ขอขอบคุณแฟนอาร์ต เจ้าจันทร์ กับ สินเชื่อ
จากแอค @Aesthethyp ในทวิตเตอร์จ้า ไปฟอลกันได้นะคะชาวทวิตChapter 24 Third Party
หลังจากผมโทรเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้เจิ้นฟัง แทนที่เจิ้นจะช่วยผมวางแผนกลับบอกให้ผมอย่าไปยุ่ง มิสเตอร์หยางไม่ทำอะไรพ่อหรอก เขาเป็นเพื่อนกัน.... เพื่อน? เพื่อนอะไรล่ะ ตาลุงนิสัยไม่ดีนั่นจะเขมือบหัวพ่อผมเข้าไปอยู่แล้ว แถมพ่อก็สู้เขาไม่ได้อีก พ่อผมโดน
ข่มเหง-รังแก ชัดๆ!! ผมง้องแง้งกับเจิ้นแต่เจิ้นแค่ขำแล้วบอกให้รีบกลับได้แล้ว คิดถึง... งื้อ คิดถึงเจิ้นเหมือนกัน เมื่อไหร่จะได้กลับนะ....แต่ความคิดถึงกับเรื่องพ่อมันก็คนละส่วนกัน ผมหงุดหงิดที่เจิ้นไม่ช่วยผม
เจิ้นอาจจะไม่เข้าใจเพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ผมอาจจะเล่าไม่ชัดเจนดังนั้นผมน่าจะต้องวางแผนด้วยตัวเอง แผนของผมจะไม่มีอะไรซับซ้อนนักเพราะผมไม่รู้จักลุงนั่น ผมเลยคิดว่าจะต้องป้องกันพ่อเป็นอันดับแรก ผมจะเป็นบอดี้การ์ดให้พ่อเอง จะไม่ให้ลุงนิสัยไม่ดีเข้ามาใกล้พ่ออีก
แต่ตลอดทั้งเย็นผมก็ไม่เจอลุงมาเฟียนั่นอีก ตอนกินข้าวเย็นที่ห้องอาหารของรีสอร์ทก็ไม่มี อาจจะกลับไปแล้ว? พ่อผมไม่ทำหน้าเศร้าแล้วและกลับมาเป็นคนเดิม คุยโทรศัพท์เรื่องงานเหมือนปกติ
พ่อบอกจะพาผมกลับกรุงเทพพรุ่งนี้ตอนบ่าย ไฟลท์เราเลือนเข้ามาจากเดิมที่จะไปอีกสองวัน พ่อบอกว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว ผมโทรหาแม่เรื่องจะกลับกรุงเทพเผื่อแม่จะกลับพร้อมกันแต่แม่บอกว่าจะยังอยู่น่านต่อให้ผมอยู่กับพ่อไปก่อน
จริงๆผมก็เริ่มชินกับการที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับผมทั้งคู่ หรือสลับมาเจอกันเพราะส่วนใหญ่ผมก็ใช้ชีวิตอยู่กับเจิ้น แม่ก็คงเบื่อจะอยู่คนเดียวเพราะพ่อก็ไปอยู่จีนกับปู่แต่ละครั้งก็นานเป็นเดือน
“พ่อกับแม่คิดถึงกันบ้างหรือเปล่า เหมือนที่ผมคิดถึงเจิ้นมากเลย”
“คิดถึง แต่คนเราก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง พ่อต้องทำงาน จันทร์ก็ต้องเรียน”
การอยู่ห่างกันของพ่อกับแม่อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกก็ได้มั้ง เพราะเวลาไปนอนที่บ้านพ่อกับแม่ก็ดูจะเหมือนเดิม แม่ทำงานบ้าน ทำกับข้าวให้พ่อ ดูแลบ้านดูแลผม พ่อก็ออกไปทำงานนอกบ้าน แต่ถ้าเป็นผมต้องห่างกับเจิ้นบ้างเป็นเดือนๆต้องร้องไห้แน่เลย
“แม่กับพ่อเก่งจัง”
“ไม่หรอกลูก ไม่เก่งเลย จันทร์ต่างหากที่เก่ง ลูกโตมาเป็นเด็กดีทั้งๆที่พ่อกับแม่แทบไม่ได้ดูแลลูกเลย”
“ก็พ่อเลือกคนที่ดีมาดูแลผม...เจิ้นดีมากเลย”
ผมนอนคุยกับพ่อทั้งคืน เล่าเรื่องเรียนบ้าง เรื่องเจิ้นบ้าง การ์ตูนบ้าง ผมไม่ค่อยได้นอนกับพ่อ พอกลับไปนอนบ้านก็นอนกับแม่ พ่อไปนอนอีกห้องเพราะเตียงนอนผมมันแคบ เรานอนกอดกัน ผมว่าผมไม่ค่อยชินกับการถูกพ่อกอด อ้อมแขนพ่อเล็กกว่าของเจิ้น แต่มันก็สบายดี มันรู้สึกคนละแบบกัน มีความสุขคนละอย่าง
ความอารมณ์ดีของผมสะดุดเพราะตอนเช้าเจอลุงนิสัยไม่ดีที่ห้องอาหาร ผมพยายามดึงพ่อไปนั่งไกลๆแต่พ่อกลับพาผมเดินเข้าไปหาตาลุงคนนั้น
“จันทร์นี่คุณสุริยะ คุณสุริยะนี่เจ้าจันทร์ครับ ลูกชายผม”
ผมจับมือพ่อแน่น พ่อไม่เหมือนคนเมื่อวานที่เหมือนไม่สบายใจ คุณสุริยะหรือตาลุงบ้าแค่นหัวเราะใส่พ่อแต่พ่อก็ยังยืนนิ่ง พ่อนิ่งมาก มากแบบที่ผมไม่เคยเห็นเลย
“ไหนบอกลูกไม่เกี่ยวไงตอง? แล้วทำไมพามาแนะนำตัวล่ะ ไม่กลัวฉันฆ่าลูกเธอแล้วหรือไง”
“เลิกแกล้งสักทีได้ไหม? ลูกผมกลัว”
“หึ ตัวสั่นเป็นกระต่ายตื่นตูม...เหมือนเธอเมื่อวานนะตอง พวกสัตว์เล็กๆนี่ขี้กลัวเหมือนกันทุกตัวหรือเปล่า? วันนี้กระต่ายจะห่มหนังเสือมาสู้หรือไง? กระต่ายก็คือกระต่าย”
“ผมไม่กลัวลุงหรอก ห้ามแกล้งพ่อผมนะ!”
“จะร้องไห้อยู่รอมร่อยังกล้าพองขน...”
“พอเถอะ ผมแค่จะคุยกับคุณเรื่องสัญญา จันทร์ไม่เกี่ยวอย่ายุ่งกับลูกผม แค่แนะนำให้รู้จักกันตามมารยาทไม่ได้หมายถึงว่าผมจะยอมให้คุณยุ่งกับจันทร์ เรื่องของเราไม่เกี่ยวกับจันทร์ จันทร์ไปนั่งรอพ่อก่อน พ่อคุยงานแปปเดียว”
“ไม่เอา...เขาจะฆ่าพ่อนะ!”
ผมสะดุ้งที่ลุงบ้าหัวเราะออกมา คนอะไรหัวเราะทั้งตาวาวโรจน์อย่างกับคนโรคจิต เขาต้องจะฆ่าพ่อแน่ๆเลย สิบเก้าปีก่อนพ่อไปสัญญาอะไรไว้หรือจะแบบในการ์ตูนที่ขายวิญญาณให้ปิศาจแล้วถึงเวลาก็มาทวงวิญญาณคืน ไม่ก็พ่อเป็นหนี้หรือเปล่า ร้อยล้านพันล้านอะไรแบบนี้ ผมยืมเงินเจิ้นมาช่วยพ่อก่อนได้ไหม
“จันทร์... ไม่มีใครฆ่าพ่อหรอก ไปนั่งรอตรงนั้นไป เสร็จแล้วพ่อจะเดินไปหา ตรงนั้นก็เห็นพ่อ....ให้พ่อคุยงานก่อนนะ”
ตาลุงยักคิ้วให้ผมแบบกวนประสาท เสียงหัวเราะก็กวนประสาท ทุกอย่างกวนอารมณ์ผมไปหมดแล้วพ่อก็ดุผมอีก...ผมต้องยอมไปนั่งรอ ผมไม่ได้ยินว่าเขาคุยอะไรกัน ตาลุงพูดยาวเหยียดใส่พ่อหน้าตาเคร่งเครียด พ่อก็คิ้วขมวดมุ่น แล้วตาลุงก็ทำอย่างที่ผมคิด...เขายิ้มโรคจิตแล้วยกมือขึ้นจับหูพ่อ เขาจะกระชากหูพ่อผม! คนคุยงานกันใครเขาจับหูเล่ามันไม่ปกตินะ แต่พ่อก็เบี่ยงตัวหนีแล้วเดินกลับมาทางผม
“เขา...เขาหยิกหูพ่อหรอ หรือจะกระชาก”
ผมอยากจะร้องไห้ที่ช่วยพ่อตัวเองไม่ได้ หูพ่อผมแดงมาก แดงมาถึงหน้า ไอ้ลุงบ้านั่น...นิสัยไม่ดีจริงๆด้วยเขาไม่ฆ่าพ่อแต่เขาหยิกหรือกระชากหูพ่อผมต่อหน้าต่อตาผมเลย
“ฮึก....ฮือออ”
มันอึดอัดที่ทำอะไรไม่ได้เลย ทำไมพ่อต้องโดนทำร้ายแล้วพ่อก็ไม่ให้ผมอยู่ใกล้ๆตอนที่พ่อเจ็บปวด พ่อต้องกลัวลุงนั่นทำร้ายผมต่อหน้าพ่อแน่ๆ ลุงเขาน่ากลัวขนาดพ่อต้องโดนเขารังแกเลยหรอ
“ร้องไห้ทำไมลูก พ่อไม่ได้เป็นอะไร”
“จันทร์ไม่อยากเจอเขา ฮึก เขาแกล้งพ่อ จันทร์ช่วยไม่ได้ ฮืออ ไม่เจอลุงแล้วนะไม่เอา”
หัวใจผมเจ็บปวด พ่อเหมือนจะร้องไห้ตามผมเราเลยไม่กินข้าวเช้ากันทั้งคู่แล้วเดินกลับห้องพัก ผมงอแงเป็นเด็กเพราะมันเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อน
ผมไม่เคยเจอคนแบบลุงนั่น ไม่เคยเห็นพ่อเสียใจ
ไม่เคยเห็นพ่อโดนใครว่า
แล้วก็ไม่เคยเห็นใครรังแกพ่อมาก่อน
ที่สำคัญผมทำอะไรไม่ได้เลย
“จันทร์...ฟังพ่อนะลูก เขาไม่ได้รังแกพ่อ ไม่ได้กระชากหรือทำพ่อเจ็บหูด้วย เขาแตะเฉยๆ แตะแบบนี้แบบที่พ่อแตะจันทร์นี่ไง ลูกเจ็บหูไหม? ไม่เจ็บใช่ไหม เขาแตะเบาๆแบบนี้เฉยๆ”
“แต่...ฮึก พ่อหูแดง”
“ใครแตะหูพ่อ พ่อกูหูแดงหมดนั่นแหละ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะลูก เก็บของกลับกรุงเทพกันนะ”
“เขา...ไม่ได้ทำพ่อเจ็บจริงๆใช่ไหม”
“ไม่เจ็บ เขาแค่พูดไม่ดี แต่ไม่ได้ทำพ่อเจ็บ”
“จันทร์เป็นห่วง...”
“รู้จักเป็นห่วงพ่อแล้วเดี๋ยวนี้ ปกติห่วงแต่เจิ้น โตขึ้นแล้วสิลูกพ่อ?”
ผมห่วงแต่เจิ้นที่ไหนเล่า...รอยยิ้มล้อๆของพ่อทำผมหน้าร้อนผ่าวบ้าง ก็อยู่กับเจิ้นบ่อยก็แค่ห่วงเจิ้นเยอะเฉยๆอ่ะ แต่ก็ห่วงพ่อนะ ห่วงแม่ด้วย ห่วงคุณปู่ ห่วงพ่อกับแม่เจิ้น คุณป้าแม่บ้าน ห่วงหมดนั่นแหละ
เราไปสนามบินกันตอนบ่าย ผมถึงเริ่มเล่าเรื่องไปน่านกับแม่ แอบบ่นกับพ่อว่าลุงชอบดุผมด้วย ผมว่าผมน่าจะไม่ค่อยชอบลุงเหมือนที่พ่อไม่ชอบแน่ๆ
“ผมอยากให้พ่อไปน่านด้วยกัน บ้านตากับยายมีผีด้วย วันแรกจันทร์ไปนอนบ้านก็สั่น จันทร์คิดว่าลุงเลี้ยงผี ลุงอยู่ในห้องกับผี จันทร์จะแอบดูแล้วแต่มานี่กับพ่อก่อน”
พ่อถามผมอีกเยอะเรื่องผี ผมคิดว่าพ่อก็ต้องคิดว่าลุงเลี้ยงผีเหมือนกันทำให้ลุงนิสัยไม่ค่อยดี เพราะคนนิสัยดีไม่น่าจะเลี้ยงผีนะ เพื่อนๆก็บอกว่าคนเลี้ยงผีคือพวกเล่นของไสยศาสตร์มนตร์ดำ
“ไม่ต้องไปน่านแล้วลูก....เดี๋ยวผีเอาจันทร์ไปจากพ่อ ไม่ได้กลับมาเจอพ่อ ไม่ได้กลับมาเจอเจิ้นพอดี สมัยก่อนเพื่อนพ่อก็หายไป ครูบอกว่าเพื่อนพ่อตายแล้ว...ผีพาไปอยู่ด้วย”
โครงการจับผีที่น่านของผมพับลงไปในถังขยะความคิด พ่อไม่ใช่คนโกหกและลักษณะการพูดของพ่อก็เหมือนทุกครั้งที่เราคุยเรื่องจริงจัง ผมอยากให้แม่ย้ายออกจากบ้านหลังนั้นจัง กลัวผีจะพาแม่ไปอยู่ด้วยแต่ผมก็พิสูจน์ไม่ได้ตรงๆแม่อาจจะไม่เชื่อ ขนาดวันนั้นแม่ยังบอกให้ผมเลิกพูด
เรื่องผีบ้านแม่กับคุณสุริยะของพ่อหายไปจากหัวผมบ้างในช่วงใกล้เปิดเทอม เพื่อนในชั้นปีตามให้ไปเตรียมกิจกรรมรับน้องปีหนึ่ง ทั้งทำสลากสายรหัส ทำฐานกิจกรรม เตรียมสถานที่ ผมถูกคิวลากไปอยู่ฝ่ายสันทนาการที่จะต้องเต้นเยอะๆ จริงๆผมอยากเป็นแค่พี่สวัสดิการแจกน้ำแจกขนมมากกว่าแต่คิวไม่ยอม
“จันทร์ส่ายอีก ส่ายเยอะๆ”
เพลงโรตีทำผมเอวแทบเคล็ด ผมไม่ได้เต้นอะไรแบบนี้มานานมากกกกก แล้วทุกคนก็ดูจะส่ายเอวกันได้หมดยกเว้นผม คิวขำก๊ากกับท่าส่ายเอวแข็งๆ ไหนจะเด้งเป้าอีก ผมอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแต่ขอเปลี่ยนตำแหน่งก็ไม่ได้
แล้วทำไมเพลงแต่ละเพลงมันเต้นยากเต้นเย็น มีแต่ส่ายเอว เด้งเป้ากับท่าประหลาดๆ ยิ่งท่ากระชากมดลูก(เพื่อนตั้งชื่อให้) ต้องทำมือเหมือนเขย่าๆอยู่แถวๆตรงนั้น คิวดูจะถนัดอะไรแบบนี้ ผมที่ยืนข้างๆกันโดนเพื่อนแซวอีกว่าไม่ใช่ท่าเขย่ามดลูกหรอก เขย่าปีกมดลูกไปก่อน
“ฮื่อออ จันทร์ไม่อยากเต้นแล้ว”
ผมบ่นกับคุณป้าแม่บ้านทุกวัน พอเจิ้นกลับมาก็บ่นกับเจิ้นอีก ปวดเอวปวดขาไปหมดเลย
“พี่นวดให้ เอาขามา”
เจิ้นดึงขาผมไปวางบนตัก วันนี้ผมใส่ชุดนอนแบบขาสั้นพอดีทำให้นิ้วของเจิ้นสัมผัสเนื้อหนังผมได้ตรงๆ นิ้วของเจิ้นย้าวยาวแถมมืออุ่นด้วย พอบีบไปบีบมามันก็รู้สึกสบาย
“งื้ออออ”
มือเจิ้นไล้ขึ้นมาถึงต้นขา แรงบีบของเขาสม่ำเสมอจนผมเกือบเคลิ้มหลับ แรงบีบค่อยๆลดลงเปลี่ยนเป็นเจิ้นลูบต้นขาผมเบาๆ รู้สึกดีจัง
“เมื่อยสะโพกด้วยไหม? นอนคว่ำหน่อย”
ผมรีบพลิกตัวนอนคว่ำ มือเจิ้นเริ่มบีบตั้งแต่ต้นขาด้านหลังอีกครั้ง นิ้วเขากดขึ้นมาตรงก้นผม บีบย้ำ...จนผมรู้สึก...แปลกๆ มืออุ่นๆสอดเข้ามาใต้กางเกงนอน ผมพยามจะท้วงแต่เขาบอกแตะผิวตรงๆจะได้ผลดีกว่า ไม่รู้ทำไมผมชักเขินๆทั้งๆที่
เจิ้นกับผมก็ไม่ใส่เสื้อผ้าพร้อมกันตั้งหลายครั้ง“งื้อ....”
“สบายล่ะสิ”
มือเจิ้นลูบชึ้นมาที่ช่วงเอวผม สะโพกนี่มันนับเอวด้วยหรือเปล่า? แต่ก็อาจจะเกี่ยวมั้งเพราะผมก็ส่ายเอวเยอะ เสื้อผมถูกเลิกขึ้นจนแอร์เย็นๆแตะแผ่นหลัง
เจิ้นจับผมพลิกตัวนอนหงายแล้วขยับมาคร่อม มือเจิ้นลูบขึ้นมาตามสีข้างแล้วนิ้วอุ่นก็บี้ลงตรงนมผม...มะ ไม่ได้เมื่อยตรงนั้นนะ!
ผมจะถาม...แต่เจิ้นก็ปิดปากผมสนิทด้วยจูบ... ผมถูกเจิ้นจูบจนมึนงงและเกือบหายใจไม่ออก จูบของเจิ้นถึงขยับไปที่ใบหู...ลมหายใจอุ่นๆแตะใบหูทำผมรู้สึกหมดแรง นอนนิ่งให้เจิ้นจัดการ
ทุกอย่างเป็นไปตามที่เจิ้นต้องการ ผมได้ทำแค่เรียกชื่อเจิ้น เรียกจนเสียงแหบเสียงแห้งจนกลายเป็นกรีดร้องเพราะเจิ้นกัดผม กัดจนเขาพอใจ....
นิ้วของเจิ้นขยับเข้ามาในตัวผม กดย้ำจนผมร้องไห้ มันแปลกประหลาดไปหมด ยิ่งตอนนิ้วเจิ้นขยับเข้าออก ร่างกายผมเหมือนไม่ใช่ของตัวเอง เหมือนมันเป็นของเจิ้น ผมได้ยินเสียงสะอื้นปนเรียกชื่อเจิ้นแทบไม่เป็นคำ แล้วสุดท้ายก็จมน้ำ....ก่อนจะโบยบินไปไกล...ไกลกว่าทุกที
ผมหมดแรงนอนสะอื้นที่พยายามจะเลิกแต่มันก็ยังไม่ยอมหยุด เจิ้นเปลือยเปล่ากว่าผมที่ชุดนอนยังกองอยู่ที่อก ร่างกายของเจิ้นผ่านแสงสลัวของห้องนอนทำให้ผมทรมาน มือเจิ้นขยับจัดการกับตัวเองบนตัวผม หน้าผากเจิ้นแนบลงมา
“เห็นพี่ไหม...มองซะ มองพี่”
ของเจิ้นช่างแตกต่างจากของผมอาจจะเพราะเขาตัวใหญ่กว่า...คำสั่งของเจิ้นทำให้ผมไม่กล้าละสายตา เจิ้นจูบผมตรงหน้าผาก ข้างแก้ม แล้วกระซิบย้ำให้ดูเขาอย่างนั้น ผมเริ่มหายใจติดขัดอีกครั้งจนเจิ้นจูบลงมาและตัวผมก็เปียกเพราะเจิ้น มือเจิ้นปัดป่ายความเปียกชื้นไปทั่วแผ่นท้องของผมจนตัวผมเลอะเทอะเหมือนที่ตัวเจิ้นเลอะเทอะเพราะผม
“อาบน้ำกันนะ”
“จันทร์...มะ หมดแรง”
“พี่อุ้ม”
เจิ้นชวนอาบน้ำแต่กว่าจะได้อาบ...เขาก็กัดผมต่อตอนแช่น้ำอุ่นด้วยกัน แล้วผมก็เป็นเด็กไม่ดีไม่ยอมรีบอาบน้ำทั้งที่มันดึกแล้วเพราะผมชอบให้เจิ้นกัด...
แถมผมยังเริ่มจะชอบนิ้วเจิ้นในตัวผมไนท์แคร์ของเจิ้นทำผมเป็นหวัดเพราะแช่น้ำนาน ผมเลยต้องนอนกอดสินเชื่ออยู่ในห้องไม่ได้ไปซ้อมเต้นที่มหาวิทยาลัย คิวโทรมาบ่นนึกว่าผมอู้แต่พอได้ยินเสียงแหบแห้งก็เชื่อว่าผมป่วยจริงๆ อุตส่าห์นึกว่าตัวเองไม่ต้องไปเต้นแล้วแต่คิวบอกว่าต้องไปซ้อมกับคิวอีกที ทำไมผมหนีชีวิตสันทนาการไม่ได้นะ เซ็งชะมัด
เจิ้นหนีงานตอนบ่ายมานอนกอดผมไล่ ยุบยับยุบยิบไปหมด พยายามจะไล่เท่าไหร่เจ้าแมงยุบยิบตัวใหญ่ก็ไม่ยอมไปบอกว่างานไม่เยอะ เฮ้ออยากจะโทรแจ้งตำรวจจับคนขี้โกหก เจิ้นงานไม่เยอะก็ไม่มีใครงานเยอะในโลกแล้ว เขานอนเล่นกับผมได้ชั่วโมงเดียวพี่เลขาสองคนก็มาเคาะถึงประตูห้องนอน เจิ้นก็ต้องยอมลุกกลับไปทำงาน เขามีแต่เด็กหนีเรียน เจิ้นล่ะผู้ใหญ่หนีงาน
นอนพักผ่อนไปจนถึงเย็นก็โทรหาแม่ ช่วงนี้แม่โทรหาบ่อยๆ แม่ยังไม่ได้กลับจากน่านบอกว่าจะกลับมาอีกทีตอนพ่อกลับจากจีน ผมได้ยินเสียงลุงบ้างบางที แม่เคยให้ผมคุยกับลุงแต่ผมก็เกร็ง ลุงก็ไม่ได้ดูอยากคุยกับผมแต่แค่ทำเพราะว่าแม่บอกมากกว่า
แม่บอกว่าถ้ากลับมากรุงเทพจะชวนไปกินข้าวกับลุงอีก ผมอยากบอกแม่ว่าผมอึดอัดแต่ก็ไม่อยากให้แม่เสียใจ นานๆทีกินข้าวกับลุงก็คงไม่เป็นไรมั้ง
ผมคงจะโตขึ้นแล้วอย่างที่พ่อบอก รู้จักห่วงพ่อห่วงแม่ไม่ได้ห่วงแค่เจิ้นอีก กับพ่อผมก็ส่งข้อความไปหาบ่อยขึ้น พ่อก็ตอบแชทผมเร็วขึ้น น่าแปลกที่ผมเริ่มจะกลับมาติดพ่อตอนโต
อาจจะเพราะเรื่องลุงสุริยะมันกระทบจิตใจผมจนผมรู้สึกได้ว่าพ่อก็มีมุมอ่อนแอแม้จะไม่ค่อยแสดงออกให้เห็นเพราะพ่อเป็นพ่อ ส่วนแม่...ผมก็ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยอีก แล้วดันเพิ่งมารู้สึกว่าผมแทบจะเจอแม่น้อยกว่าเจอพ่อด้วยซ้ำ
“จันทร์ไม่สบายจัง”
“หืม เกิดอะไรขึ้น?”
ผมบ่นกับเจิ้นเรื่องพ่อกับแม่ที่ผมคิด เจิ้นอธิบายว่าเพราะผมกับเจิ้นเป็นครอบครัวแต่พ่อกับแม่เป็นญาติ คนเราต้องสนิทกับครอบครัวที่สุดแล้วค่อยเป็นญาติ ผมคิดว่ามันมีบางอย่างค้านกับความรู้สึก
“เราเป็นครอบครัวใหญ่ๆไม่ได้หรอ?”
“จันทร์ไม่อยากอยู่กับพี่สองคนแล้ว?”
“ไม่ใช่....จันทร์รู้สึก สับสนจัง มันแปลกๆอ่ะ”
“ทุกคนก็เหมือนเดิมนั่นแหละจันทร์ จันทร์อาจจะกังวลและคิดมากไป คุณแม่จันทร์เขาก็อยู่ต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่ตลอด พ่อจันทร์ก็ทำงานกับคุณปู่ ถึงเวลาก็กลับมาอยู่ด้วยกัน จันทร์ก็อยู่กับพี่....มันก็ปกติ”
ใช่...มันปกติจนผมอดคิดไม่ได้ว่ามัน....มันปกติจริงหรือเปล่า? มันมีบางอย่างแปลก แปลกมาก เป็นความแปลกที่ผมอาจจะมองข้ามมาตลอดเพราะคิดว่าปกติ
แต่ผมก็คิดไม่ออก.... หรือผมดูโคนันมากไป?
ผมเลือกปรึกษาปัญหานี้กับคิว...คิวเป็นคนนอกอาจจะดูออกมากกว่าผมที่อยู่กับเรื่องแบบนี้จนเคยชิน เจิ้นก็อาจจะเคยชินทำให้มองข้ามไปเหมือนกัน
“ก็ไม่เชิงแปลก แต่ปกติวัยรุ่นทุกคนก็อยู่กับพ่อกับแม่ บ้านก็ไม่ได้ไกลแต่ให้ไปอยู่พี่ชายสองคนตั้งแต่หกขวบ เด็กมากเลยนะ ถ้าโตแล้วก็อีกอย่างเหมือนอยู่หอ”
คิวไม่รู้ว่าผมกับเจิ้นไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ เป็นเรื่องที่ทุกคนกำชับว่าอย่าบอกใครเพราะไม่มีใครเข้าใจความสัมพันธ์ของครอบครัวเรา
“เรื่องแยกกันอยู่ก็พูดยาก มันก็มีหลายๆแบบนะที่เคยเห็น บางบ้านแม่ก็ตามไปอยู่กับพ่อสลับมาอยู่กับลูก บางบ้านพ่อก็กลับมาครั้งคราวเพราะแม่ดูแลลูก รักระยะไกลมันก็เป็นไปได้ อยู่ที่ท่าทีระหว่างกันมากกว่า แบบเมินกันรึเปล่า ไม่คุยกันไหมอะไรแบบนี้”
ท่าทีของพ่อกับแม่ผมหรอ? ผมคิดว่าแม่เป็นแม่บ้านที่ดี ดูแลผมดูแลพ่อ แล้วพ่อก็เป็นพ่อที่ดี พ่อจะขอบคุณแม่บ่อยๆที่ทำแบบนั้นให้แบบนี้ให้ พ่อกับแม่ผมสุภาพใส่กันมันก็ดีไม่ใช่แล้วนี่
“ความสุภาพก็บ่งบอกได้หลายอย่าง....คือทำเป็นปกติ หรือ ทำเป็นมารยาทเพราะไม่สนิท นี่ไม่ได้อยากทำให้กังวลนะแต่มันก็น่าคิดเฉยๆ จันทร์ต้องสังเกตเองนั่นแหละ”
“คิวช่วยหน่อยดิ”
ผมคิดว่าผมสังเกตคนเดียวอาจจะไม่สำเร็จ แผนของผมไม่มีอะไรสำเร็จสักอย่าง ความตั้งใจของผมมักถูกเบี่ยงเบนความสนใจจนชักรู้สึกว่าต้องหาแนวร่วม มันดูก้ำกึ่งไม่ชัดเจน
“งั้นมันก็ต้องเริ่มจากบ้านพ่อกับแม่ แค่บ้านก็รู้แล้วว่าความสัมพันธ์เป็นยังไง บ้านที่มีคนอยู่เป็นครอบครัว อยู่คนเดียว อยู่บ้างไม่อยู่บ้าง กับไม่มีใครอยู่บรรยากาศมันจะต่างกัน”
คิวรับปากจะพาผมไปบ้านที่นนทบุรี แล้วผมก็จะไปบอกเจิ้นว่าเพื่อนนัดซ้อมเพิ่มวันอาทิตย์ ผมไม่เคยโกหกเจิ้นจนไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำสำเร็จ ผมเลยอาศัยตอนเราจะหลับแกล้งทำเป็นง่วงบอกเขางัวเงียๆรีบๆหน่อย
เจิ้นถามย้ำแบบทุกครั้งถึงเหตุผล โชคดีที่ผมเนียนพอจะแกล้งสะลึมสะลือตอบไปว่าใกล้เปิดเทอมแล้วแต่ผมยังเต้นไม่ได้เจิ้นถึงยอม
“พี่มารับสี่โมงเย็นนะ”
“อื้อ”
มือผมเย็นชืดแล้วถอนหายใจออกมาจนหมดพอเจิ้นขับรถหายออกไปจากสายตา ผมพยายามมากๆที่จะไม่มีพิรุธ ผมโกหกเจิ้นไปแล้ว....รู้สึกผิดมากจนนอยด์แต่ผมก็อยากพิสูจน์เรื่องพ่อกับแม่มาก
ผมกลายเป็นเด็กไม่ดี ถ้าเจิ้นรู้ว่าผมโกหกเจิ้นจะเกลียดผมไหม...
คิวมารอผมก่อนแล้ว แต่เขาจอดรถหลังคณะตามที่เรานัดแนะกัน ผมจำทางไปบ้านไม่ได้แต่ลองหาในแอพก็เจอชื่อหมู่บ้านมันก็บอกตำแหน่งที่ผมจำได้แค่บ้านอยู่ถนนนั้น
บ้านของเราปิดเงียบเพราะไม่มีใครอยู่ รั้วมันล็อคด้วยแม่กุญแจแต่คิวก็พาผมปีนข้ามรั้วไป บ้านเราเป็นบ้านจัดสรรที่รั้วไม่ได้สูงมากนัก ระบบรักษาความปลอดภัยก็ดีแต่คุณยามจำหน้าผมได้ก็เลยได้ผ่านเข้ามาง่ายๆ
ทุกอย่างมันดูง่ายไปหมดจนผมระแวง คิวพาผมเดินวนรอบบ้านก่อนจะพยายามสะเดาะกุญแจด้วยกิฟต์ดำที่เราแวะซื้อในเซเว่น เราทั้งคู่ไม่เคยสะเดาะกุญแจหรอกแต่....ก็ลองทำตามในหนังดู
ชีวิตจริงมันก็ไม่ได้ง่ายเหมือนในหนัง ผมกับคิวงัดประตูกันไม่สำเร็จ คิวเลยถีบประตู...แต่ประตูมันก็แข็งแรงไม่ได้กระเด้งออกมาแบบในหนังอยู่ดีนั่นแหละ
“เอาไงอ่ะ เข้าบ้านไม่ได้”
“ตามช่างทำกุญแจดีปะ? บอกว่าลืมกุญแจ งัดบ้านไม่ได้ ยามก็ยืนยันว่าบ้านจันทร์นี่ ไม่มีใครสงสัยหรอก”
คิวขับรถไปหน้าหมู่บ้านคุยกับยาม เวลาผ่านไปเกือบบ่ายโมงยามถึงมา ผมกับคิวเหลือแค่สามชั่วโมงที่ต้องรีบกลับไปให้ทันเจิ้นมารับ
ช่างใช้เวลาอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงถึงแงะประตูสำเร็จเพราะมันล็อคสองชั้นและช่างก็เป็นมือสมัครเล่นที่ยามรู้จัก บ้านผมก็เหมือนเดิมที่ผมมา มีผ้าม่านปักฝีมือแม่ ห้องครัวที่เรานั่งกินข้าว ห้องนอนของผม
“ก็ปกติอ่ะ”
“บ้านสวย...สวยเหมือนบ้านตัวอย่าง ไม่รู้ดิ มันเนี้ยบไปอ่ะ พ่อแม่จันทร์อาจจะดูแลบ้านดีก็ได้ หรือไม่ก็เพราะไม่ค่อยมีคนจะอยู่แบบที่จันทร์บอก ลองไปดูห้องพ่อแม่จันทร์กัน”
ผมพาคิวไปห้องนอนใหญ่ คิวเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วเปิดออก อาการชะงักทำให้ผมเดินตามไปดู.... ตู้เสื้อผ้ามีเสื้อผ้าผู้หญิงที่เป็นของแม่เพราะผมเคยเห็นแม่ใส่ แต่...ไม่มีของพ่อ ไม่มีแม้แต่ชุดอยู่บ้านที่ผมเคยเห็นพ่อใส่
“พ่ออาจจะอยู่อีกห้อง แบบแม่เสื้อผ้าเยอะ มีสามห้องนอนใช่ปะ?”
อีกห้องที่เหลือเป็นห้องทำงาน พ่อชอบนั่งทำงานในห้องนี้เวลาแม่ชวนผมไปหัดทำงานบ้าน เรารื้อห้องกันก็ไม่เจอเอกสารอะไรที่ผมเคยเห็น มันเป็นเพียงห้องโล่งๆที่มีเฟอร์นิเจอร์
ผมเดินตามคิวกลับไปในห้องใหญ่ คิวเดินตรงไปที่ห้องน้ำ รื้อตู้เก็บของข้างในแล้วหันมาทางผม
“ในความคิดเรา....บ้านนี้ไม่มีความรู้สึกว่าผู้ชายอยู่เลย ไม่มีมีดโกนหนวด ไม่มีสเปรย์ดับกลิ่นของผู้ชาย ไม่มีเสื้อผ้า กางเกงใน”
“พะ พ่ออาจจะเอาไปจีน...”
“แปรงสีฟันในห้องน้ำก็มีอันเดียว”
การสำรวจบ้านทำให้ผมกังวลมากกว่าสบายใจ ผมไม่ได้เตรียมใจมาเพื่อเรื่องแบบนี้ ผมกังวลจนอยากจะร้องไห้ ทั้งๆที่มันก็พิสูจน์อะไรไม่ได้ มันเป็นได้หลายอย่างแบบที่คิวบอก ของมันถึงวันเปลี่ยน หรือไม่ก็พ่อขนไปจีนหมด แต่...อีกตัวเลือกก็คือพ่อไม่ได้อยู่ที่นี่ซึ่งผมกลัวจะเป็นแบบนั้น
“ฟังนะจันทร์ มันบอกไม่ได้หรอกว่าอะไรเป็นอะไรกับแค่เรื่องบ้าน จันทร์อาจจะพูดถูกที่พ่อเอาของไปจีนหมด พวกของใช้เก่าๆก็อาจจะทิ้งไป อย่าคิดมาก...รอถามพ่อกับแม่ก่อนดีกว่า”
“แล้ว...ถ้าพ่อไม่ได้อยู่นี่จริงๆล่ะ แต่พ่อยังลงดอกไม้หน้าบ้านอยู่เลยนะ ตรงสนามนั่นไง”
“คนไม่อยู่ไม่ทำสวนหรอก อาจจะย้ายของออกไปเพราะไม่อยู่ก็เลยเปลี่ยนของใช้ก็ได้ แม่จันทร์อาจจะเก็บทิ้งไป ก็ปกตินะ อืม...พ่อไม่อยู่เลยไม่มีของใช้ผู้ชายก็เข้าใจได้ แต่บ้านจันทร์เล็กไปหน่อยไหมถ้าเทียบกับฐานะน้องเจ้าของธนาคาร?”
“เอ่อ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ครอบครัวเราซับซ้อนนิดหน่อยอ่ะ.... ตกลงมันผิดปกติตรงไหนเนี่ย คือเรารู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่มันก็ดูปกติ”
“ถามจริง กังวลอะไรเนี่ย? ถ้าไม่มีเรื่องอะไรจะคิดมากทำไม ดูดิงัดบ้านตัวเองเฉย หือ”
คิวยีหัวผมแรงๆ ผมก็งงตัวเองเหมือนกัน หรือผมจะคิดมากไปเองนะ?
ผมกับคิวกลับมาถึงมหาลัยก่อนสี่โมงนิดหน่อย สักพักเจิ้นก็มารับ ผมใจเต้นตึกตักเพราะกังวลมาตลอดทางว่าเจิ้นจะมาถึงก่อนผมแล้วรู้ว่าผมโกหก แต่เจิ้นก็คุยกับผมปกติน่าจะไม่มีอะไร
มื้อเย็นเราไปกินอาหารญี่ปุ่นร้านประจำของเรากันแล้วก็ต่อด้วยไอติม ความกังวลของผมเริ่มลดลงตามความอร่อยของไอติมของโปรด ทุกอย่างมันก็ดูปกติ ผมคงจะคิดมากไปจริงๆนั่นแหละ
“กินอิ่มๆก็ทำให้พี่หายเครียดขึ้นเยอะ”
“เจิ้นเครียดหรอ?”
“อืม กังวลเรื่องงาน แต่พอหายหิวก็หายเครียด”
เรื่องที่เจิ้นพูดทำให้ผมกลับมาคิดเรื่องตัวเอง หรือที่ผมกังวลเพราะมันเกิดจากเดินทางเยอะไปเลยเหนื่อย พอเหนื่อยก็หิว พอหิวก็ฟุ้งซ่าน จำไม่ได้ว่าตอนคิดมากผมหิวไหม แต่คงหิวแหงๆก็เลยกังวล... ต้องไม่ทำให้ตัวเองหิวแล้วมั้ง นี่ไงพออิ่มได้กินไอติมผมก็อารมณ์ดี...เฮ้อ...วุ่นวายเพราะตัวเองหิวนี่เด็กชะมัด
(ต่อด้านล่าง)