ากับว่าเขาไม่เหลืออะไรเพราะคนเดียวที่จะตัดสินรักครั้งนี้ได้ก็คือปั้นเท่านั้น
อธินเฝ้ามองคนรักกำลังหลับอยู่บนโซฟา ด้วยความรู้สึกหลากหลายท่วมท้นอยู่ในใจ
“กลับดึกจัง” เสียงบ่นอุบทันทีที่รู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆ บริเวณริมฝีปากจากร่างสูง ปั้นลืมตาขึ้นมาด้วยความงัวเงียจ้องมองใบหน้าของคนรักท่ามกลางแสงสลัวจากทีวีที่เปิดทิ้งไว้
“ทำไมไม่ไปนอนในห้อง...หืม”
“รอพี่กลับมา” ร่างบนโซฟากำลังงอแงเพราะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว พี่อธินออกไปสังสรรค์กับเพื่อนตั้งแต่เลิกงาน ครั้นจะขอไปด้วยแต่เจ้าตัวก็ให้เหตุผลว่าสถานที่แบบนั้นมันไม่เหมาะกับเขา ปั้นก็เลยยอมรออยู่ที่ห้อง
ไม่มีครั้งไหนรู้สึกไม่อยากห่างจากพี่อธินเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็กลัวว่าอีกคนจะเปลี่ยนไป กลัวว่ามันจะไม่เหมือนเดิม อาจเป็นเพราะตราบาปที่ทำผิดไว้
            “เกิดเรื่องนิดหน่อย โทษทีนะที่ทำให้รอ” เสียงอ่อนโยนกระซิบบอก คนว่าง่ายพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ ปั้นลุกไปนอนในห้องตามคำบอกของพี่อธิน อาการกังวลค่อยๆ หายไปเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยผ่านทางดวงตาคู่นั้น ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคนที่มีความผิดติดตัว
ขออย่าให้มีเรื่องร้ายแรงระหว่างเขากับพี่อธินเกิดขึ้นหลังจากนี้เลย
 
            ร่างสูงเดินออกจากห้องน้ำก่อนจะล้มตัวลงนอนเคียงใกล้ ดวงตาคบกริบซ่อนเร้นความเจ็บปวดไว้ภายในนั้นมองคนรักกำลังหลับพริ้มอยู่ในอ้อมแขน
            “พี่ไม่ยอมให้เรากลับไปหามันหรอกนะปั้น...” เขากระซิบบอกผ่านความฝัน ถ้าหากไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว ต่อให้ต้องใช้วิธีที่สกปรกยิ่งกว่านี้เขาก็พร้อมจะทำ
            ริมฝีปากอุ่นร้อนแนบลงบนหน้าผากมน เฝ้ามองใบหน้าของคนรักก่อนจะหลับไปในที่สุด
 
ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ คนมีหน้าที่คอยรับคอยส่งก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเสมอ มีแต่ปั้นเท่านั้นที่ในใจยังหวาดระแวง กลัวว่าบางสิ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนต้องสะบั้นลง
“ตอนเย็นพี่มารับนะ”
จมูกโด่งรั้นหอมฟอดลงบนแก้มของผู้ชายตรงหน้า เรียกรอยยิ้มให้คนโตกว่าเป็นอย่างดี การกระทำที่ค่อนข้างจะเอาอกเอาใจกันทำให้เขาต้องเลิกคิ้วถาม
“มีอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า หืม...” อธินเอียงคอด้วยความสงสัยมือข้างหนึ่งเชยคางเรียวขึ้นสบตา ปั้นส่ายหน้าวืด ไม่คิดว่าการที่ตัวเองทำตัวผิดไปจากปกติจะยิ่งทำให้คนช่างสังเกตคาดเดาอะไรได้ง่ายดายเช่นนี้ แค่อยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด หวังลบล้างความผิดที่ทำลงไป
“เย็นนี้เราไปซื้อของมาทำกับข้าวกินกันที่ห้องดีมั้ยครับ”
“ฮึฮึ ได้สิ” อธินกลั้วขำเมื่อเจอลูกอ้อนของคนรัก มือหนาขยี้ผมอีกฝ่ายเล่นจนมันยุ่งเหยิงไปหมด
“งั้นผมไปทำงานก่อนนะ”
เขายืนมองร่างเล็กบางเดินเข้าไปตึกสำนักงานจนลับตา ดวงตาคมกริบที่แลดูอบอุ่นอ่อนโยนบัดนี้กลับซุกซ่อนความเจ็บปวดร้าวรานไว้ภายใน
เขารู้ว่ามีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป...
 
 
เสียงฮัมเพลงเบาๆ พร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออก ร่างแบบบางเดินตรงไปยังที่นั่งของตัวเอง วันนี้รู้สึกสดใสเป็นพิเศษอาจเป็นเพราะเรื่องที่เคยกังวลค่อยๆ หายไปแล้วและดูเหมือนว่าชีวิตเขาหลังจากนี้จะราบรื่นขึ้นอีกด้วย
“วันนี้ดูอารมณ์ดีจังเลยนะพี่ปั้น”
“มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นใช่มั้ยเนี่ย”
คนถูกแซวหัวเราะเก้อเขิน ที่จริงแล้วมันไม่ได้มีอะไรพิเศษอย่างที่ทุกคนคิดเลย ก็แค่เรื่องที่เคยกังวลก่อนหน้านี้มันหายไปหมดแล้วเท่านั้นเอง
“เปล่าสักหน่อย” เจ้าตัวปฎิเสธด้วยรอยยิ้ม นั่งลงบนเก้าอี้หยิบงานของตัวเองขึ้นมาทำต่อ แต่คำปฏิเสธไม่ได้ลดความสงสัยจากเพื่อนร่วมงานไปได้
“ผู้ชายที่เคยมาหาเราเมื่อวานน่ะ เป็นใครเหรอ?” พี่มะลิตามมากระเซ้าถึงที่ด้วยคำถามที่ทำเอาคนฟังนิ่งสะอึก
“อะ...เอ่อ เพื่อน เขาเป็นเพื่อนสมัยเรียน” คนตอบหลบสายตา เบี่ยงเบนความสนใจโดยการปรับสีหน้าให้ดูปกติที่สุดเมื่อถูกเอ่ยถามถึงผู้ชายคนนั้น
“หล่อเท่ห์ ดูดีสุดๆ ไปเลยเนอะ” หนุ่มในฝันตามสเป็คของสาวโสดอย่างเธอไม่มีผิด พี่มะลิหมายมั่นถึงความฝันของตัวเองไว้ในใจ ถ้าอยากลงเอยกับใครสักคนล่ะก็ คนๆ นั้นต้องมีดีกรีเทียบเท่าเพื่อนของน้องปั้นคนนี้อย่างแน่นอน
คนอื่นๆ แยกย้ายไปทำงานหมดแล้ว เหลือแต่เขาที่ยังปล่อยให้ใจหวนคิดถึงคนบางคนจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย และแล้วภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นก็ค่อยๆ กลับคืนมาอีกครั้งพร้อมกับใจตัวเองที่เต้นแรงกว่าปกติ
ที่คิดว่าจะลืมน่ะ...มันทำได้จริงรึเปล่า
 
            พี่อธินมารับเขาในเวลาเลิกงาน ทั้งคู่เลือกเดินซื้อของสดภายในห้างและของใช้จำเป็นก่อนกลับ ถ้าหากมองดูผิวเผิน พวกเขาสองคนคงเป็นคู่รักที่ดูรักกันดีจากการแสดงออกจนหลายคนต้องอิจฉา แต่ใครจะรู้ได้ว่าภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใสแต่ละคนซุกซ่อนความลับอะไรเอาไว้บ้าง
อธินมองมือน้อยๆ ที่กำลังเกาะกุมเขาไว้ไม่ห่างตลอดเวลา ปั้นพยายามปรับสีหน้าและท่าทางของตัวเองให้ดูปกติที่สุด เพราะความกังวลจนทำให้ลืมธรรมชาติของตัวเองไป เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะดีใจหรือสมเพชตัวเองดีกันแน่ ปั้นไม่เคยเป็นฝ่ายปฏิบัติกับเขาเช่นนี้มาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังกลัวว่าเขาจะรู้ความจริง
คงต้องขอบใจไอ้หมอนั่นสินะ 
เป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจไม่น้อย เขาเองก็ต้องคอยแสร้งทำตัวเป็นปกติทั้งที่ในใจร้อนรนเสียเต็มประดา ยิ่งได้รู้เหตุผลว่าทำไม มันก็ยิ่งยอมรับตัวเองไม่ได้ว่าเขากำลังจะแพ้มัน
           
กลับมาถึงห้องปั้นก็ตรงดิ่งเข้าครัวทันที ไม่เพียงแต่เอาอกเอาใจเขาเป็นพิเศษ มีบางเวลาที่เขาสังเกตได้ว่าปั้นพยายามจะหลบหน้าเขา นั่นมันยิ่งทำให้สงสัยเหลือเกินว่ามีอะไรนอกเหนือกว่าความจริงที่เขาได้รู้อย่างนั้นหรือ เขาเองก็ใช่จะว่าจะทนหลับหูหลับตาได้นานเสียเมื่อไหร่ เขาต้องรู้ให้ได้ ช่วงเวลาที่คนรักของเขาหายไป สองคนนั้นมีความสัมพันธ์กันแบบไหน
อธินใจเย็นพอและไม่วู่วาม ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไปเขามักจะคิดและวางแผนไว้อย่างดีเสมอดีเสียจนคนที่รักและรู้ใจกันก็ไม่รู้สึกเอะใจในความเปลี่ยนแปลงนั้นเลย
 
            พ่อครัวตัวน้อยกำลังล้างจานอยู่ในครัวหัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่ออยู่ดีๆ ร่างสูงกลับเข้ามายืนซ้อนอยู่ทางเบื้องหลัง มือหนาคล้องเอวบางไว้หลวมๆ แต่ทว่าลมหายใจที่เป่ารดอยู่บริเวณซอกคอกลับร้ายกาจยิ่งกว่าเล่นเอาน้องปั้นหายใจไม่เป็นส่ำ มือหนาไล้ลงต่ำเรื่อยๆ อีกข้างหนึ่งกระตุกปมผ้ากันเปื้อนออก ริมฝีปากซุกซนจูบซับลงบนแก้มอย่างนิ่มนวลแต่สัมผัสกลับร้อนแรง
            “อะไรกันครับเนี่ย” ปั้นตื่นตระหนกตกใจเมื่อคนโตกว่าค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อของเขาออกทีละเม็ด มือที่กำลังล้างจานอยู่ในที่แรกกลับชะงักลงเสียดื้อๆ
            “พี่อธิน...” เสียงหวานที่ใช้ออดอ้อนดังเช่นทุกทีบัดนี้เจือไปด้วยความทรมานวาบหวาม มือเรียวกุมขอบอ่างพิงแผ่นหลังไว้กับร่างสูงใหญ่
            “ทำไมครับ” ร่างสูงกระเซ้าถาม เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของคนตรงหน้าออกจนเม็ดสุดท้าย มือหนาบรรจงลูบไล้ผิวกายของคนรักส่วนริมฝีปากก็ทำหน้าที่สำรวจไปตามเรือนร่าง
            “อะ..” เสียงหวานๆ หลุดครางออกมาเพียงแค่นั้น คนถูกจู่โจมโดยที่ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อนกว่าจะรู้ตัวทั้งร่างก็อ่อนระทวยไปกับสัมผัสนั่นแล้ว อธินขบเม้มบนซอกคอสร้างรอยสีกุหลาบ นิ้วมือหยอกล้ออยู่บนยอดอกสีสวยสร้างความเสียวซ่านให้กับคนรัก
“มะ..ไม่ไหวแล้ว”
“ให้พี่ช่วยนะ”
“อะ อื้ม...” ปั้นยอมจำนนในที่สุด เข็มขัดกางเกงถูกปลดออกอย่างง่ายดายรวมทั้งชั้นในตัวบางก็ถูกถอดออกไปเช่นกัน
“รู้สึกดีมั้ย?”
“อา อ๊ะ คะ..ครับ” คนตัวเล็กกว่าหน้าแดงจัด มือที่ยันเคาน์เตอร์เอาไว้จิกแน่นด้วยความเสียวซ่านเมื่อถูกปรนเปรอความสุขสม
“รักพี่รึเปล่า?...” อธินประคองใบหน้าหวานให้หันมาสบตา ดวงตากลมโตหวานฉ่ำพยักหน้าน้อยๆ กับประโยคนั้น
“รักครับ อา อ้ะๆ” เมื่อสิ้นสุดคำตอบมือที่เร่งจังหวะกลับถี่กระชั้นขึ้น อธินใช้ริมฝีปากจูบลงไปบนเรียวปากสีสวย กลืนกินทุกถ้อยคำที่หลุดออกมา เสียงเครือครางก็หายไปในนั้น
ร่างสูงกระตุกยิ้ม มือหนาไล้ลงบนรอยสีกุหลาบจางๆ บริเวณเหนือสะโพกของคนรักภายใต้ชายเสื้อที่ปิดไว้หมิ่นเหม่ไม่สามารถปกปิดหลักฐานชิ้นดีที่เอาไว้มัดตัวคนผิด
“ฮึก อื้อๆ...พี่อธิน” ปั้นกุมท่อนแขนอีกฝ่ายไว้แน่นเมื่อชายหนุ่มขยับจังหวะขึ้นรัวเร็ว ก่อนจะชะงักไว้เพียงแค่นั้น อธินอุ้มคนรักนั่งบนเคาน์เตอร์จากนั้นก็ยกเรียวขาข้างหนึ่งขึ้นสูงจนเจ้าของร่างเผลอร้องออกมาด้วยความเขินอาย
“ต...ตรงนี้”
“ตรงนี้ทำไม...หืม?” จมูกโด่งสันก้มลงสูดดมความหอมหวานบริเวณซอกคอ แล้วมืออีกข้างก็รั้งชายเสื้อของคนรักขึ้นสูง ร่องรอยบางเบาจนแทบมองไม่เห็นแล้ว เขาใช้โอกาสนั้นลบร่องรอยน่ารังเกียจทิ้งไปด้วยริมฝีปากของตนเอง
เขาคือคนที่มีสิทธิ์ในร่างกายนี้มากที่สุด
คนโตกว่าไม่ลืมทักทายยอดอกสีหวาน เรียวลิ้นอุ่นร้อนตวัดเลียสลับซ้ายขวา ยิ่งได้ยินเสียงครางอย่างทรมานของคนรัก ก็อดโมโหไม่ได้ว่า ครั้งหนึ่งไอ้เวรนั่นก็เคยครอบครองคนของเขามาก่อน จึงเป็นผลให้ริมฝีปากหนาออกแรงขบเม้มหนักหน่วงขึ้นกว่าเก่า
“อ้า...”
เขาใจร้อนที่จะสำรวจบริเวณนั้นของคนรักให้เร็วมากที่สุด ใช้นิ้วมือเกลี่ยลงไปที่เรียวลิ้นอุ่นร้อนของร่างตรงหน้า เมื่อชโลมน้ำลายของเจ้าตัวจนมันชุ่มเต็มที่แล้วก็ค่อยๆ กดลงไปบนช่องทางคับแคบนั้นทันที
ไม่รู้เป็นผลจากการกระทำครั้งก่อนหรือไม่ จึงเห็นได้ชัดว่าปั้นเผลอกระตุกเบาๆ ตอนที่เขาเพียงแค่แตะลงไปที่ผิวเนื้อ
“จะ เจ็บ”
“พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” แล้วชายหนุ่มก็ใช้จังหวะนั้นสอดใส่เข้าไป คนรักซี้ดปากร้องอย่างทรมาน สองขาเกร็งจนตัวสั่นสะท้าน อาการนี้ใครๆ ก็ดูออกว่าเพราะอะไร แต่เขาไม่เคยปราณี ในเมื่อมันได้ร่างกายคนของเขาไปแล้ว เขาก็ไม่ยอมแพ้ที่จะปล่อยให้ปั้นตกเป็นของมันเพียงคนเดียว
อธินจับสองขาแยกออกกว้าง ร่างบางตรงหน้าไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ อีกแล้ว ทั้งๆ ที่กำลังขัดเขิน แต่เวลานี้ในสมองมันว่างเปล่า มึนเบลอไปหมด เมื่อนิ้วเรียวยาวค่อยๆ ขยับเข้าออกเป็นจังหวะช้าๆ จากที่ปวดหนึบๆ ในตอนแรก ทว่าเวลานี้กลับรู้สึกเสียวซ่านมากกว่า
“พี่อธินครับ อื้อ อื้อ” อธินรั้งเรียวขาสวยให้เกาะเกี่ยวที่สะโพกของตนเอง จากนั้นก็ปลดกางเกงของตัวเองออก รูดรั้งเพียงไม่นาน บางส่วนที่แข็งขืนก็ปรากฏต่อสายตาของคนรัก
ปั้นตัวสั่นสะท้านมองส่วนนั้นกำลังดุนดันเข้ามาในช่องทางสีสดของตนเอง ทั้งที่อยากประท้วงแต่ใจนึงก็ต้องยินยอมรับมันเข้ามา นิ้วเรียวจิกแน่นลงบนพื้นเคาน์เตอร์ เพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้นเขาก็หอบหายใจถี่รัวทานทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“แยกขากว้างๆ” คนรักร้องสั่งเมื่อความฝืดเคืองเริ่มเป็นอุปสรรค เขามองดวงตากลมโตที่กำลังปิดสนิทของคนปั้นแล้วก็ต้องเปลี่ยนไปเชยคางเรียวให้ขึ้นมารับจูบนี้
“มองหน้าพี่สิ” ปั้นลืมตามองอย่างขาดกลัว แต่ขณะเดียวกันเมื่อเห็นความอ่อนโยนผ่านทางดวงตาคู่นั้น จากที่กำลังหวาดหวั่นก็เปลี่ยนเป็นคลายกังวล ยินยอมและผ่อนคลายให้พี่อธินเข้ามาลึกขึ้น
“อ่ะ อื้อ” ในที่สุดเขาก็รับส่วนนั้นเข้ามาภายในจนหมด ปั้นหอบหายใจอย่างหนัก รอรับชะตาที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ร่างสูงค่อยๆ  ขยับกายเบาๆ เมื่อคนด้านล่างไร้เรี่ยวแรงจะยกขาขึ้นสูงๆ เขาก็เปลี่ยนให้คนรักลงมายืนฟุบกับโต๊ะกลมทันที นั่นยิ่งทำให้ง่ายต่อการสอดใส่มากขึ้นกว่าเดิม เมื่ออยู่ในท่าถนัด เขาก็เร่งจังหวะให้ถี่ขึ้น เสพสุขจากร่างตรงหน้าที่ปรารถนามานานแสนนาน
“อะ อ้ะ”
“มีความสุขรึเปล่า?”
“ครับ” ตอนได้ยินคำตอบรับนั้นเขาเกือบเผลอถามกลับไปแล้วว่าระหว่างเขากับมันใครกันที่ทำให้มีความสุขมากกว่า แต่ก็ยับยั้งใจไว้ก่อน เมื่อได้ยินคนรักครางเสียงสูง เขาก็ช่วยรูดรั้งส่วนนั้นให้เบาๆ ไม่นานน้องปั้นก็ชิงปลดปล่อยออกมาก่อน เสียงหายใจระรัวเร็ว ไม่นานเขาก็ตามปลดปล่อยออกมาติดๆ
ภายในกายร้อนระอุไปหมด ร่างกระตุกเกร็งเป็นจังหวะหลั่งหยาดหยดแห่งความสุขสมออกมาจนหมด สองขายืนบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง คนไวกว่าใช้สองแขนประคองร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมอก
“รู้ใช่มั้ยว่าพี่รักเราแค่ไหน?”
ปั้นพยักหน้าตอบไปด้วยสติที่รางเลือน แล้วร่างสูงก็ช้อนเอวขอดขึ้นมา พาร่างกายที่อ่อนปวกเปียกเข้าไปล้างทำความสะอาดในห้องน้ำ



เช้าของวันถัดมา ชายหนุ่มใช้เวลาอาบน้ำอยู่นานพอสมควร เนื่องด้วยทบทวนประโยคแปลกๆ เมื่อวานของพี่อธิน หากฟังดูเผินๆ มันก็คือคำบอกรักเหมือนทุกที แต่ถ้าคิดลึกซึ้งถึงความหมายบางทีมันอาจจะมีอะไรมากกว่านั้นก็ได้
ร่างบางขึ้นจากอ่างน้ำยืนมองตัวเองในกระจก พิจารณาร่องรอยที่คนรักฝากไว้บริเวณต้นคอ ปกติแล้วพี่อธินไม่ใช่คนชอบทำอะไรแบบนี้ ดวงตาคู่สวยพลันเปลี่ยนเป็นความสงสัยเมื่อสะดุดกับรอยกุหลาบจางๆ บริเวณเหนือสะโพก 
ตะ ตรงนี้...
เป็นไปได้ไหมว่ามันจะเป็นรอยเดิม ตอนที่เขากับรดิศมีอะไรกัน
มือเรียวสั่นเทาขึ้นมาด้วยความหวาดหวั่นเมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นในหัว
หรือว่าพี่อธินจะรู้เรื่องนี้เข้าแล้ว…
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดสมาธิ ร่างบางที่ยืนหน้ากระจกหลุดจากภวังค์ ดวงตากลมสวยเลิ่กลั่กด้วยหวาดกลัวในความคิดของตัวเอง
            “เป็นอะไรไปรึเปล่า?” พี่อธินยืนอยู่หน้าห้องน้ำ ร่างสูงมีสีหน้าเป็นห่วงเขาขึ้นมาอย่างชัดเจน ฝ่ายคนที่มีความผิดพยายามหลบตาปกปิดความจริง
            “เปล่าครับ”
เขาพลาดไปแล้ว...
           
คนที่น่ากลัวที่สุดคือคนที่นิ่งเฉยและเก็บเรื่องราวทุกอย่างไว้ในใจและปฏิบัติตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนคนผิดค่อยๆ แสดงท่าทีพิรุธและคายความผิดที่ทำลงไปออกมาเองในที่สุด
พี่อธินกำลังใช้วิธีนั้นกับเขาสินะ
 


........................................

 ไม่รู้ว่าขนมในครัวกับเค้กวันเกิดอะไรอร่อยกว่ากัน โฮ่ๆ แต่ที่แน่ๆ น้องปั้นอิ่มแน่นอน
เง้ยยย พูดอะไร ทำไมเขินจังงงง ฮ่าๆๆๆ

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
งานนี้ผูกกันยาวกว่าเดินเลยอ่ะ อยากให้ปั้นคู่ดิศไวไวจัง รอเท่านั้น
เดียร์เนไหมน่ะ กลัวจะเป็นเดียร์อธิน ปนจะได้ยาวไป อิอิ

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Listen to my heart ........♥ 16 : แค่อยากให้รู้
«ตอบ #33 เมื่อ09-01-2018 12:33:43 »

ตอนที่ 16 แค่อยากให้รู้
 
 
 
 
บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความอึดอัด ระหว่างพวกเขาสองคนคล้ายกับท้องฟ้าในวันที่ฝนจะตก มืดมัวจนมองไม่เห็นอะไรเลย ทั้งที่อยู่ด้วยกันแต่กลับรู้สึกห่างเหิน แม้พี่อธินจะทำตัวปกติแต่ลึกๆ แล้วมันไม่เหมือนเดิม
ปั้นยืนมองคนรักกำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา แม้อยากเข้าไปใกล้และพูดจาออดอ้อนเช่นเดิมแค่ไหนแต่เขาไม่สนิทใจจะทำแบบนั้น คนผิดอย่างเขาไม่รู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรดี
ร่างบางเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าและจัดกระเป๋าเดินทางสำหรับการออกค่ายในวันพรุ่งนี้ คิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าการที่เขาหายไปสักพักอาจจะทำให้ความผิดในตัวถูกลบล้างลงไปได้บ้าง หากวนเวียนอยู่แต่ในสถานการณ์เดิมๆ ซ้ำๆ เขาคงเครียดจนไม่เป็นอันทำอะไรแน่
“ยังไม่ถึงกำหนดไม่ใช่เหรอ?” เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นจากร่างสูงที่ดูเหมือนจะไม่สนใจกันในทีแรก อีกฝ่ายกดเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ รอฟังคำตอบจากคนรัก
“มันเป็นค่ายเล็กๆ แค่สองสามวันครับ” ปั้นยังคงจัดกระเป๋าของตัวเองต่อไป รู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยที่พี่อธินยังคงถามไถ่กันอยู่บ้าง
“ไปที่ไหนล่ะ”
“กระบี่ครับ” สิ้นสุดคำตอบพี่อธินก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง เขาเดินไปคว้ากุญแจรถก่อนออกไปจากห้องทิ้งทวนประโยคไว้เพียงสั้นๆ ที่ทำเอาใจคนฟังสั่นไหวราวกับเมฆขุ่นมัวนั่นจะกลั่นออกมาเป็นน้ำตา
“เข้านอนไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอพี่”
เสียงประตูปิดลงพร้อมกับประโยคที่ยังก้องอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน ร่างบางนั่งอยู่บนพื้นหยุดการกระทำทุกอย่างของตัวเอง
ทำไมพี่อธินถึงทำแบบนี้
ถ้าจะต่อว่าหรือประณามการกระทำของเขาออกมาเป็นคำพูดก็จะไม่เสียใจเลย แต่การนิ่งเฉยใส่กันมันโหดร้ายเกินไป
“ผมรู้ว่าผมผิด แต่จะให้ผมพูดออกไปได้ยังไง...” เสียงสั่นเครือบอกไปในความว่างเปล่า พี่อธินไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนและเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
นอกจากรอให้ฝ่ายนั้นเห็นใจและกลับมาเป็นเหมือนเดิม
 
 
            อธินกลับห้องในรุ่งเช้าของวันถัดมา สภาพของชายหนุ่มทำให้ปั้นรู้ว่าเขาคงอดนอนมาทั้งคืน ตัวเองก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรนอกจากเข้าไปนั่งรอในรถ เมื่ออีกฝ่ายจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยเขาก็ตามมาเหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ เพียงแต่บทสนทนาระหว่างคนทั้งคู่เริ่มลดน้อยลง
            “ดูแลตัวเองด้วยนะ” 
            “ครับ...พี่เองก็เหมือนกัน”
            “ถึงแล้วก็อย่าลืมโทรมาบอกพี่”
            “ครับ” ในตอนนั้นเองคนที่ใจกำลังอ่อนแอรู้สึกเหมือนมีม่านบางๆ เข้ามาบดบังในดวงตา พี่อธินขับรถออกไปแล้ว เหลือเพียงแต่เขาที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
และน้ำตาก็ไหลออกมาในที่สุด...
วิธีลงโทษแสนเรียบง่าย แต่ทว่าช่างโหดร้ายกันเหลือเกิน
 
ร่างสูงสบถในลำคอเมื่อมองคนรักทางกระจกหลัง ระบายความเจ็บช้ำที่มีไม่ต่างกัน แม้รู้สึกเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาในฐานะที่เป็นรองอยู่เสมอจำเป็นต้องใช้วิธีนี้เพื่อเป็นเครื่องผูกมัดที่จะทำให้ปั้นไม่กล้าทำผิดต่อเขาอีก
เพราะรู้จุดอ่อนของคนรักดี...และนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะยอม
 
“พี่ปั้น...พี่ปั้นเป็นอะไร!!” เด็กหนุ่มกระชับไหล่ของรุ่นพี่คนเก่งเพื่อมองน้ำตาบนแก้มนั่นให้ชัดๆ ว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด คนถูกถามเอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมบอกอะไรทั้งนั้น คนอื่นๆ ที่เข้ามารุมล้อมต่างก็อดเป็นห่วงไปไม่ได้ พี่มะลิวางกระเป๋าของตัวเองลงบนพื้น กอดไหล่น้องปั้นอย่างเอ็นดูพลางปลอบประโลม ปั้นกำลังจะเดินทางไปมอบความสุขให้เด็กๆ แต่ไหงตัวเองถึงยืนร้องไห้เสียใจแบบนี้ เธอเล่าเรื่องตลกๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หวังทำให้สถานการณ์มันดีขึ้นอย่างที่มันควรจะเป็น
 
พวกเขาเดินทางออกจากตัวเมืองภูเก็ตได้ไม่นาน ฝนก็เริ่มตกลงมาอย่างหนักทำให้การเดินทางล่าช้า เสียงพูดคุยในทีแรกเริ่มสงบลง หลายคนบนรถกำลังหลับ เหลือเพียงเขากับความฟุ้งซ่านที่ยังไม่จางหาย
ปั้นเฝ้ามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง ปกติแล้วเวลานี้พี่อธินคงโทรหา แต่ครั้งนี้ไม่มีเลย คิดว่าคงโกรธกันไปแล้วจริงๆ
พอคิดแบบนี้ทีไร น้ำตามันจะไหลออกมาทุกที
 
.......................................................
 
“เอ้าทุกคน...ตื่นได้แล้ว ถึงแล้วจ้า” พี่แอนกำลังปลุกน้องๆ ที่ยังคงหลับอยู่บนรถ ปั้นลืมตาขึ้นมาเมื่อเห็นบรรยากาศนอกหน้าต่างมันเปลี่ยนไป โรงเรียนอนุบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งในชนบท บัดนี้มีคุณครูและนักเรียนหลายคนกำลังยืนต้อนรับพวกเขาที่เพิ่งเดินทางมาถึง
ทุกคนไม่รอช้ารีบลงจากรถไปทักทายพวกเด็กๆ ที่แลดูตื่นเต้นไม่น้อยกับการได้พบกับผู้มาเยือน บรรดาคุณครูเชิญพวกเขาพักรับประทานอาหารเที่ยง ก่อนจะชี้แจงหน้าที่ที่จะมอบหมายให้หลังจากนี้
พวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มที่หนึ่งรับผิดชอบการทำกิจกรรมร่วมกับเด็กๆ ไม่ว่าจะเสริมทักษะต่างๆ เน้นความเพลินเพลินสนุกสนาน ส่วนกลุ่มที่เหลือรับหน้าที่วาดรูปตกแต่งผนังโรงเรียนเพื่อต้อนรับประชาคมอาเซียนที่จะมาถึง ซึ่งคุณครูหลายๆ ท่านต่างคอยให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกพวกเขาอย่างเต็มที่ รวมทั้งเด็กๆ ก็คอยลุ้นว่าโรงเรียนของตัวเองจะถูกออกแบบและตกแต่งออกมาในแนวไหน
“พี่แอนหาอะไรอยู่เหรอครับ?”
“อ้อ! ถุงใส่ของรางวัลให้เด็กๆ น่ะ พี่จำไม่ได้ว่าเอาไปวางไว้ที่ไหน”
“อยู่ในรถคันที่ 2 รึเปล่าครับ?”
“พี่หาดูแล้วนะ แต่มันไม่เจอเลย”
“เอ...หรือจะเป็นคันแรกครับ แต่รู้สึกว่าพวกพี่แม็กซ์กับคนขับรถเอาของไปเก็บที่บ้านพักเรียบร้อยแล้วล่ะครับ”
“สงสัยจะติดไปด้วยแน่ๆ ทำไงดีล่ะต้องใช้ซะด้วยซิ”
“งั้น เดี๋ยวผมออกไปเอาให้ก็ได้ครับ”
“ฝากทีนะปั้น!”
 “ครับ” ปั้นยิ้มรับแล้วรีบเดินออกมาหน้าโรงเรียนทันที เขาเห็นพี่คนขับรถนอนพักอยู่ใต้ร่มไม้ ก็เลยเข้าไปขอความช่วยเหลือ
“พี่ครับ ช่วยไปส่งผมหน่อย คือพอดีต้องไปเอาของน่ะครับ”
พี่คนขับมีอาการงัวเงียเล็กน้อยแต่ก็รับคำ ปั้นรีบเดินตามไป เบนซ์รุ่นเก่าคันหนึ่งจอดอยู่ใกล้รถตู้ของพวกเขา ร่างบางเปิดประตูตามเข้าไปนั่งอย่างรู้หน้าที่
“ไกลมั้ยครับ?” ปั้นซักไซ้พอเห็นว่านี่มันก็เกือบยี่สิบนาทีเข้าไปแล้ว คิดว่าที่พักกับโรงเรียนจะอยู่ใกล้กันเสียอีก ซึ่งปกติมันต้องอยู่ใกล้กันเพื่อความสะดวกไม่ใช่เหรอ?
คนขับยังคงเงียบจนปั้นเริ่มชักไม่แน่ใจ รู้สึกเหมือนบางอย่างผิดปกติ ก่อนเขาจะถามคำถามที่สองรถก็จอดลงหน้าบ้านพักแห่งหนึ่ง ปั้นคิดว่านั่นคงจะเป็นที่หมาย พี่คนขับรถเดินนำไปก่อน ปั้นเดินตามไปทีหลัง เมื่อพิจารณาจากรูปร่างลักษณะของคนตรงหน้าทำให้รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาอย่างบอกไม่ถูก ส่วนสูงที่มากเกินกว่าชายทั่วไปกับท่าเดินที่ดูสง่าผ่าเผยเหมือนกับใครคนหนึ่ง สงสัยเหลือเกิน ภายใต้หมวกใบนั้นกับหน้ากากอนามัย แถมคนขับก็ยังดึงฮูดขึ้นมาปิดจนมิดอย่างน่าสงสัย เจ้าตัวรีบเดินตามคนตรงหน้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วกระชากหมวกใบนั้นออกทันที
เส้นผมที่ยาวไล่ปรกลงมาบนใบหน้า กับนัยน์ตาคมเข้มกำลังจ้องมองมา
เป็นรดิศจริงๆ ด้วย...
“คิดจะทำอะไรของนาย!” ความรู้สึกมากมายพุ่งเข้ามาในใจ ทั้งโกรธ โมโห หมอนี่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด แทนที่จะหายไปซะ แต่กลับเข้ามาวนเวียนตอกย้ำ
“ปั้นเดี๋ยว...” ไม่พูดเปล่าเขายังจับมือไว้ น้ำเสียงฟังดูร้อนรนราวกับต้องการจะพูดอะไรต่อจากนั้น
“ปล่อยเราไปเถอะดิศ เราสองคนไม่ควรจะมาเจอกันอีกนะ เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ...” ต้องการให้ทรมานไปถึงไหนเรื่องเก่าที่เกิดก็สร้างปัญหาให้มากพอแล้ว
“ฉันขอโทษ”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าอะไรตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์หรอก นายกลับไปเถอะ”
คนฟังเองก็ใจหายไม่แพ้กัน ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเพียงแค่มองปั้นจากทางด้านหลัง เห็นทั้งร่างกำลังสั่นสะท้าน เขาก็รู้สึกผิดจนเกินบรรยาย แทนที่จะทำตามอีกคนพูด รดิศกลับรั้งอีกคนเข้ามากอดราวกับต้องการรับความเจ็บช้ำนั้นมาไว้เอง
“อย่านะ บอกว่าอย่าไงเล่า!” พอห้ามไม่ได้ผล ปั้นก็ระบายความคับแค้นในใจออกมา มือที่ฟาดลงไปบนอกของอีกฝ่ายทั้งหนักหน่วง รุนแรง แต่ทั้งหมดมันคงไม่เท่าความทรมานในใจนี้
“ขอโทษ!” น้ำเสียงอ่อนโยนเพียงพอจะทำให้อารมณ์รุนแรงของคนบางคนสงบลง รดิศใช้จังหวะนี้เอ่ยคำขอโทษอีกนับครั้งไม่ถ้วน “ฉันรู้ว่าตัวเองทำผิด ขอโทษที่เป็นต้นเหตุทำให้นายเป็นแบบนี้ ฉันเองก็เสียใจเหมือนกันนะ”
“พาเรากลับไปส่งเถอะ...” เมื่อไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้านปั้นจึงเปลี่ยนเป็นคำขอ รู้สึกเหนื่อยเหลือเกินกับหลายๆ สิ่งที่เข้ามาในชีวิตจนสับสนไปหมด ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น อยากหนีไปให้ไกลๆ
“อยู่ด้วยกันก่อนไม่ได้เหรอ?” อีกฝ่ายกำลังอ้อนวอนอยู่เช่นกัน ที่มาในวันนี้ก็เพราะต้องการทำในสิ่งที่อยากทำ พูดในสิ่งที่ต้องการพูด ระหว่างพวกเขาสองคนมีหลายอย่างที่ยังไม่เข้าใจกัน
เขารู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองไม่ดียังไงและเพราะเป็นแบบนั้นเขาถึงไม่มีความสุขเลยในห้าปีที่ผ่านมา
“ฉันไม่เคยร้องขอใครแบบนี้เลยนะ...” ประโยคนี้ของรดิศทำเอาคนที่นิ่งอยู่นานต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตา
“ฉันรักนายจริงๆ นะ”
‘เขา’ ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นรักแรกและเป็นคนเดียวที่ไม่เคยลบออกไปจากใจ รดิศจูบเบาๆ ลงบนหน้าผาก รู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรในตอนนี้ แค่เพียงต้องการยืนยันสิ่งที่ตัวเองทำผิดไปว่ามันไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบ แต่เป็นเพราะเกิดจากรักจริงๆ
 
ตั้งแต่ได้ยินคำสารภาพ ปั้นก็เงียบมาตลอด ร่างบางนั่งอยู่บนม้านั่งริมระเบียงบ้านพักส่วนตัวหลังหนึ่งซึ่งมองออกไปเห็นทะเล ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ใบหน้าอันเรียบสนิทนั้น กำลังคิดอะไรอยู่
รดิศเข้ามาเกาะแกะอีกครั้งหลังปล่อยให้อีกฝ่ายใช้เวลาอยู่กับตัวเอง พอเห็นสีหน้าที่หม่นหมองยามเหม่อลอย เขาก็อยากเข้าไปกอดปลอบให้อีกคนเลิกคิดมาก แต่สองมือไม่กอดเปล่า กลับลูบไล้ไปตามแผ่นหลังจนเจ้าของร่างเริ่มหวั่น
“อย่า..นี่จะทำอะไรอีก”
“แค่ครั้งเดียว นะ”
“เราต้องกลับแล้ว!” 
“เดี๋ยวไปส่ง”
“ดิศ! อย่าเอาแต่ใจ”
“ฉันคิดถึงนาย...อยากกอด” แล้วคนขี้ใจอ่อนก็ยอมให้ร่างสูงกว่าปลดกระดุมเสื้อออกไปทีละเม็ดจนหมด ไม่ใช่ว่ายินยอมอยากให้เขาทำอะไรตามใจชอบ แต่เป็นเพราะตนเองไม่เคยห้ามความต้องการลึกๆในใจนี้ได้เลยต่างหาก แม้จะรู้ว่าทำผิด แต่ร่างกายมันซื่อสัตย์กับสัมผัสของรดิศไปแล้ว ไม่อาจหักห้ามใจ
จะโทษอีกฝ่ายคนเดียวไม่ได้ เพราะตัวเองก็ไม่รู้จักยับยั้งความรู้สึก
 “อื้ม อือ” ริมฝีปากสีสวยถูกครอบครอง ทั้งคู่จูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่มคล้ายคนกระหายที่รอนแรมมาเนิ่นนานได้พบกับโอเอซิสกลางทะเลทราย รอบกายนั้นได้ยินเพียงเสียงคลื่นทะเล และลมหายใจถี่รัวของคนตัวเล็กกว่าเมื่อเขาเพิ่งถอนจูบออกมา
“พอแล้ว” ร่างบางเอ่ยขัดเมื่อเห็นอีกคนจะเข้ามาจูบซ้ำอีกรอบ มือเรียวยกขึ้นเช็ดรอยเปียกชื้นที่ริมฝีปาก พลันเหลือบเห็นสายตาเอาแต่ใจของรดิศ ก็รู้ตัวแล้วว่าเขาผิดเองที่ปล่อยให้คนๆ นี้ได้ทำอะไรตามใจตั้งแต่แรก ก่อนจะตั้งตัวทั้งร่างก็ถูกอุ้มขึ้นพาดบ่า ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในบ้านหลังนั้นแล้ววางร่างบางลงบนเตียงก่อนจะขึ้นทาบทับ
“ดิศ! นี่มันจะมากไปแล้วนะคนอื่นเค้ารออยู่ ทำแบบนี้อยากให้คนอื่นเค้าสงสัยกันนักใช่มั้ย?”
แน่นอนว่าถ้าเรื่องนี้รู้ถึงพี่อธิน เขาคงไม่มีวันกล้าเผชิญหน้ากับฝ่ายนั้นแน่ เมื่อปั้นพยายามจะลุกขึ้นขัดขืนแต่แล้วกางเกงขาสั้นของเขาก็ถูกถอดออก ดูเหมือนว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ รดิศไม่คิดลดละซ้ำยังไล่จูบตั้งแต่หน้าขาขึ้นมาจนถึงหน้าท้องแบนราบ ทำเอาคนใต้ร่างหายใจติดขัด แล้วชั้นในตัวเล็กก็ถูกถอดลงมา
ชายหนุ่มใช้ริมฝีปากครอบครองลงไปส่วนนั้น ขยับเบาๆ ให้คนด้านล่างฟุ้งซ่าน ไม่นานอีกคนก็หน้าแดงก่ำ แอ่นกายกระตุกเบาๆ ทั้งตัวสั่นเทิ้ม เห็นแล้วช่างเย้ายวนใจ
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน รดิศรุกเร้าอย่างหนัก เมื่อขยับขยายบางส่วนจนพอใจแล้วก็เตรียมสอดใส่เข้าไปทันที
“อื้อออ ดิศ!” ร่างบางร้องผวา มองตาคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ แล้วก็ส่งเสียงร้องครางอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มเร่งจังหวะอย่างหนัก สอดใส่จนลึกสุดแล้วขยับออกมา ก่อนจะสวนขึ้นไปอีกครั้ง ย้ำๆ อยู่แบบนั้นจนสมองของปั้นขาวโพลนไปหมด ทั้งกังวลทั้งมีความสุขจนไม่อาจเก็บเสียงครางดังลั่นอันน่ารังเกียจของตนเองไว้ได้
“อ้ะ อ้า อ้า อะ” น้ำตาไหลซึมออกมาที่หางตา นั่นไม่ใช่เพราะความเศร้าเสียใจแต่มาจากความสุขสมที่ไม่อาจยับยั้ง รดิศใช้ปลายนิ้วชี้หมุนวนที่ส่วนปลายของคนด้านล่างที่เริ่มแฉะชื้น เนื่องจากมีหยาดหยดไหลซึมมา เมื่อฝ่ายนั้นยกสองนิ้วขึ้นแล้วส่งให้เขาดูความปรารถนาของตนเอง ปั้นก็เขินอายจนไม่อาจยอมรับความจริง
“น่ารักจริงๆ เมียใครวะ!” พูดจบรดิศก็ก้มลงมาจูบเอาใจ ตอนนี้เขามีความสุขมากจนไม่คิดเกรงใจใครอีกแล้ว หากจากนี้คิดจะแย่งคนๆ นี้กลับมา
“อืออ อื้มมมม” ร่างบางถูกรุกเร้าเข้ามาอย่างหนัก จนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่ยกแขนปรามการกระทำ อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้เขาได้หายใจสะดวกเลย ทั้งยังกระแทกเข้ามาถี่กระชั้นจนแทบจะขาดอากาศ
“รู้สึกดีมั้ย?”
“อื้ม”
“อื้ม..ยังไง”
“ดี ระ..รู้สึกดี” แล้วไม่นานปั้นก็ทนไม่ไหว เมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมาช่วยปรนเปรอส่วนหน้าให้ ในที่สุดก็เป็นฝ่ายหลังออกมาก่อน เขาหอบหายใจรุนแรง ปล่อยให้ร่างสูงเคลื่อนกายไปมาอยู่ด้านบน ฟังเสียงผิวเนื้อกระทบกันดังลั่นในห้องเล็กๆ ริมทะเลแห่งนี้
แล้วชายหนุ่มก็ปลดปล่อยออกมาในที่สุด ร่างเล็กหน้าแดงก่ำเมื่อรู้สึกถึงของเหลวอุ่นร้อนอยู่ภายในช่องทางของตนเอง พอคิดถึงเรื่องยุ่งยากนี้แล้วก็ได้แต่เม้มปากแน่น
“ทำไม ไม่พอใจเหรอ?”
“ลุกสิ!”
รดิศถอนแก่นกายของตนเองออกมา ก่อนที่คนทำตัวน่ารักแบบแมวน้อยๆในตอนแรก จะกลายร่างเป็นเสือ เขาลุกขึ้นอย่างอิดออด มองคนบนเตียงที่ยังคงเหนื่อยล้าจากเซ็กซ์เมื่อครู่ เห็นแล้วก็อยากลงไปจูบแล้วกระแทกซ้ำลงไปแรงๆ อีกหน แต่ติดที่ดวงตาดุๆ กำลังมองมา

ปั้นเดินตามอีกฝ่ายกลับไปที่รถ ในระหว่างนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย จนกระทั่งถึงโรงเรียน
“เดี๋ยวก่อน!” เป็นเสียงตะโกนตามมาทีหลัง คนที่เดินออกไปแล้วจำเป็นต้องชะงักฝีเท้า หยุดและรอฟังสิ่งที่เขาต้องการจะพูด
“ฉันเป็นห่วงนายนะ” ปั้นรู้สึกตัวเบาโหวง เกิดอาการแปลกๆ ในใจอย่างที่เคยเป็นในอดีต แต่ความรู้สึกเหล่านั้นถูกลบออกไปเมื่อเขาไม่อาจปฏิเสธความจริงนั่นได้...
ความจริงที่ว่าเขามีพี่อธินอยู่แล้ว...
ไม่ควรทำร้ายใคร ยิ่งคนนั้นคือคนที่อยู่เคียงข้างมาตลอด คนที่ยอมทำอย่าง ยิ่งกว่านั้นเคยสัญญาไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าจะไม่ทำให้พี่อธินเสียใจอีก
เขาหลับตาลงทำเหมือนตัวเองไม่ได้ยินทุกสิ่งที่รดิศพูด...
 
 
“ปั้นหายไปไหนมา!” พี่มะลิถามเสียงลั่นเมื่อเห็นเขากลับมา ท่าทางดูร้อนรนจนเขาชักกลัวว่าที่นี่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นรึเปล่า
“รู้ไหมว่าพวกพี่เป็นห่วงแค่ไหน แล้วเนี่ยโทรศัพท์ก็ลืมทิ้งไว้” เธอยัดโทรศัพท์ของเขาใส่ให้ในมืออย่างรู้สึกโล่ง จนปั้นรู้สึกผิดไปเลยที่ทำให้คนอื่นเป็นห่วงขนาดนี้ 
“ผมขอโทษ ส่วนเรื่องของรางวัล ผมยังไม่ได้กลับไปเอาให้เลย”
“อันนั้นช่างมันเถอะ พี่แอนให้คนอื่นจัดการไปก่อนแล้ว ว่าแต่เรารีบโทรหาพี่อธินเร็วเข้า ฝ่ายนั้นเค้ากำลังรออยู่นะ”
“พี่อธินเหรอครับ?”
“ใช่! โทรมาตั้งหลายสายเชียวแน่ะ”
“อะ เอ่อ..ครับ” ในใจวูบโหวงรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
“รีบไปโทรหาเลยเร็วเข้า” พี่มะลิรุนหลังรุ่นน้องให้รีบไปจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ เพราะไม่ต้องการเห็นอาการเศร้าซึมของเพื่อนร่วมงาน
“ยุ่งอยู่รึเปล่า?”
“อ้อ...เปล่าครับ”
“กินอะไรรึยัง?”
“ยังเลยครับ...พี่ล่ะ”
“เหมือนกัน...” ปลายสายเงียบเหมือนไร้ประโยคจะพูดต่อ ทั้งที่มันควรจะกลับไปเป็นเหมือนปกติแต่มันยากเกินไปนักสำหรับพวกเขาทั้งคู่
“งั้นแค่นี้นะ...” พี่อธินตัดสายไปก่อน ปั้นยืนตัวแข็งทื่อไร้ความรู้สึก ทำไมบาดแผลระหว่างพวกเขาสองคนมันถึงประสานกลับเป็นเหมือนเดิมยากนัก ทั้งที่เขากำลังพยายามและก็รับรู้ว่าพี่อธินเองก็พยายามไม่แพ้กัน แต่ทำไมมันเหมือนมีเส้นบางๆ มากั้นไว้ อยากจะพูดแต่ทำไมถึงพูดไม่ออก อยากจะถามไถ่ให้มากกว่านี้แต่กลับไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
 
ในหนึ่งวันคนเราสามารถรองรับอารมณ์ของตัวเองได้เท่าไหร่กันนะ ในช่วงเวลาหนึ่งคนเราจะมีความรู้สึกได้มากแค่ไหน
รู้สึกดีเมื่อพี่อธินแสดงออกมาว่าห่วงใยแต่แล้วต้องกลับไปร้องไห้อีกครั้งเมื่อเห็นท่าทีเฉยชาของคนรักและการที่เขาตีตัวออกห่างคำพูดทุกอย่างฟังดูห่างเหิน รู้สึกเกลียดตัวเองที่ทำเรื่องผิดพลาดแล้วก็ไม่สามารถอธิบายเรื่องทั้งหมดที่อยู่ในใจให้ใครฟังได้
ในระหว่างที่พยายามทำตัวปกติปล่อยตัวปล่อยใจไปกับหน้าที่ของตัวเอง รดิศก็เข้ามาความรู้สึกในตอนนั้น ทั้งโกรธ ทั้งโมโห เขาเหมือนสิ่งตอกย้ำความเจ็บปวดทรมาน ซ้ำยังพูดในสิ่งที่ไม่คาดฝัน ครั้งนี้มันดูหนักแน่นและจริงจังกว่าที่ผ่านมา รวมไปถึงคำขอโทษนับครั้งไม่ถ้วนที่ทำให้ใจของปั้นรู้สึกสงบขึ้นอย่างน่าประหลาด
เกิดอารมณ์อ่อนไหวในใจแล้วมันก็ถูกพัดพาไปกับสายลม เมื่อหวนคิดถึงความเป็นจริง
            ...ไม่ว่าอะไรมันก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ตราบใดที่เขามีพี่อธินอยู่ รดิศก็เป็นได้เพียงแค่ความทรงจำในอดีต
 
 
…………………………………..
 
ในช่วงเย็นของวันถัดมา ปั้นนั่งดูเด็กๆ กำลังเล่นฟุตบอลอยู่ในสนามหญ้า อันที่จริงเรียกว่าแย่งบอลกันมากกว่าแต่ละคนดูดีใจกันยกใหญ่กับของเล่นที่พวกเขาเอามาฝาก เห็นสีหน้ามีความสุขของเด็กๆ แล้วอดยิ้มตามไปไม่ได้ คงจะดีไม่น้อยถ้าเขาเองได้มีรอยยิ้มแบบนั้นบ้าง
            “ไอติมครับ” รุ่นน้องที่แสนดีของพี่ปั้นนั่งลงข้างๆ พร้อมยื่นไอติมรสส้มแบบที่เจ้าตัวชอบกินให้
“ขอบใจนะ”
“แยกมานั่งคนเดียวอีกแล้วนะครับ ผมเนี่ยตามหาซะทั่วเลย พี่ๆ คนอื่นเค้าก็เป็นห่วงกัน” น้องมีนได้รับหน้าที่ให้มาดูแลพี่ปั้นโดยเฉพาะ เพราะอยู่ในฐานะเพื่อนร่วมงานที่สนิทกับพี่ปั้นที่สุด คนอื่นๆ เลยฝากฝังมา
“พี่ไม่เป็นไรหรอก”
“แน่ใจนะครับ?” เด็กหนุ่มสีหน้าไม่สบายใจเท่าไหร่นัก เพราะเห็นแววตาของคนพูดมันสวนทางกับความรู้สึกที่ตัวเองสัมผัสได้ เขารู้ว่าพี่ปั้นพยายามปกปิดอาการ ไม่อยากให้ใครเป็นห่วงแต่มันไม่สามารถโกหกสายตาคู่นี้ได้หรอก
“ไม่เป็นไรจริงๆ”
ยิ่งมีคนห่วงใยมากเท่าไหร่ เขาเองยิ่งรู้สึกอ่อนแอลงเท่านั้น บางทีสิ่งที่อยู่ในใจนี้ควรถูกระบายออกไปบ้าง อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องทนแบกรับมันไว้คนเดียว
น้องมีนเห็นใบหน้าของพี่ปั้นเริ่มอ่อนลง และน้ำตาก็ไหลออกมาหลังจากนั้น เขาเองที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนรู้สึกตกใจไปไม่น้อยเลย พยายามกอดปลอบและสรรหาคำพูดอื่นมาช่วยปลอบ แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้นเลย
เป็นจังหวะเดียวกันที่พี่มะลิเดินเข้ามา และการปรากฏตัวของผู้ชายอีกคนที่มาพร้อมกันนั้นทำให้น้องมีนแปลกใจยิ่งกว่า   
คนที่พี่ปั้นเคยบอกว่าเขาเป็นเพื่อนตอนสมัยเรียน…
“ปั้น!” ในนาทีนั้นรดิศรีบเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เล่นเอาคนอื่นๆ ที่ตามมาทีหลังต่างรู้สึกแปลกใจไปไม่น้อยกับคนที่อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนของรุ่นน้อง
น้องมีนหลีกทางให้โดยอัตโนมัติเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยและความรู้สึกพิเศษที่มาจากผู้ชายคนนี้ ทุกคนได้แต่ยืนอยู่ห่างๆ เฝ้ามองการกระทำของเขาด้วยคำถามมากมายในใจ
เจ้าของอ้อมกอดที่สามารถทำให้คนๆ นึงสงบลงได้ แม้ไม่พูดอะไรออกมาเลยก็ตาม
 
........................................................
 
 


ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Listen to my heart ........♥ 17 : ไม่แน่ใจ
«ตอบ #34 เมื่อ09-01-2018 12:37:38 »


 ตอนที่ 17 ไม่แน่ใจ
 
 
 


 
“สวัสดีครับ”
เย็นวันนั้นในขณะที่ทุกคนกำลังเก็บอุปกรณ์หลังจากเสร็จภารกิจระบายสีตัวการ์ตูนบนกำแพง มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาถามถึงน้องปั้น พี่ๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็ให้ความสนใจบุคคลมาใหม่เป็นอย่างมาก เขาทั้งหล่อแถมยังพูดจาสุภาพ บรรดาสาวๆ แถวนั้นต่างพากันมองเป็นการใหญ่
“อ้อใช่ๆ ฉันจำคุณได้แล้ว เพื่อนน้องปั้นนี่เอง รู้สึกว่าปั้นน่าจะอยู่แถวๆ นี้ล่ะค่ะ ถ้าอยากเจอเดี๋ยวฉันพาไปก็ได้นะ” พี่มะลิเป็นคนรับคำ เธอเผลอพูดจาติดๆ ขัดๆ เพราะรู้สึกตื่นเต้น ได้เจอกันแค่ครั้งสองครั้งแต่กลับแพ้เสน่ห์ของผู้ชายคนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณครับ” รดิศยิ้มให้และขอบคุณ เขาเดินตามพี่มะลิไปด้วยความหวังว่าปั้นเองก็คงไม่รังเกียจที่จะเจอเขาอีก หากลองนึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ ที่ผ่านมา สิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ปั้นเคยทำมาก่อนแล้วทั้งนั้น หลายคนเคยพูดไว้ว่าคนอย่างเขามันสมควรที่จะถูกทิ้งเข้าสักวัน โทษฐานที่ทำให้ใครเจ็บมานักต่อนัก ไม่อยากจะเชื่อว่าตอนนี้มันเป็นเช่นนั้นแล้วจริงๆ
เจ้าของร่างที่คุ้นเคยนั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อนไม่ใกล้ไม่ไกล ใบหน้าที่มีแต่คราบน้ำตาเห็นแล้วรู้สึกใจหาย
“ปั้น!” รดิศรีบเข้าไปหาทันทีด้วยความเป็นห่วง กอดอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ นับเป็นครั้งแรกที่ปั้นไม่ได้ขัดขืน ยินยอมให้เขาทำหน้าที่นั้นแต่โดยดี
ไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างกัน ราวกับว่าสิ่งที่ต้องการจะเอ่ยมันกำลังถูกถ่ายทอดผ่านทางอ้อมกอด ต่างคนต่างรับรู้มันได้อย่างง่ายดาย ท่ามกลางสายตาหลายคู่กำลังมองมา ความสัมพันธ์พิเศษที่ซ่อนอยู่ในนั้นไม่ว่าใครต่างสัมผัสได้ มันมากมายเกินกว่าจะเข้าใจ
เสียงร้องไห้ค่อยๆ สงบลงแล้ว ดวงตาบวมช้ำจ้องมองเจ้าของอ้อมกอดด้วยใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจเริ่มผิดปกติ การที่มีรดิศอยู่ใกล้ๆ ปั้นยอมรับว่าควบคุมใจตัวเองลำบาก
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
“ช่างเถอะ” ปั้นขยับออกห่างจากเขา ไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น
“นาย...”
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ ปั้นใช้จังหวะตอนที่ทุกคนเดินออกไปแล้วตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจและเฝ้าคิดทบทวนมาตลอด ถ้าไม่พูดไปตอนนี้เขาคงต้องทนอยู่กับความทุกข์ในใจนี้ไปอีกนาน
“เรื่องของเราสองคนให้มันจบลงตรงนี้ได้มั้ย?”
เป็นคำพูดที่กรีดแทงหัวใจคนฟังเหลือเกิน ราวกับว่าสิ่งที่หวังไว้ทั้งหมดมันกำลังพังทลาย
“พี่อธิน...รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว”
“อย่างนั้นเหรอ...” เขาฝืนรับคำด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ ไม่แสดงอาการเจ็บช้ำใดๆ ให้เห็น ต่างจากความจริงในใจดวงนี้
...มันกำลังทรมาน
 “เราไม่อยากทำให้เขาเสียใจ มันคงจะดีกว่าถ้าเราสองคนไม่เจอกัน ดิศเข้าใจใช่มั้ย?”
ในสมองว่างเปล่า...เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับไร้ความรู้สึก
พยายามมาเจอหน้าทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่อยากเจอ เรียกร้องให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมทั้งที่ไม่เคยทำอะไรดีๆ ให้เลย มีแต่ทำร้ายจิตใจกันมาตลอด
กว่าจะเข้าใจความหมายของมัน ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะสายเกินไป รดิศยืนมองแผ่นหลังที่เริ่มไกลห่างด้วยความเจ็บปวด
 “แล้วฉันล่ะ ฉันเองก็เสียใจ...”
 
 
………………………………………………
           
 
“เพื่อนพี่ปั้นคนนั้นดูเขาเป็นห่วงพี่มากจริงๆ นะครับ” น้องมีนอาบน้ำเสร็จแล้วเห็นพี่ปั้นยังไม่หลับก็เลยชวนคุย จะว่าไปแล้วเหตุการณ์ช่วงเย็นที่ผ่านมาทำเขาคาใจไม่หาย ผู้ชายคนนั้นดูไม่เหมือนจะเป็นแค่เพื่อนธรรมดา ที่สังเกตได้คือดวงตาคู่นั้นตอนที่มองพี่ปั้นมันอ่อนโยนและอบอุ่นแค่ไหน รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่มีอยู่ พอเหลือบมองคนบนเตียงกลับพบว่าพี่ปั้นหลับไปแล้วทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังเห็นนอนดูรูปภาพในโทรศัพท์อยู่เลย
พอหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เจ้าตัวก็ล้มตัวลงนอนบ้าง เมื่อภายในห้องเงียบลง คนที่คิดว่าหลับไปแล้วกลับลืมตาขึ้นมา
มีเพียงอย่างเดียวที่เขาไม่อยากให้ใครรู้...คือความรักที่มีให้รดิศว่ามันมากมายแค่ไหน และเจ็บแค่ไหนที่ต้องฝืนพูดคำนั้นออกไป
ให้ทิ้งพี่อธินไป ปั้นทำไม่ได้ ที่ผ่านมาคนที่คอยช่วยเหลือมาตลอดก็คือเขา รู้ว่าพี่อธินรักเขามากแค่ไหน สิ่งที่ทำผิดไปมันก็เหมือนทรยศต่อความรักที่เขามอบให้ ปั้นไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนแบบนั้น
เพราะเป็นแบบนี้เขาถึงต้องเลือก
ร่างบางพยายามข่มตานอนหลับทั้งที่ในหัวมีแต่เรื่องพวกนี้คอยรบกวนอยู่ตลอดเวลา
ถ้าไม่มีเขา ก็คงตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว ควรยุติความสัมพันธ์เอาไว้แค่นั้นพอ
หวังว่าจะเข้าใจ...
ปั้นนอนไม่หลับเมื่อนึกถึงสีหน้าของรดิศตอนที่ได้ยินคำนั้น เดาไม่ออกว่าภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยซ่อนอะไรอยู่ นิ่งเพราะเก็บอาการ หรือนิ่งเพราะ...ไม่ได้รู้สึกอะไรหากเราสองคนจะอยู่ในสถานะคนไม่รู้จัก
            คิดได้แบบนั้นภายในใจก็ร้อนรุ่มไปหมด ถ้าเป็นอย่างหลังล่ะก็...
ปั้นลุกจากที่นอนเดินออกไปนอกระเบียง นอนไม่หลับ ทั้งที่ตัดสินใจไปแล้วแต่มันก็ยังสับสน
 
..................................................
 
            ตั้งแต่กลับจากกระบี่ครั้งนั้น สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างปั้นกับพี่อธินก็เริ่มลดลง แต่มีเพียงบางเวลาเท่านั้นที่ปั้นรู้สึกมีอะไรแปลกไป รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นพี่อธินมีสิทธิ์โกรธ เพราะฉะนั้นแล้วเขาก็ควรยอมรับ
            “ไงอธิน ไม่เจอกันนานเลยนะเรา”
            “ครับพี่วัฒน์ พี่เองก็สบายดีนะครับ”
            “ก็เรื่อยๆ น่ะ ช่วงนี้อยู่คนเดียวมันก็เลยเหงาๆ เออ ว่างๆ ไปดื่มด้วยกันหน่อยมั้ย?”
            “ครับ”
            ปั้นยืนรอพี่อธินคุยกับเพื่อน ระหว่างนี้ตัวเองก็เลยได้โอกาสเดินไปรอบๆ นิทรรศการที่จัดแสดงผลงานทางด้านศิลปะ พี่อธินเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมแสดงผลงานในสาขาภาพถ่าย งานนี้ปั้นเลยได้โอกาสมาด้วย
            สายตาสะดุดเข้ากับภาพๆ หนึ่ง ลายเส้นที่ดูคุ้นตาเหลือเกินในผลงานที่ใช้ชื่อว่า ‘จูบแรก’ ปั้นยืนมองริมฝีปากเรียวบางในภาพนั้นอยู่นานราวกับต้องมนต์ แล้วจู่ๆ ความรู้สึกหนึ่งก็พุ่งเข้ามา แต่เพียงไม่นานก็ถูกเสียงหนึ่งขัดขึ้น ทำลายสมาธิ
            “ชอบเหรอ?” พี่อธินเดินมายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ใบหน้าเรียบสนิท ปั้นเดาไม่ออกว่าอาการนั้นมันหมายถึงอะไร แต่รับรู้ถึงอารมณ์กรุ่นโกรธที่ซ่อนลึกในดวงตา
            “ผมเห็นว่ามันสวยดีน่ะครับ” ปั้นเอ่ยชมแล้วก็เดินออกไป สายตาคมเข้มตวัดมองชื่อเจ้าของผลงาน ที่ติดอยู่ข้างๆ คนรักของเขาคงยังไม่ทันได้สังเกต ตอนนั้นอธินได้แต่กำหมัดแน่นอย่างแค้นเคือง 
            “ผมชอบรูปนี้ของพี่จังเลยครับ”
            “งั้นเหรอ..พี่ดีใจนะที่ปั้นชอบ”
            “ทำไมถึงให้ชื่อว่า‘ความลับ’ล่ะครับ...” มันขัดแย้งกันยังไงชอบกล พี่อธินกำลังสื่อถึงอะไรกันแน่ ปั้นมองกี่ทีก็ไม่เข้าใจ รู้เพียงแต่ว่ามันสวย กลมกลืน ไร้ที่ติ
            พระจันทร์ที่ลอยเด่นเป็นสง่าบนท้องฟ้ายามราตรี นั่นแหละคือความลับที่เขาต้องการจะบอก สิ่งที่ซ่อนอยู่หลังเมฆ ไม่ได้เปิดเผยเสียทีเดียวและก็ไม่ได้ซ่อนไว้จนไม่มีใครมองเห็น
ทั้งหมดมันหมายถึงตัวตนของเขาเอง...
“แล้วปั้นคิดว่าไงล่ะ?”
“ก็...ลึกลับ อบอุ่น น่าค้นหา อย่างนั้นล่ะมั้งครับ”
“เป็นนักวิจารณ์ที่ดีเลยนะเนี่ย” อธินอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปยีหัวคนตัวเล็กกว่าอย่างรักใคร่ ที่ผ่านมาเขาต้องทนทุกข์อยู่กับมันมานานเท่าไหร่ แต่พอได้ยินอะไรแบบนี้แล้วมันทำให้ใจสงบขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
“ขอบใจนะ..”
“ขอเป็นมื้ออร่อยๆ เป็นของตอบแทนดีกว่ามั้ยครับ” คนรักยังทำหน้าที่อ้อนได้ดีกว่าใคร หลังจากพูดคุยหยอกล้อกันอยู่สักพัก ทั้งคู่ก็เดินออกมาจากหอศิลป์รีบตรงไปยังร้านประจำของตัวเองทันที
 
ผู้ชายที่มีตัวตนคล้ายพระจันทร์ในยามค่ำคืนและภาพถ่ายที่ใช้ชื่อว่า ‘ความลับ’ ทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดเผยในอีกไม่ช้า
 
           
          “ตามติดไว้ อย่าปล่อยให้คลาดสายตา!” นั่นเป็นเสียงสั่งการของเขาหลังจากที่ปลายสายโทรมารายงานความคืบหน้าหลังจากได้รับมอบหมายให้คอยติดตามคนรักของเจ้านายมาตลอดทุกฝีก้าว ไม่ว่าจะทำอะไร ที่ไหน โดยห้ามไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวเด็ดขาด
          ไม่ใช่เพราะอธินไม่ไว้ใจ แต่เขาอยากแน่ใจในอะไรบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าทุกความเคลื่อนไหวที่เขารู้ มันทำให้เขาเจ็บเจียนตายแค่ไหน แต่คนเจ็บก็ยังไม่ชาชินสักที เป็นเพราะรักที่ทำให้เขาอดทนถึงขนาดนี้
“ครับ คุณอธิน”
หลังจากวางสายจากลูกน้องคนสนิท มันทำให้เขารู้ว่าไอ้เด็กนั่นมันตามไปเจอคนรักของเขาไปถึงค่ายที่กระบี่ อย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด หมาลอบกัดอย่างมันก็เป็นได้แค่หมาลอบกันอยู่วันยังค่ำ
เขาไม่อาจทนฟังรายละเอียดจากคนของเขาที่เล่าให้ฟังจนจบได้ เพราะเพียงแค่รู้ว่าสองคนนั้นเจอกัน ความรู้สึกของเขาก็เหมือนคนโดนเผาให้ตายทั้งเป็น
มันเจ็บมาก จนไม่รู้จะระบายออกมายังไง
มือแกร่งกำแน่นจนมันขาวซีด อธินทุบมันลงบนโต๊ะทำงานเสียงดังสนั่น ข้าวของที่อยู่บนโต๊ะกระจัดกระจาย นึกถึงใบหน้าของคนรักก็ยิ่งเจ็บกว่าการทำร้ายตัวเองเป็นไหนๆ
เขาไม่อาจยอมรับว่าปั้นยังไม่ลืมมัน และก็ไม่อาจทนอยู่กับความจริงที่ว่า เขาเป็นผู้แพ้มาตลอด
ทั้งที่หวังว่าสักวันปั้นจะเปลี่ยนใจมารักเขา แต่ความจริงแล้วรักที่เขาคว้ามามันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ไอ้รดิศมันได้ไป
ห้าปีของเขากับระยะเวลาแค่หนึ่งปีของมัน น้ำหนักของความรักเทียบกันไม่ติดเลย
พอกันที...
เขาร้องบอกตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน ว่าไม่ควรหลงผิดหวนกลับไปใช้วิธีต่ำๆ อย่างที่แล้วมา แต่คนอย่างเขาในเมื่อต้องการสิ่งใดแล้วมันก็ต้องได้สิ่งนั้น เขายอมมาตลอดให้กับความรัก หากจะย้อนกลับไปใช้วิธีแบบนั้นเพื่อตัวเองอีกสักครั้ง...คงไม่ผิด
 
 
            “รู้มั้ย ทำไมพี่ถึงชอบปั้น” ในระหว่างที่คนรักกำลังง่วนอยู่กับการย่างเนื้ออยู่บนเตา สบโอกาสอธินก็เริ่มพูดในสิ่งที่ต้องการทันที
            “ครับ?” คนฟังกำลังเขินแต่ถึงอย่างไรก็ไม่หลบตา จ้องฝ่ายตรงข้ามรอฟังในสิ่งที่พี่อธินกำลังบอก
            “ดวงตา จมูก ริมฝีปาก แก้ม มีใครเคยบอกเรารึเปล่าว่าเราน่ารักแค่ไหน”
            “เอ่อ...พี่อธิน”
            “นั่นมันก็แค่ภายนอก แต่รู้มั้ยจริงๆ แล้วพี่ชอบอะไร?”
            คราวนี้คนฟังได้แต่ส่ายหัว ปั้นหันมาสนใจเนื้อที่กำลังสุกบนเตาเมื่อเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่พี่อธินจะพูดหลังจากนี้คืออะไร
            “พยายามทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตัวเองรัก โดยไม่สนว่าเขาจะคิดยังไง” ประโยคนี้ของพี่อธินทำเอาปั้นนิ่งและครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าคนรักกำลังจะพาดพิงถึงใครหรือเปล่า?
            “เหรอครับ?”
            “แล้วถ้าพี่จะเอาอย่างเราบ้างล่ะ...จะได้มั้ย?”
นั่นเป็นคำถามที่ปั้นยังไม่ทันได้ตอบ พี่อธินก็พาเปลี่ยนเรื่องไปเสียก่อน จะว่าไปเขาก็ลืมไปหมดแล้วว่าตัวเองเคยเป็นคนแบบนั้นมาก่อน เรื่องที่เขาเคยพยายามเพื่อความรักมันก็จริงอยู่ แต่ตอนนี้เรื่องแบบนั้นมันแทบจะไม่มีแล้วในชีวิต ตั้งแต่คบกับพี่อธินสิ่งที่เขาทำมาตลอดนั่นก็คือการตอบแทนรักที่อีกฝ่ายมอบให้
ซึ่งมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
 
............................................................
 
            ไม่กี่วันหลังจากนั้นพี่อธินก็ง่วนอยู่กับการแต่งห้อง ข้าวของทุกชิ้นล้วนแต่ถูกสั่งมาใหม่ทั้งสิ้น โทนสีขาวดำทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไป ทุกครั้งที่ปั้นกลับมาจากที่ทำงานมักจะทำให้เขารู้สึกเหมือนเข้าห้องผิดอยู่เรื่อย
            “ภาพถ่ายที่แขวนไว้ตรงนี้ พี่เก็บมันไปแล้วเหรอครับ?” เขาจำได้ว่ามันเป็นภาพของพี่อธินเองโดยคนถ่ายก็คือเขา
            “พี่อยากได้รูปใหม่น่ะ” คำตอบสั้นๆ ทั้งยังไม่ยอมละจากหน้าจอคอม ทำให้คนถามเริ่มมีทีท่าน้อยใจ ไม่ใช่เพราะถูกละเลยแต่เป็นเพราะคำตอบแบบนั้นต่างหาก
            ถึงอธินจะไม่หันมามองแต่ก็รับรู้ได้ถึงอาการผิดปกติของคนรัก เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนไปนั่งเล่นบนโซฟาเขาก็จำเป็นต้องเฉลยเหตุผลจริงๆ ของมันออกมา
            “คราวนี้พี่อยากได้เป็นภาพเขียนของปั้นน่ะ”
            “ผมเหรอ?”
            “พี่นัดเขาเอาไว้แล้ว น่าจะไม่เกินอาทิตย์นี้”
            “แต่ผมไม่ถนัดเป็นแบบให้ใครนะครับ”
            “เรื่องนั้นปั้นไม่ต้องกังวลหรอก...” คนรักหันมามองกันเพียงนิด ก่อนจะหันกลับไปสนใจงานตัวเองต่อ
            ไม่ใช่ว่าปั้นเขินหรืออะไร แต่เป็นแบบนี้แล้วมันชวนให้นึกถึงใครบางคนทุกที
ครั้งสุดท้ายที่เคยนั่งเป็นแบบน่ะเหรอ ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ไม่ลืมเลยล่ะ...
 
 
 
 
 
 
..................................................
  เรามาหายใจเข้าลึกๆ อดทนอีกนิดกับดราม่าเฮือกสุดท้ายยย ฮึบฮึบ ใกล้แล้ว มันใกล้สิ้นสุดแล้ว หลังจากนี้จะได้หายใจกันคล่องๆ ซะที ฮ่าๆ
 


ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
รออย่างใจจดใจจ่อเลย ใกล้จะระเบิดแล้ว อิอิ

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Listen to my heart ........♥ 18 : ระหว่างเรา
«ตอบ #36 เมื่อ12-01-2018 10:31:48 »

ตอนที่ 18 ระหว่างเรา




อธินไปส่งปั้นที่โรงแรมรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ซึ่งถ้าจำไม่ผิดปั้นเคยมากับอาดาวเมื่อหลายปีที่แล้ว เจ้าของโรงแรมที่เคยรู้จักรู้สึกจะชื่อคุณพิมพ์ภาดา พี่อธินบอกว่าเขาชอบวิวของที่นี่ก็เลยนัดจิตกรคนนั้นไว้
“ไม่อยู่ด้วยกันก่อนเหรอครับ?”
“พี่ต้องรีบไปส่งงานให้ลูกค้าครับ ตอนเย็นๆ ไว้พี่กลับมาดูผลงานนะ”
“ครับ..” เป็นการตอบรับที่ไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำเท่าไหร่นัก ถ้ามีพี่อธินอยู่ด้วยปั้นคงรู้สึกมั่นใจมากกว่านี้
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในรีสอร์ท แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้ากระทบกับน้ำในสระที่มีภาพเบื้องหลังเป็นทะเล ปั้นตกตะลึงกับความงดงามของมันอยู่ครู่ใหญ่
“ผมต้องทำยังไงบ้างครับ?” ปั้นเอ่ยถามคุณจิตกรรูปร่างสูงใหญ่คนนั้น ดูท่าทางเขาคงกำลังยุ่งมาก มือง่วนอยู่กับการจัดเตรียมอุปกรณ์จนไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครเข้ามาในห้องบ้าง ปั้นเองก็แอบเสียมารยาทไปไม่น้อยเมื่อเอาแต่มองรูปร่างของเขาผ่านทางเสื้อยืดสีขาวตอนแสงแดดลอดผ่าน มันทั้งบางและโปร่งจนเห็นไปถึงร่างกายแข็งแกร่งนั่นอย่างชัดเจน
“ถอดเสื้อแล้วนอนลงไปบนเตียงนั่นเฉยๆ ก็พอ” ชายหนุ่มทบทวนรายละเอียดของงานแล้วเริ่มสั่ง “อ้อ...ไม่สิ! แฟนคุณเขาคงจะชอบมากกว่าถ้าได้เห็นคุณเปลือยทั้งตัว” เจ้าของประโยคที่ทำเอาคนฟังยืนอึ้งไปกว่านาทีค่อยๆ หันมามองผู้จะมาเป็นแบบ
ดวงตาคู่สวยสอดประสานด้วยความตกตะลึงพร้อมทั้งเกิดคำถาม
“นะ...นาย อยู่ที่นี่ได้ยังไง!!”
รดิศเดาะพู่กันในมือเล่นด้วยความขบขันเมื่อเจอปั้นยืนอยู่ตรงหน้า คิดว่าไม่มีสิ่งใดตลกเท่านี้อีกแล้ว
ผู้ว่าจ้างงั้นเหรอ...
ทั้งเขาและปั้นคงตกหลุมพรางของมันเข้าให้แล้ว
“แล้วนายล่ะ...คิดว่ามันเป็นไปได้ไง?” เขาเห็นอาการลนลานสะท้อนภายในดวงตาคู่นั้น ความกลัวของคนตรงหน้ามากมายเสียจนเขารับรู้ได้
อธินช่างเลือกวิธีทำร้ายได้เด็ดขาดเหลือเกิน...
ปั้นเชื่อว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พี่อธินจงใจ เจ้าตัวอาจจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าจิตกรที่ตัวเองติดต่อมาถูกสลับตัวกับรดิศแล้ว
“ฝีมือนายใช่มั้ย?”
แล้วความผิดก็ถูกโยนลงที่เขาจนได้
“นายไม่คิดว่าสิ่งที่เราทำมันอยู่ในสายตาหมอนั่นตั้งแต่แรกเหรอ? ดูไม่ออกรึไง! ว่าไอ้อธินมันจงใจจะทำอะไร? ให้ฉันมาเจอนายได้โดยที่ไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ”
ต้องการแสดงให้พวกเขาเห็นว่ามันอยู่เหนือกว่าใครๆ คอยควบคุมหมากทุกตัวในกระดาน ที่เลือกยืนนิ่งๆ ไม่ทำอะไรจนดูเหมือนตัวเองกำลังเสียเปรียบ ที่จริงแล้วมันตั้งใจรอเอาคืนทีหลังมากกว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่ามันเป็นคนตัดสินใจ
“แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไร” และในฐานะที่เหนือกว่า มันไม่มีทางปล่อยของสำคัญให้กลับมาหาเขาแน่นอน
“ในเมื่อมันใจดีเปิดโอกาสให้เจอกันขนาดนี้ เราควรจะตอบแทนในสิ่งที่มันต้องการนะว่ามั้ย?”
“นี่ไม่ใช่เวลาจะมาล้อเล่นนะดิศ ถ้าเป็นแบบนั้นนายก็ควรกลับไปซะ! แล้วก็ทำอย่างที่เคยตกลงกันไว้สิ!”
เห็นไหม...หมอนั่นเดาเกมไว้ถูกทุกทาง
มันรู้ว่าปั้นไม่มีทางทำร้ายคนอย่างมันแน่นอน อาศัยจุดอ่อนนี้และบีบให้ปั้นตัดขาดความสัมพันธ์จากเขา
ร้ายกาจจริงๆ
แต่ในทางกลับกัน กลับทำให้เขาเห็นช่องโหว่ที่ซ่อนอยู่ในนั้น...
อะไรที่ทำให้ไอ้อธินหันกลับมาใช้วิธีสกปรกแบบนี้อีกครั้ง แสดงว่าที่ผ่านมามันเองก็คงทรมานมากไม่ต่างกัน
ต้องขอบใจความร้ายกาจของมันซะแล้วล่ะมั้ง! ที่ช่วยชี้ทางทำให้เขามองเห็นอะไรบางอย่าง
“ฉันจะทำแบบนั้นก็ต่อเมื่อนายยอมตอบคำถามข้อนี้...” คนๆ เดียวที่จะตัดสินทุกอย่าง ระหว่างเขากับมันไม่มีใครเหนือไปกว่ากันถ้ายังไม่ได้เป็นฝ่ายถูกเลือก
ความเป็นไปได้ที่ปั้นจะเลือกเขาแทบจะกลายเป็นศูนย์ เขาอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ แต่เหตุผลอะไรเล่าที่ทำให้คนสมบูรณ์แบบอย่างไอ้อธินถึงได้ร้อนรนเช่นนี้
มันเองก็คงได้รู้อะไรดีๆ เข้าแล้วสินะ...
 “นายยังรักฉันอยู่มั้ย?” รดิศเร่งเร้าเอาคำตอบด้วยการรุดเดินเข้ามาใกล้ๆ ฝ่ายคนถูกถามทั้งร่างราวกับถูกแช่แข็ง นอกจากนิ่งจนไม่ขยับแล้ว ดูเหมือนว่าระบบต่างๆ ในร่างกายคล้ายจะหยุดทำงานไปด้วย
“มันไม่ยากเลยนะ...แค่ตอบมาตามความรู้สึก” มือข้างหนึ่งวางทาบลงบนฝาผนัง ทั้งห้องกว้างดูแคบไปถนัดตาเมื่อลมหายใจปะทะลงบนแผงอกแกร่งแล้วไอร้อนของมันสะท้อนกลับมา
“เราไม่...”
“ตอบให้มันชัดถ้อยชัดคำหน่อยสิ...” รักก็ควรจะบอก ถ้าไม่รักก็พูดให้ดังๆ รดิศยืนมองภาพตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน โดยเฉพาะแก้มที่ถูกแต้มด้วยสีแดงจางๆ นั่น มันทำให้ปั้นดูน่ารักจนไม่อาจละสายตา
ผลงานชิ้นนี้ของนายรดิศยอดเยี่ยมจนคุณชาญต้องยกนิ้วให้เลยล่ะ
“ดิศ!” คนตรงหน้าเรียกชื่อเขาออกมาอย่างจนใจ
“5 ปีมันก็มากพอนะสำหรับการลืมใครสักคน แล้วฉันก็รู้ว่าตัวเองก็ไม่ได้ดีพอจนขนาดที่ทำให้นายอยากจดจำ ฉันแค่อยากรู้....ว่าตอนนี้นายรู้สึกยังไงบ้าง...” เมื่อปั้นยังเงียบเขาจึงถามต่อ
“เกลียดรึเปล่า?”
รดิศเหลือบไปมองนาฬิกาบนโต๊ะ เหมือนตัวเองเป็นคนบ้าเมื่อรู้ตัวว่าพูดคนเดียวมาเกือบยี่สิบนาที
“ปั้น...จนกว่าหมอนั่นจะมา ฉันเหลือเวลาแค่นี้จริงๆ นะ” เขากำลังอ้อนวอนในสิ่งที่คิดว่าไม่มีทางจะเป็นไปได้ ทั้งที่คิดว่ามันคงง่าย แต่เมื่อเจออาการนี้ของอีกฝ่าย และเพราะปั้นไม่ใช่คนที่ชอบทำร้ายความรู้สึกใครด้วยแล้ว บางทีคำตอบ...อาจจะแฝงอยู่ในความเงียบนั้น
“ช่างมันเถอะ...ฉันยอมแพ้!”
ปั้นยืนมองรดิศเก็บอุปกรณ์วาดภาพโดยตนเองพูดอะไรไม่ออกสักคำ อาการแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นเมื่อห้าหกปีก่อน
จำได้ว่าเจอกันครั้งแรกตัวเองก็เกิดอาการใบ้กินแบบนี้
เพราะอะไรนะ...
ปั้นลืมตัวเผลอยกมือขึ้นแนบแก้ม อุณหภูมิที่สัมผัสได้มันร้อนพอๆ กับแดดตอนกลางวัน
นี่เรากำลังเขินเหรอ?...
“ปั้น...” เสียงเรียกนี้ทำเอาร่างที่ยืนอยู่มุมห้องตื่นจากความคิด แล้วประโยคถัดมาก็ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เขาพูดประโยคเดียวกับที่ปั้นเคยร้องขอ...ในอดีต
“ถ้าฉันจะขอกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมล่ะ ได้มั้ย?”
“คิดว่ามึงยังมีโอกาสนั้นอีกเหรอ!!”
“พี่อธิน!!!...”
ร่างสูงเข้ามาหยุดอยู่กลางห้อง ใบหน้าเรียบเฉยมองคนทั้งสองอย่างไม่สามารถคาดเดาความคิด
“นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่มึงจะได้ทำอะไรแบบนี้!!” เสียงเย็นเยือกบอกกับรดิศที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากคนของเขา
“ส่วนเรา...ออกไปรอพี่ข้างนอก!” ประโยคหลังอธินหันมาสั่งกับคนรัก ปั้นหายใจไม่ทั่วท้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อได้ยินคำสั่งก็ไม่รีรอ

“เป็นแผนของมึงใช่มั้ย?” รดิศมองผู้มาใหม่อย่างคนรู้ทัน
“ไม่จำเป็นต้องบอก สิ่งที่มึงควรจะรู้ไว้ตอนนี้ก็คือเลิกยุ่งกับคนของกูสักที!”
“เหอะ! กูน่าจะเป็นคนพูดคำนั้นมากกว่า!!”
“ไอ้ดิศ!” เพียงประโยคเดียวแต่ทำเอาคนที่ตั้งสติได้ดีกว่าใครถึงกับฉุนขาด อธินกระชากคอเสื้อของรดิศพร้อมกำหมัดไว้แน่น อีกฝ่ายจ้องเขม็งอย่างไม่กลัวอะไรใดๆ
ถ้าอธินมั่นใจในรักของปั้นก็ไม่จำเป็นต้องหาวิธีมากำจัดเขาออกไปให้ยุ่งยาก แม้มีเขาอยู่แต่ในเมื่อปั้นไม่ได้รักมันก็ไม่มีค่าอะไร ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว
“กูจะบอกอะไรมึงไว้อย่าง ต่อให้มึงขังปั้นไว้ยังไง ที่มึงทำได้มันก็แค่ร่างกายเค้าเท่านั้นแหละไม่ใช่หัวใจ! แล้วก็หยุดใช้วิธีสกปรกๆ แบบนี้สักที! ไม่ใช่แค่มึงคนเดียวหรอกที่รักเค้า! กูเองก็รัก!!...” ประโยคสุดท้ายนั้นหนักแน่น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เพราะไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน สิ้นสุดจากการกระทำทั้งหมดแล้ว คนเดียวที่รับความเจ็บช้ำไปนั่นก็คือคนที่พวกเขารัก
เขาไม่อยากให้ปั้นเสียใจเหมือนอย่างที่ผ่านมา…

รดิศสะพายกระเป๋าตัวเองเดินออกจากห้องพัก เห็นใครอีกหนึ่งกำลังยืนอยู่ เขามองภาพนั้นอีกครั้งราวกับต้องการบันทึกมันไว้ในความทรงจำ
ช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีแต่ความเงียบมันช่างยาวนาน รดิศยังคงรอฟังอะไรบางอย่าง คำๆ เดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ แค่ปั้นบอกว่ารัก เขาพร้อมจะทำให้ปั้นกลับมาเป็นของเขาได้ในตอนนี้ แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเฉยเหมือนไม่ได้สนใจกัน มันทำให้ความมั่นใจค่อยๆ ลดลงไป
รักที่ไม่สมหวัง...ตอนนี้คงต้องบอกลากันอย่างจริงๆ จังๆ เสียที
“ฉันต้องไปแล้ว” ประโยคสั้นๆ แต่หลากหลายความหมาย ไม่รู้ว่าคนฟังจะเข้าใจมันรึเปล่า เพราะเขามันไม่ได้เรื่อง ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ไม่มีปัญญายื้ออีกฝ่ายไว้ได้ หลังจากนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่โอกาสนั่นจะวนกลับมาอีก
แผ่นหลังที่แสนคุ้นเคยของรดิศค่อยๆ ห่างออกไป บนทางเดินเล็กๆ แห่งนี้ นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะที่ปั้นทำได้แต่คอยมอง
คงต้องปล่อยเขาไปใช่ไหม...
แต่ทำไม...ภายในใจกลับร่ำไห้ คล้ายคนกำลังหมดแรง

“พี่ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย?” เสียงของพี่อธินทำให้ปั้นต้องละสายตาจากภาพตรงหน้า อีกฝ่ายรู้ดีว่าคนรักกำลังรู้สึกอย่างไร เพราะแววตาที่ไม่สามารถโกหกกันได้
“ที่มีอะไรกับมันปั้นรู้สึกอะไรรึเปล่า?”
“พี่อธิน!...” 
“ตอบคำถามพี่!!”
ปั้นเงียบไปชั่วอึดใจ ลำคอตีบตัน กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ผม...ไม่ได้รู้สึกอะไร...”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี! หลังจากนี้พี่จะได้สบายใจ” น่าแปลกที่กลับรู้สึกดีเมื่อได้ยินคำโกหกนั้น คงเพราะหลอกตัวเองมานานเกินไปถึงทำให้กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว
“ที่ผ่านมาพี่ไม่เคยบังคับใจเราเลย แต่ต่อไปนี้พี่คงทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว ปั้นเข้าใจใช่มั้ย”
ห้ามมองใคร ห้ามคิดถึงใครอีก ให้มีแต่เขาคนเดียว
   “ครับ”
คงต้องยอมจำนน สงสารก็แต่หัวใจที่ไม่เคยมีโอกาสได้รักใครอย่างที่มันต้องการเลย

...............................................

แกลลอรี่ของสองเพื่อนแสบเวลานี้ไม่มีลูกค้า พวกเขาถึงได้ใช้มันเป็นที่ตั้งวงสนทนาหลังจากเพื่อนรักที่ไม่เจอหน้ากันมาพักใหญ่ปรากฏตัวพร้อมด้วยเรื่องทุกข์ใจไม่ต่างจากที่แล้วๆ มา
“ทำกับเขาเอาไว้เยอะ สุดท้ายก็ต้องมารับกรรมแบบนี้ล่ะว้า” นนท์ว่าไปตามเนื้อผ้า ถึงจะรู้สึกสงสารอยู่ไม่น้อย แต่ก็อดนึกถึงสิ่งที่รดิศทำในอดีตไม่ได้
“โอกาสมึงมีเยอะมาก แต่มึงก็ไม่เคยเห็นค่า!”
พวกเขาในอดีตทำได้แค่คอยตักเตือน ไม่เคยก้าวก่ายในการตัดสินใจของเพื่อน แม้ไม่ชอบใจในสิ่งที่มันทำ พอเกิดปัญหาก็ไม่เคยคิดทิ้งกัน
“ดิศ! มึงน่ะยอมแพ้ง่ายไปป่ะวะ! ทำไมมึงไม่บอกความจริงน้องเค้าไปล่ะ?” บีมเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองของมัน
“บอกไปแล้วจะทำอะไรได้”
“เอ้า! อย่างน้อยน้องปั้นก็ได้รู้ไงว่าไอ้อธินนั่นเคยทำเลวอะไรไว้บ้าง!”
   “กูไม่อยากเอาชนะใครด้วยวิธีแบบนั้น” ใครทำอะไรไว้ สักวันมันก็ได้รับผลตอบแทนเอง อย่างเช่นตัวเขาตอนนี้ยังไงล่ะ เพราะฉะนั้นจึงทำได้แต่ก้มหน้ายอมรับความจริง
   “ถ้ามึงยังเชื่อมั่น สักวันเค้าก็ต้องกลับมา” บีมตบบ่าเพื่อนเพื่อให้กำลังใจ ทั้งสองคนปล่อยให้รดิศได้ทบทวนสิ่งที่ผ่านมาอยู่ตามลำพัง เพราะเรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา เขาถอนหายใจมองดูเพื่อนจากอีกมุมหนึ่งของร้าน รดิศซึมลงไปมากจนเพื่อนสนิทอย่างพวกเขารู้สึกใจหาย อยากช่วยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากให้กำลังใจ
   




...................................................................



มาต่อแล้วครับบบบ

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนที่ 19 เจ็บ...ยิ่งกว่าเจ็บ
   
   
   
‘รัก’
คำๆ นี้มันช่างว่างเปล่าราวกับกลุ่มควันที่ลอยหายไปในอากาศ
ค่ำคืนแสนเหน็บหนาวที่มาพร้อมกับสายฝนหลงฤดู ตอกย้ำว่าตัวเองไม่เหลือแล้วสักอย่างกระทั่งคนที่รักจนหมดใจ
รดิศสอดการ์ดใบหนึ่งเก็บไว้ในลิ้นชัก ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนโซฟากลางห้อง เฝ้าฟังเสียงของสายฝนกำลังกระหน่ำจากทางหน้าต่างราวกับว่ามันต้องการจะบอกอะไรให้เขารับรู้ และใบหน้าของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา
ดวงตาคู่นั้นสะท้อนความรู้สึกที่อัดแน่นภายในใจยามเฝ้ามอง
“กว่าฉันจะรู้ตัว...นายก็หายไปแล้ว” หลับตาพูดกับคนที่อยู่ในความคิดด้วยความร้าวราน จากนี้ไปนี่คงเป็นบทเรียนที่เขาไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้เลย


...................................................

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นทำให้ปั้นไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงใครอีก ไม่กล้าแม้แต่แอบซ่อนความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ในใจราวกับว่ากลัวพี่อธินจะล่วงรู้มันได้ ถึงอย่างนั้นไม่ว่าพยายามปิดกั้นตัวเองมากเท่าไหร่สุดท้ายแล้ว ยิ่งห้ามมันก็เหมือนยิ่งยุ
จะทำอย่างไรกับหัวใจดวงนี้
ห้าปีสำหรับการลืมใครสักคนคงมากพอที่จะไม่เหลือเรื่องราวและความรู้สึกใดๆ ระหว่างกันอีก แต่สำหรับปั้นที่ไม่เคยใช้เวลาทั้งหมดเพื่อลืมรดิศเลยกลับฝังใจอยู่จนทุกวันนี้ แม้การที่เขายอมเปิดใจให้พี่อธินได้เข้ามาเป็นเจ้าของแต่ทว่าลึกๆ นั้น มันยังคงยึดมั่นอยู่กับคนๆ เดียวมาตลอด
เฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่าทำไมถึงยังรัก...
บางครั้งเหตุผลนับพันก็ไม่สามารถเอามาอธิบายความรู้สึกต่อคำสั้นๆ นี้ได้
รู้เพียงแต่ช่วงเวลาไม่นานกับเรื่องราวดีๆ เหล่านั้นสิ่งที่เขาสัมผัสได้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่มาจากใจที่แท้จริง
กว่าจะรู้ตัวว่าเหม่อมองอยู่เนิ่นนานก็ตอนรถจอดลงหน้าร้านอาหารกึ่งร้านเหล้าแห่งหนึ่ง วันนี้เป็นวันเกิดของน้องมีนและแน่นอนว่าเลิกงานปุ๊บพี่ๆ ที่ทำงานทุกคนต่างก็รีบตรงไปยังร้านเป้าหมายทันทีตามกฏกติกาที่ได้ตั้งกันไว้ในกลุ่ม
สำหรับงานเลี้ยงคืนนี้คนดวงซวยก็คือพี่แม็กซ์ แม้ทุกคนจะแปลกใจกันอยู่ไม่น้อยทั้งๆ ที่พี่แม็กซ์ ออกจากที่ทำงานก่อนใครเพื่อนแต่กลับมาถึงร้านเป็นคนสุดท้าย มันดูเหมือนเป็นเรื่องจงใจเสียมากกว่า ทุกคนต่างคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่มีใครพูดออกมา
   เสียงเพลงในร้านดังกลบเสียงพูดคุย เวลาผ่านไปนานร่วมชั่วโมงคนที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้นเริ่มมีอาการฟุ้งซ่าน เพราะฤทธิ์เหล้าทำให้เขาแยกแยะเรื่องจริงกับสิ่งที่อยู่ในใจไม่ได้
   ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป ชีวิตตอนนี้เหมือนถูกขังอยู่ในกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่ง ทั้งคับแคบ อึดอัด ไร้ชีวิตชีวา ไม่มีความสุขอย่างที่มันควรจะเป็น
นับแต่นั้นมาเรื่องราวระหว่างเขากับพี่อธินก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย ถึงเราจะพูดคุยกันปกติแต่ก็ไม่สนิทใจอย่างแต่ก่อน ทั้งที่เขาก็พยายามสร้างบรรยากาศให้มันกลับมาเป็นเหมือนเก่า แต่ราวกับช่องว่างระหว่างพวกเราจะค่อยๆ ห่างกันเรื่อยๆ พี่อธินเองก็ระแวดระวังเขามากขึ้น ปั้นรู้ดีเสมอว่าความเชื่อใจของพี่อธินที่มีต่อเขามันลดลงตั้งแต่วันที่ฝ่ายนั้นรู้ความจริง ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนกับใคร หรือทำอะไรก็ตามพี่อธินต้องรับรู้ก่อนเสมอ

ชายร่างสูงปรากฏตัวท่ามกลางร้าน เพียงแค่เขาเดินมาไม่กี่ก้าวกลับสะดุดตาผู้คนเป็นอย่างมาก อธินเดินตรงมายังกลุ่มเพื่อนของตัวเองที่มักจะรวมตัวอยู่ที่นี่กันเป็นกิจวัตรประจำวัน
เพื่อนคนหนึ่งทักขึ้นเมื่ออธินนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มาถึงเจ้าตัวก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เอาแต่ดื่มเหล้าไม่สนใจคนข้างๆ เลย
“มีเรื่องทุกข์ใจขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” ประโยคถามไถ่จากเพื่อนๆ แทบกลายเป็นธาตุอากาศ นอกจากอธินจะไม่สนใจรอบข้างแล้ว เขาทำเหมือนไม่อยากพูดจากับใคร ทั้งๆ ที่ออกมาที่นี่ก็เพราะไม่อยากอยู่ห้องคนเดียวในระหว่างที่ปั้นไปฉลองกับเพื่อนๆ
“ค่อยๆ สิอธิน เดี๋ยวก็เมาหรอก” วินซ์เป็นห่วงตามประสาคนแอบรัก เขาเห็นอีกฝ่ายกำลังเคร่งเครียดอย่างหนักแถมดื่มไปตั้งเยอะแบบนั้นก็อดห้ามไม่ได้
“นายอยู่เฉยๆ ได้มั้ย!”
“ทะเลาะกับแฟนมาอีกล่ะสิ! ถึงได้เหวี่ยงเป็นหมาบ้าแบบนี้”
“บอกให้หุบปากไง!”
“คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วงนะอธิน!”
“จะไปไหนก็ไป!”
“เฮ้ย! ใจเย็นๆ ดิวะ” เพื่อนคนหนึ่งช่วยปรามเมื่อเห็นวินซ์เดินออกจากกลุ่มไปเพราะน้อยใจที่ถูกตะเพิด ทั้งที่ก่อนอธินจะมา เจ้าตัวยังหัวเราะร่าเริงอยู่แท้ๆ
“เดี๋ยวกูตามไปดูมันให้เอง!”
อธินพยายามระงับอารมณ์บ้าคลั่งของตัวเองด้วยการเลี่ยงไม่ตอบคำถามใคร เขาเลือกนั่งห่างออกมาจากเพื่อนในกลุ่มเพราะไม่อยากได้ยินคำถามกวนใจอีก
ทั้งที่ทุกอย่างก็เป็นแบบที่เขาต้องการแล้ว แต่ก็อดรู้สึกหงุดหงิดตัวเองไม่ได้อยู่ดี

“วินซ์ นั่นมึงจะไปไหน?”
“มึงไม่ได้ยินที่มันพูดรึไง?” เจ้าตัวตอบกลับด้วยความน้อยใจที่ไม่เคยมีค่าในสายตา ทั้งที่เขาก็เป็นคนรักเก่าคนหนึ่งแต่ปฏิบัติใส่กันราวกับว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันเลย สองขารีบก้าวออกจากร้านไปให้พ้นๆ ด้วยแรงประชด แต่เพื่อนตัวดีกลับเข้ามาขวางไว้
   “เฮ้ย! เดี๋ยวสิวะ! ถ้ามึงโกรธไอ้อธินมันน่ะ เรื่องเมื่อกี้มึงก็น่าจะเข้าใจนะ มันก็แค่อารมณ์ไม่ดี”
   “กูใช่ที่ระบายอารมณ์รึไง! ในสายตามัน แม่ง! กูทำอะไรก็ผิด”
   “มันคงเครียดๆ เรื่องแฟนมั้ง? เอาน่า...อย่าไปถือสามันเลย คราวหลังถ้าไม่อยากให้เป็นแบบนี้มึงก็อย่าไปพูดถึงน้องเค้าสิวะ”
“ทำไม!”
   “เรื่องมันนานมาแล้ว อธินมันไม่อยากให้ใครพูดถึง”
“แล้วมันเพราะอะไรทำไมพูดถึงไม่ได้ มีอะไรนักหนา?”
“เออ...มึงก็อย่าไปสนใจเลย”
“กูอยากรู้ ทำไมอธินมันถึงโกรธนัก มึงเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย?”
“ก็...จริงๆ กูก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของมันหรอกนะ รู้แล้วก็เก็บไว้เป็นความลับล่ะ” เพราะถ้าอธินมันรู้เข้าทีหลังว่าใครแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป รับรองว่าโดนกระทืบตายแน่ๆ รู้กันอยู่ว่าอธินเป็นคนเด็ดขาดแค่ไหน
“อธินน่ะมันชอบน้องปั้นมาก เมื่อก่อนนะถึงกับขนาดวางแผนให้น้องเค้ามาเป็นของมันเลยรู้มั้ย? ที่มึงเห็นคนของไอ้อธินคอยหนุนหลังให้ไอ้มอสอยู่ตอนนี้ก็มาจากข้อตกลงอะไรสักอย่างนี่แหละ เมื่อก่อนแฟนเก่าน้องปั้นน่ะเคยซ้อมพวกไอ้มอสจนปางตายมาแล้วนะเว้ย! มันก็เลยเรียกร้องค่าชดเชยจากไอ้อธินชุดใหญ่ สบายมาจนถึงทุกวันนี้ไง”
“ถ้าเกิดเด็กคนนั้นรู้เข้า มึงคิดว่ามันจะเป็นยังไง?”
“มึงก็รู้นิสัยคนอย่างไอ้อธินดี ไม่มีทางยอมหรอก”
เพล้ง!!
คนที่ได้ยินบทสนทนามาตั้งแต่ต้นทำแก้วเหล้าที่อยู่ในมือหล่นลงพื้น ทั้งร่างชาดิกราวกับยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ไอเย็นของมันแทรกเข้าไปทุกอณูของร่างกาย เจ็บร้าวจนทรมาน
“พี่ปั้น! พี่ปั้นเมามากแล้วนะครับ! ผมว่าเรากลับโต๊ะกันเถอะ เอ่อ...ขอโทษแทนพี่ผมด้วยนะครับ!” น้องมีนร้องบอกผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่บริเวณทางเดินของร้านกำลังหันมองมาทางพวกเขาเป็นตาเดียว ท่าทางแบบนั้นคงพร้อมจะมีเรื่องได้ทุกเมื่อ เทียบสภาพกันแล้วตัวเองควรจะพาพี่ปั้นกลับไปที่โต๊ะให้เร็วที่สุดดีกว่า
“ไม่นะน้องมีน พี่จะไม่ไปไหน! จนกว่าพวกเขาสองคนจะบอกว่าที่พี่ได้ยินเมื่อกี้ มันไม่จริง!” จู่ๆ พี่ชายก็โพล่งว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสียมารยาทยืนฟังคนอื่นเขาคุยกัน รู้สึกว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นักเมื่อเห็นสายตาของใครคนหนึ่งตวัดมองมาอีกครั้ง
“นายเป็นใคร?”
“ช่วยบอกผมทีสิครับว่ามันไม่จริง!!” พี่ปั้นก็ยังเฝ้าถามไม่หยุด คงเป็นเพราะเหล้าที่ทำให้พี่ชายที่มีนิสัยติดจะเกรงใจคนอื่นอยู่เสมอเกิดความกล้ามากกว่าทุกครั้ง
“กรุณาพาเพื่อนคุณออกไปด้วยครับ!!” ผู้ชายหน้าตาน่ารักคนนั้นพยายามสงบอารมณ์ พูดจาด้วยเสียงสุภาพแต่ทว่าฟังดูน่ากลัวชอบกล และน้องมีนที่เข้าใจสถานการณ์ได้ดีกว่าใครก็รีบหิ้วปีกพี่ปั้นกลับไปที่โต๊ะซึ่งตอนนี้กำลังร้องไห้เสียใจอย่างหนัก
“ผมขอร้องล่ะ!!” เรี่ยวแรงของคนเมามากพอจะสลัดแขนของเขาทิ้ง พี่ปั้นย้อนกลับไปยังผู้ชายคนนั้นทันทีเพื่อขอร้องให้เขาช่วยยืนยันบางสิ่งบางอย่าง เหตุการณ์บริเวณนั้นเริ่มกลายเป็นความโกลาหล คนในร้านต่างก็ให้ความสนใจ
“มีเรื่องอะไรกัน!!” ทันทีที่มีเสียงรายงานว่าพวกเพื่อนๆ ของเขากำลังจะมีเรื่องกับคนในร้านเขาก็ลบทิฐิในใจและรีบตามออกมา แสงสลัวในนี้ทำให้เขามองไม่เห็นว่าใครเป็นใคร และไม่อาจรู้เลยว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาต้องยอมรับความจริงเสียที
“พี่อธิน...”
“ปั้น! เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เขาอึ้งกับการได้เจอคนรักที่นี่ เวลานี้
ปั้นเห็นพี่มอสมายืนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้เขาแทบไม่ต้องขอคำยืนยันหรือคำอธิบายจากใครอีกเลย ทุกสิ่งที่ผ่านมามันทำให้เขาคิดทบทวนจนหัวแทบจะระเบิด
“นี่มัน.....หมายความว่ายังไง?” คนตัวเล็กกว่าเสียงสั้นเครือ มองใบหน้าพี่อธินสลับกับผู้ชายในอดีตคนนั้น 
   “เราหมายถึงอะไร?” ทั้งๆ ที่เขารู้อยู่แกใจ แต่ก็ยังสงบนิ่ง ไม่ยอมรับความจริง
   “ห้าปีที่แล้ว...พี่บอกผมทีสิครับว่ามันไม่จริง? บอกสิครับว่าพี่ไม่ได้เป็นคนวางแผน?” ปั้นเอ่ยถามทั้งน้ำตา มันเจ็บปวดเหลือเกินเมื่อย้อนนึกถึงมันอีกครั้ง น้ำตาไม่อาจหยุดไหลได้เลย ขาสองข้างมันไร้เรี่ยวแรงแทบจะทรุดลงกับพื้นถ้าหากพี่อธินไม่ประคองไว้เขาคงล้มลงไปเสียแล้ว
   ทำไมถึงเป็นแบบนี้...
“ปั้นไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน?”
ทุกสิ่งที่เขาเคยมอบให้มันไม่เพียงพอสำหรับข้อแก้ตัวในความผิดครั้งนี้ได้เลย เมื่อเห็นดวงตาที่สะท้อนความผิดหวังของคนที่รักจนหมดหัวใจกำลังมองมา
เขาพลาดไปแล้ว...
“ทำไมคนที่ผมไว้ใจถึงได้ทำกับผมแบบนี้”
“ปั้นพี่ขอโทษ!...พี่ขอโทษ!”
“พี่รู้ไหม? ผมเจ็บ..เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
คนที่เขาเชื่อมาตลอดว่าจะไม่มีทางทำให้เขาเสียใจ เป็นคนเดียวที่ทำให้เขาเชื่อว่ารักที่มั่นคงยังมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แต่ทว่าก่อนที่จะได้รับมันมาเขากลับแลกด้วยความเจ็บช้ำ ความทรมานแสนสาหัสโดยที่ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
คำพูดนั้นตอกลึกเข้าไปในใจของเขาและดวงตาที่สะท้อนความรู้สึก มันช่วยยืนยันได้ดีกว่าสิ่งใด ว่าคนพูดนั้นเจ็บและทรมานแค่ไหน ต่อความเห็นแก่ตัวของเขาเพียงฝ่ายเดียว
“ปั้น! เดี๋ยวก่อน ปั้น! โธ่เว้ย!!”
เขาตะโกนเรียกฝ่ายที่วิ่งออกไปจากร้านอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่มองมา เวลานี้สิ่งที่เขาควรทำนั่นก็คือ ยื้อคนรักเอาไว้ให้นานที่สุด



“ให้คนออกตามหาเพิ่ม ไม่ว่ายังไงคืนนี้ฉันต้องเจอปั้นให้ได้!” อธินขบกรามแน่น สั่งกำชับคนปลายสายก่อนจะหันมายังสองร่างที่นอนอาบเลือดอยู่บนพื้นด้วยฝีมือเขา
“มึงเป็นคนเอาเรื่องนี้ไปบอกปั้นใช่มั้ย?” การสืบสาวความจริงยังไม่จบ ในเมื่อผลของมันยังไม่เป็นไปอย่างที่เขาต้องการก็ไม่มีทางปล่อยพวกมันไปเด็ดขาด
“กูไม่ได้ทำ!” ต่อให้ยืนยันอีกสักกี่ร้อยพันครั้งคำตอบก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม เขาไม่มีเจตนาจะทำให้อธินทะเลาะกับคนรักเลย เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่ความบังเอิญ ให้สาบานกี่ครั้งกี่หน แม้แต่คนรักอีกฝ่ายเป็นใครก็ไม่เคยรู้เสียด้วยซ้ำ
“โกหก! ถ้าไม่ใช่เพราะมึงปั้นจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง!” อธินนอกจากจะไม่เชื่อกันแล้วยังปรักปรำเขาอีก ตั้งแต่ที่เราเลิกกันฝ่ายนั้นก็ไม่เคยมองกันในแง่ดีเลยสักครั้ง
“พวกกูสองคนแค่คุยกัน แต่แฟนมึงดันมาได้ยินเข้า ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะเว้ยอธิน...กูขอโทษ!!”
นิคช่วยอธิบายความจริง แต่ถึงอย่างนั้นก็อดโทษตัวเองไม่ได้ ถ้าหากตอนนั้นตัวเองไม่เผลอพูดออกไป เรื่องมันคงไม่เกิด และพวกเขาก็คงไม่เดือดร้อน
“กูเคยบอกไปแล้วใช่มั้ย? ว่าหน้าไหนก็ห้ามพูดถึงอีก”
ต่อให้อธิบายยังไงสำหรับอธินมันก็เป็นข้อแก้ตัวทั้งนั้น รังแต่จะทำให้อารมณ์เดือดยิ่งกว่าเดิม
“นิคมึงพอเถอะ! ใครจะเข้าใจยังไงก็ช่างมัน” วินซ์ร้องบอกเมื่อเห็นว่าต่อให้พูดอะไรไปสุดท้ายแล้วอธินก็ไม่เคยหยุดความโหดร้ายของตัวเองลง และผลจากคำพูดนั้นกลายเป็นฝ่ามือหนักๆ ฝาดลงบนแก้มของเขาแทน
“เจ็บ…”
ร่างสูงย่อตัวลงข้างๆ บีบคางของคนเก่งแต่ปากขึ้นมามองหน้า เลือดสีแดงเกาะอยู่ตามมุมปากถึงแม้จะรู้สึกใจหายอยู่บ้างกับฝีมือของตัวเองแต่แค่นี้ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาได้รับ
“มึงเจ็บนั่นแหละดี จะได้รู้ว่าตอนนี้กูรู้สึกยังไง!”
“อธินสงสารมันเถอะ ยังไงก็เพื่อนกันนะ” หลายคนเห็นด้วยกับคำพูดของบอม
“ตอนนี้กูไม่ใช่เพื่อนมัน!!”  วินซ์บอกทั้งน้ำตา ทั้งเจ็บปวดกับบาดแผลบนร่างกายที่คนทำไม่เคยนึกถึงจิตใจ แม้แต่ในฐานะเพื่อนก็แทบไม่เหลือค่า
“อย่าปากดี!”
“กูจะบอกให้มึงรู้ไว้ ที่มึงเป็นแบบนี้เพราะสิ่งที่มึงทำนั่นแหละ ต่อให้ไม่ใช่เพราะพวกกู สักวันเรื่องเลวๆ ที่มึงทำก็ย้อนหามึงอยู่ดี!
แม้ถูกจ้องด้วยสายตาแข็งกร้าวแต่คนเจ็บราวกับทั้งร่างจะแตกสลายกลับไม่รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด
“ใช้วิธีผิดๆ เพื่อให้ได้เขามา ตอนเสียเขาไปก็อย่าหวังเลยว่าความรักจะเข้าข้างมึง!” รู้ดีเพราะมันเกิดขึ้นกับตัวเองมาแล้ว วินซ์สะบัดมือของอธินออกไปแล้วช่วยประคองเพื่อนเคราะห์ร้ายอีกหนึ่งลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุกลักทุเล โดยมีสายตาของเพื่อนในกลุ่มมองตามอย่างเวทนา ใจหนึ่งอยากเข้ามาช่วยแต่เหลือบมองสายตาแข็งกร้าวของอธินราวกับสัตว์ป่าที่พร้อมจู่โจมเหยื่อได้ทุกเมื่อแล้วก็ได้แต่นิ่ง มองตามสองร่างที่โชกไปด้วยเลือดเดินออกจากกลุ่มไปเงียบๆ
“ไม่ใจร้ายไปหน่อยรึไงวะ” มอสยืนกอดอกมองดูเหตุการณ์เงียบๆ พูดออกมาหลังจากเรื่องสงบลง นึกไม่ถึงว่าอธินจะโหดร้ายกับเพื่อนได้ขนาดนี้ ถ้าชั่งน้ำหนักตามเหตุผลจริงๆ ครั้งนี้เรียกว่าทำเกินกว่าเหตุมาก มันคงหัวเสียไม่น้อยที่คนรักทิ้งไป แต่ใครจะรู้อะไรบ้างไหมว่าคนที่น่าสมเพชกว่าไอ้สองคนนั้น จริงๆ แล้วยืนอยู่ตรงหน้าเขาต่างหาก
รักมากจนไม่รู้ตัวว่าทำผิด...
“ถ้าอยากไปก็ปล่อยมัน”
คนฟังไม่หยี่หระกับคำตอบนั่นสักเท่าไหร่ ใครจะอยู่ใครจะไปก็ไม่เกี่ยว เพราะถือว่าผลประโยชน์ของตัวเองไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกนั้น ในเมื่ออธินยังติดค้างเขาอยู่

   
   อธินเดือดเป็นไฟจนไม่สามารถยับยั้งความโหดร้ายที่โหมพัดขึ้นมาราวกับได้รับเหยื่อชั้นดีเป็นเชื้อเพลิง ตัวตนอีกด้านหนึ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้มานานคราวนี้คงได้เวลาของมันแล้ว
   ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดอีกครั้งหลังจากรู้มาว่าไม่มีใครเจอเบาะแสคนรักเลย ใจเริ่มร้อนรน เมื่อคิดว่าบางทีปั้นอาจจะไปหาไอ้เด็กคนนั้น
“หาให้ทั่วโดยเฉพาะทุกที่ที่ปั้นเคยไป” และแน่นอนว่าบ้านของไอ้รดิศก็รวมอยู่ในนั้นด้วย


“เป็นไปได้ยังไง นี่พวกนายทำงานประสาอะไร!”
“จับตาดูมันไว้สิวะ อย่าให้ฉันรู้ว่าทำงานพลาด” ไม่ใช่เพียงแค่ขู่ ใครๆ ต่างรู้ดีเมื่อถึงจุดสูงสุดของอารมณ์แล้ว คำพูดถือเป็นประกาศิตคนอย่างเขาไม่เคยให้โอกาสใครซ้ำสอง
อธินกลับมารอที่ห้องเพราะหวังว่าบรรยากาศเก่าๆ อาจทำให้จิตใจสงบและนิ่งลงได้ เฝ้าแต่ภาวนาว่าปั้นจะกลับมา ทั้งที่ไม่แน่ใจอะไรเลยสักอย่าง และที่สำคัญไปกว่านั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา คนรักไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
“อย่าทิ้งพี่ไว้แบบนี้ ขอร้องล่ะ...”
เขาฝากข้อความนี้กับคนปลายสาย ใจรู้สึกกลัวการรอคอยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สามชั่วโมงที่ผ่านมาให้ความรู้สึกยาวนานเหลือเกิน
ถ้าหากปั้นไม่กลับมาเขาจะทำอย่างไร
นาฬิกาบนข้อมือยังคงทำงานของมันไปเรื่อยๆ ไม่เคยหยุดพัก อธินเผลอหลับไปรู้ตัวอีกทีเมื่อท้องฟ้ามืดสนิทกลับเต็มไปด้วยเม็ดฝนกำลังโหมกระหน่ำไม่ขาดสาย เขามองนาฬิกาของตัวเองอีกครั้ง
ผ่านไปแล้วห้าชั่วโมง...
เป็นห่วงเหลือเกิน ยิ่งอุณหภูมิเย็นลงเท่าไหร่ใจดวงนี้มันก็ยิ่งสวนทาง
สายฝนไม่เคยทำให้รู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน กลัวว่าใครบางคนจะจากไป...


..........................................................

คืนนี้ฝนตกอีกแล้ว
ชายหนุ่มผู้มีความทรงจำที่ดีและไม่ดีเกี่ยวกับสายฝนบ่นขึ้นในใจ ดวงตาคมเข้มมองออกไปยังความมืดนอกหน้าต่าง ไม่ชอบความรู้สึกที่กำลังกวนใจเขาตอนนี้เลย
ทุกครั้งที่ฝนตกหนักมักจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเสมอ...
เขาไม่เคยเชื่อโชคลางหรืออะไรทำนองนั้น จะมายึดติดอยู่กับคืนฝนตกว่าจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นก็ดูไร้เหตุผลเกินไป รดิศรีบปิดกระจกทุกบานของห้องแข่งกับสายฝนที่เทลงมาอย่างต่อเนื่อง
ปล่อยให้ห้องจมอยู่กับความเงียบเคล้าบรรยากาศในคืนฝนตก รอบกายตอนนี้ช่างบั่นทอนใจคนอ่อนแออย่างเขาเหลือเกิน
“คิดถึงเขาแต่ไม่ยอมทำอะไรเลย แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรวะ ทีแบบนี้แล้วทำเป็นคนดีไปได้นะมึงน่ะ”
เสียงของไอ้นนท์ยังคงดังกรอกหูอยู่ทุกวัน พวกมันทำเหมือนกับว่าที่เขาเป็นอยู่นี่มันง่ายนัก ทั้งที่คิดถึงปั้นใจจะขาด อยากไปหาแต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งรู้อยู่ว่าปั้นไม่ได้รักจะดึงดันต่อไปมันก็ไม่ได้อะไร
ทำใจยอมรับความจริงเสียดีกว่า!   
รดิศถอนหายใจวันละร้อยรอบราวกับมันจะช่วยระบายความช้ำในใจของเขาได้ พอนานๆ เข้าเมื่อมันไม่เห็นผลก็หงุดหงิดขึ้นมาเสียดื้อๆ
ชายหนุ่มพาดร่างลงไปบนโซฟาตัวเดิม เสียบหูฟังกับโทรศัพท์แล้วไล่กดเพลงฟังไปเรื่อยๆ หวังว่ามันจะช่วยทำให้เขาลืมเรื่องนั้นได้สักพัก สงบจิตสงบใจตัวเองได้ไม่ถึง 5 นาที
คิดถึงเรื่องในอดีต วันแรกที่เจอใครบางคนกับรอยยิ้มสดใส ช่วยทำให้ใจเขาสงบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แต่เมื่อไหร่ที่นึกถึงความบ้าบอกับเรื่องโง่ๆ ของตัวเอง ผลของมันก็ออกมาอย่างที่เห็น โทรศัพท์เจ้ากรรมลอยลิ่วไปติดมุมห้อง คนเอาแต่ใจเลือกใช้ข้าวของเป็นที่ระบายอารมณ์
ความคิดถึงมันทำให้เขาคลั่ง
.................................................

ท้องฟ้าโปร่งใสต่างจากหลายวันก่อน เช้าวันจันทร์กับจุดเริ่มต้นของวงจรชีวิตมนุษย์ในสัปดาห์ใหม่ บนท้องถนนเต็มไปด้วยรถมากมาย ทุกชีวิตไหลไปตามกฎเกณฑ์ของมันอย่างที่ควรจะเป็น มีเพียงแต่เขาที่ทำตัวสวนทางกับเข็มนาฬิกา
อธินยกเลิกงานทั้งหมดโดยไม่สนใจผลกระทบของมันที่ตามมาภายหลัง เฝ้าจดจ่ออยู่แต่หน้าจอโทรศัพท์อย่างร้อนรน แม้ว่าสภาพอากาศกลับสู่ปกติของมันแล้ว แต่ใจเขายังคงมีพายุหมุนวนตลอดเวลา อธินทนอยู่เฉยได้ไม่นานก็คว้ากุญแจรถแล้วออกไปจากห้อง
เขาต้องทำอะไรสักอย่าง
เบนซ์สีขาวจอดลงที่จุดลับสายตาคนไม่ห่างจากบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นจุดหมาย เขาจะขับรถมาเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ในทุกๆ เช้า คิดเผื่อไปว่าบางทีปั้นอาจจะย้อนกลับมา
เจ็ดโมงกว่าๆ คุณอาเจ้าของบ้านก็ออกไปทำงาน สายหน่อยก็ถึงเวลาของคุณผู้หญิงของบ้าน ตกเย็นทั้งคู่กลับมาในเวลาไล่เลี่ยกัน นี่เป็นชีวิตประจำวันของคุณอาทั้งสองคนที่เขาพอจะรู้
 อากาศตอนกลางวันร้อนอบอ้าวแต่เขาก็ยังอดทนรอต่อไป มือหนาปลดกระดุมตัวบนออก สะบัดเสื้อเล็กน้อยเมื่อรู้สึกอึดอัดเพราะนั่งอยู่ในรถมาตั้งแต่เช้า ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะเฝ้ารออะไรได้นานขนาดนี้ เวลาผ่านไปจนใกล้ค่ำก็ยังไร้วี่แวว นั่นทำให้เขาต้องย้อนถามตัวเองอีกครั้งว่ากำลังทำบ้าอะไรอยู่
ราวกับก่อปราสาททรายบนชายหาด พอคลื่นซัดมาก็พังทลายไม่เหลืออะไร
เสียเวลาเปล่า...
อธินเลิกหวัง เขาสตาร์ทรถเพื่อขับออกไป มันเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่เห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งตกแต่งด้วยสีฉูดฉาดจอดลงหน้าบ้าน เป็นเด็กวัยรุ่นหน้าตาดีสองคนในชุดนักศึกษา คนหนึ่งวิ่งหายเข้าไปในบ้านไม่ถึงสิบห้านาทีก็เดินหัวเสียออกมาตามด้วยคุณอาอีกสองคน
เขาชั่งใจอยู่นานเมื่อเพ่งมองเสี้ยวหน้าหนึ่งท่ามกลางความมืด
และบางอย่างก็ชัดเจนขึ้นในหัว
‘เมื่อคืนน้องเดียร์มานอนที่ห้อง สงสัยถูกแย่งหมอนไปตอนหลับแน่ๆ เลย’ เขายังจำประโยคของคนรักได้
หรือจะเป็นเด็กคนนั้น...


.......................................................






คนนั้นไง คนนั้นนนนนนน
 :z2: :katai2-1: :katai4: :katai5:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
คนไหนล่ะ มาด่วนเลยๆๆๆๆๆๆๆ
ได้เวลาแล้ว อิอิ

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Listen to my heart ........♥ 20 : เก็บไว้ในใจ
«ตอบ #39 เมื่อ19-01-2018 15:31:21 »

ตอนที่ 20 เก็บไว้ในใจ





กลิ่นอายทะเลพัดมา ม่านหน้าต่างพลิ้วสะบัดยามต้องลม เจ้าของใบหน้าหม่นหมองเกยคางลงบนพนักพิง ดวงตาคู่สวยเหม่อมองออกไปยังแสงสว่างยามเช้าของวันใหม่
 ครั้งหนึ่งเคยเปรียบไว้ว่าพี่อธินนั้นป็นดั่งแสงสว่างในชีวิต อบอุ่นเสมอเมื่ออยู่ใกล้ แต่มาวันนี้แสงนั้นกลับร้อนแรง แผดเผา ยิ่งใกล้ก็ยิ่งอันตราย เช่นความเสียใจที่ได้รับมา
“นายคงไม่ได้นั่งอยู่แบบนี้ทั้งคืนหรอกใช่มั้ย?”
“เรา...” ชะงักคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อหาข้ออ้างไม่ได้ ดวงตาคู่สวยเลิ่กลั่ก ที่ไม่สามารถซ่อนความอ่อนแอในใจนี้ เขาไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง แต่คนที่รู้จักกันมานาน มองแวบเดียวก็กระจ่าง
“ที่ผ่านมาไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น นายก็เข้มแข็งมาตลอดไม่ใช่รึไง?” หญิงสาวนั่งลงใกล้ๆ เอียงคอมองคนคิดหาข้ออ้าง หลายวันที่ผ่านมาเจ้าตัวเอาแต่ร้องไห้กับเรื่องที่เกิดขึ้น คนที่คอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ รู้สึกเป็นห่วง สำหรับเรื่องนี้ไม่ใช่ว่ามันไม่มีทางออกเสียหน่อย ปั้นเลือกได้ว่าจะกลับไปหรือจะปล่อยมันทิ้งไว้ ขอแค่เลือกแล้วจะไม่มานั่งเสียใจกับมันอีก
“ที่ผ่านมาแล้วก็แล้วกัน อีกอย่างพี่เค้าก็เป็นคนดี ให้โอกาสกันอีกสักครั้งจะเป็นไรไป นอกจากว่านายไม่อยากกลับไปเองมากกว่า”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกแพรว ต่อให้พี่อธินทำผิด ที่เขาดูแลช่วยเหลือเรามาตลอดห้าปีมันก็ลบล้างความผิดนั่นไปหมดแล้วล่ะ” นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดมาทั้งคืน อันที่จริงความรู้สึกโกรธแค้นกันก็ไม่มีเลยด้วยซ้ำ ที่มีอยู่ก็แค่ความเสียใจ
“แล้วจะลังเลอะไรอีกล่ะ มีอะไรในใจงั้นเหรอ?”
“ไม่หรอก...” ลูกแก้วกลมใสสะท้อนแสงอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้า สิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นคือความไม่มั่นใจ ไม่เข้าใจตัวเองทำไมถึงยังให้กับตอบกับหัวใจไม่ได้ สิ่งที่ค้างคาอยู่ในนั้น สะสมจนเป็นตะกอนใหญ่
 “โกหกไม่เก่งเลยรู้มั้ย? นี่! ฉันมองตานายก็รู้ว่าที่นายทำทั้งหมดนี่มันหมายถึงอะไร จริงๆ แล้วนายอยากเปิดโอกาสให้หมอนั่นมากกว่า ใช่มั้ยล่ะ?”
มันก็ไม่ถูกเสียทีเดียวหรอกนะ
“ถ้าหมายถึงไอ้รดิศนั่นอ่ะนะ! บอกไว้ก่อนเลยว่าฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่เห็นด้วย!” ทั้งคู่หันไปมองยังที่มาของเสียง สองหนุ่มเดินขึ้นมาบนบ้านด้วยสายตาไม่สบอารมณ์เท่าไหร่เมื่อได้ยินประโยคเกี่ยวข้องกับคนบางคน
“กูก็เหมือนกัน...จนตอนนี้ก็ยังเกลียดหน้ามันว่ะ! ไม่รู้ทำไม!” เติ้ลบ่นแล้วลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งรวมกลุ่ม ตอนนี้พวกเขาสี่คนมีโอกาสได้อยู่กันครบทีม เหมือนตอนเรียนมัธยมอีกครั้ง นับเป็นช่วงเวลาที่หาได้ยาก คนที่เศร้าเสียใจมาหลายวัน วันนี้ได้มีรอยยิ้มออกมาบ้าง
“พวกนายมาได้ยังไง?”
“ก็ไอ้อาร์มเนี่ยเป็นคนพามา...บอกว่าให้รีบกลับมาทำหน้าที่เพื่อนสนิทน่ะ”
“หน้าที่เพื่อนสนิท?”
“ใครจะยอมให้เพื่อนที่น่าสงสารคนนี้นั่งเศร้าอยู่คนเดียวล่ะจริงมั้ย?...อีกอย่างเราก็ไม่ได้อยู่กันครบแบบนี้มานานแล้วนะ” ปั้นยิ้มเมื่อเห็นเพื่อนๆ นั่งอยู่รายล้อม คิดว่าต่อให้เจอเรื่องมาหนักหนาแค่ไหน ขอแค่มีเพื่อนที่รู้ใจคอยเคียงข้าง รับรองว่าทุกอย่างต้องกลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววัน
“ว่าแต่อยากเห็นหน้าไอ้อธินนั่นจัง บังอาจมาทำให้เพื่อนกูเสียใจเนี่ย”
“เรื่องมันนานมาแล้วล่ะ...” พูดจบเจ้าตัวก็นั่งกอดเข่า เหม่อมองออกไปไกล
ไม่คิดว่าคนที่ไว้ใจมาตลอดอย่างพี่อธินจะลงมือทำเรื่องแบบนี้ แม้จะเป็นเพราะความรัก แต่การกระทำนั้นได้สร้างบาดแผลในใจให้เขาไปแล้ว และก็เป็นเขาเองที่เข้ามาเยียวยารักษาให้จนมันหายดี นึกถึงช่วงเวลานั้น เขาก็น้ำตาคลอ
“เขาเป็นคนดีแล้วก็น่ายกย่อง ทุกอย่างที่ทำให้เรา มันก็ชดเชยไปหมดแล้วกับสิ่งที่เขาทำผิด จะมาโกรธแค้นกันตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ”
ที่เหลือก็แต่...จะทำอย่างไรกับชีวิตหลังจากนี้ต่างหาก
“งั้นถามอะไรหน่อยสิปั้น? ระหว่างถูกคนที่ไว้ใจทำร้ายกับคนที่เรารักไม่ยอมเชื่อใจ อันไหนมันทำให้นายเจ็บมากกว่ากัน?” คำถามของอาร์มเล่นเอาเจ้าตัวนิ่งคิดไปพักใหญ่ บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนไปโดยฉับพลันและความเงียบก็เข้ามาแทนที่
นั่นสินะ...เขายังจำความเจ็บปวดครั้งนั้นได้ดี และรู้สึกว่าแผลเดิมในวันนั้นก็ยังไม่หายดีซะด้วย
“ปั้นไม่ต้องตอบหรอก ถึงคำถามข้อนี้คำตอบที่ถูกต้องของมันไม่ใช่รดิศ เจ้าตัวเขาก็ดึงดันตอบเป็นรดิศอยู่ดีนั่นล่ะ จริงมั้ย?”
หากไม่จริงเขาก็ควรปฏิเสธ ต่อหน้าเพื่อนที่รู้ใจกันขนาดนี้ถึงตอบว่าไม่ก็ไร้ประโยชน์
ไม่มีใครเชื่อหรอก...
ขึ้นชื่อว่าความรักบางทีมันก็ไร้เหตุผลจนเกินไป
“ฉันเชื่อว่านายไม่กลัวคำว่าเสียใจ ถ้าแลกกับการที่ตัวเองเป็นฝ่ายเจ็บเพื่อยอมให้คนที่รักมีความสุขได้นายก็จะทำ ตอนนี้ไม่ต้องทำแบบนั้นเพื่อคนอื่นแล้วนะ นายจะแบกความเสียใจไว้คนเดียวตลอดได้ยังไง” คำพูดของแพรวทำให้ปั้นนิ่งคิดอีกครั้ง
“อย่าไปเชียร์ไอ้รดิศมันให้มากนักได้ป่ะ” อาร์มยืนกอดอกอยู่ริมระเบียง เขาอารมณ์ไม่ดีอีกแล้วเมื่อแฟนสาวเริ่มพูดจาเข้าข้างใครบางคน
“มันก็ไม่ได้เรื่องทั้งสองคนนั่นแหละ เป็นใครฉันก็ไม่เห็นด้วย ถ้าคิดแบบนั้นสู้มีใหม่ไปเลยไม่ดีกว่าหรือ?” เติ้ลเสนอ หากมันยุ่งยากนักก็ตัดออกไปจากชีวิตเลยทั้งคู่
“โอ้ย! พวกนายสองคนนี่”
“ก็ฉันไม่ชอบพวกมันนี่หว่า!”
ความวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อแต่ละคนต่างมีความเห็นไม่ตรงกัน คนหนึ่งก็บอกเหตุผลของตัวเอง อีกคนก็แย้งขึ้นเมื่อไม่เห็นด้วย เพราะรักและอยากให้เพื่อนมีความสุขจึงช่วยหาทางออกให้อย่างเต็มที่
“ขอบใจทุกคนมากนะ เราตัดสินใจได้แล้วล่ะ” คำพูดของปั้นดึงความสนใจของเพื่อนๆ หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน
“ตัดสินใจได้แล้วหรือ?”
“ว่าไง?”
..........................................................................

ประตูสำนักงานเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า สร้างความแปลกใจให้สาวรุ่นพี่ แต่เมื่อลองพิจารณาใบหน้านั้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะเคยเจอกันมาแล้วเมื่อคราวก่อน
“คุณนั่นเอง!”
ในที่สุดรดิศก็ทนเก็บความคิดถึงเอาไว้ในใจคนเดียวไม่ไหว เขาตัดสินใจออกมาหาปั้นถึงที่ทำงาน ต่อให้เจออีกฝ่ายเมินเฉยหรือแสดงท่าทางรังเกียจก็พร้อมจะยอมรับ แต่สิ่งที่แปลกจากทุกครั้งนั่นก็คือบรรยากาศในสำนักงานที่ค่อนข้างเคร่งเครียด พอลองถามถึงใครอีกคน สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปกลายเป็นความกังวล
 “เอ่อ..น้องปั้นไม่มาทำงานหลายวันแล้วค่ะ ตอนนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้เลย” ได้ยินดังนั้นเขาไม่คิดเซ้าซี้อะไรต่อ ตัดสินใจถอยหลังกลับ คิดว่าปั้นคงไม่ต้องการเจอเขาจริงๆ
มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
“ใครหรือพี่มะลิ?”
“เพื่อนน้องปั้นคนที่ชอบมาหาบ่อยๆ ไง”
“งั้น เดี๋ยวผมมานะ” มีนผลักประตูออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นเริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ เขาก็รีบวิ่งตามไปทันที
“คุณ! คุณครับ รอเดี๋ยว” เด็กหนุ่มร้องตะโกนจนอีกฝ่ายชะลอฝีเท้า เมื่อรดิศหันมาตัวเองก็รีบวิ่งเข้าไปหา มีนยืนหอบแฮ่กๆ พร้อมแนะนำตัว
“ผมชื่อมีน เป็นรุ่นน้องที่ทำงานของพี่ปั้นครับ! จำผมได้มั้ย?”
“อ่อ...จำได้สิ!” รดิศยิ้มให้ตามมารยาท รุ่นน้องคนนี้เขาเห็นอยู่กับปั้นมาหลายครั้ง
“คุณได้ข่าวพี่ปั้นบ้างมั้ยครับ?” รดิศส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ จากสีหน้ากังวลของเด็กคนนี้เมื่อเห็นเขาปฏิเสธ ลางสังหรณ์บอกว่าคงมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง
“ตอนนี้พวกเราติดต่อพี่ปั้นไม่ได้เลย พี่ปั้นหายตัวไปครับ”
“นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?”
“ครับ เรื่องจริง ผมคิดว่าคุณรู้แล้วเสียอีก”
เขานิ่งเงียบ ในใจมีแต่ความกังวล ร้อนรนใจ นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย รดิศรู้สึกผิด แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มขึ้นจากเขาเอง คนที่เป็นฝ่ายผิด
ได้แต่โทษตัวเอง
มีนเห็นว่าคนๆ นี้ไว้ใจได้ เลยตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
“คืนนั้นพี่ปั้นทะเลาะกับพี่อธิน” เขากับพี่ปั้นบังเอิญได้ยินผู้ชายคนหนึ่งพูดถึงแผนการอะไรสักอย่าง ซึ่งคนนอกอย่างเขาฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจนัก พอพี่อธินมาถึงเรื่องมันก็รุนแรงขึ้น หลังจากนั้นพี่ปั้นก็วิ่งออกจากร้านไปเลย
แผนการเหรอ?  รดิศกลืนก้อนฝืดๆ ลงคอ นั่นคือสิ่งที่เขาเคยกังวล หรือว่าปั้นจะรู้ความจริงแล้ว?
“อย่าหาว่าผมยุ่งเรื่องนี้เลยนะครับ คือว่าก่อนหน้านี้พี่ปั้นเคยเล่าเรื่องคนๆ หนึ่งให้ผมฟังด้วย ผมคิดว่าบางทีมันอาจจะเกี่ยวกันก็ได้....พี่ปั้นบอกว่าเขาเป็นรักแรก...”
รดิศเงียบไป รู้สึกตีบตันในลำคอ ฟังน้องมีนค่อยๆ เล่าต่อ “พี่ปั้นเคยชอบเค้ามาก แต่มีเรื่องเข้าใจผิดกัน ก็เลยทำให้คนๆ นั้นรังเกียจ” คนเล่าไม่ได้สังเกตท่าทางของคนฟังเลยแม้แต่น้อย ก็เลยไม่รู้ว่าในดวงตาคู่นั้นซ่อนความรู้สึกใดไว้
“ขนาดเรียนมหา’ลัยเดียวกันก็ทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน รู้อะไรมั้ยครั้บ? ตอนที่พี่ปั้นเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง พี่ปั้นร้องไห้ด้วยนะ ผมใจหายมากเลยตอนเห็นน้ำตา พี่ปั้นบอกผมว่ายังไม่ลืมเขา บอกว่ายังคิดถึงอยู่”
น้องมีนยังคงพูดเจื้อยแจ้ว “ผมว่านี่ต้องเป็นสาเหตุให้พี่ปั้นทะเลาะกับพี่อธินแน่ๆ คุณคิดเหมือนกันมั้ย?” พอหันกลับมาทางคนฟังกลับพบว่าอีกฝ่ายกำลังมีน้ำตา
“คุณ...”
“เขาพูดถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่หรือ?”... รดิศหันมายิ้มขณะเดียวกันก็สูดลมหายใจ ยกหลังมือเช็ดหยดน้ำใสๆ ที่ไหลมารวมกันที่ปลายจมูกด้วย
“เอ่อ..เมื่อเดือนก่อนเองครับ”
“ที่เขาพูดถึงช็อกโกแลตวาเลนไทน์น่ะ ความจริงแล้วมันยังอยู่นะ ส่วนตอนเข้ามหาลัย ใช่แล้วล่ะ...ฉันเป็นคนตามเขาไปเอง”
“ห้ะ!!คุณ ..คุณคงไม่ใช่...”
“ส่วนที่หมอนั่นบอกว่ายังคิดถึง...ขอบใจมาก..ที่เล่าให้ฟัง”
“ดะ เดี๋ยวนะ!..ไม่อยากจะเชื่อเลย...” น้องมีนตกตะลึงกับความจริงยิ่งกว่าสิ่งใด ทุกความสงสัยในตัวผู้ชายคนนี้มันถูกเฉลยออกมาหมดแล้ว “คุณจะช่วยตามหาพี่ปั้นมั้ย?”
“แน่นอนสิ!”
คำตอบนั้นสร้างความพอใจให้เขาเป็นอย่างมาก ที่เคยสงสัยว่ารักแรกของพี่ชายที่รักจะเป็นคนอย่างไร เมื่อได้เจอรดิศในวันนี้ เขารู้แล้วว่าทำไมพี่ปั้นถึงยังรัก...
เขามีบางอย่างที่ไม่เหมือนใครจริงๆ
“งั้นระหว่างนี้ก็ลองมาทำงานที่ชมรมกับพวกเรามั้ยครับ ตอนนี้งานยุ่งมากเลย กำหนดไปค่ายก็เร็วๆ นี้แล้วด้วย อย่างน้อยก็ช่วยรักษาตำแหน่งนี้ไว้ในระหว่างที่เขาไม่อยู่”
“แบบนั้นก็ไม่เลวเลยนะ”
“พี่มะลิต้องดีใจมากแน่ๆ เลยล่ะครับ”

...........................................................................




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Listen to my heart ........♥ 20 : เก็บไว้ในใจ
« ตอบ #39 เมื่อ: 19-01-2018 15:31:21 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
Re: Listen to my heart ........♥ 20 : เก็บไว้ในใจ
«ตอบ #40 เมื่อ19-01-2018 19:49:47 »

ลืมกลุ่มเพื่อนปั้นไปเลย ฮ่าๆๆๆๆ
เอาๆๆๆน่าอะไรๆๆๆหลายๆๆอย่าง ก็ทำให้ได้เรียนรู้ รอปั้นดิสเดินเคียงค้างกัน อิอิ

ส่วนอธิปตามไปหาคู่ใหม่จ้า

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Listen to my heart ........♥ 20 : เก็บไว้ในใจ
«ตอบ #41 เมื่อ19-01-2018 20:34:22 »

อ่านรวดเดียวเลย รอนะคะ  ชอบค่ะ หน่วงๆ เทาๆ
ปวดใจเล่นดี

เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ สู้ๆๆๆๆ :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนที่ 21 หัวใจดวงเดียวกัน



ชายหนุ่มนั่งมองจำนวนผู้คนในแถวที่ต่อคิวเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีของหน่วยงานแพทย์อาสาที่เพื่อนๆ ของตนสังกัดอยู่แล้วอดนึกถึงหน้าที่ของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ เกือบสองสัปดาห์ ที่เขาทำตัวขาดความรับผิดชอบ เอาแต่หนีไม่กล้ากลับไปเผชิญปัญหา
   “ถ้านายเบื่อจะไปปั่นจักรยานเล่นก็ได้นะ” นั่นคือคำพูดของคุณหมอแพรวที่อุตส่าห์เจียดเวลาตรวจคนไข้หันมาใส่ใจคนอย่างเขา ปั้นหันมองจักรยาน มันจอดนิ่งอยู่ในโรงรถจนฝุ่นจับ คาดว่าคงถูกทิ้งไว้แบบนั้นมานานแล้ว
ในที่สุดก็ตัดสินใจออกมาคนเดียว...

ห่างจากศาลาหมู่บ้านไปเป็นทุ่งหญ้าเลียบชายหาดบรรยากาศเหมาะแก่การพักผ่อนเป็นที่สุด ร้านขายเครื่องดื่มริมทะเลอยู่ไม่ห่างไปจากตัวหมู่บ้านนัก มีลูกค้าแวะมาอุดหนุนไม่ขายสาย ปั้นยืนรอคิวอยู่ไม่นานก็ได้น้ำส้มปั่นของโปรดมาดื่มสมใจ จากนั้นก็ออกแรงปั่นจักรยานไปจนสุดทาง นั่งรับลมทะเลพร้อมเครื่องดื่มคู่ใจ
ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี กลุ่มเมฆบางๆ ลอยห่างไปจากสายตา ช่วงเวลาแบบนี้ทำให้เขานึกถึงใครบางคน คนที่เป็นเหมือนพระอาทิตย์ยามเย็น...
“จะไม่เปลี่ยนใจแน่นะ?”
เสียงแพรวถามย้ำขึ้นมา วันนั้นเขาให้คำตอบกับทุกคนว่าอยากใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวมากกว่า แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะทำแบบนั้นได้จริงๆ รึเปล่า...
เสียงคลื่นสาดกระทบฝั่งดังแว่วมาเป็นคำตอบ ทั้งหนักแน่นและเต็มไปด้วยความหวัง
หลังจากนี้จะไม่ลังเลอีกแล้ว...


ปั้นรอจนแสงของวันหมดไปจึงค่อยปั่นจักรยานกลับที่พัก ช่วงเวลาเพียงไม่นานระหว่างที่พระอาทิตย์ตกดินทั้งสองข้างทางกลับมืดลงอย่างรวดเร็ว มีเพียงแสงสว่างจากเสาไฟแต่ละจุดเท่านั้นที่ช่วยทำให้เขาอุ่นใจ
แต่แล้วปั่นไปได้ไม่นาน จักรยานดันมาเสียระหว่างทาง ซ้ำร้ายกว่านั้นเขาไม่ได้พกอะไรติดตัวไว้เลยนอกจากกระเป๋าสตางค์
แย่ล่ะสิ!
   “ทำไมโซ่มันต้องมาขาดตอนนี้นะ” อันที่จริงจักรยานมันก็เก่ามากแล้วด้วย เขานี่สิที่ไม่ควรลากมันออกมา เขาต้องเดินกลับที่พักซึ่งใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง เหงื่อโทรมทั้งตัวเหนื่อยจนบรรยายออกมาไม่ได้
   เจ้าของร่างเพียวบางกำลังหมดเรี่ยวแรง เดินผ่านศาลาเห็นเพื่อนๆ นั่งประชุมอยู่ ดูเหมือนคืนนี้จะมีสมาชิกเพิ่ม นอกจากหน่วยแพทย์อาสาด้วยกันแล้ว เขาเห็นมีหน่วยงานอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
   ปั้นใช้เวลากับการอาบน้ำไปกว่าครึ่งชั่วโมง เขาได้ยินเสียงเคาะประตูห้องจึงรีบวิ่งไปเปิด แขกตัวน้อยของเขาเป็นเด็กอายุแปดขวบ เธอเป็นลูกสาวของผู้ใหญ่บ้าน
   “พี่แพรวบอกว่ารออยู่ที่ศาลาค่ะ”
   “ครับ..เดี๋ยวพี่รีบตามไปนะ” ปั้นบอกแล้วรีบหันมาปะแป้งหวีผม เลือกสวมเสื้อยืดสบายๆ ถึงเวลาเข้านอนจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนใหม่
   เสียงพูดคุยดังแว่วมาแต่ไกลจากคนที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้น แพรวที่เห็นเขาเดินมาแล้วก็เลยเรียกให้เข้าไปนั่งด้วยกัน
   ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเผลอสบกับใครคนหนึ่ง รอบกายราวกับถูกสะกด ไม่อาจขยับเขยื้อน
   
ปั้นหันมองไปยังตราสัญลักษณ์บนรถตู้คนหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ห่างแล้วถึงกับไม่เชื่อสายตา ทำไมถึงบังเอิญขนาดนี้ ที่น่าแปลกไปยิ่งกว่าทำไมรดิศถึงอยู่ที่นี่ได้ เขารู้ได้ยังไง?
ชายหนุ่มยืนกระอักกระอ่วนอยู่กับที่ สองขาไม่อาจก้าวต่อไปได้เลยเมื่อรู้ตัวว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองมาเช่นกัน ส่วนอาร์มกับเติ้ลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สองคนนั้นทำหน้าบอกบุญไม่รับ เนื่องจากต้องทนร่วมโต๊ะกับคนที่ไม่ชอบ ก็มีแต่แพรวเท่านั้นที่ดูอารมณ์ดีกว่าใคร
“ปั้น รีบมากินข้าวสิ!”
พี่มะลิ พี่แอน น้องมีนและคนอื่นๆ นั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ไม่คิดมาก่อนเลยว่าโลกมันกลมจนขนาดที่พาพวกเขาทั้งหมดมาเจอกันภายในวันเดียว ไม่เพียงเท่านั้นเขายังรับรู้ได้ถึงทุกสายตาที่มองมาพร้อมด้วยคำถามมากมาย
ให้ตายสิ! เราควรทำตัวยังไง?
“ปั้น! นี่คือเพื่อนๆ จากหน่วยงานอาสา พรุ่งนี้เขาจะมาแจกอุปกรณ์กีฬาให้เด็กๆ ที่นี่น่ะ” ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เสียหน่อย เป็นเพื่อนกันแต่ต้องมาแนะนำตัวกันแบบนี้มันก็กระไรอยู่ ก็เลยตัดสินใจอธิบายให้ฟังว่าความจริงแล้วตัวเองก็ทำงานอยู่ที่นั่น แล้วทั้งหมดก็คือเพื่อนเขา
“ไม่อยากจะเชื่อเลย บังเอิญมากเลยนะเนี่ย!” ที่บังเอิญที่สุดเห็นจะเป็นการปรากฏตัวของผู้ชายตัวสูงที่นั่งอยู่ริมฝั่งโน้นมากกว่า ไม่ยักรู้ว่าเขาจะหันมายึดอาชีพนี้แล้ว
“พี่รดิศอาสามาช่วยงานพวกเราตอนที่พี่ปั้นไม่อยู่ไงครับ!” น้องมีนที่นั่งอยู่เก้าอี้ตัวถัดไปหันมากระซิบ
“งั้นหรือ?”
กินข้าวเสร็จพวกเขาก็ออกมาเดินเล่นที่สวน หลังจากไม่ได้เจอกันหลายวัน ทุกคนล้วนพุ่งไปที่ปั้นคนเดียว
“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่? ปั้นเลิกกับพี่อธินไปแล้วงั้นหรือ?” คำถามของพี่มะลิเล่นเอาคนตอบนิ่งไป ปั้นยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหลังจากนี้ความสัมพันธ์ของเขากับพี่อธินมันจะเป็นอย่างไร
“เปล่าครับ...”
“ไม่กลัวพี่อธินจะเป็นห่วงหรือ? รู้ไหมเขาโทรมาถามข่าวเราจากพี่ทุกวันเลยนะ”
“ตอนนี้ผมยังไม่อยากกลับไป...” ได้แต่ประณามตัวเองถึงการลังเลนี้ ไม่กล้าตัดสินใจอะไรสักอย่างแม้แต่เรื่องหัวใจ แบบนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะสิ้นสุดสักที
“พี่อยากให้เรากลับมามีความสุขเหมือนเดิม ไม่ว่าปั้นจะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่ พี่เอาใจช่วย!”
“ขอบคุณครับ” พี่มะลิกับพี่แอนขอตัวไปอาบน้ำจัดแจงเตรียมของไว้สำหรับพรุ่งนี้ ที่เหลือก็มีแต่น้องมีนที่รู้เรื่องราวทั้งหมดดีกว่าใคร เมื่ออยู่กันเพียงลำพังน้องมีนก็ตัดสินใจถามในสิ่งที่อยากรู้มานาน อยากฟังทั้งหมดจากปากของพี่ชาย
“เรื่องวันนี้มันบังเอิญจริงๆ เลยนะครับ”
“นั่นน่ะสิ!”
“ผมไม่คิดว่าคนที่หมอแพรวหมายถึงคือพี่ แต่พี่สองคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งดูเหมือนเขาไม่ค่อยชอบพี่รดิศสักเท่าไหร่เลยนะครับ”
“อ๋อ..มันเป็นแบบนั้นมาตั้งนานแล้วล่ะ”
“พี่ปั้นครับ ผมขอถามอะไรสักอย่างได้รึเปล่า?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
“รักแรกของพี่ปั้น คือพี่ดิศใช่มั้ย?”
“...”
“พี่ปั้นเคยบอกว่าเขาเป็นเพื่อนตอนสมัยเรียน ตอนที่เขารู้ว่าพี่ปั้นหายไป ดูเขาเป็นกังวลมากเลยนะ ผมคิดว่าเขาน่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับพี่บ้าง ก็เลยตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ในคืนนั้นให้เขาฟัง” ปั้นเงียบไปนานจนน้องมีนรู้สึกไม่ดี เมื่อเห็นสีหน้าของพี่ปั้นที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก นั่นยิ่งทำให้รู้สึกผิด
“เล่าไปหมดเลยหรือ?” เมื่อรุ่นน้องพยักหน้ายอมรับออกมาตรงๆ แบบนั้น ปั้นก็ได้แต่นั่งหน้าซีด
“พี่ปั้น...ผมขอโทษ”
   “ไม่เป็นไรหรอก...”
   “แต่ว่าเอ่อ...มีอีกเรื่องนึง ตอนนี้พี่อธิน เขาก็ตามหาพี่อยู่ทุกวันเลยนะครับ”
“พี่รู้...” รู้ดีแต่ตอนนี้เขาไม่สามารถกลับไปได้
“ขึ้นอยู่กับพี่แล้วนะครับว่าจะตัดสินใจยังไง สำหรับผมผมอยากให้พี่มีความสุข”
“ขอบใจนะ”

   เวลาผ่านไปจนเที่ยงคืนปั้นกับน้องมีนแยกย้ายกันกลับเข้าที่พัก ก่อนที่เมฆครึ้มๆ บนท้องฟ้าจะกลั่นออกมาเป็นสายฝน ไอเย็นรอบกายยามนี้ทำให้นึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ ขึ้นมาอีกแล้ว ปั้นกลับไปที่ห้องทันเวลาที่ฝนจะตก ในขณะนั้นเขาเห็นใครบางคนกำลังรออยู่ สายตาคู่นั้นมองเห็นเขาก่อนที่จะคิดหาทางหนีได้
“ยังไม่นอนหรือ?” ปั้นเอ่ยขึ้นก่อนเพื่อทำลายความเงียบ เมื่อถูกสายตาของเขามองมาอย่างไม่ลดละ รดิศทำให้อากาศตรงนี้หนาวขึ้นเป็นสิบเท่า 
“ฉันมารอนาย...”
“มีอะไรหรือ?”
“ไม่หรอก...แค่อยากรู้ว่าตอนนี้นายสบายดี” คนฟังเงียบไปอึดใหญ่
“เรา...สบายดี” ปั้นตอบพร้อมกับยิ้มให้ อยากให้เขารู้ว่าที่ผ่านมามันก็แค่เรื่องเล็กน้อย ต่อให้หนักหนาแค่ไหนเขาย่อมผ่านมันไปได้
“ฉันไม่กวนแล้ว นายรีบเข้านอนเถอะ” เขาบอกก่อนจะเดินออกไป และเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ฝนเริ่มตก ปั้นมองเจ้าของแผ่นหลังสูงใหญ่กำลังคิดจะวิ่งฝ่าสายฝนออกไป ก็รีบเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน ดิศ!” ที่พักของเขาอยู่ถัดไปอีกหลัง หากต้องตากฝนกลางดึกแบบนี้ เดี๋ยวก็ไม่สบายขึ้นมา
เสียงของเขาถูกกลืนไปกับสายฝน ชายหนุ่มรีบเข้าไปหยิบร่มออกมาและตามรดิศไปก่อนที่ฝนจะเทลงมาหนักกว่านี้
เม็ดฝนที่สาดลงมาค่อยๆ เบาบางลงพร้อมกลิ่นกายหอมๆ ในแบบที่เขาคุ้ยเคย รดิศหันไปมองร่างบางที่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับร่มในมือที่ช่วยบดบังเขาจากสายฝน อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นว่าเป็นใครคนนั้น
“เรา...” รดิศไม่รอให้คนขี้อายได้พูดจบประโยค ก็คว้าร่มในมืออีกอันที่ฝ่ายนั้นยื่นมาให้
“ขอบใจ” ขอบคุณในความห่วงใยที่มีให้ เท่านี้ก็เกินพอแล้วจริงๆ
นาทีนั้นบอกกับตัวเองว่า หลังจากนี้จะพยายามดูอีกสักครั้ง
เพื่อความรักที่อาจจะยังเหลืออยู่...

...............................................................


“ทำหน้าเบื่อแต่เช้า นี่เป็นอะไรกันห้ะ?”
“จะไม่ให้เบื่อได้ไง ดูโน่นสิ!” เติ้ลยืดกอดอกสังเกตพฤติกรรมคนบางคนที่มีอาการดีใจจนออกหน้าออกตา เห็นแล้วมันอดหงุดหงิดไปไม่ได้ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างรดิศจะมีอิทธิพลต่อเพื่อนเขาขนาดนี้
“หมั่นไส้มันชะมัด!”
“นี่เป็นโรคขี้อิจฉากันรึไง! แบบนั้นก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?” แพรวมองตามเข้าไปในเต้นท์กลางสนาม หลายคนกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้นตั้งแต่เช้า ช่วยขนอุปกรณ์กีฬาที่จะนำมามอบให้โรงเรียนลงจากรถ ดูเหมือนว่ามีใครบางคนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ อาการที่แตกต่างจากหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับการปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง นับเป็นเรื่องบังเอิญในจังหวะที่เหมาะสม นอกจากจะได้ตัวตนของเพื่อนคนเดิมกลับมาแล้ว ยังได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าตัวบ่อยขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คุณหมอขี้สงสัยยังคงไม่หยุดตั้งข้อสังเกต ขอพนันว่าเหตุการณ์ระหว่างเพื่อนรักกับชายหนุ่มที่เป็นรักแรกมันจะต้องพัฒนาขึ้นภายในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน   

เจ็ดโมงตรงการเตรียมงานทุกอย่างได้เสร็จลุล่วงไป หลังจากนั้นเป็นเวลาพักรับประทานอาหารเช้า ทุกคนต่อแถวเพื่อรับข้าวต้มร้อนๆ จากแม่บ้านที่อาสามาช่วย ปั้นมาถึงเป็นคนสุดท้ายและเดินไปต่อหลังสุด รดิศที่ยืนอยู่ประมาณกลางแถวถือโอกาสรั้งแขนเขาไว้ แล้วบอกให้มายืนด้วยกัน
“ไม่เป็นไร เราไปรอด้านหลังก็ได้”
“เถอะน่า!” เขายังกุมมือไว้ไม่ปล่อย
“ไม่ดีกว่า...สงสารคนอื่นเค้า”
“ไม่มีใครว่าไรหรอก จริงมั้ย?” รดิศช่วยหันไปถามเพื่อนๆ ที่อยู่ด้านหลังให้ ซึ่งแน่นอนว่านอกจากจะไม่มีใครขัดแล้ว ยังช่วยสนับสนุนเขาอีก นั่นจึงทำให้ปั้นไม่มีทางเลือก


เวลาในหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาถูกนัดรวมตัวกันอีกครั้งในช่วงค่ำของงานเลี้ยงขอบคุณเป็นการปิดท้ายกิจกรรมในช่วงเวลาที่ผ่านมา ปั้นกับแพรวแยกตัวกันออกมาช่วยคุณป้าเตรียมมื้อค่ำ ช่วงเวลาที่ได้อยู่กันเพียงลำพังคุณหมอคนเก่งจึงได้โอกาสสอบถามความจริงจากเพื่อนรักสักที 
“ถึงก่อนหน้านี้นายจะบอกว่าอยากอยู่คนเดียวมากกว่า แต่สิ่งที่ฉันเห็นพอจะทำให้รู้แล้วล่ะว่าอะไรที่เหมาะสมกับนาย นายน่ะไม่ต้องลังเลอะไรอีกแล้วนะปั้น ระหว่างพวกนายสองคน ไม่มีใครที่ดูไม่ออกหรอกนะ”
“หมายความว่าไง?” ปั้นชะงักไปจนเกือบทำจานหล่นแตก
“ก็...คนอื่นเขารู้กันหมดแล้วว่ารดิศน่ะชอบนาย ถึงขั้นที่เรียกว่ารักเลยล่ะ” เจ้าตัวนิ่งไป ได้จังหวะคุณหมอแพรวพูดต่อ
“มีแต่นายนั่นแหละ หมอนั่นแสดงออกมากแค่ไหน นายมองจุดประสงค์ไม่ออกเลยหรือไง หรือนี่ยังเป็นห่วง กลัวว่าพี่อธินจะเสียใจ”
“เรากลัวว่าถ้าเลือกเขาไปแล้ว พี่อธินจะไม่มีทางจบเรื่องนี้ง่ายๆ น่ะสิ” ปั้นถอนหายใจตอนพูดจบประโยค เรื่องราวระหว่างเขากับพี่อธินนั้นยังซับซ้อน หากไปคบคนใหม่เขาคงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว
“ฟังฉันนะ ต่อให้พี่อธินจะยิ่งใหญ่มาจากไหน หมอนั่นก็คงไม่มีทางปล่อยให้ใครเข้ามาทำร้ายหรือเข้ามามีสิทธิ์ในตัวนายได้อีกแน่นอน เชื่อฉันเถอะ...มั่นใจในตัวผู้ชายคนนี้ได้แล้ว”
ทั้งสองคนหยุดบทสนทนาไว้แค่นั้นเมื่อคุณป้าเรียกให้หนุ่มๆ ด้านนอกเข้ามายกกับข้าวออกไปเสิร์ฟ งานเลี้ยงในคืนนี้ปิดท้ายด้วยกิจกรรมรอบกองไฟบนลานหญ้าเล็กๆ ในสวน หลังจากทานมื้อค่ำกันเสร็จแล้วพวกเขาก็รีบไปรวมตัวกัน


กองไฟเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยบรรดาหนุ่มสาวที่มีใจอาสาทำกิจกรรมเพื่อสังคม เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างสนุกสนานเมื่อคนในกลุ่มถูกทำโทษด้วยการเต้นท่าพิสดาร เสียงโห่ถูกใจดังขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้ว่าคนต่อไปในเกมนี้คือพี่แอน
พี่แม็กซ์ที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรสั่งเปลี่ยนเกมเพราะอยากให้สมาชิกคนอื่นๆ มีส่วนร่วมบ้าง ราวกับโดนแกล้ง เมื่อสิ้นเสียงสั่งว่าให้จับคู่ แต่ละคนวิ่งกันชุลมุนไปหาเพื่อนสนิทของตัวเองราวกับเด็กๆ และคนสุดท้ายที่เหลืออยู่นั้นก็คือรดิศนั่นเอง
“ทุกคนฟังนะ เราจะเล่นเกมส่งลูกปิงปองกัน แต่ละคู่ต้องช่วยกันประคองลูกปิงปองนี้ด้วยใบหน้า ย้ำนะครับ ห้ามใช้มือเด็ดขาด! และถ้าใครทำตกต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ และคู่ไหนที่ถึงเส้นชัยช้าที่สุด ก็จะถูกทำโทษครับ...”
หลายคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนานและเตรียมซ้อมทำภารกิจ มีแต่คู่ของปั้นกับรดิศเท่านั้นที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ
ปั้นหันไปมองคนด้านข้าง รดิศตีสีหน้านิ่งไม่ทุกข์ร้อน เลยตัดสินใจหันไปกระซิบกับพี่แม็กซ์ว่าขอถอนตัวได้หรือไม่ ซึ่งหลายคนก็ลงความเห็นว่าไม่อนุญาต เขาจึงรับปิงปองมาถือไว้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ตอนนี้มันไม่เหมือนกับตอนเด็กๆ แล้ว จะให้อยู่ใกล้กันโดยไม่คิดอะไรได้ยังไง
“เกมนี้เล่นไม่ยาก แค่ร่วมมือกันส่งปิงปองให้ทันเวลา ทุกคู่วางแผนกันให้ดีๆ นะครับ เอาล่ะ! ประจำที่ได้”
แต่ละคู่ต่างอยู่ในท่าเตรียมพร้อม มีแต่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ยังไม่ยอมตกลงกัน จนในที่สุดคนตัวสูงกว่าก็คว้าแขนคนตรงหน้าเข้ามา และประคองใบหน้าหวานขึ้น ก่อนจะทาบลูกปิงปองไปบนแก้มแล้วตัวเองก็ตามมาแนบชิด
“เราไม่เล่น” ปั้นรีบผละออก กระซิบบอกคำนี้กับรดิศ เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ โน้มลงต่ำพยายามชี้แจงว่าถ้าไม่เลือกทำแบบนี้มีหวังพวกเขาสองคนคงถูกทำโทษ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่อยากออกไปเต้นท่าประหลาดๆ เหมือนคนอื่นๆ และเชื่อว่าปั้นเองก็ไม่อยากโดนเหมือนกัน
เมื่อสิ้นสุดเสียงนกหวีด ทุกคนก็ออกสตาร์ท แต่ละคู่ใช้เทคนิคต่างกัน บางคนสนิทกันมากก็กอดคอเดินกันไป บางคู่วางไว้บนหน้าผากพอเดินไม่พร้อมกันลูกปิงปองก็ร่วงลงไปต้องกลับไปเริ่มใหม่ ส่วนคู่ของปั้นกับรดิศนั้นเพราะมีส่วนสูงที่ต่างกัน คนหนึ่งต้องโอบเอวอีกฝ่ายไว้ ส่วนอีกคนก็โอบไหล่โน้มลำตัวที่สูงกว่ามาชิดกัน
“ใกล้กว่านี้ก็เคยมาแล้ว นี่นายช่วยอยู่นิ่งๆ จนกว่าจะจบเกมได้ไหม?” คนที่มีอาการยึกยักๆ ตลอดเวลาเกือบทำปิงปองร่วงไปตั้งหลายครั้ง กำลังโดนเอ็ด แน่นอนว่าประโยคนั้นทำคนฟังหน้าแดงขึ้นไปอีก ปั้นอยากจะหันมาต่อว่าเขาเหลือเกินแต่ติดตรงที่แก้มยังแนบกันแบบนี้
พอถึงเส้นชัยปิงปองก็ร่วงลงพื้นทันที คราวนี้คนที่พยายามเลี่ยงการใกล้ชิดมาตลอดก็ตกอยู่ในอ้อมกอดคนสูงกว่ากลายๆ พอได้จังหวะก็รีบผละออกไปยืนห่างๆ รอดูคู่อื่นๆ ที่ทยอยเดินมา


ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Listen to my heart ........♥ 20 : เก็บไว้ในใจ
«ตอบ #43 เมื่อ20-01-2018 15:18:19 »


   ลมเย็นชื้นพัดผ่านไปได้ไม่นานฝนเริ่มเทกระหน่ำลงมา พี่แม็กซ์ตะโกนบอกให้ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปหลบในตัวอาคาร หลายคนวิ่งวุ่น กิจกรรมรอบกองไฟในคืนนี้จำต้องหยุดลงกะทันหัน กองไฟเล็กๆ ของพวกเขาดับวูบลงเมื่อไม่อาจต้านทานสายฝนหลงฤดูกาลในค่ำคืนนี้ได้
   ความอบอุ่นแทรกผ่านปลายนิ้วและดูเหมือนว่ามันจะเป็นฉนวนทำให้ใครบางคนแก้มแดงระเรื่อเนื่องจากฝ่ามือหนาที่เข้ามากอบกุม...จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากเจ้าของร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่เคียงข้าง
ปั้นถูกเขาดึงให้เข้ามาหลบในเรือนไทยซึ่งอยู่ไม่ห่างจากลานกิจกรรม ที่นี่มีแต่พวกเขาสองคนเท่านั้น คนอื่นที่แน่ใจว่าวิ่งตามมาด้วยกลับหนีหาย เขาไม่กล้าแม้แต่กระดิกนิ้ว
   และแล้วความเงียบก็เข้ามาปกคลุมอย่างหนักพอๆ กับสายฝนที่ตกลงมา
สถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้... บรรยากาศรอบกายหวนให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน
ในวันที่ฝนตกหนัก...
แม้ชายหนุ่มจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจห้ามใจตัวเองที่กำลังฟ้องว่าตื่นเต้นตลอดเวลานี้ได้ จนเมื่อได้ยินเสียงจากร่างสูงที่ยืนอยู่เคียงข้างเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“หนาวรึเปล่า?...”
ปั้นส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ และรู้สึกถึงแรงกระชับที่มือว่ามันแน่นขึ้น
“เวลาผ่านไปเร็วเนอะ...นายว่าไหม?”
ใบหน้าสวยหันมามองเมื่อได้ยินประโยคที่แฝงความหมาย
ใช่แล้ว...เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน จนคนที่ไม่พร้อมจะเผชิญปัญหาอย่างเขากำลังนึกกลัวกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
“พรุ่งนี้นายจะกลับไปพร้อมกันรึเปล่า?” รดิศทำให้คนฟังนิ่งค้างเป็นรอบที่สอง ใบหน้าสวยหวานที่เขาชอบมองกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ทั้งที่คำตอบของมันเป็นแค่การยืนยันว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่กริยาดังกล่าวของอีกฝ่ายราวกับเป็นคำถามที่ตอบยากเหลือแสน
“ไม่รู้สิ”
“งั้นหรือ...” ได้ยินแล้วความหวังที่จะพัฒนาไปอีกขั้นของเขาเป็นอันต้องมอดไป รดิศทอดมองออกไปในสายฝน ดวงตาคมกริบดูคล้ายจะอ่อนแสงลงพร้อมกับความหวังที่เริ่มสั่นคลอน
ก็พอจะดูออกว่าปั้นยังคงมีเยื่อใยให้ไอ้หมอนั่น เป็นไปไม่ได้เลยว่าในระหว่างห้าปี ที่ไม่รู้ว่าเขามัวแต่ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน จะไม่ทำให้ทั้งความสัมพันธ์ของคนสองคนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ปั้นเองก็อาจจะหลงรักหมอนั่นเข้าแล้วก็ได้
ยิ่งคิดยิ่งพาลให้รู้สึกแปลบๆ ในหัวใจ แต่มันคงห้ามกันไม่ได้เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเขามีส่วนผิดเต็มๆ
ไม่ผิดหรอกถ้าปั้นจะหลงรัก เพียงแต่เขาแค่อยากรู้ว่าภายในดวงตาที่พยายามข่มความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาคู่นั้น ยังเฝ้ามองเขาอยู่เหมือนเดิมไหม
แค่นั้นจริงๆ ...
“ไม่กลัวหมอนั่นจะเป็นห่วงหรือ?” แล้วความน้อยใจก็พาลให้พูดจางี่เง่าขึ้นมาเสียได้ รดิศรู้สึกหงุดหงิดเมื่อรู้ตัวว่าเขาเผลอใช้น้ำเสียงเอาแต่ใจถามไป
ไม่น่าเลย...ให้ตาย
ปั้นรู้ดีว่าป่านนี้พี่อธินคงพยายามแค่ไหนกับการตามหาเขา รู้ดีอยู่เต็มอกว่าทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วง แต่มันยากเย็นเหลือเกินที่จะกลับไปแล้วมองข้ามเรื่องในอดีตทั้งหมด แม้ไม่เคยโกรธเกลียดอีกฝ่าย แต่ความผิดหวังที่มีแม้จะเจือจางลงไปแต่ทว่ามันกลับไม่เลือนหาย
ยังไม่อยากกลับไปตอนนี้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่...และนานอีกแค่ไหน
ร่างบางกระตุกวูบเมื่อเจ้าของความอบอุ่นตรงหน้า คว้าร่างเขาเข้าไปกอดแน่นอย่างไม่ทันตั้งตัว น้ำเสียงสั่นเครือของรดิศพร้อมกับลมหายใจติดขัดของเขาทำให้ปั้นแปลกใจ แล้วใจดวงน้อยก็เต้นถี่รัวอีกครั้งเมื่อได้ยินหัวใจอีกดวงเต้นรุนแรงไม่แพ้กัน
ความสับสน ว้าวุ่นใจของชายหนุ่มค่อยๆ สงบลงเมื่อสองแขนเรียวยกขึ้นกอดแผ่นหลังของเขาราวกับช่วยปลอบประโลม
“ฉันขอแค่ห้านาที แล้วจะไม่กวนใจนายอีกเลย” รดิศรู้ตัวว่าเขาอาจวุ่นวายชีวิตของอีกฝ่ายมากเกินไป ทั้งที่ตั้งใจว่าจะสู้อีกสักตั้งแต่แล้วกลับต้องแพ้พ่ายลงอย่างย่อยยับตั้งแต่ไม่ทันเริ่ม แค่เพียงเห็นใบหน้าของคนที่รักเอาแต่เหม่อลอยคล้ายกับคิดถึงใครอยู่ตลอดเวลา
อดีตก็คืออดีต ความรู้สึกที่ปั้นมีให้เขาอาจจะมอดลงไปแล้วตามกาลเวลา
รอจนม่านหมอกในใจค่อยๆ จางลงชายหนุ่มจึงพูดต่อ
“ขอโทษที่เอาแต่ใจแล้วก็สร้างปัญหาให้นาย แต่สาบานได้เลยว่าสิ่งที่ฉันรู้สึกมาตลอดมันไม่เคยเปลี่ยน ต่อให้นายไม่ได้มองฉันแล้วก็ตาม รู้ไหมสิ่งที่ฉันเคยทำกับนาย...ตอนนี้มันย้อนกลับมาหาฉันแล้ว”
ร่างสูงพยายามสะกดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา สองแขนแกร่งกอดร่างบางในอ้อมแขนแน่นด้วยความเจ็บปวด ใจที่เคยเข้มแข็งกลับอ่อนแอลงเสียดื้อๆ เมื่อไม่อาจครอบครองในสิ่งที่รัก
รู้แล้วว่าตัวเองมาช้าเพียงใด...และตอนนี้ก็คงไม่ทันการ
อาการดังกล่าวทำให้ร่างบางที่ยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ลมหายใจอุ่นร้อนพร้อมกับน้ำตาของชายหนุ่มจนรู้สึกได้ เสียงหายใจที่ขาดห้วงของคนกำลังกลั้นความเจ็บปวดไว้
ต่างจากที่ผ่านมาที่รดิศมักจะเอาแต่ใจ
หรือจะจริงอย่างที่แพรวบอก...
ร่างสูงค่อยๆ คลายอ้อมแขนออก ใบหน้าหล่อเหลาจ้องมองมาไม่วางตา ปั้นเห็นแววตัดพ้อซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นที่มีร่องรอยของน้ำตา ผู้ชายที่คิดว่าแข็งแกร่งที่สุดไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะอ่อนแอให้กับเรื่องแค่นี้ คนร่างเล็กคิดแล้วอยากจะขำแต่กลับแสร้งตีหน้านิ่งเฝ้ามองดูว่าคนตรงหน้าจะยังใจเสาะให้กับเรื่องแค่นี้ไปจนถึงเมื่อไหร่
“ฉันขอให้นายโชคดี...” ปั้นยืนฟังคำที่รดิศบอกอย่างตะลึงปนคาดไม่ถึง นี่คิดจะตัดขาดกันจริงๆ งั้นหรือ...แล้วร่างสูงก็ยิ้มให้เขาด้วยแววตาเศร้าหมองของคนยอมแพ้แล้วกับความรัก
ไม่สิ...หมอนี่กำลังเข้าใจผิดนะ
เวลานี้ตัวเองควรพูดอะไรสักอย่างเพื่อรั้งแผ่นหลังที่เริ่มห่อเหี่ยวนั่นไว้ ก่อนที่จะมีคนเข้าใจผิด เดินตากฝนกลับไปคืนนี้
“ดิศ! เดี๋ยวก่อน”
ปั้นไม่อาจนิ่งเงียบได้อีกต่อไป ในใจพาลไม่สงบเสียอย่างนั้นเมื่อเห็นอาการและท่าทางของรดิศราวกับคนหัวใจแหลกสลาย หมอนั่นดูไม่รู้เลยหรือไง ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคิดอย่างไรกันแน่...
หรือเป็นเขาเองที่ควรพูดมันออกไปให้ชัดเจน
“เราคิดว่านายคงเข้าใจอะไรผิดไป จริงๆ แล้วคนที่ไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำก็คือผู้ชายที่เคยเขียนชื่อแนะนำตัวกับเราในวันนั้น”
“ยังจำได้อีกหรือ”
“ก็นายไง!” แก้มขาวๆ ขึ้นเป็นสีแดงจัดแม้สายฝนจะตกลงมากระหน่ำแต่ก็ไม่อาจทำให้ความร้อนบนแก้มนี้ลดลงไปได้ และยิ่งเป็นทวีคูณเมื่อเจ้าของเรือนผมที่เริ่มยาวประบ่าเข้ามาคลอเคลียใกล้ๆ
“ไหนลองพูดอีกทีสิว่าหมอนั่นมันเป็นใคร?...” น้ำเสียงค่อนไปทางเจ้าเล่ห์ จนคนฟังไล่ตามอาการนั่นไม่ทัน
“รดิศ ช...” ไม่ทันเอ่ยจบเรียวปากบางก็ถูกครอบครองเสียก่อน ปั้นได้แต่ยืนนิ่งเป็นหินเมื่อถูกจู่โจมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว คนที่อารมณ์เศร้าหมองเมื่อครู่กลับกลายเป็นคนละคน เนื่องจากได้รับการเยียวยาจากร่างตรงหน้า ที่เสียรู้ให้กับแผนการของชายหนุ่มที่เล่นเกมตีหน้าเศร้าให้คนฟังใจหายวูบ แล้วตลบหลังด้วยการหลอกให้เผลอเผยความในใจออกมาจนหมด ด้วยน้ำตาของลูกผู้ชายที่ไม่คิดว่าจะไหลออกมาง่ายดายด้วยเรื่องแค่นี้ แม้จะสงสัยว่ามันแปลกๆ ในทีแรกก็เถอะ
เจ้าเล่ห์ที่สุดเลย...
ร่างบางใจยังเต้นแรงกับสัมผัสที่เรียกว่าจู่โจมนั่นไม่หาย ทั้งตัวร้อนผ่าวขัดกับสภาพอากาศด้านนอกเหลือเกิน ดวงหน้ายังคงเจือด้วยสีชมพูจางๆ ยามสบมองเจ้าของดวงตาคมเข้มตรงหน้า กลับจากค่ายครั้งนี้ถ้าเขาจะไม่สบายขึ้นมาก็คงไม่แปลก ก็สภาพร่างกายที่แปรปรวนขนาดนี้จะให้ทนยังไงไหว
“กลับด้วยกันเถอะนะ” ร่างสูงเอ่ยชวนกันอีกครั้ง ที่บอกว่าเหลือเวลาอีกไม่มากนั่นก็เพราะหมายความว่า ถ้าปั้นไม่ตกลงกลับไปกับเขาดีๆ พรุ่งนี้เช้าอาจจะต้องใช้โหมดบังคับกันบ้างล่ะ
“แต่เรายังไม่พร้อม...”
“ใช่ว่าจะให้นายกลับไปหาไอ้อธินนั่นซะที่ไหน” รดิศเผลอใช้เสียงแบบคนเอาแต่ใจอีกแล้วจนคนฟังได้แต่ยืนกระพริบตาให้กับอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านของชายหนุ่ม
 “ฉันสัญญา จะไม่ทำให้นายเสียใจอีก” มือหนาประคองใบหน้าขาวๆ เข้ามาใกล้ ใช้สายตาแห่งความจริงใจบอกผ่านความรู้สึก
“แค่กลับไปกับฉัน”
“ไม่บังคับกันไปหน่อยหรือ?”
“ก็ลองปฏิเสธสิ” คนขู่ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเองพอได้ยินประโยคถัดมาทำเอาร่างสูงยืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ที่จริง...อยู่ตัวคนเดียวมันก็ดีเหมือนกันนะ” ปั้นไม่คิดว่าแค่เปรยเล่นๆ จะทำให้คนฟังถึงกับเข้ามาพันแข้งพันขาด้วยความจำนน
“แต่มันจะดีกว่าถ้ามีฉันอยู่ข้างๆ” ชายหนุ่มพยายามอวดสรรพคุณของตัวเองอย่างถึงที่สุดแต่ดูท่าว่าคนตรงหน้าจะไม่ยอมใจอ่อนสักเท่าไหร่
เรียวปากบางยกยิ้มร่าเริงอย่างไม่เคยรู้สึกมีความสุขขนาดนี้มาก่อน ที่จริงใจมันอ่อนตั้งแต่เจอลูกอ้อนนั่นเข้าแล้ว แต่อยากยั่วให้เหยื่อใจแป้วเล่นๆ เท่านั้นเอง ไหนๆ ก็ทำให้เขาเสียใจมาก็มาก
“ยิ้มแบบนี้แสดงว่าตกลงใช่ไหม?”
ร่างสูงเผยยิ้มชั่วร้ายก่อนจะโอบร่างบางที่ยังคงดื้อดึงเข้าสู่อ้อมอก รดิศชิงหอมแก้มไปฟอดใหญ่ก่อนจะกดลงหนักๆ ที่ริมฝีปากบางสวย คนตัวเล็กกว่าราวกับรู้หน้าที่ตอบรับสัมผัสที่คุ้นเคยนั่นอย่างโหยหา นัยน์ตาคู่สวยหวานฉ่ำมองใบหน้าคมเข้มที่ห่างกันเพียงคืบ จมูกโด่งรั้นแนบชิดแก้มรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของชายหนุ่มตรงหน้า เมื่อไม่อาจต้านทานสายตาคู่นั้น ปลายเท้าเขย่งขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเป็นฝ่ายจูบลงไปบนริมฝีปากหยักสวยที่แย้มยิ้มด้วยความสุขสม รดิศโน้มลงต่ำเพื่อให้คนตัวเล็กกว่าได้ฝึกกลวิธีมัดใจเขาให้อยู่หมัดด้วยริมฝีปากสวยคู่นั้น
“อื้ม..”
ฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายกลบเสียงเครือครางในลำคอของอีกฝ่ายจนสิ้น ทั้งคู่ใช้ศาลาเรือนไทยที่ค่อนข้างจะลับตาผู้คนเป็นสถานที่บอกรักกันในค่ำคืนนี้ ร่างบางในสภาพกึ่งเปลือยนั่งคร่อมอยู่บนเรือนร่างสูงใหญ่ สองมือโอบคอคนตรงหน้าแน่น ค่อยๆ ขยับสะโพกตอบรับไปตามจังหวะที่อีกคนส่งให้ ปลายอกสีสวยถูกครอบครองไปในคราวเดียวกันนั่นเรียกเสียงหวานให้ครางสูงขึ้นกว่าเดิม
“อ้ะ!...อ้า..ดิศ”
“รู้สึกดีไหม?” คนสวยได้แต่พยักหน้ารับเพราะเรียวปากที่เอาแต่ส่งเสียงหวานกำลังถูกครอบครอง นัยน์ตาสีสวยหลับพริ้มไปกับรสจูบแสนหวานนั่นและร่างกายที่เชื่อมติดกันแนบแน่นช่วยบรรเทาอากาศหนาวในยามนี้ได้
การมีเซ็กกันครั้งนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างประหลาด…
ความอบอุ่นที่ตามหามาแสนนาน



....................................................

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับตอนนี้นะเจ้าค่า...สำหรับคนที่รอพี่อธิน เจอกันตอนหน้านะคะ พี่กำลังจะตามมาค่ะ o18


ยัง ยังจะตามมาอีกเรอะ ฮ่าๆๆๆๆ   :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนที่ 22 บอกเธอด้วยหัวใจ

 
            ร่างบางนอนขดกายอยู่ในผ้าห่มผืนหนาหลังจากหมดเรี่ยวแรงไปกับกิจกรรมรักที่เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจในค่ำคืนที่ผ่านมา เสียงนาฬิกาปลุกทำให้ร่างสูงข้างๆ ต้องรีบควานหามันด้วยความงัวเงีย
“หกโมงเช้า...”
รดิศพึมพำก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งโดยไม่ลืมซุกร่างบอบบางตรงหน้าเข้ามาไว้แนบอก อมยิ้มให้กับรอยกุหลาบสีสวยบนลำคอขาวที่เป็นเครื่องหมายย้ำให้รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อคืนของพวกเขานั้นช่างหอมหวานเพียงใด หลังจากเกมบอกรักท่ามกลางสายฝนเสร็จสิ้นไปทั้งคู่ก็กลับมาต่อด้วยเกมทายใจในห้องพักจนเกือบสว่าง และฝ่ายที่เป็นคนเริ่มก่อนตอนนี้ยังคงหลับไม่รู้เรื่องราว
ก็อยากเข้ามายั่วเขาก่อนทำไม... 
            เขาหลับตาลงอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ใช่ว่าเป็นคนขี้เซาแต่ทว่ากลับแพ้ใบหน้าขาวๆ กับเรียวปากสีแดงจัดของคนตรงหน้า อยากมองอยู่แบบนี้นานๆ
           

“พี่ปั้นตื่นรึยังครับ!”
            “ผมเข้าไปได้มั้ย”
 เสียงน้องมีนเรียกหน้าห้องดังแว่วมาปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ ร่างสูงมีท่าทางร้อนรนจนถึงขีดสุดเกรงว่าคนหน้าห้องจะเปิดเข้ามาจริงๆ ทั้งๆ ที่เขาก็ล็อกประตูไว้แล้ว
“ยังไม่ตื่นหรือ?”
“พี่ปั้นๆ ไม่สบายรึเปล่า?” เสียงเคาะประตูตามมาบวกน้ำเสียงอีกฝ่ายที่กำลังเป็นห่วง คิดว่าถ้าไม่ตัดสินใจทำอะไรสักอย่างฝ่ายนั้นคงพังเข้ามาจริงๆ
ร่างสูงคว้ามาได้แค่ผ้าขนหนูผืนเดียวเท่านั้น เขาเปิดประตูต้อนรับคนมาใหม่
“พะ พี่รดิศ!” เจ้าของชื่อยิ้มกว้างราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ผิดกับเด็กหนุ่มตรงหน้าที่บัดนี้ใบหน้าขาวๆ นั้นแดงก่ำไปเรียบร้อย เมื่อเผลอมองเข้าไปบนเตียงหลังเล็กสีขาว เห็นพี่ชายที่รักหลับอยู่โดยไม่รู้เรื่องราว
“พี่ปั้นหลับอยู่น่ะ” เขาตอบให้โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องถาม น้องมีนพยักหน้ารัว แต่ร่างกายเป็นเหมือนหุ่นกระบอก ไม่อยากคิดตามเลยว่าเป็นเพราะเหตุใด ปกติพี่คนนี้ตื่นเร็วจะตาย!
“ผมไปก่อนนะครับ” น้องมีนส่งน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ของว่างยามเช้ามาให้ก่อนจะรีบโกยแน่บกลับไปราวกับเห็นผี
“เอาแล้วไง!” รดิศเกาหัวแกรกหันไปมองร่างที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใดๆ บนเตียง ร่างสูงตรงเข้าไปหาใช้ปลายจมูกแซะไปตามเนื้อกายหอมหวาน คนหลับอยู่จำต้องปรือตามองอย่างเกียจคร้าน
“ตื่นได้แล้ว”
ปั้นพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะเดินโซเซไปยังอ่างล้างหน้า พลันสายตาเหลือเห็นน้ำเต้าหู้วางอยู่ก็เลยนึกแปลกใจ
“นายเป็นคนซื้อ?”
“เปล่า น้องมีนเอามาให้”
“เมื่อไหร่?”
“ตะกี้ นายหลับอยู่”
ปั้นหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย แบบนั้นน้องมีนก็ต้องรู้สิว่าเมื่อคืนพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน แค่ยอมให้รู้ว่ารักครั้งแรกของเขาคือรดิศก็เขินแทบแย่ แต่นี่มัน...เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
 
................................................................
พวกเขามีเวลาเที่ยวเล่นอีกชั่วโมงกว่าๆ เนื่องจากรถที่มารับจะเข้ามาถึงตอนแปดโมงครึ่ง ได้โอกาสรดิศจึงชวนอีกคนที่เอาแต่ก้มหน้างุดตลอดเวลาเพราะเขินออกมาเดินเล่น จุดหมายปลายทางไม่ใช่ที่ไหน แต่เป็นริมชายหาดที่ปั้นเคยมาแล้วเมื่อวันก่อน
“อะไรหรือ?” ร่างสูงเรียกเขาให้หันมองแต่แล้วต้องงงงันยิ่งกว่าเมื่อเจอกล่องของขวัญเล็กๆ ผูกโบว์สีขาวสะอาดตาอยู่ตรงหน้า
“14 มีนาคม ของขวัญวันไวท์เดย์ยังไงล่ะ” ปั้นยังคงงงอยู่เช่นเดิม ก็วาเลนไทน์ที่ผ่านมาจำได้ว่าพี่อธินพาเขาไปกินเค้กที่ร้านโปรดเท่านั้นไม่มีอะไรพิเศษมากมายเนื่องจากฝ่ายนั้นเองก็ไม่ค่อยมีเวลา แล้วที่จำได้เขาไม่เคยให้ของขวัญใครอีกเลย ก็ตั้งแต่ที่โดนปฏิเสธไปคราวนั้น
หรือว่าจะเป็น...
“ห้าปี...มันอาจจะช้าไปหน่อย” กล่องของขวัญสีขาวถูกเปิดออก มือหนาค่อยๆ หยิบสร้อยเส้นเล็กคล้องด้วยจี้รูปหยดน้ำที่ทำจากแก้วบางใสขึ้นมา เมื่อเพ่งมองไปด้านในกลับพบว่ามันประดับด้วยดอกไม้แห้งจิ๋วๆ ทั้งหมดจัดวางอยู่ในนั้นอย่างประณีต
"เก็บไว้นานเลย โชคดีที่ตัดสินใจพกมาด้วย"
“จริงหรือ?...” ร่างบางถามเสียงสั่นเครือ ไม่อาจกักเก็บน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป
“อืม..กลัวเหมือนกันว่าจะไม่ได้ให้” รดิศรั้งข้อมือของอีกฝ่ายเข้ามาชิดก่อนจะกอดร่างเล็กตรงหน้าแนบอก "ฉันรักนายนะ" เสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ น่าจะพอยืนยันได้ว่าสิ่งที่เขาพูดกับสิ่งที่หัวใจร้องบอก ไม่ว่าอย่างไรคำตอบของมันก็เป็นแบบเดียวกัน
ว่ารักมากเพียงใด...
 
“ไม่คิดว่ามึงจะเห็นแก่ตัวไปหน่อยรึไง!”
ร่างบางผละออกทันทีที่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย นัยน์ตาคมกริบนิ่งสนิทราวกับไร้ความรู้สึก ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นด้วยความสมเพชที่ทนหลอกตัวเองมาเนิ่นนาน ตวัดมองคนรักด้วยความโหยหาแต่เมื่อเจอมือเรียวกอบกุมอยู่กับไอ้หมอนั่นไม่ห่าง ความโกรธที่คล้ายกับพายุเพลิงกลับกระหน่ำขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่
ในที่สุด...เขาก็ตามหาปั้นจนเจอ
“พี่อธิน!” เสียงสั่นเครือคล้ายจะขาดห้วงอยู่ในที เมื่อดวงตาคู่นั่นตวัดมองมายังพวกเขาด้วยความรู้สึกผิดหวัง ปั้นเห็นแล้วใจกระตุกวูบ ไร้คำแก้ตัวใดๆ จะเอื้อนเอ่ย
“ฉันว่านายควรจะกลับไปดีกว่านะ” รดิศพูดจาดีๆ พลางกระชับมือเล็กๆ นั่นไว้มั่น รู้สึกถึงอาการสั่นเทาผ่านทางฝ่ามือเย็นชื้นของคนข้างกาย
“ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างแกจะใช้แต่วิธีเดิมๆ...เมื่อไหร่ที่ปั้นเสียใจแกก็จะหาทางเข้ามา”
“แล้วอย่างแกมันดีกว่าฉันตรงไหน?”
อธินเงียบไปเมื่อเจอฝ่ายนั้นย้อนกลับ ร่างสูงก้าวเข้ามาอย่างไม่หวาดหวั่น ยืนจ้องหน้ารดิศที่ตอนนี้กำลังถือไผ่เหนือกว่า ด้วยการได้หัวใจของคนที่เขารักกลับไปครองเต็มๆ
“เราแน่ใจแล้วใช่มั้ยที่ทำแบบนี้?” ร่างสูงเอ่ยถามคนรักที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังไอ้คนที่เขาตราหน้าว่าเป็นพวกลอบกัด “จะไม่เสียใจถ้าหลังจากนี้มันจะทำให้ปั้นของพี่เจ็บปวด คิดดีแล้วใช่ไหมที่จะปล่อยมือไปจากพี่” อธินเค้นเข้าไปในดวงตาคู่สวยด้วยแววตัดพ้อ น้ำเสียงเย็นเยือกที่เคยใช้แปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ร้อนระอุคล้ายถูกเปลวเพลิงเผาทั้งเป็น
“พี่อธิน ผม... ผม” ร่างบางคิดหาคำตอบแต่ยิ่งคิดก็ยิ่งอับจนหนทาง ไม่เคยเห็นพี่อธินเสียใจแบบนี้ ปั้นได้กลิ่นเหล้าจากร่างสูงนั่นก็พอจะรู้ว่าทำไมพี่อธินถึงเปลี่ยนไปราวกับคนละคน
“มองหน้าพี่แล้วพูดออกมาสิว่าไม่ได้รักแล้ว! บอกมาสิว่าเกลียดไอ้เลวคนนี้....พี่จะได้ตัดใจ”
“พี่อธินอย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผม...ผมไม่ได้เกลียด...”
“แต่ปั้นก็ไม่ได้รัก...”
ร่างสูงต่อประโยคนั้นจนจบด้วยน้ำตาที่ไหลออกมา มองคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดราวกับคนขาดใจ
รดิศถอยร่นกลับมาหนึ่งก้าวเพียงเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังพ่ายแพ้ให้กับความสัมพันธ์ที่ชวนให้ปวดหนึบๆ ในหัวใจของสองคนอย่างเลี่ยงไม่ได้
บางทีคนที่คิดว่าตัวเองชนะมาเสมอ...อาจจะแพ้มาแล้วตั้งแต่ต้น
 
 
“พี่ปั้นล่ะครับ แล้วทำไมพี่กลับมาคนเดียว!”
“แฟนเขามารับแล้วล่ะ” น้องมีนอยากจะเอาหัวเขกประตูรถเมื่อได้ฟังแบบนั้น ก็ไม่ใช่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาหรอกหรือแฟนพี่ปั้น ทั้งที่ฉากเมื่อเช้ายังตำตาซะขนาดนั้น
“พี่นี่เข้าใจเล่นมุกเนอะ” พูดจบเจ้าตัวก็ขำไม่ออกเมื่อเจอสีหน้าราวกับคนอกหักของรดิศที่เดินขึ้นไปนั่งบนรถราวกับคนใกล้ขาดอากาศหายใจ น้องมีนเองก็ชักงงๆ กับอาการที่ว่า แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอีกต่อไป
“ปั้นโทรมาบอกว่ากลับไปกลับพี่อธินก่อนแล้วล่ะ พวกเราออกรถได้เลย”
น้องมีนกระพริบตาปริบๆ เมื่อมองย้อนไปยังหนุ่มร่างสูงสลับกับบทสนทนาของพี่มะลิกับพี่แอนเมื่อสักครู่ ตกลงเรื่องจริงมันคืออะไรกันแน่
“รดิศ! รดิศ!” แพรวรีบจำอ้าวตามขึ้นไปบนรถเมื่อรู้เรื่องราว หญิงสาวพินิจใบหน้าเศร้าหมองของเพื่อนสมัยม.ปลายด้วยความผิดหวัง ที่เชื่อมาตลอดว่าอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยมือเพื่อนรักของเธอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“ตกลงจะให้มันจบลงแบบนี้ใช่มั้ยดิศ! จะปล่อยให้ปั้นไปทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าหมอนั่นรักนายขนาดไหนน่ะหรือ” เสียงใสตะโกนถามอย่างเอาเรื่อง เล่นเอาคนบนรถที่ไม่รู้เรื่องราวหันมามองยังจุดของพวกเขาเป็นตาเดียว
“มันคงจะดีกว่าถ้าไม่ใช่ฉัน…” รดิศตอบลอยๆ พลางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง อยากจะหลับตาลงแล้วลืมว่าที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้น หรือไม่ก็ย้อนเวลากลับไปและหยุดมันไว้เพียงแค่นั้นพอ
เขาไม่อาจทนกับสิ่งที่เห็น...ภาพของคนสองคนที่เต็มไปด้วยความผูกพันมันทำให้เขาปวดร้าวแค่ไหน มากจนรู้ตัวว่าควรถอยออกมา...
เพี๊ยะ!!! ฝ่ามือเรียวฟาดลงอย่างแรงเมื่อไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปในอาการนิ่งเฉยราวกับคนไร้ความรู้สึกของรดิศ ใบหน้าคมเข้มสะบัดไปตามแรงแต่กลับไม่สะทกสะท้านใดๆ
ไม่มีใครรู้หรอกว่าภายในใจเขาตอนนี้กำลังคลั่งจนแทบบ้า..
“ฉันผิดหวังแทนปั้นจริงๆ นายนี่มันงี่เง่า งี่เง่าไม่เคยเปลี่ยน!!” อาร์มกับเติ้ลเป็นฝ่ายพาแพรวที่ตอนนี้กำลังร้องไห้ออกมาอย่างหนักเพราะรู้สึกผิดหวังลงไปจากรถ พวกเขาหันมองรดิศที่กำลังข่มความเจ็บปวดไว้ภายใน เข้าใจหมอนั่นดีก็วันนี้เมื่อเห็นแววตาอ่อนแสงนั่นแฝงไปด้วยความร้าวราน
ชักจะเห็นใจมันก็คราวนี้...
รดิศกำหมัดแน่นทุบลงกับขอบหน้าต่าง กดนิ้วลงบนขมับก่อนจะหลับตาลงแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างคนโง่เขลา
เกือบสามชั่วโมงที่เขาปล่อยให้เวลาไหลไปพร้อมกับภาพความทรงจำวันเก่าๆ แล้วก็ได้แต่โทษตัวเองไปว่า เขามันไม่ได้เรื่อง...
 
“ขอบใจพี่ดิศที่เข้ามาช่วยงานพวกเรานะ” ชายหนุ่มแย้มรับด้วยยิ้มอันฝืดฝืน ก่อนจะสะพายเป้ตัวเองเดินข้ามถนนไปยังรถของสองหนุ่มที่เข้ามาจอดรออยู่ก่อนแล้ว
“ทำหน้าโง่อีกแล้วเพื่อนกู” นนท์บ่นเสียงขรมด้วยความละเหี่ยใจอย่างสุดซึ้งที่เห็นหน้าตาหมาหงอยของเพื่อนข้ามถนนมาแต่ไกล นี่ถ้าไม่ไฟแดงรับรองว่ามันคงโดนสิบล้อสอยติดล้อไปด้วยแหงๆ ก็เล่นไม่ดูตาม้าตาเรืออะไรเลย
“มึงนี่อาภัพรักจังนะ” นนท์ทักทายใบหน้าของคนอมทุกข์นั่นด้วยคำพูดจาทิ่มแทง นึกสะใจอยู่ลึกๆ ที่มันตกอยู่ในโหมดนี้อีกครั้ง ใช่ว่าจะเกลียดเพื่อนแต่เพราะยังแค้นใจที่มันเคยทำกับน้องปั้นไม่หาย
“ไม่คิดเลยว่ากรรมมันจะสนองซ้ำซากขนาดนี้” จะว่าไปก็เห็นใจอยู่หน่อยๆ  ถ้าไม่เรียกเวรกรรมก็คงไม่รู้จะพูดอย่างไร
“แล้วนี่จะให้ไปส่งที่บ้านเลยรึเปล่า? ถ้าไปก็รอเย็นๆ โน่น กูติดแก้งานต้องเร่งทำให้เสร็จ”
“ตามใจ” มันเหม่อลอยจนไม่รับรู้อะไรรอบตัวอีกแล้ว บีมจึงเลยตามเลย สองหนุ่มมองหน้ากันไปมาอย่างรู้ความหมายก่อนจะรีบบึ่งไปที่ร้านอย่างรวดเร็วด้วยความไวปานเหยียบแสง
เฮ้อ...ถ้าปั้นรู้ว่าหมอนี่เฮิร์ทขนาดไหน จะเปลี่ยนใจกลับมาหามันไหมนะ...
 
 
Please, listen to my heart…
 
ลมทะเลพัดมา เรือนผมสีเข้มยาวระบ่ากำลังสะบัดไปตามแรง เจ้าของใบหน้าได้รูปชวนให้คนมองยิ่งหลงใหล ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น หากยามใดที่เผลอจดจ้องก็จะรับรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วร้อนแรงเพียงใด เรียวปากหยักได้รูปเม้มน้อยๆ เมื่อกำลังจริงจังกับผลงานของตนเอง แต่แล้วใบหน้าของคนแอบมองกลับแดงก่ำขึ้นมาเสียดื้อๆ เพราะเผลอไปนึกถึงสัมผัสยามที่ได้แนบชิดกัน
บ้าจริงเผลอคิดเรื่องน่าอายออกมาเสียได้!
ร่างบางคิ้วกระตุก เมื่ออยู่ดีๆ สาวฝรั่งที่นั่งเป็นแบบให้ดันเอื้อมมือมาแตะลงบนใบหน้าของรดิศ อย่างถือวิสาสะ ส่วนเจ้าตัวก็ไม่ทุกข์ร้อน ปล่อยให้อีกคนได้ทำตามใจอยู่แบบนั้น
รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ
ปั้นเองก็อยากเข้าไปนั่งเป็นแบบตรงนั้นในฐานะลูกค้าบ้างแต่ก็ไม่กล้าพอ กลัวเขาเห็นหน้าแล้วพาลจะเสียอารมณ์เปล่าๆ พอคิดได้แบบนั้นตัวเองก็เลยชะงักฝีเท้าแล้วนั่งมองอยู่ห่างๆ แอบอิจฉาบรรดาสาวๆ ที่แวะเวียนกันมาทักทายหรือจะพูดให้ถูกนั่นก็คือตามมาหยอดขนมจีบนั่นเอง และมันก็อดไม่ได้ที่คนๆ นี้จะรู้สึก...หึง!
ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คนอย่างเขาต้องแอบมาทำลับๆ ล่อๆ อยู่อย่างนี้มาหลายครั้งหลายหน ก็เพราะตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฝ่ายนั้นเสียใจอย่างหนัก และเข้าใจผิดไปว่าเขากับพี่อธินคืนดีกันแล้ว ใจหนึ่งอยากเข้าไปอธิบายความจริง แต่อีกใจมันกลัวๆ กล้าๆ เพราะคิดไปว่ารดิศคงมองเขาเป็นพวกโลเลหลายใจไปแล้ว ที่อยู่ดีๆ ไปทำให้รักแล้วสักพักก็มาหักอก
เฮ้อ.....
 
ท้องฟ้าเริ่มอ่อนแสงลง เป็นเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มส่งผลงานให้ลูกค้ารายสุดท้ายของวัน รดิศมักใช้เวลาว่างที่เหลือจากการทำงานที่ร้านออกมาเตร่อยู่ริมชายหาดแบบนี้อยู่เสมอ...ตามประสาของคนที่อกหัก และไม่คิดจะมอบหัวใจให้ใครอีก...
เรื่องราววันนั้นจบลงพร้อมกับอะไรหลายๆ อย่างที่ยังค้างคาใจ แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้ตัวเองต้องเจ็บช้ำ เขาถึงเลือกฝังกลบมันไปพร้อมกับหัวใจดวงนี้ ที่ยังคงเต้นอยู่ได้แต่ก็ไร้ความรู้สึก
เขาดำเนินชีวิตไปด้วยความจำเจ บนเส้นทางที่แสนจืดชืด
 
คนแอบมองยังไม่ละความตั้งใจง่ายๆ รวบรวมความกล้าก่อนจะหมดโอกาส และเดินเข้าไปหาใครคนนั้น  ในทันทีที่พบหน้ากัน ใจของคนที่อ่อนแออยู่แล้วราวกับไม่มีแรงหลงเหลือ…
รดิศรีบเก็บของ ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย
“มาอยู่นี่ได้ไง?” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยถาม แปลกใจไม่น้อยที่ได้เจอกันทั้งที่ปกติแล้วไอ้อธินคงไม่ปล่อยให้คนของตัวเองไปไหนตามใจชอบได้แบบนี้หรอก คิดแล้วใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึม คล้ายจะบดบังความร้าวรานที่อยู่ในใจ
“เราเอ่อ เอ่อ..” เมื่อหาข้ออ้างไม่ได้ ปั้นเลยล้วงกระเป๋า แล้วหยิบเงินออกมาจำนวนหนึ่ง
“อะไร?” รดิศเหลือบมองในมือของอีกฝ่ายอย่างงุนงง
“ค่าจ้าง...วาดรูปเรา” ร่างสูงตวัดมอง คิ้วหนาขมวดเป็นปมยิ่งกว่าเก่า ก่อนจะยิ้มเยาะเมื่อเข้าใจสถานะของตัวเอง
“ไม่รับวาด” เขาปฏิเสธด้วยเสียงเย็นชามากพอที่จะทำให้ใครบางคนหน้าถอดสี และไม่ได้อธิบายเพิ่มว่าตอนนี้มันหมดแสงของวันไปแล้ว ไม่ได้สนใจดวงตากลมโตคู่นั้นว่ากำลังผิดหวังแค่ไหน
ก็จบกันไปแล้ว จะตามมาทำให้เขาเสียใจอีกทำไม...
“ถ้าหมอนั่นรู้เข้า...มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกจริงไหม?” เสียงอ่อนลงคล้ายจะอธิบายเหตุผลให้เข้าใจ เขาน่ะ มันก็แค่คนอกหัก ปั้นไม่ต้องมาสนใจด้วยซ้ำว่าหลังจากวันนั้นเขาจะเป็นอย่างไร แค่ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขให้มากที่สุดก็พอ...
ถึงเขาจะรักมากแค่ไหนก็ไม่มีวันได้ครอบครอง...
รดิศทนมองสายที่ตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจนั่นไม่ไหว จึงเป็นฝ่ายยอมแพ้และเดินจากไป
เขาก็ไม่อาจทนยืนนิ่ง ต่อหน้าคนที่รักนานๆ ได้หรอกนะ รังแต่จะทำให้มีน้ำตาเปล่าๆ...
ปั่ก
“โอ้ย!!!” ก้อนหินขนาดพอดีมือปะทะลงกลางหลังของคนงี่เง่าได้อย่างแม่นยำสุดๆ ก่อนฝ่ายนั้นจะหันมามองด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
ปั้นตามไปสมทบด้วยฝ่ามือหนักๆ อีกสองสามทีบนไหล่ของคนที่งี่เง่าได้ไม่รู้จักเวลา แบบนี้น่าจะปล่อยให้หงอยตายไปซะจะได้จบๆ เรื่อง แต่ก็ติดตรงที่ตัวเองนี่แหละจะเป็นฝ่ายเฉาตายตามไปด้วย
“อะไรเนี่ย จะฆ่ากันจริงๆ รึไง! ปั้น!” รดิศรีบมัดสองแขนนั่นไว้ก่อนที่เขาจะอ่วมไปมากกว่านี้ คนตัวเล็กกว่าจ้องมองเขาอย่างโกรธแค้น เขาเห็นประกายไฟวาวๆ ซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นแล้วต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ อะไรที่ทำให้ปั้นโกรธเคืองได้มากขนาดนี้
“เราต้องคอยเดินตามนายไปแบบนี้จนถึงเมื่อไหร่! เมื่อไหร่นายจะเข้าใจสักทีว่าจริงๆ แล้วเรารู้สึกยังไงกันแน่...”
“นี่นาย!”
“จะยัดเยียดเราให้คนอื่นอีกนานไหม? นายก็รู้อยู่แก่ใจว่าเรามองใครไม่ได้อีกแล้ว แล้วยังจะใจร้ายให้เราไปอีกหรือ?”
“ฉันขอโท...” ทว่าคำขอโทษกลับกลืนหายลงไปในนั้น ชายหนุ่มยอมเสียเชิงที่ถูกชิงนำไปก่อน แล้วไม่นานก็กลับมาเป็นฝ่ายรุกกลับจนร่างบางที่ซุกอยู่ในอ้อมกอดตัวสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
จูบที่หวานซะจนเปลี่ยนน้ำทะเลให้กลายเป็นน้ำตาล แสงอาทิตย์ที่เป็นฉากอยู่เบื้องหลังก็เปลี่ยนเป็นสีชมพูไม่ต่างกัน
แล้วปั้นก็ได้รู้อีกข้อหนึ่งว่า การที่ได้แอบมองจากที่ไกลๆ มันเทียบไม่ได้เลยกับตัวตนจริงๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้า แถมริมฝีปากหยักสวยที่เคยเผลอจินตนาการไปเองทุกครั้ง ไม่คิดว่ามันจะมอบความหวานให้มากมายถึงเพียงนี้
ไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว...

อยากขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่คอยอยู่เคียงข้างกันในวันที่รู้สึกผิดหวัง ท้อใจ ขอบคุณที่ไม่เคยหายไปไหนแม้เวลาจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม
ขอบคุณน้องชายที่รักที่ทำให้รู้ซึ้งถึงคำว่ามิตรภาพดีๆ ที่เขาจะไม่มีวันลืม มันจะยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ และจะเฝ้ารอจนกว่าเราจะได้พบกัน
ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคนในชมรมอาสาที่คอยสร้างสีสันในชีวิตให้เขาลืมเรื่องร้ายๆ ในช่วงเวลาเก่าๆ นั้นไปได้ และเด็กหนุ่มอีกคนที่เปรียบเสมือนน้องชายกับเรื่องราวมากมายที่คอยช่วยเหลือกันตลอดมา
ขอบคุณผู้ชายที่แสนดีคนนั้น กับความรักที่มอบให้กันมาตลอดห้าปี และภาวนาขอให้ความเจ็บช้ำที่มีภายใจหัวใจดวงนั้น ลบเลือนหายไปในเร็ววัน
และผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เขาได้รู้จักกับความรัก รัก...ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ให้คนๆ หนึ่งได้รู้ว่า สิ่งที่เคยตามหามาตลอดนั้นมีอยู่จริง
ภาพที่เห็นตรงหน้า ไม่เหมือนกับวันที่มีสายฝนโปรยอีกแล้ว หลังจากนี้คงไม่รู้สึกอ้างว้างเมื่อมองไปยังแสงสุดท้ายของยามเย็น เพราะเขามีคนที่จะอยู่เคียงข้าง ไม่ปล่อยให้เหน็บหนาวในทุกๆ ค่ำคืนอีกแล้ว
‘ขอบคุณนะ’
 
 
 
 The End
 
 
…………………………………………………..


ขอบคุณที่ติดตามมาจนบทสุดท้ายนะคะ ต้องขอบคุณจริงๆ ที่อดทนอ่านเรื่องราวและอุปสรรคในความรักของคู่นี้มาได้อย่างสุดพลัง :hao5:
สำหรับคนที่คิดถึงพี่อธิน ฝากติดตามนิยายเรื่อง Dear to me ด้วยนะคะ รับรองว่าจะมีคนเข้ามาสร้างสีสันใหม่ ให้ชีวิตของพี่เราได้ปวดหัวกันไม่หยุดอีกแน่นอน ฮ่าๆๆๆๆๆ
ปล.เรื่องนี้ยังมีตอนพิเศษอีกนะคะ ^^ :mew1:
 

 :katai2-1:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ในที่สุดก็ได้คู่กัน รู้สึกโล่งใจ ฮ่าๆๆๆๆ
รอตอนพิเศษน่ะ อยากเห็นเขาหวานหยอกล้อกันใจพอได้ใช้ขีวิตคู่

ตามอ่านเรื่องใหม่ต่อ^^

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

เสียน้ำตาไปเยอะมาก

กว่าจะสมหวัง

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ


ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
รอตอนพิเศษ

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เป็นความรู้สึกที่อึดอัดดีของทั้วสามคน..ชอบ  o13

แต่ยังไงก็ยังเชียร์พี่อธินอยู่ดี  :hao5:

ไปเปิดให้คู่กับน้องเดียร์..น้องเดียร์คงต้องทำงานหนักหน่อยนะจ้ะ  :z13:

เพราะพี่อธินรักของนางมานาน..เก็บน้ำตารอร้องไห้กับเรื่องของคู่นี้ต่อ  :monkeysad:

รอทุกคู่..ตาม ตาม ตาม..จ้า  :3123: :pig4:

ออฟไลน์ express_men

  • Catching Light.
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
    • SpeedlightTH
สรุปพี่อธินยอมปล่อยมือ ?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Cloudnine

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 730
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
กว่าจะได้รักกัน ลุ้นมากก! นุ้งปั้นน่ารักกกกกกก :o8:
พล็อตดี ภาษาดี แอบมีคำผิดบ้างนิดหน่อยแต่ไม่เสียอรรถรส 
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ
 :pig4:

ออฟไลน์ TheCatmewt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านจบแล้วแต่รู้สึกชอบพี่อธินมากกว่าแฮะ

ออฟไลน์ tegomass

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
นับถือความงี่เง่าของดิศอะ มโนได้หน้าหมั่นใส้มาก ยกนิ้วให้เลยอิเรื่องชอบคิดไปเองอะ  :L3:

ออฟไลน์ sk_bunggi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
โดยรวมสนุกมากเลยค่ะ แต่อึดอัดกะปั้นมากเลยอ่ะ เป็นคนที่ทำอะไรไม่เคยสุดเลย 55555 รักแต่ก็ไม่ยอมทำให้ดิศเข้าใจ มัวแต่จะตัดใจ พอจะตัดใจก็ดันไปรับสัมผัสเขามาอี้กกกก  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อ่านรวดเดียวจบเลยยย เอาตรงๆเขียนดีมากๆเลยค่ะ ปูมาตั้งแต่มัธยม เราว่าโลกโหดร้ายกับน้องเกินไปค่ะ ทำไมถึงเจอแต่อะไรแบบนี้ โมโหพระเอกยันตอนจบ เป็นคนที่แบบน่าสมน้ำหน้ามาก ส่วนพี่อธินเขาเลี้ยงของเขามาห้าปีเนอะ ถ้าจะเป็นพระเอกเราก็ไม่เถียง แต่เป็นดิศเราก็โอเคค่ะ ชอบมาก อินมากๆเลย ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ จะติดตามผลงานอื่นของคุณคนเขียนด้วยค่ะ  :hao5:  :L2:

ออฟไลน์ orloftin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากค่ะ อ่านรวดเดียวเลย
รออ่านตอนพิเศษ ~ 
ทั้งเรื่องเราสงสารปั้นสุด เจอแต่ละอย่างแบบ เห้อมมมม อยากจับปั้นมากอดปลอบมาก
ขอบคุณนะคะ แต่งสนุกมากเลย

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สงสารปั้นมากโดนความรักทำร้ายรดิศที่ไม่เชื่อใตไม่เชื่อมั่นในความรักของปั้นพี่อธินที่รักปั้นจริงๆแม่วิธีการจะผิด..น่าเห็นใจ

ออฟไลน์ mkooo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุกมากๆเลยค่ะ แต่เราอยากให้พี่อธินเป็นพระเอกงื้ออ

ออฟไลน์ memomeme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่แต่งเรื่องนี้มา บอกเลยว่าถึงดิศจะร้ายยังไง แต่ก็เชียร์สุดใจอยู่ดี เพราะไม่ปลื้มพี่อธินอย่างแรง55555 แน่นอนว่าเพราะรู้ว่าดิศเป็นพระเอกเลยทำให้ไม่ปลื้ม ขอโทษพี่อธินด้วยค่ะ ส่วนในเรื่องขอบอกว่าชอบน้องเดียร์สุด ทำไมก็ไม่รู้แต่รักมากๆ เอ็นดูมากกว่าปั้นหน่อยนึง555 แต่ปั้นก็น่ารัก อยากอ่านตอนที่เค้าหวานๆกันจังเลยค่ะ

ออฟไลน์ Atomtaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เขียนดีมากๆเลย เสียดายที่แต่งจบไปแล้ว เราจะคอยติดตามผลงานน้าา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด