ตอนที่ 19 เจ็บ...ยิ่งกว่าเจ็บ
‘รัก’
คำๆ นี้มันช่างว่างเปล่าราวกับกลุ่มควันที่ลอยหายไปในอากาศ
ค่ำคืนแสนเหน็บหนาวที่มาพร้อมกับสายฝนหลงฤดู ตอกย้ำว่าตัวเองไม่เหลือแล้วสักอย่างกระทั่งคนที่รักจนหมดใจ
รดิศสอดการ์ดใบหนึ่งเก็บไว้ในลิ้นชัก ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนโซฟากลางห้อง เฝ้าฟังเสียงของสายฝนกำลังกระหน่ำจากทางหน้าต่างราวกับว่ามันต้องการจะบอกอะไรให้เขารับรู้ และใบหน้าของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา
ดวงตาคู่นั้นสะท้อนความรู้สึกที่อัดแน่นภายในใจยามเฝ้ามอง
“กว่าฉันจะรู้ตัว...นายก็หายไปแล้ว” หลับตาพูดกับคนที่อยู่ในความคิดด้วยความร้าวราน จากนี้ไปนี่คงเป็นบทเรียนที่เขาไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้เลย
...................................................
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นทำให้ปั้นไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงใครอีก ไม่กล้าแม้แต่แอบซ่อนความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ในใจราวกับว่ากลัวพี่อธินจะล่วงรู้มันได้ ถึงอย่างนั้นไม่ว่าพยายามปิดกั้นตัวเองมากเท่าไหร่สุดท้ายแล้ว ยิ่งห้ามมันก็เหมือนยิ่งยุ
จะทำอย่างไรกับหัวใจดวงนี้
ห้าปีสำหรับการลืมใครสักคนคงมากพอที่จะไม่เหลือเรื่องราวและความรู้สึกใดๆ ระหว่างกันอีก แต่สำหรับปั้นที่ไม่เคยใช้เวลาทั้งหมดเพื่อลืมรดิศเลยกลับฝังใจอยู่จนทุกวันนี้ แม้การที่เขายอมเปิดใจให้พี่อธินได้เข้ามาเป็นเจ้าของแต่ทว่าลึกๆ นั้น มันยังคงยึดมั่นอยู่กับคนๆ เดียวมาตลอด
เฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่าทำไมถึงยังรัก...
บางครั้งเหตุผลนับพันก็ไม่สามารถเอามาอธิบายความรู้สึกต่อคำสั้นๆ นี้ได้
รู้เพียงแต่ช่วงเวลาไม่นานกับเรื่องราวดีๆ เหล่านั้นสิ่งที่เขาสัมผัสได้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่มาจากใจที่แท้จริง
กว่าจะรู้ตัวว่าเหม่อมองอยู่เนิ่นนานก็ตอนรถจอดลงหน้าร้านอาหารกึ่งร้านเหล้าแห่งหนึ่ง วันนี้เป็นวันเกิดของน้องมีนและแน่นอนว่าเลิกงานปุ๊บพี่ๆ ที่ทำงานทุกคนต่างก็รีบตรงไปยังร้านเป้าหมายทันทีตามกฏกติกาที่ได้ตั้งกันไว้ในกลุ่ม
สำหรับงานเลี้ยงคืนนี้คนดวงซวยก็คือพี่แม็กซ์ แม้ทุกคนจะแปลกใจกันอยู่ไม่น้อยทั้งๆ ที่พี่แม็กซ์ ออกจากที่ทำงานก่อนใครเพื่อนแต่กลับมาถึงร้านเป็นคนสุดท้าย มันดูเหมือนเป็นเรื่องจงใจเสียมากกว่า ทุกคนต่างคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่มีใครพูดออกมา
เสียงเพลงในร้านดังกลบเสียงพูดคุย เวลาผ่านไปนานร่วมชั่วโมงคนที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้นเริ่มมีอาการฟุ้งซ่าน เพราะฤทธิ์เหล้าทำให้เขาแยกแยะเรื่องจริงกับสิ่งที่อยู่ในใจไม่ได้
ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป ชีวิตตอนนี้เหมือนถูกขังอยู่ในกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่ง ทั้งคับแคบ อึดอัด ไร้ชีวิตชีวา ไม่มีความสุขอย่างที่มันควรจะเป็น
นับแต่นั้นมาเรื่องราวระหว่างเขากับพี่อธินก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย ถึงเราจะพูดคุยกันปกติแต่ก็ไม่สนิทใจอย่างแต่ก่อน ทั้งที่เขาก็พยายามสร้างบรรยากาศให้มันกลับมาเป็นเหมือนเก่า แต่ราวกับช่องว่างระหว่างพวกเราจะค่อยๆ ห่างกันเรื่อยๆ พี่อธินเองก็ระแวดระวังเขามากขึ้น ปั้นรู้ดีเสมอว่าความเชื่อใจของพี่อธินที่มีต่อเขามันลดลงตั้งแต่วันที่ฝ่ายนั้นรู้ความจริง ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนกับใคร หรือทำอะไรก็ตามพี่อธินต้องรับรู้ก่อนเสมอ
ชายร่างสูงปรากฏตัวท่ามกลางร้าน เพียงแค่เขาเดินมาไม่กี่ก้าวกลับสะดุดตาผู้คนเป็นอย่างมาก อธินเดินตรงมายังกลุ่มเพื่อนของตัวเองที่มักจะรวมตัวอยู่ที่นี่กันเป็นกิจวัตรประจำวัน
เพื่อนคนหนึ่งทักขึ้นเมื่ออธินนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มาถึงเจ้าตัวก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เอาแต่ดื่มเหล้าไม่สนใจคนข้างๆ เลย
“มีเรื่องทุกข์ใจขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” ประโยคถามไถ่จากเพื่อนๆ แทบกลายเป็นธาตุอากาศ นอกจากอธินจะไม่สนใจรอบข้างแล้ว เขาทำเหมือนไม่อยากพูดจากับใคร ทั้งๆ ที่ออกมาที่นี่ก็เพราะไม่อยากอยู่ห้องคนเดียวในระหว่างที่ปั้นไปฉลองกับเพื่อนๆ
“ค่อยๆ สิอธิน เดี๋ยวก็เมาหรอก” วินซ์เป็นห่วงตามประสาคนแอบรัก เขาเห็นอีกฝ่ายกำลังเคร่งเครียดอย่างหนักแถมดื่มไปตั้งเยอะแบบนั้นก็อดห้ามไม่ได้
“นายอยู่เฉยๆ ได้มั้ย!”
“ทะเลาะกับแฟนมาอีกล่ะสิ! ถึงได้เหวี่ยงเป็นหมาบ้าแบบนี้”
“บอกให้หุบปากไง!”
“คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วงนะอธิน!”
“จะไปไหนก็ไป!”
“เฮ้ย! ใจเย็นๆ ดิวะ” เพื่อนคนหนึ่งช่วยปรามเมื่อเห็นวินซ์เดินออกจากกลุ่มไปเพราะน้อยใจที่ถูกตะเพิด ทั้งที่ก่อนอธินจะมา เจ้าตัวยังหัวเราะร่าเริงอยู่แท้ๆ
“เดี๋ยวกูตามไปดูมันให้เอง!”
อธินพยายามระงับอารมณ์บ้าคลั่งของตัวเองด้วยการเลี่ยงไม่ตอบคำถามใคร เขาเลือกนั่งห่างออกมาจากเพื่อนในกลุ่มเพราะไม่อยากได้ยินคำถามกวนใจอีก
ทั้งที่ทุกอย่างก็เป็นแบบที่เขาต้องการแล้ว แต่ก็อดรู้สึกหงุดหงิดตัวเองไม่ได้อยู่ดี
“วินซ์ นั่นมึงจะไปไหน?”
“มึงไม่ได้ยินที่มันพูดรึไง?” เจ้าตัวตอบกลับด้วยความน้อยใจที่ไม่เคยมีค่าในสายตา ทั้งที่เขาก็เป็นคนรักเก่าคนหนึ่งแต่ปฏิบัติใส่กันราวกับว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันเลย สองขารีบก้าวออกจากร้านไปให้พ้นๆ ด้วยแรงประชด แต่เพื่อนตัวดีกลับเข้ามาขวางไว้
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิวะ! ถ้ามึงโกรธไอ้อธินมันน่ะ เรื่องเมื่อกี้มึงก็น่าจะเข้าใจนะ มันก็แค่อารมณ์ไม่ดี”
“กูใช่ที่ระบายอารมณ์รึไง! ในสายตามัน แม่ง! กูทำอะไรก็ผิด”
“มันคงเครียดๆ เรื่องแฟนมั้ง? เอาน่า...อย่าไปถือสามันเลย คราวหลังถ้าไม่อยากให้เป็นแบบนี้มึงก็อย่าไปพูดถึงน้องเค้าสิวะ”
“ทำไม!”
“เรื่องมันนานมาแล้ว อธินมันไม่อยากให้ใครพูดถึง”
“แล้วมันเพราะอะไรทำไมพูดถึงไม่ได้ มีอะไรนักหนา?”
“เออ...มึงก็อย่าไปสนใจเลย”
“กูอยากรู้ ทำไมอธินมันถึงโกรธนัก มึงเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย?”
“ก็...จริงๆ กูก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของมันหรอกนะ รู้แล้วก็เก็บไว้เป็นความลับล่ะ” เพราะถ้าอธินมันรู้เข้าทีหลังว่าใครแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป รับรองว่าโดนกระทืบตายแน่ๆ รู้กันอยู่ว่าอธินเป็นคนเด็ดขาดแค่ไหน
“อธินน่ะมันชอบน้องปั้นมาก เมื่อก่อนนะถึงกับขนาดวางแผนให้น้องเค้ามาเป็นของมันเลยรู้มั้ย? ที่มึงเห็นคนของไอ้อธินคอยหนุนหลังให้ไอ้มอสอยู่ตอนนี้ก็มาจากข้อตกลงอะไรสักอย่างนี่แหละ เมื่อก่อนแฟนเก่าน้องปั้นน่ะเคยซ้อมพวกไอ้มอสจนปางตายมาแล้วนะเว้ย! มันก็เลยเรียกร้องค่าชดเชยจากไอ้อธินชุดใหญ่ สบายมาจนถึงทุกวันนี้ไง”
“ถ้าเกิดเด็กคนนั้นรู้เข้า มึงคิดว่ามันจะเป็นยังไง?”
“มึงก็รู้นิสัยคนอย่างไอ้อธินดี ไม่มีทางยอมหรอก”
เพล้ง!!
คนที่ได้ยินบทสนทนามาตั้งแต่ต้นทำแก้วเหล้าที่อยู่ในมือหล่นลงพื้น ทั้งร่างชาดิกราวกับยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ไอเย็นของมันแทรกเข้าไปทุกอณูของร่างกาย เจ็บร้าวจนทรมาน
“พี่ปั้น! พี่ปั้นเมามากแล้วนะครับ! ผมว่าเรากลับโต๊ะกันเถอะ เอ่อ...ขอโทษแทนพี่ผมด้วยนะครับ!” น้องมีนร้องบอกผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่บริเวณทางเดินของร้านกำลังหันมองมาทางพวกเขาเป็นตาเดียว ท่าทางแบบนั้นคงพร้อมจะมีเรื่องได้ทุกเมื่อ เทียบสภาพกันแล้วตัวเองควรจะพาพี่ปั้นกลับไปที่โต๊ะให้เร็วที่สุดดีกว่า
“ไม่นะน้องมีน พี่จะไม่ไปไหน! จนกว่าพวกเขาสองคนจะบอกว่าที่พี่ได้ยินเมื่อกี้ มันไม่จริง!” จู่ๆ พี่ชายก็โพล่งว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสียมารยาทยืนฟังคนอื่นเขาคุยกัน รู้สึกว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นักเมื่อเห็นสายตาของใครคนหนึ่งตวัดมองมาอีกครั้ง
“นายเป็นใคร?”
“ช่วยบอกผมทีสิครับว่ามันไม่จริง!!” พี่ปั้นก็ยังเฝ้าถามไม่หยุด คงเป็นเพราะเหล้าที่ทำให้พี่ชายที่มีนิสัยติดจะเกรงใจคนอื่นอยู่เสมอเกิดความกล้ามากกว่าทุกครั้ง
“กรุณาพาเพื่อนคุณออกไปด้วยครับ!!” ผู้ชายหน้าตาน่ารักคนนั้นพยายามสงบอารมณ์ พูดจาด้วยเสียงสุภาพแต่ทว่าฟังดูน่ากลัวชอบกล และน้องมีนที่เข้าใจสถานการณ์ได้ดีกว่าใครก็รีบหิ้วปีกพี่ปั้นกลับไปที่โต๊ะซึ่งตอนนี้กำลังร้องไห้เสียใจอย่างหนัก
“ผมขอร้องล่ะ!!” เรี่ยวแรงของคนเมามากพอจะสลัดแขนของเขาทิ้ง พี่ปั้นย้อนกลับไปยังผู้ชายคนนั้นทันทีเพื่อขอร้องให้เขาช่วยยืนยันบางสิ่งบางอย่าง เหตุการณ์บริเวณนั้นเริ่มกลายเป็นความโกลาหล คนในร้านต่างก็ให้ความสนใจ
“มีเรื่องอะไรกัน!!” ทันทีที่มีเสียงรายงานว่าพวกเพื่อนๆ ของเขากำลังจะมีเรื่องกับคนในร้านเขาก็ลบทิฐิในใจและรีบตามออกมา แสงสลัวในนี้ทำให้เขามองไม่เห็นว่าใครเป็นใคร และไม่อาจรู้เลยว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาต้องยอมรับความจริงเสียที
“พี่อธิน...”
“ปั้น! เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เขาอึ้งกับการได้เจอคนรักที่นี่ เวลานี้
ปั้นเห็นพี่มอสมายืนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้เขาแทบไม่ต้องขอคำยืนยันหรือคำอธิบายจากใครอีกเลย ทุกสิ่งที่ผ่านมามันทำให้เขาคิดทบทวนจนหัวแทบจะระเบิด
“นี่มัน.....หมายความว่ายังไง?” คนตัวเล็กกว่าเสียงสั้นเครือ มองใบหน้าพี่อธินสลับกับผู้ชายในอดีตคนนั้น
“เราหมายถึงอะไร?” ทั้งๆ ที่เขารู้อยู่แกใจ แต่ก็ยังสงบนิ่ง ไม่ยอมรับความจริง
“ห้าปีที่แล้ว...พี่บอกผมทีสิครับว่ามันไม่จริง? บอกสิครับว่าพี่ไม่ได้เป็นคนวางแผน?” ปั้นเอ่ยถามทั้งน้ำตา มันเจ็บปวดเหลือเกินเมื่อย้อนนึกถึงมันอีกครั้ง น้ำตาไม่อาจหยุดไหลได้เลย ขาสองข้างมันไร้เรี่ยวแรงแทบจะทรุดลงกับพื้นถ้าหากพี่อธินไม่ประคองไว้เขาคงล้มลงไปเสียแล้ว
ทำไมถึงเป็นแบบนี้...
“ปั้นไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน?”
ทุกสิ่งที่เขาเคยมอบให้มันไม่เพียงพอสำหรับข้อแก้ตัวในความผิดครั้งนี้ได้เลย เมื่อเห็นดวงตาที่สะท้อนความผิดหวังของคนที่รักจนหมดหัวใจกำลังมองมา
เขาพลาดไปแล้ว...
“ทำไมคนที่ผมไว้ใจถึงได้ทำกับผมแบบนี้”
“ปั้นพี่ขอโทษ!...พี่ขอโทษ!”
“พี่รู้ไหม? ผมเจ็บ..เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
คนที่เขาเชื่อมาตลอดว่าจะไม่มีทางทำให้เขาเสียใจ เป็นคนเดียวที่ทำให้เขาเชื่อว่ารักที่มั่นคงยังมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แต่ทว่าก่อนที่จะได้รับมันมาเขากลับแลกด้วยความเจ็บช้ำ ความทรมานแสนสาหัสโดยที่ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
คำพูดนั้นตอกลึกเข้าไปในใจของเขาและดวงตาที่สะท้อนความรู้สึก มันช่วยยืนยันได้ดีกว่าสิ่งใด ว่าคนพูดนั้นเจ็บและทรมานแค่ไหน ต่อความเห็นแก่ตัวของเขาเพียงฝ่ายเดียว
“ปั้น! เดี๋ยวก่อน ปั้น! โธ่เว้ย!!”
เขาตะโกนเรียกฝ่ายที่วิ่งออกไปจากร้านอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่มองมา เวลานี้สิ่งที่เขาควรทำนั่นก็คือ ยื้อคนรักเอาไว้ให้นานที่สุด
“ให้คนออกตามหาเพิ่ม ไม่ว่ายังไงคืนนี้ฉันต้องเจอปั้นให้ได้!” อธินขบกรามแน่น สั่งกำชับคนปลายสายก่อนจะหันมายังสองร่างที่นอนอาบเลือดอยู่บนพื้นด้วยฝีมือเขา
“มึงเป็นคนเอาเรื่องนี้ไปบอกปั้นใช่มั้ย?” การสืบสาวความจริงยังไม่จบ ในเมื่อผลของมันยังไม่เป็นไปอย่างที่เขาต้องการก็ไม่มีทางปล่อยพวกมันไปเด็ดขาด
“กูไม่ได้ทำ!” ต่อให้ยืนยันอีกสักกี่ร้อยพันครั้งคำตอบก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม เขาไม่มีเจตนาจะทำให้อธินทะเลาะกับคนรักเลย เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่ความบังเอิญ ให้สาบานกี่ครั้งกี่หน แม้แต่คนรักอีกฝ่ายเป็นใครก็ไม่เคยรู้เสียด้วยซ้ำ
“โกหก! ถ้าไม่ใช่เพราะมึงปั้นจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง!” อธินนอกจากจะไม่เชื่อกันแล้วยังปรักปรำเขาอีก ตั้งแต่ที่เราเลิกกันฝ่ายนั้นก็ไม่เคยมองกันในแง่ดีเลยสักครั้ง
“พวกกูสองคนแค่คุยกัน แต่แฟนมึงดันมาได้ยินเข้า ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะเว้ยอธิน...กูขอโทษ!!”
นิคช่วยอธิบายความจริง แต่ถึงอย่างนั้นก็อดโทษตัวเองไม่ได้ ถ้าหากตอนนั้นตัวเองไม่เผลอพูดออกไป เรื่องมันคงไม่เกิด และพวกเขาก็คงไม่เดือดร้อน
“กูเคยบอกไปแล้วใช่มั้ย? ว่าหน้าไหนก็ห้ามพูดถึงอีก”
ต่อให้อธิบายยังไงสำหรับอธินมันก็เป็นข้อแก้ตัวทั้งนั้น รังแต่จะทำให้อารมณ์เดือดยิ่งกว่าเดิม
“นิคมึงพอเถอะ! ใครจะเข้าใจยังไงก็ช่างมัน” วินซ์ร้องบอกเมื่อเห็นว่าต่อให้พูดอะไรไปสุดท้ายแล้วอธินก็ไม่เคยหยุดความโหดร้ายของตัวเองลง และผลจากคำพูดนั้นกลายเป็นฝ่ามือหนักๆ ฝาดลงบนแก้มของเขาแทน
“เจ็บ…”
ร่างสูงย่อตัวลงข้างๆ บีบคางของคนเก่งแต่ปากขึ้นมามองหน้า เลือดสีแดงเกาะอยู่ตามมุมปากถึงแม้จะรู้สึกใจหายอยู่บ้างกับฝีมือของตัวเองแต่แค่นี้ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาได้รับ
“มึงเจ็บนั่นแหละดี จะได้รู้ว่าตอนนี้กูรู้สึกยังไง!”
“อธินสงสารมันเถอะ ยังไงก็เพื่อนกันนะ” หลายคนเห็นด้วยกับคำพูดของบอม
“ตอนนี้กูไม่ใช่เพื่อนมัน!!” วินซ์บอกทั้งน้ำตา ทั้งเจ็บปวดกับบาดแผลบนร่างกายที่คนทำไม่เคยนึกถึงจิตใจ แม้แต่ในฐานะเพื่อนก็แทบไม่เหลือค่า
“อย่าปากดี!”
“กูจะบอกให้มึงรู้ไว้ ที่มึงเป็นแบบนี้เพราะสิ่งที่มึงทำนั่นแหละ ต่อให้ไม่ใช่เพราะพวกกู สักวันเรื่องเลวๆ ที่มึงทำก็ย้อนหามึงอยู่ดี!
แม้ถูกจ้องด้วยสายตาแข็งกร้าวแต่คนเจ็บราวกับทั้งร่างจะแตกสลายกลับไม่รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด
“ใช้วิธีผิดๆ เพื่อให้ได้เขามา ตอนเสียเขาไปก็อย่าหวังเลยว่าความรักจะเข้าข้างมึง!” รู้ดีเพราะมันเกิดขึ้นกับตัวเองมาแล้ว วินซ์สะบัดมือของอธินออกไปแล้วช่วยประคองเพื่อนเคราะห์ร้ายอีกหนึ่งลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุกลักทุเล โดยมีสายตาของเพื่อนในกลุ่มมองตามอย่างเวทนา ใจหนึ่งอยากเข้ามาช่วยแต่เหลือบมองสายตาแข็งกร้าวของอธินราวกับสัตว์ป่าที่พร้อมจู่โจมเหยื่อได้ทุกเมื่อแล้วก็ได้แต่นิ่ง มองตามสองร่างที่โชกไปด้วยเลือดเดินออกจากกลุ่มไปเงียบๆ
“ไม่ใจร้ายไปหน่อยรึไงวะ” มอสยืนกอดอกมองดูเหตุการณ์เงียบๆ พูดออกมาหลังจากเรื่องสงบลง นึกไม่ถึงว่าอธินจะโหดร้ายกับเพื่อนได้ขนาดนี้ ถ้าชั่งน้ำหนักตามเหตุผลจริงๆ ครั้งนี้เรียกว่าทำเกินกว่าเหตุมาก มันคงหัวเสียไม่น้อยที่คนรักทิ้งไป แต่ใครจะรู้อะไรบ้างไหมว่าคนที่น่าสมเพชกว่าไอ้สองคนนั้น จริงๆ แล้วยืนอยู่ตรงหน้าเขาต่างหาก
รักมากจนไม่รู้ตัวว่าทำผิด...
“ถ้าอยากไปก็ปล่อยมัน”
คนฟังไม่หยี่หระกับคำตอบนั่นสักเท่าไหร่ ใครจะอยู่ใครจะไปก็ไม่เกี่ยว เพราะถือว่าผลประโยชน์ของตัวเองไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกนั้น ในเมื่ออธินยังติดค้างเขาอยู่
อธินเดือดเป็นไฟจนไม่สามารถยับยั้งความโหดร้ายที่โหมพัดขึ้นมาราวกับได้รับเหยื่อชั้นดีเป็นเชื้อเพลิง ตัวตนอีกด้านหนึ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้มานานคราวนี้คงได้เวลาของมันแล้ว
ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดอีกครั้งหลังจากรู้มาว่าไม่มีใครเจอเบาะแสคนรักเลย ใจเริ่มร้อนรน เมื่อคิดว่าบางทีปั้นอาจจะไปหาไอ้เด็กคนนั้น
“หาให้ทั่วโดยเฉพาะทุกที่ที่ปั้นเคยไป” และแน่นอนว่าบ้านของไอ้รดิศก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
“เป็นไปได้ยังไง นี่พวกนายทำงานประสาอะไร!”
“จับตาดูมันไว้สิวะ อย่าให้ฉันรู้ว่าทำงานพลาด” ไม่ใช่เพียงแค่ขู่ ใครๆ ต่างรู้ดีเมื่อถึงจุดสูงสุดของอารมณ์แล้ว คำพูดถือเป็นประกาศิตคนอย่างเขาไม่เคยให้โอกาสใครซ้ำสอง
อธินกลับมารอที่ห้องเพราะหวังว่าบรรยากาศเก่าๆ อาจทำให้จิตใจสงบและนิ่งลงได้ เฝ้าแต่ภาวนาว่าปั้นจะกลับมา ทั้งที่ไม่แน่ใจอะไรเลยสักอย่าง และที่สำคัญไปกว่านั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา คนรักไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
“อย่าทิ้งพี่ไว้แบบนี้ ขอร้องล่ะ...”
เขาฝากข้อความนี้กับคนปลายสาย ใจรู้สึกกลัวการรอคอยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สามชั่วโมงที่ผ่านมาให้ความรู้สึกยาวนานเหลือเกิน
ถ้าหากปั้นไม่กลับมาเขาจะทำอย่างไร
นาฬิกาบนข้อมือยังคงทำงานของมันไปเรื่อยๆ ไม่เคยหยุดพัก อธินเผลอหลับไปรู้ตัวอีกทีเมื่อท้องฟ้ามืดสนิทกลับเต็มไปด้วยเม็ดฝนกำลังโหมกระหน่ำไม่ขาดสาย เขามองนาฬิกาของตัวเองอีกครั้ง
ผ่านไปแล้วห้าชั่วโมง...
เป็นห่วงเหลือเกิน ยิ่งอุณหภูมิเย็นลงเท่าไหร่ใจดวงนี้มันก็ยิ่งสวนทาง
สายฝนไม่เคยทำให้รู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน กลัวว่าใครบางคนจะจากไป...
..........................................................
คืนนี้ฝนตกอีกแล้ว
ชายหนุ่มผู้มีความทรงจำที่ดีและไม่ดีเกี่ยวกับสายฝนบ่นขึ้นในใจ ดวงตาคมเข้มมองออกไปยังความมืดนอกหน้าต่าง ไม่ชอบความรู้สึกที่กำลังกวนใจเขาตอนนี้เลย
ทุกครั้งที่ฝนตกหนักมักจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเสมอ...
เขาไม่เคยเชื่อโชคลางหรืออะไรทำนองนั้น จะมายึดติดอยู่กับคืนฝนตกว่าจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นก็ดูไร้เหตุผลเกินไป รดิศรีบปิดกระจกทุกบานของห้องแข่งกับสายฝนที่เทลงมาอย่างต่อเนื่อง
ปล่อยให้ห้องจมอยู่กับความเงียบเคล้าบรรยากาศในคืนฝนตก รอบกายตอนนี้ช่างบั่นทอนใจคนอ่อนแออย่างเขาเหลือเกิน
“คิดถึงเขาแต่ไม่ยอมทำอะไรเลย แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรวะ ทีแบบนี้แล้วทำเป็นคนดีไปได้นะมึงน่ะ”
เสียงของไอ้นนท์ยังคงดังกรอกหูอยู่ทุกวัน พวกมันทำเหมือนกับว่าที่เขาเป็นอยู่นี่มันง่ายนัก ทั้งที่คิดถึงปั้นใจจะขาด อยากไปหาแต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งรู้อยู่ว่าปั้นไม่ได้รักจะดึงดันต่อไปมันก็ไม่ได้อะไร
ทำใจยอมรับความจริงเสียดีกว่า!
รดิศถอนหายใจวันละร้อยรอบราวกับมันจะช่วยระบายความช้ำในใจของเขาได้ พอนานๆ เข้าเมื่อมันไม่เห็นผลก็หงุดหงิดขึ้นมาเสียดื้อๆ
ชายหนุ่มพาดร่างลงไปบนโซฟาตัวเดิม เสียบหูฟังกับโทรศัพท์แล้วไล่กดเพลงฟังไปเรื่อยๆ หวังว่ามันจะช่วยทำให้เขาลืมเรื่องนั้นได้สักพัก สงบจิตสงบใจตัวเองได้ไม่ถึง 5 นาที
คิดถึงเรื่องในอดีต วันแรกที่เจอใครบางคนกับรอยยิ้มสดใส ช่วยทำให้ใจเขาสงบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แต่เมื่อไหร่ที่นึกถึงความบ้าบอกับเรื่องโง่ๆ ของตัวเอง ผลของมันก็ออกมาอย่างที่เห็น โทรศัพท์เจ้ากรรมลอยลิ่วไปติดมุมห้อง คนเอาแต่ใจเลือกใช้ข้าวของเป็นที่ระบายอารมณ์
ความคิดถึงมันทำให้เขาคลั่ง
.................................................
ท้องฟ้าโปร่งใสต่างจากหลายวันก่อน เช้าวันจันทร์กับจุดเริ่มต้นของวงจรชีวิตมนุษย์ในสัปดาห์ใหม่ บนท้องถนนเต็มไปด้วยรถมากมาย ทุกชีวิตไหลไปตามกฎเกณฑ์ของมันอย่างที่ควรจะเป็น มีเพียงแต่เขาที่ทำตัวสวนทางกับเข็มนาฬิกา
อธินยกเลิกงานทั้งหมดโดยไม่สนใจผลกระทบของมันที่ตามมาภายหลัง เฝ้าจดจ่ออยู่แต่หน้าจอโทรศัพท์อย่างร้อนรน แม้ว่าสภาพอากาศกลับสู่ปกติของมันแล้ว แต่ใจเขายังคงมีพายุหมุนวนตลอดเวลา อธินทนอยู่เฉยได้ไม่นานก็คว้ากุญแจรถแล้วออกไปจากห้อง
เขาต้องทำอะไรสักอย่าง
เบนซ์สีขาวจอดลงที่จุดลับสายตาคนไม่ห่างจากบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นจุดหมาย เขาจะขับรถมาเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ในทุกๆ เช้า คิดเผื่อไปว่าบางทีปั้นอาจจะย้อนกลับมา
เจ็ดโมงกว่าๆ คุณอาเจ้าของบ้านก็ออกไปทำงาน สายหน่อยก็ถึงเวลาของคุณผู้หญิงของบ้าน ตกเย็นทั้งคู่กลับมาในเวลาไล่เลี่ยกัน นี่เป็นชีวิตประจำวันของคุณอาทั้งสองคนที่เขาพอจะรู้
อากาศตอนกลางวันร้อนอบอ้าวแต่เขาก็ยังอดทนรอต่อไป มือหนาปลดกระดุมตัวบนออก สะบัดเสื้อเล็กน้อยเมื่อรู้สึกอึดอัดเพราะนั่งอยู่ในรถมาตั้งแต่เช้า ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะเฝ้ารออะไรได้นานขนาดนี้ เวลาผ่านไปจนใกล้ค่ำก็ยังไร้วี่แวว นั่นทำให้เขาต้องย้อนถามตัวเองอีกครั้งว่ากำลังทำบ้าอะไรอยู่
ราวกับก่อปราสาททรายบนชายหาด พอคลื่นซัดมาก็พังทลายไม่เหลืออะไร
เสียเวลาเปล่า...
อธินเลิกหวัง เขาสตาร์ทรถเพื่อขับออกไป มันเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่เห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งตกแต่งด้วยสีฉูดฉาดจอดลงหน้าบ้าน เป็นเด็กวัยรุ่นหน้าตาดีสองคนในชุดนักศึกษา คนหนึ่งวิ่งหายเข้าไปในบ้านไม่ถึงสิบห้านาทีก็เดินหัวเสียออกมาตามด้วยคุณอาอีกสองคน
เขาชั่งใจอยู่นานเมื่อเพ่งมองเสี้ยวหน้าหนึ่งท่ามกลางความมืด
และบางอย่างก็ชัดเจนขึ้นในหัว
‘เมื่อคืนน้องเดียร์มานอนที่ห้อง สงสัยถูกแย่งหมอนไปตอนหลับแน่ๆ เลย’ เขายังจำประโยคของคนรักได้
หรือจะเป็นเด็กคนนั้น...
.......................................................
คนนั้นไง คนนั้นนนนนนน
