บทที่ 25
[Mew]
“มิวมิว” เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้นที่ข้างหู ผมครางเล็กน้อยพร้อมกับดันร่างหนักๆ นั่นออก แต่เหมือนแขนของอีกฝ่ายก็ยังพาดมาพันรอบตัวผมอยู่ดี “มิวครับ ตื่นหรือยัง ตื่นกันดีกว่าไหมคนดี”
“อือ” ผมส่งเสียงครางประท้วงกลับไป ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ร่างของพี่กชที่นอนตะแคงมองผมพร้อมกับรอยยิ้มปรากฏสู่สายตาเป็นอย่างแรก ผมรู้สึกใจสั่นนิดหนึ่ง เหมือนตกหลุมรักเขาเข้าอีกรอบ
“อรุณสวัสดิ์ มิว”
“อรุณสวัสดิ์ครับ พี่กช” ผมยกมือขึ้นขยี้ตาอย่างงัวเงีย เหลือบมองนาฬิกาแล้วต้องขมวดคิ้ว ยังเช้าอยู่เลย “ทำไมรีบตื่นจังครับ? วันนี้ไม่มีเรียนสักหน่อย”
“ก็เพราะไม่มีเรียนน่ะสิ เลยว่าจะพามิวมิวไปเที่ยว” พี่กชว่า วันนี้เป็นวันหยุดราชการ ซึ่งแน่นอนว่าใครๆ ก็อยากตื่นสายในวันหยุดอยู่แล้ว แต่นี่คนขี้เซาแบบพี่กชถึงกับลุกมาปลุกผมแต่เช้าแบบนี้ “แล้วนี่แผลเป็นยังไงบ้าง? ยังเจ็บอยู่รึเปล่า แต่ที่บวมนี่ยุบลงไปมากแล้วนะ”
“อื้อ ไม่เจ็บมากแล้วล่ะครับ” ผมตอบยิ้มๆ รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงผมมาก แถมที่ชวนไปเที่ยวแบบนี้ก็คงเพราะไม่อยากให้ผมซึมอยู่ในห้อง
อันที่จริงอาการผมก็ดีขึ้นตามลำดับนะ ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ก่อนหน้านี้จิตใจแย่ไปพอสมควรจนคนรอบตัวกังวล แต่ของแบบนี้พอเวลาผ่านไปสักพักมันก็ดีขึ้นเองจริงๆ อีกอย่าง… การมีพี่กชอยู่ข้างๆ คอยดูแลให้กำลังใจช่วยผมไว้ได้มาก ผมบอกรึยังว่าพี่กชแอบไปตัดแว่นมาให้ผมใหม่ด้วยนะ ไม่รู้ว่ารู้ค่าสายตาผมได้ยังไง อาจจะจากแว่นพังๆ อันเก่า แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมชอบแว่นที่พี่กชทำมาให้อันใหม่มากๆ ผมว่ามันดูเข้ากับหน้าตัวเองมากกว่าอันเก่าอีก
“งั้นมิวลุกขึ้นไปอาบน้ำก่อน” เขาว่าพร้อมกับฝังริมฝีปากลงบนแก้มผมอย่ารวดเร็ว “เดี๋ยวพี่เตรียมข้าวเช้าให้ ทำอะไรเสร็จแล้วเราจะได้ไปเที่ยวกัน”
ผมนั่งละเมียดขนมปังปิ้งหลังจากที่จัดการไข่ดาวกับไส้กรอกที่พี่กชทำไว้ให้ตอนเข้าไปอาบน้ำ และตอนนี้พี่กชก็เป็นฝ่ายเข้าไปอาบน้ำแทน เจ้าตัวกลับออกมาอีกทีในชุดพร้อมออกไปเที่ยวข้างนอกเต็มที่ ให้ตาย… พี่กชดูดีเกินไปรึเปล่าวันนี้ ถ้าเกิดผู้หญิงอื่นมองแล้วชอบพี่แกขึ้นมาจะทำยังไง ผมเองก็หวงของผมเหมือนกันนะ
“มองอะไรครับ มิวมิว” พี่กชถามยิ้มๆ พร้อมกับเดินมาดึงแก้มผมข้างที่ไม่ได้โดนต่อยจนบวม “ตะลึงล่ะสิ มีแฟนหล่อขนาดนี้”
“โอย พี่” ผมแกล้งตีหน้ารับไม่ได้ “หลงตัวเองไปไหนเนี่ย ว่าแต่ใครเลือกชุดนี้ให้ครับ”
“ทำไมอ่ะ ดูไม่ดีเหรอ” ก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเอง ผมส่ายหน้า
“เปล่าครับ แต่ผมว่ามันดูดีไป”
พี่กชมองผมอึ้งๆ ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความอาย แต่วินาทีต่อมาเจ้าตัวก็คลี่ยิ้มกวนประสาทขึ้นมาได้
“นั่นไง ว่าแล้วเชียวว่ามิวต้องหลง”
โอ๊ย ขอพี่กชคนเขินอายแบบเมื่อกี้แทนได้ไหม อันนี้น่าถีบเกิน
อาทิตย์นี้พี่กชยืมรถมาจากที่บ้านได้ ผมเลยไม่ต้องซ้อนท้ายพี่แกให้หน้ารับแสงแดดและลมที่ร้อนระอุของประเทศไทยตรงๆ
พี่กชสาวพวงมาลัยขณะที่เลี้ยวโค้งที่หนึ่งไปตามถนน ผมโน้มตัวไปด้านหลังขยุกขยิก หยิบถุงพลาสติกที่ซื้อมามากมายจากร้านสะดวกซื้อที่แวะก่อนหน้า เอาล่ะ สโมกกี้ไบท์ของผมอยู่นี่ แต่จะกินคนเดียวคนขับคงน่าสงสารแย่
“มิวมิว กินไรอ่ะ”
น่ะ ยังไม่ทันขาดคำ
“ไส้กรอกพี่ กินไหม”
“ป้อนหน่อยดิ”
ผมจิ้มชิ้นหนึ่งพร้อมกับซอสให้ดิบดี “เอ้า นี่ครับ”
“แต๊งกิ้ว” แล้วเจ้าตัวก็เคี้ยวหงุบหงับ ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะจิ้มเข้าปากตัวเองบ้าง
“แล้วนี่เราจะไปไหนกันอ่ะพี่”
“เที่ยว”
“ขอบคุณมากเลยนะครับ” ผมว่าเสียงประชด “แล้วจะพาผมไปเที่ยวไหนล่ะ”
“แหล่งท่องเที่ยว”
ผมยกสองมือยอมแพ้ “ได้เลยครับ คุณพี่กช พี่อยากจะพาผมไปต้มยำทำแกงที่ไหนก็เชิญ”
“งั้นเข้าม่านรูดข้างหน้าเลยไหม” ยังอีก ยังจะทำมือชี้ชวน แถมไอ้ม่านรูดที่แกชี้ไปก็สภาพทรุดโทรมเหมือนไม่ได้รับการบูรณะมากว่ายี่สิบปีแล้ว เขาคงไม่คิดจะทำอย่างที่พูดจริงๆ ใช่ไหม
“เอ่อ ถ้าแบบนั้นก็ถ้าทำที่หอก็ได้รึเปล่าครับ”
พี่กชหัวเราะลั่นทันที “เออ จริง มิวมิวพูดมีประเด็น”
“แล้วนี่จะมีคนอื่นมาอีกไหมครับ เพื่อนพี่กชไรงี้”
“ไม่ล่ะ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี “แค่เราสองคน”
ผมรู้สึกผ่อนคลายกับคำพูดนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ
ที่ที่พี่กชพาผมมาไกลจากตัวเมืองพอสมควร เรียกได้ว่าขับรถมาไกลจากจุดเริ่มต้นมากโขเลย แต่บรรยากาศร่มรื่นกับพื้นที่ทำกิจกรรมที่ถูกจัดแบ่งเอาไว้ก็ดูน่าสนใจพอจะเรียกนักท่องเที่ยวมาได้
ว่าแล้วพี่กชก็เผ่นไปซื้อบัตรทำกิจกรรมมาให้โดยที่ผมยังไม่ได้เอ่ยปากใดๆ
“เอ้านี่ พี่ซื้อที่ยิงธนูกับที่ขับรถเอทีวีมาให้ ถ้าซื้อแบบเป็นเซตมันถูกกว่านะ”
“หา? ” ผมดันบัตรพวกนั้นคืนให้เจ้าของเงินแทบไม่ทัน “ผมยิงธนูไม่เป็นพี่ แล้วก็ไม่มีอารมณ์จะเล่นรถเอทีวีด้วย”
“เถอะน่า ยิงธนูไม่ยากหรอก เดี๋ยวมีครูสอน” เขายัดเยียดมาให้ผมจนได้ ผมถอนหายใจทีหนึ่งแต่ก็ยอมตามใจเขา
สารภาพตามตรงว่าผมไม่ชอบทำกิจกรรมอะไรที่ต้องออกแรงหรือใช้ทักษะใดๆ ในการเคลื่อนไหวร่างกายเท่าไร เล่นกีฬาอะไรก็ไม่ต้องพูดถึงครับ แทบไม่ได้ทำ แต่คงเพราะแบบนั้นแหละผมถึงได้ผอมแห้งแรงน้อยแบบนี้ สู้กับใครเขาก็ไม่ได้ แถมล่าสุดยังเพิ่งไปโดนอัดน่วมมาอีกต่างหาก ยิ่งตอกย้ำถึงความอ่อนหัดของตัวเองเข้าไปอีก
แต่ถึงผมจะทำหน้าเหมือนไม่อยากยิงธนูนี่เท่าไร พี่กชก็ยังส่งยิ้มสดใสแบบกระตือรือร้นสุดๆ มาให้ เจ้าหน้าที่ที่สนามอธิบายพร้อมกับสาธิตการยิงธนูให้ผมคร่าวๆ ก่อนจะส่งกระบอกที่บรรจุลูกธนูมา ผมหยิบมาพาดกับคันธนูลูกหนึ่ง ตั้งท่ายืนพร้อมกับเริ่มง้างลูกธนูออก ไม่ค่อยแน่ใจว่าทำถูกไหมเหมือนกัน แต่ผมก็ปล่อยมันออกจากมือไปแล้ว
หัวลูกธนูลอยวืดเลยเป้าไปปักลงกับพื้นอย่างสวยงาม ผมหันกลับไปยิ้มแหยๆ ให้พี่กชก่อนจะต้องโวยวายเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปผม ให้ตายเถอะ แล้วผมก็เพิ่งยิ่งพลาดเป้าไปแบบทุเรศสุดๆ เมื่อกี้ด้วยนะ!
“พี่กช! อย่าถ่าย” ผมยกมือปิดหน้าหากรุ่นพี่ตัวแสบกลับหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี
“ไม่เป็นไรน่า แค่ถ่ายตอนมิวตั้งท่าเมื่อกี้เฉยๆ ท่าสวยมากเลยน้องรัก ยิงพลาดไปหน่อยแต่ก็มีโอกาสแก้ตัวเยอะนี่”
“พี่กชนี่” ผมเบ้ปากให้เขา ยื่นคันธนูในมือให้ “พูดงี้มาลองยิงให้ผมดูเลย เห็นเหมือนมันง่ายแต่มันก็ไม่ง่ายนะครับ”
“นั่นสิน้า มิวมิวเองก็ไม่เคยยิงมาก่อนด้วยสิ” เขาว่าอย่างรู้ทัน รับคันธนูไปถือ หยิบลูกขึ้นมาตั้งท่าเล็งเป้าอย่างชำนาญ แค่การเคลื่อนไหวไหลลื่นนั่นผมก็รู้แล้วว่าเขาคงเก่งอยู่พอตัว
“เดี๋ยว พี่” ผมรีบห้ามขณะที่พี่กชง้างคันธนูค้าง
“หืม? ”
“ขอผมถ่ายรูปก่อน” คือพอเห็นท่าเขาแล้วรู้เลยว่าทำไมพี่กชถึงอยากถ่ายรูปตัวเอง คือมันดูเท่มาก ท่ายืนท่าง้างนี่ชวนเก็บภาพสุดๆ ถึงผมจะไม่แน่ใจว่าตัวเองยืนได้ดูดีเท่าพี่กชรึเปล่าก็เถอะ
“หึ” อีกฝ่ายหัวเราะ ปล่อยลูกธนูที่ง้างค้างไว้ มันพุ่งไปเจาะบนเป้าตำแหน่งเฉียดกึ่งกลางไปเล็กน้อย ผมอุทานทันที
“โห สุดยอดเลยพี่ เก่งจัง ทำได้ไงอะ”
“เว่อร์ นี่ก็พูดเกินไป” เขาว่า ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นนิดหนึ่ง ไม่สมกับเป็นพี่กชเลย ปกติพี่แกต้องมั่นหน้าตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ! ทำไมวันนี้ทำตัวน่ารักแปลกๆ ล่ะ? “อีกอย่าง เป้ามันใกล้แค่นี้ ใครๆ ก็ยิงได้ มิวเองก็เหมือนกัน มาสิ เดี๋ยวพี่ช่วย”
เขาส่งคันธนูคืนให้ผมพร้อมกับอ้อมมาด้านหลัง เขยิบตัวเข้ามาประชิดเพื่อช่วยผมจัดท่ายืนและง้างลูธนู ผมได้ยินหัวใจตัวเองเต้นรัวขึ้น แต่มันไม่ใช่แค่ของผมคนเดียว ของพี่กชก็ด้วย แปลกดีที่เราสองคนยังใจเต้นกันแบบนี้ทั้งที่คบกันมาพอสมควรแล้วแท้ๆ แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจความรู้สึกนี้หรอกนะ
“เวลาเล็งอะ กะระยะเผื่อมาตรงนี้นิด”
“ครับ” ผมรับคำอย่างว่าง่าย
“อื้อ ประมาณนี้แหละ เอาเลย”
ลูกธนูผมไปปักบนเป้าที่มีคะแนนแล้ว แม้จะไม่ได้เฉียดตรงกลาง แต่ผมก็หันไปยิ้มให้คนข้างตัวอย่างดีใจ พี่กชยีหัวผมแรงๆ ทีหนึ่ง
“แล้วนี่… พวกแผลที่หน้ากับตามลำตัวไม่เจ็บแล้วใช่ไหม จริงๆ พามิวออกมาตะลอนๆ แบบนี้ก็เป็นห่วงเหมือนกันนะ”
“ผมไม่เป็นไรแล้วครับ บอกแล้วไงว่าดีขึ้นมาก แถมยาพี่กชก็ทาให้ประจำ ไม่เป็นไรแล้ว”
“แต่ถ้าไม่ไหวก็ต้องรีบบอกพี่นะ ห้ามฝืน เข้าใจไหม”
“แหม ทีงี้ล่ะทำเป็นพูดนะพี่” ผมแซว หยิบลูกธนูขึ้นมาง้างอีกรอบ “ทีตอนซื้อตั๋วให้ล่ะไม่คิดเลย ไม่ถามความเห็นผมสักคำเลยด้วย”
“โห่” พี่กชจิ้มแก้มผมทีหนึ่ง “ก็อยากให้มิวออกกำลังทำอะไรบ้าง อยากเห็นมิวสนุก”
ผมยิ้มหวานให้เขา หัวใจพองโตขึ้นอย่างมีความสุข
“ขอบคุณนะครับพี่กช จริงๆ แค่อยู่กับพี่ผมก็สนุกสุดๆ แล้ว”
ผมยิงธนูต่อไปจนกระทั่งลูกหมด ส่วนสนามรถเอทีวีที่พี่กชซื้อตั๋วไว้ให้อยู่ห่างจากสนามยิงธนูไปเล็กน้อย เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึง พี่กชส่งตั๋วให้เจ้าที่ที่ประจำอยู่ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้
“เอาไงดี? มิวจะขับหรือจะให้พี่ขับ”
“อืม…” ผมครางในลำคอ “งั้นผมขอขับก่อนได้ไหมครับ แล้วพอครึ่งทางค่อยสลับกัน”
“ถ้ามิวอยากขับไปตลอด พี่ก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”
ผมยิ้ม พี่กชตามใจผมตลอดจนผมชักกลัวว่าตัวเองจะเหลิงแล้วสิ
“งั้นให้ผมขับไปสักพักแลว้จะบอกนะครับ ว่าแต่ทางมันจะยาวแค่ไหนล่ะ”
“ไม่รู้สิ ลองดูเดี๋ยวก็รู้”
ว่าแล้วผมก็สวมวิญญาณสิงห์นักบิด ผมไม่เคยขับมอเตอร์ไซค์มาก่อน เคยแต่ขับรถยนต์ แต่รถเอทีวีนี่ก็ไม่ได้ควบคุมยากอะไร แม้ว่ามันจะมีข้อเสียทำให้หัวสั่นคลอนไปหมดเพราะแรงกระแทกก็ตาม แต่ผมรู้สึกสนุกสุดๆ แบบที่ไม่ได้รู้สึกมานานเลยล่ะ
“ให้ตาย ลมเย็นดีชะมัด” พี่กชที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังว่า มีการเนียนเลื้อยมือมาโอบรอบเอวผมด้วยนะ ที่จับข้างรถก็มีแท้ๆ
“พี่ยังไม่ได้พูดเรื่องฝุ่นตลบนี่ด้วยนะ” ผมว่าขณะกะพริบตาถี่ๆ “เข้าหน้าเข้าตาผมหมดแล้วเนี่ย”
“มีแว่นแล้วยังเข้าตาอีกเหรอ”
“นี่แว่นสายตานะพี่ ไม่ใช่แว่นกันฝุ่น”
“มิว… เร่งความเร็วอีกได้ไหม มันเหยียบได้แรงกว่านี้รึเปล่า แค่นี้มันไม่สะ-- เหวอ! ” ผมเหยียบคันเร่งจนมิดตามที่ผู้โดยสารขอ ส่งผลให้พี่กชที่ไม่ทันตั้งตัวถลามากระแทกหลังผมอย่างแรง ผมหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี
“พอใจยังครับ คุณพี่? ”
“สัส มิว แกล้งพี่เหรอ ไม่อยากอยู่สงบๆ ใช่ไหม”
พูดแล้วพี่กชก็ฝังเขี้ยวลงมาบนซอกคอผม ผมสะดุ้งเฮือก แล้วบังเอิญข้างหน้าเป็นเนินเตี้ยๆ พอดี แล้วพุ่งมาด้วยความเร็วขนาดนี้ รถเอทีวีแบบนี้ พอกระแทกเข้าไปก็ทำเอาเราทั้งคู่แทบเด้งหลุดจากรถ ผมชะลอความเร็วแล้วขับไปจอดตรงข้างทางทันทีเมื่อตั้งหลักได้
รอบข้างถนนของรถเอทีวีนี่เป็นป่าทั้งหมด แล้วก็โชคดีที่ไม่มีใครตามหลังเรามา
พี่กชหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีขณะโดดลงจากรถ ผมเบ้หน้าให้เขาก่อนจะอัดใส่เป็นชุด
“พี่กชนี่นะ หื่นไม่ดูเวล่ำเวลาเลยจริงๆ แล้วเนินเมื่อกี้ถ้าจับไม่ทันนี่กระเด็นหลุดจากรถเลยนะครับ เกือบไปแล้วไหม แล้วนี่พี่จะลงมาทำไมเนี่ย อ้าว เดี๋ยวครับ จะทำอะไรน่ะ” ผมว่าเมื่อมือแกร่งออกแรงงัดผมให้ลงจากรถตามเขาไปด้วย
“นิดหนึ่งน่า”
พี่กชพาผมเดินเข้าไปในส่วนที่เป็นป่า เพราะไม่ใช่ทางถนนที่ทางสนามจัดไว้ให้ทุกอย่างจึงขึ้นรกไปหมด น่ากลัวจะมีงูออกมาสักตัว แต่พี่กชก็ยังดันผมไปติดกับต้นไม้ต้นหนึ่งจากนั้นก็ทาบจูบลงมาโดยขออนุญาตสักคำ ถือสิทธิ์น่าดูเลยสินะที่เป็นแฟนผมเนี่ย อยากทำอะไรตอนไหนก็ได้จริงๆ
แต่ผมก็ไม่ขัดหรอก
ผมเลื่อนแขนไปโอบหลังคอเขาพร้อมกับเอียงคอจูบตอบ เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่เราจูบกันข้างนอกแบบนี้ ลิ้นอุ่นวาบที่แทรกเข้ามาในโพรงปากทำให้เลือดสูบฉีดขึ้นมาบนหน้ามากขึ้น ผมชอบเวลาที่พี่กชขยับมือไปรองหลังคอผมแล้วบังคับให้ผมทำตามที่เขาต้องการ เหมือนจะรุนแรงนิดๆ แต่ก็อ่อนโยนสุดๆ เหมือนเขาทำให้ผมตกหลุมรักซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่น แล้วผมก็ยอมตกหลุมเขาแต่โดยดีด้วยนี่สิ
“มิว” พี่กชเรียกผมเสียงแผ่วขณะที่ผละจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง “พวกนั้นไม่มากวนใจอะไรมิวแล้วใช่ไหม ไม่มีใครมาว่าหรือทำอะไรมิวแล้วนะ? ”
“ครับ? ” ผมถามกลับงงๆ
“ก็ไอ้คนที่มาซ้อมมิวคราวก่อนไง พวกไอ้แบงค์ซังกะบ๊วยนั่นน่ะ”
อ้อ นึกว่าเรื่องอะไร
“อืม… ก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลยนะครับตั้งแต่ตอนนั้น ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
“มิวอยากจะแจ้งความรึเปล่า”
ผมนิ่งไป อันที่จริงพี่กชเคยยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดแล้วครั้งหนึ่ง ไอ้แนทกับไอ้เก่งเองก็บอกว่าโดนรุมตื้บขนาดนี้แจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายยังได้ แต่ตอนนั้นผมมัวแต่ซึม สภาพจิตใจย่ำแย่จนไม่นึกอยากทำอะไร แต่ตอนนี้พี่กชคงเห็นผมดีขึ้นแล้วถึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
แต่สุดท้ายผมก็แค่ส่ายหน้า
“ไม่หรอกครับ ผมว่าผมคงไม่ทำอะไรหรอก”
“มิวแน่ใจนะ? ”
“อื้ม” ผมส่งยิ้มบางๆ ให้ “อีกอย่าง… มันอาจจะเป็นอย่างที่พี่บอสว่าผมก่อนหน้านี้ก็ได้ ผมทำตัวให้คนเกลียดเองมันก็ช่วยไม่ได้ล่ะมั้ง”
“แต่ทำร้ายร่างกายกันนี่มันคนละเรื่องนะ” พี่กชไม่เห็นด้วย แล้วก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจที่เขาเป็นห่วงหรอกนะ แต่ผมเหนื่อยใจกับเรื่องพี่แบงค์แล้วก็เพื่อนๆ ของแกมาเยอะแล้ว ผมไม่อยากเจอเขา ไม่อยากคิดเรื่องนี้อีก แล้วถ้าต้องแจ้งความ ขึ้นโรงขึ้นศาลล่ะก็ ต้องเกี่ยวพันกันอีกยาวแน่ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว เพราะงั้นผมขอปล่อยมันไปทั้งๆ แบบนี้แหละ ตราบใดที่ฝั่งนั้นไม่เข้ามายุ่งกับผมอีกน่ะนะ
“มิว” พี่กชถอนหายใจเฮือกเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป นิ้วเรียวเกี่ยวเส้นผมที่ปรกหน้าผมออกอย่างเบามือ “พี่ก็เดาได้อยู่แล้วแหละว่ามิวจะดื้อแบบนี้ ดีนะที่พี่…”
“หืม? ” เป็นคราวที่ผมต้องเลิกคิ้วเองบ้าง “พี่ทำไมเหรอครับ? ”
“เอ่อ เปล่า” เขายิ้ม แต่ท่าทางมีพิรุธนั่นไม่เนียนสุดๆ “ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ขากลับออกไปให้พี่ขับไหมรอบนี้ ลืมไปว่ามิวไม่ค่อยสบายอยู่ จากที่ช้ำคราวก่อนก็ไม่รู้หายดีรึยัง ยังจะให้มิวมาเล่นอะไรกระแทกๆ แบบนี้อีก”
“หา? ” ผมว่า ก่อนจะหัวเราะออกมา ดึงพี่กชลงมาจูบปากตัวเองอีกรอบเร็วๆ คราวนี้พี่กชหน้าแดงถึงหลังหูเลยเพราะผมจู่โจมแบบไม่ทันให้เขาตั้งตัว ให้ตายเถอะ น่ารักเป็นบ้า “พูดอะไรของพี่น่ะ? ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อยนะครับ ไอ้พวกช้ำอะไรนั่นก็ไม่เป็นไรแล้ว พี่ห่วงผมเกินไปล่ะ”
“ไอ้ตัวแสบ” เขาว่าเรื่องที่ผมขโมยจูบเขาเมื่อกี้ ดันผมไปติดกับต้นไม้ด้านหลังแล้วประกบปากลงมาจูบอย่างรุนแรงอีกรอบ ผมไหวตัวนิดๆ เมื่อมือหนาลากลงบนสะโพกตัวเองอย่างเย้ายวน ถ้าเขาจะต้องยั่วผมขนาดนี้ล่ะก็นะ… “ทำแบบนี้เดี๋ยวปั๊ดลากเข้าม่านรูดจริงๆ ตอนขากลับซะหรอก อยากโดนมากใช่ไหม หา? ไม่ต้องมาทำหน้าแดงด้วย”
“คนที่หน้าแดงน่ะมันพี่ไม่ใช่เหรอครับ” ผมยิ้มให้เขา ยกมือขึ้นมาวางบนมือของพี่กชที่แตะแก้มผมอยู่ “งั้นขากลับผมให้พี่ขับออกไปแล้วกัน เอาแต่หาว่าผมขับไม่ได้เรื่องอยู่นั่น ดูซิว่าพี่ขับแล้วมันจะแตกต่างออกไปยังไง”
ผมกับพี่กชกลับมาประจำที่รถ มีรถเอทีวีอีกคันแซงหน้าพวกเราขึ้นไปก่อน ดีนะที่พวกเขาไม่ได้เห็นบทพลอดรักของผมกับพี่กชเมื่อกี้ ไม่งั้นผมคงต้องขอมุดรูดินหนีตรงนี้เลย ถึงเวลาอยู่กับเขาผมจะทำตัวซ่าได้บ้าง แต่นั่นก็เฉพาะตอนอยู่ด้วยกันตามลำพังเท่านั้นแหละครับ ถ้าเกิดมีคนอื่นมาร่วมรับรู้ด้วย… บอกเลยว่าผมอายม้วนจนไม่กล้าทำอะไรหรอก
และเมื่อพี่กชขับรถเอทีวีออกมา ผมก็บอกได้เลยว่ามันก็ไม่ได้ดีกว่าตอนที่ผมขับเท่าไรหรอก คือไอ้รถนี่มันเอาไว้ลุยวิบากอยู่แล้วไง ยังไงมันก็ต้องโคลงเคลงแล้วก็สะเทือนไปถึงตับแบบนี้แหละ
ระหว่างที่ตัวรถยังแล่นอยู่บนทางที่ทางสนามแต่งไว้ให้ พี่กชก็พูดเสียงดังฝ่าเสียงเครื่องยนต์และแรงลมออกมา
“สนุกรึเปล่า มิว? ” พี่กชถามหลังจากที่เราเอารถไปคืนทางสนามแล้วเดินกลับไปขึ้นรถของเราเอง
“หืม? ” ผมที่กำลังยื่นเงินจ่ายค่ามะพร้าวไม่ทันได้ฟัง พอใส่หลอดสองอันเข้าไปตรงส่วนที่ให้ทางร้านเฉาะมาให้แล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นไปถาม “เมื่อกี้พี่กชว่าอะไรนะครับ”
พี่กชคลี่ยิ้ม มือปัดผมสีดำบนหน้าผากผมออกแล้วทาบจูบลงบนนั้นเร็วๆ ทีหนึ่ง ผมหน้าร้อนวูบ ไม่ต้องสงสัยเลย นี่ต้องเป็นบทลงโทษที่ผมไม่ตั้งใจฟังสิ่งที่พี่กชพูดแน่
“พี่ถามว่ามาเที่ยวกับพี่เป็นไง”
“อ้อ” ผมพยายามยิ้มกลบเกลื่อนหน้าที่ร้อนขึ้นมาของตัวเอง “สนุกดีครับ ผมไม่เคยยิงธนูหรือขับเอทีวีของจริงมาก่อน”
“เอ่อ จริงๆ ไอ้แบบนั้นมันก็ไม่ได้ของจริงอะไรหรอกนะ” พี่กชหัวเราะ “ออกแนวชาวบ้านๆ มากกว่า แต่ถ้ามิวสนุกก็ดี”
“สนุกสิครับ” ผมพยักหน้ายืนยัน “ปกติผมเล่นแต่เกมหน้าจอตลอด อย่างยิงธนูอะไรก็เคยนะ แต่เป็นในหน้าจอไง”
“แล้วของจริงเป็นไง? ”
“สนุกดีครับ” ผมยิ้มพร้อมกับยื่นมะพร้าวให้ “นานๆ ทีออกมาเล่นอย่างอื่นนอกจากเกมหน้าจอก็ดีเหมือนกัน”
พี่กชเอื้อมมือมายีหัวผมแรงๆ “งั้นไว้ไปเที่ยว หาอะไรสนุกๆ ทำกันอีกนะ”
อยู่ๆ ผมก็เข้าใจว่าทำไมพี่กชถึงอยากพาผมมาเที่ยวแต่เช้าในวันนี้… เขาอยากให้ผมอารมณ์ดีขึ้นสินะ เพราะหลังๆ มาผมแทบไม่เอนจอยอะไรเลย แม้แต่เกมคอมพิวเตอร์ผมก็แทบไม่ได้แตะ
แค่คิดว่าเขาทำทุกอย่างนี่เพื่อผมแล้ว… ผมก็รู้สึกเหมือนใจเต้นรัวขึ้นมาขณะพูดตอบเขาไป
“ตกลงเลยพี่”
“แล้วก็… พี่มีเรื่องอยากขออีกเรื่อง” เขาว่าเหมือนไม่แน่ใจ หยิบกุญแจรถขึ้นมากดสวิตช์เปิดประตู ผมเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
“อะไรเหรอพี่”
“ถ้ามิวมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ… หรือมีเรื่องอะไรอีก พี่อยากให้มิวบอกพี่ทุกเรื่อง”
เขาสบตาผมตรงๆ ตอนที่พูดประโยคนั้นออกมา วินาทีนั้นผมนึกถึงเรื่องพี่ก้อยขึ้นมาเป็นอย่างแรก อันที่จริงเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ผมคาใจมานานแล้วแต่เพราะมีเรื่องต่างเกิดขึ้นมามากมาย ผมเลยไม่ได้พูดออกไปสักที แต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ได้คิดเรื่องนั้นอยู่หรอกนะ
“พี่เป็นแฟนมิว… ถ้าเกิดมิวมีอะไร พี่ก็อยากเป็นคนแรกที่ได้ปลอบมิว อยากคอยดูแลมิว เพราะงั้นมิวให้โอกาสพี่ตรงนี้ได้ไหม ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมิวอีก โทรมาบอกพี่ก็ได้ถ้าพี่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น”
อ้อ… เขาคงน้อยใจเหมือนกันที่ผมไม่ได้บอกเขาทันทีวันที่โดนซ้อมนั่น แถมเขายังรู้เรื่องทีหลังแนทกับพี่บอสอีก
“ตกลงนะมิว? ” เขาถามย้ำเหมือนต้องการคำตอบ ผมพยักหน้าทีหนึ่ง
“ครับ พี่กช ผมสัญญา”
เขาคลี่ยิ้มหวานมาให้อย่างพึงพอใจ จากนั้นก็เปิดประตูรถฝั่งข้างที่นั่งคนขับให้ผม เออ แบบนี้แปลว่าผมก็ต้องรีบบอกเขาเรื่องพี่ก้อยสิ ไม่งั้นจะถือว่าผมผิดสัญญาที่เพิ่งให้ไปเมื่อกี้ใช่ไหม?
“งั้นขึ้นรถเถอะ มิวมิว เดี๋ยวพี่พาไปบ้านพี่นะ ไปสวัสดีคุณพ่อคุณแม่หน่อย จะได้พามิวไปแนะนำให้รู้จักด้วย”
“หะ? ” ผมอุทานงงๆ แต่คนขับรถกลับเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งของตัวเองแล้ว
เดี๋ยวนะ…. แนะนำให้รู้จักกับทางบ้าน?
ไม่เห็นพี่กชบอกผมล่วงหน้าเลยสักคำ แล้วผมจะทำตัวถูกได้ไงเล่า!?
-------------------------------------
Talk: มาๆ หายๆ ช่วงนี้เม้นน้อยจังเลยทุกคน เลาใจคอไม่ดีเลย TvT //แต่รักทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ม้วฟๆ