Chapter 7 Biter
ผมกลับมาบ้านพร้อมความตื่นเต้น หลังจากถอดรองเท้าเก็บแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปในครัวถามหาเจิ้น คุณแม่บ้านหัวเราะแล้วบอกว่าเจิ้นน่าจะให้อาหารนกอยู่ด้านนอก
และก็ใช่... เจิ้นยืนอยู่ในเก๋งจีนที่เรามักจะนั่งเล่นด้วยกันประจำ แผ่นหลังของเจิ้นและลักษณะการยืนทำให้ผมสงสัยว่าใครจะกล้าไปยืนข้างๆ กลิ่นไอบางอย่างของเจิ้นมันข่มคนรอบข้างให้รู้สึก...ด้อยกว่า เจิ้นอาจจะไม่ได้หล่อที่สุดเหมือนดารา แต่เขามีพลังของอำนาจขนาดผมอยู่กับเจิ้นทุกวันบางทีผมก็ยังแอบกลัวนิดหน่อย
“จันทร์? กลับมาแล้ว?”
เจิ้นหันมาเรียกทำให้ผมหลุดจากภวังค์รีบเดินไปหาเขา
“เจิ้น คณะจันทร์จะไปเข้าค่ายรับน้อง จันทร์ไปได้ไหม”
“ได้สิ กำหนดการว่าไงบ้าง?”
ผมวางจดหมายเข้าค่ายจากมหาวิทยาลัยบนให้เจิ้นบนโต๊ะ มันไม่ต้องเซ็นอนุญาตแล้วเหมือนตอนมัธยมแต่ผมก็ไปขอจากธุรการคณะมาให้เจิ้น เพราะเดี๋ยวเจิ้นจะกังวลว่ารุ่นพี่แอบพาไปกันเอง
ทริปของคณะผมจัดไปเที่ยวหัวหิน ในรีสอร์ทที่มีชายหาดส่วนตัว ผมตื่นเต้นมากเพราะเราจะไปเฉลยสายรหัสกันที่นั่นด้วย สายรหัสผมส่งขนมอร่อยๆมาให้อีกหลายอย่าง โชคดีที่มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่มีช็อคโกแลตแล้ว
“อ่านให้พี่ฟังหน่อย”
เจิ้นกำลังสนใจให้อาหารหลักทรัพย์กับออมทรัพย์ เขายืนไพล่หลังปล่อยผมยาวๆปลิวไปตามลม วันนี้เจิ้นกลับบ้านเร็วเพราะเป็นวันศุกร์และพรุ่งนี้ผมกับเจิ้นเราจะไปทริปเขาใหญ่กัน
จริงๆคือเจิ้นจะไปคุยงานแต่หนีบผมไปเที่ยวด้วย
“ก็ไปเดือนหน้าครับ แล้วก็ไปสองคืนนะ ไปวันศุกร์กลับวันอาทิตย์เย็นๆ”
“รีสอร์ทอะไรนะ? ออมทรัพย์อย่าแย่ง ของตัวเองก็มี”
ผมขำที่เจิ้นดุนก ออมทรัพย์มันถือว่ามันเป็นตัวเมียเลยชอบข่มหลักทรัพย์ทุกที หลักทรัพย์ก็หงอแฟน โดนจิกแทนที่จะจิกกลับก็ขยับหนี
“ชื่อ…. อ่ะ”
“นอนกับใครล่ะ?”
“น่าจะคิว จับกคู่นอนห้องละสองคน”
“อ๋อ ไม่ไกลจากคอนโดเราเท่าไหร่ พี่ไปเที่ยวด้วยดีไหม?”
“จริงหรอ ไปนะ เอ้ะ แต่ผมต้องไปกับเพื่อนๆ มาหาเจิ้นไม่ได้สิ เจิ้นเที่ยวคนเดียวแน่เลย”
“อืม... คงต้องสั่งปูนึ่งกินคนเดียว”
“อ้าว ไม่เอา จันทร์จะกินด้วยยยยยยย”
ผมชอบกินปูมากกกก และคิดว่าในค่ายเขาคงไม่จัดปูนึ่งแพงๆมาให้เรากินหรอก ถึงมีก็น้อยไม่เหมือนไปกินกับเจิ้น ปูม้าใหญ่ๆ เนื้อเน้นๆ เจิ้นมีร้านประจำที่หัวหินด้วย
“ก็จันทร์ไปเข้าค่าย”
เจิ้นปิดกรงนกแล้วหันมาหาผม เขานั่งลงยกขายาวๆขึ้นไขว่ห้าง ไม่รู้ทำไมพระเจ้าถึงสร้างขาเจิ้นให้ยาวขนาดนี้ กางเกงผ้าลื่นแบบจีนแนบไปกับช่วงขาของเขา สองแขนที่พลาดอยู่กับพนักพิงทำให้เจิ้นเหมือนองค์ชายในหนังจีนเกินไป
“ก็จันทร์อยากกินปู”
“งั้น...ตอนกลางคืนมานอนกับพี่ แล้วพี่พาไปกินปู? ตอนเช้าจันทร์ค่อยกลับไปหาเพื่อน”
จริงๆผมไม่อยากแอบออกจากค่ายแต่ก็อยากกินปู ผมเกิดความลังเลเพราะตอนกลางคืนต้องทำกิจกรรมกับเพื่อนอีก แล้วถ้าหนีไปนอนกับเจิ้นเพื่อนจะด่าว่าลูกแหง่ไหม คิวยิ่งชอบล้ออยู่
“เจิ้นไปกับจันทร์วันหลังไม่ได้หรอ จันทร์ไม่อยากพลาดกิจกรรมกับเพื่อนอ่ะ ตอนกลางคืนคิวจะเอาหนังผีมาเปิดด้วย น้า...”
เจิ้นมองผมนิ่งๆสักพักก่อนเขาจะยิ้มจางให้ผมโล่งใจ นั่นหมายถึงเขายอมรับเงื่อนไขไปเที่ยววันหลัง ผมเดินเข้าไปนั่งข้างเจิ้น จับมือเจิ้นไว้เจิ้นจะได้ไม่น้อยใจว่าผมเห็นเพื่อนดีกว่า
แต่วัยรุ่นอย่างเรา การเข้าค่ายต้องสำคัญที่สุดจริงๆนะ!
“คุณจันทร์ป้าพับชุดนอนกระต่ายให้แล้วนะคะ อยู่ตรงนี้นะคู่กับของเจิ้นนะคะ”
คุณแม่บ้านกับผมกำลังช่วยกันจัดกระเป๋า ผมคาดหวังกับชุดนอนลายกระต่ายมากเพราะผมให้เจิ้นซื้อมาใส่คู่กัน ในห้างชิดลมมันมีร้านขายชุดนอนลงคอลเลคชั่นใหม่ ปกติเขาจะไม่ทำชุดนอนผู้ชายลายกระต่าย และเจิ้นก็ใส่ได้ด้วยผมเลยรีบซื้อมา เราจะใส่ชุดนอนคู่กัน
คุณแม่บ้านจะไม่ไปด้วยเพราะเจิ้นอยากพักผ่อนเป็นส่วนตัวมากกว่า เราจะไปพักกันที่รีสอร์ทของลูกค้าเจิ้นที่เพิ่งสร้างเสร็จ เจิ้นเลยถือโอกาสไปร่วมงานบุญและเป็นลูกค้าไปในตัว
“จันทร์เอาถุงเท้าสีฟ้าด้วย เจิ้นบอกว่ามีให้ปีนเขา จันทร์เอารองเท้าด้วยนะ”
เจิ้นจะให้ผมจัดกระเป๋าเองทั้งของผมและของเขาโดยมีคุณแม่บ้านเป็นลูกมือ เขาบอกว่าผมต้องหัดช่วยเหลือตัวเองบ้าง ผมเริ่มจากการลิสต์ว่าตัวเองต้องทำกิจกรรมอะไรบ้าง แล้วนอนค้างกี่คืน ใช้เสื้อผ้ากี่ชุด
นับชุดทั้งของผมของเจิ้นครบผมก็ยืนยันว่าจะจัดชั้นในเอง คุณแม่บ้านหัวเราะที่เห็นผมหน้าแดงแล้วแซวว่าผมโตแล้วไม่ยอมบอกว่าจะใส่กางเกงในตัวไหนเหมือนแต่ก่อน
ผมเลือกกางเกงในมาห้าตัวเผื่อเลอะเผื่อเปลี่ยน แล้วก็หยิบของเจิ้นออกมาด้วย ของเจิ้นตัวใหญ่กว่าผมและพับเรียบร้อย ผมรู้สึกเขินๆที่ได้จัดของใช้ส่วนตัวของเจิ้น
“จันทร์ขอจับนิดเดียวนะ”
“จับอะไร?”
“อ้ะ ปะ เปล่า จันทร์จัดกระเป๋าอยู่”
เจิ้นถือหนังสือเดินเข้ามาในห้อง เขามองมือผมที่ขยุ้มกางเกงในเขาแล้วยิ้ม
“จันทร์แอบดูกางเกงในพี่หรอ?”
“ไม่ใช่นะ จันทร์จัดกระเป๋าเหอะ”
“หึ โจรขโมยกางเกงใน”
ผมคงบู่ปากหน้างอเขาถึงหัวเราะแล้วก็เดินมานั่งข้างกระเป๋าเดินทางของเรา ผมรีบอธิบายแพลนของผมว่าจะทำอะไรบ้างแล้วจะใส่เสื้อผ้าตัวไหน
“แล้วชุดทำงานพี่ล่ะจันทร์?”
ผมลืม…
ผมมีแต่ชุดนอนให้เจิ้นและเสื้อโปโลที่เจิ้นจะใส่ไปปีนหน้าผาจำลองกับผมแล้วก็ชุดเที่ยว
“รองเท้าด้วย”
“เข็มขัดพี่ด้วย”
“ง่ะ ทำไมจันทร์ลืมหลายอย่างจัง”
นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่ผมได้จัดกระเป๋าเผื่อเจิ้น ปกติคุณแม่บ้านจัดการตลอดเลย ผมมีหน้าที่ดูแลกระเป๋าของตัวเองเท่านั้นเอง
“ไม่เป็นไร มาจัดใหม่กัน จันทร์มีเวลาทั้งชีวิตที่จะจัดกระเป๋าให้พี่”
“อื้อ... งั้นเจิ้นอยากใส่เสื้อสีอะไร?”
กลายเป็นเรารื้อกระเป๋ามาจัดกันใหม่ การที่เราทำกิจกรรมร่วมกันทำให้เจิ้นดูเด็กลงเยอะ เขานั่งกับพื้นเหมือนผม ผมยุ่งๆมัดไว้บนหัวแล้วก็หัวเราะ
ผมชอบที่เจิ้นหัวเราะ...และยิ่งเป็นเพราะผม ผมยิ่งชอบ
เจิ้นปล่อยให้ผมไปอาบน้ำก่อน และมานอนรอเขาบนเตียง ผมนอนกอดสินเชื่อเหมือนทุกครั้ง ตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะคิดว่าเราจะต้องไนท์แคร์กัน
เจิ้นบอกว่ามอนิ่งแคร์ทำได้ทุกวันแต่ไนท์แคร์ถ้าทำบ่อยผมจะเหนื่อย เราควรทำวันเว้นวันหรือสองวันครั้ง แต่วันนี้ผมว่าน่าจะต้องไนท์แคร์กันแล้วล่ะเพราะเจิ้นเว้นมาสองวันแล้ว
แต่เจิ้นกลับแค่นอนกอดผมไว้เท่านั้น ไม่ดึงสินเชื่อออก ไม่พูดอะไร แค่ดึงผมเข้าไปกอดเฉยๆ หรือว่าเจิ้นจะลืมไนท์แคร์? แต่เจิ้นไม่น่าจะเป็นคนขี้ลืมนะขนาดมอนิ่งแคร์เรายังทำติดต่อกันทุกวันมาตลอด
ความสงสัยทำให้ผมขยับหันไปหาเจิ้น เขาลืมตาผ่านความมืดมาสบตาผม เสียงทุ้มต่ำในลำคอบ่งบอกว่าสงสัยในการกระทำของผม
“เจิ้น ลืมหรอ”
“หืม? พี่ลืมอะไรครับ”
เจิ้นยกมือลูบแก้มผมเบาๆ เสียงของเขาดังแผ่วในความมืด แต่ผมเห็นนัยน์ตาเขาชัดเจนเพราะมันฉายแววบางอย่าง และคงจะเป็นหน้าผมเพราะเขามองผมอยู่
“เราไม่....อื้อไม่มีอะไร”
มือเจิ้นชะงัก ก่อนมันจะเลื่อนไปจับหูผมแทน เจิ้นบีบหูผมเบาๆทำให้ผมรู้สึกเหมือนแมวที่โดนเกาคาง มันงุ้งงิ้งและงื้ออออ
“นอนซะ เดี๋ยวไม่มีแรงซนพรุ่งนี้”
“จันทร์โตแล้วไม่ซน”
“พี่เชื่อ มูนนี่ของพี่เด็กดีจะตาย”
ผมน่าจะสบายใจที่ยังเป็นมูนนี่ของเจิ้นอยู่ แต่เจิ้นจะไม่ไนท์แคร์จริงๆหรอ? มันแปลกมากจนผมเริ่มหวั่นใจว่าเจิ้นอาจจะแอบไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่า?
หรือเจิ้นจะคิดว่าการไม่ไปกินปูกับเจิ้นทำให้ผมเป็นเด็กไม่ดีและเขาก็เลยไม่อยากจะใส่ใจผมแล้ว แต่ถ้าไม่พอใจทำไมเจิ้นไม่พูดล่ะ? ไม่
เห็นเหมือนผมเลยที่ต้องบอกเจิ้นตลอดว่าผมรู้สึกยังไง
มันอึดอัดจะตายถ้าเราต้องมีความลับต่อกัน...
หรือผมไม่น่าไว้ใจจนเจิ้นไม่อยากบอกความลับกับผม?
ผมอาจจะไม่ค่อยสำคัญกับเจิ้นเท่าไหร่?
“คุณจันทร์ทานอีกหน่อยสิคะ”
ผมกินโจ๊กเนื้อปูไปได้เกือบค่อนชาม เช้านี้คุณแม่บ้านดูแลผมกินข้าวคนเดียวเพราะเจิ้นไปเตรียมงานกับคุณเลขาด้านล่างตั้งแต่เช้า
“จันทร์ไม่หิว”
“งั้นทานนมอุ่นอีกแก้วนะคะ เดี๋ยวป้าทำแซนวิชให้ไปกินบนรถเผื่อหิวช่วงสาย”
“จันทร์ไม่อยากกินแล้ว”
มันกินไม่ลง ผมกังวลอีกแล้ว ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ผมถึงกังวลบ่อยๆทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คงเพราะผมเริ่มโตขึ้นทำให้ผมชักมองโลกซับซ้อนกว่าเดิมหรือเปล่านะ แล้วเรื่องของเจิ้นมันก็ทำให้ผมคิดมาก
“หรือจันทร์ไม่ไปเขาใหญ่ดี”
“ไม่สบายใจอะไรหรือคะ บอกป้าได้นะคะคุณจันทร์”
ผมเงยหน้าจากชมกระเบื้องเคลือบมองคุณแม่บ้าน อันที่จริงบ้านเราถ้าไม่นับผมกับเจิ้นก็คงมีคุณแม่บ้านเป็นสมาชิกอีกคนแถมมาก่อนผมด้วย คนที่แนะนำผมได้ดีที่สุดและรู้จักเจิ้นดีก็คงจะเป็นคุณแม่บ้าน
“คือ...เจิ้นเบื่อจันทร์แล้วหรือเปล่า”
“อุ้ยตาย เจิ้นไม่มีทางเบื่อคุณจันทร์หรอกค่ะ ทำไมคิดแบบนั้นล่ะคะ”
“ก็...เจิ้นไม่เป็นห่วงจันทร์แล้ว จันทร์ทำตัวไม่ดีแน่ๆเลย เจิ้นก็อาจจะเบื่อ ป้าว่าเจิ้นจะไม่ให้จันทร์อยู่ด้วยไหม หมายถึงวันหนึ่งข้างหน้าเจิ้นก็ไม่ให้จันทร์อยู่ที่นี่แล้ว แล้วก็แต่งงาน”
“ใครจะแต่งงาน?”
ผมกับคุณแม่บ้านสะดุ้ง เจิ้นเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา คุณแม่บ้านรีบเดินหนีออกไปจากห้องกินข้าวทิ้งผมไว้กับเจิ้นสองคน
เจิ้นนั่งลงตรงหัวโต๊ะรินกาแฟในกาใส่ถ้วยด้วยตัวเอง รังสีความไม่พอใจแผ่กระจายไปรอบตัว ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งมองมือตัวเองบนตัก
“วันก่อนก็เพิ่งคุยกันว่าจันทร์จะไม่ทิ้งพี่ มาวันนี้จันทร์ก็จะไล่พี่ไปแต่งงาน ไม่อยากอยู่ช่อฟ้ากับพี่แล้ว”
“มะ ไม่ใช่แบบนั้น จันทร์เปล่านะ...”
“ไม่ชอบอยู่ที่นี่กับพี่ก็บอก พี่จะไม่บังคับจันทร์ พี่ขอโทษที่ทำให้จันทร์อึดอัด”
“จันทร์ไม่อึดอัด เจิ้นฟังก่อน...”
เจิ้นมองผมด้วยสายตาตัดพ้อจนผมรู้สึกผิด ผมเริ่มสับสนว่าจริงๆแล้วเจิ้นจะทิ้งผมหรือกลายเป็นผมจะทิ้งเจิ้น แต่ผมไม่มีทางทิ้งเจิ้นอยู่แล้วนะ เขาตัดพ้อผมอีกสองสามคำแล้วหันหน้าหนี
เจิ้นหันหน้าหนีผม
เก้าอี้ห้องกินข้าวของบ้านเราเป็นแบบมีพนักพิงและหมุนได้ เจิ้นมักจะหมุนตัวเฉียงเล็กน้อยมาทางผมที่นั่งอยู่ทางขวาของเขา ผมก็จะเบี่ยงไปทางซ้ายหาเจิ้นที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ แต่คราวนี้เจิ้นหันหนีผมไปอีกทาง
“ไม่อยากไปเขาใหญ่กับพี่ก็ไม่ต้องไป พี่ไม่อยากบังคับจันทร์ ไม่ใส่ชุดนอนกระต่าย ไม่ไปปีนผาจำลอง ไม่ไปเดินเล่น ไม่ไปกินสเต็ก”
ความเศร้าถาโถมใส่ผมเกินจะแบกไหว ผมร้องไห้ตั้งแต่เจิ้นหันหนีผมแล้ว ทำไมล่ะทำไมเป็นผมผิดหรือเพราะผมเป็นคนเริ่มความคิดเรื่องเจิ้นจะทิ้งผมมันเลยเหมือนผมจะทิ้งเจิ้น
“ฮืออออ”
ความเสียใจของผมมันมากจนผมพูดอะไรไม่ได้ ไม่แม้แต่จะแก้ตัวผมทำได้แค่ร้องไห้ ร้องไห้ไม่ช่วยอะไรหรอกแต่มันหยุดร้องไม่ได้แล้วผมก็ไม่รู้จะต้องทำยังไง
เจิ้นไม่ปลอบผมด้วย เขาลุกออกไปจากห้องกินข้าว เจิ้นต้องรำคาญที่ผมเอาแต่ร้องไห้แน่ๆขนาดผมยังรำคาญตัวเองเลย
ผมรีบลุกออกมาจะไปหาเจิ้น ไม่อยากให้เขาไปแต่เจิ้นกำลังลากกระเป๋าออกมาจากฝั่งห้องนอน คุณแม่บ้านยืนแอบอยู่ข้างลิฟต์มองผมด้วยสายตาเป็นกังวล
เจิ้นสบตากับผมแล้วหยุดยืนนิ่งๆ ระหว่างเรามีโถงทางเดินยาวๆตรงกลางเป็นโต๊ะไม้ทรงสูงที่วางแจกันสมัยรางวงศ์หมิงสองอันวางอยู่หน้าฉากกั้นบริเวณส่วนตัว ถ้าออกมาจากลิฟต์ก็จะเจอแจกันสองใบนี่ก่อน
มันก็แค่ทางเดินยาวๆแต่ผมรู้สึกว่าช่างไกลแสนไกล หัวใจผมแทบสลายเมื่อเจิ้นเบือนหน้าหนีผมไปทางอื่น เขาเดินมาที่ลิฟต์ไม่แม้แต่จะมองผมสักนิดเดียว คุณแม่บ้านลังเลจะกดลิฟต์จนเจิ้นต้องกดเอง
“เจิ้น...อย่าไป ฮึก ฮืออ”
“จันทร์ไล่พี่”
“ไม่ ไม่ไล่ จันทร์ไม่ไล่ ฮืออออ”
ผมเดินไปกอดเอวเจิ้นไว้ กอดเขาแน่นแล้วก็ร้องไห้ แต่เจิ้นก็ไม่ยอมแม้แต่จะหันมามองผมเหมือนทุกที แผ่นหลังเขาตรงแน่วจนกระทั่งลิฟต์มา
แรงผมสู้เจิ้นไม่ได้เลยสุดท้ายเขาก็ดึงผมออกได้สำเร็จ เจิ้นเข้าไปในลิฟต์และลิฟต์ก็ปิดลง เขาไม่มองหน้าผมไม่แม้แต่นิดเดียว
“ว้ายคุณจันทร์”
เพล้ง!
ผมร่วงหล่นลง...ผมหมดแรง สิ่งที่ผมคว้าได้คือแจกัน...แต่แจกันคงจะแรงน้อยกว่าผม มันเลยตกลงมาพร้อมกัน...แตกกระจายไม่ต่างจากความรู้สึกของผมเลย
“เจ็บ....ฮึก”
ไม่รู้ว่าเจ็บตรงไหนมากกว่ากัน แขนผมที่โดนแจกันบาดหรือใจผม...ที่หน่วงจนหายใจไม่ออก
“ลุกก่อนค่ะ ไปหาหมอกันนะคะ”
“เจิ้นโกรธจันทร์แล้ว จันทร์เป็นเด็กไม่ดี จันทร์จะทิ้งเจิ้น ฮือออออ”
ผมนั่งร้องไห้เหมือนคนบ้าอยู่ในท่ามกลางเศษกระเบื้อง คุณแม่บ้านลุกไปไหนไม่รู้คงจะโทรตามหมอหรือให้คนมาลากผมไปโรงพยาบาล
ลิฟต์เปิดอีกครั้งและเจิ้นเดินออกมา เขากลับมาและคุกเข่าลงตรงหน้าผมที่ยังร้องไห้ไม่เลิก เจิ้นดึงแขนผมที่เลือดออกมาขึ้นมา ผมมองไม่เห็นหน้าเจิ้นเพราะม่านน้ำตาบดบังเขาไปจนหมด
“จันทร์ ไม่ร้องแล้ว พี่ยอมแพ้แล้ว พี่แพ้เอง เราไปโรงพยาบาลกันนะ แล้วไปเขาใหญ่ด้วยกัน”
เจิ้นอุ้มผมขึ้น ผมกอดคอเจิ้นแน่นๆไม่สนว่าเลือดตัวเองจะเปื้อนเสื้อเชิ้ตของเจิ้นไหม แต่ผมกลัวว่าเขาจะเดินหนีผมไปอีก ผมไม่ยอม ไม่ให้เจิ้นทิ้งผมแล้วหนีไปไหนทั้งนั้น
แม้แต่ตอนทำแผลผมก็ยังจับมือเจิ้นไว้แน่น แผลผมไม่ลึกแค่เศษแก้วบาดนิดหน่อยไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาลด้วยซ้ำ เจิ้นถามย้ำกับคุณหมอว่าผมโอเคแน่นอนใช่ไหมหมอถึงพันผ้าพันแผลทับแขนผมไว้อีกทีจากแค่แปะผ้าก็อตธรรมดา คงเพราะผมร้องไห้ใหญ่โตมันเลยเหมือนผมเจ็บมาก ใช่เจ็บมาก ใจผมเจ็บมาก
น้ำตาผมไม่มีแล้วแต่ผมก็ยังซบอยู่กับไหล่เจิ้น เราอยู่บนรถที่กำลังไปเขาใหญ่ ฉากกั้นที่กั้นเราสองคนกับคนขับรถไว้ปิดสนิท ผมยังไม่ยอมให้เจิ้นปล่อยมือจากผมและผมก็ยึดตัวเจิ้นไว้
“จันทร์ไม่ทิ้งเจิ้นนะ เจิ้นเข้าใจผิด ไม่มีทาง”
“พี่เชื่อ... ถึงจันทร์จะโกหกพี่ก็เชื่อ”
ผมผละจากอกเจิ้นเงยหน้ามองเขาที่ก้มลงมามองผมเช่นกัน ใบหน้าของเจิ้นดูเหนื่อยล้าและยอมแพ้ ไม่บ่อยเลยที่จะเห็นเจิ้นเป็นแบบนี้
“จันทร์ไม่โกหก ฮึก...จันทร์พูดความจริง”
“จะให้พี่คิดยังไง ในเมื่อจันทร์ยังคิดจะไปจากพี่อยู่ตลอด จันทร์บอกจะอยู่กับพี่แต่จันทร์ก็ยังไล่พี่ไป”
“กะ...ก็จันทร์กังวล..เจิ้นไม่ไนท์แคร์จันทร์เมื่อคืน ฮืออ เจิ้นไม่เคยลืม แต่เมื่อคืนเจิ้นไม่ทำ จันทร์คิด คิดว่าเจิ้นไม่ห่วงจันทร์แล้ว ละ แล้วจันทร์ก็กลัว จันทร์กังวล”
“จันทร์ชอบให้พี่ไนท์แคร์จันทร์หรอ?”
ผมพยักหน้า...ก็ทำไมจะไม่ชอบล่ะ เราไนท์แคร์กันเพราะเราเป็นห่วงกันไม่ใช่หรอ? แล้วถ้าไม่ทำแสดงว่าไม่เป็นห่วงใช่ไหม? ไม่เป็นห่วงก็ไม่ดี ต้องเป็นห่วงสิ
“มูนนี่ของพี่...”
เจิ้นมีรอยยิ้มแต่งแต้มมุมปากในที่สุด มูนนี่แล้วแสดงว่าเจิ้นอารมณ์ดีแล้วใช่ไหม?
“พี่ขอโทษ พี่แค่คิดว่าจันทร์จะเหนื่อยเพราะต้องตื่นเช้า...เราน่าจะเตรียมตัวเดินทางให้พร้อมแล้วค่อยไปไนท์แคร์กันที่เขาใหญ่ทีเดียว ไปพักผ่อนแล้วดูแลกัน”
“จันทร์ขอโทษ จันทร์คิดไปเอง”
“เรื่องเมื่อคืนที่ถามว่าพี่ลืม คือเรื่องนี้?”
“อื้อ...”
ผมเริ่มอาย ความวุ่นวายที่ผมร้องไห้มากมายใหญ่โตมันก็แค่...ไนท์แคร์ที่ผมกับเจิ้นไม่เข้าใจกัน ผมเขินจนต้องซุกหน้ากับอกเจิ้น เจิ้นอุ้มผมขึ้นนั่งตัก หัวเราะและลูบหัวผม
“มูนนี่เด็กดี...เห็นหรือยังว่าการที่เราไม่คุยเราก็จะไม่เข้าใจกัน มีคำถามหรือสงสัยต้องรีบถามพี่เข้าใจไหม? พี่เสียใจจันทร์ก็เสียใจ แล้วจันทร์ก็เป็นแผลเจ็บตัว”
เจิ้นลูบแขนผมที่พันผ้าพันแผลไว้ก่อนเขาจะยกขึ้นแตะเรียวปากลง...ผมหน้าแดงที่เจิ้นทำเหมือน...จูบแขนผม แม้มันจะไม่ได้โดนตัวผมตรงๆแต่มันกับร้อนผ่าวจนหัวใจผมเต้นรัว
“อื้อ....”
“จันทร์ต้องให้โอกาสพี่ด้วย พี่ไม่ใช่คนคิดซับซ้อนถ้าจันทร์ไม่พูดพี่ก็ไม่เข้าใจ... เจ้าจันทร์คนใจร้าย”
เจิ้นงับหูผม... คำต่อว่าของเจิ้นมันช่าง....งื้ออออออ เขายังงับหูผมเล่นอยู่อย่างนั้นกระซิบซ้ำๆว่าผมใจร้าย ผมทนไม่ไหวรีบหันหน้าหนีแต่เขาก็ยังตามมาแกล้ง ก็เลยต้องยกสองมือจับแก้มเจิ้นไว้ไม่ให้เขาขยับหน้าขยับตาได้อีก
“ฮื้ออออ เจิ้นก็ห้ามดื้อสิ จันทร์จะได้ไม่ใจร้าย”
“งั้น...พี่จะเป็นเด็กดีของจันทร์ดีไหม?”
“อื้อ...ดีมาก เจิ้นเด็กดี”
“เจิ้นเป็นเด็กดีแล้ว...เจ้าจันทร์จะให้รางวัลเจิ้นไหม?”
ผมพยักหน้าแล้วเราก็จูบกัน.... จูบของเจิ้นเนิ่นนานจนผมเกือบหายใจไม่ออก จูบที่ไล้ลงมาข้างแก้ม... เสียงลมหายใจของเจิ้นดังชัด เจิ้นกระซิบเรียกชื่อผมซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
มือของเจิ้นปัดป่ายไปทั่วตัวผม มันวนเวียนไปตามแผ่นหลัง เผมรู้สึกเหมือนสื้อผ้าของผมช่างปิดบังอะไรไม่ได้เลย...ราวกับร่างกายเปล่าเปลือย
สายตาของเจิ้นวาววับ...และทรงพลังจนผมหมดแรง แค่เจิ้นมองผมก็หมดแรง ผมหันหน้าหนีพอดีกับที่เจิ้นเลื่อนมือขึ้นมายึดท้ายทอยผมไว้
“มูนนี่เด็กดี...”
“อื้อ....”
เจิ้นกัดผม...กัดตรงคอ...มันเป็นการกัดแบบที่เจิ้นกัดทำโทษผม มันจะไม่มีรอยฟันแต่จะมีรอยแดงๆ ผมอยากจะถามว่าเจิ้นทำโทษผมหรอ...แต่ผมก็หมดแรงพูดอะไรไม่ถูก
แต่...ถ้ากัดแล้วเจิ้นอารมณ์ดีก็ไม่เป็นไร...ถ้าเป็นเจิ้น...กัดแรงกว่านี้ก็ไม่เป็นไร
------------------------
Biter (n) คนที่กัด, คนโกง, คนหลอกลวง (ทั้งกัดทั้งหลอกทั้้งโกงคือพี่เจิ้นแน่นอนเลยเอามาตั้งชื่อตอนซะเลย อิอิ)
-----------------------------------------------------
พี่เจิ้นก็นะ...กล้าพูดว่าตัวเองไม่ซับซ้อน แกล้งน้องร้องไห้กะจะให้น้องรู้สึกผิด แถมตีเนียนเป็นตัวเองโดนทิ้งไปอีกกกกก คนขี้โกงงง
ขอบคุณทุกคอมเม้นและทางทวิตเตอร์ด้วยค่า