ตอนที่ 6 เรื่องบังเอิญ
ทั้งสามคนยืนรอตามนัดอยู่บริเวณหน้าโรงเรียนพอเห็นปั้นเดินผ่านก็เรียกไว้ เพื่อนตัวเล็กรีบหรุบหน้าลงต่ำ ตั้งใจจะเดินหนีเสียด้วยซ้ำแต่แพรวเห็นท่าทางพิรุธเลยคว้าตัวไว้ก่อน
“นั่น!!...ไปโดนอะไรมา?” หญิงสาวร้องทักเมื่อสังเกตริมฝีปากล่างของเพื่อนแดงช้ำเป็นรอยชัดเจน ไม่ต้องเดาให้ยากว่าเป็นฝีมือใคร มีคนเดียวเท่านั้นที่กล้าทำอะไรบ้าๆ แบบนี้
“ไอ้ดิศ!!!...” อาร์มขบกรามแน่นด้วยความโกรธแค้น ไอ้สารเลวนั่นเห็นท่าว่าปล่อยไปไม่ได้แล้ว ครั้งนี้มันทำเกินไปจริงๆ
“ม...มันไม่ใช่อย่างนั้น” เขาอายเกินกว่าจะยอมรับความจริงต่อหน้าเพื่อนๆ จะโทษรดิศคนเดียวก็ไม่ได้ เขาเองไม่ใช่หรือที่เป็นฝ่ายเข้าไปหา ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าฝ่ายนั้นไม่เคยไยดี
สมแล้วที่ถูกรังแกเหมือนคนไม่มีค่าเช่นนี้
“วันนี้เราคงไปไม่ได้ ขอตัวกลับก่อนนะ” รอยยิ้มเศร้าสร้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าเศร้าหมอง ไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วงแต่ต่อให้ปกปิดความจริงไว้แค่ไหนก็คงไม่พ้นอยู่ดี
พวกเขาสามคนทำได้แต่ยืนมองแผ่นหลังที่กำลังห่างออกไปความรู้สึกเศร้าเสียใจไม่แพ้กัน
เมื่อไหร่กันนะ ความรักจะเห็นใจเพื่อนของเขาคนนี้สักที…
น้องเดียร์นั่งมองกล่องช็อกโกแลตสีชมพูด้วยความผิดหวัง ตัวเองไม่มีโอกาสได้สารภาพรักเลยด้วยซ้ำก็ถูกปฏิเสธขึ้นมาเสียก่อน ต่อหน้าต่อตาคนตั้งมากมายไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย ไม่รู้จะจัดการความรู้สึกนี้ยังไง พี่น้ำฝนทำให้ความมั่นใจของเขาหายไป
ในระหว่างที่นั่งคิดอะไรอยู่คนเดียวในสวน ประตูรั้วก็เปิดออก พอเห็นพี่ปั้นกลับมาแล้วก็ดีใจมาก รีบเดินเข้าไปหา ใจหนึ่งก็คอยลุ้นข่าวดีเรื่องพี่ดิศด้วย
“เป็นไงมั่ง?” คนเป็นพี่ชายกลับหลบหน้า พยายามปกปิดร่องรอยนั่นไว้ไม่อยากให้ใครเห็นแต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ
“รอยอะไรน่ะพี่ ไปโดนอะไรมา?” น้องเดียร์ชี้ไปที่ปากด้วยความสงสัย ส่วนปั้นไม่ยอมตอบคำถามรีบเดินขึ้นห้องอ้างว่าวันนี้มีการบ้านต้องทำให้เสร็จ
ปั้นหมกตัวอยู่แต่บนห้องไม่ยอมลงมากินข้าว น้องเดียร์ที่ตั้งใจจะเอาเรื่องมาปรึกษาก็เข้าใจว่าพี่ชายคงกำลังยุ่ง ไม่อยากรบกวน แต่ใจหนึ่งแล้วหากคืนนี้ไม่ได้คุยกับพี่ปั้นตัวเองก็คงจะจัดการกับความ รู้สึกแปลกๆ ในใจนี่ไม่ได้สักที
“เอาวะ ลองดูหน่อยละกัน”
เกือบเที่ยงคืนแต่เห็นไฟในห้องยังเปิดอยู่คิดว่าพี่ปั้นยังไม่นอน น้องเดียร์ลองเคาะประตูไปสองสามครั้ง พอประตูเปิดออกก็รีบขออนุญาตเข้าไปทันที เจ้าของห้องอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นสบายๆ กลิ่นแป้งลอยฟุ้งปนไปกับกลิ่นสบู่สงสัยคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“นอนไม่หลับอีกแล้วเหรอ” น้องเดียร์พยักหน้ารับแล้วมุ่งไปนั่งที่เตียง ระบายให้ฟังว่าวันนี้ตัวเองไปเจออะไรมาบ้าง
“รักครั้งแรกหัวใจก็แตกสลายแล้วล่ะครับ ไม่คิดเลยว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องแบบนี้”
“วันนี้อาจจะยังไม่ใช่ พี่เชื่อว่าสักวันน้องเราต้องได้เจอกับคนที่ดีที่สุดแน่นอน”
“จริงนะพี่ปั้น ผมจะต้องเป็นผู้ชายที่พร้อมจะปกป้องคนที่ผมรักให้ได้เลยคอยดู”
“แล้วพี่ปั้นล่ะ?” รอยยิ้มของพี่ชายค่อยๆ หายไป คนถูกย้อนถามนิ่งงัน ไม่ใช่เพราะไร้คำตอบแต่อย่างใด เขารู้จักหัวใจตัวเองดีในเมื่อรักไปแล้วมันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะถูกเกลียดชังสักแค่ไหน
“ให้มันเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว” ปั้นตอบด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ เมื่อนึกถึงใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่ง ต่อไปนี้คงไม่กล้าเข้าไปวุ่นวายกับเขาอีกแล้ว ขอเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจแบบนี้ก็พอ
ท้องฟ้าตอนกลางวันไร้เมฆขาวเข้ามาบดบัง ลมร้อนของฤดูกาลหอบเอาความอบอ้าวเข้ามาแทนที่ เมืองที่มีทะเลสวยติดอันดับต้นๆ ของประเทศเสน่ห์ดึงดูดของเกาะเล็กๆ แห่งนี้ชักชวนให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก รวมถึงชายหาดแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
ช่วงปิดเทอมอันยาวนานนับเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำหรับการหาประสบการณ์ให้ตัวเอง
เก้าอี้เล็กๆ ถูกวางไว้สำหรับคนที่สนใจอยากเข้ามานั่งเป็นแบบให้กับเขา มันไม่เคยว่างเว้นเลยสักครา
ร่มชายหาดมีส่วนช่วยในการบดบังแสงอาทิตย์และไม่ทำให้ผิวหนังของเขากร้านแดดจนเกินไป ผิวกายคล้ำแดดภายใต้เสื้อกล้ามอวดโชว์แผงอกแกร่ง ท่ามกลางแสงแดดจัด แต่กระนั้นกลับยิ่งทำให้เจ้าของร่างมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น ดูเป็นชายหนุ่มสมบูรณ์แบบ
ปลายผมยาวประบ่าปลิวสะบัดไปตามแรงลมจนไร้ทิศทาง เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าหล่อเหลาตามแบบฉบับหนุ่มเอเชีย รดิศกำลังขะมักเขม้นกับการเขียนภาพตามต้นแบบตรงหน้า เม็ดเหงื่อประปรายตามมุมขมับถูกซับออกด้วยมือของหญิงสาว เธอเป็นลูกครึ่งสาวสวยที่เข้ามาใช้บริการฝีมือในการเขียนภาพของเขา
รอยยิ้มแสดงออกถึงความพึงพอใจในตัวเจ้าของผลงานมากกว่าผลงานที่เขากำลังวาดในมือเสียอีก ดวงตากลมโตเอาแต่จับจ้องอยู่แต่ใบหน้าของเขาไม่ห่าง อาจเป็นเพราะนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นช่างดูลึกลับชวนหลงใหล แม้อีกคนรู้ดีกับท่าทีที่เธอแสดงออกว่ามันแฝงไปด้วยความรู้สึกเช่นไร แต่กลับมองข้ามมันทุกอย่าง ราวกับโลกทั้งใบมีแต่กระดาษกับดินสออยู่ตรงหน้าเท่านั้น นับว่าเป็นเสน่ห์ท้าทายอย่างหนึ่งชวนให้ลองค้นหา
ยิ่งเขาปิดกั้นตัวเองเท่าไหร่กลับทำให้อยากเข้าใกล้มากขึ้น
รดิศส่งภาพให้เมื่อมันเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย สาวลูกครึ่งมองด้วยความรู้สึกเสียดายเมื่อเวลาที่มีระหว่างกันกำลังจะหมดลง
“พรุ่งนี้ คุณมาที่นี่อีกรึเปล่าคะ?” เธอถามเพราะไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราจบลงเพียงแค่นี้ ต้องการรู้จักและสนิทสนมกันมากขึ้น
รดิศเพียงแต่พยักหน้ารับ เก็บอุปกรณ์เข้าที่เมื่อแสงแรกของวันใกล้สิ้นสุดลง ไม่ได้สนใจสาวผมน้ำตาลตรงหน้าแต่อย่างใด
“หวังว่าเราคงได้เจอกันอีกนะ”
เธอบอกด้วยรอยยิ้มแพรวพราว หมายความว่าจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน ก่อนจะเดินมาหาแล้วฉวยจูบเบาๆ ลงบนแก้มซ้าย รดิศเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหรือว่ากล่าวใดๆ ราวกับทั้งหมดเป็นเรื่องปกติ
พระอาทิตย์กำลังตกดินแสงส้มอ่อนที่ปลายขอบฟ้า มองเห็นอยู่รำไร ท้องทะเลเงียบสงบได้ยินเพียงเสียงคลื่นเข้ามากระทบฝั่ง
ที่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยคิดชวนใครบางคนมาด้วยกัน แต่มันก็เป็นแค่สิ่งที่เคยคิดเท่านั้น
ย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหนึ่งเดือนเต็มก่อนหน้านี้ ข้อความในการ์ดวาเลนไทน์เคยมีใครบางคนเขียนบอกไว้สั้นๆ ด้วยคำๆ เดียว
‘รัก’
เขายังเก็บมันเอาไว้พร้อมช็อกโกแลตกล่องนั้น เป็นเพียงของขวัญชิ้นเดียวที่ไม่คิดโยนทิ้งลงถังขยะไปพร้อมกับของคนอื่นๆ ไม่ใช่เพราะต้องการถนอมน้ำใจใคร แต่เป็นเพราะความรู้สึกส่วนหนึ่งหลังเปิดอ่านมันต่างหาก
ท่ามกลางผู้คนนับร้อยแต่ก็ไม่สามารถทำลายความอ้างว้างในใจนี้ได้ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างนี้มาก่อน ตั้งแต่ที่ทุกคนแยกย้ายกันไปตามหนทางของตัวเอง ความเหงาในหัวใจมันก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
เมื่อไหร่จะชินกับมันสักที
เด็กหนุ่มถอนหายใจเป็นครั้งที่ไม่ถ้วนของวัน สองเท้าเหยียบย่ำไปตามพื้นถนนด้วยความเบื่อหน่าย เดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องราวในอดีตที่ยังคงไม่ลืมเลือน สำหรับเขาแล้วการมาเที่ยวในครั้งนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด รังแต่จะทำให้คิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมามากกว่า
วันเปิดเรียนก็ใกล้เข้ามาแล้ว ทำไมไม่รู้สึกตื่นเต้นดีใจกับมัน สภาพแวดล้อมใหม่ ที่เรียนใหม่ เพื่อนใหม่ แต่ถ้าหากต้องอยู่ตัวคนเดียวแบบนี้มันจะไปสนุกอะรไ ป่านนี้คนอื่นๆ จะเป็นอย่างไรบ้างนะ
คิดถึงกันบ้างไหม
เมื่อปล่อยใจลงดิ่งสู่ความคิดถึง วูบหนึ่งใบหน้าของใครบางคนก็เด่นชัดขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นหัวใจก็เริ่มเต้นรัวด้วยถ้อยคำมากมายที่ต้องการถามไถ่ อยากให้เจ้าตัวมายืนอยู่ตรงหน้าเหลือเกิน
ตอนนี้นายทำอะไรอยู่ คงไม่เหงาเหมือนกันหรอกใช่มั้ย?
เด็กหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนขาสั้นธรรมดาๆ แต่เขากลับรู้สึกถึงความแตกต่างจากบรรดาผู้คนที่ผ่านไปมาบนท้องถนน ร่างสูงนั่งพักอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในย่านนั้น เฝ้ามองเจ้าของใบหน้าหมองหม่นนั่นราวกับอยากจดจำให้ขึ้นใจ โดยไม่ลืมกดบันทึกภาพเด็กคนนั้นไว้ในกล้องถ่ายรูป เขาจ่ายเงินแก่พนักงานแล้วรีบเดินฝ่าผู้คนที่เริ่มแออัดออกไป ก่อนหน้านี้เขาคงชะล่าใจเกินไปนัก เพราะกว่าจะรู้ตัวอีกที ร่างบอบบางนั้นได้หายไปเสียแล้ว
ตามมาไม่ทันสินะ
ท่ามกลางถนนเส้นเล็กๆ แห่งนี้ การได้พบกับใครสักคนที่รู้สึกถูกชะตานับว่าเป็นเรื่องบังเอิญนัก
เขาได้แต่ภาวนา…สักวันเราจะต้องได้เจอกันอีก
กิจกรรมของวันปฐมนิเทศของนักศึกษาปีหนึ่ง ทุกคนปรบมือเสียงดังลั่นต้อนรับกลุ่มรุ่นพี่บนเวที ปาริชาตนั่งหลังตรงปรบมือตามอย่างว่าง่ายให้ความร่วมมือกับกิจกรรมในวันนี้เป็นอย่างดี
“เอาล่ะค่ะน้องๆ ปีหนึ่งต่อไปเรามาคลายเครียดกันดีกว่า ข้างหลังน่ะเริ่มง่วงกันแล้วใช่มั้ยค้า”
เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของพวกรุ่นพี่ทำให้เด็กทุกคนรีบโก่งตัวขึ้นนั่งหน้าตั้งหลังตรงทันที ไม่ใช่เพราะสนใจกิจกรรมบนเวทีนั่นแต่อย่างใด ลองให้ถูกจับได้ว่าไม่ตั้งใจฟังระหว่างบรรยายดูสิ รับรองว่าได้ไปยืนเต้นท่าประหลาดๆ ต่อหน้าคนนับพันบนเวทีตั้งแต่เปิดเทอมวันแรกอย่างแน่นอน
คงไม่มีใครอยากเป็นแบบนั้น
“นายๆ”
มีใครบางคนสะกิดเรียกจากด้านหลัง พอหันไปมองเขาก็ได้แต่ทำหน้างงงัน เพราะจำได้ว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“มีลูกอมป้ะ?” ฝ่ายนั้นหาววอดๆ แล้วบ่นว่าง่วงนอน ต้องนั่งแช่อยู่นานๆ แบบนี้เขาเข้าใจว่าใครๆ ก็คงเบื่อ
“เราไม่มี”
“อะแฮ่ม! น้องผู้ชายที่กำลังคุยอยู่ตรงนั้น”
แย่ละ! หมายถึงใครกันน่ะ
ทันทีที่ปั้นหันกลับมาก็พบว่าทุกสายตากำลังมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว
“ทุกคนปรบมือให้กำลังใจเพื่อนคนเก่งของเราหน่อยสิคะ” เสียงปรบมือดังลั่น ปาริชาตอยากจะเป็นลมล้มชักลงตรงนั้นเมื่อมีเสียงสั่งให้เขาขึ้นไปแนะนำตัวบนเวที
ซวยตั้งแต่วันแรกเลยรึไงเนี่ย?
มีใครรู้บ้างไหมว่า เขาเกลียดการแนะนำตัวที่สุด!...
เด็กหนุ่มยืนตัวแข็งทื่ออยู่บนเวทีราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน ปั้นกวาดตามองไปยังเบื้องล่างเห็นเด็กปีหนึ่งมากหน้าหลายตา ส่วนใหญ่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยสักคน ในขณะนั้นหัวใจกลับเต้นรัว เขาบังเอิญเห็นใบหน้าเรียบเฉยของใครคนหนึ่ง ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองมาไม่วางตาด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะคาดเดา เพียงเท่านั้นรอบกายเหมือนไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว
เกิดคำถามขึ้นมากมาย ทำไมรดิศถึงมาอยู่ที่นี่ เวลานี้...
“เชิญน้องแนะนำตัวหน่อยสิครับ” พี่อีกคนหันมาสะกิดทำให้เขาหลุดจากภวังค์ ปั้นสูดลมหายใจลึกๆ ระงับความตื่นเต้นเรียกสติตัวเองกลับมา
“สวัสดีครับ ผ...ผมนายปาริชาต พาณิภัค คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ”
ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ ก่อนเสียงปรบมือจะดังขึ้นอีกครั้งจนคราวนี้เขารู้สึกมึนงงไปหมด ปั้นหันไปมองรดิศเห็นเขายังคงนิ่งสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม ไม่เคยคิดว่าเราจะได้มาเป็นเพื่อนร่วมสถาบันกัน ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าเราสองคนคงไม่ได้เจอกันอีก
ท่ามกลางคนนับพันร่างสูงของชายคนหนึ่งกำลังมองมายังเด็กรุ่นน้องที่ยืนอยู่กลางเวที ส่วนมือที่ถือกล้องถ่ายรูปก็ทำหน้าที่กดบันทึกภาพไว้เช่นเดิม ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เคยเจอกันในคราวก่อนจะกลายมาเป็นรุ่นน้องในมหาลัยไปเสียได้
“ขอบใจที่มาให้เจอกันอีกนะ...” เขากระซิบเบาๆ ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
ในขณะทุกคนกำลังแยกย้ายกันกลับหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมของวันนี้ รดิศรีบสาวเท้าอย่างรวดเร็วเดินออกจากหอประชุม เพราะรู้ตัวว่ามีใครบางคนกำลังเดินตามมาแม้ไม่หันไปมอง
จะอะไรกันนักหนา...
“รีบไปไหนวะไอ้ดิศ!” นนท์ตามมาทีหลังแล้วกระชากแขนมันไว้ หันไปมองปั้นที่เดินตามมาแล้วถึงเข้าใจทุกอย่าง
“นี่มึงกำลังหนีเขาอยู่ใช่มั้ย?”
“กูไม่เข้าใจเว้ย! ทั้งที่มึงก็ตามน้องเค้ามาเรียนที่นี่ แล้วพอเค้าอยากคุยด้วย ทำไมต้องเดินหนีด้วยวะ” เขายืนขวางมันไว้ต้องการจะคุยกันให้รู้เรื่อง
“พูดเหี้ยไร?”
“ปากดีไปเหอะ แต่กูจะบอกอะไรให้อย่างนึงนะ ในเมื่อเขารักมึงได้ สักวันเขาก็เลิกรักมึงได้เหมือนกันนั่นแหละ” นนท์เริ่มทนไม่ไหว เขาไม่ชอบนิสัยไร้เหตุผลของเพื่อน เรื่องมันก็นานมาแล้วทำไมต้องโกรธเกลียดกันไม่จบไม่สิ้น แล้วเรื่องที่มันเปลี่ยนใจมาเรียนที่นี่ก็ยังไม่บอกพวกเขาก่อนเลยสักคำ
บีมฉุดแขนนนท์เดินออกไปพร้อมกัน ถึงเขาจะเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนแต่ก็ไม่อยากให้พวกมันทะเลาะกัน
รดิศยังยืนอยู่ที่เดิมแม้ว่าสองคนนั้นจะเดินออกไปแล้ว ชายหนุ่มมองย้อนกลับไปเบื้องหลังคิดว่าอีกคนคงตามมา แต่ทว่าทุกอย่างกลับว่างเปล่า
‘ในเมื่อเขารักมึงได้ สักวันเขาก็เลิกรักมึงได้เหมือนกัน’
สับสนไปหมด อยู่ดีๆ ก็รู้สึกพาลขึ้นมาดื้อๆ เพราะคำพูดของไอ้นนท์แท้ๆ เขาเกลียดความรู้สึกนี้ของตัวเองที่สุด ต่อให้ใครจะเป็นยังไงก็ช่างเขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องงี่เง่าพวกนั้น
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
ต่อด้านล่างจ้าาาาา