พิมพ์หน้านี้ - Forensics พิสูจน์ 'รัก' ฐาน - Special I P.3[05/03/2018]
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: tiutatee ที่ 03-11-2017 00:05:00
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่ 1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด 2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด 3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ 4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ 5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม 6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน 7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง 7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด 7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ 7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ 8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง). 9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ 10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป 11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป 12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด 13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ 14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ 15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ... (1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ (2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง 16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข 17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ) 18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ admin thaiboyslove.com....................................... วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7 วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17 เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 สารบัญ Intro บทที่1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3732244#msg3732244) บทที่2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3735702#msg3735702) บทที่3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3739243#msg3739243) บทที่4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3747543#msg3747543) บทที่5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3750683#msg3750683) บทที่6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3753743#msg3753743) บทที่7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3760668#msg3760668) บทที่8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3768677#msg3768677) บทที่9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3777113#msg3777113) บทที่10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3779444#msg3779444) บทที่11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3782605#msg3782605) บทที่12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3785398#msg3785398) บทที่13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3785401#msg3785401) บทที่14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3785406#msg3785406) บทที่15 (END) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3785409#msg3785409) Special I (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63456.msg3800402#msg3800402) Intro ทุกคนเกิดมาก็อยากจะใช้ชีวิตกันอย่างอิสระ ถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากมาใช้ชีวิตอยู่ข้างหลังกรงขังซึ่งริดรอนทุกอิสรภาพที่เรียกว่าคุกหรอจริงมั๊ย.... เสียงจ้อกแจ้กจอแจในเวลาเที่ยงวันถือเป็นเรื่องปกติของสถานซึ่งกักขังทุกอิสรภาพของผู้ที่กระทำผิดทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ อาชวินก็คือหนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกริดรอนอิสรภาพจากโลกภายนอกเช่นเดียวกัน เด็กหนุ่มวัยยี่สิบสองที่ควรจะมีช่วงชีวิตที่กำลังสดใสอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายแต่กลับต้องมาใช้ชีวิตอยู่อยู่หลังกำแพงเหล็กที่สะกัดกั้นอิสรภาพเพียงเพราะกลายเป็นตัวปัญหาของเพื่อนร่วมชั้นปีสุดท้ายนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์เอกเคมีปีสุดท้ายและอาจารย์ในภาควิชาเลยถูกจับโยนใส่ตะรางด้วยข้อหาขโมยทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย อาชวินเดินถือถาดอาหารที่หน้าตาดูไม่น่ากินได้ออกมาจนเกือบจะถึงโต๊ะ แต่ยังไม่ทันที่จะวางลงบนโต๊ะ ถาดอาหารเจ้ากรรมดันหล่นลงพื้นเสียงดัง เจ้าตัวกัดฟันแน่นมองถาดอาหารที่ตกพื้นก่อนจะตะหวัดสายตามามองต้นเหตุอย่างเอาเรื่อง “ไงน้องหมู อยากลงไปกินข้าวบนพื้นเหมือนหมาทำไมไม่บอกพี่ดีๆหล่ะ” ตัวต้นเหตุที่ทำให้ถาดข้าวของอาชวินลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นแสยะยิ้มมุมปากที่ดูไม่น่ามองส่งให้อีกคน “ฉันคิดว่าคงไม่ดีกว่า วิธีการกินแบบนั้นฉันว่ามันเหมาะกับนายมากกว่านะ” “ปากดี” ปื๊ดดดดด กำปั้นขวาถูกยกขึ้นมากลางอากาศ แต่ยังไม่ทันที่คนตัวสูงกว่าจะลงหมัดใส่ใบหน้านิ่งๆที่ดูยังไงก็กวนอวัยวะเบื้องล่าง เสียงนกหวีดของผู้คุมก็ดังขึ้นแหวกอากาศอีกฝ่ายจึงทำได้แค่ชี้หน้าอาชวินอย่างคาดโทษก่อนจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันหันหลังกลับไป เพราะถึงจะกร่างแค่ไหนถ้าโดนผู้คุมลงโทษทั้งๆที่ยังคงเป็นคนคุกอยู่คงไม่ดีแน่ “เหอะ” อาชวินส่งเสียงเหอะในลำคอให้กับความกร่างแต่ไร้ซึ่งความกล้าหาญของอีกฝ่าย ถึงแม้เขาจะตัวเล็กกว่าแต่ก็เพียงไม่กี่เซนต์อาชวินกล้าบอกเลยว่าถ้าเมื่อกี้อีกฝ่ายต่อยมาหนึ่งหมัดเขาก็พร้อมจะสวนกลับอีกสองหมัดเช่นกัน เมื่อทุกอย่างเข้าสู่สถานการณ์ปกติอาชวินก็เดินกลับไปต่อแถวเพื่อรับข้าวถาดใหม่ ถึงมันจะดูไม่น่ากินหรือหน้าตาอาจจะเหมือนข้าวหมาเหมือนที่ใครต่อใครกล่าวแต่มันก็ทำให้เขามีชีวิตรอดไปวันๆได้ อย่างน้อยๆก็ดีกว่านอนอดตายอยู่ในนี้แล้วกัน “ทุกห้องขังปิดไฟได้แล้ว” เสียงผู้คุมในชุดสีกากีที่เดินถือกระบองดำตะโกนก้องไปทั่วห้องขัง ห้องขังรวมที่ถูกแบ่งแยกเป็นห้องย่อยๆถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนคุกแต่ก็ใช่ว่าจะได้นอนรวมกันเหมือนในห้องขังตามโรงพักหรือเรือนจำบางแห่ง ทุกคนมีห้องขังที่เป็นของตัวเองก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะสบาย เพราะคนที่เข้ามาอยู่ถ้าไม่ร้ายแรงจริงๆก็คงโดนส่งไปอยู่เรือนจำที่ระบบความปลอดภัยเข้มงวดน้อยกว่านี้ สำหรับนักโทษบางคนอาจจะคิดว่าการโดนขังเดี่ยวดูไม่สาหัสเท่าขังรวม แต่ใครจะรู้ว่าการต้องอยู่กับตัวเองในบรรยากาศแสนหดหู่แบบนี้ทราณกว่าการโดนกลั่นแกล้งในเจ็บปวดทางร่างกายมากกว่าพวกที่โดนขังรวมแค่ไหน เพราะมันทั้งเงียบ มองไปทางไหนก็เจอแต่สายตาและความรู้สึกสิ้นหวังของนักโทษคดีร้ายแรงจนทำให้บางทีการฆ่าตัวตายอาจเป็นทางเลือกที่ทรมาณน้อยที่สุด ห้องขังค่อยๆถูกปิดไฟหลังจากที่ผู้คุมเดินผ่าน อาชวินหันไปมองร่างของผู้คุมที่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะหยิบเศษหินที่หยิบติดมือมาจากข้างนอกขีดเส้นตรงเส้นเล็กๆลงไปที่ผนัง แทนจำนวนวันเที่ได้ใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงสูงๆนี้ สามสิบห้าขีด... สามสิบห้าวันแล้วที่ต้องใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงยักษ์ที่กั้นเขาออกจากโลกภายนอก ดวงตากลมโตแต่ในตาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆหันไปมองผู้คุมที่เคาะห้องขังที่ยังไม่ปิดไฟเริ่มเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง ความมืดที่คลืบคลานเข้ามากลืนกินอีกวันของเด็กหนุ่มก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงพร้อมกับลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอ “สารวัตรครับผลจากห้องแลปออกแล้วนะ” เสียงเปิดประตูพรวดพราดเข้าพร้อมกับเสียงของผู้ใต้บังคับบัญชาทำให้คนที่กำลังนั่งหน้าคร่ำเคร่งอยู่หน้าคอมเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะรีบลุกพรวดมาที่โต๊ะกลางห้องทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารมากมาย “ว่าไงมั่งผู้กอง” กระดาษสีขาวที่เต็มไปด้วยตัวอักษรมากมายถูกวางลงบนโต๊ะทันทีผลวิเคราะห์ที่รายงานอยู่เต็มหน้ากระดาษไม่ได้ทำให้แนวคิ้วหนาคลายลงได้เลยเมื่อได้เห็นผลรายงาน “ไททาเนียมไดออกไซด์?” “ใช่ ดูไม่น่ามีพิษมีภัยอะไรใช่มั๊ยหล่ะครับ” คนตำแหน่งใหญ่โตกว่าพยักหน้าตอบรับคำถามนั้นเบาๆ “ผมก็เคยคิดอย่างงั้นนะครับ ถ้าผลแลปของหนูทดลองตัวที่เราเจอในห้องนั้นไม่ออกมาเป็นแบบนี้” กระดาษอีกหนึ่งแผ่นถูกวางลงบนโต๊ะข้างๆแผ่นแรก “เยื่อหุ้มเซลล์ถูกทำลายหมด เป็นผลมาจากไททาเนียมไดออกไซด์ แต่ปัญหาของเราไม่ได้อยู่ที่ว่ามันทำไปเพื่ออะไร ปัญหาใหญ่ของเราคือมันทำได้ยังไง?” แนวคิ้วหนาของนายตำรวจหนุ่มแห่งกองพิสูจน์หลักฐานกลางขมวดหนักกว่าเดิมเมื่อฟังที่คู่หูอธิบาย “โดยปกติไททาเนียมไม่มีความเป็นพิษแต่เมื่อมันจับรวมกับออกไซด์แน่นอนว่าผลมันเปลี่ยนแปลง แต่ผมยังไม่เคยเจองานวิจัยไหนที่ยืนยันได้ว่าไททาเนียมไดออกไซด์จะสามารถทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ของหนูทดลองได้มากขนาดนี้... แต่ก็ต้องยอมรับหล่ะว่ามันอาจจะมีผลต่อปอด แต่สารวัตรดูนี่ซิครับ” คนตำแหน่งน้อยกว่าชี้นิ้ววนเป็นวงกลมรอบภาพที่มีลักษณะคล้ายภาพแสกนสมองของหนูตัวนั้น “ระบบประสาทส่วนกลางถูกทำลาย ผมว่ามันยากขึ้นเป็นสองเท่าแล้วแหล่ะงานนี้” พูดจบก็หันไปยกยิ้มกว้างให้กับอีกคนที่ยืนกอดอกนิ่งมองกระดาษทั้งสองแผ่นอย่างพิจารณา “แต่ถ้าสารวัตรยังไม่ลืม ผงที่เราเจอในห้องแลปไม่น่าจะเป็นจะเป็นไททาเนียมไดออกไซด์ได้นะครับ” “นี่คือที่เราตรวจเจอในหนูตัวนี้” ถุงซิปล็อกขนาดเล็กที่บรรจุผงสีขาวข้างในถูกชูขึ้นมาในระดับสายตา “และนี่คือที่เราเจอในห้องแลป” ถุงซิปขนาดเดียวกันทีบรรจุผงสีดำไว้ข้างในถูกชูขึ้นมาเพื่อเทียบให้เห็นความต่าง ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กๆถูกเขียนแปะไว้บนถุง “คอปเปอร์ออกไซด์” สาบานได้ว่าตั้งแต่ทำงานเป็นตำรวจของกองพิสูจน์หลักฐานกลางเขาไม่เคยเจอเคสอะไรยากขนาดนี้มาก่อน ยอมรับว่าไม่ได้เก่งจนเกือบจะอัจฉริยะเหมือนกับผู้กองเอกภพแต่เรื่องของการวิเคราะห์เขาก็มั่นใจว่าไม่เคยเป็นรองใคร แต่สำหรับเรื่องนี้เขาเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน พิชญุฒม์ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หลับตาแล้วยกมือขึ้นนวดเบาๆที่ขมับข้างขวาก่อนจะลืมตาขึ้นมามองกระดาษเจ้าปัญหาสองแผ่นนั้นที่ย้ายมาวางอยู่ตรงข้างๆแลปท็อปของตัวเองแล้วต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ นึกไปถึงอาจารย์ที่คอยเคี่ยวเข็นตัวเองในใจ ถ้าเป็นอาจารย์ที่สอนเขามาก็คงวิเคราะห์ได้ดีกว่าเขาแน่ๆแต่จะให้ไปรบกวนก็ใช่เรื่องเพราะเรียนจบมาก็นานแล้วแถมอาจารย์ก็ยังงานยุ่งมากอีกต่างหาก พิชญุฒม์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นไปโซนกาแฟเพื่อจะชงกาแฟเข้มๆให้ตัวเองซักแก้ว แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนังก็ต้องเปลี่ยนใจเป็นชงโกโก้ร้อนให้ตัวเองแทน ถึงจะจริงจังกับงานแค่ไหนหรืออยากจะทำต่ออีกซักแค่ไหนแต่การดื่มกาแฟเข้มๆในเวลาตีหนึ่งแบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่... ***ขอทอร์คนิดนึงคะ ออกตัวก่อนว่าเรื่องนี้เคยเป็นแฟนฟิคชั่นเรื่องนึงของเรา มีการปรับพล็อตและโลเคชั่นนิดนึงเพื่อให้เข้ากับการเป็นนิยายแบบไทยๆ แต่พล็อตหลักไม่ได้ปรับอะไรมากเพราะเรารักเรื่องนี้มากจริงๆ ยังไงก็ขอฝากด้วยนะคะ^^ PS. ข่าวดีที่ว่าเรื่องนี้ต้นฉบับจบแล้วค่ะ เหลือปรับอีกนิดหน่อยเพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง งานนี้ไม่มีการดองแน่ๆค่ะ :mew1:
บทที่1. “คืบหน้ามั่งไหมผู้กอง” พิชญุฒน์เอ่ยถามคู่หูที่เดินเข้ามาในชุดเสื้อกาวน์ที่ครั้งนึงเคยขาวกับสภาพหน้าผมที่ยุ่งเหยิง เอกภพทำเพียงแค่ถอนหายใจหนักแล้วส่ายหัว อ่านงานวิจัยหัวแทบแตกแต่ก็ยังไม่สามารถทำการวิเคราะห์ผลที่ออกมาได้เลย “ยากครับสารวัตร จากใจเลยนะครับไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโง่มาก่อนจนมาเจอเคสแบบนี้” พูดจบก็ถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับทำท่าทางเหมือนหนักใจซะเต็มประดา พิชญุฒน์ได้แต่กรอกตาไปมาอย่างหน่ายๆ ไม่ใช่เพราะหน่ายเรื่องที่ยังหาผลการทดลองไม่ได้ แต่หน่ายใจกับคนตรงหน้าซะมากกว่า เอกภพก็เป็นซะอย่างงี้ ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนก็ยังสามารถมองทุกอย่างให้เป็นเรื่องขำขันได้เสมอ บางทีเขาก็รู้สึกโชคดีที่ได้จับพลัดจับผลูมาเป็นคู่หูกัน เพราะถึงเอกภพจะดูขี้เล่นไปนิดนึงแต่เรื่องงานหมอนี่ไม่เคยทำพลาดซักครั้ง “ฉันก็ไม่เห็นว่านายจะฉลาดเรื่องไหนเป็นพิเศษนี่ผู้กอง” “สารวัตร! ทำไมพูดแบบนี้หล่ะครับ” เอกภพได้แต่อึดฮัดอยู่กัยตัวเองเพราะหมดคำที่จะสวนกลับคนตำแหน่งใหญ่โตกว่า พิชญุฒน์ก็เป็นซะอย่างงี้นอกจากเรื่องงานก็เห็นจะสนใจอะไร “นี่สารวัตรครับผมไม่ได้มานี่เพื่อจะให้สารวัตรด่าอย่างเดียวนะ แค่จะบอกว่ามีเคสด่วนมาแทรก” แฟ้มเอกสารถูกวางลงบนโต๊ะประจำตำแหน่ง พิชญุฒน์เงยหน้ามองคนวางก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบแฟ้มเอกสารนั้นเปิดออกเพื่อดูข้อมูลข้างใน มือก็พลิกกระดาษไปมาก่อนที่แนวคิ้วหนาจะขมวดเป็นปมแล้วโยนแล้วเอกสารในมือลงกับโต๊ะ “แหกคุก? บ้าไปแล้วหรอให้เราไปตามจับนักโทษแหกคุก ไม่คิดว่ามันบ้าไปหน่อยหรอทั้งๆที่เรายังมีคดีที่ใหญ่กว่ามากต้องดูแลและมันก็ยังไม่คืบหน้าเลย แต่จะให้เราแบ่งเวลาไปจับนักโทษแหกคุกเนี่ยนะ? คิดอะไรกันอยู่” บอกตรงๆว่าพิชญุฒน์ไม่เคยรู้สึกหัวเสียกับอะไรมากขนาดนี้มาก่อน ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ว่าเคสที่เขาต้องดูแลอยู่มันร้ายแรงแค่ไหนเพราะมันเกี่ยวกับเรื่องของการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย แต่ก็ยังให้เขาไปวิ่งไล่จับนักโทษแหกคุกที่ไม่ควรจะเป็นงานของเขาเลย มันควรจะเป็นของฝ่ายปราบปรามมากกว่า พิชญุฒน์ส่งเสียงเหอะในลำคออย่าไม่ค่อยพอใจแล้วกลับมาจมอยู่กับหน้าจอแลปท็อปของตัวเองต่อ เอกภพที่ยืนมองอาการของคู่หูก็ได้แต่ยักไหล่ คิดไว้แล้วว่าพิชญุฒน์ต้องออกอาการแบบนี้ ตราบใดที่อีกฝ่ายตั้งใจกับอะไรซักอย่างจนจริงจังแล้วหล่ะก็ยากที่จะดึงพิชญุฒน์ออกมาสู่อีกโลก ถ้าหากเรื่องนั้นไม่น่าสนใจจริงๆสารวัตรพิชญุฒน์ก็จะปล่อยให้มันหายไปตามสายลมนั่นแหล่ะ “ลองดูนี่ก่อนซิแล้วสารวัตรอยากจะลอง เผื่อจะได้เจออะไรสนุกๆ” กระดาษอีกหนึ่งแผ่นถูกยื่นไปตรงหน้าของอีกคน ทั้งๆที่พิชญุฒน์ก็ไม่อยากจะสนใจเท่าไหร่แต่ในเมื่อผู้กองเอกภพยื่นกระดาษมาจนแทบจะทิ่มลูกตาเขาอยู่แล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะอ่านเนื้อความข้างใน “คลอโรฟอร์ม?” เอกภพก็ยังคงตอบพิชญุฒน์ด้วยท่าทางยักไหล่อย่างไม่ยี่หล่ะแต่ใบหน้าเริ่มเปื้อนยิ้ม “คลอโรฟอร์มในคุกเนี่ยนะ? จะบ้าไปแล้วหรือไง” เป็นอีกครั้งที่พิชญุฒน์รู้สึกว่าโลกนี้มันแปลกประหลาดขึ้นทุกวัน สารอันตรายขนาดนั้นแต่ดันมาอยู่ในคุกเขาหล่ะเชื่อเลยจริงๆ “เดี๋ยวนี้อนุญาตให้นักโทษพกสารอันตรายเข้าคุกไปด้วยแล้วหรือไง” พิชญุฒน์หงายหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วถอนหายใจแรงๆ สาบานได้ว่านี่ก็เป็นอีกครั้งที่สร้างความงงงวยให้พิชญุฒน์ไม่น้อย คลอโรฟอร์มโดยปกติก็ไม่มีใครพกไปไหนมาไหนอยู่แล้วถ้าไม่ใช่ในห้องทดลองการซื้อขายก็ยากลำบากจะตายสำหรับคนธรรมดา มือหนาถูกยกขึ้นมาลูบหน้าแรงๆแล้วลุกจากเก้าอี้ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อแจ็คเก็ตสีดำสำหรับออกตรวจพื้นที่ที่แขวนไว้ตรงมุมห้องมาสวม “นายไปถอดเสื้อกาวน์ออกด้วยนะเอกภพเราต้องไปสำรวจที่เกิดเหตุ” “ห้องนี่อ่ะหรอที่นักโทษที่ชื่ออาชวินเคยอยู่” “ใช่ครับ” พิชญุฒน์พยักหน้าเบาๆให้กับผู้คุมที่มาอำนวยความสะดวกและคอยให้รายละเอียดกับตัวเอง ห้องขังที่ดูไม่ต่างจากห้องขังอื่นๆ ที่นอนก็ดูออกจะเรียบร้อยกว่าห้องอื่นๆด้วยซ้ำไป ดวงตาคู่คมกวาดไปทั่วห้องก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติอะไร ทุกอย่างอยู่ในที่ๆควรจะอยู่ ร่องรอยบนผนังมีแค่รอยขีดที่คาดว่าเจ้าตัวคงเอาไว้บอกจำนวนวันเวลาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในนี้ “ผมขอดูกล้องวงจรปิดหน่อย” เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรผิดสังเกตุพิชญุฒน์จึงหันไปบอกผู้คุมเรือนจำที่เป็นคนพามาดูสถานที่เกิดเหตุ ผู้คุมตอบรับคำอย่างนอบน้อมก่อนจะพานายตำรวจหนุ่มไปยังห้องควบคุม ภาพหน้าจอที่แสดงจุดต่างๆจากกล้องวงจรปิดที่จับภายในเรือนจำถูกปิดจนเหลือแค่หน้าจอเดียวก่อนจะขยายจนเต็มจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่กลางห้องควบคุม ภาพของนักโทษชายที่อยู่ในชุดนักโทษที่ดูเผินก็เหมือนนักโทษทั่วไปเดินไปเดินมาด้วยใบหน้านิ่งๆ มีบ้างที่เหมือนจะมีเรื่องกับเพื่อนร่วมเรือนจำซึ่งทั้งหมดทั้งมวลดูไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร พิชญุฒน์บอกให้คนคุมเครื่องกรอความเร็วของวิดีโอเพิ่มเพราะถ้าดูในความเร็วระดับปกติคงต้องใช้เวลาในการดูร่วมสามสี่วัน “หยุดก่อนครับ” พิชญุฒน์ส่งสัญญาให้คนคุมเครื่องหยุดภาพที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ ภาพนิ่งที่ปรากฏในจอคือนักโทษชายคนเดิมที่เดินผ่านเข้ามาในเฟรมส่วนมือข้างซ้ายถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว “นั่นมือเขาไปโดนอะไรมาครับ” พิชญุฒน์ถามผู้คุมเรือนจำทั้งๆที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่หน้าจอ “อาชวินโดนถาดอาหารบาดครับ” “ถาดอาหารบาด...” พิชญุฒน์ดุนลิ้นไปที่กระพุ้งแก้มอย่างใช้ความคิด คนปกติดีๆที่ไหนจะทำให้ตัวเองโดนถาดอาหารบาดจนต้องพันผ้าพันแผลซะขนาดนี้ “แล้วใครทำแผลให้ หรือว่าเขาเข้าไปทำเอง?” “โดยปกติห้องพยาบาลจะไม่ค่อยมีใครไปใช้ทำไหร่เลยไม่มีพยาบาลประจำจะมีก็แต่คนคอยดูแล และพวกนักโทษจะทำกันเองแต่ก็มีคนคอยคุมตลอดยกเว้นก็แต่เป็นอะไรรุนแรงถึงจะส่งโรงพยาบาลครับ” “แล้วก่อนหน้านี้อาชวินมีเคยขออะไรแปลกๆไหม หรือว่าท่าทางอะไรที่ดูมีพิรุธ?” “ก็ไม่มีนะครับ อาชวินปฏิบัติตัวดีทุกอย่าง ไม่มีเรื่องกับใครนอกจากนักโทษชื่อนพกรที่เข้ามาหาเรื่องบ่อยๆ นอกนั้นก็ดูมีปกติ ยกเว้นเรื่องที่ชอบกินอาหารรสเค็มกว่าคนอื่นหน่ะนะ” “กินเค็มกว่าคนอื่น?” พิชญุฒน์หันขวับมามองผู้คุมที่กำลังเล่าเรื่องสบายๆเพราะเรื่องที่เจอก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติ “ใช่ครับ เขามักจะขอเกลือป่นเพิ่มเล็กๆน้อยๆตลอด เป็นอย่างงี้มาซักพักนึงแล้วครับ น่าจะเกือบสามอาทิตย์ได้แล้ว ปกติเขาก็กินรสชาติทั่วไปตามที่ทางเราจัดให้นะแต่เมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่ๆก็ขอเกลือเพิ่มเขาบอกว่าเหมือนเขาจะมีปัญหาเรื่องการรับรสชาติอะไรทำนองนั้น” พิชญุฒน์ขมวดคิ้วมุ่นจนแทบจะผูกกันเป็นปม ริมฝีปากถูกขบกัดตามนิสัยที่ชอบกัดปากตัวเองเวลาใช้ความคิด แล้วอยู่ๆก็ยกมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองดังป๊าบจนสะดุ้งกันไปทั้งห้องควบคุม “ขอบคุณมากนะครับแล้วผมจะรีบตามตัวอาชวินกลับมาให้” ลุกขึ้นยืนกระชับเสื้อโค้ทที่สวมมาก่อนจะโค้งศรีษะเล็กน้อยแทนคำขอบคุณและมารยาทแล้วหันหลังเดินกลับออกมา “เข้าใจแล้วใช่ไหมผู้กอง” ทันทีที่เดินพ้นออกมาจากกำแพงเรือนจำพิชญุฒน์ก็หันไปถามคู่หูตัวเองที่เงียบมาตลอดเวลา เขารู้ว่าผู้กองเอกภพไม่ได้ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก แต่อีกฝ่ายแค่กำลังจับสังเกตุทุกสิ่งทุกอย่างเผื่อพิชญุฒน์พลาดไปเอกภพจะได้แน่ใจว่าตัวเองเก็บรายละเอียดทุกอย่างครบ “ไอ้เข้าใจมันก็เข้าใจอยู่นะครับ แต่ที่สงสัยอยู่คือเขาทำไปได้อย่างไรโดยที่ไม่มีใครรู้สึกระแคะระคายอะไรเลย” เอกภพพูดพร้อมกับเปิดประตูรถยนต์เข้าไปนั่งข้างในโดยที่มีพิชญุฒน์เป็นคนขับ “การที่อาชวินสกัดคลอโรฟอร์มจากแอลกอฮอล์กับเกลือ ถ้าอยู่ในห้องทดลองผมจะไม่แปลกใจ แต่นี่มันในคุกนะ ในคุกที่ไม่มีทั้งอุปกรณ์และสภาวะเหมาะสมอะไรเลยซักอย่าง มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกที่ใครซักคนจะเอาเกลือมาหย่อนใส่แอลกอฮอล์และปัง กลายเป็นคลอโรฟอร์ม” เอกภพถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาก่อนจะทิ้งตัวพิงไปกับเบาะรถ “นายก็รู้ถึงจะเอาเกลือมาผสมกับแอลกอฮอล์อย่างไงซะมันก็ไม่มีทางได้คลอโรฟอร์มแบบบริสุทธิ์ ใช่อยู่ที่ผลการทดสอบรายงานว่าคลอโรฟอร์มที่ใช้มอมผู้คุมที่เราเจอมันไม่บริสุทธิ์ แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่ได้ผ่านวิธีการอะไรมาเลย จุดเดือดของมันต่ำมากเมื่อเทียบกับสารอีกตัวที่มันผสมอยู่ มันไม่มีทางแยกได้ถ้าไม่ใช่วิธีการกลั่น ซึ่ง.. ในคุกแบบนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีเครื่องมือ” เอกภพถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะปิดเปลือกตาลง ยอมรับว่าการทดลองพื้นฐานแบบนี้มันไม่ได้สร้างความหนักใจหรือลำบากให้เขาเท่าไหร่หรอก ที่เขารู้สึกลำบากคงเป็นเพราะคนทำมากกว่า คงไม่มีนักโทษธรรมดาๆคนไหนที่รู้ทฤษฎีพื้นฐานทางเคมีแบบนี้จนเอามันมาประยุกต์เพื่อหาทางหนีออกจากคุกมาได้หรอก สิ่งที่เขากลัวก็คือคนๆนี้มากกว่า ถ้าคนๆนั้นเป็นแค่คนธรรมดาก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่ใช่.... คนลำบากอาจจะเป็นพวกเขา.... “เอ่อ... ขอโทษครับเสื้อผ้าชุดนี้ราคาเท่าไหร่ครับ?” อาชวินรูดมือไปบนราวเสื้อผ้ามือสองที่ถูกแบกะดินไว้ข้างทาง เสื้อแจ๊คเก็ตตัวไม่หนามากสีเขียวเข้มถูกเลือกหยิบขึ้นมาสวมก่อนจะส่องกับกระจกบานเล็กๆที่พ่อค้าเอามาตั้งไว้ “ร้อยห้าสิบเองหนุ่ม เสื้อตัวนี้ฉันเคยเคยใส่เมื่อสมัยหนุ่มๆใส่แล้วสาวตามกันเป็นพรวน” “แต่ขอโทษนะครับผมมีแค่ห้าสิบบาทเอง ขอบคุณนะครับ” อาชวินหัวเราะขำๆให้กับกลยุทธ์การขายของพ่อค้าก่อนจะควักเงินยัดใส่มือพ่อค้าแล้วเดินออกมา ปล่อยให้พ่อค้าที่ยังตั้งสติไม่ทันตะโกนด่าตามหลังอยู่ไกลๆ อาชวินล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ตพร้อมกับเดินเร็วๆผ่านป้ายรถเมล์และสะพานลอยเพื่อหลบเข้าไปยังซอยใกล้ๆซึ่งเป็นต้นไม้รกครึ้ม หยุดชั่วครู่เพื่อเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ลอบหยิบมาจากร้านของลุงแบกะดินเมื่อซักครู่ แอบขอโทษคุณลุงท่านนั้นอยู่นใจก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อเตรียมตัวที่จะออกเดินทางต่อ กลิ่นของอิสระภาพนี่มันสดชื่นแบบนี้นี่เองซินะ คิดได้แบบนั้นก็หัวเราะให้กับตัวเองเบาๆ ตอนหนีออกมาก็ไม่ได้คิดหรอกว่าออกมาแล้วจะทำยังไงจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง รู้อย่างเดียวแค่ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนั้นซักเท่าไหร่ คิดได้แค่นั้นก็แอบวางแผนทำการทดลองเล็กๆเป็นของตัวเอง ยอมรับว่าตอนแรกก็ไม่มั่นใจว่ามันจะสำเร็จไหม เพราะถ้าพลาดขึ้นมานั่นหมายถึงอิสระภาพของเขาจะต้องถูกริดรอนมากขึ้นกว่านี้แน่ๆ แต่ถ้าสำเร็จเขาก็จะได้อิสระกลับคืนมาถึงแม้จะต้องแลกมาด้วยการมีชีวิตอยู่แบบหลบๆซ่อนๆก็เถอะ ตอนที่เอาคลอโรฟอร์มไปรมผู้คุมก็ลุ้นอยู่เหมือนกันแต่เมื่อเห็นว่าผู้คุมหมดสติเพราะยาสลบที่เขาผลิตเองก็อดดีใจไม่ได้ รีบคว้าเสื้อผ้าของผู้คุมมาเปลี่ยนแล้วเดินออกจากเรือนจำง่ายๆด้วยการแสกนบัตรผ่านของผู้คุมคนนั้น ทันทีที่ออกมาได้ก็แอบซ่อนตัวอยู่กระโปรงหลังของรถเจ้าหน้าที่ที่สภาพกลางเก่ากลางใหม่ นอนอยู่ในนั้นเงียบๆด้วยใจตุ่มๆต่อมๆสุดท้ายพอได้ยินเสียงรถสตาร์ทและเครื่องออกตัวก็ได้แต่โห่ร้องในใจจนรถจอดสนิท รออยู่ซักพักถึงได้แอบออกมาจากกระโปรงหลัง ไม่รู้ว่าเพราะโชคเข้าข้างหรือเขาดวงดีที่ในกระเป๋ากางเกงของเจ้าหน้าที่ที่เขาขโมยชุดมามีเงินติดกระเป๋าอยู่เกือบสองร้อยบาทเลยทำให้เขามีเงินพอจะซื้อเสื้อผ้ามือสองเก่าๆมาใส่แทนชุดผู้คุมเรือนจำนี่และยังพอมีเหลือนิดหน่อยพอเป็นค่ารถเมล์ให้เขาได้หนีไปไกลๆจากจุดนี้ เพราะการใส่ชุดแบบนี้เดินไปเดินมาบนท้องถนนคงทำให้เขาดูเด่นไม่น้อย และคงจะทำให้เขากลับไปนอนอยู่หลังกำแพงสูงนั่นเร็วขึ้นแน่ๆ เด็กหนุ่มในชุดเสื้อแจ๊คเก็ตสีเขียวเข้มเดินทอดน่องผ่านส่วนสาธารณะกลางเมืองช้าๆ อมยิ้มให้กับฝูงนกที่บินร่อนไปมาบนฟ้าแล้วก็วกกลับมาเกาะอยู่ขอบปูนของสิ่งปลูกสร้างที่ทำให้ดูคล้ายสระน้ำ นกพวกนี้ก็แปลก ได้มีอิสระดีๆไม่ชอบ สุดท้ายก็วกกลับบมาเพื่อรอรับอาหารเล็กๆน้อยๆจากพวกมนุษย์อยู่ดี ลองนึกภาพถ้าตัวเองเป็นนกได้ ป่านนี้เขาคงบินไปไหนต่อไหนในที่ๆไกลแสนไกลแล้วแน่ๆ ส่ายหัวเบาๆให้กับความคิดไร้สาระของตัวเองก่อนจะก้าวเดินต่อไป จริงๆแล้วอาชวินก็แค่เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนึงมีความฝัน มีเพื่อน มีสิ่งที่อยากจะทำมากมาย เขาไม่ใช่เด็กเรียนที่เอาแต่นั่งเนิร์ดใส่แว่นอยู่หน้าห้อง แค่ใส่ใจในส่วนที่คิดว่าจำเป็น สนใจบ้างไม่สนใจบ้างในเรื่องที่คิดว่าไม่มีประโยชน์ แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายเรื่องราวกลับตาลปัตกลายเป็นว่าความเก่งของเขาได้สร้างปัญหาใหญ่หลวงเพราะเขาดันไปรู้เห็นงานวิจัยี่ผิดกฎของอาจารย์และเพื่อนร่วมเซคชั่นบางคนโดยไม่ตั้งใจจนถูกใส่ความและเตะโด่งเขาเข้าไปอยู่หลังกำแพงสูงนั่น นึกๆไปแล้วก็คิดถึงเพื่อนสมัยเด็กที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ส่วนไหนของภาคเหนือ นิคได้ทุนไปเรียนต่อด้านกีฬาในขณะที่เขาได้ทุนเรียนต่อด้านเคมี วิชาที่มีหลักการง่ายๆแต่หลายๆคนมักไม่ค่อยเข้าใจ เอาจริงๆก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่หรอกเพราะคนเรามักจะมองข้ามเรื่องพื้นฐานไป พอพื้นฐานมันไม่มั่นคงอะไรๆก็พังลงง่ายๆ อาชวินเลือกฝากท้องอาหารมื้อเย็นกับร้านมินิมาร์ทข้างทางที่เปิดตลอดเวลาเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่แค่เปิดฝาเติมน้ำร้อนรอสามนาทีก็กินได้ อย่างว่าแหล่ะตอนนี้มีเงินติดตัวอยู่ไม่กี่บาทสิ่งที่พอจะประทังชีวิตได้คงมีแค่นี้ ก็บอกแล้วว่าตอนนั้นก็วางแผนแค่ทำยังไงให้ออกมาได้ แต่ออกมาแล้วจะเป็นยังไงต่อไปก็ยังไม่รู้ ไอ้ครั้นจะใช้ชีวิตค่ำไหนนอนนั่นมันก็ดูจะรันทดไป เอาจริงๆชีวิตเขาก็ไม่ได้รันทดขนาดเป็นคนไร้บ้านขนาดนั้น เขาก็พอจะมีคนรู้จักอยู่เยอะแยะไปในกรุงเทพมหานคร แต่แน่นอนว่าคนรู้จักก็แค่รู้จักแต่ใช่ว่าจะพึ่งพึงได้เสมอไปแล้วยิ่งกับคนที่เพิ่งแหกคุกออกมาอย่างเขาแล้วก็คงมีแค่คนเดียวนั่นแหล่ะที่ดูน่าจะต้อนรับเขา “เฮ้ออ” ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังจากที่จัดการโยนถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลงถังขยะ ท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงทุกทีๆทำให้ต้องตัดสินใจควักเงินก่อนสุดท้ายในกระเป๋าออกมาเพื่อนับว่ามันพอสำหรับค่ารถที่จะเดินทางจากตรงที่เขาอยู่ไปยังหรือไม่ เมื่อประเมินคร่าวๆแล้วว่าน่าจะพออาชวินก็ไม่รีรอที่จะรีบมายืนตรงป้ายรถเมล์เพื่อพาตัวเองไปยังที่พึ่งหนึ่งเดียวที่คาดว่าเปอร์เซ็นต์การพึ่งพาได้มีสูงที่สุด เพราะรถของเรือนจำนำเขามาอยู่ในจุดที่แทบจะเป็นหัวใจของเมืองหลวงซึ่งมีทั้งรถไฟฟ้าแล่นผ่านและรถเมล์ที่จอดเรียงราย แต่เขาไม่คิดจะย่นระยะเวลาการเดินทางไปยังจุดหมายให้เร็วขึ้นด้วยรถไฟฟ้าแน่นอนเพราะถ้าขึ้นไปด้วยสภาพนี้คงจะเป็นที่จำจดของผู้คนและเงินที่เหลือติดกระเป๋าอยู่น่อยนิดคงจะหมดในเร็ววัน เด็กหนุ่มเลือกที่จะนั่งลงที่ป้ายรถเมล์หน้าสวนสาธารณะขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในย่านนั้นของกรุงเทพมหานครเพื่อรอรถเมล์สายที่ต้องการ อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งในย่านที่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองมากเป็นที่ๆอาชวินพาตัวเองมาจนถึง เด็กหนุ่มรอจนกว่าจะมีคนเดินผ่านเพื่อเปิดคีย์การ์ดเข้าอพาร์ทเม้นท์จึงได้เดินตามไปและทำทีเสมือนว่าตัวเองก็พักอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์นี้เช่นกัน อาชวินรอจนกระทั่งลิฟท์ขนส่งตัวเล็กพามาจนถึงชั้นที่ตัวเองต้องการก่อนจะหยุดอยู่หน้าห้องเบอร์ 507 เคาะประตูเพื่อให้อีกฝ่ายเปิด “ให้ฉันเข้าไปข้างในหน่อยซิ” ทันทีที่ประตูเปิดออกอาชวินก็เอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มจางๆ เจ้าของห้องไม่ได้ตอบอะไรกลับนอกจากมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆแล้วเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อเป็นการอนุญาตอีกฝ่าย “ขอบใจมากนะเมฆฉันสัญญาว่าจะตอบแทนนายแน่ๆ” “ก่อนจะตอบแทนฉันช่วยเอาตัวเองให้รอดก่อนนะหมู” เจ้าของชื่อเมฆยักไหล่อย่างเซ็งๆก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นเล็กๆส่งขวดน้ำเปล่าให้อีกคน ห้องพักขนาดเล็กที่มีเนื้อที่เพียงแค่ยัดเตียงขนาดห้าฟุต โต๊ะสำหรับเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้และตู้เย็นไซส์มินิก็เต็มจนแทบไม่มีที่เดิน ถูกอัดแน่นด้วยผู้ชายถึงสองคน แม้คนนึงจะไม่ได้ตัวสูงใหญ่มาก แต่อาชวินก็นึกสภาพไม่ออกจริงๆว่าถ้าต้องอัดกันอยู่ในนี้เขาก็นอนยังไง แต่ก็นั่นแหล่ะนึกไปก็เท่านั้นเพราะตอนนี้ยังไงก็ดีกว่าการออกไปนอนตามสวนสาธารณะหรือป้ายรถเมล์ให้เสี่ยงต่อการโดนลากคอกลับเข้าไปในที่ๆเพิ่งหนีออกมา “ขอบใจนะ แต่นายแน่ใจนะว่าจะให้ฉันอยู่ด้วยซักพัก นายเอ่อ.. ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับฉันใช่ไหม?” อาชวินถามอีกคนด้วยท่าทางไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ “เรื่องที่นายโดนโยนเข้าคุกไปเมื่อสองเดือนที่แล้ว แล้วอยู่ดีๆก็มาโผล่ที่หน้าห้องฉันอ่ะหรอ เหอะ ถึงข่าวจะไม่ได้ดังขนาดขึ้นหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ แต่เชื่อซิเด็กมหาลัยเดียวกับนายไม่มีทางพลาดหรอกข่าวแบบนี้” อดิศรหรือที่อีกฝ่ายเรียกว่าเมฆได้แต่กรอกตาไปมาอย่างหน่ายๆให้กับคำถามของอีกคน “นี่อาชวิน บอกเลยนะว่าที่ฉันช่วยนายเนี่ยไม่ใช่เพราะเต็มใจหรือว่ามีมนุษยธรรมค้ำคอหรอกนะ นายก็รู้ว่าฉันต้องตอบแทนนายก็แค่นั้น” พูดจบก็เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาโยนใส่หน้าคนที่กำลังนั่งนิ่งๆอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือ อาชวินก็แค่รับมาก่อนจะยกยิ้มน้อยๆ ต่อให้อีกฝ่ายจะบอกยังไงและการช่วยเขาครั้งนี้จะเป็นไปด้วยความเต็มใจหรือไม่ ยังไงเขาก็ต้องขอบคุณอดิศรสำหรับความช่วยเหลือในครั้งนี้มากๆอยู่ดี…... ฝากด้วยนะคะ^^
ถ้าตามจับกลับไปได้แล้วน่าจะให้อาชวินช่วยเรื่องคดีที่ค้างอยู่นะ ว่าแต่ไปเห็นอะไรเข้าเนี่ย น่าจะเป็นเรื่องใหญ่พอดูสินะ เลยโดนให้ร้ายจนต้องเข้าคุก แต่มันจะเกี่ยวกับคดีก่อนหน้าไหมนะ
บรรยากาศยามเช้าของเมืองหลวงเต็มไปด้วยความเร่งรีบและวุ่นวาย อาชวินใส่เสื้อฮู้ดตัวไม่หนามากของอดิศรพร้อมกระชับฮู้ดให้ปิดลงมาคลุมใบหน้าตัวเองล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าทั้งสองข้างก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเข้ามินิมาร์ทเล็กๆที่อยู่ไม่ห่างจากอพาร์ทเม้นท์ของอดิศรมากนัก เมื่อเช้านี้เขาตื่นมาก็ไม่เจออดิศรแล้วอีกฝ่ายก็คงรีบไปเรียนตามประสานักเรียนทุนดีเด่น เห็นแบบนั้นอดิศรก็เป็นนักเรียนทุนทางด้าน Computer Science ของมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆที่ตั้งอยู่ย่านใจกลางเมืองของที่นี่ที่ไม่รู้ว่าโชคชะตากำหนดหรือคนเบื้องบนกลั่นแกล้งให้ต้องมาพบเจอกับเขา เพราะถ้าอีกฝ่ายไม่มาเจอเขาเราทั้งสองคนก็คงดำเนินชีวิตแบบไม่มีอะไรต้องเกี่ยวโยงกันในเส้นทางอาชีพที่แทบไม่มีวันบรรจบกันได้แน่ๆ เมื่อคืนเขานอนตรงพื้นข้างเตียงที่พอจะมีที่ว่างให้เขาสามารถแทรกตัวลงไปนอนได้ แต่โชคดีหน่อยที่ตรงที่ห้องของอดิศรมีผ้าห่มสำรองหลายผืนเลยเอามาปูนอนบรรเทาความแข็งของพื้นได้ จำได้ว่าเมื่อเช้าตื่นมาห้องนอนก็ว่างเปล่าตอนแรกนึกว่าตัวเองต้องนอนอดตายอยู่บนห้องของอดิศรจนกว่าอีกฝ่ายจะเรียนเสร็จแน่ๆ แต่ตอนเดินไปเข้าห้องน้ำก็เจอกระดาษที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆของอีกคนพร้อมเงินเล็กน้อยที่เอาไว้เอาโต๊ะหน้ากระจกให้เขาประทังชีวิตในวันนี้ก่อนที่ตัวเองจะกลับ ร่างโปร่งพาตัวเองมาหยุดอยู่ตรงโซนขนมขบเคี้ยว ควักเงินออกมาดูแล้วคำนวณในใจคร่าวๆว่าถ้าแอบเจียดเงินที่อดิศรทิ้งไว้ให้ไปซื้อขนมจะพอมีเหลือเพื่อซื้อข้างเลี้ยงตัวเองจนกว่าจะถึงเย็นวันนี้หรือเปล่า และเมื่อคำนวณแล้วว่าพอแน่ๆสำหรับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสามซองกับของใช้จำเป็นอีกเล็กๆน้อยๆรวมไปถึงไข่ต้มและไส้กรอกที่สามารถนำไปต้มรวมกับมาม่าได้ก็ตัดสินใจหยิบมันฝรั่งทอดมาหนึ่งถุงกับน้ำอัดลมอีกขวดเล็กก่อนจะหอบทั้งหมดไปจ่ายเงิน “ทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดสิบสามบาทครับ” อาชวินควักแบงค์ร้อยสองใบจ่ายไปก่อนจะแอบร้องโห่ในใจเบาๆที่ยังมีเงินเหลือติดตัวอีกร้อยกว่าบาท นึกขอบใจอดิศรในใจเบาๆพร้อมกับแอบขอโทษเล็กๆที่เงินที่เหลือนี่อดิศรคงไม่ได้คืนแน่ๆ บางทีเขาก็อาจจะต้องแอบเก็บไว้ในยามที่จำเป็นบ้าง อาชวินพาตัวเองเดินอย่างไม่เร่งรีบผ่านร้านกาแฟตีแบรนด์ยี่ห้อดัง บรรยากาศภายในที่ดูเชิญชวนให้เข้าไปนั่งจิบกาแฟร้อนๆแล้วก็ได้แต่แอบถอนหายใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงเดินเข้าไปแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ลำพังแค่เงินซื้อกาแฟร้อนซักแก้วตอนนี้ก็พอมีอยู่หรอกแต่ถ้าซื้อแล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนไว้เผื่อฉุกเฉินหล่ะ อดถอนหายใจออกมาเบาๆอีกครั้งไม่ได้ก่อนจะสะดุ้งเบาๆเมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับใครบางที่คนกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ตรงเค้าท์เตอร์ซึ่งหันหน้าออกมายังถนน ใบหน้าคมคายที่ถูกประดับด้วยดวงตาคู่คมที่ดูแล้วช่างเข้ากับสันจมูกโด่งซึ่งครึ่งหน้าส่วนล่างถูกบดบังด้วยแก้วกาแฟร้อนกำลังนั่งจ้องมาทางเขานิ่ง ดวงตาคมกริบก็ไม่ได้สื่อออกอะไรออกมาเหมือนกับคนที่กำลังนั่งตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง อาชวินหันซ้ายหันขวาเผื่อว่าคนตรงหน้ากำลังเหม่อมองใครซักคน แต่แล้วพอหันกลับมาอีกครั้ง คนที่กำลังนั่งเท้าแขนกับเค้าท์เตอร์แล้วยกกาแฟขึ้นจิบนั่นดันยักคิ้วให้เขาข้างเดียวด้วยใบหน้านิ่งๆอาชวินสะดุ้งเล็กๆก่อนจะรีบกระชับเสื้อฮู้ดของตัวเองให้ปิดลงกว่าเดิมแล้วรีบจ้ำอ้าวออกจากตรงนั้นทันทีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังไม่ปลอดภัยตีขึ้นมาในอกทันที เขาไม่รู้หรอว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร จะดีหรือร้าย เขารู้แค่ว่าสัญชาตญาณบอกแค่ให้รีบกลับไปที่ห้องของอดิศรให้เร็วที่สุดแล้วห้ามออกไปไหนอีกจนกว่าเจ้าของห้องจะกลับมา... นาฬิกาบนหัวเตียงบอกเวลาเกือบสามทุ่มแล้วแต่เจ้าของห้องก็ยังไม่กลับ อาชวินที่นั่งกอดเข่านิ่งอยู่บนเก้าอี้มองไปยังประตูห้องด้วยความกังวล ก็ต้องยอมรับว่ากำลังเห็นแก่ตัว แต่ตอนนี้เขาแค่อยากให้อดิศรรีบกลับ ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงอดิศร แต่เพราะห่วงตัวเองมากกว่า อย่างน้อยการที่มีเพื่อนอยู่ด้วยก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยมากกว่าการนั่งอยู่คนเดียวในห้องแคบๆนี่แน่ๆ และที่สำคัญไม่มีครั้งไหนที่เขาอยู่กับอดิศรแล้วไม่ปลอดภัย อีกฝ่ายเป็นมากกว่าแค่ที่พักพิงทางกายของเขา อาชวินเปลี่ยนจากนั่งกอดเข่าเป็นซบหน้าลงกับโต๊ะไม้เย็นเฉียบ ไม่เคยรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเชื่องช้าขนาดนี้มาก่อน เหลือบมองนาฬิกาเข็มยาวเพิ่งเดินผ่านจากตัวเลขเดิมไปแค่ตัวเดียว สาบานได้ว่าขนาดวันเวลาที่เคยรู้สึกว่าเชื่องช้ามากๆอย่างตอนอยู่ในคุกยังรู้สึกว่ามันเดินเร็วกว่าวันนี้มาก ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำเอาอาชวินลุกพรวดพุ่งตรงไปยังลูกบิด คำว่าหูตั้งหางกระดิกคงใช้อธิบายอาชวินในตอนนี้ได้แน่ๆ มือเรียวจับลูกบิดแน่นด้วยความรู้สึกลิงโลดเมื่อคืนว่าในที่สุดที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของตัวเองกลับมาแล้ว แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนมีใครมาเจาะลูกโป่งแห่งความหวังของตัวเองถ้าหากอดิศรกลับมาแล้วทำไมอดิศรที่เป็นเจ้าของห้อง จะต้องเคาะประตูห้องตัวเองทำไม? กุญแจห้องก็ต้องมีไม่ใช่หรอ ควรจะต้องใช้กุญแจเปิดเข้ามาซิถึงจะถูก อาชวินปล่อยมือจากลูกบิดก่อนจะก้าวถอยหลังอย่างหวาดๆไปจนหลังติดกับผนังอีกด้าน ถึงแม้จะรู้ว่าต่อให้ใครก็ตามที่อยู่ข้างนอกพังเข้ามาตัวเองก็ไม่มีทางหนีพ้นแน่เพราะระยะห่างจากประตูมาถึงผนังมันก้าวยาวๆแค่สามก้าวก็ถึงแล้ว ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอีกรอบทำเอาอาชวินสะดุ้งตัวโยน มือทั้งสองข้างกำแน่น ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้อดิศรรีบกลับมาก่อนที่ใครซักคนที่อยู่ข้างนอกจะพังประตูเข้ามาได้ หรือไม่ก็ให้คนที่อยู่ข้างนอกนั่นล้มเลิกความพยายามแล้วล่าถอยไปซักที สาบานว่าตัวเองไม่ใช่คนขี้ตกใจ อาชวินมั่นใจว่าตัวเองค่อนข้างเป็นคนมีสติและไม่ใช่คนขี้ขลาดที่หวาดระแวงอะไรไปทั่วแบบนี้ แต่ชีวิตหลักกำแพงสูงนั่นมันเปลี่ยนแปลงทัศนคติหลายๆอย่างของเขาออกไปจนเกือบหมดสิ้น วันนี้เป็นเพื่อนกันพรุ่งนี้ก็สามารถเป็นศัตรูกันได้ คนที่อ่อนแอมักจะเป็นเหยื่อของคนเข้มแข็งกว่าเสมอ คนที่ไม่สามารถทำตัวเองให้เข้มแข็งได้ก็ต้องหาทางลัดเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดได้ไปวันๆจนกว่าจะถึงวันนี้ที่ตัวจะได้หลุดพ้น ก๊อก ก๊อก ก๊อก “หมู หมู!! ไม่อยู่ห้องหรอวะ” เสียงเรียกชื่อตัวเองที่ตะโกนอยู่หน้าห้องทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งพึมพำชื่อเจ้าของเสียงเบาๆ รีบถลาจากจุดที่ยืนอยู่วิ่งมาเปิดประตู ขบกัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างเผลอตัวก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อคนตรงหน้าคือเจ้าของห้องที่ตัวเองกำลังอาศัยอยู่ “แล้วนี่เป็นอะไรวะ ทำไมหน้าซีดๆตัวสั่นๆแบบนี้” อดิศรเดินเข้าห้องผ่านอาชวินที่ยืนหายใจติดขัดอยู่ตรงประตู อาชวินแค่ส่ายหน้าเบาๆก่อนจะหันไปปิดประตู เพราะเมื่อกี้เขายืนขวางองศาการปิดประตูอยู่เลยต้องเป็นคนปิดประตูเอง ปัง!! “เหี้ย!” เสียงประตูที่ปิดดังซะจนคนที่กำลังยืนดื่มน้ำอยู่ต้องสบถออกมาเบาๆ “เป็นบ้าอะไรวะหมู ปิดแรงขนาดนั้นเดี๋ยวก็โดนข้างห้องด่าหรอก แล้วอีกอย่างถ้าประตูมันเป็นอะไรไปฉันไม่มีปัญญาจ่ายค่าซ่อมหรอกนะ” อดิศรมองอีกคนด้วยสายตาเคืองๆก่อนจะกลับมาสนใจกองหนังสือที่วางอยู่บนหลังตู้เย็นไซส์มินินั่น อาชวินก้มหน้านิ่ง มือทั้งสองข้างสั่นจนรู้สึกว่าตัวเองควบคุมไม่อยู่ ริมฝีปากถูกขบกัดจนแดงช้ำแต่เข้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บนั่นแม้แต่นิด ภาพดวงตาคู่คมที่เขาสบก่อนจะปิดประตูยังคงติดอยู่ในมโนภาพ เจ้าของดวงตาคู่คมนั่นกอดอกพิงผนังห้องที่อยู่เยื้องๆออกไปอีกสองห้องมองมาด้วยท่าทางสบายๆ ตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตุเพราะคนๆนั้นสวมหมวกแก๊ปที่ปีกหมวกปิดมาจนครึ่งหน้า แต่ตอนที่เขาเอื้อมมือไปปิดประตูแล้วต้องเงยหน้ามองอีกฝั่ง คนๆนั้นก็ดันปีกหมวกขึ้นเผยให้เห็นดวงตาคู่คมที่มองมาแบบนิ่งๆ สายตาที่ไม่อาจเดาได้ว่าเจ้าของกำลังคิดอะไร สายตาที่ไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย สายตาที่มีเจ้าของเป็นคนแปลกหน้าคนเดียวกับที่เขาเจอเมื่อเช้าที่ร้านกาแฟ..... “หมูเป็นอะไรวะดูแปลกๆตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว” อดิศรที่กำลังนั่งอ่านงานวิจัยเพื่อนำเสนอร่างโปรเจคเพื่อส่งอาจารย์อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าเอ่ยกับอีกคนอย่างสงสัย อาชวินนั่งนิ่งๆอยู่ที่โต๊ะกินข้าวมาตั้งแต่ตอนที่ปิดประตูนั่นแล้ว ปกติถึงจะไม่ได้พูดคุยในทุกเรื่องหรือสนิทชิดเชื้อกันมากมายแต่อดิศรก็มั่นใจว่าตัวเองรู้จักอาชวินในระดับที่มากกว่าเพื่อนทุกคนที่อยู่ในประเทศนี้ของคนตัวที่กำลังพยายามยืนนิ่งๆเพื่อระงับอาการตัวสั่นหน้าซีดอยู่นั่น อาชวินไม่ใช่คนที่จะอยู่เงียบๆได้นานขนาดนี้ ท่าทางตอนนี้เหมือนคนสติไม่อยู่กับตัว แค่เขาเรียกเมื่อกี้ก็แอบเห็นว่าอีกฝ่ายสะดุ้งเบาๆ “เปล่า...” อดิศรเลือกที่จะปล่อยความเงียบให้เข้าครอบคลุมห้องอีกครั้ง แต่คราวหน้าสายตาคู่เรียวที่อยู่ภายใต้กรอบแว่นใสที่ใส่ไว้เพื่อกันรังสีนั่นไม่ได้ละไปไหน ยังคงมองอยู่ที่อีกคนนิ่งๆ “ฉันคิดว่าบางทีฉันควรจะออกจากที่นี่ไปได้แล้ว ถ้าฉันอยู่ต่อไปบางทีนายอาจจะเดือดร้อน” อดิศรขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายเอ่ย มันแผ่วเบาจนเหมือนว่าอาชวินกำลังพูดกับตัวเองแต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายเอ่ยกับเขา อดิศรกำลังจะอ้าปากเถียงแต่ก็ชะงักเมื่ออีกคนเอ่ยต่อ “เมื่อเช้าฉันออกไปซื้อของกิน ตอนเดินผ่านร้านกาแฟเจอคนแปลกหน้าคนนึงที่นั่น ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรจนเมื่อกี้.... “สายตาหวาดหวั่นถูกส่งไปให้เพื่อนร่วมห้องที่นั่งจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว “ฉันเจอเขาที่นี่ ที่อพาร์ทเม้นท์นี้ ที่ห้องฝั่งตรงข้ามที่ถัดไปอีกสองห้อง เขายืนอยู่ตรงนั้น” น้ำหนักเสียงที่เบาลงสวนทางกับร่างกายที่เริ่มสั่นขึ้นเรื่อยๆของอาชวิน อดิศรลุกขึ้นจากกองหนังสือที่นั่งอ่านอยู่บนเตียงเดินไปหาคนที่กำลังนั่งตัวสั่นอยู่บนเก้าอี้ มือหนาบีบไหล่คนตัวเล็กกว่าเบาๆแต่อาชวินก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดท่าทางหวาดกลัวนั่นได้ เจ้าของห้องพักตัดสินใจดึงอีกคนให้ยืนขึ้นก่อนจะคว้าเข้ามากระชับกอดแน่นๆ มือหนาลูบแผ่นหลังที่กำลังสั่นเบาๆ เขาเดาว่าการอยู่หลังกำแพงสูงๆนั่นคงไม่น่าอภิรมย์อย่างถึงที่สุดถึงขนาดที่ทำให้คนที่เคยเข้มแข็งอย่างอาชวินกลายเป็นเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่หวาดกลัวไปซะทุกอย่าง เขาไม่รู้หรอกว่านอกจากเรื่องนี้อาชวินไปมีศัตรูที่ไหนหรือเปล่า คนที่ตามมาอาจจะเป็นตำรวจ หรือจริงๆแล้วอาจจะเป็นแค่พวกอันธพาลที่คอยขูดรีดคนต่างถิ่น ซึ่งมันอาจจะไม่ได้น่ากลัวอะไรอย่างที่อีกคนคิดก็ได้ “สี่สิบแปดชั่วโมงแล้วนะ” เอกภพที่วันนี้อยู่ในชุดเสื้อเชิ๊ตกับกางเกงสแลกไร้ซึ่งเสื้อกาวน์สีขาวแบบที่เห็นบ่อยๆเดินล้วงกระเป๋ากางเกงมาหยุดยืนหน้าโต๊ะทำงานของนายตำรวจหนุ่ม “อะไร” น้ำเสียงทุ้มติดจะรำคาญของพิชญุฒน์ทำเอาคนที่เข้ามาก่อกวนแต่เช้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “สี่สิบแปดชั่วโมงแล้วนะครับที่สารวัตรพิชญุฒน์ปล่อยผู้ร้ายแหกคุกลอยนวลอยู่ได้ป่านนี้หนีออกนอกประเทศไปแล้วมั้ง ฝีมือตกหรือไงครับหัวหน้า” พิชญุฒน์เงยหน้าจากแลปท็อปเครื่องเก่งมามองคนช่างกวนประสาทก่อนจะกรอกตาไปมาอย่างหน่ายๆชีวิตเอกภพนี่ว่างมากหรือไง แม้อีกฝ่ายจะมียศที่ต่ำกว่าแต่เรื่องของความสนิท เอกภพเรียกได้ว่าเป็นทั้งมือขวาและเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานที่เขาไว้ใจที่สุดในเวลาเดียวกัน “ฉันเจอเขาแล้ว” คำตอบของสารวัตรหนุ่มทำเอาคนที่กำลังตั้งท่าจะแซวเบิกตาโตเท่าที่ดวงตาคู่นั้นจะทำได้ “อยู่ในกรุงเทพไม่ใกล้ไม่ไกลจากแถวนี้แหล่ะ ไม่ใกล้ ไม่ไกล เส้นผมบังภูเขามาก” พูดแค่นั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้นายตำรวจคนสนิทบ่นเป็นหมีกินผึ้งที่พิชญุฒน์ไม่ยอมบอกเล่าความคืยหน้าของคดีให้ตัวเองรู้อย่างตัวเองเลย ก็อย่างที่พิชญุฒน์บอก เส้นผมบังภูเขาใครจะไปคิดว่าอาชวินจะเดินมาให้เจอง่ายๆโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรซักอย่าง เมื่อวานนี้เขากะว่าตอนเช้าจะเข้ามาหาข้อมูลเกี่ยวกับอาชวินที่กรมตำรวจ แต่ระหว่างที่นั่งกินกาแฟหลังจากไปฟิตเนสในตอนเช้าอาชวินดันมาหยุดอยู่ตรงหน้า แม้จะมีกระจกกั้นอยู่แต่ก็นึกแปลกใจตัวเองที่ไม่รีบวางกาแฟแล้วกระโจนออกไปลากคอซะตั้งแต่ตอนนั้น แถมยังใจดีปล่อยอีกคนให้หนีรอดไปได้ด้วย แต่อย่าคิดว่าเขาจะใจดีขนาดปล่อยให้นกตัวน้อยบินหนีไปไหนไกลหรอกนะ พิชญุฒน์ลุกตามหลังจากที่อีกคนรีบเดินจ้ำอ้าวหนีไปแบบเรื่อยๆและไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่ได้ทิ้งระยะให้อีกฝ่ายคลาดสายตา จนกระทั่งเห็นหลังของอีกคนหายเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์เล็กๆที่ดูแล้วน่าจะมีแต่นักศึกษาเป็นส่วนใหญ่ก็หันหลังกลับมาพร้อมรอยยิ้มเล็กๆที่ผุดขึ้นตรงมุมปาก ใครจะไปคิดว่าอพาร์ทเม้นท์ที่อาชวินอาศัยอยู่ตอนนี้จะตั้งอยู่หลังคอนโดของตัวเองเพียงแค่เดินไม่ถึงสามนาทีก็ถึงกันเล่า หลังจากที่รู้ว่าผู้ต้องหาที่อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเองมีแหล่งที่พักอยู่ใกล้ขนาดนี้พิชญุฒน์ก็รู้สึกว่าการทำงานของเขาวันนี้มันช่างราบรื่น ทุกอย่างดูจะเป็นใจไปซะหมด จนตัวเองมีเวลาเหลือมานั่งสืบค้นประวัติของผู้ต้องหาในคดีที่ตัวเองต้องดูแลรับผิดชอบอยู่ ค้นไปค้นมาก็มาก็เลยรู้ว่าอพาร์ทเม้นท์นั้นเพื่อนของอาชวินที่ชื่ออดิศรเป็นเจ้าของห้อง แถมมีดีกรีเป็นนักเรียนทุนด้วยแต่เท่าที่สืบมาอาชวินก็ไม่ได้มีแค่อดิศรคนเดียวที่เป็นเพื่อน ถ้าเจ้าตัวคิดจะหนีไปไกลๆจริงๆก็สามารถทำได้ง่ายๆ “รฐนนท์ เจริญโรจน์งั้นหรอ” ภาพถ่ายหน้าตรงที่ปรากฎขึ้นในจอแล็ปท็อปยิ่งทำให้มุมปากของนายตำรวจหนุ่มยกขึ้นอีก ประวัติส่วนตัวที่ปรากฎขึ้นบ่งบอกว่าคนที่พิชญุฒน์กำลังอ่านอยู่มีส่วนเกี่ยวกันยังไงกับนักโทษของเขา รฐนนท์ มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของอาชวิน แม้ประวัติของรฐนนท์จะไม่ค่อยชัดเจนแต่ประวัติของอาชวินที่เขาสืบค้นมาค่อนข้างชัดเจนทีเดียว ก็นะ นักเรียนทุนถ้าประวัติไม่ชัดเจน ระบุตัวตนไม่ชัดก็คงยากที่ใครจะยื่นทุนมาให้ต่อให้เก่งแค่ไหนก็เถอะ แต่ประวัติที่ชัดเจนใครกันหล่ะที่เป็นคนตัดสินว่าทั้งหมดนั่นถูกต้อง ตราบใดที่เจ้าของยืนยันว่ามันถูก ต่อให้คนอื่นคัดค้านแค่ไหนผลสุดท้ายมันก็ออกมาถูกอยู่ดีนั่นแหล่ะ อาชวินเกิดที่จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือแต่ตามประวัติบอกว่ามาโตที่ชานเมืองของกรุงเทพโดยอาศัยอยู่กับลูกพี่ลูกน้อง คนๆนั้นก็คือรฐนนท์ แต่สุดท้ายก็ได้ทุนมาเรียนต่อทางด้านวิทยาศาสตร์เคมีที่มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของกรุงเทพโดยบริษัทที่ให้ทุนเป็นบริษัทจิวเวลี่ ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเอาความรู้ที่มีของอาชวินมาประยุกต์ใช้ได้กับธุรกิจซักเท่าไหร่ บริษัทอัญมณีทำไมไม่ให้ทุนพวกนักออกแบบหรือนักอัญมณี แต่มาให้ทุนกับนักเคมีที่ไม่มีแบคกราวน์เกี่ยวกับเรื่องของจิวเวลี่เลยเนี่ยนะ? พิชญุฒน์ใช้เวลากับกองเอกสารประวัติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนักโทษรายนี้จนเกือบสองทุ่มถึงจะเก็บเอกสารทุกอย่างใส่กระเป๋าแล้วออกจากห้องทำงานไป แต่จุดหมายก็ไม่ใช่ห้องของตัวเองเหมือนอย่างทุกวัน อพาร์ทเม้นท์กลางเก่ากลางใหม่นั่นต่างหากที่เป็นจุดหมายหลักของวันนี้ พิชญุฒน์เดินเข้ามาในอพาร์ทเม้นท์ในตอนเวลาเกือบๆสามทุ่ม หลังจากที่สืบค้นจนพบตารางเรียนของอดิศรที่เป็นเจ้าของห้องและพบว่าอีกฝ่ายกำลังเรียนอยู่และคลาสจะเลิกประมาณสองทุ่ม พอลองบวกลบเวลาเดินทางก็คาดว่าอีกคนน่าจะกลับมาไม่เกินสามทุ่ม ช่วงขาเรียวใต้กางเกงยีนส์ก้าวอย่างไม่เร่งรีบไปยังโซนเครื่องดื่มตรงหน้าอพาร์ทเม้นท์ และยืนจิบกาแฟกระป๋องที่แวะซื้อมาตากร้านสะดวกซื้ออย่างใจเย็น บรรยากาศภายนอกไม่ได้ร้างผู้คน แต่ก็ไม่ได้มีผู้คนพลุกผ่านซักเท่าไหร่ พิชญุฒน์เดินไปทิ้งกระป๋องน้ำที่ดื่มหมดแล้วลงถัง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับใครบางคนที่เขากำลังรออยู่เดินผ่านมาพอดี พิชญุฒน์เดิมตามอดิศรที่กำลังยุ่งอยู่กับการหาอะไรซักอย่างในกระเป๋าที่ตัวเองสะพายมา แต่เหมือนจะหาไม่เจอ เพราะใบหน้านั้นฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน พิชญุฒน์เดินตามอดิศรห่างเพื่อไม่ให้อีกคนรู้ตัว จากการคาดเดาพิชญุฒน์คิดว่าอดิศรน่าจะลืมกุญแจ และถ้าเป็นแบบนั้น กว่าอีกฝ่ายจะเข้าห้องได้คงมีช่วงเวลาที่เขาสามารถคลาดสายตาจากอีกฝ่ายได้ประมาณหนึ่งถึงสองนาที ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลดีกับเขาแน่ๆเพราะมันคงไม่สามารถทำให้อดิศรสงสัยได้แน่ๆ พิชญุฒน์ปล่อยให้อีกคนคลาดสายแค่ตรงทางเลี้ยงหลังจากขึ้นบันได แอบฟังเงียบๆไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอยู่ซักพัก แล้วตามมาด้วยเสียงตะโกนก่อนจะเงียบหายไป พอโผล่มาอีกทีก็เห็นอดิศรกำลังเดินเข้าห้องพร้อมกับนักโทษของเขาที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู พิชญุฒน์ทิ้งตัวพิงกำแพงห้องใครซักห้องนึงเพื่อรอจังหวะให้คนที่ปิดประตูหันมาเห็น แล้วโชคก็เข้าข้างเขาเพราะทันทีที่สบตาเสียงประตูปิดก็ดังขึ้นแทบจะทันที “หึ” สารวัตรหนุ่มหัวเราะในลำคอเบาๆอย่างอารมณ์ดี วันนี้จะใจดียอมปล่อยนักโทษคนเก่งให้ได้มีเวลาชื่นชมกับอิสรภาพที่ตัวเองดิ้นรนหามาได้ต่ออีกซักสิบยี่สิบชั่วโมง แต่ถ้าวันพรุ่งนี้มาถึงเมื่อไหร่ คำว่าอิสรภาพก็คงจะอยู่ได้แค่ในความฝันเท่านั้นแหล่ะมั้ง อาชวิน เจริญโรจน์ ฝากด้วยนะคะ^^
อาชวินก็ไม่ใช่คนธรรมดาสินะ จากประวัติแล้วก็น่าสงสัยอย่างที่ว่า แต่น่าสงสารอะ โดนปั่นหัวเสียแล้ว
ชอบสำนวนการเขียนมากเลยค่ะ มีลิ้งค์ฟิคไหมคะ อยากอ่านต่อแล้ว ชอบมากกกกกก :hao7:
ชอบสำนวนการเขียนมากเลยค่ะ มีลิ้งค์ฟิคไหมคะ อยากอ่านต่อแล้ว ชอบมากกกกกก :hao7: ฟิคเรื่องนี้เราลบไปแล้วค่ะ เอามารีไรท์ใหม่หมดเลย ตามอ่านได้ในนี้เลยน๊า^^
แสงแดดอ่อนๆยามเช้าที่ส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์เสมอสำหรับคนที่ชอบตื่นเช้า แขนยาวเหยียดออกเพื่อยืดกล้ามเนื้อหลังจากที่นอนหลับมาทั้งคืนทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา พิชญุฒม์นอนนิ่งอยู่อีกซักพักถึงได้ลืมตาขึ้น ช่วงขาเรียวที่อยู่ภายใต้กางเกงนอนเดินไปยังริมหน้าต่างเพื่อมองวิวทิวทัศน์ยาวเช้าของกรุงเทพมหานครจากชั้นสิบแปดของคอนโดหรู วันนี้แล้วซินะที่เขาควรจบเกมส์เล่นซ่อนหาแบบเด็กๆกับนักโทษคนเก่งซักที ร่างกายกำยำที่ท่อนบนเปลือยเปล่าและท่อนร่างที่ถูกห่อหุ้มด้วยกางเกงนอนขายาวเดินเข้าห้องน้ำที่อยู่ภายในห้องนอนเพื่อจัดการกับธุระส่วนตัว เสียงฮัมเพลงดังขึ้นเบาๆภายในห้องน้ำบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของห้องได้ดี ใช้เวลาในห้องน้ำเพียงไม่นานก็มายืนเลือกเสื้ออยู่หน้าตู้เสื้อผ้า เขาไม่คิดว่าการอาบน้ำนานจะช่วยให้มันสะอาดกว่าปกติตรงไหนสำหรับเขาเวลาทุกวินาทีมีค่ามากเสมอ พิชญุฒม์พาตัวเองที่อยู่ในชุดตำรวจเต็มยศเตรียมพร้อมสำหรับการไปทำงานเดินยังห้องครัวขนาดย่อม คอนโดหรูถูกแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจนทั้งห้องครัว ห้องนอน ห้องรับแขก และห้องน้ำเล็กที่อยู่ข้างๆห้องรับแขก ที่คุณแม่คนสวยของเขาซื้อให้หลังจากที่เขาสอบติดนายร้อยอยู่ที่กองพิสูจน์หลักฐานหลังเรียนจบปริญญาตรีเพื่อให้สะดวกแก่การไปทำงานและเพื่อความเป็นส่วนตัวของเขา และอาหารเช้าง่ายๆตามสไตล์พิชญุฒม์ก็คือกาแฟดำหนึ่งแก้ว ขนมปังปิ้งสองแผ่น และไข่ดาว ซึ่งนายตำรวจหนุ่มสามารถจัดการตั้งแต่ทำอาหารง่ายๆไปจนล้างจานเก็บในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที เช้าวันนี้ที่ห้องทำงานของสารวัตรพิชญุฒน์ดูบรรยากาศสดใสจนคนที่เดินเข้ามาใหม่ต้องเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ห้องทำงานที่ปกติเงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงด่าในใจแต่วันนี้มีเพลงสากลที่กำลังฮิต เปิดคลออยู่เบาๆ จนเอกภพต้องส่ายหัวแรงๆ เป็นคู่หูกันมาจะสามปีครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่สารวัฒน์พิชญุฒม์เปิดเพลงคลอระหว่างทำงาน “สารวัฒน์ ไข้ขึ้นหรอครับ?” ไม่ว่าเปล่า เอกภพเดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานพร้อมกับยื่นหลังมือไปอังหน้าผากจนโดนอีกคนปัดออกและตอบกลับมาเป็นท่าทางยักไหล่อย่างไม่ใคร่จะใส่ใจกับคำถามเท่าไหร่ “สารวัตรครับ ผมถามจริงๆช่วงนี้สารวัตรทำงานเยอะไปหรือเปล่าครับ” เอกภพพูดพร้อมกับพิงสะโพกไปที่โต๊ะทำงานของอีกคน “ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นอารมณ์ดีขนาดนี้บางทีผมคิดว่าสารวัตรอาจจะอยากลาพักร้อนหรือเปล่าครับ” “เพ้อเจ้อน่าผู้กอง แล้วนี่ว่างมากหรือไงถึงได้เตร่ไปเตร่มากวนชาวบ้านเขาแบบนี้เนี่ย” “ก็แหมใครมันจะไปนั่งทำงานตลอดเวลาได้หล่ะครับ มันก็ต้องมีพักสมองกันบ้าง” “พักตลอดเวลาหล่ะซิงานถึงไม่คืบหน้าซักที” เอกภพได้แต่หัวเราะอย่างขำๆเมื่อคนที่มียศสูงกว่าเอ่ยอย่างรู้ทัน ไม่เคยจะมีซักครั้งหรอกที่คนที่เป็นทั้งหัวหน้าและคู่หูที่มักจะพูดน้อยของเขาจะปล่อยหมัดเบาๆ ขนาดร่วมงานกันมาก็นานสารวัตรพิชญุฒม์ก็ยังไม่เคยจะสร้างความประทับใจอะไรกับเขาด้วยคำพูดหว่านล้อมเหมือนคนอื่น ถึงพิชญุฒม์จะไม่ใช่คนพูดน้อยจนเหมือนคนใบ้แต่ก็ใช่ว่าจะเสวนากับทุกเรื่องบนโลกนี้เสียเมื่อไหร่ นึกอยากจะให้ทำอะไรก็พูดตรงๆที่แถมมาด้วยสายตาจริงจังจนคนอื่นไม่กล้าขัด จะว่ายังไงหล่ะถ้าเทียบพิชญุฒม์กับการ์ตูนเรื่องโปรดของเอกภพอย่างวันพีซ พิชญุฒม์คงมีพลังจิตพิเศษที่ในการ์ตูนเรื่องนี้เรียกว่าฮาคิจอมราชันย์ก็ได้มั้ง แล้วแบบนี้ใครจะขัดได้หล่ะ “แล้วตกลงมาทำไมคงไม่ได้มาพักสมองเฉยๆหรอกมั้ง” คนตำแหน่งสูงกว่าเอ่ยพลางเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย “สารวัตรอย่ามารู้ทันผมน่า” เบะปากอย่างกวนๆจนพิชญุฒม์ได้แต่ส่ายหน้าเอือมๆ “ก็เรื่องนั้นแหล่ะ อาชวิน” “ถ้าเรื่องนั้นหล่ะก็ เตรียมเคลียร์พื้นที่ได้เลยไม่เกินเที่ยงวันของพรุ่งนี้นายคงได้สอบสวนสมใจอยากแน่” พูดจบก็ปิดแลปท็อปของตัวเองพร้อมกับรวบเอกสารที่กองเกลื่อนอยู่บนโต๊ะให้เป็นกองรวมกันอย่างลวกๆ “สารวัตรแน่ใจหรอครับว่าจะจับเด็กนั่นยัดเข้าตะรางเหมือนเดิมอ่ะ ผมว่าคิดใหม่ได้นะ” น้ำเสียงจริงจังของผู้กองเอกภพไม่ได้ทำให้พิชญุฒม์เงยหน้าขึ้นมามองอีกคนแต่อย่างใด คนตัวสูงเดินไปคว้าเสื้อแจ็คเก็ตที่อยู่ตรงที่แขวนขึ้นมาใส่ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าแลปท็อปมาถือไว้ “ฉันก็ไม่ได้บอกนี่ว่าจะจับอาชวินยัดเข้าไปอยู่ในตะรางเหมือนเดิม อ่อ แล้วก็ออกจากห้องฉันภายในหนึ่งนาทีด้วยถ้าไม่อยากให้สัญญาณเตือนดัง แล้วก็... ปิดไฟปิดแอร์ในห้องให้ด้วยนะ” สาบานได้ว่านั่นเป็นประโยคที่นอกเหนือจากเรื่องงานที่สารวัตรพิชญุฒม์พูดแบบไม่เปิดช่องไฟให้เขาแทรกได้และเป็นประโยคที่ทำให้เอกภพอยากจะวิ่งไปสกัดขาอีกคนให้กลิ้งตกบันไดไปซะถ้าทำได้ แต่ติดอยู่อย่างเดียว สารวัตรพิชญุฒม์ดันมีศักดิ์เป็นหัวหน้าโดยตรงของเขาและเป็นคู่หูเขาซะด้วย.... เช้านี้อาชวินตื่นมาด้วยอาการเหมือนคนนอนไม่เต็มที่ ถ้านอนเต็มที่ก็คงจะแปลกเกินไปเพราะเมื่อคืนกว่าจะหลับได้ก็ซัดไปเกือบตีสองแถมไม่ได้หลับสนิทด้วย ได้ยินเสียงอะไรนิดๆหน่อยๆก็สะดุ้งตื่น ขนาดเสียงอดิศรนอนพลิกตัวก็ยังทำเอาเขาสะดุ้งจนต้องลุกขึ้นมานั่งมองรอบๆ โดยนิสัยพื้นฐานตัวเองไม่ใช่คนขี้ระแวงหรือจิตตกกับทุกๆอย่างแบบนี้ อาจด้วยเพราะเขาเพิ่งก่อคดีแหกคุกออกมา จะให้เขามานอนวางใจกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็ดูจะเป็นคนโลกสวยจนเกินไป ถึงเขาจะไม่ใช่คนผิด ก็แค่แพะรับบาปคนนึงแต่ในเมื่อเขาไม่มีหลักฐานอะไรไปสู้ ลำพังแค่คำพูดเขาว่าไม่ได้ทำก็คงไม่มีคนเชื่อ แล้วอีกอย่างตอนนั้นเขาก็เป็นคนยอมรับเองว่าตัวเองเป็นคนขโมยข้อมูลในระบบสารสนเทศกลางของมหาวิทยาลัยไปถ้าจะกลับคำตอนนี้มันก็จะดูเป็นการแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นแน่ๆ อาชวินปล่อยให้ตัวเองนอนมองเพดานนิ่งๆแบบนั้นอยู่ซักพัก เตียงนอนของอดิศรว่างเปล่าถ้าเดาไม่ผิดอดิศรคงไปเรียนตามประสานักศึกษาทั่วไปนั่นแหล่ะ คิดมาถึงตรงนี้ก็อยากจะหัวเราะให้ตัวเองดังๆ ความฝันที่อยากเป็นนักวิจัยคิดค้นอะไรใหม่ๆ ได้ทำการทดลองอยู่ในห้องแลป นึกสภาพตัวเองใส่เสื้อกาวน์แล้วก็ต้องหัวเราะในลำคออย่างนึกสมเพชตัวเอง ทุกอย่างพังทลายหมดไม่เป็นท่า แต่เขาก็ไม่คิดจะโทษใครในเมื่อคนข้างบนคงจะกำหนดมาให้เป็นแบบนี้ ซึ่งเขามาได้แค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว แกร๊ก เสียงประตูห้องเปิดออกทำเอาอาชวินลมหายใจสะดุด แต่พอเห็นว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาเป็นเจ้าของห้องก็แอบถอนหายใจเบาๆ อดิศรที่มีผ้าเช็ดตัวเดินพาดบ่าเข้ามาอาชวินเดาว่าอีกคนน่าจะไปวิ่งออกกำลังกายมาซึ่งผิดคาดกับตอนแรกที่คิดว่าอดิศรน่าจะไปเรียน “วันนี้นายไม่มีเรียนหรอ” เร็วเท่าความคิดริมฝีปากอิ่มก็เปล่งคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวออกไป อดิศรยักไหล่เบาๆอย่างตอบรับคำถามนั้นกลายๆก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำที่อยู่ปลายสุดของห้องไป หลังจากที่อดิศรออกมาจากห้องน้ำทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก อดิศรเดินไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนเตียงนอนแล้วคว้าเอาแลปท็อปที่อาชวินขอเรียกว่าแลปท็อปคู่ใจ เพราะแลปท็อปเครื่องนี้เขาเห็นอดิศรใช้มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ถ้าจะให้เดาอายุจริงๆของมันคงเดายากแต่บอกได้แค่ว่ามันอึดมากที่อยู่มาได้ขนาดนี้ บางทีอาชวินก็สงสัยนะว่าในเมื่ออดิศรเรียนทางด้านไอทีทำไมไม่ใช้แลปท็อปที่มันดูทันสมัยหรือฟังก์ชั่นการใช้งานที่มันเข้ากับยุคสมัยซะบ้าง แต่ก็นะ เขาไม่ได้เรียนสายนี้มาเขาก็ไม่อยากออกความเห็นมาก อาชวินที่เหลือบไปเห็นนาฬิกาที่วางอยู่บนหลังตู้เย็นตรงใกล้ๆหัวนอนตัวเองบอกเวลาเที่ยงกว่าๆแล้วถึงได้ขยับเขยื้อนพาตัวเองไปอาบน้ำบ้าง นอนหลับไปอีกรอบหลังจากที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อเช้าร่วมชั่วโมงพอตื่นมาท้องเลยประท้วงให้รีบๆลากสังขารไปหาอะไรมาให้น้ำย่อยได้ย่อยบ้าง “เมฆหิวแล้วอ่ะ ไปหาอะไรกินกัน” เดินออกจากห้องน้ำมาได้ก็เอ่ยเรียกเพื่อนร่วมห้องทั้งๆที่ผ้าเช็ดตัวก็ยังแปะอยู่บนกลุ่มผมนุ่มนั่นแหล่ะ เพราะอาชวินรู้ว่าหลังจากเรียกอดิศรต้องรอไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมงนู้นแหล่ะถึงจะได้ออกไปข้างนอก “อืม แปปนึงนะ” คนตัวเล็กกว่าแค่ยักไหล่เพราะรู้อยู่แล้วว่าคำตอบคงจะออกมาแนวนี้แล้วพาตัวเองไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าวปล่อยให้เจ้าของห้องนั่งพิมพ์อะไรต๊อกแต๊กอยู่หน้าจอคอมต่อไป เอาจริงเขาก็ไม่คิดจะเร่งอดิศรหรอกเพราะเขารู้ว่าการที่คนเรากำลังติดพันกับอะไรซักอย่างที่ตั้งใจมากมันเป็นยังไง เพราะครั้งนึงเขาก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน กว่าที่อาชวินและอดิศรจะออกจากห้องได้เวลาก็ล่วงเข้าไปเกือบบ่ายสอง โชคดีที่วันนี้แดดไม่ได้แรงมาก ช่วงเวลาบ่ายสองแบบนี้เลยยังพอเดินได้แบบไม่ต้องถึงขั้นลิ้นห้อย สุดท้ายอาชวินและอดิศรก็เลือกจะฝากท้องไว้กับร้านอาหารที่เปิดอยู่ริมทางบรรยากาศดีที่ไม่ได้อยู่ไกลจากอพาร์ทเม้นท์ที่อยู่มากนัก ช่วงเวลาบ่ายสองแบบนี้ในร้านคนไม่แน่นมากนักแต่ทั้งคู่ก็ยังเลือกออกมานั่งในโซนที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ระหว่างมื้ออาหารไม่ได้มีการพูดคุยของทั้คู่มากนัก อาจด้วยว่าอาชวินหิวจัดและอดิศรขี้เกียจชวนอีกคนคุย “หมูอ่ะฉันให้ ใส่นี่ไว้” หลังจากที่จัดการอาหารเช้าที่รวบกับอาหารกลางวันกึ่งเย็นเรียบร้อยอาชวินก็ขอปลีกตัวจากอดิศรเพื่อจะนั่งรถเมล์ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะขนาดใหญ่ไม่ไกลจาที่พัก เพราะการอุดอู้อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆมันไม่ใช่ตัวตนของเขาเท่าไหร่ยกเว้นเสียแต่ห้องนั้นจะเป็นห้องแลปอ่ะนะ แต่ก่อนจะไปอดิศรก็ดันเรียกไว้ซะก่อนพร้อมกับยื่นนาฬิกาข้อมือสไตล์สปอร์ตสีดำให้ “ใส่ไปเหอะน่า นายจะได้กะเวลากลับบ้านถูกไม่ใช่มองแต่แสงอาทิตย์หรือไปไล่ถามคนอื่นเขา” เมื่อเห็นอีกคนยืนงงเป็นไก่ตาแตกอดิศรเลยยึดข้อมืออีกคนมายัดนาฬิกาเรือนนั้นใส่ข้อมือให้เสร็จสรรพ “ขอบใจนะเมฆ สัญญาว่าจะรีบกลับบ้าน” พูดจบก็ยิ้มกว้างจนดวงตาคู่กลมหยิบหยีพร้อมกับยกแขนข้างที่มีนาฬิกาขึ้นมาเป็นทำนองว่ามีเวลาแล้วไม่ต้องกลัวหรอกน่า อดิศรชอบรอยยิ้มแบบนี้ของอาชวินรอยยิ้มทีเวลายิ้มแล้วดวงตาก็เหมือนจะยิ้มตามไปด้วย แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ค่อยชอบยิ้มเท่าไหร่ อาชวินเวลานี้ดูเหมือนลูกกระต่ายตัวเล็กๆที่กำลังชูขาหน้าที่ใส่กำไลอยู่ให้เจ้าของดูไม่มีผิดในความคิดของอดิศร เจ้าของเรือนร่างสูง 178 เซ็นติเมตรที่ไม่ได้ผอมบางแต่ก็ไม่ได้กำยำมากนักเพราะเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการอ่านหนังสือและอยู่ในห้องทดลองจนไม่มีเวลาได้ไปออกกำลังกายเหมือนคนอื่นๆ อาชินเดินเอื่อยๆมาตามถนนสายหลักหลังจากที่ลงจากรถเมล์ก่อนจะลัดเลาะไปตามทางเข้าสวนสาธารณะที่ใกล้กับป้ายรถเมล์ที่สุด ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงส่วนที่ร่มสงบและมีผู้คนไม่เยอะมาก อาชวินพาตัวเองไปนั่งตรงม้านั่งริมบึงเล็กๆที่ถูกสร้างขึ้นมา ปล่อยให้ความรู้สึกหน่วงๆที่มีพัดไปกับลมเบาๆริมบึงก่อนจะหลับตาลง แค่พักสายตาเผื่อคิดอะไรออกมากกว่าเดิม ตอนที่เขาเด็กๆเคยมีคนบอกเขาว่าแค่เราหลับตาเราก็จะเจอโลกของเรา และเขาก็เชื่อแบบนั้นมาตลอด เวลาที่รู้สึกไม่ดีหรือเครียดจากอะไรซักอย่างหรือแม้กระทั่งทำการทดลองแล้วผลการทดลองไม่ออกเขาก็ต้องไปหลบหามุมสงบๆเพื่อพักสายตาเหมือนที่ใครซักคนเคยบอกไว้ บางทีมันอาจจะเป็นคำพูดหลอกเด็กก็ได้ แต่ตราบใดที่เขาทำแล้วรู้สึกดีเขาก็มองว่าคำพูดนั้นมันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อหลอกเขาแหล่ะน่า ไม่รู้ว่าปล่อยให้ตัวเองหลับตาไปนานแค่ไหน แต่รู้สึกตัวอีกทีที่นั่งข้างๆก็มีคนมานั่งลงแล้ว อาชวินไม่ได้ขยับหนีหรือแม้กระทั่งหันไปมอง ก็ในเมื่อที่นั่งนี่มันที่สาธารณะ ใครจะมานั่งก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ เขาปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมตัวเองและคนแปลกหน้า พอก้มมองนาฬิกาสีดำที่ข้อมือถึงได้รู้ตัวว่าเขานั่งอยู่ที่นี่มาร่วมสองชั่วโมงแล้ว เขาคิดว่ามันถึงเวลาที่เขาควรจะกลับบ้านได้แล้วหล่ะ แต่พอกำลังจะลุกแรงกระตุกที่ข้อมือก็ทำให้ต้องขมวดคิ้ว พอหันไปเห็นว่าใครเป็นเจ้าของมือปริศนาที่ยื่นมาจับข้อมือเขาไว้ดวงตาคู่กลมก็เบิกกว้าง อาการต่อต้านแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดเจนจนคนแปลกหน้าที่นั่งอยู่ต้องยกยิ้มที่มุมปาก “ปล่อยดิวะ” อาชวินพยายามขืนข้อมือตัวเองเท่าที่ความสามารถของร่างกายจะอำนวยแต่เหมือนก็ไม่ได้ส่งผลอะไรเพราะอีกฝ่ายเหมือนคนที่ผ่านการออกกำลังกายมาอย่างสม่ำเสมอนอกจากจะไม่หลุดแล้วยังทำให้แรงบีบที่ข้อมือมีมากขึ้น “สวัสดีอาชวิน บังเอิญว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันนิดหน่อยหน่ะ” เมื่อเห็นมือข้างที่ว่างของคนแปลกหน้าล้วงเข้าไปในเสื้อโค้ทตัวเองอาชวินยิ่งเพิ่มแรงกระชากที่แขนเพื่อพยายามให้ตัวเองหลุดจากการเกาะกุมของอีกคน ในใจคิดไปสารพัดว่าอีกฝ่ายอาจจะควักปืนออกมาแล้วยิงเขาตายอยู่ตรงนี้ก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะควักมีดออกมาจี้ให้เขายอมทำตาม แต่เมื่อเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายควักออกมากลับทำให้แรงต่อต้านของคนร่างโปร่งหยุดลง บัตรประจำตัวตำรวจที่ระบุสังกัดว่าเป็นหน่วยสืบสวนของกองพิสูจน์หลักฐานอยู่ตรงหน้า ทำยังไงนักโทษอย่างเขาก็หนีตำรวจไม่พ้นจริงๆซินะ แถมนี่ไม่ใช่ตำรวจธรรมดามียศเป็นถึงพันตำรวจเองซะด้วยลงมือเองขนาดนี้ก็คงวังผลร้อยเปอร์เซ็นต์นั่นแหล่ะ อาชวินได้แต่ถอนพ่นลมหายใจแรงๆ แค่ตามจับนักโทษแหกคุกแบบเขาจำเป็นต้องใช้คนที่ยศสูงขนาดนี้ตามจับตัวกันเลยหรือไง เขาไม่ได้ก่อคดีอาชญากรรมร้ายแรงขนาดนั้นซักหน่อย “ถึงผมจะหนีอีกซักกี่ครั้ง ตำรวจอย่างคุณก็คงจะตามจับผมกลับมาได้ง่ายๆเหมือนเดิมใช่มั๊ยครับสารวัตรพิชญุฒน์” นาฬิกาตรงหัวนอนบอกเวลาสองทุ่มแล้วแต่อาชวินยังไม่ได้กลับห้อง.... ก็ไม่ผิดไปจากคาดเท่าไหร่ อดิศรมองจุดสีแดงที่อยู่นิ่งๆกับที่มานานกว่าสองชั่วโมงแล้วจากหน้าจอแลปท็อปของตัวเอง เครื่องแลปท็อปรุ่นเก่าที่สเปคเครื่องไม่ได้หรูหรามากแต่เขาก็อาศัยความรู้ทางด้านนี้มาดัดแปลงจนมันเกินกว่าแลปท็อปธรรมดานิดหน่อย เขาจะถือว่าเป็นข้อดีของมันแล้วกัน เพราะใครจะไปคิดว่าเครื่องแลปท็อปเก่าๆจะถูกดัดแปลงจนเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ อดิศรนั่งมองจุดสีแดงที่หยุดนิ่งนั่นอีกซักพักก่อนจะปิดเครื่องแลปท็อปแล้ววางไว้บนเตียง อยู่ที่นั่นมาเกือบจะสามชั่วโมงแล้วก็คงจะปลอดภัยแล้วแหล่ะ ดูท่าไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอาชวินแล้ว ก็ในเมื่อตอนนี้คนที่เป็นมากกว่าเพื่อนของเขาคนนี้ไปอยู่ในมือตำรวจเรียบร้อยแล้วนี่หน่า..... อาชวินนั่งนิ่งๆอยู่บนโซฟากลางห้องมาเป็นชั่วโมงแล้ว เขารู้สึกได้ว่าขาตัวเองเริ่มชาจนต้องขยับเล็กน้อยเพื่อบรรเทาอาหารเหน็บชาที่เริ่มเกาะกินขาตัวเอง ทั้งๆที่ๆเขากำลังนั่งอยู่คือห้องนั่งเล่นที่ขนาดเท่าห้องของอดิศรทั้งห้องแถมอุณหภูมิข้างในก็ยังก็ยังเย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศ แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังเหงื่อซึมตามไรผมและฝ่ามือ ตรงข้ามของเขาคือนายตำรวจที่เป็นคนพาเขามาที่นี่แล้วไม่ทำอะไรนอกจากนั่งจ้องหน้าจนเขาทำอะไรไม่ถูก ไม่มีการปิดประตูแล้วเปิดโคมไฟดวงเล็กเพื่อสร้างความกดดัน มีแค่การลากมาแล้วนั่งอยู่เฉยๆ ตอนแรกที่รู้ว่าคนตรงหน้าคือตำรวจที่มียศเป็นถึงสารวัตร ความคิดแรกที่เข้ามาคือภาพของเรือนจำและชุดนักโทษ แต่สุดท้ายนายตำรวจคนนี้ก็พาเขามายังสถานที่ที่ดูยังไงก็ควรเรียกว่าคอนโดมากกว่าโรงพักหรือเรือนจำแถมปล่อยให้เขานั่งนิ่งๆมาร่วมชั่วโมงแล้ว “คุณตำรวจครับ ไม่จำเป็นต้องจ้องผมตลอดเวลาขนาดนั้นก็ได้ครับมาถึงขนาดนี้แล้วผมคงหนีไปไหนไม่ได้แล้วแหล่ะครับ” อาชวินไม่ได้พูดเว่อร์เกินไป และเขาก็ไม่ได้หมายความว่าถ้านายตำรวจคนนี้คลาดสายตาจากเขาแล้วเขาจะไม่หนี เพียงแต่เขาไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้แน่นอน ระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างหนาแน่นทั้งๆที่ดูภายนอกก็เหมือนคอนโดหรูๆธรรมดาๆทั่วไป แต่อุปกรณ์เกือบทุกชิ้นเป็นการแสกนลายนิ้วมือ แม้กระทั่งประตูบ้านที่ดูเหมือนลูกบิดธรรมดานั่นก็เป็นระบบแสกนลายนิ้วมืออีกด้วย ถามว่าเขารู้ได้ยังไงหน่ะหรอ? เป็นใครๆก็อยากจะเอาตัวรอดทั้งนั้นแม้ความหวังมันจะน้อยนิดก็ตาม แค่เขาลองเอามือทาบกับลูกบิดประตูที่หน้าตาธรรมดาๆเหมือนลูกบิดทั่วไป เสียงสัญญาณเตือนภัยก็ดังซะจนต้องรีบชักมือกลับ พอหันมาก็เห็นนายตำรวจที่เขาเดาว่าน่าจะเป็นเจ้าของบ้านยืนกอดอกพิงบันไดมองด้วยสีหน้าที่เขากล้ารับประกันว่ามันคือการแสดงออกว่าเยาะเย้ยเขาแบบเต็มกำลังมากแน่ๆ สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าเขาต้องถอยทัพกลับมานั่งจ้องหน้ากับนายตำรวจที่มีความสามารถพิเศษในการถากถางเขาทางสายตา “พีท” “??” “เรียกฉันว่าพีท เราควรจะรู้จักกันไว้เพราะยังไงนายก็ยังต้องเจอฉันอีกนาน” อาชวินขมวดคิ้วมุ่น ยังไงนะ? เจอกันอีกนาน มันจะนานซักแค่ไหนกัน พอพรุ่งนี้เขามั่นใจได้เลยว่าเดี๋ยวเขาก็โดนจับโยนเข้าไปในเรือนจำและไปอยู่ในสภาพเดิมๆ ที่วันๆต้องพบเจอแต่ผู้คุม ส่วนตำรวจนะหรอ แค่ส่งตัวเขาเสร็จก็ยังแทบจะไม่ได้เจอแล้วประสาอะไรกับตำรวจยศขนาดนี้กัน ดวงตาคู่คมกริบมองนาฬิกาที่พนักและพบว่ามันดึกแล้ว พิชญุฒม์จึงลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายหลังจากที่นั่งจ้องหน้ากับผู้ต้องหาของตัวเองมาเป็นชั่วโมง เอาจริงๆตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกหิวนิดๆแล้วด้วย แต่ไอ้ครั้นจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกก็เกรงว่าผู้ต้องหาที่เพิ่งจับมาหมาดๆจะแอบย่องหนีไป ถึงแม้เขาจะรู้วิธีลัดในการตามหาและมั่นใจในระบบความปลอดภัยของห้องตัวเองก็เถอะ แต่เล่นวิ่งไล่จับกันไปมามันก็เสียเวลาใช่เล่น คนตัวสูงเดินเข้าไปในโซนห้องครัวแต่ก็ยังไม่วายหันกลับมามองว่าอาชวินยังนั่งอยู่ที่เดิมหรือเปล่า พอเห็นว่ายังอยู่ที่เดิมมือเรียวก็คว้าถุงขนมปังและขวดนมสดที่อยู่ในตู้เย็นติดมือมาก่อนจะวางลงตรงหน้าอีกคน “ถ้ามีนักโทษมาอดตายในบ้านของฉัน ฉันคงโดนสอบสวนใหญ่แน่ๆเลยเนอะว่ามั๊ย” พูดจบก็เดินขึ้นไปชั้นบนปล่อยให้อาชวินนั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตามหลัง ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ปฏิบัติตัวกับเขาเหมือนเขาเป็นนักโทษเหลือขอแต่การวางมาดของอีกฝ่ายก็ดูน่าหมันไส้ใช่เล่น ก่อนจะคว้าขวดนมกับขนมปังมาเปิดแล้วยัดใส่ปาก ถึงมันจะไม่ค่อยโอเคกับการกินไประแวงไปแต่อาหารมือล่าสุดที่เขากินเข้าไปมันก็ตั้งเมื่อประมาณหกชั่วโมงที่แล้ว ถ้ามัวทำหยิ่งไม่ยอมกินบางทีอาจจะได้อดตายก่อนที่หาทางหนีออกไปได้ก่อนแน่ๆ พิชญุฒม์พาตัวเองที่อยู่ในสภาพพร้อมนอนแล้วเดินลงมาที่ห้องนั่งเล่นข้างล่างเห็นนักโทษของตัวเองกำลังนอนคว่ำหน้าหลับตาอยู่กับโซฟาก็เอื้อมมือไปดันจนคนที่ไม่ได้ตั้งตัวกลิ้งตกไปอยู่กับพื้นแล้วพาตัวเองขึ้นไปนอนบนโซฟาแทน “ถึงผมเป็นนักโทษแต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายร่างกายผมแบบนี้นะ” อาชวินลุกขึ้นจากพื้นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ ดวงตาคู่กลมมองอีกคนอย่างตำหนิ แต่พิชญุฒม์ก็แค่นอนมองหน้าอีกคนนิ่งๆ ก่อนจะโยนผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่ถือมาใส่หน้าอีฝ่าย แต่โชคดีเป็นของอาชวินเพราะมือขาวคว้าไว้ได้ก่อนที่ผ้าผืนนั้นจะโดนเต็มๆบนใบหน้า “นายนี่มันน่ารำคาญจริงๆ ฉันให้นายใช้ห้องน้ำข้างนอกนี่ได้ หรือถ้าคืนนี้นายคิดว่าจะนอนในสภาพเน่าๆแบบนี้ก็เรื่องของนาย อ่อ แล้วคืนนี้นายต้องนอนบนพื้นส่วนโซฟานี่ฉันจะนอน” อาชวินตาโตกับคำพูดของอีกคน กำลังจะอ้าปากแต่ก็โดนพิชญุฒม์พูดแทรกซะก่อน “รู้ไว้ซะว่าไอ้ที่ข้อมือนายหน่ะ ถ้ามันอยู่ห่างจากฉันเกินสองร้อยเมตร ไอ้นี่” พิชญุฒม์ยกแขนข้างที่มีนาฬิกาสีดำที่มีลักษณะคล้ายกับของอาชวินที่อยู่บนข้อมือขึ้นให้อีกคนดู “จะส่งสัญญาณเตือนและฉันจะรู้ในทุกๆที่ๆนายอยู่ แล้วก็… นายไม่มีทางจะปลดออกได้หลังจากที่นายใส่มันได้แล้ว” พิชญุฒม์ที่เห็นอาชวินกำลังพยายามจะแกะนาฬิกาข้อมือออกหลังจากที่ได้ยินเขาพูดก็พูดต่ออย่างเรียบๆ “ถ้าเผื่อนายสังเกตุซะบ้างทุกอย่างในบ้านนี้ใช้การสแกนลายนิ้วมือ ยกเว้นห้องน้ำที่ฉันอนุญาตให้นายใช้ และนาฬิกานั่นก็เป็นของอย่างหนึ่งที่อยู่ในบ้านนี้ แน่นอนว่ามันต้องใช้การแสกนลายนิ้วมือ และต้องเป็นลายนิ้วมือฉันเท่านั้น” “เมฆ..” อาชวินรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าจังๆ ภาพตอนอดิศรพยายามยัดเหยียดนาฬิกาเรือนนี้ให้เขาผุดเข้ามาในหัว อาชวินได้แต่คำรามชื่อของคนที่ยัดเยียดนาฬิกานี้มาให้เขาในลำคอ มือขาวกำผ้าเช็ดตัวแน่นจนฝ่ามือขึ้นรอยสีแดง ก่อนจะค่อยๆผ่อนลมหายใจออกช้าแล้วหันหลังเดินเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ก่อนถึงห้องครัว ความรู้สึกผิดหวังในตัวอดิศรถาโถมเข้ามาจนอาชวินรู้สึกหมดแรง เขาไว้ใจอดิศรมาก แต่สุดท้ายอดิศรเองที่เป็นคนส่งเขาให้เข้ามาอยู่ในมือตำรวจ มือขาวเอื้อมไปเปิดน้ำฝักบัวก่อนจะถอดเสื้อผ้าออกแล้วพาตัวเองไปยืนอยู่ใต้ฝักบัว เขาแค่หวังว่าพรุ่งนี้ตื่นมาเรื่องทั้งหมดจะเป็นแค่ความฝัน อดิศรจะยังคงเป็นอดิศรที่ปากร้ายแต่ใจดี ไม่ใช่คนใจร้ายที่ส่งเขาเข้าปากเสือง่ายๆแบบนี้... :: ฝากด้วยนะคะ ถ้าใครสะดวกรบกวนติดแท็ก #พิสูจน์รักฐาน ให้ด้วยน๊า
โดนเพื่อนหักหลังจริงเหรอ ตามต่อจ๊ะ
น่าอ่านมาก :-[ :-[
คุณตำรวจนั่นอาจจะเจรจาอะไรบางอย่างกับอดิศรไว้แล้ว และอดิศรอาจจะคิดว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีกว่าหนีไปวัน ๆ ก็ได้นะ รอตอนต่อไปค่ะ
:pig4: :pig4: :pig4:
ความรู้สึกเหมือนมีอะไรมาสะกิดตรงขาเบาๆทำให้คนที่กำลังหลับอยู่ต้องพลิกตัวหนีแต่สิ่งรบกวนก็ยังตามมาสะกิดตรงขาจนอาชวินต้องงอขาขึ้นมากอดไว้ สภาพตอนนี้ของคนที่กำลังหลับขดงอแทบจะไม่ต่างกับกุ้งแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาทั้งๆที่ตัวเองกำลังนอนอยู่บนพื้นพรมของห้องรับแขก พิชญุฒม์กอดอกมองคนนอนหลับสนิทนิ่งๆก่อนจะใช้เท้าเขี่ยไปขาของคนที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่นอีกรอบแต่อีกฝ่ายก็ยังนิ่ง นายตำรวจหนุ่มเลยเดินไปหยิบหมอนอิงบนโซฟาทั้งสองใบมาโยนใส่หน้าของคนที่กำลังหลับอยู่แบบไม่ปราณีปราศัยเท่าไหร่นัก อาชวินสะดุ้งเฮือกเมื่ออะไรบางอย่างกระทบเข้าที่ใบหน้า แม้แรงกระแทกจะไม่ได้หนักจนรู้สึกเจ็บแต่ก็ทำให้เขารู้สึกตัวสะดุ้งตื่นเปิดเปลือกตาขึ้นมามองคนที่ปะทุษร้ายร่างกายตัวเองได้ พอเห็นว่าหมอนอิงขนาดย่อมสองใบที่ลอยมากระแทกหน้าตัวเองเป็นฝีมือของใครอาชวินก็ได้แต่พ่นลมหายใจ ไม่น่าลืมเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝันและเขาต้องมานอนอยู่บนพื้นพรมที่คอนโดของนายตำรวจนี่ก็เพราะเพื่อนสนิทที่หักหลังกัน “ฉันให้เวลานายไปล้างคราบน้ำลายแล้วอาบน้ำแต่งตัวสิบนาที ถ้าช้ากว่านั้นฉันจะลากนายออกไปทั้งแบบนี้แหล่ะ” สายตาที่ไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบหน่ายๆจนอาชวินต้องแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะลุกขึ้นเดินหยิบหมอนอิงใบน้อยขึ้นมาวางแรงๆบนโซฟาเพื่อแสดงออกว่าไม่ค่อยพอใจก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป อาชวินใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็เรียบร้อย แต่ตอนนี้ปัญหาใหญ่ของเขาคือยังไม่สามารถออกไปจากห้องน้ำได้ ไม่ใช่เพราะระบบเซ็นเซอร์บ้าบอของเจ้าของคอนโดแต่เป็นเพราะความสะเพร่าของตัวเองที่ตอนเดินเข้ามามัวแต่มึนๆเลยไม่ได้หยิบเข้ามาทั้งเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัว อาชวินยืนทำใจอยู่หน้ากระจกก่อนจะถอนหายใจแรงๆออกมา บางทีก็อยากจะให้เรื่องนี้กลายเป็นแค่ความฝันบ้าๆของคนที่กินอิ่มเกินไปแล้วนอนหลับ แต่เหตุการณ์เมื่อคืนมันก็พิสูจน์แล้วว่าเรื่องทั้งหมดคือเรื่องจริง ก๊อกก๊อกก๊อก “อาชวิน ฉันให้เวลานายอาบน้ำแค่สิบนาทีนะไม่ใช่สิบชั่วโมง” เสียงเรียกที่ดังมาจากข้างนอกทำเอาคนที่กำลังยืนโป๊สะดุ้งเฮือกแล้วยกมือขึ้นมาปิดร่างกาย ถึงแม้จะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่การแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นมันก็ดูจะใจกล้าไป “คุณตำรวจใจเย็นๆซิครับ ผมลืมเอาผ้าเช็ดตัวเข้ามาหยิบผ้าเช็ดตัวส่งมาให้หน่อย อ่อแล้วก็ถ้าไม่รบกวนเกินไปผมขอยืมเสื้อผ้าด้วยก็ดีนะครับ” อาชวินตะโกนตอบกลับไปแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ ในใจก็แอบคิดว่าเจ้าของคอนโดอาจจะเดินห่างออกไปจนไม่ได้ยินเสียงตะโกนแล้ว จนซักพักนึงได้ยินเสียงกุกกักตรงประตูห้องน้ำพอจะเอื้อมมือไปเปิดลูกปิดประตูก็ถูกเปิดออกและยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวตะโกนด่าหรือตกใจผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าก็ถูกปาใส่หน้าก่อนที่เสียงประตูจะปิดตามดังปัง “ไอ้ตำรวจเฮงซวย...” อาชวินได้แต่ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่บานประตูก่อนจะรีบใส่แต่งตัวให้เสร็จ เขาไม่น่าลืมว่าทุกอย่างในคอนโดหลังนี้รวมไปถึงประตูห้องน้ำนี่ก็ด้วยที่ใช้การสแกนลายนิ้วมือของเจ้าของคอนโด กว่าที่ทั้งนายตำรวจหนุ่มของหน่วยสืบสวนสืบสวนของกองพิสูจน์หลักฐานและนักโทษส่วนตัวจะออกจากคอนโดที่พักมาจนถึงสำนักงานก็ทะเลาะกันไปอีกชุดใหญ่เมื่ออาชวินพยายามจะหาวิธีหนีแต่ก็โดนตำรวจเจ้าของคดีอย่างพิชญุฒม์ดักทางไว้ได้จนต้องเอากุญแจมือมาคล้องมือข้างหนึ่งของอาชวินไว้กับข้อมือตัวเอง ถึงพิชญุฒม์จะมั่นใจว่ายังไงซะเขาก็ตามอีกคนเจอแน่ๆแต่ทำไมเขาจะต้องเสียเวลาวิ่งเล่นไล่จับอีกหล่ะในเมื่อยังมีคดีอีกมากมายให้รอเขาไปสะสาง พิชญุฒม์ลากนักโทษของตัวเองมานั่งอยู่กลางห้องทำงานก่อนจะไขกุญแจมือออกจากตัวเองแล้วเอาไปคล้องกับขาโต๊ะก่อนที่ตัวเองจะลุกมานั่งที่โต๊ะทำงานแล้วเปิดแลปท็อปเพื่อดูรายงานความคืบหน้าของคดีที่ตัวเองดูแลอยู่ เพราะเมื่อวานมัวแต่ไปเล่นวิ่งไล่จับกับเด็กแถวนี้เลยทำให้ต้องพับงานบางส่วนเก็บไว้ก่อน พิชญุฒม์เหลือบสายตาขึ้นมามองคนที่นั่งนิ่งๆอยู่บนที่โต๊ะกลางห้องเป็นระยะ ถึงแม้จะเอากุญแจมือล็อกไว้กับโต๊ะแล้วก็เถอะ แต่เด็กคนนี้ไว้ใจได้ที่ไหน “สารวัตรครับ.... เห้ยยยยย” คนที่เปิดประตูเข้ามาโดยไร้ซึ่งการเคาะก้าวพรวกมายืนตรงโต๊ะกลางห้องก่อนจะมองคนรงหน้าแบบอึ้งๆ สารวัตรพิชญุฒม์ไปพาเด็กคนนี้มาได้อย่างไงกัน “สารวัตรครับบางทีเรื่องนี้ก็ต้องมีขยายหรือเปล่า?” พิชญุฒม์ไม่ตอบอะไรอีกคนนอกจากยักไหล่แล้วก้มลงพิมพ์ต๊อกแต๊กลงบนแป้นพิมพ์ต่อไป เอกภพกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเซ็งๆกับพวกชอบวางฟอร์มแล้วหันมาสนใจคนตรงหน้า ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งจ้องหน้าอีกคนจนอาชวินต้องขยับตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงออกให้เอกภพรู้ว่าเขาเริ่มอึดอัดกับการโดนนั่งจ้องแบบไม่พูดอะไรของคนตรงหน้าแล้วนะ “ฉันชื่อเอกภพ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายพิสูจน์หลักฐานทางด้านเคมี ส่วนนายไม่ต้องแนะนำตัวหรอกฉันรู้จักนายแล้ว” พูดจบก็ยิ้มจนอาชวินได้แต่ตอบรับด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ เพราะคงไม่ใช่ด้านที่ดีแน่ๆที่อีกฝ่ายรู้จัก “จริงๆฉันอยากได้นายมาช่วยงานมากเลย ความสามารถระดับหาตัวจับยากของนายเนี่ย แต่ติดที่คนมีอำนาจในมือบางคนแค่นั้นแหล่ะ” เอกภพลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบตรงท้ายประโยค แต่เพราะห้องที่ไม่ได้ใหญ่มากหรือเพราะเอกภพไม่ได้จงใจกระซิบเสียงเบาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ พิชญุฒม์ที่นั่งอยู่หน้าแลปท็อปถึงได้ตวัดสายตาขึ้นมามองก่อนจะก้มลงพิมพ์งานอะไรซักอย่างต่อไป “เอาจริงนะอาชวินนี่ถ้าได้นายมาช่วยนะ ป่านนี้คดีนี้ต้องปิดไปแล้วแน่ๆ” เอกภพแกล้งพูดเสียงดังเพื่อให้คนที่กำลังตั้งใจกับงานตรงหน้าเกินเหตุได้ยิน “ฉันเคยอ่านวิจัยที่นายทำสมัยเรียนทั้งวิธีการสังเคราะห์ ทั้งการวิเคราะห์ ฉันว่าอย่างน้อยนายก็น่าจะช่วยฉันได้มากกว่าใครบางคนที่วิชาเคมีไม่กระเตื้องแต่ก็ได้รับแต่คดีแบบนี้” “แล้วฉันอกหรือไงว่าจะส่งเด็กนั่นกลับไปในตะรางหน่ะ” พิชญุฒม์เงยหน้าขึ้นมามองคนพูดมากตาขวางก่อนจะเหลือบสายตาไปมองคนที่เป็นประเด็นในบทสทนาที่กำลังมองเขามาอย่างงงงวย “ฉันพานายมานี่ก็เพราะเรื่องนี้อาชวิน” “แล้วผมต้องตกลงหรอ?” ประโยคแรกของคนที่เด็กที่สุดในห้องเรียกเสียงร้องอ้าวอย่างเสียดายของเอกภพ แต่ก็สร้างปฏิกิริยาให้คนที่มีอำนาจในมือได้แค่ยกคิ้วพลางยิ้มมุมปาก “คิดว่านายมีทางเลือกได้มากแค่ไหนหรอ” พิชญุฒม์พาร่างกายตัวเองลุกจากโต๊ะทำงานแล้วเดินมาเท้าแขนกับโต๊ะก่อนจะโน้มตัวลงไปจนใบหน้าห่างจากนักโทษตัวเองไม่มากนักก่อนจะเริ่มพูดต่อ “สำหรับฉันทางเลือกมีมากกว่าหนึ่ง แต่สำหรับนายทางเลือกมีแค่หนึ่งซึ่งก็คือกลับเข้าไปในที่ๆนายออกมา แต่สำหรับฉันมีสิทธิ์เลือกว่าจะให้นายอยู่นี่หรือกลับเข้าไปที่นั่น เพราะงั้นเลิกดื้อแล้วเป็นเด็กดีซะนะ” พิชญุฒม์ยกยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่ซ่อนอยู่พร้อมกับวางมือบนหัวอีกฝ่ายด้วยท่าทีเหมือนผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กเล็กๆซะเต็มประดาก่อนจะถอยหลังกลับไปยืนกอดอกมองคนที่นั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะทำอะไรเขาไม่ได้ พิชญุฒม์กล้าพนันเลยว่าถ้าตอนนี้เด็กนั่นไม่ได้ถูกพันธนาการด้วยกุญแจมือเขาคงโดนต่อยจนเลือดกลบปากไปแล้วแน่ๆ “โหสารวัตร สุดยอด... ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ผมคาดเดาความคิดสารวัตรไม่ได้ สุดยอดจริงๆ” เอกภพปรบมือแปะๆให้กับพิชญุฒม์ แต่อีกคนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดกึ่งทึ่งกึ่งประชดประชันของคู่หูเท่าไหร่นัก กว่าพิชญุฒม์จะปลดกุญแจมือออกจากข้อมืออาชวินก็ซัดเข้าไปจนถึงเวลาอาหารกลางวัน แต่กว่าจะปลดได้พิชญุฒม์ก็ไม่วายที่จะข่มขู่อาชวินว่านาฬิกาที่เจ้าตัวใส่นั้นติดจีพีเอสต่อให้หนีไปไกลแค่ไหนก็จะตามตัวไปจนเจอจนอาชวินกรอกตาอย่างหน่ายๆ มาถึงขนาดนี้เขาก็คงไม่คิดจะหนีแล้วแหล่ะ เล่นดักทุกวิถีทางแถมมัดมือชกเรื่องให้มาเป็นผู้ช่วยนักวิจัยนั่นอีก แต่พอคิดเล่นๆว่าแอบระเบิดห้องทดลองแล้วหนีไปดีกว่าไหมก็โดนอีกคนดักทางจนได้แต่เบ้ปาก ช่วงบ่ายคือช่วงที่อาชวินสบายใจที่สุดทั้งแต่โดนจับตัวได้ เพราะพิชญุฒม์ปล่อยให้เขาไปอยู่ในห้องทดลองกับผู้กองเอกภพ แต่ก็ใช่ว่าอีกคนจะไปไหนไกล นั่งพิมพ์งานอะไรก็ไม่รู้อยู่หน้าห้องทดลองโน้น พอเข้ามาในห้องทดลองอาชวินก็มองรอบๆอย่างตะลึง อุปกรณ์ทำการทดลองที่ถูกจัดไว้เป็นสัดส่วนมีป้ายบอกประเภทชัดเจน อุปกรณ์ทุกอย่างอยู่ในสภาพใหม่เอี่ยม เคยคิดว่าห้องทดลองตัวเองตอนเรียนมันดูดีแล้วนะ แต่พอมาเจออะไรแบบนี้มันเทียบไม่ได้เลย พอเห็นเค้าท์เตอร์ทดลองที่เต็มไปด้วยบีกเกอร์ขนาดต่างๆที่ข้างในมีสารต่างๆอยู่ยิ่งทำให้รู้สึกใจเต้นแรง นักวิจัยสองสามคนที่ใส่เสื้อกาวน์เดินไปเดินมาทำให้อาชวินลอบยิ้มออกมาเบาๆ บรรยากาศที่เหมือนอดีตพัดเข้ามาจนทำให้ลืมเรื่องราวหนักๆในปัจจุบันไปซะหมด อาชวินเดินไปหยิบบีกเกอร์ขนาดเล็กที่บรรจุน้ำหนืดๆสีเหลืองอยู่ข้างใน กลิ่นจางๆที่ระเหยออกมาจากบีกเกอร์ทำให้เผลอเรียกชื่อสารออกมาเบาๆ “ไตรเอทาโนลามีน” “ใช่ ไตรเอทาโนลามีน” นักวิจัยคนนึงเดินเข้ามาใกล้ๆก่อนจะยกยิ้มกว้างจนดวงตาทั้งสองปิดสนิท “ฉันชื่อกายนะเป็นผู้ช่วยนักวิจัยอยู่ที่นี่ยินดีที่ได้รู้จักนะ ผู้กองเอกภพบอกแล้วแหล่ะว่าแล็บเราจะมีเพื่อนใหม่ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันเร็วๆนี้นะ” พูดจบก็เอื้อมหยิบไมโครปิเปตที่อยู่ในที่เก็บมาปรับสเกลปริมาตรก่อนจะทำการทดลองในส่วนของตัวเองต่อไป สามวันแล้วที่ห้องทดลองประจำหน่วยได้ต้อนรับผู้ช่วยนักวิจัยคนใหม่ อาชวินในชุดเสื้อกาวน์สวมแว่นตากันสารกำลังนั่งทำการไทเทรตสารที่อยู่ใน flask จนมันเปลี่ยนสีจากสีเหลืองมาเป็นสีเขียว ดวงตาคู่กลมมองไปยังสเกลปิเปตก่อนจะทำการจดบันทึกลงไปในล็อคบุ๊คของตัวเองแล้วไทเทรตต่อจนกลายเป็นสีน้ำเงินก็ก้มหน้าก้มตาจดต่อก่อนจะย้ายไปนั่งกดเครื่องคิดเลขคำนวณความเข้มข้นต่างๆ อาชวินทำแบบนี้อยู่สามครั้งก่อนจะเดินถือล็อคบุ๊คของตัวเองไปนั่งพิมพ์ข้อมูลเอาไว้รายงานผู้กองเอกภพ พิชญุฒม์ยืนมองคนที่ทำการทดลองจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวอยู่หน้าห้องทดลอง เขาไม่ค่อยอยากจะย่างกรายเข้าไปในนั้นซักเท่าไหร่เพราะครั้งนึงเคยเข้าไปแล้วทำสารตั้งต้นอะไรซักอย่างของเอกภพก็ไม่รู้หก เจ้านั่นแทบจะจับเขากรอกปากด้วยไซยาไนต์ทั้งๆที่เขาเป็นหัวหน้าของอีกฝ่าย หลังจากนั้นเลยถูกห้ามเข้าห้องนี้ก่อนได้รับอนุญาต คนตัวสูงยืนมองเด็กที่กำลังนั่งกดเครื่องคิดเลขต๊อกแต๊กซักพักก็ขมวดคิ้วมองล็อคบุ๊คฝั่งซ้ายแล้วหันไปมองไดเร็คชั่นแล็บฝั่งขวาก่อนจะก้มลงกดเครื่องคิดเลขต่อแล้วก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดซักพักก็เดินไปหยิบบีกเกอร์อะไรซักอย่างมานั่งมองแล้วก็จดยุกยิกคิ้วที่ขมวดก็คลายลงกลายเป็นรอยยิ้มอ่อนๆ “มายืนมองผู้ช่วยผมทุกวันนี่มันทำให้คดีของสารวัตรคืบหน้าหรอครับ” น้ำเสียงหยอกเอินที่มาพร้อมกับร่างของคู่หูของตัวเอง พิชญุฒม์ทำเพียงแค่เหลือบมองด้วยหางตาก่อนจะกลับมาสนใจคนที่อยู่ในห้องทดลองต่อ “ก็แค่มาดูให้แน่ใจว่าผู้กองไม่ได้ปล่อยนักโทษของฉันหนีไปไหน” พูดจบก็ยกมือขึ้นมากอดอกแล้วทิ้งตัวพิงสะโพกไว้กับระเบียงทางเดินด้วยท่าทีสบายๆจนเอกภพต้องเบ้ปากให้กับคนท่ามาก “แล้วเป็นคดีไงไปถึงไหนแล้วครับสารวัตร ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เข้าไปลงทางนู้นเท่าไหร่งานในแล็บค่อนข้างเยอะเลยไม่ค่อยได้ช่วยสารวัตรเท่าที่ควรเลย” “แค่นี้ก็ช่วยเยอะแล้วผู้กองตอนนี้ก็รอผลจากนายอยู่นี่ไงไปถึงไหนแล้วหล่ะ? แล้วตกลงว่าเป็นโลหะหนักประเภทไหน?” “หมูเอาผลการวิเคราะห์มาให้ดูเมื่อวานว่าเป็นโครเมียม เห็นบอกว่าวันนี้จะวิเคราะห์ให้ว่าเป็นตัวไหน จริงๆเหมือนหมูจะวิเคราะห์ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะแต่ไม่รู้ว่าโดนใครลักพาตัวหายไปตั้งแต่หกโมงเย็น” เอกภพแกล้งเน้นท้ายประโยคไปทางนายตำรวจยศสูงกว่าที่ยืนกอดอกไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อคำพูดของเขา “แล้วไงต่อ” “ก็ไม่แล้วไงอ่ะครับ วันนี้หมูน่าจะสรุปผลได้แล้วมั้ง เอาจริงๆนะสารวัตร หมูเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ด้านนี้มากจริงๆ” ฟังจากน้ำเสียงชื่นชมของเอกภพไม่ต้องหันไปมองพิชญุฒม์ก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังปลื้มปริ่มกับเด็กใหม่คนนี้แค่ไหน “ไม่เกินสองเดือนเด็กนั่นต้องหาทางวิเคราะห์สารที่อยู่ในหนูตัวนั้นได้แน่ๆ” “ดูนายจะสนิทกับนักโทษของฉันเร็วจังเลยนะผู้กอง” พิชญุฒม์หรี่ตามองอีกฝ่ายแต่ผู้กองเอกภพก็แค่รับคำด้วยการหัวเราะลงลูกคออย่างที่ทำตามปกติเพื่อบอกว่าสารวัตรของเขาคิดมากเกินไปแล้ว “นี่ครับผลการทดลอง” อาชวินยื่นผลการทดลองที่ตัวเองใช้เวลาถึงสองวันในการวิเคราะห์ให้คนที่มีศักดิ์เป็นผู้บังคับบัญชาของตัวเองก่อนจะอธิบายผลคร่าวๆ “เฮกซะโครเมียมที่ถูกรีดิวซ์มาจากไตรโครเมียม” เอกภพพยักหน้ารับเบาๆสายตาก็กวาดไปตามตัวอักษรที่อีกฝ่ายเขียนรายงานผลการทดลองมาให้ คดีล่าสุดที่สารวัตรพิชญุฒม์และเขาต้องรับผิดชอบเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลหะหนักที่ถูกดูดซึมเข้ามาอยู่ในเม็ดเลือดแดงของผู้เสียชีวิตคนหนึ่ง ทั้งๆที่ผู้ตายอยู่ห่างจากบริเวณที่มีการก่อสร้างแต่ก็ยังรับเฮกซะโครเมียมเข้าไปจำนวนมากจนเป็นพิษขนาดนี้ “พอจะรู้ไหมว่าอะไรน่าจะเป็นสารที่ทำให้ไตรโครเมียมถูกรีดิวซ์มาเป็นเฮกซะโครเมียม” “ตามผลที่ได้มาจากการทดลองเทียบกับตัวอย่างคิดว่าน่าจะเป็นไอโอดีน” เอกภพเลิกคิ้วมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก่อนที่อาชวินจะพูดต่อ “ผมตรวจเจอสารไอโอดีนจากอาหารของผู้ตาย จริงอยู่ครับที่เขาทานอาหารทะเลและอาจจะสรุปได้ว่าเขาอาจจะเกิดอาการแพ้อาการทะเล แต่ เปอไอโอเดตก็สามารถออกซิไดซ์ไตรโครเมียมให้กลายเป็นเฮกซะโครเมียมได้ ก่อนที่ตัวมันจะกลายเป็นแค่ไอโอดีนธรรมดาได้นี่ครับ” “แล้วถ้าเปอไอโอเดตกลายเป็นไอโอดีนได้หมด ตอนที่ตรวจอาหารทะเลหรือแม้แต่เกลือที่ปรุงอาหารก็ไม่มีใครรู้ว่าเฮกซะโครเมียมมาจากไหนเพราะมันอันตรายกับทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งคนร้ายจนไม่มีใครกล้าเสี่ยงขนาดเอามาลอบทำร้ายคนอื่นได้แบบตรงๆ” “ทำได้ดีมากหมู” เอกภพยกยิ้มกว้างจนอาชวินอดจะแอบยิ้มเขินๆตอบรับคำชมนั้นไม่ได้ นานแค่ไหนแล้วก็จำไม่ได้ที่มีคนมาชมเขาด้วยใจจริงแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นคำชมสั้นๆแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่ามากกว่าเดิมอีกซักร้อยเท่าได้ เป็นอีกครั้งที่อาชวินได้มายืนอยู่กลางห้องทำงานของพิชญุฒม์ หลังจากวันนั้นอาชวินก็แทบจะไม่ได้เหยียบเข้ามาในส่วนที่เป็นห้องทำงานของสารวัตรเท่าไหร่เพราะไปหมกตัวอยู่ในห้องทดลองกับผู้กองเอกภพและนักวิจัยคนอื่นๆแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้เจอนายตำรวจซะเมื่อไหร่ ในเมื่อพิชญุฒม์ไม่คิดจะให้เขาไปพักที่อื่นเจ้าตัวอ้างเหตุผลประสาทๆว่าเดี๋ยวเขาหนีไปไกลตาแล้วเขาจะไปแอบทำระเบิดมาระเบิดสำนักงานเลยต้องพาตัวเขากลับไปไว้ที่คอนโดตัวเองเพราะตัวเองถือคติว่าเก็บของอันตรายไว้ใกล้ตัวจะปลอดภัยที่สุด อาชวินเคยพยายามต่อรองว่าให้เขาไปอยู่กับเอกภพก็ได้เพราะอย่างน้อยเอกภพก็เคยผ่านการฝึกตำรวจมาเหมือนกันคงไม่ปล่อยให้คนง่อยๆทางด้านการต่อสู้อย่างเขาทำร้ายเอาได้หรอก อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอกว่าเอกภพใจดีเกินไปกลัวจะโดนเขาหลอกเอาจนอาชวินจนปัญญาที่จะเถียงเลยปล่อยให้มันเลยตามเลยไป “เป็นไงมั่งครับสารวัตรจากผลการทดลองพอจะสรุปอะไรได้มั่งป่าว” “มั่นใจได้ยังไงผู้กองว่าผลการทดลองจะไม่ผิด” “โธ่สารวัตร มันใช่เวลามากวนหมูหรือเปล่าครับ เอ้าเอาไปครับสรุปผลการทดลอง” เอกภพวางนแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะทำงานของคนที่กำลังนั่งอยู่หน้าแลปท็อป พิชญุฒม์รับไปเปิดอ่านคร่าวๆก่อนจะวางลงก่อนจะเหลือบสายตามามองคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกลางห้องแล้วหันกลับมามองหน้าเอกภพ “แล้วผลจากกองพิสูจน์หลักฐานหล่ะเป็นยังไงมั่ง” น้ำเสียงที่ถูกปรับขึ้นมาเป็นโทนจริงจังทำเอาเอกภพต้องเลื่อนเก้าอี้มานั่งตรงหน้าอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าอาจจะต้องคุยกันยาว สองคู่หูนั่งถกข้อสันนิษฐานของตัวเองจนกินเวลามาเกือบสามชั่วโมงทั้งเอกสารและรูปถ่ายถูกนำมากางจนเต็มโต๊ะกลางห้องซึ่งตอนนี้อาชวินโดนพิชญุฒม์ไล่ให้ไปนั่งอยู่มุมห้องเพราะเจ้าตัวบอกว่าเขากำลังเกะกะการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ก่อนที่พิชญุฒม์และเอกภพจะเก็บรวบรวมเอกสารเอาไปกองไว้บนโต๊ะทำงานพิชญุฒม์และบางส่วนก็ถูกเก็บเข้าไปในล็อกเกอร์ด้านหลังโต๊ะทำงาน “ลุกซิ” พิชญุฒม์หันมาบอกคนที่กำลังนั่งเงยหน้ามองตัวเองอยู่ แววตากลมโตฉายแววสงสัยแบบปิดไม่มิดแต่เจ้าตัวก็ไม่คิดจะขยายความก่อนจะเดินไปคว้าเสื้อคลุมส่วนเอกภพเดินออกจากห้องไปแล้ว อาชวินนึกว่าพิชญุฒม์หมายถึงให้ลุกเพื่อเตรียมตัวกลับคอนโด เจ้าตัวเลยไม่ได้เร่งรีบเท่าไหร่จนเสื้อคลุมถูกโยนใส่หัวนั่นแหล่ะถึงได้หันมาตวัดดวงตามองอีกฝ่าย “ชักช้า” พูดจบก็เดินออกจากห้องไปปล่อยให้คนถูกว่าอ้าปากพะงาบๆมองตามอย่างงงๆ อาชวินเดินถือเสื้อคลุมที่พิชญุฒม์โยนให้มาตามทางเดินที่อีกคนเคยพาเขาเดินมา ก็แน่ละถ้าพิชญุฒม์ไม่พามาเขาก็คงไม่คิดจะย่างกรายเดินเข้ามาในที่แบบนี้หรอก แต่เหมือนอาชวินจะคิดผิดที่เดินออกมา เพราะรู้สึกว่ายิ่งเดินเหมือนจะยิ่งผิดทาง จำได้ว่าตอนอีกคนพามาเขาก็เดินมาทางนี้ตลอด ซึ่งจริงๆแล้วเขาก็เพิ่งเคยเดินผ่านสองครั้งเพราะพิชญุฒม์ชอบพาเขาเดินวนไปนู้นมานี่เพื่ออะไรก็ไม่รู้แต่ถ้าให้เดาคงกลัวว่าเขารู้เส้นทางแล้วจะวางแผนหาทางหนีออกไปจากที่นี่เป็นแน่ อาชวินเดินเลี้ยวไปทางที่คิดว่าควรจะเป็นทางออกแต่ก็เหมือนจะคิดผิดเพราะยิ่งเดินก็เหมือนจะยิ่งหลง พอจะย้อนกลับทางเดิมก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองแยกเข้ามาตั้งแต่ประตูไหน ถึงเขาจะเก่งจนค่อนไปทางมีพรสวรรค์ด้านวิทยาศาสตร์แต่ก็ใช่ว่าเขาจะแม่นทิศทางซะทีไหน ไปไหนมาไหนอาศัยความคุ้นเคยทั้งนั้น ชีวิตที่ไปมากับแค่หอพักและห้องทดลองจะมีอะไรให้จดจำมากซักเท่าไหร่ คนรูปร่างโปร่งตัดสินใจหันหลังกลับเผื่อจะเจอใครซักคนเดินผ่านมาแล้วให้พาเขาไปหาผู้กองเอกภพหรือสารวัตรพิชญุฒม์ อย่างน้อยตอนนี้ได้เจอพิชญุฒม์ก็ยังดีกว่าเดินวนอยู่ในสำนักงานที่นี่ก็แล้วกัน เสียงฝีเท้าของใครซักคนเดินเข้ามาใกล้ในจังหวะไม่ช้าไม่เร็วทำให้อาชวินหยุดรอตรงหัวมุมทาเลี้ยงเพื่อรอถามทาง “โอ๊ย!” แต่พอโผล่หน้าไปยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แขนก็โดนคนนิรนามจับบิดจนต้องร้องออกมา แต่พอเสื้อคลุมที่ถือมาด้วยลงไปกองอยู่กับพื้นแรงที่บิดแขนอยู่ก็แผ่วลง “อ้าวโทษทีนึกว่าพวกลักลอบเข้ามาสืบอะไร” เจ้าของเสียงก้มลงไปเก็บคลุมที่ร่วงอยู่กับพื้น “เด็กใหม่ทีมสารวัตรพิชญุฒม์หรอครับไม่เคยเห็นหน้าเลย เสื้อคลุมมันบอกหน่ะ” คนแปลกหน้าอธิบายเมื่อเห็นว่าอาชวินทำหน้าสงสัย อาชวินทำหน้างงเล็กน้อยตอนที่อีกฝ่ายส่งเสื้อสูทกลับมาให้ พอลองคลี่ออกถึงได้รู้ว่าสูทตัวนั้นกลัดเข็มกลัดไว้ตรงอกเสื้อเป็นสัญลักษณ์อะไรไม่รู้ แต่เขาคิดเอาเองว่าคงเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยงานเจ้าของเสื้อตัวนี้มั้ง “อ่า.. ใช่ครับ พอดีผมเพิ่งมาเริ่มงานได้สามวัน แต่ตอนนี้ผมหลงทางเลยคลาดกับเขาหน่ะครับ” อาชวินส่งยิ้มแหยๆให้กับอีกคนก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะเบาๆตอบกลับมา “ไม่แปลกหรอกครับวันแรกที่ผมมาผมก็หลง” คนแปลกหน้าส่งยิ้มกว้างก่อนจะพูดต่อ “ถ้าจะออกไปข้างนอกต้องเดินไปทางนั้นครับ ตรงไปประมาณสองทางเลี้ยวแล้วค่อยเลี้ยวตรงทางเลี้ยวที่สามนะครับ ทางนั้นจะเป็นทางออกไปด้านนอก อ่อแล้วบริเวณนี้อย่าหลงเข้ามาบ่อยนะครับ เพราะถ้าคนที่มาเจอไม่ใช่ผมอาจจะแย่ได้” “ขอบคุณนะ” อาชวินเอ่ยขอบคุณเบาๆเตรียมตัวจะหันกลับไปตามทางที่อีกคนบอก แต่เสียงที่เอ่ยขึ้นของอีกคนทำอาชวินต้องชะงัก “อ่อลืมแนะนำตัว ผมชื่อศุภวิชญ์ หรือจะเรียกผมว่าวิทย์ก็ได้ครับ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันนะครับ” :: ตอนนี้มาพร้อมกับศัพท์วิชาการเยอะนิดหน่อยนะคะ ถ้าไม่เข้าใจก็บอกได้นะคะ จริงๆมันไม่ได้สำคัญอะไรมากแต่เพื่อความสมจริง(?)เนอะ ;__;
บทที่5 อาชวินเดินงมทางออกจนมาเจอพิชญุฒม์ที่ยืนเต๊ะท่าสองมือล้วงกระเป๋าอยู่หน้าสำนักงาน แอบเบ้ปากใส่เล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายหันมาเห็น พิชญุฒม์ยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าเขามาสาย อาชวินเลยทำแค่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก็ในเมื่อมันไม่ใช่ความผิดเขาที่เดินหลงเขาจะไปใส่ใจทำไม “มาช้านะ หาทางหนีอยู่หรอ” ทันทีที่ทั้งคู่ยัดตัวเขามาอยู่ในรถโดยที่อาชวินยังไม่ทันจะได้คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยคำพูดถากถางจากอีกคนก็ดังขึ้นจนดวงตากลมโตได้แต่กรอกไปมาอย่างเซ็งๆ อาชวินดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดตามปกติทำเป็นไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายถาม จนพิชญุฒม์ต้องจิ๊ปากแล้วเคลื่อนรถออกจากที่จอด ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมทุกอาณาเขตของพื้นที่ในรถจนถึงที่หมาย บ้านสไตล์ร่วมสมัยหลังใหญ่เปิดต้อนรับนายตำรวจหนุ่มและคู่หูจำเป็น บริเวณรอบบ้านล้อมรอบไปด้วยที่กั้นสีเหลืองรอบบ้าน บรรยากาศเงียบสงบเพราะปราศจากซึ่งผู้คนยิ่งชวนให้ดูวังเวงเข้าไปใหญ่ อาชวินกรอกสายตามองรอบๆตัวบ้านที่เดาเอาเองว่าน่าจะเหมือนเดิมเพราะทางเจ้าหน้าที่คงไม่อยากให้ใครมายุ่มย่ามที่เกิดเหตุจนกว่าคดีจะคลี่คลายแน่ๆ ภายในห้องอาหารกว้างๆของบ้าน สภาพเก้าอี้ที่ล้มกะเท่เร่กับร่องรอยหลายๆอย่างยังเป็นตัวบ่งชี้ว่าน่าจะไม่มีใครเข้ามาขยับให้ที่เกิดเหตุเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร พิชญุฒม์ก้มๆเงยๆไปรอบห้องโดยที่อาชวินทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆอยู่ซักมุมหนึ่งเพื่อไม่ให้เกะกะการทำงานของอีกคน ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มแบบหนุ่มใต้ที่จดจ่อกับอะไรซักอย่างหลังจากนั้นก็ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดแล้วก็หยิบสมุดออกมาจดยุกยิกแล้วก็ก้มลงไปดูจุดต่างๆอีกรอบ ท่าทางที่ดูจริงจังและเคร่งขรึมจนเหมือนคนละคนทำเอาอาชวินอดชื่นชมในใจไม่ได้ เวลางานกับเวลาส่วนตัวพิชญุฒม์สามารถแยกมันออกจากกันได้จนเหมือนคนละคนกับคนที่คอยแกล้งเขาและประชดเขาไปมา พิชญุฒม์ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงกับการเดินไปสำรวจจุดนั้นแล้วกลับมาจุดนี้แล้วไปจุดนั้นต่อ จดอะไรยุกยิกลงสมุดบางทีก็ขมวดคิ้วเหมือนคิดอะไรออกมาแล้วไม่ตรงกันซักอย่างแล้วสุดท้ายก็วกกลับไปที่จุดเดิมก่อนจะเริ่มต้นเดินสำรวจวนไปวนมาอีกครั้ง จริงๆนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พิชญุฒม์มาสำรวจที่นี่ เขามาตั้งแต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังเกิดเรื่องเพื่อเก็บข้อมูลหลักฐานและวันนี้เขาก็แค่มาเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีบางอย่างที่มันตีกันอยู่ในหัวเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อจะปิดคดี ประตูคอนโดหรูถูกเปิดออกด้วยการแสกนลายนิ้วมือแล้วจบด้วยการแสกนลายนิ้วมืออีกรอบของเจ้าของบ้านก่อนที่ระบบรักษาความปลอดภัยจะทำการล็อกตัวเองเมื่อผู้อาศัยทั้งสองเดินเข้ามาภายใน สถานที่สำหรับใช้นอนของอาชวินยังคงเป็นโซฟาห้องนั่งเล่นแต่ดีหน่อยที่พิชญุฒม์อนุญาตให้อีกคนเข้าไปอาบน้ำที่ห้องของตัวเองได้ เพราะถ้าหากจะขนเสื้อผ้ามาตั้งทิ้งไว้กลางห้องนั่งเล่นก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่ ถึงปกติคอนโดห้องนี้จะไม่ค่อยมีแขกมาเยี่ยมเยือนก็เถอะแต่อย่างน้อยก็ไม่ควรทำให้รกไปมากกว่านี้ ร่างโปร่งทิ้งตัวลงนอนยาวบนโซฟาในขณะที่พิชญุฒม์เดินขึ้นไปชั้นสอง กิจวัตรประจำวันของทั้งสองคนก็มีแค่นี้ อาชวินขอเปรียบที่แห่งนี้เป็นเหมือนคุกขนาดย่อมๆแต่ระบบรักษาความปลอดภัยเยี่ยมยอดกว่าเรือนจำที่เขาเคยอยู่ซะอีก แถมยังมีการบำเพ็ญประโยชน์เหมือนกันอีกต่างหากเพียงแต่ในเรือนจำอาจจะเป็นงานเล็กๆน้อยๆแต่ห้องขังที่ชื่อว่าคอนโดของพิชญุฒม์นี่ดันเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ที่สามารถตัดสินชีวิตคนๆนึงได้เลยทีเดียว สองทุ่มครึ่ง หน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาตามนั้นแต่เจ้าของห้องอย่างพิชญุฒม์ยังคงขีดๆเขียนๆตัวหนังสืออยู่บนหน้ากระดาษ มีบ้างที่ขีดทิ้งแล้วเขียนใหม่ก่อนจะสรุปทุกอย่างลงในแล็บท็อปอีกที ตั้งแต่กลับมาถึงห้องเมื่อประมาณบ่ายสี่โมงพิชญุฒม์ก็เอาแต่ขลุกตัวเองอยู่บนห้อง คดีล่าสุดที่เขาดูแลคลี่คลายได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว หลักฐานทุกอย่างพร้อมหมดแล้วเหลือเพียงแต่สรุปทุกอย่างให้ออกมาเป็นรูปเล่มที่สมบูรณ์ ทั้งๆที่ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องทำก็ได้เพราะแค่ปิดคดีได้และคนร้ายถูกจับรายงานแผ่นเดียวก็พอแล้ว แต่สำหรับพิชญุฒม์เขามองว่าการตัดสินคดีก็เหมือนกระจกหากไม่รอบคอบพอแล้ววันหนึ่งเกิดความผิดพลาดกับการปิดคดีมันอาจจะกลายมาเป็นงูที่พันรอบคอตัวเองอยู่ก็เป็นได้ นายตำรวจหนุ่มเจ้าของ่วนสูงมากกว่ากว่า183ลุกขึ้นบิดขี้เกียจเพื่อไล่ความเมื่อยขบออกหลังจากที่กดเซฟงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พอเหลือมองนาฬิกาอีกทีก็ปาไปเกือบสี่ทุ่มแล้ว ท้องที่ไม่มีอาหารหล่อเลี้ยงมาร่วมหกชั่วโมงก็พร้อมใจกันร้องประท้วงจนต้องเบ้หน้าก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะลงไปหาอะไรมาให้น้ำย่อยในกระเพาะได้ย่อย ลงบันไดมาก่อนจะถึงไปห้องครัวก็ต้องผ่านห้องนั่งเล่นที่มีร่างโปร่งของผู้อยู่อาศัยอีกหนึ่งนอนขดจนกลมดิกตัวอยู่บนโซฟา อาชวินในชุดเดิมนอนหลับอุตุแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ลำพังปกติอาชวินก็ไม่ใช่คนตัวเล็กมากแต่พอมานอนขดอยู่แบบนี้กลับดูกลมจนเหมือนก้อนอะไรซักอย่างที่กลมๆนิ่มๆจนพิชญุฒม์หลุดขำออกมาเบาๆ เวลาหลับไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่ไร้พิษสงแต่ใครจะไปรู้ว่าภายในหัวของเด็กคนนี้มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง พิชญุฒม์เลือกหยิบนมสดในตู้เย็นออกมาเทใส่แก้วสองใบแล้วเวฟแล้วหยิบแครกเกอร์ออกมาสองสามชิ้นเพื่อใส่ปากระหว่างที่รอให้นมในไมโครเวฟอุ่น เคยมีคนบอกเขาว่าเวลาที่ใช้ไมโครเวฟห้ามอยู่ใกล้ในรัศมีของคลื่นความถี่ แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะใส่ใจหรอกตราบใดที่มันไม่ทำให้เขารู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย พอเสียงเตือนไมโครเวฟดังพิชญุฒม์ใช้มือข้างที่สวมถุงมือกันความร้อนหยิบแก้วนมมาวางไว้บนโต๊ะรอให้มันเย็นลงจนพอใช้มือเปล่าจับได้ถึงได้ยกแก้วนมอุ่นๆออกมาจากห้องครัว ไม่ลืมหยิบแครกเกอร์ห่อเล็กๆติดมาอีกสองห่อ พอเดินมาจนถึงห้องรับแขกก็วางแก้วนมหนึ่งแก้วลงบนโต๊ะกระจกกลางห้องพร้อมกับแครกเกอร์หนึ่งถุงก่อนจะเดินออกจากห้องรับแขกก็ไม่วายใช้มือข้างที่ว่างโยนหมอนใส่หน้าคนที่กำลังหลับอยู่จนดวงตากลมๆที่ปิดอยู่ต้องเปิดออกมาตวัดสายตาไม่พอใจส่งให้แต่พิชญุฒม์ก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวกับสายตาลูกหมาหวงของเล่นของอีกคนเดินถือแก้วนมกับแครกเกอร์ถุงน้อยของตัวเองขึ้นห้องไป อาชวินทิ้งถอนหายใจแรงๆเพื่อไล่ความหงุดหงิดจากการโดนก่อกวนการนอนของตัวเองพยายามจะปิดตาหลับลงอีกครั้งแต่ก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมาเพราะรู้สึกเหมือนได้กลิ่นนม พอเหลือบตาไปมองที่โต๊ะกลางห้องใกล้ๆกับโซฟาที่ตัวเองนอนก็ต้องขมวดคิ้วฉับ แก้วนมกับแครกเกอร์ห่อเล็กมาตั้งไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือเขานอนละเมอแล้วลุกไปรินนมใส่ พอลุกขึ้นนั่งหยิบแก้วนมมาถือไว้ก็ยังรับรู้ถึงความอุ่นของนม อดไม่ได้ที่จะเหลือบตาขึ้นไปมองยังห้องนอนหนึ่งเดียวของคอนโด ถ้าเขาละเมอรินนมคงไม่มีปัญญาเอาเข้าไมโครเวฟแล้วอุ่นแน่ๆ ร่างโปร่งดื่มนมจนหมดแล้วไม่ลืมที่จะจัดการกับแครกเกอร์ห่อเล็กๆที่ถูกวางไว้ข้างกันด้วย เหมือนนานมากแล้วที่ไม่มีโอกาสได้อุ่นนมให้ใครหรือมีใครมาอุ่นนมให้ ถ้าจำไม่ผิดครั้งล่าสุดที่อุ่นนมให้ใครซักคนก็เมื่อเกือบสามปีที่แล้วสมัยที่เขายังอยู่หอพักเดียวกับอดิศร พอคิดมาถึงตรงนี้ความรู้สึกผิดหวังก็ตีตื้นขึ้นมาอีกรอบ แม้จะยังไม่เข้าใจเหตุผลทั้งหมดว่าทำไมอดิศรต้องจับเขาส่งมาให้พิชญุฒม์แต่ก็อดที่จะขอบคุณในใจเล็กๆไม่ได้ว่ามันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองยังพอมีที่ยืนอยู่บนโลกนี้บ้าง ถึงแม้ว่าจะอยู่เหมือนโดนกักบริเวณตลอดเวลาก็เถอะ เช้าที่วันใหม่ที่พิชญุฒม์คิดว่ามันสดใสมากกว่าปกติมาเยือนคนตัวสูงลุกขึ้นจากที่นอนด้วยสภาพที่ไม่ต่างจากทุกวันมายืนเกาะอยู่ตรงหน้าต่างห้องมองภาพรถราที่แล่นผ่านไปผ่านมาจนสายตาไปสะดุดอยู่ที่ร้านกาแฟตรงมุมถนนก่อนที่มุมปากจะยกยิ้ม มันทำให้เขานึกถึงวันแรกที่เจออาชวิน ใครจะไปคิดว่าอยู่ๆเด็กนั่นจะวิ่งมาให้เขาเจอตัวง่ายๆ พอลองสะกดรอยตามก็ได้แต่รู้สึกว่าเส้นผมบังภูเขาจริงๆ ที่อยู่ที่เด็กนั่นกลับห่างจากคอนโดเขาแค่ไม่เท่าไหร่ พิชญุฒม์พาตัวเองที่อยู่ในเสื้อวอร์มและกางเกงขายาวเตรียมพร้อมสำหรับการออกไปวิ่งในบรรยากาศยามเช้าแบบนี้ แต่พอลงมาที่ห้องนั่งเล่นก็เห็นก้อนกลมๆนอนขดตัวอยู่ที่เดิมพร้อมกับกองผ้าห่มที่หล่นอยู่ข้างโซฟาอดส่ายหัวเบาๆไม่ได้แต่ก็ไม่วายที่จะเดินไปหยิบผ้าห่มมาคลุมก้อนกลมๆไว้ เหลือบสายตาไปมองที่โต๊ะกระจกก็เจอกับแก้วเปล่าและเศษซากของแครกเกอร์ที่หมดแล้วก่อนจะพาตัวเองออกจากบ้านแล้วปล่อยให้ระบบรักษาความปลอดภัยล็อกตัวเองเพื่อกันคนที่นอนหลับอุตุอยู่หนีออกไป พิชญุฒม์พาตัวเองมาจนถึงร้านกาแฟที่เขาเจออาชวินครั้งแรกเข้าไปนั่งตรงที่นั่งริมกระจกบริเวณที่เป็นเค้าท์เตอร์ยาวพร้อมกับสั่งอเมริกาโน่หนึ่งแก้วมานั่งจิบระหว่างมองคนเดินผ่านไปผ่านมา จริงๆเขาก็ไม่ใช่พวกที่มีอารมณ์ศิลปินหรือมานั่งเล่นเรื่อยๆเหมือนพวกสโลว์ไลฟ์บางคน แต่เขาก็แค่มีเรื่องบางเรื่องต้องคุยกับคนบางคนเฉพาะเวลานี้เท่านั้น เสียงลากเก้าอี้ข้างๆดังขึ้นก่อนจะมีร่างของใครบางคนนั่งลง พิชญุฒม์ปรายหางตาไปมองเพียงชั่วครู่ก่อนจะหันกลับมาสนใจกาแฟในมือต่อ “เรียกฉันออกมาคงไม่ใช่แค่มานั่งมองนายดื่มกาแฟหรอกมั้ง” เสียงของผู้มาใหม่เอ่ยเบาๆแต่ก็ฟังออกว่าอีกฝ่ายพูดอะไร พิชญุฒม์ยกยิ้มนิดๆก่อนจะสูดหายใจแบบสบายๆ “นายก็น่าจะรู้ว่าฉันต้องการอะไร” พิชญุฒม์ตอบกลับไปเสียงเรียบๆ ต่างฝ่ายต่างมองตรงไปยังด้านนอกซึ่งดูเผินๆเหมือนทั้งคู่เป็นแค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญมานั่งข้างกัน ซึ่งความจริงแล้วทั้งคู่ก็แค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญมีทางเดินบางส่วนที่เอื้อประโยชน์ต่อกันและกัน ซ้อนทับกันจนต้องมาเจอกันในที่นี้และเวลานี้ “ถ้าเป็นเรื่องของหมูฉันให้นายได้แค่นั้น ฉันส่งหมูไปให้นายก็เพื่อความปลอดภัยของเขาก็แค่นั้นนอกเหนือจากนั้นฉันไม่ไว้ใจนาย” พิชญุฒม์หันไปมองอีกคนด้วยสายตาที่คนมองดูรู้สึกอยากจะยกแก้วกาแฟตรงหน้าสาดให้ตาบอดไปซะ “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องของนายกับอาชวินนะอดิศร ถึงตอนนี้นายจะถือสองโพดำแล้วฉันถือสามดอกจิกแต่ถ้าวันไหนฉันได้สามมาอีกสองใบวันนั้นสองโพดำของนายก็ไร้ค่านะ” พิชญุฒม์ลุกออกไปแล้วพร้อมกับแก้วกาแฟที่ยังเหลือติดก้นแก้วอยู่อีกนิดหน่อยแต่อดิศรยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ลุกไปไหน พิชญุฒม์พูดถูกทุกอย่างตอนนี้เขาถือสองโพดำในมือยังไงซะเขาก็เหนือกว่าแต่ถ้าวันไหนที่พิชญุฒม์ได้ตองสามมาอยู่ในมือเขาก็ไร้ทางสู้อยู่ดี อดิศรทอดสายตามองออกไปข้างนอกก่อนที่จะยกยิ้มมุมปากนิดๆอย่างคนมีชัย “ต่อให้นายเป็นตองเอซนายก็สู้ฉันที่มีทั้งสองโพดำและสองโพแดงไม่ได้หรอกสารวัตรพิชญุฒม์” ห้องทดลองยังคงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ต่อให้วุ่นวายแค่ไหนอาชวินก็ยังมองว่าเป็นสถานที่ที่สงบสุขสำหรับตัวเองอยู่ดี วันนี้เอกภพยังไม่มีการทดลองอะไรให้อาชวินต้องหัวปั่นเป็นพิเศษ ร่างโปร่งเลยอาสาไปช่วยงานเพื่อนร่วมห้องทดลองคนอื่นๆและเอกภพก็ไม่ได้ห้ามอะไรเพราะเขาเข้าใจดีว่าคนที่รักการทดลองเป็นชีวิตขนาดนั้นไม่น่าจะทนอยู่เฉยๆแล้วมองคนอื่นทำการทดลองได้นานหรอก “หรอ แล้วกายทำยังไงต่ออ่ะ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่กำลังนั่งจดผลการทดลองจากเครื่องมือวิเคราะห์ ส่วนดวงตากลมๆที่ดูใคร่รู้เหมือนลูกหมาก็มองหน้าคนเล่าอย่าใจจดใจจ่อ “ฉันก็วิ่งหนีไงจะอยู่ทำไมหล่ะ” กายพูดจบก็หัวเราะจนตาปิด “ตอนนั้นนะที่เอาสารตัวนั้นเทใส่กรดฉันก็ลืมนึกไปว่ามันจะเกิดปฏิกิริยารุนแรงแต่พอเห็นควันพุ่งออกมานะวิ่งแทบไม่ทันเลย” เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นสองเสียงเรียกสายตาของคนในแลปให้มองอย่างเอ็นดู ด้วยความที่ปกติกายจะเป็นน้องเล็กของห้องแลปที่มีแต่นักวิจัยระดับสูงๆเลยทำให้แทบไม่ค่อยได้หัวเราะเต็มเสียงเท่าไหร่ พอตอนนี้มีอาชวินที่รุ่นราวคราวเดียวกันมาอยู่ด้วยเลยสนิทกันเร็วจนกลายเป็นคู่หูที่สร้างสีสันให้ห้องทดลองที่เคยมีแต่บรรยากาศอึมครึมดูสดใสขึ้น เอกภพนั่งมองสองคู่หูที่รับส่งมุขกันไปเล่าเรื่องกันมาแล้วก็หัวเราะท่ามกลางสายตาเอ็นดูจากคนทั้งแลปแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ ตอนที่เขาเจออาชวินครั้งแรกเด็กคนนี้มาพร้อมกับดวงตาที่มีอะไรมากมายอยู่ข้างใน แต่ตอนนี้ดูเหมือนความสดใสจากส่วนลึกจะกลบเรื่องมากมายที่เด็กคนนั้นแบกรับไว้ แต่เขาก็มั่นใจว่าสิ่งที่เขาเห็นในดวงตาตอนครั้งแรกมันยังไม่ได้หายไปไหนมันแค่รอวันที่จะกลับมาแสดงออกตามเดิม วันนี้สารวัตรพิชญุฒม์ไม่ได้มาป้วนเปี้ยนแถวห้องแลป อาจเป็นเพราะวันนี้อีกคนต้องประชุมเพื่อรายงานเรื่องของคดีความที่ปิดไปให้กับผู้บังคับบัญชาเลยไม่มีเวลามาเถลไถลมาเดินคุมนักโทษในความดูแลของตัวเอง บางครั้งเอกภพก็คิดว่าพิชญุฒม์เป็นคนที่ยากจะเข้าใจ ถึงแม้ทุกคนจะบอกว่าเขาคือคนที่เข้าใจพิชญุฒม์ที่สุดถึงขั้นมองตาก็รู้ว่าอีกคนคิดอะไรอยู่ แต่ก็นั่นแหล่ะแค่เข้าใจที่สุดแต่ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจทุกเรื่องซะเมื่อไหร่ เอกภพใช้เวลาเขียนรายงานการทดลองอีกเล็กน้อยก่อนจะออกปากชวนสองแสบไปหาอะไรกินเพราะเงยหน้าจากหน้าจอแล็บท็อปก็ปาเข้าไปเที่ยงกว่าแล้วโดยไม่คิดจะรอพิชญุฒม์เพราะรู้ว่าฝ่ายนั้นน่าจะออกมาไม่ต่ำกว่าบ่ายสามหรือไม่ก็อาจจะลากยาวไปจนสี่ห้าโมงเย็น ร้านอาหารเล็กๆถัดจากสำนักงานไปอีกหนึ่งซอยคือที่ๆเอกภพพาเด็กๆมาฝากท้อง ที่เขาไม่คิดจะพาทั้งสองคนไปไหนไกลเพราะเหตุผลหลักๆเลยคืออาชวิน ถ้าหากว่าพิชญุฒม์ออกมาเร็วกว่าที่คาดไว้แล้วไม่เจออาชวินมีหวังห้องแลปของเขาคงได้ราบเป็นหน้ากลองแน่ บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจพิชญุฒม์เท่าไหร่หรอกในการกระทำแต่ละอย่าง แต่ถ้าพิชญุฒม์ว่าดีเขาก็พร้อมจะเชื่อใจว่ามันจะดี บทสนทนาบนโต๊ะอาหารก็หนีไม่พ้นวีรกรรมแสบๆตอนสมัยเรียนของกายส่วนอาชวินก็แค่ยิงมุขแซวเพราะไม่ได้มีวีรกรรมแสบซนเหมือนอีกคนจนเอกภพต้องหัวเราะเสียงดัง ก็มีแอบเกรงใจอื่นบ้างเหมือนกัน แต่ดีที่เวลาที่พวกเขาออกมาค่อนข้างค่อนไปทางบ่ายแล้วเลยทำให้มีลูกค้าคนอื่นๆเหลืออีกไม่กี่โต๊ะ “เดี๋ยวผมขอไปห้องน้ำแปปนึงนะครับพี่เอกภพ สัญญาว่าจะไม่หนีพี่จะให้กายไปเฝ้าก็ได้นะครับ” อาชวินหันไปขออนุญาตเอกภพด้วยท่าทีเกรงใจแล้วไม่ลืมที่จะย้ำกับอีกฝ่ายซึ่งเอกภพก็แค่ส่ายหัวเบาๆ “ฉันไม่ใช่พิชญุฒม์นะหมู ไปเถอะรีบไปรีบมาหล่ะถ้าห้านาทียังไม่มาเดี๋ยวให้กายไปตาม” อาชวินส่งยิ้มให้อีกคนก่อนจะลุกจากเก้าอี้ออกมา ก๊อกน้ำถูกเปิดออกเพื่อล้างมือซึ่งอาชวินใช้เวลาจัดการกับธุระส่วนตัวเพียงไม่นาน เงยหน้ามองตัวเองในกระจกอย่างพิจารณา ครั้งนึงคนในกระจกเคยเป็นแค่เด็กธรรมดาๆแต่วันนึงเด็กธรรมดาๆก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นใครซักคนที่ห่างไกลจากคำว่าธรรมดาไปไกลโพ้นเพียงเพราะความสามารถ แกร๊ก เสียงประตูห้องน้ำห้องในสุดเปิดออกเรียกสติอาชวินที่ลอยไปไกลกลับมาดวงตาคู่กลมเหลือบมองดูคนที่เปิดประตูออกมาอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะดึงสายตากลับมาแล้วหมุนตัวเองออกจากห้องน้ำ “ไม่เจอกันนานเลยนะพี่หมู” ปลายเท้าที่กำลังจะก้าวออกชะงัก น้ำเสียงที่เหมือนเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้วตรึงให้อาชวินยืนนิ่งอยู่กับที่ “พี่ไม่คิดจะทักทายน้องชายคนนี้หน่อยหรอ” คนแปลกหน้าเอื้อมมือมาจับไหล่ของคนตรงหน้าแต่ก็ถูกอาชวินสะบัดออก ดวงตากลมโตปิดลงพลางสูดลมหายใจเข้าอย่างระงับสติ ข้อมือขาวถูกมือของอีกคนกุมไว้พอจะสะบัดออกคนแปลกหน้าก็ยิ่งกำรอบข้อมือแน่นกว่าเดิมจนต้องหลุดเสียงร้องออกมา “โอ๊ย!” “อย่ามาทำท่ารังเกียจใส่ฉันเพราะคนที่ควรทำแบบนั้นต้องเป็นฉันมากกว่ามั้ง” แรงบีบที่ข้อมือเพิ่มขึ้นอาชวินต้องเบ้หน้าแล้วยกมืออีกข้างมาพยายามแกะมือหนาที่แข็งพอๆกับกุญแจมือออก “ขอให้โชคดีกับชีวิตใหม่แล้วอย่าคิดว่าไอ้ตำรวจนั่นจะคุ้มกะลาหัวนายได้ตลอดไป” แรงบีบครั้งสุดท้ายที่ข้อมือแรงจนอาชวินต้องทรุดลงไปนั่งกับพื้นเพื่อกุมข้อมือของตัวเองหลังจากที่อีกฝ่ายปล่อยมือ น้ำตาหนึ่งหยดๆลงบนหลังมือเพื่อระบายความเจ็บที่ไม่สามารถทำอะไรได้ “หมูเป็นอะไรหน่ะ” เอกภพที่เดินมาตามอาชวินเพราะเห็นว่าหายไปนานทรุดตัวลงนั่งชันเข่าเพื่อดูว่าอีกคนเป็นอะไร แต่อาชวินก็แค่ส่ายหน้าเบาๆแล้วส่งยิ้มแหยๆให้ พยายามซ่อนมือที่เป็นรอยแดงให้พ้นจากสายตาอีกคน “ผมแค่ซุ่มซ่ามนิดหน่อยครับ พี่กลัวผมหนีหรอถึงได้มาตาม” พูดจบก็หัวเราะเบาๆเพื่อสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้นแต่เอกภพไม่ได้ขำด้วย สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ข้อมือของอีกคนที่พยายามซ่อนให้พ้นจากสายตาเขา “มือเป็นอะไรหน่ะ? ส่งมือมาซิหมู” เอกภพพูดทั้งๆที่สายตายังไม่ละไปจากข้อมือของอีกคน ซึ่งอาชวินก็พยายามจะดันให้อีกคนเดินออกไปจากห้องน้ำส่วนในใจก็ได้แต่ภาวนาให้ใครซักคนเดินเข้าห้องน้ำมาเพื่อทำลายสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตัวเอง แต่เหมือนโชคจะไม่เคยเข้าข้างเขาเลยเมื่อเอกภพคว้าข้อมือข้างนั้นของเขาตอนที่กำลังพยายามคิดหาทางหนีทีไล่มาดูก่อนจะปล่อยมือให้อาชวินเอาไปซ่อนไว้ข้างหลังตามเดิมแล้วมองหน้าอีกคนเป็นเชิงว่ามีอะไรจะแก้ตัวไหมแต่อาชวินก็แค่ส่ายหน้าเหมือนไม่อยากจะพูดอะไรซึ่งเอกภพก็ไม่ได้คาดคั้น พยักหน้าตกลงเบาๆแล้วเดินนำอาชวินออกจากห้องน้ำเป็นการจบบทสนทนานี้ รอยแดงเป็นปื้นที่ข้อมือ มองแวบเดียวก็รู้ว่าคนที่บีบข้อมืออาชวินจนแดงได้ขนาดนี้ต้องออกแรงบีบแรงมาก ซึ่งแน่นอนว่าอาชวินไม่น่าจะขัดขืนการทำร้ายร่างกายครั้งนี้ด้วยเพราะมันไร้ร่องรอยของการต่อสู้ แต่ที่ทำให้เอกภพรู้สึกคิ้วขมวดก็คือคนที่เดินสวนกับเขาที่หน้าห้องน้ำ เพราะนับกันจริงๆแล้วคนๆนั้นคือคนที่น่าสงสัยอันดับหนึ่ง รูปร่างที่แม้จะสูงโปร่งแต่ก็ดูมีกล้ามเนื้ออย่างคนออกำลังกายยิ่งไม่น่าแปลกใจถ้าจะเป็นคนที่ทำร้ายร่างกายอาชวิน พอเหลือบตาไปมองอาชวินอีกคนก็เดินก้มหน้าพยายามซ่อนมือที่เจ็บไว้ด้านหลังอย่างระมัดระวัง ร่างโปร่งที่พยายามซ่อนมือไว้ข้างหลังเหลือบมองแผ่นหลังของตำรวจของกองพิสูจน์หลักฐานไว้ในขณะที่แอบลอบถอนหายใจเบาๆ เขาไม่รู้หรอกว่าเอกภพจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากน้อยแค่ไหนแต่สำหรับเขา เขาคิดว่าน่าจะได้เยอะจนสามารถไม่ต้องมานั่งเค้นความอะไรออกจากเขาได้เลยแหล่ะ มันสมองระดับเอกภพกับทักษะจากงานที่ทำคงทำให้เดาได้ไม่ยาก คิดแล้วก็ทำให้นึกถึงคนที่สร้างรอยพวกนี้ให้กับตัวเอง บุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะมาเจอกันที่นี่ คนที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะมาเพ่นพ่านหรือเที่ยวเสเพลอยู่ย่านนี้ นายมาทำอะไรที่นี่กันแน่รฐนนท์ :: เกร็ดเล็กๆค่ะ เราลำดับความสำคัญของไพ่ที่เราเอามาอันนี้เรายกมาจากการเล่นสลาฟค่ะ ปกติไพ่ที่ใหญ่ที่สุดคือไพ่สองโพดำและไพ่ที่เล็กที่สุดคือสามดอกจิกค่ะ สุดท้ายนี้ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ^^
บทที่ 6 หอสมุดเก่าแก่เป็นสถานที่ที่อาชวินได้มาเยือนในวันนี้ หนังสือมากมายในแต่ละชั้นดูละลานตาจนอดที่จะร้องวู้วว้าวออกมาเบาๆไม่ได้ ดวงตากลมโตเหมือนลูกหมากรอกซ้ายทีขวาทีหมุนตัวจนแทบจะครบสามร้อยหกสิบองศา “อย่าหนีไปไหนหล่ะ นายก็รู้ว่าฉันตามนายเจอ” พิชญุฒม์พูดทิ้งท้ายก่อนจะหันหน้าเดินไปอีกทางทิ้งให้อาชวินได้แต่กรอกตาไปมา อาคารที่มีสี่ชั้นแต่ตรงกลางโล่งจนมองได้ทั่วถึงทั้งชั้นลอยและสามารถมองลงไปยังชั้นล่างบวกกับสถาปัตยกรรมทรงไทยโบราณที่มีไฟประดับเป็นสีเหลืองนวลสบายตายิ่งทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายเหมาะกับการอ่านหนังสือเข้าไปอีก อาชวินเดินขึ้นมาเรื่อยๆตามบันไดจนมาหยุดอยู่ที่ชั้นสาม ก่อนจะยกมือลูบไปตามสันหนังสือแต่ละเล่ม ชั้นหนังสือที่แบ่งหมวดหมู่และเรียงตามลำดับตัวอักษรชัดเจนง่ายต่อการค้นหาจนรู้สึกเหมือนว่าที่นี่คือสวรรค์ของคนที่รักในตัวอักษร อาชวินเดินตรงเข้าไปยังโซนประวัติศาสตร์แล้วเลือกหยิบหนังสือที่บันทึกเรื่องราวของยุคโซเวียตขึ้นมาเล่มหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาด้านในกล่าวถึงสงครามเย็น เอาจริงๆเขาก็ไม่ใช่คนที่เก่งประวัติศาสตร์อะไรมากมาย แต่ก็ชอบที่จะอ่านอะไรแบบนี้ เพราะประวัติศาสตร์มันมักจะสะท้อนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างถูกต้องมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เสมอ ร่างโปร่งเลือกนั่งลงกับโต๊ะไม้สำหรับอ่านหนังสือที่อยู่ไม่ห่างจากชั้นหนังสือมากนัก อันที่จริงในฐานะนักโทษอย่างเขาก็ไม่ได้สบายขนาดจะมานั่งเล่นอ่านหนังสือสบายใจแบบนี้ได้หรอก แค่พิชญุฒม์มีคดีใหม่ที่ต้องแก้แล้วบังเอิญว่าคดีนั้นเกิดขึ้นที่นี่ เขาที่เป็นนักโทษของพิชญุฒม์เลยต้องติดสอยห้อยตามมาด้วย จริงๆจะทิ้งเขาไว้ห้องแลปของเอกภพก็ได้แต่อีกฝ่ายไม่ยอมบอกว่ากลัวเขาหนี สาเหตุก็เพราะวันนั้นที่พิชญุฒม์ติดประชุมแล้วเขาไปกินข้าวกลางวันกับเอกภพ พิชญุฒม์ดันเลิกเร็วพอมาห้องแลปเลยไม่เจอทั้งเอกภพทั้งเขา พอเขากลับไปถึงก็เจอประชดยาวจนถึงคอนโด ขนาดอีกฝ่ายเดินขึ้นห้องไปอาบน้ำแต่งตัวพร้อมจะนอน ยังไม่วายเดินแวะมาประชดเขาเรื่องหาทางหนี จนบางทีอาชวินก็คิดนะว่าตกลงนี่พิชญุฒม์คือชายหนุ่มอายุใกล้เลขสามหรือป้าแก่ๆที่อายุย่างเข้าวัยหมดประจำเดือนที่อารมณ์แสนจะแปรปรวน อาชวินมองลงไปชั้นล่างเห็นพิชญุฒม์กำลังกอดอกมองบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดกำลังเล่าอะไรซักอย่างด้วยท่าทางนิ่งเฉย ข้างๆกันยังคงเป็นเอกภพที่จดอะไรยุกยิกไปด้วยขณะฟัง แอบหลุดยิ้มเบาๆเมื่อเห็นเอกภพส่งสายตาไม่พอใจใส่พิชญุฒม์เมื่ออีกคนพูดอะไรซักอย่าง จากมุมนี้เขาไม่ได้ยินว่าข้างล่างพูดอะไรกัน ทั้งๆที่อาคารนี้เป็นโดมซึ่งเสียงควรจะก้องแต่เพราะผนังที่บุฉนวนกันเสียงเลยทำให้ห้องสมุดนี้ยิ่งเหมาะแก่การอ่านหนังสือเข้าไปใหญ่ “สงครามเย็น ภายในความน่ากลัวย่อมมีสิ่งน่าสนใจว่าไหม” อาชวินหันขวับไปตามเสียงที่ดังขึ้นข้างหลังอย่างตกใจ “โทษทีที่มาเงียบๆ ฉันชื่อวรินทร์เป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์” เจ้าของชื่อวรินทร์พูดจบก็ยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรให้อีกคน แต่อาชวินก็แค่ก้มหัวให้แล้วยิ้มบางๆ แต่ไม่ได้แนะนำตัวเองกลับ “หนังสือบนชั้นนี้ไม่ค่อยมีคนหยิบมาอ่านหรอกถ้าไม่จำเป็น แต่รู้อะไรไหมเด็กน้อย บางทีสงครามที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อยังสร้างความเสียหายได้น้อยกว่าสงครามที่ใช้แค่มันสมองซะอีก เพราะเมื่อเราจับอาวุธเราจะเดาฝีมือคู่ต่อสู้ได้จากท่าทาง แต่ในขณะที่ต่อสู้กันทางความคิดเราไม่สามารถเดาอะไรได้จากท่าทางเลย” ผู้ช่วยบรรณารักษณ์ส่งยิ้มเนือยๆก่อนจะเหลือบตามองลงไปข้างล่างแล้วพูดต่อ “ยิ่งคนที่เคยร่วมมือกันมาก่อน ถ้าวันนึงต้องทำสงครามกัน ถึงเราจะเดาทางเขาออกแต่เราไม่สามารถเดาจิตใจเขาออกเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นสงครามเย็นคงไม่ยืดเยื้อกินเวลามาขนาดนี้” “จริงๆหอสมุดนี้เคยดีกว่านี้ตอนที่ทุกอย่างยังคงเป็นหนึ่งเดียวกัน” วรินทร์เดินอ้อมโต๊ะมาแล้วทรุดตัวนั่งลงอีกฝั่งของอาชวินก่อนจะเริ่มพูดต่อเมื่อเห็นท่าทีที่ดูสนใจในคำพูดตัวเองจากดวงตากลมๆคู่นั้น “ฝ่ายหนึ่งบอกว่าหอสมุดนี้ควรโดนทุบทิ้งเพราะเห็นแก่เม็ดเงินจำนวนมหาศาล ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าถ้ายังมีหอสมุดนี้อยู่มันจะสร้างเม็ดเงินที่มหาศาลกว่าจากความรู้ของคนที่อ่านหนังสือจากที่นี่” “แล้วรู้ไหมฝ่ายไหนชนะ?” อาชวินส่ายหน้าเบาๆแล้วตั้งใจฟังอีกคนพูดต่อ “ยังไม่มีใครชนะหรอกมันก็เหมือนสงครามเย็นนั่นแหล่ะ ยืดเยื้อจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะล่มสลายไป แต่จำไว้นะเด็กน้อยสงครามหน่ะ ต่อให้เล็กหรือใหญ่ ชนะหรือแพ้ มันก็ทิ้งร่องรอยไว้เสมอ” พูดจบก็ยกมือขึ้นยีผมเด็กตรงหน้าแทนคำขอบคุณที่ตั้งใจฟังจนจบ คดีใหม่ที่พิชญุฒม์ต้องเจอทำเอาปวดขมับไม่น้อยทีเดียว พิชญุฒม์ทิ้งตัวนั่งลงกับเก้าอี้ในห้องทำงานพลางนวดขมับไปมา มีเอกภพเดินมานั่งทิ้งตัวลงบนโต๊ะกลางห้องในสภาพไม่ต่างกัน ระหว่างทางกลับมาสำนักงานอาชวินได้ยินพิชญุฒม์ถกกับเอกภพตลอดทางจนรู้สึกเหมือนทั้งคู่สร้างกำแพงกั้นกันเขาออกมาจากโลกใบนั้นโดยสมบูรณ์ อาชวินที่เดินตามเข้าไปพอเห็นสภาพที่ดูเหนื่อยๆของคู่หูก็เดินออกจากห้องทำงานพิชญุฒม์ ขนาดตอนเขาเปิดประตูเดินออกมาพิชญุฒม์ยังไม่มีอารมณ์จะมาแขวะเขาก่อนออกจากห้องเลยแสดงว่าคงเหนื่อยกันมากจริงๆ ตู้กดน้ำแบบหยอดเหรียญตรงมุมแผนกคือจุดมุ่งหมายที่เดินออกมาของอาชวิน ร่างโปร่งล้วงเอาเหรียญในกระเป๋ากางเกงออกมาหยอดก่อนจะกดเครื่องดื่มเย็นๆสองกระป๋องออกมา โคล่าสำหรับเอกภพและชามะนาวสำหรับพิชญุฒม์ก่อนจะก้มลงหยิบเครื่องดื่มแล้วเดินกลับไปยังห้องทำงานของพิชญุฒม์ สองคู่หูประจำกองสืบสวนสอบสวนเงยหน้ามองเครื่องดื่มที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าก่อนจะมองตามคนที่ใจดีเอามาวางไว้ให้ที่เดินไปนั่งเก้าอี้มุมห้องที่เดิม สองคู่หูเงยหน้ามองกันชั่วครู่ก่อนจะจัดการกับกระป๋องเครื่องดื่มตรงหน้า บรรยากาศเงียบเชียบในห้องทำงานไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดเพราะอาชวินรู้ดีว่าทั้งสองคนต้องใช้ความคิดกับอะไรบางอย่างที่เขาช่วยไม่ได้ ร่างโปร่งหยิบหนังสือเกี่ยวกับสงครามโซเวียตที่หยิบติดมือมาจากหอสมุดขึ้นมาอ่าน คำพูดของผู้ช่วยบรรณารักษ์วัยกลางคนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว อาชวินเปิดอ่านแบบกวาดสายตาไปคร่าวๆโดยไม่ลงรายละเอียดโดยที่พิชญุฒม์และเอกภพก็ยังนั่งถกปัญหาคดีใหม่ที่เพิ่งมีเคสเข้ามาซึ่งเขาก็ได้ยินมั่งไม่ได้ยินมั่ง พอตกเย็นก็เป็นอีกครั้งที่อาชวินต้องแปลกใจเพราะแทนที่จะได้กลับบ้านตามปกตินายตำรวจหนุ่มดันขับรถพาเขามาที่คลับ ร่างโปร่งลอบมองเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน ร่องรอยของความเครียดมีปรากฏให้เห็นแม้จังหวะเพลงจะฟังสบายและเนื้อเพลงจะคลายเครียดแค่ไหนก็ตาม ทั้งคู่เลือกนั่งตรงเค้าท์เตอร์แม้จะไม่เป็นส่วนตัวเหมือนโซนชั้นสองแต่ก็ถือว่าเป็นมุมดีๆสำหรับการนั่งปล่อยอารมณ์มุมหนึ่งเลย ครืดครืด มือถือในกระเป๋าสั่นเป็นสัญญาณว่ามีข้อความเข้า พิชญุฒม์หยิบขึ้นมาอ่านข้อความเพียงแค่ชั่วครู่ก่อนจะปิดเครื่องแล้วยัดกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะหันมาหยิบ Absinthe ขึ้นจิบ แอลกอฮอล์ดีกรีแรงจนบาดคอแทบไหม้แต่พิชญุฒม์ก็แค่หลับตาลงเหมือนซึบซับความรู้สึกร้อนในลำคอให้มันแผ่ซ่านไปทั่วท้อง “เดี๋ยวฉันมานะ” พูดจบก็ลุกเดินออกไปโดยที่ไม่ได้หันมาสนใจว่าอีกคนจะปฏิเสธหรือตอบรับคำบอกเล่านั้น พิชญุฒม์พาตัวเองมายังสวนบริเวณหลังร้านซึ่งเป็นโซนที่ปลอดคนเหมาะกับการนั่งเงียบๆ นายตำรวจหนุ่มควัก Vogue menthol จากกระเป๋าเสื้อออกมาสูบ ปกติเขาไม่ใช่พวกสูบบุหรี่จัดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สูบ ก็แค่นานๆทีเวลาครึ้มอกครึ้มใจหรือเหนื่อยมากจริงๆบางทีการอมควันแล้วปล่อยออกมาก็ช่วยให้สมองโล่งไปได้ซักระยะนึงเหมือนกัน และรสชาติเย็นๆของเมนทอลช่วยให้รู้สึกปลอดโปร่งได้ดีทีเดียว ควันสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ามืดสนิทที่มีเพียงไฟประดับที่ทำให้พอมองเห็นสิ่งรอบข้างลางๆและทางเดิน นิ้วเรียวคีบมวนบุหรี่ไว้ระหว่างนิ้วชื้กับนิ้วกลางก่อนจะจรดบุหรี่ที่ริมฝีปากเพื่อสูดควันเข้าไปอีกหนึ่งลมหายใจแล้วปล่อยออกมาก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ลงกับที่สำหรับทิ้งก้นบุหรี่ นั่งอยู่ซักพักก็ยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลาก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากแล้วลุกกลับเข้าไปยังที่นั่งที่ทิ้งนักโทษของตัวเองไว้ทันเป็นหลังไวๆของใครซักคนที่ยกมือขึ้นขยี้ผมอาชวินแล้วเดินออกไป สิบนาทีตามที่ตกลงกันไว้ ไม่ขาดไม่เกินอีกฝ่ายรักษาเวลาดีมากจนพิชญุฒม์อดที่จะแอบชมในใจไม่ได้ ตำรวจกับคนทำผิดเป็นเหมือนเส้นขนานกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่เขาก็ไม่ได้ใจร้ายจนเกินมนุษยธรรม ผิดก็ว่าไปตามผิด ทำคุณประโยชน์ก็ต้องได้รับการตอบแทน มันไม่มีทางเอาคุณประโยชน์มาลบล้างความผิดได้ เหมือนที่อาชวินคือนักโทษแต่เด็กนั่นก็ยังมีประโยชน์กับเขาในเรื่องของการคลี่คลายคดีก็ต้องได้รับการตอบแทนเล็กๆน้อยๆ พิชญุฒม์เดินมาทรุดตัวนั่งลงที่เดิมก่อนจะยกเครื่องดื่มดีกรีแรงของตัวเองมาจิบต่อทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับภาพเหตุการณ์เมื่อกี้ ทั้งคู่นั่งจิบเครื่องดื่มในมือไปเงียบๆก่อนที่พิชญุฒม์จะเป็นคนตัดสินใจว่าถึงเวลาที่ทั้งคู่ควรจะกลับไปพักผ่อนแล้ว ช่วงเวลาการเดินทางจากคลับมาถึงคอนโดกินเวลานานกว่าตอนขาไปทั้งๆที่ควรจะใช้เวลาน้อยกว่าเพราะจำนวนรถบนท้องถนนบางตามาก แต่พิชญุฒม์กลับขับรถด้วยความเร็วที่ควรจะเรียกว่าความเฉื่อยมากกว่า อาชวินเหลือบมองคนที่ฮัมเพลงในลำคออย่างอารมณ์เป็นจังหวะตามเพลงยุค80’s ที่เปิดอยู่ในวิทยุอย่างแปลกใจ ปกติไม่เคยจะเห็นพิชญุฒม์ในมุมนี้ อาจเพราะอีกฝ่ายมีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดเยอะไปหล่ะมั้งเลยอารมณ์ดี พิชญุฒม์ถอยรถเข้าซองจอดรถ แต่ยังไม่ปลดล็อคจนอาชวินหันมามองอย่างงงๆ พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งเลยขยับหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าพิชญุฒม์หลับคาพวงมาลัยไปแล้วหรือยัง ตอนขับกลับก็แอบใจเต้นตุ่มๆต่อมๆว่าจะโดนจับหรือเปล่าที่ปล่อยให้คนที่มีแอลกอฮอล์ในเลือดมาขับแต่ก็ยังดีที่มาถึงโดยสวัสดิภาพ “สารวัตร” อาชวินเรียกอีกคนเสียงเบาก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าอีกคนยังคงปกติอยู่แต่แล้วก็ถอนตัวออกมาเกือบไม่ทันเมื่อจู่ๆคนที่หลับตาลงลืมตาขึ้นมามองกระทันหัน “ตกใจหมด ปลดล็อคหน่อยผมง่วงแล้ว” พูดจบก็หันมาจัดการกับเข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ปลดออกมือขาวก็โดนคว้าไปกุมไว้จนต้องหันมามองด้วยความแปลกใจก่อนที่ความแปลกใจจะกลายเป็นตกใจเมื่อใบหน้าของพิชญุฒม์อยู่ห่างจากตัวเองแค่คืบ ลมหายใจร้อนๆเจือกลิ่นแอลกอฮอล์ปะปนกลิ่นเย็นๆของบุหรี่เป่ารดอยู่ใกล้ๆไม่ได้ทำให้ใจสั่นเหมือนการ์ตูนตาหวาน แต่ความรู้สึกคุกคามที่อีกฝ่ายแสดงออกมาทำให้อาชวินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย มือขาวยกขึ้นดันหน้าอกอีกคนไว้เพื่อสร้างระยะห่างแต่เหมือนมันแทบจะไม่ช่วยอะไร พิชญุฒม์ยังคงขยับเข้ามาใกล้จนอาชวินแทบจะแทรกไปกับประตูรถ มือหนาเปลี่ยนจากที่กุมข้อมือขาวเป็นไล้ขึ้นมาตามแนวสีข้างก่อนจะหยุดอยู่ที่ซอกคอจนอาชวินต้องหดคอหนี ดวงตากลมโตแสดงออกชัดเจนว่ากำลังรู้สึกหวาดกลัวจนกระทั่งอีกฝ่ายผละออกมา ปลดล็อครถและเดินเข้าบ้านไปแล้วอาชวินก็ยังคงอยู่ท่าเดิม พิชญุฒม์พาตัวเองมาหยุดอยู่บนห้อง เขาไม่ได้สนใจว่าตอนนี้อาชวินยังนั่งสั่นเป็นลูกนกอยู่บนรถหรือเดินตามเขาเข้ามาข้างในแล้ว สิ่งที่เขากำลังสนใจคืออุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ขนาดจิ๋วในมือเขาต่างหาก อดิศรเป็นคนฉลาดเขารู้ แต่เขาประมาทอีกคนมากเกินไป อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ขนาดเท่าเม็ดกระดุมที่เขาไม่แน่ใจว่ามันมีไว้ทำอะไร กล้องวิดีโอ? เครื่องดักฟัง? หรืออุปกรณ์ติดตามตัว? “โถ่โว๊ย!” พิชญุฒม์อยากจะเขวี้ยงอุปกรณ์ชิ้นเท่ากระดุมนี้ไปไกลๆแล้วเดินไปซัดหน้าเจ้าของมันซักหมัด เขาตกลงกับอดิศรไว้ว่าจะให้เวลาอดิศรสิบนาทีเพื่อมาคุยกับอาชวินโดยเรื่องทุกอย่างทำให้เหมือนกับเหตุการณ์บังเอิญ แต่ไม่คิดว่าอดิศรจะแอบดัดหลังเขาด้วยวิธีการนี้ ตั้งแต่แรกที่เขาตามสืบเรื่องของคอมพิวเตอร์แฮกเกอร์ที่ใช้นามแฝงว่าแมวจรจนโยงไปโยงมากลายเป็นแจ็คพ็อตแตกเมื่อแฮกเกอร์มือหนึ่งอย่างแมวจรกับอาชวินมีความสัมพันธ์อะไรกันซักอย่างที่เขายังสืบไม่เจอเลยยื่นข้อเสนอที่ดูแล้วน่าจะวินวินกันทั้งสองฝ่ายไปให้ สุดท้ายอดิศรยอมรับข้อเสนอนั้นโดยการส่งตัวอาชวินมาให้เขา เพื่อแลกความปลอดภัยของเด็กนั่นกับการช่วยเหลืออย่างลับๆของอดิศรในเรื่องของการแฮกข้อมูลที่เขาไม่สามารถจะให้ทางฝ่ายข้อมูลของสำนักงานช่วยได้ แฮกเกอร์ฝีมือดีที่อยู่ในมุมมืดอย่างอดิศรเลยกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดไป อาชวินเดินมาทิ้งตัวลงกับโซฟาหลังจากนั่งเรียกสติตัวเองอยู่ในรถร่วมสิบห้านาที ตอนแรกนึกว่าอาจจะต้องนอนอยู่นอกห้องหรือไม่ก็บนรถซะแล้วเพราะคิดว่าระบบรักษาความปลอดภัยของห้องน่าจะทำงานแล้วเพราะพิชญุฒม์เข้าไปข้างในนานแล้ว แต่พอลองเปิดประตูเข้ามาก็ยังเปิดได้อยู่แถมไม่มีสัญญาณร้องเตือนหรืออะไรซักอย่างตามที่พิชญุฒม์เคยขู่แต่ก็ขี้เกียจจะใส่ใจรายละเอียด วันนี้เขาเจออดิศรที่คลับตอนแรกเกือบจะลุกขึ้นไปซัดหน้าซักหมัดโทษฐานที่ส่งตัวเขามาให้กับตำรวจแต่เพราะนี่คืออดิศรเลยรู้ทันเขาไปซะทุกเรื่อง ร่างสูงทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเค้าท์เตอร์หันไปส่งเครื่องดื่มดีกรีไม่แรงมากกับบาร์เทนเดอร์แล้วนั่งเงียบๆอยู่ซักพักก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบาแค่พอให้คนข้างตัวได้ยิน “สบายดีใช่ไหมหมู” เจ้าของชื่อหันขวับมามองก่อนที่แววตาตกใจจะเปลี่ยนเป็นแววตาโกรธเคือง กำปั้นถูกส่งไปแต่แทบจะในวินาทีถัดมาก็โดนมือหนาของอดิศรรับไว้ อาชวินทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจก่อนจะปล่อยหมัดที่กำไว้ “คงสบายดีกว่านี้ถ้าไม่ได้มาอยู่ในมือตำรวจแบบนี้” พูดจบก็กระดกคอกเทลในมือไปอีกอึกหนึ่ง อดิศรได้แต่ยิ้มอ่อนๆแล้วส่ายหัวเบาๆ “เชื่อฉันเถอะว่าอยู่แบบนี้อะดีกว่าหลบๆซ่อนๆอยู่แบบนั้น อย่างน้อยมันก็เป็นข้ออ้างให้นายอยู่แบบไม่ต้องหลบซ่อนไม่ใช่หรอหมู แล้วอีกอย่างเขาก็ให้นายไปนั่งทำแลปเล่นๆด้วยไม่ใช่หรือไง” “มันก็จริง.. แต่มันก็ไม่ต่างจากนักโทษในคุกหรอก แค่เปลี่ยนจากคุกเป็นต้องอยู่ในสายตาคนๆนั้นตลอด” “เอาน่า อยู่แบบนี้ไปก่อนแล้วเดี๋ยวฉันมารับกลับ” อดิศรเอื้อมมือไปโอบลำคอของอีกคนแล้วดึงมาใกล้ “ไม่นานหรอกน่า” “ฉันว่าฉันต้องไปแล้วแหล่ะพรุ่งนี้มีเทสย่อยต้องไปอ่านหนังสือซักหน่อย” พูดจบก็ยืนขึ้นแล้วเอายกมือขึ้นขยี้ผมอีกคนจนยุ่งเลยได้รับสายตาขวางๆส่งมาให้ “ทำตัวดีๆว่าง่ายๆแล้วพี่จะรีบมารับนะน้องหนู” พูดจบก็หัวเราะเบาๆก่อนจะหันหลังกลับโดยไม่ได้ใส่ใจเสียงสบถของอาชวินที่ลั่นมาตามหลังแม้แต่นิด เช้านี้อาชวินตื่นมาด้วยความหวาดระแวงภาพเมื่อคืนยังคงติดตาอยู่แต่พิชญุฒม์ดันทำทุกอย่างเหมือนปกติ ทำเหมือนเมื่อคืนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ซึ่งอาชวินก็คิดว่าแบบนี้มันก็ดีแล้วอย่างน้อยก็ไม่ต้องมานั่งกระอักกระอ่วนกันบนรถ สถานการณ์วันนี้กลับสู่ปกติอย่างที่ควรจะเป็น อาชวินอยู่ในห้องทดลองกับเอกภพ พิชญุฒม์นั่งทำงานอยู่ในห้อง มีเดินออกมาเตร็ดเตร่บ้างตามนิสัยเจ้าตัว ตลอดเวลาร่วมสัปดาห์ที่ต้องมาอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกับพิชญุฒม์พอจะทำให้อาชวินจับทางของอีกฝ่ายได้บ้าง แต่ก็แค่นิดหน่อยเพราะเหมือนอีกฝ่ายก็แค่แสดงส่วนที่อยากให้เขารู้ออกมาเท่านั้นและแน่นอนว่าอาชวินก็ไม่คิดจะค้นหาความเป็นตัวตนที่แท้จริงของพิชญุฒม์ซักเท่าไหร่ คดีความล่าสุดที่พิชญุฒม์ได้รับมายังไม่คืบหน้าเท่าไหร่เพราะหนังสือมากมายถูกเปิดกางออกจนเต็มโต๊ะทำงานรวมไปถึงแฟ้มข้อมูลต่างๆเท่าที่พิชญุฒม์จะสรรหามาได้กองสุมๆจนบนโต๊ะแทบไม่มีพื้นที่เหลืออยู่ นายตำรวจหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดมองตัวหนังสือที่ได้รับมาล่าสุด ข้อมูลเกี่ยวกับหอสมุดตั้งแต่เริ่มก่อสร้างจนถึงปัจจุบันถูกสรุปผลออกมาเป็นตารางช่วงเวลาว่าแต่ละช่วงเวลาเกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนสำคัญตรงไหนบ้าง ซึ่งแต่ละจุดก็ไม่ได้ช่วยให้เขาสามารถหาความเชื่อมโยงกับคดีความที่ได้รับมาได้ พิชญุฒม์รัวมือลงกับแป้นพิมพ์เพื่อสรุปข้อมูลทุกอย่างอีกรอบก่อนจะเข้าเสิร์ซเอ็นจินเพื่อหาข้อมูลเพื่อเติมในจุดที่คิดว่ายังขาดไป มือหนาถูกยกขึ้นมาลูบหน้าตัวเองแรงๆเพื่อเรียกสติ คดีนี้เอกภพก็ช่วยเขาไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของการทดลอง ไม่ใช่เรื่องของการหาสารอะไรซักอย่างมาวิเคราะห์ในแบบที่อีกฝ่ายถนัด ยอมรับว่ามันยาก แต่สำหรับพิชญุฒม์ยิ่งยากก็ยิ่งน่าลอง ตอนที่ตกปากรับคำกับกับหัวหน้าไปก็คิดดีแล้วว่ามันอาจจะยากจนเขาอาจจะกระอักเลือด แต่เพราะเขาเห็นกุญแจดอกใหญ่เบิ้มในคดีนี้เพราะงั้นถึงจะยากแค่ไหนเขาก็จำเป็นที่จะต้องรับมันมา ครืดครืด เสียงโทรศัพท์มือถือที่สั่นเรียกความสนใจให้หันกลับไปมอง แต่พอเปิดข้อความดูก็แทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งแล้ววิ่งออกจากห้อง เหมือนจิกซอว์อีกหนึ่งชิ้นถูกประกอบขึ้นมาจากข้อความสั้นๆที่แทบจะตีความหมายอะไรไม่ได้เลย1922-1991 :: ถ้าอ่านแล้วติดตรงไหนสามารถติชมได้เลยนะคะ^^
น่าติดตามค่ะ :man1:
ตามๆๆ
บอกได้คำเดียวโคตรๆๆๆๆๆๆ สนุกลุ้นมากๆ แบบดีใจที่นักเขียน เขียนจบแล้ว รอนะคะกำลังมันส์เลย
บทที่7 โซนประวัติศาสตร์ชั้นสามถูกจับจองอีกครั้งจากนายตำรวจหนุ่ม พิชญุฒม์พาตัวเองมารื้อๆค้นๆในกองหนังสือประวัติศาสตร์ หนังสือในโซนประวัติศาสตร์นับพันๆเล่มถูกไล้ไปตามสันเพื่อหาชื่อเรื่องที่พอจะสื่อถึงสิ่งที่ต้องการได้ พอเจอเล่มไหนที่คิดว่าน่าจะมีเนื้อหาที่ตัวเองต้องการก็หยิบมาถือไว้จนตอนนี้มีหนังสือร่วมสิบเล่มอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง พิชญุฒม์พาตัวเองมานั่งอ่านหนังสือตรงโต๊ะที่ทางหอสมุดจัดไว้สำหรับอ่านหนังสือบริเวณใกล้ๆชั้นหนังสือ มือเรียวเปิดผ่านไปหลายต่อหลายเล่มก็ยังไม่เจอเนื้อหาที่ถูกใจ เกือบทุกเล่มมีเนื้อความและใจความเดียวกันประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ในส่วนยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่แตกต่างกันพิชญุฒม์คิดว่ามันมาจากความคิดส่วนตัวของนักเขียนคนนั้นๆ “เฮ้อ” ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะฟุบหน้าลงกับกองหนังสือที่เปิดผ่านๆไปแล้วร่วมยี่สิบเล่ม คีย์เวิร์ดสำคัญที่ได้มาตีความได้แต่หาความหมายไม่เจอมันก็ไม่ต่างอะไรกับการนั่งมองประตูทางออกทั้งๆที่กำกุญแจไว้แต่หาวิธีไขไม่เจอนั่นแหล่ะ นายตำรวจหนุ่มหันไปมองหนังสือที่ยังเรียงอยู่บนชั้นพลางถอนหายใจก่อนจะเท้าแขนลงกับโต๊ะแล้วพยุงตัวลุกขึ้นไปรื้อค้นชั้นหนังสืออีกรอบ ช่วงเวลาร่วมสามชั่วโมงที่ขลุกอยู่กับหนังสือประวัติศาสตร์นับพันทำให้พิชญุฒม์กรองหนังสือในส่วนที่น่าจะมีผลต่อการสืบคดีออกมาได้สามเล่ม คนตัวสูงได้บอกกับบรรณารักษ์ที่ดูแลเพื่อขอนำหนังสือทั้งสามเล่มกลับมายังสำนักงานเพื่อทำการอ่านแบบละเอียดหลังจากที่เปิดอ่านคร่าวๆและคิดว่ามันควรจะมีอะไรที่พอจะเป็นจิ๊กซอว์อีกชิ้นให้เขาได้ ร้านกาแฟใกล้สำนักงานกลายเป็นสถานที่นัดพบอีกครั้งของพิชญุฒม์ นายตำรวจหนุ่มในชุดวอร์มกับเสื้อมีฮู๊ดเดินเข้าไปสั่งอเมริกาโน่เย็นก่อนจะพาตัวเองไปนั่งมุมในสุดของร้าน ยกกาแฟขึ้นดูดหนึ่งอึกก่อนจะนั่งรอเวลาซักพักจนกระทั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่าถูกแทนที่ด้วยร่างของคนๆหนึ่ง “สงครามเย็น” ยังไม่ทันที่ร่างฝั่งตรงข้ามจะหย่อนก้นถึงเก้าอี้พิชญุฒม์ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน แต่ผู้ร่วมบทสนทนายังไม่ได้ตอบบทสนทนาในทันทีก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมาดู “อีกครึ่งชั่วโมง” คำตอบที่ไม่สัมพันธ์กับคำถามทำเอาพิชญุฒม์คิ้วกระตุก “นายมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงคุณตำรวจ ฉันช่วยเท่าที่ช่วยได้ไม่ได้ว่างมาช่วยนายได้ตลอด” พิชญุฒม์พยายามรักษาท่าทีไม่ให้เผลอยกมือขึ้นมาชกหน้าคนตรงหน้า แฮคเกอร์มือหนึ่งคนนี้ยังมีประโยชน์กับเขาอีกมาก “เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเวลาอันมีค่าของนายช่วยตอบฉันหน่อยได้มั๊ยว่าทำไมต้องสงครามเย็น ฉันหาจนจะหมดหอสมุดอยู่แล้วไม่เห็นจะมีอะไรคืบหน้า” “จะหมด แต่นายก็ยังหาไม่หมด นายมีกุญแจร้อยดอกไขไปเก้าสิบแปดดอกแล้วปาอีกสองดอกทิ้งคิดว่านายจะเปิดประตูมั้ยหล่ะ?” อดิศรขยับเปลี่ยนท่านั่งเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “นายฉลาดนะคุณตำรวจแต่ถ้ามีไหวพริบซักนิดนายจะรู้ว่าฉันส่งกุญแจไปให้นายนานแล้วโดยที่นายไม่เคยจะหยิบมันขึ้นมาไขประตูเลย นายมัวแต่มองหาสิ่งใหม่ๆจนลืมใส่ใจของที่มีอยู่” อดิศรลุกขึ้นยืนเอามือล้วงกระเป๋าทั้งสองข้างหันหลังให้ก่อนจะเตรียมตัวเดินออกไปแต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคที่ทำให้พิชญุฒม์รู้สึกหน้าชาเบาๆ “ถ้าให้ช่วยมากกว่านี้ก็ลาออกแล้วให้ฉันแก้คดีแทนเถอะ” ความรู้สึกชาทั้งๆที่ไม่ได้โดนตบยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้า พิชญุฒม์ยังนั่งนิ่งๆอยู่ในร้านกาแฟร้านเดิมแล้วปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ ในหัวพยายามคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งพูดไป อะไรบ้างที่เขาได้มาจากอดิศรนอกจากคำใบ้บ้าๆบอๆที่ตีความออกมากว้างจนเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร มือเรียวยกขึ้นมาลูบใบหน้าตัวเองแรงๆก่อนจะก้มมองแก้วกาแฟที่ตอนนี้มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่รอบๆแก้ว อยู่ๆความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาจนรู้สึกอยากจะยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเองแรงๆ พิชญุฒม์ลุกขึ้นจากโต๊ะก่อนจะออกวิ่งกลับไปยังคอนโดที่พักของตัวเอง กุญแจที่ตามหา กุญแจที่อดิศรส่งให้เขา กุญแจที่ทำให้เขาต้องเป็นคนลงมือแก้คดีนี้เองทั้งหมด กุญแจที่ป่านนี้กำลังนอนสบายอยู่ในคอนโดของเขา อาชวิน “โธ่เว้ย! ทำไมไม่คิดให้เร็วกว่านี้วะว่าอดิศรมันรู้ทุกการเคลื่อนไหวของหมู” พิชญุฒม์รีบพาตัวเองวิ่งมาจนถึงที่คอนโด เปิดประตูเข้าไปด้วยความเร่งรีบตอนนี้เขาอยากจะพุ่งตัวเข้าไปแล้วปลุกอาชวินมาเขย่าๆถามทุกอย่างให้รู้เรื่อง ใครจะไปคิดว่าเด็กธรรมดาๆที่วันๆดูไม่สนใจอะไรนอกจากการทดลองจะมาเป็นกุญแจได้ “หมู” ทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้าไปก็ตะโกนเรียกคนที่กำลังนอนหลับอุตุเสียงดังจนอาชวินสะดุ้งตัวโยน ก่อนจะเดินดุ่มๆเข้าไปหาจนเจ้าของชื่อต้องมองอย่างงงๆ “บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นายรู้อะไรเกี่ยวกับสงครามเย็น” อาชวินที่เพิ่งลืมตาสติยังไม่ครบถ้วนดีได้แต่ส่ายหน้างงๆ “โธ่เว้ยอาชวิน!” พิชญุฒม์ตะคอกเสียงดังจนอีกคนสะดุ้งตัวโยน ก่อนจะไล่อาชวินไปล้างหน้าล้างตาแล้วยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองเรียกสติ โอเค อาชวินไม่ผิด อาชวินก็แค่เด็กคนนึงที่ไม่รู้อะไรซักอย่าง ถ้าเขาจะเอาความวู่วามไปลงที่ใครคนๆนั้นควรเป็นอดิศร พิชญุฒม์พยายามระงับลมหายใจตัวเองให้อยู่ในภาวะปกติระหว่างที่รออาชวินจัดการธุระส่วนตัว “เป็นบ้าอะไรอีก” อาชวินเดินมาทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟาที่ตัวเองใช้นอนในขณะที่ที่มือก็ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำที่หยดพราวอยู่บนใบหน้า “นายรู้อะไรเกี่ยวกับสงครามเย็นมั่ง” พิชญุฒม์พยายามถามอย่างใจเย็นแต่อีกฝ่ายก็ส่ายหัวแทบจะในทันที “งั้นเอาใหม่นายรู้จักสงครามเย็นใช่ไหม?” อาชวินพยักหน้า “โอเคดีมาก งั้นนายเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า?” อาชวินยังคงพยักหน้าจนพิชญุฒม์รู้สึกใจชื้น “จำชื่อหนังสือได้มั๊ย?” “ใครจะไปจำได้” เหมือนลูกโป่งแห่งความดีใจของพิชญุฒม์ถูกปล่อยลม บางทีอดิศรอาจจะประเมินอาชวินสูงเกินไป “แต่ถ้านายอยากอ่าน อ่ะเอาไป” อาชวินเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าที่อยู่ข้างโซฟาขึ้นมาเปิดก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาให้พิชญุฒม์ พิชญุฒม์รับมามองหน้าปกก่อนจะเปิดผ่านๆ หนังสือที่แสดงให้เห็นถึงความเก่า เนื้อหาที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่แต่อะไรบางอย่างที่อยู่ภายใต้ตัวอักษรพวกนั้นดึงดูดจนพิชญุฒม์อดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ “Thanks my master key” พูดพลางยกมือขึ้นขยี้ผมอีกคนจนยุ่งก่อนจะลุกออกไป “มาสเตอร์คีย์บ้าอะไร” อาชวินตะโกนตามหลังไป ไม่ได้หวังให้อีกคนได้ยินหรอกเพราะป่านนี้อีกคนคงปิดประตูห้องแล้วไปขลุกตัวเองอยู่กับหนังสือที่เขาไม่ค่อยเข้าใจนั่นแล้วแหล่ะ แต่มาว่าเขาเป็นกุญแจผีนี่มันใช่ที่ไหนหล่ะ พิชญุฒม์พาตัวเองขึ้นมายังบนห้องปิดประตูโดยใช้เท้าแบบส่งๆก่อนจะเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตัวเอง วางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วตั้งใจอ่านจนเกือบทุกบรรทัด อย่างที่อดิศรบอกไม่มีผิดกุญแจถูกส่งมาให้เขาตั้งนานแล้ว เขาก็ไม่รู้หรอกว่าอาชวินไปเอาหนังสือเล่มนี้มาจากไหนแต่ก็ต้องขอบคุณที่หยิบหนังสือเล่มนี้ติดมือมาให้เขา ร่างสูงเปลี่ยนจากการอ่านทุกบรรทัดเป็นการกวาดสายตาเมื่อรู้สึกได้ว่าการนั่งอ่านทุกบรรทัดไม่ได้ช่วยอะไรให้ตัวเองรู้เรื่องมากกว่าเดิมเลย ในขณะที่มือกำลังจะเปิดผ่านไปอีกหน้าตาสายตาดันไปสะดุดกับตัวอักษรที่ดูเหมือนจะผิดรูปลักษณ์ไปหน่อย พอลองเปิดไปเรื่อยๆตัวอักษรประหลาดๆก็แอบแฝงอยู่ภายในเนื้อหาหากไม่สังเกตุดีๆก็คงจะคิดว่าเป็นความผิดพลาดจากเครื่องพิมพ์ พิชญุฒม์เปิดมาหน้าสุดท้ายก่อนจะลองพลิกหนังสือกลับหัวแล้วไล่เปิดจากหน้าหลังกลับไป ตัวอักษรประหลาดแปลงได้เป็นตัวอักษรและตัวเลขจนพิชญุฒม์ต้องหากระดาษมาจด ข้อความหนึ่งบรรทัดที่พิชญุฒม์แกะออกมาได้จากหนังสือเล่มนั้นเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่อีกชิ้นที่ทำให้การสืบคดีแทบจะออกมาสมบูรณ์แบบ พิชญุฒม์เปิดหนังสืออีกรอบเพื่อดูว่าตัวเองไม่ได้พลาดหรือขาดตกบกพร่องตรงไหนไปก่อนจะปิดหนังสือเก็บไว้ที่นอนแล้วลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมออกไปข้างนอก “เดี๋ยวฉันมานะ ไม่เกินอาหารเที่ยง” พิชญุฒม์วิ่งลงมาจากชั้นสองก่อนจะแวะบอกอีกคนเป็นนัยๆว่าไปไม่นาน แต่ไม่ได้กำชับเรื่องที่กลัวเขาจะหนี ซึ่งนั่นอาชวินมองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ไม่ต้องมานั่งฟังอีกคนค่อนขอด เลยถือโอกาสทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาต่อและเพราะไม่รู้จะทำอะไรด้วยในเมื่อหนังสือแก้เบื่อก็โดนยึดไปแล้ว พิชญุฒม์พาตัวเองมายังหอสมุดหลังเดิมยกนาฬิกาข้อมือดูก็พบว่าตัวเองมาเร็วกว่าเวลาที่นัดเอกภพไว้เกือบสิบนาที ทันทีที่แกะตัวอักษรจากหนังสือออกเขาก็รีบพุ่งตัวออกจากบ้านแถมไม่ลืมโทรไปงัดเอกภพให้ออกจากเตียงเพื่อมาเจอกันที่นี่ รอเพียงไม่นานเอกภพก็มาถึง ทั้งคู่แค่มองตากันแทนคำพูดก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ตอนที่ออกมาจากบ้านเขาได้โทรเล่าเรื่องที่พบเจอมาให้กับเอกภพจนหมดแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เพราะมาถึงก็ควรที่จะต้องไขคดีเลยถึงจะเป็นการดี เขาไม่รู้ว่าถ้าช้าไปแม้แต่นาทีหรือวินาทีเดียวจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง คีย์เวิร์ดต่างๆที่ได้มาอาจทำให้เกิดการบิดเบือนถ้ามีคนรู้มากกว่าหนึ่ง “นี่ตำรวจ เราขอตรวจสอบคอมพิวเตอร์เครื่องที่บันทึกการยืมคืนหนังสือหน่อยครับ” พิชญุฒม์โชว์ป้ายประจำตัวให้กับบรรณารักษ์ที่ยืนประจำเครื่อง ก่อนที่บรรณารักษ์คนนั้นจะถอยออกให้อย่างงงๆเมื่อเห็นป้ายประจำตัว มือหนาคลิกเม้าส์ไปตามฟังก์ชั่นต่างๆเพื่อดูรายชื่อคนที่ยืมคืนหนังสือเพื่อตรวจสอบความแน่ใจว่าหนังสือเล่มนี้เคยผ่านมือใครมาบ้าง แม้จะมีรายชื่อคนยืมหรือคืนหนังสือนับร้อยๆแต่สายตาคมก็กวาดไปไม่สะดุดกับชื่อของอาชวิน แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นคนยืมหนังสือเล่มนั้นมานั่นหมายความว่าต้องมีใครซักคนจงใจให้หนังสือเล่มนี้ไปตกอยู่ในมือของอาชวินและสำหรับตอนนี้คนที่อยู่ในความคิดเขาจะเป็นครไม่ได้เลยนอกจากอดิศร “หรือจะเป็นอดิศร” พูดกับตัวเองเสียงเบาก่อนจะพยายามกวาดสายตาหาคนที่ชื่ออดิศรในเดต้าเบส แต่แล้วก็ต้องสบถออกมาเบาๆเมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะใช้ชื่อที่เป็นนามแฝงของตัวเอง เขามองพลาดเองที่ไม่สืบเรื่องนี้มาให้ดีก่อน เมื่อเห็นว่าการตามเช็คว่ามีรายชื่ออดิศรเป็นคนยืมไปหรือเปล่าเป็นเรื่องไร้ประโยชน์พิชญุฒม์ก็เปลี่ยนจากหน้าจอโปรแกรมบันทึกขอมูลคนยืมคืนหนังสือเปลี่ยนเป็นเอ็กเซลไฟล์ กดคอนโทรลโอเพื่อเปิดก่อนจะหยิบกระดาษที่เขียนคีย์เวิร์ดออกมา Excel>Ctrl+O>Password>F3 ไฟล์ที่พิชญุฒม์เปิดมามีแค่หน้าจอตารางเอ็กเซลล์ที่ว่างเปล่าพร้อมกับเลขศูนย์ที่อยู่ตรงช่อง F3 จนบางทีมันอาจจะเหมือนเรื่องตลกที่ตีความแทบตายแล้วสุดท้ายเหมือนโดนหลอกให้เปิดไฟล์เปล่า มือเรียวคลิกไปที่ช่องเลขF3 แถบฟอมูล่าร์ด้านบนปรากฎสูตร =A2+B4+C1+E5 ซึ่งทำให้ได้ผลออกมาเป็นคำตอบของช่องF3 พอลองคลิกในหลายๆช่องของตารางก็ไม่ปรากฎอะไรขึ้นที่ช่องฟอมูล่าร์ ซึ่งพิชญุฒม์คิดว่าคนที่ทิ้งคีย์เวิร์ดให้เขาเจอไว้คงไม่ได้แค่ทำอะไรแบบนี้เล่นๆเป็นแน่ พิชญุฒม์ทิ้งตัวนั่งพิงหลังไปกับพนักเก้าอี้ก่อนจะยกมือขึ้นมาประสานแล้ววางคางไว้บนมือ พิจารณาอะไรก็ตามแต่ที่ใครซักคนทิ้งไว้ให้เขา กึก “โทษทีสารวัตร ผมไม่ได้ตั้งใจ” เอกภพที่เดินถอยหลังมาชนเก้าอี้พิชญุฒม์เอ่ยขึ้นเบาๆ ซึ่งคนตำแหน่งสูงกว่าก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่พยักหน้าตอบ เอกภพมองสำรวจชั้นด้านหลังไปเรื่อยๆก่อนจะหันมาสะกิดพิชญุฒม์ให้หันกลับไปมองที่ชั้นแล้วพยักเพยิดหน้าให้หันกลับไปมองที่จอคอม พิชญุฒม์ที่ยังไม่เข้าใจที่อีกคนสื่อได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นจนเอกภพต้องใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าจอคอมแล้วหันนิ้วโป้งไปชั้นข้างหลังแล้ววาดเป็นวงกลม “ขอบใจมากเอกภพ” พิชญุฒม์ตบเข่าฉาดใหญ่ก่อนจะรีบลุกขึ้นไปรื้อๆค้นๆชั้นที่อยู่ด้านหลังตามเอกภพ ชั้นไม้ขนาดใหญ่สูงห้าชั้นกว้างสามล็อกสองอันตั้งอยู่ข้างกันทำให้ลักษณะของมันเหมือนกันตารางเอ็กเซลล์ที่พิชญุฒม์เปิดเจอในจอคอม พิชญุฒม์เลือกที่จะค้นชั้นอันแรก แล้วปล่อยให้เอกภพค้นชั้นอันที่สองไป “เป็นไงมั่งครับสารวัตร” เอกภพถามในขณะที่ตัวเองกำลังหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากชั้น “A2 1983 B4 1984 แล้วก็ C1 1999” พิชญุฒม์ตอบในขณะที่มือก็วางใบประกาศเกียรติคุณอะไรซักอย่างลงที่เดิม “ส่วนของผม E5 คือ 2005 แล้วก็นี่” เอกภพชูกล่องใบหนึ่งขึ้นมาให้พิชญุฒม์ดู กล่องเหล็กขนาดเล็กที่ด้านทั้งสี่ปิดสนิทที่ถูกเอกภพค้นพบอยู่ด้านในสุดของมุมชั้นซึ่งมีหนังสือมากมายบดบังอยู่ กล่องเหล็กที่ถูกล็อกอย่างแน่นหนาด้วยตัวเลขสี่ตัวทำเอาสองคู่หูมองตากันอย่างรู้ความหมาย พิชญุฒม์เดินไปปิดโปรแกรมไมโครซอฟต์เอ็กเซลล์ที่ตัวเองเปิดค้างไว้ก่อนจะขอตัวกลับแล้วไม่ลืมที่จะขอบคุณบรรณารักษณ์ที่ดูแลส่วนงานนั้นในความร่วมมือ “คิดว่าไงครับสารวัตร” ทันทีที่พาตัวเองเข้ามายังรถยนต์ส่วนตัวของพิชญุฒม์ เอกภพก็เป็นคนเปิดบทสนทนา “ไม่ใช่ตรงนี้ผู้กอง มันดูอันตรายเกินไป” พิชญุฒม์พูดพลางสตาร์ทเครื่องรถแล้วดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดก่อนจะเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งตัวออกไป สำหรับเขาถ้าไม่ใช่ที่สำนักงานและคอนโดที่พักเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงการพูดเรื่องสำคัญแม้จะปลอดคนแค่ไหนก็ตาม แต่หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ยังไงเขาก็ขอเซฟตัวเองไว้ก่อนดีกว่า ห้องทำงานที่สำนักงานถูกปิดล็อกด้านใน สองคู่หูนั่งล้อมกล่องปริศนา ตัวเลขที่ค้นเจอตามจุดต่างๆตามที่ไฟล์เอ็กเซลล์บอกไว้ถูกนำมาแปลงให้เหลือเพียงแค่สี่ตัว พิชญุฒม์เป็นคนหมุนล็อคตัวเลขโดยมีเอกภพนั่งลุ้นอยู่ฝั่งตรงข้าม เสียงกริ๊กดังเบาๆเรียกสีหน้าดีใจได้จากทั้งคู่ ในขณะที่มือเรียวเปิดฝากกล่องเล็กออกหัวใจก็สูบฉีดเลือดเป็นจังหวะที่ค่อนข้างรัวด้วยเพราะลุ้นว่าภายในจะเป็นอะไร ฝากล่องถูกเปิดออกปรากฎแผ่นซีดีหนึ่งแผ่นที่ถูกใส่กล่องซีดีอย่างเรียบร้อย บนแผ่นซีดีและกล่องใส่ไม่ระบุข้อความหรืออะไรซักอย่างจนต้องขมวดคิ้วขณะที่หยิบขึ้นมาพิจารณาก่อนจะเดินไปเสียบแผ่นซีดีใส่แลปท็อป รอซักพักให้เครื่องอ่านแผ่นก่อนจะปรากฎโฟลเดอร์ที่ไม่ได้ระบุชื่อ พอคลิกเข้าไปก็เจอเข้ากับโฟลเดอร์ย่อยอีกสองโฟลเดอร์ซึ่งไม่ระบุชื่อเหมือนกัน พอลองคลิกเข้าไปหนึ่งโฟลเดอร์เป็นข้อมูลของบุคคลในวงการธุรกิจระดับสูงในหลายๆประเทศ ส่วนอีกโฟลเดอร์นึงเมื่อคลิกเข้าไปดูก็เจอเข้ากับโฟลเดอร์ย่อยอีกสองอันที่เขียนชื่อโฟลเดอร์ให้รู้ว่าเป็นไฟลเสียงและข้อมูลการทำผิด พิชญุฒม์กับเอกภพมองหน้ากันนิ่งเมื่อเห็นข้อมูลที่บรรจุอยู่ในแผ่นซีดีก่อนที่พิชญุฒม์จะทำการแบ็คอัพไฟล์ไว้ในเครื่องและไม่ลืมที่จะก็อปปี้ไว้อีกสองชุดเพื่อให้เอกภพเก็บไว้และเก็บไว้ในเซฟของตัวเอง เพราะเรื่องที่เขาพบในไฟล์นี้มันค่อนข้างที่จะใหญ่เกินกว่าจะทำอะไรด้วยตัวเองแต่มันก็อันตรายเกินกว่าที่จะเอาไปเข้าที่ประชุมใหญ่ เกลือเป็นหนอนมีอยู่ในทุกที่เพราะฉะนั้นคนที่ควรจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ควรเป็นคนที่เขาไว้ใจได้เท่านั้น “จะเอายังไงต่อไปครับสารวัตร” เอกภพมองแผ่นซีดีที่พิชญุฒม์ก็อปปี้มาให้ในมือแล้วถอนหายใจ “งานนี้มันยิ่งกว่าเอาน้ำร้อนไปราดรังมดดำอีกนะ” “ก็แแล้วใครจะไปคิดหล่ะว่าจะขุดเจอรังมดดำหน่ะ” สองคู่หูปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบครองพื้นที่ห้องทำงานอีกครั้ง พิชญุฒม์กับเอกภพนั่งกันคนละมุม ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เมื่อเลือกที่จะเดินทางนี้แล้วสิ่งที่ต้องทำต่อไปคือเดินให้สุดทาง พิชญุฒม์ไม่ได้เกรงกลัวต่ออิทธิพลมืดเขารู้ตั้งแต่เลือกเดินทางสายนี้แล้วว่าต้องเจอกับอะไรแบบนี้ แต่สิ่งที่กำลังคิดอยู่คือจะทำยังไงดีให้อิทธิพลมืดมันลดลงได้มากที่สุด “บางทีนะครับสารวัตร เราต้องพึ่งเด็กนั่น” เป็นเอกภพที่ทำลายความเงียบขึ้นมา “ศุภวิชญ์จะช่วยเราได้มากนะเรื่องนี้ ผมเชื่ออย่างงั้น” “แต่เรื่องนี้มันไม่ได้อยู่ที่ความเชื่อ แค่เชื่อว่าทำได้มันไม่พอหรอกผู้กอง” พิชญุฒม์ตอบกลับเสียงนิ่ง “แล้วสารวัตรคิดว่านอกจากเด็กนั่นใครที่จะสามารถเจาะข้อมูลได้มากกว่านี้หรือไงครับ” พิชญุฒม์เงียบ ไม่โต้กลับแต่เอกภพรู้ว่าสำหรับพิชญุฒม์ความเงียบไม่ใช่การยอมรับแต่มันคือคลื่นใต้น้ำลูกใหญ่ “ถ้านายไม่มีใครดีกว่านี้ฉัน..” “แมวจร” “ห๊ะ?” “แมวจร ถ้านายอยากยืนยันจะให้ศุภวิชญ์ช่วยในส่วนขอนาย ฉันขอใช้แมวจรเป็นตัวเลือกในส่วนของฉัน” น้ำเสียงที่จริงจังของพิชญุฒม์บอกให้เอกภพรู้ว่าถ้าเขายืนยันว่าจะใช้ศุภวิชญ์เป็นผู้ช่วย และพิชญุฒม์ก็จะไม่มีทางยอมให้เด็กนั่นมายุ่มย่ามในส่วนของตัวเอง “แมวจร? สารวัตรหมายถึงแฮกเกอร์ที่ไม่เคยมีใครจับไอพีแอดเดรสได้นั่นหน่ะหรอ? สารวัตรต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ จะติดต่อเขายังไงก็ยังไม่รู้” เอกภพทำหน้าตาเหลือเชื่อเมื่อผู้บังคับบัญชาของตัวเองเอ่ยถึงใครอีกคนออกมา “อืม” ท่าทีนิ่งเฉยแถมไม่มีการปฏิเสธยิ่งทำให้เอกภพทำหน้าเหลือเชื่อมากขึ้นกว่าเดิม สารวัตรของเขาไปตามสืบจนเจอคนๆนี้ได้อย่างงั้นหรอ? แล้วพิชญุฒม์จะมั่นใจแค่ไหนว่าถ้าเจอแล้วแมวจรจะยอมช่วย ทั้งๆที่อีกคนได้ฉายาว่าแฮคเกอร์เงาแท้ๆไม่เคยมีใครรู้ว่าตัวจริงเป็นยังไงแล้วพิชญุฒม์ไปเอาความมั่นใจพวกนี้มาจากไหนกัน หลังจากตกลงกันได้ว่าเอกภพจะขอให้ศุภวิชญ์มาช่วยในส่วนของตัวเองและพิชญุฒม์ที่ยืนยันว่ายังไงก็จะให้แมวจรเป็นตัวช่วยแรกที่นึกถึงเอกภพเลยไม่อยากขัด เพราะรู้ว่าขัดไปก็เปล่าประโยชน์ถ้าพิชญุฒม์บอกจะทำนั่นแสดงว่ามันดีแล้วจริงๆ แล้วก็ไม่ลืมที่จะตกลงกันว่าทั้งหมดนี่คือความลับ คนรู้มากไม่ได้ส่งผลดีเท่าไหร่ พิชญุฒม์พาตัวเองมายังสวนสาธารณะที่เดิมที่เคยเจอกับอาชวินหลังจากแยกกับเอกภพ ก่อนจะยกมือถือขึ้นมากดส่งข้อความหาอดิศรเพื่อบอกว่าเขามาถึงแล้ว ตั้งแต่แยกกับเอกภพเขาก็รีบส่งข้อความหาอดิศรให้มาเจอกันที่นี่เพื่อคุยรายละเอียดในบางเรื่อง “ทำไมฉันต้องรับปาก” อดิศรเปิดฉากถามทันทีที่มาถึงก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงข้างๆอีกฝ่าย พิชญุฒม์กระตุกยิ้มมุมปาก คิดไว้แล้วแหล่ะว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะตอบตกลงง่ายๆ “อดิศร.. ไม่สิ แมวจรนามแฝงของนาย” อดิศรหันขวับมามองอีกคนด้วยสายตาไม่พอใจ สืบรู้จนได้ซินะ “คิดว่าการรู้นามแฝงของฉันแล้วจะช่วยให้ข้อเสนอมันง่ายขึ้นหรอสารวัตรพิชญุฒม์” “อ่า… ไม่ต่างจากที่คิดเลยนะนายเนี่ย งั้นถ้าเปลี่ยนเป็นมาคุยเรื่องของอาชวินกันดีกว่า นายจะตอบตกลงง่ายกว่าไหมแฮกเกอร์เงาแมวจร” พิชญุฒม์หันมามองอีกคนตรงๆด้วยสายตาเหมือนคนถือไพ่เหนือกว่า “ข้อมูลทุกอย่างของนายกับอาชวินอยู่ในนี้” พิชญุฒม์ชูแผ่นซีดีที่อยู่ในกล่องขึ้นมาตรงหน้า “ข้อมูลที่ไร้ซึ่งการปรุงแต่งจากหน้าม่านอยู่ในนี้” พูดไปก็โบกซีดีในมือไปอย่างจงใจกวนอารมณ์อีกฝ่าย “เชื่อเถอะอดิศรตองสามใหญ่กว่าเอจโพดำเสมอ” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆก่อนจะเดินออกไปปล่อยให้อดิศรปล่อยคำสบถหยาบคายออกมาเพื่อระบายอารมณ์ พิชญุฒม์อยากจะขอบคุณใครก็ตามที่เก็บข้อมูลเชิงลึกของบุคคลที่เีก่ยวข้องกับธุรกิจมืดไว้ในซีดีนั่นแต่ที่ยังสงสัยไม่หายคือทำไมประวัติของอดิศรและอาชวินถงไปโผล่อยู่ในนั้นทั้งๆที่ทั้งคู่ดูไม่น่ามีส่วนเชื่อมโยงอะไรถึงกลุ่มบุคคลเหล่านั้น ความสัมพันธ์ของอดิศรและอาชวินเป็นความสัมพันธ์ที่เขาจับตามองมาซักพักแล้วจนไปเจอข้อมูลในซีดีนั่นเหมือนคำตอบของความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถูกเฉลย ครืด ครืด มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นจนพิชญุฒม์ต้องยกมาดู ขมวดคิ้วแปลกใจไม่ได้เมื่อเบอร์ที่เคยคุยกันเพียงแค่ข้อความกลายเป็นสายเรียกเข้า ทั้งๆที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อกี้แต่อดิศรจะโทรมาหาเขาทำไมกัน? “ว่า..” “ตอนนี้” ยังไม่ทันที่พิชญุฒม์จะพูดจบประโยคเสียงร้อนรนของอีกฝ่ายก็แทรกขึ้มาก่อน “รีบกลับบ้านตอนนี้ซิวะสารวัตร!” เสียงตะคอกที่ส่งมาตามสายร้อนรนจนพิชญุฒม์รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี ปกติอดิศรไม่ใช่คนใจเย็นแต่ก็สุขุมพอที่จะไม่ทำอะไรโฮกฮากแบบนี้ “หมูโดนมันจับไปแล้ว ถ้าน้องฉันเป็นอะไรนายตายแน่สารวัตร!!” สิ้นประโยคดุดันพิชญุฒม์ก็กดตัดสายก่อนจะรีบออกวิ่ง เขาประมาทเกินไป เพราะคิดว่าว่าเด็กธรรมดาๆคงไม่มีใครจ้องจะจับตัวไปไหน นี่ซินะที่อดิศรบอกว่ายอมช่วยเขาแลกกับความปลอดภัยของอาชวิน ไม่ใช่ความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่แต่เป็นเพราะต้องการมั่นใจว่าอาชวินจะปลอดภัยจากมือมืดต่างหาก “โธ่โว๊ย!” :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
น่าติดตามมากค่ะ
นิยายสนุก ตื่นเต้น เเปลกใหม่เเละไม่ซ้ำจำเจ เขียนดีมากค่ะ ข้อมูลเเน่น ทำการบ้านมาดี อาจมีบางประโยคที่อ่านเเล้วงงๆ เช่นร่างโปร่งที่พยายามซ่อนมือไว้ข้างหลังเหลือบมองแผ่นหลังของตำรวจของกองพิสูจน์หลักฐานไว้ในขณะที่แอบลอบถอนหายใจเบาๆ เราว่าเขียนเรื่องย่อเเนะนำที่หัวเรื่องหน่อยก็ดีนะคะ คนจะได้รู้เเละติดตามต่อ
ดีงามมาก เนื้อเรื่องชวนติดตาม เดินเรื่องว่องไว มีสำนวนชวนงงบ้าง คำหายไปจากปย. บ้าง ส่งกำลังใจให้นะคะ
โดนเอาตัวไปได้ยังไงละนี่
ว้าววววชอบๆ ตัวละครแต่ละตัวก็น่าสนใจมากมีมิติดี สู้ๆนะคะ^^
เป็นนิยายอีกเรื่องที่อ่านแล้วอินมากๆ ลุ้นตั้งแต่ตอนแรกมาจนถึงตอนนี้เลยค่ะ มาต่อเร็วๆนะคะ :katai2-1:
อินมาก ลุ้นสุด มาต่อไวๆนะครับ
บทที่ 8 อาชวินไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แค่ว่าตอนนี้บรรยากาศรอบตัวมืดไปหมด จำได้ว่าก่อนหน้านี้พิชญุฒม์แค่บอกเขาว่าจะไปไหนซักที่ซึ่งเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ตอนได้ยินเสียงประตูเปิดก็ยังไม่ได้ใส่ใจเพราะรู้ว่าคนที่เข้ามาในคอนโดได้ก็คงจะเป็นเจ้าของอย่างพิชญุฒม์ จนรู้สึกเหมือนได้กลิ่นของสารประเภทเอธิลีนพอจะลืมตาขึ้นมาดูมันก็เหมือนจะช้าไปแล้ว และพอรู้ตัวอีกทีเขาก็มาอยู่ที่นี่ อาชวินไม่อยากจะคิดว่าตัวเองถูกจับตัวมาเพราะมันดูจะไร้ซึ่งเหตุผลที่จะเป็นไปได้ แต่พอมาคิดๆดูแล้วสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่มันชวนให้คิดอะไรที่นอกเหนือจากนั้นไม่ได้ อาชวินลองเอามือคลำๆไปตามความมืด สัมผัสเย็นๆที่เจอพอจะเดาได้ว่าเขาอยู่ที่ไหนซักแห่งซึ่งมีองค์ประกอบเป็นโลหะก่อนที่จะต้องสะดุ้งตกใจอีกรอบเมื่อเกิดเสียงสตาร์ทรถและกล่องโลหะที่เขาเดาเอาไว้ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเคลื่อนที่ไปที่ไหนซักแห่ง ตู้คอนเทนเนอร์ สิ่งแรกที่วูบเข้ามาหลังจากที่กล่องเหล็กเริ่มเคลื่อนที่ สิ่งที่วิ่งเข้ามาในหัวตอนนี้คือเขากำลังอยู่ที่ไหนแล้วตู้คอนเทนเนอร์อันนี้กำลังพาเขาไปที่ไหน เมื่อคิดได้ว่าป่วยการจะคิดต่อไปให้ปวดหัว อาชวินทิ้งตัวลงนอนราบไปกับพื้นตู้คอนเทนเนอร์ คอยลอบฟังเสียงข้างทางที่ลอดผ่านเข้ามาเผื่อจะมีอะไรให้สังเกตได้บ้างว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงส่วนไหนแต่เหมือนมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดีเพราะเสียงที่ผ่านเข้ามานอกจากเสียงเครื่องยนต์ก็มีแค่เสียงแตรรถ ตู้คอนเทนเนอร์ท่กำลังเคลื่อนที่ค่อยๆลดความเร็วลงก่อนจะหยุดนิ่ง เสียงเครื่องยนต์หายไปแล้ว มีแต่เสียงเปิดประตูแล้วปิดประตูก่อนจะตามมาด้วยเสียงกุกกักอะไรซักอย่าง ก่อนที่เสียงตุบตับจะเกิดขึ้นข้างๆตู้คอนเทนเนอร์ อาชวินดีดตัวลุกขึ้นแล้วรีบแทรกตัวเองเข้าไปในมุมที่ลึกที่สุดของตู้เพื่อคอยเงี่ยหูฟังแล้วประเมินสถานการณ์ภายนอก ถึงจะไม่ใช่คนประเภทที่รักตัวกลัวตายแต่ก็ไม่ใช่ประเภทที่อยากจะตายตลอดเวลาซักหน่อย กึกกึก เสียงประตูตู้คอนเทนเนอร์ที่ดังขึนเหมือนมีคนกำลังพยายามจะเปิดทำเอาอาชวินสะดุ้งเบาๆแล้วพยายามแทรกตัวเองให้เข้าไปอยู่มุมสุดของตู้ทอนเทนเนอร์จนแทบจะเป็นเนื้อเดียวไปกับแผ่นเหล็กขรุขระด้านหลัง เหงื่อกาฬแตกพลั่กเมื่อประตูตู้คอนเทนเนอร์แง้มออกจนแสงลอดเข้ามา เงาดำสองสามเงาที่ปรากฏขึ้นเมื่อประตูตู้คอนเทนเนอร์เปิดออกแทบทำให้อาชวินหยุดหายใจ “มุดขนาดนั้นไม่แทรกไปเป็นเนื้อเดียวกับตู้เลยหล่ะหมู” “พี่เอกภพ!!” น้ำเสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นเหมือนดึงความรู้สึกหนักอึ้งให้หายไป ดวงตากลมโตฉายแววดีใจจนปิดไม่มิด รีบพาตัวเองออกมาจากมุมตู้คอนเทนเนอร์แล้วรีบวิ่งไปหาอีกคน “ผมนึกว่าจะต้องตายที่นี่ซะแล้ว” เอกภพหัวเราะก๊ากแล้วเอื้อมมือมายีกลุ่มผมหนุ่มของอาชวินเป็นการปลอบโยน “กว่าจะตามมาจนเจอนี่ฉันก็เกือบตายเหมือนกัน สารวัตรพิชญุฒม์ระเบิดลงกลางห้องแลปจนฉันทำงานไม่ได้ต้องออกมาช่วยมันตามหานายเนี่ยแหล่ะ” “อ่า ขอบคุณมากนะครับพี่เอกภพ” อาชวินพูดพลางส่งยิ้มจนตาหยิบหยีไปให้คนอายุแก่กว่า เอกภพพาอาชวินมายังที่พักของตัวเองเพื่อให้อีกคนได้ล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพาออกไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารไม่ห่างจากที่พักมากนัก ที่พักของเอกภพเป็นอพาร์ทเม้นท์ที่ห่างจากสำนักงานตำรวจไปพอสมควรแต่เครื่องอำนวยความสะดวกในอพาร์ทเม้นท์ครบครัน อาชวินแอบแปลกใจเล็กๆที่ห้องของเอกภพใช้กระจกหนาถึงสามชั้นทั้งๆที่ก็ไม่ได้ติดถนนใหญ่ที่มีรถแล่นผ่านตลอด คนตัวเล็กเลยคิดเองเออเองว่าอีกคนน่าจะเพิ่มกระจกให้หนาเพื่อกันเสียงรบกวนให้ห้อง ร้านอาหารกึ่งผับถูกเลือกเป็นสถานที่ที่เอกภพพาอาชวินมาฝากท้อง คนเด็กกว่าที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้านั่งซัดสปาเกตตี้จานใหญ่ไม่พูดไม่จนจนเอกภพต้องติงให้อีกคนกินช้าๆเพราะกลัวจะติดคอ แค่กๆ “เอ้าๆกินช้าๆสิหมูฉันไม่แย่งหรอกน่า” พูดยังไม่ทันขาดคำคนตัวเล็กไอโขลกเพราะสำลักเส้นสปาเกตตี้คำใหญ่ที่เพิ่งใหญ่เข้าไปจนหน้าดำหน้าแดงจนเอกภพต้องยื่นน้ำให้อีกคนรับไปดื่มอึกใหญ่ก่อนจะลงมือยัดสปาเก็ตตี้ใส่ปากต่อ เอกภพนั่งจิบเบียร์มองคนฝั่งตรงข้ามยัดอาหารใส่ปากไปพลางฟังเพลงบัลลาดที่ทางร้านเล่นสดคลอไปเรื่อยๆ อาชวินที่ดูเผินๆก็แค่เด็กธรรมดาๆคนนึง ถ้าไม่เห็นประวัติที่พิชญุฒม์ไปแอบเจอมาคงไม่คิดว่าอย่างเด็กนี่จะมีพิษมีภัยอะไร หรือบางทีเจ้าตัวอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ว่าตัวเองมีอันตรายรอบด้านมากแค่ไหน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นคนคุ้นเคยที่วิ่งกระหืดกระหอบเปิดประตูร้านวิ่งเข้ามาหน้าตื่น “สารวัตรครับ!” เอกภพยกมือขึ้นเรียกอีกคนเสียงดังจนคนที่นั่งกินอยู่อย่างตั้งใจหันไปมองตามครู่หนึ่งแล้วหันกลับมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อโดยไม่ทันเห็นสายตาประหลาดใจชั่วครู่ของพิชญุฒม์ พิชญุฒม์เดินมานั่งตรงข้ามกับเอกภพสบสายตากันชั่วครู่ก่อนที่เอกภพจะยักไหล่เบาๆเป็นเชิงว่าหลังจากนี้ค่อยคุยกัน แล้วดูท่าว่าอาจจะต้องคุยกันยาวพอสมควรด้วย พิชญุฒม์ปล่อยให้นักโทษของตัวเองกินอาหารจนพอใจภายใต้บรรยากาศอึมครึมของสองคู่หูที่คลอด้วยเพลงบรรเลงสดของทางร้านก่อนจะพาอาชวินกลับมาที่บ้านแล้วทำทุกอย่างเหมือนกับปกติ ปกติจนอาชวินรู้สึกว่ามันแปลกเกินไป แต่ก็ขี้เกียจจะเดาความคิดของอีกฝ่าย อาชวินพาตัวเองมานั่งอยู่ตรงโซฟาที่เดิมที่เคยใช้นอนในทุกวัน ประสาทสัมผัสทางจมูกพยายามสังเกตุกลิ่นรอบห้องซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะอยู่ในเหตุการณ์ปกติไร้ซึ่งกลิ่นแปลกๆที่มีฤทธิ์เป็นยาสลบอ่อนๆจนทำให้เขาหลับไปเมื่อเช้า อาชวินพยายามนึกทวนว่าทำไมถึงมีคนบุกเข้ามาในคอนโดที่พิชญุฒม์อ้างว่ามีการป้องกันที่แน่นหนาด้วยเทคโนโลยีบลาๆๆ แต่พอมานั่งนึกถึงวันที่กลับจากคลับและพิชญุฒม์เข้าบ้านมาก่อนเขาร่วมสิบห้านาที แต่เขาก็ยังคงเปิดประตูเข้ามาได้โดยไร้ซึ่งเสียงสัญญาณร้องเตือนหรือแม้กระระบบล็อคอัตโนมัติเหมือนที่อีกคนเคยบอกกล่าวก็ต้องขมวดคิ้ว ลุกเดินออกมายังหน้าประตูลองวางมือลงกับลูกบิดอีกครั้งเมื่อไร้ซึ่งเสียงสัญญาณใดๆก็ลองบิดลูกบิดเพื่อเปิดประตูออก คลิ๊ก เกิดเสียงเบาๆเมื่อกลไลการปลดล็อคของประตูทำงานแต่ก็ไร้ซึ่งเสียงสัญญาณเดือนใดๆตามที่พิชญุฒม์เคยบอกเขาตั้งแต่ตอนแรกแม้กระทั่งพลักประตูเปิดออกก็ยังไร้ซึ่งเสียงเตือนใดๆภายในบ้าน ติ๊ดๆ เสียงนาฬิกาข้อมือที่ปกติจะแจ้งเตือนทุกชั่วโมงดังขึ้นจนเผลอยกขึ้นมาดูตามนิสัยแต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเวลาที่ข้อมือไม่ใช่ช่วงเวลาที่ควรจะแจ้งเตือนก่อนจะเริ่มสังเกตุหน้าปัดว่ามันไม่ได้มีแค่ตัวเลขกับเข็มนาฬิกา แต่เส้นสีแดงที่ตัดผ่านหน้าปัดซึ่งเขาเคยคิดว่ามันเป็นแค่ดีไซน์กลับดูเด่นชัดขึ้นก่อนจะค่อยๆจางหายแล้วก็ค่อยๆเด่นชัดขึ้นแล้วจางหายจนอาชวินเริ่มแน่ใจแล้วว่าไอ้สัญญาณที่พิชญุฒม์พูดถึงมันไม่ได้แสดงผลในลักษณะของเสียงเตือนในตัวบ้าน แต่แสดงผลในลักษณะของเครื่องติดตามตัวเขาต่างหาก อดิศรนั่งอยู่บนที่นอนในอพาร์ทเม้นท์ของตัวเอง สายตาก็มองหน้าจอแลปท็อปของตัวเองที่แสดงการประมวลผลไปมา จุดแดงๆกระพริบรัวจนต้องกดสเปซบาร์เพื่อให้หน้าจอประมวลออกมาเป็นคลื่นความถี่ยึกยือแล้วถอดรหัสตีความออกมาก่อนจะนั่งขำอยู่คนเดียว “รู้ตัวแล้วสินะอาชวิน” อดิศรพับแลปท็อปเครื่องเก่งปิดลงก่อนจะเดินออกมาหาอะไรรองท้องที่แถวๆอพาร์ทเม้นท์ แล้วก็เป็นไปตามคาดเขาเจออาชวินยืนดักรอตัวเองอยู่ที่มุมตึก อดิศรส่งยิ้มนิดๆให้คนที่ยืนล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมมองหน้าเขาด้วยสายตาไม่พอใจ “แผนของนายหมดเลยสินะเมฆ” อาชวินเอ่ยพร้อมกับยกแขนข้างที่ใส่นาฬิกาขึ้นให้อีกคนรู้ว่าเจ้าตัวหมายถึงอะไร อดิศรแค่ยักไหล่แล้วหลุดหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้ผมอีกคนเบาๆเลยโดนอาชวินปัดมือออกแรงๆ “แล้วนายคิดว่าฉันจะปล่อยนายให้อยู่แบบตามมีตามเกิดหรือไง” “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงอ่ะ” น้ำเสียงที่ติดเหวี่ยงของอีกคนไม่ได้ทำให้อดิศรรู้สึกสะทกสะท้าน เขารู้จักอาชวินดีเพราะถ้าอีกคนโกรธจริงๆคงไม่มียืนเหวี่ยงใส่เขาแบบนี้หรอก ป่านนี้เขาอาจจะต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่โรงพยาบาลแล้วก็เป็นได้ ถึงอาชวินจะไม่ใช่พวกเอะอะใช้กำลังแต่ก็เป็นผู้ชายคนนึงเรื่องต่อยตีมันก็ต้องมีพื้นฐานกันบ้าง “ไม่เอาน่าหมูอย่างน้อยตอนนี้นายก็อยู่สบายแล้วกัน” พูดจบก็หัวเราะร่วนก่อนจะวาดแขนไปกอดคออีกคนอย่างล้อๆ อดิศรเปลี่ยนแผนจากการออกไปหาอะไรกินเป็นพาอาชวินขึ้นมาบนห้องพักของตัวเอง ปิดล็อคประตูก่อนจะเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์เครื่องเดิม มือคลิกเข้าโปรแกรมอันนู้นทีอันนี้ทีก่อนจะตบลงบนที่ว่างข้างๆตัวให้อาชวินนั่งลง “เห็นนี่ไหม” อดิศรยกมือขึ้นชี้นิ้วไปยังจุดสีแดงเล็กๆในพื้นที่กว้างๆสีเขียว อาชวินมองตามแล้วพยักหน้าเบาๆ “อันนี้คือนาย ไม่ซิมันคือนาฬิกาข้อมือของนาย ฉันแอบใส่เครื่องติดตามไว้ในแผงวงจร อันที่จริงก่อนหน้านี้ฉันแอบไปติดเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ที่คอนโดของคุณตำรวจเขาแต่หมอนั่นก็ไม่ค่อยจะรู้อะไรว่าบ้านของตัวเองมีสิ่งแปลกปลอม” น้ำเสียงที่พูดถึงบุคคลที่สามในบทสนทนาของอดิศรแสดงออกชัดเจนว่าไม่ค่อยพอใจบุคคลที่สามเท่าไหร่ “ฉลาดแต่ไม่เฉลียว หัวไวแต่ไร้ไหวพริบ” อาชวินนั่งมองอดิศรตาปริบๆ ฟังจากน้ำเสียงก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าตัวต้องกำลังไม่พอใจอะไรซักอย่าง “รู้ไหมหมูฉันแอบติดเครื่องดักฟังไว้ที่ปกเสื้อนายวันที่ฉันไปเจอนายที่คลับ กว่าหมอนั่นจะรู้ตัวก็กลับถึงบ้านแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนประเภทนั้นจะมีสัญชาตญาณของการเป็นตำรวจ” พออดิศรพูดมาถึงตรงนี้สองแก้มของอาชวินก็รู้สึกร้อนๆแปลกๆเมื่อภาพเหตุการณ์วันนั้นลอยเข้ามาในมโนนึก ที่แท้ที่อีกคนเข้ามาใกล้ตัวเองมากขนาดนั้นอาจจะเป็นเพราะอุปกรณ์บ้าบอที่อดิศรแอบเอามาติดเขาก็เป็นได้ พอคิดมาถึงตอนนี้แล้วก็รู้สึกโหวงๆแปลกๆ “เอาจริงๆฉันก็ไม่อยากจะส่งนายกลับไปอยู่กับตำรวจคนนั้นเลยนะหมู แต่ถ้าประเมินความเสี่ยงแล้วอยู่กับหมอนั่นนายอาจจะปลอดภัยกว่า” อาชวินใช้เวลาอยู่กับอดิศรอีกพักใหญ่ก่อนที่อดิศรจะไล่อีกคนให้กลับแถมด้วยการเดินมาส่งถึงหน้าคอนโดเพราะคิดว่าป่านนี้พิชญุฒม์อาจจะตีโพยตีพายโวยวายจนบ้านแตกไปแล้วก็ได้ที่ไม่เจออาชวิน “หมู ถ้าไม่ใช่ฉันก็อย่าไว้ใจใครบนโลกนี้เข้าใจไหม” อดิศรเอ่ยเมื่อเห็นอีกคนกำลังจะเปิดประตูเข้าห้อง อาชวินชะงักมือแล้วหันมามองหน้าอีกคน สายตาจริงจังที่ส่งผ่านมาให้ อาจเป็นเพราะสายใยบางๆที่มีร่วมกันมาตั้งแต่เกิดเลยทำให้อาชวินเข้าใจในสิิ่งที่อดิศรต้องการจะสื่อ “อื้ม เข้าใจน่า” อาชวินส่งยิ้มบางๆกลกับไปให้แทนคำขอบคุณที่อีกคนเตือน “แล้วอีกอย่าง ฉันแอบติดกล้องวงจรปิดไว้ในบ้านนะ” พูดจบก็ยกยิ้มมุมปากแล้วหันหลังกลับไปปล่อยให้อาชวินยืนมึนอยู่หน้าประตู แต่ก็ยังไม่ทันที่อาชวินจะได้เอื้อมมือไปเปิดลูกบิด ประตูก็เปิดผ่างออกมาจนสะดุ้งตัวโยน ก่อนที่ใบหน้าตื่นๆของพิชญุฒม์จะโผล่ตามออกมา “อาชวิน!” พิชญุฒม์ตะคอกคนตรงหน้าเสียงดัง อาชวินก็อ้าปากเตรียมจะสวนกลับแต่ก็ต้องหุบปากฉับเมื่ออยู่ๆก็โดนอีกคนดึงเข้าไปกอดจนจมอกแถมยังยกมือขึ้นมาขยี้กลุ่มผมเบาๆ “นายไม่รู้หรอกว่าการที่ฉันมายืนกลางห้องนั่งเล่นแล้วไม่เจอนายมันเป็นยังไง” อาชวินยืนนิ่งๆให้พิชญุฒม์ยืนกอดลูบหัวลูบหางอยู่อย่างนั้นซักพัก เจ้าของแก้มกลมๆลอบยิ้มน้อยๆ ตั้งแต่มาอยู่กับพิชญุฒม์นี่คงเป็นครั้งแรกหล่ะมั้งที่อีกฝ่ายแสดงด้านนี้ออกมา ถึงปกติพิชญุฒม์จะเป็นพวกชอบกวนประสาทแต่ก็มีบางทีที่อีกฝ่ายแสดงความห่วงใยออกมาแต่ก็ถูกกลบด้วยท่าทางของคนขี้แกล้งไม่ทางคำพูดก็การกระทำตลอดจนยากที่จะมองออกว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกันแน่ เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติถึงจะไม่ปกติครบร้อยเปอร์เซ็นต์การสืบสวนก็ต้องดำเนินต่อไป พิชญุฒม์ใช้เวลาครึ่งหนึ่งของวันไปกับการนั่งอ่านประวัติรายบุคคลที่เขาได้มาอย่างละเอียดแถมไม่วายด้วยการพยายามส่งข้อมูลบางส่วนให้อดิศรหาเพิ่ม แน่นอนว่าสำหรับพิชญุฒม์การติดต่ออดิศรต้องเป็นไปอย่างเงียบๆ ทางฝั่งของเอกภพก็มีศุภวิชญ์เป็นผู้ช่วย เนื่องจากศุภวิชญ์อยู่ฝ่ายที่สามารถติดต่อกับคนอื่นตลอดเวลาต่างจากเอกภพที่วันๆอยู่แต่ห้องทดลองเลยทำให้ง่ายต่อการสืบจากบุคคลอื่น “นี่ครับพี่เอกภพที่ให้ผมไปหาให้” ศุภวิชญ์วางซองสีน้ำตาลที่ข้างในใส่พวกเอกสารเท่าที่รวบรวมได้มาให้อีกคนที่ห้องทำงาน “ขอบใจมากวิทย์ เป็นยังไงมั่งหล่ะเนี่ย” เอกภพแกะซองเอกสารออกก่อนจะดึงแผ่นกระดาษที่อยู่ในนั้นสามสี่แผ่นออกมา “เท่าที่สืบมาทุกคนที่อยู่ในไฟล์นี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหอสมุดนั่นหมดเลย เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ชาญคอร์ป เจ้าของธุรกิจอาหารแปรรูปส่งออก แล้วก็เจ้าของธุรกิจจิวเวลี่ ส่วนที่เหลือก็พวกลูกๆหลานๆแล้วก็คนที่น่าจะเชื่อมโยงได้ ยังไงพี่ลองอ่านเอาแล้วกัน ถ้ามีอะไรก็เรียกผมนะขอไปเคลียร์งานแปป” ศุภวิชญ์พูดพร้อมกับบุ้ยหน้าไปที่โต๊ะตัวเองเพื่อย้ำคำพูด เอกภพพยักหน้ารับทั้งที่สายตายังคงไล่อ่านตัวหนังสือบนกระดาษ แนวคิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อเจอว่าชื่อบริษัทจิวเวลี่ที่แสดงอยู่บนกระดาษมันคุ้นๆตาเหมือนเคยเห็นจากไหนมาก่อนเลยหันไปหยิบดินสอบนโต๊ะมาวงไว้แล้วอ่านรายละเอียดต่างๆเพิ่ม เมื่ออ่านจบก็พลิกกระดาษมาอีกหน้า รายชื่อทายาทของแต่ละบริษัทพร้อมรายละเอียดปรากฎขึ้นในคลองสายตา “รฐนนท์” ชื่อที่ปรากฎอยู่ในหน้ากระดาษไม่ได้ทำให้เอกภพชะงักเท่ากับรูปที่อยู่ข้างๆประวัติ เด็กที่เขาเจอที่ร้านอาหารตอนเดินสวนออกมาจากห้องน้ำตอนที่เขาจะเข้าไปหาอาชวิน ดวงตาเรียวรีกวาดไปทั่วประวัติของรฐนนท์สองสามรอบก่อนจะหันกลับมาหาแลปท็อปของตัวเอง ใช้เสิร์ซเอ็นจิ้นเพื่อหารูปภาพดูให้แน่ใจว่าใช่คนๆเดียวกับที่เขาเจอหรือเปล่า เอกภพไล่สายตาไปตามรูปภาพในข่าวเปิดเนื้อหาข่าวอ่านบ้างในบางอันจนแน่ใจว่ารฐนนท์คนนี้คือคนเดียวกับที่เขาเจอในร้านอาหาร มือเรียวสั่งปริ้นท์รูปออกมาสองสามรูปแล้วเก็บใส่ซองเอกสารก่อนจะเดินออกจากห้องทำงาน เป้าหมายก็ไม่ใช่ที่ไหนอื่นนอกจากห้องทำงานของเพื่อนคู่หู ประตูห้องทำงานของพิชญุฒม์เปิดตอนรับแขกคนเดิมอีกครั้ง เอกภพเดินเข้ามาพร้อมซองเอกสารสีน้ำตาล เหลือบตาไปมุมห้องก็เห็นอาชวินนั่งอ่านหนังสือเขียนหนังสืออะไรซักอย่างที่โต๊ะที่พิชญุฒม์จัดขึ้นมาให้พิเศษ วันนี้เขาไม่มีแลปอาชวินเลยไม่ได้ไปไหนนอกจากห้องทำงานของพิชญุฒม์ “ศุภวิชญ์เพิ่งเอามาให้เมื่อเช้า” เอกภพพูดพลางยื่นซองเอกสารให้พิชญุฒม์ ชื่อของบุคคลที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้เรียกสายตากลมโตจากอาชวินให้เงยขึ้นไปมอง เหมือนจะคับคล้ายคับคลาว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนซักที่แต่ก็จำไม่ได้เลยเลิกสนใจแล้วหันกลับมานั่งอ่านหนังสือต่อ “มีอะไรน่าสนใจไหม” พิชญุฒม์ถามแต่สายตายังไม่ละออกจาหน้าจอแลปท็อป “มีคนนึงน่าสนใจพอดูเลยแหล่ะ รฐนนท์” ระหว่างที่พูดหางตาก็เหลือบไปมองปฏิกิริยาของอาชวินที่มีต่อชื่อนี้แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่ออาชวินชะงักมือที่กำลังเขียนอยู่แล้วกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ “ลูกชายเจ้าของบริษัทจิวเวลี่รายใหญ่ในไทยชื่อบริษัทคุ้นๆแต่จำไม่ได้อ่ะว่าเคยได้ยินจากไหน” พิชญุฒม์ละสายตาออกจากหน้าจอแลปท็อปแล้วมองอีกคนด้วยแววตาเร่งให้รีบพูด “มีสุขจิวเวลลี่” พิชญุฒม์ไม่ตอบอะไรแต่ละสายตาจากเอกภพหันไปมองเด็กที่นั่งอ่านหนังสืออยู่มุมห้อง “ฉันขอคุยกับเอกภพสองคนนายจะออกไปหากายก็ได้นะ” คำพูดเป็นเชิงไล่กลายๆทำให้อาชวินรีบลุกออกไปจากตรงนั้น “บริษัทที่ให้ทุนหมูไปเรียน” ทันทีที่เห็นว่าประตูปิดสนิทหลังจากอาชวินออกไปพิชญุฒม์ก็เอ่ยขึ้นมา เอกภพร้องอ๋อเบาๆพลางพยักหน้ารับ “หนึ่งในผู้ก่อสร้างหอสมุด ข้อมูลตรงนี้ฉันก็รู้มาเหมือนกัน แต่แค่ไม่มั่นใจว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวอะไรกับทายาทของแต่ละคน?” “สารวัตรอาจจะยังไม่รู้นะ หมูกับเด็กที่ชื่อรฐนนท์อาจจะรู้จักกัน แล้วผมก็เดาว่าอาจจะไม่ใช่ในทางที่ดีเท่าไหร่” พิชญุฒม์ขมวดคิ้วมองอีกคนไม่แน่ใจว่าเอกภพต้องการสื่ออะไรในเรื่องนี้ และเอกภพไปรู้อะไรในเรื่องที่เขาไม่รู้มางั้นหรอ? “เรื่องนี้ผมยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ ขอให้ผมไปหาข้อมูลเพิ่มก่อนดีกว่าแล้วค่อยมาบอกสารวัตร ผมไม่อยากให้เอาเรื่องที่เพิ่งตั้งสมมติฐานมาตัดสินอะไรโดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์ เพราะบางทีผมคิดว่าเด็กนั่นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของหมูก็ได้” พิชญุฒม์พาตัวเองมายังโซนสำหรับชงกาแฟเพื่อชงกาแฟเข้มๆให้กับตัวเอง ในระหว่างที่มือคนกาแฟในแก้วให้ละลายไปในน้ำร้อนๆหัวสมองก็คิดอะไรต่อมิอะไรไปต่างๆนาๆ ข้อมูลจากเอกภพเชื่อได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่เพราะเขาไม่เชื่อใจเอกภพแต่เขาไม่เชื่อใจศุภวิชญ์ต่างหาก เด็กนั่นฉลาดเป็นกรดถึงจะดูซื่อๆก็เถอะ ส่วนเรื่องที่เอกภพบอก รฐนนท์กับอาชวินดูเผินๆก็ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันมากไปกว่าลูกเจ้าของบริษัทกับเด็กทุนของบริษัท แต่ทำไมเอกภพพูดเหมือนมันมีอะไรที่มากกว่านั้น พิชญุฒม์เดินมานั่งอยู่หน้าแลปท็อปเครื่องเดิม มือล้วงเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาก่อนจะกดโทรออกหาใครอีกคน เสียงสัญญาณดังขึ้นเพียงสองครั้งก่อนที่สายจะถูกตัดไปพิชญุฒม์กดต่อสายหาอีกฝ่ายอีกครั้งแต่คราวนี้กลับโทรไม่ติด “โถ่โว๊ย! มันใช่เวลามาเล่นตัวหรือเปล่าวะ” สบถออกมาอย่างหน่ายๆก่อนจะโยนโทรศัพท์เครื่องหรูให้ไถลไปกับโต๊ะแล้วยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองแรงๆ ตอนที่ตัดสินใจร่วมือกับอดิศรก็คิดไว้อยู่แล้วว่าอีกคนคงไม่ใช่พวกไม้อ่อนที่จะโอนอ่อนตามได้ทุกสถานการณ์แต่ก็ไม่คิดว่าจะแข็งเหมือนไม้เต็งรังขนาดนี้ พิชญุฒม์ถอนหายใจหนักๆแล้วทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ สำหรับเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าอดิศร พิชญุฒม์เชื่อแบบนั้น ต่อให้นักสืบที่เก่งที่สุดก็ไม่มีทางรู้ดีไปกว่าเจ้าตัว และพิชญุฒม์ก็มั่นใจว่าทุกเรื่องที่เกี่ยวกับอาชวินไม่มีเรื่องไหนที่อดิศรไม่รู้ มีแค่รู้แล้วบอกหรือรู้แล้วทำเป็นไม่รู้ก็แค่นั้น ครืดครืด เสียงโทรศัพท์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนโต๊ะสั่นเรียกหางตาของพิชญุฒม์ให้เหลือบไปมองก่อนจะหยิบขึ้นมาเปิดดูข้อความที่เข้ามา ข้อความที่ถูกส่งมาจากที่ไหนซักที่ซึ่งไม่โชว์เบอร์ เรียกเอาแนวคิ้วหนาให้ขมวดจนแทบจะเป็นปม เนื้อหาข้อความข้างใน ถึงจะไม่ระุบว่าคนส่งเป็นใครแต่สำหรับพิชญุฒม์มั่นใจไปเกินครึ่งแล้วว่าต้องเป็นคนที่ตัดสายเขาทิ้งอย่างไม่ใยดีเมื่อสักครู่นี้แน่ๆ “No need to chase, create own game and don’t follow them.” tbc. รู้สึกว่ามีคนชอบเยอะขึ้น ดีใจมากๆจริงๆนะคะ แงงงงง๊ :o8: :o8: ปล.ตอนนี้มาช้าเพราะมัวแต่เที่ยวอยู่ค่ะเลยไม่มีเวลาเอามาลง T______T
แง้ มีความดึน้องไปกอด แหมมมมมมมมมมมมมมมคุณสารวัตรรรรรรรร
:hao7: o13 :hao7: :L2: :pig4: :L2:
สนุกเหลือเชื่อเลยค่ะ
สนุกดีค่ะ เนื้อเรื่องน่าติดตามมาก
o13 o13 สนุกมากค่ะ
คนชอบเยอะอยู่แล้ว เนื้อเรื่องดีขนาดนี้ มาต่อไวๆนะครับ สนุกมาก
คนรอบตัวดูมีเงื่อนงำไปหมด แล้วอะไรคือหมูกลับมาก็กอดซะแน่นเชียวคุณตำหนวด? เนียนนะนั่น
โหหหหหหหหหหหหหห :heaven
เรื่องนี้สนุกกก
กดติดตามๆ
บทที่9 ห้องนอนหลังใหญ่เงียบเชียบ ทั้งๆที่นาฬิกาในห้องตอนนี้บอกว่าว่าเพิ่งจะบ่ายสองโมงครึ่งแต่สภาพมืดครึ้มจนมองแทบจะไม่เห็นแสงสว่างจนพาลจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเอาซะง่ายๆว่านี่คือเวลากลางคืน แต่คงไม่มีคนอื่นที่ไหนเดินมีโอกาสมาเดินย่ำอยู่ในห้องๆนี้นอกจากเจ้าของห้องที่นั่งกอดเข่าเงียบๆอยู่บนพื้นห้องที่ข้างเตียง ดวงตาคู่สวยมองผ่านไปในความมืด หน้าปัดนาฬิกาที่เรืองแสงอยู่ในความมืดเป็นเพียงแสงๆเดียวในห้องที่ส่องสะท้อนออกมา ตุ๊กตาสามตัวเป็นเพียงสิ่งเดียวที่อยู่บนเตียงกว้าง คนที่นั่งกอดเข่าเงียบๆอยู่ข้างเตียงเอื้อมมือมาดึงตุ๊กตาหนึ่งในสามที่ตัวเล็กที่สุดเข้ามากอดแน่นก่อนจะฝังหน้าลงกับตุ๊กตาตัวน้อย กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวตุ๊กตาช่วยให้คนที่กอดมันอยู่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย รฐนนท์เงยหน้าที่ซุกอยู่กับตุ๊กตาตัวน้อยขึ้นก่อนจะลุกยืนเต็มความสูง วางตุ๊กตาลงแล้วพาตัวเองเดินไปตามทางคุ้นเคยเพื่อไปเผชิญกับชีวิตจริงที่ต้องเจอนอกห้องนอน ร่างสูงโปร่งในชุดสูทร่วมสมัยแบบพอดีตัวทำให้รฐนนท์ดูสง่าจนกลายเป็นจุดรวมสายตาของคนที่มาร่วมงาน งานกาล่าดินเนอร์ที่ถูกจัดขึ้นโดยบริษัทร่วมทุนที่ช่วยกันก่อตั้งหอสมุดขึ้นมาเพื่อฉลองครบรอบสี่สิบปี จริงๆเขาก็ไม่ได้ชื่นชอบงานสังคมที่ต้องสวมหน้ากากใส่กันแบบนี้ซักเท่าไหร่หรอกแต่เพราะเลี่ยงไม่ได้ในเมื่อมันเป็นเรื่องของธุรกิจครอบครัว คนตัวสูงส่งยิ้มทักทายคนทุกคนที่เดินผ่านก่อนที่สายตาจะไปสะดุดอยู่กับคนที่เขาไม่คาดคิดว่าจะมาเจอที่่นี่ “ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่นะครับคุณตำรวจ” รฐนนท์เดินล้วงกระเป๋าเข้าไปทักทายนายตำรวจหนุ่มที่วันนี้อยู่ในชุดสูทดูภูมิฐาน “แต่ผมคิดแล้วครับว่าจะต้องเจอคุณที่นี่คุณรฐนนท์” พิชญุฒม์กระตุกยิ้มพลางยื่นมือขวาออกไปข้างหน้าเพื่อให้อีกคนยื่นมือมาจับเป็นการทักทายตามมารยาทสากล “จริงๆผมก็ไม่อยากจะรบกวนเวลาของคุณซักเท่าไหร่หรอกครับ แต่ถ้าคุณพอจะมีเวลาว่างซักห้านาที” “อันที่จริงหนึ่งวินาทีของอาจจะทำเงินได้มากกว่าหนึ่งเดือนของคุณก็ได้นะ แต่จะให้ลองหยุดทำเงินซักห้านาที... ก็น่าจะได้” รฐนนท์ตอบก่อนจะผายมือเป็นเชิงเชิญให้พิชญุฒม์นำไปเลยว่าอยากจะคุยกับที่ไหน คาเฟ่เล็กๆไม่ห่างจากล็อบบี้โรงแรมมากถูกเลือกเป็นสถานที่สำหรับการนั่งคุยกันของทายาทนักธุรกิจคนดังกับนายตำรวจสืบสวนสอบสวนหนุ่ม รฐนนท์นั่งไขว่ห้างหลังพิงไปกับพนักพิงดูสง่า ในขณะที่ตำรวจหนุ่มก็นั่งไขว่ห้างประสานมือไว้บนหน้าขาก่อนที่รฐนนท์จะเป็นฝ่ายผายมือเชิญให้อีกคนพูดเรื่องที่ต้องการออกมา “ได้ยินมาว่ามีสุขจิวเวลี่ให้ทุนการศึกษาเด็กคนนึงไว้ ใช้เกณฑ์อะไรในการเลือกหรอครับ” “คุณคงไม่ได้มาเจอผมเพียงเพื่อถามว่าคุณพ่อใช้เหตุผลอะไรในการให้ทุนหรอกมั้งครับคุณพิชญุฒม์” รอยยิ้มในดวงตาและริมฝีปากอย่างคนรู้ทันของรฐนนท์ทำให้พิชญุฒม์ยกยิ้มมุมปาก เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา “ผมกลัวว่าถ้าถามคุณออกไปว่าบริษัทคุณหวังอะไรจากอาชวินอยู่ก็กลัวจะตรงเกินไปหน่ะครับ” ทันทีที่พิชญุฒม์พูดจบรฐนนท์ก็หัวเราะออกมาเสียงเบา “คุณพ่อก็คงแค่หวังบุคคลากรคุณภาพซักคนหล่ะมั้งครับ” บทสนทนาจบลงพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนๆของรฐนนท์และรอยยิ้มมุมปากของพิชญุฒม์ ไม่มีใครต่อบทสนทนา ให้ความเงียบเป็นตัวบอกลาก่อนที่พิชญุฒม์จะเป็นฝ่ายลุกออกจากเก้าอี้ก่อน และไม่ลืมที่จะหันหลับมาก้มหัวน้อยๆเป็นการบอกลาอีกฝ่าย รฐนนท์ยังคงนั่งนิ่งๆอยู่กับที่ไม่ไปไหนจนพิชญุฒม์หายออกไปจากประตูโรงแรม ใบหน้าที่เคยส่งยิ้มน้อยๆคลอตลอดการสนทนากลายเป็นเรียบนิ่ง เขารู้ว่าพิชญุฒม์คือใครแต่เขาก็ไม่ได้อยากจะใส่ใจมากเพราะสำหรับเขากับตำรวจมันไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน แต่ตอนนี้เขากำลังไม่พอใจพิชญุฒม์มากๆเพราะคนที่พิชญุฒม์รับไปอยู่ด้วยต่างหาก เขาใช้เวลาหลายปีเพื่อไล่ตามหาคนๆนั้นและเพียงแค่อีกไม่นานคนๆนั้นก็จะมาอยู่ในมือเขาแล้วแต่ในขณะที่ทุกอย่างกำลังลงตัวกลับเจอเรื่องงี่เง่าไม่คาดฝันจนอาชวินบินหนีไปได้อีกรอบ ซึ่งคราวนี้จะตามกลับมาก็เริ่มจะยากแล้วแหล่ะเพราะดูเหมือนเจ้าของใหม่ของอาชวินดูจะหัวแข็งไม่เบา ห้องทดลองประจำสำนักงานสืบสวนสอบสวนวุ่นวายอีกครั้งเมื่อได้รับงานชิ้นใหม่ อาชวินนั่งทดลองอยู่หน้าเครื่องมือขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับจอคอมคอยมองกราฟที่ขึ้นๆลงๆเมื่อเครื่องมือทำการวิเคราะห์สารเคมีที่เขาใส่เข้าไป จนเมื่อเครื่องมือทำการวิเคราะห์เสร็จก็ทำการสั่งปริ้นท์เอ้าท์ออกมาเพื่อให้อ่านข้อมูลได้ง่ายๆ มือเรียวขีดๆเขียนๆวงตรงส่วนที่คิดว่าน่าจะเป็นสารประเภทอะไรก่อนจะกวาดสายตามองอีกรอบเพื่อดูว่ามีอะไรผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า ก่อนจะหันไปเปิดอ่านล็อคบุ๊คแล้วก็ทำการจดบันทึกผลการทดลองจากที่ได้ เพื่อที่จะเอาไปสรุปให้เอกภพอีกที และเพราะมัวแต่ใส่ใจอยู่กับผลการวิเคราะห์ตรงหน้าเลยไม่ได้รับรู้ว่าใครเดินเข้ามาในห้องทดลอง “เอกภพหายไปไหน?” “เห้ย!” อาชวินสะดุ้งตัวโยนเพราะเสียงกระซิบที่ข้างหู ด้วยอารามตกใจล็อคบุ๊คเล่มหนาที่อยู่ในมือของอาชวินเลยลอยไปหาคนที่มาแบบไม่ให้สุ้มให้แสียง แต่เพราะคนมาใหม่มีทักษะป้องกันตัวที่ค่อนข้างดีเลยหลบทันแล้วปล่อยให้ล็อคบุคเล่มนั้นลอยไปกระแทกกับขอบประตูกระจกด้านหลังแทน “วางแผนจะฆ่าฉันหรือไง?” พิชญุฒม์ถอยออกไปหนึ่งก้าวแล้วยืนกอดอกมองคนที่นั่งเอามือลูบหน้าอกตัวเองอยู่ด้วยสายตาขำๆ “นายหน่ะซิจะฆ่าฉันหรือไง” “แล้วตกลงเอกภพไปไหน?” “จะไปรู้หรอไม่ได้นั่งเฝ้า” อาชวินลุกขึ้นเดินไปหยิบล็อคลุ๊คที่ตัวเองเขวี้ยงออกไป ซึ่งมันไปชนกับประตูกระจกห้องทำงานของเอกภพจนเปิดออก แล้วกลับมานั่งทำงานโดยไม่ได้สนใจคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง พิชญุฒม์ยักไหล่อย่างไม่สนใจก่อนจะหันไปเปิดประตูกระจกแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของเอกภพ ปกติห้องทำงานของเอกภพจะค่อนข้างถือเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลของเจ้าตัวมาก ถ้าไม่อนุญาตใครก็ห้ามเข้า ซึ่งปกติเขาก็ไม่เคยได้เข้ามาห้องทำงานของเอกภพหรอกเพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเข้ามา อันที่จริงห้องทดลองนี่เขาก็แทบจะไม่เคยมาเหยียบด้วยซ้ำ แต่แค่ช่วงนี้มีเหตุผลให้ต้องมาบ่อยๆก็แค่นั้น พิชญุฒม์ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ทำงานของเอกภพก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆห้อง จริงๆห้องนี่ก็ออกจะเต็มไปด้วยกองเอกสารแล้วก็กองเอกสารแต่ทำไมความเป็นระเบียบถึงยังมีอยู่ได้ หนังสือเป็นเล่มๆก็แทบจะไม่มี ที่เห็นๆอยู่ก็มีแค่หนังสือเกี่ยวกับพวกการวิเคราะห์แค่ไม่กี่เล่ม พิชญุฒม์หมุนเก้าอี้มาอีกฝั่งยกขาขึ้นพาดกับโต๊ะตรงที่ยังพอมีพื้นที่ว่างเพื่อจะแอบนั่งหลับรอเจ้าของห้องกลับมา จะให้กลับไปรอที่ห้องตัวเองก็ขี้เกียจ ถือว่ามานั่งเฝ้าอาชวินกันเจ้าตัวหนีก็แล้วกัน “เห้ย!” แต่ตอนที่กำลังขยับขาเพื่อให้เป็นท่าที่สบายส้นรองเท้าดันไปเกี่ยวเข้ากับกองเอกสารที่อยู่ตรงใกล้ๆร่วงลงจากโต๊ะจนต้องก้มไปเก็บเพื่อเอากลับมาเรียงที่เดิม ก็แอบกลัวว่าถ้าทำไม่เหมือนเดิมจะโดนเอกภพสวดยับขนาดไหน มือที่กำลังโกยกองเอกสารอยู่ชะงักเมื่อในกองเอกสารที่ร่วงลงมามีภาพของคนที่กำลังนั่งทำงานอยู่ข้างนอกอยู่ด้วย ภาพที่ดูแล้วมันคือการแอบถ่ายซึ่งคนในรูปกำลังนั่งเหม่ออคิดอะไรซักอย่างอยู่ พิชญุฒม์ยกรูปขึ้นมาเทียบองศากับอาชวินที่นั่งอยู่ข้างนอก ทุกอย่างบ่งบอกว่ารูปนั้นถูกถ่ายจากคนในห้องนี้พอพลิกด้านหลังก็เจอกับข้อความเล็กๆที่ถูกเขียนด้วยลายมือของเจ้าของห้องทำงานนี้ “เอกภพ..” มือข้างที่ไม่ได้ถือรูปกำแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีขาวเพื่อเป็นการระงับความรู้สึกที่ตีขึ้นมา ก่อนจะเก็บเอกสารทุกอย่างไว้ที่เดิมรวมถึงรูปๆนั้นด้วยแล้วทำเหมือนทุกอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครืด เสียงประตูห้องเอกภพเปิดทำให้อาชวินละสายตาจากล็อคบุ๊คหันไปมองที่คนที่เดินออกมาด้วยสีหน้านิ่งๆเรียบๆ เขาไม่รู้หรอกว่าพิชญุฒม์เข้าไปทำอะไรเพราะห้องของเอกภพติดฟิล์มสีดำจนมองเข้าไปไม่เห็นข้างใน ซึ่งเท่าที่ดูจากสีฟิล์มแล้วเหมือนจะเป็นฟิล์มที่คนข้างนอกมองไม่เห็นคนข้างในแต่คนข้างในสามารถมองออกไปข้างนอกได้ “ใกล้เสร็จหรือยัง?” “ใกล้แล้ว” พูดจบก็ก้มหน้าก้มตาทำต่อไม่ได้สนใจพิชญุฒม์ที่ยืนกอดอกพิงประตูห้องเอกภพมองอยู่ข้างหลัง ความเงียบคือสิ่งที่อาชวินได้จากพิชญุฒม์ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจอยู่แล้วเพราะรายนั้นอยากพูดก็พูดเองแต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากจะพูด เน้นกวนหน้านิ่งอะไรเทือกๆนั้นมากกว่า “เสร็จแล้วใช่ไหม? งั้นก็ไปกันได้แล้ว” ทันทีที่อาชวินปิดสมุดล็อคบุ๊คพิชญุฒม์ก็เอ่ยขึ้นมาจนอาชวินต้องหันไปมองหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจ จะรีบไปหนก็ไปดิวะจะมารอเขาทำไม “ไปไหน” เก็บคำต่อว่าไว้ในใจแล้วเอ่ยถามออกไป “ฉันมีคดีด่วนที่ภาคใต้” สายตาจริงจังของพิชญุฒม์ทำให้อาชวินต้องรีบเก็บของเพราะคดีนี้อาจจะสำคัญมากจริงๆ และเขาก็ไม่อยากจะเป็นตัวถ่วงอีกคนมากนักเพราะกับเรื่องงานพิชญุฒม์จริงจังเสมอ พิชญุฒม์แวะกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองก่อนจะตรงไปนั่งหน้าแลปท็อปพิมพ์อะไรต๊อกแต๊กอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปิดเครื่องแล้วพับแลปท็อปเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆห้องอีกรอบแล้วพาทั้งตัวเองและอาชวินกลับที่พัก เมื่อกลับมาถึงบ้านพิชญุฒม์ก็ตรงดิ่งขึ้นไปบนห้องนอนแล้วเปิดแลปท็อปที่พกกลับมาด้วยขึ้นมา ข้อมูลบุคลากรที่เขาแอบโอนถ่ายมาเมื่อตอนก่อนจะออกจากสำนักงานถูกเปิดขึ้นมา ประวัติเอกภพถูกเปิดขึ้นมาโดยละเอียด ไม่ใช่ว่านี่คือครั้งแรกที่พิชญุฒม์ดูประวัติของเอกภพ ก่อนหน้าที่จะร่วมงานกันประวัติของแต่ละฝ่ายก็ถูกส่งไปให้ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนกัน พิชญุฒม์กวาดสายตามองประวัติเอกภพแบบคร่าวๆ ทุกอย่างก็เหมือนกับที่เขาเคยเห็นมาแล้วเกือบทั้งนั้นเพียงแต่ประวัติที่เขาดูคราวนี้เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่จะต้องมีการอัพเดทเรื่องๆในระบบกลาง ประวัติของเอกภพใสและไร้รอยด่างพร้อยจนดูเหมือนเป็นคนสมบูรณ์แบบคนนึงถ้าไม่ติดว่าเขาเห็นข้อความที่คนๆนั้นเขียนไว้หลังรูปคงคิดไปแล้วว่าเอกภพมีใจให้นักโทษในการดูแลของเขา… เพราะในวันที่พิชญุฒม์ไปเจออาชวินอยู่กับเอกภพ ยอมรับว่าแปลกใจไม่น้อยเพราะเขาไม่ได้บอกเอกภพเรื่องที่อาชวินโดนลักพาตัว แต่เพราะความโล่งใจที่เจออาชวินมีมากกว่า ความสงสัยในประเด็นนั้นเลยโดนปัดตกไป ร้านกาแฟเงียบๆบนถนนย่านสุขุมวิทถูกเลือกเป็นสถานที่สำหรับพบกันในครั้งนี้ของพิชญุฒม์และอดิศร พิชญุฒม์ส่งข้อมูลคร่าวๆในเรื่องที่ตัวเองกำลังสงสัยให้อดิศรเป็นคนสืบค้นแต่กว่าที่อดิศรจะยอมเจาะระบบข้อมูลให้เขาก็ต้องเอาอาชวินมาเป็นตัวประกันอีกรอบอดิศรถึงจะยอมช่วย “แน่ใจนะว่านายไม่ได้เดาสุ่ม” “ยอมรับว่าเดาแต่ไม่ได้สุ่ม” พิชญุฒม์พูดขณะที่จิบอเมริโน่ไปด้วยในขณะที่อดิศรก็ทำท่าทางเหมือนไม่เชื่อเขาซะเต็มประดาจนน่าหมันไส้ “จะบอกว่าที่อาชวินโดนลักพาตัวไปคราวก่อนมันคือฝีมือของคู่หูนาย?” “อย่าทำมาเป็นใสซื่ออดิศร นายก็คงจะพอมีข้อมูลอยู่แล้วแต่แค่รอดูท่าทีของเอกภพต่อไปมากกว่า” อดิศรยักไหล่แบบไม่มีอะไรจะเถียงเพราะก่อนหน้าที่เขาจะออกมาเจอพิชญุฒม์ อีกฝ่ายเกริ่นๆกับเขาไว้จนเขาต้องไปหาข้อมูลเบื้องต้นเท่าที่พอหาได้เพื่อเอามายืนยันว่าเรื่องที่พิชญุฒม์เรียกเขาออกมาคุยไม่ได้ไร้สาระจนเสียเวลาออกมาข้างนอก “แต่โปรไฟล์เอกภพถือว่าเป็นคนเพอร์เฟ็คคนหนึ่งเลยนะ” “นายไม่มีทางรู้หรอกว่าภายใต้น้ำใสๆจะมีโคลนดูดอยู่หรือเปล่าจนกว่านายจะได้ลองเหยียบลงไป” “หมายความว่ายังไง?” “พาอาชวินไปที่อื่นซักพัก ขอเวลาให้ฉันอย่างต่ำสามวันแล้วฉันจะให้คำตอบว่าคู่หูนายจะเป็นสระน้ำแบบไหน” ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย พิชญุฒม์กับอาชวินเดินตามผู้คนออกมายังทางออกของสนามบินก่อนจะตรงไปยังบริเวณจุดที่มีบริการแท็กซี่และพิชญุฒม์ก็เป็นคนบอกจุดหมายปลายทางของการมาครั้งนี้ให้กับพนักงานขับรถ รถแท็กซี่แล่นตามถนนสายหลักผ่านตัวเมืองลงไปทางใต้เรื่อยๆจนมองออกจากหน้าต่างรถแท็กซี่เจอแต่ชายหาด ดวงตากลมโตส่องประกายวิววับเมื่อภาพชายหาดสะท้อนเข้ามาในกรอบสายตา แทบจะจำไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ตัวเองไม่ได้สัมผัสกับชายทะเลถึงแม้จะแค่มองจากไกลๆเพราะการมากระบี่ครั้งนี้ของเขาก็คือการมาทำงานของพิชญุฒม์ รถแท็กซี่จดลงตรงหน้าชายหาดกว้าง ทันทีที่ก้าวลงจากรถ ลมทะเลก็พัดเข้าหน้าจนอาชวินอยากจะโยนกระเป๋าทิ้งแล้ววิ่งลงหาดแต่ก็ทำได้แค่มองใบมะพร้าวรอบๆหาดพัดไหวคลอไปกับเสียงคลื่น อาจจะเพราะสนใจทะเลมากไปเลยไม่รู้ว่าพิชญุฒม์เดินออกไปอีกทางแล้วจนอีกคนต้องหักกลับมาสะกิดเพื่อให้อาชวินเดินตามมา บ้านพักขนาดเล็กซึ่งหันหน้าเข้าหาชายหาดมิชชั่นเป็นสถานที่ปลายทางที่ทั้งสองคนเดินมาถึง อาชวินแอบแปลกใจเล็กน้อยกับภาพที่เห็น ไม่คิดว่าการมาแก้คดีของพิชญุฒม์คราวนี้จะสร้างความประหลาดใจได้มากขนาดนี้เพราะถ้าพิชญุฒม์ไม่บอกเขาว่ามาแก้คดีเขาคงคิดว่าพิชญุฒม์มาพักผ่อนเป็นแน่ ภายในบ้านพักถูกจัดเป็นสัดเป็นส่วนซ้ายมือเป็นเตียงนอนส่วนขวามือเป็นโซนพักผ่อนที่มีชุดโซฟาตัวเล็กๆสำหรับสองที่และทีวี แต่อาจเพราะบ้านหลังนี้มีขนาดเล็กเลยทำให้ภายในมีเพียงเตียงคิงส์ไซต์หนึ่งหลังที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง อาชวินมองแล้วก็ได้แต่กรอกตา พิชญุฒม์จะให้เขานอนตรงไหน? บนพื้นหรือไง เพราะโซฟาก็ไม่ใช่ขนาดที่คนปกติจะนอนได้ “นายจะออกไปวิ่งเล่นข้างนอกก็ได้นะ แต่ถ้านายหนีไปเมื่อไหร่ฉันก็ตามนายกลับมาได้อยู่ดี” พิชญุฒม์เอ่ยกับอาชวินก่อนจะเดินไปวางขอลงบนเตียงแล้วงัดเอาแล็ปท็อปในกระเป๋าออกมาแล้วยึดพื้นที่ตรงโซฟาหน้าทีวีไปใช้ทำงาน อาชวินเบะปากใส่น้อยๆก่อนจะวางกระเป๋าของตัวเองลงแล้วเดินออกไปข้างนอกเพราะดูจากประโยคกึ่งไล่เมื่อกี้นี้พิชญุฒม์คงไม่อยากให้เขาอยู่กวนสมาธิแน่ๆ กว่าพิชญุฒม์จะเงยหน้าออกจากแลปท็อปได้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้วพอเหลือบมองนาฬิตรงหน้าจอแลปท็อปก็รู้ว่าตัวเองใช้เวลาอยู่หน้าจอร่วมห้าชั่วโมง พาลทำให้นึกถึงอาชวินไม่รู้ว่าป่านนี้เด็กนั่นจะเดินเล่นไปถึงไหนเลยพับหน้าจอแลปท็อปลงแล้วออกเดินตามหาอาชวิน พิชญุฒม์เดินเลาะริมชายหาดไปบนพื้นทรายละเอียดเท้า บังกะโลที่เขาเลือกค่อนข้าเป็นส่วนตัวพอสมควรบริเวณหาดโซนนี้เลยไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านแถมยังไม่ไกลจากหาดมากเลยทำให้เขาเลือกจะมาพักที่นี่ ซึ่งอความจริงบังกะโลหลังนี้เป็นหนึ่งในกิจการอสังหาริมทรัพย์ที่คุณแม่ของเขาจัดการอยู่ด้วยเลยได้มาค่อนข้างง่าย อันที่จริงเขาวางแผนจะพาอาชวินหลบมาทะเลซักสองสามวันอยู่แล้ว ยิ่งพออดิศรเปิดทางให้เขาพาอาชวินหายไปก็ยิ่งเข้าทางเขามากขึ้นไปอีก แสงไฟจากไฟสาธารณะสีส้มยิ่งทำให้บรรยากาศรอบตัวเหมาะกับการพักผ่อนแต่คงไม่ใช่ตอนนี้เพราะพิชญุฒม์เดินมาซักพักแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของอาชวินถึงจะมั่นใจว่าเด็กคนนั้นไม่น่าจะหนีไปไหนแน่นอนแต่ก็มั่นใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ นกน้อยต่อให้ปีกหักยังไงก็ต้องหาทางออกจากกรงจนได้ ยิ่งเดินออกมาไกลจากบ้านพักเท่าไหร่พิชญุฒม์ยิ่งออกอาการร้อนรนเท่านั้น ความรู้สึกตอนรู้ว่าอาชวินโดนจับตัวไปครั้งก่อนยังไม่จางได้แต่ภาวนาว่าขอให้เขาเจอตัวเด็กนั่นที่ไหนซักทีที่ไม่ไกลจากที่นี่ ดวงตาคู่คมมองกวาดไปรอบๆในขณะที่ขาก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเพราะไม่อยากวิ่งเร็วมากด้วยกลัวว่าอาจจะทำให้มองรอบๆไม่ละเอียดจนทำให้มองไม่เห็นอาชวิน แต่แล้วช่วงขาเรียวที่กำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินก็ค่อยๆผ่อนความเร็วลงเมื่อสายตามองไปเจออาชวินนั่งนิ่งๆอยู่บนม้านั่งเลยเปลี่ยนเป็นค่อยๆเดินเข้าไปไกลๆ “หมู...” “ชู่ว” อาชวินยกมือขึ้นมาทำท่าทางให้พิชญุฒม์เบาเสียงลงก่อนจะชี้ลงไปที่สิ่งที่นอนหลับอยู่บนตักของตัวเอง “ฉันเจอมันแถวนี้ ขอเล่นกับมันอีกซักพักนะแล้วจะปล่อยไป” อาชวินเอ่ยตอบสายตาของพิชญุฒม์ที่มองมาเหมือนมีคำถามอยู่ในนั้นแต่ไม่ได้เอ่ยออกมา พิชญุฒม์ถอนหายใจเบาๆก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ลูกหมาวัยไม่น่าจะเกินหนึ่งเดือนสีขาวแซมน้ำตาลที่เขาไม่รู้หรอกว่ามันพันธุ์อะไรกำลังนอนหลับปุ๋ยให้อาชวินลูบขนเบาๆอยู่ คงจะเพลินน่าดูเพราะดูท่าแล้วเจ้าตัวเล็กไม่รับรู้อะไรนอกจากฝ่ามือของอาชวิน แอบลอบมองหน้าเจ้าของตักที่นั่งมองเจ้าลูกหมาตัวน้อยที่กำลังยิ้มเอ็นดูแต่สายตากลับฉายแววเศร้าออกมา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเด็กคนนี้คงจะเหงาเลยไม่อยากให้ลูกหมาไร้ครอบครัวตัวนี้เหงาเหมือนตัวเองแน่ๆ “นายไม่สามารถเลี้ยงดูใครได้ในตอนนี้หรอกอาชวิน” “ฉันรู้ ก็บอกแล้วไงว่าขออีกซักพัก” ปลายเสียงที่แผ่วลงของอาชวินทำให้พิชญุฒม์ใจกระตุก เจ้าตัวอาจจะไม่รู้แต่น้ำเสียงเบาๆแบบนั้นมันเต็มไปด้วยความว้าเหว่และเดียวดายจนเขาจับได้ในกระแสน้ำเสียงนั้น พิชญุฒม์ปล่อยให้อาชวินนั่งลูบขนเจ้าลูกหมาตัวเล็กอยู่อย่างนั้นอีกซักพักก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการบอกกลายๆว่าเวลาอีกซักพักที่อาชวินขอได้หมดลงแล้ว คนตัวป้อมค่อยๆประคองเจ้าลูกหมาให้เบามือที่สุดเพื่อกันไม่ให้มันตื่น แอบคิดในใจว่าถ้ามันตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองต้องนอนหนาวอยู่คนเดียวบนม้านั่งตัวนี้มันจะรู้สึกเหงาแค่ไหน ลูกหมาตัวน้อยเริ่มรู้สึกตัวตอนที่อาชวินวางมันลงบนม้านั่งทำให้อาชวินต้องรีบผละออกมา บ๊อก! เจ้าลูกหมาตัวน้อยส่งเสียงเห่าออกมา พออาชวินหันไปก็พบว่ามันกระโดดลงมาจากม้านั่งแล้ววิ่งตามตัวเองมา ดวงตากลมโตของมันเหมือนจะสื่อว่าอย่าทิ้งมันไว้ตรงนี้ตัวเดียว แต่อาชวินก็ต้องตัดใจเดินจากมาเมื่อพิชญุฒม์เดินนำไปไกลแล้ว บ๊อกบ๊อก! เจ้าลูกหมาตัวน้อยยังคงวิ่งตามมา อาชวินหันไปมองพิชญุฒม์ที่เดินนำไปไกลก่อนจะหันมามองลูกหมาตัวเดิมอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจย่อตัวลงไปลูบหัวเจ้าลูกหมา “ขอโทษทีนฉันเอาแกไปด้วยไม่ได้จริงๆ ลำพังตัวฉันยังเอาตัวไม่รอดเลย” อาชวินเอ่ยกับเจ้าลูกหมาที่มองเขาตาเป็นประกายหางสั้นๆกระดิกไปมาเพราะไม่ได้รับรู้ความหมายของคำพูดที่อาชวินสื่อออกมา อาชวินลุกขึ้นยืนก่อนจะหันหลังกลับ คิดกับตัวเองในใจว่าจะไม่ใจอ่อนให้เจ้าลูกหมาตัวนี้อีกแน่นอน บ๊อกบ๊อก อาชวินข่มตาทำเป็นไม่สนใจเสียงเห่าของเจ้าลูกหมาน้อยแล้วพยายามก้าวเร็วๆให้เดิมตามพิชญุฒม์ทัน แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาให้เร็วขึ้นแรงดึงที่ขากางเกงก็ทำให้ต้องหันกลับไปมอง เจ้าลูกหมาพยายามงับขากางเกงเขาไว้เพื่อดึงให้อาชวินอยู่กับมัน อาชวินพยายามสะบัดขากางเกงออกเบาๆเพื่อให้เจ้าลูกหมาปล่อยแต่ก็ไม่หลุดเลยพยายามจะออกแรงเพิ่มขึ้นแต่สุดท้ายก็ไม่กล้าที่จะออกแรงมากเพราะกลัวมันเจ็บเลยปล่อยให้เจ้าลูกหมากัดอยู่อย่างงั้นจนต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วอุ้มเจ้าลูกหมามาแนบอก “ถึงตอนนี้ฉันอาจจะดูแลตัวเองไม่ได้ แต่จะพยายามต่อรองให้ฉันได้ดูแลแกแล้วกันนะเจ้าลูกหมา” พิชญุฒม์ที่หันกลับมามองซักพักแล้วได้แต่ส่ายหัวเบาๆ เหมือนมีเค้าลางว่าเขาอาจจะต้องมีภาระที่ต้องดูแลเพิ่มตะหงิดๆเพราะอาชวินคงไม่ยอมแยกจากเจ้าตัวนั้นง่ายๆในตอนนี้แน่ๆ เอาเป็นว่าหลังจากสามวันนี้เขาค่อยคิดอีกทีแล้วกันว่าจะเอายังไงต่อไปกับเจ้าหมาน้อยทั้งสองตัวตรงหน้าดี tbc. ยอมรับในความมาช้าครั้งนี้แต่โดยดีค่ะ งานยุ่งมากจนไม่มีเวลาแตะคอมเลย T__________T เจอกันอาทิตย์หน้าค่า
:กอด1:
:z13:
แต่งได้ดีมาก เป็นเรื่องที่แตกต่างจากทั่วๆไป ชอบมากค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ :pig4: :pig4:
น้องหมูนี่ ประวัติแลจะลึกลับจัง
o13 :3123: :pig4: :3123:
แน๊ มองน้องเป็นหมาน้อยแบบนี้ คิดไรกะน้องป่าวสารวัตร กิ๊วๆๆๆ// โดนปืนจ่อหัว// ขอโทษค่ะ
ได้ทั้งเด็กทั้งหมาเลย ครอบครัวสุขสันต์ อิอิ
บทที่ 10 บ๊อกๆ เสียงเล็กๆที่มาพร้อมกับแรงกระแทกเบาๆตรงหน้าอกทำให้พิชญุฒม์ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมามอง ก้อนเล็กๆสีขาวแซมน้ำตาลปรากฎเข้าสู่คลองสายตาชายหนุ่มเกือบจะยกมือมาโยนสิ่งแปลกปลอมออกจากหน้าอกแล้วเขวี้ยงออกไปไกลๆอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าเจ้าลูกหมาตัวน้อยชิงกระโดนลงไปก่อน ขาสั้นๆของมันวิ่งเล่นอยู่บนเตียงที่เขานอนจนทั่ว พอเหลือบสายตาไปบนพื้นข้างเตียงก็เจอลูกหมาตัวโตอีกตัวนอนหลับสนิทอยู่ จริงๆพิชญุฒม์ไม่ได้ใจร้ายใจดำขนาดที่จะไล่อาชวินให้ไปนอนลำบากบนพื้นแข็งๆอย่างนั้น แต่เพราะเจ้าตัวยืนยันว่าจะขอนอนตรงนั้นเพราะไม่อยากให้เจ้าลูกหมาน้อยที่เก็บมาด้วยขึ้นไปนอนบนเตียงให้เตียงสกปรก แต่แล้วยังไงในเมื่อสุดท้ายอาชวินก็หลับอุตุแล้วเจ้าตัวน้อยนั่นก็ตะกายขึ้นมาวิ่งเล่นอยู่บนเตียงอยู่ดี เมื่อคืนนี้สุดท้ายเขาก็ยอมให้อาชวินพาเจ้าลูกหมาตัวน้อยมาจนได้แถมเจ้าตัวยังเรียกเจ้าลูกหมาตัวน้อยนั่นว่า ‘ทะเล’ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเอาเวลาที่ไหนไปคิดชื่อมาเสร็จสรรพขนาดนั้น พิชญุฒม์ลุกขึ้นมานั่งหย่อนขาลงข้างเตียงก่อนจะหันไปคว้าเจ้าทะเลด้วยมือข้างเดียวก่อนจะลูบหัวมันสองทีแล้วโยนมันเบาๆลงบนไปบนหน้าคนนอนหลับอยู่ อาชวินสะดุ้งโหยงผุดลุกขึ้นมา พิชญุฒม์ใจหายวาบตอนที่เจ้าทะเลร่วงลงมากระแทกพื้นดังอั่กแล้วแล้วนอนหงอยเพราะความจุก “เล่นอะไรไม่รู้เรื่องเลยคุณตำรวจ” อาชวินตวัดสายตาดุๆมามองเขาก่อนจะช้อนเจ้าลูกหมามาไว้แนบอกลูบหัวลูกหางปลอบประโลมลูกหมาน้อยยกใหญ่ พิชญุฒม์ยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าไม่ได้ตั้งใจก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำไปปล่อยให้ลูกหมาสองตัวโอ๋กันไป อาชวินต้องเจอเรื่องประหลาดใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ของการมากระบี่ครั้งนี้ก็ไม่แน่ใจ เพราะหลังจากที่พิชญุฒม์จัดการตัวเองเสร็จเขาก็เขาไปจัดการตัวเองต่อพอออกมาก็ไม่เจอพิชญุฒม์แล้วแถมเจ้าทะเลก็หายไปด้วยพอเปิดประตูมาก็เจอรถเก๋งบุโรทั่งจอดอยู่หน้าบ้านพักพร้อมกับคนที่บอกว่าจะมาแก้ไขคดีกำลังยืนเช็ดกระจกอยู่ ส่วนเจ้าลูกหมาก็วิ่งวนอยู่รอบๆพิชญุฒม์ “ไปเอามาจากไหนหน่ะ” อาชวินหมายถึงเจ้ารถเก๋งบุโรทั่งสีฟ้าซีดๆตรงหน้า “ยืมคนแถวนี้มา” พิชญุฒม์ตอบหน้าตาก่อนจะย้ายไปเช็ดกระจกอีกฝั่ง อาชวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ใครเชื่อก็บ้าแล้ว เพิ่งจะมาถึงที่นี่เมื่อวานใครจะบ้าให้คนแปลกหน้ายืมรถถึงแม้จะเก่าจนแทบจะปลูกสาระแหน่ะได้แล้วก็เถอะ อาชวินขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับพิชญุฒม์ ก้มลงไปอุ้มเจ้าทะเลขึ้นมาฟัดเจ้าหมาน้อยงับเข้าที่จมูกรั้นๆของอาชวินจนคนตัวป้อมร้องออกมาเสียงดังพอเจ้าหมาน้อยถอนเขี้ยวออกอาชวินก็สวมวัญญาณเป็นหมาน้อยไปงับจมูกเจ้าตัวเล็กแทน พิชญุฒม์ส่ายหน้าเบาๆให้กับภาพตรงหน้า เหมือนลูกหมาน้อยสองตัวไม่มีผิด มองจากมุมนี้อาชวินก็แค่เด็กธรรมดาๆคนนึงที่สดใสตามวัยและไร้ซึ่งกำแพงหนาๆที่เจ้าตัวสร้างขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าอาชวินเคยพบเจอกับอะไรมาบ้างเจ้าตัวถึงได้สร้างกำแพงขึ้นมารอบตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเจ้าเด็กนั่นดูมีความสุขมากขนาดนี้ เหมือนกำแพงที่อาชวินสร้างขึ้นมาโดนทำลายลงโดยที่เจ้าตัวก็น่าจะไม่รู้ว่าเป็นคนพังมันลงมาเองเพียงเพราะได้เจออะไรที่ให้ความรู้สึกเหมือนเงาสะท้อนของตัวเอง รถเก๋งบุโรทั่งสีฟ้าซีดๆขับมาตามถนนริมหาดก่อนจะหยุดลงตรงหน้าร้านอาหารเล็กๆ ที่คนไม่ค่อยพลุกพล่าน โต๊ะนั่งแบบเอ้าท์ดอร์เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะในอ้อมแขนของอาชวินมีเจ้าลูกหมาตัวน้อยนั่งมองตาแป๋วอยู่ อาหารเช้าที่ค่อนไปทางสายสำหรับสองคนถูกสั่งพร้อมกับนมจืดหนึ่งแก้วเพื่อเจ้าลูกหมาตัวน้อย อาชวินเทนมในแก้วใส่จานใบเล็กสำหรับให้เจ้าทะเลกินได้ถนัดก่อนจะนั่งมองเจ้าตัวเล็กจัดการนมตรงหน้าไปพักใหญ่จนท้องกลมๆแข็งปั๋งแล้วนอนนิ่งๆอาชวินถึงหันมาจัดการกับอาหารที่ทางร้านนำมาเสิร์ฟได้ซักพักแล้ว พิชญุฒม์ขับรถไปตามทางสายหลักเพื่อมุ่งเข้าสู่ย่านใจกลางเมือง ก็ไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะต้องได้ขับรถออกมาในตัวเมืองกระบี่ ทั้งๆที่แพลนแรกคือมานั่งๆนอนๆอยู่ริมทะเลให้ไอทะเลรัดตัวเล่นแต่เพราะเจ้าลูกหมาน้อยที่นั่งเกยหน้ากับขอบหน้าต่างอยู่ในอุ้งมือขออาชวินนั่นแหล่ะที่ทำให้เขาต้องไปติดต่อหารถเช่าเพื่อพามันออกมาย่านใจกลางเมืองที่คนพลุกพล่านขนาดนี้ รถบุโรทั่งสีฟ้าซีดจอดลงตรงหน้าคลีนิกสัตว์เล็กๆ พิชญุฒม์จำเป็นต้องพามันมาตรวจร่างกายเพื่อฉีดยา ไหนๆก็จะต้องอยู่กับมันขั้นต่ำก็อีกสองวันแล้วแต่อย่างมากก็อาจจะตลอดไปก็เลยต้องพามันมาเช็คร่างกายฉีดวัคซีนซะหน่อยอย่างน้อยก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเขาเอง เจ้าลูกหมาเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองต้องเจอกับอะไรเพราะเจ้าทะเลยังคงฟัดนัวเนียอยู่กับอาชวิน แต่ทันทีที่คุณหมออุ้มไปวางบนเตียงเจ้าทะเลก็ตาเหลือกร้องหาอาชวินจนพิชญุฒม์หลุดขำออกมาจนโดนเจ้าลูกหมาตัวโตอย่างอาชวินตวัดสายตาไม่พอใจมามอง ซึ่งพิชญุฒม์ก็แค่ทำเป็นมองไม่เห็นสายตากลมๆคู่นั่นแล้วหันไปขำเจ้าทะเลต่อ หงิงง เสียงเจ้าทะเลร้องครางหงิงในอ้อมกอดอาชวินที่นั่งลูบหัวลูบหางมันอยู่ในรถ สภาพหงอยๆของลูกหมาแอบทำให้รู้สึกผิดเล็กๆที่พามันมาฉีดวัคซีนแต่ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวมันเองและพวกเขาอย่างน้อยก็ต้องป้องกันโรคต่างๆที่จะมากับมันก่อน พิชญุฒม์ไถ่โทษด้วยการพาอาชวินกับเจ้าทะเลมาหยุดที่ สวนน้ำสวนสนุกที่ห่างออกจากตัวเมืองมาอีกนิดที่คนแน่นขนัดอาจเพราะช่วงนี้เป็นช่วงไฮซีซั่นคนเลยค่อรข้างหนาตา และอาจเพราะพวกเขามากันในเวลาเย็นแล้วผู้คนมากมายเลยพากันมารอชมแสงสีจากชิงช้าสวรรค์อันใหญ่และขบวนพาเหรดของสวนน้ำในยามค่ำ อาชวินยิ่งกระชับอ้อมกอดที่อุ้มเจ้าทะเลไว้แนบอกเพราะกลัวว่ามันจะหลุดมือแล้วโดนผู้คนเหยียบเละ อาชวินมองร้านรวงต่างๆที่เริ่มเปิดไฟประดับร้านด้วยสายตาทึ่งๆ ไม่ใช่ว่าไม่เคยไปสวนสนุกหรอกนะตอนอยู่กรุงเทพเขาก็เคยแอบหนีไปอยู่ครั้งสองครั้ง แต่การแอบหนีไปสวนสนุกกับการได้มาเดินเล่นแบบไม่ต้องระแวดระวังอะไรหรือกลัวใครจับได้มันให้ความรู้สึกดีกว่ากันเป็นไหนๆ บ๊อก! เจ้าทะเลหูตั้งหางกระดิกเมื่อสายตากลมๆของเจ้าลูกหมาไปปะทะเข้ากับตัวตลกจมูกแดงที่ยืนเล่นกายกรรมโยนขวดอยู่ เสียงดนตรีจากลำโพงตัวเล็กข้างๆเรียกสายตาจากคนผ่านไปผ่านมาให้หยุดมองโดยเฉพาะเด็กๆ บรรยากาศยามย่ำค่ำที่ไม่ได้ร้อนมากเพราะมีลมเย็นๆพัดมาตลอดทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนสามารถเดินเล่นไปทั่วสวนสนุกได้อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย หนึ่งในนั้นก็คืออาชวินที่มือนึงอุ้มเจ้าทะเลส่วนอีกมือนึงก็ถือถ้วยมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบที่ราดชีสที่ไม่มีร่องรอยของการกินเลย ไม่ใช่ว่าพิชญุฒม์สั่งห้ามหรืออาชวินหวงของแต่เป็นเพราะไม่มีมือจะหยิบถึงแม้กลิ่นของมันจะหอมยั่วยวนมากก็เถอะ “คุณตำรวจ.. คือ..” อาชวินอ้ำๆอึ้งๆเพราะใจนึงก็เกรงใจที่จะต้องไหว้วานพิชญุฒม์ให้ถือให้แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะครั้นจะปล่อยให้เจ้าทะเลลงไปเดินกับพื้นก็เกรงว่ามันจะโดนเหยียบไปซะก่อน “ไม่มีอะไรแล้ว” อาชวินเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งเมื่อพิชญุฒม์เลิกคิ้วถามเป็นเชิงว่ามีอะไร พออาชวินบอกว่าไม่มีอะไรก็หันกลับไปกวาดตาดูรอบๆอีกครั้ง แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้านิ่งๆของพิชญุฒม์ความจริงแล้วคือเจ้าตัวแทบจะหลุดขำออกมาอยู่หลายรอบ ภาพดวงตากลมโตของอาชวินที่จ้องไปที่ถ้วยของกินตาละห้อยดูก็รู้ว่าอยากกินแต่คงไม่มีมือจะหยิบและเจ้าตัวก็คงจะไม่อยากรบกวนเขาถึงได้ทำหน้าหงอยไม่ต่างกับตอนที่เจ้าทะเลตอนโดนฉีดยาซักนิด พิชญุฒม์เอื้อมมือไปหยิบถ้วยมันฝรั่งทอดมาถือไว้เองก่อนจะหยิบมันฝรั่งเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉยก่อนจะเหลือบปลายหาตาไปมองอีกคนที่ทำหน้ามู่ทู่ใส่เจ้าทะเล “หืม?” ชิ้นมันฝรั่งทอดชุ่มชีสถูกยื่นมาตรงหน้าจนอาชวินต้องมองหน้าอีกคนอย่างงๆ พิชญุฒม์พยักเหยิดหน้าเป็นเชิงให้อาชวินรีบๆงับเข้าปากไป ก่อนที่ริมฝีปากจะอ้าออกแล้วงับชิ้นมันฝรั่งเข้าไปทั้งชิ้นจนเต็มปาก “เดี๋ยวป้อนเอง เล่นกับหมามือเปื้อนไม่ต้องคิดจะหยิบของกินเข้าปากเลยนะนายอ่ะ” อาชวินพยักหน้าหงึกๆนึกขอบคุณแสงไฟสีส้มๆตามร้านรวงต่างๆเพราะเขารู้สึกว่ามันสามารถกลบความรู้สึกเห่อร้อนเล็กๆบนใบหน้าได้ ถ้านับกันจริงๆแล้วนี่ก็ร่วมเดือนที่สามที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับพิชญุฒม์มันก็ต้องมีบ้างที่บางครั้งพิชญุฒม์จะหลุดแสดงความอบอุ่นออกมาจนทำให้เขารู้สึกสั่นๆข้างใน ก็เด็กที่โตมากับความเหน็บหนาวของการอยู่คนเดียวคงไม่แปลกอะไรที่พอได้รับความอบอุ่นแม้จะน้อยนิดจากใครซักคนมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกสั่นไหวได้เป็นธรรมดา ช่วงเวลาของขบวนพาเหรดมาพร้อมกับเสียงแห่งความสุขของผู้คน แถวที่เรียงยาวหน้ากระดานไปตามถนมที่เป็นเส้นทางผ่านของขบวนพาเหรดเต็มไปด้วยเสียงเชียร์เมื่อขบวนพาเหรดเดินผ่านหน้าไป สาวสวยในชุดระบำประจำชาติ หนุ่มนักดนตรีที่เดินตามมาเป็นขบวนเพื่อบรรเลงเพลงให้กับนักเต้นรำ ตามด้วยตัวตลกในชุดต่างๆที่เดินโชว์กายกรรม ขบวนรถเทียมม้าที่ข้างในมีเจ้าหญิงเจ้าชาย ก่อนจะปิดท้ายด้วยเหล่านางฟ้าเทวดาในชุดสีขาวที่โปรยริบบิ้นและคอยยื่นอมยิ้มให้เด็กๆ อมยิ้มหนึ่งอันถูกยื่นมาตรงหน้า อาชวินรีบคว้าไว้ก่อนจะยกยิ้มกว้างให้กับนางฟ้าตัวน้อยที่ยื่นให้เขาก่อนจะเดินไปยื่นให้คนอื่นๆต่อ ขบวนพาเหรดจบลงไปแล้วคนในสวนสนุกบางตาลงไปมากกว่าครึ่งเพราะส่วนใหญ่มาเพื่อดูขบวนพาเหรด แต่พิชญุฒม์และอาชวินยังคงเดินเล่นอยู่ภายในสวนสนุกนี้ ส่วนเวลาเกือบสามทุ่มทำให้เครื่องเล่นที่เคยต่อคิวกันยาวในช่วงกลางวันแทบจะร้างผู้คน อาชวินเดินมาหยุดตรงหน้าชิงช้าสวรรค์อันใหญ่ เคยวาดฝันว่าการขึ้นไปอยู่บนนั้นแล้วมองลงมามันต้องสวยมากแน่ๆ แต่ก็ไม่เคยที่จะได้ลองขึ้นแม้ซักครั้ง ยิ่งที่นี่ตั้งอยู่บนเนินเขาด้วยยิ่งทำให้เห็นบบรรยารอบๆที่รายล้อมไปด้วยทะเลยิ่งต้องสวยมากแน่ๆ เพราะการที่ตัวเองหนีออกไปเที่ยวสนุกคือการไปคนเดียวทำให้อาชวินไม่กล้าจะไปต่อคิวเข้าแถวยาวๆเพื่อรอขึ้นแล้วขึ้นไปเพื่อนั่งคนเดียว เขารู้สึกเสียดายที่นั่งว่างที่เหลืออยู่และเขาก็คิดว่าคงไม่มีใครอยากจะมานั่งชิงช้าสวรรค์ชมวิวกับคนที่ไม่รู้จักแน่นอน “อยากขึ้นหรอ?” พิชญุฒม์ที่ก้าวมายืนข้างๆมองตามสายตาของอาชวินแล้วเอ่ยขึ้น “อื้ม” ชิงช้าสวรรค์ที่กำลังหมุนอยู่หยุดลงพร้อมกับแรงกระตุกที่ข้อมือแบบไม่เบาจนอาชวินเซไปตามแรงดึง พิชญุฒม์ลากเขาขึ้นมาหยุดตรงหน้ากระเช้าหนึ่งของชิงช้าสวรรค์ที่ถูกเปิดประตูไว้รอ หันมามองหน้าอีกคนอึ้งๆก่อนจะโดนดันตัวให้เข้าไปนั่งข้างใน อาชวินรีบกระชับมือที่อุ้มเจ้าทะเลไว้เพราะกลัวมันจะหลุดมือก่อนจะหันหน้ามามองอีกคน ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยคำถาม “มาขนาดนี้แล้วถ้าไม่นั่งชิงช้าสวรรค์ดูวิวซักหน่อยก็ดูจะแปลกๆเนอะว่าไหม” ไม่มีเสียงตอบรับอะไรหลังจากนั้นทั้งพิชญุฒม์และอาชวินปล่อยให้ความเงียบและเสียงเพลงเบาๆที่ดังอยู่ในโซนเครื่องเล่นเป็นเชื่อมระหว่างคนทั้งสอง อาชวินหันหน้าออกไปนอกกระเช้าเพื่อซึมซับบรรยากาศที่เคยวาดฝันไว้ว่ามันจะต้องสวยมาก และมันก็สวยมากอย่างที่เคยวาดฝันไว้จริงๆ อาจจะสวยกว่าที่เคยนึกไปด้วยซ้ำ แสงไฟสีส้มตามชายหาดและบ้านเรือนตัดกับสีมือสนิทของตอนกลางคืนยิ่งทำให้บรรยากาศรอบนอกสวยมากขึ้นไปอีกจนเผลอปล่อยมือออกจากเจ้าทะเลจนมันกระโดดลงไปบนพื้นกระเช้า ด้วยอารามตกใจอาชวินรีบทรุดตัวลงเพื่อจะไปอุ้มเจ้าตัวเล็กจนลืมสังเกตุว่าพิชญุฒม์ที่นั่งฝั่งตกข้ามก็ก้มตัวลงมาเพื่อจะอุ้มเจ้าลูกหมาเหมือนกัน วงแขนป้อมๆรีบอุ้มเจ้าลูกหมามาแนบอกทั้งๆที่แขนของพิชญุฒม์ก็ยังไม่ได้ละออกจากเจ้าลูกหมาพออาชวินลุกขึนแรงดึงที่เกิดเลยทำให้คนตัวเล็กกว่าเสียหลักล้มใส่คนตรงหน้าและด้วยความที่อาชวินใช้สองแขนกอดเจ้าลูกหมาเลยทำให้กลายเป็นว่าตอนนี้อาชวินล้มไปปอยู่ในอ้อมอกคนตรงหน้าแบบไร้ซึ่งหลักยึดใด พิชญุฒม์มองคนที่แทบจะจมเข้าไปในอกเขาพร้อมกับเจ้าลูกหมาตัวน้อยแล้วอยากจะขำดังๆ พอขยับแขนข้างที่โดนอาชวินล็อคไว้ก็ปรากฎว่าเจ้าลูกหมาตัวโตดันล็อคไว้ซะแน่นเลยใช้มือข้างที่ว่างอยู่ดันไหล่อีกคนออกเบาๆ ไหล่ขยับแต่ใบหน้ายังคงซุกอยู่ที่อกเขาจนต้องออกแรงดันเพิ่มให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเผื่ออาชวินจะช็อคไปเขาจะได้ปฐมพยาบาลทัน และเพราะความที่อยู่ใกล้กันจนเกินไปพออาชวินเงยหน้าขึ้นมาเลยทำให้เห็นริ้วแดงๆที่ประดับอยู่บนแก้มกลมๆนั่นเลยพอจะเดาออกว่ามันคงไม่ได้มาจากความช็อคหรือความโกรธ พิชญุฒม์เดาว่ามันน่าจะมาจากความเขินอายของเจ้าตัวมากกว่า อาชวินพยายามพยุงตัวให้ตั้งหลักแต่เพราะแขนของพิชญุฒม์ที่ยังพันอยู่กับเจ้าลูกหมาเลยทำให้อาชวินต้องลงไปกองอยู่กับแผ่นอกกว้างของพิชญุฒม์อีกรอบ “ฮ่าๆๆ” พิชญุฒม์หัวเราะออกมาแบบไม่ปิดบังก่อนจะเอื้อมมือข้างที่ว่างโอบหลังอาชวิน ความแนบชิดทำให้พิชญุฒม์รับรู้ถึงจังหวะหนักๆตรงหน้าอกข้างคนในอ้อมกอด เขาแน่ใจมากว่าถ้าอาชวินเป็นรถไฟตอนนี้คงพ่นควันออกมาพร้อมกับเสียงปู๊นๆแน่ๆ กว่าอาชวินจะหลุดออกมาจากสภาพนั้นได้ก็ตอนที่พิชญุฒม์เลิกแกล้งแล้วค่อยๆพยุงเขาลุกขึ้นดีๆซึ่งนั่นก็คือเกือบจะหมดรอบของกระเช้าชิงช้าสวรรค์ พอลงจากชิงช้าสวรรค์ได้อาชวินก็เดินดุ่มๆไม่สนใจร้านรวงหรือขนมกินเล่นข้างทางแล้วมุ่งไปที่รถอย่างเดียว ซึ่งพิชญุฒม์ทำก็แค่เดินผิวปากตามแบบสบายอารมณ์เพราะรู้ว่ายังไงเด็กนั่นก็ขับรถกลับหนีเขาไม่ได้หรอกในเมื่อกุญแจอยู่ที่เขา พิชญุฒม์พาอาชวินและเจ้าทะเลมาหยุดอยู่ที่พัก ช่วงเวลาเกือบสี่ทุ่มแบบนี้สถานที่นี้เลยค่อนข้างเงียบสงบเหมาะกับการนั่งตากลมสบายๆเพื่อคลายเหนื่อย พิชญุฒม์ลงจากรถพร้อมถุงเบียร์เย็นๆที่จอดแวะซื้อที่ร้านสะดวกซื้อข้างทาง เดินไปทิ้งตัวนั่งบนม้านั่งริมหาดที่ตอนนี้ท้องทะเลสะท้อนสะส้มจากแสงไฟดูสวยแปลกตาไปอีกแบบ กระป๋องเบียร์เย็นๆที่ถูกเปิดแล้วถูกยื่นมาข้างหน้า อาชวินมองเจ้าของมือแวบนึงก่อนจะรับเบียร์เย็นๆมาจิบแล้วก็เบ้หน้าให้กับความขมปร่าของมัน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยแตะของพวกนี้ เขาก็เด็กผู้ชายคนนึงเรื่องสำมะเรเทเมามันก็ต้องมีกันบ้างแต่ก็ไม่ใช่วาเขาจะชื่นชอบในรสชาติมัน เพราะปกติเขาคุ้นเคยกับแอลกอฮอล์ที่อยู่ในรูปของสารเคมีมากกว่าทีจะอยู่รูปของมึนเมา ความเงียบที่คลอไปพร้อมกับเสียงคลื่นทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายจนต้องปล่อยความคิดหนักๆทิ้งไว้ มือป้อมลูบขนเจ้าตัวเล็กที่ตอนนี้นอนเคลิ้มหลับอยู่บนม้านั่งตรงที่ว่างระหว่างเขากับพิชญุฒม์ อาชวินหลับตาลงปล่อยให้ลมทะเลและเสียงคลื่นตีหน้าไปเรื่อยๆโดยไม่คิดจะพูดอะไร พิชญุฒม์มองอีกคนที่นั่งหลับตา ใบหน้ากลมๆเริดขึ้นซึมซับบรรยากาศ มือก็ลูบขนเจ้าทะเลเบาๆ อาจเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่อยู่ในเส้นเลือดจากเบียร์สองกระป๋องที่นอนแอ้งแม้งอยู่เลยทำให้เขามองภาพตรงหน้าจนไม่สามารถละสายตาได้ แสงไฟสีส้มที่ตกกระทบยิ่งขับให้อาชวินดูน่ามองยิ่งขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พิชญุฒม์ละสายตาออกจากใบหน้ามนของคนตรงหน้าไม่ได้พอรู้สึกตัวอีกทีพวงแก้มใสก็อยู่ตรงหน้าแล้ว เพราะลมหายใจร้อนๆเจือกลิ่นแอลกอฮอล์เป่ารดอยู่ใกล้ๆกับแก้มเลยทำให้อาชวินต้องลืมตาเพื่อหันไปมอง คนตัวป้อมสะดุ้งเบาๆเมื่อปลายจมูกรั้นของตัวเองปัดไปโดนปลายจมูกโด่งของอีกคนที่เข้ามาใกล้ขนาดลมหายใจกลั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ตัวเองก็ไม่แน่ใจ แต่เขาแน่ใจว่าระยะห่างระหว่างเขากับพิชญุฒม์คงสั้นมากแน่ๆ มือข้างซ้ายของพิชญุฒม์จับไว้ที่ขอบพนักพิงเพื่อออกแรงส่งตัวเองให้เข้ามาชิดกับตัวเองยิ่งเรียกจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายให้แรงมากขึ้น “คุณตำรวจ…” น้ำเสียงเรียกที่แผ่วเบากับสองมือที่ยกขึ้นมาดันหน้าอกของอีกฝ่ายไว้ไม่ได้ทำให้ระยะห่างระหว่างกันเพิ่มขึ้น กลับกันระยะห่างระหว่างกันกลับลดลงเรื่อยจนไม่เหลือที่ว่างระหว่างกัน “พี่พีท เรียกฉันว่าพี่พีท” ยังไม่ทันที่คนเด็กกว่าจะได้เอ่ย ริมฝีปากอิ่มสีเชอร์รี่ก็ถูกสัมผัสเบาๆจากริมฝีปากของอีกคน ก่อนที่แรงกดจะเพิ่มขึ้น พิชญุฒม์เอียงศรีษะเล็กน้อยเพื่อปรับองศาให้จูบได้ถนัดกว่าเดิม พิชญุฒม์ไม่ได้ลุกล้ำไปมากกว่าการใช้ริมฝีปากบดคลึงริมฝีปากอิ่มของอีกคน กดจูบเบาๆย้ำแล้วก็ผละออกก่อนจะกดจูบใหม่ซ้ำๆ ไม่ได้ชวนให้เกิดอารมณ์หวาบหวามแต่หยอกเย้าให้อีกคนได้เขินอายก่อนจะกดจูบหนักๆอีกรอบจนเกิดเสียงดังจุ๊บแล้วผละออกมามองผลงานของตัวเอง ที่ตอนนี้ใบหน้ามนของอาชวินกำลังแดงแข็งกับแสงไฟ มือทั้งสองข้างจิกลงบนกางเกงขาสั้นที่ตัวเองใส่อยู่ ริมฝีปากอิ่มสีเชอร์รี่ที่ตอนนี้มันทั้งแดงและเจ่อจนพิชญุฒม์ต้องยกนิ้วโป้งมาไล้เบาๆ กำลังจะก้มลงไปบดคลึงริมฝีปากแดงช้ำอีกรอบอย่างย่ามใจถ้าไม่ติดว่า... บ๊อก! “โอ๊ย!” เจ้าลูกหมาตัวน้อยที่ตื่นมาตอนไหนไม่รู้กระโดดงับตรงหน้าท้องของพิชญุฒม์ไม่เบานักแต่ก็เท่าที่แรงของลูกหมาตัวเล็กๆจะมี ดึงสติให้กลับมาทั้งพิชญุฒม์และอาชวิน “ทะเล” พิชญุฒม์แยกเขี้ยวใส่เจ้าลูกหมาที่แยกเขี้ยวใส่เขาก่อนที่อาชวินจะรีบอุ้มเจ้าทะเลมาแนบอกแล้วลุกพาเดินกลับเข้าไปยังบังกะโลที่พัก ปล่อยให้พิชญุฒม์นั่งคาดโทษเจ้าทะเลต่อไป ขนาดแค่มาอยู่ด้วยวันเดียวยังหวงเจ้าของขนาดนี้ไม่ต้องคิดถึงอนาคตเลยซักวันเขาต้องโดนเจ้าลูกหมานั่นกัดคอเอาแน่ๆ เช้าวันสุดท้ายของการมาทำคดีพิเศษที่กระบี่ อาชวินตื่นแต่เช้าเพื่อไปสัมผัสกับทะเลพร้อมเจ้าลูกหมาน้อยที่ปล่อยให้มันวิ่งตามเขาดุ๊กดิ๊ก เรื่องเมื่อคืนยังอยู่ในหัวพอนึกถึงทีไรก็รู้สึกร้อนๆที่ผิวแก้มตลอด เมื่อคืนหลังจากที่หนีเข้าบังกะโลมาเขาก็ชิ่งไปอาบน้ำก่อนเลยแล้วปล่อยให้พิชญุฒม์กับทะเลทะเลาะกันต่อไป อาชวินเดินเท้าเปล่าเหยียบผืนทรายก่อนจะหยุดยืนให้น้ำทะเลเย็นๆพัดมาใส่เท่าตัวเองก่อนจะหันไปมองเจ้าตัวเล็กที่เอาขาแตะนำแบบกล้าๆกลัวๆแล้วพอน้ำทะเลพัดมาโดนเท้าเล็กๆสีขาวก็ยกขึ้นสะบัดๆก่อนจะหัวเราะออกมา เขาจงใจตั้งชื่อมันว่าทะเลเพราะมันเปรียบเสมือนความสดใสเหมือนกันท้องทะเลเวลาโดนแสงแดดกระทบให้เขาได้คลายความเหงาลงไปได้บ้างในตลอดสองวันที่ผ่านมาและอย่างน้อยตอนนี้เขาก็มีมันมาร่วมแชร์ความเหงาอยู่ข้างๆจนกว่าจะถึงเวลาจากลานั่นแหละนะ “หมู” เสียงเรียกที่ดังมาจากข้างหลังทำให้อาชวินหันไปมองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเก้อเขินจากเหตุการณ์เมื่อวานแต่ก็พยายามทำทุกอย่างให้เหมือนปกติ “วันนี้เราต้องไปตรังนะไปเตรียมตัวได้แล้ว” อาชวินขมวดคิ้วสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปก็ในเมื่อไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะสงสัยทุกอย่างได้ก็ต้องตามน้ำไปอย่างนี้แหล่ะ ร่างโปร่งทรุดตัวลงไปอุ้มเจ้าลูกหมาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะพาทั้งลูกหมาและตัวเองเข้าไปในบ้านพักเพื่อเตรียมตัวไปตรังกับพิชญุฒม์ บ้านหลังโตที่ปรากฎตรงหน้าทำเอาอาชวินต้องหันไปมองคนข้างๆอย่างสงสัย พิชญุฒม์ใช้เวลาในการขับรถร่วมสองสามชั่วโมงเพราะต้องจอดแวะข้างทางเป็นพักๆด้วยกลัวว่าเจ้ารถปุโรทั่งคันนั้นจะเดี๋ยงไปซะก่อนจนสุดท้ายมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังโต ซึ่งแน่นอนว่าตลอดทางพวกเขาก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันอยู่แล้ว “ลงซิ” อาชวินเปิดประตูลงอย่างงงๆก่อนจะยืนมองพิชญุฒม์ที่เดินไปเปิดประตูรั้วบ้านแบบง่ายดายก่อนจะหันมาส้งสัญญาณมือให้เขาเดินตามเข้าไป “พ่อแม่คิดถึงจังเลย” พิชญุฒม์โผเข้ากอดหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีเต็มรักก่อนจะหอมแก้มทั้งสองข้างแล้วผละออกมากอดผู้ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “ให้มันจริงเถอะนึกว่าคิดถึงแต่งานมากกว่าแม่” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดของคนเป็นแม่ทำเอาพิชญุฒม์ต้องรีบไปกอดโอ๋เป็นการใหญ่ “แล้วนั่นพาใครมาด้วยไม่คิดจะแนะนำให้พ่อแม่รู้จักเลยหรอ” คนที่ถูกกล่าวถึงยกมือไหว้อย่างอ้อนน้อมเพื่อแสดงความเคารพก่อนจะเดินเข้าไปหาผู้อาวุโสทั้งสองคนเมื่อพิชญุฒม์กวักมือเรียก “ผมชื่ออาชวินครับ เรียกผมว่าหมูก็ได้ครับ” “หมูเป็นคู่หูคนใหม่ของผมครับพ่อแม่” พิชญุฒม์แนะนำตัวต่อให้เพราะรู้ว่าอีกคนอาจจะลำบากใจกับการแนะนำสถานะของตัวเอง “อ้าวแล้วเอกภพหล่ะ?” คนเป็นแม่เอ่ยถามถึงอีกคนที่มักจะออกงานคู่กับพิชญุฒม์เสมอๆ “เอกภพมีงานวิจัยเยอะครับผมเลยต้องเปลี่ยนคู่หูใหม่ชั่วคราว” พูดปดคนเป็นผู้ให้กำเนิดออกไปอย่างน้อยก็เพื่อให้พวกท่านสบายใจ พ่อกับแม่ไม่ควรต้องมารับรู้เรื่องราววุ่นวายของเขามากมายหรอก “แล้ววันนี้มาทำอะไรหล่ะพีทอยู่กี่วัน ทานข้าวกันมาหรือยัง” คราวนี้คนเป็นพ่อรัวคำถามใส่ลูกชายคนโตที่นานทีปีหนจะแวะเข้ามาที่นี่ “กลับคืนนี้แหล่ะครับพรุ่งนี้ผมมีงานต่อนิดหน่อย” “อ้าวแล้ว..” “พอดีจะเอาลูกหมามาฝากเลี้ยงหน่ะครับพอดีเจอมันแล้วรู้สึกเอ็นดูแต่คิดว่าคงเอาไปเลี้ยงที่กรุงเทพไม่ได้” ยังไม่ทันที่คนเป็นพ่อจะเอ่ยจบประโยคพิชญุฒม์ก็ชิงพูดขึ้นพร้อมกับพยักเพยิดหน้าไปที่เจ้าทะเลในอ้อมกอดของอาชวิน อาชวินหน้าเสียทันทีตอนที่รู้ว่าจะต้องทิ้งเจ้าทะเลไว้ที่นี่ นี่ซินะที่เขาบอกว่าเวลาแห่งความสุชมักจะสั้นเสมอ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะต่อรองอะไรมากได้อยู่แล้วเลยทำได้แค่เพียงส่งสายตาเป็นเชิงบอกพิชญุฒม์ว่าไม่เอามันไว้ที่นี่ไม่ได้หรอแล้วก็กระชับอ้อมกอดที่กอดเจ้าทะเลอยู่ให้แน่นขึ้นไปอีก “หมูเอาทะเลไว้ที่นี่เถอะ เชื่อฉัน มันจะไม่มีวันเหงาถ้าอยู่ที่นี่” พิชญุฒม์ยกมือขึ้นลูบบนขนนุ่มของเจ้าลูกหมาเบาๆ “นายเอามันไปด้วยนายอาจจะดูแลมันได้แต่ก็ใช่ว่าจะตลอดเวลา อย่าลืมว่าเรายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกเยอะนะ ถ้านายไม่อยู่ใครจะเป็นดูแลมัน ฉันก็ไม่ได้อยากใจร้ายทิ้งมันไว้หรอกแต่นายมีทางเลือกที่ดีกว่านี้หรอ นายมั่นใจแค่ไหนว่าจะดูแลมันได้ดีกว่านี้?” อาชวินนิ่งไปกับคำพูดของพิชญุฒม์ ดวงตาคู่กลมหลุบต่ำมองเจ้าลูกหมาในอ้อมกอดแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ พิชญุฒม์พูดถูก พิชญุฒม์ยอมให้เขาอยู่กับมันขนาดนี้ก็ถือว่าใจดีมากขนาดไหนแล้ว “ถ้านายเอามันไว้ที่นี่ฉํนสัญญาว่าจะพามาหามันบ่อยๆ” “พูดจริงหรอคุณ.. พี่พีท” ดวงตากลมโตเปล่งประกายดีใจ จนคนมองต้องอมยิ้มตาม พิชญุฒม์พยักหน้าเป็นการตอบรับ อาชวินก้มลมมองเจ้าลูกหมาที่มองเขามาตาแป๋ว นึกชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยอมยื่มเจ้าทะเลให้พิชญุฒม์ เจ้าลูกหมาเหมือนจะไม่ยอมไปกับพิชญุฒม์ร้องตะกายจะกลับมาหาอาชวินจนข่วนพิชญุฒม์ไปหลายแผลแต่สุดท้ายก็สู้ไม่ไหวตกมาอยู่นอ้อมกอดของเจ้าของบ้านเป็นที่เรียบร้อย พิชญุฒม์เอ่ยลาพ่อกับแม่ก่อนจะขับรถกลับไปยังกระบี่เพื่อจัดการคืนเจ้ารถบุโรทั่งที่เช่ามากับเจ้าของเต๊นท์รถแล้วเรียกแท็กซี่บริการเพื่อเดินทางไปยังสนามบิน อาชวินมองทะเลตาละห้อย นึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาประสบพบเจอที่นี่ สำหรับเขาที่นี่คือสถานที่ที่มีแต่ความทรงจำดีๆ ถ้าชาตินี้เขามีโอกาสเขาคงจะได้แวะกลับมาเยี่ยมที่นี่อีกซักครั้งเป็นแน่ tbc. ว๊าววว มีฉากหวาน 555555555
มาแล้วๆๆๆ
o13
:man1: :L2: :pig4: :L2:
ฉากไหนมีหมาตอนเข้าด้ายเข้าเข็มฉากนั้นก็วายป่วงล่ะ แหม่ ทำไม๊ทำไมทะเลไม่ไปนอนมองฟ้ามองน้ำไปเรื่อย ๆ เล่า พี่พีทจะได้มีเวลาจัดการหมูให้หมาดู ฮึ่ย!
ง่วววววววมีฉากจูบเว่ยเฮ้ย ละก็กลับไปเครียดกับกรุงเทพต่อ
บทที่11 นายตำรวจหนุ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติหลังจากที่หาข้ออ้างหนีไปกระบี่ถึงสามวัน แต่พิชญุฒม์รู้สึกได้ว่าชีวิตปกติของเขามันเหมือนจะไม่ค่อยปกติเท่าที่ควร เพราะทันทีที่เขากลับมาเขาพยายามติดต่ออดิศรเป็นสิบๆครั้งแต่ก็ติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้เลย แล้วพอเขามาถึงสำนักงานในเช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็พบว่าเอกภพลาพักร้อนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะเท่าที่รู้เคยร่วมงานกันมาเอกภพไม่เคยทิ้งงานไว้กลางคันแล้วหายไปแบบนี้ ถึงจะไม่บ้างานเท่าเขาแต่ก็ไม่เคยที่จะไว้ใจผลการทดลองของใครนอกจากการวิเคราะห์ของตัวเอง “เอกภพจะกลับมาเมื่อไหร่รู้หรือเปล่า” พิชญุฒม์เอ่ยถามกายที่ตอนนี้ต้องดูแลงานทุกอย่างแทนอีกคน “ผมไม่แน่ใจครับแต่เห็นพี่เอกภพบอกว่าสามสี่วัน” พิชญุฒม์พยักหน้ารับคำตอบนั้นก่อนจะเดินแยกจากอีกฝ่ายมามองอาชวินที่ตอนนี้ยืนเคว้งอยู่กลางห้องเพราะไม่มีอะไรทำ อาชวินต้องได้รับการแจกงานจากเอกภพเท่านั้นนั่นคือข้อตกลงตอนที่ยอมให้อาชวินมาช่วยงานที่นี่ แต่เพราะเอกภพไม่อยู่และไม่ได้สั่งอะไรไว้คนเด็กสุดเลยไม่กล้าที่จะแบ่งงานส่วนของตัวเองให้อาชวิน สุดท้ายพิชญุฒม์เลยเลือกที่จะพาอาชวินกลับมายังห้องทำงานของตัวเองเหมือนเดิม โยนหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งเล่มก่อนที่ตัวเองจะไปนั่งลงตรงหน้าแลปท็อปแล้วจมอยู่กับกองงานที่สะสางยังไงก็ไม่มีวันหมดของตัวเอง ดวงตาคู่คมกวาดไปตามตัวอักษรที่แสดงอยู่บนหน้าจอซักพักคิ้วเข้มก็ขมวดเป็นปมก่อนจะเงยหน้ามองคนที่นั่งอ่านหนังสืออย่างเงียบเชียบตรงโต๊ะกลางห้องแล้วก็วกกลับมามองหน้าจอแลปท็อปต่ออีกรอบ “หมู” เป็นพิชญุฒม์ที่ทำลายความเงียบที่ได้ยินเพียงเสียงคลิกเม้าส์ของตัวเอง “เคยได้ยินชื่อรฐนนท์ที่เป็นทายาทของมีสุขจิวเวลี่มาก่อนมั่งหรือเปล่า” พิชญุฒม์ลอบสังเกตุอากัปกิริยาคนตรงหน้าเมื่อเขาเอ่ยชื่อของใครอีกคนออกมา แล้วก็เป็นไปดังคาดว่าอาชวินต้องมีอาการอะไรซักอย่าง คนตรงหน้าชะงักไปอย่างเห็นได้ชัดดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ออกอาการอะไร “เคยได้ยินมาแค่ผ่านๆหน่ะ” น้ำเสียงที่พยายามข่มให้นิ่งที่สุดตอบกลับมาแต่มันช่างไม่เนียนเอาซะเลย ในเมื่อพิชญุฒม์ทำงานอยู่กับการเค้นความลับและจับสังเกตุสิ่งรอบข้างมานานทำไมเรื่องแค่นี้เขาจะดูไม่ออก อาชวินกำลังโกหกอยู่ “พอดีตอนนี้ฉันกำลังทำคดีพิเศษอยู่หน่ะแล้วเย็นนี้ต้องมีไปสอบปากคำกับรฐนนท์นิดหน่อยว่าจะพานายไปด้วยเลยบอกล่วงหน้าหน่ะ” พิชญุฒม์พูดจบก็แสร้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาทำงานต่อแต่สายตายังไม่ละไปจากอาชวิน คนเด็กกว่าพยายามที่จะเปิดอ่านหนังสือแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรแต่หารู้ไม่ว่ามือที่กำลังเปิดหน้าหนังสือนั่นของตัวเองมันสั่นจนคนอื่นสามารถจับสังเกตุได้ อันที่จริงพิชญุฒม์โกหกว่าเย็นนี้จะต้องไปสอบปากคำรฐนนท์ แต่ดูเหมือนว่าถ้าเขาลองทำให้อาชวินกับรฐนนท์เจอหน้ากันจังๆซักรอบถึงจะเสี่ยงแต่ก็น่าจะได้อะไรที่คืบหน้ามากกว่านี้ ชั้นสี่สิบแปดของโรงแรมหรูระดับห้าดาวเปิดต้อนรับนายตำรวจหนุ่มและนักโทษในปกครองของเขา บรรยากาศสบายๆและดนตรีที่เปิดคลอเบาๆไม่ได้ช่วยให้อาชวินรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาแม้แต่น้อย หลังจากที่พิชญุฒม์เสร็จงานก็ซัดไปเกือบสองทุ่มคนรูปร่างสูงโปร่งลากเขาขึ้นรถแท็กซี่แล้วพาออกมาที่นี่ทันที แม้ในใจจะตุ๊มๆต่อมๆเพราะต้องมาเจอกับคนที่พยายามหลีกเลี่ยงมานานแต่อีกใจก็คิดว่าพิชญุฒม์คงไม่ปล่อยให้รฐนนท์จับเขากลับไปง่ายๆหรอก มันไม่ใช่ความเชื่อใจแต่มันคือความไว้ใจถึงจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่มันก็น่าจะเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ “ผมมีนัดกับคุณรฐนนท์ครับ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยออกไปเมื่อพนักงานโรงแรมเดินมาอำนวยความสะดวก “เชิญทางนี้ครับ” พนักงานโรงแรมในชุดสูทผูกหูกระต่ายผายมือให้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินนำทั้งสองคนออกมายังส่วนที่เปิดเป็นเอ้าท์ดอร์ พื้นที่ภายนอกถูกจัดขึ้นเพื่อลูกค้าที่ชอบความเป็นส่วนตัว พื้นที่ว่างถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนโดยใช้ธารน้ำเล็กๆที่มีความกว้างประมาณหนึ่งเมตรเป็นตัวแบ่ง พื้นที่แต่ละส่วนถูกจัดแต่งด้วยชุดโซฟาขนาดสามถึงสี่ที่นั่ง บรรยากาศภายนอกเงียบสงบมีเพียงเสียงเพลงเบาๆที่เล็ดลอดออกมาจากโซนด้านในกับเสียงน้ำไหลคลอเบาๆที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย พนักงานโรงแรมผายมือเชิญให้ทั้งคู่นั่งลงตรงชุดโซฟาที่อยู่ส่วนกลางของพื้นที่ก่อนจะโค้งให้อย่างนอบน้อมแล้วจากไปปล่อยให้แขกทั้งสองคนพักผ่อนตามอัธยาศัย พิชญุฒม์นั่งมองคนที่ลอบถอนหายใจเบาๆก่อนจะพิงตัวเองจนแทบจะจมหายไปกับโซฟาทรงรังไหมตัวเขื่องแล้วก็แอบอมยิ้มน้อยๆ อาชวินคนที่เขาเจอวันแรกกับอาชวินในวันนี้แทบจะเหมือนคนละคน อาชวินวันนั้นเหมือนเม็ดทรายที่ดูทั้งหยาบกระด้างและสามารถบาดเท้าใครก็ตามที่เดินมาเหยียบแล้วไม่ระมัดระวังตัวให้เกิดแผลได้ แต่อาชวินในวันนี้เหมือนทรายที่โดนหลอมจนกลายเป็นแก้วใสใบเล็กๆที่สามารถแตกได้ในทุกเมื่อเปราะบางแต่ก็ดูน่าครอบครอง นึกขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจพาอาชวินไปกระบี่พราะมันทำให้กำแพงบางๆที่อาชวินสร้างไว้นั้นทะลายลงมาบ้างแม้จะไม่หมดแต่เจ้าตัวอาจจะไม่รู้ว่ากำแพงอันนั้นมันพังลงมามากแค่ไหน พิชญุฒม์เอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วเอามือทั้งสองข้างประสานกันรองท้ายทอยเอาไว้ก่อนจะปิดเปลือกตาลงเพื่อรอเวลาให้คนที่เขานัดมาถึง เพราะว่าพิชญุฒม์ด้นสดตอนที่บอกอาชวินว่ามีนัดกับรฐนนท์เลยทำให้เขาต้องใช้เวลาช่วงบ่ายหาทางนัดรฐนนท์ออกมาจนสุดท้ายได้คิวว่างจากเลขาของอีกฝ่ายตอนสองทุ่มครึ่ง เสียงฝีเท้าที่เดินมาทำให้พิชญุฒม์เปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมกับยกนาฬิกาที่ข้อมือมาดู นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มครึ่งพอดีกับที่เสียงฝีเท้าหยุดลงไม่ห่างจากเขามาก “ตรงเวลาเป๊ะเลยนะครับคุณรฐนนท์” พิชญุฒม์ลุกขึ้นยืนพลางยื่นมือไปทักทายทักทายอีกคน รฐนนท์เอื้อมมือมาจับตามมารยาทก่อนจะส่งยิ้มให้ พิชญุฒม์ผายมือเชิญให้อีกฝ่ายได้นั่งที่ฝั่งตรงข้ามตัวเอง และเหมือนรฐนนท์จะไม่ได้สังเกตุว่าที่ตรงนี้ไม่ได้มีแค่เขาสองคน “หมู!” เป็นไปตามคาดของพิชญุฒม์ รฐนนท์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจอย่างปิดไม่มิดแต่ที่ไม่ได้อยู่ในความคาดการณ์คือกระแสเสียงที่แสดงความตกใจนั้นเจือไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่พิชญุฒม์จับสังเกตุได้ไม่อยากจะคิดไปเองว่าในความตกใจนั้นเจือไปด้วยความยินดีอยู่เล็กๆ “ผมคงไม่ต้องแนะนำหรอกมั้งครับเพราะคิดว่าคุณน่าจะพอรู้จักเด็กคนนี้อยู่บ้างนิดหน่อย” พิชญุฒม์ย้ำในท้ายประโยคทำให้รฐนนท์ต้องหันกลับมาเอ่ยตอบรับพร้อมยิ้มบางๆ “แน่นอนครับผมก็พอจะรู้จักคุณหมูอยู่บ้างนิดๆหน่อยๆแต่ไม่ได้สนิทกันหรอกครับ”รฐนนท์ตอบกลับแบบไม่ลืมที่จะเน้นคำ รอยยิ้มน้อยๆนั่นอาชวินมองดูก็รู้ว่าอีกคนแค่แสร้งทำ “งั้นคุณคงไม่ว่าอะไรนะครับถ้าผมจะพาเด็กในความปกครองของผมมาร่วมโต๊ะด้วยในครั้งนี้” “ไม่เป็นไรหรอกครับยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น” รอยยิ้มแห่งไมตรีถูกส่งให้แก่กันและกัน ยิ้มที่ปากแต่สายตาไม่ได้ยิ้มตาม สงครามประสาทยุติลงเมื่อบริกรยกถาดค็อกเทลมาเสิร์ฟ French 75 สำหรับรฐนนท์ และ Mojita สำหรับพิชญุฒม์ “ของท่านนี้ขอเป็นพั้นซ์ซักแก้วก็พอแล้วครับ” มือที่กำลังจะหยิบ Margarita ของบริกรชะงักเมื่อได้ยินประโยคร้องขอจากรฐนนท์ก่อนจะโค้งให้ลูกค้าทั้งสามเพื่อไปผสมเครื่องดื่มแก้วใหม่มาให้ “ดูแล้วคุณหมูน่าจะไม่ถูกโรคกับเครื่องดื่มพวกนี้เท่าไหร่ใช่ไหมครับ?” อาชวินมองคนตรงหน้าเพียงชั่วครู่ ก็เบนหน้าหนีพร้อมกับพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงตอบรับ จากสายตาที่สบกันเมื่อครู่ของรฐนนท์และอาชวิน ข้างในมันร้องเตือนว่ารฐนนท์คนตรงหน้าไม่ใช่รฐนนท์ที่เขารู้จักเหมือนเมื่อหลายปีก่อน อาชวินไม่ได้สนใจบทสนทนาของทั้งคู่เท่าไหร่แต่เท่าที่ได้ยินผ่านหูมาก็มีแค่คำพูดสวยหรูแต่อาบไปด้วยยาพิษของทั้งของทั้งพิชญุฒม์และรฐนนท์ มีบ้างที่นั่งๆอยู่ก็ต้องรู้สึกร้อนๆหนาวๆเพราะสายตาของรฐนนท์และก็เป็นพิชญุฒม์ที่จับสังเกตุได้จนต้องเอื้อมมือมากุมมือเขาไว้ กว่าจะหลุดพ้นเหตุการณ์อันแสนอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออกเวลาก็ผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมง ซึ่งแค่สามสิบนาทีที่ต้องเผชิญเมื่อกี้นี้มันเหมือนสามปีเลยสำหรับอาชวิน คนรูปร่างโปร่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อรฐนนท์ขอตัวกลับเพราะมีงานที่ต้องสะสางต่อปล่อยให้เขากับพิชญุฒม์นั่งอยู่ที่เดิมกันสองคน “มีอะไรอยากเล่าให้ฉันฟังไหม” พิชญุฒม์เอ่ยออกมาเบาๆเรียกให้ดวงตาคู่กลมหันไปมองหน้าอีกคนอย่างสงสัยซึ่งพิชญุฒม์ไม่ได้มองเขา ดวงตาคู่คมมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดสิ้นสุด อาชวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ที่ตัวเองทำเป็นลืมไปแล้วว่าเคยเกิดขึ้น “ฉัน นนท์ แล้วก็เมฆพวกเราเป็นพี่น้องกัน” “นี่นนท์อย่าแกล้งหมูซิ” เสียงเล็กๆของเด็กวัยเจ็ดขวบตะโกนดังมาจากอีกฝั่งของสนามเด็กเล่นเล็กๆก่อนจะรีบพุ่งตัวมากอดเด็กชายที่ตัวเล็กกว่าเอาไว้ “นนท์ไม่ได้แกล้งพี่หมูซะหน่อยนนท์แค่จะเล่นกับพี่หมู” เด็กน้อยที่แทนตัวเองว่า ‘นนท์’ ทำหน้าง้ำไม่พอใจที่พี่ชายตัวสูงวิ่งมาแยกตัวเองออก “เล่นอะไรของนายฉันเห็นนะว่านายเอาทรายเทใส่หัวของหมู” คนมีศักดิ์เป็นพี่ว่าพลางปัดเศษทรายที่อยู่บนหัวคนในอ้อมกอดออกเบาๆ “ฉันเล่นกับนนท์จริงๆน่าเมฆ นนท์ไม่ได้แกล้งฉันซักหน่อยจะห่วงอะไรนักหนาเนี่ย” เด็กชายตัวน้อยที่ตัวเล็กที่สุดในสามคนเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้างโชว์ฟันกระต่ายยืนยันกับอีกคนว่าคนเป็นน้องไม่ได้โกหกจริงๆ อดิศรมองรฐนนท์ที่ทำหน้าหงอๆสลับกับอาชวินที่ยกยิ้มกว้างไปมาแล้วก็ยอมปล่อยอีกคนออกจาก้อมกอด เด็กชายอาชวินเดินเข้าไปลูบหัวปลอบน้องชายตัวโตที่ตอนนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังงอนอดิศรอยู่แน่ๆ “โอ๋ๆนนท์ไม่งอนพี่เมฆนะเดี๋ยวเย็นนี้พี่เมฆแบ่งไข่เจียวให้” “หมู! ใครบอกจะแบ่งไข่เจียวให้นนท์” อดิศรชักสีหน้าใส่อีกคน “ฉันบอกอยู่นี่ไง” พูดจบก็หัวเราะร่วนพร้อมกันกับน้องเล็กตัวโต “อ่ะเอาไป”อดิศรตักไข่เจียวในถาดอาหารของตัวเองให้น้องเล็กแต่ตัวโตที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายของตัวเองหน้าบึ้ง นั่นไข่เจียวของโปรดของอดิศรเลยนะทำไมเขาต้องเสียสละให้รฐนนท์ด้วยก็ไม่รู้เพราะอาชวินคนเดียวเลย อดิศรที่นั่งเคี้ยวข้าวไปหน้าบึ้งไปต้องชะงักเมื่อคนข้างขวาตักไข่เจียวมาวางไว้บนถาดข้าวของตัวเอง พอหันไปก็เจออาชวินที่ยิ้มกว้างตักข้าวเข้าปากแบบไม่รู้ไม่ชี้แต่ไข่เจียวในถาดของตัวเองหายไปครึ่งนึง อดิศรยิ้มบางๆให้อีกคนก่อนจะยกนมกล่องๆเล็กของตัวเองให้อีกฝ่าย “หมูต้องกินนมเยอะๆนะจะได้สูงๆเหมือนฉันไง” “เมฆฉันไม่อยากไปเลย” เด็กน้อยตัวป้อมนั่งน้ำตาซึมอยู่บนชิงช้าตัวเล็กโดยมีอดิศรคอยลูบหลังปลอบเบาๆ “ไปซิหมูมีคนมารับหมูไปอยู่ด้วยดีจะตาย หมูจะได้กินขนมอร่อยๆเยอะแยะเลยนะ” “แล้วเมฆหล่ะเมฆไม่ไปแล้วเราจะอยู่กับใคร” น้ำตาเม็ดโตกลิ้งหยดลงบนแก้มเนียนใสของเด็กตัวป้อม อาชวินปล่อยโฮจนอดิศรต้องดึงอีกคนมากอดปลอบ “นนท์ไง นนท์ก็ไปกับหมูนะอย่าลืมซิ” “ไม่เอาฉันจะอยู่กับเมฆ” เสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นของคนตัวป้อมในอ้อมกอดทำให้อดิศรกอดอีกคนแน่นขึ้นมือก็คอยลูบหัวลูบหลังให้อาชวินสงบลง ตั้งแต่จำความได้ข้างกายของอาชวินก็มีแต่อดิศรและข้างกายของอดิศรก็มีแต่อาชวิน เขาไม่เคยรู้ว่าตัวเองเป็นใครเขารู้แค่ว่าเขามีชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้มาตั้งแต่จำความได้ ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นอดิศรจะเป็นคนแรกที่เขาเห็นและอดิศรก็เป็นคนสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนจะหลับตาลงในตอนกลางคืน คำว่าพี่น้องคือคำที่ทุกคนในบ้านหลังนี้ใช้เรียกกันแต่สำหรับอดิศรกับอาชวินมันมากกว่านั้น เพราะความเป็น ‘แฝด’ เลยทำให้ทั้งชีวิตของอาชวินมีแค่อดิศร และทั้งชีวิตของอดิศรมีแค่อาชวิน สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าครึกครื้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อมีผู้ใจดีมาทั้งเลี้ยงอาหารกลางวันและแจกของเล่นของใช้ที่จำเป็นสำหรับเด็กๆ นายทุนยักษ์ใหญ่ของวงการเครื่องเพชรลงทุนมาเลี้ยงอาหารกลางวันด้วยตัวเองและเพื่อมารับตัวเด็กชายสองคนไว้ในไว้ในการดูแล อดิศรกับอาชวินไม่ได้อยู่ตอนที่นายทุนใหญ่เจ้าของธุรกิจจิวเวรี่กำลังแจกของเล่น และไม่มีใครคิดจะตามหาคนที่ดูแลบ้านหลังนี้อยู่รู้ดีว่าทั้งสองคนผูกพันธ์เกินกว่าจะแยกจากกัน เพราะแต่ละคนก็เปรียบเสมือนครึ่งชีวิตของกันและกัน ไม่มีใครรู้ว่าชีวิตหลังจากนี้ของอดิศรและอาชวินจะเป็นยังไง เด็กชายตัวน้อยสองคนยืนเกี่ยวก้อยสัญญากันตรงส่วนหลังบ้านที่ลับตาคน คนตัวเล็กกว่ายืนสะอื้นฮักเพราะต้องจากคนที่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของตัวเองไป ส่วนอีกคนได้แต่ลูบหัวลูบหลังปลอบโยน ทั้งคู่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว อดิศรจะเป็นคนที่คอยปลอบและคอยดูแลอาชวินมาตลอด “ไม่ร้องนะหมูเดี๋ยวนายออกไปก็เจอของเล่นสนุกๆ ของกินอร่อยๆแล้วนะ” “ไม่เอาฉันจะอยู่กับเมฆ” อาชวินยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาขยี้ตาขยี้จมูกจนมันแดงไปหมด “ฉันสัญญาว่าวันนึงฉันจะตามออกไปหาหมู ฉันเป็นหนี้บุญคุณหมูอยู่ไม่รู้หรือไง” “หนี้อะไรหรอ?” คนตัวเล็กช้อนดวงตากลมโตแป๋วแหว๋วมองอีกคนอย่างสงสัย “หนี้ชีวิตไง เพราะถ้าไม่มีหมูฉันก็คงไม่เหลือใครบนโลกนี้แล้ว” อดิศรดึงคนตัวเล็กกว่ามากอดไว้แน่นเมื่ออาชวินเริ่มเบะปากอีกรอบ เมื่อถึงคราวจากลาอดิศรทำแค่ยืนโบกมือให้ทั้งรฐนนท์และอาชวินที่เดินตามนายทุนเพื่อไปขึ้นรถคันใหญ่แล้วขับไปจนลับตา น้ำตาเม็ดเล็กๆไหลลงมาจากดวงตาคู่เรียวรีของอดิศร ความรู้สึกไม่สู้ดีที่เกิดขึ้นกับตัวเองทำให้รู้สึกอยากร้องไห้ออกมา แต่เพราะเคยสัญญากับอาชวินตอนเด็กๆว่าจะคอยปกป้องอาชวินและจะไม่ร้องไห้เด็ดขาดเลยทำให้เด็กชายวัยเจ็ดขวบเปลี่ยนจากผ้าสีขาวกลายเป็นผ้าสีอึมครึม เวลาผ่านไปจากเด็กชายก็โตเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไป เพราะอาชวินฉายแววเฉลียวฉลาดในเรื่องของการเรียนตั้งแต่เด็ก พออยู่ชั้นมัธยมต้นเลยถูกส่งตัวไปเรียนพิเศษในช่วงสั้นๆที่เยอรมันก่อนจะกลับมาเพื่อรับทุนของบริษัทจิวเวรี่ที่รับมาอุปการะ แตกต่างกับรฐนนท์ที่ถูกเลี้ยงมาแบบเรื่อยๆเอื่อยๆจนออกแนวตามใจ ความต่างของทั้งคู่เริ่มมากขึ้นเมื่อนายทุนมีสุขจดทะเบียนให้รฐนนท์เป็นลูกชายบุญธรรมเพียงคนเดียว อาชวินที่พูดน้อยลงตั้งแต่ถูกจับแยกกับอดิศรแทบจะกลายเป็นเด็กเก็บกด วันๆใช้เวลาอยู่แต่กับหนังสือเพราะมันคือสิ่งเดียวที่ช่วยให้เขาลืมที่จะสนใจชีวิตจริงได้ จนอาชวินได้เหรียญทองโอลิมปิควิชาการทางด้านเคมีแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นและรฐนนท์คนที่พอจะคุยได้ด้วยแบบสนิทใจก็โดนจับส่งไปเรียนที่ต่างประเทศแล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยเจอรฐนนท์อีกเลย “นายจะบอกว่ารฐนนท์ไม่ใช่ทายาทแท้ๆของมีสุขจิวเวลรี่งั้นหรอ?” “ฉันท้าให้ไปตรวจดีเอ็นเอดูได้เลย” “แล้วยังเรื่องที่นายกับอดิศรเป็นฝาแฝดกันอีก เหลือเชื่อชะมัด” “ไม่เคยได้ยินคำว่าแฝดคนละฝาหรือไง” อาชวินกรอกตาใส่อีกคนอย่างหน่ายๆก่อนจะทิ้งหลังพิงโซฟานุ่มแล้วถอนหายใจหนัก ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมานั่งเล่าปูมหลังที่ตัวเองไม่ค่อยอยากจะจำพวกนี้ให้ใครฟัง เคยฝังมันไว้จนลึกแต่สุดท้ายก็ยอมทนเจ็บขุดมันขึ้นมเล่าให้ใครก็ไม่รู้ฟัง “ฉันไม่รู้ว่านี่จะใช่สิ่งที่นายอยากฟังจากฉันหรือเปล่า แต่สำหรับฉันคงมีเรื่องที่อยากจะบอกแค่นี้แหล่ะ” “แค่นี้ก็เยอะพอแล้วแหล่ะ นายไม่เคยได้ยินหรอว่าอดีตคือตัวตัดสินอนาคต อย่างน้อยถ้าฉันรู้ว่าอดีตของคนๆนั้นอย่างไงฉันก็พอจะรู้ว่าต่อไปคนๆนั้นน่าจะทำอะไรต่อไป ป่ะกลับบ้านเรากันเถอะ” พิชญุฒม์ลุกขึ้นยืนพลางยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อให้อีกคนจับ อาชวินลังเลอยู่เล็กน้อยแต่ก็ยอมยกมือไปวางบนฝ่ามือหนาของอีกคน พิชญุฒม์ออกแรงดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมา พออาชวินตั้งหลักได้ก็พยายามจะแกะมืออกแต่เหมือนว่าจะไม่ทันแล้วเพราะพิชญุฒม์กระชับฝ่ามืออีกคนแน่นขึ้นแล้วดึงให้อีกฝ่ายเดินตามมา และตลอดระยะทางจนถึงบ้านเรา พิชญุฒม์ก็ไม่คิดจะปล่อยฝ่ามือของอีกฝ่ายออกถึงแม้ว่าอาชวินจะพยายามดึงออกมาแค่ไหนก็ตามจนสุดท้ายก็เป็นอาชวินที่หมดแรงจะขัดขืนปล่อยให้พิชญุฒม์กุมมืออยู่อย่างงั้น บ้านหลังเล็กซึ่งห่างไกลจากกรุงเทพไปถึงเกือบร้อยกิโลในนครนายกก็ไม่ได้เงียบเหงาแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาผ่านวันใหม่มาร่วมสามชั่วโมงแล้วก็ตาม เอกภพนั่งพิงหลังกับพนักโซฟาเก่าๆกลางห้องนั่งเล่น มือซ้ายคีบมวนบุหรี่ที่มอดไปเล็กน้อย ดวงตาคู่เรียวภายใต้กรอบแว่นกันรังสีจดจ้องไปมาอยู่หน้าจอคอม เอกภพอยู่ในสถาพนี้มาร่วมห้าชั่วโมงแล้วแต่สายตาก็ยังไม่ได้ละจากหน้าจอไปไหน ข้อมูลที่แอบลอบแฮคมาจากโทรศัพท์มือถือของพิชญุฒม์ยังประมวลผลบนหน้าจอ ทุกคนในสำนักงานรู้ดีว่าเขาคือหัวกะทิทางด้านการทดลองวิทยาศาสตร์แต่ไม่มีใครเลยซักคนที่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาจบปริญญาโทอีกใบจากมหาวิทยาแห่งหนึ่งในสก็อตแลนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องแฮคข้อมูลและระบบป้องกัน นึกขอบคุณหลักสูตรของมหาวิทยาลัยที่ตอนทำวิจัยเพื่อจบคือการจับคู่กันสอบแล้วให้แฮคข้อมูลของอีกฝั่ง เลยทำให้เขาเอาความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้กับอะไรแบบนี้ได้ เอกภพดักจับสัญญาณโทรศัพท์ของพิชญุฒม์มาซักพักแล้ว ตั้งแต่เอะใจว่าทำไมพิชญุฒม์ถึงมั่นใจนักหนาว่าจะสามารถตามหาอดิศรแล้วเอามาเป็นตัวช่วยของตัวเองได้และนั่นก็ทำให้เอกภพรู้ว่าพิชญุฒม์ติดต่อกับอดิศรมาซักพักแล้ว แต่แค่เขายังไม่สามารถแกะรอยจากไอพีแอดเดรสของอดิศรได้ หมอนั่นสามารถลบรอยไอพีแอดเดรสตัวเองได้เก่งเกินไปจนเขาไม่สามารถหาตัวจริงของอดิศรได้ แต่ที่เขารู้ตอนนี้ก็คือพิชญุฒม์มีอดิศรหนุนหลังอยู่เขาไม่รู้ว่าทั้งคู่ไปตกลงอะไรกันไว้แฮกเกอร์เงาอย่างอดิศรถึงได้ยอมเผยตัวจริงแล้วคอยช่วยเหลือพิชญุฒม์อยู่ตลอดแบบนี้ เอกภพยันกายลุกขึ้นจากหน้าจอปล่อยให้เครื่องดักจับสัญญาณทำงานของมันต่อไปส่วนตัวเองก็เดินออกมาสูดอากาศยามดึกของนครนายก เพราะเขามีบ้านหลังนี้ที่ไม่ได้อยู่กลางตัวเมืองมันเลยง่ายต่อการหลบมากบดานอยู่ที่นี่ในบางเวลาอย่างเช่นเวลาแบบนี้ เวลาที่ไม่ต้องการให้ใครตามรอยมาจนเจอแล้วพบว่าเขาไม่ใช่นักวิทย์เอกภพที่มาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสที่เหมือนแมวเชื่องๆ เอกภพอัดนิโคตินเข้าปอดอีกครั้งก่อนจะขยี้มวนบุหรี่ทิ้งแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน เขายังมีภารกิจที่ใหญ่กว่าการนั่งสะกดรอยพิชญุฒม์รออยู่ ภารกิจที่ใหญ่มากๆและควรจะสำเร็จไปแล้วถ้าพิชญุฒม์ไม่กลายมาเป็นตัวจุ้นจ้าน แต่ก็นะคิดจะปลูกต้นไม้ใหญ่จะสนใจอะไรกับพวกวัชพืชเล็กๆถ้ามันน่ารำคาญมากก็แค่ถอนทิ้ง เพราะเมื่อไหร่ที่อาชวินหลุดมาอยู่ในมือเขานั่นก็หมายถึงการทดลองของเขาก็มีโอกาสสำเร็จไปแล้วเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็แค่บังคับให้อาชวินยอมลงมือทำมันก็เท่านั้นเอง tbc. อีกไม่ถึงห้าตอนก็จบแล้วนะคะ^^
:hao7: o13 :hao7: :3123: :pig4: :3123:
สารวัตรไม่น่าเสียรู้คุณลูกน้องง่ายๆแบบนี้หรอก น่าจะซ้อนแผนอะไรสักอย่าง ก็ได้แต่เดา ปล.งื้อออจะจบแล้วอ่ออออ
:hao7: :hao7: :hao7:
บทที่12 บ้านหลังน้อยในนครนายกที่มองจากภายนอกดูเงียบสงบเหมือนกับบ้านหลังอื่นๆในละแวกนี้ แต่ใครจะรู้ว่าภายในไม่ได้เงียบเหงาตามใปด้วย เสียง stir bar ขนาดเล็กกระทบกับก้นบีกเกอร์เพราะแรงของคลื่นแม่เหล็กที่ถูกส่งมาจาก magnetic stirrer ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอมาเป็นเวลากว่าสองชั่วโมงท่ามกลางห้องใต้ดินเล็กๆแต่เต็มไปด้วยอุปกรณ์มากมายทางวิทยาศาสตร์จนดูเหมือนว่าห้องนี้ถูกย่อส่วนมาจากห้องทดลองในสำนักงานวิจัยซักที เอกภพในชุดกาวน์และแว่นตากันสารกำลังใช้ไมโครปิเปตเพื่อตวงสารที่อยู่ในขวดสีชาซึ่งตั้งอยู่ในตู้ควันก่อนจะมาหยดลงในบีกเกอร์แล้วเปลี่ยนทิปส์เป็นตัวใหม่เพื่อดูดสารอีกตัว เอกภพผสมนู่นผสมนี่จนเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารละลายที่อยู่ในบีกเกอร์ จดบันทึกขอมูลลงในล็อคบุคก่อนจะหยิบ stir bar มาใส่ลงในบีกเกอร์แล้วเอาไปตั้งบน magnaric stirrer พร้อมกับกดจับเวลาที่นาฬิกาจับเวลาตัวเล็กๆก่อนจะถอดเสื้อกาวน์แขวนไว้กับที่แขวนเสื้อตรงทางออกแล้วพาร่างของตัวเองออกมาจากห้องทดลองชั้นใต้ดิน จำได้ว่าตอนที่ได้บ้านหลังนี้ตกทอดมาเป็นของตัวเองสมัยยังเด็กๆก็ไม่คิดหรอกว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากมัน ใครกันจะไปอยากอยู่ในย่านชนบทของนครนายก มันสมองระดับเขาถ้าเอาแต่เก็บตัวอยู่ในที่ห่างไกลผู้คนแบบนี้ก็เสียของแย่เพราะอย่างงั้นแหล่ะเอกภพถึงได้พาตัวเองไปอยู่ถึงกรุงเทพ เอกภพพาตัวเองมานั่งอยู่หน้าจอคอมพิมพ์อะไรต๊อกแต๊กๆอยู่สองสามทีเพื่อเข้ารหัสอะไรซักอย่างก่อนที่หน้าจอจะประมวลอะไรซักอย่างออกมาเป็นโค้ดต่างๆที่ยากจะเข้าใจแต่คนที่นั่งอยู่หน้าคอมกลับอ่านออกอย่างง่ายดาย มุมปากของเอกภพยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อหน้าจอประมวลผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ ตลอดเวลาหลายวันมานี้เขาแทบจะแกะรอยการติดต่อของพิชญุฒม์กับอดิศรไม่ได้เลยถ้าจะให้เดาอดิศรคงรู้ว่าระบบโดยแฮคแน่ๆถึงได้ไม่ได้ติดต่อกับพิชญุฒม์เลย ถือว่าอีกฝ่ายฉลาดแต่ในเมื่อสี่เท้ายังรู้พลาดประสาอะไรกับสองเท้าอย่างอดิศร เอกภพพิมพ์ต็อกแต็กๆเพื่อแกะรอยไอพีแอดเดรสหาที่อยู่ของอดิศร ก่อนที่คอมจะประมวลผลว่าอยู่บนถนนเส้นหนึ่งที่ไม่ห่างจากสำนักงานมาก เอกภพเสียบยูเอสบีกับเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนจะทำการถ่ายข้อมูลลงในโทรศัพท์มือถือแล้วจัดการลุกไปยังชั้นใต้ดินเพื่อทำการเก็บผลการทดลองที่ค้างไว้แล้วเก็บของที่เหลือให้เรียบร้อย เพราะเขาคิดว่าเขาคงจะยังไม่ได้กลับมาทำการทดลองต่ออีกซักพักเลย และถ้ากลับมาคราวหน้าก็มั่นใจมากเหมือนกันว่าจะได้ตัวอาชวินมาเป็นคนทำการทดลองให้ กรุงเทพยามเช้ายังคงวุ่นวายเหมือนปกติผู้คนต่างพากันเดินอย่างเร่งรีบ บ้างก็อยู่ในชุดสูททางการถือกระเป๋าทำงานทรงสี่เหลี่ยมบ้างก็อยู่ในชุดสุภาพสะพายกระเป๋าเป้เพื่อความคล่องตัว แต่ทุกคนก็รีบเพื่อจะไปให้ถึงสถานีรถไฟฟ้าเพื่อให้พาตัวเองไปทันเวลาเริ่มงานต่างกับใครอีกคนที่อยู่ในเสื้อวอร์มตัวโคร่งที่ดึงฮู๊ดขึ้นมาสวม เดินล้วงกระเป๋าเอื่อยเฉื่อย ดวงตาอยู่ภายใต้กรอบแว่นหนาเพื่ออำพรางตัวเอง อดิศรเดินอย่างไม่เร่งรีบเมื่อเข็มนาฬิกาที่หน้าปัดบอกเวลาว่าเข้าสู่ช่วงสายของวันแล้ว อดิศรจับสัญญาณรบกวนจากคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้เมื่อสามวันก่อนนั่นคือเหตุผลที่เขาพาตัวเองออกมาจากที่พักร่วมสามวันแล้ว แน่นอนว่าเขารู้ว่าใครเป็นคนแทรกแซงสัญญาณของตัวเองที่ไว้ใช้ติดต่อกับพิชญุฒม์เพราะงั้นเขาเลยจงใจติดต่อพิชญุฒม์เพื่อให้อีกคนจับสัญญาณได้ และแน่นอนเพื่อให้อีกฝ่ายตามหาตัวของอาชวินเจอด้วยเหมือนกัน ห้องเช่าเล็กๆราคาถูกที่อยู่ถัดจากสถานีรถไฟฟ้าไปไม่ไกลมากเป็นสถานที่ที่อดิศรเลือกจะใช้เชื่อมต่อสัญญาณเพื่อติดต่อพิชญุฒม์ และเป็นสถานที่ที่คิดจะล่อให้อีกฝ่ายมาเมื่อจับตัวอาชวินไปด้วย “รอนานไหม?” เอ่ยถามหลังจากปิดประตูเข้าไปด้านในแล้วเจอน้องชายฝาแฝดของตัวเองนั่งกอดอกอยู่กลางห้อง “มีอะไรอีกเนี่ยเมฆแล้วทำไมต้องนัดมาที่นี่ด้วยเนี่ย” อาชวินเบ้หน้าใส่อีกคน “มีเรื่องให้ช่วย” อดิศรเดินผ่านอีกคนไปนั่งบนเตียงหลังเก่าที่ดูแล้วเหมือนจะพังแหล่ไม่พังแหล่ะก่อนจะเปิดกระเป๋าเป้ที่ตัวเองสะพายมาแล้วเปิดแลปท็อปเครื่องเก่งออก พิมพ์อะไรอยู่ต๊อกแต๊กซักพักถึงได้ละสายตาจากหน้าจอเงยมองคนที่กำลังนั่งหน้าบูด “วันสองวันนี้ช่วยมานอนที่นี่แทนฉันทีซิ อีกไม่นานคงมีคนมาหานายแน่ๆ” “ใคร?” “เดี๋ยวก็รู้” อดิศรไม่ได้ใส่ใจหน้าตางงวยของอาชวินเท่าไหร่ เจ้าตัวก้มหน้าลงเหมือนเข้าอะไรอะไรซักอย่างก่อนจะมีเสียงติ๊ดๆดังออกมาก่อนที่จะยิ้มมุมปากแล้วปิดแลปท็อปของตัวเองลง “เหมือนจะมาไวกว่าที่คิดแฮะ” อดิศรเก็บแลปท็อปใส่กระเป๋าก่อนจะล้วงเอานาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วถือวิสาสะเอื้อมมือไปถอดนาฬิกาที่ข้อมืออีกคนออกแล้วใส่เรือนใหม่ลงไปแทน “เดี๋ยวดิเมฆ ไหนพี่พีทบอกว่าคนที่ถอดออกได้ต้องเป็นเขาเพราะมันใช้..” “ลายนิ้วมือ ใช่มันใช้ลายนิ้วมือแต่เป็นลายนิ้วมือของฉันกับนายต่างหาก” อาชวินหน้าเหวอเมื่อเจอว่าตัวเองโดนพิชญุฒม์หลอกเป็นรอบที่สอบเรื่องของนาฬิกาเรือนนี้ “ส่วนอันนี้ไม่มีแสกนลายนิ้วมือ แต่พนันได้เลยว่านายต้องไม่อยากปลดมันออก เพราะนาฬิกาเรือนนี้มันบันทึกได้ทั้งเสียง ภาพ แล้วก็ระบุจีพีเอส ถึงตอนนี้นายอาจจะบอกว่ามันไร้สาระแต่พนันได้ว่าไม่เกินสามชั่วโมง ไม่ซิฉันให้ชั่วโมงครึ่งนายจะต้องขอบคุณมัน” “นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ยเมฆ” อาชวินใช้มืออีกข้างขยับหมุนๆนาฬิกาที่ข้อมือให้เข้าล็อค นาฬิกาทรงทรูที่ตีแบรนด์ว่าราคาไม่น่าต่ำกว่าหมื่นบาทแน่ๆสีเงินคล้องอยู่ที่ข้อมือ “ไม่ต้องห่วงนั่นของปลอมที่ฉันประยุกต์ขึ้นมา” อดิศรยกนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองขึ้นดูก่อนจะสะพายกระเป๋าขึ้นหลังแล้วเดินออกไปที่ประตู “หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นให้ทำเหมือนปกติ ไม่ต้องห่วงฉันเฝ้าดูนายอยู่ แค่เชื่อใจแล้วฉันจะไปพานายออกมา” “เดี๋ยวเมฆ” ยังไม่ทันที่อาชวินจะได้ตะโกนรั้งอีกคนไว้อดิศรก็เปิดประตูออกไปเรียบร้อยแล้ว ร่างโปร่งทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงหลังเก่าก่อนจะเขย่าข้อมือให้นาฬิกาดังกร๊อกแกร่กและไม่วายบ่นใส่นาฬิกาเหมือนว่ามันคือตัวแทนของอีกคน ไหนๆอดิศรก็บอกว่ามันบันทึกได้ทั้งภาพทั้งเสียงก็ขอต่อว่าอีกฝ่ายหน่อยเถอะที่เล่นอะไรพิเรนทร์แบบนี้ แกร๊ก เสียงประตูที่เปิดออกไม่ได้ทำให้คนที่นั่งบ่นงึมงำอยู่บนเตียงเงยหน้าขึ้นมองเพราะคิดว่ายังไงซะคนๆนั้นก็คงจะเป็นอดิศร “ลืมอะไรหรอเม.. พี่เอกภพ!” ดวงตากลมโตเบิกว้างเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร แต่อีกฝ่ายกลับยกยิ้มใจดีเหมือนที่เคยยิ้มให้อาชวินมาตลอด แต่ทำไมคราวนี้ในรอยยิ้มอบอุ่นนั่นสามารถทำให้คนที่อยู่ในห้องเหงื่อตกอย่างบอกไม่ถูกก็ไม่รู้ “ไม่เจอกันนานเลยนะหมู” ตำรวจหนุ่มกำลังรู้สึกว่าตัวเองติ้วกระตุก เมื่อวันนี้เป็นวันที่เขาต้องเขาประชุมเพื่อสรุปเรื่องคดีร่วมกับคนของฝ่ายข่าวกรองกลาง ซึ่งมันคงจะดีกว่านี้ถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่ศุภวิชญ์เด็กเมื่อวานซืนที่เพิ่งเข้ามาทำหน้าที่ในหน่วยข่าวกรองกลางได้ไม่เท่าไหร่แต่อีโก้สูงซะจนพิชญุฒม์ต้องกรอกตาใส่เสียทุกครั้ง ปกติแล้วตำรวจกับหน่วยข่าวกรองก็เป็นสองหน่วยงานที่ชิงดีชิงเด่นกันพอตัวอยู่แล้ว ถึงแม้จะต้องทำงานร่วมกันบ่อยๆแต่ก็ใช่ว่าจะลงรอยกันเสียเมื่อไหร่ของแบบนี้มันเป็นมาตั้งแต่เริ่มตั้งหน่วยงานโน้นแล้ว เพราะตำรวจคือฝ่ายบู้แต่หน่วนข่างกรองคือพวกฝ่ายบุ๊นเลยกลายเป็นว่าหน่วยข่าวกรองที่ก่อตั้งทีหลังตำรวจมักจะชอบกล่าวว่าตำรวจดีแต่ใช้กำลังในขณะที่ตำรวจก็มักจะกล่าวว่าหน่วยข่าวกรองคือพวกนกสองหัว ถึงแม้จะต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันแต่ก็ไม่เคยจะร่วมมือกันดีๆซักครั้ง “แน่ใจได้ยังไงหล่ะครับว่าข้อมูลทั้งหมดจะได้ถูกสับขาหลอก” น้ำเสียงกวนๆของหน่วยข่าวกรองหนุ่มแย้งขึ้นมาเมื่อคนของตำรวจรายงานจบ “ก็ค่อนข่างชัวร์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยหล่ะครับถ้าหน่วยข่าวกรองไม่ได้ทำงานพลาด” เป็นพิชญุฒม์ที่แก้ต่างแทนเพื่อนร่วมทีม ดวงตาคมจ้องคนตรงหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจนักถึงอีกฝ่ายจะถือว่าเป็นนิวบลัดของหน่วยข่าวกรองแต่การที่มาผยองจนเกินไปมันก็ดูจะเกินไป จริงอยู่ที่พวกเขาทำงานกันแบบไม่ยึดหลักการอาวุโสแต่ก็ใช่ว่าหน่วยข่าวกรองจะทำงานได้เนียบคมสมกับที่ตัวเองอวดอ้าง “ใจเย็นน่าสารวัตร เอาเป็นว่าก็สรุปตามนี้นะ” คนที่มีอำนาจตัดสินสูงสุดในห้องเอ่ยยุติการมีปากเสียงเล็กๆของหัวหน้าหน่วยทั้งสองฝั่ง พิชญุฒม์กับศุภวิชญ์ไม่ถูกกันมานานแล้วเรื่องนี้รู้กันดีในทุกฝ่ายแต่เพราะทั้งคู่เป็นระดับหัวหน้าหน่วยที่ฝีมือดีทั้งคู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทั้งคู่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ดีเลยโดนจับมาร่วมงานกันบ่อยๆ มีถกเถียงกันทุกครั้งแต่ก็จบงานได้ตลอด “เชิญทุกคนแยกย้ายได้ แต่สารวัตรพีทกับวิชญ์อยู่ก่อนนะ ผมมีเรื่องจะคุยกับพวกคุณนิดหน่อย” พิชญุฒม์ออกจากห้องประชุมด้วยอาการที่เรียกได้ว่าเม้งแตกเดินกลับห้องทำงานตัวเองด้วยอารมณ์ไม่ค่อยดีนักเมื่อการเรียกประชุมส่วนตัวของผู้อำนวยการออกมาเป็นที่ไม่น่าพอใจเท่าไหร่ พิชญุฒม์แทบจะเขวี้ยงปากกาทิ้งกลางห้องประชุมเมื่อคนที่มีอำนาจสูงสุดตัดสินใจให้ศุภวิชญ์มาช่วยเขาดูแลคดีใหญ่ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับห้องสมุดโบราณที่เขาคอยดูแลอยู่กับเอกภพ สาเหตุเพราะเอกภพอยู่ในระหว่างลาพักร้อนแบบไม่แจ้งกำหนดการกลับมา แม้จะอยากแย้งใจจะขาดว่าเขาทำคนเดียวได้ แต่เพราะผู้อำนวยการรู้ดีกว่าพิชญุฒม์เป็นคนใจเย็นแต่ในขณะเดียวกันก็ใจร้อนจนแทบจะไร้สติ แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมต้องเอาศุภวิชญ์เข้ามาช่วยในเมื่อตัวเลือกก็ตั้งเยอะ “โถ่เว๊ย!” ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวพิชญุฒม์ก็เขวี้ยงสมุดบันทึกเล่มเล็กของตัวเองลงไปกับพื้นเพื่อเป็นการระบายอารมณ์หงุดหงิด เขาอยากจะทำคดีนี้เงียบๆเพียงคนเดียวเพราะเขาก็ไม่รู้ว่าคดีนี้มันจะไปจบที่ตรงไหนเขารู้แค่ว่าอาชวินมีชื่อเป็นหนึ่งในคนที่เกี่ยวข้อง ถึงจะมั่นใจว่าอาชวินไม่ได้มีส่วนรู้เห็นแต่ก็ใช่ว่าเขาจะรู้จักอีกฝ่ายมากพอจะตัดสินอะไรได้ แล้วอีกอย่าง สิ่งสุดท้ายที่เขาอยากจะให้เกิดขึ้นก็คือมีคนของหน่วยข่าวกรองรู้เรื่องของอาชวินและอดิศร สำหรับเขาหน่วยข่าวกรองก็เหมือนดาบสองคม สามารถทำให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้นเพราะข้อมูลมากมายที่อยู่ในมือ ในขณะเดียวกันข้อมูลมากมายนั้นก็สามารถย้อนกลับมาทำร้ายเขาได้ง่ายๆถ้ารักษามันได้ไม่ดี ครืดครืด เสียงมือถือที่สั่นอยู่บนโต๊ะเรียกให้สายตาคมตวัดมองไปยังหน้าจอที่สว่างวาบเพราะมีข้อความเข้า พิชญุฒม์สบถเบาๆก่อนจะคว้ามือถือมากดดู เบอร์ติดต่อที่ไม่แสดงหมายเลขทำให้เขาพอเดาได้ว่าใครน่าจะเป็นคนส่งข้อความมาแต่พอกดเข้าไปดูเนื้อความกลับทำให้เส้นเลือดตรงขมับของพิชญุฒม์เต้นตุบๆ จุดและเส้นมากมายไม่ได้ทำให้รู้สึกปวดขมับได้เท่าเนื้อความที่แปลออกมาจากรหัสมอร์สตรงหน้า –·– ·· –·· –· ·– ·– –· ·– –· · –·· Kidnapped พิชญุฒม์ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองประสาทเสียได้ขนาดนี้มาก่อน เขากับอดิศรติดต่อกันด้วยรหัสมอร์สมาซักพักแล้วเพราะอีกฝ่ายกลัวว่าจะมีใครซักคนแกะรอยมาเจอ จริงอยู่ที่รหัสมอร์สคือเรื่องพื้นฐานแต่เพราะคนสมัยนี้เชื่อใจในเทคโนโลยีจนมองข้ามเรื่องเล็กๆน้อยๆเลยทำให้กลายเป็นหนึ่งลูกไม้ตื่นๆที่อดิศรงัดออกมาใช้ ตำรวจหนุ่มคว้ามือถือคู่กายก่อนจะหันไปคว้าเสื้อโค้ทมาสวมก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานของตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวออกจากห้องทำงานสมใจอยากก็ต้องชะงักเพราะประตูห้องทำงานที่เปิดออกพร้อมร่างของหน่วยข่าวกรองหนุ่มที่เพิ่งเจอหน้ากันในห้องประชุมเมื่อกี้ “ขอโทษทีผมรีบถ้านายมีอะไรเก็บไว้พูดพรุ่งนี้แล้วกันนะ” ยังไม่ทันที่พิชญุฒม์จะได้ขยับก้าวเท้าออก ศุภวิชญ์ก็ยกเอกสารหนึ่งแผ่นขึ้นมาตรงหน้า เขาจะไม่สนเลยถ้าหากว่าบรรทัดบนสุดของกระดาษไม่มีชื่อใครอีกคนที่ถูกลักพาตัวไป “ถ้ามันไม่สำคัญพอนายจะคุยพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ก็เรื่องของนาย” พิชญุฒม์ได้แต่กัดฟันแน่นจนกรามขึ้นสันนูนก่อนจะหันหลังแล้วเดินกลับเข้ามายังในห้องทำงานอย่างจำใจ พิชญุฒม์มองเอกสารสามแผ่นที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะกลางห้องทำงานพลางกอดอก ข้อมูลบางอย่างเขาเคยเห็นผ่านตามาแล้วแต่ที่เขายังไม่เคยเห็นคือข้อมูลที่เป็นเหมือนผลการทดลองทางชีวิวทยาที่เขาไม่ค่อยจะเข้าใจนักแต่ก็พอรู้เรื่องอยู่บ้างนิดๆหน่อยๆตามเท่าที่ได้เรียนมา “ผลจากทางนิติวิทยารายงานบอกว่าอาชวินเป็นเด็กที่เกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรม ไม่ต้องทำหน้าเหลือเชื่อขนาดนั้นหรอกก็แค่คนธรรมดาไม่ใช่เด็กพิเศษอะไร” ศุภวิชญ์เสริมเมื่อเห็นหน้าตาของพิชญุฒม์ที่ดูเหมือนไม่เชื่อในคำพูดตัวเอง “วิทยาศาสตร์ไปไกลแค่ไหนไม่มีใครรู้จนกว่าจะมีใครพบเจอ อะไรที่ไม่เคยเจอก็ใช่ว่าจะไม่มี ของบางอย่างแค่ความกล้าบ้าบิ่นมันไม่พอหรอกสารวัตรไม่อย่างงั้นสวรรค์จะให้เรามีไอ้นี้ไว้ทำไม” ศุภวิชญ์พูดพลางยกนิ้วชี้ขึ้นมาเคาะศรีษะตัวเองเบาๆ “ฉันรู้ว่านายไม่โง่ ผู้อำนวยการก็ด้วย แต่นายควรจะคิดได้ว่าทำไมท่านถึงส่งฉันมาช่วยงานนาย” ศุภวิชญ์เดินออกจากห้องไปแล้วทิ้งให้พิชญุฒม์ยืนอยู่กับเอกสารสารแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง ข้อมูลเชิงลึกที่ต้องยอมรับว่าฝั่งของเขาไม่มีทางได้มาง่ายๆแน่ๆกลับกองอยู่ตรงหน้า นี่ซินะเหตุผลที่ส่งศุภวิชญ์ให้มาช่วยงานเขา นึกขอบคุณผู้อำนวยการอยู่ในใจที่มองเห็นในสิ่งที่เขาพลาดไป เพราะฝ่ายข่าวกรองมีข้อมูลทุกอย่างอยู่ในมือเพียงแต่เลือกว่าจะเปิดไพ่ออกมาตอนไหนเหมือนคนที่ทำงานอยู่ในที่มืด ต่างกับเขาที่ต้องทำงานอยู่ในที่โล่งจะเปิดไพ่อะไรคนก็เดาทางได้หมด “แปลก” พิชญุฒม์ขมวดคิ้วมองข้อมูลที่วางเรียงอยู่ก่อนจะยกแขนแข็นแรงทั้งสองข้างท้าวไปกับขอบโต๊ะพิจารณารายละเอียดที่ถูกเรียบเรียงมาอย่างดี ทั้งๆที่ศุภวิชญ์มีข้อมูลสำคัญขนาดที่รู้ว่าอาชวินถูกดัดแปลงพันธุกรรมตอนที่อยู่ในครรภ์ ทำไมถึงไม่มีรายงานอะไรที่เกี่ยวข้องกับใครอีกคนที่อาชวินเอ่ยอ้างว่าเป็นฝาแฝดของตัวเองเลยซักนิด มือหนาหยิบแผ่นกระดาษแผ่นสุดท้ายที่ถูกวางเรียบอยู่ขึ้นมามองอย่างใช้ความคิด รายงานทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุรายละเอียดของการตัดต่อทางพันธุกรรม สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามทำเพื่อกำจัดจุดบกพร่องของมนุษย์แต่ก็เสี่ยงกับการที่เด็กคนนั้นเสียชีวิตถ้าทำไม่สำเร็จ แต่ถ้าสำเร็จเด็กคนนั้นก็เทียบขั้นเด็กอัจฉริยะคนนึงได้เลย ซึ่งถ้าอาชวินคือหนึ่งในเด็กที่รอดชีวิต และเจ้าตัวก็กล้าที่จะยืนยันว่าตัวเองคือฝาแฝดของอดิศรจริงๆ นั่นหมายความว่าข้อมูลนี้ทางหน่วยงานของหน่วยข่าวกรองยังไม่รู้เรื่อง หรือไม่ก็รู้เรื่องมาตั้งแต่ต้นเพียงแต่เลือกที่จะไม่พูดออกมา… “อดิศร… โถ่โว๊ย! ทำไมไม่คิดให้ออกให้เร็วกว่านี้วะ” พิชญุฒม์ระบายอารมณ์หงุดหงิดด้วยการปัดแผ่นกระดาษที่วางเรียงอยู่จนกระจุย ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุด เพราะไม่เคยเอะใจเรื่องเล็กๆน้อยๆจนมองข้ามเรื่องที่ควรจะใส่ใจไป จากตอนแรกที่คิดว่าตัวเองมีไพ่ใหญ่ๆในมืออยู่กลายเป็นว่ามันไร้ค่าไปเลยเมื่อเจอไพ่ที่ใหญ่กว่า อดิศรไม่ใช่หนึ่งในเกมส์นี้แต่อดิศรคือคนที่คอยควบคุมหมากกระดาษนี้ให้เดินไปในทางที่ตัวเองต้องการต่างหาก “วางแผนไว้หมดแล้วอย่างงั้นซินะแฮกเกอร์เงา” “ไม่เจอกันนานเลยนะหมู” น้ำเสียงและรอยยิ้มที่ครั้งนึงอาชวินเคยมองว่ามันดูเป็นมิตรไม่ได้ทำให้คนเด็กกว่ารู้สึกอยากยิ้มตอบเลยซักนิด ร่างโปร่งถอยจนแทบจะแทรกร่างเข้าไปกับผนังด้านหลังเมื่ออีกฝ่ายย่างสามขุมเข้ามาหา “พี่เอกภพ ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ไหนกายบอกว่าพี่ลาพักร้อน” “ก็พักร้อนแต่เรื่องบางอย่างมันก็พักไม่ได้แล้วนายทำไมมาอยู่ที่นี่หล่ะหมู” “คือผม..” อาชวินมองหน้าอีกคนเลิกลั่ก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอกภพโผล่มาในที่ๆเขาไม่คุ้นเคย อาชวินมองรอยยิ้มอบอุ่นของเอกภพก่อนจะส่ายหัวเบาๆให้ตัวเองเพราะคิดว่าคงคิดมากไปเอง บางทีเอกภพอาจจะแอบมาสืบคดีอะไรซักอย่างแบบลับๆและอดิศรก็เป็นหนึ่งในแฮกเกอร์ที่ทางการต้องการตัวเลยทำให้บังเอิญมาเจอกันก็เท่านั้น “ผมออกมาสำรวจอะไรนิดหน่อยหน่ะครับ กำลังจะกลับงั้นผมขอตัวนะครับ” อาชวินก้มหัวให้อีกคนเบาๆก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง แต่เพราะขนาดห้องที่ไม่ได้ใหญ่ทำให้เอกภพเอื้อมมือไปคว้าเข้าที่แขนของอีกคนทัน “รอแปปนึงซิอาชวิน พอดีว่าฉันมีเรื่องงานวิจัยตัวนึงจะปรึกษานายหลายวันแล้ว แต่เห็นพิชญุฒม์พานายไปเที่ยวเลยกะว่าจะรอนายกลับมาก่อนแต่พอดีฉันมีธุระแล้ววันนี้เจอนายพอดี ช่วยฉันดูงานวิจัยตัวนี้หน่อยซิ” อาชวินชั่งใจอยู่ครู่นึงก่อนจะพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบตกลง ถึงแม้ความรู้สึกจะบอกว่าคนตรงหน้าดูแปลกไปแต่เพราะความสนใจที่มีในคำว่างานวิจัยมันอยู่เหนือกว่าเลยทำให้คนตัวป้อมยอมเดินตามหลังเอกภพออกจากห้องไป อดิศรยกยิ้มมุมปากเมื่อหน้าจอแลปท็อปของตัวเองแสดงคลื่นเสียงที่ความถี่ต่างๆแล้วแปรผลออกมาเป็นเสียง บทสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นตัวบ่งบอกว่าตอนนี้อาชวินได้ยอมเดินตามทางที่เขาวางแผนไว้แล้ว แม้จะแอบรู้สึกผิดกับน้องชายฝาแฝดของตัวเอง แต่เพราะมีอะไรบางอย่างที่จำเป็นต้องเอาอาชวินเขาไปเสี่ยงแต่เมื่อคำนวนแล้วผลที่ได้มันเป็นผลดีมากกว่าผลเสียเขาก็ยอม แล้วอีกอย่างถ้ามันเสี่ยงมากจนเกินไปเขาก็ไม่มีทางเอาชีวิตของอาชวินไปเสี่ยงแน่ๆ สิ่งที่เอกภพรู้ตอนนี้คือข้อมูลบางส่วนที่อีกฝ่ายได้จากศุภวิชญ์ ซึ่งแน่นอนว่าข้อมูลส่วนนั้นบางอย่างมันเป็นเขาเองที่ส่งไปให้อีกฝ่าย เขาทำงานลับๆให้กับหน่วยข่าวกรองมาเป็นปีแล้วเพื่อแลกกับการที่อีกฝ่ายต้องปกปิดข้อมูลเขาให้รอดพ้นจากมือตำรวจ แน่นอนว่าต้องวินวินทั้งสองฝ่าย แต่หน่วยข่าวกรองอาจจะไม่รู้ว่าแค่ปกปิดข้อมูลตัวเองจากตำรวจอดิศรทำได้อยู่แล้ว เพียงแต่ข้อมูลบางอย่างที่เขาต้องการมันต้องเจาะระบบผ่านหน่วยข่าวกรองก็เท่านั้นเขาเลยยอมร่วมมือ อดิศรมองจีพีเอสที่เคลื่อนที่ไปพร้อมกับบทสนทนาที่เกิดขึ้นนานๆครั้งของคนทั้งคู่ซึ่งไม่ได้สลักสำคัญอะไรเพราะเท่าที่ฟังส่วนใหญ่ก็แค่คำพูดเพื่อสร้างความไว้ใจเพื่อให้อาชวินรู้สึกสนิทสนมกับตัวเองมากขึ้นก็แค่นั้น เขาไม่รู้หรอกว่าตอนนี้อาชวินไว้ใจเอกภพมากน้อยแค่ไหนแต่ก็คิดว่าคงจะรู้สึกเอะใจอยู่บ้างแต่ที่ยอมไปกับอีกฝ่ายนั่นเพราะความอยากรู้อยากเห็นตามนิสัยของนักวิทยาศาสตร์นั่นแหล่ะ สิ่งหนึ่งที่หลายคนรู้ก็คืออาชวินเป็นเด็กที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมก่อนจะนำกลับมาฝังตัวอ่อนไว้ในครรภ์ แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือในครั้งนั้นไม่ได้มีแค่อาชวินเท่านั้นที่เป็นผลมาจากการทดลองครั้งนั้น เขาเองก็เป็นหนึ่งในผลการทดลองครั้งนั้น แต่เพราะว่าหลังจากที่ทดลองสำเร็จงานวิจัยชิ้นนั้นก็ถูกลบออกจากบันทึกงานวิจัยทุกอย่างเพราะมันขัดต่อหลักของศีลธรรม เพราะถ้าการทดลองผิดพลาดนั่นหมายความว่าชีวิตของเด็กคนนึงก็จะสูญสลายไปด้วย แต่แน่นอนว่างานวิจัยสำคัญขนาดนั้นต่อให้ทำลายทิ้งยังไงมันก็ยังทิ้งหลักฐานไว้อยู่ ถึงแม้มันจะขัดกับหลักศีลธรรมแต่ถ้าทำสำเร็จนั่นหมายความถึงรายได้ที่ไม่มีจุดสิ้นสุดแล้วมันจะแปลกตรงไหนหล่ะที่ใครต่อใครก็ต่างแย่งชิงจนถึงขั้นร่วมมือกันเพื่อสร้างห้องสมุดราคาหลายร้อยล้านขึ้นมา เพื่อหวังว่างานวิจัยชิ้นนั้นหรืออะไรซักอย่างที่สามารถสืบสาวไปยังงานวิจัยนั้นอาจจะตกมาอยู่ในห้องสมุดหลังนั้นก็เป็นได้ อดิศรนึกของคุณโชคชะตาที่ทำให้เขากับอาชวินเกิดมาต่างกันจนไม่มีใครคิดว่าเป็นฝาแฝดกัน และเขาก็นึกขอบคุณคนที่ให้กำเนิดเขามาที่เลือกจะตั้งทั้งชื่อและนามกุลของพวกเขาให้ต่างกันจนดูเหมือนไม่มีอะไรจะเชื่อมโยงกันได้ นั่นเลยยิ่งทำให้ไม่มีใครคิดจะสืบเรื่องราวมาถึงเขาได้ แต่อาจจะเป็นโชคร้ายของอาชวินที่เจ้าของบริษัทจิวเวลรี่รายใหญ่ดันถูกชะตาเด็กนั่นจนเลือกที่จะพามาเลี้ยง เลยทำให้อาชวินต้องมาเจอชะตากรรมอะไรแบบนี้ อดิศรมองหน้าจอที่ยังคงแสดงถึงคลื่นความถี่ต่างๆบนหน้าจอทุกครั้งที่ทั้งสองคนมีการสนทนากัน จีพีเอสแสดงให้เห็นว่าตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในย่านนครนายก จับใจความคร่าวๆได้ว่าอาชวินจะยอมไปช่วยดูงานวิจัยให้เอกภพในห้องทดลองส่วนตัว เสียงก็อกแก็กที่ดังขึ้นเบาๆทำเอารอยยิ้มบนหน้าของอดิศรเริ่มเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วมุ่น เขาลืมสิ่งสำคัญไป อาชวินจะไม่ใส่เครื่องประดับเวลาทำการทดลอง แต่ที่เจ้าตัวต้องใส่นาฬิกาเรือนนั้นตลอดเป็นเพราะว่าคิดไปเองว่านาฬิกาเรือนนั้นถอดไม่ได้ แต่สำหรับเรือนนี้เขาเป็นคนบอกอาชวินเองกับปากว่ามันสามารถถอดได้ “หมู ไม่นะ” อดิศรพึมพำเบาๆเมื่อลางสังหรณ์ตัวเองเริ่มเด่นชัดขึ้น เสียงแกร๊กที่ดังขึ้นก่อนที่สัญญาณที่หน้าจอจะดับลงบ่งบอกว่าเขาได้ตัดขาดการเชื่อมต่อกับอาชวินโดยสมบูรณ์ อดิศรยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองก่อนจะลูบใบหน้าแรงๆเพื่อระบายอารมณ์ ก่อนจะพยายามเชื่อมต่อสัญญาณใหม่แต่ก็ไม่ปรากฎการเชื่อมต่อใดๆ จนต้องยกมือขึ้นมากุมขมับทั้งสองข้าง “โถ่โว๊ย! หมูฉันขอโทษ” tbc.
บทที่13 พิชญุฒม์รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า ร่างสูงนั่งนิ่งๆอยู่บนโซฟากุมขมับเท้าศอกไว้บนเข่า เส้นผมสีเข้มยุ่งเหยิงอย่างไร้ซึ่งการใส่ใจ สามวันแล้วที่เขายังตามหาร่องรอยของอาชวินไม่เจอ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้อาชวินอยู่ที่ไหน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะไปลากตัวเอกภพมาจากตรงไหน เขาไม่รู้อะไรซักอย่างไม่รู้แม้กระทั่งว่าคนที่ได้รับมอบหมายให้มาช่วยงานเขาหายหัวไปไหนเกือบสามวันแล้ว พิชญุฒม์เอนตัวพิงพนักโซฟา ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววเคร่งเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะยกมือข้างขวาที่หลังมือมีรอยแดงปรากฎชัดตามข้อนิ้วทำให้พิชญุฒม์ปรายหางตาไปมองก่อนจะปิดเปลือกตาลงแล้วนึกถึงที่มาของมันพลั่ก กำปั้นหลุนๆซัดเข้าเต็มแก้มซ้ายของคนตรงหน้าจนอีกคนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ในปากบ่งบอกว่าหมัดที่ถูกส่งมารุนแรงแค่ไหน อดิศรยกนิ้วโป้งซ้ายขึ้นมาซับที่มุมปากเบาๆ ก่อนจะมองหน้าคนที่ลงมือประทุษร้ายเขาด้วยแววตาเรียบนิ่ง “พอใจหรือยัง” น้ำเสียงราบเรียบจากอดิศรไม่ได้ทำให้ความโกรธในแววตาของพิชญุฒม์ลดลงเลยซักนิด แต่พิชญุฒม์ก็ไม่ได้มีทีท่าที่จะพุ่งเข้าไปซัดอีกฝ่าย พิชญุฒม์ทิ้งตัวลงทั่งตรงข้ามกับอีกคนก่อนจะสบถออกมาเบาๆแล้วปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่อีกซักพักก่อนจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา “เล่าทุกอย่างที่อยู่ในหัวนายออกมาให้หมด” พิชญุฒม์หมายความตามที่พูด เพราะตั้งแต่เจอหน้ากันแล้วอดิศรเป็นคนสารภาพว่าเขาเป็นคนพาอาชวินไปส่งเอกภพเองกับมือก็โดนอีกคนซัดหมัดใส่โครมใหญ่แล้วถึงจะเริ่มบทสนทนา อดิศรยอมรับว่าแปลกใจเล็กๆที่เขาไม่โดนอีกฝ่ายซัดตามมาอีกสองสามหมัดเหมือนที่เตรียมใจมาล่วงหน้าก่อนจะเปิดปากเล่าทุกอย่างตามที่วางแผนไว้รวมไปถึงเรื่องที่อยู่นอกเหนือแผนการด้วย ใจจริงพิชญุฒม์อยากจะซัดอดิศรเพิ่มอีกซักหมัดสองหมัดให้หายแค้นใจแต่ระบายอารมณ์ออกไปก็ไร้ประโยชน์เปล่า รังแต่จะทำให้การตามหาตัวอาชวินล่าช้าไปอีกถ้าอดิศรเจ็บหนัก พิชญุฒม์ยันกายลุกขึ้นก่อนจะเดินไปคว้าเสื้อโค้ทที่แขวนไว้มาสวม ตรวจสอบความเรียบร้อยของตัวเองด้วยการเปิดด้านในเสื้อโค้ทที่เป็นช่องสำหรับเหน็บปืนพกขนาดเก้ามม. หยิบออกมาเช็คลูกกระสุนในแม็กกาซีนก่อนจะใส่กลับเข้าไปที่เดิม กระชับเสื้อโค้ทให้เข้าทีก่อนจะพาตัวเองออกจากบ้าน พิชญุฒม์พาตัวเองมายังสำนักงานงานก่อนจะกดโทรศัพท์ไปยังฝ่ายหน่วยข่าวกรองเพื่อต่อสายหาศุภวิชญ์แต่พิชญุฒม์ก็ต้องหัวเสียอีกรอบเมื่อทางฝ่ายนั้นแจ้งกลับมาว่าศุภวิชญ์ออกจากสำนักงานไปซักพักแล้วแต่ไม่ได้แจ้งว่าไปไหน พิชญุฒม์ทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ทำงานเพื่อสงบสติ ยอมรับว่าตอนนี้ตัวเองสติแตกมากและบางทีมันก็มากเกินไปจนทำให้เขาคิดไม่ออกว่าวิธีไหนคือวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้ พิชญุฒม์รู้แค่เอกภพไม่มีทางทำร้ายอาชวินแน่ๆ แต่เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าตอนนี้อาชวินจะตกอยู่ในสภาพไหน เพราะความรู้สึกที่ว่าต้องตามไปช่วยอีกคนให้เร็วที่สุดมันตีตื้นขึ้นมาพิชญุฒม์เลยขาดสติอยู่แบบนี้ ไม่มีวิธีการไม่มีแผนอยู่ในหัว มีแต่ความคิดที่ว่าต้องตามไปช่วยออกมาเท่านั้น ประตูห้องทำงานของพิชญุฒม์ถูกเปิดก่อนจะปรากฎร่างของคนที่เขาไม่ได้เจอหน้ามาหลายวัน ศุภวิชญ์เดินค่อยๆก้าวขาเข้ามานั่งกลางห้องทำงานโดยที่ไม่ได้ใส่ใจกับสายตาไม่พอใจของเจ้าของห้องก่อนจะวางซองเอกสารลงบนโต๊ะตัวยาวแล้วค่อยๆแกะซองออกอย่างไม่เร่งรีบ เอกสารปึกย่อมถูกวางลงบนโต๊ะก่อนที่ศุภวิชญ์จะดันไปไว้กลางโต๊ะแล้วปรายสายตาไปมองคนที่ยังนั่งขมวดคิ้วแน่นทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเอง “ฉันวางเดิมพันหมื่นนึง ถ้านายไม่สนใจข้อมูลพวกนี้” คนที่นั่งอยู่กลางห้องเอ่ยด้วยท่าทางที่เหนือกว่าก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วยกขาขึ้นมาไขว้ห้างอย่างใจเย็น พนันได้ว่าถ้านับหนึ่งถึงสิบแล้วพิชญุฒม์ก็ยังไม่เดินมาที่โต๊ะแน่ๆ แล้วก็เป็นไปตามคาด ศุภวิชญ์ยกมือขึ้นกอดอกพลางกรอกตาอย่างหน่ายๆในความฐิถิสูงของอีกฝ่าย “เผื่อว่านายต้องการเวลาตัดสินใจ สามวันกับการเก็บข้อมูลบ้านพักของเอกภพที่นครนายกและที่สุดท้ายที่จีพีเอสในนาฬิกาของอาชวินปรากฎก่อนจะหายไป หลังจากนั้นฉันจะทำลายมันทิ้งซะ” ศุภวิชญ์ลุกขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อยก่อนจะเอื้อมมือไปกวาดเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะเก็บ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามที่ใจนึกเอกสารตรงหน้าก็โดนคว้าไปก่อนโดยคนที่เมื่อครู่นั่งนิ่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานจนศุภวิชญ์ต้องยกยิ้มมุมปาก “สายของเรารายงานมาว่าเอกภพมีบ้านอีกหลังที่ไม่ใช่ชื่อของตัวเองอยู่แถวนครนายกแต่ตอนแรกยังไม่แน่ชัดมากว่าอยู่ตรงไหน จนกระทั่งวันที่อาชวินหายไปพร้อมกับสัญญาณจีพีเอสที่อดิศรใส่ไว้ในนาฬิกาข้อมือนั่นแหล่ะเลยทำให้ค้นเจอ” “อดิศร… หมายความว่ายังไง ทำไม..” “ก็แค่พนักงานพาร์ทไทม์หน่ะ” รอยยิ้มที่ดูเหนือกว่าของศุภวิชญ์ไม่ได้ช่วยให้หัวคิ้วที่ขมวดแน่นของนายตำรวจหนุ่มคลายลงได้เลย “ฉันรู้ว่านายฉลาดพอจะเข้าใจทุกอย่างพิชญุฒม์” “ที่นครนายกยังไร้ความเคลื่อนไหวใด แน่นอนว่านายไม่ควรวู่วามถึงแม้อยากจะบุกแค่ไหนแต่ควรจะนึกถึงผลที่จะตาม กับตัวนายมันไม่เท่าไหร่ แต่กับอาชวิน… นายควรรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ศุภวิชญ์ยกมือขึ้นตบไหลอีกคนเบาๆสองทีก่อนจะเดินออกไปปล่อยให้พิชญุฒม์ได้อ่านข้อมูลที่ได้จากฝ่ายข่าวกรองเงียบๆ ศุภวิชญ์ปล่อยให้พิชญุฒม์ได้คิดอะไรคนเดียวเงียบๆก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานอีกฝ่ายไปเพื่อกลับไปสะสางงานที่ค้างอยู่ เด็กหนุ่มกล้าวางเดิมพันว่าหลังจากที่พิชญุฒม์ได้อ่านเอกสารข้อมูลที่เขาเอาไปให้แล้วยังไงซะก็ไม่มีทางที่จะพุ่งดิ่งออกไปหาอดีตคู่หูอย่างเอกภพเป็นแน่ ถึงแม้ว่าเขากับพิชญุฒม์จะเหมือนคนไม่ที่ค่อยลงรอยกันซักเท่าไหร่ แต่กับเรื่องงานวิสัยทัศน์ของพวกเขาไม่ค่อยต่างกันมากเท่าไหร่ อาจเพราะเหตุนี้ผู้อำนวยการเลยเลือกที่จะจับให้เขามาเป็นคู่หูคนใหม่ของพิชญุฒม์ทั้งๆที่หน่วยข่าวกรองกับตำรวจไม่มีวันญาติดีกันง่ายๆ ถึงจะรู้ว่าหน่วยข่าวกรองคือมันสมองในขณะที่ตำรวจคือพละกำลัง แต่ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นจริงๆก็ไม่มีทางที่จะเอาสองหน่วยงานนี้มาทำงานร่วมกันแน่ๆเพราะต่างฝ่ายต่างก็มีคดีให้ตามแก้กันจนกองท่วมหัว แต่เพราะคคีนี้เหมือนจะเป็นคดีธรรมดาๆแต่ไม่เลย มันไม่ธรรมดาตรงที่อาชวินเป็นเด็กที่สืบสายมาจากนักวิทยาศาสตร์ของหน่วยงานลับๆที่ทางรัฐบาลชุดเก่าเมื่อหลายปีก่อนแอบมอบทุนสนับสนุนอยู่ลับๆจนเกิดการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยการปกครอง รัฐบาลชุดใหม่ไม่ยอมรับการมีอยู่ของกลุ่มวิจัยนี้จนนักวิจัยแตกกระเจิงเพราะโดนกวาดล้าง บางส่วนหนีไปได้แต่ที่อยู่ใหม่ก็ไม่ใช่ในประเทศนี้ บางส่วนถูกกำจัดรวมไปถึงทายาทที่เกี่ยวข้อง พ่อแม่ของอาชวินกับอดิศรก็เช่นกัน… บ้านจัดสรรสองชั้นสีขาวย่านใจกลางเมืองประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งภายนอกดูเงียบสงบในยามค่ำคืนแต่ภายในกำลังเกิดความวุ่นวายใหญ่เมื่อเจ้าของบ้านกำลังวิ่งวุ่นเพราะเสียงเด็กร้องกระจองอแง ถ้ามีแค่หนึ่งคงจัดการได้ง่ายกว่านี้ แต่นี่มีถึงสองเสียงยิ่งทำให้เจ้าของบ้านวิ่งวุ่นคูณสอง ‘ศตวรรษ’ เจ้าของบ้านหลังนี้และพ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้าแผนกสถาบันวิจัยแห่งประเทศไทยกำลังวิ่งวุ่นเมื่อเด็กน้อยที่ควรจะนอนหลับปุ๋ยในเปลเด็กกำลังส่งเสียงร้องงอแง ซึ่งตอนแรกเด็กน้อยอดิศรควรจะนอนหลับอย่างสงบแต่เพราะฝาแฝดที่เกิดตามหลังกันในเวลาไม่กี่นาทีอย่างหวังอาชวินแผดเสียงร้องขึ้นมาทำให้แฝดผู้พี่สะดุ้งตื่นขึ้นมาประสานเสียงกัน เด็กชายฝาแฝดทั้งสองคนไร้ซึ่งความเหมือนกันทางหน้าตาอย่างสิ้นเชิง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฝาแฝดจะหน้าตาไม่เหมือนกันเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์เขาย่อมรู้ดีแต่เพราะความจริงแล้วทั้งคู่ควรจะเหมือนกันมากกว่านี้ถ้าหากไร้ซึ่งการตัดต่อดีเอ็นเอ เด็กทั้งคู่เป็นผลผลิตที่มาจากการทดลองของอรอนงค์กับสามีซึ่งเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลเช่นกัน แต่เพราะเด็กสองคนนี้เกิดมาจากการตัดต่อดีเอ็นเอขณะที่อยู่ในครรภ์ ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าผลที่จะตามมาคืออะไร เพราะเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของการคาดคะเนผลออกมาที่เป็นไปไม่ได้ เด็กสองคนนี้เลยเสมือนของขวัญจากพระเจ้าเพราะนอกจากอรอนงค์จะยังมีชีวิตรอดจนกระทั่งคลอดเด็กสองคนนี้ออกมาได้แล้ว เด็กทั้งคู่ยังมีชีวิตรอดมาจนร่วมหนึ่งเดือนแล้วอีกด้วย ศตวรรษเหลือบตาไปมองนาฬิกาบนฝาผนัง อีกสองชั่วโมงฟ้าจะสางแล้วเขาควรทำอะไรกับเด็กสองคนนี้ที่กำลังประสานเสียงร้องไห้จนผิวขาวๆแดงไปหมดแล้ว ศตวรรษเลือกที่จะหยิบขวดนมขวดเล็กๆมาป้อนเด็กน้อยที่กำลังแข่งกันร้องไห้ซึ่งเด็กน้อยอดิศรก็รับเข้าปากแล้วดูดอย่างเต็มใจผิดกับเด็กน้อยอาชวินที่ส่ายหน้าหนีทั้งยังเปล่งเสียงร้องออกมากจนศตวรรษต้องอุ้มขึ้นมาแนบอกซักพักกว่าเสียงร้องจะเงียบหายถึงเอาวางลงไว้ในเปลเด็กเคียงข้างกับพี่ชายตัวน้อยเหมือนเดิม พอเหลือบตามองนาฬิกาอีกทีก็พบว่ากว่าอาชวินจะสงบก็ใช้เวลาไปร่วมชั่วโมง ชายวัยกลางคนเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ใบไม่ใหญ่มากก่อนจะเอาลงไปเก็บที่รถก่อนจะเดินขึ้นมามองเปลเด็กขนาดกลางที่มีเด็กสองคนนอนหลับปุ๋ยอยู่แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตัดสินใจยกเปลเด็กซึ่งมีเด็กน้อยสองคนหลับสนิทไปไว้ตรงเบาะหลังของรถก่อนจะรัดบริเวณรอบๆเปลเพื่อให้มั่นใจว่าเปลจะไม่ลื่นหลุดไประหว่างทางแล้วขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับก่อนจะออกรถไป เพราะเด็กสองคนนี้เป็นเพียงเปอร์เซ็นต์เดียวของผลการทดลองที่สำเร็จเลยทำให้เขาต้องพาทั้งคู่ไปให้ไกลจากที่นี่ที่สุดตามที่เคยรับปากกับพ่อแม่ของเด็กสองคนนี้ ตอนที่รัฐบาลชุดเก่าหมดอำนาจลงแล้วรัฐบาลชุดใหม่ประกาศขึ้นมาทุกคนในสถาบันวิจัยก็เหมือนมดแตกรัง ทุกคนระหกระเหินเพราะการกวาดล้างของรัฐบาลชุดใหม่ แม้หลายๆอย่างที่ทางสถาบันจะใช้เสนอเพื่อต่อรองให้สถาบันวิจัยมีอยู่ต่อไปแต่เพราะความไม่เห็นชอบและความขัดแย้งของรัฐบาลชุดเก่ากับชุดใหม่ ทำให้มีคำสั่งทลายล้างสถาบันวิจัย นักวิทยาศาสตร์บางส่วนหลบหนีออกนอกประเทศ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนทุกอย่างเพื่อให้คนของรัฐบาลตามตัวไม่ได้ แต่บางส่วนที่โชคร้ายก็เป็นได้แค่ร่างไร้วิญญาณ พ่อแม่ของเด็กทั้งคู่ก็เช่นกัน หลังจากทีอรอนงค์คลอดเด็กทั้งคู่พร้อมกับความลับที่ถูกถ่ายทอดออกมาสู่เขาทำให้เขารู้สึกเหมือนได้รับของขวัญจากพระเจ้าแม้ว่าต้องหลบหนีไปไกลแค่ไหนแต่สำหรับคนที่เกิดมาเพื่อทดลองทางวิทยาศาสต์เกือบทั้งชีวิตแบบเขาการที่ผลการทดลองออกมาสำเร็จ มันสำคัญซะยิ่งกว่าการที่ได้รับรางวัลโนเบลเสียอีก และหลังจากที่อรอนงค์และสามีส่งเด็กสองคนนี้พร้อมความลับนั้นเพียงไม่ถึงอาทิตย์ทั้งคู่ก็ต้องจากโลกนี้ไปเพราะมัจจุราชในคราบของลูกกระสุนปืน เขาต้องพาเด็กทั้งสองคนระหกระเหินจากกรุงเทพเพื่อมาตั้งหลักที่ประจวบคีรีขันธ์แต่เขาก็รู้ดีว่าอีกไม่นานก็คงมีคนตามตัวเขามาจนเจอ ไม่ใช่เพราะรู้ว่าเด็กสองคนนี้คือผลของการทดลอง แต่เพราะเขาเป็นหัวหน้าหน่วย ยังไงซะถ้าเด็กสองคนนี้ยังอยู่กับเขาซักวันนึงเรื่องก็ต้องแดงขึ้นมา และจะกลายเป็นเด็กน้อยตาดำๆที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสองคนนี้ต่างหากที่จะต้องพบเจออะไรที่ทรมาณมากกว่าความตาย ศตวรรษพาเด็กทั้งคู่มายังบ้านหลักน้อยในชนบทของเชียงรายเพื่อฝากให้ญาติของตัวเองช่วยดูแลจนกว่าเด็กทั้งคู่จะโตกว่านี้ ซึ่งตัวเองก็ใช้เวลาช่วงนั้นอยู่อาศัยให้ห่างจากที่นี่เพื่อไม่ให้ใครตามหาตัวอดิศรกับอาชวินเจอจนเกือบปีพอเด็กทั้งคู่เริ่มรู้ประสาศตวรรษก็ไปรับตัวทั้งสองคนไปฝากไว้ที่สถานสงเคราะห์โดยไม่ให้ข้อมูลอะไรไว้กับเจ้าหน้าที่เลยนอกจากชื่อของทั้งคู่และบอกว่าทั้งคู่คือฝาแฝดกัน เสียงพลิกหน้ากระดาษดังชัดเจนในห้องที่เงียบกริบ พิชญุฒม์อ่านรายงานที่ศุภวิชญ์เป็นคนเอามาให้หน้านิ่วคิ้วขมวด พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน เหมือนเอกสารที่ศุภวิชญ์เอามาให้เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่ภาพที่เคยเลือนลางเริ่มชัดเจนขึ้นในความนึกคิด เมื่อก่อนชายหนุ่มคิดแค่ว่าอาชวินคือเด็กที่มีความสามารถซึ่งแน่นอนว่าใครๆก็มีได้ถ้าแค่ใส่ใจมันมากพอ แต่ที่ไม่เคยเอะใจเลยก็คือความสามารถที่เหมือนพระเจ้าประทานของอดิศร ถ้าเขาเอะใจซักนิดหลังจากที่รู้ว่าทั้งคู่เป็นแฝดเขาคงไม่ต้องมานั่งปวดหัวอยู่แบบนี้ “ศุภวิชญ์อยู่ไหมครับ” พิชญุฒม์ต่อสายหาคู่หูคนใหม่ของเขาเพราะเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้าทำให้เขาอยากจะปรึกษาหารือกับอีกคนให้มากกว่านี้แต่เพราะไม่มีเบอร์ส่วนตัว ศุภวิชญ์ไม่เสนอที่จะให้เขาไว้และเชาก็ไม่ได้ขออีกฝ่ายไว้เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้ต้องติดต่อกัน “ขอโทษครับศุภวิชญ์ยังไม่กลับเข้าสำนักงาน” คำตอบที่ได้รับทำเอาพิชญุฒม์ต้องหลับตาลงเพื่อสงบสติ “งั้นผมขอเบอร์ส่วนตัวของศุภวิชญ์ได้ไหมครับ” พิชญุฒม์พูดด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็นที่สุด “ขอโทษครับผมคงให้ไม่ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าตัว” “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก” แม้น้ำเสียงที่ตอบกลับจะนิ่งแต่ภายในใจจริงพิชญุฒม์แทบอยากจะว๊ากใส่โทรศัพท์ เรื่องนี้จะโทษใครก็ไม่ได้นอกจากทิฐิของตัวเขาเอง ตำรวจหนุ่มพยายามจะระงับสติด้วยการเดินไปชงกาแฟดื่ม ตั้งแต่เกิดเรื่องมาเขาก็แทบจะไม่ได้นอนเพราะมัวแต่คิดว่าอาชวินหายไปที่ไหนแต่เพราะอดิศรไม่ได้บอกอะไรและเขาก็ไม่ได้คาดคั้นอีกฝ่ายเพราะไม่คิดว่าอดิศรจะรู้เรื่องมากไปกว่าตัวเอง เลยได้แต่พยายามนั่งนึกและค้นประวัติของอดีตคู่หูที่ร่วมงานกันมาไม่รู้กี่คดี แต่ก็ไม่เจออะไรที่คืบหน้า มีบ้างทีเผลอหลับเพราะความอ่อนเพลียแต่สุดท้ายก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาหาข้อมูลต่อเพราะความกังวล จนได้มารู้จากศุภวิชญ์ว่าความจริงแล้วอดิศรเป็นหนึ่งในคนของหน่วยข่าวกรอง ความรู้สึกแรกเหมือนกับโดนอีกคนตบหน้าฉาดใหญ่ แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเอกภพไม่รู้เรื่องนี้เพราะไม่งั้นคงไม่มีทางให้ศุภวิชญ์ช่วยสืบเรื่องนี้เป็นแน่ เพราะยังไงซะข้อมูลส่วนใหญ่ก็ต้องมาจากอดิศร นั่นหมายความว่าข้อมูลที่ได้มาอาจจะบิดเบือนหรือไม่ครบก็เป็นได้ตราบใดที่อดิศรเป็นคนป้อนข้อมูลให้ พิชญุฒม์ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้องพักผ่อนหลังจากที่จัดการชงกาแฟให้ตัวเองแล้ว เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่คนส่วนมาเลิกงานแล้วบริเวณนี้เลยไม่ค่อยวุ่นวายเท่าไหร่นัก เขาไม่ค่อยได้มานั่งพักที่โซนนี้เท่าไหร่เพราะเวลาส่วนมากหมดไปกับการคุยงานในห้องขอตัวเองหรือห้องประชุมเล็ก บางทีก็มีการออกพื้นที่เพื่อไปเก็บหลักฐานหรือหาหลักฐานเพิ่มเติม ครั้งสุดท้ายที่มาใช้บริการที่นี่รู้สึกจะเป็นก่อนที่เขาจะได้รับมอบหมายให้ตามคดีแหกคุกของอาชวินนั่นแหล่ะมั้ง ครืด ครืด เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นจนต้องหยิบมาดู หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อพบว่าเบอร์ที่โทรเข้าเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยแต่ใจนึงคิดไปว่าเป็นเบอร์ของอดิศรเลยกดรับโดยไม่ลังเล “ฉันกำลังจะเข้าไปหานายเตรียมตัวให้พร้อมด้วย” ยังไม่ทันที่จะได้กรอกเสียงตอบรับแต่น้ำเสียงไม่คุ้นหูทำให้ต้องขมวดคิ้วฉับ อีกฝ่ายพูดเหมือนออกคำสั่งก่อนจะวางไปยิ่งทำให้พิชญุฒม์นึกแปลกใจก่อนจะเดินเอาแก้วกาแฟที่เพิ่งยกจิบได้สองสามอึกไปวางไว้ที่อ่างล้างจานแล้วกลับไปที่ห้อทำงานของตัวเอง ประตูห้องทำงานที่เปิดออกพร้อมกับพิชญุฒม์ที่ใส่เสื้อโค้ทเสร็จพอดีทำให้ได้คำตอบว่าสายเรียกเข้าที่คุยกันเมื่อกี้นี้คงเป็นศุภวิชญ์ที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา หลังจากเปิดประตูเข้ามาแล้วพบว่าพิชญุฒม์สวมเสื้อโค้ทรออยู่แล้วศุภวิชญ์ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรนอกจากทำสัญลักษณ์ให้อีกฝ่ายออกไปคยกับตัวเองข้างนอก “ไปรถฉัน” หน่วยข่าวกรองหนุ่มเอ่ยเมื่อเห็นว่าพิชญุฒม์กำลังจะเดินเลี่ยงไปอีกทางซึ่งเขาคาดการณ์เอาว่าอีกฝ่ายน่าจะไปเอารถของตัวเอง พิชญุฒม์ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอก ในสถานการณ์ที่สัญชาตญาณร้องบอกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลแบบนี้การไม่ทะเลาะกันเองภายในย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด “ตกลงว่า” พิชญุฒม์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นเมื่อศุภวิชญ์ขับออกมาได้ซักพักแล้วยังไม่ยอมพูดอะไร เจ้าของดวงตาโตและผิวสีแทนอย่างคนไทยแท้ๆไม่ได้เอ่ยออกมาในทันทีแต่กลับบุ้ยใบ้ใบหน้าไปที่คอนโซลรถ ซึ่งพิชญุฒม์มองที่อีกฝ่ายบุ้ยใบบอกมาไม่เห็นอะไรผิดปกติก็ขมวดคิ้วฉับมองอีกคนอย่างไม่ค่อยพอใจ ศุภวิชญ์เอื้อมมือไปบริเวณช่องแอร์หน้ารถยนต์เมื่อรถติดไฟแดงก่อนจะบ่นพึมพำเบาๆว่าแอร์ไม่ค่อยเย็นเลยก่อนจะขยับช่องแอร์ก๊อกแก๊กจนมันหลุดออกมา พิชญุฒม์เกือบจะเอ่ยปากแสดงความไม่พอใจออกมาแล้วถ้าสายตาไม่ไปสะดุดกับเครื่องดักฟังขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่บริเวณด้านหลังหน้ากากช่องแอร์ “ก็บอกแล้วว่าแอร์รถฉันมันไม่เย็น” ศุภวิชญ์พูดก่อนจะดันหน้ากากช่องแอร์กลับเข้าที่แล้วออกรถเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถซีดานกึ่งเก่ากึ่งใหม่จอดลงบริเวณสวนสาธารณะที่คนค่อนข้างพลุกพล่าน ศุภวิชญ์เลือกสถานที่ที่ไม่ได้ดูส่วนตัวจนเกินไปเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าจากสายตาที่มองไม่เห็นก่อนจะหันไปคว้าขวดเบียร์จากลังโฟมหลังรถออกมาสองขวดแล้วยื่นให้อีกฝ่ายหนึ่งขวด พิชญุฒม์รับไปพร้อมด้วยท่าทางเลิกคิ้วเพื่อถามอีกคนเป็นนัยๆว่าพกของแบบนี้ติดตัวด้วยหรอแต่ศุภวิชญ์ก็แค่ยักไหล่อย่างไม่นี่หร่ะก่อนจะพากันไปนั่งบนพื้นหญ้าบริเวณที่มีคนมานั่งปิกนิกกันพอสมควร ต่างฝ่ายต่างจิบเบียร์กันอย่างเงียบๆเพราะรู้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจะมาโผงผางจุดประเด็นคุยกันขึ้นมา สัญชาตญาณระวังภัยของทั้งคู่รู้สึกจะทำงานหนักเป็นพิเศษทั้งๆที่เหตุการณ์รอบด้านดูจะปกติทุกอย่าง แต่พิชญุฒม์รู้ เพราะทุกอย่างมันปกติจนเกินไปนี่ไงหล่ะมันถึงไม่ปกติสำหรับเขา พิชญุฒม์รอให้อีกฝ่ายเปิดปากอย่างใจเย็นเพราะรู้ว่าศุภวิชญ์คงไม่ลากเขาออกมาเพื่อนั่งจิบเบียร์ในสวนสาธารณะเพื่อดูนกบินร่อนไปมาหรอก “เรื่องนั้นหน่ะทำเป็นเงียบๆไปก่อนก็ดีนะ” ศุภวิชญ์ทิ้งตัวลงนอนบนพื้นหญ้าพลางเอาแขนรองตรงบริเวณท้ายทอยไว้ พิชญุฒม์ปรายหางตาไปมองอีกฝ่ายเพียงครู่ก่อนจะหันกลับมามองตรงไปข้างหน้าอย่างเดิม แม้จะไม่ค่อยพอใจแต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร “คนๆนั้นมีอะไรมากกว่าที่เราคิด มีใครบางคนหนุนหลังอยู่” พิชญุฒม์ทิ้งตัวนอนลงข้างๆอีกฝ่ายเพราะน้ำเสียงที่เบาลงเรื่อยๆจนเหมือนคนละเมอของอีกฝ่าย “ใหญ่ไม่เบาเลยแหล่ะคนๆนั้น ฉันกำลังให้อดิศรแกะรอยให้อยู่ แต่ก็ยากพอตัวเพราะเอกภพก็ไม่ใช่ย่อยเรื่องปิดรอย ความสามารถระดับนี้เป็นแฮคเกอร์ได้เลยนะ แต่โชคดีที่เรามีอดิศร” แม้ปลายประโยคจะพูดติดตลกแต่พิชญุฒม์ก็ไม่ได้นึกขันกับมุขตลกร้ายนั่นเลยซักนิด “เอกภพได้เงินสนับสนุนหลักจากรัฐบาลชุดนี้” น้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นจริงจังของศุภวิชญ์ทำให้พิชญุฒม์ตั้งใจฟังมากขึ้น “นักเรียนทุนรัฐบาลหัวกระทิระดับหาตัวจับยาก ไม่ใช่แค่เรื่องทางวิชาการ เอกภพเคยใช้เวลาหนึ่งปีในยูเคพื่อศึกษาทางด้านการเจาะข้อมูลและปกปิดข้อมูล จุดประสงค์ที่รัฐบาลส่งไปเพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าหากว่าเจ้าตัวมีงานวิจัยที่ยิ่งใหญ่ซักชิ้น แต่เอกภพก็ฉลาดพอที่จะเลือกใช้ความรู้ที่เรียนมาปกปิดและแก้ไขเรื่องราวบางส่วนของตัวเอง” “แต่ถ้านายกำลังคิดว่าอดีตคู่หูนายคืออัจฉริยะที่สามารถทำได้ดีทั้งทางการทดลองทางวิทยาศาสตร์และคอมพิวเตอร์นายอาจจะประเมินเอกภพสูงไป ฉันคิดว่าบางทีเรื่องแค่นี้นายอาจจะคิดเองได้ว่าเพราะอะไร อ๋อแล้วอีกอย่าง…” ศุภวิชญ์ลุกขึ้นมานั่งปัดแขนปัดขาเพื่อเอาเศษหญ้าออกก่อนจะเอ่ยต่อ “ไม่มีใครรู้ว่าอดิศรเป็นใครนอกจากนายและฉัน แน่นอนว่ามันคือผลบวกของเราถ้านายรู้จักใช้นี่” ศุภวิชญ์ๆยกนิ้วเรียวขึ้นมาชี้ที่บริเวณขมับตัวเองก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินกลับไปที่รถโดยไม่ได้หันกลับมามองอีกฝ่าย เขาเชื่อว่าตอนนี้พิชญุฒม์อาจจะต้องการเวลาเพื่อให้ตัวเองได้คิดอะไรมากขึ้นกว่านี้ จากการที่รู้จักอีกฝ่ายอย่างห่างๆมาซักพัก เขารู้ว่าพิชญุฒม์ฉลาดแค่ไหนและไม่เคยพลาดอะไรง่ายๆเรียกได้ว่าเปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดแทบจะเป็นศูนย์แต่แปลกที่คราวนี้เปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดของพิชญุฒม์แทบจะเกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์ พิชญุฒม์อาจจะไม่รู้ตัวแต่คนแต่เขาเชื่อว่าคงจะมีผู้ใหญ่บางคนสังเกตุได้ถึงความแปลกนี้ถึงได้ส่งเขามา แม้จะไม่รู้ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้คนสุขุมนุ่มลึกอย่างพิชญุฒม์กลายเป็นคนใจร้อนจนแทบจะพุ่งเข้าใส่ทุกอย่างแบบไม่ยั้งคิดแต่ตอนนี้ตัวแปรที่วิ่งเข้ามาในหัวก็มีอยู่แค่ตัวแปรเดียวนั่นก็คืออาชวิน tbc.
บทที่14 พิชญุฒม์พาตัวเองกลับมาที่คอนโดก่อนทิ้งตัวลงนอนเหยียดขายาวไปบนโซฟา ยอมรับว่าคำพูดของศุภวิชญ์เตือนสติเขาได้มากโขอยู่เหมือนกัน ตำรวจหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะปิดเปลือกตาลงทั้งๆที่กว่าจะกลับจากข้างนอกนาฬิกาบนข้อมือก็บอกเวลาว่าอีกสองชั่วโมงก็เหยียบเข้าวันใหม่แล้วแต่ความรู้สึกร้องบอกว่ายังไม่อยากพักผ่อนซักเท่าไหร่ทั้งๆที่ร่างกายและสมองแบกความเหนื่อยล้าสะสมมาหลายวัน ตัวอักษรจากกระดาษรายงานที่หน่วยข่าวกรองเชื้อชาติไทยเอามาให้อ่านกับคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมายังตีกันรวนอยู่ในหัวสมองจนรู้สึกอยากจะลุกขึ้นมาเปิดแลปท็อปนั่งทำงานต่อให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่เพราะมันไม่ใช่เวลาปกติพิชญุฒม์เลยไม่ค่อยมีกะใจอยากจะเปิดเท่าไหร่ เครือข่ายใยแก้วเมื่อถูกเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเขาไม่มีทางรู้เลยว่าตัวเองจะโดนเจาะข้อมูลเมื่อไหร่ นึกโทษตัวเองที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ ตอนที่เรียนอยู่โรงเรียนตำรวจเห็นเพื่อนร่วมรุ่นบางคนแอบดัดแปลงโทรศัพท์มือถือเพื่อดักฟังก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจเพราะรู้ว่าเมื่อได้มาทำงานในสายงานนี้ยังไงซะเรื่องดักฟังหรืออะไรก็ตามเขาก็ต้องได้ใช้อย่างง่ายดายเพียงแค่ร้องขอไปเท่านั้น ครืดครืด เสียงโทรศัพท์มือถือที่สั่นอยู่บนโต๊ะแก้วข้างโซฟาทำให้ตำรวจหนุ่มสะดุ้ง พิชญุฒม์ไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปตอนไหน ชายหนุ่มสะบัดหัวแรงๆเรียกสติก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมาดู การแจ้งเตือนของมือถือบอกว่ามีข้อความเข้าจากอดิศรบอกว่าให้เขาออกไปเจอตอนนี้ดึงสติให้กลับมาเต็มที่ พิชญุฒม์ลุกขึ้นคว้าเสื้อโค้ทมาสวมกันอากาศเย็นๆในยามกลางคืนก่อนจะเดินออกไปเพื่อเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งยังจุดหมาย สวนสาธารณะไม่ห่างจากคอนโดของนายตำรวจหนุ่มมากถูกเลือกให้เป็นสถานที่นัดพบในคืนนี้ พิชญุฒม์กระชับเสื้อโค้ทให้แน่นกว่าเดิมเมื่อก้าวลงจากรถแท็กซี่แล้วโดนลมที่พัดมาจากตีเข้าใส่หน้า ตำรวจหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อหาคนที่ส่งข้อความมานัดตัวเองไว้ก่อนจะเจออดิศรยืนพิงอยู่กับต้นไม้ใหญ่ พออีกฝ่ายหันมาเห็นเขาก็ขยับตัวเหมือนจะเดินเข้ามาหาแต่ก็หยุดอยู่กับที่จนพิชญุฒม์ต้องเป็นฝ่ายเดินไปหาแทน “ว่าไงอดิศร” ทันทีที่เดินมาจนถึงต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำพิชญุฒม์ก็เอ่ยทักอีกฝ่าย และเพราะต้นไม้ต้นนี้ค่อนข้างใหญ่และบริเวณนี้ค่อนข้างมืดเลยทำให้พิชญุฒม์เห็นเห็นใครอีกคนที่หลบอยู่หลังต้นไม้ซึ่งเขาไม่ได้สังเกตุในตอนแรก “รฐนนท์!” พูดเสร็จก็พร้อมที่จะพุ่งเข้าไปใส่อีกคนแต่โชคดีที่อดิศรไวกว่าเลยคว้าเข้าที่เอวของพิชญุฒม์ทันก่อนที่ตำรวจหนุ่มจะพุ่งไปถึงตัวคนที่ยืนหลบอยู่ข้างหลังเขา “ใจเย็นคุณตำรวจ” อดิศรเอ่ยขึ้นก่อนจะพยายามรั้งอีกคนด้วยแรงเกือบทั้งหมดที่มี ถึงแม้อดิศรจะไม่ใช่คนที่ตัวหนาเหมือนพวกที่ออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงเพราะความที่ต้องอยู่กับความคล่องตัวตลอดเวลาเลยทำให้อดิศรเลือกที่จะไม่เล่นกล้ามแต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองอ่อนเปลี้ยเพลียแรง “อดิศรฉันต้องการคำอธิบายเรื่องนี้” พิชญุฒม์พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆแต่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม สายตาจับจ้องอยู่ที่คนที่ไม่คิดว่าจะมาอยู่ตรงนี้ ครั้งสุดท้ายที่เขาเจอรฐนนท์ คนๆนี้ส่งรังสีคุกคามใส่อาชวินจนน่ากลัวซึ่งเขายังจำความรู้สึกแรกหลังจากเอื้อมมือไปกุมมือสั่นๆของอีกคนได้แม่น “ไม่ใช่ที่นี่คุณตำรวจ” น้ำเสียงที่แทบจะเป็นเสียงกระซิบของอดิศรทำให้พิชญุฒม์สงบลงได้เล็กน้อยก่อนที่ชายหนุ่มจะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของอดิศรแล้วเดินแยกออกไปสงบสติอารมณ์ไม่ห่างมาก อดิศรถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันกลับมามองคนที่มีศักดิ์เป็นน้องซึ่งรฐนนท์ก็แค่ทำเพียงยักไหล่อย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก กว่าพิชญุฒม์จะสงบลงแบบพร้อมพูดคุยกับรฐนนท์ได้แบบคนปกติก็เสียเวลาไปพักใหญ่ ทั้งสามคนพากันมาจนถึงเซฟเฮ้าส์ที่ดูไม่เหมือนเซฟเฮ้าส์ซักเท่าไหร่เพราะเป็นแค่ห้องเล็กๆในห้องแถวโทรมๆแถวๆถนนไม่ไกลจากสวนสาธารณะมาก รถยนต์คันเก่าถูกจอดทิ้งไว้ตรงบริเวณที่จอดรถริมถนนก่อนที่คนทั้งสามจะพากันเปิดประตูเข้าไปด้านใน แม้ภายนอกจะดูซอมซ่อแต่ภายในนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ผนังด้านซ้ายถูกขึงด้วยแผนที่ใหญ่ยักษ์จนเต็มฝาผนัง โซนด้านขวามีทีวีจอยักษ์ที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ได้มีไว้เพื่อดูรายการทีวีผ่อนคลายในวันหยุดแน่ๆบริเวณกลางห้องเป็นเตียงขนาดห้าฟุตที่บนเตียงเต็มไปด้วยแผนที่เล็กๆและอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์มากมายทั้งเครื่องดักฟัง แลปท็อป และเครื่องแปลงสัญญาณ อดิศรเดินตรงเข้าไปนั่งบนเตียงกลางห้องก่อนจะเปิดแลปท็อปเครื่องเก่าที่ถูกวางอยู่บนเตียงแล้วพิมพ์อะไรต๊อกแต๊กตามประสาแฮคเกอร์ พิชญุฒม์กวาดสายตามองสำรวจไปรอบๆห้องก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเก่าที่ตั้งอยู่ข้างประตู ปล่อยให้ความเงียบคลอไปกับเสียงพิมพ์อะไรซักอย่างของอดิศรซึ่งพิชญุฒม์เดาว่าอีกคนน่าจะกำลังพยายามหาสัญญาณอะไรที่แสดงถึงที่อยู่ของอาชวิน ถึงแม้ว่าจะเป็นคนส่งอาชวินเข้าปากเสือแต่เขาก็เชื่อว่าอดิศรคงรู้สึกผิดไม่น้อย ดูจากสภาพที่เจอกันอีกฝ่ายก็ดูค่อนข้างอ่อนเพลีย อาจเพราะกำลังรู้สึกผิดที่ส่งน้องชายฝาแฝดไปสู่อันตรายขนาดนี้ก็ได้ ก๊อกก๊อกก๊อกก๊อก เสียงเคาะประตูทำเอาพิชญุฒม์ที่กำลังคิดอะไรเพลินๆยกมือขึ้นสัมผัสสีข้างซึ่งเป็นที่เก็บปืนโดยอัตโนมัติก่อนที่อดิศรจะเงยหน้าส่งสัญญาณให้รฐนนท์เป็นคนไปเปิดประตูโดยที่ไม่ดูแม้แต่ตาแมว ร่างสูงโปร่งของชายวัยกลางคนเดินเข้ามาตามหลังรฐนนท์ ใบหน้าคมสันส่งยิ้มทักทายคนที่นั่งอยู่หน้าจอแลปท็อป อดิศรยักคิ้วทักทายคนมาใหม่ ซึ่งตอนนี้เดินเอากระเป๋าเป้ที่สะพายมาไปวางลงบนริมเตียงที่อดิศรนั่งอยู่ก่อนจะเริ่มรื้อของออกมา แผนที่ขนาดเล็กที่ถูกเขียนแบบคร่าวๆถูกกางออกบนปลายเตียงพร้อมกับความสนใจของอดิศรที่ละจากหน้าจอเพื่อมามองแผนที่แผ่นเล็กๆนั่น พิชญุฒม์ค่อยๆขยับกายเพื่อมองให้เห็นแผนที่นั่นชัดขึ้นเช่นเดียวกับรฐนนท์ที่ขัยบตัวมาชิดเตียง ชายวัยกลางคนเงยหน้ามองอดิศรยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยกคิ้วเป็นเชิงถามว่านั่นคือแผนที่อะไร “ทางลับของบ้านนั้นไง” ชายวัยกลางคนไม่ได้บอกว่าเป็นบ้านใครแต่จากการที่อดิศรร้องอ๋อในลำคอบวกกับสีหน้าที่แสดงความพอใจก็พอจะทำให้พิชญุฒม์เดาได้ว่าเป็นบ้านของใคร “เส้นทางทั้งหมดจะเชื่อมต่อกันเหมือนเขาวงกตแต่ก็วิ่งวนเป็นวงกลม ไม่ได้ทำให้น่างงวงยอะไรขนาดนั้นถ้าจับจุดได้” ชายวัยกลางคนที่ยังดูกระฉับกระเฉงแต่ใบหน้าพราวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จนบางทีพิชญุฒม์ก็สงสัยว่าคนพวกนี้ไปซ่อนอยู่ในหลืบไหนของสังคม ทำไมเขาแทบจะหาไม่เจอ คนพวกนี้ดูแล้วทักษะและมันสมองไม่ใช่เล่นๆ และเขาเชื่อว่าทัศนคติในการใช้ชีวิตคงค่อนข้างเป็นของตัวเองอย่างชัดเจนมากด้วย “เท่าที่ดูจากแผนที่มันมีทางเข้าสองทางนะ แต่น่าแปลกตรงที่ทางเข้าทั้งสองทางแทบไม่มีระบบป้องกันอะไรเลยแม้กระทั่งการแสกนรอยนิ้วมือ” “ไม่หรอกครับ” ยังไม่ทันที่ชายวัยกลางคนจะพูดจบประโยคก็เป็นอดิศรที่แทรกขึ้นมาก่อนจะหันหน้าไปคลิ๊กเม้าส์ที่หน้าจอแลปท็อปสองสามทีก่อนจะหันหน้าจอมาให้คนที่อยู่ร่วมห้องทั้งหมดเห็น “ฉันลองแฮ็คข้อมูลระบบรักษาความปลอดภัยของบ้านนั้นถึงมันจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็คิดว่าเปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดบวกลบไม่น่าจะเกินหนึ่งเปอร์เซ็นต์” หนึ่งเปอร์เซ็นต์ฟังเหมือนจะน้อย แต่ตำรวจอย่างพิชญุฒม์ก็พอจะรู้ว่าตราบใดที่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ โอกาสที่จะเกิดการสูญเสียย่อมมี “อินฟราเรดเซ็นเซอร์” “เชี่ย” เสียงอุทานเบาๆจากในลำคอของชายวัยกลางคนไม่ได้เหนือความคาดหมายของอดิศรที่กำลังอธิบายอยู่เท่าไหร่ “ไม่คิดใช่ไหมว่าอุปกรณ์ง่ายๆจะเป็นสิ่งที่เอกภพจะเอามาใช้ ในเมื่อบริเวณนั้นแทบจะร้างผู้คน แถมห้องใต้ดินที่มีคนรู้แค่คนเดียวคือเจ้าของบ้าน แน่นอนว่าคลื่นความร้อนที่ตรวจจับได้ต้องเป็นของคนๆเดียว ถ้าเมื่อไหร่มันมีอะไรแปลกปลอมเซ็นเซอร์ตรวจจับจะรายงานเข้าไประบบเพื่อประมวลผลออกมา ก็อย่างที่รู้ถึงจะบอกรายละเอียดไม่ได้แต่คลื่นความร้อนของแต่ละบุคคลมันต่างกัน ฉลาดไม่หยอกเลยนะเอกภพเนี่ย สมแล้วกับที่เป็นคู่หูของตำรวจมือหนึ่ง” ท้ายประโยคไม่วายหันมาแขวะกัดบุคคลที่มีตำแหน่งเพียงหนึ่งเดียวของห้อง แต่พิชญุฒม์ก็ไม่ได้ถือสาอะไรมากมายเพราะคิดว่าตอนนี้อดิศรก็เหมือนหมาขี้หงุดหงิดตัวนึงที่พร้อมจะแว้งกัดทุกคนเพียงแค่ยื่นมือมาโดนพวงหางของตัวเอง เมื่อศึกษาแผนที่ทางหนีทีไล่รวมถึงเส้นทางลับภายในบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งสี่คนตกลงกันว่าจะเริ่มเขาไปในบ้านหลังนั้นหลังจากที่อดิศรแก้ระบบสั่งการของอินฟราเรดเสร็จสิ้น หรือถ้าแก้ไม่เสร็จเรียบร้อยอย่างน้อยก็ช่วยชะลอเวลาในการประมวลผลของเซ็นเซอร์ก็ยังดี ในระหว่างที่อดิศรกำลังนั่งทำอะไรซักอย่างอยู่กับระบบใยแก้วพิชญุฒม์ก็เลือกที่จะเดินออกมานั่งอีกมุมหนึ่งของห้อง เขาไม่สามารถใช้มือถือได้แน่นอนว่ามันเกี่ยวกับการตรวจจับสัญญาณจีพีเอส จริงอยู่ว่าเขาเป็นตำรวจ แต่ในเวลานี้ตำรวจอย่างเขาก็ใช่ว่าจะปลอดภัยจากการโดนสะกดรอย เขาไม่สามารถติดต่อศุภวิชญ์ได้เด็กนั่นฉลาดเกินกว่าจะที่จะยอมให้เขาทำเรื่องงี่เง่าขาดสติ ทั้งๆที่ตอนฝึกสมัยก็ถูกย้ำแทบจะตลอดเวลาเรื่องของการมีสติ แต่สุดท้ายเขาก็พลั้งพลาดจนอะไรต่ออะไรแทบจะหาทางกลับไม่เจอ ต้องขอบคุณโชคชะตาที่ผู้ใหญ่น่าจะพอเดาสถานการณ์ออกเลยส่งหน่วยข่าวกรองคนนั้นมาเตือนสติเขา ดวงตาคู่คมปิดลง พิชญุฒม์ไม่ได้หลับแต่เขาเลือกที่จะพักสายตาเพื่อที่จะดึงสติทุกอย่างให้กลับมา เขาเลือกที่จะเป็นตำรวจก็เพราะต้องการที่จะทำให้ตัวเองใจสงบลง ก่อนหน้าที่เขาจะเดินบนเส้นทางนี้เขาเลือดร้อนมากขนาดไหนเขาย่อมรู้ตัวเองดี แต่เพราะไม่อยากให้กลับไปเป็นเหมือนช่วงเวลาเก่าๆที่เพราะความวู่วามและขาดสติจนทำให้ต้องเสียคนที่ตัวเองรักไปเขาเลยเลือกที่จะเปลี่ยนทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องซ้ำรอยเดิมแต่สุดท้ายก็เกือบจะพลาดทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจนได้ “กาแฟหน่อยไหม” น้ำเสียงเรียบนิ่งที่มาพร้อมกับเสียงคนน่งลงข้างๆทำให้พิชญุฒม์ลืมตาขึ้นไปมองผู้มาใหม่ รฐนนท์ยื่นกาแฟดำให้อีกฝ่ายซึ่งพิชญุฒม์ก็แค่รับมาถือไว้แต่ไม่ได้จิบ “ทุกคนเป็นห่วงอาชวินไม่ต่างกับนายหรอก” คำพูดนิ่งๆของรฐนนท์ไม่ได้ทำให้พิชญุฒม์สนใจจะหันไปมองอีกคนและรฐนนท์ก็ไม่ได้ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะสนใจเสวนากับตัวเองหรือเปล่า เขาก็อยากจะมาเพื่อพูด พูดให้จบจะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคา “อย่างที่นายน่าจะรู้มาบ้างว่าเราสามคนเคยโตมาด้วย แน่นอนว่าสำหรับฉันแล้วคนๆนั้นสำคัญมากกว่าชีวิตอีกนะ แต่ก็น่าตลกที่ฉันพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะดึงเขามาใกล้แต่กลายเป็นว่าโดนคนที่ไม่แม้แต่จะพยายามอะไรแถมยังมาทีหลังอย่างนายคว้าไปซะได้ ตลกชะมัด” ท้ายเสียงเหมือนจะเย้ยหยันตัวเองอยู่ในทีจนพิชญุฒม์ต้องปรายหางตาไปมองอีกคนแต่ก็เห็นอีกฝ่ายที่นั่งจ้องน้ำสีดำๆของกาแฟพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก หัวโขนที่ถูกสวมไว้ถูกโยนทิ้งไปหมด รฐนนท์ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็เหมือนแค่เด็กผู้ชายวัยรุ่นธรรมดาๆคนนึงมีรักมีโกรธ ไม่ได้แสร้งยิ้มตลอดเวลาเหมือนตามหน้าหนังสือพิมพ์ ในสถานการณ์แบบนี้ก็คงไม่มีกระจิตกระใจมาปั้นแต่งใบหน้าเพื่อเข้าหากันหรอก “รักชีวิตของนายให้เท่าที่นายจะรักได้เถอะ เพราะชีวิตของอาชวินหลังจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันคอยดูแลจะดีกว่า” ห้องทดลองในชั้นใต้ดินของบ้านหลังเล็กในนครนายกวันนี้มีคนร่วมใช้อากาศหายใจอยู่ถึงสองชีวิต เอกภพมองดูคนที่ตัวเองลักลอบพามา ถึงแม้ว่าอาชวินจะไม่ได้ถูกลักพาตัวแต่ก็ใช่ว่าจะเต็มใจร้อยเปอร์เซ็นต์ มือขาวยกขวดรูปชมพู่ที่ข้างในมีน้ำสีใสขึ้นมาพิจารณาอย่างใคร่รู้ ต้องโทษตัวเองที่เลือกที่จะพาตัวเองมาเสี่ยงแต่เพราะรู้ว่าถ้ามาแล้วอาจจะได้อะไรมากกว่าที่คิดไว้เลยยอมเสี่ยง เลือดของนักวิทยาศาสตร์มันไหลวนอยู่ในร่างกายจนบางทีอาชวินก็นึกเกลียดตัวเอง “Cytosine ตัวนั้นฉันสังเคราะห์ขึ้นมาเองเลยนะ” เสียงนุ่มทุ้มจากเอกภพเรียกให้หัวคิ้วของอาชวินขมวดเบาๆ เบสตัวนี้เป็นหนึ่งในคู่เบสที่อยู่ในสายดีเอ็นเอ เอกภพจะสังเคราะไปทำไมกัน? “อันที่จริงฉันยังมีอีกหลายตัวเลยที่สังเคราะห์ขึ้นมา” เอกภพเริ่มพูดต่อแต่สายตาก็ไม่ละไปจากคนที่ยืนถือขวดรูปชมพู่อยู่ “ฉันเคยคิดว่าฉันน่าจะใช้เวลากับมันไม่เกินสามปี แต่ที่ไหนได้ปีนี้เป็นปีที่ห้าแล้วแต่ฉันก็ยังไม่สามารถสังเคราะห์ในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ แต่รู้ไหมหมูอยู่ๆก็เหมือนพระเจ้าประทานของรางวัลที่มีค่าให้ ต้นแบบของงานวิจัยเดินเข้ามาหาฉันเองทั้งๆที่เมื่อก่อนฉันแทนจะพลิกแผ่นดินหา ต้องขอบคุณอะไรดี โชคชะตา.. หรือความดื้อดึงของนาย?” “ผม?” ดวงตากลมโตควับไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ “เผื่อนายไม่รู้” เอกภพเอ่ยพร้อมกับค่อยๆก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆจนประชิดตัวอีกฝ่าย “ต้นแบบดีเอ็นเอที่สมบูรณ์ที่สุดมันไหลวนอยู่ในร่างกายนายไงหล่ะ” คำตอบของคำถามที่ว่างานวิจัยของเอกภพคืออะไรทำไมต้องปรึกษาเขากระจ่างในทันที ถ้าเอกภพบอกว่าดีเอ็นเอของเขาคือต้นแบบของงานวิจัย ในหมายความว่าเขามาอยู่ที่นี่ในฐานะของต้นแบบเช่นกัน ต้นแบบที่ไม่ต่างอะไรกับหนูทดลอง เอกภพไม่ได้เอาเขามาเพื่อช่วยทำงานวิจัย แต่เอามาเพื่อเป็นตัวอย่างสารผลิตภัณฑ์ในการวิเคราะห์หาสารตั้งต้นในการทำการทดลองต่างหาก “มาสเตอร์ของดีเอ็นเอระดับดีเยี่ยมที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรมแล้วมีชีวิตรอดมาเป็นสิบปีได้ขนาดนี้ ลองคิดดูซิถ้างานวิจัยนี้ประสบผลสำเร็จบุคลลากรอันไร้ประสิทธิภาพของกองทัพก็จะหมดไป ยังไม่รวมถึงเม็ดเงินมหาศาลที่จะลอยเข้ามาจากองค์กรเอกชน แต่ก็อย่างที่นายน่าจะเดาได้ บนโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆทุกอย่างต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ซึ่งโชคร้ายนิดหน่อยที่ของแลกเปลี่ยนสำหรับการทดลองนี้อาจจะหมายถึงชีวิตของนาย” เข็มนาฬิกาในห้องทดลองเดินอย่างเชื่องช้าไปตามหน้าที่ ดวงตาคู่เรียวของเอกภพจ้องมองตัวเลขบนหน้าปัดดิจิตอลของเครื่องมือสมัยใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ สายระโยงระยางเชื่อมต่อไปยังแคปซูลใสที่ภายในบรรจุร่างของคนที่มีดีเอ็นเอต้นแบบของงานวิจัยนี้อยู่ อาชวินในสภาพเปลือยเปล่านอนหลับตานิ่งอย่างคนหมดสติอยู่ภายในแคปซูลใสโดยที่ช่วงปากและจมูกถูกครอบด้วยหน้ากากออกซิเจน อาชวินอยู่ในสภาพนี้มาเป็นเวลาร่วมสิบชั่วโมงแล้วแต่เพราะยังไม่ครบเจ็ดสิบสองชั่วโมงเอกภพเลยยังไม่สามารถทำอะไรกับร่างนี้ได้ นอกจากนั่งใจเย็นจิบกาแฟพลางมอนิเตอร์เครื่องมือต่างๆให้เป็นไปตามปกติเพื่อรอเวลาให้ครบเจ็ดสิบสองชั่วโมงก่อนที่การทดลองที่แท้จริงจะเริ่ม เซฟเฮ้าส์หลังเล็กในวันนี้กำลังวุ่นวายเมื่ออดิศรเจาะเข้าระบบความปลอดภัยของบ้านหลังเล็กในนครนายกสำเร็จ แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่สำหรับพวกเขาเวลาที่มีอยู่เริ่มน้อยลงไปทุกที เพราะทันทีที่อดิศรได้รับข่าวจากสายของตัวเองว่าอาชวินถูกทำให้กลายเป็นเจ้าชายนิทราเป็นเวลาเจ็ดสิบสองชั่วโฒงก่อนการทดลองจะเริ่มก็ทำให้พิชญุฒม์แทบจะนั่งไม่ติดพื้น แต่ประสบการณ์สอนให้รู้ว่ามุทะลุไปก็ไม่ได้ทำให้อาชวินปลอดภัยแถมอาจจะทำให้แผนการที่วางไว้พังได้ “พร้อมนะ” ใบหน้าเคร่งขรึมของทุกคนพยักหน้าให้กับคำถามของคนที่มีอายุมากที่สุดอย่างหนักแน่นก่อนจะพากันขึ้นรถกะบะเพื่อออกเดินทาง ระยะทางจากกรุงเทพไปจนถึงนครนายกใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงเพราะไม่ได้ไปตามทางสายหลัก รฐนนท์ทำหน้าที่เป็นพลขับโดยมีอดิศรนั่งอยู่ข้างๆเพื่อคอยสำรวจจีพีเอสเส้นทางจากแลปท็อปเครื่องเล็ก ส่วนเจ้าของเซฟเฮ้าส์อย่างกษิดิสและพิชญุฒม์นั่งอยู่เบาะหลัง บนรถแทบจะไร้ซึ่งบทสนทนาในยามท้องฟ้าด้านนอกถูกกลืนกินด้วยความมืด สัญชาตญาณการระวังภัยก็ยิ่งทำงานได้ดีขึ้น พิชญุฒม์กระชับเสื้อโค้ทที่ส่คลุมมาก่อนจะเอื้อมมือไปแตะลำปืนที่ถูกเก็บไว้ตรงสีข้างเบาๆเพื่อเป็นการเรียนความอุ่นใจให้กับตัวเอง รถกะบะคันใหญ่แล่นเข้ามาในเขตหมูบ้านย่านชานเมืองของนครนายกอย่างช้าๆก่อนที่รฐนนท์จะเลือกจอดตรงทางเข้าหมู่บ้านที่เงียบสงบจนดูเหมือนไม่มีคนอาศัยอยู่เท่าไหร่นัก อาจด้วยเพราะย่านนี้ค่อนข้างเงียบถึงจะมีคนอยู่แต่พอเริ่มดึกเมืองที่ห่างไกลแสงสีอย่างนี้จึงไม่ค่อยมีคนออกมาพลุกพล่านภายนอกบ้านซักเท่าไหร่ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น ทั้งสี่คนลงจากรถอย่างช้าๆพร้อมกับปิดประตูให้เบาที่สุดเพราะเกรงว่าเสียงดังเพียงนิดแล้วจะเป็นตัวทำให้มีคนออกนอกบ้านมาสนใจ ทุกย่างก้าวของพิชญุฒม์เต็มไปด้วยความมั่นคงและใจจดใจจ่อ สิ่งเดียวที่เขาคิดอยู่ในใจตอนนี้ก็คือภาวนาให้อาชวินยังคงปลอดภัยและภาวนาไม่ให้พวกเขามาช้าเกินไปไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีให้อภัยตัวเองเลย ทั้งสี่คนเดินมาหยุดอยู่ที่รั้วหน้าบ้านหลังเล็กที่อยู่เกือบท้ายหมู่บ้าน บรรยากาศเงียบเชียบสร้างความรู้สึกกดดันจนทำให้เม็ดเหงื่อไหลร่วงออกมาตามแรงโน้มถ่วงโลกแม้ว่าอากาศจะกำลังสบาย อดิศรกวาดสายตามองเข้าไปในความเงียบสงบของตัวบ้านที่ไร้ซึ่งแสงไฟก่อนจะเปิดแลปท็อปเครื่องเล็กที่พกติดตัวมาด้วยเพื่อความสะดวกในการใช้งาน กดอะไรซักอย่างลงไปสามสี่ทีก่อนจะเงยหน้ามองไปยังไฟหน้าบ้านดวงเล็กที่ติดอยู่ตรงประตู ดูเผินๆอาจจะเหมือนไฟทั่วไปแต่ใครจะรู้ว่าที่ตรงนั้นคือที่ซ่อนของอินฟาเรดเซ็นเซอร์ก่อนจะหันกลับมาก้มหน้าก้มตาอยู่กับคอมซักพักก่อนจะปิดคอมเก็บใส่กระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ข้างหลังก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูรั้ว “เดี๋ยวอดิศร” ยังไม่ทันที่อดิศรจะได้เปิดประตูรั้วพิชญุฒม์ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็เอื้อมมือมารั้งแขนอีกคนไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ต้องห่วงฉันระงับการทำงานของเซ็นเซอร์ไว้ชั่วคราวแต่บอกไม่ได้หรอกนะว่ามันจะระงับได้กี่นาที ทางที่ดีฉันว่าเราควรรีบเข้าไปข้างในให้เร็วที่สุดก่อนที่โค้ดที่ฉันใส่ลงไปจะถูกแก้” ทั้งสี่คนพยักหน้าให้กันอย่างเข้าใจก่อนจะพาตัวเองไปยังหน้าประตู แต่สำหรับบ้านทั่วไปแน่นอนว่าประตูหมายถึงทางเข้าแต่สำหรับบ้านหลังนี้แล้วพิชญุฒม์ไม่คิดว่ามันคือทางเข้า หัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อสังเกตุเห็นความผิดปกติบริเวณลูกบิดรีบเอื้อมมือไปจับแขนของอดิศรซื้อกำลังจะเอื้อมไปจับลูกบิด “มันง่ายไปอดิศร” น้ำเสียงเคร่งเครียดของพิชญุฒม์เรียกให้คนฟังต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “การที่นายแฮคข้อมูลอินฟาเรดเซ็นเซอร์ได้ไม่ได้หมายความว่ากลไกรักษาความปลอดภัยในบ้านนี้จะถูกเจาะทั้งหมด ฉันไม่เชื่อว่าคนอย่างเอกภพจะรักษาความปลอดภัยแค่ชั้นเดียว” เมื่อไม่มีมัลติมิเตอร์หรือเครื่องมืออื่นที่เป็นเครื่องมือวัดกระแสไฟฟ้าโดยตรงนาฬิกาข้อมือเรือนเก่งเลยถูกถอดออกวางที่พื้นก่อนที่รองเท้าหนังจะกระทืบลงไปเต็มแรงจนถ่านนาฬิกากระจาย พิชญุฒม์เลือกที่จะหยิบหน้าปัดนาฬิกาที่ตอนนี้หยุดเดินแล้วเพราะถ่านหลุด จักการขยับแผงวงจรข้างในสองสามทีเพื่อดัดแปลงส่วนของแผงวงจรเพื่อต่อเข้ากับลูกบิดประตูโดยระวังไม่ให้มือไปโดน ก่อนที่หน้าปัดนาฬิกาจะขยับอีกครั้งเพราะเกิดการไหลเวียนไฟฟ้าจากลูกบิดประตูสู่นาฬิกาเรือนเก่ง พิชญุฒม์เงยหน้ามามองอดิศรเป็นเชิงว่าบอกแล้วว่าเอกภพไม่ใช่คนที่จะคิดอะไรแค่ขั้นเดียว ทางเข้าถูกเปลี่ยนจากหน้าประตูเป็นหลังบ้านแทนตามแผนที่ที่กษิดิสเคยเอามาให้ดูครั้งแรก ถึงแม้ว่าแผนที่จะเข้าประตูหน้าบ้านจะถูกปัดตกไปแต่แผนสองที่เตรียมไว้สำหรับเข้าประตูหลังบ้านก็ถูกดึงขึ้นมาใช้ในทันที ประตูธรรมดาที่ดูไร้กลไกแต่ก็ไม่อาจวางใจได้ในเมื่ออีกฝ่ายคือเอกภพ อย่างน้อยฝ่ายนั้นก็ต้องทำอะไรที่มั่นใจกับตัวเองได้ว่าถ้าหากมีผู้บุกรุกเข้ามาได้ก็ต้องส่งสัญญาณอะไรซักอย่างให้อีกฝ่ายรู้ เผลอๆบางทีการที่พวกเขามาอยู่กันที่ประตูหลังนี้ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเส้นทางที่เอกภพเตรียมไว้ต้อนรับก็เป็นได้ “เซ็นเซอร์แสกนม่านตา” น้ำเสียงเบาหวิวของพิชญุฒม์ดังขึ้นทันทีที่เดินไปสำรวจบริเวณประตู แน่นอนว่าไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าระบบตรงนี้จะเป็นการแสกนม่านตาเพราะว่าเมื่อวานนี้ที่อดิศรพยายามแฮคระบบรักษาความปลอดภัยที่ตรงนี้ยังไร้ซึ่งระบบรักษาความปลอดภัยใดๆทั้งสิ้น “โธ่เว้ย” แม้อยากจะสบฎให้ดังกว่านี้แต่เพราะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะทำแบบนั้นได้เลยทำได้แค่สบถเบาๆอยู่ในลำคอ “แฮคระบบได้ไหมอดิศร” “จะพยายามแล้วกันแต่คิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาซักพัก” แลปท็อปเครื่องเล็กถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับพิชญุฒม์ที่เดินไปถามเวลากับรฐนนท์เพราะนาฬิกาตัวเองพังไปแล้ว ร่วมครึ่งชั่วโมงกว่าที่อดิศรจะเงยหน้าขึ้นมาจากจอแลปท็อปแล้วเดินไปยังเครื่องแสกนม่านตาแล้วกลับมาพิมพ์โค้ดอะไรซักอย่างลงบนแลปท็อปร่วมสิบหน้าทีที่หัวคิ้วของอดิศรแทบจะขมวดเป็นปมก่อนที่มันจะคลายออกพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่จุดขึ้น อดิศรพับแลปท็อปยัดใส่กระเป๋าก่อนจะเดินไปยังเครื่องแสกนม่านตารอเวลาให้เครื่องทำงานก่อนที่เสียงดังติ๊ดจะดังขึ้นพร้อมกับบ้านประตูที่เคลื่อนตัวเปิดออกช้าๆ “เยส!” น้ำเสียงดีใจของอดิศรพาให้บุคคลที่เหลือมีรอยยิ้มแรกของหลายๆวันไปด้วย กษิดิสเป็นคนเดินนำโดยที่มีรฐนนท์กับอดิศรเดิมตามและมีพิชญุฒม์เดินรั้งท้ายตามนิสัยของคนที่ถูกฝึกให้มีสัญชาตญาณระวังภัยมาหลายปี ทั้งสี่เดินมาตามทางที่จำได้แม่นยำในหัวสมองตามที่เขียนไว้ในแผนที่ที่ดูก่อนจะออกมา ประตูลับถูกเปิดออกโดยฝีมือของกษิดิส พิชญุฒม์กรอกตามองสำรวจรอบๆอย่างวิเคราะห์ ถึงแม้ว่าจะเป็นทางลงไปชั้นใต้ดินแต่ก็ไม่ได้ดูลึบลับหรือน่ากลัวอะไร กลับกันด้วยซ้ำ มันดูไฮเทคจนไม่น่าจะเชื่อว่าจะเป็นที่ๆอยู่สำหรับคนธรรมดาคนนึงได้ อันที่จริง... เอกภพก็ไม่ใช่คนธรรมดาๆซะหน่อย ระยะทางจากประตูห้องลับมาจนถึงโซนที่เหมือนห้องทดลองขนาดย่อมไม่ได้ห่างกันเท่าไหร่จึงทำให้ตอนนี้ทั้งสี่คนยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องทดลองขนาดกลางที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาอยู่ใต้ดินกลางเมืองที่ค่อนข้างเงียบสงบอย่างนครนายกได้ อุปกรณ์ทดลองแบบครบครันรวมถึงตู้เก็บอุปกรณ์สารเคมีทุกอย่างดูพร้อมจนไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือห้องใต้ดิน แม้กระทั่งตู้ดูดควัน เท่าที่คาดคะเนผ่านทางสายตาพิชญุฒม์คิดว่างบประมาณสำหรับสร้างห้องทดลองห้องนี้คงไม่ต่ำกว่าล้านบาทแน่ๆ และเขาก็คิดว่าเอกภพคงไม่มีเงินมากขนาดนั้นมาสร้างเพราะไหนจะระบบรักษาความปลอดภัยนั่นอีก เอกภพอาจจะคิดแต่คนที่เนรมิตขึ้นมาคงไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ “มากันเร็วกว่าที่คิดซะอีกนะนึกว่าจะมาช้ากว่านี้ซักสี่หรือห้าชั่วโมง พวกนายมาเวลานี้อาชวินก็ออกมาคุยกับพวกนายไม่ได้หรอก” น้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับการปรากฎกายของเอกภพในชุดกาวน์สีขาวที่สวมแว่นตากรอบดำเรียกให้สายตาของทุกคนหันไปทางเดียวกัน อดิศรทำท่าจะพุ่งเข้าใส่แต่รฐนนท์ที่อยู่ใกล้ที่สุดรั้งเอาไว้ได้ทัน “ไม่ต้องรีบหรอกอดิศรเอ๊ะหรือฉันควรเรียกนายว่าแฮกเกอร์เงาดี?” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากสามารถทำให้เอกภพดูร้ายขึ้นมาอีกเท่าตัว “อีกแค่ห้าชั่วโมงอาชวินก็จะได้ออกมาข้างนอกแล้ว แต่อาจจะออกมาในสภาพไหนฉันก็ไม่รับประกันนะ” ติ๊ด เอกภพยกรีโมทในมือกดเพื่อสั่งการก่อนที่ร่างของอาชวินที่อยู่ในแคปซุลจะปรากฎขึ้นเมื่อผ้าม่านที่ถูกกั้นไว้เปิดออก ผิวที่เคยขาวสว่างคราวนี้กลับดูซีดเซียว จังหวะการขยับขึ้นลงของหน้าอกเป็นสิ่งเดียวที่ยังยืนยันกับทุกคนว่าอาชวินยังคงมีชีวิตอยู่ พิชญุฒม์กำมือแน่นจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ เมื่อมาเห็นอาชวินในสถาพนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดหนักขึ้นกว่าเดิมอีกไม่รู้กี่เท่า เขาอยากจะเดินเข้าไปเปิดแคปซูลนั้นออกแล้วกระชากตัวอาชวินให้กลับมาอยู่ในอ้อมออกแต่ก็ทำไม่ได้ในเมื่อไม่รู้ว่าถ้าผลีผลามทำไปตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับอาชวินบ้าง “อย่าแม้แต่จะคิดเดินเข้าไปพังเครื่องพวกนั้นเด็ดขาด เพราะฉันไม่รับประกันว่าถ้ามีใครไปขัดขวางการเตรียมตัวอย่างแล้วหล่ะก็.... ตัวอย่างของฉันจะยังมีชีวิตอยู่อีกไหม” พิชญุฒม์ได้แต่กำหมัดแน่นเพราะไม่รู้จะทำยังไงกับคนตรงหน้าดี ดวงตาคมไม่ละไปจากแคปซูลที่บรรจุร่างของคนที่ตัวเองอยากปกป้อง แต่ตอนนี้เขากลับปกป้องร่างนั้นไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าอาชวินต้องนอนหลับอยู่ในนั้นมานานแค่ไหน เขาไม่รู้ว่าอาชวินต้องนอนแบบนั้นจะทรมาณแค่ไหน เขารู้แค่ตอนนี้เขาเห็นอาชวินกำลังลำบากแต่เขาทำอะไรไม่ได้เลยมันช่างทรมาณจนรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจเต็มแรงจนมันปวดไปหมด tbc.
บทที่ 15 “ไม่มีใครรู้ว่าอดิศรเป็นใครนอกจากนายและฉัน แน่นอนว่ามันคือผลบวกของเราถ้านายรู้จักใช้นี่” จู่ๆคำพูดของศุภวิชญ์เมื่อเจอกันครั้งล่าสุดวิ่งเข้ามาในหัวของพิชญุฒม์ ทั้งๆที่คิดแทบตายก็คิดไม่ออกว่าจะหาทางช่วยอาชวินอย่างไรดี ในเมื่ออีกไม่ถึงห้าชั่วโมงร่างกายของอาชวินก็จะถูกเตรียมพร้อมแล้วสำหรับการทดลอง แต่ก็เหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เมื่ออยู่ๆคำพูดนั้นของศุภวิชญ์ก็วิ่งปราดเข้ามาในห้วงความคิด พิชญุฒม์มองไปที่หน้าตาอันเคร่งเครียดของอดิศรก่อนจะมองไปยังร่างขาวซีดของอาชวิน เขาไม่รู้ว่าหลังจากเตรียมตัวอย่างเสร็จอาชวินจะมีสภาพเป็นอย่างไร แต่ถ้าให้เดาเอกภพก็คงยังไม่ปลิดลมหายใจอีกคนเร็วๆนี้เป็นแน่ เพราะถ้าอาชวินหยุดหายใจนั่นหมายความว่าอวัยวะบางส่วนที่จำเป็นจะต้องใช้ออกซิเจนก็ต้องหยุดทำงานไปด้วย ไม่มีทางที่ก้านสมองจะทำงานได้ และนั่นอาจทำให้เซลล์ตายและการทดลองอาจจะไม่สำเร็จ อย่างเอกภพต้องคิดอะไรได้มากกว่านั้น เจ้าของดวงตาคู่คมปิดเปลือกตาลงพลางถอนหายใจเบาๆหนึ่งทีก่อนจะลืมตาขึ้นมามองอดีตคู่หูประจำสำนักงานที่ตอนนี้เปลี่ยนไปจนแทบจะเป็นคนละคน “ขอกาแฟซักแก้วซิเอกภพ” ทุกสายตาจับจ้องคนพูดเป็นสายตาเดียวกัน ความงงงวยในสายตาเป็นสิ่งที่แสดงออกมาทั้งจากเอกภพ อดิศร รฐนนท์ รวมไปถึงกษิดิส “เป็นบ้าหรอวะพิชญุฒม์” อดิศรพุ่งตรงมากระชากคอเสื้อคนที่ทำใจเย็นขอกาแฟจากเอกภพด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แม้กระทั่งเอกภพที่อยู่ในฐานะคู่หูของพิชญุฒม์มาหลายปีและเดาความคิดพิชญุฒม์ถูกมาตลอดก็ยังไม่สามารถเดาสิ่งที่ซ่อนความคิดอยู่ในความคิดของอีกคนได้ “เชิญ” เอกภพมองอีกคนด้วยสายตาพิจารณาแต่ก็ยอมผายมือให้อีกคนเดินไปที่โซนที่ถูกแบ่งเอาไว้สำหรับพักผ่อน ถึงโซนพักผ่อนจะเป็นโซนที่แยกจากห้องทดลองแต่เอกภพก็เลือกที่จะออกแบบให้เป็นกระจกใสเพื่อที่ตัวเองจะได้สังเกตุดูการทดลองตลอดเวลาได้ พิชญุฒม์เดินไปเปิดลิ้นชักเพื่อหาแก้วกาแฟใบเล็กพร้อมช้อนก่อนจะหันไปเปิดตู้เพื่อหากระปุกกาแฟสำเร็จรูปเพื่อชงกาแฟก่อนจะกดน้ำร้อนจากกาต้มน้ำที่เสียบปลั๊กค้างไว้ตลอดเวลาคนเบาๆให้ไอระเหยของกลิ่นคาเฟอีนตีขึ้นจมูก พิชญุฒม์ชอบเวลาที่กลิ่นของกาแฟมันลอยมากระทบใบหน้าเพราะมันให้ความรู้สึกผ่อนคลายและทำให้สมองปลอดโปร่งมากกว่าการอัดสารประเภทนิโคตินเหมือนที่คนอื่นชอบทำหลายเท่าตัวนัก ดวงตาคมมองออกไปยังกลุ่มคนที่ยืนนิ่งมองเขาเป็นสายตาเดียวที่ข้างนอกกระจก พิชญุฒม์เบือนสายตาจากคนสี่คนไปเป็นร่างขาวซีดที่นอนนิ่งอยู่ในแคปซูล สายระโยงระยางที่อยู่ตามแอ่งชีพจนของอาชวินไม่ได้ช่วยทำให้พิชญุฒม์รู้สึกวางใจได้ซักเท่าถึงแม้ว่าสัญญาณชีพที่แสดงอยู่บนมอนิเตอร์จะส่งสัญญาณปกติแต่ตัวเลขเวลาที่แสดงอยู่มุมซ้ายของหน้าจอมอนิเตอร์ก็เป็นตัวบ่งบอกว่าอีกไม่เท่าไหร่สภาพอาชวินก็พร้อมแล้วสำหรับการทดลอง พิชญุฒม์หลับตาลงปิดเปลือกตานิ่งก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ เขาไม่มีทางขัดขวางการเตรียมตัวอย่างได้ สิ่งที่ทำได้ก็แค่รอเวลาให้ครบกำหนดเพราะนั่นคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับอาชวิน เกือบสามชั่วโมงแล้วหลังจากที่พิชญุฒม์เดินออกมาจากโซนสำหรับพักผ่อน กลุ่มคนทั้งห้าจ้องมองไปยังหน้าจอดิจิตอลที่แสดงตัวเลขบนหน้าจอว่าเหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงสายระโยงระยางที่อยู่ตามตัวของอาชวินจะถูกปลดออกแล้วความรู้สึกที่หลากหลาย ความรู้สึกวิตกกังวลและเป็นห่วงจากรฐนนท์และกษิดิส ความรู้สึกผิดที่ท้วมท้นจิตใจเพราะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรน้องชายแท้ๆของตัวเองได้จากอดิศร ความรู้สึกกังวลแต่ก็แฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยวของพิชญุฒม์ และความรู้สึกเหมือนเด็กที่กำลังเจอของถูกใจของเอกภพ ติ๊ดติ๊ดติ๊ด เสียงเวลาที่ดังมาจากหน้าปัดดิจิตอลเหมือนเสียงเตือนที่แทบจะดับลมหายใจให้กับหลายๆคน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนสัญญาณเตือนของอะไรบ้างอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บริเวณภายนอกของบ้านหลังน้อย เอกภพเอื้อมมือไปปลอดสายระโยงระยางที่อยู่ตามแอ่งชีพจรของอาชวินช้าๆ ดวงตาคู่เรียวที่อยู่ภายใต้กรอบแว่นเปล่งประกายอย่างคนได้ของถูกใจแต่ในขณะเดียวกันก็เปล่งประกายเด็ดเดี่ยวเมื่อชีพจรของร่างที่กำลังนอนนิ่งอยู่ยังคงเต้นในจังหวะสม่ำเสมอและไม่มีอาการข้างเคียงอย่างที่แอบคิดเผื่อใจไว้ ร่างกายขาวซีดกระตุกเล็กน้อยเมื่อสายที่ต่อกับแอ่งชีพจรสายสุดท้ายถูกปลดออก รอยยิ้มพึงพอใจประดับอยู่บนมุมปากของเจ้าของห้องแลป เอกภพเอื้อมมือไปกดปุ่มสั่งงานที่หน้าจอมอนิเตอร์ ก่อนที่ฝาแคปซูลจะเปิดออกให้ร่างที่กำลังหลับไหลอยู่ได้ออกมาเจอกับอากาศพร้อมๆกับความรู้สึกเย็นเยียบที่จ่อเข้ากับขมับซ้าย “หมดเวลาเล่นสนุกแล้วเอกภพ” น้ำเสียงเยียบเย็นที่มาจากคู่หูบ่งบอกให้เอกภพรู้ว่าสิ่งที่สัมผัสขมับตัวเองอยู่นั่นคงเป็นปืนพกที่พิชญุฒม์จะพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา ท่าทีไม่ทุกร้อนของเอกภพไม่ได้ทำให้พิชญุฒม์รู้สึกอารมณ์เสียเลยซักนิดเพราะไม่ต่างจากที่คาดเท่าไหร่ “ทำแบบนี้ไม่ฉลาดน้อยไปหน่อยหรอสารวัตรพิชญุฒม์” “ฉันยอมรับว่าฉลาดไม่เท่านายเอกภพ” พิชญุฒม์ตอบกลับอีกฝ่ายแต่ปลายกระบอกปืนก็ยังไม่ขัยบไปจากขมับของอีกฝ่าย รอยยิ้มหยันเหมือนคนเหนือกว่าของเอกภพไม่ได้ทำให้พิชญุฒม์รู้สึกอยากลั่นไกที่คาอยู่ที่นิ้วชี้ซักเท่าไหร่ ลึกๆก็ยังรู้สึกผูกพันธ์กับอีกฝ่ายมากเกินกว่าจะปลิดลมหายใจ ความรู้สึกที่หลากหลายซ่อนอยู่ลึกภายหลังดวงตาคู่คมเด็ดเดี่ยว แต่แน่นอนว่าสำหรับเอกภพที่อยู่กับพิชญุฒม์มานาน นานพอจะเดาสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาเด็ดเดี่ยวดุจราชสีห์ของพิชญุฒม์ ไม่ใช่ไม่กลัวตาย คนเราเกิดมาก็ต้องตายแต่สำหรับเอกภพเขารู้ว่าพิชญุฒม์ไม่มีวันลั่นไกเพื่อปลิดลมหายใจเขาเป็นแน่ “พิชญุฒม์ หมู!!” น้ำเสียงร้อนรนที่ดังมาจากอดิศรเรียนให้สายตาคนตวัดไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียงเปล่าไร้ซึ่งฝาครอบแคปซูล เพียงชั่วแวบเดียเท่านั้นที่สายตาของพิชญุฒม์สบเข้ากับร่างที่กระตุกเกร็งบนเตียงก่อนที่หมัดหนักๆจากคนที่ถูกปืนจ่อหัวอยู่จะซัดเข้าเต็มท้องน้อยจนพิชญุฒม์ตัวงอ พอจะเงยหน้ามาเพื่อปล่อยหมัดใส่ก็ไม่ทันหมัดที่สองของเอกภพที่ซัดเข้าเต็มปลายคางจนรู้สึกถึงรสความคลุ้งในปาก ความชุลมุนเกิดขึ้นทันทีที่พิชญุฒม์ล้มลงไปกับพื้นโดยมีเท้าของเอกภพเหยียบอยู่บนหน้าท้องเต็มแรง ความจุกแล่นปราดเข้ามาจนหมดแรงไปชั่วขณะ ภาพที่ปรากฎขึ้นข้างหลังเอกภพคืออาชวินที่ร่างกายกำลังกระตุกหนักๆโดยมีอดิศรพยายามจับแขนจับแขนอีกคนไว้แล้วตะโกนเรียนชื่ออาชวินเสียงดัง ใบหน้าแสดงออกถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด บรรยากาศตึงเครียดแผ่เข้ามาปกคลุมจนหายใจไม่ออก แม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นรวมเร็วเพียงเสี้ยววินาทีแต่กระชากความรู้สึกพิชญุฒม์ได้อย่างรุนแรง “หมดเวลาสนุกแล้วหล่ะสารวัตร” เอกภพปรายตาไปมองร่างของอาชวินที่ตอนนี้สงบลงแล้วมีอดิศรประคองอยู่ก่อนจะหันกลับมามองพิชญุฒม์ด้วยสายตาว่างเปล่า พร้อมกับหันปลายกระบอกปืนสีดำมะเมื่อมที่ครั้งนึงมันเคยอยู่ในมือของพิชญุฒม์มายังเจ้าของของมัน “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างและเสียใจด้วยที่หลังจากนี้เราคงไม่ได้เจอกันอีก” ปัง! หยดเลือดสีแดงกระเด็นใส่ใบหน้าคมของพิชญุฒม์พร้อมกับเสียงปืนพกที่ตกลงมาเฉียดใบหน้าเพียงไม่กี่เซ็นต์ เอกภพยกมือเปื้อนเลือดขึ้นมากุมแน่นด้วยความเจ็บก่อนจะตวัดสายตามองไปยังที่มาของลูกกระสุนที่เจาะเข้าที่หลังมือเขาจนแม่นเหมือนจับวางก่อนที่ดวงตาคู่เรียวจะเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ศุภวิชญ์ที่ยืนนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับเล็งปืนมาที่เขาอย่างไม่ไหวติง หลังจากที่เขาปลดตัวเองจากการเป็นคู่หูของพิชญุฒม์ก็พอจะรู้มาบ้างว่าได้ศุภวิชญ์มาเป็นคู่หูคนใหม่แต่เพราะความไม่ค่อยลงรอยและอีโก้ของแต่ละคงทำให้เขาวางใจเกินไปว่าทั้งคู่ไม่น่าจะทำงานด้วยกันได้แต่เหมือนว่าเขาจะคาดเด็กคนนี้ผิดไปหน่อย พิชญุฒม์ขยับตัวลุกขึ้นหยิบปืนขึ้นกระชับมือก่อนที่ศุภวิชญ์จะเดินย่างสามขุมเข้ามาแต่ก็ยังไม่ลดระดับปืนในมือลง “นายไปดูอาชวินเถอะ ทางนี้ฉันจัดการเอง” ศุภวิชญ์เอ่ยกับพิชญุฒม์เสียงเรียบแต่สายตาก็ยังไม่ละไปจากเอกภพ พิชญุฒม์พยักหน้าให้อีกฝ่ายเบาๆเพื่อตอบรับแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้มองมาก็ตามก่อนจะลุกไปหาคนที่กำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เสื้อโค้ทที่ใส่คลุมมาของพิชญุฒม์ถูกถอดออกเพื่อคลุมร่างเปลือยเปล่าขาวซีดของอาชวิน พิชญุฒม์ยกมือขึ้นตรวจชีพจรของอาชวินก็พบว่ามันเต้นเร็วกว่าปกติที่ควรจะเป็น คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิดเพราะไม่รู้ว่าร่างกายนี้โดนสารอะไรเข้าไปบ้าง เสียงเรียกชื่ออาชวินอย่างร้อนรนพร้อมกับการพยายามเข้าตัวให้อีกคนรู้สึกตัวของอดิศรทำให้พิชญุฒม์ได้สติออกแรงช้อนร่างที่อ่อนปวกเปียกของอีกคนแนบอกก่อนจะหันไปสั่งสองคนที่ยังยืนละลาละลังอยู่ “รฐนนท์รบกวนไปเตรียมรถกับคุณกษิดิสด่วน หมูต้องไปโรงพยาบาลทันทีส่วนนาย อดิศรทำจิตใจให้สงบเพราะนายคือความหวังเดียวที่จะทำให้อาชวินกลับมามีชีวิตปกติ” พูดจบก็อุ้มอาชวินเดินออกไปทันทีปล่อยให้ศุภวิชญ์และทีมงานอีกสองสามคนเก็บกวาดพื้นที่ก่อนที่อดิศรจะวิ่งตามมา แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนต้องการจะสื่อแต่สำหรับตอนนี้ชีวิตของอาชวินสำคัญเกินกว่าที่เขาจะมามัวห่วงคำตอบ รถกะบะจอดสนิทที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดซึ่งเป็นแค่โรงพยาบาลเล็กๆแต่สำหรับตอนนี้อย่างน้อยการที่อาชวินถึงมือหมอแล้วก็ถือว่าน่าจะพอรักษาสารอะไรก็ตามที่อีกฝ่ายได้รับการกระตุ้นมาได้บ้าง ประตูห้องฉุกเฉินปิดกัันความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในห้อง แน่นอนว่าบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าไปรบกวนการปฏิบัติงานของแพทย์เวร พิชญุฒม์ยืนขมวดคิ้วแน่นอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินข้างๆกันเป็นอดิศรที่มีสีหน้ากังวลไม่แพ้กัน ส่วนรฐนนท์กับกษิดิสยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง พิชญุฒม์ถอนหายใจก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาข้างนอกไปยังตู้โทรศัพท์สาธารณะเครื่องเก่าของโรงพยาบาลก่อนจะพยายามควานหาเศษเหรียญที่ปกติจะพกติดกระเป๋ากางเกงไว้เพื่อฉุกเฉินหยอดลงไปในช่องใส่เหรียญแล้งกดเบอร์โทรที่จำได้ขึ้นใจ “สวัสดีครับ” รอเพียงไม่นานปลายสายก็ตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “กายหรอ ฉันพิชญุฒม์นะ บอกให้ทางแลปเตรียมหมอไว้ด้วยแล้วนายก็เตรียมตัวให้พร้อมถ้าอยากได้อาชวินกลับไปร่วมงานด้วยนี่คือโอกาสเดียวของนาย” สัญญาณตัดไปแล้วแต่พิชญุฒม์ก็ยังไม่ได้เอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูราวกับว่าอีกฝ่ายยังสามารถสื่อสารกับตัวเองได้ พิชญุฒม์ทิ้งตัวเองไว้ในห้วงแห่งความคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเก็บโหรศพท์เข้าที่แล้วทิ้งตัวลงนั่งพิงกับผนังเย็นๆ เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกทำให้บริเวณนี้ยิ่งร้างผู้คน ดวงตาคู่คมปิดลงอย่างใช้ความคิด หนทางเดียวที่จะทำให้อาชวินกลับมาเป็นปกติได้ก็คืออดิศร ด้วยเพราะอดิศรคือคนเดียวที่มีดีเอ็นเอพิเศษเหมือนกับอาชวิน ข้อนี้คงมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่รู้ ไม่ซิอันที่จริงมีศุภวิชญ์ด้วยอีกคน แต่เพราะเอกภพไม่รู้ทำให้อีกฝ่ายไม่ได้คิดถึงจุดบอดในตรงนี้ของแผนการที่สร้างขึ้นมา เขาเลยได้ใช้จุดบอดตรงนี้เล่นงานได้ แม้จะเสี่ยงเพราะเดิมพันธ์คือชีวิตของอาชวินแต่มันก็คุ้มที่จะเสี่ยงเมื่อรู้ว่าอะไรคือผลที่จะตามมา นาฬิกาบนผนังของโรงพยาบาลบ่งบอกว่าอีกไม่ถึงสองชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้วนั่นหมายความว่าอาชวินควรจะต้องย้ายไปยังห้องที่เขาสั่งกายให้เตรียมทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ไว้ พิชญุฒม์สะบัดหัวไล่ความรู้สึกต่างๆออกจากหัวก่อนจะลุกกลับไปยังห้องฉุกเฉินเพื่อแจ้งเรื่องการย้ายผู้ป่วยกับทีมแพทย์ที่ป่านนี้อาจจะกำลังดูอาการอาชวินอยู่ ห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาลประจำสำนักงานถูกจัดเตรียมขึ้นอย่าเร่งด่วนแต่อุปกรณ์ที่อยู่ในห้องกลับครบครัน ร่างขาวซีดของอาชวินที่ตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยชุดผู้ป่วยถูกเคลื่อนย้ายให้มานอนอยู่บนเตียงสีขาว ทีมแพทย์สี่ห้าคนต่อเครื่องมืออันใหญ่เพื่อตรวจวัดชีพจรเข้ากับร่างกายขาวๆของอาชวินกันเป็นพัลวันเมื่อได้อ่านรายงานจากโรงพยาบาลก่อนหน้า โอเวอร์โดส คือสิ่งที่ปรากฎอยู่ในรายงาน ร่างกายของอาชวินได้รับสารบางอย่างมากเกินไปโชคดีที่ถึงมือหมอเร็ว ถึงแม้จะขับออกไม่หมดแต่ก็ถือว่ารักษาอาการไม่ให้ทรุดลงไปได้ แม้ภายในห้องผู้ป่วยจะวุ่นวายเพราะต้องทำงานแข่งกับการแผ่กระจายของสารเคมีบางตัวที่เอกภพนำเข้าไปสู่ร่างกายของอาชวิน แต่คนที่กำลังนั่งรอคอยอยู่ภายนอกกลับนิ่งเงียบและไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ทิ้งไว้เพียงความกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากแต่ละบุคคล พิชญุฒม์ได้แต่นั่งภาวนาให้คนที่กำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงกลับมามีรอยยิ้มเร็วๆถึงจะเป็นแค่รอยยิ้มแห้งแล้งมากแค่ไหนก็ตาม
รวมสิบชั่วโมงกว่าประตูห้องจะเปิดออก แพทย์ที่ทำการรักษาเดินออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะยกชาร์ตรายงานขึ้นก่อนจะพยักหน้าให้บุคคลที่ยืนรออยู่ด้านนอก “คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ แต่ผมขอคุยกับการส่วนตัวกับคุณพิชญุฒม์นิดหน่อย” น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงความสุขุมของคนที่ใหญ่ที่สุดในการรักษาทำให้พิชญุฒม์ได้แต่พยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งขรึม “รบกวนห้ามเยี่ยมจนกว่าผมจะคุยกับคุณพิชญุฒม์เสร็จเรียบร้อยนะครับ” พูดจบก็เดินถือชาร์ตรายงานผลการรักษามุ่งตรงไปยังห้องพักส่วนตัวของตัวเองโดยมีพิชญุฒม์เดินตามไปโดยไม่พูดอะไรเพราะรู้ว่าตรงนี้ไม่เหมาะที่จะเอ่ยอะไรออกมาก “มีอะไรก็ว่ามาเถอะหมอ” คนเป็นตำรวจเอ่ยขึ้นทันทีที่แพทย์เจ้าของไข้ถอดเสื้อกาวน์สีขาวออกยังไม่ทันจะเสร็จเรียบร้อยดี คนเป็นเจ้าของห้องไม่ได้สนใจคำพูดนั้นแต่ยังบรรจงถอดเสื้อกาวน์สีขาวแขวนไว้บนที่เก็บในห้องทำงานส่วนตัวของตัวเองก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน “เหมือนจะเกิดความผิดปกติกับร่างกายของคนไข้ ฉันลองให้ยาไปตัวนึงแล้วร่างกายต่อต้านตอนนี้กำลังให้ทางห้องแลปตรวจสอบดูอยู่ว่าเพราะอะไร ถ้าจากการคาดเดาเบื้องต้นคาดว่าน่าจะมาจากสารซักตัวนึงที่คนไข้รับเข้ามาแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรม ซึ่งถ้าร่างกายต่อต้านยาทุกตัวที่ฉันให้นั่นก็หมายความว่าคงจะหมดหนทางแล้วหล่ะ” นายแพทย์เจ้าของไข้ที่ดูทั้งนิ่งและน่าเกรงขามในเวลาปกติบัดนี้กลับยิ่งดูน่าเกรงขามยิ่งไปกว่าเดิมเมื่อเรื่องที่ต้องพูดถึงคือปัญหาขอคนไข้ที่ยากจะแก้ไข พิชญุฒม์ขมวดคิ้วมุ่นตอนนี้เขายังทำอะไรมากไม่ได้สิ่งที่ต้องรอก็คือผลแลปที่นายแพทย์เจ้าของไข้ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยมัธยมปลายเป็นคนดูแล เมื่อถึงตอนนั้นถ้าอะไรมันยังไม่สายจนเกินไปเขาก็ยังคงเหลือแสงสว่างดวงสุดท้ายเพื่อยื้อชีวิตของอาชวินให้รอดพ้นจากมือมัจจุราช ก๊อกก๊อกก๊อก ความเงียบครอบคลุมห้องพักแพทย์อยู่พักใหญ่จนกระทั่งผู้มาใหม่เคาะประตูห้องพักขึ้นมา เจ้าของห้องเอ่ยอนุญาตให้คนด้านนอกเข้ามาก่อนจะปรากฎร่างของเจ้าหน้าที่ห้องแลปที่เป็นผู้ช่วยแพทย์เดินมาพร้อมกับผลการทดลองที่เขาสั่งให้เอาไปวิจัย แพทย์เจ้าของไข้คว้าแว่นสายตามาใส่ก่อนที่ดวงตาคู่โตภายใต้กรอบแว่นหนากวาดตามองตัวหนังสืออย่างรวดเร็วเพื่อจับใจความจะเงยมาสบตาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยใบหน้าเคร่งขรึมผิดปกติ “ผลแลปว่าไงมั่งหมอ” “รหัสพันธุกรรมถูกเปลี่ยน” ดวงตาคู่คมของพิชญุฒม์มีแววไหววูบทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “เรื่องแบบนี้ฉันไม่รู้หรอกว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่การที่รหัสพันธุกรรมของคนไข้ถูกเปลี่ยนขนาดนี้มันไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวคนไข้เองแน่ๆ” “แล้วมันจะแก้ไขอะไรได้มั่งหรือเปล่า” คนเป็นหมอส่ายหัวช้าๆเป็นคำตอบก่อนจะเอ่ยขึ้น “ผลแลปบอกว่าดีเอ็นเอบางส่วนของคนไข้ถูกเปลี่ยนแต่ก็มีบางส่วนที่ยังไม่ถูกสารตัวนั้นเข้าไปทำปฏิกิริยา วิธีที่จะทำให้ดีเอ็นเอกลับมาเป็นเหมือนเดิมมันก็มีแต่ในกรณีนี้มันคงเกิดขึ้นไม่ได้เพราะเท่าที่ได้ยินมาคนไข้ไม่มีญาติที่ไหนไม่ใช่หรอ โอกาสที่จะให้คนที่ใช้ดีเอ็นเอตัวเดียวกันมาปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดมันก็ไม่มีไม่ใช่หรอ แล้วอีกอย่างฉันไม่คิดว่าจะมีคนอื่นที่จะบริจาคแล้วลักษณะทางพันธุกรรมจะเข้ากับคนไข้ได้หรอกในกรณีนี้” “แล้วถ้ามี นายจะช่วยหมูได้ใช่ไหม?” แนวคิ้วเข้มของแพทย์หนุ่มเลิกขึ้นเป็นเชิงสงสัยในคำพูดของเพื่อน ก็ในเมื่อเขาบอกแล้วว่าโอกาสที่ลักษณะทางพันธุกรรมของคนไข้จะเข้ากับคนที่มาบริจาคที่ไม่ใช่พี่น้องมันไม่น่าจะมีโอกาสเข้ากันได้อีกฝ่ายก็ยังไม่เชื่อ แต่แล้วดวงตาคู่โตภายใต้กรอบแว่นก็ต้องเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากเพื่อนตัวเอง “หมูมีพี่ชายฝาแฝดอีกหนึ่งคน ช่วยรักษาเขาให้กลับมาเป็นหมูของฉันเหมือนเดิมทีนะหมอ” เข้าสู่วันที่สามแล้วหลังจากที่อาชวินได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดร่างกายขาวซีดยังคงนอนซีดเซียวอยู่ในห้องปลอดเชื้อ นับรวมๆเวลาที่อาชวินนอนอยู่ที่โรงพยาบาลก็ร่วมครึ่งเดือนแล้วพิชญุฒม์แทบไม่มีกระจิตกระใจจะไปทำงาน เขาเลือกที่จะไม่ลาแต่เลือกที่จะไปทำงานในตอนกลางวันและมานั่งเฝ้าอาชวินในยามกลางคืนแทนถึงแม้ว่าจะนั่งเฝ้าได้เพียงหน้าห้องปลอดเชื้อ กว่าอาชวินจะได้ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจริงๆก็ปาเข้าไปสัปดาห์ที่สองเพราะหมอต้องรอให้ร่างกายมีความพร้อมในระดับหนึ่งก่อน หลังจากปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเสร็จอดิศรก็แทบไม่ได้มาให้เขาเห็นหน้า อันที่จริงเขารู้มาว่าอดิศรนอนพักอยู่อีกโซนหนึ่งเพราะร่างกายเกิดทรุดเนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอและภาวะเครียดสะสมเขาเลยให้กายเป็นคนไปคอยดูแลเพราะอย่างน้อยตอนนี้กายก็ถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เขาวางใจได้ พิชญุฒม์นึกแปลกใจตัวเองที่ไม่ล้มหมอนนอนเสื่อแม้ตัวเองจะแทบไม่ได้นอนเลยในแต่ละวัน ร่างสูงได้แต่มองร่างของอาชวินผ่านกระจกเพราะตอนนี้อีกฝ่ายร่างกายอ่อนแอเกินกว่าที่จะต้องออกมาจากห้องปลอดเชื้อ สายน้ำเกลือที่เจาะตรงกับหลังมือยิ่งทำให้พิชญุฒม์รู้สึกเจ็บแปลบๆในใจ และเป็นอีกครั้งที่ฝืนร่างกายต่อไม่ไหวดวงตาคู่คมปิดลงพร้อมกับร่างกายที่ทิ้งน้ำหนักตัวลงกับผนังโรงพยาบาลที่พิงอยู่ พิชญุฒม์รู้สึกตัวในตอนเช้าตรู่ของอีกวันตอนที่แพทย์เจ้าของไข้เดินมาตรวจอาการของอาชวินที่นอนนิ่งอยู่ในห้อง ก่อนจะกลับแพทย์หนุ่มยังหันมาบอกให้หายห่วงว่าอาการทรงตัวขึ้นอีกซักอาทิตย์น่าจะออกจากห้องปลอดเชื้อได้ พิชญุฒม์ได้แต่พนักหน้ารับ สำหรับเขาแม้คำพูดของหมอจะทำให้วางใจได้แต่ก็ไม่อยากจะวางใจซะทีเดียว ตราบใดที่ไม่เห็นกับตาว่าอาชวินตื่นมาอย่างปลอดภัยเขาก็ไม่อยากจะวางใจอะไรทั้งนั้น ร่วมอาทิตย์หลังจากที่แพทย์เจ้าของไข้บอก อาชวินก็ได้ย้ายออกจากห้องปลอดเชื้อเพราะร่างกายฟื้นตัวได้รวดเร็วจนคุณหมอวางใจแต่ก็ยังเฝ้าดูอาการเป็นระยะ พิชญุฒม์ย้ายตัวเองและงานบางส่วนมานั่งทำในห้องพิเศษที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับอาชวิน อดิศรกับกายแวะมาหาหลังจากที่อาชวินย้ายมาห้องนี้ได้ซักสองชั่วโมงแต่เพียงไม่นานก็กลับเพราะอดิศรบอกว่าจะขอไปจัดการกับอะไรบางอย่างไม่ให้มีอะไรต้องค้างคาอีก ส่วนกายต้องกลับไปทำหน้าที่ตัวเองที่ห้องทดลองในสำนักงาน เพราะอาชวินนอนนิ่งมาเป็นเวลานานกล้ามเนื้อบางส่วนอาจใช้งานได้ไม่ปกติถ้าไม่ได้รับการทำกายภาพบำบัด พิชญุฒม์ละมือจากงานที่กำลังทำค้างอยู่มาบีบๆนวดๆกล้ามเนื้อให้คนที่ยังนอนหลับอยู่พร้อมทำกายภาพเบื้องต้นให้ตามที่ได้รับคำแนะนำมาจากคนเป็นเพื่อน สองมือกอบกุมมือนุ่มนิ่มขาวซีดที่ตอนนี้เริ่มมีเลือดฝาดหลวมๆเพื่อส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดให้อีกฝ่ายรับรู้ ถึงจะไม่รู้ว่าตอนนี้อาชวินจะรับรู้ไหมแต่เขาก็เต็มใจที่จะส่งไปถึงแม้จะไปไม่ถึงแต่อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้ส่งความรู้สึกนี้ไปยังอีกคนก็พอ ความรู้สึกยุกยักตรงฝ่ามือเรียกให้สายตาคู่คมหันกลับมามอง ปลายนิ้วของคนที่นอนนิ่งมาเป็นเวลานานกระตุกเบาๆ เพียงเท่านี้พิชญุฒม์ก็ลนลานจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเมื่อเปลือกบางที่ปกปิดดวงตากลมๆนั้นเปิดออกความรู้สึกลิงโลดยิ่งพู่งเข้ามากระแทกจิตใจ พิชญุฒม์รีบเอื้อมมือไปกดปุ่มส่งสัญญาณให้แพทย์และพยาบาลเข้ามาดูอาการคนที่เพิ่งจะรู้สึกตัวหลังจากนอนนิ่งๆมาเกือบเดือน “คนไข้ยังขยับตัวไม่ค่อยได้นะ กล้ามเนื้ออ่อนแรงและร่างกายยังไม่เอื้อให้ขยับมากเท่าไหร่ อาจจะลำบากหน่อยนะช่วงนี้แล้วก็อย่าลืมทำกายภาพตามที่ฉันสั่งหล่ะถ้าเป็นไปได้ก็เปิดม่านให้คนไข้เจอแดดข้างนอกบ้างก็ดี” แพทย์เจ้าของไข้เอ่ยเบาๆก่อนจะหันหลังเดินออกไปพร้อมพยาบาลที่เดินตามมาด้วยอีกสองคนทิ้งให้คนป่วยและคนดูแลอยู่กันตามลำพัง “ขอบคุณมากนะหมูที่ฟื้นขึ้นมา” พิชญุฒม์กอบกุมมือนุ่มนิ่มเบาๆราวกับอีกฝ่ายเป็นแก้วกระเบื้องที่พร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ “คุณตะ..พี่พีท” “อย่าเพิ่งฝืนตัวเองอาชวิน นายหลับไปตั้งนานค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะ” พิชญุฒม์ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไล้ที่หลังมือของอีกฝ่ายเบาๆเพื่อเป็นการปลอบประโลมไม่ให้อีกคนรู้สึกแย่ สำหรับคนที่เพิ่งฟื้นตัวกำลังใจย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดข้อนี้เขารู้ดี พิชญุฒม์ปล่อยให้อาชวินนอนนิ่งๆส่วนตัวเองก็ทำกายภาพให้อีกฝ่ายเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง สำหรับพิชญุฒม์การกระทำแบบนี้ไม่ได้ทำให้ตัวเองรู้สึกลำบากอะไรแต่คนที่ลำบากใจกลับเป็นอาชวินที่นอนหน้าร้อนผ่าวอยู่บนเตียง แม้ร่างกายที่ขาวซีดจะเริ่มมีเลือดฝาดแต่เหมือนว่าเลือดจะพร้อมใจกันไปล่อเลี้ยงที่ใบหน้ามากกว่าปกติ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างช่วงที่ตัวเองกำลังหลับไหลเหมือนเจ้าชายนิทรา แต่พิชญุฒม์คนนี้กับพิชญุฒม์คนที่บังคับให้เขามาอยู่ด้วยแทบจะกลายเป็นคนละคน พิชญุฒม์คนนี้ทำให้เขานึกถึงช่วงระยะเวลาสั้นๆที่กระบี่ ความอบอุ่นที่แฝงออกมาในทุกการกระทำ การกระทำที่ทำให้เขาแปลกใจตลอดเวลา รวมไปถึงทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นได้อย่างที่เคยมีคนทำได้ กว่าอาชวินจะออกจากโรงพยาบาลได้ก็อีกเกือบหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น คนตัวขาวนั่งอยู่บนวีลแชร์โดยมีพิชญุฒม์เป็นคนเข็นและคอยดูแลทุกอย่างทั้งประคองขึ้นลงรถซึ่งความจริงอาชวินคิดว่าถ้าพิชญุฒม์ทำได้พิชญุฒม์ก็คงจะอุ้มเขาทั้งขึ้นและลงจากรถเป็นแน่ และสิ่งที่แปลกใจเป็นอันดับต่อมาหลังจากที่พิชญุฒม์พาเขาขับรถออกจากโรงพยาบาลมาแล้วเพราะพิชญุฒม์ไม่ได้พาเขาตรงกลับบ้าน แต่เลือกที่จะพามายังสวนสาธารณะที่เป็นจุดเริ่มของทุกๆอย่าง ลมเย็นๆในช่วงเวลาโพล้เพล้พัดเข้าหน้าทำให้ต้องยกมือขึ้นมาลูบแขนเบาๆแต่เพียงไม่นานเสื้อโค้ทเนื้อดีก็คลุมลงบนช่วงไหล่ พิชญุฒม์เดิมมาหยุดอยู่ตรงหน้าอีกคนก่อนจะทรุดตัวลงนั่งชันเข่าเพื่อให้ระดับสายตาเสมอกับคนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น มือเย็นๆของอีกคนเอื้อมมาลูบกลุ่มผมนุ่มขออาชวินก่อนจะคว้าเอามือขาวไปกุมไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง “จำที่นี่ไดไหม ตรงนั้น” พิชญุฒม์ชี้มือไปยังม้านั่งตัวที่เขาเคยถูกอีกฝ่ายจับได้ก่อนที่ตวงตาคู่คมจะสบเข้ากับดวงตากลมโตของอีกฝ่ายอย่างแฝงความใน ความรู้สึกภายในปั่นป่วนเพียงแค่ได้สบตา อาชวินไม่รู้ว่าพิชญุฒม์ต้องการที่จะสื่ออะไรออกมา แต่สัญชาตญาณกลับร้องเตือนให้หัวใจตัวเองเต้นเป็นจังหวะไม่ปกติ “ที่ตรงนี้เคยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราสองคนมาอยู่ตรงนี้จะเป็นอะไรไหมถ้าฉันจะขอให้เรื่องนั้นมันจบลงตรงนี้” ความรู้สึกวูบโหวงผุดขึ้นมาทันทีที่ได้ฟังน้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ย อาชวินรู้สึกเหมือนใครมาปิดสวิตซ์ตัวเองชั่วครู่ก่อนรอยยิ้มจางๆจะถูกปั้นแต่งขึ้นมาประดับบนใบหน้า “ฟังให้จบก่อนซิ” พิชญุฒม์อมยิ้มจนแก้มตุ่ยระคนเอ็นดูก่อนจะเอื้อมมือไปยีผมอีกคนเบาๆ “ที่หมายถึงให้เรื่องนั้นมันจบตรงนี้เพราะบางทีนายอาจจะมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าการเป็นนักโทษ ถ้านายจบการเป็นนักโทษของฉันลงตรงนี้แล้วมันจะเป็นไปได้ไหมที่นายจะมาเป็นคู่หูคนใหม่ของฉัน” ความหมายที่แฝงมากับประโยคเรียกให้จังหวะการเต้นของหัวใจแรงขึ้นมาอีกครั้งอย่างบังคับไม่ได้ “บางทีคู่หูที่ฉันต้องการคราวนี้คงไม่ใช่แค่คู่หูในเรื่องงานนะนายจะรับพิจารณาคำขอของฉันได้หรือเปล่า ช่วยมาเป็นคู่หูของฉันทั้งเรื่องงานและส่วนตัวจะได้ไหมหมู” รอยยิ้มอย่างคนใจดีทำเอาอาชวินใจกระตุก คนตัวขาวเม้มปากอย่างใช้ความคิด เพราะเกิดมาไม่ได้มีครอบครัวอย่างสมบูณณ์หลายครั้งที่ความอบอุ่นและใจดีจากคนรอบข้างทำให้ตัวเองต้องผิดหวัง ไม่ใช่ไม่อยากเชื่อใจแต่เพราะครั้งหนึ่งเคยเชื่อใจในหลายๆคนแต่สุดท้ายก็โดนหลอกใช้โดยเอาความรู้สึกดีๆมาเป็นเครื่องมือจนสุดท้ายกลายมาเป็นเด็กที่แทบจะสิ้นไร้เพื่อน คนที่สนิทด้วยที่สุดก็คือคนที่มีสายเลือดเดียวกันอย่างอดิศรยิ่งทำให้อาชวินไม่ค่อยจะวางใจใครง่ายๆ ดวงตากลมโตปิดลงก่อนจะเปิดขึ้นอย่างคนที่ตัดสินใจได้ ใบหน้าขาวที่เจือสีจางๆผินหน้าออกจนทำให้คนที่รอคำตอบอยู่หน้าเสียไปครู่หนึ่งก่อนจะฉีกยิ้มกว้างออกมาจนเห็นเขี้ยวเพราะมือขาวอีกข้างที่พิชญุฒม์ไม่ได้กอบกุมยกขึ้นมาทาบทับที่หลังมือเป็นเหมือนคำตอบตกลงของคำขอนั้น พิชญุฒม์โถมตัวกอดคนที่นั่งนิ่งอยู่บนวีลแชร์อย่างไม่แรงมากนักเพราะกลัวกระทบกระเทือนอีกฝ่าย รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากอิ่มของอาชวิน สวนสาธารณะริมแม่น้ำในช่วงพลบค่ำที่เริ่มมีแสงไฟยิ่งเพิ่มอนุภาคความสุขให้ตลบอบอวลขึ้นไปอีกเมื่อคนทั้งสองคนส่งยิ้มให้กันอย่างเต็มแก้ม จุดเริ่มต้นที่ไม่ได้สวยงามไม่ได้หมายความว่าจะมีจุดจบที่แย่ๆไปซะทุกครั้งอยู่ที่ว่าเราเลือกจะให้มันจบแบบไหนต่างหากซึ่งหลังจากนี้พิชญุฒม์คิดว่าเขาคงจะมีธุระไปที่ห้องทดลองในสำนักงานบ่อยๆเป็นแน่ เพราะ ‘คู่หู’ คนใหม่ของเขาคงต้องทำงานอยู่ที่นั่น END
:pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณค่ะ
:pig4:ค่าา
ขอบคุณค่ะ สนุก น่าติดตาม เป็นเนื้อหาที่แตกต่าง
:katai2-1: o13 :katai2-1: :L2: :3123: :L1: :pig4: :L1: :3123: :L2:
โอย อ่านรวดเดียว สนุกค่ะ เปิดเรื่องมานึกว่าจะเล่นในคุกยาวๆ อ้าวไม่ใช่ พอรู้ว่าเก่งวิทย์ก็นึกว่าจะแบบให้ช่วยสืบนี่นั่นไรงี้ เอ้า ที่ไหนได้มาเป็นงานin vivo เลย เหมือนโดนหักมุมไป3ตลบ 555 ทำเอาปรับอารมณ์แทบไม่ทัน แอบรู้สึกว่ามีหลายปมคาใจ เพราะตื่นมาก็จบเลย ว่าแต่มีตอนพิเศษมั้ยคะ อยากอ่านตอนชีวิตที่ลงตัวกว่านี้บ้าง ความรู้สึกของหมู หรือแม้แต่เบื้องหลังตัวละครอื่นๆ เป็นเรื่องแรกที่ทำให้เราอยากรู้ความคิดตัวละครอื่นมากกว่านี้
โอ้ว เรื่องราวน่าติดตามค่ะ ท่าทางน่าสนุก มีบู้แหลกแน่ๆ :katai2-1:
อ่านมาจนถึงตอนนี้ก็ได้แต่คิดในใจว่า อิหยังวา? งงแท่น้อ 555 แบบมองไปทางไหนก็มีเรื่องราวที่ไม่กระจ่างซ่อนอยู่ เหมือนทุกตัวละครที่เห็นตอนนี้ต่างมีเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่ อ้อแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าแผนกนี้เนี่ยเอาง่ายๆคือเป็นนักสืบใช่ปะ :z3:
แง้งง :monkeysad: เรื่องเกี่ยวกับน้องหมาทำเอาอ่อนไหวได้ตลอด น้ำตาซึมนิดๆ สงสาร ฮือ ขออย่าให้มีฉากน้องโดนฆ่าเลยนะ พลีส หัวใจเรารับไม่ค่อยไหวกับเรื่องนี้
กิ้วๆ มีจุ๊บกันด้วยอ่ะ อย่าหลอกน้องนะคุณสารวัตรสงสารน้อง ส่วนทะเลอยู่นี่ดีแล้ว ไม่อันตรายด้วย ไว้หมูมาเยี่ยมก็ได้ (ยังกับพูดอยู่กับคน ㅋㅋㅋㅋ)
o13
:z3: สงสาร :sad2:
สนุกมาก ขอบคุณมากค่ะ
สนุกมากค่ะ ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจริงจัง แต่ไม่รู้ทำไมถึง "หวานละมุน" อ่านไปก็เหมือนค่อย ๆ นั่งต่อเลโก้ไป สะเปะสะปะ มึน ๆ งง ๆ แต่พอจบบรรทัดสุดท้าย ... เฮ้ยยยย ออกมาสวยงามอะ! ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องดี ๆ เรื่องนี้ พลิกความเป็นวาย ... ได้ ว๊ายยยยย วายเนียนมาก ๆ
:กอด1:
สนุกมากนะครับ เรื่องแนวนี้ไม่เคยอ่านด้วย แต่คนเขียนเขียนได้น่าติดตาม อยากให้มีภาคที่ 2 อ่ะ หรือตอนพิเศษก็ได้ อยากรู้เรื่องราวที่เหมือนกับได้เริ่มต้นใหม่ของสองคนนี้ ในอีกรูปแบบ คิดถึงน้องหมาทะเลด้วยอ่ะ งื้อๆๆๆ
เอ่อ แต่มันมีปมคาใจอยู่นะ ทั้งเรื่องที่หมูติดคุก คือทำไมโดนใส่ร้าย หมูไปรู้อะไร บลาๆๆ เรื่องคนนั้นอีก ที่หมูโดนบีบมือ ดูท่าทางจะกลัวมาก บลาๆ
สนุกมากๆคะ
อหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหห จบแล้วววว สาบานเลยว่าตอนแรกๆอ่านข้ามๆมาก บางส่วนก็อ่านแล้วก็แบบ มันคือไรหว่า เอ๊ะ อะไรอ่ะ เพราะเป็นมนุษย์สายวิทย์ที่ทิ้งวิทย์ไปนานแล้ว.... พออ่านต่อไปเรื่อยๆ ปมที่มีในตอนแรกมันเริ่มมัดทั้งตัวละคร และตัวเรา...ที่จะต้องอ่านต่อไปจนกว่าปมจะกระจ่าง เป็นนิยายที่ไม่ต้องมีเอ็นซีและมีฉากหวานน้อยมากกกกกกก แต่กลับอ่านแล้วรู้สึกว่า เออ นี่แหละแม่งคือเรื่องที่สมจริง ไม่ต้องหวานหรือต้องแสดงออกตลอดเวลา แต่ก็รับรู้ได้ถึง ความเปลี่ยนแปลงในตอนที่เขาเริ่มมีความรู้สึกดีๆให้กัน สุดท้ายนี้ขอบคุณคนแต่งนะคะ ที่แต่งนิยายที่สนุกและดีขนาดนี้ให้อ่าน ปล..แต่จะปลื้มกว่านี้ถ้ามีตอนพิเศษ//โดนโบก
สนุกมากคะเป็นงานเขียนที่ละเอียดมากเลย อ่านตอนแรกแล้วนึกถึงcsiขึ้นมาทันทีสรุปได้ดีค่ะ น่าจะมีตอนพิเศษสักหน่อยนะคะ :mew1:
สนุกมาก เหมือนกำลังดูซีรี่ย์สืบสวนสอบสวนของฝรั่งเลย มีปมให้แก้ที่แบบคิดตามไม่ทัน o13 ตอบจบเรื่องคือจุดเริ่มต้นของทั้งคู่อะ ยังอยากอ่านต่อ อยากได้โมเม้นหลังจากนี้ ถ้าไม่มี ss.2 ก็ขอตอนพิเศษก็ยังดี. :katai1: แงๆๆๆๆๆๆๆ
น่ารัก
อ่านจบแล้วมีที่นิดหน่อยว่า แล้วเอกภพมีจุดจบอย่างไร กับแล้วทำไมหมูถึงไม่ต้องกลับเข้าคุกอีกแล้วอ่ะ แต่เนื้อเรื่องโดยรวมสนุกมาก จนหยุดอ่านไม่ได้เลย
จบแล้วอ่ะ อยากอ่านต่ออีกนิด พี่พีทยังไม่ผ่านด่านอดิศรเลยนะ! แล้วนนท์ล่ะ กษิดิศ ตัวละครลับ? มีความเกี่ยวข้องยังไง คนที่เอาเด็กทั้ง2มาไว้สถานสงเคราะห์หายไปไหน อ่านจบแล้วสงสัยเลยแฮะ สนุกมาก ลึกลับดีค่ะ ชอบแนวนี้มากๆ จะมีตอนพิเศษอีกไหมคะ
เนื้อเรื่องเข้าใจยาก แต่ชอบอั
จบแบบงงๆ เหมือนเล่าไม่ครบเฉลยไม่หมด ถ้าพี่ชาย(เมฆ)เป็นแฮคเกอร์ที่เก่งมาก ทำไมถึงปล่อยให้น้องชาย(หมู)โดนใส่ร้ายจนต้องติดคุก? ทำไมหมูกลัวรฐนนท์? เห็นพูดถึงแล้วสั่นทุกที ทำไมครอบครัวที่รับไปเลี้ยงไม่ยอมรับหมูเป็นลูกบุญธรรมทั้งๆที่หมูเก่งกว่ารฐนนท์? แล้วรฐนนท์ต้องการอะไรจากหมู? (เท่าที่อ่าน เข้าใจว่าพยายามตามหาเพื่อเอาตัวกลับไป) เอกภพจับหมูไปในรถ container แล้วปล่อยออกมา ทำเพื่ออะไร? แอบถ่ายรูปหมูแล้วปริ้นวางไว้ในห้องทำงานของตัวเอง พร้อมทั้งเขียนข้อความบางอย่างไว้หลังรูปอีก ทำเพื่ออะไร? มันดูไม่ค่อยฉลาดเลย แล้วกล่องข้อมูลที่เจอในห้องสมุด ใครเอามาซ่อนไว้? ซ่อนไว้ทำไม? แล้วยังไงต่อ? จำได้ว่าสืบไปสืบมาเจอว่าทุกอย่างเชื่องโยงไปที่ใครสักคน/ตระกูล เกริ่นเหมือนห้องสมุดจะเป็นปมใหญ่มาก แต่กลับค้างไว้แค่นั้น ฯ และอีกมากมายหลายคำถาม ฯ อ่านเพลินๆดีค่ะ แต่พล็อตยังอ่อนมาก ถ้าอุดรูได้ เรื่องนี้จะสนุกมากเลย ^^ :pig4:
สนุกมากค่ะ ตื่นเต้นด้วย แต่ก็รู้สึกว่ายังขาดๆๆ อะไรไปหลายอย่างเลย อย่างบทสรุปของแต่ละคน มันเลยทำให้ไม่ค่อยจบบริบูรณ์เท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ขอบคุณมากนะคะ ที่เขียนนิยายเรื่องนี้มาให้ได้อ่านกัน ขอบคุณค่ะ
สนุกดี ลุ้นไปว่ามัจะจบแบบไหน ไม่คิดว่าคนร้ายจะใกล้ตัวขนาดนี้ แต่เสียดายจบแบบไม่เคลียร์ปมหลายจุดเลย งงหน่อยๆ ขอบคุณมากๆๆ
เป็นเรื่องที่มีสาระมาให้อ่านเยอะมากเลยค่ะ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ 5555 แต่ก็มีบางส่วนของเรื่องไม่ค่อยคลี่คลายนะเช่นเรื่องที่ทำไมหมูโดนจับเข้าคุกเพราะใคร เรื่องของที่โดนลักพาตัวที่ก่อนน่านั้น และก็เรื่องคนเบื้องหลังของเอกภพและการทำงานวิจัยของเอกภพอีก รู้สึกสงสัยๆอยู่ค่ะ หรือเราสงสัยมากไปหวาา 5555555 แต่สนุกดีค่ะ ไม่ได้หวานออกแนวบู้ๆมากกว่า
Special I อดีตของพิชญุฒม์ พิชญุฒม์ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้เขาจะต้องการอะไรเป็นพิเศษอีกแล้ว ทีมีอยู่ทุกวันนี้มันก็ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าอะไรให้ยุ่งยากอีกแล้ว ชีวิตมัธยมปลายของเขาดำเนินไปอย่างเรื่อยๆและเขาก็ชอบที่มันจะเป็นแบบนั้น มีกลุ่มเพื่อนสนิทที่นัดกันออกไปเล่นบาสทุกเย็นและชวนกันไปเล่นเกมส์ในช่วงวันหยุด พิชญุฒม์ไม่เคยไขว้คว้าอะไรไปมากกว่านี้ แต่ใครจะรู้ว่าเส้นทางชีวิตอันราบเรียบจะต้องมาเจอหลุมบ่อขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถเดินต่อในทางเดิมได้ “เฮ้ยพีท! เย็นนี้ว่าไง” “ที่เดิมแล้วกันนาย” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมกับเดินไปอีกทางโดยที่พิชญุฒม์ยังไม่ได้ขยับขาก้าวออกไปไหน พิชญุฒม์มองเพื่อนซี้จนลับสายตาก่อนจะหันหลังเดินไปอีกทาง เขายังมีเวลาอีกเป็นชั่วโมงกว่าชาวแก๊งค์จะมากันครบ พิชญุฒม์เลยเลือกที่จะเดินกลับบ้านเพื่อเอากระเป๋าไปเก็บพร้อมกับไปหยิบรองเท้าผ้าใบสีสีดำแดงคู่ใจและกระเป๋าเป้ใบเก่งที่เอาหนังสือเรียนออกหมดแล้ว ก่อนจะออกจากบ้านก็แวะห้องครัวหยิบขนมที่คุณแม่คนสวยวางไปไว้บนโต๊ะทานข้าวยัดใส่ปากไปสองคำแถมด้วยนมอีกหนึ่งขวดเล็กๆในตู้เย็น พิชญุฒม์เดินเอื่อยๆไปตามทางแบบไม่รีบร้อนนัก ถึงแม้จะอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กแต่บรรยากาศรอบๆก็ยังคงทำให้รู้สึกสบายทุกครั้งที่เดินผ่าน พิชญุฒม์ชอบบรรยากาศที่เดินผ่านบ้านหลังต่างๆแล้วหน้าบ้านล้วนเป็นสวนผืนเล็กๆที่ตกแต่งกันกันไปตามสไตล์ของแต่ละคนในของหมู่บ้าน ช่วงเย็นแบบนี้ถึงแม้จะวุ่นวายเล็กๆแต่เขาก็คิดว่าดูครึกครื้นดี พิชญุฒม์เดินมาถึงที่นัดหมายไวกว่าที่ตัวเองคาดคิดไปนิดนึงเพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับการเดินมองนู้นนี่นั่นรู้ตัวอีกทีก็เดินมาหยุดที่สถานนัดหมายซึ่งก็คือลานกว้างข้างหมู่บ้านซ่งเป็นที่ๆกลุ่มเด็กผู้ชายที่เรียนอยู่มัธยมทั้งหลายกลุ่มมารวมตัวกันที่นี่ืด้วยเพราะสถานที่ไม่ได้ไกลจากระแวกบ้านแต่ละคนนักและเหมาะกับการทำกิจกรรมต่างๆ และกิจกรรมยอดฮิตที่สถานที่แห่งนี้ก็คือการเล่นบาสเก็ตบอลและฟุตซอล “วู้วว” ยิ่งแสงอาทิตย์เริ่มหมดลงเสียงเชียร์ก็ยิ่งดังขึ้นจากการเล่นบาสเก็ตบอลเล่นๆเพื่อฝึกทักษะกลายเป็นการแข่งขัน ชัยชนะไม่ได้หมายความถึงแค่ความสนุกสนานแต่มันรวมถึงการพนันขนาดย่อม แน่นอนว่าพิชญุฒม์ไม่ใช่คนที่เก่งกาจอะไรเขาไม่เคยคิดจะลงแข่ง ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ใช่คนที่คิดจะวางเดิมพันด้วยเงินค่าขนมที่ได้มาอยู่แล้ว เขาเพียงนั่งมองอยู่ห่างๆหลังจากที่ทีมของตัวเองหมดรอบเล่นแล้ว กับชีวิตเด็กของเด็กมัธยมปลายที่จะต้องต่อมหาวิทยาลัยในอีกสองปีจะเอาอะไรมาก แค่ได้มาเรียน เจอเพื่อน แค่นี้ก็ถือว่าดีแล้วสำหรับเขา จริงอยู่ที่ไม่ได้มีกฎหมายขนาดที่ต้องบังคับให้นักเรียนทุกคนต้องเรียนจบสูงๆเพราะสำหรับประเทศไทยการศึกษาขั้นพื้นฐานก็แค่มัธยมต้นแต่สำหรับพิชญุฒม์เขาคิดว่าการจบมัธยมปลายหลังจากนั้นไปต่อปวส.ซักสองปีแล้วไปช่วยกิจการที่บ้านน่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่าการต้องทนเรียนจนจบปริญญาแล้วเอาใบปริญญาไปสมัครงานเพื่อเป็นลูกน้องคนอื่นอีกที ถึงแม้กิจการอสังหาริมทรัพย์ที่ๆบ้านมีอยู่จะไม่ได้ใหญ่แต่ก็ดีกว่าต้องไปเป็นลูกน้องคนอื่นนั่นแหล่ะ “เฮ้ยพีท! ไม่ลองซักรอบหรอวะ ฝีมือก็ไม่ใช่ย่อยไม่ใช่หรอนาย” พิชญุฒม์มองไปยังคนที่เอ่ยท้าทายแต่ไม่ได้พูดอะไร ปกรณ์ หรือเพื่อนร่วมชั้นทุกคนเรียกกันว่าเติ้ล พิชญุฒม์จำคนๆนั้นได้ดี ทุกครั้งที่คนๆนั้นลงสนามแข่งทีไรกองเชียร์รอบนอกจะเทหน้าตักเพื่อเชียร์คนๆนั้นตลอด พิชญุฒม์ไม่รู้ว่าเพราะฝีมือหรือโชคช่วยแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าปกรณ์เป็นคนที่เล่นบาสเก็ตบอลได้ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง “ไม่หล่ะ ไม่ได้มาเพื่อแข่ง” พิชญุฒม์เอ่ยนิ่งๆเรียกเสียงโห่ร้องจากกองเชียร์ฝ่ายตรงข้ามได้มากโข “เห้ยไอ้นาย นี่แกคบเพื่อนกระจอกๆแบบนี้ด้วยหรอวะ” เมื่อเห็นว่าพิชญุฒม์ดูไม่ใยดีกับตัวเองเท่าไหร่ปกรณ์ถึงได้หันไปพูดจาเพื่อถากถางใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากขอบสนาม ซึ่งเจ้าของชื่อก็ทำเพียงแค่เม้มปากด้วยความไม่พอใจแต่ก็ไม่คิดจะตอบโต้ “เหอะ กระจอก” ปกรณ์ยกมุมปากเหยียดๆใส่นายก่อนจะหันมามองพิชญุฒม์ด้วยสายตาดูแคลนหลังจากนั้นึงได้พาเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่เฮโลมาเพื่อข่มขวัญคนอื่นๆและเป็นตัวตั้งตัวตีในการลงพนันเรื่องแข่งบาสเก็ตบอลกลับไป พิชญุฒม์เดินไปวางมือบนบ่าของนายก่อนจะบีบเบาๆอย่างให้อีกคนสบายใจ เพราะพิชญุฒม์รู้ว่าปกรณ์ค่อนข้างมีอิทธิพล ไม่ใช่เพราะตัวของปกรณ์ที่สร้างอิทธิพลขึ้นมาเองแต่เพราะความที่เป็นถึงลูกผู้ชายนายอำเภอถึงทำให้ปกรณ์กร่างได้ขนาดนี้ นวพลหันมามองหน้าเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ เพราะเป็นคนที่ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องใดเลยยิ่งทำให้นวพลรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกขี้แพ้ไปในทุกๆด้าน ยิ่งโดนปกรณ์ข่มยิ่งทำให้รู้สึกแย่ พิชญุฒม์เข้าใจในข้อนี้ดี โรงเรียนประจำอำเภอในยามเช้าเป็นอะไรที่ดูวุ่นวายไม่ว่าจะที่ไหน พิชญุฒม์ยัดหนังสือเรียนใส่เข้าไปในกระเป๋าหลังจากหมดคาบ ปกติพิชญุฒม์ไม่ค่อยใส่ใจคนรอบข้างเท่าไหร่ เขารักที่จะมีชีวิตเรื่อยๆโดยไม่ต้องเป็นจุดสนใจกับใครมีเพื่อนสนิทเป็นนวพลแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้วกับชีวิตมัธยม มือเรียวกระชับสายกระเป๋าที่สะพายอยู่บนบ่าขึ้นแล้วมุ่งตรงไปที่ห้องเรียนต่อไป เพราะต้องเดินเรียนและคาบนี้เขาก็ต้องไปเรียนอีกตึกนึงคนเดียวเพราะวันนี้เพื่อนสนิทอย่างนวพลยังไม่มา พิชญุฒม์เลยเลือกที่จะนั่งลงตรงกลางห้องในที่ประจำเพื่อรออีกฝ่าย ปกตินวพลไม่ใช่คนที่จะมาสายมีบ้างที่มาสายแต่ก็นานๆทีเพราะเคยสัญญากันว่าจะใช้ชีวิตมัธยมให้ดีที่สุด ถึงแม้จะไม่ใช่พวกที่ทำคะแนนได้ระดับหัวกระทิแต่ก็ไม่เคยทำตัวให้เป็นปัญหาสังคม เสียงกริ่งบอกเวลาพักเที่ยงแต่ยังไร้วี่แววของนวพล พิชญุฒม์ก้มมองโทรศัพท์ในมือแต่ก็ไร้ซึ่งข้อความจากอีกฝ่าย ปกติเขาไม่ใช่คนใส่ใจอะไรยิบย่อยมากมายอย่างพวกส่งข้อความหากันแต่การส่งข้อความก็เป็นทางที่น่าจะติดต่อเพื่อนได้ดีที่สุด พิชญุฒม์กดโทรศัพท์เพื่อส่งข้อความถามไถ่ว่าอีกคนไม่สบายหรอถึงไม่ได้มาโรงเรียนก่อนจะยัดมือถือเก็บใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปกินข้าวที่โรงอาหาร ตลอดเวลาหลังจากนั้นเขาก็ยังไม่ได้รับข้อความตอบกลับจากนายเลยซักข้อความกระทั่งเลิกเรียนก็ยังไม่มี พิชญุฒม์ขวมดคิ้วมองมือถือนี่นอนนิ่งอยู่ในมือ ไม่แน่ใจว่าควรกดโทรออกดีไหมเพราะปกติเขากับนวพลโทรหากันแทบจะนับครั้งได้ พิชญุฒม์เลือกที่จะกดโทรออกรอสายจนสายตัดไปถึงสองครั้งก็ยังไม่มีคนรับ คิดเอาเองว่าถ้าอีกฝ่ายเห็นมิสคอลถึงสองสายก็คงจะโทรกลับมาเอง แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่พิชญุฒม์คิด เพื่อนสนิทไม่ติดต่อเขากลับมาเลยจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น พิชญุฒม์ก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวอะไรเลย คนร่างโปร่งในชุดที่พร้อมสำหรับการออกไปเรียนในขณะที่มือขวาถือบาสเก็ตบอลลูกเก่ง วันนี้พิชญุฒม์ตัดสินใจที่จะไม่ไปโรงเรียน บางทีเพื่อนของเขาก็สำคัญเกินกว่าที่เขาจะเข้าไปนั่งเบื่อในห้องเรียนเฉยๆ พิชญุฒม์เดินไปตามถนนเส้นที่อยู่ตรงข้ามกับทางไปโรงเรียน ช่วงขายาวก้าวแบบไม่เร่งรีบนักเพราะเวลานี้เป็นเวลาสายคนที่มีตามท้องถนนเลยยังไม่มากนัก ไม่นานนักก็หยุดอยู่ตรงประตูบ้านของเพื่อนสนิท พิชญุฒม์ชะโงกหน้าผ่านรั้วเตี้ยๆตรงหน้าบ้านเข้าไปยังในบ้านที่เงียบเชียบก่อนที่แนวคิ้วเข้มจะมวดแน่น หรือว่าเพื่อนเขาจะไม่สบายหนักมากจริงๆ? ไม่รอให้ได้ตั้งคำถามกับตัวเองไปมากกว่านี้พิชญุฒม์เลื่อนรั้วสีขาวที่สูงระดับเอวให้เปิดออกก่อนจะเดินเข้าไป เมื่อเอื้อมมือไปยังลูกบิดประตูก็ปรากฎว่ามันไม่ได้ล็อคอยู่แล้ว ภายในบ้านยังคงเงียบสนิทเหมือนกับไร้ผู้คนทั้งๆที่เจ้าของบ้านควรจะอยู่ “นาย” เสียงทุ้มตะโกนไปแต่ก็มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา พิชญุฒม์เริ่มขมวดคิ้วในความรู้สึกแปลกๆที่ตีขึ้นมา ลางสังหรณ์แจ้งเตือนว่าสถานการณ์น่าจะไม่ปกติจึงถือวิสาสะเดินขึ้นไปยังชั้นบนของบ้านก็เจอเข้ากับบานประตูห้องนอนที่ถูกเปิดทิ้งไว้ เมื่อเปิดเข้าไปก็ไร้ซึ่งวี่แววของเจ้าของห้อง นายไม่อยู่ที่ห้อง อันที่จริงไม่น่าจะอยู่ที่บ้านด้วยซ้ำ พิชญุฒม์ล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก่อนจะกดเพื่อโทรออกหาเพื่อนสนิท เสียงสัญญารอสายดังแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววว่าจะรับจนสัญญาณตัดไป พิชญุฒม์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหมุนตัวกลับ แต่แรงสั่นสะเทือนในมือก็ดึงสติให้กลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อสายตาปะทะเข้ากับรายชื่อคนโทรเข้าพิชญุฒม์ก็กดรับแทบจะในทันที “นาย! นายนายอยู่ไหน” “ไงพีท” “เติ้ล… นายหล่ะ นายอยู่ไหน!” น้ำเสียงแข็งกระด้างที่ไม่ค่อยได้ใช้บ่อยถูกส่งผ่านตามสายทันทีที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หากแต่ปกรณ์ก็เพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะมาตามสายเพื่อกวนอารมณ์ของพิชญุฒม์ให้ขุ่นมากกว่าเดิม “ไม่ตลกนะเติ้ล นายอยู่ไหน” “เก่งนักก็ตามหาเองซิพีท” “เติ้ล ไอ้เติ้ล! โถ่เว้ย!” สัญญาณถูกตัดไปแล้ว พิชญุฒม์ได้แต่หัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่กับปลายสายที่ตอนนี้ถ้าเดาไม่ผิดคงกำลังสนุกอยู่กับการปั่นหัวเขาอยู่ พิชญุฒม์ไม่รู้ว่านวพลไปทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจหรือไปมีเรื่องอะไรกันแต่ตามนิสัยแล้วนวพลไม่ใช่คนที่จะไปหาเรื่องใครก่อนนอกจากจะโดนบีบมากๆ อยู่ๆใบหน้าเยาะเย้ยของปกรณ์ก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด พิชญุฒม์ได้แต่พึมพำเบาๆว่ามันไม่น่าจะใช่เหตุผลที่นวพลจะเสี่ยงพาตัวเองไปในวงล้อมของพวกอันธพาล แม้ปากจะบอกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้แต่ขาทั้งสองข้างก็พอตัวเองไปยังสถานที่ที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่ รองเท้าผ้าใบมียี่ห้อย่ำลงบนพื้นคอนกรีตก่อนจะหยุดลงที่ลานบาสเก็ตบอลที่เขากับเพื่อนสนิทมาเป็นประจำแล้วก็พบว่าคนที่ตัวเองต้องการจะเจอก็อยู่ที่นี่ตามที่คาดไว้ “ไงพีท เก่งจริงๆนะ” พิชญุฒม์ไม่ได้ใส่ใจเสียงทักทายที่มาจากปกรณ์แต่สายตาคู่กลมกลับมองเลยไปยังด้านหลังอีกฝ่าย นวพลในสภาพหน้าบวมปูดปากแตกยับทำเอาพิชญุฒม์คิ้วกระตุก “ทำไมต้องรุนแรงกันขนาดนี้ด้วยเติ้ล นายไปทำอะไรให้” “ก็แค่พวกขี้แพ้ที่แพ้พนันแล้วไม่มีเงินจ่าย” ปกรณ์ปรายหางตามองคนที่ถูกเรียกว่าขี้แพ้ก่อนจะหันกลับมามองพิชญุฒม์ตรงๆ “แข่งกับฉันซิถ้าชนะฉันจะยกหนี้ทั้งหมดให้ แต่ถ้าไม่…” ปกรณ์ไม่ได้พูดอะไรต่อแต่หางตาที่เหลือบไปมองนวพลนั้นกลับหนาวจนถึงขั้วหัวใจ ไม่ใช่ไม่รู้แต่พิชญุฒม์รู้ดีว่าคนอย่างปกรณ์ไม่ใช่คนที่มีคุณธรรม หลายครั้งที่เขาและนวพลพยายามเลี่ยงที่จะเผชิญกับอีกฝ่ายตรงๆ ปกรณ์ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะต่อรองได้สิ่งที่พิชญุฒม์ทำได้ตอนนี้ก็คงเป็นการงัดเอาความสามารถออกมาใช้ถึงแม้จะไม่มั่นใจว่าจะมีโอกาสชนะมากน้อยแค่ไหน หรือจริงๆเขาแทบไม่มีโอกาสชนะได้เลยด้วยซ้ำ เสียงเชียร์ดังกระหึ่มเมื่อพิชญุฒม์และปกรณ์พร้อมด้วยบาสเก็ตบอลทีมบาสของแต่ละฝ่ายก้าวออกมาเผชิญหน้ากัน ปกรณ์เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ท่วงท่าการเลี้ยงลูก ชู้ตลูกดูเป็นธรรมชาติและพริ้วไหวจนพิชญุฒม์ยังอดทึ่งอยู่ในใจไม่ได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะกระโดดทำคะแนนจนทำให้เสียงเป่าปากดังขึ้นมากกว่าเดิม ยอมรับแบบไม่อายเลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังใจฝ่อ เพราะรู้ว่าฝีมือตัวเองสู้ไม่ไหวแน่ๆแล้วยิ่งอยู่ในถิ่นที่อีกฝ่ายคุ้นเคยยิ่งทำให้พิชญุฒม์ยาที่จะชนะ เหงื่อที่ซึมออกมาตามขมับเป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าตอนนี้ความกดดันภายในของพิชญุฒม์มีมากขนาดไหน ปกรณ์ทำแต้มห่างไปมากกว่าเจ็ดแต้มแล้วและตามกติกาถ้าคครบ15นาทีใครแต้มมากกว่าก็ชนะไป ปรี๊ด! เสียงนกหวีดเป่าหมดเวลาพร้อมกับคะแนนของฝั่งตัวเองที่ตามห่างอีกฝั่งอีกถึงสิบคะแนน ความรู้สึกเจ็บใจและผิดหวังเล่นปลาบเข้ามาพร้อมกับเสียงโห่ร้องเยาะเย้ยของพรรคพวกของปกรณ์ พิชญุฒม์กัดฟันแน่นก่อนจะพยุงตัวเองเดินออกจากสนามอย่างยอมรับความพ่ายแพ้ “ไง” ปกรณ์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพิชญุฒม์สายตาเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “พอดีลืมบอกไปเรื่องของเดิมพันถ้านายแพ้” รอยยิ้มมุมปากถูกจุดขึ้นอย่างไม่น่าไว้ใจ “หายออกไปซะบาสเก็ตบอลไม่ได้มีไว้ให้ถือเล่น” พิชญุฒม์มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกหลากหลายทั้งโกรธทั้งรู้สึกแย่ พอเงยหน้ามองเลยไปด้านหลังก็เห็นว่านวพลกำลังก้มหน้า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังผิดหวังหรืออะไรซักอย่างที่ไม่ใช่ความรู้สึกดี ความรู้สึกย่ำแย่กัดกินหัวใจจนร่างทั้งร่างแทบจะกระดิกไปไหนไม่ได้ พิชญุฒม์ก้มหน้าต่ำปล่อยให้เสียงหัวเราะเยาะดังต่อไปเรื่อยๆจนจางหายพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่พากันเดินออกไปจากลานบาสเก็ตบอลจนทุกอย่างเงียบสนิทพิชญุฒม์ก็ยังคงอยู่ท่าเดิม “พีท” น้ำเสียงสั่นๆของเพื่อนสนิทที่มาพร้อมกับความรู้สึกหนักๆที่ไหล่ขวา นวพลบีบไหล่อีกคนเบาๆอย่างให้กำลังใจเพราะเขารู้ดีความพ่ายแพ้มันแย่แค่ไหน “ไม่เป็นไรนาย ฉันไม่เป็นไร”พิชญุฒม์ส่งยิ้มเจื่อนๆกลับไปให้เพื่อนสนิท ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวเยียวยา บาดแผลครั้งนั้นถึงจะไม่ใช่แผลใหญ่แต่ก็เป็นแผลที่ไม่มีวันลบเลือน แม้จะเป็นแค่ปัญหาเล็กๆตั้งแต่สมัยวัยคะนองแต่ก็ใช่ว่าจะลบเลือนได้ง่ายๆ พิชญุฒม์ตั้งมั่นกับตัวเองว่าเขาจะต้องไม่อ่อนแอและจะปกป้องคนสำคัญของตัวเองในอนาคตให้ได้และจะไม่มีวันซ้ำรอยเดิม ตอนนั้นพิชญุฒม์ไม่สามารถช่วยอะไรเพื่อนสนิทได้เพราะนวพลแข่งแพ้ต้องเสียเงินพนันให้ปกรณ์มากมายจนสุดท้ายนวพลเลือกที่จะจบชีวิตเพราะรับแรงกดดันที่ปกรณ์ส่งมาให้ไม่ได้ ปัญหาเล็กๆสำหรับบางคนกลายเป็นปัญหาใหญ่ของใครบางคน พิชญุฒม์เลิกเล่นบาสเก็ตบอลตั้งแต่วันนั้นแล้วเปลี่ยนตัวเองแทบจะเป็นคนละคน ตั้งใจเรียนจนสุดท้ายสอบติดตำรวจเข้ามาทำงานในหน่วยสืบสวนสอบสวน เรื่องของนายเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เขารู้ว่าโลกนี้ไม่เคยมีที่ให้กับคนอ่อนแอ พิชญุฒม์ตั้งปฏิญาณกับตัวเองว่าเขาจะต้องปกป้องทุกคนเท่าที่เขาจะทำได้เพราะคนที่อ่อนแอกว่าเขายังมีอีกมากและพิชญุฒม์ก็ไม่อยากให้เหตุการณ์ในอดีตเกิดขึ้นกับใครคนไหนอีก และพิชญุฒม์ก็มั่นใจว่ามันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกถ้าเขายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ :bye2: :bye2: :bye2:
ขอบคุณค่ะ
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ เรื่องนี้สนุกมากนะ การวางปม ซ่อมปมนี่ทำได้น่าติดตามมมากๆเลยค่ะ แต่ว่าจะมาติดนิดนึงเหมือนที่หลายๆคนบอกว่า ปมต่างๆที่ทิ้งเอาไว้ มันเคลียไม่หมด ทำให้รู้สึกว่ามันยังจบได้ไม่ค่อยดี เหมือนมันยังไปต่อไ้ด้อีกอะค่ะ ของคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ
เรื่องนี้น่าสนใจมาก อ่านรวดเดียวจบเหมือนกัน แต่มีหลายๆ ปมที่ยังไม่คลาย เลยเหมือนค้างๆ นิดนึงง
สนุกมากๆๆๆๆๆ เป็นเรื่องที่แตกต่างจากเรื่องอื่นๆที่เคยอ่านๆมา ผูกเรื่องได้ค่อนข้างดี สลับซับซ้อน เดาทางยาก แต่ปมหลายปมยังคลายไม่หมด ถ้าทุกปมคลายหมดจะดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ปล. คลายในตอนพิเศษได้นะ จะติดตามผลงานต่อไปครับ o13
ลุ้น สนุกมาทั้งเรื่อง แต่สุดท้ายไม่คลายปมเลย เหมือนจบไม่สุด
:pig4: