Special I
อดีตของพิชญุฒม์
พิชญุฒม์ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้เขาจะต้องการอะไรเป็นพิเศษอีกแล้ว ทีมีอยู่ทุกวันนี้มันก็ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าอะไรให้ยุ่งยากอีกแล้ว ชีวิตมัธยมปลายของเขาดำเนินไปอย่างเรื่อยๆและเขาก็ชอบที่มันจะเป็นแบบนั้น มีกลุ่มเพื่อนสนิทที่นัดกันออกไปเล่นบาสทุกเย็นและชวนกันไปเล่นเกมส์ในช่วงวันหยุด พิชญุฒม์ไม่เคยไขว้คว้าอะไรไปมากกว่านี้ แต่ใครจะรู้ว่าเส้นทางชีวิตอันราบเรียบจะต้องมาเจอหลุมบ่อขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถเดินต่อในทางเดิมได้
“เฮ้ยพีท! เย็นนี้ว่าไง”
“ที่เดิมแล้วกันนาย” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมกับเดินไปอีกทางโดยที่พิชญุฒม์ยังไม่ได้ขยับขาก้าวออกไปไหน พิชญุฒม์มองเพื่อนซี้จนลับสายตาก่อนจะหันหลังเดินไปอีกทาง
เขายังมีเวลาอีกเป็นชั่วโมงกว่าชาวแก๊งค์จะมากันครบ พิชญุฒม์เลยเลือกที่จะเดินกลับบ้านเพื่อเอากระเป๋าไปเก็บพร้อมกับไปหยิบรองเท้าผ้าใบสีสีดำแดงคู่ใจและกระเป๋าเป้ใบเก่งที่เอาหนังสือเรียนออกหมดแล้ว ก่อนจะออกจากบ้านก็แวะห้องครัวหยิบขนมที่คุณแม่คนสวยวางไปไว้บนโต๊ะทานข้าวยัดใส่ปากไปสองคำแถมด้วยนมอีกหนึ่งขวดเล็กๆในตู้เย็น
พิชญุฒม์เดินเอื่อยๆไปตามทางแบบไม่รีบร้อนนัก ถึงแม้จะอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กแต่บรรยากาศรอบๆก็ยังคงทำให้รู้สึกสบายทุกครั้งที่เดินผ่าน พิชญุฒม์ชอบบรรยากาศที่เดินผ่านบ้านหลังต่างๆแล้วหน้าบ้านล้วนเป็นสวนผืนเล็กๆที่ตกแต่งกันกันไปตามสไตล์ของแต่ละคนในของหมู่บ้าน ช่วงเย็นแบบนี้ถึงแม้จะวุ่นวายเล็กๆแต่เขาก็คิดว่าดูครึกครื้นดี
พิชญุฒม์เดินมาถึงที่นัดหมายไวกว่าที่ตัวเองคาดคิดไปนิดนึงเพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับการเดินมองนู้นนี่นั่นรู้ตัวอีกทีก็เดินมาหยุดที่สถานนัดหมายซึ่งก็คือลานกว้างข้างหมู่บ้านซ่งเป็นที่ๆกลุ่มเด็กผู้ชายที่เรียนอยู่มัธยมทั้งหลายกลุ่มมารวมตัวกันที่นี่ืด้วยเพราะสถานที่ไม่ได้ไกลจากระแวกบ้านแต่ละคนนักและเหมาะกับการทำกิจกรรมต่างๆ และกิจกรรมยอดฮิตที่สถานที่แห่งนี้ก็คือการเล่นบาสเก็ตบอลและฟุตซอล
“วู้วว”
ยิ่งแสงอาทิตย์เริ่มหมดลงเสียงเชียร์ก็ยิ่งดังขึ้นจากการเล่นบาสเก็ตบอลเล่นๆเพื่อฝึกทักษะกลายเป็นการแข่งขัน ชัยชนะไม่ได้หมายความถึงแค่ความสนุกสนานแต่มันรวมถึงการพนันขนาดย่อม แน่นอนว่าพิชญุฒม์ไม่ใช่คนที่เก่งกาจอะไรเขาไม่เคยคิดจะลงแข่ง ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ใช่คนที่คิดจะวางเดิมพันด้วยเงินค่าขนมที่ได้มาอยู่แล้ว เขาเพียงนั่งมองอยู่ห่างๆหลังจากที่ทีมของตัวเองหมดรอบเล่นแล้ว
กับชีวิตเด็กของเด็กมัธยมปลายที่จะต้องต่อมหาวิทยาลัยในอีกสองปีจะเอาอะไรมาก แค่ได้มาเรียน เจอเพื่อน แค่นี้ก็ถือว่าดีแล้วสำหรับเขา จริงอยู่ที่ไม่ได้มีกฎหมายขนาดที่ต้องบังคับให้นักเรียนทุกคนต้องเรียนจบสูงๆเพราะสำหรับประเทศไทยการศึกษาขั้นพื้นฐานก็แค่มัธยมต้นแต่สำหรับพิชญุฒม์เขาคิดว่าการจบมัธยมปลายหลังจากนั้นไปต่อปวส.ซักสองปีแล้วไปช่วยกิจการที่บ้านน่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่าการต้องทนเรียนจนจบปริญญาแล้วเอาใบปริญญาไปสมัครงานเพื่อเป็นลูกน้องคนอื่นอีกที ถึงแม้กิจการอสังหาริมทรัพย์ที่ๆบ้านมีอยู่จะไม่ได้ใหญ่แต่ก็ดีกว่าต้องไปเป็นลูกน้องคนอื่นนั่นแหล่ะ
“เฮ้ยพีท! ไม่ลองซักรอบหรอวะ ฝีมือก็ไม่ใช่ย่อยไม่ใช่หรอนาย” พิชญุฒม์มองไปยังคนที่เอ่ยท้าทายแต่ไม่ได้พูดอะไร ปกรณ์ หรือเพื่อนร่วมชั้นทุกคนเรียกกันว่าเติ้ล พิชญุฒม์จำคนๆนั้นได้ดี ทุกครั้งที่คนๆนั้นลงสนามแข่งทีไรกองเชียร์รอบนอกจะเทหน้าตักเพื่อเชียร์คนๆนั้นตลอด พิชญุฒม์ไม่รู้ว่าเพราะฝีมือหรือโชคช่วยแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าปกรณ์เป็นคนที่เล่นบาสเก็ตบอลได้ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง
“ไม่หล่ะ ไม่ได้มาเพื่อแข่ง” พิชญุฒม์เอ่ยนิ่งๆเรียกเสียงโห่ร้องจากกองเชียร์ฝ่ายตรงข้ามได้มากโข
“เห้ยไอ้นาย นี่แกคบเพื่อนกระจอกๆแบบนี้ด้วยหรอวะ” เมื่อเห็นว่าพิชญุฒม์ดูไม่ใยดีกับตัวเองเท่าไหร่ปกรณ์ถึงได้หันไปพูดจาเพื่อถากถางใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากขอบสนาม ซึ่งเจ้าของชื่อก็ทำเพียงแค่เม้มปากด้วยความไม่พอใจแต่ก็ไม่คิดจะตอบโต้
“เหอะ กระจอก” ปกรณ์ยกมุมปากเหยียดๆใส่นายก่อนจะหันมามองพิชญุฒม์ด้วยสายตาดูแคลนหลังจากนั้นึงได้พาเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่เฮโลมาเพื่อข่มขวัญคนอื่นๆและเป็นตัวตั้งตัวตีในการลงพนันเรื่องแข่งบาสเก็ตบอลกลับไป
พิชญุฒม์เดินไปวางมือบนบ่าของนายก่อนจะบีบเบาๆอย่างให้อีกคนสบายใจ เพราะพิชญุฒม์รู้ว่าปกรณ์ค่อนข้างมีอิทธิพล ไม่ใช่เพราะตัวของปกรณ์ที่สร้างอิทธิพลขึ้นมาเองแต่เพราะความที่เป็นถึงลูกผู้ชายนายอำเภอถึงทำให้ปกรณ์กร่างได้ขนาดนี้ นวพลหันมามองหน้าเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ เพราะเป็นคนที่ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องใดเลยยิ่งทำให้นวพลรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกขี้แพ้ไปในทุกๆด้าน ยิ่งโดนปกรณ์ข่มยิ่งทำให้รู้สึกแย่ พิชญุฒม์เข้าใจในข้อนี้ดี
โรงเรียนประจำอำเภอในยามเช้าเป็นอะไรที่ดูวุ่นวายไม่ว่าจะที่ไหน พิชญุฒม์ยัดหนังสือเรียนใส่เข้าไปในกระเป๋าหลังจากหมดคาบ ปกติพิชญุฒม์ไม่ค่อยใส่ใจคนรอบข้างเท่าไหร่ เขารักที่จะมีชีวิตเรื่อยๆโดยไม่ต้องเป็นจุดสนใจกับใครมีเพื่อนสนิทเป็นนวพลแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้วกับชีวิตมัธยม มือเรียวกระชับสายกระเป๋าที่สะพายอยู่บนบ่าขึ้นแล้วมุ่งตรงไปที่ห้องเรียนต่อไป เพราะต้องเดินเรียนและคาบนี้เขาก็ต้องไปเรียนอีกตึกนึงคนเดียวเพราะวันนี้เพื่อนสนิทอย่างนวพลยังไม่มา พิชญุฒม์เลยเลือกที่จะนั่งลงตรงกลางห้องในที่ประจำเพื่อรออีกฝ่าย ปกตินวพลไม่ใช่คนที่จะมาสายมีบ้างที่มาสายแต่ก็นานๆทีเพราะเคยสัญญากันว่าจะใช้ชีวิตมัธยมให้ดีที่สุด ถึงแม้จะไม่ใช่พวกที่ทำคะแนนได้ระดับหัวกระทิแต่ก็ไม่เคยทำตัวให้เป็นปัญหาสังคม
เสียงกริ่งบอกเวลาพักเที่ยงแต่ยังไร้วี่แววของนวพล พิชญุฒม์ก้มมองโทรศัพท์ในมือแต่ก็ไร้ซึ่งข้อความจากอีกฝ่าย ปกติเขาไม่ใช่คนใส่ใจอะไรยิบย่อยมากมายอย่างพวกส่งข้อความหากันแต่การส่งข้อความก็เป็นทางที่น่าจะติดต่อเพื่อนได้ดีที่สุด พิชญุฒม์กดโทรศัพท์เพื่อส่งข้อความถามไถ่ว่าอีกคนไม่สบายหรอถึงไม่ได้มาโรงเรียนก่อนจะยัดมือถือเก็บใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปกินข้าวที่โรงอาหาร
ตลอดเวลาหลังจากนั้นเขาก็ยังไม่ได้รับข้อความตอบกลับจากนายเลยซักข้อความกระทั่งเลิกเรียนก็ยังไม่มี พิชญุฒม์ขวมดคิ้วมองมือถือนี่นอนนิ่งอยู่ในมือ ไม่แน่ใจว่าควรกดโทรออกดีไหมเพราะปกติเขากับนวพลโทรหากันแทบจะนับครั้งได้ พิชญุฒม์เลือกที่จะกดโทรออกรอสายจนสายตัดไปถึงสองครั้งก็ยังไม่มีคนรับ คิดเอาเองว่าถ้าอีกฝ่ายเห็นมิสคอลถึงสองสายก็คงจะโทรกลับมาเอง
แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่พิชญุฒม์คิด เพื่อนสนิทไม่ติดต่อเขากลับมาเลยจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น พิชญุฒม์ก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวอะไรเลย คนร่างโปร่งในชุดที่พร้อมสำหรับการออกไปเรียนในขณะที่มือขวาถือบาสเก็ตบอลลูกเก่ง วันนี้พิชญุฒม์ตัดสินใจที่จะไม่ไปโรงเรียน บางทีเพื่อนของเขาก็สำคัญเกินกว่าที่เขาจะเข้าไปนั่งเบื่อในห้องเรียนเฉยๆ พิชญุฒม์เดินไปตามถนนเส้นที่อยู่ตรงข้ามกับทางไปโรงเรียน ช่วงขายาวก้าวแบบไม่เร่งรีบนักเพราะเวลานี้เป็นเวลาสายคนที่มีตามท้องถนนเลยยังไม่มากนัก ไม่นานนักก็หยุดอยู่ตรงประตูบ้านของเพื่อนสนิท
พิชญุฒม์ชะโงกหน้าผ่านรั้วเตี้ยๆตรงหน้าบ้านเข้าไปยังในบ้านที่เงียบเชียบก่อนที่แนวคิ้วเข้มจะมวดแน่น หรือว่าเพื่อนเขาจะไม่สบายหนักมากจริงๆ? ไม่รอให้ได้ตั้งคำถามกับตัวเองไปมากกว่านี้พิชญุฒม์เลื่อนรั้วสีขาวที่สูงระดับเอวให้เปิดออกก่อนจะเดินเข้าไป เมื่อเอื้อมมือไปยังลูกบิดประตูก็ปรากฎว่ามันไม่ได้ล็อคอยู่แล้ว ภายในบ้านยังคงเงียบสนิทเหมือนกับไร้ผู้คนทั้งๆที่เจ้าของบ้านควรจะอยู่
“นาย”
เสียงทุ้มตะโกนไปแต่ก็มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา พิชญุฒม์เริ่มขมวดคิ้วในความรู้สึกแปลกๆที่ตีขึ้นมา ลางสังหรณ์แจ้งเตือนว่าสถานการณ์น่าจะไม่ปกติจึงถือวิสาสะเดินขึ้นไปยังชั้นบนของบ้านก็เจอเข้ากับบานประตูห้องนอนที่ถูกเปิดทิ้งไว้ เมื่อเปิดเข้าไปก็ไร้ซึ่งวี่แววของเจ้าของห้อง นายไม่อยู่ที่ห้อง อันที่จริงไม่น่าจะอยู่ที่บ้านด้วยซ้ำ พิชญุฒม์ล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก่อนจะกดเพื่อโทรออกหาเพื่อนสนิท เสียงสัญญารอสายดังแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววว่าจะรับจนสัญญาณตัดไป พิชญุฒม์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหมุนตัวกลับ แต่แรงสั่นสะเทือนในมือก็ดึงสติให้กลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อสายตาปะทะเข้ากับรายชื่อคนโทรเข้าพิชญุฒม์ก็กดรับแทบจะในทันที
“นาย! นายนายอยู่ไหน”
“ไงพีท”
“เติ้ล… นายหล่ะ นายอยู่ไหน!” น้ำเสียงแข็งกระด้างที่ไม่ค่อยได้ใช้บ่อยถูกส่งผ่านตามสายทันทีที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หากแต่ปกรณ์ก็เพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะมาตามสายเพื่อกวนอารมณ์ของพิชญุฒม์ให้ขุ่นมากกว่าเดิม
“ไม่ตลกนะเติ้ล นายอยู่ไหน”
“เก่งนักก็ตามหาเองซิพีท”
“เติ้ล ไอ้เติ้ล! โถ่เว้ย!” สัญญาณถูกตัดไปแล้ว พิชญุฒม์ได้แต่หัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่กับปลายสายที่ตอนนี้ถ้าเดาไม่ผิดคงกำลังสนุกอยู่กับการปั่นหัวเขาอยู่
พิชญุฒม์ไม่รู้ว่านวพลไปทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจหรือไปมีเรื่องอะไรกันแต่ตามนิสัยแล้วนวพลไม่ใช่คนที่จะไปหาเรื่องใครก่อนนอกจากจะโดนบีบมากๆ อยู่ๆใบหน้าเยาะเย้ยของปกรณ์ก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด พิชญุฒม์ได้แต่พึมพำเบาๆว่ามันไม่น่าจะใช่เหตุผลที่นวพลจะเสี่ยงพาตัวเองไปในวงล้อมของพวกอันธพาล แม้ปากจะบอกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้แต่ขาทั้งสองข้างก็พอตัวเองไปยังสถานที่ที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่
รองเท้าผ้าใบมียี่ห้อย่ำลงบนพื้นคอนกรีตก่อนจะหยุดลงที่ลานบาสเก็ตบอลที่เขากับเพื่อนสนิทมาเป็นประจำแล้วก็พบว่าคนที่ตัวเองต้องการจะเจอก็อยู่ที่นี่ตามที่คาดไว้
“ไงพีท เก่งจริงๆนะ” พิชญุฒม์ไม่ได้ใส่ใจเสียงทักทายที่มาจากปกรณ์แต่สายตาคู่กลมกลับมองเลยไปยังด้านหลังอีกฝ่าย นวพลในสภาพหน้าบวมปูดปากแตกยับทำเอาพิชญุฒม์คิ้วกระตุก
“ทำไมต้องรุนแรงกันขนาดนี้ด้วยเติ้ล นายไปทำอะไรให้”
“ก็แค่พวกขี้แพ้ที่แพ้พนันแล้วไม่มีเงินจ่าย” ปกรณ์ปรายหางตามองคนที่ถูกเรียกว่าขี้แพ้ก่อนจะหันกลับมามองพิชญุฒม์ตรงๆ “แข่งกับฉันซิถ้าชนะฉันจะยกหนี้ทั้งหมดให้ แต่ถ้าไม่…” ปกรณ์ไม่ได้พูดอะไรต่อแต่หางตาที่เหลือบไปมองนวพลนั้นกลับหนาวจนถึงขั้วหัวใจ
ไม่ใช่ไม่รู้แต่พิชญุฒม์รู้ดีว่าคนอย่างปกรณ์ไม่ใช่คนที่มีคุณธรรม หลายครั้งที่เขาและนวพลพยายามเลี่ยงที่จะเผชิญกับอีกฝ่ายตรงๆ ปกรณ์ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะต่อรองได้สิ่งที่พิชญุฒม์ทำได้ตอนนี้ก็คงเป็นการงัดเอาความสามารถออกมาใช้ถึงแม้จะไม่มั่นใจว่าจะมีโอกาสชนะมากน้อยแค่ไหน หรือจริงๆเขาแทบไม่มีโอกาสชนะได้เลยด้วยซ้ำ
เสียงเชียร์ดังกระหึ่มเมื่อพิชญุฒม์และปกรณ์พร้อมด้วยบาสเก็ตบอลทีมบาสของแต่ละฝ่ายก้าวออกมาเผชิญหน้ากัน ปกรณ์เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ท่วงท่าการเลี้ยงลูก ชู้ตลูกดูเป็นธรรมชาติและพริ้วไหวจนพิชญุฒม์ยังอดทึ่งอยู่ในใจไม่ได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะกระโดดทำคะแนนจนทำให้เสียงเป่าปากดังขึ้นมากกว่าเดิม ยอมรับแบบไม่อายเลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังใจฝ่อ เพราะรู้ว่าฝีมือตัวเองสู้ไม่ไหวแน่ๆแล้วยิ่งอยู่ในถิ่นที่อีกฝ่ายคุ้นเคยยิ่งทำให้พิชญุฒม์ยาที่จะชนะ
เหงื่อที่ซึมออกมาตามขมับเป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าตอนนี้ความกดดันภายในของพิชญุฒม์มีมากขนาดไหน ปกรณ์ทำแต้มห่างไปมากกว่าเจ็ดแต้มแล้วและตามกติกาถ้าคครบ15นาทีใครแต้มมากกว่าก็ชนะไป
ปรี๊ด!
เสียงนกหวีดเป่าหมดเวลาพร้อมกับคะแนนของฝั่งตัวเองที่ตามห่างอีกฝั่งอีกถึงสิบคะแนน ความรู้สึกเจ็บใจและผิดหวังเล่นปลาบเข้ามาพร้อมกับเสียงโห่ร้องเยาะเย้ยของพรรคพวกของปกรณ์ พิชญุฒม์กัดฟันแน่นก่อนจะพยุงตัวเองเดินออกจากสนามอย่างยอมรับความพ่ายแพ้
“ไง” ปกรณ์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพิชญุฒม์สายตาเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “พอดีลืมบอกไปเรื่องของเดิมพันถ้านายแพ้” รอยยิ้มมุมปากถูกจุดขึ้นอย่างไม่น่าไว้ใจ
“หายออกไปซะบาสเก็ตบอลไม่ได้มีไว้ให้ถือเล่น”
พิชญุฒม์มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกหลากหลายทั้งโกรธทั้งรู้สึกแย่ พอเงยหน้ามองเลยไปด้านหลังก็เห็นว่านวพลกำลังก้มหน้า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังผิดหวังหรืออะไรซักอย่างที่ไม่ใช่ความรู้สึกดี
ความรู้สึกย่ำแย่กัดกินหัวใจจนร่างทั้งร่างแทบจะกระดิกไปไหนไม่ได้ พิชญุฒม์ก้มหน้าต่ำปล่อยให้เสียงหัวเราะเยาะดังต่อไปเรื่อยๆจนจางหายพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่พากันเดินออกไปจากลานบาสเก็ตบอลจนทุกอย่างเงียบสนิทพิชญุฒม์ก็ยังคงอยู่ท่าเดิม
“พีท” น้ำเสียงสั่นๆของเพื่อนสนิทที่มาพร้อมกับความรู้สึกหนักๆที่ไหล่ขวา นวพลบีบไหล่อีกคนเบาๆอย่างให้กำลังใจเพราะเขารู้ดีความพ่ายแพ้มันแย่แค่ไหน
“ไม่เป็นไรนาย ฉันไม่เป็นไร”พิชญุฒม์ส่งยิ้มเจื่อนๆกลับไปให้เพื่อนสนิท ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวเยียวยา
บาดแผลครั้งนั้นถึงจะไม่ใช่แผลใหญ่แต่ก็เป็นแผลที่ไม่มีวันลบเลือน แม้จะเป็นแค่ปัญหาเล็กๆตั้งแต่สมัยวัยคะนองแต่ก็ใช่ว่าจะลบเลือนได้ง่ายๆ พิชญุฒม์ตั้งมั่นกับตัวเองว่าเขาจะต้องไม่อ่อนแอและจะปกป้องคนสำคัญของตัวเองในอนาคตให้ได้และจะไม่มีวันซ้ำรอยเดิม ตอนนั้นพิชญุฒม์ไม่สามารถช่วยอะไรเพื่อนสนิทได้เพราะนวพลแข่งแพ้ต้องเสียเงินพนันให้ปกรณ์มากมายจนสุดท้ายนวพลเลือกที่จะจบชีวิตเพราะรับแรงกดดันที่ปกรณ์ส่งมาให้ไม่ได้ ปัญหาเล็กๆสำหรับบางคนกลายเป็นปัญหาใหญ่ของใครบางคน
พิชญุฒม์เลิกเล่นบาสเก็ตบอลตั้งแต่วันนั้นแล้วเปลี่ยนตัวเองแทบจะเป็นคนละคน ตั้งใจเรียนจนสุดท้ายสอบติดตำรวจเข้ามาทำงานในหน่วยสืบสวนสอบสวน เรื่องของนายเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เขารู้ว่าโลกนี้ไม่เคยมีที่ให้กับคนอ่อนแอ พิชญุฒม์ตั้งปฏิญาณกับตัวเองว่าเขาจะต้องปกป้องทุกคนเท่าที่เขาจะทำได้เพราะคนที่อ่อนแอกว่าเขายังมีอีกมากและพิชญุฒม์ก็ไม่อยากให้เหตุการณ์ในอดีตเกิดขึ้นกับใครคนไหนอีก และพิชญุฒม์ก็มั่นใจว่ามันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกถ้าเขายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้
