ขอโทษค่า ที่หายหัวไปทั้งวัน วันนี้พอดีนาเมฮ์มีงานด่วน ที่ทำให้ไม่ได้เข้าออฟฟิสเลยตลอดวัน จนเพิ่งกลับมานี่ แต่ก็โทรไปบอกคุณชายเอท่านแล้ว เห็นว่ามันเองก็มีประชุม เกือบทั้งวันเหมือนกัน วันนี้เลยมีแค่รอบเดียวค่ะ แฮ่ะๆๆ ขอโทษด้วยนะคะ
*************************
คุณนายมันหนีเที่ยวครับวันนี้ (อย่าไปเชื่อค่ะ งานด่วนค่ะ งานด่วน ฮ่าๆๆ) เลยมาส่งต้นฉบับเอาตอนกลางคืนกันแทน ก็มาติดตามต่อกันได้เลยครับ
หลังจากที่ผมกับป่านกลับมาจากไปเที่ยวกัน เราก็เข้าสู่ภาวะการทำงานและเรียนครับ ไอ้ป่านหลังจากงานหนแรกที่มันทำสำเร็จไปแล้ว ก็ต้องตามดูแลลูกค้าแล้วก็หารายใหม่ๆ ต่อไป (ซึ่งผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมันเท่าไรหรอกนะครับ เพราะมันบอกว่า เรื่องงานมันจะพยายามเอาไว้ที่ทำงาน หรือถ้าจำเป็นต้องเอากลับมาทำที่คอนโด ก็จะแค่ทำให้เสร็จ แล้วที่เหลือมันขอเป็นแค่ไอ้ป่านของผมก็พอ มันเลยไม่ค่อยเล่าอะไรเรื่องที่ทำงานมันมาก ยกเว้นแต่มีเรื่องจะปรึกษาหรือมันเหนื่อยๆ มาจริงๆ ถึงมาบ่นบ้างนานๆ ที)
ผมเอง ตอนนั้นก็เร่งทำ Thesis ครับ หอบ Text book กลับบ้านมากองโตหลายทีที่ต้องอ่านให้หมด และใช้เป็นหนังสืออ้างอิง บางทีผมกับมันก็จะนั่งคนละโต๊ะ มันอยู่โต๊ะทำงานแต่ผมจะกางโต๊ะเล็กๆ นั่งทำกับพื้น แล้วก็ก้มหน้าก้มตากับกองหนังสือหรือแฟ้มของใครของมัน
แต่เราก็จะเงยหน้ามามองกันเป็นครั้งคราวว่าอีกคนทำอะไรอยู่ และก็หลายทีที่ผมเงยหน้ามา ก็เป็นจังหวะที่มันหันหน้ามามองผมพอดี เราก็จะยิ้มให้กันหรือบางทีผมก็จะถามมันว่าเอาอะไรไหม กินน้ำไหม หรือไม่มันก็จะเป็นคนถามผม
แล้ววันไหนที่มันต้องประชุมหรือไปพบลูกค้ากลับค่ำ มันก็จะโทรมาบอกผมก่อน ว่าไม่ต้องรอกินข้าว แต่ส่วนมากผมก็รอมันทุกที คือ ไม่ได้รอแบบหิ้วท้องรอนะครับ แต่ก็จะกินอะไรรองท้อง แล้วพอมันกลับมา ก็จะนั่งกินเป็นเพื่อนมันอีกที ไอ้ป่านก็บ่นนะครับ ว่ามารอทำไม แต่ผมก็บอกมันไปว่าผมก็กินอะไรบ้างแล้วมันก็เลยไม่ว่าอะไร จริงๆ ผมว่าเวลามีคนนั่งกินข้าวด้วย มันดีกว่ากินคนเดียวจะตาย จริงไหมครับ
แต่บางวันที่ผมต้องอยู่รอคุยงานกับอาจารย์ที่ปรึกษาแล้วกลับค่ำกว่ามันผมก็โทรบอก พอผมกลับถึงบ้าน ป่านมันก็รอผมกินข้าวอยู่เหมือนกัน ผมก็เคยบ่นนะครับว่ามารอทำไม มันก็ย้อนผมว่า ก็รอแบบที่ผมรอมันไง กินข้าวคนเดียวมันไม่อร่อย
มันก็เลยเหมือนเรื่องที่เราสองคนทำด้วยกันตลอดไม่ว่าอีกคนจะไปงานอะไร ไปพบลูกค้า แต่ก็ต้องกลับมานั่งกินอะไรด้วยกันอีกทุกที บางทีก็แค่นมคนละแก้ว ผลไม้สักจาน ถ้าแบบอิ่มมาแล้วกันจริงๆ
(ไม่ต้องห่วงว่าผมกับมันจะอ้วนนะครับ กินแล้วมากินอีก เพราะเราก็มีวิธีเผาผลาญพลังงานกันอยู่แล้ว ฮ่าๆ)
ส่วนวันศุกร์ เสาร์ เราก็จะกลับไปนอนบ้านใครบ้านมันครับ แล้วก็ใช้การโทรคุยกันจนหลับเหมือนเดิม
ทีนี้มันมีอยู่วันนึงผมมาถึงคอนโดไม่ค่ำนัก แต่พอไขประตูเข้าไป เห็นรองเท้าไอ้ป่านอยู่ที่ชั้นวางรองเท้าแล้ว แต่ห้องยังปิดไฟมืด
ป่าน ป่าน ผมเรียกมัน
เงียบครับ ไม่มีเสียงตอบ
ป่าน ป่าน กลับมาหรือยัง ผมเรียกมันอีก แล้วก็เดินเข้าไปในห้องเปิดไฟ ก็ไม่เห็นมัน
ได้ยินเสียงแอร์ดังมาจากห้องนอนครับ ผมเลยเดินไปดู ประตูห้องปิดไว้แต่ไม่ได้ล๊อค ผมเปิดเข้าไป แอร์เปิดไว้ครับ แล้วบนเตียวก็มีไอ้ป่านนอนคว่ำแหม่ะอยู่
สูทมันยังไม่ได้ถอด นอนอยู่ทั้งชุดน่ะแหล่ะ ถุงเท้าด้วย
ผมเลยเปิดโคมไฟข้างเตียง
ไอ้ป่านมันหลับครับ
ผมเลยนั่งลงข้างๆ มัน แล้วปลุกมัน เพราะว่าน้ำมันก็ยังไม่ได้อาบ ข้าวปลาก็ท่าทางจะยังไม่ได้กิน
ป่าน ป่าน
อืมมมม
ป่าน ตื่นมาอาบน้ำก่อน เดี๋ยวปวดหัวหรอก นอนไปได้ไงตอนนี้
เอ กลับมาแล้วเหรอ
อื้อ มาลุกๆ อาบน้ำกินข้าวก่อน จะกินอะไร
ไม่อยากกินอ่ะ ไม่หิว ง่วง เหนื่อย อยากนอน ป่านมันเริ่มงอแง
ป่าน ลุกก่อน อาบน้ำ กินอะไรหน่อยเดี๋ยวค่อยนอน ผมบอกมัน
ป่านเหนื่อย
ป่านครับ เอรู้ว่าป่านเหนื่อย แต่ลุกนิดนึง มาอาบน้ำจะได้นอนสบายๆ ถ้าไม่อยากกินอะไรมาก เดี๋ยวเอทำอะไรร้อนๆ ให้ทานนิดนึงก็ได้ ผมลูบหลังมัน
ไอ้ป่านถึงพลิกตัวมาซุกตักผม
ป่านเหนื่อยจังเอ มันพูด เสียงมันดูแย่ๆ เหมือนกันนะครับ
มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่านี่ ผมเลยถามมัน
ก็มีเหมือนกันแหล่ะ แต่ป่านไม่อยากพูดถึงอ่ะเอ ไม่มีอะไรมากหรอก เรื่องงานน่ะแหล่ะ ป่านแค่เหนื่อยๆ เลยไม่อยากทำอะไร
ถ้ามีอะไรอยากระบายหรือบ่นก็บอกเอได้นะป่าน
อื้อ แค่เหนื่อยๆ อ่ะ
ผมเลยไม่เซ้าซี้มันต่อครับคือป่านน่ะ ถ้ามันไม่อยากพูด มันก็จะไม่พูดครับ ต้องรอให้มันพูดมาเอง ผมก็เลยเปลี่ยนจากถามเป็นลูบหัวมันที่ซุกอยู่กับตักผมไปแทน
งั้นเออาบน้ำให้ไหม ผมถามมัน
ไม่เอาอ่ะ เออาบให้ มีหวังป่านเหนื่อยกว่าเดิม มันว่าเสียงง่อดแง่ดๆ
อาบอย่างเดียวก็ได้ครับผม รับรองไม่ทำไรหรอก ผมว่า
แน่เหรอ
ถ้าป่านไม่บอกให้ทำ ก็ไม่ทำหรอก ผมพูดยิ้มๆ
เลยโดนถองไปอีกอั่ก ก่อนมันจะยอมให้ผมอาบน้ำให้ (อาบอย่างเดียวครับ ผมรู้สึกว่ามันมีเรื่องไม่สบายใจอยู่ เลยอยากให้มันหายเหนื่อย เพื่อมันจะระบายมาให้ผมฟังบ้าง)
อาบน้ำเสร็จ ผมก็ชวนมันออกมากินอะไรร้อนๆ ก็ทำพวกมาม่าแต่ใส่เครื่องเยอะๆ หน่อยให้มันกับผมคนละชามละครับ ง่ายและเร็วสุดแล้ว
นั่งกินกันง่ายๆ แบบนั้นแหล่ะครับ แต่ผมสังเกตว่าไอ้ป่านก็แอบถอนหายใจบ่อยๆ แล้วตอนมันเผลอๆ ก็ดูเครียดๆ แสดงว่าคงมีปัญหาอะไรมาสักอย่าง
แต่มันยังไม่พูดออกมา
ผมก็ทำตัวปกติไปเรื่อยๆ ครับ จนมันกินเสร็จ ผมก็บอกมันว่าจะเอาชามไปล้างให้ มันเลยว่ามันมีงานต้องดูอีกหน่อย แล้วมันก็เลยลุกไปรื้อกระเป๋าเอกสารมันเอาแฟ้มที่เอากลับมาด้วยมาอ่าน
ผมก็เห็นมันอ่านไปหน้าเครียดๆ ไป พอผมล้างชามเสร็จ ก็เลยเดินไปหามันไปยืนด้านหลังเก้าอี้น่ะแหล่ะครับแล้วก็ นวดไหล่ให้มัน
งานยุ่งเหรอ ผมถาม ไอ้ป่านแหงนคอพิงตัวผม
อื้อ นิดหน่อยนะ
ผมเลยขยับมือมานวดต้นคอให้มันด้วย
หน้าเครียดเชียวรู้ตัวไหม
จริงง่ะ
จริง คิ้วอ่ะขมวดเชียว งานมีปัญหาอะไรหรือเปล่า
อืมมม ไอ้ป่านมันหลับตาพิงพนักเก้าอี้ ผมเลยมานวดขมับมันเบาๆ
มันก็เรื่องเดิมๆ แหล่ะเอ มันเริ่มเล่าครับ
สรุปใจความว่าพนักงานบางคนอยากได้เงินเดือนเพิ่ม แล้วเนี่ยก็ใกล้เวลาโบนัสแล้ว แม่ป่านก็เลยบอกให้มันตรวจสอบผลงานพนักงาน แล้วให้เสนอโบนัสแต่ละคนไป ป่านมันเลยเสนอเรื่องเงินเดือนเพิ่มไปด้วย เพราะเห็นว่าบางคนก็ทำงานกับบริษัทมานานแล้วผลงานก็ดี
แต่แม่มันตีกลับเกือบหมดเลย บอกว่าป่านมันตัดสินใจเร็วเกินไป ใจดีเกินไป พนักงานจะได้ใจเสียเปล่าๆ ป่านมันก็แก้กลับไปนะครับ ตัดเรื่องเพิ่มเงินเดือนออก ปรับโบนัสอะไรไปเหมือนกันแล้วส่งให้แม่มันดูอีก
ปรากฎว่าโดนแก้มาอีก พร้อมกับแม่มันบ่นมาว่าทำไมมันยังบริหารงานไม่เป็นอยู่อีกนั่น
ซึ่งผมฟังก็งงๆ นะครับว่ามันเกี่ยวด้วยเหรอ เพราะมันก็แค่แม่ป่าน กับป่านมันมองเรื่องโบนัสกับเพิ่มเงินคนละแบบกัน แม่มันอาจจะมีกรอบว่าต้องแค่นี้ๆ แต่ไอ้ป่านมันจะคิดถึงใจคนรับมากกว่าหน่อย
คือจะว่าไป ผมก็ไม่ได้เข้าข้างมันนะครับ บางกรณีมันอาจจะใจดีเกินไป แต่การใจดีกับคนในปกครองบ้าง มันก็ทำให้เราปกครองเขาได้ง่ายขึ้น เหมือนที่โบราณเคยว่า ต้องใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ ไอ้จะมาตีกรอบหรือเป๊ะๆ เข้มกริบทุกอย่างมันก็มีแต่พระเดช คนก็อยู่เพราะกรอบแต่ไม่ได้จงรักภักดีกับตัวบริษัทหรือองค์กรณ์ ถึงเงินจะดี หรือก้าวหน้า แต่บางที บางคนถ้าเขาเจอที่ๆ ตอบแทนเขาได้ดีกว่า หรือน่าทำกว่าเขาก็จะไปจากเราได้
แต่แม่ป่าน ก็นั่นแหล่ะครับ เป๊ะ กริบ ไปหมด
ป่านมันเลยเหนื่อยๆ คือมันอยู่ตำแหน่งประธานก็จริง แต่จริงๆ มันก็ต้องทำอะไรผ่านความเห็นชอบจากแม่มันอยู่ดี
ผมก็จะไปยุ่งอะไรในบริษัทมันก็ไม่ได้ ก็ได้แต่ให้กำลังใจมันไปน่ะครับ สงสารมันก็สงสาร
แต่ก็ทำได้เท่านั้นแหล่ะครับ
ผมปลอบมันไปว่า อาจจะเป็นเพราะมันเพิ่งทำงานได้ไม่นาน แม่ก็เลยต้องลงมาคอยดูแลอีกทีหนึ่งก่อน พองานการมันเข้าที่แล้ว ก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรมั้ง
มันก็บอกว่า มันก็หวังแบบนั้น
เห็นมันเครียดๆ หงอยๆ แบบนี้แล้ว
สงสารมันจริงๆ ครับ
************************
ตอนนี้เครียดๆ ไปหน่อยนะครับ แต่ผมมาคิดถึงตอนเวลาที่เห็นป่านมันเหนื่อยๆ ล้าๆ จากงานมาทีไร ผมก็เป็นห่วงมันทุกที
เขียนเรื่องเครียดๆ ก็เอาประมาณนึงนะครับ ผมไม่อยากทำคนอ่านเครียดไปด้วย
ไว้ต่อตอนหน้านะครับ
********************