Forensics พิสูจน์ 'รัก' ฐาน - Special I P.3[05/03/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Forensics พิสูจน์ 'รัก' ฐาน - Special I P.3[05/03/2018]  (อ่าน 31073 ครั้ง)

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สารบัญ
Intro
บทที่1
บทที่2
บทที่3
บทที่4
บทที่5
บทที่6
บทที่7
บทที่8
บทที่9
บทที่10
บทที่11
บทที่12
บทที่13
บทที่14
บทที่15 (END)
Special I


Intro


ทุกคนเกิดมาก็อยากจะใช้ชีวิตกันอย่างอิสระ ถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากมาใช้ชีวิตอยู่ข้างหลังกรงขังซึ่งริดรอนทุกอิสรภาพที่เรียกว่าคุกหรอจริงมั๊ย....

เสียงจ้อกแจ้กจอแจในเวลาเที่ยงวันถือเป็นเรื่องปกติของสถานซึ่งกักขังทุกอิสรภาพของผู้ที่กระทำผิดทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ อาชวินก็คือหนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกริดรอนอิสรภาพจากโลกภายนอกเช่นเดียวกัน เด็กหนุ่มวัยยี่สิบสองที่ควรจะมีช่วงชีวิตที่กำลังสดใสอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายแต่กลับต้องมาใช้ชีวิตอยู่อยู่หลังกำแพงเหล็กที่สะกัดกั้นอิสรภาพเพียงเพราะกลายเป็นตัวปัญหาของเพื่อนร่วมชั้นปีสุดท้ายนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์เอกเคมีปีสุดท้ายและอาจารย์ในภาควิชาเลยถูกจับโยนใส่ตะรางด้วยข้อหาขโมยทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย

อาชวินเดินถือถาดอาหารที่หน้าตาดูไม่น่ากินได้ออกมาจนเกือบจะถึงโต๊ะ แต่ยังไม่ทันที่จะวางลงบนโต๊ะ ถาดอาหารเจ้ากรรมดันหล่นลงพื้นเสียงดัง เจ้าตัวกัดฟันแน่นมองถาดอาหารที่ตกพื้นก่อนจะตะหวัดสายตามามองต้นเหตุอย่างเอาเรื่อง

“ไงน้องหมู อยากลงไปกินข้าวบนพื้นเหมือนหมาทำไมไม่บอกพี่ดีๆหล่ะ” ตัวต้นเหตุที่ทำให้ถาดข้าวของอาชวินลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นแสยะยิ้มมุมปากที่ดูไม่น่ามองส่งให้อีกคน
“ฉันคิดว่าคงไม่ดีกว่า วิธีการกินแบบนั้นฉันว่ามันเหมาะกับนายมากกว่านะ”
“ปากดี”

ปื๊ดดดดด

กำปั้นขวาถูกยกขึ้นมากลางอากาศ แต่ยังไม่ทันที่คนตัวสูงกว่าจะลงหมัดใส่ใบหน้านิ่งๆที่ดูยังไงก็กวนอวัยวะเบื้องล่าง เสียงนกหวีดของผู้คุมก็ดังขึ้นแหวกอากาศอีกฝ่ายจึงทำได้แค่ชี้หน้าอาชวินอย่างคาดโทษก่อนจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันหันหลังกลับไป เพราะถึงจะกร่างแค่ไหนถ้าโดนผู้คุมลงโทษทั้งๆที่ยังคงเป็นคนคุกอยู่คงไม่ดีแน่

“เหอะ”

อาชวินส่งเสียงเหอะในลำคอให้กับความกร่างแต่ไร้ซึ่งความกล้าหาญของอีกฝ่าย ถึงแม้เขาจะตัวเล็กกว่าแต่ก็เพียงไม่กี่เซนต์อาชวินกล้าบอกเลยว่าถ้าเมื่อกี้อีกฝ่ายต่อยมาหนึ่งหมัดเขาก็พร้อมจะสวนกลับอีกสองหมัดเช่นกัน

เมื่อทุกอย่างเข้าสู่สถานการณ์ปกติอาชวินก็เดินกลับไปต่อแถวเพื่อรับข้าวถาดใหม่ ถึงมันจะดูไม่น่ากินหรือหน้าตาอาจจะเหมือนข้าวหมาเหมือนที่ใครต่อใครกล่าวแต่มันก็ทำให้เขามีชีวิตรอดไปวันๆได้ อย่างน้อยๆก็ดีกว่านอนอดตายอยู่ในนี้แล้วกัน



“ทุกห้องขังปิดไฟได้แล้ว”

เสียงผู้คุมในชุดสีกากีที่เดินถือกระบองดำตะโกนก้องไปทั่วห้องขัง ห้องขังรวมที่ถูกแบ่งแยกเป็นห้องย่อยๆถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนคุกแต่ก็ใช่ว่าจะได้นอนรวมกันเหมือนในห้องขังตามโรงพักหรือเรือนจำบางแห่ง ทุกคนมีห้องขังที่เป็นของตัวเองก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะสบาย เพราะคนที่เข้ามาอยู่ถ้าไม่ร้ายแรงจริงๆก็คงโดนส่งไปอยู่เรือนจำที่ระบบความปลอดภัยเข้มงวดน้อยกว่านี้ สำหรับนักโทษบางคนอาจจะคิดว่าการโดนขังเดี่ยวดูไม่สาหัสเท่าขังรวม แต่ใครจะรู้ว่าการต้องอยู่กับตัวเองในบรรยากาศแสนหดหู่แบบนี้ทราณกว่าการโดนกลั่นแกล้งในเจ็บปวดทางร่างกายมากกว่าพวกที่โดนขังรวมแค่ไหน เพราะมันทั้งเงียบ มองไปทางไหนก็เจอแต่สายตาและความรู้สึกสิ้นหวังของนักโทษคดีร้ายแรงจนทำให้บางทีการฆ่าตัวตายอาจเป็นทางเลือกที่ทรมาณน้อยที่สุด

ห้องขังค่อยๆถูกปิดไฟหลังจากที่ผู้คุมเดินผ่าน  อาชวินหันไปมองร่างของผู้คุมที่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะหยิบเศษหินที่หยิบติดมือมาจากข้างนอกขีดเส้นตรงเส้นเล็กๆลงไปที่ผนัง แทนจำนวนวันเที่ได้ใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงสูงๆนี้  สามสิบห้าขีด...

สามสิบห้าวันแล้วที่ต้องใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงยักษ์ที่กั้นเขาออกจากโลกภายนอก ดวงตากลมโตแต่ในตาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆหันไปมองผู้คุมที่เคาะห้องขังที่ยังไม่ปิดไฟเริ่มเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง ความมืดที่คลืบคลานเข้ามากลืนกินอีกวันของเด็กหนุ่มก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงพร้อมกับลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอ







“สารวัตรครับผลจากห้องแลปออกแล้วนะ” เสียงเปิดประตูพรวดพราดเข้าพร้อมกับเสียงของผู้ใต้บังคับบัญชาทำให้คนที่กำลังนั่งหน้าคร่ำเคร่งอยู่หน้าคอมเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะรีบลุกพรวดมาที่โต๊ะกลางห้องทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารมากมาย

“ว่าไงมั่งผู้กอง” กระดาษสีขาวที่เต็มไปด้วยตัวอักษรมากมายถูกวางลงบนโต๊ะทันทีผลวิเคราะห์ที่รายงานอยู่เต็มหน้ากระดาษไม่ได้ทำให้แนวคิ้วหนาคลายลงได้เลยเมื่อได้เห็นผลรายงาน “ไททาเนียมไดออกไซด์?”

“ใช่ ดูไม่น่ามีพิษมีภัยอะไรใช่มั๊ยหล่ะครับ” คนตำแหน่งใหญ่โตกว่าพยักหน้าตอบรับคำถามนั้นเบาๆ “ผมก็เคยคิดอย่างงั้นนะครับ ถ้าผลแลปของหนูทดลองตัวที่เราเจอในห้องนั้นไม่ออกมาเป็นแบบนี้” กระดาษอีกหนึ่งแผ่นถูกวางลงบนโต๊ะข้างๆแผ่นแรก

“เยื่อหุ้มเซลล์ถูกทำลายหมด เป็นผลมาจากไททาเนียมไดออกไซด์ แต่ปัญหาของเราไม่ได้อยู่ที่ว่ามันทำไปเพื่ออะไร ปัญหาใหญ่ของเราคือมันทำได้ยังไง?” แนวคิ้วหนาของนายตำรวจหนุ่มแห่งกองพิสูจน์หลักฐานกลางขมวดหนักกว่าเดิมเมื่อฟังที่คู่หูอธิบาย

“โดยปกติไททาเนียมไม่มีความเป็นพิษแต่เมื่อมันจับรวมกับออกไซด์แน่นอนว่าผลมันเปลี่ยนแปลง แต่ผมยังไม่เคยเจองานวิจัยไหนที่ยืนยันได้ว่าไททาเนียมไดออกไซด์จะสามารถทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ของหนูทดลองได้มากขนาดนี้... แต่ก็ต้องยอมรับหล่ะว่ามันอาจจะมีผลต่อปอด แต่สารวัตรดูนี่ซิครับ” คนตำแหน่งน้อยกว่าชี้นิ้ววนเป็นวงกลมรอบภาพที่มีลักษณะคล้ายภาพแสกนสมองของหนูตัวนั้น

“ระบบประสาทส่วนกลางถูกทำลาย ผมว่ามันยากขึ้นเป็นสองเท่าแล้วแหล่ะงานนี้” พูดจบก็หันไปยกยิ้มกว้างให้กับอีกคนที่ยืนกอดอกนิ่งมองกระดาษทั้งสองแผ่นอย่างพิจารณา “แต่ถ้าสารวัตรยังไม่ลืม ผงที่เราเจอในห้องแลปไม่น่าจะเป็นจะเป็นไททาเนียมไดออกไซด์ได้นะครับ”

“นี่คือที่เราตรวจเจอในหนูตัวนี้” ถุงซิปล็อกขนาดเล็กที่บรรจุผงสีขาวข้างในถูกชูขึ้นมาในระดับสายตา “และนี่คือที่เราเจอในห้องแลป” ถุงซิปขนาดเดียวกันทีบรรจุผงสีดำไว้ข้างในถูกชูขึ้นมาเพื่อเทียบให้เห็นความต่าง ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กๆถูกเขียนแปะไว้บนถุง


“คอปเปอร์ออกไซด์”




สาบานได้ว่าตั้งแต่ทำงานเป็นตำรวจของกองพิสูจน์หลักฐานกลางเขาไม่เคยเจอเคสอะไรยากขนาดนี้มาก่อน ยอมรับว่าไม่ได้เก่งจนเกือบจะอัจฉริยะเหมือนกับผู้กองเอกภพแต่เรื่องของการวิเคราะห์เขาก็มั่นใจว่าไม่เคยเป็นรองใคร แต่สำหรับเรื่องนี้เขาเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน

พิชญุฒม์ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หลับตาแล้วยกมือขึ้นนวดเบาๆที่ขมับข้างขวาก่อนจะลืมตาขึ้นมามองกระดาษเจ้าปัญหาสองแผ่นนั้นที่ย้ายมาวางอยู่ตรงข้างๆแลปท็อปของตัวเองแล้วต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ นึกไปถึงอาจารย์ที่คอยเคี่ยวเข็นตัวเองในใจ ถ้าเป็นอาจารย์ที่สอนเขามาก็คงวิเคราะห์ได้ดีกว่าเขาแน่ๆแต่จะให้ไปรบกวนก็ใช่เรื่องเพราะเรียนจบมาก็นานแล้วแถมอาจารย์ก็ยังงานยุ่งมากอีกต่างหาก

พิชญุฒม์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นไปโซนกาแฟเพื่อจะชงกาแฟเข้มๆให้ตัวเองซักแก้ว แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนังก็ต้องเปลี่ยนใจเป็นชงโกโก้ร้อนให้ตัวเองแทน ถึงจะจริงจังกับงานแค่ไหนหรืออยากจะทำต่ออีกซักแค่ไหนแต่การดื่มกาแฟเข้มๆในเวลาตีหนึ่งแบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่...








***ขอทอร์คนิดนึงคะ ออกตัวก่อนว่าเรื่องนี้เคยเป็นแฟนฟิคชั่นเรื่องนึงของเรา มีการปรับพล็อตและโลเคชั่นนิดนึงเพื่อให้เข้ากับการเป็นนิยายแบบไทยๆ แต่พล็อตหลักไม่ได้ปรับอะไรมากเพราะเรารักเรื่องนี้มากจริงๆ ยังไงก็ขอฝากด้วยนะคะ^^

PS. ข่าวดีที่ว่าเรื่องนี้ต้นฉบับจบแล้วค่ะ เหลือปรับอีกนิดหน่อยเพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง งานนี้ไม่มีการดองแน่ๆค่ะ :mew1:
   

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2018 16:24:42 โดย tiutatee »

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บทที่1.


“คืบหน้ามั่งไหมผู้กอง” พิชญุฒน์เอ่ยถามคู่หูที่เดินเข้ามาในชุดเสื้อกาวน์ที่ครั้งนึงเคยขาวกับสภาพหน้าผมที่ยุ่งเหยิง เอกภพทำเพียงแค่ถอนหายใจหนักแล้วส่ายหัว อ่านงานวิจัยหัวแทบแตกแต่ก็ยังไม่สามารถทำการวิเคราะห์ผลที่ออกมาได้เลย
 
“ยากครับสารวัตร จากใจเลยนะครับไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโง่มาก่อนจนมาเจอเคสแบบนี้” พูดจบก็ถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับทำท่าทางเหมือนหนักใจซะเต็มประดา
 
พิชญุฒน์ได้แต่กรอกตาไปมาอย่างหน่ายๆ ไม่ใช่เพราะหน่ายเรื่องที่ยังหาผลการทดลองไม่ได้ แต่หน่ายใจกับคนตรงหน้าซะมากกว่า เอกภพก็เป็นซะอย่างงี้ ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนก็ยังสามารถมองทุกอย่างให้เป็นเรื่องขำขันได้เสมอ บางทีเขาก็รู้สึกโชคดีที่ได้จับพลัดจับผลูมาเป็นคู่หูกัน เพราะถึงเอกภพจะดูขี้เล่นไปนิดนึงแต่เรื่องงานหมอนี่ไม่เคยทำพลาดซักครั้ง
 
“ฉันก็ไม่เห็นว่านายจะฉลาดเรื่องไหนเป็นพิเศษนี่ผู้กอง”

“สารวัตร! ทำไมพูดแบบนี้หล่ะครับ” เอกภพได้แต่อึดฮัดอยู่กัยตัวเองเพราะหมดคำที่จะสวนกลับคนตำแหน่งใหญ่โตกว่า พิชญุฒน์ก็เป็นซะอย่างงี้นอกจากเรื่องงานก็เห็นจะสนใจอะไร “นี่สารวัตรครับผมไม่ได้มานี่เพื่อจะให้สารวัตรด่าอย่างเดียวนะ แค่จะบอกว่ามีเคสด่วนมาแทรก”
 
แฟ้มเอกสารถูกวางลงบนโต๊ะประจำตำแหน่ง พิชญุฒน์เงยหน้ามองคนวางก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบแฟ้มเอกสารนั้นเปิดออกเพื่อดูข้อมูลข้างใน มือก็พลิกกระดาษไปมาก่อนที่แนวคิ้วหนาจะขมวดเป็นปมแล้วโยนแล้วเอกสารในมือลงกับโต๊ะ
 
“แหกคุก? บ้าไปแล้วหรอให้เราไปตามจับนักโทษแหกคุก ไม่คิดว่ามันบ้าไปหน่อยหรอทั้งๆที่เรายังมีคดีที่ใหญ่กว่ามากต้องดูแลและมันก็ยังไม่คืบหน้าเลย แต่จะให้เราแบ่งเวลาไปจับนักโทษแหกคุกเนี่ยนะ? คิดอะไรกันอยู่”
 
บอกตรงๆว่าพิชญุฒน์ไม่เคยรู้สึกหัวเสียกับอะไรมากขนาดนี้มาก่อน ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ว่าเคสที่เขาต้องดูแลอยู่มันร้ายแรงแค่ไหนเพราะมันเกี่ยวกับเรื่องของการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย แต่ก็ยังให้เขาไปวิ่งไล่จับนักโทษแหกคุกที่ไม่ควรจะเป็นงานของเขาเลย มันควรจะเป็นของฝ่ายปราบปรามมากกว่า พิชญุฒน์ส่งเสียงเหอะในลำคออย่าไม่ค่อยพอใจแล้วกลับมาจมอยู่กับหน้าจอแลปท็อปของตัวเองต่อ เอกภพที่ยืนมองอาการของคู่หูก็ได้แต่ยักไหล่ คิดไว้แล้วว่าพิชญุฒน์ต้องออกอาการแบบนี้ ตราบใดที่อีกฝ่ายตั้งใจกับอะไรซักอย่างจนจริงจังแล้วหล่ะก็ยากที่จะดึงพิชญุฒน์ออกมาสู่อีกโลก ถ้าหากเรื่องนั้นไม่น่าสนใจจริงๆสารวัตรพิชญุฒน์ก็จะปล่อยให้มันหายไปตามสายลมนั่นแหล่ะ
 
“ลองดูนี่ก่อนซิแล้วสารวัตรอยากจะลอง เผื่อจะได้เจออะไรสนุกๆ” กระดาษอีกหนึ่งแผ่นถูกยื่นไปตรงหน้าของอีกคน ทั้งๆที่พิชญุฒน์ก็ไม่อยากจะสนใจเท่าไหร่แต่ในเมื่อผู้กองเอกภพยื่นกระดาษมาจนแทบจะทิ่มลูกตาเขาอยู่แล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะอ่านเนื้อความข้างใน

“คลอโรฟอร์ม?” เอกภพก็ยังคงตอบพิชญุฒน์ด้วยท่าทางยักไหล่อย่างไม่ยี่หล่ะแต่ใบหน้าเริ่มเปื้อนยิ้ม

“คลอโรฟอร์มในคุกเนี่ยนะ? จะบ้าไปแล้วหรือไง” เป็นอีกครั้งที่พิชญุฒน์รู้สึกว่าโลกนี้มันแปลกประหลาดขึ้นทุกวัน สารอันตรายขนาดนั้นแต่ดันมาอยู่ในคุกเขาหล่ะเชื่อเลยจริงๆ “เดี๋ยวนี้อนุญาตให้นักโทษพกสารอันตรายเข้าคุกไปด้วยแล้วหรือไง”
 
พิชญุฒน์หงายหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วถอนหายใจแรงๆ สาบานได้ว่านี่ก็เป็นอีกครั้งที่สร้างความงงงวยให้พิชญุฒน์ไม่น้อย คลอโรฟอร์มโดยปกติก็ไม่มีใครพกไปไหนมาไหนอยู่แล้วถ้าไม่ใช่ในห้องทดลองการซื้อขายก็ยากลำบากจะตายสำหรับคนธรรมดา มือหนาถูกยกขึ้นมาลูบหน้าแรงๆแล้วลุกจากเก้าอี้ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อแจ็คเก็ตสีดำสำหรับออกตรวจพื้นที่ที่แขวนไว้ตรงมุมห้องมาสวม
 
 
“นายไปถอดเสื้อกาวน์ออกด้วยนะเอกภพเราต้องไปสำรวจที่เกิดเหตุ”
 
 
 
 

“ห้องนี่อ่ะหรอที่นักโทษที่ชื่ออาชวินเคยอยู่”

“ใช่ครับ”
 
พิชญุฒน์พยักหน้าเบาๆให้กับผู้คุมที่มาอำนวยความสะดวกและคอยให้รายละเอียดกับตัวเอง ห้องขังที่ดูไม่ต่างจากห้องขังอื่นๆ ที่นอนก็ดูออกจะเรียบร้อยกว่าห้องอื่นๆด้วยซ้ำไป ดวงตาคู่คมกวาดไปทั่วห้องก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติอะไร ทุกอย่างอยู่ในที่ๆควรจะอยู่ ร่องรอยบนผนังมีแค่รอยขีดที่คาดว่าเจ้าตัวคงเอาไว้บอกจำนวนวันเวลาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในนี้
 
“ผมขอดูกล้องวงจรปิดหน่อย”
 
เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรผิดสังเกตุพิชญุฒน์จึงหันไปบอกผู้คุมเรือนจำที่เป็นคนพามาดูสถานที่เกิดเหตุ ผู้คุมตอบรับคำอย่างนอบน้อมก่อนจะพานายตำรวจหนุ่มไปยังห้องควบคุม

ภาพหน้าจอที่แสดงจุดต่างๆจากกล้องวงจรปิดที่จับภายในเรือนจำถูกปิดจนเหลือแค่หน้าจอเดียวก่อนจะขยายจนเต็มจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่กลางห้องควบคุม ภาพของนักโทษชายที่อยู่ในชุดนักโทษที่ดูเผินก็เหมือนนักโทษทั่วไปเดินไปเดินมาด้วยใบหน้านิ่งๆ มีบ้างที่เหมือนจะมีเรื่องกับเพื่อนร่วมเรือนจำซึ่งทั้งหมดทั้งมวลดูไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร พิชญุฒน์บอกให้คนคุมเครื่องกรอความเร็วของวิดีโอเพิ่มเพราะถ้าดูในความเร็วระดับปกติคงต้องใช้เวลาในการดูร่วมสามสี่วัน
 
“หยุดก่อนครับ”
 
พิชญุฒน์ส่งสัญญาให้คนคุมเครื่องหยุดภาพที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ ภาพนิ่งที่ปรากฏในจอคือนักโทษชายคนเดิมที่เดินผ่านเข้ามาในเฟรมส่วนมือข้างซ้ายถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว
 
“นั่นมือเขาไปโดนอะไรมาครับ” พิชญุฒน์ถามผู้คุมเรือนจำทั้งๆที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่หน้าจอ

“อาชวินโดนถาดอาหารบาดครับ”

“ถาดอาหารบาด...” พิชญุฒน์ดุนลิ้นไปที่กระพุ้งแก้มอย่างใช้ความคิด คนปกติดีๆที่ไหนจะทำให้ตัวเองโดนถาดอาหารบาดจนต้องพันผ้าพันแผลซะขนาดนี้ “แล้วใครทำแผลให้ หรือว่าเขาเข้าไปทำเอง?”

“โดยปกติห้องพยาบาลจะไม่ค่อยมีใครไปใช้ทำไหร่เลยไม่มีพยาบาลประจำจะมีก็แต่คนคอยดูแล และพวกนักโทษจะทำกันเองแต่ก็มีคนคอยคุมตลอดยกเว้นก็แต่เป็นอะไรรุนแรงถึงจะส่งโรงพยาบาลครับ”

“แล้วก่อนหน้านี้อาชวินมีเคยขออะไรแปลกๆไหม หรือว่าท่าทางอะไรที่ดูมีพิรุธ?”

“ก็ไม่มีนะครับ อาชวินปฏิบัติตัวดีทุกอย่าง ไม่มีเรื่องกับใครนอกจากนักโทษชื่อนพกรที่เข้ามาหาเรื่องบ่อยๆ นอกนั้นก็ดูมีปกติ ยกเว้นเรื่องที่ชอบกินอาหารรสเค็มกว่าคนอื่นหน่ะนะ”

“กินเค็มกว่าคนอื่น?” พิชญุฒน์หันขวับมามองผู้คุมที่กำลังเล่าเรื่องสบายๆเพราะเรื่องที่เจอก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติ

“ใช่ครับ เขามักจะขอเกลือป่นเพิ่มเล็กๆน้อยๆตลอด เป็นอย่างงี้มาซักพักนึงแล้วครับ น่าจะเกือบสามอาทิตย์ได้แล้ว ปกติเขาก็กินรสชาติทั่วไปตามที่ทางเราจัดให้นะแต่เมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่ๆก็ขอเกลือเพิ่มเขาบอกว่าเหมือนเขาจะมีปัญหาเรื่องการรับรสชาติอะไรทำนองนั้น”
 
พิชญุฒน์ขมวดคิ้วมุ่นจนแทบจะผูกกันเป็นปม ริมฝีปากถูกขบกัดตามนิสัยที่ชอบกัดปากตัวเองเวลาใช้ความคิด แล้วอยู่ๆก็ยกมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองดังป๊าบจนสะดุ้งกันไปทั้งห้องควบคุม
 
“ขอบคุณมากนะครับแล้วผมจะรีบตามตัวอาชวินกลับมาให้” ลุกขึ้นยืนกระชับเสื้อโค้ทที่สวมมาก่อนจะโค้งศรีษะเล็กน้อยแทนคำขอบคุณและมารยาทแล้วหันหลังเดินกลับออกมา
 
 

“เข้าใจแล้วใช่ไหมผู้กอง” ทันทีที่เดินพ้นออกมาจากกำแพงเรือนจำพิชญุฒน์ก็หันไปถามคู่หูตัวเองที่เงียบมาตลอดเวลา เขารู้ว่าผู้กองเอกภพไม่ได้ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก แต่อีกฝ่ายแค่กำลังจับสังเกตุทุกสิ่งทุกอย่างเผื่อพิชญุฒน์พลาดไปเอกภพจะได้แน่ใจว่าตัวเองเก็บรายละเอียดทุกอย่างครบ

“ไอ้เข้าใจมันก็เข้าใจอยู่นะครับ แต่ที่สงสัยอยู่คือเขาทำไปได้อย่างไรโดยที่ไม่มีใครรู้สึกระแคะระคายอะไรเลย” เอกภพพูดพร้อมกับเปิดประตูรถยนต์เข้าไปนั่งข้างในโดยที่มีพิชญุฒน์เป็นคนขับ

“การที่อาชวินสกัดคลอโรฟอร์มจากแอลกอฮอล์กับเกลือ ถ้าอยู่ในห้องทดลองผมจะไม่แปลกใจ แต่นี่มันในคุกนะ ในคุกที่ไม่มีทั้งอุปกรณ์และสภาวะเหมาะสมอะไรเลยซักอย่าง มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกที่ใครซักคนจะเอาเกลือมาหย่อนใส่แอลกอฮอล์และปัง กลายเป็นคลอโรฟอร์ม” เอกภพถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาก่อนจะทิ้งตัวพิงไปกับเบาะรถ
 
“นายก็รู้ถึงจะเอาเกลือมาผสมกับแอลกอฮอล์อย่างไงซะมันก็ไม่มีทางได้คลอโรฟอร์มแบบบริสุทธิ์ ใช่อยู่ที่ผลการทดสอบรายงานว่าคลอโรฟอร์มที่ใช้มอมผู้คุมที่เราเจอมันไม่บริสุทธิ์ แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่ได้ผ่านวิธีการอะไรมาเลย จุดเดือดของมันต่ำมากเมื่อเทียบกับสารอีกตัวที่มันผสมอยู่ มันไม่มีทางแยกได้ถ้าไม่ใช่วิธีการกลั่น ซึ่ง.. ในคุกแบบนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีเครื่องมือ”
 
เอกภพถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะปิดเปลือกตาลง ยอมรับว่าการทดลองพื้นฐานแบบนี้มันไม่ได้สร้างความหนักใจหรือลำบากให้เขาเท่าไหร่หรอก ที่เขารู้สึกลำบากคงเป็นเพราะคนทำมากกว่า คงไม่มีนักโทษธรรมดาๆคนไหนที่รู้ทฤษฎีพื้นฐานทางเคมีแบบนี้จนเอามันมาประยุกต์เพื่อหาทางหนีออกจากคุกมาได้หรอก สิ่งที่เขากลัวก็คือคนๆนี้มากกว่า
 
ถ้าคนๆนั้นเป็นแค่คนธรรมดาก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่ใช่....
 
คนลำบากอาจจะเป็นพวกเขา....
 
 
 
 
 
“เอ่อ... ขอโทษครับเสื้อผ้าชุดนี้ราคาเท่าไหร่ครับ?” อาชวินรูดมือไปบนราวเสื้อผ้ามือสองที่ถูกแบกะดินไว้ข้างทาง เสื้อแจ๊คเก็ตตัวไม่หนามากสีเขียวเข้มถูกเลือกหยิบขึ้นมาสวมก่อนจะส่องกับกระจกบานเล็กๆที่พ่อค้าเอามาตั้งไว้

“ร้อยห้าสิบเองหนุ่ม เสื้อตัวนี้ฉันเคยเคยใส่เมื่อสมัยหนุ่มๆใส่แล้วสาวตามกันเป็นพรวน”

“แต่ขอโทษนะครับผมมีแค่ห้าสิบบาทเอง ขอบคุณนะครับ” อาชวินหัวเราะขำๆให้กับกลยุทธ์การขายของพ่อค้าก่อนจะควักเงินยัดใส่มือพ่อค้าแล้วเดินออกมา ปล่อยให้พ่อค้าที่ยังตั้งสติไม่ทันตะโกนด่าตามหลังอยู่ไกลๆ
 
อาชวินล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ตพร้อมกับเดินเร็วๆผ่านป้ายรถเมล์และสะพานลอยเพื่อหลบเข้าไปยังซอยใกล้ๆซึ่งเป็นต้นไม้รกครึ้ม หยุดชั่วครู่เพื่อเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ลอบหยิบมาจากร้านของลุงแบกะดินเมื่อซักครู่ แอบขอโทษคุณลุงท่านนั้นอยู่นใจก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อเตรียมตัวที่จะออกเดินทางต่อ กลิ่นของอิสระภาพนี่มันสดชื่นแบบนี้นี่เองซินะ คิดได้แบบนั้นก็หัวเราะให้กับตัวเองเบาๆ ตอนหนีออกมาก็ไม่ได้คิดหรอกว่าออกมาแล้วจะทำยังไงจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง รู้อย่างเดียวแค่ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนั้นซักเท่าไหร่
 
คิดได้แค่นั้นก็แอบวางแผนทำการทดลองเล็กๆเป็นของตัวเอง ยอมรับว่าตอนแรกก็ไม่มั่นใจว่ามันจะสำเร็จไหม เพราะถ้าพลาดขึ้นมานั่นหมายถึงอิสระภาพของเขาจะต้องถูกริดรอนมากขึ้นกว่านี้แน่ๆ แต่ถ้าสำเร็จเขาก็จะได้อิสระกลับคืนมาถึงแม้จะต้องแลกมาด้วยการมีชีวิตอยู่แบบหลบๆซ่อนๆก็เถอะ ตอนที่เอาคลอโรฟอร์มไปรมผู้คุมก็ลุ้นอยู่เหมือนกันแต่เมื่อเห็นว่าผู้คุมหมดสติเพราะยาสลบที่เขาผลิตเองก็อดดีใจไม่ได้ รีบคว้าเสื้อผ้าของผู้คุมมาเปลี่ยนแล้วเดินออกจากเรือนจำง่ายๆด้วยการแสกนบัตรผ่านของผู้คุมคนนั้น
 
ทันทีที่ออกมาได้ก็แอบซ่อนตัวอยู่กระโปรงหลังของรถเจ้าหน้าที่ที่สภาพกลางเก่ากลางใหม่ นอนอยู่ในนั้นเงียบๆด้วยใจตุ่มๆต่อมๆสุดท้ายพอได้ยินเสียงรถสตาร์ทและเครื่องออกตัวก็ได้แต่โห่ร้องในใจจนรถจอดสนิท รออยู่ซักพักถึงได้แอบออกมาจากกระโปรงหลัง ไม่รู้ว่าเพราะโชคเข้าข้างหรือเขาดวงดีที่ในกระเป๋ากางเกงของเจ้าหน้าที่ที่เขาขโมยชุดมามีเงินติดกระเป๋าอยู่เกือบสองร้อยบาทเลยทำให้เขามีเงินพอจะซื้อเสื้อผ้ามือสองเก่าๆมาใส่แทนชุดผู้คุมเรือนจำนี่และยังพอมีเหลือนิดหน่อยพอเป็นค่ารถเมล์ให้เขาได้หนีไปไกลๆจากจุดนี้ เพราะการใส่ชุดแบบนี้เดินไปเดินมาบนท้องถนนคงทำให้เขาดูเด่นไม่น้อย และคงจะทำให้เขากลับไปนอนอยู่หลังกำแพงสูงนั่นเร็วขึ้นแน่ๆ
 
เด็กหนุ่มในชุดเสื้อแจ๊คเก็ตสีเขียวเข้มเดินทอดน่องผ่านส่วนสาธารณะกลางเมืองช้าๆ อมยิ้มให้กับฝูงนกที่บินร่อนไปมาบนฟ้าแล้วก็วกกลับมาเกาะอยู่ขอบปูนของสิ่งปลูกสร้างที่ทำให้ดูคล้ายสระน้ำ นกพวกนี้ก็แปลก ได้มีอิสระดีๆไม่ชอบ สุดท้ายก็วกกลับบมาเพื่อรอรับอาหารเล็กๆน้อยๆจากพวกมนุษย์อยู่ดี ลองนึกภาพถ้าตัวเองเป็นนกได้ ป่านนี้เขาคงบินไปไหนต่อไหนในที่ๆไกลแสนไกลแล้วแน่ๆ

ส่ายหัวเบาๆให้กับความคิดไร้สาระของตัวเองก่อนจะก้าวเดินต่อไป จริงๆแล้วอาชวินก็แค่เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนึงมีความฝัน มีเพื่อน มีสิ่งที่อยากจะทำมากมาย เขาไม่ใช่เด็กเรียนที่เอาแต่นั่งเนิร์ดใส่แว่นอยู่หน้าห้อง แค่ใส่ใจในส่วนที่คิดว่าจำเป็น สนใจบ้างไม่สนใจบ้างในเรื่องที่คิดว่าไม่มีประโยชน์ แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายเรื่องราวกลับตาลปัตกลายเป็นว่าความเก่งของเขาได้สร้างปัญหาใหญ่หลวงเพราะเขาดันไปรู้เห็นงานวิจัยี่ผิดกฎของอาจารย์และเพื่อนร่วมเซคชั่นบางคนโดยไม่ตั้งใจจนถูกใส่ความและเตะโด่งเขาเข้าไปอยู่หลังกำแพงสูงนั่น

นึกๆไปแล้วก็คิดถึงเพื่อนสมัยเด็กที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ส่วนไหนของภาคเหนือ นิคได้ทุนไปเรียนต่อด้านกีฬาในขณะที่เขาได้ทุนเรียนต่อด้านเคมี วิชาที่มีหลักการง่ายๆแต่หลายๆคนมักไม่ค่อยเข้าใจ เอาจริงๆก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่หรอกเพราะคนเรามักจะมองข้ามเรื่องพื้นฐานไป พอพื้นฐานมันไม่มั่นคงอะไรๆก็พังลงง่ายๆ
 

 
อาชวินเลือกฝากท้องอาหารมื้อเย็นกับร้านมินิมาร์ทข้างทางที่เปิดตลอดเวลาเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่แค่เปิดฝาเติมน้ำร้อนรอสามนาทีก็กินได้ อย่างว่าแหล่ะตอนนี้มีเงินติดตัวอยู่ไม่กี่บาทสิ่งที่พอจะประทังชีวิตได้คงมีแค่นี้ ก็บอกแล้วว่าตอนนั้นก็วางแผนแค่ทำยังไงให้ออกมาได้ แต่ออกมาแล้วจะเป็นยังไงต่อไปก็ยังไม่รู้ ไอ้ครั้นจะใช้ชีวิตค่ำไหนนอนนั่นมันก็ดูจะรันทดไป

เอาจริงๆชีวิตเขาก็ไม่ได้รันทดขนาดเป็นคนไร้บ้านขนาดนั้น เขาก็พอจะมีคนรู้จักอยู่เยอะแยะไปในกรุงเทพมหานคร แต่แน่นอนว่าคนรู้จักก็แค่รู้จักแต่ใช่ว่าจะพึ่งพึงได้เสมอไปแล้วยิ่งกับคนที่เพิ่งแหกคุกออกมาอย่างเขาแล้วก็คงมีแค่คนเดียวนั่นแหล่ะที่ดูน่าจะต้อนรับเขา
 
“เฮ้ออ”
 
ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังจากที่จัดการโยนถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลงถังขยะ ท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงทุกทีๆทำให้ต้องตัดสินใจควักเงินก่อนสุดท้ายในกระเป๋าออกมาเพื่อนับว่ามันพอสำหรับค่ารถที่จะเดินทางจากตรงที่เขาอยู่ไปยังหรือไม่ เมื่อประเมินคร่าวๆแล้วว่าน่าจะพออาชวินก็ไม่รีรอที่จะรีบมายืนตรงป้ายรถเมล์เพื่อพาตัวเองไปยังที่พึ่งหนึ่งเดียวที่คาดว่าเปอร์เซ็นต์การพึ่งพาได้มีสูงที่สุด

เพราะรถของเรือนจำนำเขามาอยู่ในจุดที่แทบจะเป็นหัวใจของเมืองหลวงซึ่งมีทั้งรถไฟฟ้าแล่นผ่านและรถเมล์ที่จอดเรียงราย แต่เขาไม่คิดจะย่นระยะเวลาการเดินทางไปยังจุดหมายให้เร็วขึ้นด้วยรถไฟฟ้าแน่นอนเพราะถ้าขึ้นไปด้วยสภาพนี้คงจะเป็นที่จำจดของผู้คนและเงินที่เหลือติดกระเป๋าอยู่น่อยนิดคงจะหมดในเร็ววัน เด็กหนุ่มเลือกที่จะนั่งลงที่ป้ายรถเมล์หน้าสวนสาธารณะขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในย่านนั้นของกรุงเทพมหานครเพื่อรอรถเมล์สายที่ต้องการ
 

อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งในย่านที่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองมากเป็นที่ๆอาชวินพาตัวเองมาจนถึง เด็กหนุ่มรอจนกว่าจะมีคนเดินผ่านเพื่อเปิดคีย์การ์ดเข้าอพาร์ทเม้นท์จึงได้เดินตามไปและทำทีเสมือนว่าตัวเองก็พักอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์นี้เช่นกัน อาชวินรอจนกระทั่งลิฟท์ขนส่งตัวเล็กพามาจนถึงชั้นที่ตัวเองต้องการก่อนจะหยุดอยู่หน้าห้องเบอร์ 507 เคาะประตูเพื่อให้อีกฝ่ายเปิด

“ให้ฉันเข้าไปข้างในหน่อยซิ” ทันทีที่ประตูเปิดออกอาชวินก็เอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มจางๆ เจ้าของห้องไม่ได้ตอบอะไรกลับนอกจากมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆแล้วเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อเป็นการอนุญาตอีกฝ่าย
 
“ขอบใจมากนะเมฆฉันสัญญาว่าจะตอบแทนนายแน่ๆ”
 
“ก่อนจะตอบแทนฉันช่วยเอาตัวเองให้รอดก่อนนะหมู” เจ้าของชื่อเมฆยักไหล่อย่างเซ็งๆก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นเล็กๆส่งขวดน้ำเปล่าให้อีกคน
 
ห้องพักขนาดเล็กที่มีเนื้อที่เพียงแค่ยัดเตียงขนาดห้าฟุต โต๊ะสำหรับเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้และตู้เย็นไซส์มินิก็เต็มจนแทบไม่มีที่เดิน ถูกอัดแน่นด้วยผู้ชายถึงสองคน แม้คนนึงจะไม่ได้ตัวสูงใหญ่มาก แต่อาชวินก็นึกสภาพไม่ออกจริงๆว่าถ้าต้องอัดกันอยู่ในนี้เขาก็นอนยังไง แต่ก็นั่นแหล่ะนึกไปก็เท่านั้นเพราะตอนนี้ยังไงก็ดีกว่าการออกไปนอนตามสวนสาธารณะหรือป้ายรถเมล์ให้เสี่ยงต่อการโดนลากคอกลับเข้าไปในที่ๆเพิ่งหนีออกมา
                                                                         
“ขอบใจนะ แต่นายแน่ใจนะว่าจะให้ฉันอยู่ด้วยซักพัก นายเอ่อ.. ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับฉันใช่ไหม?” อาชวินถามอีกคนด้วยท่าทางไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่

“เรื่องที่นายโดนโยนเข้าคุกไปเมื่อสองเดือนที่แล้ว แล้วอยู่ดีๆก็มาโผล่ที่หน้าห้องฉันอ่ะหรอ เหอะ ถึงข่าวจะไม่ได้ดังขนาดขึ้นหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ แต่เชื่อซิเด็กมหาลัยเดียวกับนายไม่มีทางพลาดหรอกข่าวแบบนี้” อดิศรหรือที่อีกฝ่ายเรียกว่าเมฆได้แต่กรอกตาไปมาอย่างหน่ายๆให้กับคำถามของอีกคน

“นี่อาชวิน บอกเลยนะว่าที่ฉันช่วยนายเนี่ยไม่ใช่เพราะเต็มใจหรือว่ามีมนุษยธรรมค้ำคอหรอกนะ นายก็รู้ว่าฉันต้องตอบแทนนายก็แค่นั้น” พูดจบก็เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาโยนใส่หน้าคนที่กำลังนั่งนิ่งๆอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือ อาชวินก็แค่รับมาก่อนจะยกยิ้มน้อยๆ
 
ต่อให้อีกฝ่ายจะบอกยังไงและการช่วยเขาครั้งนี้จะเป็นไปด้วยความเต็มใจหรือไม่ ยังไงเขาก็ต้องขอบคุณอดิศรสำหรับความช่วยเหลือในครั้งนี้มากๆอยู่ดี…...





ฝากด้วยนะคะ^^


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ถ้าตามจับกลับไปได้แล้วน่าจะให้อาชวินช่วยเรื่องคดีที่ค้างอยู่นะ
ว่าแต่ไปเห็นอะไรเข้าเนี่ย น่าจะเป็นเรื่องใหญ่พอดูสินะ เลยโดนให้ร้ายจนต้องเข้าคุก แต่มันจะเกี่ยวกับคดีก่อนหน้าไหมนะ

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บรรยากาศยามเช้าของเมืองหลวงเต็มไปด้วยความเร่งรีบและวุ่นวาย อาชวินใส่เสื้อฮู้ดตัวไม่หนามากของอดิศรพร้อมกระชับฮู้ดให้ปิดลงมาคลุมใบหน้าตัวเองล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าทั้งสองข้างก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเข้ามินิมาร์ทเล็กๆที่อยู่ไม่ห่างจากอพาร์ทเม้นท์ของอดิศรมากนัก

เมื่อเช้านี้เขาตื่นมาก็ไม่เจออดิศรแล้วอีกฝ่ายก็คงรีบไปเรียนตามประสานักเรียนทุนดีเด่น เห็นแบบนั้นอดิศรก็เป็นนักเรียนทุนทางด้าน Computer Science ของมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆที่ตั้งอยู่ย่านใจกลางเมืองของที่นี่ที่ไม่รู้ว่าโชคชะตากำหนดหรือคนเบื้องบนกลั่นแกล้งให้ต้องมาพบเจอกับเขา เพราะถ้าอีกฝ่ายไม่มาเจอเขาเราทั้งสองคนก็คงดำเนินชีวิตแบบไม่มีอะไรต้องเกี่ยวโยงกันในเส้นทางอาชีพที่แทบไม่มีวันบรรจบกันได้แน่ๆ เมื่อคืนเขานอนตรงพื้นข้างเตียงที่พอจะมีที่ว่างให้เขาสามารถแทรกตัวลงไปนอนได้ แต่โชคดีหน่อยที่ตรงที่ห้องของอดิศรมีผ้าห่มสำรองหลายผืนเลยเอามาปูนอนบรรเทาความแข็งของพื้นได้

จำได้ว่าเมื่อเช้าตื่นมาห้องนอนก็ว่างเปล่าตอนแรกนึกว่าตัวเองต้องนอนอดตายอยู่บนห้องของอดิศรจนกว่าอีกฝ่ายจะเรียนเสร็จแน่ๆ แต่ตอนเดินไปเข้าห้องน้ำก็เจอกระดาษที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆของอีกคนพร้อมเงินเล็กน้อยที่เอาไว้เอาโต๊ะหน้ากระจกให้เขาประทังชีวิตในวันนี้ก่อนที่ตัวเองจะกลับ

ร่างโปร่งพาตัวเองมาหยุดอยู่ตรงโซนขนมขบเคี้ยว ควักเงินออกมาดูแล้วคำนวณในใจคร่าวๆว่าถ้าแอบเจียดเงินที่อดิศรทิ้งไว้ให้ไปซื้อขนมจะพอมีเหลือเพื่อซื้อข้างเลี้ยงตัวเองจนกว่าจะถึงเย็นวันนี้หรือเปล่า และเมื่อคำนวณแล้วว่าพอแน่ๆสำหรับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสามซองกับของใช้จำเป็นอีกเล็กๆน้อยๆรวมไปถึงไข่ต้มและไส้กรอกที่สามารถนำไปต้มรวมกับมาม่าได้ก็ตัดสินใจหยิบมันฝรั่งทอดมาหนึ่งถุงกับน้ำอัดลมอีกขวดเล็กก่อนจะหอบทั้งหมดไปจ่ายเงิน

“ทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดสิบสามบาทครับ”
อาชวินควักแบงค์ร้อยสองใบจ่ายไปก่อนจะแอบร้องโห่ในใจเบาๆที่ยังมีเงินเหลือติดตัวอีกร้อยกว่าบาท นึกขอบใจอดิศรในใจเบาๆพร้อมกับแอบขอโทษเล็กๆที่เงินที่เหลือนี่อดิศรคงไม่ได้คืนแน่ๆ บางทีเขาก็อาจจะต้องแอบเก็บไว้ในยามที่จำเป็นบ้าง

อาชวินพาตัวเองเดินอย่างไม่เร่งรีบผ่านร้านกาแฟตีแบรนด์ยี่ห้อดัง บรรยากาศภายในที่ดูเชิญชวนให้เข้าไปนั่งจิบกาแฟร้อนๆแล้วก็ได้แต่แอบถอนหายใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงเดินเข้าไปแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ลำพังแค่เงินซื้อกาแฟร้อนซักแก้วตอนนี้ก็พอมีอยู่หรอกแต่ถ้าซื้อแล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนไว้เผื่อฉุกเฉินหล่ะ อดถอนหายใจออกมาเบาๆอีกครั้งไม่ได้ก่อนจะสะดุ้งเบาๆเมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับใครบางที่คนกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ตรงเค้าท์เตอร์ซึ่งหันหน้าออกมายังถนน

ใบหน้าคมคายที่ถูกประดับด้วยดวงตาคู่คมที่ดูแล้วช่างเข้ากับสันจมูกโด่งซึ่งครึ่งหน้าส่วนล่างถูกบดบังด้วยแก้วกาแฟร้อนกำลังนั่งจ้องมาทางเขานิ่ง ดวงตาคมกริบก็ไม่ได้สื่อออกอะไรออกมาเหมือนกับคนที่กำลังนั่งตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง อาชวินหันซ้ายหันขวาเผื่อว่าคนตรงหน้ากำลังเหม่อมองใครซักคน แต่แล้วพอหันกลับมาอีกครั้ง คนที่กำลังนั่งเท้าแขนกับเค้าท์เตอร์แล้วยกกาแฟขึ้นจิบนั่นดันยักคิ้วให้เขาข้างเดียวด้วยใบหน้านิ่งๆอาชวินสะดุ้งเล็กๆก่อนจะรีบกระชับเสื้อฮู้ดของตัวเองให้ปิดลงกว่าเดิมแล้วรีบจ้ำอ้าวออกจากตรงนั้นทันทีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังไม่ปลอดภัยตีขึ้นมาในอกทันที เขาไม่รู้หรอว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร จะดีหรือร้าย เขารู้แค่ว่าสัญชาตญาณบอกแค่ให้รีบกลับไปที่ห้องของอดิศรให้เร็วที่สุดแล้วห้ามออกไปไหนอีกจนกว่าเจ้าของห้องจะกลับมา...

นาฬิกาบนหัวเตียงบอกเวลาเกือบสามทุ่มแล้วแต่เจ้าของห้องก็ยังไม่กลับ อาชวินที่นั่งกอดเข่านิ่งอยู่บนเก้าอี้มองไปยังประตูห้องด้วยความกังวล ก็ต้องยอมรับว่ากำลังเห็นแก่ตัว แต่ตอนนี้เขาแค่อยากให้อดิศรรีบกลับ ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงอดิศร แต่เพราะห่วงตัวเองมากกว่า อย่างน้อยการที่มีเพื่อนอยู่ด้วยก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยมากกว่าการนั่งอยู่คนเดียวในห้องแคบๆนี่แน่ๆ และที่สำคัญไม่มีครั้งไหนที่เขาอยู่กับอดิศรแล้วไม่ปลอดภัย อีกฝ่ายเป็นมากกว่าแค่ที่พักพิงทางกายของเขา

อาชวินเปลี่ยนจากนั่งกอดเข่าเป็นซบหน้าลงกับโต๊ะไม้เย็นเฉียบ ไม่เคยรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเชื่องช้าขนาดนี้มาก่อน เหลือบมองนาฬิกาเข็มยาวเพิ่งเดินผ่านจากตัวเลขเดิมไปแค่ตัวเดียว สาบานได้ว่าขนาดวันเวลาที่เคยรู้สึกว่าเชื่องช้ามากๆอย่างตอนอยู่ในคุกยังรู้สึกว่ามันเดินเร็วกว่าวันนี้มาก

ก๊อก ก๊อก ก๊อก                               
                                     
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำเอาอาชวินลุกพรวดพุ่งตรงไปยังลูกบิด คำว่าหูตั้งหางกระดิกคงใช้อธิบายอาชวินในตอนนี้ได้แน่ๆ มือเรียวจับลูกบิดแน่นด้วยความรู้สึกลิงโลดเมื่อคืนว่าในที่สุดที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของตัวเองกลับมาแล้ว แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนมีใครมาเจาะลูกโป่งแห่งความหวังของตัวเองถ้าหากอดิศรกลับมาแล้วทำไมอดิศรที่เป็นเจ้าของห้อง จะต้องเคาะประตูห้องตัวเองทำไม? กุญแจห้องก็ต้องมีไม่ใช่หรอ ควรจะต้องใช้กุญแจเปิดเข้ามาซิถึงจะถูก

อาชวินปล่อยมือจากลูกบิดก่อนจะก้าวถอยหลังอย่างหวาดๆไปจนหลังติดกับผนังอีกด้าน ถึงแม้จะรู้ว่าต่อให้ใครก็ตามที่อยู่ข้างนอกพังเข้ามาตัวเองก็ไม่มีทางหนีพ้นแน่เพราะระยะห่างจากประตูมาถึงผนังมันก้าวยาวๆแค่สามก้าวก็ถึงแล้ว

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอีกรอบทำเอาอาชวินสะดุ้งตัวโยน มือทั้งสองข้างกำแน่น ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้อดิศรรีบกลับมาก่อนที่ใครซักคนที่อยู่ข้างนอกจะพังประตูเข้ามาได้ หรือไม่ก็ให้คนที่อยู่ข้างนอกนั่นล้มเลิกความพยายามแล้วล่าถอยไปซักที สาบานว่าตัวเองไม่ใช่คนขี้ตกใจ อาชวินมั่นใจว่าตัวเองค่อนข้างเป็นคนมีสติและไม่ใช่คนขี้ขลาดที่หวาดระแวงอะไรไปทั่วแบบนี้ แต่ชีวิตหลักกำแพงสูงนั่นมันเปลี่ยนแปลงทัศนคติหลายๆอย่างของเขาออกไปจนเกือบหมดสิ้น

วันนี้เป็นเพื่อนกันพรุ่งนี้ก็สามารถเป็นศัตรูกันได้ คนที่อ่อนแอมักจะเป็นเหยื่อของคนเข้มแข็งกว่าเสมอ คนที่ไม่สามารถทำตัวเองให้เข้มแข็งได้ก็ต้องหาทางลัดเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดได้ไปวันๆจนกว่าจะถึงวันนี้ที่ตัวจะได้หลุดพ้น

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“หมู หมู!! ไม่อยู่ห้องหรอวะ”

เสียงเรียกชื่อตัวเองที่ตะโกนอยู่หน้าห้องทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งพึมพำชื่อเจ้าของเสียงเบาๆ รีบถลาจากจุดที่ยืนอยู่วิ่งมาเปิดประตู ขบกัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างเผลอตัวก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อคนตรงหน้าคือเจ้าของห้องที่ตัวเองกำลังอาศัยอยู่

“แล้วนี่เป็นอะไรวะ ทำไมหน้าซีดๆตัวสั่นๆแบบนี้” อดิศรเดินเข้าห้องผ่านอาชวินที่ยืนหายใจติดขัดอยู่ตรงประตู อาชวินแค่ส่ายหน้าเบาๆก่อนจะหันไปปิดประตู เพราะเมื่อกี้เขายืนขวางองศาการปิดประตูอยู่เลยต้องเป็นคนปิดประตูเอง

ปัง!!

“เหี้ย!” เสียงประตูที่ปิดดังซะจนคนที่กำลังยืนดื่มน้ำอยู่ต้องสบถออกมาเบาๆ “เป็นบ้าอะไรวะหมู ปิดแรงขนาดนั้นเดี๋ยวก็โดนข้างห้องด่าหรอก แล้วอีกอย่างถ้าประตูมันเป็นอะไรไปฉันไม่มีปัญญาจ่ายค่าซ่อมหรอกนะ”

อดิศรมองอีกคนด้วยสายตาเคืองๆก่อนจะกลับมาสนใจกองหนังสือที่วางอยู่บนหลังตู้เย็นไซส์มินินั่น อาชวินก้มหน้านิ่ง มือทั้งสองข้างสั่นจนรู้สึกว่าตัวเองควบคุมไม่อยู่ ริมฝีปากถูกขบกัดจนแดงช้ำแต่เข้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บนั่นแม้แต่นิด ภาพดวงตาคู่คมที่เขาสบก่อนจะปิดประตูยังคงติดอยู่ในมโนภาพ เจ้าของดวงตาคู่คมนั่นกอดอกพิงผนังห้องที่อยู่เยื้องๆออกไปอีกสองห้องมองมาด้วยท่าทางสบายๆ ตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตุเพราะคนๆนั้นสวมหมวกแก๊ปที่ปีกหมวกปิดมาจนครึ่งหน้า แต่ตอนที่เขาเอื้อมมือไปปิดประตูแล้วต้องเงยหน้ามองอีกฝั่ง คนๆนั้นก็ดันปีกหมวกขึ้นเผยให้เห็นดวงตาคู่คมที่มองมาแบบนิ่งๆ


สายตาที่ไม่อาจเดาได้ว่าเจ้าของกำลังคิดอะไร


สายตาที่ไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย


สายตาที่มีเจ้าของเป็นคนแปลกหน้าคนเดียวกับที่เขาเจอเมื่อเช้าที่ร้านกาแฟ.....



“หมูเป็นอะไรวะดูแปลกๆตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว” อดิศรที่กำลังนั่งอ่านงานวิจัยเพื่อนำเสนอร่างโปรเจคเพื่อส่งอาจารย์อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าเอ่ยกับอีกคนอย่างสงสัย อาชวินนั่งนิ่งๆอยู่ที่โต๊ะกินข้าวมาตั้งแต่ตอนที่ปิดประตูนั่นแล้ว ปกติถึงจะไม่ได้พูดคุยในทุกเรื่องหรือสนิทชิดเชื้อกันมากมายแต่อดิศรก็มั่นใจว่าตัวเองรู้จักอาชวินในระดับที่มากกว่าเพื่อนทุกคนที่อยู่ในประเทศนี้ของคนตัวที่กำลังพยายามยืนนิ่งๆเพื่อระงับอาการตัวสั่นหน้าซีดอยู่นั่น อาชวินไม่ใช่คนที่จะอยู่เงียบๆได้นานขนาดนี้ ท่าทางตอนนี้เหมือนคนสติไม่อยู่กับตัว แค่เขาเรียกเมื่อกี้ก็แอบเห็นว่าอีกฝ่ายสะดุ้งเบาๆ

“เปล่า...” อดิศรเลือกที่จะปล่อยความเงียบให้เข้าครอบคลุมห้องอีกครั้ง แต่คราวหน้าสายตาคู่เรียวที่อยู่ภายใต้กรอบแว่นใสที่ใส่ไว้เพื่อกันรังสีนั่นไม่ได้ละไปไหน ยังคงมองอยู่ที่อีกคนนิ่งๆ

“ฉันคิดว่าบางทีฉันควรจะออกจากที่นี่ไปได้แล้ว ถ้าฉันอยู่ต่อไปบางทีนายอาจจะเดือดร้อน” อดิศรขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายเอ่ย มันแผ่วเบาจนเหมือนว่าอาชวินกำลังพูดกับตัวเองแต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายเอ่ยกับเขา อดิศรกำลังจะอ้าปากเถียงแต่ก็ชะงักเมื่ออีกคนเอ่ยต่อ “เมื่อเช้าฉันออกไปซื้อของกิน ตอนเดินผ่านร้านกาแฟเจอคนแปลกหน้าคนนึงที่นั่น ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรจนเมื่อกี้.... “สายตาหวาดหวั่นถูกส่งไปให้เพื่อนร่วมห้องที่นั่งจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว “ฉันเจอเขาที่นี่ ที่อพาร์ทเม้นท์นี้ ที่ห้องฝั่งตรงข้ามที่ถัดไปอีกสองห้อง เขายืนอยู่ตรงนั้น”

น้ำหนักเสียงที่เบาลงสวนทางกับร่างกายที่เริ่มสั่นขึ้นเรื่อยๆของอาชวิน อดิศรลุกขึ้นจากกองหนังสือที่นั่งอ่านอยู่บนเตียงเดินไปหาคนที่กำลังนั่งตัวสั่นอยู่บนเก้าอี้ มือหนาบีบไหล่คนตัวเล็กกว่าเบาๆแต่อาชวินก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดท่าทางหวาดกลัวนั่นได้ เจ้าของห้องพักตัดสินใจดึงอีกคนให้ยืนขึ้นก่อนจะคว้าเข้ามากระชับกอดแน่นๆ

มือหนาลูบแผ่นหลังที่กำลังสั่นเบาๆ เขาเดาว่าการอยู่หลังกำแพงสูงๆนั่นคงไม่น่าอภิรมย์อย่างถึงที่สุดถึงขนาดที่ทำให้คนที่เคยเข้มแข็งอย่างอาชวินกลายเป็นเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่หวาดกลัวไปซะทุกอย่าง เขาไม่รู้หรอกว่านอกจากเรื่องนี้อาชวินไปมีศัตรูที่ไหนหรือเปล่า คนที่ตามมาอาจจะเป็นตำรวจ หรือจริงๆแล้วอาจจะเป็นแค่พวกอันธพาลที่คอยขูดรีดคนต่างถิ่น ซึ่งมันอาจจะไม่ได้น่ากลัวอะไรอย่างที่อีกคนคิดก็ได้

“สี่สิบแปดชั่วโมงแล้วนะ” เอกภพที่วันนี้อยู่ในชุดเสื้อเชิ๊ตกับกางเกงสแลกไร้ซึ่งเสื้อกาวน์สีขาวแบบที่เห็นบ่อยๆเดินล้วงกระเป๋ากางเกงมาหยุดยืนหน้าโต๊ะทำงานของนายตำรวจหนุ่ม

“อะไร” น้ำเสียงทุ้มติดจะรำคาญของพิชญุฒน์ทำเอาคนที่เข้ามาก่อกวนแต่เช้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“สี่สิบแปดชั่วโมงแล้วนะครับที่สารวัตรพิชญุฒน์ปล่อยผู้ร้ายแหกคุกลอยนวลอยู่ได้ป่านนี้หนีออกนอกประเทศไปแล้วมั้ง ฝีมือตกหรือไงครับหัวหน้า” พิชญุฒน์เงยหน้าจากแลปท็อปเครื่องเก่งมามองคนช่างกวนประสาทก่อนจะกรอกตาไปมาอย่างหน่ายๆชีวิตเอกภพนี่ว่างมากหรือไง แม้อีกฝ่ายจะมียศที่ต่ำกว่าแต่เรื่องของความสนิท เอกภพเรียกได้ว่าเป็นทั้งมือขวาและเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานที่เขาไว้ใจที่สุดในเวลาเดียวกัน

“ฉันเจอเขาแล้ว” คำตอบของสารวัตรหนุ่มทำเอาคนที่กำลังตั้งท่าจะแซวเบิกตาโตเท่าที่ดวงตาคู่นั้นจะทำได้ “อยู่ในกรุงเทพไม่ใกล้ไม่ไกลจากแถวนี้แหล่ะ ไม่ใกล้ ไม่ไกล เส้นผมบังภูเขามาก” พูดแค่นั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้นายตำรวจคนสนิทบ่นเป็นหมีกินผึ้งที่พิชญุฒน์ไม่ยอมบอกเล่าความคืยหน้าของคดีให้ตัวเองรู้อย่างตัวเองเลย

ก็อย่างที่พิชญุฒน์บอก เส้นผมบังภูเขาใครจะไปคิดว่าอาชวินจะเดินมาให้เจอง่ายๆโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรซักอย่าง เมื่อวานนี้เขากะว่าตอนเช้าจะเข้ามาหาข้อมูลเกี่ยวกับอาชวินที่กรมตำรวจ แต่ระหว่างที่นั่งกินกาแฟหลังจากไปฟิตเนสในตอนเช้าอาชวินดันมาหยุดอยู่ตรงหน้า

แม้จะมีกระจกกั้นอยู่แต่ก็นึกแปลกใจตัวเองที่ไม่รีบวางกาแฟแล้วกระโจนออกไปลากคอซะตั้งแต่ตอนนั้น แถมยังใจดีปล่อยอีกคนให้หนีรอดไปได้ด้วย แต่อย่าคิดว่าเขาจะใจดีขนาดปล่อยให้นกตัวน้อยบินหนีไปไหนไกลหรอกนะ พิชญุฒน์ลุกตามหลังจากที่อีกคนรีบเดินจ้ำอ้าวหนีไปแบบเรื่อยๆและไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่ได้ทิ้งระยะให้อีกฝ่ายคลาดสายตา จนกระทั่งเห็นหลังของอีกคนหายเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์เล็กๆที่ดูแล้วน่าจะมีแต่นักศึกษาเป็นส่วนใหญ่ก็หันหลังกลับมาพร้อมรอยยิ้มเล็กๆที่ผุดขึ้นตรงมุมปาก ใครจะไปคิดว่าอพาร์ทเม้นท์ที่อาชวินอาศัยอยู่ตอนนี้จะตั้งอยู่หลังคอนโดของตัวเองเพียงแค่เดินไม่ถึงสามนาทีก็ถึงกันเล่า

หลังจากที่รู้ว่าผู้ต้องหาที่อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเองมีแหล่งที่พักอยู่ใกล้ขนาดนี้พิชญุฒน์ก็รู้สึกว่าการทำงานของเขาวันนี้มันช่างราบรื่น ทุกอย่างดูจะเป็นใจไปซะหมด จนตัวเองมีเวลาเหลือมานั่งสืบค้นประวัติของผู้ต้องหาในคดีที่ตัวเองต้องดูแลรับผิดชอบอยู่ ค้นไปค้นมาก็มาก็เลยรู้ว่าอพาร์ทเม้นท์นั้นเพื่อนของอาชวินที่ชื่ออดิศรเป็นเจ้าของห้อง แถมมีดีกรีเป็นนักเรียนทุนด้วยแต่เท่าที่สืบมาอาชวินก็ไม่ได้มีแค่อดิศรคนเดียวที่เป็นเพื่อน ถ้าเจ้าตัวคิดจะหนีไปไกลๆจริงๆก็สามารถทำได้ง่ายๆ

“รฐนนท์ เจริญโรจน์งั้นหรอ” ภาพถ่ายหน้าตรงที่ปรากฎขึ้นในจอแล็ปท็อปยิ่งทำให้มุมปากของนายตำรวจหนุ่มยกขึ้นอีก

ประวัติส่วนตัวที่ปรากฎขึ้นบ่งบอกว่าคนที่พิชญุฒน์กำลังอ่านอยู่มีส่วนเกี่ยวกันยังไงกับนักโทษของเขา รฐนนท์ มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของอาชวิน แม้ประวัติของรฐนนท์จะไม่ค่อยชัดเจนแต่ประวัติของอาชวินที่เขาสืบค้นมาค่อนข้างชัดเจนทีเดียว ก็นะ นักเรียนทุนถ้าประวัติไม่ชัดเจน ระบุตัวตนไม่ชัดก็คงยากที่ใครจะยื่นทุนมาให้ต่อให้เก่งแค่ไหนก็เถอะ

แต่ประวัติที่ชัดเจนใครกันหล่ะที่เป็นคนตัดสินว่าทั้งหมดนั่นถูกต้อง ตราบใดที่เจ้าของยืนยันว่ามันถูก ต่อให้คนอื่นคัดค้านแค่ไหนผลสุดท้ายมันก็ออกมาถูกอยู่ดีนั่นแหล่ะ

อาชวินเกิดที่จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือแต่ตามประวัติบอกว่ามาโตที่ชานเมืองของกรุงเทพโดยอาศัยอยู่กับลูกพี่ลูกน้อง คนๆนั้นก็คือรฐนนท์ แต่สุดท้ายก็ได้ทุนมาเรียนต่อทางด้านวิทยาศาสตร์เคมีที่มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของกรุงเทพโดยบริษัทที่ให้ทุนเป็นบริษัทจิวเวลี่ ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเอาความรู้ที่มีของอาชวินมาประยุกต์ใช้ได้กับธุรกิจซักเท่าไหร่

บริษัทอัญมณีทำไมไม่ให้ทุนพวกนักออกแบบหรือนักอัญมณี แต่มาให้ทุนกับนักเคมีที่ไม่มีแบคกราวน์เกี่ยวกับเรื่องของจิวเวลี่เลยเนี่ยนะ?

พิชญุฒน์ใช้เวลากับกองเอกสารประวัติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนักโทษรายนี้จนเกือบสองทุ่มถึงจะเก็บเอกสารทุกอย่างใส่กระเป๋าแล้วออกจากห้องทำงานไป แต่จุดหมายก็ไม่ใช่ห้องของตัวเองเหมือนอย่างทุกวัน อพาร์ทเม้นท์กลางเก่ากลางใหม่นั่นต่างหากที่เป็นจุดหมายหลักของวันนี้

พิชญุฒน์เดินเข้ามาในอพาร์ทเม้นท์ในตอนเวลาเกือบๆสามทุ่ม หลังจากที่สืบค้นจนพบตารางเรียนของอดิศรที่เป็นเจ้าของห้องและพบว่าอีกฝ่ายกำลังเรียนอยู่และคลาสจะเลิกประมาณสองทุ่ม พอลองบวกลบเวลาเดินทางก็คาดว่าอีกคนน่าจะกลับมาไม่เกินสามทุ่ม ช่วงขาเรียวใต้กางเกงยีนส์ก้าวอย่างไม่เร่งรีบไปยังโซนเครื่องดื่มตรงหน้าอพาร์ทเม้นท์ และยืนจิบกาแฟกระป๋องที่แวะซื้อมาตากร้านสะดวกซื้ออย่างใจเย็น บรรยากาศภายนอกไม่ได้ร้างผู้คน แต่ก็ไม่ได้มีผู้คนพลุกผ่านซักเท่าไหร่ พิชญุฒน์เดินไปทิ้งกระป๋องน้ำที่ดื่มหมดแล้วลงถัง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับใครบางคนที่เขากำลังรออยู่เดินผ่านมาพอดี

พิชญุฒน์เดิมตามอดิศรที่กำลังยุ่งอยู่กับการหาอะไรซักอย่างในกระเป๋าที่ตัวเองสะพายมา แต่เหมือนจะหาไม่เจอ เพราะใบหน้านั้นฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน พิชญุฒน์เดินตามอดิศรห่างเพื่อไม่ให้อีกคนรู้ตัว จากการคาดเดาพิชญุฒน์คิดว่าอดิศรน่าจะลืมกุญแจ และถ้าเป็นแบบนั้น กว่าอีกฝ่ายจะเข้าห้องได้คงมีช่วงเวลาที่เขาสามารถคลาดสายตาจากอีกฝ่ายได้ประมาณหนึ่งถึงสองนาที ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลดีกับเขาแน่ๆเพราะมันคงไม่สามารถทำให้อดิศรสงสัยได้แน่ๆ

พิชญุฒน์ปล่อยให้อีกคนคลาดสายแค่ตรงทางเลี้ยงหลังจากขึ้นบันได แอบฟังเงียบๆไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอยู่ซักพัก แล้วตามมาด้วยเสียงตะโกนก่อนจะเงียบหายไป พอโผล่มาอีกทีก็เห็นอดิศรกำลังเดินเข้าห้องพร้อมกับนักโทษของเขาที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู พิชญุฒน์ทิ้งตัวพิงกำแพงห้องใครซักห้องนึงเพื่อรอจังหวะให้คนที่ปิดประตูหันมาเห็น แล้วโชคก็เข้าข้างเขาเพราะทันทีที่สบตาเสียงประตูปิดก็ดังขึ้นแทบจะทันที

“หึ”

สารวัตรหนุ่มหัวเราะในลำคอเบาๆอย่างอารมณ์ดี วันนี้จะใจดียอมปล่อยนักโทษคนเก่งให้ได้มีเวลาชื่นชมกับอิสรภาพที่ตัวเองดิ้นรนหามาได้ต่ออีกซักสิบยี่สิบชั่วโมง แต่ถ้าวันพรุ่งนี้มาถึงเมื่อไหร่ คำว่าอิสรภาพก็คงจะอยู่ได้แค่ในความฝันเท่านั้นแหล่ะมั้ง อาชวิน เจริญโรจน์




ฝากด้วยนะคะ^^

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อาชวินก็ไม่ใช่คนธรรมดาสินะ จากประวัติแล้วก็น่าสงสัยอย่างที่ว่า
แต่น่าสงสารอะ โดนปั่นหัวเสียแล้ว

ออฟไลน์ Honyuchum

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบสำนวนการเขียนมากเลยค่ะ มีลิ้งค์ฟิคไหมคะ อยากอ่านต่อแล้ว ชอบมากกกกกก  :hao7:

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ชอบสำนวนการเขียนมากเลยค่ะ มีลิ้งค์ฟิคไหมคะ อยากอ่านต่อแล้ว ชอบมากกกกกก  :hao7:

ฟิคเรื่องนี้เราลบไปแล้วค่ะ เอามารีไรท์ใหม่หมดเลย ตามอ่านได้ในนี้เลยน๊า^^

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

แสงแดดอ่อนๆยามเช้าที่ส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์เสมอสำหรับคนที่ชอบตื่นเช้า แขนยาวเหยียดออกเพื่อยืดกล้ามเนื้อหลังจากที่นอนหลับมาทั้งคืนทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา พิชญุฒม์นอนนิ่งอยู่อีกซักพักถึงได้ลืมตาขึ้น ช่วงขาเรียวที่อยู่ภายใต้กางเกงนอนเดินไปยังริมหน้าต่างเพื่อมองวิวทิวทัศน์ยาวเช้าของกรุงเทพมหานครจากชั้นสิบแปดของคอนโดหรู


วันนี้แล้วซินะที่เขาควรจบเกมส์เล่นซ่อนหาแบบเด็กๆกับนักโทษคนเก่งซักที


ร่างกายกำยำที่ท่อนบนเปลือยเปล่าและท่อนร่างที่ถูกห่อหุ้มด้วยกางเกงนอนขายาวเดินเข้าห้องน้ำที่อยู่ภายในห้องนอนเพื่อจัดการกับธุระส่วนตัว เสียงฮัมเพลงดังขึ้นเบาๆภายในห้องน้ำบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของห้องได้ดี ใช้เวลาในห้องน้ำเพียงไม่นานก็มายืนเลือกเสื้ออยู่หน้าตู้เสื้อผ้า เขาไม่คิดว่าการอาบน้ำนานจะช่วยให้มันสะอาดกว่าปกติตรงไหนสำหรับเขาเวลาทุกวินาทีมีค่ามากเสมอ

พิชญุฒม์พาตัวเองที่อยู่ในชุดตำรวจเต็มยศเตรียมพร้อมสำหรับการไปทำงานเดินยังห้องครัวขนาดย่อม คอนโดหรูถูกแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจนทั้งห้องครัว ห้องนอน ห้องรับแขก และห้องน้ำเล็กที่อยู่ข้างๆห้องรับแขก ที่คุณแม่คนสวยของเขาซื้อให้หลังจากที่เขาสอบติดนายร้อยอยู่ที่กองพิสูจน์หลักฐานหลังเรียนจบปริญญาตรีเพื่อให้สะดวกแก่การไปทำงานและเพื่อความเป็นส่วนตัวของเขา และอาหารเช้าง่ายๆตามสไตล์พิชญุฒม์ก็คือกาแฟดำหนึ่งแก้ว ขนมปังปิ้งสองแผ่น และไข่ดาว ซึ่งนายตำรวจหนุ่มสามารถจัดการตั้งแต่ทำอาหารง่ายๆไปจนล้างจานเก็บในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที

เช้าวันนี้ที่ห้องทำงานของสารวัตรพิชญุฒน์ดูบรรยากาศสดใสจนคนที่เดินเข้ามาใหม่ต้องเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ห้องทำงานที่ปกติเงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงด่าในใจแต่วันนี้มีเพลงสากลที่กำลังฮิต เปิดคลออยู่เบาๆ จนเอกภพต้องส่ายหัวแรงๆ เป็นคู่หูกันมาจะสามปีครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่สารวัฒน์พิชญุฒม์เปิดเพลงคลอระหว่างทำงาน

“สารวัฒน์ ไข้ขึ้นหรอครับ?” ไม่ว่าเปล่า เอกภพเดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานพร้อมกับยื่นหลังมือไปอังหน้าผากจนโดนอีกคนปัดออกและตอบกลับมาเป็นท่าทางยักไหล่อย่างไม่ใคร่จะใส่ใจกับคำถามเท่าไหร่

“สารวัตรครับ ผมถามจริงๆช่วงนี้สารวัตรทำงานเยอะไปหรือเปล่าครับ”  เอกภพพูดพร้อมกับพิงสะโพกไปที่โต๊ะทำงานของอีกคน “ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นอารมณ์ดีขนาดนี้บางทีผมคิดว่าสารวัตรอาจจะอยากลาพักร้อนหรือเปล่าครับ”

“เพ้อเจ้อน่าผู้กอง แล้วนี่ว่างมากหรือไงถึงได้เตร่ไปเตร่มากวนชาวบ้านเขาแบบนี้เนี่ย”

“ก็แหมใครมันจะไปนั่งทำงานตลอดเวลาได้หล่ะครับ มันก็ต้องมีพักสมองกันบ้าง”

“พักตลอดเวลาหล่ะซิงานถึงไม่คืบหน้าซักที” เอกภพได้แต่หัวเราะอย่างขำๆเมื่อคนที่มียศสูงกว่าเอ่ยอย่างรู้ทัน ไม่เคยจะมีซักครั้งหรอกที่คนที่เป็นทั้งหัวหน้าและคู่หูที่มักจะพูดน้อยของเขาจะปล่อยหมัดเบาๆ ขนาดร่วมงานกันมาก็นานสารวัตรพิชญุฒม์ก็ยังไม่เคยจะสร้างความประทับใจอะไรกับเขาด้วยคำพูดหว่านล้อมเหมือนคนอื่น ถึงพิชญุฒม์จะไม่ใช่คนพูดน้อยจนเหมือนคนใบ้แต่ก็ใช่ว่าจะเสวนากับทุกเรื่องบนโลกนี้เสียเมื่อไหร่ นึกอยากจะให้ทำอะไรก็พูดตรงๆที่แถมมาด้วยสายตาจริงจังจนคนอื่นไม่กล้าขัด จะว่ายังไงหล่ะถ้าเทียบพิชญุฒม์กับการ์ตูนเรื่องโปรดของเอกภพอย่างวันพีซ พิชญุฒม์คงมีพลังจิตพิเศษที่ในการ์ตูนเรื่องนี้เรียกว่าฮาคิจอมราชันย์ก็ได้มั้ง แล้วแบบนี้ใครจะขัดได้หล่ะ

“แล้วตกลงมาทำไมคงไม่ได้มาพักสมองเฉยๆหรอกมั้ง” คนตำแหน่งสูงกว่าเอ่ยพลางเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย

“สารวัตรอย่ามารู้ทันผมน่า” เบะปากอย่างกวนๆจนพิชญุฒม์ได้แต่ส่ายหน้าเอือมๆ “ก็เรื่องนั้นแหล่ะ อาชวิน”

“ถ้าเรื่องนั้นหล่ะก็ เตรียมเคลียร์พื้นที่ได้เลยไม่เกินเที่ยงวันของพรุ่งนี้นายคงได้สอบสวนสมใจอยากแน่” พูดจบก็ปิดแลปท็อปของตัวเองพร้อมกับรวบเอกสารที่กองเกลื่อนอยู่บนโต๊ะให้เป็นกองรวมกันอย่างลวกๆ

“สารวัตรแน่ใจหรอครับว่าจะจับเด็กนั่นยัดเข้าตะรางเหมือนเดิมอ่ะ ผมว่าคิดใหม่ได้นะ” น้ำเสียงจริงจังของผู้กองเอกภพไม่ได้ทำให้พิชญุฒม์เงยหน้าขึ้นมามองอีกคนแต่อย่างใด คนตัวสูงเดินไปคว้าเสื้อแจ็คเก็ตที่อยู่ตรงที่แขวนขึ้นมาใส่ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าแลปท็อปมาถือไว้

“ฉันก็ไม่ได้บอกนี่ว่าจะจับอาชวินยัดเข้าไปอยู่ในตะรางเหมือนเดิม อ่อ แล้วก็ออกจากห้องฉันภายในหนึ่งนาทีด้วยถ้าไม่อยากให้สัญญาณเตือนดัง แล้วก็... ปิดไฟปิดแอร์ในห้องให้ด้วยนะ”

สาบานได้ว่านั่นเป็นประโยคที่นอกเหนือจากเรื่องงานที่สารวัตรพิชญุฒม์พูดแบบไม่เปิดช่องไฟให้เขาแทรกได้และเป็นประโยคที่ทำให้เอกภพอยากจะวิ่งไปสกัดขาอีกคนให้กลิ้งตกบันไดไปซะถ้าทำได้ แต่ติดอยู่อย่างเดียว สารวัตรพิชญุฒม์ดันมีศักดิ์เป็นหัวหน้าโดยตรงของเขาและเป็นคู่หูเขาซะด้วย....

เช้านี้อาชวินตื่นมาด้วยอาการเหมือนคนนอนไม่เต็มที่ ถ้านอนเต็มที่ก็คงจะแปลกเกินไปเพราะเมื่อคืนกว่าจะหลับได้ก็ซัดไปเกือบตีสองแถมไม่ได้หลับสนิทด้วย ได้ยินเสียงอะไรนิดๆหน่อยๆก็สะดุ้งตื่น ขนาดเสียงอดิศรนอนพลิกตัวก็ยังทำเอาเขาสะดุ้งจนต้องลุกขึ้นมานั่งมองรอบๆ

โดยนิสัยพื้นฐานตัวเองไม่ใช่คนขี้ระแวงหรือจิตตกกับทุกๆอย่างแบบนี้ อาจด้วยเพราะเขาเพิ่งก่อคดีแหกคุกออกมา จะให้เขามานอนวางใจกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็ดูจะเป็นคนโลกสวยจนเกินไป ถึงเขาจะไม่ใช่คนผิด ก็แค่แพะรับบาปคนนึงแต่ในเมื่อเขาไม่มีหลักฐานอะไรไปสู้ ลำพังแค่คำพูดเขาว่าไม่ได้ทำก็คงไม่มีคนเชื่อ แล้วอีกอย่างตอนนั้นเขาก็เป็นคนยอมรับเองว่าตัวเองเป็นคนขโมยข้อมูลในระบบสารสนเทศกลางของมหาวิทยาลัยไปถ้าจะกลับคำตอนนี้มันก็จะดูเป็นการแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นแน่ๆ

อาชวินปล่อยให้ตัวเองนอนมองเพดานนิ่งๆแบบนั้นอยู่ซักพัก เตียงนอนของอดิศรว่างเปล่าถ้าเดาไม่ผิดอดิศรคงไปเรียนตามประสานักศึกษาทั่วไปนั่นแหล่ะ คิดมาถึงตรงนี้ก็อยากจะหัวเราะให้ตัวเองดังๆ ความฝันที่อยากเป็นนักวิจัยคิดค้นอะไรใหม่ๆ ได้ทำการทดลองอยู่ในห้องแลป นึกสภาพตัวเองใส่เสื้อกาวน์แล้วก็ต้องหัวเราะในลำคออย่างนึกสมเพชตัวเอง ทุกอย่างพังทลายหมดไม่เป็นท่า แต่เขาก็ไม่คิดจะโทษใครในเมื่อคนข้างบนคงจะกำหนดมาให้เป็นแบบนี้ ซึ่งเขามาได้แค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว


แกร๊ก

เสียงประตูห้องเปิดออกทำเอาอาชวินลมหายใจสะดุด แต่พอเห็นว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาเป็นเจ้าของห้องก็แอบถอนหายใจเบาๆ อดิศรที่มีผ้าเช็ดตัวเดินพาดบ่าเข้ามาอาชวินเดาว่าอีกคนน่าจะไปวิ่งออกกำลังกายมาซึ่งผิดคาดกับตอนแรกที่คิดว่าอดิศรน่าจะไปเรียน

“วันนี้นายไม่มีเรียนหรอ” เร็วเท่าความคิดริมฝีปากอิ่มก็เปล่งคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวออกไป อดิศรยักไหล่เบาๆอย่างตอบรับคำถามนั้นกลายๆก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำที่อยู่ปลายสุดของห้องไป

หลังจากที่อดิศรออกมาจากห้องน้ำทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก อดิศรเดินไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนเตียงนอนแล้วคว้าเอาแลปท็อปที่อาชวินขอเรียกว่าแลปท็อปคู่ใจ เพราะแลปท็อปเครื่องนี้เขาเห็นอดิศรใช้มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ถ้าจะให้เดาอายุจริงๆของมันคงเดายากแต่บอกได้แค่ว่ามันอึดมากที่อยู่มาได้ขนาดนี้ บางทีอาชวินก็สงสัยนะว่าในเมื่ออดิศรเรียนทางด้านไอทีทำไมไม่ใช้แลปท็อปที่มันดูทันสมัยหรือฟังก์ชั่นการใช้งานที่มันเข้ากับยุคสมัยซะบ้าง แต่ก็นะ เขาไม่ได้เรียนสายนี้มาเขาก็ไม่อยากออกความเห็นมาก

อาชวินที่เหลือบไปเห็นนาฬิกาที่วางอยู่บนหลังตู้เย็นตรงใกล้ๆหัวนอนตัวเองบอกเวลาเที่ยงกว่าๆแล้วถึงได้ขยับเขยื้อนพาตัวเองไปอาบน้ำบ้าง นอนหลับไปอีกรอบหลังจากที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อเช้าร่วมชั่วโมงพอตื่นมาท้องเลยประท้วงให้รีบๆลากสังขารไปหาอะไรมาให้น้ำย่อยได้ย่อยบ้าง

“เมฆหิวแล้วอ่ะ ไปหาอะไรกินกัน” เดินออกจากห้องน้ำมาได้ก็เอ่ยเรียกเพื่อนร่วมห้องทั้งๆที่ผ้าเช็ดตัวก็ยังแปะอยู่บนกลุ่มผมนุ่มนั่นแหล่ะ เพราะอาชวินรู้ว่าหลังจากเรียกอดิศรต้องรอไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมงนู้นแหล่ะถึงจะได้ออกไปข้างนอก

“อืม แปปนึงนะ” คนตัวเล็กกว่าแค่ยักไหล่เพราะรู้อยู่แล้วว่าคำตอบคงจะออกมาแนวนี้แล้วพาตัวเองไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าวปล่อยให้เจ้าของห้องนั่งพิมพ์อะไรต๊อกแต๊กอยู่หน้าจอคอมต่อไป เอาจริงเขาก็ไม่คิดจะเร่งอดิศรหรอกเพราะเขารู้ว่าการที่คนเรากำลังติดพันกับอะไรซักอย่างที่ตั้งใจมากมันเป็นยังไง เพราะครั้งนึงเขาก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน

กว่าที่อาชวินและอดิศรจะออกจากห้องได้เวลาก็ล่วงเข้าไปเกือบบ่ายสอง โชคดีที่วันนี้แดดไม่ได้แรงมาก ช่วงเวลาบ่ายสองแบบนี้เลยยังพอเดินได้แบบไม่ต้องถึงขั้นลิ้นห้อย สุดท้ายอาชวินและอดิศรก็เลือกจะฝากท้องไว้กับร้านอาหารที่เปิดอยู่ริมทางบรรยากาศดีที่ไม่ได้อยู่ไกลจากอพาร์ทเม้นท์ที่อยู่มากนัก

ช่วงเวลาบ่ายสองแบบนี้ในร้านคนไม่แน่นมากนักแต่ทั้งคู่ก็ยังเลือกออกมานั่งในโซนที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ระหว่างมื้ออาหารไม่ได้มีการพูดคุยของทั้คู่มากนัก อาจด้วยว่าอาชวินหิวจัดและอดิศรขี้เกียจชวนอีกคนคุย

“หมูอ่ะฉันให้ ใส่นี่ไว้”

หลังจากที่จัดการอาหารเช้าที่รวบกับอาหารกลางวันกึ่งเย็นเรียบร้อยอาชวินก็ขอปลีกตัวจากอดิศรเพื่อจะนั่งรถเมล์ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะขนาดใหญ่ไม่ไกลจาที่พัก เพราะการอุดอู้อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆมันไม่ใช่ตัวตนของเขาเท่าไหร่ยกเว้นเสียแต่ห้องนั้นจะเป็นห้องแลปอ่ะนะ แต่ก่อนจะไปอดิศรก็ดันเรียกไว้ซะก่อนพร้อมกับยื่นนาฬิกาข้อมือสไตล์สปอร์ตสีดำให้

“ใส่ไปเหอะน่า นายจะได้กะเวลากลับบ้านถูกไม่ใช่มองแต่แสงอาทิตย์หรือไปไล่ถามคนอื่นเขา” เมื่อเห็นอีกคนยืนงงเป็นไก่ตาแตกอดิศรเลยยึดข้อมืออีกคนมายัดนาฬิกาเรือนนั้นใส่ข้อมือให้เสร็จสรรพ

“ขอบใจนะเมฆ สัญญาว่าจะรีบกลับบ้าน” พูดจบก็ยิ้มกว้างจนดวงตาคู่กลมหยิบหยีพร้อมกับยกแขนข้างที่มีนาฬิกาขึ้นมาเป็นทำนองว่ามีเวลาแล้วไม่ต้องกลัวหรอกน่า อดิศรชอบรอยยิ้มแบบนี้ของอาชวินรอยยิ้มทีเวลายิ้มแล้วดวงตาก็เหมือนจะยิ้มตามไปด้วย แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ค่อยชอบยิ้มเท่าไหร่ อาชวินเวลานี้ดูเหมือนลูกกระต่ายตัวเล็กๆที่กำลังชูขาหน้าที่ใส่กำไลอยู่ให้เจ้าของดูไม่มีผิดในความคิดของอดิศร

เจ้าของเรือนร่างสูง 178 เซ็นติเมตรที่ไม่ได้ผอมบางแต่ก็ไม่ได้กำยำมากนักเพราะเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการอ่านหนังสือและอยู่ในห้องทดลองจนไม่มีเวลาได้ไปออกกำลังกายเหมือนคนอื่นๆ อาชินเดินเอื่อยๆมาตามถนนสายหลักหลังจากที่ลงจากรถเมล์ก่อนจะลัดเลาะไปตามทางเข้าสวนสาธารณะที่ใกล้กับป้ายรถเมล์ที่สุด ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงส่วนที่ร่มสงบและมีผู้คนไม่เยอะมาก อาชวินพาตัวเองไปนั่งตรงม้านั่งริมบึงเล็กๆที่ถูกสร้างขึ้นมา ปล่อยให้ความรู้สึกหน่วงๆที่มีพัดไปกับลมเบาๆริมบึงก่อนจะหลับตาลง แค่พักสายตาเผื่อคิดอะไรออกมากกว่าเดิม

ตอนที่เขาเด็กๆเคยมีคนบอกเขาว่าแค่เราหลับตาเราก็จะเจอโลกของเรา และเขาก็เชื่อแบบนั้นมาตลอด เวลาที่รู้สึกไม่ดีหรือเครียดจากอะไรซักอย่างหรือแม้กระทั่งทำการทดลองแล้วผลการทดลองไม่ออกเขาก็ต้องไปหลบหามุมสงบๆเพื่อพักสายตาเหมือนที่ใครซักคนเคยบอกไว้ บางทีมันอาจจะเป็นคำพูดหลอกเด็กก็ได้ แต่ตราบใดที่เขาทำแล้วรู้สึกดีเขาก็มองว่าคำพูดนั้นมันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อหลอกเขาแหล่ะน่า

ไม่รู้ว่าปล่อยให้ตัวเองหลับตาไปนานแค่ไหน แต่รู้สึกตัวอีกทีที่นั่งข้างๆก็มีคนมานั่งลงแล้ว อาชวินไม่ได้ขยับหนีหรือแม้กระทั่งหันไปมอง ก็ในเมื่อที่นั่งนี่มันที่สาธารณะ ใครจะมานั่งก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ เขาปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมตัวเองและคนแปลกหน้า พอก้มมองนาฬิกาสีดำที่ข้อมือถึงได้รู้ตัวว่าเขานั่งอยู่ที่นี่มาร่วมสองชั่วโมงแล้ว เขาคิดว่ามันถึงเวลาที่เขาควรจะกลับบ้านได้แล้วหล่ะ

แต่พอกำลังจะลุกแรงกระตุกที่ข้อมือก็ทำให้ต้องขมวดคิ้ว พอหันไปเห็นว่าใครเป็นเจ้าของมือปริศนาที่ยื่นมาจับข้อมือเขาไว้ดวงตาคู่กลมก็เบิกกว้าง อาการต่อต้านแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดเจนจนคนแปลกหน้าที่นั่งอยู่ต้องยกยิ้มที่มุมปาก

“ปล่อยดิวะ”  อาชวินพยายามขืนข้อมือตัวเองเท่าที่ความสามารถของร่างกายจะอำนวยแต่เหมือนก็ไม่ได้ส่งผลอะไรเพราะอีกฝ่ายเหมือนคนที่ผ่านการออกกำลังกายมาอย่างสม่ำเสมอนอกจากจะไม่หลุดแล้วยังทำให้แรงบีบที่ข้อมือมีมากขึ้น

“สวัสดีอาชวิน บังเอิญว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันนิดหน่อยหน่ะ”

เมื่อเห็นมือข้างที่ว่างของคนแปลกหน้าล้วงเข้าไปในเสื้อโค้ทตัวเองอาชวินยิ่งเพิ่มแรงกระชากที่แขนเพื่อพยายามให้ตัวเองหลุดจากการเกาะกุมของอีกคน ในใจคิดไปสารพัดว่าอีกฝ่ายอาจจะควักปืนออกมาแล้วยิงเขาตายอยู่ตรงนี้ก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะควักมีดออกมาจี้ให้เขายอมทำตาม แต่เมื่อเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายควักออกมากลับทำให้แรงต่อต้านของคนร่างโปร่งหยุดลง

บัตรประจำตัวตำรวจที่ระบุสังกัดว่าเป็นหน่วยสืบสวนของกองพิสูจน์หลักฐานอยู่ตรงหน้า ทำยังไงนักโทษอย่างเขาก็หนีตำรวจไม่พ้นจริงๆซินะ แถมนี่ไม่ใช่ตำรวจธรรมดามียศเป็นถึงพันตำรวจเองซะด้วยลงมือเองขนาดนี้ก็คงวังผลร้อยเปอร์เซ็นต์นั่นแหล่ะ อาชวินได้แต่ถอนพ่นลมหายใจแรงๆ แค่ตามจับนักโทษแหกคุกแบบเขาจำเป็นต้องใช้คนที่ยศสูงขนาดนี้ตามจับตัวกันเลยหรือไง เขาไม่ได้ก่อคดีอาชญากรรมร้ายแรงขนาดนั้นซักหน่อย

“ถึงผมจะหนีอีกซักกี่ครั้ง ตำรวจอย่างคุณก็คงจะตามจับผมกลับมาได้ง่ายๆเหมือนเดิมใช่มั๊ยครับสารวัตรพิชญุฒน์”


นาฬิกาตรงหัวนอนบอกเวลาสองทุ่มแล้วแต่อาชวินยังไม่ได้กลับห้อง....

ก็ไม่ผิดไปจากคาดเท่าไหร่ อดิศรมองจุดสีแดงที่อยู่นิ่งๆกับที่มานานกว่าสองชั่วโมงแล้วจากหน้าจอแลปท็อปของตัวเอง เครื่องแลปท็อปรุ่นเก่าที่สเปคเครื่องไม่ได้หรูหรามากแต่เขาก็อาศัยความรู้ทางด้านนี้มาดัดแปลงจนมันเกินกว่าแลปท็อปธรรมดานิดหน่อย เขาจะถือว่าเป็นข้อดีของมันแล้วกัน เพราะใครจะไปคิดว่าเครื่องแลปท็อปเก่าๆจะถูกดัดแปลงจนเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

อดิศรนั่งมองจุดสีแดงที่หยุดนิ่งนั่นอีกซักพักก่อนจะปิดเครื่องแลปท็อปแล้ววางไว้บนเตียง อยู่ที่นั่นมาเกือบจะสามชั่วโมงแล้วก็คงจะปลอดภัยแล้วแหล่ะ ดูท่าไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอาชวินแล้ว ก็ในเมื่อตอนนี้คนที่เป็นมากกว่าเพื่อนของเขาคนนี้ไปอยู่ในมือตำรวจเรียบร้อยแล้วนี่หน่า.....

อาชวินนั่งนิ่งๆอยู่บนโซฟากลางห้องมาเป็นชั่วโมงแล้ว เขารู้สึกได้ว่าขาตัวเองเริ่มชาจนต้องขยับเล็กน้อยเพื่อบรรเทาอาหารเหน็บชาที่เริ่มเกาะกินขาตัวเอง ทั้งๆที่ๆเขากำลังนั่งอยู่คือห้องนั่งเล่นที่ขนาดเท่าห้องของอดิศรทั้งห้องแถมอุณหภูมิข้างในก็ยังก็ยังเย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศ แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังเหงื่อซึมตามไรผมและฝ่ามือ

ตรงข้ามของเขาคือนายตำรวจที่เป็นคนพาเขามาที่นี่แล้วไม่ทำอะไรนอกจากนั่งจ้องหน้าจนเขาทำอะไรไม่ถูก ไม่มีการปิดประตูแล้วเปิดโคมไฟดวงเล็กเพื่อสร้างความกดดัน มีแค่การลากมาแล้วนั่งอยู่เฉยๆ ตอนแรกที่รู้ว่าคนตรงหน้าคือตำรวจที่มียศเป็นถึงสารวัตร ความคิดแรกที่เข้ามาคือภาพของเรือนจำและชุดนักโทษ แต่สุดท้ายนายตำรวจคนนี้ก็พาเขามายังสถานที่ที่ดูยังไงก็ควรเรียกว่าคอนโดมากกว่าโรงพักหรือเรือนจำแถมปล่อยให้เขานั่งนิ่งๆมาร่วมชั่วโมงแล้ว

“คุณตำรวจครับ ไม่จำเป็นต้องจ้องผมตลอดเวลาขนาดนั้นก็ได้ครับมาถึงขนาดนี้แล้วผมคงหนีไปไหนไม่ได้แล้วแหล่ะครับ”

อาชวินไม่ได้พูดเว่อร์เกินไป และเขาก็ไม่ได้หมายความว่าถ้านายตำรวจคนนี้คลาดสายตาจากเขาแล้วเขาจะไม่หนี เพียงแต่เขาไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้แน่นอน ระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างหนาแน่นทั้งๆที่ดูภายนอกก็เหมือนคอนโดหรูๆธรรมดาๆทั่วไป แต่อุปกรณ์เกือบทุกชิ้นเป็นการแสกนลายนิ้วมือ แม้กระทั่งประตูบ้านที่ดูเหมือนลูกบิดธรรมดานั่นก็เป็นระบบแสกนลายนิ้วมืออีกด้วย


ถามว่าเขารู้ได้ยังไงหน่ะหรอ?


เป็นใครๆก็อยากจะเอาตัวรอดทั้งนั้นแม้ความหวังมันจะน้อยนิดก็ตาม แค่เขาลองเอามือทาบกับลูกบิดประตูที่หน้าตาธรรมดาๆเหมือนลูกบิดทั่วไป เสียงสัญญาณเตือนภัยก็ดังซะจนต้องรีบชักมือกลับ พอหันมาก็เห็นนายตำรวจที่เขาเดาว่าน่าจะเป็นเจ้าของบ้านยืนกอดอกพิงบันไดมองด้วยสีหน้าที่เขากล้ารับประกันว่ามันคือการแสดงออกว่าเยาะเย้ยเขาแบบเต็มกำลังมากแน่ๆ สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าเขาต้องถอยทัพกลับมานั่งจ้องหน้ากับนายตำรวจที่มีความสามารถพิเศษในการถากถางเขาทางสายตา


“พีท”

“??”

“เรียกฉันว่าพีท เราควรจะรู้จักกันไว้เพราะยังไงนายก็ยังต้องเจอฉันอีกนาน”


อาชวินขมวดคิ้วมุ่น ยังไงนะ? เจอกันอีกนาน มันจะนานซักแค่ไหนกัน พอพรุ่งนี้เขามั่นใจได้เลยว่าเดี๋ยวเขาก็โดนจับโยนเข้าไปในเรือนจำและไปอยู่ในสภาพเดิมๆ ที่วันๆต้องพบเจอแต่ผู้คุม ส่วนตำรวจนะหรอ แค่ส่งตัวเขาเสร็จก็ยังแทบจะไม่ได้เจอแล้วประสาอะไรกับตำรวจยศขนาดนี้กัน


ดวงตาคู่คมกริบมองนาฬิกาที่พนักและพบว่ามันดึกแล้ว พิชญุฒม์จึงลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายหลังจากที่นั่งจ้องหน้ากับผู้ต้องหาของตัวเองมาเป็นชั่วโมง เอาจริงๆตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกหิวนิดๆแล้วด้วย แต่ไอ้ครั้นจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกก็เกรงว่าผู้ต้องหาที่เพิ่งจับมาหมาดๆจะแอบย่องหนีไป ถึงแม้เขาจะรู้วิธีลัดในการตามหาและมั่นใจในระบบความปลอดภัยของห้องตัวเองก็เถอะ แต่เล่นวิ่งไล่จับกันไปมามันก็เสียเวลาใช่เล่น

คนตัวสูงเดินเข้าไปในโซนห้องครัวแต่ก็ยังไม่วายหันกลับมามองว่าอาชวินยังนั่งอยู่ที่เดิมหรือเปล่า พอเห็นว่ายังอยู่ที่เดิมมือเรียวก็คว้าถุงขนมปังและขวดนมสดที่อยู่ในตู้เย็นติดมือมาก่อนจะวางลงตรงหน้าอีกคน


“ถ้ามีนักโทษมาอดตายในบ้านของฉัน ฉันคงโดนสอบสวนใหญ่แน่ๆเลยเนอะว่ามั๊ย”


พูดจบก็เดินขึ้นไปชั้นบนปล่อยให้อาชวินนั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตามหลัง ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ปฏิบัติตัวกับเขาเหมือนเขาเป็นนักโทษเหลือขอแต่การวางมาดของอีกฝ่ายก็ดูน่าหมันไส้ใช่เล่น ก่อนจะคว้าขวดนมกับขนมปังมาเปิดแล้วยัดใส่ปาก  ถึงมันจะไม่ค่อยโอเคกับการกินไประแวงไปแต่อาหารมือล่าสุดที่เขากินเข้าไปมันก็ตั้งเมื่อประมาณหกชั่วโมงที่แล้ว ถ้ามัวทำหยิ่งไม่ยอมกินบางทีอาจจะได้อดตายก่อนที่หาทางหนีออกไปได้ก่อนแน่ๆ


พิชญุฒม์พาตัวเองที่อยู่ในสภาพพร้อมนอนแล้วเดินลงมาที่ห้องนั่งเล่นข้างล่างเห็นนักโทษของตัวเองกำลังนอนคว่ำหน้าหลับตาอยู่กับโซฟาก็เอื้อมมือไปดันจนคนที่ไม่ได้ตั้งตัวกลิ้งตกไปอยู่กับพื้นแล้วพาตัวเองขึ้นไปนอนบนโซฟาแทน

“ถึงผมเป็นนักโทษแต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายร่างกายผมแบบนี้นะ” อาชวินลุกขึ้นจากพื้นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ ดวงตาคู่กลมมองอีกคนอย่างตำหนิ แต่พิชญุฒม์ก็แค่นอนมองหน้าอีกคนนิ่งๆ ก่อนจะโยนผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่ถือมาใส่หน้าอีฝ่าย แต่โชคดีเป็นของอาชวินเพราะมือขาวคว้าไว้ได้ก่อนที่ผ้าผืนนั้นจะโดนเต็มๆบนใบหน้า

“นายนี่มันน่ารำคาญจริงๆ ฉันให้นายใช้ห้องน้ำข้างนอกนี่ได้ หรือถ้าคืนนี้นายคิดว่าจะนอนในสภาพเน่าๆแบบนี้ก็เรื่องของนาย อ่อ แล้วคืนนี้นายต้องนอนบนพื้นส่วนโซฟานี่ฉันจะนอน” อาชวินตาโตกับคำพูดของอีกคน กำลังจะอ้าปากแต่ก็โดนพิชญุฒม์พูดแทรกซะก่อน

“รู้ไว้ซะว่าไอ้ที่ข้อมือนายหน่ะ ถ้ามันอยู่ห่างจากฉันเกินสองร้อยเมตร ไอ้นี่” พิชญุฒม์ยกแขนข้างที่มีนาฬิกาสีดำที่มีลักษณะคล้ายกับของอาชวินที่อยู่บนข้อมือขึ้นให้อีกคนดู “จะส่งสัญญาณเตือนและฉันจะรู้ในทุกๆที่ๆนายอยู่ แล้วก็… นายไม่มีทางจะปลดออกได้หลังจากที่นายใส่มันได้แล้ว” พิชญุฒม์ที่เห็นอาชวินกำลังพยายามจะแกะนาฬิกาข้อมือออกหลังจากที่ได้ยินเขาพูดก็พูดต่ออย่างเรียบๆ

“ถ้าเผื่อนายสังเกตุซะบ้างทุกอย่างในบ้านนี้ใช้การสแกนลายนิ้วมือ ยกเว้นห้องน้ำที่ฉันอนุญาตให้นายใช้ และนาฬิกานั่นก็เป็นของอย่างหนึ่งที่อยู่ในบ้านนี้ แน่นอนว่ามันต้องใช้การแสกนลายนิ้วมือ และต้องเป็นลายนิ้วมือฉันเท่านั้น”

“เมฆ..” อาชวินรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าจังๆ ภาพตอนอดิศรพยายามยัดเหยียดนาฬิกาเรือนนี้ให้เขาผุดเข้ามาในหัว อาชวินได้แต่คำรามชื่อของคนที่ยัดเยียดนาฬิกานี้มาให้เขาในลำคอ มือขาวกำผ้าเช็ดตัวแน่นจนฝ่ามือขึ้นรอยสีแดง ก่อนจะค่อยๆผ่อนลมหายใจออกช้าแล้วหันหลังเดินเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ก่อนถึงห้องครัว

ความรู้สึกผิดหวังในตัวอดิศรถาโถมเข้ามาจนอาชวินรู้สึกหมดแรง เขาไว้ใจอดิศรมาก แต่สุดท้ายอดิศรเองที่เป็นคนส่งเขาให้เข้ามาอยู่ในมือตำรวจ มือขาวเอื้อมไปเปิดน้ำฝักบัวก่อนจะถอดเสื้อผ้าออกแล้วพาตัวเองไปยืนอยู่ใต้ฝักบัว เขาแค่หวังว่าพรุ่งนี้ตื่นมาเรื่องทั้งหมดจะเป็นแค่ความฝัน อดิศรจะยังคงเป็นอดิศรที่ปากร้ายแต่ใจดี ไม่ใช่คนใจร้ายที่ส่งเขาเข้าปากเสือง่ายๆแบบนี้...



:: ฝากด้วยนะคะ ถ้าใครสะดวกรบกวนติดแท็ก #พิสูจน์รักฐาน ให้ด้วยน๊า


ออฟไลน์ Annkhanista

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โดนเพื่อนหักหลังจริงเหรอ ตามต่อจ๊ะ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คุณตำรวจนั่นอาจจะเจรจาอะไรบางอย่างกับอดิศรไว้แล้ว
และอดิศรอาจจะคิดว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีกว่าหนีไปวัน ๆ ก็ได้นะ
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ความรู้สึกเหมือนมีอะไรมาสะกิดตรงขาเบาๆทำให้คนที่กำลังหลับอยู่ต้องพลิกตัวหนีแต่สิ่งรบกวนก็ยังตามมาสะกิดตรงขาจนอาชวินต้องงอขาขึ้นมากอดไว้ สภาพตอนนี้ของคนที่กำลังหลับขดงอแทบจะไม่ต่างกับกุ้งแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาทั้งๆที่ตัวเองกำลังนอนอยู่บนพื้นพรมของห้องรับแขก พิชญุฒม์กอดอกมองคนนอนหลับสนิทนิ่งๆก่อนจะใช้เท้าเขี่ยไปขาของคนที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่นอีกรอบแต่อีกฝ่ายก็ยังนิ่ง นายตำรวจหนุ่มเลยเดินไปหยิบหมอนอิงบนโซฟาทั้งสองใบมาโยนใส่หน้าของคนที่กำลังหลับอยู่แบบไม่ปราณีปราศัยเท่าไหร่นัก

อาชวินสะดุ้งเฮือกเมื่ออะไรบางอย่างกระทบเข้าที่ใบหน้า แม้แรงกระแทกจะไม่ได้หนักจนรู้สึกเจ็บแต่ก็ทำให้เขารู้สึกตัวสะดุ้งตื่นเปิดเปลือกตาขึ้นมามองคนที่ปะทุษร้ายร่างกายตัวเองได้ พอเห็นว่าหมอนอิงขนาดย่อมสองใบที่ลอยมากระแทกหน้าตัวเองเป็นฝีมือของใครอาชวินก็ได้แต่พ่นลมหายใจ ไม่น่าลืมเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝันและเขาต้องมานอนอยู่บนพื้นพรมที่คอนโดของนายตำรวจนี่ก็เพราะเพื่อนสนิทที่หักหลังกัน
 
 “ฉันให้เวลานายไปล้างคราบน้ำลายแล้วอาบน้ำแต่งตัวสิบนาที ถ้าช้ากว่านั้นฉันจะลากนายออกไปทั้งแบบนี้แหล่ะ” สายตาที่ไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบหน่ายๆจนอาชวินต้องแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะลุกขึ้นเดินหยิบหมอนอิงใบน้อยขึ้นมาวางแรงๆบนโซฟาเพื่อแสดงออกว่าไม่ค่อยพอใจก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

อาชวินใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็เรียบร้อย แต่ตอนนี้ปัญหาใหญ่ของเขาคือยังไม่สามารถออกไปจากห้องน้ำได้ ไม่ใช่เพราะระบบเซ็นเซอร์บ้าบอของเจ้าของคอนโดแต่เป็นเพราะความสะเพร่าของตัวเองที่ตอนเดินเข้ามามัวแต่มึนๆเลยไม่ได้หยิบเข้ามาทั้งเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัว อาชวินยืนทำใจอยู่หน้ากระจกก่อนจะถอนหายใจแรงๆออกมา บางทีก็อยากจะให้เรื่องนี้กลายเป็นแค่ความฝันบ้าๆของคนที่กินอิ่มเกินไปแล้วนอนหลับ แต่เหตุการณ์เมื่อคืนมันก็พิสูจน์แล้วว่าเรื่องทั้งหมดคือเรื่องจริง

 
ก๊อกก๊อกก๊อก

 
“อาชวิน ฉันให้เวลานายอาบน้ำแค่สิบนาทีนะไม่ใช่สิบชั่วโมง” เสียงเรียกที่ดังมาจากข้างนอกทำเอาคนที่กำลังยืนโป๊สะดุ้งเฮือกแล้วยกมือขึ้นมาปิดร่างกาย ถึงแม้จะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่การแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นมันก็ดูจะใจกล้าไป

“คุณตำรวจใจเย็นๆซิครับ ผมลืมเอาผ้าเช็ดตัวเข้ามาหยิบผ้าเช็ดตัวส่งมาให้หน่อย อ่อแล้วก็ถ้าไม่รบกวนเกินไปผมขอยืมเสื้อผ้าด้วยก็ดีนะครับ” อาชวินตะโกนตอบกลับไปแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ ในใจก็แอบคิดว่าเจ้าของคอนโดอาจจะเดินห่างออกไปจนไม่ได้ยินเสียงตะโกนแล้ว จนซักพักนึงได้ยินเสียงกุกกักตรงประตูห้องน้ำพอจะเอื้อมมือไปเปิดลูกปิดประตูก็ถูกเปิดออกและยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวตะโกนด่าหรือตกใจผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าก็ถูกปาใส่หน้าก่อนที่เสียงประตูจะปิดตามดังปัง
 
“ไอ้ตำรวจเฮงซวย...” อาชวินได้แต่ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่บานประตูก่อนจะรีบใส่แต่งตัวให้เสร็จ เขาไม่น่าลืมว่าทุกอย่างในคอนโดหลังนี้รวมไปถึงประตูห้องน้ำนี่ก็ด้วยที่ใช้การสแกนลายนิ้วมือของเจ้าของคอนโด


 
กว่าที่ทั้งนายตำรวจหนุ่มของหน่วยสืบสวนสืบสวนของกองพิสูจน์หลักฐานและนักโทษส่วนตัวจะออกจากคอนโดที่พักมาจนถึงสำนักงานก็ทะเลาะกันไปอีกชุดใหญ่เมื่ออาชวินพยายามจะหาวิธีหนีแต่ก็โดนตำรวจเจ้าของคดีอย่างพิชญุฒม์ดักทางไว้ได้จนต้องเอากุญแจมือมาคล้องมือข้างหนึ่งของอาชวินไว้กับข้อมือตัวเอง ถึงพิชญุฒม์จะมั่นใจว่ายังไงซะเขาก็ตามอีกคนเจอแน่ๆแต่ทำไมเขาจะต้องเสียเวลาวิ่งเล่นไล่จับอีกหล่ะในเมื่อยังมีคดีอีกมากมายให้รอเขาไปสะสาง

พิชญุฒม์ลากนักโทษของตัวเองมานั่งอยู่กลางห้องทำงานก่อนจะไขกุญแจมือออกจากตัวเองแล้วเอาไปคล้องกับขาโต๊ะก่อนที่ตัวเองจะลุกมานั่งที่โต๊ะทำงานแล้วเปิดแลปท็อปเพื่อดูรายงานความคืบหน้าของคดีที่ตัวเองดูแลอยู่ เพราะเมื่อวานมัวแต่ไปเล่นวิ่งไล่จับกับเด็กแถวนี้เลยทำให้ต้องพับงานบางส่วนเก็บไว้ก่อน พิชญุฒม์เหลือบสายตาขึ้นมามองคนที่นั่งนิ่งๆอยู่บนที่โต๊ะกลางห้องเป็นระยะ ถึงแม้จะเอากุญแจมือล็อกไว้กับโต๊ะแล้วก็เถอะ แต่เด็กคนนี้ไว้ใจได้ที่ไหน

 
“สารวัตรครับ.... เห้ยยยยย” คนที่เปิดประตูเข้ามาโดยไร้ซึ่งการเคาะก้าวพรวกมายืนตรงโต๊ะกลางห้องก่อนจะมองคนรงหน้าแบบอึ้งๆ สารวัตรพิชญุฒม์ไปพาเด็กคนนี้มาได้อย่างไงกัน “สารวัตรครับบางทีเรื่องนี้ก็ต้องมีขยายหรือเปล่า?”

พิชญุฒม์ไม่ตอบอะไรอีกคนนอกจากยักไหล่แล้วก้มลงพิมพ์ต๊อกแต๊กลงบนแป้นพิมพ์ต่อไป เอกภพกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเซ็งๆกับพวกชอบวางฟอร์มแล้วหันมาสนใจคนตรงหน้า ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งจ้องหน้าอีกคนจนอาชวินต้องขยับตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงออกให้เอกภพรู้ว่าเขาเริ่มอึดอัดกับการโดนนั่งจ้องแบบไม่พูดอะไรของคนตรงหน้าแล้วนะ

 
“ฉันชื่อเอกภพ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายพิสูจน์หลักฐานทางด้านเคมี ส่วนนายไม่ต้องแนะนำตัวหรอกฉันรู้จักนายแล้ว” พูดจบก็ยิ้มจนอาชวินได้แต่ตอบรับด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ เพราะคงไม่ใช่ด้านที่ดีแน่ๆที่อีกฝ่ายรู้จัก

“จริงๆฉันอยากได้นายมาช่วยงานมากเลย ความสามารถระดับหาตัวจับยากของนายเนี่ย แต่ติดที่คนมีอำนาจในมือบางคนแค่นั้นแหล่ะ” เอกภพลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบตรงท้ายประโยค แต่เพราะห้องที่ไม่ได้ใหญ่มากหรือเพราะเอกภพไม่ได้จงใจกระซิบเสียงเบาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ พิชญุฒม์ที่นั่งอยู่หน้าแลปท็อปถึงได้ตวัดสายตาขึ้นมามองก่อนจะก้มลงพิมพ์งานอะไรซักอย่างต่อไป

“เอาจริงนะอาชวินนี่ถ้าได้นายมาช่วยนะ ป่านนี้คดีนี้ต้องปิดไปแล้วแน่ๆ” เอกภพแกล้งพูดเสียงดังเพื่อให้คนที่กำลังตั้งใจกับงานตรงหน้าเกินเหตุได้ยิน “ฉันเคยอ่านวิจัยที่นายทำสมัยเรียนทั้งวิธีการสังเคราะห์ ทั้งการวิเคราะห์ ฉันว่าอย่างน้อยนายก็น่าจะช่วยฉันได้มากกว่าใครบางคนที่วิชาเคมีไม่กระเตื้องแต่ก็ได้รับแต่คดีแบบนี้”

“แล้วฉันอกหรือไงว่าจะส่งเด็กนั่นกลับไปในตะรางหน่ะ” พิชญุฒม์เงยหน้าขึ้นมามองคนพูดมากตาขวางก่อนจะเหลือบสายตาไปมองคนที่เป็นประเด็นในบทสทนาที่กำลังมองเขามาอย่างงงงวย “ฉันพานายมานี่ก็เพราะเรื่องนี้อาชวิน”

“แล้วผมต้องตกลงหรอ?” ประโยคแรกของคนที่เด็กที่สุดในห้องเรียกเสียงร้องอ้าวอย่างเสียดายของเอกภพ แต่ก็สร้างปฏิกิริยาให้คนที่มีอำนาจในมือได้แค่ยกคิ้วพลางยิ้มมุมปาก

“คิดว่านายมีทางเลือกได้มากแค่ไหนหรอ” พิชญุฒม์พาร่างกายตัวเองลุกจากโต๊ะทำงานแล้วเดินมาเท้าแขนกับโต๊ะก่อนจะโน้มตัวลงไปจนใบหน้าห่างจากนักโทษตัวเองไม่มากนักก่อนจะเริ่มพูดต่อ “สำหรับฉันทางเลือกมีมากกว่าหนึ่ง แต่สำหรับนายทางเลือกมีแค่หนึ่งซึ่งก็คือกลับเข้าไปในที่ๆนายออกมา แต่สำหรับฉันมีสิทธิ์เลือกว่าจะให้นายอยู่นี่หรือกลับเข้าไปที่นั่น เพราะงั้นเลิกดื้อแล้วเป็นเด็กดีซะนะ”

พิชญุฒม์ยกยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่ซ่อนอยู่พร้อมกับวางมือบนหัวอีกฝ่ายด้วยท่าทีเหมือนผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กเล็กๆซะเต็มประดาก่อนจะถอยหลังกลับไปยืนกอดอกมองคนที่นั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะทำอะไรเขาไม่ได้ พิชญุฒม์กล้าพนันเลยว่าถ้าตอนนี้เด็กนั่นไม่ได้ถูกพันธนาการด้วยกุญแจมือเขาคงโดนต่อยจนเลือดกลบปากไปแล้วแน่ๆ

“โหสารวัตร สุดยอด... ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ผมคาดเดาความคิดสารวัตรไม่ได้ สุดยอดจริงๆ” เอกภพปรบมือแปะๆให้กับพิชญุฒม์ แต่อีกคนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดกึ่งทึ่งกึ่งประชดประชันของคู่หูเท่าไหร่นัก

 
กว่าพิชญุฒม์จะปลดกุญแจมือออกจากข้อมืออาชวินก็ซัดเข้าไปจนถึงเวลาอาหารกลางวัน แต่กว่าจะปลดได้พิชญุฒม์ก็ไม่วายที่จะข่มขู่อาชวินว่านาฬิกาที่เจ้าตัวใส่นั้นติดจีพีเอสต่อให้หนีไปไกลแค่ไหนก็จะตามตัวไปจนเจอจนอาชวินกรอกตาอย่างหน่ายๆ มาถึงขนาดนี้เขาก็คงไม่คิดจะหนีแล้วแหล่ะ เล่นดักทุกวิถีทางแถมมัดมือชกเรื่องให้มาเป็นผู้ช่วยนักวิจัยนั่นอีก แต่พอคิดเล่นๆว่าแอบระเบิดห้องทดลองแล้วหนีไปดีกว่าไหมก็โดนอีกคนดักทางจนได้แต่เบ้ปาก

ช่วงบ่ายคือช่วงที่อาชวินสบายใจที่สุดทั้งแต่โดนจับตัวได้ เพราะพิชญุฒม์ปล่อยให้เขาไปอยู่ในห้องทดลองกับผู้กองเอกภพ แต่ก็ใช่ว่าอีกคนจะไปไหนไกล นั่งพิมพ์งานอะไรก็ไม่รู้อยู่หน้าห้องทดลองโน้น พอเข้ามาในห้องทดลองอาชวินก็มองรอบๆอย่างตะลึง อุปกรณ์ทำการทดลองที่ถูกจัดไว้เป็นสัดส่วนมีป้ายบอกประเภทชัดเจน อุปกรณ์ทุกอย่างอยู่ในสภาพใหม่เอี่ยม เคยคิดว่าห้องทดลองตัวเองตอนเรียนมันดูดีแล้วนะ แต่พอมาเจออะไรแบบนี้มันเทียบไม่ได้เลย

พอเห็นเค้าท์เตอร์ทดลองที่เต็มไปด้วยบีกเกอร์ขนาดต่างๆที่ข้างในมีสารต่างๆอยู่ยิ่งทำให้รู้สึกใจเต้นแรง นักวิจัยสองสามคนที่ใส่เสื้อกาวน์เดินไปเดินมาทำให้อาชวินลอบยิ้มออกมาเบาๆ บรรยากาศที่เหมือนอดีตพัดเข้ามาจนทำให้ลืมเรื่องราวหนักๆในปัจจุบันไปซะหมด อาชวินเดินไปหยิบบีกเกอร์ขนาดเล็กที่บรรจุน้ำหนืดๆสีเหลืองอยู่ข้างใน กลิ่นจางๆที่ระเหยออกมาจากบีกเกอร์ทำให้เผลอเรียกชื่อสารออกมาเบาๆ
“ไตรเอทาโนลามีน”

“ใช่ ไตรเอทาโนลามีน” นักวิจัยคนนึงเดินเข้ามาใกล้ๆก่อนจะยกยิ้มกว้างจนดวงตาทั้งสองปิดสนิท “ฉันชื่อกายนะเป็นผู้ช่วยนักวิจัยอยู่ที่นี่ยินดีที่ได้รู้จักนะ ผู้กองเอกภพบอกแล้วแหล่ะว่าแล็บเราจะมีเพื่อนใหม่ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันเร็วๆนี้นะ” พูดจบก็เอื้อมหยิบไมโครปิเปตที่อยู่ในที่เก็บมาปรับสเกลปริมาตรก่อนจะทำการทดลองในส่วนของตัวเองต่อไป

 
 
 
สามวันแล้วที่ห้องทดลองประจำหน่วยได้ต้อนรับผู้ช่วยนักวิจัยคนใหม่ อาชวินในชุดเสื้อกาวน์สวมแว่นตากันสารกำลังนั่งทำการไทเทรตสารที่อยู่ใน flask จนมันเปลี่ยนสีจากสีเหลืองมาเป็นสีเขียว ดวงตาคู่กลมมองไปยังสเกลปิเปตก่อนจะทำการจดบันทึกลงไปในล็อคบุ๊คของตัวเองแล้วไทเทรตต่อจนกลายเป็นสีน้ำเงินก็ก้มหน้าก้มตาจดต่อก่อนจะย้ายไปนั่งกดเครื่องคิดเลขคำนวณความเข้มข้นต่างๆ อาชวินทำแบบนี้อยู่สามครั้งก่อนจะเดินถือล็อคบุ๊คของตัวเองไปนั่งพิมพ์ข้อมูลเอาไว้รายงานผู้กองเอกภพ

พิชญุฒม์ยืนมองคนที่ทำการทดลองจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวอยู่หน้าห้องทดลอง เขาไม่ค่อยอยากจะย่างกรายเข้าไปในนั้นซักเท่าไหร่เพราะครั้งนึงเคยเข้าไปแล้วทำสารตั้งต้นอะไรซักอย่างของเอกภพก็ไม่รู้หก เจ้านั่นแทบจะจับเขากรอกปากด้วยไซยาไนต์ทั้งๆที่เขาเป็นหัวหน้าของอีกฝ่าย หลังจากนั้นเลยถูกห้ามเข้าห้องนี้ก่อนได้รับอนุญาต

คนตัวสูงยืนมองเด็กที่กำลังนั่งกดเครื่องคิดเลขต๊อกแต๊กซักพักก็ขมวดคิ้วมองล็อคบุ๊คฝั่งซ้ายแล้วหันไปมองไดเร็คชั่นแล็บฝั่งขวาก่อนจะก้มลงกดเครื่องคิดเลขต่อแล้วก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดซักพักก็เดินไปหยิบบีกเกอร์อะไรซักอย่างมานั่งมองแล้วก็จดยุกยิกคิ้วที่ขมวดก็คลายลงกลายเป็นรอยยิ้มอ่อนๆ

“มายืนมองผู้ช่วยผมทุกวันนี่มันทำให้คดีของสารวัตรคืบหน้าหรอครับ” น้ำเสียงหยอกเอินที่มาพร้อมกับร่างของคู่หูของตัวเอง พิชญุฒม์ทำเพียงแค่เหลือบมองด้วยหางตาก่อนจะกลับมาสนใจคนที่อยู่ในห้องทดลองต่อ

“ก็แค่มาดูให้แน่ใจว่าผู้กองไม่ได้ปล่อยนักโทษของฉันหนีไปไหน” พูดจบก็ยกมือขึ้นมากอดอกแล้วทิ้งตัวพิงสะโพกไว้กับระเบียงทางเดินด้วยท่าทีสบายๆจนเอกภพต้องเบ้ปากให้กับคนท่ามาก

“แล้วเป็นคดีไงไปถึงไหนแล้วครับสารวัตร ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เข้าไปลงทางนู้นเท่าไหร่งานในแล็บค่อนข้างเยอะเลยไม่ค่อยได้ช่วยสารวัตรเท่าที่ควรเลย”

“แค่นี้ก็ช่วยเยอะแล้วผู้กองตอนนี้ก็รอผลจากนายอยู่นี่ไงไปถึงไหนแล้วหล่ะ? แล้วตกลงว่าเป็นโลหะหนักประเภทไหน?”

“หมูเอาผลการวิเคราะห์มาให้ดูเมื่อวานว่าเป็นโครเมียม เห็นบอกว่าวันนี้จะวิเคราะห์ให้ว่าเป็นตัวไหน จริงๆเหมือนหมูจะวิเคราะห์ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะแต่ไม่รู้ว่าโดนใครลักพาตัวหายไปตั้งแต่หกโมงเย็น” เอกภพแกล้งเน้นท้ายประโยคไปทางนายตำรวจยศสูงกว่าที่ยืนกอดอกไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อคำพูดของเขา
“แล้วไงต่อ”

“ก็ไม่แล้วไงอ่ะครับ วันนี้หมูน่าจะสรุปผลได้แล้วมั้ง เอาจริงๆนะสารวัตร หมูเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ด้านนี้มากจริงๆ” ฟังจากน้ำเสียงชื่นชมของเอกภพไม่ต้องหันไปมองพิชญุฒม์ก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังปลื้มปริ่มกับเด็กใหม่คนนี้แค่ไหน “ไม่เกินสองเดือนเด็กนั่นต้องหาทางวิเคราะห์สารที่อยู่ในหนูตัวนั้นได้แน่ๆ”

“ดูนายจะสนิทกับนักโทษของฉันเร็วจังเลยนะผู้กอง” พิชญุฒม์หรี่ตามองอีกฝ่ายแต่ผู้กองเอกภพก็แค่รับคำด้วยการหัวเราะลงลูกคออย่างที่ทำตามปกติเพื่อบอกว่าสารวัตรของเขาคิดมากเกินไปแล้ว
 
 

 
“นี่ครับผลการทดลอง” อาชวินยื่นผลการทดลองที่ตัวเองใช้เวลาถึงสองวันในการวิเคราะห์ให้คนที่มีศักดิ์เป็นผู้บังคับบัญชาของตัวเองก่อนจะอธิบายผลคร่าวๆ “เฮกซะโครเมียมที่ถูกรีดิวซ์มาจากไตรโครเมียม”

เอกภพพยักหน้ารับเบาๆสายตาก็กวาดไปตามตัวอักษรที่อีกฝ่ายเขียนรายงานผลการทดลองมาให้ คดีล่าสุดที่สารวัตรพิชญุฒม์และเขาต้องรับผิดชอบเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลหะหนักที่ถูกดูดซึมเข้ามาอยู่ในเม็ดเลือดแดงของผู้เสียชีวิตคนหนึ่ง ทั้งๆที่ผู้ตายอยู่ห่างจากบริเวณที่มีการก่อสร้างแต่ก็ยังรับเฮกซะโครเมียมเข้าไปจำนวนมากจนเป็นพิษขนาดนี้

“พอจะรู้ไหมว่าอะไรน่าจะเป็นสารที่ทำให้ไตรโครเมียมถูกรีดิวซ์มาเป็นเฮกซะโครเมียม”

“ตามผลที่ได้มาจากการทดลองเทียบกับตัวอย่างคิดว่าน่าจะเป็นไอโอดีน” เอกภพเลิกคิ้วมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก่อนที่อาชวินจะพูดต่อ “ผมตรวจเจอสารไอโอดีนจากอาหารของผู้ตาย จริงอยู่ครับที่เขาทานอาหารทะเลและอาจจะสรุปได้ว่าเขาอาจจะเกิดอาการแพ้อาการทะเล แต่ เปอไอโอเดตก็สามารถออกซิไดซ์ไตรโครเมียมให้กลายเป็นเฮกซะโครเมียมได้ ก่อนที่ตัวมันจะกลายเป็นแค่ไอโอดีนธรรมดาได้นี่ครับ”

“แล้วถ้าเปอไอโอเดตกลายเป็นไอโอดีนได้หมด ตอนที่ตรวจอาหารทะเลหรือแม้แต่เกลือที่ปรุงอาหารก็ไม่มีใครรู้ว่าเฮกซะโครเมียมมาจากไหนเพราะมันอันตรายกับทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งคนร้ายจนไม่มีใครกล้าเสี่ยงขนาดเอามาลอบทำร้ายคนอื่นได้แบบตรงๆ”

“ทำได้ดีมากหมู” เอกภพยกยิ้มกว้างจนอาชวินอดจะแอบยิ้มเขินๆตอบรับคำชมนั้นไม่ได้ นานแค่ไหนแล้วก็จำไม่ได้ที่มีคนมาชมเขาด้วยใจจริงแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นคำชมสั้นๆแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่ามากกว่าเดิมอีกซักร้อยเท่าได้
 

เป็นอีกครั้งที่อาชวินได้มายืนอยู่กลางห้องทำงานของพิชญุฒม์ หลังจากวันนั้นอาชวินก็แทบจะไม่ได้เหยียบเข้ามาในส่วนที่เป็นห้องทำงานของสารวัตรเท่าไหร่เพราะไปหมกตัวอยู่ในห้องทดลองกับผู้กองเอกภพและนักวิจัยคนอื่นๆแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้เจอนายตำรวจซะเมื่อไหร่ ในเมื่อพิชญุฒม์ไม่คิดจะให้เขาไปพักที่อื่นเจ้าตัวอ้างเหตุผลประสาทๆว่าเดี๋ยวเขาหนีไปไกลตาแล้วเขาจะไปแอบทำระเบิดมาระเบิดสำนักงานเลยต้องพาตัวเขากลับไปไว้ที่คอนโดตัวเองเพราะตัวเองถือคติว่าเก็บของอันตรายไว้ใกล้ตัวจะปลอดภัยที่สุด

อาชวินเคยพยายามต่อรองว่าให้เขาไปอยู่กับเอกภพก็ได้เพราะอย่างน้อยเอกภพก็เคยผ่านการฝึกตำรวจมาเหมือนกันคงไม่ปล่อยให้คนง่อยๆทางด้านการต่อสู้อย่างเขาทำร้ายเอาได้หรอก อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอกว่าเอกภพใจดีเกินไปกลัวจะโดนเขาหลอกเอาจนอาชวินจนปัญญาที่จะเถียงเลยปล่อยให้มันเลยตามเลยไป

“เป็นไงมั่งครับสารวัตรจากผลการทดลองพอจะสรุปอะไรได้มั่งป่าว”

“มั่นใจได้ยังไงผู้กองว่าผลการทดลองจะไม่ผิด”

“โธ่สารวัตร มันใช่เวลามากวนหมูหรือเปล่าครับ เอ้าเอาไปครับสรุปผลการทดลอง” เอกภพวางนแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะทำงานของคนที่กำลังนั่งอยู่หน้าแลปท็อป พิชญุฒม์รับไปเปิดอ่านคร่าวๆก่อนจะวางลงก่อนจะเหลือบสายตามามองคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกลางห้องแล้วหันกลับมามองหน้าเอกภพ

“แล้วผลจากกองพิสูจน์หลักฐานหล่ะเป็นยังไงมั่ง” น้ำเสียงที่ถูกปรับขึ้นมาเป็นโทนจริงจังทำเอาเอกภพต้องเลื่อนเก้าอี้มานั่งตรงหน้าอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าอาจจะต้องคุยกันยาว

สองคู่หูนั่งถกข้อสันนิษฐานของตัวเองจนกินเวลามาเกือบสามชั่วโมงทั้งเอกสารและรูปถ่ายถูกนำมากางจนเต็มโต๊ะกลางห้องซึ่งตอนนี้อาชวินโดนพิชญุฒม์ไล่ให้ไปนั่งอยู่มุมห้องเพราะเจ้าตัวบอกว่าเขากำลังเกะกะการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ก่อนที่พิชญุฒม์และเอกภพจะเก็บรวบรวมเอกสารเอาไปกองไว้บนโต๊ะทำงานพิชญุฒม์และบางส่วนก็ถูกเก็บเข้าไปในล็อกเกอร์ด้านหลังโต๊ะทำงาน


“ลุกซิ” พิชญุฒม์หันมาบอกคนที่กำลังนั่งเงยหน้ามองตัวเองอยู่ แววตากลมโตฉายแววสงสัยแบบปิดไม่มิดแต่เจ้าตัวก็ไม่คิดจะขยายความก่อนจะเดินไปคว้าเสื้อคลุมส่วนเอกภพเดินออกจากห้องไปแล้ว อาชวินนึกว่าพิชญุฒม์หมายถึงให้ลุกเพื่อเตรียมตัวกลับคอนโด เจ้าตัวเลยไม่ได้เร่งรีบเท่าไหร่จนเสื้อคลุมถูกโยนใส่หัวนั่นแหล่ะถึงได้หันมาตวัดดวงตามองอีกฝ่าย

“ชักช้า” พูดจบก็เดินออกจากห้องไปปล่อยให้คนถูกว่าอ้าปากพะงาบๆมองตามอย่างงงๆ


อาชวินเดินถือเสื้อคลุมที่พิชญุฒม์โยนให้มาตามทางเดินที่อีกคนเคยพาเขาเดินมา ก็แน่ละถ้าพิชญุฒม์ไม่พามาเขาก็คงไม่คิดจะย่างกรายเดินเข้ามาในที่แบบนี้หรอก แต่เหมือนอาชวินจะคิดผิดที่เดินออกมา เพราะรู้สึกว่ายิ่งเดินเหมือนจะยิ่งผิดทาง จำได้ว่าตอนอีกคนพามาเขาก็เดินมาทางนี้ตลอด ซึ่งจริงๆแล้วเขาก็เพิ่งเคยเดินผ่านสองครั้งเพราะพิชญุฒม์ชอบพาเขาเดินวนไปนู้นมานี่เพื่ออะไรก็ไม่รู้แต่ถ้าให้เดาคงกลัวว่าเขารู้เส้นทางแล้วจะวางแผนหาทางหนีออกไปจากที่นี่เป็นแน่

อาชวินเดินเลี้ยวไปทางที่คิดว่าควรจะเป็นทางออกแต่ก็เหมือนจะคิดผิดเพราะยิ่งเดินก็เหมือนจะยิ่งหลง พอจะย้อนกลับทางเดิมก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองแยกเข้ามาตั้งแต่ประตูไหน ถึงเขาจะเก่งจนค่อนไปทางมีพรสวรรค์ด้านวิทยาศาสตร์แต่ก็ใช่ว่าเขาจะแม่นทิศทางซะทีไหน ไปไหนมาไหนอาศัยความคุ้นเคยทั้งนั้น ชีวิตที่ไปมากับแค่หอพักและห้องทดลองจะมีอะไรให้จดจำมากซักเท่าไหร่

คนรูปร่างโปร่งตัดสินใจหันหลังกลับเผื่อจะเจอใครซักคนเดินผ่านมาแล้วให้พาเขาไปหาผู้กองเอกภพหรือสารวัตรพิชญุฒม์ อย่างน้อยตอนนี้ได้เจอพิชญุฒม์ก็ยังดีกว่าเดินวนอยู่ในสำนักงานที่นี่ก็แล้วกัน เสียงฝีเท้าของใครซักคนเดินเข้ามาใกล้ในจังหวะไม่ช้าไม่เร็วทำให้อาชวินหยุดรอตรงหัวมุมทาเลี้ยงเพื่อรอถามทาง


“โอ๊ย!” แต่พอโผล่หน้าไปยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แขนก็โดนคนนิรนามจับบิดจนต้องร้องออกมา แต่พอเสื้อคลุมที่ถือมาด้วยลงไปกองอยู่กับพื้นแรงที่บิดแขนอยู่ก็แผ่วลง

“อ้าวโทษทีนึกว่าพวกลักลอบเข้ามาสืบอะไร” เจ้าของเสียงก้มลงไปเก็บคลุมที่ร่วงอยู่กับพื้น “เด็กใหม่ทีมสารวัตรพิชญุฒม์หรอครับไม่เคยเห็นหน้าเลย เสื้อคลุมมันบอกหน่ะ” คนแปลกหน้าอธิบายเมื่อเห็นว่าอาชวินทำหน้าสงสัย

อาชวินทำหน้างงเล็กน้อยตอนที่อีกฝ่ายส่งเสื้อสูทกลับมาให้ พอลองคลี่ออกถึงได้รู้ว่าสูทตัวนั้นกลัดเข็มกลัดไว้ตรงอกเสื้อเป็นสัญลักษณ์อะไรไม่รู้ แต่เขาคิดเอาเองว่าคงเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยงานเจ้าของเสื้อตัวนี้มั้ง

“อ่า.. ใช่ครับ พอดีผมเพิ่งมาเริ่มงานได้สามวัน แต่ตอนนี้ผมหลงทางเลยคลาดกับเขาหน่ะครับ” อาชวินส่งยิ้มแหยๆให้กับอีกคนก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะเบาๆตอบกลับมา

“ไม่แปลกหรอกครับวันแรกที่ผมมาผมก็หลง” คนแปลกหน้าส่งยิ้มกว้างก่อนจะพูดต่อ “ถ้าจะออกไปข้างนอกต้องเดินไปทางนั้นครับ ตรงไปประมาณสองทางเลี้ยวแล้วค่อยเลี้ยวตรงทางเลี้ยวที่สามนะครับ ทางนั้นจะเป็นทางออกไปด้านนอก อ่อแล้วบริเวณนี้อย่าหลงเข้ามาบ่อยนะครับ เพราะถ้าคนที่มาเจอไม่ใช่ผมอาจจะแย่ได้”

“ขอบคุณนะ” อาชวินเอ่ยขอบคุณเบาๆเตรียมตัวจะหันกลับไปตามทางที่อีกคนบอก แต่เสียงที่เอ่ยขึ้นของอีกคนทำอาชวินต้องชะงัก
 

“อ่อลืมแนะนำตัว ผมชื่อศุภวิชญ์ หรือจะเรียกผมว่าวิทย์ก็ได้ครับ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันนะครับ”
 
 
 




:: ตอนนี้มาพร้อมกับศัพท์วิชาการเยอะนิดหน่อยนะคะ ถ้าไม่เข้าใจก็บอกได้นะคะ จริงๆมันไม่ได้สำคัญอะไรมากแต่เพื่อความสมจริง(?)เนอะ ;__;

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2017 21:21:08 โดย tiutatee »

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บทที่5


อาชวินเดินงมทางออกจนมาเจอพิชญุฒม์ที่ยืนเต๊ะท่าสองมือล้วงกระเป๋าอยู่หน้าสำนักงาน แอบเบ้ปากใส่เล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายหันมาเห็น พิชญุฒม์ยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าเขามาสาย อาชวินเลยทำแค่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก็ในเมื่อมันไม่ใช่ความผิดเขาที่เดินหลงเขาจะไปใส่ใจทำไม

“มาช้านะ หาทางหนีอยู่หรอ” ทันทีที่ทั้งคู่ยัดตัวเขามาอยู่ในรถโดยที่อาชวินยังไม่ทันจะได้คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยคำพูดถากถางจากอีกคนก็ดังขึ้นจนดวงตากลมโตได้แต่กรอกไปมาอย่างเซ็งๆ อาชวินดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดตามปกติทำเป็นไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายถาม จนพิชญุฒม์ต้องจิ๊ปากแล้วเคลื่อนรถออกจากที่จอด

ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมทุกอาณาเขตของพื้นที่ในรถจนถึงที่หมาย บ้านสไตล์ร่วมสมัยหลังใหญ่เปิดต้อนรับนายตำรวจหนุ่มและคู่หูจำเป็น บริเวณรอบบ้านล้อมรอบไปด้วยที่กั้นสีเหลืองรอบบ้าน บรรยากาศเงียบสงบเพราะปราศจากซึ่งผู้คนยิ่งชวนให้ดูวังเวงเข้าไปใหญ่ อาชวินกรอกสายตามองรอบๆตัวบ้านที่เดาเอาเองว่าน่าจะเหมือนเดิมเพราะทางเจ้าหน้าที่คงไม่อยากให้ใครมายุ่มย่ามที่เกิดเหตุจนกว่าคดีจะคลี่คลายแน่ๆ

ภายในห้องอาหารกว้างๆของบ้าน สภาพเก้าอี้ที่ล้มกะเท่เร่กับร่องรอยหลายๆอย่างยังเป็นตัวบ่งชี้ว่าน่าจะไม่มีใครเข้ามาขยับให้ที่เกิดเหตุเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร พิชญุฒม์ก้มๆเงยๆไปรอบห้องโดยที่อาชวินทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆอยู่ซักมุมหนึ่งเพื่อไม่ให้เกะกะการทำงานของอีกคน ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มแบบหนุ่มใต้ที่จดจ่อกับอะไรซักอย่างหลังจากนั้นก็ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดแล้วก็หยิบสมุดออกมาจดยุกยิกแล้วก็ก้มลงไปดูจุดต่างๆอีกรอบ ท่าทางที่ดูจริงจังและเคร่งขรึมจนเหมือนคนละคนทำเอาอาชวินอดชื่นชมในใจไม่ได้ เวลางานกับเวลาส่วนตัวพิชญุฒม์สามารถแยกมันออกจากกันได้จนเหมือนคนละคนกับคนที่คอยแกล้งเขาและประชดเขาไปมา

พิชญุฒม์ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงกับการเดินไปสำรวจจุดนั้นแล้วกลับมาจุดนี้แล้วไปจุดนั้นต่อ จดอะไรยุกยิกลงสมุดบางทีก็ขมวดคิ้วเหมือนคิดอะไรออกมาแล้วไม่ตรงกันซักอย่างแล้วสุดท้ายก็วกกลับไปที่จุดเดิมก่อนจะเริ่มต้นเดินสำรวจวนไปวนมาอีกครั้ง จริงๆนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พิชญุฒม์มาสำรวจที่นี่ เขามาตั้งแต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังเกิดเรื่องเพื่อเก็บข้อมูลหลักฐานและวันนี้เขาก็แค่มาเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีบางอย่างที่มันตีกันอยู่ในหัวเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อจะปิดคดี
 
ประตูคอนโดหรูถูกเปิดออกด้วยการแสกนลายนิ้วมือแล้วจบด้วยการแสกนลายนิ้วมืออีกรอบของเจ้าของบ้านก่อนที่ระบบรักษาความปลอดภัยจะทำการล็อกตัวเองเมื่อผู้อาศัยทั้งสองเดินเข้ามาภายใน สถานที่สำหรับใช้นอนของอาชวินยังคงเป็นโซฟาห้องนั่งเล่นแต่ดีหน่อยที่พิชญุฒม์อนุญาตให้อีกคนเข้าไปอาบน้ำที่ห้องของตัวเองได้ เพราะถ้าหากจะขนเสื้อผ้ามาตั้งทิ้งไว้กลางห้องนั่งเล่นก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่ ถึงปกติคอนโดห้องนี้จะไม่ค่อยมีแขกมาเยี่ยมเยือนก็เถอะแต่อย่างน้อยก็ไม่ควรทำให้รกไปมากกว่านี้

ร่างโปร่งทิ้งตัวลงนอนยาวบนโซฟาในขณะที่พิชญุฒม์เดินขึ้นไปชั้นสอง กิจวัตรประจำวันของทั้งสองคนก็มีแค่นี้ อาชวินขอเปรียบที่แห่งนี้เป็นเหมือนคุกขนาดย่อมๆแต่ระบบรักษาความปลอดภัยเยี่ยมยอดกว่าเรือนจำที่เขาเคยอยู่ซะอีก แถมยังมีการบำเพ็ญประโยชน์เหมือนกันอีกต่างหากเพียงแต่ในเรือนจำอาจจะเป็นงานเล็กๆน้อยๆแต่ห้องขังที่ชื่อว่าคอนโดของพิชญุฒม์นี่ดันเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ที่สามารถตัดสินชีวิตคนๆนึงได้เลยทีเดียว
 

สองทุ่มครึ่ง หน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาตามนั้นแต่เจ้าของห้องอย่างพิชญุฒม์ยังคงขีดๆเขียนๆตัวหนังสืออยู่บนหน้ากระดาษ มีบ้างที่ขีดทิ้งแล้วเขียนใหม่ก่อนจะสรุปทุกอย่างลงในแล็บท็อปอีกที ตั้งแต่กลับมาถึงห้องเมื่อประมาณบ่ายสี่โมงพิชญุฒม์ก็เอาแต่ขลุกตัวเองอยู่บนห้อง คดีล่าสุดที่เขาดูแลคลี่คลายได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว หลักฐานทุกอย่างพร้อมหมดแล้วเหลือเพียงแต่สรุปทุกอย่างให้ออกมาเป็นรูปเล่มที่สมบูรณ์ ทั้งๆที่ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องทำก็ได้เพราะแค่ปิดคดีได้และคนร้ายถูกจับรายงานแผ่นเดียวก็พอแล้ว แต่สำหรับพิชญุฒม์เขามองว่าการตัดสินคดีก็เหมือนกระจกหากไม่รอบคอบพอแล้ววันหนึ่งเกิดความผิดพลาดกับการปิดคดีมันอาจจะกลายมาเป็นงูที่พันรอบคอตัวเองอยู่ก็เป็นได้
 

นายตำรวจหนุ่มเจ้าของ่วนสูงมากกว่ากว่า183ลุกขึ้นบิดขี้เกียจเพื่อไล่ความเมื่อยขบออกหลังจากที่กดเซฟงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พอเหลือมองนาฬิกาอีกทีก็ปาไปเกือบสี่ทุ่มแล้ว ท้องที่ไม่มีอาหารหล่อเลี้ยงมาร่วมหกชั่วโมงก็พร้อมใจกันร้องประท้วงจนต้องเบ้หน้าก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะลงไปหาอะไรมาให้น้ำย่อยในกระเพาะได้ย่อย

ลงบันไดมาก่อนจะถึงไปห้องครัวก็ต้องผ่านห้องนั่งเล่นที่มีร่างโปร่งของผู้อยู่อาศัยอีกหนึ่งนอนขดจนกลมดิกตัวอยู่บนโซฟา อาชวินในชุดเดิมนอนหลับอุตุแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ลำพังปกติอาชวินก็ไม่ใช่คนตัวเล็กมากแต่พอมานอนขดอยู่แบบนี้กลับดูกลมจนเหมือนก้อนอะไรซักอย่างที่กลมๆนิ่มๆจนพิชญุฒม์หลุดขำออกมาเบาๆ เวลาหลับไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่ไร้พิษสงแต่ใครจะไปรู้ว่าภายในหัวของเด็กคนนี้มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง

พิชญุฒม์เลือกหยิบนมสดในตู้เย็นออกมาเทใส่แก้วสองใบแล้วเวฟแล้วหยิบแครกเกอร์ออกมาสองสามชิ้นเพื่อใส่ปากระหว่างที่รอให้นมในไมโครเวฟอุ่น เคยมีคนบอกเขาว่าเวลาที่ใช้ไมโครเวฟห้ามอยู่ใกล้ในรัศมีของคลื่นความถี่ แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะใส่ใจหรอกตราบใดที่มันไม่ทำให้เขารู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย พอเสียงเตือนไมโครเวฟดังพิชญุฒม์ใช้มือข้างที่สวมถุงมือกันความร้อนหยิบแก้วนมมาวางไว้บนโต๊ะรอให้มันเย็นลงจนพอใช้มือเปล่าจับได้ถึงได้ยกแก้วนมอุ่นๆออกมาจากห้องครัว ไม่ลืมหยิบแครกเกอร์ห่อเล็กๆติดมาอีกสองห่อ

พอเดินมาจนถึงห้องรับแขกก็วางแก้วนมหนึ่งแก้วลงบนโต๊ะกระจกกลางห้องพร้อมกับแครกเกอร์หนึ่งถุงก่อนจะเดินออกจากห้องรับแขกก็ไม่วายใช้มือข้างที่ว่างโยนหมอนใส่หน้าคนที่กำลังหลับอยู่จนดวงตากลมๆที่ปิดอยู่ต้องเปิดออกมาตวัดสายตาไม่พอใจส่งให้แต่พิชญุฒม์ก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวกับสายตาลูกหมาหวงของเล่นของอีกคนเดินถือแก้วนมกับแครกเกอร์ถุงน้อยของตัวเองขึ้นห้องไป

อาชวินทิ้งถอนหายใจแรงๆเพื่อไล่ความหงุดหงิดจากการโดนก่อกวนการนอนของตัวเองพยายามจะปิดตาหลับลงอีกครั้งแต่ก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมาเพราะรู้สึกเหมือนได้กลิ่นนม พอเหลือบตาไปมองที่โต๊ะกลางห้องใกล้ๆกับโซฟาที่ตัวเองนอนก็ต้องขมวดคิ้วฉับ แก้วนมกับแครกเกอร์ห่อเล็กมาตั้งไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือเขานอนละเมอแล้วลุกไปรินนมใส่ พอลุกขึ้นนั่งหยิบแก้วนมมาถือไว้ก็ยังรับรู้ถึงความอุ่นของนม อดไม่ได้ที่จะเหลือบตาขึ้นไปมองยังห้องนอนหนึ่งเดียวของคอนโด ถ้าเขาละเมอรินนมคงไม่มีปัญญาเอาเข้าไมโครเวฟแล้วอุ่นแน่ๆ

ร่างโปร่งดื่มนมจนหมดแล้วไม่ลืมที่จะจัดการกับแครกเกอร์ห่อเล็กๆที่ถูกวางไว้ข้างกันด้วย เหมือนนานมากแล้วที่ไม่มีโอกาสได้อุ่นนมให้ใครหรือมีใครมาอุ่นนมให้ ถ้าจำไม่ผิดครั้งล่าสุดที่อุ่นนมให้ใครซักคนก็เมื่อเกือบสามปีที่แล้วสมัยที่เขายังอยู่หอพักเดียวกับอดิศร พอคิดมาถึงตรงนี้ความรู้สึกผิดหวังก็ตีตื้นขึ้นมาอีกรอบ แม้จะยังไม่เข้าใจเหตุผลทั้งหมดว่าทำไมอดิศรต้องจับเขาส่งมาให้พิชญุฒม์แต่ก็อดที่จะขอบคุณในใจเล็กๆไม่ได้ว่ามันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองยังพอมีที่ยืนอยู่บนโลกนี้บ้าง ถึงแม้ว่าจะอยู่เหมือนโดนกักบริเวณตลอดเวลาก็เถอะ


เช้าที่วันใหม่ที่พิชญุฒม์คิดว่ามันสดใสมากกว่าปกติมาเยือนคนตัวสูงลุกขึ้นจากที่นอนด้วยสภาพที่ไม่ต่างจากทุกวันมายืนเกาะอยู่ตรงหน้าต่างห้องมองภาพรถราที่แล่นผ่านไปผ่านมาจนสายตาไปสะดุดอยู่ที่ร้านกาแฟตรงมุมถนนก่อนที่มุมปากจะยกยิ้ม มันทำให้เขานึกถึงวันแรกที่เจออาชวิน ใครจะไปคิดว่าอยู่ๆเด็กนั่นจะวิ่งมาให้เขาเจอตัวง่ายๆ พอลองสะกดรอยตามก็ได้แต่รู้สึกว่าเส้นผมบังภูเขาจริงๆ ที่อยู่ที่เด็กนั่นกลับห่างจากคอนโดเขาแค่ไม่เท่าไหร่

พิชญุฒม์พาตัวเองที่อยู่ในเสื้อวอร์มและกางเกงขายาวเตรียมพร้อมสำหรับการออกไปวิ่งในบรรยากาศยามเช้าแบบนี้ แต่พอลงมาที่ห้องนั่งเล่นก็เห็นก้อนกลมๆนอนขดตัวอยู่ที่เดิมพร้อมกับกองผ้าห่มที่หล่นอยู่ข้างโซฟาอดส่ายหัวเบาๆไม่ได้แต่ก็ไม่วายที่จะเดินไปหยิบผ้าห่มมาคลุมก้อนกลมๆไว้ เหลือบสายตาไปมองที่โต๊ะกระจกก็เจอกับแก้วเปล่าและเศษซากของแครกเกอร์ที่หมดแล้วก่อนจะพาตัวเองออกจากบ้านแล้วปล่อยให้ระบบรักษาความปลอดภัยล็อกตัวเองเพื่อกันคนที่นอนหลับอุตุอยู่หนีออกไป
 
พิชญุฒม์พาตัวเองมาจนถึงร้านกาแฟที่เขาเจออาชวินครั้งแรกเข้าไปนั่งตรงที่นั่งริมกระจกบริเวณที่เป็นเค้าท์เตอร์ยาวพร้อมกับสั่งอเมริกาโน่หนึ่งแก้วมานั่งจิบระหว่างมองคนเดินผ่านไปผ่านมา จริงๆเขาก็ไม่ใช่พวกที่มีอารมณ์ศิลปินหรือมานั่งเล่นเรื่อยๆเหมือนพวกสโลว์ไลฟ์บางคน แต่เขาก็แค่มีเรื่องบางเรื่องต้องคุยกับคนบางคนเฉพาะเวลานี้เท่านั้น เสียงลากเก้าอี้ข้างๆดังขึ้นก่อนจะมีร่างของใครบางคนนั่งลง พิชญุฒม์ปรายหางตาไปมองเพียงชั่วครู่ก่อนจะหันกลับมาสนใจกาแฟในมือต่อ

“เรียกฉันออกมาคงไม่ใช่แค่มานั่งมองนายดื่มกาแฟหรอกมั้ง”

เสียงของผู้มาใหม่เอ่ยเบาๆแต่ก็ฟังออกว่าอีกฝ่ายพูดอะไร พิชญุฒม์ยกยิ้มนิดๆก่อนจะสูดหายใจแบบสบายๆ

“นายก็น่าจะรู้ว่าฉันต้องการอะไร” พิชญุฒม์ตอบกลับไปเสียงเรียบๆ ต่างฝ่ายต่างมองตรงไปยังด้านนอกซึ่งดูเผินๆเหมือนทั้งคู่เป็นแค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญมานั่งข้างกัน ซึ่งความจริงแล้วทั้งคู่ก็แค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญมีทางเดินบางส่วนที่เอื้อประโยชน์ต่อกันและกัน ซ้อนทับกันจนต้องมาเจอกันในที่นี้และเวลานี้

“ถ้าเป็นเรื่องของหมูฉันให้นายได้แค่นั้น ฉันส่งหมูไปให้นายก็เพื่อความปลอดภัยของเขาก็แค่นั้นนอกเหนือจากนั้นฉันไม่ไว้ใจนาย”

พิชญุฒม์หันไปมองอีกคนด้วยสายตาที่คนมองดูรู้สึกอยากจะยกแก้วกาแฟตรงหน้าสาดให้ตาบอดไปซะ

“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องของนายกับอาชวินนะอดิศร ถึงตอนนี้นายจะถือสองโพดำแล้วฉันถือสามดอกจิกแต่ถ้าวันไหนฉันได้สามมาอีกสองใบวันนั้นสองโพดำของนายก็ไร้ค่านะ”
 
พิชญุฒม์ลุกออกไปแล้วพร้อมกับแก้วกาแฟที่ยังเหลือติดก้นแก้วอยู่อีกนิดหน่อยแต่อดิศรยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ลุกไปไหน พิชญุฒม์พูดถูกทุกอย่างตอนนี้เขาถือสองโพดำในมือยังไงซะเขาก็เหนือกว่าแต่ถ้าวันไหนที่พิชญุฒม์ได้ตองสามมาอยู่ในมือเขาก็ไร้ทางสู้อยู่ดี อดิศรทอดสายตามองออกไปข้างนอกก่อนที่จะยกยิ้มมุมปากนิดๆอย่างคนมีชัย
 
“ต่อให้นายเป็นตองเอซนายก็สู้ฉันที่มีทั้งสองโพดำและสองโพแดงไม่ได้หรอกสารวัตรพิชญุฒม์”




ห้องทดลองยังคงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ต่อให้วุ่นวายแค่ไหนอาชวินก็ยังมองว่าเป็นสถานที่ที่สงบสุขสำหรับตัวเองอยู่ดี วันนี้เอกภพยังไม่มีการทดลองอะไรให้อาชวินต้องหัวปั่นเป็นพิเศษ ร่างโปร่งเลยอาสาไปช่วยงานเพื่อนร่วมห้องทดลองคนอื่นๆและเอกภพก็ไม่ได้ห้ามอะไรเพราะเขาเข้าใจดีว่าคนที่รักการทดลองเป็นชีวิตขนาดนั้นไม่น่าจะทนอยู่เฉยๆแล้วมองคนอื่นทำการทดลองได้นานหรอก
 

“หรอ แล้วกายทำยังไงต่ออ่ะ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่กำลังนั่งจดผลการทดลองจากเครื่องมือวิเคราะห์ ส่วนดวงตากลมๆที่ดูใคร่รู้เหมือนลูกหมาก็มองหน้าคนเล่าอย่าใจจดใจจ่อ

“ฉันก็วิ่งหนีไงจะอยู่ทำไมหล่ะ” กายพูดจบก็หัวเราะจนตาปิด “ตอนนั้นนะที่เอาสารตัวนั้นเทใส่กรดฉันก็ลืมนึกไปว่ามันจะเกิดปฏิกิริยารุนแรงแต่พอเห็นควันพุ่งออกมานะวิ่งแทบไม่ทันเลย” เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นสองเสียงเรียกสายตาของคนในแลปให้มองอย่างเอ็นดู

ด้วยความที่ปกติกายจะเป็นน้องเล็กของห้องแลปที่มีแต่นักวิจัยระดับสูงๆเลยทำให้แทบไม่ค่อยได้หัวเราะเต็มเสียงเท่าไหร่ พอตอนนี้มีอาชวินที่รุ่นราวคราวเดียวกันมาอยู่ด้วยเลยสนิทกันเร็วจนกลายเป็นคู่หูที่สร้างสีสันให้ห้องทดลองที่เคยมีแต่บรรยากาศอึมครึมดูสดใสขึ้น
 
เอกภพนั่งมองสองคู่หูที่รับส่งมุขกันไปเล่าเรื่องกันมาแล้วก็หัวเราะท่ามกลางสายตาเอ็นดูจากคนทั้งแลปแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ ตอนที่เขาเจออาชวินครั้งแรกเด็กคนนี้มาพร้อมกับดวงตาที่มีอะไรมากมายอยู่ข้างใน แต่ตอนนี้ดูเหมือนความสดใสจากส่วนลึกจะกลบเรื่องมากมายที่เด็กคนนั้นแบกรับไว้ แต่เขาก็มั่นใจว่าสิ่งที่เขาเห็นในดวงตาตอนครั้งแรกมันยังไม่ได้หายไปไหนมันแค่รอวันที่จะกลับมาแสดงออกตามเดิม

วันนี้สารวัตรพิชญุฒม์ไม่ได้มาป้วนเปี้ยนแถวห้องแลป อาจเป็นเพราะวันนี้อีกคนต้องประชุมเพื่อรายงานเรื่องของคดีความที่ปิดไปให้กับผู้บังคับบัญชาเลยไม่มีเวลามาเถลไถลมาเดินคุมนักโทษในความดูแลของตัวเอง บางครั้งเอกภพก็คิดว่าพิชญุฒม์เป็นคนที่ยากจะเข้าใจ ถึงแม้ทุกคนจะบอกว่าเขาคือคนที่เข้าใจพิชญุฒม์ที่สุดถึงขั้นมองตาก็รู้ว่าอีกคนคิดอะไรอยู่ แต่ก็นั่นแหล่ะแค่เข้าใจที่สุดแต่ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจทุกเรื่องซะเมื่อไหร่

เอกภพใช้เวลาเขียนรายงานการทดลองอีกเล็กน้อยก่อนจะออกปากชวนสองแสบไปหาอะไรกินเพราะเงยหน้าจากหน้าจอแล็บท็อปก็ปาเข้าไปเที่ยงกว่าแล้วโดยไม่คิดจะรอพิชญุฒม์เพราะรู้ว่าฝ่ายนั้นน่าจะออกมาไม่ต่ำกว่าบ่ายสามหรือไม่ก็อาจจะลากยาวไปจนสี่ห้าโมงเย็น
 
ร้านอาหารเล็กๆถัดจากสำนักงานไปอีกหนึ่งซอยคือที่ๆเอกภพพาเด็กๆมาฝากท้อง ที่เขาไม่คิดจะพาทั้งสองคนไปไหนไกลเพราะเหตุผลหลักๆเลยคืออาชวิน ถ้าหากว่าพิชญุฒม์ออกมาเร็วกว่าที่คาดไว้แล้วไม่เจออาชวินมีหวังห้องแลปของเขาคงได้ราบเป็นหน้ากลองแน่ บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจพิชญุฒม์เท่าไหร่หรอกในการกระทำแต่ละอย่าง แต่ถ้าพิชญุฒม์ว่าดีเขาก็พร้อมจะเชื่อใจว่ามันจะดี
บทสนทนาบนโต๊ะอาหารก็หนีไม่พ้นวีรกรรมแสบๆตอนสมัยเรียนของกายส่วนอาชวินก็แค่ยิงมุขแซวเพราะไม่ได้มีวีรกรรมแสบซนเหมือนอีกคนจนเอกภพต้องหัวเราะเสียงดัง ก็มีแอบเกรงใจอื่นบ้างเหมือนกัน แต่ดีที่เวลาที่พวกเขาออกมาค่อนข้างค่อนไปทางบ่ายแล้วเลยทำให้มีลูกค้าคนอื่นๆเหลืออีกไม่กี่โต๊ะ
 
“เดี๋ยวผมขอไปห้องน้ำแปปนึงนะครับพี่เอกภพ สัญญาว่าจะไม่หนีพี่จะให้กายไปเฝ้าก็ได้นะครับ” อาชวินหันไปขออนุญาตเอกภพด้วยท่าทีเกรงใจแล้วไม่ลืมที่จะย้ำกับอีกฝ่ายซึ่งเอกภพก็แค่ส่ายหัวเบาๆ

“ฉันไม่ใช่พิชญุฒม์นะหมู ไปเถอะรีบไปรีบมาหล่ะถ้าห้านาทียังไม่มาเดี๋ยวให้กายไปตาม” อาชวินส่งยิ้มให้อีกคนก่อนจะลุกจากเก้าอี้ออกมา
 

ก๊อกน้ำถูกเปิดออกเพื่อล้างมือซึ่งอาชวินใช้เวลาจัดการกับธุระส่วนตัวเพียงไม่นาน เงยหน้ามองตัวเองในกระจกอย่างพิจารณา ครั้งนึงคนในกระจกเคยเป็นแค่เด็กธรรมดาๆแต่วันนึงเด็กธรรมดาๆก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นใครซักคนที่ห่างไกลจากคำว่าธรรมดาไปไกลโพ้นเพียงเพราะความสามารถ
 

แกร๊ก

 
เสียงประตูห้องน้ำห้องในสุดเปิดออกเรียกสติอาชวินที่ลอยไปไกลกลับมาดวงตาคู่กลมเหลือบมองดูคนที่เปิดประตูออกมาอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะดึงสายตากลับมาแล้วหมุนตัวเองออกจากห้องน้ำ

“ไม่เจอกันนานเลยนะพี่หมู” ปลายเท้าที่กำลังจะก้าวออกชะงัก น้ำเสียงที่เหมือนเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้วตรึงให้อาชวินยืนนิ่งอยู่กับที่ “พี่ไม่คิดจะทักทายน้องชายคนนี้หน่อยหรอ”

คนแปลกหน้าเอื้อมมือมาจับไหล่ของคนตรงหน้าแต่ก็ถูกอาชวินสะบัดออก ดวงตากลมโตปิดลงพลางสูดลมหายใจเข้าอย่างระงับสติ ข้อมือขาวถูกมือของอีกคนกุมไว้พอจะสะบัดออกคนแปลกหน้าก็ยิ่งกำรอบข้อมือแน่นกว่าเดิมจนต้องหลุดเสียงร้องออกมา

“โอ๊ย!”

“อย่ามาทำท่ารังเกียจใส่ฉันเพราะคนที่ควรทำแบบนั้นต้องเป็นฉันมากกว่ามั้ง” แรงบีบที่ข้อมือเพิ่มขึ้นอาชวินต้องเบ้หน้าแล้วยกมืออีกข้างมาพยายามแกะมือหนาที่แข็งพอๆกับกุญแจมือออก

“ขอให้โชคดีกับชีวิตใหม่แล้วอย่าคิดว่าไอ้ตำรวจนั่นจะคุ้มกะลาหัวนายได้ตลอดไป” แรงบีบครั้งสุดท้ายที่ข้อมือแรงจนอาชวินต้องทรุดลงไปนั่งกับพื้นเพื่อกุมข้อมือของตัวเองหลังจากที่อีกฝ่ายปล่อยมือ น้ำตาหนึ่งหยดๆลงบนหลังมือเพื่อระบายความเจ็บที่ไม่สามารถทำอะไรได้
 

“หมูเป็นอะไรหน่ะ” เอกภพที่เดินมาตามอาชวินเพราะเห็นว่าหายไปนานทรุดตัวลงนั่งชันเข่าเพื่อดูว่าอีกคนเป็นอะไร แต่อาชวินก็แค่ส่ายหน้าเบาๆแล้วส่งยิ้มแหยๆให้ พยายามซ่อนมือที่เป็นรอยแดงให้พ้นจากสายตาอีกคน

“ผมแค่ซุ่มซ่ามนิดหน่อยครับ พี่กลัวผมหนีหรอถึงได้มาตาม” พูดจบก็หัวเราะเบาๆเพื่อสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้นแต่เอกภพไม่ได้ขำด้วย สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ข้อมือของอีกคนที่พยายามซ่อนให้พ้นจากสายตาเขา

“มือเป็นอะไรหน่ะ? ส่งมือมาซิหมู” เอกภพพูดทั้งๆที่สายตายังไม่ละไปจากข้อมือของอีกคน ซึ่งอาชวินก็พยายามจะดันให้อีกคนเดินออกไปจากห้องน้ำส่วนในใจก็ได้แต่ภาวนาให้ใครซักคนเดินเข้าห้องน้ำมาเพื่อทำลายสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตัวเอง

แต่เหมือนโชคจะไม่เคยเข้าข้างเขาเลยเมื่อเอกภพคว้าข้อมือข้างนั้นของเขาตอนที่กำลังพยายามคิดหาทางหนีทีไล่มาดูก่อนจะปล่อยมือให้อาชวินเอาไปซ่อนไว้ข้างหลังตามเดิมแล้วมองหน้าอีกคนเป็นเชิงว่ามีอะไรจะแก้ตัวไหมแต่อาชวินก็แค่ส่ายหน้าเหมือนไม่อยากจะพูดอะไรซึ่งเอกภพก็ไม่ได้คาดคั้น พยักหน้าตกลงเบาๆแล้วเดินนำอาชวินออกจากห้องน้ำเป็นการจบบทสนทนานี้
 
รอยแดงเป็นปื้นที่ข้อมือ มองแวบเดียวก็รู้ว่าคนที่บีบข้อมืออาชวินจนแดงได้ขนาดนี้ต้องออกแรงบีบแรงมาก ซึ่งแน่นอนว่าอาชวินไม่น่าจะขัดขืนการทำร้ายร่างกายครั้งนี้ด้วยเพราะมันไร้ร่องรอยของการต่อสู้ แต่ที่ทำให้เอกภพรู้สึกคิ้วขมวดก็คือคนที่เดินสวนกับเขาที่หน้าห้องน้ำ เพราะนับกันจริงๆแล้วคนๆนั้นคือคนที่น่าสงสัยอันดับหนึ่ง รูปร่างที่แม้จะสูงโปร่งแต่ก็ดูมีกล้ามเนื้ออย่างคนออกำลังกายยิ่งไม่น่าแปลกใจถ้าจะเป็นคนที่ทำร้ายร่างกายอาชวิน พอเหลือบตาไปมองอาชวินอีกคนก็เดินก้มหน้าพยายามซ่อนมือที่เจ็บไว้ด้านหลังอย่างระมัดระวัง
 
ร่างโปร่งที่พยายามซ่อนมือไว้ข้างหลังเหลือบมองแผ่นหลังของตำรวจของกองพิสูจน์หลักฐานไว้ในขณะที่แอบลอบถอนหายใจเบาๆ เขาไม่รู้หรอกว่าเอกภพจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากน้อยแค่ไหนแต่สำหรับเขา เขาคิดว่าน่าจะได้เยอะจนสามารถไม่ต้องมานั่งเค้นความอะไรออกจากเขาได้เลยแหล่ะ มันสมองระดับเอกภพกับทักษะจากงานที่ทำคงทำให้เดาได้ไม่ยาก คิดแล้วก็ทำให้นึกถึงคนที่สร้างรอยพวกนี้ให้กับตัวเอง บุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะมาเจอกันที่นี่ คนที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะมาเพ่นพ่านหรือเที่ยวเสเพลอยู่ย่านนี้ นายมาทำอะไรที่นี่กันแน่รฐนนท์
 
 
 
 
 
 
:: เกร็ดเล็กๆค่ะ เราลำดับความสำคัญของไพ่ที่เราเอามาอันนี้เรายกมาจากการเล่นสลาฟค่ะ ปกติไพ่ที่ใหญ่ที่สุดคือไพ่สองโพดำและไพ่ที่เล็กที่สุดคือสามดอกจิกค่ะ

สุดท้ายนี้ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ^^

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บทที่ 6



หอสมุดเก่าแก่เป็นสถานที่ที่อาชวินได้มาเยือนในวันนี้ หนังสือมากมายในแต่ละชั้นดูละลานตาจนอดที่จะร้องวู้วว้าวออกมาเบาๆไม่ได้ ดวงตากลมโตเหมือนลูกหมากรอกซ้ายทีขวาทีหมุนตัวจนแทบจะครบสามร้อยหกสิบองศา
 
“อย่าหนีไปไหนหล่ะ นายก็รู้ว่าฉันตามนายเจอ” พิชญุฒม์พูดทิ้งท้ายก่อนจะหันหน้าเดินไปอีกทางทิ้งให้อาชวินได้แต่กรอกตาไปมา
 
อาคารที่มีสี่ชั้นแต่ตรงกลางโล่งจนมองได้ทั่วถึงทั้งชั้นลอยและสามารถมองลงไปยังชั้นล่างบวกกับสถาปัตยกรรมทรงไทยโบราณที่มีไฟประดับเป็นสีเหลืองนวลสบายตายิ่งทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายเหมาะกับการอ่านหนังสือเข้าไปอีก อาชวินเดินขึ้นมาเรื่อยๆตามบันไดจนมาหยุดอยู่ที่ชั้นสาม ก่อนจะยกมือลูบไปตามสันหนังสือแต่ละเล่ม

ชั้นหนังสือที่แบ่งหมวดหมู่และเรียงตามลำดับตัวอักษรชัดเจนง่ายต่อการค้นหาจนรู้สึกเหมือนว่าที่นี่คือสวรรค์ของคนที่รักในตัวอักษร

อาชวินเดินตรงเข้าไปยังโซนประวัติศาสตร์แล้วเลือกหยิบหนังสือที่บันทึกเรื่องราวของยุคโซเวียตขึ้นมาเล่มหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาด้านในกล่าวถึงสงครามเย็น เอาจริงๆเขาก็ไม่ใช่คนที่เก่งประวัติศาสตร์อะไรมากมาย แต่ก็ชอบที่จะอ่านอะไรแบบนี้ เพราะประวัติศาสตร์มันมักจะสะท้อนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างถูกต้องมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เสมอ
 
ร่างโปร่งเลือกนั่งลงกับโต๊ะไม้สำหรับอ่านหนังสือที่อยู่ไม่ห่างจากชั้นหนังสือมากนัก อันที่จริงในฐานะนักโทษอย่างเขาก็ไม่ได้สบายขนาดจะมานั่งเล่นอ่านหนังสือสบายใจแบบนี้ได้หรอก แค่พิชญุฒม์มีคดีใหม่ที่ต้องแก้แล้วบังเอิญว่าคดีนั้นเกิดขึ้นที่นี่ เขาที่เป็นนักโทษของพิชญุฒม์เลยต้องติดสอยห้อยตามมาด้วย จริงๆจะทิ้งเขาไว้ห้องแลปของเอกภพก็ได้แต่อีกฝ่ายไม่ยอมบอกว่ากลัวเขาหนี

สาเหตุก็เพราะวันนั้นที่พิชญุฒม์ติดประชุมแล้วเขาไปกินข้าวกลางวันกับเอกภพ พิชญุฒม์ดันเลิกเร็วพอมาห้องแลปเลยไม่เจอทั้งเอกภพทั้งเขา พอเขากลับไปถึงก็เจอประชดยาวจนถึงคอนโด ขนาดอีกฝ่ายเดินขึ้นห้องไปอาบน้ำแต่งตัวพร้อมจะนอน ยังไม่วายเดินแวะมาประชดเขาเรื่องหาทางหนี จนบางทีอาชวินก็คิดนะว่าตกลงนี่พิชญุฒม์คือชายหนุ่มอายุใกล้เลขสามหรือป้าแก่ๆที่อายุย่างเข้าวัยหมดประจำเดือนที่อารมณ์แสนจะแปรปรวน
 

อาชวินมองลงไปชั้นล่างเห็นพิชญุฒม์กำลังกอดอกมองบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดกำลังเล่าอะไรซักอย่างด้วยท่าทางนิ่งเฉย ข้างๆกันยังคงเป็นเอกภพที่จดอะไรยุกยิกไปด้วยขณะฟัง แอบหลุดยิ้มเบาๆเมื่อเห็นเอกภพส่งสายตาไม่พอใจใส่พิชญุฒม์เมื่ออีกคนพูดอะไรซักอย่าง จากมุมนี้เขาไม่ได้ยินว่าข้างล่างพูดอะไรกัน ทั้งๆที่อาคารนี้เป็นโดมซึ่งเสียงควรจะก้องแต่เพราะผนังที่บุฉนวนกันเสียงเลยทำให้ห้องสมุดนี้ยิ่งเหมาะแก่การอ่านหนังสือเข้าไปใหญ่
 
“สงครามเย็น ภายในความน่ากลัวย่อมมีสิ่งน่าสนใจว่าไหม” อาชวินหันขวับไปตามเสียงที่ดังขึ้นข้างหลังอย่างตกใจ

“โทษทีที่มาเงียบๆ ฉันชื่อวรินทร์เป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์” เจ้าของชื่อวรินทร์พูดจบก็ยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรให้อีกคน แต่อาชวินก็แค่ก้มหัวให้แล้วยิ้มบางๆ แต่ไม่ได้แนะนำตัวเองกลับ

“หนังสือบนชั้นนี้ไม่ค่อยมีคนหยิบมาอ่านหรอกถ้าไม่จำเป็น แต่รู้อะไรไหมเด็กน้อย บางทีสงครามที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อยังสร้างความเสียหายได้น้อยกว่าสงครามที่ใช้แค่มันสมองซะอีก เพราะเมื่อเราจับอาวุธเราจะเดาฝีมือคู่ต่อสู้ได้จากท่าทาง แต่ในขณะที่ต่อสู้กันทางความคิดเราไม่สามารถเดาอะไรได้จากท่าทางเลย” ผู้ช่วยบรรณารักษณ์ส่งยิ้มเนือยๆก่อนจะเหลือบตามองลงไปข้างล่างแล้วพูดต่อ

“ยิ่งคนที่เคยร่วมมือกันมาก่อน ถ้าวันนึงต้องทำสงครามกัน ถึงเราจะเดาทางเขาออกแต่เราไม่สามารถเดาจิตใจเขาออกเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นสงครามเย็นคงไม่ยืดเยื้อกินเวลามาขนาดนี้”

“จริงๆหอสมุดนี้เคยดีกว่านี้ตอนที่ทุกอย่างยังคงเป็นหนึ่งเดียวกัน” วรินทร์เดินอ้อมโต๊ะมาแล้วทรุดตัวนั่งลงอีกฝั่งของอาชวินก่อนจะเริ่มพูดต่อเมื่อเห็นท่าทีที่ดูสนใจในคำพูดตัวเองจากดวงตากลมๆคู่นั้น “ฝ่ายหนึ่งบอกว่าหอสมุดนี้ควรโดนทุบทิ้งเพราะเห็นแก่เม็ดเงินจำนวนมหาศาล ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าถ้ายังมีหอสมุดนี้อยู่มันจะสร้างเม็ดเงินที่มหาศาลกว่าจากความรู้ของคนที่อ่านหนังสือจากที่นี่”

“แล้วรู้ไหมฝ่ายไหนชนะ?” อาชวินส่ายหน้าเบาๆแล้วตั้งใจฟังอีกคนพูดต่อ “ยังไม่มีใครชนะหรอกมันก็เหมือนสงครามเย็นนั่นแหล่ะ ยืดเยื้อจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะล่มสลายไป แต่จำไว้นะเด็กน้อยสงครามหน่ะ ต่อให้เล็กหรือใหญ่ ชนะหรือแพ้ มันก็ทิ้งร่องรอยไว้เสมอ” พูดจบก็ยกมือขึ้นยีผมเด็กตรงหน้าแทนคำขอบคุณที่ตั้งใจฟังจนจบ




คดีใหม่ที่พิชญุฒม์ต้องเจอทำเอาปวดขมับไม่น้อยทีเดียว พิชญุฒม์ทิ้งตัวนั่งลงกับเก้าอี้ในห้องทำงานพลางนวดขมับไปมา มีเอกภพเดินมานั่งทิ้งตัวลงบนโต๊ะกลางห้องในสภาพไม่ต่างกัน ระหว่างทางกลับมาสำนักงานอาชวินได้ยินพิชญุฒม์ถกกับเอกภพตลอดทางจนรู้สึกเหมือนทั้งคู่สร้างกำแพงกั้นกันเขาออกมาจากโลกใบนั้นโดยสมบูรณ์ อาชวินที่เดินตามเข้าไปพอเห็นสภาพที่ดูเหนื่อยๆของคู่หูก็เดินออกจากห้องทำงานพิชญุฒม์ ขนาดตอนเขาเปิดประตูเดินออกมาพิชญุฒม์ยังไม่มีอารมณ์จะมาแขวะเขาก่อนออกจากห้องเลยแสดงว่าคงเหนื่อยกันมากจริงๆ

ตู้กดน้ำแบบหยอดเหรียญตรงมุมแผนกคือจุดมุ่งหมายที่เดินออกมาของอาชวิน ร่างโปร่งล้วงเอาเหรียญในกระเป๋ากางเกงออกมาหยอดก่อนจะกดเครื่องดื่มเย็นๆสองกระป๋องออกมา โคล่าสำหรับเอกภพและชามะนาวสำหรับพิชญุฒม์ก่อนจะก้มลงหยิบเครื่องดื่มแล้วเดินกลับไปยังห้องทำงานของพิชญุฒม์

สองคู่หูประจำกองสืบสวนสอบสวนเงยหน้ามองเครื่องดื่มที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าก่อนจะมองตามคนที่ใจดีเอามาวางไว้ให้ที่เดินไปนั่งเก้าอี้มุมห้องที่เดิม สองคู่หูเงยหน้ามองกันชั่วครู่ก่อนจะจัดการกับกระป๋องเครื่องดื่มตรงหน้า
 
บรรยากาศเงียบเชียบในห้องทำงานไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดเพราะอาชวินรู้ดีว่าทั้งสองคนต้องใช้ความคิดกับอะไรบางอย่างที่เขาช่วยไม่ได้ ร่างโปร่งหยิบหนังสือเกี่ยวกับสงครามโซเวียตที่หยิบติดมือมาจากหอสมุดขึ้นมาอ่าน คำพูดของผู้ช่วยบรรณารักษ์วัยกลางคนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว อาชวินเปิดอ่านแบบกวาดสายตาไปคร่าวๆโดยไม่ลงรายละเอียดโดยที่พิชญุฒม์และเอกภพก็ยังนั่งถกปัญหาคดีใหม่ที่เพิ่งมีเคสเข้ามาซึ่งเขาก็ได้ยินมั่งไม่ได้ยินมั่ง
 

พอตกเย็นก็เป็นอีกครั้งที่อาชวินต้องแปลกใจเพราะแทนที่จะได้กลับบ้านตามปกตินายตำรวจหนุ่มดันขับรถพาเขามาที่คลับ ร่างโปร่งลอบมองเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน ร่องรอยของความเครียดมีปรากฏให้เห็นแม้จังหวะเพลงจะฟังสบายและเนื้อเพลงจะคลายเครียดแค่ไหนก็ตาม ทั้งคู่เลือกนั่งตรงเค้าท์เตอร์แม้จะไม่เป็นส่วนตัวเหมือนโซนชั้นสองแต่ก็ถือว่าเป็นมุมดีๆสำหรับการนั่งปล่อยอารมณ์มุมหนึ่งเลย

 
ครืดครืด

 
มือถือในกระเป๋าสั่นเป็นสัญญาณว่ามีข้อความเข้า พิชญุฒม์หยิบขึ้นมาอ่านข้อความเพียงแค่ชั่วครู่ก่อนจะปิดเครื่องแล้วยัดกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะหันมาหยิบ Absinthe ขึ้นจิบ แอลกอฮอล์ดีกรีแรงจนบาดคอแทบไหม้แต่พิชญุฒม์ก็แค่หลับตาลงเหมือนซึบซับความรู้สึกร้อนในลำคอให้มันแผ่ซ่านไปทั่วท้อง

“เดี๋ยวฉันมานะ” พูดจบก็ลุกเดินออกไปโดยที่ไม่ได้หันมาสนใจว่าอีกคนจะปฏิเสธหรือตอบรับคำบอกเล่านั้น
 

พิชญุฒม์พาตัวเองมายังสวนบริเวณหลังร้านซึ่งเป็นโซนที่ปลอดคนเหมาะกับการนั่งเงียบๆ นายตำรวจหนุ่มควัก Vogue menthol จากกระเป๋าเสื้อออกมาสูบ ปกติเขาไม่ใช่พวกสูบบุหรี่จัดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สูบ ก็แค่นานๆทีเวลาครึ้มอกครึ้มใจหรือเหนื่อยมากจริงๆบางทีการอมควันแล้วปล่อยออกมาก็ช่วยให้สมองโล่งไปได้ซักระยะนึงเหมือนกัน และรสชาติเย็นๆของเมนทอลช่วยให้รู้สึกปลอดโปร่งได้ดีทีเดียว

ควันสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ามืดสนิทที่มีเพียงไฟประดับที่ทำให้พอมองเห็นสิ่งรอบข้างลางๆและทางเดิน นิ้วเรียวคีบมวนบุหรี่ไว้ระหว่างนิ้วชื้กับนิ้วกลางก่อนจะจรดบุหรี่ที่ริมฝีปากเพื่อสูดควันเข้าไปอีกหนึ่งลมหายใจแล้วปล่อยออกมาก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ลงกับที่สำหรับทิ้งก้นบุหรี่ นั่งอยู่ซักพักก็ยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลาก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากแล้วลุกกลับเข้าไปยังที่นั่งที่ทิ้งนักโทษของตัวเองไว้ทันเป็นหลังไวๆของใครซักคนที่ยกมือขึ้นขยี้ผมอาชวินแล้วเดินออกไป
 

สิบนาทีตามที่ตกลงกันไว้ ไม่ขาดไม่เกินอีกฝ่ายรักษาเวลาดีมากจนพิชญุฒม์อดที่จะแอบชมในใจไม่ได้ ตำรวจกับคนทำผิดเป็นเหมือนเส้นขนานกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่เขาก็ไม่ได้ใจร้ายจนเกินมนุษยธรรม ผิดก็ว่าไปตามผิด ทำคุณประโยชน์ก็ต้องได้รับการตอบแทน มันไม่มีทางเอาคุณประโยชน์มาลบล้างความผิดได้ เหมือนที่อาชวินคือนักโทษแต่เด็กนั่นก็ยังมีประโยชน์กับเขาในเรื่องของการคลี่คลายคดีก็ต้องได้รับการตอบแทนเล็กๆน้อยๆ

พิชญุฒม์เดินมาทรุดตัวนั่งลงที่เดิมก่อนจะยกเครื่องดื่มดีกรีแรงของตัวเองมาจิบต่อทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับภาพเหตุการณ์เมื่อกี้ ทั้งคู่นั่งจิบเครื่องดื่มในมือไปเงียบๆก่อนที่พิชญุฒม์จะเป็นคนตัดสินใจว่าถึงเวลาที่ทั้งคู่ควรจะกลับไปพักผ่อนแล้ว


ช่วงเวลาการเดินทางจากคลับมาถึงคอนโดกินเวลานานกว่าตอนขาไปทั้งๆที่ควรจะใช้เวลาน้อยกว่าเพราะจำนวนรถบนท้องถนนบางตามาก แต่พิชญุฒม์กลับขับรถด้วยความเร็วที่ควรจะเรียกว่าความเฉื่อยมากกว่า อาชวินเหลือบมองคนที่ฮัมเพลงในลำคออย่างอารมณ์เป็นจังหวะตามเพลงยุค80’s ที่เปิดอยู่ในวิทยุอย่างแปลกใจ ปกติไม่เคยจะเห็นพิชญุฒม์ในมุมนี้ อาจเพราะอีกฝ่ายมีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดเยอะไปหล่ะมั้งเลยอารมณ์ดี

พิชญุฒม์ถอยรถเข้าซองจอดรถ แต่ยังไม่ปลดล็อคจนอาชวินหันมามองอย่างงงๆ พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งเลยขยับหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าพิชญุฒม์หลับคาพวงมาลัยไปแล้วหรือยัง ตอนขับกลับก็แอบใจเต้นตุ่มๆต่อมๆว่าจะโดนจับหรือเปล่าที่ปล่อยให้คนที่มีแอลกอฮอล์ในเลือดมาขับแต่ก็ยังดีที่มาถึงโดยสวัสดิภาพ
 
“สารวัตร” อาชวินเรียกอีกคนเสียงเบาก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าอีกคนยังคงปกติอยู่แต่แล้วก็ถอนตัวออกมาเกือบไม่ทันเมื่อจู่ๆคนที่หลับตาลงลืมตาขึ้นมามองกระทันหัน

“ตกใจหมด ปลดล็อคหน่อยผมง่วงแล้ว” พูดจบก็หันมาจัดการกับเข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ปลดออกมือขาวก็โดนคว้าไปกุมไว้จนต้องหันมามองด้วยความแปลกใจก่อนที่ความแปลกใจจะกลายเป็นตกใจเมื่อใบหน้าของพิชญุฒม์อยู่ห่างจากตัวเองแค่คืบ

ลมหายใจร้อนๆเจือกลิ่นแอลกอฮอล์ปะปนกลิ่นเย็นๆของบุหรี่เป่ารดอยู่ใกล้ๆไม่ได้ทำให้ใจสั่นเหมือนการ์ตูนตาหวาน แต่ความรู้สึกคุกคามที่อีกฝ่ายแสดงออกมาทำให้อาชวินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย มือขาวยกขึ้นดันหน้าอกอีกคนไว้เพื่อสร้างระยะห่างแต่เหมือนมันแทบจะไม่ช่วยอะไร พิชญุฒม์ยังคงขยับเข้ามาใกล้จนอาชวินแทบจะแทรกไปกับประตูรถ

มือหนาเปลี่ยนจากที่กุมข้อมือขาวเป็นไล้ขึ้นมาตามแนวสีข้างก่อนจะหยุดอยู่ที่ซอกคอจนอาชวินต้องหดคอหนี ดวงตากลมโตแสดงออกชัดเจนว่ากำลังรู้สึกหวาดกลัวจนกระทั่งอีกฝ่ายผละออกมา ปลดล็อครถและเดินเข้าบ้านไปแล้วอาชวินก็ยังคงอยู่ท่าเดิม

 
พิชญุฒม์พาตัวเองมาหยุดอยู่บนห้อง เขาไม่ได้สนใจว่าตอนนี้อาชวินยังนั่งสั่นเป็นลูกนกอยู่บนรถหรือเดินตามเขาเข้ามาข้างในแล้ว สิ่งที่เขากำลังสนใจคืออุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ขนาดจิ๋วในมือเขาต่างหาก อดิศรเป็นคนฉลาดเขารู้ แต่เขาประมาทอีกคนมากเกินไป อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ขนาดเท่าเม็ดกระดุมที่เขาไม่แน่ใจว่ามันมีไว้ทำอะไร กล้องวิดีโอ? เครื่องดักฟัง? หรืออุปกรณ์ติดตามตัว?
 
“โถ่โว๊ย!” พิชญุฒม์อยากจะเขวี้ยงอุปกรณ์ชิ้นเท่ากระดุมนี้ไปไกลๆแล้วเดินไปซัดหน้าเจ้าของมันซักหมัด
 
เขาตกลงกับอดิศรไว้ว่าจะให้เวลาอดิศรสิบนาทีเพื่อมาคุยกับอาชวินโดยเรื่องทุกอย่างทำให้เหมือนกับเหตุการณ์บังเอิญ แต่ไม่คิดว่าอดิศรจะแอบดัดหลังเขาด้วยวิธีการนี้ ตั้งแต่แรกที่เขาตามสืบเรื่องของคอมพิวเตอร์แฮกเกอร์ที่ใช้นามแฝงว่าแมวจรจนโยงไปโยงมากลายเป็นแจ็คพ็อตแตกเมื่อแฮกเกอร์มือหนึ่งอย่างแมวจรกับอาชวินมีความสัมพันธ์อะไรกันซักอย่างที่เขายังสืบไม่เจอเลยยื่นข้อเสนอที่ดูแล้วน่าจะวินวินกันทั้งสองฝ่ายไปให้

สุดท้ายอดิศรยอมรับข้อเสนอนั้นโดยการส่งตัวอาชวินมาให้เขา เพื่อแลกความปลอดภัยของเด็กนั่นกับการช่วยเหลืออย่างลับๆของอดิศรในเรื่องของการแฮกข้อมูลที่เขาไม่สามารถจะให้ทางฝ่ายข้อมูลของสำนักงานช่วยได้ แฮกเกอร์ฝีมือดีที่อยู่ในมุมมืดอย่างอดิศรเลยกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดไป
 

อาชวินเดินมาทิ้งตัวลงกับโซฟาหลังจากนั่งเรียกสติตัวเองอยู่ในรถร่วมสิบห้านาที ตอนแรกนึกว่าอาจจะต้องนอนอยู่นอกห้องหรือไม่ก็บนรถซะแล้วเพราะคิดว่าระบบรักษาความปลอดภัยของห้องน่าจะทำงานแล้วเพราะพิชญุฒม์เข้าไปข้างในนานแล้ว แต่พอลองเปิดประตูเข้ามาก็ยังเปิดได้อยู่แถมไม่มีสัญญาณร้องเตือนหรืออะไรซักอย่างตามที่พิชญุฒม์เคยขู่แต่ก็ขี้เกียจจะใส่ใจรายละเอียด

วันนี้เขาเจออดิศรที่คลับตอนแรกเกือบจะลุกขึ้นไปซัดหน้าซักหมัดโทษฐานที่ส่งตัวเขามาให้กับตำรวจแต่เพราะนี่คืออดิศรเลยรู้ทันเขาไปซะทุกเรื่อง

 
ร่างสูงทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเค้าท์เตอร์หันไปส่งเครื่องดื่มดีกรีไม่แรงมากกับบาร์เทนเดอร์แล้วนั่งเงียบๆอยู่ซักพักก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบาแค่พอให้คนข้างตัวได้ยิน

“สบายดีใช่ไหมหมู”

เจ้าของชื่อหันขวับมามองก่อนที่แววตาตกใจจะเปลี่ยนเป็นแววตาโกรธเคือง กำปั้นถูกส่งไปแต่แทบจะในวินาทีถัดมาก็โดนมือหนาของอดิศรรับไว้ อาชวินทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจก่อนจะปล่อยหมัดที่กำไว้

“คงสบายดีกว่านี้ถ้าไม่ได้มาอยู่ในมือตำรวจแบบนี้” พูดจบก็กระดกคอกเทลในมือไปอีกอึกหนึ่ง อดิศรได้แต่ยิ้มอ่อนๆแล้วส่ายหัวเบาๆ

“เชื่อฉันเถอะว่าอยู่แบบนี้อะดีกว่าหลบๆซ่อนๆอยู่แบบนั้น อย่างน้อยมันก็เป็นข้ออ้างให้นายอยู่แบบไม่ต้องหลบซ่อนไม่ใช่หรอหมู แล้วอีกอย่างเขาก็ให้นายไปนั่งทำแลปเล่นๆด้วยไม่ใช่หรือไง”

“มันก็จริง.. แต่มันก็ไม่ต่างจากนักโทษในคุกหรอก แค่เปลี่ยนจากคุกเป็นต้องอยู่ในสายตาคนๆนั้นตลอด”

“เอาน่า อยู่แบบนี้ไปก่อนแล้วเดี๋ยวฉันมารับกลับ” อดิศรเอื้อมมือไปโอบลำคอของอีกคนแล้วดึงมาใกล้ “ไม่นานหรอกน่า”

“ฉันว่าฉันต้องไปแล้วแหล่ะพรุ่งนี้มีเทสย่อยต้องไปอ่านหนังสือซักหน่อย” พูดจบก็ยืนขึ้นแล้วเอายกมือขึ้นขยี้ผมอีกคนจนยุ่งเลยได้รับสายตาขวางๆส่งมาให้

“ทำตัวดีๆว่าง่ายๆแล้วพี่จะรีบมารับนะน้องหนู” พูดจบก็หัวเราะเบาๆก่อนจะหันหลังกลับโดยไม่ได้ใส่ใจเสียงสบถของอาชวินที่ลั่นมาตามหลังแม้แต่นิด

 

เช้านี้อาชวินตื่นมาด้วยความหวาดระแวงภาพเมื่อคืนยังคงติดตาอยู่แต่พิชญุฒม์ดันทำทุกอย่างเหมือนปกติ ทำเหมือนเมื่อคืนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ซึ่งอาชวินก็คิดว่าแบบนี้มันก็ดีแล้วอย่างน้อยก็ไม่ต้องมานั่งกระอักกระอ่วนกันบนรถ

สถานการณ์วันนี้กลับสู่ปกติอย่างที่ควรจะเป็น อาชวินอยู่ในห้องทดลองกับเอกภพ พิชญุฒม์นั่งทำงานอยู่ในห้อง มีเดินออกมาเตร็ดเตร่บ้างตามนิสัยเจ้าตัว ตลอดเวลาร่วมสัปดาห์ที่ต้องมาอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกับพิชญุฒม์พอจะทำให้อาชวินจับทางของอีกฝ่ายได้บ้าง แต่ก็แค่นิดหน่อยเพราะเหมือนอีกฝ่ายก็แค่แสดงส่วนที่อยากให้เขารู้ออกมาเท่านั้นและแน่นอนว่าอาชวินก็ไม่คิดจะค้นหาความเป็นตัวตนที่แท้จริงของพิชญุฒม์ซักเท่าไหร่



คดีความล่าสุดที่พิชญุฒม์ได้รับมายังไม่คืบหน้าเท่าไหร่เพราะหนังสือมากมายถูกเปิดกางออกจนเต็มโต๊ะทำงานรวมไปถึงแฟ้มข้อมูลต่างๆเท่าที่พิชญุฒม์จะสรรหามาได้กองสุมๆจนบนโต๊ะแทบไม่มีพื้นที่เหลืออยู่ นายตำรวจหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดมองตัวหนังสือที่ได้รับมาล่าสุด

ข้อมูลเกี่ยวกับหอสมุดตั้งแต่เริ่มก่อสร้างจนถึงปัจจุบันถูกสรุปผลออกมาเป็นตารางช่วงเวลาว่าแต่ละช่วงเวลาเกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนสำคัญตรงไหนบ้าง ซึ่งแต่ละจุดก็ไม่ได้ช่วยให้เขาสามารถหาความเชื่อมโยงกับคดีความที่ได้รับมาได้ พิชญุฒม์รัวมือลงกับแป้นพิมพ์เพื่อสรุปข้อมูลทุกอย่างอีกรอบก่อนจะเข้าเสิร์ซเอ็นจินเพื่อหาข้อมูลเพื่อเติมในจุดที่คิดว่ายังขาดไป

มือหนาถูกยกขึ้นมาลูบหน้าตัวเองแรงๆเพื่อเรียกสติ คดีนี้เอกภพก็ช่วยเขาไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของการทดลอง ไม่ใช่เรื่องของการหาสารอะไรซักอย่างมาวิเคราะห์ในแบบที่อีกฝ่ายถนัด ยอมรับว่ามันยาก แต่สำหรับพิชญุฒม์ยิ่งยากก็ยิ่งน่าลอง ตอนที่ตกปากรับคำกับกับหัวหน้าไปก็คิดดีแล้วว่ามันอาจจะยากจนเขาอาจจะกระอักเลือด แต่เพราะเขาเห็นกุญแจดอกใหญ่เบิ้มในคดีนี้เพราะงั้นถึงจะยากแค่ไหนเขาก็จำเป็นที่จะต้องรับมันมา


 ครืดครืด

เสียงโทรศัพท์มือถือที่สั่นเรียกความสนใจให้หันกลับไปมอง แต่พอเปิดข้อความดูก็แทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งแล้ววิ่งออกจากห้อง เหมือนจิกซอว์อีกหนึ่งชิ้นถูกประกอบขึ้นมาจากข้อความสั้นๆที่แทบจะตีความหมายอะไรไม่ได้เลย


1922-1991






:: ถ้าอ่านแล้วติดตรงไหนสามารถติชมได้เลยนะคะ^^


ออฟไลน์ win_win

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น่าติดตามค่ะ  :man1:

ออฟไลน์ พันธุ์ไทย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
บอกได้คำเดียวโคตรๆๆๆๆๆๆ สนุกลุ้นมากๆ แบบดีใจที่นักเขียน เขียนจบแล้ว รอนะคะกำลังมันส์เลย

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บทที่7



โซนประวัติศาสตร์ชั้นสามถูกจับจองอีกครั้งจากนายตำรวจหนุ่ม พิชญุฒม์พาตัวเองมารื้อๆค้นๆในกองหนังสือประวัติศาสตร์ หนังสือในโซนประวัติศาสตร์นับพันๆเล่มถูกไล้ไปตามสันเพื่อหาชื่อเรื่องที่พอจะสื่อถึงสิ่งที่ต้องการได้ พอเจอเล่มไหนที่คิดว่าน่าจะมีเนื้อหาที่ตัวเองต้องการก็หยิบมาถือไว้จนตอนนี้มีหนังสือร่วมสิบเล่มอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง

พิชญุฒม์พาตัวเองมานั่งอ่านหนังสือตรงโต๊ะที่ทางหอสมุดจัดไว้สำหรับอ่านหนังสือบริเวณใกล้ๆชั้นหนังสือ มือเรียวเปิดผ่านไปหลายต่อหลายเล่มก็ยังไม่เจอเนื้อหาที่ถูกใจ เกือบทุกเล่มมีเนื้อความและใจความเดียวกันประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ในส่วนยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่แตกต่างกันพิชญุฒม์คิดว่ามันมาจากความคิดส่วนตัวของนักเขียนคนนั้นๆ

 
“เฮ้อ”
 
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะฟุบหน้าลงกับกองหนังสือที่เปิดผ่านๆไปแล้วร่วมยี่สิบเล่ม คีย์เวิร์ดสำคัญที่ได้มาตีความได้แต่หาความหมายไม่เจอมันก็ไม่ต่างอะไรกับการนั่งมองประตูทางออกทั้งๆที่กำกุญแจไว้แต่หาวิธีไขไม่เจอนั่นแหล่ะ

นายตำรวจหนุ่มหันไปมองหนังสือที่ยังเรียงอยู่บนชั้นพลางถอนหายใจก่อนจะเท้าแขนลงกับโต๊ะแล้วพยุงตัวลุกขึ้นไปรื้อค้นชั้นหนังสืออีกรอบ ช่วงเวลาร่วมสามชั่วโมงที่ขลุกอยู่กับหนังสือประวัติศาสตร์นับพันทำให้พิชญุฒม์กรองหนังสือในส่วนที่น่าจะมีผลต่อการสืบคดีออกมาได้สามเล่ม คนตัวสูงได้บอกกับบรรณารักษ์ที่ดูแลเพื่อขอนำหนังสือทั้งสามเล่มกลับมายังสำนักงานเพื่อทำการอ่านแบบละเอียดหลังจากที่เปิดอ่านคร่าวๆและคิดว่ามันควรจะมีอะไรที่พอจะเป็นจิ๊กซอว์อีกชิ้นให้เขาได้

 
ร้านกาแฟใกล้สำนักงานกลายเป็นสถานที่นัดพบอีกครั้งของพิชญุฒม์ นายตำรวจหนุ่มในชุดวอร์มกับเสื้อมีฮู๊ดเดินเข้าไปสั่งอเมริกาโน่เย็นก่อนจะพาตัวเองไปนั่งมุมในสุดของร้าน ยกกาแฟขึ้นดูดหนึ่งอึกก่อนจะนั่งรอเวลาซักพักจนกระทั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่าถูกแทนที่ด้วยร่างของคนๆหนึ่ง

“สงครามเย็น” ยังไม่ทันที่ร่างฝั่งตรงข้ามจะหย่อนก้นถึงเก้าอี้พิชญุฒม์ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน แต่ผู้ร่วมบทสนทนายังไม่ได้ตอบบทสนทนาในทันทีก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมาดู

“อีกครึ่งชั่วโมง” คำตอบที่ไม่สัมพันธ์กับคำถามทำเอาพิชญุฒม์คิ้วกระตุก “นายมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงคุณตำรวจ ฉันช่วยเท่าที่ช่วยได้ไม่ได้ว่างมาช่วยนายได้ตลอด”
พิชญุฒม์พยายามรักษาท่าทีไม่ให้เผลอยกมือขึ้นมาชกหน้าคนตรงหน้า แฮคเกอร์มือหนึ่งคนนี้ยังมีประโยชน์กับเขาอีกมาก

“เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเวลาอันมีค่าของนายช่วยตอบฉันหน่อยได้มั๊ยว่าทำไมต้องสงครามเย็น ฉันหาจนจะหมดหอสมุดอยู่แล้วไม่เห็นจะมีอะไรคืบหน้า”

“จะหมด แต่นายก็ยังหาไม่หมด นายมีกุญแจร้อยดอกไขไปเก้าสิบแปดดอกแล้วปาอีกสองดอกทิ้งคิดว่านายจะเปิดประตูมั้ยหล่ะ?” อดิศรขยับเปลี่ยนท่านั่งเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “นายฉลาดนะคุณตำรวจแต่ถ้ามีไหวพริบซักนิดนายจะรู้ว่าฉันส่งกุญแจไปให้นายนานแล้วโดยที่นายไม่เคยจะหยิบมันขึ้นมาไขประตูเลย นายมัวแต่มองหาสิ่งใหม่ๆจนลืมใส่ใจของที่มีอยู่” อดิศรลุกขึ้นยืนเอามือล้วงกระเป๋าทั้งสองข้างหันหลังให้ก่อนจะเตรียมตัวเดินออกไปแต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคที่ทำให้พิชญุฒม์รู้สึกหน้าชาเบาๆ

“ถ้าให้ช่วยมากกว่านี้ก็ลาออกแล้วให้ฉันแก้คดีแทนเถอะ”


ความรู้สึกชาทั้งๆที่ไม่ได้โดนตบยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้า พิชญุฒม์ยังนั่งนิ่งๆอยู่ในร้านกาแฟร้านเดิมแล้วปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ ในหัวพยายามคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งพูดไป อะไรบ้างที่เขาได้มาจากอดิศรนอกจากคำใบ้บ้าๆบอๆที่ตีความออกมากว้างจนเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร มือเรียวยกขึ้นมาลูบใบหน้าตัวเองแรงๆก่อนจะก้มมองแก้วกาแฟที่ตอนนี้มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่รอบๆแก้ว อยู่ๆความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาจนรู้สึกอยากจะยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเองแรงๆ

พิชญุฒม์ลุกขึ้นจากโต๊ะก่อนจะออกวิ่งกลับไปยังคอนโดที่พักของตัวเอง กุญแจที่ตามหา กุญแจที่อดิศรส่งให้เขา กุญแจที่ทำให้เขาต้องเป็นคนลงมือแก้คดีนี้เองทั้งหมด กุญแจที่ป่านนี้กำลังนอนสบายอยู่ในคอนโดของเขา อาชวิน
 
“โธ่เว้ย! ทำไมไม่คิดให้เร็วกว่านี้วะว่าอดิศรมันรู้ทุกการเคลื่อนไหวของหมู”
 
พิชญุฒม์รีบพาตัวเองวิ่งมาจนถึงที่คอนโด เปิดประตูเข้าไปด้วยความเร่งรีบตอนนี้เขาอยากจะพุ่งตัวเข้าไปแล้วปลุกอาชวินมาเขย่าๆถามทุกอย่างให้รู้เรื่อง ใครจะไปคิดว่าเด็กธรรมดาๆที่วันๆดูไม่สนใจอะไรนอกจากการทดลองจะมาเป็นกุญแจได้
 
“หมู” ทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้าไปก็ตะโกนเรียกคนที่กำลังนอนหลับอุตุเสียงดังจนอาชวินสะดุ้งตัวโยน ก่อนจะเดินดุ่มๆเข้าไปหาจนเจ้าของชื่อต้องมองอย่างงงๆ

“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นายรู้อะไรเกี่ยวกับสงครามเย็น” อาชวินที่เพิ่งลืมตาสติยังไม่ครบถ้วนดีได้แต่ส่ายหน้างงๆ

“โธ่เว้ยอาชวิน!” พิชญุฒม์ตะคอกเสียงดังจนอีกคนสะดุ้งตัวโยน ก่อนจะไล่อาชวินไปล้างหน้าล้างตาแล้วยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองเรียกสติ

โอเค อาชวินไม่ผิด อาชวินก็แค่เด็กคนนึงที่ไม่รู้อะไรซักอย่าง ถ้าเขาจะเอาความวู่วามไปลงที่ใครคนๆนั้นควรเป็นอดิศร พิชญุฒม์พยายามระงับลมหายใจตัวเองให้อยู่ในภาวะปกติระหว่างที่รออาชวินจัดการธุระส่วนตัว
 

“เป็นบ้าอะไรอีก” อาชวินเดินมาทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟาที่ตัวเองใช้นอนในขณะที่ที่มือก็ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำที่หยดพราวอยู่บนใบหน้า

“นายรู้อะไรเกี่ยวกับสงครามเย็นมั่ง” พิชญุฒม์พยายามถามอย่างใจเย็นแต่อีกฝ่ายก็ส่ายหัวแทบจะในทันที

“งั้นเอาใหม่นายรู้จักสงครามเย็นใช่ไหม?” อาชวินพยักหน้า

“โอเคดีมาก งั้นนายเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า?” อาชวินยังคงพยักหน้าจนพิชญุฒม์รู้สึกใจชื้น

“จำชื่อหนังสือได้มั๊ย?”

“ใครจะไปจำได้” เหมือนลูกโป่งแห่งความดีใจของพิชญุฒม์ถูกปล่อยลม บางทีอดิศรอาจจะประเมินอาชวินสูงเกินไป “แต่ถ้านายอยากอ่าน อ่ะเอาไป” อาชวินเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าที่อยู่ข้างโซฟาขึ้นมาเปิดก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาให้พิชญุฒม์

พิชญุฒม์รับมามองหน้าปกก่อนจะเปิดผ่านๆ หนังสือที่แสดงให้เห็นถึงความเก่า เนื้อหาที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่แต่อะไรบางอย่างที่อยู่ภายใต้ตัวอักษรพวกนั้นดึงดูดจนพิชญุฒม์อดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้

“Thanks my master key” พูดพลางยกมือขึ้นขยี้ผมอีกคนจนยุ่งก่อนจะลุกออกไป

“มาสเตอร์คีย์บ้าอะไร” อาชวินตะโกนตามหลังไป ไม่ได้หวังให้อีกคนได้ยินหรอกเพราะป่านนี้อีกคนคงปิดประตูห้องแล้วไปขลุกตัวเองอยู่กับหนังสือที่เขาไม่ค่อยเข้าใจนั่นแล้วแหล่ะ แต่มาว่าเขาเป็นกุญแจผีนี่มันใช่ที่ไหนหล่ะ

 
พิชญุฒม์พาตัวเองขึ้นมายังบนห้องปิดประตูโดยใช้เท้าแบบส่งๆก่อนจะเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตัวเอง วางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วตั้งใจอ่านจนเกือบทุกบรรทัด อย่างที่อดิศรบอกไม่มีผิดกุญแจถูกส่งมาให้เขาตั้งนานแล้ว เขาก็ไม่รู้หรอกว่าอาชวินไปเอาหนังสือเล่มนี้มาจากไหนแต่ก็ต้องขอบคุณที่หยิบหนังสือเล่มนี้ติดมือมาให้เขา

ร่างสูงเปลี่ยนจากการอ่านทุกบรรทัดเป็นการกวาดสายตาเมื่อรู้สึกได้ว่าการนั่งอ่านทุกบรรทัดไม่ได้ช่วยอะไรให้ตัวเองรู้เรื่องมากกว่าเดิมเลย ในขณะที่มือกำลังจะเปิดผ่านไปอีกหน้าตาสายตาดันไปสะดุดกับตัวอักษรที่ดูเหมือนจะผิดรูปลักษณ์ไปหน่อย พอลองเปิดไปเรื่อยๆตัวอักษรประหลาดๆก็แอบแฝงอยู่ภายในเนื้อหาหากไม่สังเกตุดีๆก็คงจะคิดว่าเป็นความผิดพลาดจากเครื่องพิมพ์ พิชญุฒม์เปิดมาหน้าสุดท้ายก่อนจะลองพลิกหนังสือกลับหัวแล้วไล่เปิดจากหน้าหลังกลับไป ตัวอักษรประหลาดแปลงได้เป็นตัวอักษรและตัวเลขจนพิชญุฒม์ต้องหากระดาษมาจด

ข้อความหนึ่งบรรทัดที่พิชญุฒม์แกะออกมาได้จากหนังสือเล่มนั้นเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่อีกชิ้นที่ทำให้การสืบคดีแทบจะออกมาสมบูรณ์แบบ พิชญุฒม์เปิดหนังสืออีกรอบเพื่อดูว่าตัวเองไม่ได้พลาดหรือขาดตกบกพร่องตรงไหนไปก่อนจะปิดหนังสือเก็บไว้ที่นอนแล้วลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมออกไปข้างนอก

 
“เดี๋ยวฉันมานะ ไม่เกินอาหารเที่ยง”
 
พิชญุฒม์วิ่งลงมาจากชั้นสองก่อนจะแวะบอกอีกคนเป็นนัยๆว่าไปไม่นาน แต่ไม่ได้กำชับเรื่องที่กลัวเขาจะหนี ซึ่งนั่นอาชวินมองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ไม่ต้องมานั่งฟังอีกคนค่อนขอด เลยถือโอกาสทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาต่อและเพราะไม่รู้จะทำอะไรด้วยในเมื่อหนังสือแก้เบื่อก็โดนยึดไปแล้ว



พิชญุฒม์พาตัวเองมายังหอสมุดหลังเดิมยกนาฬิกาข้อมือดูก็พบว่าตัวเองมาเร็วกว่าเวลาที่นัดเอกภพไว้เกือบสิบนาที ทันทีที่แกะตัวอักษรจากหนังสือออกเขาก็รีบพุ่งตัวออกจากบ้านแถมไม่ลืมโทรไปงัดเอกภพให้ออกจากเตียงเพื่อมาเจอกันที่นี่

รอเพียงไม่นานเอกภพก็มาถึง ทั้งคู่แค่มองตากันแทนคำพูดก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ตอนที่ออกมาจากบ้านเขาได้โทรเล่าเรื่องที่พบเจอมาให้กับเอกภพจนหมดแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เพราะมาถึงก็ควรที่จะต้องไขคดีเลยถึงจะเป็นการดี เขาไม่รู้ว่าถ้าช้าไปแม้แต่นาทีหรือวินาทีเดียวจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง คีย์เวิร์ดต่างๆที่ได้มาอาจทำให้เกิดการบิดเบือนถ้ามีคนรู้มากกว่าหนึ่ง

“นี่ตำรวจ เราขอตรวจสอบคอมพิวเตอร์เครื่องที่บันทึกการยืมคืนหนังสือหน่อยครับ” พิชญุฒม์โชว์ป้ายประจำตัวให้กับบรรณารักษ์ที่ยืนประจำเครื่อง ก่อนที่บรรณารักษ์คนนั้นจะถอยออกให้อย่างงงๆเมื่อเห็นป้ายประจำตัว

มือหนาคลิกเม้าส์ไปตามฟังก์ชั่นต่างๆเพื่อดูรายชื่อคนที่ยืมคืนหนังสือเพื่อตรวจสอบความแน่ใจว่าหนังสือเล่มนี้เคยผ่านมือใครมาบ้าง แม้จะมีรายชื่อคนยืมหรือคืนหนังสือนับร้อยๆแต่สายตาคมก็กวาดไปไม่สะดุดกับชื่อของอาชวิน แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นคนยืมหนังสือเล่มนั้นมานั่นหมายความว่าต้องมีใครซักคนจงใจให้หนังสือเล่มนี้ไปตกอยู่ในมือของอาชวินและสำหรับตอนนี้คนที่อยู่ในความคิดเขาจะเป็นครไม่ได้เลยนอกจากอดิศร

“หรือจะเป็นอดิศร” พูดกับตัวเองเสียงเบาก่อนจะพยายามกวาดสายตาหาคนที่ชื่ออดิศรในเดต้าเบส แต่แล้วก็ต้องสบถออกมาเบาๆเมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะใช้ชื่อที่เป็นนามแฝงของตัวเอง เขามองพลาดเองที่ไม่สืบเรื่องนี้มาให้ดีก่อน

เมื่อเห็นว่าการตามเช็คว่ามีรายชื่ออดิศรเป็นคนยืมไปหรือเปล่าเป็นเรื่องไร้ประโยชน์พิชญุฒม์ก็เปลี่ยนจากหน้าจอโปรแกรมบันทึกขอมูลคนยืมคืนหนังสือเปลี่ยนเป็นเอ็กเซลไฟล์ กดคอนโทรลโอเพื่อเปิดก่อนจะหยิบกระดาษที่เขียนคีย์เวิร์ดออกมา
 

Excel>Ctrl+O>Password>F3

 
ไฟล์ที่พิชญุฒม์เปิดมามีแค่หน้าจอตารางเอ็กเซลล์ที่ว่างเปล่าพร้อมกับเลขศูนย์ที่อยู่ตรงช่อง F3 จนบางทีมันอาจจะเหมือนเรื่องตลกที่ตีความแทบตายแล้วสุดท้ายเหมือนโดนหลอกให้เปิดไฟล์เปล่า มือเรียวคลิกไปที่ช่องเลขF3 แถบฟอมูล่าร์ด้านบนปรากฎสูตร =A2+B4+C1+E5 ซึ่งทำให้ได้ผลออกมาเป็นคำตอบของช่องF3

พอลองคลิกในหลายๆช่องของตารางก็ไม่ปรากฎอะไรขึ้นที่ช่องฟอมูล่าร์ ซึ่งพิชญุฒม์คิดว่าคนที่ทิ้งคีย์เวิร์ดให้เขาเจอไว้คงไม่ได้แค่ทำอะไรแบบนี้เล่นๆเป็นแน่ พิชญุฒม์ทิ้งตัวนั่งพิงหลังไปกับพนักเก้าอี้ก่อนจะยกมือขึ้นมาประสานแล้ววางคางไว้บนมือ พิจารณาอะไรก็ตามแต่ที่ใครซักคนทิ้งไว้ให้เขา
 

กึก
 

“โทษทีสารวัตร ผมไม่ได้ตั้งใจ” เอกภพที่เดินถอยหลังมาชนเก้าอี้พิชญุฒม์เอ่ยขึ้นเบาๆ ซึ่งคนตำแหน่งสูงกว่าก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่พยักหน้าตอบ เอกภพมองสำรวจชั้นด้านหลังไปเรื่อยๆก่อนจะหันมาสะกิดพิชญุฒม์ให้หันกลับไปมองที่ชั้นแล้วพยักเพยิดหน้าให้หันกลับไปมองที่จอคอม พิชญุฒม์ที่ยังไม่เข้าใจที่อีกคนสื่อได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นจนเอกภพต้องใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าจอคอมแล้วหันนิ้วโป้งไปชั้นข้างหลังแล้ววาดเป็นวงกลม
 

“ขอบใจมากเอกภพ” พิชญุฒม์ตบเข่าฉาดใหญ่ก่อนจะรีบลุกขึ้นไปรื้อๆค้นๆชั้นที่อยู่ด้านหลังตามเอกภพ ชั้นไม้ขนาดใหญ่สูงห้าชั้นกว้างสามล็อกสองอันตั้งอยู่ข้างกันทำให้ลักษณะของมันเหมือนกันตารางเอ็กเซลล์ที่พิชญุฒม์เปิดเจอในจอคอม พิชญุฒม์เลือกที่จะค้นชั้นอันแรก แล้วปล่อยให้เอกภพค้นชั้นอันที่สองไป

“เป็นไงมั่งครับสารวัตร” เอกภพถามในขณะที่ตัวเองกำลังหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากชั้น

“A2 1983 B4 1984 แล้วก็ C1 1999” พิชญุฒม์ตอบในขณะที่มือก็วางใบประกาศเกียรติคุณอะไรซักอย่างลงที่เดิม

“ส่วนของผม E5 คือ 2005 แล้วก็นี่” เอกภพชูกล่องใบหนึ่งขึ้นมาให้พิชญุฒม์ดู กล่องเหล็กขนาดเล็กที่ด้านทั้งสี่ปิดสนิทที่ถูกเอกภพค้นพบอยู่ด้านในสุดของมุมชั้นซึ่งมีหนังสือมากมายบดบังอยู่ กล่องเหล็กที่ถูกล็อกอย่างแน่นหนาด้วยตัวเลขสี่ตัวทำเอาสองคู่หูมองตากันอย่างรู้ความหมาย

พิชญุฒม์เดินไปปิดโปรแกรมไมโครซอฟต์เอ็กเซลล์ที่ตัวเองเปิดค้างไว้ก่อนจะขอตัวกลับแล้วไม่ลืมที่จะขอบคุณบรรณารักษณ์ที่ดูแลส่วนงานนั้นในความร่วมมือ
 

“คิดว่าไงครับสารวัตร” ทันทีที่พาตัวเองเข้ามายังรถยนต์ส่วนตัวของพิชญุฒม์ เอกภพก็เป็นคนเปิดบทสนทนา

“ไม่ใช่ตรงนี้ผู้กอง มันดูอันตรายเกินไป” พิชญุฒม์พูดพลางสตาร์ทเครื่องรถแล้วดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดก่อนจะเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งตัวออกไป สำหรับเขาถ้าไม่ใช่ที่สำนักงานและคอนโดที่พักเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงการพูดเรื่องสำคัญแม้จะปลอดคนแค่ไหนก็ตาม แต่หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ยังไงเขาก็ขอเซฟตัวเองไว้ก่อนดีกว่า
 

ห้องทำงานที่สำนักงานถูกปิดล็อกด้านใน สองคู่หูนั่งล้อมกล่องปริศนา ตัวเลขที่ค้นเจอตามจุดต่างๆตามที่ไฟล์เอ็กเซลล์บอกไว้ถูกนำมาแปลงให้เหลือเพียงแค่สี่ตัว พิชญุฒม์เป็นคนหมุนล็อคตัวเลขโดยมีเอกภพนั่งลุ้นอยู่ฝั่งตรงข้าม เสียงกริ๊กดังเบาๆเรียกสีหน้าดีใจได้จากทั้งคู่ ในขณะที่มือเรียวเปิดฝากกล่องเล็กออกหัวใจก็สูบฉีดเลือดเป็นจังหวะที่ค่อนข้างรัวด้วยเพราะลุ้นว่าภายในจะเป็นอะไร

ฝากล่องถูกเปิดออกปรากฎแผ่นซีดีหนึ่งแผ่นที่ถูกใส่กล่องซีดีอย่างเรียบร้อย บนแผ่นซีดีและกล่องใส่ไม่ระบุข้อความหรืออะไรซักอย่างจนต้องขมวดคิ้วขณะที่หยิบขึ้นมาพิจารณาก่อนจะเดินไปเสียบแผ่นซีดีใส่แลปท็อป รอซักพักให้เครื่องอ่านแผ่นก่อนจะปรากฎโฟลเดอร์ที่ไม่ได้ระบุชื่อ พอคลิกเข้าไปก็เจอเข้ากับโฟลเดอร์ย่อยอีกสองโฟลเดอร์ซึ่งไม่ระบุชื่อเหมือนกัน พอลองคลิกเข้าไปหนึ่งโฟลเดอร์เป็นข้อมูลของบุคคลในวงการธุรกิจระดับสูงในหลายๆประเทศ ส่วนอีกโฟลเดอร์นึงเมื่อคลิกเข้าไปดูก็เจอเข้ากับโฟลเดอร์ย่อยอีกสองอันที่เขียนชื่อโฟลเดอร์ให้รู้ว่าเป็นไฟลเสียงและข้อมูลการทำผิด

พิชญุฒม์กับเอกภพมองหน้ากันนิ่งเมื่อเห็นข้อมูลที่บรรจุอยู่ในแผ่นซีดีก่อนที่พิชญุฒม์จะทำการแบ็คอัพไฟล์ไว้ในเครื่องและไม่ลืมที่จะก็อปปี้ไว้อีกสองชุดเพื่อให้เอกภพเก็บไว้และเก็บไว้ในเซฟของตัวเอง เพราะเรื่องที่เขาพบในไฟล์นี้มันค่อนข้างที่จะใหญ่เกินกว่าจะทำอะไรด้วยตัวเองแต่มันก็อันตรายเกินกว่าที่จะเอาไปเข้าที่ประชุมใหญ่ เกลือเป็นหนอนมีอยู่ในทุกที่เพราะฉะนั้นคนที่ควรจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ควรเป็นคนที่เขาไว้ใจได้เท่านั้น
 

“จะเอายังไงต่อไปครับสารวัตร” เอกภพมองแผ่นซีดีที่พิชญุฒม์ก็อปปี้มาให้ในมือแล้วถอนหายใจ “งานนี้มันยิ่งกว่าเอาน้ำร้อนไปราดรังมดดำอีกนะ”

“ก็แแล้วใครจะไปคิดหล่ะว่าจะขุดเจอรังมดดำหน่ะ”
 

สองคู่หูปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบครองพื้นที่ห้องทำงานอีกครั้ง พิชญุฒม์กับเอกภพนั่งกันคนละมุม ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เมื่อเลือกที่จะเดินทางนี้แล้วสิ่งที่ต้องทำต่อไปคือเดินให้สุดทาง พิชญุฒม์ไม่ได้เกรงกลัวต่ออิทธิพลมืดเขารู้ตั้งแต่เลือกเดินทางสายนี้แล้วว่าต้องเจอกับอะไรแบบนี้ แต่สิ่งที่กำลังคิดอยู่คือจะทำยังไงดีให้อิทธิพลมืดมันลดลงได้มากที่สุด
 

“บางทีนะครับสารวัตร เราต้องพึ่งเด็กนั่น” เป็นเอกภพที่ทำลายความเงียบขึ้นมา “ศุภวิชญ์จะช่วยเราได้มากนะเรื่องนี้ ผมเชื่ออย่างงั้น”

“แต่เรื่องนี้มันไม่ได้อยู่ที่ความเชื่อ แค่เชื่อว่าทำได้มันไม่พอหรอกผู้กอง” พิชญุฒม์ตอบกลับเสียงนิ่ง

“แล้วสารวัตรคิดว่านอกจากเด็กนั่นใครที่จะสามารถเจาะข้อมูลได้มากกว่านี้หรือไงครับ” พิชญุฒม์เงียบ ไม่โต้กลับแต่เอกภพรู้ว่าสำหรับพิชญุฒม์ความเงียบไม่ใช่การยอมรับแต่มันคือคลื่นใต้น้ำลูกใหญ่

“ถ้านายไม่มีใครดีกว่านี้ฉัน..”

“แมวจร”

“ห๊ะ?”

“แมวจร ถ้านายอยากยืนยันจะให้ศุภวิชญ์ช่วยในส่วนขอนาย ฉันขอใช้แมวจรเป็นตัวเลือกในส่วนของฉัน” น้ำเสียงที่จริงจังของพิชญุฒม์บอกให้เอกภพรู้ว่าถ้าเขายืนยันว่าจะใช้ศุภวิชญ์เป็นผู้ช่วย และพิชญุฒม์ก็จะไม่มีทางยอมให้เด็กนั่นมายุ่มย่ามในส่วนของตัวเอง

“แมวจร? สารวัตรหมายถึงแฮกเกอร์ที่ไม่เคยมีใครจับไอพีแอดเดรสได้นั่นหน่ะหรอ? สารวัตรต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ จะติดต่อเขายังไงก็ยังไม่รู้” เอกภพทำหน้าตาเหลือเชื่อเมื่อผู้บังคับบัญชาของตัวเองเอ่ยถึงใครอีกคนออกมา

“อืม” ท่าทีนิ่งเฉยแถมไม่มีการปฏิเสธยิ่งทำให้เอกภพทำหน้าเหลือเชื่อมากขึ้นกว่าเดิม สารวัตรของเขาไปตามสืบจนเจอคนๆนี้ได้อย่างงั้นหรอ? แล้วพิชญุฒม์จะมั่นใจแค่ไหนว่าถ้าเจอแล้วแมวจรจะยอมช่วย ทั้งๆที่อีกคนได้ฉายาว่าแฮคเกอร์เงาแท้ๆไม่เคยมีใครรู้ว่าตัวจริงเป็นยังไงแล้วพิชญุฒม์ไปเอาความมั่นใจพวกนี้มาจากไหนกัน
 
หลังจากตกลงกันได้ว่าเอกภพจะขอให้ศุภวิชญ์มาช่วยในส่วนของตัวเองและพิชญุฒม์ที่ยืนยันว่ายังไงก็จะให้แมวจรเป็นตัวช่วยแรกที่นึกถึงเอกภพเลยไม่อยากขัด เพราะรู้ว่าขัดไปก็เปล่าประโยชน์ถ้าพิชญุฒม์บอกจะทำนั่นแสดงว่ามันดีแล้วจริงๆ แล้วก็ไม่ลืมที่จะตกลงกันว่าทั้งหมดนี่คือความลับ คนรู้มากไม่ได้ส่งผลดีเท่าไหร่

พิชญุฒม์พาตัวเองมายังสวนสาธารณะที่เดิมที่เคยเจอกับอาชวินหลังจากแยกกับเอกภพ ก่อนจะยกมือถือขึ้นมากดส่งข้อความหาอดิศรเพื่อบอกว่าเขามาถึงแล้ว ตั้งแต่แยกกับเอกภพเขาก็รีบส่งข้อความหาอดิศรให้มาเจอกันที่นี่เพื่อคุยรายละเอียดในบางเรื่อง
 
“ทำไมฉันต้องรับปาก” อดิศรเปิดฉากถามทันทีที่มาถึงก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงข้างๆอีกฝ่าย พิชญุฒม์กระตุกยิ้มมุมปาก คิดไว้แล้วแหล่ะว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะตอบตกลงง่ายๆ

“อดิศร.. ไม่สิ แมวจรนามแฝงของนาย” อดิศรหันขวับมามองอีกคนด้วยสายตาไม่พอใจ สืบรู้จนได้ซินะ

“คิดว่าการรู้นามแฝงของฉันแล้วจะช่วยให้ข้อเสนอมันง่ายขึ้นหรอสารวัตรพิชญุฒม์”

“อ่า… ไม่ต่างจากที่คิดเลยนะนายเนี่ย งั้นถ้าเปลี่ยนเป็นมาคุยเรื่องของอาชวินกันดีกว่า นายจะตอบตกลงง่ายกว่าไหมแฮกเกอร์เงาแมวจร” พิชญุฒม์หันมามองอีกคนตรงๆด้วยสายตาเหมือนคนถือไพ่เหนือกว่า

“ข้อมูลทุกอย่างของนายกับอาชวินอยู่ในนี้” พิชญุฒม์ชูแผ่นซีดีที่อยู่ในกล่องขึ้นมาตรงหน้า “ข้อมูลที่ไร้ซึ่งการปรุงแต่งจากหน้าม่านอยู่ในนี้” พูดไปก็โบกซีดีในมือไปอย่างจงใจกวนอารมณ์อีกฝ่าย

“เชื่อเถอะอดิศรตองสามใหญ่กว่าเอจโพดำเสมอ” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆก่อนจะเดินออกไปปล่อยให้อดิศรปล่อยคำสบถหยาบคายออกมาเพื่อระบายอารมณ์
 

 
พิชญุฒม์อยากจะขอบคุณใครก็ตามที่เก็บข้อมูลเชิงลึกของบุคคลที่เีก่ยวข้องกับธุรกิจมืดไว้ในซีดีนั่นแต่ที่ยังสงสัยไม่หายคือทำไมประวัติของอดิศรและอาชวินถงไปโผล่อยู่ในนั้นทั้งๆที่ทั้งคู่ดูไม่น่ามีส่วนเชื่อมโยงอะไรถึงกลุ่มบุคคลเหล่านั้น ความสัมพันธ์ของอดิศรและอาชวินเป็นความสัมพันธ์ที่เขาจับตามองมาซักพักแล้วจนไปเจอข้อมูลในซีดีนั่นเหมือนคำตอบของความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถูกเฉลย
 
ครืด ครืด
 
มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นจนพิชญุฒม์ต้องยกมาดู ขมวดคิ้วแปลกใจไม่ได้เมื่อเบอร์ที่เคยคุยกันเพียงแค่ข้อความกลายเป็นสายเรียกเข้า ทั้งๆที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อกี้แต่อดิศรจะโทรมาหาเขาทำไมกัน?

“ว่า..”

“ตอนนี้” ยังไม่ทันที่พิชญุฒม์จะพูดจบประโยคเสียงร้อนรนของอีกฝ่ายก็แทรกขึ้มาก่อน “รีบกลับบ้านตอนนี้ซิวะสารวัตร!”

เสียงตะคอกที่ส่งมาตามสายร้อนรนจนพิชญุฒม์รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี ปกติอดิศรไม่ใช่คนใจเย็นแต่ก็สุขุมพอที่จะไม่ทำอะไรโฮกฮากแบบนี้

“หมูโดนมันจับไปแล้ว ถ้าน้องฉันเป็นอะไรนายตายแน่สารวัตร!!”
 

สิ้นประโยคดุดันพิชญุฒม์ก็กดตัดสายก่อนจะรีบออกวิ่ง เขาประมาทเกินไป เพราะคิดว่าว่าเด็กธรรมดาๆคงไม่มีใครจ้องจะจับตัวไปไหน นี่ซินะที่อดิศรบอกว่ายอมช่วยเขาแลกกับความปลอดภัยของอาชวิน ไม่ใช่ความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่แต่เป็นเพราะต้องการมั่นใจว่าอาชวินจะปลอดภัยจากมือมืดต่างหาก
 
“โธ่โว๊ย!”







 :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
 


ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
น่าติดตามมากค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ seii

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
นิยายสนุก ตื่นเต้น เเปลกใหม่เเละไม่ซ้ำจำเจ
เขียนดีมากค่ะ ข้อมูลเเน่น ทำการบ้านมาดี
อาจมีบางประโยคที่อ่านเเล้วงงๆ เช่น
อ้างถึง
ร่างโปร่งที่พยายามซ่อนมือไว้ข้างหลังเหลือบมองแผ่นหลังของตำรวจของกองพิสูจน์หลักฐานไว้ในขณะที่แอบลอบถอนหายใจเบาๆ
เราว่าเขียนเรื่องย่อเเนะนำที่หัวเรื่องหน่อยก็ดีนะคะ
คนจะได้รู้เเละติดตามต่อ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ดีงามมาก

เนื้อเรื่องชวนติดตาม เดินเรื่องว่องไว

มีสำนวนชวนงงบ้าง คำหายไปจากปย. บ้าง

ส่งกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ larynx

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 821
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
โดนเอาตัวไปได้ยังไงละนี่

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ว้าววววชอบๆ ตัวละครแต่ละตัวก็น่าสนใจมากมีมิติดี

สู้ๆนะคะ^^

ออฟไลน์ ckcartoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เป็นนิยายอีกเรื่องที่อ่านแล้วอินมากๆ ลุ้นตั้งแต่ตอนแรกมาจนถึงตอนนี้เลยค่ะ มาต่อเร็วๆนะคะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ Trystan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อินมาก ลุ้นสุด มาต่อไวๆนะครับ

ออฟไลน์ tiutatee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บทที่ 8


อาชวินไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แค่ว่าตอนนี้บรรยากาศรอบตัวมืดไปหมด จำได้ว่าก่อนหน้านี้พิชญุฒม์แค่บอกเขาว่าจะไปไหนซักที่ซึ่งเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ตอนได้ยินเสียงประตูเปิดก็ยังไม่ได้ใส่ใจเพราะรู้ว่าคนที่เข้ามาในคอนโดได้ก็คงจะเป็นเจ้าของอย่างพิชญุฒม์ จนรู้สึกเหมือนได้กลิ่นของสารประเภทเอธิลีนพอจะลืมตาขึ้นมาดูมันก็เหมือนจะช้าไปแล้ว และพอรู้ตัวอีกทีเขาก็มาอยู่ที่นี่

อาชวินไม่อยากจะคิดว่าตัวเองถูกจับตัวมาเพราะมันดูจะไร้ซึ่งเหตุผลที่จะเป็นไปได้ แต่พอมาคิดๆดูแล้วสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่มันชวนให้คิดอะไรที่นอกเหนือจากนั้นไม่ได้ อาชวินลองเอามือคลำๆไปตามความมืด สัมผัสเย็นๆที่เจอพอจะเดาได้ว่าเขาอยู่ที่ไหนซักแห่งซึ่งมีองค์ประกอบเป็นโลหะก่อนที่จะต้องสะดุ้งตกใจอีกรอบเมื่อเกิดเสียงสตาร์ทรถและกล่องโลหะที่เขาเดาเอาไว้ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเคลื่อนที่ไปที่ไหนซักแห่ง

ตู้คอนเทนเนอร์

สิ่งแรกที่วูบเข้ามาหลังจากที่กล่องเหล็กเริ่มเคลื่อนที่ สิ่งที่วิ่งเข้ามาในหัวตอนนี้คือเขากำลังอยู่ที่ไหนแล้วตู้คอนเทนเนอร์อันนี้กำลังพาเขาไปที่ไหน เมื่อคิดได้ว่าป่วยการจะคิดต่อไปให้ปวดหัว อาชวินทิ้งตัวลงนอนราบไปกับพื้นตู้คอนเทนเนอร์ คอยลอบฟังเสียงข้างทางที่ลอดผ่านเข้ามาเผื่อจะมีอะไรให้สังเกตได้บ้างว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงส่วนไหนแต่เหมือนมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดีเพราะเสียงที่ผ่านเข้ามานอกจากเสียงเครื่องยนต์ก็มีแค่เสียงแตรรถ

ตู้คอนเทนเนอร์ท่กำลังเคลื่อนที่ค่อยๆลดความเร็วลงก่อนจะหยุดนิ่ง เสียงเครื่องยนต์หายไปแล้ว มีแต่เสียงเปิดประตูแล้วปิดประตูก่อนจะตามมาด้วยเสียงกุกกักอะไรซักอย่าง ก่อนที่เสียงตุบตับจะเกิดขึ้นข้างๆตู้คอนเทนเนอร์ อาชวินดีดตัวลุกขึ้นแล้วรีบแทรกตัวเองเข้าไปในมุมที่ลึกที่สุดของตู้เพื่อคอยเงี่ยหูฟังแล้วประเมินสถานการณ์ภายนอก ถึงจะไม่ใช่คนประเภทที่รักตัวกลัวตายแต่ก็ไม่ใช่ประเภทที่อยากจะตายตลอดเวลาซักหน่อย

กึกกึก

เสียงประตูตู้คอนเทนเนอร์ที่ดังขึนเหมือนมีคนกำลังพยายามจะเปิดทำเอาอาชวินสะดุ้งเบาๆแล้วพยายามแทรกตัวเองให้เข้าไปอยู่มุมสุดของตู้ทอนเทนเนอร์จนแทบจะเป็นเนื้อเดียวไปกับแผ่นเหล็กขรุขระด้านหลัง เหงื่อกาฬแตกพลั่กเมื่อประตูตู้คอนเทนเนอร์แง้มออกจนแสงลอดเข้ามา เงาดำสองสามเงาที่ปรากฏขึ้นเมื่อประตูตู้คอนเทนเนอร์เปิดออกแทบทำให้อาชวินหยุดหายใจ

“มุดขนาดนั้นไม่แทรกไปเป็นเนื้อเดียวกับตู้เลยหล่ะหมู”

“พี่เอกภพ!!” น้ำเสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นเหมือนดึงความรู้สึกหนักอึ้งให้หายไป ดวงตากลมโตฉายแววดีใจจนปิดไม่มิด รีบพาตัวเองออกมาจากมุมตู้คอนเทนเนอร์แล้วรีบวิ่งไปหาอีกคน “ผมนึกว่าจะต้องตายที่นี่ซะแล้ว”

เอกภพหัวเราะก๊ากแล้วเอื้อมมือมายีกลุ่มผมหนุ่มของอาชวินเป็นการปลอบโยน

“กว่าจะตามมาจนเจอนี่ฉันก็เกือบตายเหมือนกัน สารวัตรพิชญุฒม์ระเบิดลงกลางห้องแลปจนฉันทำงานไม่ได้ต้องออกมาช่วยมันตามหานายเนี่ยแหล่ะ”

“อ่า ขอบคุณมากนะครับพี่เอกภพ” อาชวินพูดพลางส่งยิ้มจนตาหยิบหยีไปให้คนอายุแก่กว่า

เอกภพพาอาชวินมายังที่พักของตัวเองเพื่อให้อีกคนได้ล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพาออกไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารไม่ห่างจากที่พักมากนัก ที่พักของเอกภพเป็นอพาร์ทเม้นท์ที่ห่างจากสำนักงานตำรวจไปพอสมควรแต่เครื่องอำนวยความสะดวกในอพาร์ทเม้นท์ครบครัน อาชวินแอบแปลกใจเล็กๆที่ห้องของเอกภพใช้กระจกหนาถึงสามชั้นทั้งๆที่ก็ไม่ได้ติดถนนใหญ่ที่มีรถแล่นผ่านตลอด คนตัวเล็กเลยคิดเองเออเองว่าอีกคนน่าจะเพิ่มกระจกให้หนาเพื่อกันเสียงรบกวนให้ห้อง

ร้านอาหารกึ่งผับถูกเลือกเป็นสถานที่ที่เอกภพพาอาชวินมาฝากท้อง คนเด็กกว่าที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้านั่งซัดสปาเกตตี้จานใหญ่ไม่พูดไม่จนจนเอกภพต้องติงให้อีกคนกินช้าๆเพราะกลัวจะติดคอ

แค่กๆ

“เอ้าๆกินช้าๆสิหมูฉันไม่แย่งหรอกน่า” พูดยังไม่ทันขาดคำคนตัวเล็กไอโขลกเพราะสำลักเส้นสปาเกตตี้คำใหญ่ที่เพิ่งใหญ่เข้าไปจนหน้าดำหน้าแดงจนเอกภพต้องยื่นน้ำให้อีกคนรับไปดื่มอึกใหญ่ก่อนจะลงมือยัดสปาเก็ตตี้ใส่ปากต่อ

เอกภพนั่งจิบเบียร์มองคนฝั่งตรงข้ามยัดอาหารใส่ปากไปพลางฟังเพลงบัลลาดที่ทางร้านเล่นสดคลอไปเรื่อยๆ อาชวินที่ดูเผินๆก็แค่เด็กธรรมดาๆคนนึง ถ้าไม่เห็นประวัติที่พิชญุฒม์ไปแอบเจอมาคงไม่คิดว่าอย่างเด็กนี่จะมีพิษมีภัยอะไร หรือบางทีเจ้าตัวอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ว่าตัวเองมีอันตรายรอบด้านมากแค่ไหน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นคนคุ้นเคยที่วิ่งกระหืดกระหอบเปิดประตูร้านวิ่งเข้ามาหน้าตื่น

“สารวัตรครับ!” เอกภพยกมือขึ้นเรียกอีกคนเสียงดังจนคนที่นั่งกินอยู่อย่างตั้งใจหันไปมองตามครู่หนึ่งแล้วหันกลับมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อโดยไม่ทันเห็นสายตาประหลาดใจชั่วครู่ของพิชญุฒม์

พิชญุฒม์เดินมานั่งตรงข้ามกับเอกภพสบสายตากันชั่วครู่ก่อนที่เอกภพจะยักไหล่เบาๆเป็นเชิงว่าหลังจากนี้ค่อยคุยกัน แล้วดูท่าว่าอาจจะต้องคุยกันยาวพอสมควรด้วย

พิชญุฒม์ปล่อยให้นักโทษของตัวเองกินอาหารจนพอใจภายใต้บรรยากาศอึมครึมของสองคู่หูที่คลอด้วยเพลงบรรเลงสดของทางร้านก่อนจะพาอาชวินกลับมาที่บ้านแล้วทำทุกอย่างเหมือนกับปกติ ปกติจนอาชวินรู้สึกว่ามันแปลกเกินไป แต่ก็ขี้เกียจจะเดาความคิดของอีกฝ่าย

อาชวินพาตัวเองมานั่งอยู่ตรงโซฟาที่เดิมที่เคยใช้นอนในทุกวัน ประสาทสัมผัสทางจมูกพยายามสังเกตุกลิ่นรอบห้องซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะอยู่ในเหตุการณ์ปกติไร้ซึ่งกลิ่นแปลกๆที่มีฤทธิ์เป็นยาสลบอ่อนๆจนทำให้เขาหลับไปเมื่อเช้า อาชวินพยายามนึกทวนว่าทำไมถึงมีคนบุกเข้ามาในคอนโดที่พิชญุฒม์อ้างว่ามีการป้องกันที่แน่นหนาด้วยเทคโนโลยีบลาๆๆ

แต่พอมานั่งนึกถึงวันที่กลับจากคลับและพิชญุฒม์เข้าบ้านมาก่อนเขาร่วมสิบห้านาที แต่เขาก็ยังคงเปิดประตูเข้ามาได้โดยไร้ซึ่งเสียงสัญญาณร้องเตือนหรือแม้กระระบบล็อคอัตโนมัติเหมือนที่อีกคนเคยบอกกล่าวก็ต้องขมวดคิ้ว ลุกเดินออกมายังหน้าประตูลองวางมือลงกับลูกบิดอีกครั้งเมื่อไร้ซึ่งเสียงสัญญาณใดๆก็ลองบิดลูกบิดเพื่อเปิดประตูออก

คลิ๊ก

เกิดเสียงเบาๆเมื่อกลไลการปลดล็อคของประตูทำงานแต่ก็ไร้ซึ่งเสียงสัญญาณเดือนใดๆตามที่พิชญุฒม์เคยบอกเขาตั้งแต่ตอนแรกแม้กระทั่งพลักประตูเปิดออกก็ยังไร้ซึ่งเสียงเตือนใดๆภายในบ้าน

ติ๊ดๆ

เสียงนาฬิกาข้อมือที่ปกติจะแจ้งเตือนทุกชั่วโมงดังขึ้นจนเผลอยกขึ้นมาดูตามนิสัยแต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเวลาที่ข้อมือไม่ใช่ช่วงเวลาที่ควรจะแจ้งเตือนก่อนจะเริ่มสังเกตุหน้าปัดว่ามันไม่ได้มีแค่ตัวเลขกับเข็มนาฬิกา แต่เส้นสีแดงที่ตัดผ่านหน้าปัดซึ่งเขาเคยคิดว่ามันเป็นแค่ดีไซน์กลับดูเด่นชัดขึ้นก่อนจะค่อยๆจางหายแล้วก็ค่อยๆเด่นชัดขึ้นแล้วจางหายจนอาชวินเริ่มแน่ใจแล้วว่าไอ้สัญญาณที่พิชญุฒม์พูดถึงมันไม่ได้แสดงผลในลักษณะของเสียงเตือนในตัวบ้าน แต่แสดงผลในลักษณะของเครื่องติดตามตัวเขาต่างหาก

อดิศรนั่งอยู่บนที่นอนในอพาร์ทเม้นท์ของตัวเอง สายตาก็มองหน้าจอแลปท็อปของตัวเองที่แสดงการประมวลผลไปมา จุดแดงๆกระพริบรัวจนต้องกดสเปซบาร์เพื่อให้หน้าจอประมวลออกมาเป็นคลื่นความถี่ยึกยือแล้วถอดรหัสตีความออกมาก่อนจะนั่งขำอยู่คนเดียว

“รู้ตัวแล้วสินะอาชวิน”

อดิศรพับแลปท็อปเครื่องเก่งปิดลงก่อนจะเดินออกมาหาอะไรรองท้องที่แถวๆอพาร์ทเม้นท์ แล้วก็เป็นไปตามคาดเขาเจออาชวินยืนดักรอตัวเองอยู่ที่มุมตึก อดิศรส่งยิ้มนิดๆให้คนที่ยืนล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมมองหน้าเขาด้วยสายตาไม่พอใจ

“แผนของนายหมดเลยสินะเมฆ” อาชวินเอ่ยพร้อมกับยกแขนข้างที่ใส่นาฬิกาขึ้นให้อีกคนรู้ว่าเจ้าตัวหมายถึงอะไร อดิศรแค่ยักไหล่แล้วหลุดหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้ผมอีกคนเบาๆเลยโดนอาชวินปัดมือออกแรงๆ

“แล้วนายคิดว่าฉันจะปล่อยนายให้อยู่แบบตามมีตามเกิดหรือไง”

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงอ่ะ” น้ำเสียงที่ติดเหวี่ยงของอีกคนไม่ได้ทำให้อดิศรรู้สึกสะทกสะท้าน เขารู้จักอาชวินดีเพราะถ้าอีกคนโกรธจริงๆคงไม่มียืนเหวี่ยงใส่เขาแบบนี้หรอก ป่านนี้เขาอาจจะต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่โรงพยาบาลแล้วก็เป็นได้ ถึงอาชวินจะไม่ใช่พวกเอะอะใช้กำลังแต่ก็เป็นผู้ชายคนนึงเรื่องต่อยตีมันก็ต้องมีพื้นฐานกันบ้าง

“ไม่เอาน่าหมูอย่างน้อยตอนนี้นายก็อยู่สบายแล้วกัน” พูดจบก็หัวเราะร่วนก่อนจะวาดแขนไปกอดคออีกคนอย่างล้อๆ

อดิศรเปลี่ยนแผนจากการออกไปหาอะไรกินเป็นพาอาชวินขึ้นมาบนห้องพักของตัวเอง ปิดล็อคประตูก่อนจะเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์เครื่องเดิม มือคลิกเข้าโปรแกรมอันนู้นทีอันนี้ทีก่อนจะตบลงบนที่ว่างข้างๆตัวให้อาชวินนั่งลง

“เห็นนี่ไหม” อดิศรยกมือขึ้นชี้นิ้วไปยังจุดสีแดงเล็กๆในพื้นที่กว้างๆสีเขียว อาชวินมองตามแล้วพยักหน้าเบาๆ “อันนี้คือนาย ไม่ซิมันคือนาฬิกาข้อมือของนาย ฉันแอบใส่เครื่องติดตามไว้ในแผงวงจร อันที่จริงก่อนหน้านี้ฉันแอบไปติดเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ที่คอนโดของคุณตำรวจเขาแต่หมอนั่นก็ไม่ค่อยจะรู้อะไรว่าบ้านของตัวเองมีสิ่งแปลกปลอม” น้ำเสียงที่พูดถึงบุคคลที่สามในบทสนทนาของอดิศรแสดงออกชัดเจนว่าไม่ค่อยพอใจบุคคลที่สามเท่าไหร่

“ฉลาดแต่ไม่เฉลียว หัวไวแต่ไร้ไหวพริบ” อาชวินนั่งมองอดิศรตาปริบๆ ฟังจากน้ำเสียงก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าตัวต้องกำลังไม่พอใจอะไรซักอย่าง “รู้ไหมหมูฉันแอบติดเครื่องดักฟังไว้ที่ปกเสื้อนายวันที่ฉันไปเจอนายที่คลับ กว่าหมอนั่นจะรู้ตัวก็กลับถึงบ้านแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนประเภทนั้นจะมีสัญชาตญาณของการเป็นตำรวจ”

พออดิศรพูดมาถึงตรงนี้สองแก้มของอาชวินก็รู้สึกร้อนๆแปลกๆเมื่อภาพเหตุการณ์วันนั้นลอยเข้ามาในมโนนึก ที่แท้ที่อีกคนเข้ามาใกล้ตัวเองมากขนาดนั้นอาจจะเป็นเพราะอุปกรณ์บ้าบอที่อดิศรแอบเอามาติดเขาก็เป็นได้ พอคิดมาถึงตอนนี้แล้วก็รู้สึกโหวงๆแปลกๆ

“เอาจริงๆฉันก็ไม่อยากจะส่งนายกลับไปอยู่กับตำรวจคนนั้นเลยนะหมู แต่ถ้าประเมินความเสี่ยงแล้วอยู่กับหมอนั่นนายอาจจะปลอดภัยกว่า”

อาชวินใช้เวลาอยู่กับอดิศรอีกพักใหญ่ก่อนที่อดิศรจะไล่อีกคนให้กลับแถมด้วยการเดินมาส่งถึงหน้าคอนโดเพราะคิดว่าป่านนี้พิชญุฒม์อาจจะตีโพยตีพายโวยวายจนบ้านแตกไปแล้วก็ได้ที่ไม่เจออาชวิน

“หมู ถ้าไม่ใช่ฉันก็อย่าไว้ใจใครบนโลกนี้เข้าใจไหม” อดิศรเอ่ยเมื่อเห็นอีกคนกำลังจะเปิดประตูเข้าห้อง อาชวินชะงักมือแล้วหันมามองหน้าอีกคน สายตาจริงจังที่ส่งผ่านมาให้ อาจเป็นเพราะสายใยบางๆที่มีร่วมกันมาตั้งแต่เกิดเลยทำให้อาชวินเข้าใจในสิิ่งที่อดิศรต้องการจะสื่อ

“อื้ม เข้าใจน่า” อาชวินส่งยิ้มบางๆกลกับไปให้แทนคำขอบคุณที่อีกคนเตือน

“แล้วอีกอย่าง ฉันแอบติดกล้องวงจรปิดไว้ในบ้านนะ” พูดจบก็ยกยิ้มมุมปากแล้วหันหลังกลับไปปล่อยให้อาชวินยืนมึนอยู่หน้าประตู
 
แต่ก็ยังไม่ทันที่อาชวินจะได้เอื้อมมือไปเปิดลูกบิด ประตูก็เปิดผ่างออกมาจนสะดุ้งตัวโยน ก่อนที่ใบหน้าตื่นๆของพิชญุฒม์จะโผล่ตามออกมา

“อาชวิน!” พิชญุฒม์ตะคอกคนตรงหน้าเสียงดัง อาชวินก็อ้าปากเตรียมจะสวนกลับแต่ก็ต้องหุบปากฉับเมื่ออยู่ๆก็โดนอีกคนดึงเข้าไปกอดจนจมอกแถมยังยกมือขึ้นมาขยี้กลุ่มผมเบาๆ “นายไม่รู้หรอกว่าการที่ฉันมายืนกลางห้องนั่งเล่นแล้วไม่เจอนายมันเป็นยังไง”

อาชวินยืนนิ่งๆให้พิชญุฒม์ยืนกอดลูบหัวลูบหางอยู่อย่างนั้นซักพัก เจ้าของแก้มกลมๆลอบยิ้มน้อยๆ ตั้งแต่มาอยู่กับพิชญุฒม์นี่คงเป็นครั้งแรกหล่ะมั้งที่อีกฝ่ายแสดงด้านนี้ออกมา ถึงปกติพิชญุฒม์จะเป็นพวกชอบกวนประสาทแต่ก็มีบางทีที่อีกฝ่ายแสดงความห่วงใยออกมาแต่ก็ถูกกลบด้วยท่าทางของคนขี้แกล้งไม่ทางคำพูดก็การกระทำตลอดจนยากที่จะมองออกว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกันแน่

เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติถึงจะไม่ปกติครบร้อยเปอร์เซ็นต์การสืบสวนก็ต้องดำเนินต่อไป พิชญุฒม์ใช้เวลาครึ่งหนึ่งของวันไปกับการนั่งอ่านประวัติรายบุคคลที่เขาได้มาอย่างละเอียดแถมไม่วายด้วยการพยายามส่งข้อมูลบางส่วนให้อดิศรหาเพิ่ม แน่นอนว่าสำหรับพิชญุฒม์การติดต่ออดิศรต้องเป็นไปอย่างเงียบๆ ทางฝั่งของเอกภพก็มีศุภวิชญ์เป็นผู้ช่วย เนื่องจากศุภวิชญ์อยู่ฝ่ายที่สามารถติดต่อกับคนอื่นตลอดเวลาต่างจากเอกภพที่วันๆอยู่แต่ห้องทดลองเลยทำให้ง่ายต่อการสืบจากบุคคลอื่น

“นี่ครับพี่เอกภพที่ให้ผมไปหาให้” ศุภวิชญ์วางซองสีน้ำตาลที่ข้างในใส่พวกเอกสารเท่าที่รวบรวมได้มาให้อีกคนที่ห้องทำงาน

“ขอบใจมากวิทย์ เป็นยังไงมั่งหล่ะเนี่ย” เอกภพแกะซองเอกสารออกก่อนจะดึงแผ่นกระดาษที่อยู่ในนั้นสามสี่แผ่นออกมา

“เท่าที่สืบมาทุกคนที่อยู่ในไฟล์นี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหอสมุดนั่นหมดเลย เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ชาญคอร์ป เจ้าของธุรกิจอาหารแปรรูปส่งออก แล้วก็เจ้าของธุรกิจจิวเวลี่ ส่วนที่เหลือก็พวกลูกๆหลานๆแล้วก็คนที่น่าจะเชื่อมโยงได้ ยังไงพี่ลองอ่านเอาแล้วกัน ถ้ามีอะไรก็เรียกผมนะขอไปเคลียร์งานแปป” ศุภวิชญ์พูดพร้อมกับบุ้ยหน้าไปที่โต๊ะตัวเองเพื่อย้ำคำพูด

เอกภพพยักหน้ารับทั้งที่สายตายังคงไล่อ่านตัวหนังสือบนกระดาษ แนวคิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อเจอว่าชื่อบริษัทจิวเวลี่ที่แสดงอยู่บนกระดาษมันคุ้นๆตาเหมือนเคยเห็นจากไหนมาก่อนเลยหันไปหยิบดินสอบนโต๊ะมาวงไว้แล้วอ่านรายละเอียดต่างๆเพิ่ม เมื่ออ่านจบก็พลิกกระดาษมาอีกหน้า รายชื่อทายาทของแต่ละบริษัทพร้อมรายละเอียดปรากฎขึ้นในคลองสายตา

“รฐนนท์”

ชื่อที่ปรากฎอยู่ในหน้ากระดาษไม่ได้ทำให้เอกภพชะงักเท่ากับรูปที่อยู่ข้างๆประวัติ เด็กที่เขาเจอที่ร้านอาหารตอนเดินสวนออกมาจากห้องน้ำตอนที่เขาจะเข้าไปหาอาชวิน ดวงตาเรียวรีกวาดไปทั่วประวัติของรฐนนท์สองสามรอบก่อนจะหันกลับมาหาแลปท็อปของตัวเอง ใช้เสิร์ซเอ็นจิ้นเพื่อหารูปภาพดูให้แน่ใจว่าใช่คนๆเดียวกับที่เขาเจอหรือเปล่า

เอกภพไล่สายตาไปตามรูปภาพในข่าวเปิดเนื้อหาข่าวอ่านบ้างในบางอันจนแน่ใจว่ารฐนนท์คนนี้คือคนเดียวกับที่เขาเจอในร้านอาหาร มือเรียวสั่งปริ้นท์รูปออกมาสองสามรูปแล้วเก็บใส่ซองเอกสารก่อนจะเดินออกจากห้องทำงาน เป้าหมายก็ไม่ใช่ที่ไหนอื่นนอกจากห้องทำงานของเพื่อนคู่หู

ประตูห้องทำงานของพิชญุฒม์เปิดตอนรับแขกคนเดิมอีกครั้ง เอกภพเดินเข้ามาพร้อมซองเอกสารสีน้ำตาล เหลือบตาไปมุมห้องก็เห็นอาชวินนั่งอ่านหนังสือเขียนหนังสืออะไรซักอย่างที่โต๊ะที่พิชญุฒม์จัดขึ้นมาให้พิเศษ วันนี้เขาไม่มีแลปอาชวินเลยไม่ได้ไปไหนนอกจากห้องทำงานของพิชญุฒม์

“ศุภวิชญ์เพิ่งเอามาให้เมื่อเช้า” เอกภพพูดพลางยื่นซองเอกสารให้พิชญุฒม์ ชื่อของบุคคลที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้เรียกสายตากลมโตจากอาชวินให้เงยขึ้นไปมอง เหมือนจะคับคล้ายคับคลาว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนซักที่แต่ก็จำไม่ได้เลยเลิกสนใจแล้วหันกลับมานั่งอ่านหนังสือต่อ

“มีอะไรน่าสนใจไหม” พิชญุฒม์ถามแต่สายตายังไม่ละออกจาหน้าจอแลปท็อป

“มีคนนึงน่าสนใจพอดูเลยแหล่ะ รฐนนท์” ระหว่างที่พูดหางตาก็เหลือบไปมองปฏิกิริยาของอาชวินที่มีต่อชื่อนี้แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่ออาชวินชะงักมือที่กำลังเขียนอยู่แล้วกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ

“ลูกชายเจ้าของบริษัทจิวเวลี่รายใหญ่ในไทยชื่อบริษัทคุ้นๆแต่จำไม่ได้อ่ะว่าเคยได้ยินจากไหน” พิชญุฒม์ละสายตาออกจากหน้าจอแลปท็อปแล้วมองอีกคนด้วยแววตาเร่งให้รีบพูด “มีสุขจิวเวลลี่”

พิชญุฒม์ไม่ตอบอะไรแต่ละสายตาจากเอกภพหันไปมองเด็กที่นั่งอ่านหนังสืออยู่มุมห้อง “ฉันขอคุยกับเอกภพสองคนนายจะออกไปหากายก็ได้นะ” คำพูดเป็นเชิงไล่กลายๆทำให้อาชวินรีบลุกออกไปจากตรงนั้น

“บริษัทที่ให้ทุนหมูไปเรียน” ทันทีที่เห็นว่าประตูปิดสนิทหลังจากอาชวินออกไปพิชญุฒม์ก็เอ่ยขึ้นมา เอกภพร้องอ๋อเบาๆพลางพยักหน้ารับ “หนึ่งในผู้ก่อสร้างหอสมุด ข้อมูลตรงนี้ฉันก็รู้มาเหมือนกัน แต่แค่ไม่มั่นใจว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวอะไรกับทายาทของแต่ละคน?”

“สารวัตรอาจจะยังไม่รู้นะ หมูกับเด็กที่ชื่อรฐนนท์อาจจะรู้จักกัน แล้วผมก็เดาว่าอาจจะไม่ใช่ในทางที่ดีเท่าไหร่” พิชญุฒม์ขมวดคิ้วมองอีกคนไม่แน่ใจว่าเอกภพต้องการสื่ออะไรในเรื่องนี้ และเอกภพไปรู้อะไรในเรื่องที่เขาไม่รู้มางั้นหรอ?
“เรื่องนี้ผมยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ ขอให้ผมไปหาข้อมูลเพิ่มก่อนดีกว่าแล้วค่อยมาบอกสารวัตร ผมไม่อยากให้เอาเรื่องที่เพิ่งตั้งสมมติฐานมาตัดสินอะไรโดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์ เพราะบางทีผมคิดว่าเด็กนั่นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของหมูก็ได้”

พิชญุฒม์พาตัวเองมายังโซนสำหรับชงกาแฟเพื่อชงกาแฟเข้มๆให้กับตัวเอง ในระหว่างที่มือคนกาแฟในแก้วให้ละลายไปในน้ำร้อนๆหัวสมองก็คิดอะไรต่อมิอะไรไปต่างๆนาๆ ข้อมูลจากเอกภพเชื่อได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่เพราะเขาไม่เชื่อใจเอกภพแต่เขาไม่เชื่อใจศุภวิชญ์ต่างหาก เด็กนั่นฉลาดเป็นกรดถึงจะดูซื่อๆก็เถอะ ส่วนเรื่องที่เอกภพบอก รฐนนท์กับอาชวินดูเผินๆก็ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันมากไปกว่าลูกเจ้าของบริษัทกับเด็กทุนของบริษัท แต่ทำไมเอกภพพูดเหมือนมันมีอะไรที่มากกว่านั้น

พิชญุฒม์เดินมานั่งอยู่หน้าแลปท็อปเครื่องเดิม มือล้วงเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาก่อนจะกดโทรออกหาใครอีกคน เสียงสัญญาณดังขึ้นเพียงสองครั้งก่อนที่สายจะถูกตัดไปพิชญุฒม์กดต่อสายหาอีกฝ่ายอีกครั้งแต่คราวนี้กลับโทรไม่ติด

“โถ่โว๊ย! มันใช่เวลามาเล่นตัวหรือเปล่าวะ” สบถออกมาอย่างหน่ายๆก่อนจะโยนโทรศัพท์เครื่องหรูให้ไถลไปกับโต๊ะแล้วยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองแรงๆ ตอนที่ตัดสินใจร่วมือกับอดิศรก็คิดไว้อยู่แล้วว่าอีกคนคงไม่ใช่พวกไม้อ่อนที่จะโอนอ่อนตามได้ทุกสถานการณ์แต่ก็ไม่คิดว่าจะแข็งเหมือนไม้เต็งรังขนาดนี้  พิชญุฒม์ถอนหายใจหนักๆแล้วทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้

สำหรับเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าอดิศร พิชญุฒม์เชื่อแบบนั้น ต่อให้นักสืบที่เก่งที่สุดก็ไม่มีทางรู้ดีไปกว่าเจ้าตัว และพิชญุฒม์ก็มั่นใจว่าทุกเรื่องที่เกี่ยวกับอาชวินไม่มีเรื่องไหนที่อดิศรไม่รู้ มีแค่รู้แล้วบอกหรือรู้แล้วทำเป็นไม่รู้ก็แค่นั้น

ครืดครืด

เสียงโทรศัพท์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนโต๊ะสั่นเรียกหางตาของพิชญุฒม์ให้เหลือบไปมองก่อนจะหยิบขึ้นมาเปิดดูข้อความที่เข้ามา ข้อความที่ถูกส่งมาจากที่ไหนซักที่ซึ่งไม่โชว์เบอร์ เรียกเอาแนวคิ้วหนาให้ขมวดจนแทบจะเป็นปม เนื้อหาข้อความข้างใน  ถึงจะไม่ระุบว่าคนส่งเป็นใครแต่สำหรับพิชญุฒม์มั่นใจไปเกินครึ่งแล้วว่าต้องเป็นคนที่ตัดสายเขาทิ้งอย่างไม่ใยดีเมื่อสักครู่นี้แน่ๆ

“No need to chase, create own game and don’t follow them.”



tbc.


รู้สึกว่ามีคนชอบเยอะขึ้น ดีใจมากๆจริงๆนะคะ แงงงงง๊   :o8: :o8:

ปล.ตอนนี้มาช้าเพราะมัวแต่เที่ยวอยู่ค่ะเลยไม่มีเวลาเอามาลง T______T

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
แง้  มีความดึน้องไปกอด แหมมมมมมมมมมมมมมมคุณสารวัตรรรรรรรร

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
สนุกเหลือเชื่อเลยค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด