บทที่ 7 อย่าแจกไลน์ให้คนไม่สนิท
หลังจากการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์งงๆ เมื่อคืน ทันทีที่น้องไก่หลังบ้านของใครสักคนขันออกมาบอกว่าเช้าแล้ว ผมก็รีบตรงดิ่งไปตลาดเพื่อซื้อวัตถุดิบแล้วกลับมาเปิดร้านทำมาหากินตามปกติ
อะไร คาดหวังอะไรจากเฮีย มีเหตุการณ์นั้นแล้วยังไง มีผลกระทบอะไรกับชีวิตเฮียไหม ก็ไม่ไง
“เฮีย ข้าวต้มหมูจานดิ”
เสียงกวนๆ คุ้นหูของคนคุ้นหน้าคุ้นตาทำให้ผมหรี่ตาตัวเองลงอย่างใช้ความคิด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปให้ไก่ตื่น สิ่งที่ผมทำมีเพียงการพยักหน้าเงียบๆ แล้วเริ่มลงมือทำข้าวต้มตามที่เจ้าตัวสั่งเท่านั้น
“เฮีย ไม่สบายปะเนี่ย”
เออ ไม่สบาย เมื่อคืนตกใจจนขวัญหนีไปถึงสแกนดิเนเวียแล้ว
“ไปนั่งที่โต๊ะไป”
ผมไล่มันเรียบๆ ต่างจากทุกวันที่มักจะมาในโทนเสียงตะโกนโหวกเหวกไม่ก็รำคาญ
ไอ้โก้เองก็คงพอจะจับความผิดปกตินี้ได้
“ผมว่าเฮียไม่บายจริงๆ นะ”
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเป็นการตื่นสติตัวเองว่า ‘อยากรู้อยากเห็นหนอ แต่ต้องเก็บอาการหนอ’
“ไอ้โก้ เลือกนะว่าจะไปนั่งดีๆ หรือไม่ต้องแดก”
“ว้าย เฮียใจร้าย ไปนั่งก็ได้”
ในที่สุดไอ้ตัวกวนก็ยอมเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะประจำด้านในสุดติดกับโทรทัศน์เครื่องเก่าได้สักที
ผมถอนหายใจปลงๆ ให้ความอยากรู้อยากเห็นจนเกินเรื่องของตัวเอง แต่แหม แค่เจ๊น้อยเป็นญาติกับแม่นายหัวกาจว่าพีคแล้ว คนนิสัยสกปรกอย่างไอ้โก้ดันไปเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเขานี่พีคกว่า
ไม่ได้ละ ถ้าไม่ได้ถามต่อเฮียต้องนอนไม่หลับแน่นอน
“เล่ามาให้หมด”
ผมกระแทกชามข้าวต้มลงตรงหน้าของคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับละครปลาบู่ทองในโทรทัศน์ก่อนจะพาตัวเองไปนั่งตรงข้ามของอีกฝ่าย
“เฮียอย่าบังดิ!”
“อยากดูละครก็เล่ามา”
ใบหน้าคร้ามแดดของอีกฝ่ายขมวดคิ้วยุก
“เล่าอะไรล่ะเฮีย”
“เอ็งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนายหัวกาจใช่ไหม”
ผมมั่นใจว่าตัวเองถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตะลึง ตะลึงตึงตึง ตะลึงตึงตึง มากๆ แต่คนถูกถามกลับทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยแล้วพยักหน้า
“อ่าฮะ”
เชร้ดเข้ รับไม่ได้ เฮียรับไม่ได้
“แล้วทำไมเอ็งไม่เคยบอกเฮียเลยฮะ!”
“แล้วทำไมต้องบอกละ ผมต้องเดินไปตะโกนไปรึเปล่าว่าเป็นญาติใคร”
อะ ก็ถูกของมัน เพราะแบบนั้นผมเลยยอมสงบลงในที่สุด...ไม่ใช่สิโว้ย!
“แล้วทำไมตอนเฮียถามว่าคิดว่าเขามีเมียแล้วรึยัง เอ็งถึงไม่บอกเฮียฮะ!”
“เอ้า บอกทำไมอะ ก็เฮียไม่ได้ถามอะ”
อะ ก็ถูกของมันอีกนั่นแหละ
ผมกุมขมับแล้วทรุดตัวแนบลงกับโต๊ะ
กูเหนื่อย เฮียเหนื่อยใจกับไอ้เด็กเวรสองคนนี่จริงๆ
“เฮียเป็นไรไหมนิ”
“เป็นคนขายข้าวตามสั่ง”
ผมพ่นลมหายใจออกอย่างหงุดหงิดเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่ามันทำหน้าปวดตับใส่มุกของผม
“สาบานว่านั่นมุก”
“ไม่ใช่มุก นั่นพลอย”
“ลาล่ะครับเฮีย”
“เดี๋ยวๆ ใจเย๊น”
ไอ้ท่าทางลุกหนีจริงจังของมันทำให้ผมต้องรีบร้องปราม
ไอ้โก้หันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“ขอร้องนะเฮีย ผมขอซื้อมุกเฮียแล้วอย่าเอาไปเล่นอีกเลยได้มะ สงสารคนฟัง”
แหม พ่อคนตบมุกเก่ง พ่อคนรับมุกดี
“เออๆ มาๆ นั่งก่อนๆ”
แต่เราจะไม่ด่ามันออกเสียงครับ เดี๋ยวไก่หนีหมด
“แล้วตกลงเอ็งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนายหัวกาจจริงไหมนิ”
มันพยักหน้า
“จริงแหละ อิ๊หลอกไซ
(จะหลอกทำไม)”
“แล้วทำไมเอ็งไม่เคยเล่าให้เฮียฟังเลยวะ ทีเรื่องญาติโกโหติกาคนอื่นล่ะเล่าเก่ง”
ไอ้โก้มันเป็นเด็กมีปัญหามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทุกครั้งทุกคราที่มีการนัดรวมญาติ มันก็มักจะโดนด่าโดนว่าว่าไม่เอาไหนบ้างล่ะ โง่บางล่ะ เกเรบ้างล่ะ แต่ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่คนแบบนั้นและคอยให้กำลังใจมาตลอด เด็กหนุ่มคนนี้เลยติดผมแจ มีปัญหาอะไรกับที่บ้านก็มักจะเอามาเล่าให้ผมฟังเสมอ
โดยพื้นฐานแล้วไอ้โก้ไม่ใช่คนไม่ดี มันแค่เป็นเด็กหัวช้าและดื้อก็เท่านั้น พอหัวช้าก็เลยเรียนในโรงเรียนสายสามัญได้ลำบาก สุดท้ายก็เลยต้องย้ายมาเรียนปวช. ซึ่งเน้นปฏิบัติมากกว่า แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะเหมือนเจ้าตัวเองก็จะไปได้สวยกับการเรียนสายนี้ ปัจจุบันก็เห็นรับซ่อมมอเตอร์ไซต์ได้เอง หาเงินได้เอง ดูมีอนาคตมากกว่าตอนเรียนสายสามัญเสียอีก ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าญาติมันจะบ่นอะไรมันนักหนา ทั้งๆ ที่ผมเองกลับเห็นว่ามันก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
...หรือเพราะว่าครั้งหนึ่งผมเองก็เคยเป็นคนแบบมันล่ะมั้ง เลยเข้าใจมันดีกว่าใคร...
“เฮีย ฟังผมอยู่ไหมนิ”
เสียงร้องทักห้วนๆ นั้นทำให้ผมหลุดจากภวังค์มาตอบคำถามด้วยความสัตย์จริง
“ฮะ? อ๋อ ไม่ได้ฟัง ไหนเล่าใหม่สิ”
ไอ้โก้ทำหน้ารำคาญใส่ผม แต่ก็ยอมเริ่มเล่าใหม่แต่โดยดี
“ก็คือผมน่ะเป็นญาติกับนายหัวกาจจริง แต่ว่าก็เป็นญาติที่แบบไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันอะ คืองี้ แม่ผมอะ เป็นน้องสาวของแม่นายหัวใช่มะ แต่แม่ผมกับแม่นายหัวอายุห่างกันสิบปีเพราะแม่ผมเป็นลูกหลง แล้วทีนี้นายหัวเขาเกิดตอนแม่ผมเพิ่งแต่งงานกับพ่อใหม่ๆ ก็สักยี่สิบกลางๆ ได้ สักยี่สิบห้าไรเงี้ยะ แต่ผมก็ยังไม่เกิดไงเพราะแม่ผมสุขภาพไม่ดี ท้องแล้วก็แท้งไปหลายคน กว่าจะได้ผมมาก็นู้นเลย ตอนแม่อายุสามสิบแปดเลย ผมกับนายหัวก็เลยไม่ค่อยสนิทกันเพราะอายุห่างกันมาก”
เชร้ดเข้ ซับซ้อน ซับซ้อนมากๆ
“แล้วทีนี้อะ แม่ของนายหัวก็เสียเว้ยเฮีย”
“เฮ้ย เสียแล้วเหรอ”
ไอ้โก้พยักหน้าแรงๆ
“เสียแล้ว เห็นว่าเป็นมะเร็ง เสียไปเมื่อสักสองสามปีก่อนอะ พอหลังจากป้าผมเสีย บ้านผมก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับบ้านนายหัวกาจอีกเลย คือ...แต่ดั่งแต่เดิมอะ เราก็ไม่ได้สนิทอะไรกันอยู่แล้ว ที่ยังไปมาหาสู่กันก็เพราะป้าผมนี่แหละ แล้วตอนนี้ป้าผมก็เสียแล้ว นายหัวเขาก็อยู่กับพ่อ กินมรดกฝั่งพ่อใช่ไหมล่ะ ถ้าพวกผมยังเสนอหน้าไป บางทีเขาอาจจะคิดว่าเราอยากได้สมบัติเขาก็ได้ แม่ผมเลยบอกว่าไม่ไปดีกว่า”
ผมพยักหน้าเข้าใจ ผมเองก็เลือกที่จะไม่ติดต่อกับญาติฝั่งแม่ที่เป็นตระกูลคนจีนร่ำรวยในจังหวัดข้างเคียง แล้วเลือกจะใช้ชีวิตสมถะในจังหวัดนี้ตามลำพังเพราะเหตุผลเดียวกัน
ชีวิตคนเราบางทีมันก็ยุ่งยากจริงๆ
“แล้วตกลงเฮียจะอยากรู้ไปทำไมเนี่ย”
ผมเม้มปากอย่างชั่งใจ
จะบอกหรือไม่บอกมันดีนะ...เอาวะ
“คือเฮียไปติดหนี้นายหัวกาจเข้าอยู่สี่หมื่น”
“เหยด! เฮียไปทำอีท่าไหนนิ”
ผมเกาหัวอย่างไม่รู้จะเริ่มยังไงดี
“ก็เฮียไปทำรถเขาเป็นรอยแล้วก็ไม่มีเงินจ่ายไง”
ไอ้โก้ตบเข่าฉาดใหญ่
“ว่าแล้วทำไมเฮียดูขี้เสือกแปลกๆ ปกติเฮียก็เป็นคนสอดรู้สอดเห็นนะ แต่ไม่เคยเป็นหนักขนาดนี้ เพราะแบบนี้นี่เอง”
เดี๋ยวๆ นี่เฮียมึงนะเฮ้ย พูดจาให้เกียรติเฮียนิดนึง
“แต่ว่าก็ว่าเถอะนะเฮีย ต่อให้ผมเป็นญาติเขา ผมก็ช่วยอะไรเฮียไม่ได้อยู่ดี เพราะเราไม่สนิทกัน”
ผมพยักหน้าเข้าใจ
“เออ ก็ไม่ได้จะขอให้ช่วย เฮียแค่ได้ยินเขาบอกว่าเป็นญาติกับเอ็งก็เลยลองถามดู”
เด็กหนุ่มตรงข้ามเบิกตาโต
“เขามาหาเฮียด้วยเหรอ”
“เออ ที่ร้านเมื่อคืนเนี่ย”
ผมละข้อความที่ว่า ‘มาให้ช่วยหาเมีย’ เอาไว้ในใจ ยังไงก็ยังไม่กล้าเล่าอยู่ดี เพราะไอ้โก้มันค่อนข้างปากมาก ขืนไปหลุดปากพูดที่ไหนขึ้นมา ไอ้เฮียตายแน่
“เฮีย ผมมีอะไรจะบอก”
จู่ๆ มันก็เรียกผมด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแปลกๆ
ดวงตากลมลึกสบตาผมแว่บเดียวแล้วหลุบตาหนี
สังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล
“คือจู่ๆ เมื่อคืนอะ แม่ก็ขอไลน์เฮียอะ”
อย่านะ อย่าเป็นอย่างที่เฮียคิดนะ
“ตอนแรกผมก็ไม่คิดอะไร แต่ก็รู้สึกแปลกๆ เลยถามไปว่าจะเอาไลน์เฮียไปทำไม รู้ปะเฮียแม่ผมบอกว่าไง”
มันหันซ้ายหันขวาแล้วลดระดับเสียงลง
“แม่บอกว่าจะเอาไปให้พี่กาจว่ะเฮีย”
โอ้โห โอ้โห เฮียอิ๊วเคยสังหรณ์ใจอะไรแล้วผิดไหม ไม่มี๊
“ไอ้ผมก็นึกว่าเขาจะเอาไว้สั่งข่าวไปเลี้ยงคนงาน ที่ไหนได้เอามาทวงหนี้”
มันยกมือขึ้นไหว้ผม
“ขอโทษนะเฮีย ผมไม่รู้จริงๆ นิ”
โอ้โห ช็อค พูดไม่ออก เฮียอยากจะหายตัวไปในตอนนี้เลย
แค่โดนมาทวงเช้าทวงเย็นที่ร้านก็ตกใจจนฉี่แทบแตกอยู่แล้ว ถ้ายังต้องโดนทวงผ่าน...
-ตือดึ้ง-เสียงแจ้งเตือนจากมือถือเครื่องเล็กกะทัดรัดที่วางอยู่บนโต๊ะทำให้ผมกับไอ้โก้สบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย มือถือเครื่องนั้นเป็นสีขาวใส่เคสหนังแบบมีฝาปิดดูเรียบง่ายและจืดชืด แน่นอนว่ามันจะเป็นโทรศัพท์ของใครไปไม่ได้เลยนอกจาก...
“มีคนไลน์เข้าน่ะเฮีย”
“เฮียรู้ ไม่ต้องย้ำ”
พวกเราสบตากันอีกครั้งก่อนที่ผมจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มาเปิดเช็คแอปพลิเคชั่นเจ้าปัญหา แล้วในที่สุดผมก็ได้อุทานคำว่า ‘โอ้โห โอ้โห’ ออกมาอีกครั้งเมื่อชื่อไลน์ที่ทักเข้ามาเป็นชื่อของ ‘กาจกล้า แซ่ตั้ง’
“ว่าไงเฮีย ตกลงใช่พี่กาจป่ะ”
ผมสูดหายใจลึกแล้วฉีกยิ้มช้าๆ
“คราวหน้าอย่าหวังจะได้กินข้าวฟรีที่ร้านเฮียอีกเลย”
พุธโธ่ พุธถัง กะละมังสามใบ เฮียเครียด ใครก็ได้ช่วยเฮียที
****************************************************************************